แคลคลู สั เบอ้ื งต้น : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 50
9. ประจุไฟฟ้าสองประจุอยู่ห่างกัน เมตร และขนาดของแรงระหว่างประจุไฟฟ้า นิวตัน เป็นไปตามสมการ =
2
เมอื่ เปน็ คา่ คงตัวท่ีมากกว่าศนู ย์ จงหาอตั ราการเปลีย่ นแปลงของ เทยี บกบั ขณะท่ี เป็นจานวนจรงิ ทีม่ ากกว่า 0
วิธีทา
10. ในการหย่อนปะการังเทียมจากเฮลิคอปเตอร์ลงทะเลแห่งหนึ่ง ถ้า ( ) แทนความสูงของปะการังเทียมจากระดับน้าทะเล
(มหี น่วยเปน็ เมตร) ณ เวลา (มีหนว่ ยเปน็ วนิ าที) จงอธิบายความหมายของสมการ (5) = 0 และ ′(5) = −27
วธิ ีทา
แคลคูลสั เบอ้ื งตน้ : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 51
11. จงหาอนพุ ันธข์ องฟังกช์ นั ต่อไปน้ี
11.1) ( ) = 3 2 และ ′(2)
วิธที า
11.2) ( ) = 3 และ ′(−1)
วิธีทา
11.3) ( ) = 1 และ ′(1)
วธิ ีทา
11.4) 1 และ ′(−1)
( ) = 3
วิธที า
แคลคูลสั เบ้อื งตน้ : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 52
12. จงหาอนพุ ันธ์ของฟังก์ชนั ต่อไปน้ี ณ จุดท่กี าหนดให้
12.1) ( ) = 2 − ทจี่ ุดซง่ึ = 0
วิธที า
12.2) ( ) = 2 3 + 1 ท่ีจดุ ซงึ่ = 2
วิธที า
12.3) ( ) = 1 ที่จุดซง่ึ = −1
2
วิธที า
แคลคลู ัสเบ้อื งต้น : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 53
2.4 การหาอนพุ ันธ์ของฟังกช์ นั โดยใช้สตู ร
การหาอนุพันธ์ของฟังก์ชันโดยใช้บทนิยาม 3 ในรูปของลิมิตน้ันค่อนข้างยุ่งยาก ในหัวข้อน้ีจะแสดงวิธีหาอนุพันธ์ของ
ฟังก์ชนั ง่ายๆ บางฟังก์ชันโดยใช้บทนยิ ามและทฤษฎบี ทเกีย่ วกับลมิ ติ ของฟังกช์ นั ท่ไี ดก้ ลา่ วไวใ้ นหวั ขอ้ 2.1 แล้วสรุปเปน็ สูตรดังน้ี
∎ สตู รท่ี 1 : ถ้า ( ) = เมือ่ เปน็ คา่ คงตัว แลว้ ′( ) = 0
พสิ ูจน์ ′( ) = ( +ℎ)− ( )
= ℎ→0 ℎ
=
= −
ℎ→0 ℎ
0
ℎ→0
0∎
ตวั อยางท่ี 37 จงหาอนพันธ์ของฟงั กช์ ัน เมือ่ กาหนด 37.1) = −5 37.2) ( ) = 1
5
วธิ ีทา 37.1) เน่อื งจาก = −5
จะได้ = (−5) = 0 37.1) ∎
37.2) ∎
37.2) เน่ืองจาก ( ) = 1
5
จะได้ = ( ) = (51)
0
∎ สตู รที่ 2 : ถา้ ( ) = แล้ว ′( ) = 1
พสิ ูจน์ ′( ) = ( +ℎ)− ( )
= ℎ
= ℎ→0
= +ℎ −
= ℎ
ℎ→0
ℎ
ℎ→0 ℎ
1
ℎ→0
1 ∎
ตวั อยางที่ 38 กาหนด = จงหา
วธิ ีทา เนื่องจาก =
จะได้ = ( ) = ∎
= = =
ขอ้ สังเกต : รปู ของอนพุ ันธข์ อง = อาขเขียน ( ) 1
∎ สตู รที่ 3 : ถา้ ( ) = เมอ่ื เปน็ จานวนจริง แลว้ ′( ) = −1
พสิ จู น์ จะแสดงเฉพาะกรณที ี่ = โดยที่ เป็นจานวนจริงบวกเทา่ นน้ั จะไดว้ ่า
′( ) = ( +ℎ)− ( )
ℎ→0 ℎ
= ( +ℎ) −
= ℎ→0 ℎ
( 0 ) ℎ0 + ( 1 ) −1ℎ + ( 2 ) −2ℎ2 + ( 3 ) −3ℎ3 + … + ( ) − ℎ −
ℎ→0 ℎ
= ( 0 ) + ( 1 ) −1ℎ + ( 2 ) −2ℎ2 + ( 3 ) −3ℎ3 + … + ( ) ℎ −
= ℎ→0 ℎ
−1ℎ + ( 2 ) −2ℎ2 + ( 3 ) −3ℎ3 + … + ℎ
ℎ→0 ℎ
= −1 + ( 2 ) + ( 3 ) −3ℎ2 + … + ℎ −1
−2ℎ
ℎ→0
= −1
ℎ→0
= −1
∎
หมายเหตุ : ในกรณีที่ a เปน็ จานวนจริงใด ๆ ตอ้ งใช้แคลคลู สั ระดับสูงในการพิสูจน์ สตู รท่ี 3
แคลคูลัสเบื้องต้น : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 54
ตวั อยางท่ี 39 กาหนดให้ ( ) = 5 จงหา 39.1) ′( ) 39.2) ′(−2)
วธิ ที า 39.1) เนื่องจาก ( ) = 5 39.1) ∎
จะได้ ′( ) = 5 5−1
= 5 4
39.2) จาก ′( ) = 5 4
ดังนน้ั ′(−2) = 5(−2)4
= 80 39.2) ∎
ตวั อยางท่ี 40 กาหนดให้ = 1 จงหา 40.1) 40.2) |
3 = −1
วิธที า 40.1) เนือ่ งจาก = 1 = −3 40.1) ∎
3 40.2) ∎
จะได้ = ( −3)
= 3 −3−1
= 3 −4=
= 3
4
40.2) จาก = 3
จะได้ = 4
=
| 3
(−1)4
= −1
3
ตัวอยางท่ี 41 กาหนดให้ = √ จงหา 41.1) 41.2) |
= 9
วิธีทา 41.1) เนือ่ งจาก = √ = 1 41.1) ∎
จะได้ 41.2) ∎
2
= 1
( 2)
= 1 12−1
2
= 1 −21
2
=1
2√
จาก =1
41.2) 2√
จะได้ | =1
= 9 2√9
=1
6
∎ สตู รที่ 4 : ถ้า และ หาอนพุ ันธ์ได้ที่ แลว้ ( + )′( ) = ′( ) + ′( )
พิสจู น์ ให้ ( ) = ( ) + ( )
′( ) =
( +ℎ)− ( )
= ℎ→0 ℎ
= [ ( +ℎ) + ( +ℎ)] − [ ( )+ ( )]
= ℎ→0 ℎ
+ [ ( +ℎ)−[ ( )] [ ( +ℎ)] −[ ( )]
ℎ→0 ℎ ℎ→0 ℎ
′( ) + ′( ) ∎
แคลคลู สั เบื้องตน้ : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 55
ตวั อย่างที่ 42 กาหนดให้ = 4 + 2 จงหา 42.1) 42.2) | = 1
2
วิธที า 42.1) เนือ่ งจาก = 4 + 2
จะได้ = ( 4) + ( 2)
′ = 4 4−1 + 2 2−1
= 4 3 + 2 1
= 4 3 + 2 42.1) ∎
42.2) จาก = 4 3 + 2
จะได้ | = 4(12)3 + 2(21)
= 1
2
1
= 2 + 1
=3 42.2) ∎
2
∎ สตู รท่ี 5 : ถา้ และ หาอนพุ นั ธ์ไดท้ ี่ แลว้ ( − )′( ) = ′( ) − ′( )
พสิ ูจน์ ทานองเดียวกบั การพสิ จู นส์ ูตรท่ี 4 โดย
ให้ ( ) = ( ) − ( )
′( ) = ( +ℎ)− ( )
ℎ→0 ℎ
=
= [ ( +ℎ)− ( +ℎ)] − [ ( )− ( )]
= ℎ→0 ℎ
[ ( +ℎ)−[ ( )] − [ ( +ℎ)] −[ ( )]
ℎ ℎ
ℎ→0 ℎ→0
′( ) − ′( ) ∎
ขอ้ สังเกต จากสตู รท่ี 4 และสตู รท่ี 5 จะไดว้ า่ ถ้า = ( ) + ( ) − ℎ( ) เป็นฟังกช์ ันที่หาอนพุ นั ธ์ไดท้ ี่
นน่ั คอื สามารถหา ′( ) , ′( ) , ℎ′( ) ได้ ซึง่ = ′( ) + ′( ) − ℎ′( )
นั่นคือ จะขยายจานวนฟังก์ชันทบ่ี วกและลบกันเป็นกี่ฟังกช์ ันก็ได้
