The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการสอนวิชาภาษาศาสตร์ภาษาไทยสำหรับครู

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by สุวรรณญาโณ ญาณเมธี, 2022-09-03 00:16:19

ภาษาศาสตร์ภาษาไทยสำหรับครู

เอกสารประกอบการสอนวิชาภาษาศาสตร์ภาษาไทยสำหรับครู

เอกสารประกอบการสอน
รายวชิ า ED1019 ภาษาศาสตร์ภาษาไทยสาหรับครู

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

สาขาวชิ าการสอนภาษาไทย คณะศกึ ษาศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตอสี าน

พุทธศกั ราช ๒๕๖๕



คำนำ

เอกสารประกอบการสอนเล่มน้ี ใช้เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการเรียนการสอนในรายวิชา ED1019
ภาษาศาสตร์ภาษาภาษาไทย มีคาอธิบายรายวิชาว่า “ศึกษาทฤษฎีพื้นฐานเกี่ยวกับภาษาศาสตร์และเรียนรู้
องค์ประกอบที่สาคัญของวิชาภาษาศาสตร์ รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างวิชาภาษาศาสตร์กับศาสตร์อ่ืนๆ โดย
การนาความร้ทู างภาษาศาสตร์ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นการสอนภาษาไทย”

เอกสารประกอบการสอนเล่มน้ีมีเนื้อหาประกอบด้วย ดังน้ี บทที่ ๑ ความรู้เบ้ืองต้นเกี่ยวกับ
ภาษาศาสตร์ภาษาไทย บทท่ี ๒ อวยั วะที่ใช้ในการออกเสียงและหน่วยเสียงสระ บทท่ี ๓ หน่วยเสียงพยัญชนะ
และเสียงวรรณยุกต์ บทท่ี ๔ โครงสร้างพยางค์และหน่วยคาในภาษาไทย บทที่ ๕ ประเภทของคาในภาษาไทย
บทที่ ๖ ชนิดของคาในภาษาไทย บทที่ ๗ วลี ประโยค และความหมายในภาษาไทย บทท่ี ๘ การสร้างคาภาษา
บาลสี ันสกฤต

ผูเ้ ขียนหวังเป็นอย่างย่งิ ว่า เอกสารประกอบการสอนเล่มนี้จะเป็นประโยชน์แกน่ ักศึกษา ครูภาษาไทย
และผู้ที่สนใจศึกษาการยืมคาภาษาบาลีสันสกฤตมาใช้ในภาษาไทย หากว่า มีข้อมูลส่วนหนึ่งส่วนใดผิดพลาด
ขอนักปราชญ์ผ้รู ูท้ ้งั หลายชว่ ยชี้แนะ เพ่อื ให้เอกสารประกอบการสอนเล่มนี้มีประโยชน์สูงสุดสบื ไป

ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๕

สำรบญั ข

เรือ่ ง หน้ำ
คานา ก
สารบญั ข
บทท่ี ๑ ความรเู้ บ้ืองต้นเกี่ยวกบั ภาษาศาสตร์ภาษาไทย ๓

๑.๑ ความหมายของภาษาศาสตร์ ๔
๑.๒ ความสาคญั ของภาษาศาสตร์ ๕
๑.๓ ประวตั ิการศึกษาภาษาศาสตร์ ๑๔
๑.๔ สาขาของภาษาศาสตร์ ๒๔
๑.๕ แนวคดิ และทฤษฎีไวยากรณ์ ๓๓
บทท่ี ๒ อวยั วะทใี่ ช้ในการออกเสยี งและหน่วยเสียงสระ ๓๓
๒.๑ อวัยวะทใ่ี ช้ในการออกเสยี ง ๓๗
๒.๒ ความหมายของเสยี ง ๓๘
๒.๓ ลกั ษณะท่ัวไปของเสียง ๔๐
๒.๔ ความหมายของหนว่ ยเสียงสระ ๔๒
๒.๕ ลกั ษณะของหน่วยเสียงสระ ๔๓
๒.๖ รปู และช่ือของหน่วยเสียงสระในภาษาไทย ๔๖
๒.๗ หน่วยเสยี งสระในภาษาไทย ๕๗
บทที่ ๓ หนว่ ยเสียงพยัญชนะและเสยี งวรรณยกุ ต์ ๕๗
๓.๑ ความหมายของเสียงพยัญชนะ ๕๘
๓.๒ ลักษณะของเสยี งพยัญชนะ ๖๐
๓.๓ หนว่ ยเสยี งพยัญชนะ ๖๖
๓.๔ การเทยี บหนว่ ยเสยี งพยัญชนะ ๗๐
๓.๕ ความหมายของเสยี งวรรณยกุ ต์ ๗๑
๓.๖ ประเภทของหน่วยเสียงวรรณยกุ ต์ ๗๖
๓.๗ องคป์ ระกอบของการผันเสียงวรรณยกุ ต์ ๗๗
๓.๘ การผันเสียงวรรณยุกตต์ ามหลกั ภาษาไทย ๘๐
๓.๙ การผนั เสยี งวรรณยกุ ตต์ ามหลักภาษาศาสตร์ภาษาไทย ๘๘
บทที่ ๔ โครงสรา้ งพยางคแ์ ละหน่วยคาในภาษาไทย ๘๘
๔.๑ ความหมายของพยางค์ ๘๙
๔.๒ โครงสร้างคาตามหลักภาษาไทย ๙๐
๔.๓ หน่วยคาในภาษาไทย ๙๒
๔.๔ ส่วนประกอบของพยางค์

เรือ่ ง ค
๔.๕ โครงสร้างของพยางคใ์ นภาษาไทย
๔.๖ โครงสร้างคาพยางคเ์ ดีย่ ว หนำ้
๔.๗ โครงสรา้ งคาสองพยางค์ ๙๓
๔.๘ โครงสรา้ งคาหลายพยางค์ ๙๔
๔.๙ ความหมายของคา ๙๗
๔.๑๐ ลกั ษณะของคามูลหรอื หนว่ ยคา ๑๐๒
๑๐๕
บทที่ ๕ ประเภทของคาในภาษาไทย ๑๐๖
๕.๑ คาซา้ ๑๑๔
๕.๒ คาซอ้ น ๑๑๔
๕.๓ คาประสม ๑๒๒
๕.๔ คาประสาน ๑๒๗
๕.๕ คาสมาส ๑๓๓
๕.๖ คาสนธิ ๑๔๐
๑๔๓
บทที่ ๖ ชนิดของคาในภาษาไทย ๑๕๑
๖.๑ คานาม ๑๕๑
๖.๒ คาสรรพนาม ๑๕๔
๖.๓ คากริยา ๑๕๘
๖.๔ คาวิเศษณ์ ๑๖๑
๖.๕ คาบุพบท ๑๖๓
๖.๖ คาสันธาน ๑๖๓
๖.๗ คาอุทาน ๑๖๕
๑๗๔
บทที่ ๗ วลี ประโยค และความหมายในภาษาไทย ๑๗๔
๗.๑ วลใี นภาษาไทย ๑๘๐
๗.๒ ประโยคในภาษาไทย ๑๘๖
๗.๓ ความหมายของคา ๑๙๙
๑๙๙
บทท่ี ๘ สัมพนั ธสารในภาษาไทย ๒๐๐
๘.๑ ความหมายของสัมพันธสาร ๒๒๑
๘.๒ การเชื่อมโยงความของสัมพนั ธสาร ๒๒๔

บรรณานุกรม
ประวตั ผิ ้เู ขียน



แผนการสอนประจาบท

หัวเรอื่ ง

๑. ความหมายของภาษาศาสตร์
๒. ความสาคัญของภาษาศาสตร์
๓. ประวัตกิ ารศึกษาภาษาศาสตร์
๔. สาขาของภาษาศาสตร์
๕. แนวคิดและทฤษฎีไวยากรณ์

