The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

โดย ผศ.ดร.ธิดาวัลย์ อุ่นกอง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by khomthit.cha, 2021-05-10 00:21:34

การประเมินโครงการทางการศึกษา

โดย ผศ.ดร.ธิดาวัลย์ อุ่นกอง

31

สมคิด พรมจุ้ย (2552 ,หน้า 120-121) ได้กล่าวถึง ข้ันตอนการประเมินโครงการไว้ดงั นี้
1. ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับโครงการที่จะทําการประเมินโครงการ รายงานต่างๆ เกี่ยวกับ
โครงการเพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานสําหรับการกําหนดประเด็น และสิ่งที่ต้องการประเมินในขั้นตอน
ต่อไป
2. กําหนดวัตถุประสงค์และตัวบ่งชี้ของการประเมิน ซึ่งมีวิธีการเช่นเดียวกับการกําหนด
วัตถุประสงค์ของแผนหรือโครงการ กล่าวคือ จะต้องมีความเฉพาะเจาะจง (Specific) สามารถวัด
ได้ (Measurable) สามารถบรรลุผลได้ (Achievable or Attainable) ระบุผลลัพธ์ที่ต้องการ (Result
Oriented) และมีขอบเขตเวลาทีแ่ น่นอน (Time Bound) ซึ่งเรียกว่า “SMART”
3. พัฒนารูปแบบการประเมิน รูปแบบการประเมิน (Evaluation Design) เป็นแผนที่กําหนด
ว่าจะเก็บสารสนเทศเมื่อไร (When) และจากใคร (From Whom) ระหว่างดําเนินการ การประเมิน
ซึ่งวัตถุประสงค์และตัวบ่งชี้กําหนดไว้ในขั้นตอนที่ 2 จะเป็นตัวกําหนดว่า ควรจะใช้รูปแบบการ
ประเมิน รูปแบบใด จึงจะเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
4. กําหนดวิธีการสุ่มตัวอย่างเพื่อทําการประเมิน วิธีการสุ่มตัวอย่างจะนํามาใช้เมื่อ
โครงการ ที่จะประเมินนั้น เป็นโครงการขนาดใหญ่ มีผู้เข้าร่วมในพื้นที่ต่างๆ เป็นจํานวนมาก นัก
ประเมินจะใช้ กลุ่มตัวอย่างของประชาชนที่เข้าร่วมในโครงการมาทําการทดสอบ หรือเก็บข้อมูล
ด้วยวิธีการต่างๆ และ ขณะเดียวกันพื้นที่ที่นํากลุ่มตัวอย่างมาทําการประเมิน ก็อาจจะนํามา
ประเมินด้วยเชน่ เดียวกัน
5. กําหนดชนิดของข้อมูลที่จะเก็บรวบรวม วัตถุประสงค์ของการประเมินจะเป็นตัวกําหนด
ชนิดของข้อมูลที่จะเก็บรวบรวม เช่น ถ้าวัตถุประสงค์กําหนดไว้ว่า นวัตกรรมอย่างหนึ่งจะสามารถ
เพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนได้อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติหรือไม่
ข้อมูลที่จําเป็นจะต้องเก็บคือ คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาคณิตศาสตร์จํานวนสองกลุ่มที่
จะนํามาเปรียบเทียบกัน
6. เลือกและวางแผนการสร้างและจัดหาเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ในการเก็บรวบรวม
ใน ระดับพื้นที่ บางครั้งอาจจะใช้เครื่องมือการประเมินอย่างหลากหลาย ซึ่งบางขั้นอาจจะมีอยู่แล้ว
ในสถาบันการวิจัยต่างๆ หรือนักประเมินจัดสร้างขึ้นเอง หรือจัดหามาด้วยวิธีการต่างๆ เช่น อาจจะ
ซื้อมา เพื่อประหยดั เวลาและความพยายาม เปน็ ต้น
7. วางแผนการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยกําหนดให้ชัดเจนวา่ ใครจะเป็นผู้เก็บรวบรวมข้อมูล
เก็บเมื่อไหร่ จากใคร และจะเก็บอย่างไร
8. การวางแผนการเก็บรวบรวมข้อมูล วัตถุประสงค์ของการประเมินและตัวบ่งชี้จะให้
แนวทาง ในการกําหนดวิธีการในการวิเคราะห์ข้อมูล
9. ประมาณการค่าใช้จ่ายในการประเมิน การเตรียมการเกี่ยวกับงบประมาณที่จะใช้ในการ
ประเมิน ถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สําคัญประการหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ากิจกรรมการประเมิน
นั้นใช้ เงินที่ดึงมาจากงบประมาณของโครงการ ซึ่งนับตั้งแต่เริ่มวางแผนงานโครงการ นักประเมิน
จะต้อง ตระหนกั ถึงข้อจํากดั ทางการเงินทีจ่ ะได้รับการจดั สรรมาใช้เพือ่ การประเมินโครงการ

32

10. การวางแผนจัดทํารายงานและการเผยแพร่ผลการประเมิน การวางแผนในขั้นตอนนี้
นกั ประเมินโครงการจะต้องกาํ หนดชนิดของรายงานที่จะเสนอ และผู้ทีจ่ ะรับมอบหมายรายงานน้ัน
สรุปได้ว่า กระบวนการของการประเมินโครงการมีขั้นตอนที่เริ่มต้นจากการศึกษาทํา ความเข้าใจ
โครงการที่จะทําการประเมินอย่างละเอียดลึกซึ้ง เพื่อนําไปสู่การกําหนดวัตถุประสงค์ของ การ
ประเมินได้อย่างชัดเจน รู้จักเลือกอุปกรณ์เครื่องมือและกระบวนการต่างๆ ในการเก็บรวบรวม
ข้อมูล รวมทั้งการเลือกเทคนิคที่จะวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อหาข้อสรุปและข้อเสนอแนะต่างๆ ในการ
นําเสนอ ผู้เกีย่ วข้องได้อย่างถูกต้องตรงตามข้อเทจ็ จริง

ประเภทของการประเมินโครงการ
การแบ่งประเภทการประเมินโครงการแบ่งได้หลายประเภทตามแต่ว่าจะใช้เกณฑ์ใดเป็น

หลกั ในการแบ่ง ซึง่ มีนกั การศึกษาได้แบ่งประเภทของการประเมินโครงการไว้ดังนี้
สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ (2553 ,หน้า 114-115) ได้แบ่งประเภทของการประเมินโครงการไว้

ดงั นี้
1. แบ่งตามหลกั ยึดในการประเมินค่า
1.1 การประเมินค่าตามอุดมการณ์ของโครงการ (Goal Based Evaluation) เป็นการ

ประเมินผลที่ได้ว่าบรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการหรือไม่ โดยทราบก่อนการประเมินว่า
โครงการ นี้มีวัตถปุ ระสงค์อะไรบ้าง

1.2 การประเมินค่าซึ่งอิสระจากอุดมการณ์ของโครงการ (Goal Free Evaluation)
เป็นการ ประเมินผลที่เกิดขึ้นทั้งหมด โดยไม่ทราบว่าวัตถุประสงค์ของโครงการนี้มีอะไรบ้าง

2. แบ่งตามลําดบั เวลาที่ประเมิน
2.1 ประเมินกอ่ นนาํ โครงการไปปฏิบตั ิ
2.2 การประเมินขณะโครงการดาํ เนินการอยู่
2.3 การประเมินหลงั จากกิจกรรมหรือโครงการสิ้นสุดลง

3. แบ่งตามจุดมุ่งหมายของการประเมิน
3.1 การประเมินเพื่อปรับปรุงเรียกว่า การประเมินความก้าวหน้า (Formative

Evaluation)
3.2 การประเมินเพื่อสรุปผลเรียกว่า การประเมินรวมสรุป (Summative

Evaluation)
4. แบ่งตามสิง่ ที่ถูกประเมิน

4.1 การประเมินสภาพแวดล้อม หรือการประเมินบริบท (Context Evaluation)
4.2 การประเมินปัจจัย หรือตัวป้อน (Input Evaluation)
4.3 การประเมินกระบวนการ (Process Evaluation)
4.4 การประเมินผลผลิต (Product Evaluation)
เชาว์ อินใย (2553 ,หน้า 24) ได้จําแนกการประเมินโครงการออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
1. การประเมินโครงการก่อนดําเนินการ (Preliminary Evaluation) เป็นการศึกษา วิเคราะห์
และประเมินความเป็นไปได้ (Feasibility Study) ก่อนที่จะเริ่มโครงการใดโครงการหนึ่ง ซึ่งจะมี
ประโยชน์ใน แง่การตัดสินว่า จะดําเนินโครงการต่อไปหรือไม่ อย่างไร โดยทําการศึกษาถึง

33

สภาพแวดล้อมเชิงปฏิบัติการ (Operating Environment) ของโครงการ ความพร้อมและความ
เหมาะสมของปัจจัยนําเข้า อันได้แก่ ขีดความสามารถ ประสิทธิภาพ และความพร้อมของบุคลากร
เครื่องมือ งบประมาณและกระบวนการ งบประมาณ รวมไปถึงสมรรถนะในการบริหารจัดการ ทั้ง
ยังต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมของกระบวนการที่จะนํามาใช้ในการบริหารจัดการโครงการ
ตลอดจนปัญหา อุปสรรค และความเสี่ยงของการดําเนิน โครงการ รวมไปถึงประสิทธิผลที่คาดว่า
จะได้รับ แต่ในขณะเดียวกันยังมีความจําเป็นที่ต้องศึกษาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากโครงการใน
ด้านต่างๆ เช่น การประเมินผลกระทบด้านสังคม (Social Impact Assessment) การประเมินผล
กระทบด้านนิเวศ (Ecological Impact Assessment) การประเมินผลกระทบด้านการเมือง (Political
Impact Assessment) การประเมินผลกระทบด้านเทคโนโลยี (Technological Impact Assessment)
การประเมินผลกระทบด้านประชากร (Population Impact Assessment) การประเมินผลกระทบด้าน
นโยบาย (Policy Impact Assessment) การประเมินผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ (Economic Impact
Assessment) เป็นต้น

2. การประเมินระหว่างดําเนินโครงการ (Formative Evaluation) เป็นการประเมินผลเพื่อ
การปรับปรุงกระบวนการบริหารจัดการ ผลที่ได้จากการประเมินระหว่างดําเนินโครงการนั้น
อาจจะ กระทําในระหว่างขั้นตอนการพัฒนาโครงการ ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้การกําหนดวัตถุประสงค์
(Objectives) ของโครงการเป็นไปอย่างสมเหตุสมผล ยิ่งไปกว่านั้นการประเมินระหว่างดําเนิน
โครงการอาจจะกระทํา ในระหว่างขั้นตอนการดําเนินโครงการ ซึ่งจะมีส่วนช่วยตรวจสอบว่า
โครงการได้ถูกดําเนินการไปตามแผน ของโครงการหรือไม่ อย่างไร ซึ่งเรียกอย่างเฉพาะเจาะจงว่า
Implementation Evaluation อย่างไรก็ดีการประเมินระหว่างดําเนินโครงการนี้อาจเป็นการ
ตรวจสอบความก้าวหน้าของโครงการว่า โครงการได้ถูกดําเนินการไปอย่างได้ผลดีหรือไม่ เพียงใด
ซึง่ เรียกอย่างเฉพาะเจาะจงว่า Progress Evaluation

3. การประเมินเมื่อสิ้นสุดโครงการ (Summative Evaluation) หรืออาจเรียกว่า การประเมิน
ผลผลิต เป็นการประเมินผลรวมสรุปภายหลังจากสิ้นสุดการดําเนินโครงการ ในการรวมสรุปข้อมูล
อันเกิดจากโครงการระยะยาวนั้น จะรวบรวมจากผลของการประเมินระหว่างดําเนินโครงการ
(Formative Evaluation) ทําให้เป็นผลของการประเมินเมื่อสิ้นสุดโครงการ (Summative Evaluation)
ซึ่งผลรวม สรุปที่ได้จะนําสู่การรายงานว่า โครงการได้บรรลุเป้าประสงค์ขององค์การ (Corporate
Goals) หรือไม่ อย่างไร ตลอดจนการรายงานถึงสถานภาพของโครงการว่าประสบความสําเร็จหรือ
ล้มเหลวอย่างไร พบปัญหาหรืออุปสรรคอะไรในการดําเนินโครงการ เพื่อปรับปรุงกระบวนการ
บริหารจดั การโครงการของ หน่วยงานให้ดียิ่งขึ้นในการดาํ เนินโครงการนี้ หรือโครงการอืน่ ๆ ต่อไป

4. การประเมินประสิทธิภาพ (Efficiency Evaluation) เป็นการประเมินโครงการที่มุ่งเน้น
ตรวจสอบผลผลิตและกระบวนการได้มาซึ่งผลผลิต และมุ่งที่จะทราบความสําเร็จหรือความ
ล้มเหลว รวมไปถึงความคุ้มค่าของการดําเนินโครงการนั้น ทั้งนี้เพื่อประกอบการตัดสินใจของผู้ให้
บริหารโครงการ หรือผู้ให้ทุนว่า จะการยุติหรือขยายการดําเนินโครงการ ยิ่งไปกว่านั้นในปัจจุบัน
การประเมินประสิทธิภาพ โครงการยังมีความสําคัญเพิ่มมากยิ่งขึ้น เนื่องจากการประเมิน
ประสิทธิภาพโครงการนั้นเชื่อมโยงกับการ บริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี หรือหลักธรรมาภิบาล
(Good Governance) ในแง่ของประสิทธิภาพใน การดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐกิจ ซึ่งถือเป็น
แนวคิดกระแสหลักในการบริหารจัดการภาครฐั แนวใหม่ (New Public Management : NPM)

34

มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2554 ,หน้า 30) ได้แบ่งการประเมินโครงการออกเป็น 4
ประเภท คือ

1. การประเมินโครงการก่อนดําเนินการ (Primary Evaluation) เป็นการประเมินความ
เป็นไปได้ก่อนที่จะเริ่มโครงการใดๆ หรืออาจศึกษาประสิทธิภาพของตัวป้อน ความเหมาะสมของ
กระบวนการที่คาดว่าจะนํามาใช้ในการบริหารจัดการโครงการ ปัญหาอุปสรรคความเสี่ยงของ
โครงการ ตลอดจนผลลัพธ์หรือประสิทธิผลทีค่ าดว่าจะได้รับ

2. การประเมินระหว่างการดําเนินโครงการ (Formative Evaluation) เป็นการประเมินผล
เพื่อการปรับปรุงเป็นสําคัญ ซึ่งเป็นการประเมินระหว่างดําเนินการ ผลที่ได้จะช่วยตั้งวัตถุประสงค์
ของ โครงการให้เป็นไปตามเป้าหมายที่แท้จริง และตรวจสอบให้เป็นไปตามทิศทางที่ถูกต้อง
โดยทั่วไปจะ ประเมิน เช่น

2.1 เพื่อทบทวนโครงการ
2.2 เพือ่ เพิม่ เติมแผนของโครงการ
2.3 เพือ่ ทบทวนแบบสอบถาม
2.4 เพือ่ คัดเลือกวิธีการทีเ่ หมาะสม
2.5 เพื่อกําหนดตารางให้สอดคล้องกับการดาํ เนินการ
2.6 เพื่อเตรียมข้อมูลขา่ วสารสําหรบั รายงาน และเปน็ ข้อมูลสําหรบั การตดั สินใจ
2.7 เพือ่ แนะนําปรับปรงุ แก้ปัญหา และวิธีการปฏิบัติต่างๆ ของโครงการ
3. การประเมินเมื่อสิ้นสุดโครงการหรือการประเมินผลผลิต (Summative Evaluation) เป็น
การประเมินผลรวมและสรุปการดําเนินงานของโครงการ ประเมินเมื่อดําเนินการเสร็จแล้ว สําหรับ
โครงการระยะยาวอาจใช้การประเมินแบบนี้ เปน็ การสรุปย่อยในแต่ละช่วงเวลาต่างๆ กไ็ ด้
4. การประเมินประสิทธิภาพ เป็นการประเมินโดยทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ผ่านมายัง
จํากัด ประเมินเฉพาะผลผลิตเพื่อให้ทราบความสําเร็จ หรือความล้มเหลวเท่านั้น เพื่อสนองตอบ
ผู้ให้ทุนหรือ ผู้บริหาร แต่ปัจจุบันนักประเมินได้ให้ความสําคัญกับการประเมินประสิทธิภาพ ถือว่า
เป็นการประเมินที่ สาํ คญั เพือ่ ให้โครงการน้ันดาํ เนินการไปสอดคล้องกับสภาพของสงั คม
พิสณุ ฟองศรี (2553 ,หน้า 12-13) ได้แบ่งประเภทของการประเมินโครงการไว้ดงั นี้
1. แบ่งตามผู้ประเมิน แบ่งเป็น 3 ประเภท ดงั นี้
1.1 การประเมินโดยผู้ประเมินภายใน ผู้ประเมินเป็นบุคลากรที่เกี่ยวข้องหรือ
ปฏิบัติงานกับ สิ่งที่ประเมินนั้นหรือปฏิบัติงานในองค์การที่รับผิดชอบสิ่งที่ประเมิน ซึ่งมีข้อดีคือ
ทราบรายละเอียดของสิ่ง ทีป่ ระเมิน แต่มกั มีข้อเสียเรือ่ งความลาํ เอียงเข้าข้างตนเองเสมอ
1.2 การประเมินโดยผู้ประเมินภายนอก ผู้ประเมินเป็นบุคคลภายนอกที่ไม่ได้
เกี่ยวข้องหรือ ไม่ได้ปฏิบัติงานกับสิ่งที่ประเมินโดยตรง อาจเป็นบุคลากรของหน่วยงานอื่นหรือ
หน่วยงานกลาง ซึ่งมีข้อดี คือความเป็นกลางแต่มีข้อเสีย คือมักจะทราบรายละเอียดของสิ่งที่
ประเมินไม่ดีพอและอาจไม่ได้รับ ความร่วมมือจากผู้เกีย่ วข้อง โดยเฉพาะถ้าเห็นว่าเปน็ การจับผิด
2. แบ่งตามมิติการประเมิน แบ่งเปน็ 4 ประเภท ดงั นี้
2.1 ตามวัตถุประสงค์ แบ่งได้เป็น การประเมินความก้าวหน้า ประเมินผลสรุปและ
ประเมิน เพื่อการพัฒนา

35

2.2 ตามข้อมูล แบ่งได้เป็น ข้อมลู เชิงปริมาณ ข้อมูลเชิงคณุ ภาพ และแบบผสม
2.3 ตามการประเมิน แบ่งได้เปน็ เชิงธรรมชาติ และเชิงทดลองหรือเชิงระบบ
2.4 ตามจุดเน้นทีป่ ระเมิน แบ่งได้เป็น การประเมินกระบวนการ ผลลัพธ์ ผลกระทบ
การ วิเคราะห์ค่าใช้จา่ ยกบั ผลตอบแทน และการวิเคราะห์ต้นทุนกับประสิทธิผล
3. แบ่งตามช่วงระยะของการประเมินโดยใช้รูปแบบการประเมิน CIPP ว่า แบ่งออกเป็น 4
ส่วน ตามลําดับพฒั นาการของการดาํ เนินงาน 3 ระยะ ดังนี้
3.1 การประเมินก่อนเริ่มดําเนินงาน การประเมินช่วงนี้เป็นเพื่อวางแผนอันเป็นการกําหนด
วัตถุประสงค์ และวิธีการดําเนินงานจัดทําสิ่งต่างๆ อาจเป็นโครงการกิจกรรมหลักสูตร ซึ่งจะทํา
การ ประเมินใน 2 ส่วนคือ
3.1.1 การประเมินบริบท (Context Evaluation) เป็นการประเมินความต้องการ
จาํ เปน็ เพือ่ กาํ หนดการดาํ เนินงาน สภาพเศรษฐกิจ สงั คม การเมือง ตลอดจนปัญหาอปุ สรรคต่างๆ
ที่คาดว่า จะเกิดขึ้นรวมทั้งวิเคราะห์หาสาเหตุความไม่สอดคล้องระหว่างความเป็นจริงและสิ่งที่
คาดหวงั ดงั กล่าว
3.1.2 การประเมินปัจจัยนําเข้า (Input Evaluation) เป็นการตรวจสอบความพร้อม
ด้านทรัพยากร ที่จะใช้ในการดําเนินงานทั้งปริมาณและคุณภาพ ระบบบริหารจัดการที่วางแผนไว้
รวมถึง กลยุทธ์และกระบวนการดําเนินงานที่เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพสงู สดุ
การประเมินในข้อ 3.1.1 และข้อ 3.1.2 นําไปสู่การวางแผน ซึ่งควรมีการวิเคราะห์
ความเหมาะสมของสิ่งที่จะดําเนินการ โดยพิจารณาความสอดคล้อง ความสมบูรณ์ ประสิทธิภาพ
ความ เหมาะสมของการบริหาร ผลกระทบและความเป็นธรรม ความเป็นไปได้ทั้งด้านแผนงาน
แผนเงิน และ แผนกําลังคน
3.2 การประเมินขณะดําเนินงาน (Process Evaluation) เป็นการประเมินกระบวนการ อัน
เป็นการศึกษาจุดอ่อนจุดแข็ง ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคของการดําเนินงาน เพื่อจัดหา
สารสนเทศ เพื่อการปรับปรุงการดําเนินงานได้อย่างทันท่วงที การประเมินขั้นตอนนี้จึงมีบทบาท
สาํ คญั ต่อความสําเรจ็ ของสิง่ ทีจ่ ะดําเนินการ
3.3 การประเมินหลังสิ้นสุดการดําเนินงาน (Product Evaluation) เป็นการประเมิน ผลผลิต
ของสิ่งที่ประเมิน เพื่อตอบคําถามให้ได้ว่าการดําเนินงานประสบความสําเร็จตามแผนที่วางไว้
หรือไม่ ผลผลิตเป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือไม่ การประเมินหลังสิ้นสุดการดําเนินงานจะพิจารณา
ผลลัพธ์และ การประเมินผลกระทบของการดําเนินงานทุกๆ ด้าน ผลของการประเมินจะให้
สารสนเทศเพื่อการตดั สินใจ เกีย่ วกับอนาคตของการดาํ เนินงาน
สรุปได้ว่า ประเภทของการประเมินมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่ง เช่น
แบ่ง ตามระยะเวลาแบ่งเป็น การประเมินก่อนเริ่มดําเนินงาน การประเมินขณะดําเนินงาน และการ
ประเมิน หลังสิ้นสุดการดําเนินงาน แบ่งตามวัตถุประสงค์แบ่งเป็น การประเมินความก้าวหน้า
ประเมินผลสรุป และประเมินเพื่อการพัฒนา แบ่งตามประเภทของผู้ประเมินแบ่งเป็น ประเมินจากผู้
ประเมินภายใน และประเมินจากผู้ประเมินภายนอก ตามแต่ว่าจะใช้เกณฑ์ใดเป็นหลักในการแบ่ง

36

วิธีการประเมินโครงการ
นกั การศึกษาได้แบ่งวิธีการประเมินไว้ดังนี้
ศิริชยั กาญจนวาสี (2552 ,หน้า 47-48) ได้กล่าวถึง วิธีการประเมินดงั นี้
1. วิธีเชิงระบบ การประเมินด้วยวิธีเชิงระบบจะใช้แนวทางปรนัยนิยม โดยนักประเมินจะใช้

มาตรฐานหรือเกณฑ์สากล เน้นวิธีเชิงระบบด้วยการวางแผนการดําเนินงานอย่างชัดเจน ใช้
เครื่องมือ มาตรฐานในการรวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผลตามเกณฑ์มาตรการที่กําหนดไว้
เข้าทาํ นองประเมิน โดยยึดหลกั การ