∎ จากสตู รท่ี 4 และ 5 ถ้า , และ ℎ เป็นฟังกช์ นั ท่หี าอนพุ ันธไ์ ด้ โดยท่ี = ( ) , = ( ) และ = ℎ( )
หาอนพุ ันธ์ไดท้ ่ี แลว้ ( ± ± ) = ( ) ± ( ) ± ( )
ตวั อย่างท่ี 43 กาหนดให้ = 6 + 3 − 2 + 4 จงหา 43.1) 43.2) |
= −1
วธิ ีทา 43.1) เน่อื งจาก = 6 + 3 − 2 + 4
จะได้
= 6 + 3 − 2 + 4
′ = 6 6−1 + 3 3−1 − 2 2−1 + 0
= 6 5 + 3 2 − 2 43.1) ∎
43.2) จาก = 6 5 + 3 2 − 2
จะได้ = 6(−1)5 + 3(−1)2 − 2(−1)
= −1
| = −1 43.2) ∎
แคลคลู สั เบอื้ งต้น : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 56
∎ สตู รที่ 6 : ถ้า เปน็ คา่ คงตัว และฟงั กช์ นั หาอนุพันธไ์ ด้ท่ี แล้ว ( )′( ) = ( ′( ))
พิสูจน์ ให้ ( ) = ( )
จะได้ ( + ℎ) = ( + ℎ)
′( ) = ( +ℎ)− ( )
= ℎ→0 ℎ
= ( +ℎ)− ( )
= ℎ→0 ℎ
=
( +ℎ)− ( )
ℎ→0 ℎ
( +ℎ)− ( )
ℎ→0 ℎ
( ′( )) ∎
ตวั อยา่ งที่ 44 กาหนดให้ = 5 2 − 3 จงหา 44.1) 44.2) ′| =2
วิธที า 44.1) เน่อื งจาก = 5 2 − 3
จะได้ = (5 2 − 3 )
′ = (5 2) − (3 )
= 5 ( 2) − 3 ( )
= 5(2 ) − 3(1)
= 10 − 3 44.1) ∎
44.2) จาก ′ = 10 − 3
จะได้ ′| =2 = 10(2) − 3 44.2) ∎
= 17
ตวั อยา่ งท่ี 45 กาหนดให้ ( ) = 8 3 − 2 2 + 5 − 7 จงหา 45.1) ′( ) 45.2) ′(1)
วิธที า 45.1) เน่ืองจาก ( ) = 8 3 − 2 2 + 5 − 7
จะได้ ( ) = (8 3 − 2 2 + 5 − 7)
= ′( ) (8 3) − (2 2) + (5 ) − (7)
= 8 ( 3) − 2 ( 2) + 5 ( ) − (7)
= 8(3 3−1) − 2(2 2−1) + 5(1) − (0)
= 8(3 2) − 2(2 1) + 5
= 24 2 − 4 + 5 45.1) ∎
45.2) จาก ′( ) = 24 2 − 4 + 5
จะได้ ′(1) = 24(1)2 − 4(1) + 5
= 24 − 4 + 5
= 25 45.2) ∎
ตัวอย่างที่ 46 กาหนดให้ ( ) = 2 3 − 4 2 จงหา 46.1) ค่าของ ทท่ี าให้ ′( ) = 0 46.2) ′(1)
วธิ ีทา 46.1) เน่ืองจาก ( ) = 2 3 − 4 2
จะได้ = ( ) (2 3 − 4 2)
′( ) = 6 2 − 8
กาหนดให้ ′( ) = 0
จะได้ 6 2 − 8 = 0
หรอื 2 (3 − 4) = 0
นน่ั คอื = 0 หรือ = 4 = 4 46.1) ∎
3
3
ดังนน้ั ค่าของ ทีท่ าให้ ′( ) = 0 คอื = 0 หรือ
46.2) จาก ′( ) = 6 2 − 8
จะได้ ′(1) = 6(1)2 − 8(1)
= −2 46.2) ∎
แคลคลู ัสเบ้ืองตน้ : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 57
∎ สตู รท่ี 7 : ถ้า และ หาอนพุ นั ธไ์ ด้ที่ แล้ว
( ∙ )′( ) = ( ) ∙ ′( ) + ( ) ∙ ′( )
พิสูจน์ เนอื่ งจาก ( ∙ )( ) = ( ) ∙ ( )
จะได้ ( ∙ )′( ) = [ ( +ℎ)∙ ( +ℎ)] − [ ( )∙ ( )]
= ℎ→0 ℎ
=
= ( +ℎ)∙ ( +ℎ) − ( +ℎ) ( )+ ( +ℎ) ( )− ( )∙ ( )
= ℎ
ℎ→0
) ( )
ℎ→0
( ( + ℎ) ( +ℎ)− ( ) + ( ) ( +ℎ)−
ℎ ℎ
( ( + ℎ) ( +ℎ)− ( ) + ( ) ( +ℎ)− ( )
ℎ ℎ→0 ℎ→0 ℎ
ℎ→0 ℎ→0
( ) ∙ ′( ) + ( ) ∙ ′( )
ดงั น้นั ( ∙ )′( ) = ( ) ∙ ′( ) + ( ) ∙ ′( ) ∎
∎ จากสตู รที่ 7 ถา้ และ หาอนพุ นั ธไ์ ด้ที่ แล้ว ( ⋅ )′( ) = ( ) ⋅ ′( ) + ( ) ⋅ ′( )
หรอื ถ้า ให้ = ( ) และ = ( ) หาอนุพนั ธไ์ ดท้ ่ี
แลว้ ( ⋅ ) = ⋅ ( ) + ⋅ ( )
ตวั อย่างท่ี 47 กาหนดให้ = ( 2 − 2 + 3)(2 + 5) จงหา 47.1) 47.2) |
= −2
วิธที า 47.1) เน่อื งจาก = ( 2 − 2 + 3)(2 + 5)
จะได้ = [( 2 − 2 + 3)(2 + 5)]
= ′ ( 2 − 2 + 3) (2 + 5) + (2 + 5) [( 2 − 2 + 3)
= ( 2 − 2 + 3)(2 + 0) + (2 + 5)(2 − 2)
= (2 2 − 4 + 6) + (4 2 + 6 − 10)
= 2 2 − 4 + 6 + 4 2 + 6 − 10
= 6 2 + 2 − 4 47.1) ∎
47.2) เน่อื งจาก = 6 2 + 2 − 4
จะได้ |
= −2 = =6(−2)2 + 2(−2) − 4 16 47.2) ∎
∎ สตู รที่ 8 : ถา้ และ หาอนพุ ันธไ์ ด้ท่ี และ ( ) ≠ 0
=( ′ ( ) ∙ ′( ) − ( ) ∙ ′( )
( ) [ ( )]2
)
พสิ จู น์ เนอื่ งจาก ( ) ( ) = ( )
( )
= ( +ℎ) − ( )
( )′ ( ) ( +ℎ) ( )
ℎ→0 ℎ
= ( +ℎ) ∙ ( ) − ( ) ∙ ( +ℎ)
ℎ→0 ℎ ∙ ( ) ∙ ( +ℎ)
= ( +ℎ) ∙ ( )− ( ) ∙ ( ) − ( ) ∙ ( +ℎ) + ( ) ∙ ( )
ℎ→0 ℎ ∙ ( ) ∙ ( +ℎ)
( +ℎ) − ( ) ( ( )∙ ( +ℎ) − ( )
ℎ ℎ
= [ ]( ( )∙ ) − )∙
ℎ→0 ( ) ∙ ( +ℎ)
= ( ( ) ∙ ( +ℎ) − ( ) ) − ( ( ) ∙ ( +ℎ) − ( ) )∙
ℎ→0 ℎ ℎ
ℎ→0
( ) ∙ ( +ℎ)
ℎ→0
( +ℎ) − ( ) ( +ℎ) − ( )
= ( ( ) ∙ ℎ ) − ( ( ) ∙ ℎ )∙
ℎ→0
ℎ→0
( ) ∙ ( )
= ( ) ∙ ′( ) − ( ) ∙ ′( ) ∎
[ ( )]2
แคลคลู สั เบือ้ งต้น : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 58
∎ จากสตู รท่ี 8 ถ้า และ หาอนพุ นั ธ์ได้ท่ี แลว้ ( )′′ ( ) = ( )⋅ ′( )− ( )⋅ ′( )
[ ( )]2
หรือ ถา้ ให้ = ( ) และ = ( ) หาอนุพันธ์ได้ท่ี
แล้ว ( ) = ⋅ ( )− ⋅ ( )
[ ]2
ตวั อย่างที่ 48 กาหนดให้ = ( ) (2 −1) จงหา 48.1) ′( ) 48.2) ′(−1)
(2 +1)
วิธีทา 48.1) เน่ืองจาก ( ) = (2 −1)
(2 +1)
จะได้ = ′( ) (2 −1)
(2 +1)
= (2 +1) ∙ (2 −1) − (2 −1)∙ (2 +1)
(2 +1)2
= (2 +1) ∙ (2−0) − (2 −1) ∙ (2+0)
(2 +1)2
= (2 +1) ∙ (2) − (2 −1) ∙ (2)
(2 +1)2
= (4 +2) − (4 −2)
(2 +1)2
= 4 +2−4 +2
(2 +1)2
=4 48.1)∎
(2 +1)2
48.2) จาก = ′( ) 4
(2 +1)2
จะได้ = ′(−1) 4
(2(−1)+1)2
= 4 48.2)∎
กจิ กรรมระหวา่ งเรียน 5 : แบบฝึกหัด 2.4 การหาอนพุ นั ธ์ของฟังก์ชันโดยใช้สูตร
1. จงหาอนพุ นั ธ์ของฟงั กช์ นั ตอ่ ไปนี้
1.1) = −3
วิธที า
1.2)
= 3 +
3
วธิ ีทา
1.3) = 3 − 3 + 7
วิธที า