แนวคดิ

หลักการสาคัญของนักภาษาศาสตร์ที่จะต้องยึดถือปฏิบัติหรือผู้ท่ีศึกษาภาษาด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์
คือ ๑) ภาษาศาสตร์ฝึกให้ผู้เรียนใจกว้าง มีใจเป็นกลาง ๒) ภาษาศาสตร์ฝึกให้ผู้เรียนมีความคิดท่ีเป็นเหตุเป็นผล
และเป็นระบบ ๓) ภาษาศาสตร์ทาให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ภาษาอ่ืน ๆ ได้ง่ายและลึกซ้ึงข้ึน ๔) ความรู้สาขาต่าง ๆ
ของภาษาศาสตร์สามารถนาไปประยุกต์กับงานอื่น ๆ ได้อีกมาก เม่ือการศึกษาภาษามีความเจริญมาก จึงมีการจัด
จาแนกหลักการทางภาษาศาสตร์ออกเป็น ๓ สาขา ดังน้ี ๑) ภาษาศาสตร์ทั่วไป (General Linguistics) สามารถ
แบ่งย่อยตามเน้ือหาได้ ๓ สาขา ได้แก่ สรวิทยา หรือสัทวิทยา (Phonology) ไวยากรณ์ (Grammar) ความหมาย
(Semantics) โดยมีแนวคิดและทฤษฎีไวยากรณ์อยู่ ๖ ทฤษฎี ได้แก่ ทฤษฎีไวยากรณ์ดั้งเดิม ทฤษฎีโครงสร้าง
ทฤษฎีโครงสร้าง ทฤษฎีปริวรรต ทฤษฎีไวยากรณ์การก และทฤษฎีแทกมีมิค ๒) ภาษาศาสตร์เชิงประวัติ
(Historical Linguistics) กล่าวคือ การศึกษาภาษาศาสตร์เชิงประวัติ ประกอบด้วย ๒.๑) ความเป็นมาของ
การศึกษาภาษาศาสตร์ในโลกตะวันตก ดังน้ี (๑) การศึกษาภาษาศาสตร์เชิงประวัติและเปรียบเทียบสมัยกรีกและ
โรมัน (๒) การศึกษาภาษาและภาษาศาสตร์ในประเทศตะวันตก ได้แก่ อังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส เยอรมัน และ
รัสเซีย ๒.๒) ความเป็นมาของการศึกษาภาษาศาสตรใ์ นประเทศตะวันออก ได้แก่ อินเดีย จนี ญี่ปุ่น พม่า เวียดนาม
ลาว และมาเลเซีย ๒.๓) ความเป็นมาของการศึกษาภาษาศาสตร์ภาษาไทย ได้แก่ สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา สมัย
รัตนโกสินทร์ตอนต้น สมัยรัตนโกสินทร์สมัยรัชกาลที่ ๕ ถึง พ.ศ. ๒๕๐๔ และสมัยรัตนโกสินทร์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ถึง
พ.ศ. ๒๕๕๖ ๓) ภาษาศาสตร์ประยุกต์ (Applied Linguistics) สามารถจาแนกได้ ๑๘ สาขา ตามพจนานกุ รม ฉบับ
ราชบณั ฑิตยสถาน ปี พ.ศ. ๒๕๕๓

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง



วัตถุประสงค์

เมื่อนกั ศึกษาเรียนจบบทที่ ๑ มีสามารถได้ดังนี้
๑. อธิบายความหมายของภาษาและภาษาศาสตร์ได้
๒. อธิบายความสาคัญของภาษาศาสตร์ต่อการเรียนภาษาไทยได้
๓. อธิบายประวัติการศึกษาภาษาศาสตร์ในสมัยต่าง ๆ ได้
๔. อธิบายความแตกตา่ งของสาขาภาษาศาสตร์ได้
๕. อธิบายแนวคิดทฤษฎีไวยากรณ์ได้

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง



บทที่ ๑
ความรเู้ บ้อื งต้นเกยี่ วกับภาษาศาสตร์ภาษาไทย

ภาษาศาสตร์เป็นเสมือนเครื่องมือท่ีใช้สาหรับศึกษาวิเคราะห์ภาษาด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่ง
เป็นการวิเคราะห์ภาษาตามหลักฐานและมีการตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบด้าน อีกท้ังยังทาการเปรียบเทียบความ
แตกต่างของภาษา ดังน้ัน ภาษาศาสตร์ภาษาไทย คือการศึกษารวบรวมข้อมูลตามหลักภาษาไทยเพื่อนาไป
วิเคราะห์ด้วยกระบวนการของภาษาศาสตรห์ รือจะเรียกวา่ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ก็ได้ ในบทน้ีจะได้กล่าวถึง
ความหมายของภาษาศาสตร์ ลักษณะความสาคัญของภาษาศาสตร์ แนวคิดและประวัติการศึกษาภาษาศาสตร์
สาขาของภาษาศาสตร์ องค์ประกอบของภาษาศาสตร์ และแนวคิดและทฤษฎีภาษาศาสตร์ ดังมีรายละเอียด
ต่อไปนี้

๑.๑ ความหมายของภาษาศาสตร์

อุดม วโรตม์สิกขดิตถ์ (๒๕๔๗ : ๑๔) กล่าวไว้ว่า ภาษาศาสตร์คือวิทยาศาสตร์ทางภาษา หมายถึง
การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับภาษาด้วยวิธีการวิทยาศาสตร์ มีการตั้งสมมุติฐานพิสูจน์หลักเกณฑ์และกฎต่าง ๆ ที่
เกีย่ วกบั โครงสรา้ งและลักษณะของภาษาแต่ละภาษา

คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (๒๕๖๑ : ๖) กล่าวไว้ว่า ภาษาศาสตร์ หมายถึง
การศึกษาภาษาแบบวิทยาศาสตร์ โดยมีวัตถุประสงค์ให้เข้าใจธรรมชาติและโครงสร้างภาษาของมนุษย์ในปัจจุบัน
หรือระยะเวลาใดเวลาหน่ึง เพ่ือตอบปัญหาที่มนุษย์เราต้องการด้านภาษา โดยเฉพาะด้านการสื่อสารอย่างมีระบบ
ซึง่ นักภาษาศาสตร์ (Linguist) ไดน้ าเอาวิธีการทางวิทยาศาสตรม์ าประยุกต์ใช้ในการศึกษาอยา่ งเป็นรูปธรรม และมี
หลกั เกณฑ์ปรากฏที่ชัดเจน

พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ (๒๕๔๗ : ๘๒๓) กล่าวไว้ว่า คาว่า ภาษาศาสตร์ มาจาก
คาในภาษาอังกฤษว่า Linguistic อธิบายว่า ภาษาศาสตร์ หมายถึงวิชาที่ศึกษาภาษาในแง่ต่าง ๆ เช่น เสียง
โครงสร้าง ความหมาย โดยอาศัยวิธีการวิทยาศาสตร์ เช่น การตั้งสมมุติฐาน เก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์เพ่ือ
พสิ ูจน์สมมุติฐานข้อมูลแล้วสรุปผล

วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์ (๒๕๒๑ : ๖) กล่าวไว้ว่า ภาษาศาสตร์เป็นการศึกษาตัวภาษาในฐานะเป็นเนื้อหา
ในตัวของมันเอง ไม่ใช่เป็นการศึกษาภาษาในฐานะเป็นเคร่ืองมือชนิดหน่ึง ฉะน้ัน ภาษาศาสตร์จึงเป็นการศึกษา
ภาษาเชงิ วเิ คราะหค์ ้นคว้าเป็นความพยายามที่จะตอบคาถามต่าง ๆ เกยี่ วกับภาษา

จินดา เฮงสมบูรณ์ (๒๕๔๒ : ๙) กล่าวไว้ว่า ภาษาศาสตร์ คือ การศึกษาภาษาตามแนววิทยาศาสตร์
กล่าวคือ นักภาษาศาสตร์จะทาการศึกษาภาษาตามข้อมูลที่ปรากฏจริง และศึกษาวิเคราะห์ด้วยวิธีการทาง
วิทยาศาสตรอ์ ย่างมีข้ันตอน