2. วิธีเชิงธรรมชาติ การประเมินด้วยวิธีเชิงธรรมชาติจะใช้แนวทางอัตนัยนิยม นักประเมิน
จะกําหนดมาตรฐานหรือเกณฑ์ในการตัดสินคุณค่าขึ้นเองตามเหตุผลของตน เน้นวิธีเชิงธรรมชาติ
โดยดําเนินการอย่างยืดหยุ่น รวบรวมข้อมูลสารสนเทศอย่างครอบคลุมตามสภาพธรรมชาติ เข้า
ทํานอง ประเมินโดยใช้ความเชี่ยวชาญ

พิสณุ ฟองศรี (2553 ,หน้า 9 -10) ได้กล่าวถึง วิธีการประเมินแบ่งออกได้ 2 วิธีใหญ่
เช่นเดียวกับ เป้าหมายของการประเมิน ดงั นี้

1. วิธีเชิงระบบ การประเมินด้วยวิธีเชิงระบบ (Systematic Approach) จะใช้แนวทาง ปรนัย
นิยม (Objectivism) โดยนักประเมินจะใช้มาตรฐานหรือเกณฑ์สากล เน้นวิธีเชิงระบบด้วยการ
วางแผน การดําเนินงานอย่างชัดเจน ใช้เครื่องมือมาตรฐานในการรวบรวม วิเคราะห์ข้อมูล และ
สรปุ ผล ตามเกณฑ์มาตรฐานทีก่ ําหนดไว้

2. วิธีเชิงธรรมชาติ การประเมินด้วยวิธีเชิงธรรมชาติ (Naturalistic Approach) จะใช้แนวทาง
อัตนัยนิยม (Subjectivism) นักประเมินจะกําหนดมาตรฐานหรือเกณฑ์ในการตัดสินคุณค่าขึ้นเอง
ตาม เหตุผลของตน เน้นวิธีเชิงธรรมชาติ โดยดําเนินการอย่างยืดหยุ่น รวบรวมข้อมูลสารสนเทศ
อย่าง ครอบคลุมตามสภาพธรรมชาติ

สรุปได้ว่า วิธีการประเมินโครงการมี 2 วิธี คือวิธีเชิงระบบ และวิธีเชิงธรรมชาติ สําหรับ
การ ประเมินครั้งนี้ผู้ประเมินใช้การประเมินเชิงระบบ เพราะมีข้อดีที่สําคัญคือ มีความชัดเจน เป็น
ปรนัย น่าเชื่อถือ

เครือ่ งมือสำหรับการประเมินโครงการ
ดวงกมล ไตรวิจิตรคุณ ภาควิชาวิจัยและจิตวิทยาการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์

มหาวิทยาลยั
การกำหนดวิธีการประเมิน การกำหนดตัวชี้วัด และเกณฑ์ เชน่ “การกินดีอยู่ดีของชาว

ชนบท” ตัวชี้วัด คือ รายได้ รายจ่าย สิ่งอำนวยความสะดวก สุขอนามัย ฯลฯ เกณฑ์ มี 2 ลักษณะ
คือ

1. เกณฑ์สัมบรู ณ์ หรือ มาตรฐาน (Absolute Criteria)
- มาตรฐานสากล
- ผู้เชี่ยวชาญ
- การคาดหวังจากเหตกุ ารณ์ที่ผ่านมา
- เปรียบเทียบระหว่างกลุ่มในแต่ละช่วงเวลา
- การใช้เกณฑ์ปกติวิสัย (norms)

37

- ลกั ษณะการบรรยายแผนงานของผู้ประเมิน (EPD)
2. เกณฑ์สมั พัทธ์ (Relative Criteria) เทียบเคียงจาก

- โครงการทีม่ ีลกั ษณะใกล้เคียงกนั
- โครงการทีป่ ระสบความสำเรจ็
- โครงการที่เปน็ ทีย่ อมรบั ว่ามีคุณภาพเหมาะสม
การเลือกใช้เครือ่ งมือ
1. ประเภทของเครือ่ งมือ
การเลือกใช้เครื่องให้เหมาะสมกับการประเมินผลโครงการพิจารณาจาก 1) ตัวแปรที่
ต้องการวัด 2) จำแนกว่าเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านใด
พฤติกรรมการเรียนรู้

ภาพที่ 4 พฤติกรรมการเรียนรู้ของบลมู (1956)

การวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสยั (Cognitive Domain) เปน็ การวัดความรู้
ความคิด ใช้การทดสอบ – แบบสอบ (TEST)

การวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านจิตพิสัย (Affective Domain) เปน็ การวดั วดั ความรู้สึกนึก
คิด จิตใจ ใช้ การสอบถาม -แบบสอบถาม

การสัมภาษณ์ - แบบสมั ภาษณ์
การสังเกต – แบบสงั เกต
การสนทนากลุ่ม - แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม
การวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะพิสยั (Psychomotor Domain) เปน็ การวัดพฤติกรรม
การปฏิบัติ การแสดงออก ใช้การสังเกต - แบบสงั เกต
2. ลักษณะและการพัฒนาเครือ่ งมือแต่ละประเภท
2.1 แบบสอบ (TEST) เป็นการวดั ความรู้ความสามารถทีม่ ี การให้แสดง
ความสามารถสูงสุด (MAXIMUM PERFORMANCE) ตดั สินได้ว่า ถกู หรือ ผิด ตามหลักวิชา

38

ประเภทของแบบสอบ
ขึ้นอยู่กับ ตัวแปรทีส่ นใจศึกษา เช่น แบบวดั ผลสัมฤทธิ์วิชาภาษาไทย แบบวดั ความ
รับผิดชอบ แบบวัดความมีจิตอาสา แบบวัดความมีน้ำใจเปน็ นักกีฬา แบบวดั ความถนดั แบบวัด
บคุ ลิกภาพ ฯลฯ
การสรา้ งแบบสอบ
1. ครอบคลุมสิ่งที่ต้องการวดั
2. มีโครงสร้างของเนื้อหาที่ชดั เจน
3. มีการเลือกใช้ทฤษฎีการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับตวั แปรที่ต้องการวัด เช่น วัดผลสมั ฤทธิ์
ทางการเรียน วัดได้ตามระดับพฤติกรรมของบลูม
4. มีการเลือกใช้รูปแบบของแบบสอบทีเ่ หมาะสมกบั ระดับพฤติกรรมที่ต้องการวัด เช่น
แบบถูกผิด แบบจับคู่ แบบเติมคำ แบบเลือกตอบ แบบอตั นัย ฯลฯ

2.2 แบบสอบถาม เปน็ การกำหนดเงือ่ นไข/สถานการณ์ให้แสดง คุณลกั ษณะ
เฉพาะตวั ของตนออกมา (TYPICAL PERFORMANCE) โดยไม่มีการตัดสินว่าถูก/ผิด

มีลกั ษณะเป็น - คำถามปลายปิด
- คำถามปลายเปิด

หลักการสรา้ งแบบสอบถาม
- ง่าย ชดั เจน กระชับ
- มีคำชี้แจงที่ชัดเจน
- คำนึงถึงความรู้ วัย และประสบการณ์ของผู้ตอบ
- เรียงลำดบั ข้อคำถามอย่างเหมาะสม งา่ ย ยาก ทวั่ ไป เจาะจง
- จำนวนข้อคำถามไม่มากเกินไป
2.3 แบบสมั ภาษณ์ เปน็ การเก็บข้อมลู เชิงคุณภาพ เน้นการศึกษาข้อมูลทีล่ ึกซึ้ง

มี 2 ลักษณะ คือ
1) แบบมีโครงสร้าง
2) แบบไม่มีโครงสร้าง

หลกั การสมั ภาษณ์
1. กำหนดจุดมุ่งหมายให้ชัดเจน
2. เตรียมหวั ข้อให้ครอบคลมุ ครบถ้วน
3. สร้างความคุ้นเคยกับผู้ถกู สมั ภาษณ์
4. ใช้ภาษาให้เหมาะสมกับวัย อายุ ประสบการณ์
5. มีการจดบันทึกการสมั ภาษณ์/บนั ทึกเทป
6. หลีกเลีย่ งคำถามทีส่ ร้างความไม่พอใจให้กับผู้ถกู สมั ภาษณ์
7. ใช้เวลาให้เหมาะสม ไม่ควรนานเกินไป
8. “ความสำเรจ็ ของการสัมภาษณ์” อยู่ที่

- คำถามที่ใช้ว่าเกี่ยวกบั สิง่ ทีต่ ้องการมากน้อยเพียงใด
- ผู้ถกู สัมภาษณ์ตอบตามความจริงมากน้อยเพียงใด

39

ข้อดีของการสัมภาษณ์
1) ถามในเรื่องทีเ่ ข้าใจไม่ตรงกัน
2) ใช้ได้กบั ทกุ คน
3) ได้ข้อมูลที่ลึกซึ้ง

ขอ้ จำกดั ของการสมั ภาษณ์
1) สิ้นเปลือง เวลา แรงงาน ค่าใช้จา่ ย
2) ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ และความสามารถของผู้สมั ภาษณ์
3) อาจเกิดความลำเอียงจากผู้สัมภาษณ์
4) การควบคมุ มาตรฐานแต่ละคร้ังทำได้ยาก

การสังเกต เปน็ การเฝ้าดู / ศึกษาเหตกุ ารณ์ / เรื่องราว โดยละเอียดโดยต้องระบุ วัตถุประสงค์
ผู้สังเกต สิ่งที่สงั เกต

สภาพการณท์ ีส่ ังเกต
1. มีการจดบันทึก
2. มีการเอาใจใส่ และกำหนดไว้อย่างมีระเบียบวิธี เพื่อวิเคราะห์/หาความสมั พนั ธ์ของสิง่ ที่
เกิดขึ้นกับสิ่งอื่น
3. เปน็ ข้อมูลปฐมภมู ิ (primary data)
ประเภทของการสังเกต DENZIN (1971) แบ่งเป็น 5 ประเภท
1. สังเกตกายภาพภายนอก

- สัญลกั ษณ์ รปู ลักษณ์
- เครื่องแบบ เครื่องหมาย เครื่องประดบั สีสนั
2. สงั เกตการแสดงออก
- กริยาท่าทาง ภาษาท่าทาง
- การเคลือ่ นไหวของร่างกาย แขนขา
- ความสอดคล้อง/ขัดแย้งระหว่างคำพดู กบั การแสดงออก
3. สังเกตตำแหน่งแหล่งที่ทางกาย
- ระยะห่างระหว่างบุคคลทางกายภาพ
- ตำแหน่งการนง่ั
4. สังเกตการใช้ภาษา
- คำพดู วิธีการพูด เวลาพดู
5. สังเกตบริบท เวลา และการใช้เวลา
- แตกต่างกันตามหน้าที่ อาชีพ ของกลุ่มคน
การสนทนากลุม่
1.เปน็ การเกบ็ ข้อมูลเชิงคุณภาพ
2. เปน็ การพดู คุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึง่ กนั และกนั
3. เป็นการสนทนาระหว่างนักวิจยั กับกลุ่มคนทีเ่ ปน็ ผู้รู้ (key informant) ที่มีลกั ษณะต่าง ๆ
ใกล้เคียงกนั มากทีส่ ุด (homogenious)
4. ผู้ร่วมสนทนาประมาณ 7-8 คน

40

5. มีสมมติฐานว่า เราจะรู้ถึงปฏิกิริยาโต้ตอบของคนได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง โดยการกระตุ้น
ให้คนมาสนใจในสิ่งเดียวกันและแสดงความคิดเห็นร่วมกนั

หลักการสนทนากลมุ่
1. ผู้วิจยั เป็นผู้ดำเนินการสนทนากลุ่มด้วยตนเอง
2. ลกั ษณะประเดน็ ที่นำมาสนทนาเหมาะสมกบั การแสดงความคิดเห็นทีห่ ลากหลาย
3. มีการสร้างคำถามให้น่าสนใจ
4. มีการสร้างบรรยากาศที่เปน็ กันเอง
5. ไม่มีการลงมติการสนทนากลุ่ม แต่เปน็ การสรุปความคิดเห็นโดยภาพรวม

สรุปได้ว่า การประเมินโครงการต้องพิจารณาว่าเป็นการวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านใด ผู้
ประเมินควรเลือกใช้เครื่องมือประเมินโครงการที่เหมาะสมกบั สิง่ ที่ต้องการการประเมิน

ความสาํ คัญและประโยชน์ของการประเมินโครงการ
การประเมินโครงการอย่างมีระบบ ย่อมจะมีส่วนช่วยให้ผู้บริหารโครงการตระหนักถึง

คุณภาพ ของแผนและโครงการที่กําหนดขึ้นไว้ว่า สามารถสนองตอบความต้องการของสังคมหรือ
สามารถแก้ไข ปัญหาที่เกิดขึ้นได้มากน้อยเพียงใด ช่วยให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในการ
ดําเนินการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงโครงการให้มีความถูกต้องเหมาะสม ส่งผลให้โครงการนั้น
ดําเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ บรรลุถึงเป้าประสงค์ที่กําหนดไว้ทุกประการ การประเมินโครงการ
มีความสําคญั และมีประโยชน์ตาม ความคิดเหน็ ของนักวิชาการ ดงั นี้

เชาว์ อินใย (2553 ,หน้า 12) ได้อธิบายความสําคัญของการประเมินโครงการไว้ว่า การ
ประเมิน โครงการเป็นส่วนหนึ่งของการวิจัย เป็นกระบวนการที่มีระบบเพื่อค้นหาข้อเท็จจริงหรือ
กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ทั้งยังเป็นกระบวนการที่มีระบบเพื่อตัดสินความสําเร็จของโครงการอีกด้วย การ
ประเมินโครงการเป็น การดําเนินงานที่ไม่ใช้ความพยายามในการสร้างทฤษฎี หรือพัฒนาองค์
ความรู้ทางสังคมศาสตร์ การ ประเมินโครงการที่นํามาใช้ในทางสังคมศาสตร์นั้น เป็นการเตรียม
สารสนเทศเพื่อใช้ในการปรับปรุง โครงการทางสังคม เหตุผลประการสําคัญที่จําเป็นต้องประเมิน
โครงการก็คือ มีทางเลือกในการดําเนิน โครงการได้มากมายที่จะทําให้การดําเนินงานโครงการมี
ประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงจําเป็นต้องประเมิน โครงการว่าประสบความสําเรจ็ หรือไม่

พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2555 ,หน้า 75-76) ได้สรุปถึง ความสําคัญหรือคุณประโยชน์ของการ
ประเมิน โครงการไว้ดงั นี้

1. การประเมินจะช่วยให้การกําหนดวัตถุประสงค์และมาตรการของการดําเนินงาน มีความ
ชัดเจนยิ่งขึ้น กล่าวคือ ก่อนที่โครงการจะได้รับการสนับสนุนให้นําเข้าไปใช้ย่อมจะได้รับการ
ตรวจสอบ อย่างละเอียดจากผู้บริหารและผู้ประเมิน ส่วนใดที่ไม่ชัดเจน เช่น วัตถุประสงค์หรือ
มาตรการการ ดําเนินงาน หากขาดความแน่นอน ชัดเจน จะต้องได้รับการปรับปรุงแก้ไขให้มีความ
ถูกต้องชัดเจนเสียก่อน ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า การประเมินโครงการมีส่วนช่วยให้โครงการมีความ
ชัดเจนและสามารถที่ จะนาํ ไปปฏิบตั ิได้อย่างได้ผลมากกว่าโครงการทีไ่ ม่ได้รบั การประเมินผล

2. การประเมินโครงการช่วยให้การใช้ทรัพยากรเป็นไปอย่างคุ้มค่าหรือเกิดประโยชน์อย่าง
เต็มที่ ทั้งนี้เพราะการประเมินโครงการจะต้องวิเคราะห์ทุกส่วนของโครงการ ข้อมูลใดหรือปัจจัยใด
ที่เป็นปัญหาจะได้รับการปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานหรือใช้ในการปฏิบัติงานอย่าง

41

เหมาะสม และคุ้มค่า ทรัพยากรทุกชนิดจะได้รับการจัดสรรให้อยู่ในจํานวนหรือปริมาณที่เหมาะสม
เพียงพอต่อ การดําเนินงาน ทรัพยากรที่มีมากเกินไปจะได้รับการตัดทอนและทรัพยากรใดที่ขาดก็
จะได้รับการจัดหาเพิ่มเติม ฉะนั้นการประเมินโครงการจึงมีส่วนที่ทําให้การใช้ทรัพยากรของ
โครงการเปน็ ไปอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ

3. การประเมินโครงการช่วยให้แผนงานบรรลุวัตถุประสงค์ ดังที่กล่าวมาแล้วว่าโครงการ
เป็น ส่วนหนึ่งของแผน ดังนั้นเมื่อโครงการได้รับการตรวจสอบ วิเคราะห์ปรับปรุงแก้ไขให้
ดําเนินการไปด้วยดี ย่อมจะทําให้แผนงานดําเนินการไปได้ด้วยดี และบรรลุวัตถุประสงค์ที่ได้
กําหนดไว้ หากโครงการใดโครงการหนึ่งมีปัญหาในการนําไปปฏิบัติย่อมกระทบกระเทือนต่อ
แผนงานทั้งหมดโดยส่วนรวม ฉะนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า การประเมินโครงการมีส่วนช่วยให้แผนงาน
บรรลุวัตถปุ ระสงค์ และการดาํ เนินงาน ไปได้ด้วยดีเชน่ เดียวกนั

4. การประเมินโครงการมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาอันเกิดจากผลกระทบ (Impact)ของ
โครงการและการทําให้โครงการมีข้อทีท่ าํ ให้เกิดความเสียหายน้อยลง

5. การประเมินโครงการมีส่วนช่วยอย่างสําคัญในการควบคุมคุณภาพของงาน ดังที่กล่าว
มาแล้ว การประเมินโครงการเป็นการตรวจสอบและควบคุมชนิดหนึ่ง ซึ่งการดําเนินการอย่างมี
ระบบ และความเป็นวิทยาศาสตร์อย่างมาก ทุกชนิดของโครงการและปัจจัยทุกชนิดที่ใช้ในการ
ดําเนินงานจะ ได้รับการวิเคราะห์อย่างละเอียด กล่าวคือ ข้อมูลนําเข้า (Input) กระบวนการ
(Process) และผลงาน (Output) จะได้รับการตรวจสอบประเมินทุกขั้นตอน ส่วนใดที่ไม่มีปัญหา
หรือไม่มีคุณภาพ จะได้รับการ พิจารณาย้อนหลัง (Feedback) เพื่อให้มีการดําเนินการใหม่ จนกว่า
จะเป็นมาตรการหรือตรงตามเป้าหมายที่ต้องการ จึงถือว่าการประเมินผลเป็นการควบคุมคุณภาพ
โครงการ

6. การประเมินโครงการมีส่วนในการสร้างขวัญและกําลังใจให้ผู้ปฏิบัติงานตามโครงการ
การประเมินโครงการมิใช่การควบคุมบังคับบัญชาหรือสั่งการ แต่เป็นการศึกษาวิเคราะห์ด้านการ
ปรับปรุงแก้ไขและเสนอวิธีการใหม่ ๆ เพื่อใช้ในการปฏิบัติโครงการอันย่อมนํามาซึ่งผลงานที่ดี เป็น
ที่ ยอมรับของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งปวง โดยลักษณะเช่นนี้ย่อมทําให้ผู้ปฏิบัติมีกําลังใจ มีความพึงพอใจ
และ ตั้งใจกระตือรือร้นที่จะปฏิบัติงานต่อไปและมากขึ้น ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า การประเมินโครงการ
มีส่วน สําคัญในการสร้างขวัญ กําลังใจและความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน

7. การประเมินโครงการช่วยในการตัดสินในการบริหารโครงการ กล่าวคือ การประเมิน
โครงการจะทําให้ผู้บริหารได้ทราบอุปสรรค ข้อดี ข้อเสีย ความเป็นไปได้และแนวทางในการแก้ไข
ปรับปรุง การดําเนินโครงการ โดยข้อมูลดังกล่าวแล้วจะช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจว่าจะดําเนิน
โครงการนั้นต่อไป หรือ จะยุติโครงการนั้นเสีย นอกจากนั้นผลของการประเมินโครงการอาจเป็น
ข้อมูลอย่างสําคัญในการวางแผน หรือการกาํ หนดนโยบายของผู้บริหารและฝ่ายการเมือง

สมคิด พรมจัย (2552 ,หน้า 30) ได้กล่าวถึง ประโยชน์ของการประเมินโครงการไว้ดงั นี้
1. ช่วยให้ข้อมูลและสารสนเทศต่างๆ เพื่อนําไปใช้ในการตัดสินใจเกี่ยวกับการวางแผน
โครงการ ตรวจสอบความพร้อมของทรัพยากรต่างๆ ที่จําเป็นในการดําเนินโครงการตลอดจนการ
ตรวจสอบ ความเปน็ ไปได้ในการจัดกิจกรรมต่างๆ
2. ช่วยให้การกําหนดวัตถุประสงค์ของโครงการมีความชัดเจน 3. ช่วยในการจัดหาข้อมูล
เกีย่ วกับความก้าวหน้า ปัญหาและอปุ สรรคของการดาํ เนินโครงการ

42

4. ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับความสําเร็จและความล้มเหลวของโครงการเพื่อนําไปใช้ในการ
ตัดสินใจและวินิจฉัยว่าจะดําเนินโครงการในช่วงต่อไปหรือไม่ จะยกเลิกหรือขยายการดําเนิน
โครงการต่อไป

5. ชว่ ยให้ได้ข้อมลู ที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพของการดําเนินโครงการว่าเปน็ อย่างไร
6. เป็นแรงจูงใจให้ผู้ปฏิบัติโครงการ เพราะการประเมินโครงการด้วยตนเอง จะทําให้
ผู้ปฏิบัติงานได้ทราบถึงผลการดําเนินงาน จุดเด่น จุดด้อย และนําข้อมูลไปใช้ในการปรับปรุงและ
พฒั นาโครงการให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
สุวิทย์ มูลคํา และ สุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 ,หน้า 151) กล่าวถึง ความสําคัญของ
การประเมิน โครงการว่า การประเมินโครงการมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการบริหารโครงการซึ่งสรุป
ได้ดังนี้
1. ช่วยให้ได้ข้อมูลสารสนเทศต่างๆ เกี่ยวกับโครงการที่นําไปใช้ในการตัดสินใจเกี่ยวกับการ
กําหนดโครงการ การตรวจสอบความพร้อมของทรัพยากรต่างๆ ที่จําเป็นต้องใช้ในการดําเนิน
โครงการ ตลอดจนความเปน็ ไปได้ในการจดั ทาํ โครงการ
2. ช่วยให้ทราบข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับความก้าวหน้า ปัญหาและอุปสรรคของโครงการ
ที่นํามาใช้ในการตัดสินใจ เพื่อการปรับปรุง หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขการดําเนินโครงการให้เป็นไป
ตามทิศทาง ทีต่ ้องการ
3. ช่วยให้ได้ข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับความสําเร็จและความล้มเหลวของโครงการที่
นํามาใช้ในการตัดสินใจและวินิจฉัยว่าจะดําเนินการในช่วงต่อไป ยกเลิกหรือขยายการดําเนิน
โครงการต่อไปอีก
รัตนะ บัวสนธ์ (2556 ,หน้า 26-27) กล่าวว่า การประเมินโครงการมีประโยชน์ดังนี้
1. การประเมินโครงการ ช่วยในการกําหนดวัตถุประสงค์และมาตรการของการดําเนินงาน
มี ความชัดเจนขึ้นเพราะการนําโครงการไปใช้ควรจะได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดจาก
ผู้บริหารและผู้ประเมินเสียก่อน หากพบว่าวัตถุประสงค์หรือมาตรการในการดําเนินงานส่วนใดไม่
ชดั เจนจะต้อง ได้รบั การปรับปรุงแก้ไขให้มีความถูกต้องเสียกอ่ น
2. การประเมินโครงการ ช่วยในการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าหรือเกิดประโยชน์สูงสุดเพราะ
การประเมินโครงการจะต้องวิเคราะห์ทุกส่วนของโครงการ หากพบว่ามีข้อมูลหรือปัจจัยที่เป็น
ปัญหาจะ ได้รับการแก้ไขเพื่อให้สามารถปฏิบัติงานหรือใช้ในการปฏิบัติงานอย่างเหมาะสมคุ้มค่า
ทรัพยากรทุก ชนิด จะได้รับการจัดสรรให้อยู่ในจํานวนที่เหมาะสมเพียงพอแก่การดําเนินงาน
ทรัพยากรที่ไม่จําเป็น หรือมีมากเกินไปจะได้รับการตัดทอน และทรัพยากรใดที่ขาดจะได้รับการหา
เพิม่ เติม
3. การประเมินโครงการช่วยให้แผนงานบรรลุวัตถุประสงค์ เพราะโครงการเป็นส่วนหนึ่ง
ของแผน ดังนั้นเมื่อโครงการได้รับการตรวจสอบวิเคราะห์ปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้ดําเนินการไปด้วยดี
แผนงานกจ็ ะบรรลวุ ัตถุประสงค์ไปด้วย
4. การประเมินโครงการช่วยในการแก้ปัญหาอันเกิดจากผลกระทบ (Impact) ของโครงการ
และทําให้โครงการเสียหายน้อยลง
5. การประเมินโครงการช่วยในการควบคุมคุณภาพของงาน เพราะการประเมินโครงการ
เปน็ การตรวจสอบและควบคุมชนิดหนึ่ง