แคลคูลัสเบอ้ื งต้น : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 59
1.4) 1
= −5 2 + + 2√ − √
วิธีทา
1.5) = 4 5 − 3 2 − 8
วิธที า
1.6) = (4 2 + − 1)( + 2)
วิธที า
1.7) = ( + 1)( + 2)
วธิ ที า
1.8) = (4 − 2)( 2 + 3)
วิธีทา
แคลคูลัสเบือ้ งต้น : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 60
1.9) = ( 2 + 1)
วิธีทา
1.10) 3+2
=
วิธที า
1.11) 3
= 3 2+1
วิธที า
1.12) = 1+3
1∓3
วธิ ที า
1.13) 1
= 12 − 2
วิธีทา
แคลคูลสั เบือ้ งต้น : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 61
1.14) 5−3 2+5 −2
= 2
วธิ ที า
1.15) 5 2+ +3
= √
วธิ ที า
1.16) = ( 1 − 1 )(3 3 + 27)
2
วิธีทา
1.17) 4 +1
= 2−5
วธิ ีทา
แคลคูลัสเบื้องตน้ : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 62
1.18) = ( 3 +2) ( −5 + 1)
วิธีทา
1.19) = 3
√ + 2
วิธีทา
1.20) = (2 7 − 2) ( +−11)
วธิ ีทา
แคลคูลสั เบ้ืองตน้ : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 63
2. จงหาอนพุ นั ธข์ องฟังก์ชนั ตอ่ ไปนี้ ณ จดุ ท่ีกาหนดให้
2.1) = (2 3 − √1 ) ท่จี ดุ ซง่ึ = 1
วิธที า
2.2) ( ) = (1 5 − 1 3 + 1 2 − 4 + 5) ทจ่ี ุดซึ่ง = 1
532
วิธที า
2.3) ( ) = (2 2 − 3 + 1)(x − 2) ท่จี ุดซงึ่ = −1
วิธที า
แคลคูลัสเบ้ืองต้น : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 64
2.4) ( ) = ( 2 −1) ท่จี ดุ ซ่ึง = 2
+1
วธิ ีทา
3. กาหนดให้ (4) = 3 และ ′(4) = −5 จงหา ′(4) เมือ่
3.1) ( ) = √ ( )
วิธที า
3.2) ( ) = ( )
วธิ ที า
4. กาหนดให้ (2) = 1 , ′(2) = −1 , (2) = 2 และ ′(2) = 0 จงหา ′(2) เมอ่ื
4.1) ( ) = 2 ( ) + 4 ( )
วิธีทา
แคลคลู สั เบือ้ งตน้ : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 65
4.2) ( ) = ( ) +3 ( )
( )
วธิ ีทา
5. จงหาพหุนามดกี รีสอง ( ) = 2 + + ท่ี (1) = 1 , ′(1) = −1 และ ′(0) = −3
วิธที า
6. ในงานมหกรรมลดราคาไทยช่วยไทย ร้านขายสินค้าหัตถกรรมจากย่านลิเภาร้านหนึ่งได้บันทึกปริมาณสินค้าคงเหลือ (มีหน่วย
เปน็ 100 ชิ้น) ซึง่ สามารถประมาณไดด้ ้วยฟังก์ชัน ( ) = 3 +145 เมื่อ แทนจานวนวันตั้งแตเ่ ร่มิ ตน้ งานมหกรรมลดราคา
+ 8
6.1) จงหาจานวนสินค้า ณ เวลาเร่มิ ต้นมหกรรมลดราคา
วธิ ีทา
แคลคูลสั เบ้ืองตน้ : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 66
6.2) จงหาจานวนสนิ คา้ คงเหลอื และอตั ราการเปลี่ยนแปลงของจานวนสินคา้ ในวันที่ 10
วธิ ีทา
6.3) จงหาจานวนสินค้าคงเหลือและอัตราการเปลย่ี นแปลงของจานวนสนิ คา้ ในวนั ที่ 15
วิธีทา
6.4) จงหาจานวนสินค้าคงเหลอื และอัตราการเปล่ยี นแปลงของจานวนสนิ ค้าในวันที่ 25
วิธที า
6.5) จงอธิบายการขายสนิ คา้ ของร้านนี้
วธิ ีทา
7. ในปนี ี้บริษัทขายสนิ ค้าชนิดหนึง่ ในราคาชิน้ ละ 250 บาท โดยขายได้ 200,000 ชิ้น ถา้ ในปีตอ่ ๆ ไป บรษิ ทั ตง้ั ราคาขายสูงขึ้นปีละ
10 บาท จะขายสนิ คา้ ไดน้ อ้ ยลงปีละ 6,000 ช้นิ จงหาอัตราการเปล่ียนแปลงของรายรับรวมที่ไดจ้ ากการขายสินคา้ ชนดิ นใี้ นปที ่ี 3
วธิ ที า
แคลคูลสั เบ้อื งตน้ : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 67
2.5 อนพุ ันธข์ องฟงั ก์ชนั ประกอบ ( )
ในหวั ขอ้ น้ี จะกลา่ วถงึ การหาอนพุ นั ธข์ องฟงั กช์ ันประกอบ ซง่ึ เรยี กกฎในการหาอนุพันธน์ ้ีวา่ กฎลูกโซ่ ( ℎ )
∎ สูตรท่ี 9 : ถา้ หาอนุพนั ธ์ได้ท่ี และ หาอนุพันธไ์ ด้ท่ี ( ) แล้ว
( )′( ) = ′[ ( )] ∙ ′( )
จากสูตรท่ี 9 สามารถเขยี นไดอ้ กี รูปแบบหน่งึ ดงั น้ี
ถ้า = ( ) แลว้ ให้ = ( ) จะได้วา่ = [ ( )] = [ ]
ดงั นัน้ = ( )′( )
= ′[ ( )] ∙ ′( )
= ′[ ] ∙ ′( )
= [ ] ∙ เมือ่ = ( ) และ = [ ]
= ∙
น่นั คอื ถา้ เปน็ ฟงั ก์ชันของ และ เปน็ ฟงั ก์ชันของ และสามารถหาอนพุ นั ธ์ได้ นั่นคือหา และ ได้
แลว้ = ∙
ตวั อย่างท่ี 49 กาหนดให้ ( ) = (2 − 1)5 จงหา 49.1) ′( ) 49.2) ( )′(2)
วิธีทา 49.1) ให้ = 2 − 1 จะได้ = ( ) = (2 − 1)5 = 5
โดยกฏลูกโซ่ จะได้ = ∙ แทน = 5 และ = 2 − 1 จะได้
= ( 5) ∙ (2 − 1)
= 5( 5−1) ∙ (2 − 0)
= 5( 4) ∙ (2)
= 10( 4) แทน = 2 − 1 จะได้
= 10(2 − 1)4 แทน = 2 − 1 จะได้
= 10(2 − 1)4
น่ันคือ ′( ) = 10(2 − 1)4 49.1) ∎
49.2) จาก ′( ) = 10(2 − 1)4
จะได้ ′(2) = 10(2(2) − 1)4
= 10(3)4
= 810 49.2) ∎
ตัวอยา่ งที่ 50 กาหนดให้ = √1 − 3 2 จงหา 50.1) 50.2) ได้ |
= −1
1 1
วิธีทา 50.1) ให้ = 1 − 3 2 จะได้ = √1 − 3 2 = (1 − =
3 2)2 2
โดยกฏลกู โซ่ จะได้ = ∙ แทน = 1 และ = 1 − 3 2 จะได้
2
= 1 ∙ (1 − 3 2)
( 2)
= 1 ( 21−1) ∙ (0 − 6 )
2
1
= 1 ( − ∙ (−6 )
2)
2
1
= ∙ (−6 )
1
2 2
= −6
1
2 2
−3
= แทน = 1 − 3 2 จะได้
1
2
= −3
√1−3 2
นั่นคือ = −3
√1−3 2 50.1) ∎
แคลคูลสั เบื้องตน้ : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 68
50.2) จาก = −3
ได้ √1−3 2
= | −3(−1)
= −1 √1−3(−1)2
=3
√−2
ที่ = −1 ไมม่ ีจานวนจรงิ เป็นคาตอบ 50.2) ∎
ตวั อย่างที่ 51 กาหนดให้ = 1 จงหา 51.1) 51.2) ได้ |
3√2 2−1 = 1