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง



สรุปความได้ว่า ภาษาศาสตร์ คือ กระบวนการศึกษาภาษาอย่างเป็นระบบระเบียบตามลาดับข้ันตอนหรือ
เคร่ืองมือสาหรับศึกษาวิเคราะห์ภาษาด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ อันประกอบด้วยการตั้งปัญหา การต้ัง
สมมตุ ิฐาน การรวบรวมขอ้ มูล การวิเคราะหข์ ้อมูล และการสรปุ ผล บนพืน้ ฐานที่ประจักษ์ต่อหลกั ฐาน

๑.๒ ความสาคัญของภาษาศาสตร์

จรลั วิไล จรูญโรจน์ (๒๕๕๒ : ๙ – ๑๒) ได้สรปุ ความสาคัญของภาษาศาสตร์ไว้ ๔ ประการ ดงั น้ี
๑. ภาษาศาสตร์ฝึกให้ผู้เรียนใจกว้าง มีใจเป็นกลาง เพราะภาษาศาสตร์มองภาษาอย่างเป็นวัตถุวิสัย

ไม่ตัดสินความถูกหรือผิด ยอมรับภาษาทุกแบบอย่างที่มันเป็น เม่ือผู้เรียนภาษาได้รับการฝึกฝนให้มองภาษาใน
มมุ มองเช่นน้ี ย่อมทาให้ผู้เรียนภาษาศาสตร์ได้รับการฝกึ ให้มีใจเป็นกลางกับภาษา ใจกว้างยอมรับความแตกตา่ งที่มี
ระหวา่ งภาษาแบบต่าง ๆ รวมทง้ั ยอมรับกล่มุ คนท่ีใช้ภาษาเหล่านั้นด้วย

๒. ภาษาศาสตร์ฝึกให้ผู้เรียนมีความคิดที่เป็นเหตุเป็นผลและเป็นระบบ เพราะความเป็นวิทยาศาสตร์
ของภาษาศาสตร์ส่งผลให้ผเู้ รียนไดร้ ับการฝกึ ให้คิดและทาความเข้าใจภาษาในแง่มุมใหม่ นักภาษาศาสตร์มีแนวโน้ม
ที่จะจัดระบบและสรุปกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของภาษามากกว่าท่ีจะท่องจาอย่างไร้ระบบ นอกจากน้ันแล้วการที่
นักภาษาศาสตร์สนใจที่จะศึกษาปรากฏการณ์ภาษาต่าง ๆ โดยรวมก็ทาให้นักภาษาศาสตร์ได้รับการฝึกให้
เปรียบเทียบหาความเหมอื นความตา่ งระหวา่ งภาษา

๓. ภาษาศาสตร์ทาให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ภาษาอ่ืน ๆ ได้ง่ายและลึกซ้ึงข้ึน เพราะผู้เรียน
ภาษาศาสตร์มีแนวโน้มท่ีจะทาความเข้าใจและจัดระบบมากกว่าท่องจา ดังนั้นในขณะท่ีผู้ไม่ได้เรียนภาษาศาสตร์
ทอ่ งจาส่ิงต่าง ๆ ผู้เรียนภาษาศาสตร์จะจัดระบบความรู้เหล่าน้ันด้วยตัวเองด้วยความเคยชินทาให้เข้าใจได้ลึกซ้ึงขึ้น
และจดจาได้ดีข้ึน โดยท่ีบางคร้ังผู้สอนอาจไม่ได้สรุปกฎต่าง ๆ ให้ แต่ผู้เรียนรู้ภาษาศาสตร์มาแล้วจะสามารถสรุป
กฎได้ด้วยตัวเอง

๔. ความรู้สาขาต่าง ๆ ของภาษาศาสตร์สามารถนาไปประยุกต์กับงานอื่น ๆ ได้อีกมากไม่เฉพาะแต่
ความรู้ในเชิงสัทศาสตร์ที่กล่าวมาเท่าน้ัน เช่นในภาษาศาสตร์จิตวิทยา มีเนื้อหาเกี่ยวกับกลไกข้ันตอนการเรียนรู้
ภาษาของมนุษย์ ถ้าเราไม่มีความรู้ในด้านน้ีเลย เราก็จะไม่ทราบว่าเวลาที่เราสร้างหลักสูตรเพื่อสอนภาษาเรา
จะต้องวางหลักสูตรให้สอนอะไร อย่างไร ในช่วงเวลาใด จึงจะเหมาะสมท่ีสุด แม้ว่าเราจะสามารถหาครูผู้สอนที่มี
ความสามารถมากทางภาษามาสอน แต่ถ้าครูผู้สอนไม่มีความรู้เลยว่ากลไกการเรียนรู้ภาษาของมนุษย์เป็นอย่างไร
ครูย่อมไมส่ ามารถา่ ยทอดความรู้ให้นกั เรียนได้มากเทา่ ที่ควร

นอกจากน้ี ภาษาศาสตร์มีความสาคัญต่อการศึกษาภาษาตามแนววิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นเคร่ืองมือสาหรับ
วิเคราะหภ์ าษาใดภาษาหนึง่ ตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จนิ ดา เฮงสมบูรณ์ (๒๕๔๒ : ๙) มี ๕ ขนั้ ตอนดังนี้

๑. ขั้นต้ังปัญหาหรือประเด็นท่ีสนใจอยากจะศึกษา กล่าวคือ นักภาษาเกิดความสนใจเร่ืองราวของ
ภาษาใดภาษาหน่งึ หรือสนใจภาษาในแงใ่ ดแง่หนึง่ เพื่อศึกษาลักษณะของภาษา ความแตกต่างของภาษาในสมัยต่าง
ๆ และเปรยี บเทียบระหว่างภาษาที่อยู่ใกล้เคียงกันหรือมีลักษณะเหมือนหรอื คลา้ ยกัน

๒. ขั้นต้ังสมมุติฐาน หรือการคาดคะเนผลแห่งการศึกษาไว้ล่วงหน้า เพื่อจะได้กาหนดแนวทางใน
การศึกษาให้ตรงเป้าหมาย การวางสมมุติฐานนี้อาจถูกหรือผิดก็ไม่เป็นส่ิงเสียหาย แต่เป็นประโยชน์ในแง่ที่เร้าใจให้

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง



พิสูจน์ในขั้นต่อไปมากกว่าอย่างไรก็ดี นักภาษาอาจไม่ต้ังสมมุติฐานไว้ล่วงหน้าก็ได้ แต่ศึกษาไปเรื่อย ๆ โดยอาศัย
ทฤษฎที ่ีตนยึดถอื เป็นแนวทาง

๓. ขั้นรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องและจากเจ้าของภาษาที่แท้จริง ซึ่งบางทีเรียกว่า ผู้บอกภาษา
(Informant) ตวั อย่างเช่น ถ้านักภาษาจะศกึ ษาเสียงของภาษาใด ก็จะต้องเก็บคาต่าง ๆ ในภาษาน้นั แล้วบันทึกคา
เหลา่ นน้ั ด้วยสัทอกั ษร

๔. ขน้ั วิเคราะห์ขอ้ มูลอย่างละเอียดและจัดเก็บข้อมูลอยา่ งเป็นระบบ กล่าวคอื นาคาต่าง ๆ ที่รวบรวม
ได้มาจัดคู่เทียบเสียง เพ่ือหาว่าเสียงที่ปรากฏอยู่ในภาษาน้ัน ๆ มีจานวนเท่าใด เป็นเสียงพยัญชนะ สระ หรือ
วรรณยุกต์อย่างละเท่าใด มีลักษณะของเสียง ฐานท่ีเกิดของเสียงอย่างไร เป็นต้น จากน้ันจัดภาษาเป็นระบบ ได้แก่
ระบบเสียง ระบบคา ระบบประโยค และความหมาย เป็นต้น