43

6. การประเมินโครงการช่วยในการสร้างขวัญและกําลังใจให้กับผู้ปฏิบัติงานตามโครงการ
เพราะการประเมินโครงการมิใช่เป็นการควบคุมบังคับบัญชาหรือสั่งการแต่เป็นการศึกษาวิเคราะห์
เพื่อเป็นการปรับปรุงแก้ไข และเสนอแนะวิธีการใหม่ ๆ เพื่อใช้ในการปฏิบัติโครงการ อันย่อมจะ
นาํ มาซึง่ ผลงานทีด่ ีเป็นทีย่ อมรับของผู้เกีย่ วข้องทั้งปวง

7. ผลของการประเมินโครงการอาจเป็นข้อมูลอย่างสําคัญในการวางแผน หรือการกําหนด
นโยบายของผู้บริหารและฝ่ายการเมือง

8. การประเมินโครงการ ช่วยในการตัดสินใจในการบริหารโครงการ กล่าวคือ การประเมิน
โครงการจะทําให้ผู้บริหารได้ทราบถึงอุปสรรคปัญหา ข้อดี ข้อเสีย ความเป็นไปได้ และแนวทางใน
การ ปรับปรุงแก้ไข การดําเนินการโครงการโดยข้อมูลดังกล่าวจะช่วยทําให้ผู้บริหารตัดสินใจว่าจะ
ดาํ เนิน โครงการน้ันต่อไป หรือยุติโครงการ

สรุปได้ว่า การประเมินโครงการมีความสําคัญอย่างยิ่งต่อการดําเนินโครงการเป็น
เครื่องมือที่ ช่วยกําหนดวัตถุประสงค์และมาตรฐานการของการดําเนินงานมีความชัดเจนยิ่งขึ้น
การใช้ทรัพยากรอย่าง คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด มีส่วนสําคัญในการควบคุมคุภาพของงาน
และได้ทราบถึงปัญหา อุปสรรค ข้อดีข้อเสียของความเป็นไปได้และแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขให้
โครงการบรรลถุ ึงเป้าหมายที่วางไว้และ ยงั เป็นการสร้างขวัญและกาํ ลงั ใจให้ผู้ปฏิบัติงานอีกด้วย

สิ่งสําคัญทีต่ อ้ งคํานึงถึงในการประเมินผลโครงการ
ประชุม รอดประเสริฐ (2529 ,หน้า 95-97) กล่าวถึง การประเมินผลโครงการเป็นกระ

บวนการในการตรวจสอบ และวิเคราะห์ส่วนสําคัญของโครงการ ซึ่งได้แก่ปัจจัยนําเข้า(Inputs)
กระบวนการ(Process หรือTransactions) และผลลัพธ์(Outputs หรือOutcomes) ทั้งนี้เพื่อปรับปรุง
การดําเนินงานของโครงการทั้งหมดโดยส่วนรวมให้ดําเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด อย่าง
ไรก็ดีการประเมินผลโครงการเป็นกระบวนการที่อาจมีความสลับซับซ้อนแล้วแต่ลักษณะของ
โครงการที่ต้องประเมิน และมีความละเอียดอ่อนที่ต้องใช้การพินิจพิจารณาและความละเอียด
รอบคอบในการดําเนินการ และการตัดสินใจ ฉะนั้นจึงมีสิ่งสําคัญหรือแนวคิดที่สําคัญซึ่งผู้
ประเมินผลโครงการจะต้องคํานึงถึง จึงจะทําให้การประเมินผลโครงการบรรลุถึงเป้าหมายที่ต้อง
การอย่างแท้จริง สิ่งสําคัญดังกล่าวได้แก่ ข้อเท็จจริง คุณประโยชน์ความถี่ ข้อมูลย้อนกลับ ความ
ผูกพัน ความน่าเชื่อถือ วัตถุประสงค์ มาตรฐาน ความจําเป็นและคุณค่า ซึ่งสามารถอธิบายพอ
สงั เขปได้ดังนี้

1. ข้อเท็จจริง (Evidence) หมายความว่ารายละเอียดและข้อเท็จจริงต่างๆ ที่ได้จากการ
ประเมินผลโครงการจะต้องมากพอ และมีเหตุมีผลที่สามารถจะพิสูจน์การตัดสินใจได้ว่าเป็นการ
ตัดสินใจที่ถูกต้องและเหมาะสม โครงการทุกชนิดต้องใช้เวลา แรงงาน และทุนทรัพย์เป็
นจํานวนมากในการจัดตั้งและดําเนินงาน ความผิดพลาดในการวิเคราะห์รายละเอียดและข้อเท็จ
จริงที่จําเป็นอาจนําไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดหรือขาดประสิทธิภาพ และทําให้โครงการที่กําหนด
ขึ้นหรือกําลังดําเนินงานอยู่นั้นขาดประสิทธิผลและประสิทธิภาพ หรืออาจล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
ฉะน้ันการประเมินผลโครงการจะต้องได้รายละเอียดทีเ่ ป็นจริง และมีเหตมุ ีผลอย่างเพียงพอ

44

2. คุณประโยชน ์(Benefit) หมายความว่าในการประเมินผลโครงการนั้นจะต้องคํานึงด้วยว่
า การลงทุนกับผลประโยชน์ที่จะได้รับคุ้มกันหรือไม่ ถ้าเป็นการประเมินผลโครงการที่ไม่ให้ประโย
ชน์กับสังคมโดยส่วนรวมก็ไม่ควรจะลงทุน เพราะการประเมินผลโครงการนั้นมักจะต้องเสียค่าใช้จ่
ายค่อนข้างสูง ถ้าประเมินแล้วผลที่ได้ไม่เกิดประโยชน์หรือเป็นผลที่ไม่อาจเชื่อถือได้ การ
ประเมินผลโครงการนั้นจะเป็นการสูญเปล่า ฉะนั้นการประเมินผลโครงการทุกโครงการ และทุก
ครั้งที่จะต้องประเมินผู้ประเมินจะต้องคํานึงถึงความคุ้มทุน หรือผล ประโยชน์ที่จะได้รับเป็นสําคัญ
จึงจะทําให้คุณภาพของการประเมินผลโครงการเป็นไปตามความุม่งหวังที่ต้องการ และเป็นวิธีการ
ประเมินผลโครงการที่ถกู ต้องและมีประสิทธิภาพ

3. ความถี่(Frequency) หมายความว่า ในการประเมินผลโครงการควรจะมีความถี่ในการ
เก็บรวบรวมข้อมูลบ่อยครั้งเพียงใด ย่อมต้องขึ้นอยู่กับลักษณะของโครงการเป็นสําคัญ หาก
เป็นโครงการระยะยาว การเก็บข้อมูลจะต้องได้รับการกําหนดไว้เป็นระยะอาจเป็นทุก 6 เดือน
ทุกรอบปี หรือแล้วแต่ความเหมาะสม แต่จะต้องมีการเก็บรวบรวมและการวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้เพื่อให้ข้อมูลมีความเป็นจริงทันสมัย จึงจะทําให้การวิเคราะห์ข้อมูลมีความถูกต้อง ฉะนั้นจึง
อาจกล่าวได้ว่า ความถี่ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือสิ่งสําคัญประการหนึ่งที่ผู้มีหน้าที่ในการ
ประเมินผลโครงการจะต้องคํานึงถึง

4. ข้อมูลย้อนกลบั (Feedback) หมายความว่า ในการประเมินผลโครงการนั้นผู้ประเมินจะต้
องพิจารณาข้อมูลย้อนกลับต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพื่อจะได้ปรับปรุงแก้ไขโครงการได้ทันท่วงที
ข้อมูลย้อนกลบั อาจเปน็ อปุ สรรค ปญั หา ผลดีหรือผลเสียต่างๆ อันเกิดจากการดาํ เนินงานโครงการ
ถ้าเป็นข้อมูลย้อนกลับที่ไม่ดีผู้ประเมินผลโครงการก็จะวิเคราะห์และนําเสนอต่อผู้มีอํานาจตัดสินใจ
เพื่อการปรับปรุงแก้ไขหรืออาจตัดสินใจเลิกล้มโครงการนั้น ถ้าเป็นข้อมูลย้อนกลับที่ดีผู้ประเมินผล
โครงการก็จะวิเคราะห์ข้อมูลแล้วนําเสนอต่อผู้มีอํานาจตัดสินใจเพื่อการปรับปรุงโครงการให้ดี
ยิ่งขึ้น ฉะนั้นข้อมูลย้อนกลับจึงเป็นสิ่งสําคัญที่ผู้ประเมินผลโครงการและผู้บริหารโครงการจะต้อง
คาํ นึงถึงอย่างมากอย่างหนึง่

5. ข้อผูกมัด (Commitment) หมายความว่า การประเมินผลโครงการจะต้องมีบุคคลที่ได้รับ
ผลกระทบและบุคคลที่จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องดําเนินงาน รวมทั้งบุคคลที่จะต้องนําผลการ
ประเมินผลโครงการไปใช้ จะต้องเป็นผู้ที่มีพันธะหรือผูกพันกับการประเมินผลโครงการตลอด ทั้งนี้
เพื่อให้ผลของการประเมินผลโครงการมีความเชื่อมั่นหรือไม่ลําเอียง และผลของการประเมินผล
โครงการสามารถนําไปใช้ได้เปน็ อย่างดีมีประสิทธิภาพ เพราะทกุ คนมีส่วนรบั ผิดชอบและยอมรับ
ร่วมกันดังนั้นการผูกมัดบุคคลหลายฝ่ายให้มีส่วนร่วมย่อมเป็นสิ่งสําคัญของกระบวนการ
ประเมินผลโครงการ

6. ความเป็นปรนัย (Objectivity) หมายความว่า การประเมินผลโครงการที่ดีนั้นจะต้องมี
ความเป็นปรนัยหรือความตรงไปตรงมาสูงและความเป็นปรนัยจะเกิดขึ้นได้ย่อมต้องอาศัย
บุคคลภายนอกหรือผู้เชี่ยวชาญในการประเมินเป็นผู้เข้ามีส่วนร่วมและช่วยเหลือในการประเมิน ผู้
เชี่ยวชาญอาจเป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยหรือจากสถาบันที่มีความชํานาญด้านการประเมินผล

45

โครงการโดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกองค์การนอกจากจะช่วยขจัดการประเมินด้
วยการคิดและนึกฝันเอาเอง หรือความลําเอียงของผู้ประเมินภายในองค์การแล้ว ยังจะให้ความรู้
ความเข้าใจเกี่ยวกับการเก็บรวบรวมและการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย ฉะนั้นผู้ประเมินผลโครงการพึง
ระลึกเสมอว่าความเป็นปรนัยหรือความตรงไปตรงมาของการประเมินผลโครงการนั้นเกิดจากการ
ประเมินของผู้รู้ หรือผู้เชีย่ วชาญอีกประการหนึ่ง

7. วัตถุประสงค์(Objective) หมายความว่า การประเมินผลโครงการจะต้องมีวัถุประสงค์
และรายละเอียดในการดําเนินงานอย่างชัดเจน อาจกล่าวได้ว่าการประเมินผลโครงการที่มีวัตถุประ
สงค์ไม่ชัดเจน เป็นปัจจัยอันสําคัญที่ทําให้การพิจารณาตัดสินใจในการดําเนินงานโครงการ
ผิดพลาด ความชัดเจนของวัตถุประสงคไ์ ม่เพียงแต่จะช่วยให้การประเมินผลโครงการเป็นไปด้วยดีมี
ประสิทธิภาพเท่านั้น ยังจะช่วยการดําเนินงานโครงการหรือการพัฒนาโครงการในลักษณะต่างๆ
เป็นไปด้วยดี พึงระลึกเสมอว่า โครงการเป็นจํานวนมากเมื่อดําเนินการแล้วก่อให้เกิดคุณประโยชน์
อย่างมากเพราะความชดั เจนในวัตถปุ ระสงค์ของโครงการเหล่านั้น

8. มาตรฐาน (Standards) หมายความว่า ในการประเมินผลโครงการจะต้องมีมาตรฐานที่
สามารถนําเอาผลงานที่เกิดขึ้นไปเปรียบเทียบได้ มาตรฐานที่ใช้เปรียบเทียบมี 2 ลักษณะ คือ
มาตรฐานที่เป็นเกณฑ์แน่นอนหรือเป็นเกณฑ์ตายตัว(Absolute standard) ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานที่
กําหนดขึ้นแล้วเปลี่ยนแปลงยาก บางทีเรียกมาตรฐานชนิดนี้ว่า มาตรฐานแห่งความเป็นเลิศ
(Standard of Excellence) ส่วนมาตรฐานอีกลักษณะหนึ่งเรียกว่า มาตรฐานที่เหมาะสม ซึ่ง
เป็นมาตรฐานที่เปลี่ยนแลงได้บ้างตามความเหมาะสม(Appropriate standard) มาตรฐานทั้งสอง
ลักษณะนี้จะต้องกําหนดโดยบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในการประเมินผลโครงการ บุคคล
ท่ัวไปไม่สามารถจะกาํ หนดเกณฑ์มาตรฐานได้

9. ความสอดคล้องสัมพันธ์ (Relevance) หมายความว่า ข้อมูลที่เก็บรวบรวมและได้รับการ
คัดเลือกจะต้องสอดคล้องหรือเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ที่ได้กําหนดไว้ และจะต้องสอดคล้อง
สัมพันธ์กับโครงการที่ต้องการประเมินผลด้วย นั่นคือ การเก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์
ข้อมูลจะต้องเป็นไปตามความจริงของปัจจัยนําเข้า(Inputs) ที่จะต้องใช้จะต้องเหมาะสมกับ
กระบวนการ(Transactions) ในการดําเนินงานและเกิดผลลัพธ์(Outcomes) ตามที่ได้คาดหวังไว้ของ
โครงการฉะนั้น ข้อมูลที่จําเป็นและสอดคล้องกับโครงการจึงเป็นปัจจัยที่ผู้ประเมินผลโครงการจะต้
องคํานึงถึงในการประเมินผลโครงการ

10. ค่านิยม (Values) หมายความว่า ในการพิจารณาตัดสินโครงการนั้นควรจะต้องเป็นไป
ตามคุณค่าอันเหมาะสมของข้อมูลข้อตกลงและข้อผูกมัดที่ต่อเนื่องกัน การเก็บรวบรวมและการวิ
เคราะห์ข้อมูลเป็นองค์ประกอบอันสําคัญของกระบวนการในการประเมินผลโครงการ และส่วน
ประกอบที่สําคัญอีกอย่างหนึ่งของกระบวนการประเมินผลโครงการ คือ“ค่านิยม” ของผู้
ประเมินผลโครงการผู้ประเมินผลโครงการบางคนเน้นการวิพากวิจารณ์โครงการเป็นหลัก แต่ผู้
ประเมินผลบางคนเน้นทักษะในการกระทําเป็นหลัก การเน้นการกระทําเป็นหลักเป็นการพิจารณา
ถึงคุณค่าและความเหมาะสมของข้อมลู พิจารณาถึงข้อตกลงและข้อผกู มัดในการกระทาํ ทีย่ อมรับ

46

ร่วมกันการพิจารณาตัดสินโครงการด้วยวิธีนี้ ย่อมจะเป็นวิธีที่สามารถปรับปรุงแก้ไขโครงการได้
ดีกว่าการพิจารณาจากการวิจารณ์โครงการแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งจะไม่ให้แนวทางการแก้ไข
ปรบั ปรงุ โครงการที่แน่นอนและชัดเจน

สิ่งสําคัญดังที่กล่าวแล้ว ล้วนเป็นปัจจัยที่จําเป็นอันมีผลต่อคุณภาพของการประเมินผล
โครงการ และมีผลต่อคุณภาพในการตัดสินใจการดําเนินโครงการ เพราะการประเมินผลโครงการ
เป็นเรื่องที่ต้องเกี่ยวข้องกับคน สภาพแวดล้อมต่างๆ รวมทั้งความรู้สึกนึกคิดของคนในหลาย
รูปแบบและหลายลักษณะ ซึ่งอาจเป็นทั้งความเชื่อ ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี และ
วัฒนธรรมของกลุ่มคนเหล่านั้น ฉะนั้นผู้ประเมินผลโครงการหรือผู้เกี่ยวข้องจะต้องคํานึงถึงและวิ
เคราะห์ปัจจัยต่างๆ อย่างพินิจพิจารณาเป็นที่สุด ทั้งนี้เพื่อให้การดําเนินโครงการและการ
ประเมินผลโครงการมีความเป็นไปได้ และผลงานที่เกิดขึ้นมีความถูกต้องน่าเชื่อถือ สมดังความ
ต้องการและเจตนารมณ์ของผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายที่เห็นว่า การประเมินผลโครงการมีวัตถุประสงค์
ที่สําคัญ 3 ประการ คือเพื่อการบริหารและการจัดการที่ดีและมีประสิทธิภาพขึ้น เพื่อการวางแผน
และการกําหนดนโยบายที่ถูกต้อง และวัตถุประสงค์สุดท้ายคือ เพื่อการทดสอบสมมติฐานทาง
สังคมศาสตร์อันจะนําไปสู่การแก้ปัญหาสังคมเฉพาะอย่างหรือบางอย่างได้ ซึ่งวัตถุประสงค์ทั้ง
สามจะบรรลุได้ย่อมต้องใช้ปัจจัยที่สําคัญดังที่กล่าวมาแล้ว และจะต้องใช้ปัจจัยเหล่านี้อย่างพินิจ
พิเคราะห์ โดยเลือกใช้ตามความจําเป็น และเท่าที่สามารถจะใช้ได้เท่านั้น จึงจะทําให้ผลของการ
ประเมินผลโครงการมีคณุ ประโยชน์ต่อการตัดสินใจอย่างแท้จริง

47

คำถามประจำหนว่ ยการเรียน

1. จงอธิบายความสำคญั ของการประเมินผลโครงมาพอสังเขป
2. จงอธิบาย การกำหนดตัวชี้วัด และเกณฑ์ในการประเมิน “การกินดีอยู่ดีของชาวชนบท”

ควรกำหนดในเรือ่ งใดบ้าง อย่างไร
3. จงสรปุ สาระสำคญั ของวิธีการประเมินโครงการ
4. จงอธิบาย การวดั พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสยั (COGNITIVE DOMAIN) ของนักเรียน

ควรเลือกใช้เครื่องมือ ลักษณะใด จึงจะมีความเหมาะสม
5. จงอธิบาย การวดั พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านจิตพิสยั (AFFECTIVE DOMAIN) ของนกั เรียน

ควรเลือกใช้เครื่องมือ ลักษณะใด จึงจะมีความเหมาะสม
6. จงอธิบาย การวดั พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านทกั ษะพิสัย (PSYCHOMOTOR DOMAIN)

ของนักเรียน ควรเลือกใช้เครือ่ งมือ ลกั ษณะใด จึงจะมีความเหมาะสม
7. จงอธิบายสิง่ สำคัญที่ต้องคำนึงถึงในการประเมินโครงการ

อา้ งอิง

ดวงกมล ไตรวิจิตรคณุ . (2557) .ความสมั พนั ธ์เชิงสาเหตุระหว่างทนุ ทางจิตวิทยาเชิงบวกและ
ความพึงพอใจในการปฏิบตั ิงานของครู โดยมีความยึดมน่ั ผูกพันในงานเป็นตวั แปรส่งผ่าน.
คณะครุศาสตร์ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั .

จิระศกั ดิ์ สาระรัตน์. (2551). การประเมินโครงการ. ปทุมธานี : มหาวิทยาลัยรังสิต.
เชาว์ อินใย. (2553). การประเมินโครงการ: Program Evaluation. (พิมพ์คร้ังที่ 2). กรุงเทพฯ:

สำนกั พิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์.
ประชุม รอดประเสริฐ. (2529). การบริหารโครงการ. กรงุ เทพฯ : เนติกลุ การพิมพ์.
พิชิต ฤทธิ์จรูญ. (2555). การวิจัยทางการบริหารการศึกษาเพือ่ พฒั นาคุณภาพการศึกษา.

วิทยาลยั การฝึกหดั ครู: มหาวิทยาลยั ราชภฏั พระนคร.
พิสณุ ฟองศรี. (2553). เทคนิควิธีการประเมินโครงการ. (พิมพ์คร้ังที่ 7). กรุงเทพฯ :

ด่านพสุธาการพิมพ์.
พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน .(2554).ความหมายของโครงการ . (พิมพ์คร้ังที่ 2). กรงุ เทพฯ:

นานมีบุ๊คส์.
มหาวิทยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธิราช. (2554). การปรึกษาเชิงจิตวิทยา. คณะศึกษาศาสตร์.

มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช นนทบุรี: จงั หวดั นนทบรุ ี.
เยาวดี รางชัยกลุ วิบูลย์ศรี. (2553). การประเมินโครงการ แนวคิดและแนวปฏิบตั ิ.

พิมพ์คร้ังที่ 8. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
เยาวดี รางชยั กลุ วิบลู ย์ศรี. (2556). การวัดผลและการสร้างแบบสอบผลสมั ฤทธิ์

Measurement and Achievement Test Construction. (พิมพ์คร้ังที่ 11). กรงุ เทพฯ :
สำนกั พิมพ์แห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั .

. (2556). การวดั ผลและการสร้างแบบสอบผลสมั ฤทธิ์. (พิมพ์คร้ังที่ 8). กรงุ เทพฯ :
โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
รัตนะ บัวสนธ์. (2556). วิจัยเชิงคุณภาพการศึกษา. (พิมพ์คร้ังที4่ ) .กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่ง.
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
ศิริชยั กาญจนวาสี. (2552). ทฤษฎีการทดสอบแบบด้ังเดิม. (พิมพ์ครั้งที่ 6). กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์
แห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
สมคิด พรมจุ้ย. (2552). เทคนิคการประเมินโครงการ. (พิมพ์ครั้งที่ 5). นนทบุรี: จตพุ รดีไซน์
สมหวัง พิธิยานุวัฒน์. (2553) . วิธีวิทยาการประเมิน : ศาสตร์แห่งคุณค่า. (พิมพ์คร้ังที่ 5).
กรงุ เทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจฬุ ำลงกรณ์มหำวิทยำลยั .
สชุ าติ ประสิทธิ์รัฐสินธ์ุ. (2555). ระเบียบวิธีการวิจยั ทางสงั คมศาสตร์. (พิมพ์ครั้งที่ 15).
กรงุ เทพฯ : สามลดา.