วิธที า 51.1) ให้ = 2 2 − 1 จะได้ = 1 = 1 = (2 2 − 1)− 1 = −31
3√2 2−1 3
1
(2 2−1)3
โดยกฏลกู โซ่ จะได้ = ∙ แทน = − 1 และ = 2 2 − 1 จะได้
3
= 1 ∙ (2 2 − 1)
( 2)
= − 1 ( −13−1) ∙ (4 − 0)
3
4
= − 1 ( − 3 ) ∙ (4 )
3
= −4 แทน = 1 − 3 2 จะได้
4
3 ∙ 3
= −4
4
3 ∙ (1−3 2) 3
= −4
3 ∙ 3√(2 2−1)4
น่ันคอื = −4 51.1) ∎
3 ∙ 3√(2 2−1)4
51.2) จาก = −4
3 ∙ 3√(2 2−1)4
ได้ = | = 1 −4(1)
3 ∙ 3√(2(1)2−1)4
= −4
3 ∙ 3√(1)4
= −4 51.2) ∎
3
ตัวอยา่ งท่ี 52 กาหนดให้ ( ) = ( ( )) และ ( ) = ( )
จงหา ′(3) เมอ่ื (1) = 3 , (3) = 1 , ′(1) = 4 และ ′(3) = 5
วิธที า เน่ืองจากโจทย์ตอ้ งการทราบ ′(3) เราจึงตอ้ งหา ′( )
จากกาหนดให้ ( ) = ( ( ))
โดยกฏลูกโซ่ จะได้ ′( ) = ′( ( )) ∙ ′( ) ………………… (1)
และจากกาหนดให้ ( ) = ( ) โดยสตู รการหาอนพุ ันธข์ องผลคณู ของฟงั กช์ นั จะได้
ดงั นน้ั ′( ) = ∙ ( ) + ( ) ∙ ( )
= ∙ ′( ) + ( ) ∙ (1)
′( ) = ∙ ′( ) + ( ) ………………… (2)
จาก (1) ′( ) = ′( ( )) ∙ ′( )
จะได้ ′(3) = ′( (3)) ∙ ′(3) แทนค่า (3) = 1 , ′(3) = 5 จะได้
นน่ั คอื ได้ = ′(1) ∙ (5) ………………… (3)
′(3) = ′(1) ∙ (5)
หาค่า ′(1) จาก (2) ′( ) = ∙ ′( ) + ( )
จะได้ ′(1) = (1) ∙ ′(1) + (1) แทนคา่ (1) = 3 , ′(1) = 4 จะได้
= (1) ∙ (4) + (3)
=7
นั่นคือ ′(1) = 7 แทนใน (3)
จาก (3) ′(3) = ′(1) ∙ (5)
= (7) ∙ (5)
= 35 ∎
แคลคูลสั เบ้ืองต้น : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 69
กจิ กรรมระหว่างเรียน 6 : แบบฝึกหดั 2.5 อนพุ นั ธ์ของฟังกช์ นั ประกอบ
1. จงหาอนพุ ันธข์ องฟังกช์ นั ต่อไปนี้ 1.2.2) |
1.1) = (2 − 3)5 จงหา 1.1.1) = 1
วธิ ที า
1.2) = (1 − 3 )3 จงหา 1.2.1) 1.2.2) |
= 2
วิธที า
1.3) = (3 − 4 2)4 จงหา 1.3.1) 1.3.2) |
= 1
วิธีทา
แคลคูลัสเบือ้ งต้น : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 70
1.4) = (2 − 3 + 4 2)3 จงหา 1.4.1) 1.4.2) |
= 2
วธิ ีทา
1.5) = ( 3 − 2 )3 จงหา 1.5.1) 1.5.2) |
= 1
วิธที า
1.6) = √1 − 2 จงหา 1.6.1) 1.6.2) |
= 2
วธิ ที า
แคลคลู ัสเบือ้ งตน้ : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 71
1.7) = √3 2 + 2 จงหา 1.7.1) 1.7.2) |
วิธีทา = 1
1.8) = 3√ 2 − 3 จงหา 1.8.1) 1.8.2) |
= 2
วิธีทา
1.9) = (2 2 − 1)−3 จงหา 1.9.1) 1.9.2) |
= 1
วธิ ีทา
แคลคูลัสเบอื้ งตน้ : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 72
1.10) = 1 จงหา 1.10.1) 1.10.2) | = 2
( 2−3 +2)2
วิธีทา
1.11) = 1 จงหา 1.11.1) 1.11.2) |
√ 2+2 = 1
วธิ ที า
1.12) = 1 จงหา 1.12.1) 1.12.2) |
3√ 2−2 +3 = 2
วธิ ที า
แคลคูลัสเบอื้ งตน้ : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 73
1.13) = ( − 3)3(2 + 1) จงหา 1.13.1) 1.13.2) |
วิธีทา = 1
1.14) = (2 +1)3 จงหา 1.14.1) 1.14.2) |
วธิ ที า 1−2 = 2
1.15) = (2 +3)3 จงหา 1.15.1) 1.15.2) |
วธิ ที า (4 2−1)8 = 1
แคลคูลสั เบือ้ งตน้ : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 74
2. กาหนดให้ ( ) = และ ( ) = √3 − 1 จงหา ′( ) เม่ือ ( ) = ( ( ))
2+1
วธิ ีทา
3. กาหนดให้ ( ) = ( ( )) จงหา ′(2)
เม่ือ (2) = 4 , ′(2) = 5 , ′(2) = 6 และ ′(4) = 9
วิธีทา
4. กาหนดให้ ( ) = ( ( )) และ ( ) = ( ) จงหา ′(2)
เม่อื (2) = 3 , (3) = 2 , ′(2) = 9 และ ′(3) = 8
วธิ ที า
แคลคลู สั เบ้อื งต้น : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 75
5. กาหนดให้ ( ) = 300 2 และ ( ) = 2√ − 20 จงหา
1+ 2
5.1) และ
วิธีทา
5.2) |
= 2
วิธีทา
6. ถ้าจานวนแบคทเี รยี ท่พี บในชั่วโมงที่ (มหี น่วยเป็นเซลล์) หาได้จาก ( ) = ( + 10)5
จงหา พรอ้ มทั้งอธิบายความหมาย
วิธีทา
แคลคูลสั เบอื้ งตน้ : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 76
7. วนดิ าฝากเงิน 1 ลา้ นบาท เพ่ือเปน็ ทุนการศกึ ษาของหลานสาว ถา้ ธนาคารกาหนดอตั ราดอกเบีย้ % ตอ่ ปี โดยคดิ ดอกเบีย้
แบบทบตน้ ทกุ เดือน เมือ่ ฝากเงินครบ 18 ปี จานวนเงินในบัญชีของวนิดาหาไดจ้ าก ( ) = 106 (1 + )216 จงหาอัตรา
1,200
การเปล่ียนแปลงของจานวนเงนิ ในบญั ชขี องวนดิ า เทียบกบั อตั ราดอกเบีย้ ขณะอัตราอกเบ้ยี เปน็ 1.5 % , 2.5 % และ 3 % ต่อปี
วิธที า
แคลคูลสั เบ้ืองตน้ : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 77
2.6 เสน้ สัมผัสเสน้ โค้ง
จากทที่ ราบมาแล้ววา่ เส้นสมั ผสั ของวงกลมยอ่ มตัง้ ฉากกับรัศมซี ่ึงลากมายังจุดสมั ผสั ดังรูปที่ 15
รปู ท่ี 15
สาหรับเส้นโค้งใด ๆ จะสามารถหาเสน้ สัมผสั ได้ดงั น้ี
กาหนดเสน้ โค้งซ่งึ เป็นกราฟของฟงั กช์ นั = ( )
ให้ = ( , ( )) และ ( + ℎ , ( + ℎ)) เปน็ จดุ บนเส้นโค้ง โดยท่ี ℎ ≠ 0
ความชนั ของเสน้ ตรงท่ผี า่ นจดุ และ คือ ( +ℎ)− ( ) = ( +ℎ)− ( ) ซึง่ คือ อตั ราการเปล่ียนแปลงเฉลยี่
( +ℎ)−( ) ℎ
ของ เทยี บกับ เมือ่ ค่าของ เปล่ียนจาก เป็น + ℎ
1) กรณี ℎ > 0 เมอ่ื ℎ เข้าใกล้ 0 พิจารณาจุด 1 , 2 , 3 , … บนเส้นโค้ง = ( ) ที่เข้าใกลจ้ ุด ทางขวา