๕. ข้ันสรุปผลการศึกษาวิเคราะห์ เพ่ือนาไปจัดระบบระเบียบ หมวดหมู่ในภาษา และสรุปเป็น
กฎเกณฑ์ต่อไป

๑.๓ ประวัติการศึกษาภาษาศาสตร์

๑.๓.๑ ความเป็นมาของการศกึ ษาภาษาศาสตร์ในโลกตะวันตก
การศึกษาภาษา ประเทศทางตะวันตกถือว่าเป็นแม่แบบของการศึกษาภาษาและภาษาศาสตร์แก่ชาติอ่ืนๆ
ท่ัวโลก นักปราชญ์ทางภาษาได้คิดค้นวิธีการศึกษา ทดลอง สังเกต อย่างเป็นระบบ แล้วตั้งเป็นทฤษฎีข้ึนมา นาไป
ทดลองใช้แล้วปรับปรุงแก้ไขอย่าง ต่อเนื่องจนเป็นท่ียอมรับกันโดยทั่วไป ซ่ึงวรวรรธน์ ศรียาภัย ( ๒๕๕๖ : ๒๕ –
๓๖) ได้สรุปไว้ ๒ ประเด็น คือ การศึกษาภาษาศาสตร์เชิงประวัติและเปรียบเทียบสมัยกรีกและโรมัน และ
การศกึ ษาภาษาและภาษาศาสตร์ในประเทศทางตะวันตก ดังน้ี

๑) การศกึ ษาภาษาศาสตร์เชิงประวัติและเปรียบเทียบสมัยกรกี และโรมัน
ในโลกทางตะวันตกกรีกและโรมันเป็นชาติที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน มีความเจริญรุ่งเรืองใน
ด้านต่าง ๆ อย่างประจักษ์ได้ชัด โดยปรากฏหลักฐานเจริญทางโบราณดีเป็นเครื่องยืนยัน และเป็นแม่แบบของการ
พัฒนาความเจริญให้เกิดชาติอ่ืน ๆ ในแถบภมู ิภาคดว้ ย

๑.๑) การศกึ ษาภาษาในกรกี
ประมาณ ๕๐๐ ปี ก่อนคริสตกาลหรือประมาณพุทธศักราชที่ ๔๓ กรีกเป็นผู้นาในการศึกษาด้าน
ตา่ ง ๆ ของยุโรป ด้านภาษาศาสตร์ เริ่มต้นศึกษาจากการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างภาษากรีกกับภาษาถิ่น
ของกรีก นักปราชญ์ของกรีกคือเฮโรโดตัส (Herodotus) ได้บันทึกคาภาษาต่างประเทศท่ีเข้ามาปะปนในภาษากรีก
นอกจากน้ันวรรณคดีกรกี ๒ เรื่อง คือ อีเลยี ด (liad) และโอเดสซี (Odyssey) จัดเป็นวรรณคดีชั้นสูงท่ีผู้มีการศึกษา
ต้องศึกษา จึงกลายเป็นวรรณคดีที่มีอิทธิพลในการศึกษาภาษาเป็นอย่างมาก ในยุคเดียวกันนี้ นักปราชญ์คนสาคัญ
ของกรีก คือโสเครตีส (Socretis) เพลโต (Plato) และอริสโตเติล (Aristotle) ในบรรดานักปราชญ์ท้ัง ๓ คนน้ี
เพลโต เป็นผทู้ ี่ศึกษาภาษาไว้มากที่สุด
ประมาณ ๓๐๐ปีก่อนคริสตกาลหรือพ.ศ. ๒๔๓ กลุ่มของสโตอิก (Stoics) มีเซโน (Zeno) เป็น
หัวหน้าคณะได้ศึกษางานท่ีอริสโตเติลศึกษาไว้และเริ่มศึกษาภาษาในด้านความสัมพันธ์ระหว่างรูปและความหมาย
โดยเฉพาะในเรื่องเสียงในภาษา ตัวอักษร และโครงสร้างของคา ต่อมานักปรัชญากลุ่มอเลกซานเดรียน

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง



(Alxandrian) ซ่ึงได้รับอิทธิพลจากกลุ่มสโตอิกให้ความสนใจในการศึกษาท่ีเป็นตัวเขียนอย่างมาก โดยเฉพาะ
วรรณกรรมของโฮเมอร์ (Homer)

ประมาณ ๒๐๐ ปีก่อนคริสตกาลหรือ พ.ศ. ๓๔๓ ร่วมสมัยเดียวกับพระพุทธเจ้า อริสตาชัส
(Aristachus) ซ่ึงเป็นนักปราชญ์ชาวกรีกแห่งเมืองชามอส (Samos) ได้ก่อตั้งสถาบันการศึกษาเก่ียวกับผลงานของ
โฮเมอร์ในแนววิทยาศาสตร์และได้การศึกษาภาษาในระดับไวยากรณ์ให้ก้าวหน้าข้ึนอีก และอริสตาชัสยังเป็นครู
ของไดโอนิซิอุสแทรกซ์ (Dionysius Thrax) ซ่ึงเป็นผู้มีช่ือเสียงโด่งดังจากผลงานเกี่ยวกับไวยากรณ์ภาษากรีก ซึ่ง
แทรกซ์ได้เขียนหนังสือ ‘Technegrammatike’ เป็นหนังสือที่อธิบายถึงโครงสร้างของ ภาษากรีกโดยยึดแนวของ
นักภาษากลุ่มอเลกซานเดรียน แต่ก็มีส่วนท่ีได้รับอิทธิพลจากกลุ่มสโตอิกด้วย แทรกซ์เป็นคนแรกที่ศึกษาเกี่ยวกับ
คาท่ีใช้ในประโยค โดยแบ่งคาออกเป็น ๘ ชนิด คือ คานาม คาสรรพนาม คากริยา คาบุพบท คาวิเศษณ์ คาสันธาน
คานาหน้าหรือตามหลัง คานาม (article) และคากึ่งกริยากึ่งคานาม (participle) ลักษณะการแบ่งคาทั้ง ๘ ชนิด
ของแทรกซ์มีอิทธิพลต่อนักภาษารุ่นหลังมาจนกระทั่งปัจจุบัน (จินดา งามสุทธิ, ๒๕๒๔ : ๓๕ – ๓๗; พิณทิพย์ ทวย
เจรญิ , ๒๕๔๗ : ๒ – ๓; วิโรจน์ อรณุ มานะกลุ , ๒๕๔๙ : ๑๐ – ๑๑)