49

สพุ ักตร์ พิบลู ย์ และคณะ. (2554). การวิจยั และพพัฒนางานวิชาการ (R&D).กรงุ เทพฯ:
สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช.

สุภาพร พิศาลบุตร. (2555). การวางแผนและการบริหารโครงการ. (พิมพ์ครั้งที่ 7). นนทบรุ ี :
Urai Thoopho.

สุวิมล ติรกานันท์. (2555). การวิเคราะห์ตวั แปรพหุในงานวิจยั ทางสงั คมศาสตร์. (พิมพ์ครั้งที่
2). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

สุวิทย์ มลู คาํ และ สุนันทา สุนทรประเสริฐ. (2550).การพฒั นาผลงานทางวิชาการ สู่การเลือ่ น
วิทยฐานะ. กรุงเทพฯ : อี เค บคุ ส์.

หทัยรตั น์ ลิม่ อรณุ วงศ์. (2552). โครงการที่ดีมีลักษณะอย่างไร. สืบค้นออนไลน์
https://hengwelcome5000.files.wordpress.com/2014/07/58-.pdf. วันที่ 7 มกราคม
2563.

Knox, Alan B.(1980). University Continuing Professional Education. Urbana: University of
Illinois at Urbana-Champaign.Office for the Study of Continuing Professional Education.

Mitzel,Harold E. (1982). Encyclopedia of Educational Research. Vol.2. 5 th ed.
New York : The Free Press.

Peter H. Rossi and Howard E. Freeman.(1982). Evaluation: A Systematic Approach. Retrieved
7 January 2020 ,from https://www.jstor.org/stable/4531924.

แผนการสอนประจำหน่วยที่ 3
รูปแบบการประเมินโครงการ

เนื้อหาในหนว่ ยการเรียนรู้
1. ความหมายของรูปแบบหรือโมเดล (Model)
2. รูปแบบการประเมิน
3. รูปแบบการประเมินในยุคต่างๆ
4. คำถามประจำหน่วยการเรียน
5. เอกสารอ้างอิง

วตั ถุประสงค์
เมื่อผู้เรียนได้ศึกษาหน่วยการเรียนรู้นี้แล้ว ผู้เรียนสามารถ

1. อธิบายความหมายของรูปแบบหรือโมเดล (Model)ได้
2. อธิบายรูปแบบการประเมินได้
3. อธิบายรูปแบบการประเมินในยคุ ต่างๆ ได้

จำนวนชัว่ โมงที่สอน 20 ช่ัวโมง

กิจกรรมการเรียนการสอน
1. ผู้สอนเตรียมความพร้อมผู้เรียน โดยเปิดหนังสั้นสร้างแรงบันดาลใจในการเรียน
2. ผู้สอนบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับความหมายของรูปแบบหรือโมเดล (Model)

รูปแบบการประเมินโครงการ 8 รปู แบบ และ รูปแบบการประเมินในยุคต่างๆ
3. ผู้สอนนำเสนอตวั อย่าง รายงานโครงการพฒั นาคณุ ภาพการศึกษาของนิสิตฝึก

ประสบการณ์วิชาชีพครรู ุ่นพี่ พร้อมท้ังสรุปและให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม
4. นิสิตแบ่งกลุ่มศึกษาตัวอย่างรายงานการประเมินโครงการจากสือ่ ออนไลน์ ร่วมกนั

วิเคราะห์รายงานการประเมินผลโครงการ รูปแบบการประเมิน เครื่องมือทีใ่ ช้ในการประเมิน
โครงการ สรุปสาระสำคญั แล้วนำเสนอต่อสมาชิกในช้ันเรียน แล้วจดั ส่งผลงานของกลุ่ม พร้อม
ท้ังนำส่งในระบบ Microsoft team ห้องเรียนโค้ด 6msqntg

5. ผู้เรียนตอบคำถามประจำหน่วยการเรียน และบันทึกการเรียนรู้ด้วย Cornell Notes
นำส่งในระบบ Microsoft team ห้องเรียนโค้ด 6msqntg

6. ผู้เรียนศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมด้วยตนเองจากห้องเรียนในระบบ Microsoft team
ห้องเรียนโค้ด 6msqntg

7. แลกเปลีย่ นเรียนรู้ระหว่างกนั

สื่อการเรียนการสอน
1. เอกสารคำสอน หน่วยที่ 3 รปู แบบการประเมินโครงการ
2. Power point ประจำหน่วยที่ 3 เรื่อง รปู แบบการประเมินโครงการ
3. หนังส้ันสร้างแรงบันดาลใจ

51

การประเมินผล
1. ประเมินด้านความรู้ (Knowledge) จากผลงานของกลุ่ม การตอบคำถามประจำ

หน่วยการเรียน และจากบันทึกการเรียนรู้ด้วย Cornell notes
2. ประเมินด้านคุณลักษณะ (Attribute) จากการสงั เกตการณ์ร่วมกิจกรรมการเรียน

การตอบคำถาม การอภิปราย ซกั ถามและการแสดงความคิดเห็น
3. ประเมินด้านทกั ษะกระบวนการ (Skill) จากการปฏิบัติกิจกรรมในชั้นเรียน

52

หนว่ ยที่ 3 รูปแบบการประเมินโครงการ

โมเดล (Model) หรือ รูปแบบ สามารถนํามาใช้แสดงความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล
สัญลักษณ์ และหลักการของระบบ และ แบบแผนตัวอย่างของการดําเนินงานที่แสดง
ความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่าง ๆ ในระบบ กระทําได้ 3 ลักษณะ ได้แก่ 1) โมเดลเชิงบรรยาย
เป็นการนําเสนอโดยใช้คําบรรยายระบุถึงแนวคิด หลักการ หรือตัวแปร และมีคําอธิบายถึง
ปรากฏการณ์ด้วยคําบรรยายความสัมพันธ์ระหว่าง แนวคิด หลักการ หรือตัวแปรเหล่านั้น 2)
โมเดลเชิงรูปภาพ เป็นการนําเสนอโดยใช้รูปภาพ หรือสัญลักษณ์จําลอง แสดงถึง หลักการ
หรือ ตัวแปรเหล่านั้น และ 3) โมเดลเชิงคณิตศาสตร์ เป็นการนําเสนอโดยใช้สัญลักษณ์แทน
แนวคิด หลักการหรือตัวแปรเหล่าน้ันสามารถนาํ ไปสู่การปฏิบตั ิได้อย่างกว้างขวาง
ความหมายของรูปแบบหรือโมเดล (Model)

รูปแบบหรือแบบจําลองในที่นี้ได้นํามาใช้เพื่อสื่อความหมายให้ตรงกับคําในภาษา
อังกฤษ ว่า “Model” ความหมายของคําว่า “รูปแบบ” หรือ “โมเดล” หรือ “แบบจําลอง”
สามารถอธิบายให้เข้าใจได้งา่ ยโดยการยกตวั อย่างสมมติว่าครูคนหนึ่งต้องการนาํ เสนอขึ้นตอน
ในการจัดการเรียนการสอนของตนเพื่อให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและเกิดประสิทธิผลสูงสุดใน
การสอน จึงได้เสนอ ขั้นตอนการทํางานที่ตนเองใช้ ดงั นี้

ภาพที่ 5 แสดงข้ันตอนในการจดั การเรียนการสอนของครู

53

ถ้าวิเคราะห์รายละเอียดของรปู แบบ มีลกั ษณะสําคญั ๆ 4 ประการ คือ
1. เป็นการถ่ายทอดในลักษณะของการเลียนแบบ หรือถ่ายแบบจากความเข้าใจ
ตลอดจน จินตนาการของคนที่มีต่อปรากฏการณ์ใด ๆ ออกมาเป็นโครงสร้างที่มีระบบระเบียบ
และง่ายต่อการ รับรู้ของบุคคลอืน่
2. ลักษณะรูปแบบไม่ใช่การบรรยาย หรือการพรรณนาอย่างยืดยาว แต่เป็นการแสดง
ความสัมพันธ์ระหว่างสญั ลักษณ์และหลกั การของระบบ
3. ตัวรูปแบบเน้นเฉพาะส่วนสําคัญ เพื่อนําไปสู่ความเข้าใจที่ตรงกันระหว่างผู้นําเสนอ
รูปแบบกับผู้รบั รู้รูปแบบนั้น ๆ
ภาพลักษณ์รูปแบบมุ่งการสื่อสารให้กระชับ รับรู้ภาพรวมของความหมายมองเห็น
ความสมั พนั ธ์ระหว่างระหว่างส่วนย่อย ๆ ได้ โดยการนําเสนอเพียงคร้ังเดียว
สรปุ ได้ว่า รูปแบบ หรือแบบจําลองคือวิธีการทีบ่ ุคคลใดบุคคลหนึ่งได้ถ่ายทอด
ความคิดความเข้าใจ ตลอดทั้งจินตนาการที่มีต่อปรากฏการณ์หรือเรื่องราวใด ๆ ให้ปรากฏ
สามารถนาํ ไปใช้ในลกั ษณะต่าง ๆ กันคือ (1) เปน็ แบบจาํ ลองในลกั ษณะเลียนแบบ (2) เปน็ ตัว
แบบทีใ่ ช้เป็นแบบอย่าง (3) เปน็ แผนภาพทีแ่ สดงความสมั พนั ธ์ระหว่างสัญลักษณ์และหลกั การ
ของระบบ และ (4) เปน็ แบบ แผนหรือแผนผงั ของการดาํ เนินงานอย่างต่อเนือ่ งด้วย
ความสัมพนั ธ์เชิงระบบ
เมื่อพิจารณาลักษณะของรูปแบบหรือแบบจําลอง หรือโมเดล แล้วจะเห็นได้ว่า
“โมเดล” ไม่เพียงแต่เป็นแบบจําลองภาพหรือความคิดเท่านั้นแต่ยังมุ่งสื่อสารภาพ
รวมทั้งแนวคิด หลักการ ตลอดจนปรากฏการณ์ในเชิงสัมพันธ์อย่างเป็นระบบอีกด้วย ดังนั้น
การกาํ หนดโมเดลทีเ่ ป็นระบบ และมีหลกั การที่สมเหตุสมผล จะทําให้การวางแผนการ
ทํางานต่าง ๆ เข้าใจได้งา่ ยขึ้น
ในศาสตร์ของการประเมินก็เช่นเดียวกัน มีผู้พยายามเสนอแนวคิดและโมเดลที่ช่วยให้
สามารถทําการประเมินได้ดีขึ้นจนอาจกล่าวได้ว่า “รูปแบบ” หรือ “โมเดล” การประเมินนี้
สามารถ ทีจ่ ะถือว่าเปน็ ทฤษฎีการประเมินก็ได้ เพราะมีลักษณะของความสมเหตุสมผลบน
พื้นฐานของ ข้อตกลงเบื้องต้นในเชิงทฤษฎีเชน่ กนั นอกจากนั้น “รูปแบบ” การประเมินยงั
สามารถเปน็ ที่เข้าใจ และนําไปประยุกต์ใช้ในเชิงปฏิบัติได้ตามโครงการต่าง ๆ ทําให้สามารถ
สร้างองคค์ วามรู้ใหม่ ๆ ให้กบั ศาสตร์ของการประเมิน ดงั จะเห็นว่า “รูปแบบ” การประเมินได้
แพร่หลายไปทั่วโลกแม้แต่ใน ประเทศไทยเอง นักประเมินก็มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบ
การประเมินต่าง ๆ ตลอดจนมี การนําไปใช้ในการปฏิบัติเพื่อชว่ ยการตัดสินความต้องการและ
คุณภาพของโครงการต่างๆ เป็นต้น จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากเกี่ยวกับการใช้ “รูปแบบ”
หรือ “โมเดล” การประเมิน ซึ่งบ่งชี้ว่าเมือ่ เป็นทฤษฎีการประเมินแล้วก็ย่อมจะต้องมีการ
ตรวจสอบถึงคณุ ภาพด้านความเป็นปรนยั (Objectivity) ว่า ปราศจากอคติหรือไม่มีความตรง
ของการประเมิน (Validity) และวิธีการประเมินที่ มีความเชื่อถือได้ (Reliability)มากน้อยเพียงใด
กระบวนการประเมินก็ต้องแสดงรูปแบบที่มีโครงสร้างอย่างเป็นระบบ (Systematic
Structure) ขั้นตอนต่าง ๆของกระบวนการประเมินก็ต้องมีความสอดคล้องที่สมเหตุสมผลในเชิง
ทฤษฎีทีย่ อมรบั กันได้ รวมท้ังต้องมีความชดั เจนในการอธิบายธรรมชาติของการประเมินด้วย
จากแนวคิดและทฤษฎีที่ได้รับการพัฒนามาหลายยุคหลายสมัย นักประเมินหลายท่าน
ได้พยายามเสนอรูปแบบการประเมินไว้หลายลักษณะ แต่ละรูปแบบมีแนวคิด ทฤษฎี และหลัก
เหตผุ ลของการพฒั นาโดยเฉพาะมีความเชื่อและปรัชญาส่วนบคุ คลทีแ่ ตกต่างกนั ไป ที่สาํ คญั

54

คือ รูปแบบแต่ละรูปแบบที่นําเสนอมีวัตถุประสงค์เฉพาะการใช้ในการประเมินที่แตกต่างกัน
นอกจากนั้นรูปแบบต่าง ๆ ล้วนมีจุดเด่นจุดด้อย และมีข้อจํากัดในการนําไปใช้ที่ไม่เหมือนกัน
ดังนั้นในทางปฏิบัติแล้วการประเมินโครงการใด ๆ จึงไม่ควรจํากัดให้ใช้รูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
เท่านั้น แต่ต้องพิจารณาถึงสภาวะแวดล้อมและวัตถุประสงค์ของการประเมินโครงการ
ตลอดจนองค์ประกอบอืน่ ๆ ที่เอื้ออํานวยต่อการใช้รูปแบบนั้น ๆ รวมทั้งอรรถประโยชน์ที่ได้
จากการใช้ รูปแบบนั้น ๆ เปน็ ส่วนสาํ คัญด้วย นักประเมินที่มีประสบการณ์จึงไม่ควรยึดติด
รูปแบบใครูปแบบ หนึง่ แต่จะต้องรู้จกั เลือกประยกุ ต์ใช้รปู แบบต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม เพือ่ ให้
เกิดประสิทธิภาพของ การประเมินสงู สุด ดังรายละเอียดต่อไปนี้

รูปแบบการประเมิน
นักวิชาการนำเสนอรูปแบบการประเมินผลโครงการที่เปน็ ที่นิยม 8 รูปแบบดงั นี้
1.Tyler’s Rationale and model
2. Cronbach’s Concepts and model
3. Scriven’s Evaluation Ideologics and model
4. Stake’s Concepts and model of Evaluation
5. Alkin’s Concept of Evaluation
6. Provus’s Discrepancy Evaluation
7. Stufflebeam’s CIPP model
8. Kirkpatrick model
โดยมีรายละเอียดรูปแบบการประเมินโครงการแต่ละรปู แบบดังนี้
1. รปู แบบการประเมินผลของไทเลอร์ (Tyler's Rationale and Model of Evaluation)

แนวคิดทางการประเมินผลของไทเลอร์ (Tyler, 1936) จดั เป็นแนวคิดของการประเมิน
ในระดับช้ันเรียน โดยไทเลอร์มีความเห็นว่าการประเมินผลสัมฤทธิท์ างการเรียนของนักเรียน
จะมีส่วนช่วยอย่างมากในการพัฒนากระบวนการเรียนการสอน

ท้ังนี้ ไทเลอร์ได้เริม่ ต้นการนาํ เสนอแนวความคิดทางการประเมินโดยยึดกระบวนการ
ของการจัดการเรียนการสอนเปน็ หลัก กล่าวคือ ไทเลอร์ได้นิยามว่า กระบวนการจดั การเรียน
การ สอนเป็นกระบวนการทีม่ ุ่งจัดขึ้นเพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทีพ่ ึงปรารถนา
ในตวั ของผู้เรียน ด้วยเหตนุ ี้จดุ เน้นของการเรียนการสอน จึงขึ้นอยู่กับการทีผ่ ู้เรียนจะต้องมีการ
เปลีย่ นแปลง พฤติกรรมหลักการสอน ดงั น้ัน เพือ่ ให้การสอนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมใน
ตวั ผู้เรียนตามที่ มุ่งหวงั กระบวนการดงั กล่าวควรมีขั้นตอนในการดําเนินการดงั นี้

ข้ันที่ 1 ต้องมีการระบหุ รือกําหนดวตั ถุประสงคใ์ ห้ชัดเจนลงไปว่าเมื่อสิ้นสุดการ
จัดการเรียนการสอนแล้ว ผู้เรียนควรเกิดพฤติกรรมใด หรือสามารถกระทําสิ่งใดได้บ้าง
ลักษณะของ วตั ถุประสงค์ทีช่ ัดเจนดงั กล่าวนี้ ควรมีจุดเน้นอยู่ที่การกําหนดพฤติกรรมซึง่
สงั เกตเหน็ ได้โดย ชดั เจน หรือที่เรียกว่าวตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤติกรรม

ข้ันที่ 2 ต้องระบตุ ่อไปว่า จากวัตถุประสงคท์ ี่กาํ หนดไว้ดังกล่าวนั้นมีเนื้อหา
ใดบ้าง ที่ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้ หรือมีสาระใดบ้างที่เมื่อผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แล้ว จะก่อให้เกิด
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปตามวัตถปุ ระสงคท์ ี่ระบุไว้ในข้ันที่ 1

ข้ันที่ 3 หารปู แบบและวิธีการจดั การเรียนการสอนที่เหมาะสมกบั เนื้อหาซึ่ง
ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้ตามที่ระบไุ ว้ในขั้นที่ 2

ข้ันที่ 4 หามาตรการในการตรวจสอบหลงั จากสิ้นสุดการจดั การเรียนการสอน

55

ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้และบรรลวุ ตั ถุประสงคต์ ามที่กาํ หนดไว้ในข้อใดบ้าง และมี
วัตถปุ ระสงคข์ ้อใดบ้างที่ผู้เรียนยงั ไม่เกิดการเรียนรู้

แนวคิดดังกล่าวนี้เป็นแนวคิดในช่วงต้น ๆ ของไทเลอร์ ต่อมาไทเลอร์ได้สร้างวงจรของ
วัตถปุ ระสงค์ในการจัดการเรียนการสอนและการประเมินผลขึ้น ซึง่ เปน็ เปน็ โมเดลพื้นฐานได้
ดังนี้

ภาพที่ 6 แสดงรูปแบบวงจรวตั ถุประสงค์ในการจดั การเรียนการสอนและการประเมินผล

การจัดการเรียนการสอนนั้นตามทัศนะของไทเลอร์แล้ว องค์ประกอบทั้ง 3 คือ
1) วัตถุประสงค์ 2) การจัดการเรียนการสอน และ 3) การประเมินผลผู้เรียน จะต้องดําเนินการ
ประสานสัมพันธ์กนั ไปเสมอ

สรปุ ได้ว่า การประเมินในความเหน็ ของไทเลอร์ เป็นการเปรียบเทียบสิ่งผู้เรียนสามารถ
กระทาํ ได้จริง หลงั จากที่ได้จดั การเรียนการสอนแล้ว กับวตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤติกรรมซึง่ ได้
กาํ หนดขึ้นไว้ก่อนทีจ่ ะ จดั การเรียนการสอนนั้น ๆ

2. รปู แบบการประเมินผลของครอนบาค (Cronbach's Concepts and Model)
ในปี ค.ศ. 1963 ครอนบาค ได้เขียนบทความชื่อ “Course Improvement Through Evaluation”
โดยได้ให้นิยามการประเมินตามทศั นะของตนไว้ว่า “การประเมิน” เปน็ การเก็บ รวบรวมข้อมูล
และการใช้สารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดโปรแกรมทางการศึกษา คําว่า
“โปรแกรม” ในความหมายของครอนบาค ใช้ได้ทั้งในความหมายที่กว้าง เช่น
การจดั วางแผนการแจกจา่ ยสื่อการศึกษาระดบั ประเทศ การวางแผนการสอนของโรงเรียน
แห่งหนึ่ง ๆ หรือการวาง แผนการเรียนให้กบั นกั เรียนคนหนึ่ง ๆ ทั้งนี้ในส่วนของการตดั สินใจ
ทีเ่ กี่ยวข้องกบั การจดั การศึกษานั้น ครอนบาคได้แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ

1. การตดั สินใจเพือ่ การปรับปรุงรายวิชา เช่น การปรบั แผนการสอน ตลอดจนการ
เลือกใช้สื่อการสอนแบบใหม่

2. การตัดสินใจทีเ่ กี่ยวข้องกบั ตวั นักเรียนเป็นรายบคุ คล เชน่ การจัดกลุ่มนกั เรียนให้
เหมาะสมกับความสามารถรวมท้ังการจดั สอนซ่อมหรือสอนเสริม

3. การจดั การบริหารในโรงเรียน เชน่ การพัฒนาระบบคุณภาพของโรงเรียน
รวมท้ังการ คัดเลือกหรือการพฒั นาคุณภาพของครู

56

การตัดสินใจเพือ่ การปรบั ปรงุ รายวิชา มีจดุ เน้นที่สําคัญอยู่ตรงการตรวจสอบการ
เปลี่ยนแปลงหรือพฒั นาการที่เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน รวมท้ังการหาจดุ หรือประเด็นที่เกีย่ วข้องกับ
รายวิชาที่ควรมีการปรับปรุงหรือพัฒนา