มากขึน้ เร่อื ยๆ ดังรูปท่ี 16
รูปที่ 16
2) กรณี ℎ < 0 เม่ือ ℎ เข้าใกล้ 0 พิจารณาจดุ ′ , ′′ , ′′′ , … บนเสน้ โค้ง = ( ) ทเ่ี ขา้ ใกลจ้ ดุ
ทางซ้าย มากขน้ึ เรอ่ื ยๆ ดงั รูปท่ี 17
รปู ที่ 17
จะไดว้ า่ เส้นตรง 1 , 2 , 3 , … และเส้นตรง ′ , ′′ , ′′′ , … จะเขา้ ใกล้เสน้ ตรงหนึ่งเสน้ ซง่ึ ผา่ นจดุ
เรียกเส้นตรงเสน้ นี้ว่า เสน้ สัมผสั เส้นโค้งที่จดุ ดงั รูปที่ 18
รูปที่ 18 ( +ℎ)− ( ) ซ่งึ คือ อนพุ นั ธข์ องฟังก์ชัน
ดงั น้นั ความชนั ของเสน้ สัมผสั เสน้ โค้งท่จี ดุ จะเท่ากับ ℎ
ℎ→0
ท่ี = หรอื ′( )
แคลคูลัสเบื้องต้น : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 78
สัญลักษณ์ท่ีใชเ้ จาะจงตาแหน่งอนุพนั ธ์ ( ) ของฟงั กช์ นั = ( ) ที่ = 3 จะใช้สญั ลักษณ์ คอื |
=
หรือ ′| = หรือ คือ ( )| หรือ หรือ ( +ℎ)− ( ) และนอกจากน้ันอนุพันธ์นี้เรายังเรียกว่าเป็นค่า
′( ) ℎ→0 ℎ
=
ความชัน ( ) ของกราฟ = ( ) ณ จุดนน้ั ๆ ด้วย
∎ บทนยิ าม 7 : ถา้ เสน้ โคง้ เปน็ กราฟของ = ( ) มเี สน้ สมั ผัสเส้นโค้งท่ีจดุ ( , ) ใดๆ จะเปน็ เส้นตรงที่ผา่ นจดุ
และมีความชนั ( ) เท่ากบั ( +ℎ)− ( ) (ถา้ ลมิ ิตหาคา่ ได)้
ℎ→0 ℎ
∎ จากนยิ าม 7 กาหนดเสน้ โคง้ กราฟ = ( ) จะได้ว่า
1) ความชันของเส้นโค้ง ณ จุด ( , ) หมายถึงความชันของเส้นสัมผสั โคง้ [เส้นตรง] ณ จุด
2) ความชนั ( m ) ของเสน้ โคง้ ณ จุด P(x1 , y1) คอื | = 1 = ( +ℎ)− ( )
ℎ→0 ℎ
3) สมการเสน้ สมั ผสั โคง้ [สมการเส้นตรง] ท่ีสัมผสั เส้นโค้ง = ( ) ณ จุด ( 1, 1) คือ
ความชัน ( ) = − 1 จะไดส้ มการเส้นตรง
− 1 − 1 = ( − 1)
ซ่ึงเราจดั สมการเสน้ สมั ผสั โค้ง (สมการเส้นตรง) น้ใี นรูป = + หรือ + + = 0 ได้
ตาอยา่ งท่ี 53. กาหนดเส้นโคง้ สมการ = 2 2 − 2 − 4 จงหา
53.1) สมการความชนั ( m ) และความชันของเส้นสัมผสั โค้งที่จดุ = 1
53.2) สมการของเส้นสัมผสั โคง้ [สมการเสน้ ตรง] ท่ีจุด (1 , −4)
วิธีทา 53.1) จาก เส้นโค้งสมการ = 2 2 − 2 − 4
A) หาอนุพันธ์ จะได้สมการความชนั = (2 2 − 2 − 4)
′ = 4 − 2 53.1A ∎
B) หาความชนั ของเสน้ สัมผสั โคง้ ทจี่ ดุ = 1
′| =1 = 4(1) − 2 = 2 53.1B ∎
53.2) สมการของเสน้ สมั ผสั โค้ง [สมการเสน้ ตรง] ท่ีจุด (1 , −4) = ( 1, 1)
จากสมการเส้นสมั ผัสโคง้ [สมการเส้นตรง] ที่สมั ผสั เสน้ โคง้ = ( )
ณ จดุ ( 1, 1) คือ สมการเสน้ ตรง − 1 = ( − 1)
แทนคา่ − (−4) = (2)( − 1)
+ 4 = 2 − 2
= 2 − 6
นั่นคอื สมการของเสน้ สมั ผสั โค้ง [สมการเสน้ ตรง] ที่จดุ (1 , −4)
คือ = 2 − 6 หรือ − 2 + 6 = 0 53.2∎
∎ บทนิยาม 8 : กาหนดเสน้ โค้งซึง่ เป็นกราฟของฟังก์ชนั = ( ) และ = ( , ( )) เปน็ จุดบนเสน้ โค้ง เสน้ สัมผสั
เส้นโค้งที่จุด = ( , ( )) คอื เสน้ ตรงทผ่ี ่านจุด และความชันเท่ากบั ′( ) จะเรยี กความชันของ
เส้นสมั ผสั เส้นโคง้ ท่ีจุด วา่ ความชันของเส้นโค้งท่จี ุด
ตวั อย่างที่ 53 จงหาความชันของเสน้ โคง้ = 1 ที่จดุ (3 , 1)
3
วิธีทา จาก = ( ) = 1
โดยกฎลกู โซ่ จะได้สมการความชัน ′( ) = (1)
= ( −1)
= (−1) −2
=− 1
2
ดังน้นั ความชนั ของเส้นโคง้ ท่ีจดุ (3 , 1) คือ
3
= = ′(3) 1 −1
− (3)2 53. ∎
9
แคลคลู สั เบ้ืองตน้ : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 79
ตวั อยา่ งท่ี 54 กาหนดสมการวงกลม 2 + 2 = 25 จงหา
54.1) ความชนั ของเสน้ สมั ผสั วงกลมท่ีจุด ( −3 , 4 )
54.2) สมการของเสน้ สมั ผสั วงกลมท่ีจุด ( −3 , 4 )
วิธีทา 54.1) จากสมการวงกลม 2 + 2 = 25
จะได้ = ±√25 − 2
เนื่องจากจดุ ท่ีตอ้ งการหาความชนั คอื จดุ ( −3 , 4 )
ดงั นั้น ตอ้ งใช้สมการ = √25 − 2
ให้ = 25 − 2 ดงั นนั้ 1
= 2
โดยกฏลกู โซ่ จะได้ = ∙ แทน = 1 และ = 25 − 2 จะได้
2
= 1 ∙ (25 − 2)
( 2)
= 1 ( 12−1) ∙ (0 − 2 )
2
1
= 1 ( − ∙ (−2 )
2)
2
1
= ∙ (−2 )
1
2 2
= −2
1
2 2
= − แทน = 25 − 2 จะได้
1
= 2
−
√25− 2
น่นั คอื สมการความชัน = −
√25− 2
ดงั นนั้ ความชนั ของเส้นสัมผัสวงกลมทจ่ี ุด (−3 , 4 ) คอื | = −(−3) = 3 = 3 54.1) ∎
= −3 √25−(−3)2 √16 4
54.2) สมการของเส้นตรงที่ผา่ นจุด ( 1 , 1) และมคี วามชนั คอื − 1 = ( − 1 )
เนือ่ งจากเสน้ สมั ผส้ วงกลมท่จี ดุ (−3 , 4 ) เปน็ เสน้ ตรงที่ผ่านจุด (−3 , 4 ) และมคี วามชัน 3
4
3
ดังนน้ั สมการของเส้นสัมผส้ วงกลมทีจ่ ุด (−3 , 4 ) คือ − 4 = 4 ( − (−3))
หรือ = 3 + 25 54.2) ∎
4 4
หมายเหตุ : นักเรียนอาจหาสมการของเสน้ สมั ผสั วงกลม โดยใชค้ วามรเู้ รื่องเขาคณติ วิเคราะหเ์ บ้ืองต้นทีไ่ ดศ้ กึ ษามาแล้ว ซ่ึงจะ
ไดค้ าตอบเปน็ สมการเดียวกัน
ตวั อยา่ งที่ 55 จงหาจดุ บนเสน้ โคง้ = 3 − 12 ท้งั หมดทที่ าใหเ้ สน้ สมั ผสั เสน้ โคง้ ท่จี ดุ เหลา่ นข้ี นานกับแกน
วิธที า เส้นสมั ผสั เส้นโค้ง = 3 − 12 ที่จดุ ( , ) ใด ๆ
มคี วามชันเทา่ กับ = ( 3 − 12 )
= 3 2 − 12
ตอ้ งการใหเ้ สน้ สมั ผสั เส้นโค้งขนานกับแกน
นน่ั คือ เส้นสัมผสั เส้นโคง้ ตอ้ งมคี วามชันเป็นศนู ย์
จะได้ 3 2 − 12 = 0
2 − 4 = 0