๑.๒) การศึกษาภาษาในโรมัน
ประมาณคริสต์ศตวรรษท่ี ๑๓ หรือประมาณ พ.ศ. ๑๘๔๓ อาณาจักรโรมันก็ข้ึนมาแทนที่กรีกโดย
โรมันรับเอาความเจริญรุ่งเรืองและศิลปะศาสตร์ในด้านต่าง ๆ มาจากกรีก รวมทั้งวิธีการศึกษาด้วย โรมันใช้ภาษา
ละตินเป็นภาษาราชการ เน่ืองจากอาณาจกั รกรีกที่เจริญสูงสุดอยู่ในสมัยน้ันเส่ือมอานาจลง โรมันก็มีอานาจมากข้ึน
จนแผ่ขยายอาณาเขตไปปกครองทั่วท้ังคาบสมุทรเมดิเตอเรเนียน รวมทั้งอาณาจักรเดิมของกรีกด้วย ในอาณาจักร
เดิมของกรีกมีการใช้ภาษา ๒ ภาษา กล่าวคือ ใช้ภาษากรีกในการติดต่อส่ือสาร แต่ใช้ภาษาละตินเป็นภาษาราชการ
(จินดา งามสุทธิ, ๒๕๒๔ : ๒๘ – ๓๙) ภาษาละตินน้ันมีอิทธิพลต่อภาษาต่าง ๆ ในยุโรป เมื่อภาษาละตินเกิดการ
เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะการต่าง ๆ ในสมัยกลางทาให้เกิดภาษาอ่ืน ๆ อีกหลายภาษา ได้แก่ ภาษาฝร่ังเศส ภาษา
อิตาลี และภาษาสเปน ภาษาเหลา่ น้ีเรยี กวา่ กลุ่มภาษาโรมัน (Romance language)
นักภาษาท่ีศึกษาภาษาโรมันอย่างจริงจังและมีผลงานการศึกษาภาษาปรากฏให้เห็นอย่างเป็น
รูปธรรม ได้แก่ วาโร (Varo) โดนาตัส (Donatus) และพริสเซียน (Priscian)กล่าวสังเขปสาระสาคัญของผลงานได้
ตามลาดับดงั นี้
ในช่วง ๑๑๖ – ๑๒๗ ปีก่อนคริสตกาล หรือประมาณ พ.ศ. ๖๕๙ – ๖๗๐ วาโรผู้คิดค้นและให้
กาเนิดไวยากรณ์โรมัน โดยยึดแนวคิดของนักภาษากลุ่มสโตอิกและอเลกซานเดรียนของกรีกเป็นหลัก งานของวาโร
แพร่หลายมากในสมัยโรมันยุคโบราณ ผลงานการศึกษาของวาโรที่ได้ศึกษาและรวบรวมไว้มี ๒๕เล่ม แต่ที่มีชื่อเสียง
แพร่หลายมี ๔ เล่ม และเล่มท่ีมีชื่อเสียงที่สุดคือ “de lingua latina” หนังสือเล่มนี้อธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงของ
ภาษาละตินว่า เกิดจากคาท่ีแปลมาจากภาษากรีก โดยเปรียบเทียบให้เห็นว่าคาใดท่ีมีรากศัพท์เป็นภาษากรีกถือว่า
เป็นคาท่ีมาจากภาษากรีก แต่ถ้าคาใดที่ไม่ตรงกันก็จะพยายามหาคาท่ีใกล้เคียงกันมาพิจารณาเทียบไว้ ในกรณีที่มี
การสร้างศัพทใ์ หมก่ ็ใช้วิธีการเตมิ คาตามหลักของภาษาในตระกูลมวี ิภัตติปัจจัย
ผลงานการศึกษาของวาโรจาแนกได้ ๓ เรื่อง กล่าวคือ ๑) ที่มาของคา (etymology) เป็น
การศึกษาท่ีมาและประวัติความเป็นมาของคา ปัจจุบันคือวิชานิรุกติศาสตร์ ๒) คา (morphology) วาโรได้แบ่งคา
ออกเป็น ๔ ชนิด ได้แก่ คาที่เก่ียวข้องกับกาลและมีการผัน เช่น คานาม และ คาคุณศัพท์ คาท่ีแสดงกาลและมีการ
ผัน ได้แก่ คากริยา คาที่มีการผันท้ังกาลและการกเรียก ว่ารูปกริยาขยาย (participle) และคาท่ีไม่เป็นท้ังกาลและ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง



การก ไม่มีการผัน เรียกว่า กริยา วิเศษณ์ และ ๓) ประโยค (Syntax) โดยแบ่งประโยคตามกาล คืออดีต ปัจจุบัน
และอนาคต และแบ่งตามลักษณะของประโยคประธานและประโยคกรรม และประโยคท่ีผ่านไปแล้วและประโยคท่ี
ยงั ไมส่ าเร็จเรียบร้อย

ในช่วงประมาณคริสต์วรรษที่ ๔ หรือประมาณ พ.ศ.๙๔๓โดนาตัสมีช่ือเสียงแพร่หลายมาก โดย
ศึกษาภาษาตามแนวการศึกษาของแทรกซ์ ผลงานสาคัญคือการแบ่งคาออกเป็น ๘ ชนิดตามท่ีแทรกซ์แบ่งไว้ ได้แก่
คานาม คาสรรพนาม คากริยา คาบพุ บท คาวเิ ศษณ์ คาสันธาน คากากบั นาม และรูปกรยิ าขยาย

ประมาณ คริสต์วรรษท่ี ๖ หรือ พ.ศ. ๑๑๔๓ พริสเซียนเป็นหัวหน้ากลุ่มนักไวยากรณ์สาคัญของ
โรมัน พยายามมุ่งศึกษาเพ่ือหากฎเกณฑ์ที่ตายตัวมาอธิบายลักษณะของภาษาละตินอย่างมีเหตุผล อย่างไรก็ตามก็
ยังยึดแนวความคิดในการศึกษาภาษาของแทรกซ์เป็นหลัก ผลงานการศึกษาไวยากรณ์ของพริสเชียนมีท้ังหมด ๑๘
เล่ม เล่มสาคัญท่ีสุดคือ “InstitutionesGrammatiae” พริสเชียนได้ศึกษาหน่วยสาคัญในภาษาคือหน่วยเสียงและ
หน่วยคา เสียงเป็นหน่วยเล็กท่ีสุดในภาษาท่ีสามารถเปล่งออกมาได้ นอกจากน้ันยังได้ศึกษาถึงอวัยวะท่ีใช้ในการ
ออกเสียงด้วยแต่ไม่ละเอียดมากส่วนท่ีเกี่ยวข้องกับเร่ืองของคา ซึ่งนับว่าเป็นหน่วยสาคัญที่ สามารถใช้สื่อ
ความหมายได้โดยการเอาหน่วยคามาเรียงต่อกัน และถือว่าหน่วยคานั้นเป็นประโยคเพราะสามารถส่ือความหมาย
ให้เข้าใจกันได้ พริสเชียนแบ่งคาออกเป็น ๘ ชนิด โดยไดร้ ับอิทธพิ ลจากแนวคิดของโดนาตสั และแทรกซ์ คือ คานาม
และคาคุณศัพท์ เป็นคาท่ีแสดงถึงส่ิงของต่าง ๆ และคุณภาพรูปกริยาขยาย (participle) เป็นคาท่ีผันมาจาก
คากริยา มีคุณสมบัติเป็นก่ึงนามก่ึงกริยา แต่ไม่บ่งบุรุษและมาลาคาสรรพนาม ใช้แทนคานาม แสดงบุรุษ เพศ และ
พจน์คากริยาวิเศษณ์คากริยา เป็นคาท่ีผันได้ตามกาลคาบุพบท เกิดหน้าส่วนใดส่วนหนึ่งของประโยคคาอุทาน เป็น
คากลุ่มหนึ่งท่ีคล้ายคากริยา แต่ไม่ใช่กริยาทาหน้าท่ีแสดงความรู้สึกหรือความคิด และคาสันธาน เป็นคา ท่ีใช้
เชื่อมโยงความคิดเห็นให้เช่ือมกัน

๒) การศกึ ษาภาษาและภาษาศาสตร์ในประเทศตะวันตก
ประมาณช่วง คริสต์ศตวรรษที่ ๑๔ – ๑๗ หรือประมาณ พ.ศ. ๑๘๔๓ เป็นต้นมาถึงช่วงคริสตศ์ ตวรรษ
ท่ี ๑๘ – ๑๙ ตอนปลาย ในยุคน้ีชาติทางตะวันตกกลุ่มต่าง ๆ ได้แยกตัวออกมาตั้งเป็นอาณาจักรของตน มีกษัตริย์
ปกครองอาณาเขตภายใต้ระบบการปกครองท่ีเป็นอิสระ ซึ่ง นักภาษาชาติตะวันตกซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากกรีกและ
โรมัน และภาษาท่ีใช้สื่อสารของแต่ละชาติน้ันแม้จะเป็นคนละภาษา แต่ก็ได้รับอิทธิพลมาจากภาษากรีกและโรมัน
ท้ังสิ้น อย่างไรก็ตามเรามิอาจจะกล่าวถึงประวัติการศึกษาภาษาในประเทศทาง ตะวันตกได้ทุกประเทศ ผู้เขียนจึง
ขอกลา่ วถึง ๕ ประเทศ ได้แก่ อังกฤษ อเมรกิ า ฝรัง่ เศส เยอรมัน และรัสเซีย