วิธีการประเมิน
ครอนบาคมีความเห็นว่า การประเมินนั้นไม่ควรกระทาํ โดยใช้แต่แบบทดสอบเพียง
ประการเดียว แต่ควรมีมาตรการอืน่ ประกอบด้วย โดยครอนบาคได้เสนอแนวทางการประเมิน
เพิม่ เติมไว้อีก 4 แนวทาง คือ
1. การศึกษากระบวนการ (Process Studies) ได้แกก่ ารศึกษาภาวการณ์ต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นใน ช้ันเรียน เช่น การทีน่ กั เรียนทําแบบฝึกหัดไม่ถกู ต้อง การสังเกตผลการใช้สือ่
การชกั ถามนักเรียน ขณะดําเนินการสอน หรือขณะให้ทาํ กิจกรรมต่าง ๆ ภาวะการณ์ทีเ่ กิดขึ้น
เหล่านี้สามารถจะนาํ มาเปน็ ข้อมลู ทีใ่ ช้เพือ่ การพัฒนาหรือปรับปรงุ รายวิชาได้เปน็ อย่างดี
2. การวัดศกั ยภาพของผู้เรียน (Proficiency Measurement) ครอนบาคได้ให้คะแนน
ความสาํ คัญต่อคะแนนรายข้อมากกว่าคะแนนจากแบบทดสอบท้ังฉบบั โดยให้ทัศนะว่า คะแนน
จากแต่ละข้อสามารถชี้ให้เหน็ ถึงสิ่งที่ผู้เรียนได้เรียนรู้แล้วและสิง่ ที่ควรจะพัฒนาต่อไปด้วยเหตุนี้
ครอนบาคจึงให้ความสาํ คญั ต่อการสอบเพื่อวัดสมรรถภาพของผู้เรียนระหว่างการเรียน
การสอนว่ามีความสําคญั มากกว่าการสอบประจําปลายภาคเรียนหรือการสอบปลายปี
3. การวดั ทศั นคติ (Attitude Measurement) ครอนบาคให้ทัศนะว่า การวัดทัศนคติเป็น
ผลทีเ่ กิดจากการจัดการเรียนการสอนส่วนหนึง่ ซึง่ มีความสาํ คญั เชน่ กัน การวดั ทศั นคติอาจทาํ
ได้หลายวิธี เช่น การสัมภาษณ์ การตอบแบบสอบถาม และอื่น ๆ
4. การติดตามผล (Follow-up Studies) เป็นการติดตามผลการทํางานหรือภาวการณ์
เลือกศึกษาต่อในสาขาต่าง ๆ รวมทั้งการให้บุคคลที่เรียนในระดับขั้นพื้นฐานทีผ่ ่านมาแล้ว ได้
ประเมินถึงข้อดีและข้อจาํ กัดของวิชาต่าง ๆ ว่าควรมีการปรบั ปรงุ เพิม่ เติมอย่างไร เพื่อช่วยใน
การพฒั นาหรือ ปรับปรงุ รายวิชาเหล่าน้ันต่อไป
สรุปได้ว่า รปู แบบการประเมินผลนตามแนวคิดของครอนบาค มีความเชื่อว่า การ
ประเมินที่เหมาะสม นั้นต้องพิจารณาหลาย ๆ ด้าน เรียกว่า “Cronbach's Goal & Side Effect
Attainment Model” เพื่อนํามาใช้สาํ หรับการประเมินโครงการด้านการเรียนการสอน โดยเน้น
ว่าการประเมินโครงการ ด้านการเรียนการสอนน้ัน ไม่ควรประเมินเฉพาะแต่จุดมุ่งหมายทีต่ ั้ง
ไว้เท่านั้น แต่ควรประเมินหรือ ตรวจสอบผลข้างเคียงของโครงการด้วย ครอนบาคยงั มี
ความเหน็ เพิ่มเติมอีกว่า หน้าที่สําคัญ ประการหนึ่งของการประเมินโครงการด้านการเรียน
การสอน กค็ ือ การค้นหาข้อบกพร่องของ โครงการเพือ่ จะได้หาทางปรับปรุงแก้ไขกระบวนการ
เรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพต่อไป
3. รูปเบบการการประเมินผลของสคริฟเวน (Scriven's Evaluation Ideologies and
Model)
ในปี ค.ศ. 1967 ได้มีบทความชือ่ “The Methodology of Evaluation”ของสคริฟเวนออก
เผยแพร่ ในบทความดงั กล่าว สคริฟเวนได้ให้นิยามการประเมินไว้ว่า “การประเมิน” เป็น
กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกบั การรวบรวมข้อมลู การตัดสินใจเลือกใช้เครื่องมือเพือ่ เกบ็ ข้อมูล และ
การกาํ หนดเกณฑ์ ประกอบในการประเมิน เป้าหมายทีส่ ําคัญของการประเมิน ก็คือ การตดั สิน
คณุ ค่าให้กับกิจกรรมใด ๆ ทีต่ ้องการจะประเมิน
สคริฟเวนได้จาํ แนกประเภทและบทบาทของการประเมินออกเปน็ 2 ลกั ษณะ คือ

57

1. การประเมินระหว่างดาํ เนินการ (Formative Evaluation)
เป็นบทบาทของการประเมินงาน กิจกรรม หรือโครงการใด ๆ ที่บ่งชี้ถึงข้อดีและ ข้อจาํ กัดที่
เกิดขึ้นในระหว่างการดําเนินงานน้ัน ๆ ผลจากการประเมินดังกล่าวนี้ สามารถจะนาํ ไปใช้ เพือ่
การพัฒนางานดงั กล่าวให้ดีขึ้น จึงอาจเรียกการประเมินประเภทนี้ว่า เปน็ การประเมินเพื่อการ
ปรับปรุง

2. การประเมินผลรวม (Summative Evaluation)
เป็นบทบาทของการประเมินเมือ่ กิจกรรมหรือโครงการใด ๆ สิ้นสุดลง เพือ่ เป็นตัวบ่งชี้ ถึง
คุณค่าความสําเร็จของโครงการนั้น ๆ รวมทั้งนําเอาความสําเร็จหรือแนวทางที่ดีไปใช้กับงาน
หรือกิจกรรมอืน่ ๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกนั ในโอกาสต่อ ๆ ไป จึงอาจเรียกการประเมิน
ประเภทนี้ ว่าเป็นการประเมินสรปุ รวม

นอกจากนี้ สคริฟเวนยังได้เสนอสิ่งที่ต้องประเมินออกเปน็ ส่วนสาํ คัญอีก 2 ส่วน คือ
1. การประเมินเกณฑ์ภายใน (Intrinsic Evaluation) เป็นการประเมินในส่วนทีเ่ กี่ยวข้อง
กับคุณภาพของเครื่องมือ ใด ๆ ที่ใช้ในการเก็บข้อมูลรวมท้ังคณุ ภาพของคณุ ลกั ษณะต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องกบั การดาํ เนินโครงการ เชน่ เป้าหมาย โครงสร้าง วิธีการ ตลอดจนทศั นคติ
ของบคุ ลากร ที่รับผิดชอบในการดาํ เนินโครงการ ความเชื่อถือจากสาธารณชน และข้อมลู อืน่ ๆ
ในอดีต ที่เกีย่ วข้องกับโครงการน้ัน ๆ การประเมินในส่วนนี้ถือว่ามีความสาํ คัญมากข้อที่น่า
สังเกตก็คือ การ ประเมินเกณฑ์ภายในจะไม่สนใจถึงผลผลิตหรือผลกระทบทีม่ ีต่อผู้รบั บริการ
ของโครงการ ตัวอย่าง เกณฑ์ภายในของโครงการ เช่น โครงการพฒั นาหลักสูตรทีเ่ กี่ยวข้องกับ
เป้าหมายของหลกั สตู ร ความเหมาะสมกบั เนื้อหา ระบบการจัดการเรียนการสอน วิธีการให้
คะแนน ทัศนคติของผู้บริหาร และครทู ี่มีต่อโครงการ เป็นต้น
2. การประเมินความคุ้มคา่ (Payoff Evaluation) เปน็ การประเมินในส่วนทีไ่ ม่เกีย่ วข้อง
กบั คณุ ภาพของโครงการ ทฤษฎี หรือสิง่ อื่น ๆ ของโครงการ (ดงั ที่กล่าวในข้อ 1) แต่เปน็ การ
ประเมิน ในส่วนซึง่ เปน็ ผลที่มีต่อผู้รบั บริการจากการดาํ เนินโครงการ เชน่ ผลที่ได้จากคะแนน
สอบหรือผลการปฏิบัติงานของผู้รบั บริการจากการดําเนินโครงการ หรือผลกระทบต่อด้าน
สขุ ภาพอนามัยของ ผู้รับบริการ ฯลฯ
3. การประเมินความคุ้มค่า ได้ให้มีความสนใจเกี่ยวกบั ผลของโครงการที่ให้แก่
ผู้รบั บริการ จึงจัดว่าเป็นการตัดสินคุณค่าของโครงการ โดยอิงเกณฑ์ภายนอก (Extrinsic
criteria) สคริฟเวนยังกล่าวถึงการประเมินท้ังสองส่วนข้างต้นว่า ควรให้ความสาํ คัญต่อการ
ประเมิน เกณฑ์ภายใน แต่ขณะเดียวกันนักประเมินก็จะต้องตรวจสอบผลผลิตในเชิงสมั พันธ์
ของตวั แปร ระหว่างกระบวนการกบั ผลผลิตอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นด้วย แนวคิดทางการประเมิน
ของคริฟเวนในระยะ ต่อมา คือ ในช่วงปี ศ.ศ. 1970-1971 ได้พฒั นาไปจากแนวคิดเดิมของการ
ประเมินทีย่ ึดตามวตั ถุประสงค์แต่เพียงอย่างเดียว มาเปน็ การประเมินที่มุ่งเน้นถึงผลผลิตต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้น ท้ังทีเ่ ป็นผล โดยตรงจากโครงการและผลกระทบหรือผลพลอยได้ ทาํ ให้มีการแบ่ง
ประเภทของการประเมินตาม แนวคิดของคริฟเวนออกได้เป็น 2 ลกั ษณะใหญ่ ๆ คือ (1) การ
ประเมินยึดวัตถปุ ระสงค์เปน็ หลัก (Goal-Based Evaluation) ดังน้ันคิดแรก ๆ ของสคริฟเวน
ที่กล่าวมาแล้ว และ (2) การประเมินทีไ่ ด้ ยึดวัตถุประสงคเ์ ปน็ หลกั (Goal-Free Evaluation)
ดงั จะได้กล่าวถึงในตอนต่อไป
แนวคิดการประเมินที่ไม่ยึดวัตถุประสงคเ์ ปน็ หลัก
ในแนวคิดของสคริฟเวนน้ัน การประเมินที่ยึดวัตถปุ ระสงค์เป็นหลัก ไม่ได้หมายความ

58

ว่าจะไม่เป็นผลที่เกิดขึ้นจากวัตถุของโครงการนั้น ๆ แต่มีความหมายว่า ผลที่เกิดขึ้นจากการทํา
โครงการหรือกิจกรรมใด ๆ น้ัน เป็นเพียงส่วนหนึง่ ของผลอืน่ ๆ ทีอ่ าจเกิดขึ้นด้วยแนวคิด
ดงั กล่าวนี้ ได้รับคําวิภาควิจารณ์ท้ังในทางสนบั สนนุ และไม่สนับสนุน ในทางสนับสนนุ มีความ
เหน็ ว่า แนวคิดการประเมินในลักษณะนี้ ทําให้นกั ประเมินมองผลงานในทศั นะที่กว้าง สามารถ
ทราบผลทกุ ๆ ส่วนที่เกิดขึ้นจากการทํากิจกรรมหรือโครงการใด ๆ ซึ่งย่อมจะส่งผลดีใน
การทาํ งานหรือในการวางแผนงานต่างๆ ส่วนในทางทีไ่ ม่สนับสนุนนั้น จะมีจดุ โต้แย้งหนกั ไปใน
ด้านวิธีการ คือ มีความเห็นว่าในทางปฏิบัติคงยากทีจ่ ะติดตามผลการประเมินใด ๆ ทีเ่ กิดขึ้นให้
ครบทั้งหมดได้ นอกจากนั้น มาตรการและเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินให้คลอบคลุมผลทุก ๆ
ด้านทีเ่ กิดขึ้น กย็ ่อม ยากทีจ่ ะกาํ หนดหรือระบแุ นวทางที่ชัดเจนในการประเมินให้บรรลุหลักการ
ดังกล่าวได้ (Scriven in Pophan 1974 ,pp. 34-67)

ในแนวคิดทีส่ นับสนุน ได้มีการนําวิธีการประเมินทีไ่ ม่ยึดวัตถุประสงคเ์ ป็นหลัก
ไปประยุกต์ใช้กบั วิธีวิจยั เชิงคุณภาพ และวิธีการการประเมินโครงการประเภทให้บริการ
สงั คมได้เป็น จํานวนมากซึ่งมักจะเปน็ โครงการที่เกีย่ วข้องกบั ชมุ ชนมีความซับซ้อนใน
การดาํ เนินโครงการมี องค์ประกอบทีม่ ีอิทธิพลต่อโครงการ เชน่ ทางการเมือง สงั คม เศรษฐกิจ
รวมทั้งสภาวะแวดล้อม ยืดหยุ่นได้ เพื่อเป็นการรวบรวมสารสนเทศที่มีคุณค่า
ซึง่ จะช่วยให้การประเมินโครงการมี ประสิทธิภาพในทางปฏิบัติและสามารถให้ข้อมูลขา่ วสาร
ทีใ่ กล้เคียงกบั ความเป็นจริงได้ดีกว่าการประเมินทีย่ ึดวตั ถุประสงค์เป็นหลกั

สรปุ ได้ว่ารปู แบบการประเมินผลของสคริฟเวนเป็นการประเมินที่ยึดวตั ถปุ ระสงค์เป็น
หลัก โดยมีการคัดเลือกข้อมูลขา่ วสารที่จําเป็นอืน่ ๆ ซึง่ เกี่ยวข้องกบั โครงการโดยอาศัยพื้นฐาน
ของการตัดสินคุณคา่ อย่างมีคณุ ธรรม รวมทั้งมีการเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่กาํ หนด
ไว้ด้วย โดยนกั ประเมินต้องมีอิสระในการเลือกเกณฑ์มาตรฐานเอง

4. รูปแบบการประเมินผลของสเตก (Stake's Concepts and Model of Evaluation)
การประเมินในทศั นะของสเตก เป็นการเกบ็ รวบรวมข้อมลู จากหลาย ๆ แหล่ง เพือ่ นํามา
จัดให้เป็นระบบระเบียบและมีความหมายในการประเมิน โดยสเตกได้สร้างแบบจําลอง
ทางความคิด เกีย่ วกบั การประเมินขึ้น เรียกว่า โมเดลเคาน์ที่แนนซ์ (Stake's Countenance
Model) ดังมีโครงสร้าง ต่อไปนี้ (Worthen & Sanders, 1973 ,p.113)

59

ภาพที่ 7 รปู แบบการประเมินผลของสเตก

รปู แบบการประเมินผลตามความคิดของสเตกน้ันมีมิติทางการประเมินอยู่ 2 มิติ คือ
1. มิติในแนวต้ัง (Antecedents)

1.1 สิง่ นาํ (Antecedents)
“สิง่ นั้น” หมายถึง ภาวะของสิ่งต่าง ๆ ทีเ่ ปน็ อยู่ก่อน กอ่ นทีจ่ ะมีกิจกรรมหรือ
การกระทาํ อย่างใดอย่างหนึง่ ตามมา เช่น ในเรื่องของการเรียนการสอน ก็จะหมายถึง ภูมิหลัง
ความสามารถ ความถนัด ความสนใจ และผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนเดิมของนกั เรียน เป็นต้น
1.2 การปฏิบตั ิ (Transaction)
“การปฏิบตั ิ” หมายถึง ภาวะของการกระทาํ การเคลื่อนไหว หรือการจดั
กิจกรรม ใด ๆ ตามวัตถุประสงค์ หรือเป้าหมายของงานในโครงการน้ัน ๆ เชน่ การจัดกิจกรรม
การเรียนการ สอนสาํ หรบั ครแู ละนกั เรียน
1.3 ผลผลิต (Outcomes)
“ผลผลิต” หมายถึง ผลที่เกิดขึ้นจากการที่มีภาวะของการกระทําในโครงการ
เชน่ ในเรื่องของการจัดการเรียนการสอน ผลผลิตที่คาดหวัง หมายถึง การทีน่ กั เรียนเกิดการ
เรียนรู้ มีทัศนคติทีด่ ี มีความสามารถ มีทกั ษะหลังจากทีค่ รูได้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนไป
แล้ว
2. มิติในแนวนอน
2.1 ส่วนของการบรรยาย หมายถึง ภาวะทีเ่ กิดขึ้นจริงหรือต้องการจะให้เกิดขึ้น
โดยสามารถสงั เกตได้ ภาวะในส่วนของการบรรยายนี้แบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนย่อย คือ

2.1.1 ความมุ่งหมายหรือความประสงคท์ ี่คาดหวัง หรือที่วางแผนไว้
เพือ่ ต้องการ ให้เกิดขึ้น

2.1.2 ผลหรือสิง่ ทีส่ งั เกตได้จริง
2.2 ส่วนของการตัดสิน หมายถึง ภาวะของการตดั สินใจเชิงประเมิน ซึ่งแบ่ง

60

ออกได้ เป็น 2 ส่วนย่อย คือ
2.2.1 เกณฑ์ ได้แก่ ภาวะที่กาํ หนดขึ้นเพือ่ ให้เทียบกบั ปรากฏการณ์

ใด ๆ ที่สงั เกต ได้และเพื่อระบุว่าสิง่ ที่เกิดขึ้นนั้นมีคณุ ภาพระดับใด
2.2.2 การเลือกตดั สินใจ ได้แก่ ผลที่เกิดจากการนาํ เอาเหตุการณ์หรือ

ปรากฏการณ์ใด ๆ ทีเ่ กิดขึ้นมาเทียบกบั เกณฑ์ที่กาํ หนด
สเตกใช้คําว่า “Contingency” ในความหมายที่เป็นความต่อเนื่องเชิงสัมพันธ์ในแนวตั้ง

ซึง่ หมายถึง “ความสมั พันธ์เชิงเหตผุ ล” (Logical Contingency) และ “ความสมั พนั ธ์เชิง
ประจกั ษ์” (Empirical Contingency) จากภาวะของปัจจยั เบื้องต้นกับภาวะปฏิบตั ิการ และ
ผลผลิตทีค่ าดหวัง ตามลําดบั ส่วนสาํ คัญ “Contingency” ใช้ในความหมายที่เปน็ ความ
สอดคล้องระหว่างภาวะของความคาดหวงั กบั ภาวะทีเ่ กิดขึ้นจริง ซึ่งเป็นความสอดคล้องใน
แนวนอนและเป็นความสมั พนั ธ์เชิงประจกั ษ์ และสเตกได้เขียนโมเดลที่แสดงความหมายของคํา
ว่า “Contingency” และ “Congruency” ในเมตริกการบรรยาย ดังนี้ (Worthen & Sanders 1973
,p.118)

ภาพที่ 8 แบบจําลองแสดงการประเมินความต่อเนือ่ งเชิงสมั พันธ์และความสอดคล้อง
1) ปัจจัยเบื้องต้น
2) การปฏิบัติ
3) ผลผลิต
นักประเมินต้องหามาตรฐานในแต่ละส่วนแล้วตดั สินคณุ คา่ โดยการเปรียบเทียบกับสิง่ ที่

เกิดขึ้นจริง

61

ภาพที่ 9 แสดงตัวอย่างการประเมินการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนตามโมเดลของสเตก
นอกจากแนวความคิดตามรปู แบบการประเมินดงั กล่าวข้างต้นแล้ว สเตก (Stake,

1974) ยงั ได้เสนอแนวคิดการประเมินทีส่ นับสนุนมโนทศั น์ของการประเมินในรูปแบบทีไ่ ม่ยึด
วตั ถปุ ระสงคเ์ ปน็ หลักของคริฟเวน (Scriven, 1973) ด้วย โดยเรียกว่า การประเมินตอบสนอง
(Responsive evaluation) ซึ่งเปน็ การประเมินทีต่ ้องอาศัยการบรรยายและตีความข้อมลู ขา่ วสาร
อย่างเป็นระบบจากการสังเกตกลุ่มบคุ คลที่เกี่ยวข้องและค้นหาคุณค่าจากความเห็นที่แตกต่าง
กันของบคุ คลต่าง ๆ เน้นกระบวนการประเมินเพื่อให้ได้มาซึง่ สารสนเทศทีเ่ กีย่ วกบั โครงการ
ด้วยการ กําหนดประเดน็ องค์ประกอบที่สาํ คัญและอธิบายจดุ เด่นจุดด้อย หรือจดุ บกพร่องที่
สาํ คญั กบั ประเด็นเหล่าน้ันและทุกลกั ษณะของสิ่งทีถ่ กู ประเมินควรได้รับการพิจารณาด้วยกนั
ต้ังแต่เริม่ ต้น โดยไม่มีองคป์ ระกอบใดที่คิดว่าสาํ คัญกว่าองคป์ ระกอบอืน่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น
เป้าหมาย แหล่ง ทรพั ยากร กระบวนการ หรือผู้ร่วมโครงการ ฯลฯ นั้นคือการประเมินจะต้องดู
ผลผลิตทีม่ ีคณุ คา่ ทั้งหมดควบคกู่ นั ไป

สเตกยังได้เสนอแนะแนวทางการประเมินทีไ่ ม่ยึดวัตถปุ ระสงค์เปน็ หลักว่า ประกอบด้วย
กระบวนการประเมินอย่างมีระบบ ดงั นี้

62

1. พูดคุยกบั บุคลากรและผู้รบั บริการที่เกี่ยวข้องกบั โครงการ
2. กําหนดขอบเขตของโครงการ
3. ศึกษาทบทวนกิจกรรมทั้งหมดของโครงการ
4. ค้นหาจดุ มุ่งหมายและสิ่งที่เกี่ยวข้องกบั โครงการ
5. รวบรวมประเด็นและปญั หาต่าง ๆ ที่น่าจะประเมิน
6. กาํ หนดข้อมูลทีจ่ ําเปน็ ตามประเดน็ ปญั หาทีก่ าํ หนด
7. คดั เลือกผู้สงั เกต ผู้ตัดสิน และเครื่องมืออย่างเป็นระบบ
8. สงั เกตข้อมูลเกีย่ วกบั สิง่ นาํ เข้าหรือปจั จยั เบื้องต้น กระบวนการปฏิบตั ิ
รวมท้ังผลผลิต ของโครงการ
9. เตรียมการพรรณนาและกรณีศึกษา
10. ชี้ประเดน็ ปัญหาของผู้เกีย่ วข้อง
11. เตรียมและนาํ เสนอรายงานการประเมินฉบบั สมบรู ณ์อย่างเปน็ ทางการ
สรปุ ได้ว่า รปู แบบการประเมินผลตามแนวคิดสเตก เป็นเหตกุ ารณ์ต่าง ๆ ตาม
กระบวนการที่ประเมินผลไม่จําเปน็ จะต้องดําเนินการตามลําดับเสมอไป ขึ้นอยู่กับสภาพการณ์
ที่เอื้ออํานวยได้มาก หรือน้อยตามควรแก่กรณี
5. รูปแบบการประเมินผลของอลั คิน (Alkin’s Concept of Evaluation)
อัลคิน (Alkin, 1969) ได้ให้นิยาม “การประเมิน” ไว้ว่าคือกระบวนการของการคัดเลือก
ประมวลข้อมลู และการจัดระบบสารสนเทศทีม่ ีประโยชน์เพื่อนําเสนอต่อผู้ทีม่ ีอํานาจในการ
ตัดสินใจ หรือเพื่อกาํ หนดทางเลือกในการทํากิจกรรมหรือโครงการใด ๆ
อลั คินได้แบ่งการประเมินออกเป็น 4 ส่วนคือ
1. การประเมินเพือ่ การกาํ หนดวตั ถปุ ระสงค์ของโครงการ
การประเมินส่วนนี้ เป็นการประเมินทีเ่ กิดขึ้นกอ่ นทีจ่ ะทาํ กิจกรรมหรือโครงการใด ๆ
เปน็ การประเมินเพือ่ กาํ หนดวัตถุประสงค์ของโครงการ หรือเพื่อกําหนดเป้าหมายของโครงการ
ให้สอดคล้องกบั ภาวะความต้องการทีเ่ ป็นอยู่
2. การประเมินเพือ่ การวางแผน โครงการ การประเมินส่วนนี้ เปน็ การประเมินเพื่อหา
วิธีการทีเ่ หมาะสมในการทีจ่ ะวางแผนให้การดําเนินงานในโครงการน้ัน ๆ ได้บรรลุวัตถุประสงค์
ทีก่ าํ หนดไว้
3. การประเมินขณะกําลังดําเนินโครงการ การประเมินส่วนนี้จะเน้นถึงการพิจารณา
ขั้นตอนการทํางานว่าเปน็ ไปตามแผนทีว่ างไว้ หรือไม่ หรือได้ดําเนินการไปตามขั้นตอนทีค่ วรจะ
เป็นเพียงใด
4. การประเมินเพื่อการพฒั นางาน การประเมินส่วนนี้เป็นการประเมินเพือ่ ค้นหา
รปู แบบแนวทางหรือข้อเสนอแนะใด ๆ ในการทีจ่ ะทําให้งานทีก่ ําลังดาํ เนินการอยู่นั้นมีประโยชน์
ประสิทธิภาพมากที่สดุ
5. การประเมินเพื่อรบั รองผลงานและเพือ่ การยบุ ขยาย หรือปรับเปลี่ยนโครงการ การ
ประเมินส่วนนี้เป็นการประเมินภายหลังการดาํ เนินงานตามโครงการ มีจดุ มุ่งหมาย เพือ่ ตรวจ
สอบผลที่ได้กบั วัตถปุ ระสงคท์ ี่กาํ หนดไว้ รวมทั้งการประมวลผล ข้อเสนอแนะ เพื่อนําไปใช้
กบั โครงการต่อไปและเพื่อให้ข้อเสนอแนะในการทีจ่ ะยบุ เลิก ขยาย หรือปรับเปลีย่ น โครงการ
ในชว่ งระยะเวลาต่อไปด้วย
จากแนวคิดหลักตามรปู แบบการประเมินของอัลคินน้ัน จะเหน็ ว่าเป็นการประเมินเพื่อ
นาํ ไปใช้ในการตัดสินใจโดยมีนักประเมินทําหน้าทีเ่ ปน็ ผู้เชี่ยวชาญในการหาและเตรียมข้อมูล