( − 2)( + 2) = 0
ดังนัน้ = 2 หรอื = −2
เมื่อ = 2 จะได้ = (2)3 − 12(2) = −16
และเม่อื = −2 จะได้ = (−2)3 − 12(−2) = 16
ดงั นน้ั จุดบนเสน้ โคง้ ท่เี ส้นสมั ผัสเสน้ โค้งทีจ่ ุดนั้นขนานกับแกน คือ (−2 ,16 ) และ (2 , −16 ) 55. ∎
แคลคลู ัสเบื้องตน้ : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 80
ตวั อยา่ งท่ี 56 จงหาสมการของเสน้ สมั ผสั เส้นโค้ง = √ ท่จี ดุ = 4
วธิ ที า เสน้ สมั ผสั เส้นโค้ง = √ ที่จดุ ( , ) ใด ๆ
มีความชนั เทา่ กบั = (√ )
( 12)
=
= 1 21−1
2
= 1 −21
2
=1
2√
เมอื่ = 4 จะได้ = √4 = 2
และ ความชนั ของเสน้ สัมผัสของเสน้ สมั ผสั โคง้ ทีจ่ ุด = 4 คือ | = 1 = 1 56.1 ∎
= 4 2√4 4
และสมการของเส้นตรงทีผ่ า่ นจดุ ( 1 , 1) และมีความชัน คือ − 1 = ( − 1 )
1
ดงั นัน้ เส้นสัมผัสเสน้ โคง้ ท่ี =4 เปน็ เสน้ ตรงท่ผี า่ นจดุ (4, 2) และมีความชันเปน็ 4 คือ
− 2 = 1 ( − 4)
4
หรือ 4 − 8 = − 4
หรือ − 4 + 4 = 0 56.2) ∎
หมายเหตุ : การเขยี นสมการเส้นสัมผสั เส้นโค้ง (สมการเส้นตรง) สามารถเขยี นไดใ้ น 2 รูปแบบคือ
รูป = + หรือ รูป + + = 0
กิจกรรมระหว่างเรียน 7 : แบบฝึกหดั 2.6 เสน้ สมั ผสั โค้ง
1. จงหาความชันของเสน้ โค้งตอ่ ไปนี้ ณ จุดกาหนดให้ และหาสมการของเส้นสมั ผสั เสน้ โค้ง ณ จดุ น้นั
1.1) = 2 − 3 ท่จี ุด (3 , 0)
วธิ ีทา
แคลคูลัสเบื้องตน้ : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 81
1.2) = 5 2 − 6 ท่ีจดุ (2 , 14)
วิธีทา
1.3) = − 2 ทจ่ี ุดซึ่ง = 1
2
วิธีทา
1.4) = 2+2 ทีจ่ ดุ ซึ่ง = 1
วธิ ีทา
แคลคูลสั เบือ้ งตน้ : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 82
1.5) = 3√3 2 − 4 ทีจ่ ุด (−2 , 2)
วิธีทา
1.6) = 5 ที่จุด (3 , 1)
( 2− −1)2 5
วิธีทา
2. ถ้ากราฟของ = ขนานกับเส้นสมั ผสั เส้นโค้ง = 3 2 + 8 ท่จี ดุ (1 ,11) แลว้ จงหา
วิธีทา
แคลคลู สั เบ้ืองต้น : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 83
3. จงเขยี นตวั อย่างของเส้นตรง 1 , 2 , 3 และกราฟของฟงั ก์ชัน f , g และ h บนช่วง [−2 , 2] บนระบบพกิ ัดฉากที่
สอดคล้องกบั เงอ่ื นไขต่อไปน้ี
3.1) 1 สมั ผสั เสน้ โค้ง = ( ) ท่จี ดุ ( −1 , 2) และ 1 ตัดกบั เสน้ โค้ง = ( ) หนึ่งจดุ ท่ีจุด ( 1 , 1)
วิธที า
3.2) 2 เป็นเส้นตรงที่มีความชันเทา่ กบั 0 โดยที่ 2 สมั ผัสเสน้ โคง้ = ( ) ทจ่ี ุดสองจุดและตดั กบั เสน้ โคง้
= ( ) ท่จี ุดหนึ่งจดุ
วธิ ที า
3.3) 3 สัมผสั เส้นโค้ง = ℎ( ) ที่จดุ หนงึ่ จุดในชว่ ง [−2 , −1) และสมั ผัสทท่ี ุกจดุ ในช่วง (−1 , 1) แต่ตดั
กับเสน้ โค้ง = ℎ( ) ที่จดุ สองจุดในช่วง ( 1 , 2]
วธิ ที า
แคลคูลัสเบือ้ งต้น : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 84
4. กาหนดสมการของเส้นสัมผสั เสน้ โค้ง = ( ) ทีจ่ ุด ( 2 , 5) คือ 3 − = 1 จงหา ′(2)
วิธีทา
5. กาหนดให้ (3) = −1 และ ′(3) = 5 จงหาสมการของเสน้ สมั ผสั เส้นโค้ง = ( ) ที่ = 3
วธิ ที า
6. ถา้ เสน้ ตรงเส้นหนง่ึ มคี วามชนั เปน็ 3 และสัมผสั เสน้ โคง้ = − + 2 ทจี่ ดุ ( , ) แล้ว จงหา และ
วธิ ีทา
แคลคลู ัสเบอื้ งต้น : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 85
7. ถ้าเสน้ ตรง = + ขนานกับเสน้ สัมผสั เส้นโคง้ = 3 2 − 5 ท่ีจดุ ( 1 , −2) แลว้ จงหา และ
วิธที า
8. จงหาสมการเสน้ ตรงทผ่ี ่านจุด ( 2 , 3) และขนานกับเส้นสัมผสั เส้นโคง้ = 3 ที่จุด ( 1 , 1)
วิธที า
9. จงหาจดุ บนเส้นโค้ง = 3 − 3 ทัง้ หมดท่ีทาใหเ้ สน้ สัมผสั เส้นโค้งทจี่ ุดเหลา่ นข้ี นานกบั แกน
วิธีทา
แคลคลู สั เบอื้ งต้น : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 86
10. จงหาสมการเสน้ ตรงท่ีมีความชนั เป็น 1 และสมั ผสั เสน้ โค้ง = 4
2
วธิ ีทา
11. จงหา และ ท่ีทาใหเ้ สน้ ตรง 4 + = สมั ผัสเส้นโค้ง = 2 ท่ี = 2
วิธีทา
แคลคูลสั เบื้องต้น : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 87
2.7 อนุพันธ์อันดบั สงู ( )
จากหาอนุพนั ธ์ของฟงั ก์ชนั ในหวั ข้อทผ่ี า่ นมา จะพบว่า ถา้ ให้ = ( ) เป็นฟงั ก์ชนั ทส่ี ามารถหาอนพุ นั ธ์ได้ แล้วจะได้
= ′( ) เป็นฟงั กช์ นั เชน่ กนั ซึง่ จะสามารถนาฟังก์ชนั ′ ไปหาอนุพนั ธต์ อ่ ได้อีก ดงั ตัวอยา่ งต่อไปน้ี
ตัวอยา่ งท่ี 57 กาหนดให้ ( ) = 5 3 − 6 2 + 2 − 3
57.1) จงหาอนพุ ันธข์ องฟังก์ชัน ท่ี ใด ๆ
57.2) จงหาอนพุ ันธ์อันดบั สองของฟงั ก์ชนั ท่ี ใด ๆ
57.3) จงหา ′′(2)
วธิ ีทา 57.1) จาก ( ) = 5 3 − 6 2 + 2 − 3
หาอนพุ นั ธอ์ นั ดบั 1 ของ จะได้ ( ) = (5 3 − 6 2 + 2 − 3)
หรือ ′( ) = 15 2 − 12 + 2
ดังนน้ั อนพุ ันธข์ องฟงั ก์ชัน ที่ ใด ๆ คือ ′( ) = 15 2 − 12 + 2 57.1 ∎
57.2) จาก ′( ) = 15 2 − 12 + 2 57.2 ∎
57.3 ∎
หาอนพุ ันธอ์ ันดบั 2 ของ จะได้ ′( ) = (15 2 − 12 + 2)
หรอื ′′( ) = 30 − 12
ดังน้นั อนุพันธ์อันดับสองของฟงั ก์ชัน ท่ี ใด ๆ คือ ′′( ) = 30 − 12
57.3) จาก ′′( ) = 30 − 12
จะได้ ′′(2) = 30(2) − 12 = 48