๒.๑) การศกึ ษาภาษาในองั กฤษ
การศึกษาภาษาและภาษาศาสตร์ในอังกฤษมีนักภาษาคนสาคัญ ๒ คน ได้แก่ จอห์น โฮร์เน
(John Horne Tooke) และเซอร์ วิลเลียมโจนส์ (Sir William Jones) ดังนี้ จอห์น โฮร์เน เป็นนักภาษาศาสตร์ชาว
อังกฤษ มีชีวิตอยู่ในช่วงคริสต์ศักราช ๑๗๓๖ – ๑๘๑๒ หรือ พ.ศ. ๒๒๗๙ – ๒๓๕๕ ได้เขียนหนังสือทางภาษาเล่ม
สาคัญคือ “EpeaPteroenta” หรือ “Diversions in purley” ในหนังสือดังกล่าวได้แสดงทฤษฎีเกี่ยวกับธรรมชาติ
ของภาษา ส่วนเซอร์ วิลเลียมโจนส์ เป็นนักภาษาศาสตร์ชาวอังกฤษเช่นกัน มีชีวิตอยู่ในช่วงคริสต์ศักราช ๑๗๔๖ –
๑๗๙๔ หรือ พ.ศ. ๒๒๘๙ – ๒๓๓๗ ได้เขียนผลงานการศึกษาภาษาเรื่อง “Asiatick Researches” ลงตีพิมพ์ใน
วารสารของสมาคมเอเชีย โดยกล่าวว่าภาษาสันสกฤตมีความคล้ายคลึงกับภาษากรีกและละตินมาก ทั้งในด้านราก
ศพั ท์ กริยา และระบบไวยากรณ์ จนน่าจะไม่ใช่เหตบุ ังเอิญที่จะไปคล้ายคลึงกนั เช่นนั้นได้ จึงเป็นเหตุผลให้นักนิรุกติ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง



ศาสตร์ต่างก็ลงความเห็นว่าภาษาดังกล่าวมาจากภาษาต้นกาเนิดภาษาเดียวกัน แต่ภาษาต้นกาเนิดนั้นหายไปแล้ว
แนวคิดของเซอร์ วิลเลียมโจนส์ ได้กระตุ้นนักนิรุกติศาสตร์ในสมัยนั้นให้ศึกษาภาษาในเชิงประวัติเป็นอย่างมาก
การศึกษาภาษาสันสกฤตเป็นการช่วยยืนยันข้อสรุปเกี่ยวกับระเบียบเปรียบเทียบที่ว่า ภาษาต่าง ๆ มีความสัมพันธ์
เด่นชัดในแง่ไวยากรณ์จะต้องมีความสัมพันธ์กันทางเช้ือชาติของภาษาไม่ใช่เพราะเหตุบังเอิญ นอกจากน้ันในสมัยน้ี
ได้มีการเสนอการสืบสร้าง (reconstruct) ภาษาต้นกาเนิดหรือภาษาแม่ (proto-language) ของภาษาต่าง ๆ ท่ีสืบ
ทอดมาในปัจจุบันด้วย (พัชรี พลาวงศ์, ๒๕๓๗ : ๕๔; ดุษฎีพร ชานิโรคศานต์, ๒๕๒๖ : ๔; เปรมจิต ชนะวงศ์,
๒๕๔๕ : ๒๗) ในสมัยนี้จึงได้มีการศึกษาภาษาโดยนาภาษามาเปรียบเทียบกันทาให้เกิดสาขาใหม่ คือ นิรุกติศาสตร์
เปรียบเทียบ (Comparative philology) ซึ่งในช่วงระยะเวลาระหว่างคริสต์ศตวรรษท่ี ๑๘ – ๑๙ หรือ พ.ศ.
๒๒๔๓ – ๒๓๔๓ สาขาวิชาน้รี ุ่งเรืองมาก

๒.๒) การศกึ ษาภาษาในอเมรกิ า
การศึกษาภาษาและภาษาศาสตร์ในอเมริกามีการพัฒนาการศึกษาอย่างกว้างขวาง โดยในระยะน้ี
จะเน้นในด้านภาษาศาสตร์เชิงประวัติและเปรียบเทียบเช่นเดียวกับในอังกฤษ นักภาษาศาสตร์ที่มีผลงานโดนเด่น
และจะกล่าวถึงในท่ีน้ี คือวิตนีย์ (W.D.Whitney) ปีเตอร์สเตรเวนส์ (Peter Strevens) และโทมัสปีเลส (Thomas
Pyles) (พชั รี พลาวงศ,์ ๒๕๓๒ : ๒๔๙ – ๒๕๖) ดังน้ี
วติ นีย์เป็นนักภาษาศาสตร์ชาวอเมริกนั ไดศ้ ึกษาภาษาศาสตร์เชิงประวัติและเปรียบเทียบ มีผลงาน
การศึกษาท่ีสาคัญเร่ือง “language and the study of language” ซ่ึงได้อธิบายถึง “ข้อยกเว้น” ในแง่ของแนว
เทียบผิด (false analogy) ต่อมาใช้คาว่าแนวเทียบ (analogy) การใช้แนวเทียบจะทาให้มี “ข้อยกเว้น” ได้ เช่น
“bring” และ “fight” เด็ก ๆ อาจสร้างศัพท์ แสดงอดีตกาลเป็น “bringed” และ “fighted” ตามแนวเทียบรูป
ศพั ทแ์ สดงอดีตกาลส่วนใหญ่
ปีเตอร์สเตรเวนส์ มีผลงานการศึกษาภาษาศาสตร์เชิงประวัติและเปรียบเทียบเร่ือง “British and
American English” โดยศึกษาว่าภาษาอังกฤษที่ใช้กันอยู่ในอเมริกานั้นได้รับอิทธิพลทางภาษาจากเจ้าของท้องถ่ิน
เดิมคือพวกอเมริกันอินเดียน (American Indian) เช่นได้ยืมคา “chip”, “munk”, “tepee” และ “skunk” ท้ัง
ยังได้รับอิทธิพลทางภาษาจากชนชาติอื่นที่เข้ามาต้ังหลักแหล่งอยู่ในอเมริกา เช่น ฝรั่งเศส เยอรมัน สเปน อัฟริกัน
และภาษาจากพวกอพยพในสมัยศตวรรษท่ี ๑๔ หรือ ประมาณ พ.ศ. ๑๘๔๓ เช่น ชาวอิตาเลียน โดยเฉพาะคาที่
เก่ยี วกบั อาหาร เช่น “chop”, “Suey”, “Chow”, “mein” และ “fan-tan” เป็นต้น
โทมัสปีเลส มีผลงาน เร่ือง “the origins and development of the English language” เป็น
การศึกษาเกี่ยวกับวิวฒั นาการของภาษาอังกฤษ เพื่อทาความเข้าใจความหมายของคาศัพท์ภาษาอังกฤษปัจจุบันว่า
แต่เดิมคาน้ันมีความหมายว่าอย่างไร เป็นคาด้ังเดิมในภาษาหรือว่าเป็นคายืม การศึกษาประวัติของคาดังกล่าวนี้จะ
ทาให้วิวัฒนาการของการเปลี่ยนแปลงในคาศัพท์ โดยมีการเปล่ียนแปลงหลายลักษณะ เช่น ความหมายเดิม อาจ
เป็นความหมายท่ีใช้ในวงแคบ ๆ ปัจจุบันความหมายของคาน้ันกว้างข้ึนหรือเป็นไปในทางกลับกัน ความหมายเดิม
อาจหมายถึงส่ิงดีงาม ปัจจุบันความหมายเปน็ ไปในทางไม่ดี ความหมาย เปล่ียนไปเพราะเกิดเป็นคาไมส่ ุภาพ ห้ามมิ
ให้พูด จึงเกิดศัพท์ใหม่มาแทน ความหมายเปล่ียนไป โดยข้ึนอยู่กับกลุ่มผู้ใช้ภาษา ความหมายของคาเปล่ียนไป
เพราะการเปล่ียนแปลงทางประสาน สัมผัส (Synesthesia) ความหมายเปล่ียนไปแต่ใช้ศัพท์เดิมเพราะมี
ความหมายเดิมของคาอยู่ (association of ideas) และความหมายเปล่ียนไปแต่ยังมีความหมายเดิมอยู่บ้าง