63

รวมทั้งสรุปและรายงานให้ผู้มีอาํ นาจในการตัดสินใจได้ทราบเพื่อหาทางเลือกทีเ่ หมาะสม นับว่า
เป็นการประเมินที่มีระบบ คือมีการประเมินการวางแผน โครงการเพื่อชว่ ยให้ได้วิธีการที่บรรลุ
วัตถปุ ระสงค์ของโครงการ มีการประเมินการดําเนินโครงการเพือ่ หาทางปรบั ปรงุ จากการ
ตรวจสอบ และสดุ ท้ายคือการประเมินเพือ่ รบั รองโครงการ

สรุปได้ว่า รูปแบบการประเมินผลของอัลคิน ยังขาดแนวปฏิบัติที่ชดั เจนจึงยังไม่แพร่
หลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งการนําไปใช้ยงั ไม่กว้างขวางเท่าที่ควร แต่กไ็ ด้ให้แนวคิดพื้นฐานของ
การประเมิน โครงการ ซึ่งเป็นทีย่ อมรบั กันว่าควรจะมีการประเมินทีเ่ ปน็ ระบบเพื่อให้การดาํ เนิน
โครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

6. รปู แบบการประเมินผลของโปรวสั (Provus’s Discrepancy Evaluation)
โปรวัสได้ให้นิยามว่า “การประเมิน” คือการกาํ หนดเกณฑ์มาตรฐานและการค้นหา
ช่องว่างระหว่างภาวะทีเ่ ปน็ จริงกับเกณฑ์มาตรฐานและการค้นหาช่องว่างระหว่างภาวะทีเ่ ปน็
จริงกับเกณฑ์มาตรฐานทีก่ าํ หนด เพือ่ ใช้ภาวะดงั กล่าวนี้เป็นตัวชี้หรือระบขุ ้อบกพร่อง
ของกิจกรรมหรือ โครงการใด ๆ

แนวคิดการประเมินของโปรวสั สามารถนาํ เสนอเป็นโมเดลการประเมินที่เรียกว่า “การ
ประเมินความไม่สอดคล้อง” (The Discrepancy Evaluation Model) ซึ่งมีรปู แบบทีเ่ ข้าใจได้ง่าย
ดงั นี้

ภาพที่ 10 แสดงการเปรียบเทียบผลการปฏิบตั ิกบั มาตรฐานตามรปู แบบของโปรวสั

จากภาพดังกล่าว สัญลักษณ์ทีใ่ ช้มีความหมายดงั นี้
S คือ Standard หมายถึง เกณฑ์มาตรฐาน
P คือ Program Performance หมายถึง การปฏิบตั ิงานของโครงการ
C คือ Comparison หมายถึง การเปรียบเทียบ
D คือ Discrepancy Information หมายถึง สารสนเทศทีแ่ สดงความแตกต่าง
A คือ Alternative หมายถึง ทางเลือกเพือ่ การเปลีย่ นแปลงใด ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นใน
ลักษณะของการพฒั นาการทํางานของโครงการให้มีผลดียิง่ ขึ้น
ผลของภาวะความแตกต่างระหว่าง S กบั P ซึ่งส่งผลทําให้เกิด D นั้น สามารถนาํ ไปสู่
การตดั สินใจเพือ่ ดําเนินการในลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ต่อไปนี้
1. ดาํ เนินการขั้นต่อไป
2. กลบั ไปพัฒนางานเฉพาะในส่วนของข้ันตอนทีไ่ ด้ดาํ เนินการมาแล้ว

64

3. กลบั ไปเริ่มต้นงานหรือกิจกรรมน้ัน ๆ ใหม่ทั้งหมด
4. ยตุ ิกิจกรรมหรือโครงการน้ัน ๆ
ข้ันตอนการประเมินงานหรือกิจกรรมใดๆ น้ัน โปรวัสถือว่าการประเมินเป็นสิ่งที่ต้อง
ดาํ เนินการควบคกู่ นั ไปกบั โครงการ โดยการประเมินดังกล่าวสามารถแบ่งออกได้เป็น 5
ข้ันตอน คือ
1. ข้ันตอนการประเมินรายละเอียดของการออกแบบโครงการ ซึง่ ได้แก่
การพิจารณาถึง จุดประสงค์ของโครงการ ทีมงานทีเ่ กี่ยวข้อง วัสดุ สื่ออปุ กรณ์ต่าง ๆ แผนการ
กิจกรรม ตลอดจน การกาํ หนดผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการ
2. ขั้นตอนการปฏิบตั ิและการกาํ หนดแผนในการดาํ เนินงานตามโครงการ
3. ข้ันตอนการดําเนินงานตามแผนการที่กาํ หนด
4. ขั้นตอนการติดตามผลที่เกิดขึ้นจริงจากโครงการหรือกิจกรรมที่กําหนด
5. ขั้นตอนการพิจารณาถึงคา่ ใช้จา่ ยของโครงการหรือกิจกรรมที่กระทาํ
การประเมินในขั้นตอนต่าง ๆ ท้ัง 5 ขั้นตอนน้ัน สามารถทีจ่ ะนําแนวคิดตามโมเดลที่
โปรวัสได้พัฒนาขึ้นมาประยกุ ต์ใช้เพื่อพฒั นาโครงการได้ท้ังสิ้นด้วยเหตุนี้โมเดลในข้ันตอน
ดงั กล่าว จึงได้รับการนาเชือ่ มโยงให้ต่อเนื่องเข้าด้วยกันเป็นรปู แบบทีข่ ยายเพิ่มขึ้นได้ดงั นี้
(Worthen and Sanders, 1973 ,p. 174)

ภาพที่ 11 แสดงแบบจาํ ลองแนวคิดการประเมินผลของโปรวสั ในส่วนของการขยายความ

ต่อเนื่อง

จากภาพสญั ลักษณ์ต่าง ๆ มีความหมายเหมือนเดิม ดงั นี้

S = Standard D = Discrepancy information

P = Program performance A = Alternative

C = Comparison

แนวคิดและโมเดลการประเมินที่นาํ เสนอโดยโปรวัสนั้นจะเหน็ ว่ามีความพยายามในการ

ประยุกต์ใช้ทฤษฎีการประเมินร่วมกนั กบั ทฤษฎีการจดั กการในการประเมินโครงการ โดยให้

การประเมินดาํ เนินไปในลักษณะที่เปน็ พลวตั (Dynamics) ควบคู่กนั ไปกับการดําเนินโครงการ

นับว่าเปน็ การประเมินเพื่อพัฒนาโครงการ และชว่ ยให้โครงการดาํ เนินไปอย่างมีเสถียรภาพ

มากกว่า จะต้องประสบความล้มเหลวอย่างน่าเสียดายเมือ่ โครงการดําเนินไปแล้วนอกจากน้ัน

แนวคิดของ โปรวสั มีจุดเน้นที่สาํ คัญของการประเมิน ก็คือ การหาความแตกต่างหรือความไม่

สอดคล้องกนั ระหว่างมาตรฐานกับการปฏิบัติโดยใช้การทาํ งานเปน็ ทีม และโดยให้บทบาทของ

นกั ประเมินเป็น อิสระจากคณะผู้ดาํ เนินโครงการ ในขณะเดียวกันผู้ดําเนินโครงการจะต้องมี

ส่วนร่วมในทุกข้ันตอน

65

การประเมิน ดังนั้นความเหน็ เกี่ยวกับความสอดคล้องระหว่างคณะผู้ประเมินกบั คณะ
ผู้ปฏิบตั ิงาน โครงการจึงต้องมีความสมั พันธ์กนั ซึ่งนับว่าเปน็ เรื่องทีย่ ากแต่ก็มีคุณค่ามาก
ต่อการประเมินถ้าหาก ว่าสามารถดําเนินการไปตามกฎเกณฑ์หรือตามหลักฐานต่าง ๆ ได้ โดย
ปราศจากความลาํ เอียงส่วน บุคคล และโดยใช้นกั ประเมินทําหน้าที่แต่เพียงการให้ข้อเสนอแนะ
ที่สาํ คัญคือช่วยกระตุ้นให้ ผู้ดาํ เนินการได้ตดั สินใจดาํ เนินโครงการอย่างอิสระเท่านั้นการ
ประเมินตามแนวคิดนี้จะต้องอาศยั หลกั การทีส่ นบั สนนุ ส่งเสริมซึง่ กนั และกนั และให้ความ
สาํ คญั ต่อการพฒั นาโดยมีเกณฑ์มาตรฐาน ทีเ่ ป็นปรนัยและมีความเปน็ ไปได้ควบคกู่ นั

7. รปู แบการประเมินผลซิปโมเดลในการประเมินผลของสตัฟเฟิลบีม
(Stufflebeam's CIPP Model)

ในปี ค.ศ. 1971 สตัฟเฟิลบีมและคณะได้เขียนหนังสือทางการประเมินออกมาหนึ่งเล่ม
ชื่อ “Educational Evaluation and Decision Marking” หนังสือเล่มนี้ได้เปน็ ที่ยอมรับกันอย่าง
กว้างขวาง ในวงการศึกษาของไทยเพราะได้ให้แนวคิดและวิธีการทางการวัดและประเมินผล
การศึกษาไว้อย่าง น่าสนใจและทนั สมัยด้วย นอกจากน้ัน สตัฟเฟิลบีมก็ได้เขียนหนงั สือเกี่ยวกับ
การประเมินและ รูปแบบของการประเมินอีกหลายเล่มอย่างต่อเนือ่ ง จึงกล่าวได้ว่าท่านผู้นี้เปน็
ผู้มีบทบาทสําคญั ใน การพัฒนาทฤษฎีการประเมินจนเปน็ ทีย่ อมรบั กนั ทวั่ ไปในปัจจบุ นั

สตัฟเฟิลบีมได้ให้นิยามคําว่า “การประเมิน” ไว้ดงั นี้
การประเมินคือ กระบวนการของการระบุหรือกําหนดข้อมลู ทีต่ ้องการ รวมถึงการ
ดําเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล และนาํ ข้อมลู ทีจ่ ดั เกบ็ มาแล้วนั้นมาจดั ทาํ ให้เกิดเปน็ สารสนเทศที่
มีประโยชน์เพื่อนําเสนอสําหรับใช้เป็นทางเลือกในการประกอบการตดั สินใจต่อไป
จากนิยามดังกล่าว มีสาระสาํ คญั สําหรับขยายความเปน็ ข้อ ๆ ได้ดงั นี้
1. การประเมิน เปน็ กิจกรรมทีม่ ีลกั ษณะเปน็ กระบวนการ คือมีความต่อเนื่องกันในการ
ดาํ เนินงานอย่างครบวงจรและย้อนกลับมาสู่รอบใหม่ของวงจรด้วย
2. กระบวรการประเมิน จะต้องมีการระบุหรือบ่งชี้ข้อมลู ทีต่ ้องการ
3. กระบวนการประเมิน จะต้องมีการเก็บรวบรวมข้อมลู ตามทีไ่ ด้ระบุหรือบ่งชี้ไว้
4. กระบวนการประเมิน
จะต้องมีการนําเอาข้อมลู ที่เกบ็ รวบรวมมาแล้วนั้นมาจดั ทําให้เป็นสารสนเทศ
5. สารสนเทศที่ได้มาน้ัน จะต้องมีความหมายและมีประโยชน์
6. สารสนเทศดงั กล่าวจะต้องได้รบั การนาํ ไปเสนอเพื่อประกอบการตดั สินใจในการ
กาํ หนดทางเลือกใหม่หรือแนวทางดําเนินการใด ๆ ต่อไป
แนวคิดของสตัฟเฟิลบีมมีลกั ษณะทีจ่ ะแบ่งแยกบทบาทของการทํางานระหว่างฝ่าย
ประเมินกับฝ่ายบริหารออกจากกันอย่างเด่นชดั กล่าวคือฝ่ายประเมินมีหน้าที่ระบุ จัดหา และ
นําเสนอ สารสนเทศให้กับฝ่ายบริหาร ส่วนฝ่ายบริหารมีหน้าทีเ่ รียกหาและนําผลการประเมิน
ที่ได้นั้นไปใช้ ประโยชน์ประกอบการตดั สินใจเพือ่ ดําเนินกิจกรรมใด ๆ ที่เกี่ยวข้องตามควรแก่
กรณีท้ังนี้ในส่วนทีเ่ ปน็ รายละเอียดของการประเมินตามนิยามของสตฟั เฟิลบีมนั้นสามารถ
ถ่ายทอดออกเป็นโมเดลพื้นฐานได้ดงั นี้ (Worthen & Sanders, 1973, p.134)

66

ภาพที่ 12 รูปแบบการประเมินผลพื้นฐานของสตฟั เฟิลบีม

การประเมินตามโมเดลของสตัฟเฟิลบีมนั้นสามารถสรปุ การประเมินเป็น 3 ขั้นตอน คือ
1. กาํ หนด หรือระบุบ่งชี้ข้อมลู ที่ต้องการ
2. จัดเก็บรวบรวมข้อมูล
3. วิเคราะห์และจดั สารสนเทศ เพือ่ นาํ เสนอฝ่ายบริหาร
ประเภทของการประเมินผล
สตัฟเฟิลบีมและคณะ ได้แบ่งการประเมินออกเป็น 4 ประเภท คือ
1. การประเมินบริบทหรือสภาวะแวดล้อม (Context Evaluation : C)
เปน็ การประเมินกอ่ นที่จะลงมือดําเนินโครงการใด ๆ มีจดุ หมายเพื่อกําหนดหลักการ
และเหตุผล รวมท้ังเพือ่ พิจารณาความจําเปน็ ที่จะต้องจดั ทาํ ดงั กล่าว การชี้ประเด็นปญั หา
ตลอดจน การพิจารณาความเหมาะสมของเป้าหมายของโครงการ
2. การประเมินตวั ป้อนเข้า (Input Evaluation : I)
เป็นการประเมินเพือ่ พิจารณาถึงความเหมาะสม ความเพียงพอของทรัพยากรทีจ่ ะใช้ใน
การดําเนินโครงการตลอดจนเทคโนโลยีและแผนของการดาํ เนินงาน
3. การประเมินกระบวนการ (Process Evaluation : P)
ส่วนนี้เปน็ การประเมินเพือ่

3.1 หาข้อบกพร่องของการดาํ เนินโครงการ เพือ่ ทําการแก้ไขให้สอดคล้องกับ
ข้อบกพร่องนั้น ๆ

3.2 หาข้อมลู ประกอบการตดั สินใจที่จะส่งั การเพือ่ การพัฒนางานต่าง ๆ
3.3 บันทึกภาวะของเหตุการณ์ต่าง ๆ ทีเ่ กิดขึ้นไว้เป็นหลักฐาน
4. การประเมินผลผลิตที่เกิดขึ้น (Product Evaluation : P)
เปน็ การประเมินเพื่อเปรียบเทียบผลที่เกิดขึ้นจากการทําโครงการกบั เป้าหมายหรือ
วตั ถปุ ระสงคข์ องโครงการทีก่ าํ หนดไว้ต้ังแต่ต้น รวมท้ังการพิจารณาในประเดน็ ของการยุบ เลิก
ขยาย หรือปรับเปลีย่ นโครงการ
การจัดประเภทของการประเมินกล่าวว่า แสดงถึงการประเมินที่พยายามให้ครอบคลุม
กระบวนการทาํ งานในทกุ ๆ ขั้นตอน ตามแนวคิดทีร่ ู้จักกันดีในนามว่า “CIPP”
สิง่ ที่ควบคู่กบั การประเมินท้ัง 4 ประเภทข้างต้นนี้ ได้แก่ การตดั สินใจเพื่อดาํ เนินการ
ใด ๆ ซึง่ สามารถแบ่งออกได้อีก 4 ประเภทเชน่ กัน คือ
1. การตดั สินใจเพื่อการวางแผน
เปน็ การตัดสินใจทีอ่ าศยั การประเมินสภาวะแวดล้อมมีบทบาทสําคัญ คือ การกาํ หนด
วัตถุประสงคข์ องโครงการให้สอดคล้องกบั แผนในการดําเนินงาน

67

2. การตัดสินใจเพือ่ กําหนดโครงสร้างของโครงการ
เปน็ การตัดสินใจทีอ่ าศยั การประเมินตัวป้อน มีบทบาทสําคญั คือการกาํ หนดโครงสร้าง
ของแผนงานและข้ันตอนการทาํ งานต่าง ๆ ของโครงการ
3. การตัดสินใจเพือ่ นําโครงการไปปฏิบัติ
เป็นการตัดสินใจทีอ่ าศัยการประเมินกระบวนการ มีบทบาทสําคัญคือ ควบคมุ การ
ทาํ งานให้เปน็ ไปตามแผนทีก่ ําหนดและเพือ่ ปรับปรงุ แก้ไขแนวทางการทํางานให้ได้ผลดีทีส่ ุด
4. การตดั สินใจเพื่อการทบทวนโครงการ
เปน็ การตัดสินใจที่อาศัยผลจากการประเมินทีเ่ กิดขึ้นมีบทบาทหลักคือ การตดั สินใจ
เกีย่ วกับการยตุ ิ ล้มเลิกหรือขยายโครงการในช่วงเวลาต่อไป
แนวคิดและเป้าหมายของการประเมินตามที่สตฟั เฟิลบีมได้เสนอมาแล้วน้ัน ก็เพื่อ
ประโยชน์ต่อการตัดสินใจในการดําเนินโครงการแต่ละประเภทจะเห็นชดั ได้ว่า การปะเมินแต่ละ
ประเภทดงั กล่าวจะต้องเอื้ออํานวยต่อการนําไปตดั สินใจ ดังรปู แบบความสมั พนั ธ์ต่อไปนี้

ภาพที่ 13 ความสมั พนั ธ์ของการตัดสินใจและ
ประเภทของการประเมินตามโมเดลของสตฟั เฟิลบีม
แนวคิดและรูปแบบการประเมินของสัฟเฟิลบบีม (Stufflebeam, 1989) นบั ว่าเป็น

68
ต้นแบบของการประเมินอย่างมีระบบ ดังจะพิจารณาได้จากโมเดลการประเมินทีแ่ สดงถึงการ
ดาํ เนินการอย่างต่อเนื่องและมีการตัดสินผลทกุ ข้ันตอน เป็นกระบวนการประเมินทีม่ ี
ประสิทธิภาพ ดังนี้

ภาพที่ 14 กระบวนการประเมินตามโมเดลของสตัฟเฟิลบีม

69

8. รูปแบบการประเมินโครงการของเคิรก์ แพททริก (Kirkpatrick Model)
โดนัลด์ แอล เคิร์กแพททริก (Donald L. Kirkpatrick, 1975)แห่งมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน
สหรัฐอเมริกา อดีตเคยเปน็ ประธาน ASTD (The American Society for Training and
Development) ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการฝึกอบรม และการประเมินผลการฝึกอบรมว่า
การฝึกอบรมนั้นเป็นการช่วยเหลือบุคลากรให้สามารถปฏิบตั ิงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในการฝึกอบรมใดๆ ควรจะจดั ให้มีการประเมินผลการฝึกอบรม ซึ่งถือเป็นสิง่ จำเปน็ ที่จะช่วย
ให้รู้ว่าการจัดโปรแกรมการฝึกอบรมมีประสิทธิผลเพียงใด การฝึกอบรมเปน็ กิจกรรม
ปกติทีเ่ กิดขึ้นในทกุ องคก์ ร เปน็ กิจกรรมทีจ่ ดั ขึ้นมาเพื่อการพัฒนาบุคลากรในหน่วยงาน
โดยมุ่งหวงั ให้ผู้ผ่านการอบรมได้มีการปรับปรงุ เปลี่ยนแปลงแนวทางการทำงานให้มี
ประสิทธิภาพมากขึ้น
เคิร์กแพททริก (Kirkpatrick. 1978,p.166) รูปแบบการประเมินของ เคิร์กแพททริก
(Kirkpatrick) มีรปู แบบลักษณะการประเมินตรงกบั วัตถปุ ระสงค์ของการฝึกอบรมซึ่งพัฒนา
ขึ้นเพือ่ ใช้กับการประเมินผล การฝึกอบรมโดยเฉพาะและมุ่งเน้นการประเมินในทางลึก
มากกว่าทางกว้าง คือมุ่งเน้นไปที่ผลสัมฤทธิ์ของการฝึกอบรมเปน็ หลักไม่ได้มุ่งประเมินผล
เฉพาะความพึงพอใจและความรู้ความเข้าใจระหว่างการฝึกอบรมเท่านั้นแต่จะมีการติดตาม
ประเมินพฤติกรรมทีเ่ ปลี่ยนไป และผลลพั ธ์ที่เกิดขึ้นจริงหลงั การฝึกอบรมเปน็ ระยะๆ
เคิร์กแพททริก เหน็ ว่าการประเมินผลการฝึกอบรมจะทำให้ได้ความรู้อย่างน้อย 3
ประการ คือ
1. การฝึกอบรมน้ันได้ให้อะไร หรือเกิดประโยชน์ต่อหน่วยงานในลกั ษณะใดบ้าง
2. ควรยตุ ิโครงการชัว่ คราวกอ่ น หรือควรดำเนินการต่อไปเรื่อยๆ
3. ควรปรบั ปรุงหรือพฒั นาโปรแกรมฝึกอบรมในส่วนใดบ้างอย่างไร
แนวทางการประเมินเคิร์กแพททริก (อาํ นาจ วดั จินดา, 2542 : 40; อ้างอิงใน
Kirkpatrick. 1978 ,p. 61) กล่าวว่าการประเมินผลประกอบด้วย 4 ด้าน
1. การประเมินปฏิกิริยาตอบสนอง (Reaction Evaluation) เป็นการประเมินเพื่อรับรู้ว่า
ผู้รับการอบรมมีทัศนคติอย่างไรต่อการจดั ฝึกอบรมในหลกั สตู ร หรือพึงพอใจหรือไม่
2. การประเมินการเรียนรู้ (Learning Evaluation) เปน็ การประเมินการเรียนรู้เพือ่ วัดว่า
ผู้รบั การอบรมได้มีการเพิ่มพนู ความรู้ (Knowledge) ทกั ษะ (Skills) และเจตคติ (Attitude)
มากขึ้นหรือไม่
3. ประเมินพฤติกรรมที่เปลีย่ นไปหลังการอบรม (Behavior Evaluation) เป็นการ
ตรวจสอบว่าผู้ผ่านการอบรมได้ปรบั เปลี่ยนพฤติกรรมเปน็ ไปตามความคาดหวังของโครงการห
รือไม่ มีความสามารถในการปฏิบัติงานได้จริงหรือไม่
4. ประเมินผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นต่อหน่วยงาน (Results Evaluation) เพือ่ ให้ทราบว่าการ
อบรมแต่ละคร้ังส่งผลดีหรือผลเสียอย่างไรต่อองค์กรบ้าง หรือมีคณุ ภาพขึ้นหรือไม่
การประเมินผลการฝึกอบรมตามรปู แบบของเคิรก์ แพททริก (Kirkpatrick)
เคิร์กแพททริก (ธเนศ ขาํ เกิด. 2546 ,หน้า 36 ; อ้างอิงใน Kirkpatrick.1978, pp. 6-9)
เสนอรปู แบบการประเมินผลการฝึกอบรม เพื่อให้ทราบถึงประสิทธิผลของโครงการฝึกอบรมว่า
ให้ผลอะไรบ้างกบั ผู้เข้ารับการฝึกอบรม และหน่วยงานของผู้เข้ารับการฝึกอบรม
ควรยตุ ิหรือดำเนินโครงการน้ันต่อไป ซึง่ การประเมินผลของการฝึกอบรมเปน็ 4 ขั้น ดังนี้
1. ข้นั ประเมินปฏิกิริยาตอบสนอง (Reaction Evaluation)
เปน็ วิธีการทีจ่ ะช่วยให้ได้รบั ข้อมูลเกีย่ วกบั ปฏิกิริยาตอบสนองที่มีความหมายและตรง