จากตวั อยา่ งท่ี 57 จะเห็นว่าอนุพันธ์ของฟังก์ชัน สามารถนาไปหาอนุพันธ์ต่อไดอ้ กี ซ่ึงจะเรยี กผลลพั ธน์ ว้ี ่า อนุพนั ธ์
อันดับท่ี 2 ดังบทนยิ ามต่อไปนี้
∎ บทนิยาม 9 : ให้ เป็นฟังก์ชันท่ีสามารถหาอนพุ ันธ์ได้ และอนพุ นั ธ์ของฟังก์ชัน ที่ x เป็นฟังก์ชันทสี่ ามารถ
หาอนุพนั ธไ์ ด้ จะเรียกอนพุ ันธข์ องฟังก์ชนั ′ ที่ วา่ อนพุ ันธ์อันดับที่ 2 ( )
ของฟงั กช์ ัน ที่ และเขยี นแทนดว้ ย ′′( )
นอกจากสัญลกั ษณ์ ′′( ) แล้วยงั มสี ญั ลกั ษณ์อนื่ ๆ ที่ใช้แทน อนพุ ันธอ์ ันดบั ท่ี 2 ของฟงั กช์ นั ท่ี
เชน่ 2 , 2 ( ) หรอื ′′
2 2
ตัวอย่างท่ี 58 กาหนดให้ ( ) = 2 + 2 − 2 จงหา 47.1) ′( ) 47.2) ′′( ) 47.3) ′′ (1)
วธิ ที า 58.1) จาก 2
( ) = 2 + 2 −
หาอนพุ ันธอ์ นั ดบั 1 ของ จะได้ ( ) = ( 2 + 2 − 2)
= (2 2 + 2 − 2 −1)
หรอื ′( ) = 2 + 2 −2
ดงั นัน้ อนุพนั ธ์ของฟังกช์ ัน ท่ี ใด ๆ คอื ′( ) = 2 + 2 −2 58.1 ∎
58.2) จาก ′( ) = 2 + 2 −2
หาอนพุ นั ธอ์ ันดับ 2 ของ จะได้ ′( ) = (2 + 2 −2)
หรอื ′′( ) = 2 − 4 −3
= 2 − 4
3
ดงั นน้ั อนพุ ันธอ์ นั ดบั สองของฟังกช์ นั ท่ี ใด ๆ คือ 4 58.2 ∎
′′ ( ) = 2 − 3
58.3) จาก ′′( ) = 2 − 4
3
จะได้ 4 58.3 ∎
′′ (2) = 2 − (1) = −2
แคลคูลัสเบ้อื งต้น : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 88
ในทานองเดยี วกัน สามารถกลา่ วถงึ อนุพันธอ์ ันดบั อืน่ ไดด้ ังนี้
อนพุ นั ธ์อนั ดับท่ี 2 ของ เป็นอนุพันธ์ของอนุพันธอ์ ันดบั ที่ 1 ของ
อนุพนั ธอ์ นั ดับที่ 3 ของ เป็นอนุพนั ธ์ของอนพุ ันธ์อันดบั ที่ 2 ของ
อนุพันธอ์ นั ดบั ที่ 4 ของ เปน็ อนุพันธ์ของอนพุ นั ธ์อันดบั ท่ี 3 ของ
อนพุ นั ธ์อนั ดับที่ n ของ เปน็ อนุพันธข์ องอนุพันธอ์ ันดับท่ี − 1 ของ
เขยี นแทนดว้ ยสัญลักษณ์ ดงั นี้
อนุพันธ์อนั ดับท่ี 2 ของ ท่ี x เขยี นแทนด้วย ′′( ) หรอื 2 หรอื ′′
อนพุ นั ธ์อันดบั ท่ี 3 ของ ที่ x เขยี นแทนด้วย ′′′( ) หรอื 2 หรือ ′′′
อนพุ นั ธอ์ นั ดบั ท่ี 4 ของ ท่ี x เขยี นแทนดว้ ย (4)( ) หรือ 3 หรือ (4)
3
4
4
อนุพันธอ์ นั ดบั ท่ี n ของ ท่ี x เขียนแทนด้วย ( )( ) หรอื หรอื ( )
ตวั อยา่ งที่ 59 จงหาอนพุ นั ธอ์ นั ดับท่ี 4 ของ ( ) = 5 4 + 2 3 − + 2 จงหา 59.1) ′′′ (1) และ 59.2) (4)(5)
2
วิธที า 59.1) จาก
( ) = 5 4 + 2 3 − + 2
จะได้ ′( ) = 20 3 + 6 2 − 1
′′( ) = 60 2 + 12
′′′( ) = 120 + 12
ดังนั้น ′′′ (1) = 120(1) + 12 = 72 59.1 ∎
22
59.2) และจาก ′′′( ) = 120 + 12 59.2 ∎
จะได้ (4)( ) = 120
ดังนั้น (4)(5) = 120
ตัวอยา่ งท่ี 60 จงหา ′′(−1) เมื่อ ( ) = 1
2 +1
วธิ ที า จาก ( ) = 1 = (2 + 1)−1
2 +10
จะได้ ′( ) (2 + 1)−1 โดยกฏลูกโซ่ จะได้
= −1 (2 + 1)−2 (2 + 1)
= −1 (2 + 1)−2(2)
= −2 (2 + 1)−2
และ ′′ ( ) = −2(−2) (2 + 1)−3 (2 + 1)
= 4 (2 + 1)−3 (2)
= 8 (2 + 1)−3
= 8
(2 +1)3
ดงั นัน้ ′′ (−1) = 8
(2(−1)+1)3
= −8 60. ∎
เนื่องจากอัตราการเปล่ียนแปลงของ = ( ) เทียบกับ ขณะ ใด ๆ คือ อนุพันธ์ของฟังก์ชัน ที่
ดงั น้ัน อนุพันธ์อันดับท่ี 2 ของ ท่ี คอื อัตราการเปลีย่ นแปลงของ = ′( ) เทียบกับ ขณะ ใด ๆ
แคลคูลสั เบ้อื งตน้ : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 89
กิจกรรมระหวา่ งเรยี น 8 : แบบฝึกหัด 2.7 อนพุ ันธ์อันดบั สูง
1. จงหาอนุพันธอ์ นั ดบั ท่ี 2 และ ′′(−1) ของฟงั กช์ ันตอ่ ไปน้ี
1.1) ( ) = 5 2 − 4 + 2
วิธที า
1.2) ( ) = 5 + 2 + 4 3 − 3 5
วิธที า
1.3) ( ) = 3 4 + 2 + √ − 5
วิธที า
แคลคูลสั เบือ้ งต้น : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 90
1.4) ( ) = 3√ − 2 + 4 2
วธิ ที า
1.5) ( ) = (5 2 − 3)(7 3 + )
วธิ ที า
1.6) ( ) = +1
วิธีทา
1.7) ( ) = 3 −2
5
วธิ ีทา
แคลคูลสั เบอ้ื งตน้ : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 91
2. จงหาอนพุ ันธ์อันดับที่ 3 และ ′′′(1) ของฟงั ก์ชนั ต่อไปนี้
2.1) ( ) = −5 + 5
วิธที า
2.2) ( ) = 5 2 − 4 + 7
วิธที า
2.3) ( ) = 3 −2 + 4 −1 +
วิธที า
แคลคูลัสเบ้อื งต้น : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 92
2.4) ( ) =
+1
วิธที า
3. จงหา ′′′(2) เมอื่ ( ) = 3 2 − 2
วธิ ีทา
แคลคูลสั เบ้ืองตน้ : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 93
4. กาหนดให้ = 6 จงหา 4
4 4
วธิ ีทา
5. กาหนดให้ ( ) = 1 จงหา ( )( ) เมื่อ เป็นจานวนเต็มบวกใด ๆ
1−
วิธีทา
แคลคลู สั เบ้อื งต้น : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 94
∎ 2.7.1 อนุพันธ์ของฟังก์ชนั โดยปริยาย ( ) หรืออนุพนั ธ์ของฟงั กช์ นั แฝง
1. ฟังกช์ นั ทอ่ี ยูใ่ นรูป = ( ) เรยี กวา่ ฟังกช์ นั ชดั เจน ( ) คือ ฟังกช์ ันที่รู้อย่างชัดเจนวา่ อยู่ใน
รปู ของ เช่น = 12 2 + 4 , = 5 3 + 3 2 − 1
2. ฟังก์ชันโดยปริยาย หรือ ฟังก์ชันแฝง ( ) คือ ฟังก์ชันท่ีเราไม่รู้อย่างชัดเจนว่า ตัวแปรใดเป็นตัว
แปรอสิ ระ โดยทีฟ่ งั ก์ชันเหล่านจ้ี ะอยใู่ นรูป ( , ) = 0 หรอื ( , ) =
,เช่น 2 + 2 = 4 4 + 5 6 = 3 , 8 − 4 6 + 3 2 + 2 + 8 = 0 เปน็ ต้น