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง



(transfer of meaning) โดยนาศัพท์นี้ไปใช้ในความหมายอื่นด้านอุปมา และใช้ศัพท์น้ีหลาย ๆ ความหมาย เรียกว่า
เปน็ การใช้ในความหมายของการกระจายไปสู่ความหมายอ่ืน ๆ (radiation)

๒.๓) การศกึ ษาภาษาในฝร่งั เศส
คริสต์ศักราช ๑๕๓๙ หรือ พ.ศ. ๒๐๘๒ ได้มีการประกาศให้ภาษาฝร่ังเศสเป็นภาษาประจาชาติ
อย่างเป็นทางการตามพระราชบัญญัติของพระเจ้าฟรองซัวส์ที่ ๑ (Francois ler) ต่อมาคริสต์ศักราช ๑๖๔๗ หรือ
พ.ศ. ๒๑๙๐ โวเฌอลาส์ (Vaugelas) ได้ตพี ิมพ์หนังสือเรื่อง “ข้อสังเกตเก่ียวกับภาษาฝร่ังเศส” (remarquessur la
langue franaise) โดยยึดเอาภาษาที่ใช้ในราชสานักและภาษาของคนบางกลุ่มมาเป็นบรรทัดฐานของภาษาที่
ถกู ต้อง เช่น นักเขียน บุคคลในสังคมชั้นสงู จากนน้ั ภาษาจึงค่อย ๆ กลายมาเป็นเคร่ืองมือแบง่ ชนชั้นทางสังคม
เมื่อคริสต์ศักราช ๑๙๑๖ หรือ พ.ศ. ๒๔๕๙ ชาร์ลส์ บัลลี (Charles Baly) และอัลแบรดต์ เซ
อเชอเอย์ (Albert Setcher ซึ่งเป็นศิษย์ของแฟร์ดินองด์เดอโซซร์ ร่วมกันจัดพิมพ์หนังสือชื่อ “วิชาภาษาศาสตร์ท่ัว
ของแฟร์ดินองด์เดอโซซูร์” (cours de lingistique de Ferdinand de Saussure) หนังสือดังกล่าวเป็นการ
ร ว บ ร ว ม อ ง ค์ ค ว า ม รู้ ด้ า น ภ า ษ า แ ล ะ ภ า ษ า ศ า ส ต ร์ ท่ี ได้ บั นทึ ก เ อ า ไ ว้ ร ะ ห ว่ า ง เ ข้ า ฟั ง ก า ร บ ร ร ย า ยข อ ง โ ซ ซู ร์ ท่ี
มหาวิทยาลัยแห่งกรุงเจนีวา ตั้งแต่คริสต์ศักราช ๑๙๐๖ – ๑๙๑๑ หรือ พ.ศ. ๒๔๔๙ – ๒๔๕๔ โซซูร์พยายาม
ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างวิชาภาษาศาสตร์กับวิชาภาษาและวรรณคดี (philologie) และกล่าวไว้ตอนหน่ึง
ว่าวิชาภาษาศาสตร์มีจุดประสงค์ที่มุ่งเน้นศึกษาเฉพาะเรื่องของภาษาเพื่อภาษาอย่างแท้จริงเพียงอย่างเดียว โซซูร์
ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นาของวิชาภาษาศาสตร์สมัยใหม่ เพราะได้นาเอาหลักการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ใน
การศึกษาภาษาก่อนใคร และได้นาเสนอทฤษฎีต่าง ๆ ที่ใช้อ้างอิงไปทั่วโลกจนกระทั่งปัจจุบัน (สัญชัญ สุลักษณา
นนท,์ ๒๕๔๒ : ๙ – ๑๑)
๒.๔) การศึกษาภาษาในเยอรมัน
ก า ร ศึ ก ษ า ภ า ษ า ศ า ส ต ร์ ใ น เ ย อ ร มั น จ ะ เ น้ น ด้ า น ภ า ษ า ศ า ส ต ร์ เ ชิ ง ป ร ะ วั ติ แ ล ะ เ ป รี ย บ เ ที ย บ
นักภาษาศาสตร์คนสาคัญคือจาร์คอบ กริมม์ (Jacob Grimm) มีชีวิตอยู่ในช่วงคริสต์ศักราช ๑๗๕๘ – ๑๘๖๓ หรือ
พ.ศ. ๒๓๑๐ – ๒๔๐๖ กริมม์ได้รับการตีพิมพ์หนังสือ “Deutche Grammtic” เผยแพร่เมื่อคริสต์ศักราช ๑๘๑๘
หรือ พ.ศ. ๒๓๖๑ โดยเปรียบเทียบโครงสร้างไวยากรณ์ภาษาในกลุ่มเยอรมันนิกทั้งภาษาโบราณและภาษาปัจจุบัน
ทั้งน้ีกริมม์ได้เสนอกฎการเคลื่อนเสียงแล้ว ต่อมามีนักภาษาศาสตร์ชาวเยอรมัน คือกราสมันน์ (Hermann
Grassmann) ชเลเกล (Welhelm Von Schlegel) ปอปป์ (Franz Bopp) โจฮันน์ (Johann Christoff Adelung)
เกราส์ (Christian Jakob Kraus) ล้วนแตศ่ ึกษาเพิม่ เติมและสรา้ งทฤษฎีของตนเอง
๒.๕) การศึกษาภาษาในรัสเซีย
การศึกษาภาษาและภาษาศาสตร์ ผู้มีบทบาทสาคญั ในการศึกษาคร้ังน้ีคือ สมเด็จพระจกั รพรรดินี
นาถแคทเธอรีน ที่ ๒ ทรงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาเชิงสารวจภาษาต่าง ๆ ท่ัวโลก โดยทรงจัดเตรียมรายการ
คาศัพท์ชุดหนึ่ง ให้เจ้าหน้าท่ีซ่ึงประจาอยู่ ณ ประเทศต่าง ๆ เป็นผู้สารวจความหมายของรายการคาศัพท์ใน
ประเทศน้ัน ๆ มาถวาย และทรงมอบหมายให้ปัลลัส (Simon Pallas) เป็นผู้ดาเนินการจัดพิมพ์หนังสือช่ือ
“inguarum totius orbis Vocabularia Compartiva” ซึ่งงานช้ินน้ีมีความผิดพลาดด้านการจัดพิมพ์ จุดที่
ผิดพลาดมากที่สุดคือการถ่ายถอดเสียง และในคริสต์ศักราช ๑๗๖๘ – ๑๗๘๗ หรือ พ.ศ. ๒๓๑๑ – ๒๓๓๐ ได้มี
การจัดพิมพ์ใหม่ ผลงานการศึกษานี้ประกอบด้วยคาศัพท์จากภาษาถ่ินต่าง ๆ ๒๐๐ ภาษา เป็นภาษาในประเทศ
ทางเอเชียและประเทศทางยุโรป ๕๑ ประเทศ ต่อมาในคริสต์ศักราช ๑๗๙๑ หรือ พ.ศ. ๒๓๓๔ ได้จัดพิมพ์เพิ่มมี

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๑๐

จานวน ๔ เล่ม และมีคาจากภาษาถิ่นต่าง ๆ จานวน ๒๗๒ ภาษา และได้เพ่ิมรายการคาจากภาษาในอัฟริกาและ
อเมริกาดว้ ย (ดุษฎีพร ชานโิ รคศานต์, ๒๕๒๖ : ๓)