70

ตามความจริง ซึง่ วตั ถุประสงค์ในข้ันนี้เพือ่ ที่จะให้รู้ว่าผู้ที่เข้ารับการฝึกอบรมน้ันมีความรู้สึก
อย่างไรต่อการฝึกอบรมคือการหาความพึงพอใจของผู้ได้รับการฝึกอบรม เช่น ผู้เข้ารบั การ
อบรมพอใจทีไ่ ด้รบั จากการฝึกอบรมมากน้อยเพียงใด การประเมินปฏิกิริยาตอบสนองนั้น จาก
การประเมินจำเปน็ ต้องกำหนดให้แน่นอนชดั เจนลงไปว่าประเมินปฏิกิริยาตอบสนองด้านใดบ้าง
อาทิ ด้านเนื้อหา หลกั สูตร วิธีการฝึกอบรม วิทยากร สถานทีฝ่ ึกอบรม บรรยากาศฝึกอบรม
ข้อมลู เหล่านี้จะเป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิผลของการฝึกอบรมเบื้องต้น จากผลการประเมินเป็นผล
การตัดสินใจของผู้บริหารว่าจะล้มเลิกโปรแกรมฝึกอบรมหรือดำเนินการฝึกอบรมน้ันต่อไป
ซึ่งการประเมินปฏิกิริยาน้ันเคิร์กแพททริก (อำนาจ วัดจินดา.2540, หน้า 40 : อ้างอิงใน
Kirkpatrick.1978 ,pp. 6 - 9) กล่าวว่าเป็นการประเมินทีง่ า่ ยทีส่ ดุ ในบรรดา 4 ข้ันตอน มักนิยม
ใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครือ่ งมือหลักโดยมักแจกให้ผู้รับการฝึกอบรมประเมินใน
ประเดน็ ต่างๆ การประเมินขั้นนี้ถือเปน็ ธรรมเนียมปฏิบตั ิสำหรับการจดั ฝึกอบรมโดยทว่ั ไป
แต่อย่างไรก็ดีสิง่ ทีน่ กั ฝึกอบรมคงวิธีการทีจ่ ะชว่ ยให้ได้รบั ข้อมูลเกี่ยวกบั ปฏิกิริยาตอบสนองทีม่ ี
ความหมายและตรงตามความจริงจากผู้เข้ารบั การฝึกอบรม ได้แก่

1. กำหนดให้แน่นอนชดั เจนลงไปว่า ต้องการได้รบั ข้อมูลอะไร เช่น ปฏิกิริยาตอบสนอง
ของเนื้อหาหลักสูตรการฝึกอบรม วิทยากร สถานทีก่ ารฝึกอบรม ระยะเวลาที่ใช้ในการ
ฝึกอบรม ฯลฯ

2. วางรปู แบบของเครือ่ งมือ หรือแบบสอบถามที่จะใช้เกบ็ ข้อมลู
3. ข้อคำถามที่ใช้ ควรเปน็ ชนิดที่เมือ่ ได้รับข้อมูล หรือได้คำตอบแล้ว สามารถนำมา
แปลงเป็นตัวเลขแจกแจงความถี่ และวิเคราะห์ในเชิงปริมาณได้ ไม่ควรใช้คำถามประเภท
ปลายเปิด
4. กระตุ้นให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้เขียนแสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะเพิม่ เติมใน
ข้อคำถามต่างๆ
5. เพือ่ ให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมแสดงปฏิกิริยาตอบสนองผ่านแบบสอบถามตามความ
เป็นจริง ไม่ควรให้ผู้เข้ารบั การฝึกอบรมเขียนชือ่ ตนเองลงไปในแบบสอบถาม
หลังจากได้วางแผนการทำแบบประเมินเรียบร้อย ความสำคญั อนั ดบั ต้น ๆ
คือผู้ประเมินต้องแน่ใจว่าได้ให้เวลาผู้เข้ารบั การฝึกอบรมอย่างเพียงพอทีจ่ ะให้คำตอบครบ
ทุกข้อ และควรแจกก่อนผู้เข้ารบั การฝึกอบรมจะออกไปจากห้องฝึกอบรมเมือ่ สิ้นสดุ โปรแกรม
พึงหลีกเลี่ยงการปล่อยให้ผู้เข้ารบั การฝึกอบรมเอาแบบสอบถามติดตวั ออกไป และส่งคืน
กลบั มาในภายหลัง
2. ขนั้ ประเมินการเรียนรู้ (Learning Evaluation)
ข้ันประเมินการเรียนรู้ หมายถึง การเรียนรู้เกี่ยวกับหลกั การ ข้อเทจ็ จริง เทคนิคและ
ทกั ษะ ความรู้ ทศั นคติ ของผู้เข้ารับการฝึกอบรม ท้ังนี้เพราะความรู้ ทกั ษะ และเจตคติ ล้วนแต่
เปน็ องค์ประกอบพื้นฐานสำคญั ทีจ่ ะชว่ ยให้เกิดการเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมการทำงานของผู้
เข้ารบั การฝึกอบรมในโอกาสต่อไป
การประเมินในข้ันประเมินการเรียนรู้มีวัตถุประสงคเ์ พือ่ ให้ทราบว่าผู้เข้ารบั การฝึกอบร
มมีความรู้ ทักษะ และเจตคติ หลังจากการฝึกอบรมอย่างไร
เคิร์กแพททริก ให้ข้อเสนอแนะสำหรับการประเมินในข้ันการเรียนรู้เอาไว้ ดงั นี้
1. ต้องวัดความรู้ ทกั ษะ และเจตคติของผู้เข้ารบั การฝึกอบรมทั้งกอ่ นและหลงั การ
ฝึกอบรม
2. วิเคราะห์ท้ังคะแนนรายข้อ และคะแนนรวมโดยเปรียบเทียบกันระหว่างก่อนและ

71

หลังการฝึกอบรม
3. ถ้าเปน็ ไปได้ควรใช้กลุ่มควบคมุ ซึง่ เปน็ กลุ่มของผู้ที่ไม่ได้รับการฝึกอบรม แล้ว

เปรียบเทียบคะแนนความรู้ ทักษะ และเจตคติของกลุ่มควบคมุ กับกลุ่มทดลอง ซึ่งเป็นกลุ่มของ
ผู้เข้ารบั การฝึกอบรมว่าแตกต่างกนั หรือไม่อย่างไร

และเครื่องมือที่ใช้วัดความรู้ ทกั ษะ และเจตคติ เคิร์กแพททริก กล่าวว่ามีอยู่ 2 วิธี คือ
1. ใช้แบบสอบวดั ความรู้ ทักษะ และเจตคติเป็นแบบสอบวดั มาตรฐาน ผู้ประเมินควร
ส่งั ซื้อ หรือเลือกใช้เฉพาะแบบสอบวดั ความรู้ ทักษะ และเจตคติทีต่ รงกับโปรแกรมการ
ฝึกอบรม
2. สร้างแบบสอบวัดขึ้นเอง แบบสอบวัดความรู้ ทกั ษะ และเจตคติที่จะสร้างขึ้นเองนี้จะ
ให้มีรูปแบบอย่างใดอย่างหนึง่ หรือหลายอย่าง หรือทุกอย่างต่อไปนี้ก็ได้
• แบบ “ถกู ” หรือ “ผิด”
• แบบ “เหน็ ด้วย” หรือ “ไม่เหน็ ด้วย” ซึง่ อาจเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 4 หรือ 5
หรือ 6 สเกลก็ได้
• แบบเลือกคำตอบทีเ่ ห็นว่าถูกต้องที่สุด
• แบบเติมคำ / ข้อความลงในชอ่ งว่าง
3. ขน้ั ประเมินพฤติกรรมทีเ่ ปลีย่ นไปหลังการอบรม (Behavior Evaluation)
การประเมินพฤติกรรม หรือนักวิชาการบางท่านเรียกว่า Job behavior เกีย่ วข้องกบั
การนำความรู้ที่ได้รบั จากการฝึกอบรมไปใช้ในการปฏิบตั ิงานจริง ประเมินพฤติกรรมในการนำ
ความรู้ทีไ่ ด้รบั จากการอบรมไปใช้ในการปฏิบัติงานในหน่วยงานมีผลเปน็ อย่างไร ซึ่งถือว่าเป็น
กระบวนการประเมินที่จะทราบว่าการฝึกอบรมที่จดั ขึ้นสามารถทำให้ทำงานได้ดีขึ้น หรือลด
ความบกพร่องในงานได้หรือไม่ บางคร้ังมักเรียกการประเมินขั้นตอนนี้ว่า การติดตามผลการ
ฝึกอบรม ซึง่ นักฝึกอบรมคงต้องมีการวางแผนไว้ล่วงหน้าเพือ่ ที่ระบุให้ชดั ว่าการฝึกอบรม
หลกั สูตรไหนควรมีการติดตามผล เนือ่ งจากในบางองคก์ รมีการจัดโครงการฝึกอบรมจำนวน
มากในแต่ละปีทำให้การติดตามผลการฝึกอบรมทกุ โครงการเปน็ ไปได้ยาก แต่อย่างไรกด็ ี
การติดตามผลการฝึกอบรมทีม่ ีประสิทธิภาพคงต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานต้นสังกดั
ผู้รับการฝึกอบรมในกาให้ข้อมูลผลการปฏิบตั ิงานในงานที่ใช้ความสามารถอันเนื่องมาจากการ
ฝึกอบรม หรือบางครั้งอาจต้องมีการขอข้อมูลหรือความเห็นจากหน่วยงานหรือบุคคลภายนอก
ที่เกี่ยวข้องกบั งานของผู้เข้าอบรม เช่น ในหลกั สูตรด้านการบริการ อาจมีการสอบถามลกู ค้า
ว่าพฤติกรรมการบริการของพนกั งานเป็นเชน่ ไร เป็นต้น
3.1 วัตถุประสงค์ของข้ันตอนนี้คือ ตรวจสอบว่าผู้ผ่านการอบรมได้ปรับเปลีย่ น
พฤติกรรมเป็นไปตามความคาดหวงั ของโครงการหรือไม่
3.2 เป็นขั้นตอนการประเมินทีย่ าก ใช้เวลามากกว่าการประเมินขั้นอืน่ ๆ และต้องอาศยั
ความเชีย่ วชาญของผู้ประเมินเป็นอย่างมาก เนื่องจากต้องออกไปติดตามการประเมินผล
ในสถานทีท่ ำงานจริงๆ ของผู้เข้ารับการฝึกอบรม
3.3 สิ่งทีผ่ ู้ประเมินต้องทราบเป็นอย่างดีคือ ควรจะออกไปประเมินเมือ่ ไหร่ ( 1 เดือน
หรือ 3 เดือน หรือ ครึง่ ปี หรือ 1 ปี ภายหลงั การฝึกอบรม) จะเกบ็ ข้อมูลจากใครถึงจะน่าเชื่อถือ
ได้มากที่สุด (จากผู้บังคบั บญั ชา จากเพือ่ นร่วมงาน จากผู้ใต้บงั คบั บัญชาหรือจากผู้เข้ารบั
การฝึกอบรมเอง)
ข้อพึงปฏิบัติในขั้นการประเมินพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปหลงั อบรม มีดงั นี้
1. ควรจะวัดพฤติกรรมการทำงานของผู้เข้ารบั การฝึกอบรมท้ังก่อนและ

72

หลงั การฝึกอบรม
2. ระยะเวลาระหว่างการฝึกอบรมกบั การประเมินผลหลังการฝึกอบรมนั้น

ควรจะให้ห่างกนั พอสมควร เพื่อให้แน่ใจว่าการเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมการทำงาน
ได้เกิดขึ้นจริงๆ ทางทีด่ ีควรจะประเมินหลายๆ คร้ัง เปน็ ระยะๆ เชน่ ประเมินทกุ 3 เดือน เป็นต้น

3. ควรจะได้เกบ็ ข้อมลู จากหลายๆ แหล่ง เชน่ จากผู้บงั คับบญั ชา จากเพื่อนร่วมงาน
และจากกลุ่มผู้ผ่านการอบรม

เคิร์กแพททริก ได้เสนอให้ใช้วิธีการง่ายๆ ดังนี้
1. กำหนดว่ามีพฤติกรรมการทำงานอะไรบ้างที่คาดหวงั จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
2. เตรียมคำถามทีจ่ ะใช้สำหรับการสัมภาษณ์
3. ทำการสมั ภาษณ์บุคคลหลายๆ กลุ่ม ภายหลังการฝึกอบรมสกั ระยะหนึง่ เพือ่ ให้รู้ว่า
พฤติกรรมที่คาดหวงั เอาไว้เหล่านั้นเกิดการเปลีย่ นแปลงจริงๆ หรือไม่
4. ข้อมลู ทีไ่ ด้จากการสมั ภาษณ์ ควรจะนำมาแปลงเป็นตัวเลข
ทำการวิเคราะห์ในเชิงปริมาณอนึ่ง ถ้าการสมั ภาษณ์ผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้เข้ารับการฝึกอบรม
ควรจะต้องแน่ใจว่าผู้เข้ารบั การฝึกอบรม จะไม่มีอิทธิพลต่อการตอบ
หรือสัมภาษณ์ของผู้ใต้บังคับบัญชา
Carnevale Gainer & Meltzer (1990, อ้างอิงใน ชชู ยั สมิทธิไกร, 2544, หน้า 216-218)
แนวทางในการประเมินพฤติกรรมมีดงั นี้
1. ประเมินพฤติกรรมอย่างเป็นระบบทั้งกอ่ นและหลังฝึกอบรม
2. ควรเก็บข้อมูลจากกลุ่มต่างๆ ต่อไปนี้อย่างน้อยหนึ่งกลุ่ม ได้แก่ ผู้รบั การอบรม
ผู้บงั คับบญั ชา และเพื่อนร่วมงานของผู้รบั อบรม
3. ควรจะมีการวิเคราะห์ทางสถิติเพื่อเปรียบเทียบการปฏิบัติงานทั้งก่อน
และหลงั การอบรม
4. ควรจะประเมินการฝึกอบรม หลังจากสิ้นสดุ โครงการแล้วอย่างน้อย 3 เดือน
เพื่อให้ผู้รบั การฝึกอบรมได้ทีโอกาสนำความรู้ที่ได้รบั มาประยุกต์ใช้
5. ควรจะมีกลุ่มควบคมุ ซึง่ ประกอบด้วยผู้ทีไ่ ม่ได้ผ่านการฝึกอบรม เพื่อใช้เปน็ กลุ่ม
เปรียบเทียบกบั กลุ่มที่ผ่านการฝึกอบรม
อย่างไรกต็ าม แม้ว่าผลของการประเมินพฤติกรรมการทำงานของผู้เข้ารับการอบรม
ไม่เปน็ ทีน่ ่าพอใจกต็ าม ก็ไม่ได้แสดงว่าโครงการฝึกอบรมน้ันไม่มีประสิทธิผลโดยสิ้นเชิง ท้ังนี้
เพราะอาจมีเหตผุ ลบางอย่างทีท่ ำให้ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมกรทำงาน ดังนี้ Katz
Daniel and Kahn ( 1973, อ้างอิงใน ยงยุทธ เกษสาคร, 2544, หน้า 221)
ได้สรุปไว้ว่าการที่บุคคลจะเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมการทำงานของตนนั้นจะต้องมีเงือ่ นไข 5
ประการ คือ
1. บุคคลนั้นมีความต้องการอย่างจริงใจทีจ่ ะปรบั ปรุงตนเอง
2. บคุ คลเต็มใจทีย่ อมรับข้อบกพร่องของตนเอง โดยไม่มีการให้เหตผุ ลเข้าข้างตนเอง
หรือแก้ตวั
3. บุคคลต้องทำงานอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีส่วนช่วยในการเปลี่ยนแปลง
4. บุคคลน้ันจะต้องมีใครสักคนที่เขาไว้ใจ ซึ่งสนใจทีจ่ ะชว่ ยปรบั ปรงุ การทำงาน
ของเขาและบุคคลนั้นมีความชำนาญงานเพียงพอที่จะให้ความช่วยเหลือได้
5. บุคคลจะต้องมีโอกาสทีจ่ ะทดลองนำความรู้และความชำนาญที่เขาได้รบั
ในห้องฝึกอบรมมาใช้อย่างเป็นรปู ธรรม

73

บคุ คลที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการทำงานของตนได้น้ันจะต้องอาศัยบรรยา
กาศสนบั สนนุ ให้เกิดการเปลีย่ นแปลง
ซึ่งสิ่งนี้เปน็ ปัจจยั ที่สำคญั มากและอยู่เหนือขอบเขตของโครงการฝึกอบรมและการประชุม

4. ขน้ั ประเมินผลที่เกิดขึ้นต่อหนว่ ยงานหรือองค์กร (Results Evaluation)
เคิร์กแพททริก (ธเนศ ขำเกิด. 2546,หน้า 37 ; อ้างอิงใน Kirkpatrick.1978, p. 16)
กล่าวว่าการประเมินผลในข้ันนี้มีวตั ถุประสงค์จะให้รู้ว่า การฝึกอบรมก่อให้เกิดผลดีต่อ
หน่วยงานอย่างไรบ้าง เป็นการประเมินผลที่ต้องซึง่ นับเป็นการประเมินผลที่ยากที่สุด เพราะใน
ความเป็นจริงน้ันมีตัวแปรอื่นๆอีกมากมายนอกเหนือการฝึกอบรมทีม่ ีผลกระทบต่อหน่วยงาน
และตวั แปร “เหล่าน้ัน” บางทีกย็ ากต่อการควบคุม ฉะนั้นอะไรก็ตามที่เกิดแก่หน่วยงาน
ในทางทีด่ ีจึงสรุปได้ยากว่าเปน็ ผลมาจากโปรแกรมการฝึกอบรม
เคิร์กแพททริก ได้ให้ข้อเสนอแนะในการประเมินผลในข้ันนี้ไว้ดงั นี้
1. ควรวดั สภาวการณ์หรือเงือ่ นไขต่างๆ ก่อนการฝึกอบรมเอาไว้แล้วนำไปเปรียบเทียบ
กับสภาวการณ์ภายหลงั การฝึกอบรม โดยใช้ข้อมูลที่สังเกตได้ หรือสอบวัดได้
2. พยายามหาทางควบคุมตวั แปรอื่นๆ ซึง่ คาดว่าน่าจะมีอิทธิพลต่อการเปลีย่ นแปลงใน
ผลที่ต้องการให้เกิดแกห่ น่วยงาน วิธีหนึ่งที่พอจะทาได้คือ การใช้กลุ่มควบคมุ กับกลุ่มตัวอย่าง
จากการศึกษาการประเมินผลลัพธ์ที่เกิดต่อองค์กร จะเห็นได้ว่า การประเมินผลลพั ธ์ที่
เกิดต่อองคก์ ร ผู้ประเมินจะต้องประเมินผลผลิตจากการทานและการดเปลี่ยนแปลงคุณภาพ
ของผู้เข้ารบั การอบรมว่ามีอาชีพและรายได้สูงขึ้น

รูปแบบการประเมินในยุคต่างๆ
นอกจากการจดั รูปแบบกลุ่มการประเมินตามทีก่ ล่าวมาข้างต้นแล้วกูบาและลินคอล์น

(Guba and Lincoln, 1989) ได้แบ่งรูปแบบการประเมินทีไ่ ด้รับการพฒั นามาตามลาํ ดบั ออกเปน็
4 ยุค โดยเรียกยุคปจั จุบันว่า “ยคุ ที่ 4” (Fouth Generation) กอ่ นทีจ่ ะกล่าวถึงการประเมินในยคุ
ปัจจุบนั น้ันกบู าและลินคอล์นได้อธิบายรูปแบบการประเมินที่สําคญั ในอดีตท้ัง 3 ยุคไว้อย่าง
น่าสนใจ ซึง่ สรปุ ได้ดงั ต่อไปนี้

ยคุ ที่ 1 (First Generation : ประมาณ ปี ค.ศ. 1904-1942 รปู แบบการประเมินในยคุ นี้
เป็นไปตามแนวคิดของผู้เชีย่ วชาญการวัดผลตลอดจนผู้สร้างแบบสอบและนักสถิติ บทบาทของ
นักประเมินในยคุ แรกนี้เป็นบทบาทในเชิงเทคนิค คือ ต้องมีความรอบรู้เปน็ อย่างดีในด้านการนาํ
แบบสอบต่าง ๆ มาใช้ให้เหมาะสม ถ้าแบบสอบหรือเครือ่ งมือที่ใช้วดั ซึง่ มีอยู่เดิมไม่เพียงพอ
หรือใช้ ไม่ได้ นกั ประเมินก็จะต้องพฒั นาเครื่องมือขึ้นมาใหม่ จึงกล่าวได้ว่าการประเมินในยุคที่
1 มีลักษณะ เช่นเดียวกับการวดั ผล ผู้เชี่ยวชาญการประเมินในยุคแรกนี้ซึ่งเป็นที่รู้จักกนั อย่าง
แพร่หลาย คือ นักจิตวิทยาทางการวดั ผล ชือ่ Alfred Binet (1912) ด้วยเหตุนี้กูบาและลินคอล์น
จึงเรียกยุคนี้ว่าเปน็ “ยุคของการวดั ผล” (Measurement)

ยุคที่ 2 (Second Generation : ประมาณปี ค.ศ. 1942-1967)รูปแบบการประเมินในยุค
นี้ได้ เน้นวิธีการประเมินโดยคาํ นึงถึงวตั ถุประสงค์ทีก่ าํ หนดไว้เปน็ หลกั บทบาทของผู้ประเมินใน
ยคุ ที่ 2 จึงเปน็ บทบาทในฐานะ “ผู้อธิบาย” หรือ “ผู้พรรณนา” (Describer) ว่าเป็นไปตาม
วัตถุประสงคท์ ีก่ ําหนดไว้หรือไม่และเพราะเหตใุ ดคุณสมบัติของนักประเมินในยุคที่ 2 ต้องมี
ความรอบรู้ในเชิงเทคนิคเป็นอย่างดี (เหมือนยุคที่ 1) และขณะเดียวกันก็ต้องมีความรู้
ความสามารถที่จะอธิบายหรือพรรณนาในเนื้อหาสาระทีจ่ ะประเมินได้เปน็ อย่างดีด้วย โดย
คํานึงถึงวัตถปุ ระสงคท์ ี่ต้ังไว้เป็นปจั จัยสาํ คญั ผู้เชีย่ วชาญการประเมินซึ่งเป็นทีร่ ู้จักกนั อย่าง