3. การหาอนพุ ันธ์ของฟงั ก์ชนั แฝง ( ) ทาไดด้ ังน้ี
3.1) ให้มองว่า เป็นฟังก์ชันของ โดยพิจารณาในรูปของฟังก์ชันประกอบ หรือ ( )
โดยให้คดิ วา่ = แล้วให้หาอนุพนั ธ์ของสมการ ( , ) = เทียบกบั ค่า โดยหาอนุพนั ธท์ ัง้ สองขา้ งของสมการ
3.2) ใช้สูตรของกฏลูกโซ่ ( ℎ ℎ ) โดยให้มองว่า = แล้วให้หาอนุพันธ์ของสมการ
( , ) = โดยใชส้ ตู ร ( ) = ∙ −1 เข้าชว่ ยเมอ่ื หา ( ) ซ่งึ จะได้ ( ) = ∙ −1
3.3) การหาอนพุ ันธ์ตวั อนื่ ๆ (ทอ่ี ย่ใู นรูปฟงั ก์ชนั ต่างๆ) หาโดยใชส้ ูตรอนุพันธ์พื้นฐานทไ่ี ด้เรียนมาแลว้
4. จัดสมการในรปู เพอ่ื แก้สมการหาค่า หรือ หาคา่ | หรือ หาอนพุ นั ธอ์ ันดบั สงู ในรปู ตาม
= , =
ต้องการ
ตัวอยา่ งท่ี 61. กาหนดให้ 2 + 2 = 9 จงหา 61.1) 61.2) หาค่า |
=0 , =3
61.3 หาสมการเสน้ สมั ผสั โคง้ สมการ 2 + 2 = 9 ท่จี ุด (0 , 3)
วิธีทา 61.1) หา จาก 2 + 2 = 9 หาอนุพนั ธ์ทั้ง 2 ขา้ ง จะได้
( 2 + 2) = (9)
( 2) + ( 2)
(2 ) + 2 = (9)
=0
2 = −2
−2
= 2
= −
ดงั นั้น = − 61.1 ∎
61.2) หาค่า | จาก = −
=0 , =3 จะได้
| =0 , =3 = −(0)
(3)
= 0 61.2 ∎
61.3 หาสมการเส้นสมั ผสั เสน้ โค้งสมการ 2 + 2 = 9 ทจ่ี ุด (0 , 3)
จาก = − คือสมการความชันของเส้นสมั ผสั เสน้ โคง้ ณ จุด ( , ) ใด ๆ
และจาก | = −(0) = 0 คือความชนั (= ) ของเสน้ สัมผสั เสน้ โคง้ สมการ 2 + 2 = 9
=0 , =3 (3)
ท่จี ุด ( 1 , 1) = (0 , 3) จากสมการเส้นตรง − 1 = ( − 1 )
แทนคา่ จะได้ − 3 = (0) ( − 0 )
− 3 = 0
ซงึ่ จะได้ = 3 คอื สมการเส้นสัมผสั โค้ง (สมการเสน้ ตรง) สมการ 2 + 2 = 9 ทจ่ี ุด (0 , 3) 61.3 ∎
แคลคลู ัสเบอื้ งต้น : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 95
ตวั อย่างที่ 62 กาหนดให้ 3 + 4 6 = 12 จงหา 62.1) 62.2) |
วิธที า 62.1) หา 3 + 4 6 = 12 =1 , =2
จากสมการ หาอนุพันธ์ทง้ั 2 ขา้ ง จะได้
จะได้ [ 3 + 4 6] = [12]
[ 3] + [4 6]
=0
3 2 + 4 ∙ 6 5 =0
24 5
= −3 2
= −3 2
24 5
= −1 2
8 5
= − 1 2 54.1 ∎
8 5
62.2) หา จาก = − 1 2
8 5
| , =2
=1
จะได้ | = − 1 (1)2
=1, =2 8 (2)5
= − 1 54.2 ∎
256
ตวั อย่างท่ี 63. กาหนดให้ 8 + 3 2 = 0
จงหา 63.1) 63.2) | และ 63.3) 2
2
=2, =1
วิธีทา 63.1) หา
จากสมการ 8 + 3 2 = 0 หาอนุพนั ธ์ท้ัง 2 ข้าง จะได้
จะได้ [ 8 + 3 2] = [0] 63.1) ∎
[ 8] + 3 [ 2] =
0
8 7 + 3[( ) ( 2) + ( 2) ( )] =
0
0
8 7 + 3[( ) (2 ) + ( 2)(1)] =
0
−8 7 − 3 2
8 7 + 6 + 3 2 = −8 7−3 2
6
6 =
=
63.2) หา |
=2, =1
จาก = −8 7−3 2
6
จะได้ | = −8(2)7−3(1)
=2 , =1 6(2)(1)
= −8(128)−3(1) 63.2) ∎
12
= −1024−3
12
= −1027
12
แคลคลู ัสเบอื้ งต้น : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 96
ตัวอย่างที่ 64 กาหนดวงรสี มการ 16 2 + 9 2 − 144 = 0 จงหา 64.1)
64.2) |
=2, =3 หรือความชัน ณ จุด (2 ,3) 64.3) สมการเส้นสมั ผสั วงรี ณ จุด (2 , 3)
วิธีทา 64.1) จากวงรสี มการ 16 2 + 9 2 − 144 = 0 หาอนพุ ันธ์
จะได้ (16 2 + 9 2 − 144) = (0)
(16 2) + (9 2) − (144) = (0)
32 + 18 − 0 = 0
18 = −32
= − 32 64.1) ∎
18
64.2) หา | หรอื ความชัน ( ) ณ จดุ (2 ,3)
=2, =3
= 32
18
จะได้ ) หา | = − 32(2) = − 32
=2, =3 18(3) 27
56.1) ∎ นั่นคอื ความชนั ( ) ของเส้นสัมผสั วงรี ณ จดุ (2 ,3) = − 32 64.2) ∎
27
64.3) หาสมการเส้นสัมผัสวงรี (สมการเสน้ ตรง) ณ จดุ (2 , 3)
ใหจ้ ุกด ( 1 , 1) = (2 , 3) จากสมการเสน้ ตรง − 1 = ( − 1 )
แทนคา่ จะได้ − 3 = (− 3272) ( − 2 )
=− 32 64
27 ( ) + 27
=− 32 ( ) − (− 2327) 2
27
=− 32 64
27 ( ) + 27
= − 32 ( ) + 64 + 3
27 27
= − 32 ( ) + 145
27 27
ซง่ึ จะได้ = − 32 ( ) + 145 คือ สมการเส้นสมั ผสั วงรี (สมการเส้นตรง) ทจี่ ุด (2 , 3)
27 27 64.3 ∎
กิจกรรมระหวา่ งเรยี น 9 : 2.7.1 การหาอนพุ ันธข์ องฟงั ก์ชนั โดยปรยิ าย ( )
จงหาอนพุ นั ธข์ องฟงั กช์ นั โดยปรยิ าย ( ) หรืออนุพนั ธข์ องฟังกช์ นั แฝง เมือ่ กาหนด
1. กาหนดให้ 3 + 2 + 2 = 10 จงหา
วิธีทา
แคลคูลสั เบ้ืองต้น : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 97
2. กาหนดให้ 2 3 = 2 2 + 5 จงหา
วิธีทา
3. กาหนดให้ 1 = 3 + 2 2 2 จงหา
วิธีทา
4. กาหนดให้ 2 + 2 2 3 = 7 จงหา 4.1) 4.2) | และ
วธิ ีทา
=1, =−1
แคลคูลสั เบอ้ื งตน้ : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 98
5. กาหนดให้ 4 2 + 2 = 3 2 จงหา 5.1) 5.2) | และ (1.3) 2
2
วิธที า =1, =1
6. กาหนดสมการเส้นโคง้ 4 + 3 − 4 3 = 5 − 1 จงหา
6.1) 6.2) | หรือความชัน ณ จุด (4 , 4) และ 6.3) สมการเสน้ สมั ผสั โค้ง ณ จดุ (4 , 4)
=4, =4
วธิ ีทา
แคลคลู ัสเบื้องต้น : Calculus MA33201 M.6 PAKKRED SECONDARY SCHOOL : 99
7. กาหนดวงรี สมการ 2 + 2 2 + 3 + 4 = 0 จงหา
7.1) 7.2) | หรอื ความชัน ณ จุด (0 , 0) 7.3) สมการเสน้ สมั ผสั โค้ง ณ จดุ (0 , 0)
=0, =0
7.4) | หรือความชัน ณ จดุ (0 , −2) และ 7.5) สมการเสน้ สัมผัสโค้ง ณ จุด (0 , −2)
=0, =−2
วธิ ที า