74

แพร่หลายในยคุ ที่ 2 คือ Ralph W.Tyler (1942) ซึ่งได้เริม่ พฒั นาแนวคิดและหลักการทางด้าน
การประเมินมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1936 ดังน้ัน กบู าและลินคอล์นจึงเรียกยคุ ที่ 2 ว่าเป็น“ยุคของการ
พรรณนา” (Description)

ยคุ ที่ 3 (Third Generation : ประมาณปี ค.ศ. 1967-1989) รปู แบบการประเมินในยุคที่
3 นี้ ได้เน้นวิธีการประเมินเพื่อการพินิจพิจารณาหรือเพื่อแก้ไขปญั หาต่าง ๆ ทีเ่ กิดขึ้นในสังคม
โดยเฉพาะอย่างยิง่ ปัญหาทีม่ ีผลกระทบต่อประชาชนจํานวนมาก บทบาทของนักประเมินในยุค
ที่ 3 จึงเน้นบทบาทในฐานะ “ผู้พิพากษา” (Judge) คือต้องใช้การพินิจพิจารณาด้วยความสุขุม
รอบคอบ และด้วยความยตุ ิธรรมเปน็ หลัก การประเมินจึงต้องมีขั้นตอนที่เป็นระบบมากขึ้น ใน
ยคุ นี้จึงมีผู้เชีย่ วชาญหลายท่านได้พัฒนาแบบจําลองหรือโมเดลการประเมินขึ้น เพื่อเปน็
แนวทางให้ผู้ประเมิน ได้เลือกนาํ ไปประยกุ ต์ใช้ให้เหมาะสม ในบรรดาแบบจําลองหรือโมเดล
ต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่อย่าง หลากหลายนั้น ปรากฏว่าแบบจําลองหรือโมเดลของ Michael Seriven
(1967) ซึง่ ชือ่ ว่า “Seriven's Evaluation Ideologies and Model) ได้เปน็ ทีร่ ู้จักกนั อย่างแพร่หลาย
และได้มีผู้นาํ ไปประยุกต์ใช้กัน อย่างกว้างขวางในยคุ ที่ 3 (สาระสาํ คัญของแบบจําลองหรือ
โมเดลดงั กล่าว ผู้เขียนได้สรุปไว้แล้วใน หวั ข้อ “แนวคิดและโมเดลการประเมินของสคริฟเวน”
หน้า 35-38) ยคุ ที่ 3 นี้ กบู าและลินคอล์น เรียกว่าเป็น “ยุคของการพินิจพิจารณา”
(Judgement)

สาํ หรบั การประเมินในยคุ ปัจจบุ นั คือประมาณปี ค.ศ. 1989 เปน็ ต้นมานั้น กบู าและ
ลินคอล์นเรียกยคุ นี้ว่า “ยุคที่ 4” (Fouth Generation)

รูปแบบการประเมินทีส่ าํ คัญในยุคปจั จุบนั มีดังนี้
1. เป็นวิธีการประเมินในลักษณะของการเจรจาต่อรอง เพราะการประเมินมีส่วน
เกีย่ วข้องกบั ผลประโยชน์จาํ นวนมหาศาลรูปแบบการประเมินในยุคปัจจบุ นั จึงมีความยืดหยุ่นไม่
ตายตัว เหมือนในอดีตขึ้นอยู่กบั การเจรจาต่อรองภายใต้เงื่อนไขทีก่ ําหนดขึ้นตามความจาํ เปน็
และตามความเหมาะสมแล้วแต่กรณี กูบาและลินคอล์นได้เรียกยคุ ปัจจบุ นั นี้ว่าเป็น
“ยคุ ของการเจรจาต่อรอง” (Negotiation) ตัวอย่างของเงื่อนไขทีส่ าํ คัญบางประการซึง่ มี
ความจาํ เป็นสาํ หรับการประเมินในยคุ ปจั จุบนั มีดงั นี้

1.1 ผลการประเมินจะต้องสมเหตสุ มผล (Make Sense) ตามสภาพของความ
เป็นจริง (Realities) ของแต่ละกรณีที่นํามาประเมิน

1.2 ผลการประเมินจะต้องสอดคล้องกับคุณธรรมและมีความสมั พนั ธ์หรือ
เชื่อมโยงเข้า ด้วยกนั อย่างเหมาะสมกบั บริบทต่าง ๆ ท้ังทางด้านกายภาพ จิตวิทยาสงั คม
และวัฒนธรรม ทีเ่ นื้อหา สาระของโครงการซึง่ จะต้องนาํ มาประเมินน้ัน ๆ เข้าไปเกีย่ วข้อง
บริบท ต่าง ๆ ดงั กล่าวเปน็ ประดุจ “สิ่งแวดล้อม” ทีผ่ ู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจะต้องปรับตนเอง
ให้เข้ากบั สิ่งแวดล้อมเหล่าน้ันได้ย่างราบรื่น ด้วย

1.3 ผลการประเมินจะสามารถกาํ หนดทิศทางให้ผู้เกีย่ วข้องได้นําไปปฏิบัติ
รวมท้ังเปิดโอกาสให้มี “การเจรจาต่อรอง” ระหว่างผู้ทีเ่ กีย่ วข้องได้โดยอาศัยเหตุผล
ที่น่าเชื่อถือและคาํ นึงถึง ผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก

1.4 การประเมินจะต้องคาํ นึงถึงเกียรติภมู ิและศักดิ์ศรีของบคุ คลทีเ่ กี่ยวข้องใน
ฐานะที่เป็น “เพือ่ มนษุ ย์” ด้วยกนั มิใช่ปฏิบัติต่อเขาเหล่าน้ันในฐานะทีเ่ ปน็ “ผู้ถกู ทดลอง”
(Subject) ตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เท่าน้ัน

75

2. องคป์ ระกอบสาํ คญั ของการประเมินในยคุ ปจั จุบัน มี 2 ส่วน คือ
2.1 การเน้นในเชิงตอบสนองของผู้มีส่วนเกีย่ วข้อง (Responsive Focusing)

หมายถึง การให้ความสําคญั เปน็ พิเศษต่อการตอบสนองของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง กล่าวออกเป็น 3
กลุ่ม ได้แก่ (1) กลุ่มผู้สนับสนุนและผู้ดําเนินโครงการ (2) กลุ่มผู้ได้รบั ประโยชน์ จากโครงการ
และ (3) กลุ่มผู้ได้รบั ผลทางลบจากโครงการ กลุ่มผู้ตอบสนองเหล่านี้จะเปน็ บคุ คลหรือกลุ่ม
บุคคลก็ได้แต่จะต้องมีความแตกต่างกนั ทางด้านสถานภาพ เพศ ตําแหน่ง หรืออาํ นาจ หน้าที่
ฯลฯ ทั้งนี้เพื่อให้ได้ข้อมลู ทีค่ รบถ้วนและครอบคลมุ สาระสาํ คญั ให้มากทีส่ ดุ สาระสาํ คญั ทีผ่ ู้
เสาะหาข้อมูลจะต้องรวบรวม ได้แก่ ส่วนของโครงการที่ผู้ตอบสนองมีความพึงพอใจหรือไม่พึง
พอใจ รวมทั้งประเดน็ ต่าง ๆ ทีผ่ ู้ตอบสนองเห็นว่าเปน็ ข้อขัดแย้งที่ยงั ไม่สามารถหาข้อตกลง
ร่วมกัน

2.2 วิธีการประเมินโดยใช้หลักการสืบเสาะเพื่อค้นหาความจริงตามธรรมชาติ
(Naturalistic Inquiry) วิธีการประเมินในลักษณะนี้ กบู าและลินคอล์นเรียกชือ่ เสียใหม่ว่า
“Constructivist Methodology” หมายถึงวิธีการสืบเสาะเพือ่ ค้นหาความจริงทั้งหลายทีม่ ีอยู่
ตามธรรมชาติ โดยอาศยั พื้นฐานของ “ทฤษฎีแห่งความจริง” (Ontology) และ “ปรชั ญาแห่ง
ความรู้ของมนุษย์” (Epistemology) ควบค่กู ันไป

จากองคป์ ระกอบสาํ คญั ทั้ง 2 ส่วนดงั กล่าวข้างต้น จึงทาํ ให้รูปแบบของการประเมินใน
ยุคปจั จบุ นั มีขั้นตอนทีส่ ําคญั 4 ข้ันตอนคือ (1) การคดั เลือกผู้ตอบสนอง (2) การเสนอข้อความ
และจดั สถานการณ์เพือ่ การต่อรอง (3) การปรับปรุงข้อเสนอหรือสถานการณ์เพื่อการต่อรอง
และ (4) การจดั การเจรจาเพื่อการต่อรอง ดังนั้น หน้าทีส่ าํ คญั ของนักประเมินตามรูปแบบ
ของการประเมินในยุคปัจจบุ นั จึงสามารถจาํ แนกได้ 9 ประการ ดังต่อไปนี้

1. การระบุและเรียงลาํ ดบั ความสําคญั ของผู้ตอบสนอง
2. การศึกษารายละเอียดของโครงการจากกลุ่มผู้ตอบสนองเพือ่ ระบขุ อบเขต
ในการประเมิน
3. การศึกษาความแตกต่างของกลุ่มผู้ตอบสนอง ด้านความพึงพอใจ ความไม่พึงพอใจ
และ ประเดน็ ขดั ข้อแย้งที่มีต่อโครงการ
4. การสร้างความเห็นพ้องต้องกนั ของสารสนเทศที่ได้รับจากกลุ่มผู้ตอบสนอง
5. การเตรียมการเจรจาต่อรองระหว่างกลุ่มผู้ตอบสนองในประเดน็ ที่ยังไม่
สามารถหาข้อยตุ ิได้
6. การรวบรวมสารสนเทศจากผู้ตอบสนอง
7. การจัดประชุมเพื่อการเจรจาต่อรองของตัวแทนกลุ่มผู้ตอบสนอง
8. การจดั ทาํ รายงานสรปุ ผลการประเมินในประเด็นต่าง ๆ เพื่อเสนอ
ต่อกลุ่มผู้ตอบสนอง
9. การจัดประเมินซ้ําในประเดน็ ที่ยงั ไม่สามารถหาข้อยุติได้รวมท้ังประเดน็ ที่ค้นพบใหม่
ด้วย
สาํ หรบั กระบวนการในการประเมินตามรปู แบบการประเมินข้างต้นน้ัน ในข้ันแรกผู้
ประเมินจะต้องคดั เลือกกลุ่มผู้ตอบสนองกลุ่มหนึ่งจากผู้เกีย่ วข้องกับโครงการที่ทําการประเมิน
โดยใช้หลกั เหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่งตามคุณลักษณะหน้าที่ของการทํางานและให้ผู้ตอบสนองก
ลุ่มนี้เสนอรายชื่อผู้ตอบสนองอีกกลุ่มหนึง่ ทีผ่ ู้เสนอมีความเห็นว่าเป็นกลุ่มที่มีสถานการณ์ต่างไ
ปจากตนเอง และจะทาํ การคัดเลือกหรือเสนอชื่อผู้ตอบสนองดังกล่าวหลาย ๆ กลุ่มอย่าง

76

ต่อเนือ่ งจนกว่าจะเห็นว่าผู้ตอบสนองทั้งหมดสามารถให้สารสนเทศได้โดยครอบคลมุ รายละเอีย
ดสาํ คญั ของ โครงการที่ประเมินจากการทีใ่ ช้วิธีการรวบรวมข้อมูลตามธรรมชาติ ซึง่ ใช้บุคคล
เป็นเครื่องมือ สาํ คัญในการเก็บรวบรวมข้อมลู ดงั น้ัน ผู้ทีจ่ ะทําหน้าที่ในการเกบ็ รวบรวม
หรือเสาะแสวงหาข้อมูล จะต้องเปน็ ผู้ที่มีประสบการณ์หรือได้รบั การฝึกฝนความสามารถ
ในการเกบ็ ข้อมูลมาเปน็ อย่างดี โดยใช้วิธีธรรมชาติ อาทิ การสังเกต การซกั ถาม การเก็บข้อมลู
แบบไร้การตอบโต้ ฯลฯ เป็นต้น

สารสนเทศสําคัญที่ผู้เสาะแสวงหาข้อมูลจะต้องสืบเสาะจากผู้ตอบสนองมี 3 ประการ
ได้แก่ (1) สารสนเทศของโครงการที่ผู้ตอบสนองมีความพึงพอใจ (2) สารสนเทศของโครงการที่
ผู้ตอบสนองไม่มีความพึงพอใจ และ (3) สารสนเทศเกี่ยวกับข้อขดั แย้งทีเ่ กิดขึ้นในโครงการซึ่งผู้
เสาะแสวงหาข้อมูลจะต้องนําข้อมลู จากผู้ตอบสนองกลุ่มใด ๆ ไปเรียบเรียงแล้วนําเสนอต่อผู้
ตอบสนองกลุ่มอื่นเพื่อรบั ทราบคําวิพากษ์วิจารณ์ รวมทั้งการแสดงความคิดเหน็ และเปิด
โอกาสให้มีการเจรจาต่อรองเพื่อให้เกิดความเห็นพ้องต้องกนั ในการปฏิบตั ิโครงการตาม
สารสนเทศทีไ่ ด้รับนั้น จากวิธีการรวบรวมสารสนเทศโดยวิธีธรรมชาตินี้ อาจจาํ เป็นต้องมีการ
เก็บรวบรวมสารสนเทศ ในบางครั้งเพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความกระจ่างชัดและน่าเชื่อถือมากที่สุด
ถึงแม้ว่าในบางโอกาสการ เจรจาต่อรองทีเ่ กีย่ วกับข้อขดั แย้งบางประเดน็ อาจจะไม่ประสบ
ความสาํ เรจ็ ในคร้ังแรกแต่กส็ ามารถ เกบ็ รวบรวมสารสนเทศเพิ่มเติมเพื่อนาํ มาเสนอในการ
เจรจาต่อรองครั้งต่อไปได้อีก

ดังนั้น การประเมินตามแนวคิดในยุคปัจจุบัน นอกจากจะให้สารสนเทศที่เป็นส่วนดี
ส่วนด้อย และข้อขัดแย้งของโครงการที่เกิดขึ้นจริงแล้ว ยังสามารถให้สารสนเทศทีเ่ ปน็ แนวทาง
ในการปรบั ปรงุ โครงการ ตลอดจนสามารถจะยตุ ิข้อขดั แย้งระหว่างผู้ร่วมโครงการได้ โดยอาศยั
ความเหน็ พ้องต้องกนั จากการเจรจาต่อรองเป็นหลัก จึงนบั ว่าเป็นการประเมินทีส่ ร้างสรรค์
และเหมาะสมกบั สภาพการณ์ปจั จุบนั ได้เป็นอย่างดี

รูปแบบการประเมินผลเปน็ การพัฒนาแนวคิดและเทคนิควิธีของการประเมิน ทีม่ ี
หลักการที่ชัดเจน มีความเป็นระบบ เมื่อนํามาพัฒนารูปแบบที่เรียกกันว่า “แบบจําลอง” หรือ
“โมเดล” (Model) จนทาํ ให้แนวคิดและหลกั การเหล่านั้น สามารถนาํ ไปสู่การปฏิบตั ิได้อย่าง
กว้างขวาง และ ถกู นาํ มาใช้ในการประเมินผลกับหน่วยงานท้ังภาครฐั และเอกชนเพือ่ พฒั นา
องค์การให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล นําไปสู่การยอมรับในมาตรฐานการดําเนินงานที่มี
คุณภาพ

77

คำถามประจำหน่วยการเรียน

1. จงสรปุ สาระสำคญั ของรูปแบบการประเมินผลยุคที่ 1, 2 , 3 และ ยุคที่ 4
2. จงอธิบายรปู แบบการประเมินโครงการ CIPP Model

เอกสารอา้ งอิง

ชชู ยั สมิทธิไกร. (2544). การฝึกอบรมบคุ ลากรในองค์การ. (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ :
โรงพิมพแห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ทศพร ศิริสัมพนั ธ์.(มมป). เอกสารประกอบการบรรยายวิชาการวิเคราะห์และประเมินผล
นโยบายสาธารณะ.คณะรฐั ศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัยกรุงเทพฯ

ธเนศ ขำเกิด.(2541). คุณภาพการศึกษาต้องพัฒนาท้ังระบบ. วารสารวิชาการ,1(12),19-21.
ประสิทธิ ตงยิง่ ศิริ.(2540). การวิเคราะห์และประเมินโครงการสถาบนั พฒั นาบริหาร

ศาสตร์. โครงการส่งเสริมเอกสารวิชาการ กรุงเทพฯ.
พิชิต ฤทธิ์จรูญ. (2557). เทคนิคการประเมินโครงการ. บริษทั เฮ้าส์ ออฟ เคอร์มิสท์ จํากัด

.(2548). หลกั การวัดและประเมินผลการศึกษา, (พิมพ์คร้ังที่ 3). กรงุ เทพฯ: เฮ้าส์
ออฟเคอร์มิสท์ .
พงษ์สณั ห์ ศรีสมทรพั ย์. (2543).การประเมินผลโครงการในภาครัฐ. ตาํ ราภาควิชาบริหาร
รัฐกิจ. คณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคําแหง.กรงุ เทพฯ
ยงยุทธ เกษสาคร. (2544). ภาวะผู้นำและการจูงใจ. (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรงุ เทพฯ : เอสเค
บุ๊คเนส.
เยาวดี รางชยั กุล วิบลู ย์ศรี. (2551).การประเมินโครงการแนวคิดและแนวปฏิบัติ.
กรุงเทพฯ: สาํ นกั พิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สวุ ิมล ว่องวาณิช. (2550). การวิจยั ประเมินความต้องการจาํ เปน็ . ศนู ย์หนังสือแห่ง
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. กรุงเทพฯ.
อํานาจ วดั จินดา. (ม.ป.ป). องคก์ รแห่งการเรียนรู้ ( Learning Organization). สืบค้น
ออนไลน์จาก : http://www.hrcenter.co.th/HRKnowView.asp?id=526.วนั ที่ 16
มกราคม 2563.
Alkin, M.C. (1969). Evaluation Theory Development, Education Comment.
Carnevale, A. P., Gainer, L. J., & Meltzer, A. S. (1990). Workplace basics: The essential
skills employers want.
Cronbach, L.J. (1963). Course Improvement Through Evaluation. Teachers College
Record
Eisner, E.W. (1979). The Educational Imagination. New York : Macmillan.
Guba. E.G., and Lincoln, Y.S. (1981). Effective Evaluation. San Francisco : Jossey-Bass
Publishers.
Guba. E.G.,and Lincoln, Y.S. (1989). Fourth Generation Evaluation. Newbury Park,
California : Sage Publications, Inc.
Kirkpatrick, D. L. (1975). Technigues For Evaluating, Training Program. Evaluating
Training Program. San Francisco: American Society For Training and Development.
Provus, M.N. (1971). Discrepancy Evaluation. Berkeley, California : McCutcheon
Pulishing Co.
Stake, (1974). Pros and Cons About Goal-Free Evaluation. Evaluation Comment.

79

Scriven, M.S. (1967). The Methodology of Evaluation. In Perspectives of Curriculum
Evaluation (AERA Monograph Series on Curriculum Evaluation, No. 1).
Chicago : Rand McNally.

Scriven, M.S. (1974). Pros and Cons About Goal-Free Evaluation. Evaluation Comment
Scriven, M.S. (1973). Goal-Free Evaluation. In E. House (Ed.), School Evaluation :

The Politics and Process. Berkerley : McCutchan.
Stufflebeam, D.L., et sl. (1971). Educational Evaluation and Decision Making. Itasca,

Illinois : Peacock.
Worthen, B.R. and Sanders, J.R. (1973). Educational Evaluation : Theory and Practice. Ohio

: Charles and Joanes.

บรรณานกุ รม

ชูชยั สมิทธิไกร. (2544). การฝึกอบรมบุคลากรในองค์การ. (พิมพ์คร้ังที่ 3). กรุงเทพฯ :
โรงพิมพแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

เชาว์ อินใย. (2553). การประเมินโครงการ: Program Evaluation. (พิมพ์คร้ังที่ 2). กรุงเทพฯ:
สำนกั พิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์.

ดวงกมล ไตรวิจิตรคณุ .(2557).ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุระหว่างทุนทางจิตวิทยาเชิงบวกและ
ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครู โดยมีความยึดมั่นผูกพนั ในงานเปน็ ตวั แปรส่งผ่าน.
คณะครุศาสตร์ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั .

จิระศักดิ์ สาระรตั น์. (2551). การประเมินโครงการ. ปทมุ ธานี : มหาวิทยาลัยรังสิต.
ทศพร ศิริสัมพันธ์.(มมป). เอกสารประกอบการบรรยายวิชาการวิเคราะห์และประเมินผลนโยบาย

สาธารณะ.คณะรฐั ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. กรงุ เทพฯ.
ธเนศ ขำเกิด. (2541). คุณภาพการศึกษาต้องพัฒนาทั้งระบบ. วารสารวิชาการ,1(12),19-21.
ประชุม รอดประเสริฐ. (2529). การบริหารโครงการ. กรงุ เทพฯ : เนติกุลการพิมพ์.
ประสิทธิ ตงยิง่ ศิริ. (2540). การวิเคราะห์และประเมินโครงการสถาบนั พัฒนาบริหารศาสตร์.

โครงการส่งเสริมเอกสารวิชาการ. กรงุ เทพฯ.
พิชิต ฤทธิ์จรูญ. (2555). การวิจัยทางการบริหารการศึกษาเพือ่ พัฒนาคณุ ภาพการศึกษา.

วิทยาลยั การฝึกหัดครู: มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร.
พิชิต ฤทธิจ์ รญู . (2557). เทคนิคการประเมินโครงการ. บริษทั เฮ้าส์ ออฟ เคอร์มิสท์ จํากดั

.(2548). หลักการวัดและประเมินผลการศึกษา, (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ : เฮ้าส์
ออฟเคอร์มิสท์ .
พงษ์สัณห์ ศรีสมทรพั ย์. (2543).การประเมินผลโครงการในภาครัฐ. ตําราภาควิชาบริหาร
รฐั กิจ. คณะรฐั ศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคําแหง.กรุงเทพฯ
พิสณุ ฟองศรี. (2553). เทคนิควิธีการประเมินโครงการ. (พิมพ์ครั้งที่ 7). กรงุ เทพฯ :
ด่านพสุธาการพิมพ์.
พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน .(2554).ความหมายของโครงการ .(พิมพ์ครั้งที่ 2). กรงุ เทพฯ:
นานมีบุ๊คส์.
มหาวิทยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธิราช. (2554). การปรึกษาเชิงจิตวิทยา. คณะศึกษาศาสตร์.
มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช นนทบุรี: จงั หวดั นนทบรุ ี.
ยงยุทธ เกษสาคร. (2544). ภาวะผู้นำและการจูงใจ. (พิมพ์คร้ังที่ 3). กรงุ เทพฯ : เอสเคบุ๊คเนส.
เยาวดี รางชยั กุล วิบลู ย์ศรี. (2553). การประเมินโครงการแนวคิดและแนวปฏิบตั ิ.
(พิมพ์ครั้งที่ 8). กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั .

. (2551). การประเมินโครงการแนวคิดและแนวปฏิบตั ิ. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ์แห่ง
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั .

. (2556). การวัดผลและการสร้างแบบสอบผลสัมฤทธิ์ Measurement


Click to View FlipBook Version