๑.๓.๒ ความเปน็ มาของการศกึ ษาภาษาศาสตร์ในประเทศตะวันออก
ประวัติความเป็นมาของการศึกษาภาษาและภาษาศาสตร์ของประเทศต่าง ๆ ในประเทศตะวันออก
ซ่ึงวรวรรธน์ ศรียาภัย ( ๒๕๕๖ : ๓๗ – ๔๐) ได้สรุปข้อมูลท่ีน่าสนใจที่เก่ียวกับประวัติการศึกษาภาษาของชาติท่ีมี
ความเจรญิ ทางด้านนี้ ไดแ้ ก่ อนิ เดีย จีน ญีป่ ุน่ พมา่ เวยี ดนาม ลาว และมาเลเซีย ดงั นี้

๑) การศึกษาภาษาในอินเดีย
นักปราชญ์ผู้มีผลงานด้านภาษาอย่างยอดเยี่ยมนับต้ังแต่โบราณจนกระท่ังปัจจุบันคือปาณินิ (Panini)
ซ่ึงเป็นที่รู้จักกันท่ัวโลก จากผลงานการศึกษาทางภาษาเรื่อง “อัษฏาธยายี” ซ่ึงศึกษาภาษาสันสกฤตท้ังในเชิง
วรรณนาและเชิงประวัติและเปรียบเทียบ ผลงานดังกล่าวมีอายุอยู่ในช่วง ๑๐๐ ปีก่อน พ.ศ. ถึง พ.ศ. ๑๐๐ หรือ
ช่วง ๖๐๐ – ๕๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช แต่ผลงานดังกล่าวเพ่ิงจะค้นพบในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษท่ี ๑๘ หรือไม่
น้อยกว่า พ.ศ. ๒๓๔๓ ถือได้ว่าเป็นผลงานการศึกษาที่ล้ายุคสมัยเป็นอันมาก กล่าวคือศึกษาภาษาโดยไม่เน้นแต่
เพียงไวยากรณ์ โดยจะศึกษาเร่ืองเสียงของคาพูดด้วย ปาณินิไดศ้ ึกษาภาษาสนั สกฤตยุคแรกสุดที่พราหมณ์ประดิษฐ์
แต่งบทสวดหรือพระเวทต่าง ๆ โดยบทสวดเหล่าน้ันจะแตกต่างกัน เน่ืองจากอยู่คนละท้องถิ่นและช่วงสมัยของ
เวลาแต่งก็แตกต่างกันด้วย ทาให้หลักเกณฑ์ทางภาษาไม่ตรงกันหลายประการ จึงนาภาษาในบทสวดเหล่านั้นมา
ศึกษาแจกแจงวางหลักเกณฑ์ใหม่ให้รัดกุม สรุปเป็นสูตรไว้ ๔,๐๐๐ ข้อ โดยแบ่งออกเป็น ๘ บทแต่ละบทจัดระบบ
และอธิบายโครงสร้างของภาษาอย่างละเอียด กระทั่งปัจจุบันก็ยังไม่มีนักภาษาศาสตร์ ศึกษาภาษาสันสกฤตได้
สมบูรณ์เท่าปาณินิ ทั้งน้ี นักภาษาศาสตร์ช่ือโวลเนอร์ (A.C.Woolner, 1975 : 1 – 2) ซึ่งศึกษาภาษาบาลีและ
สันสกฤตเชิงเปรียบเทียบ ซ่ึงพิจารณาจากลักษณะโครงสร้างทางไวยากรณ์แล้วสรุปว่าเป็นคนละภาษา แต่มาจาก
ภาษาตน้ กาเนิดเดียวกันคือภาษาอินโด-อารยัน
๒) การศึกษาภาษาในจีน ญปี่ ุ่นและพม่า
จีนมีประวัติความเป็นมาอันยาวนานร่วมสมัยเดียวกับกรีกและโรมัน เป็นชาติทางตะวันออกท่ีมีความ
เจริญรุ่งเรืองด้านต่าง ๆ อย่างเห็นได้เด่นชัด ในด้านการศึกษาภาษาและภาษาศาสตร์ ตัวอักษรของจีนนับได้ว่าเป็น
อักษรเก่าแก่ชนิดหนึ่งของโลก ทั้งยังพัฒนาไปเป็นแม่แบบตัวอักษรแก่ชาติใกล้เคียง ได้แก่ เกาหลี และญ่ีปุ่น
ตามลาดับ จะเห็นได้ว่าในด้านอักษรน้ัน อักษรญ่ีปุ่น เกาหลีอยใู่ นกลุ่มเดยี วกับจีน แต่ในด้านภาษาพูดอยู่คนละกลุ่ม
เฉพาะภาษาพูดของจีนน้ันจัดอยู่ในตระกูลภาษาจีน-ทิเบต (sini-tibetan languages) เหมือนกับภาษาพม่า มี
ภาษาย่อยประมาณ ๓๐๐ ภาษา ประวัติการศึกษาภาษาในจีน ญี่ปุ่น และพม่า เฉพาะประเด็นท่ีน่าสนใจและเป็น
ประโยชน์ทางวิชาการกลา่ วโดยสงั เขปได้ (สรุ ิยา รัตนกลุ , ๒๕๓๑ : ๑๖๐; ปรยี า องิ คาภริ มย์, ๒๕๔๘) ดังนี้
พวกมิชชันนารี (missionary) มาเผยแพร่ศาสนาคริสต์และได้ศึกษาภาษาจีนด้วย ริชชี (Ricci) เป็นคน
แรกที่บันทึกความแตกตา่ งระหว่างภาษาจีนกบั ภาษาตะวนั ตก ช่วงปลายคริสตศ์ ตวรรษท่ี ๑๖ หรือไมน่ ้อยกว่า พ.ศ.
๒๐๔๓ ภาษาจีนเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในโลกตะวันตก ผลงานการศึกษาภาษาและไวยากรณ์จีนเล่มแรกที่
ตีพิมพ์เป็นภาษาตะวันตก คือผลงานของฟรานซิสโก วาโร (Francisco Varo) แต่เดิมภาษาจีนเป็นภาษาไม่มี
วรรณยุกต์ เมื่อ พ.ศ. ๑๐๓๒ พระภิกษุได้ไปเผยแผ่พุทธศาสนาในจีน ก็ได้คิดค้นและเผยแพร่การใช้วรรณยุกต์ใน
ภาษาจีนนับตั้งแต่บัดน้ันมา

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๑

ส่วนการศึกษาภาษาในญี่ปุ่นน้ัน ฮัตโตริ ชิโร (Hattori Shiroo) กล่าวไว้ว่าภาษาญี่ปุ่น ภาษาไอนุ และ
ภาษาอื่น ๆ เช่น ภาษาจีน ภาษาพม่า ภาษาออสโตรเนเชีย ภาษากรีก และไอริช มีความคล้ายคลึงกัน แต่ยังไม่
สามารถอธิบายให้ชัดเจนได้ตามหลักภาษาศาสตร์ นอกจากน้ันมุระยะมะ (Murayama) และโอบะยาชิ ทาเรียว
(Oobayaashi Taryoo) กล่าวไว้ว่า ภาษาญ่ีปุ่นเป็นภาษาที่สืบทอดกันเป็นเวลากว่า ๒,๐๐๐ ปี และเป็นภาษาที่สืบ
ทอดมาจากภาษาของชาวเกาะทางใต้ผสมกับภาษาอัลไตหรือภาษาอูรัลอันโต ส่วนกิ-โมน-เล (Ki-moon-Lee)
สรุปวา่ ภาษาญ่ีปุ่นมาจากภาษาโคครุ ิว (kogurye) ซงึ่ เปน็ ภาษาถิ่นหน่ึงของเกาหลี

การศึกษาภาษาและภาษาศาสตร์ในพม่า นักภาษาศาสตร์ชาวตะวันตกจัดภาษาพม่าอยู่ในตระกูล
ภาษาจีน-ทิเบต โรเบิร์ด เชเฟอร์ (Robert Shafer) และรอบบินส์ เบอลิง (Robbins Burling) เป็นนักภาษาศาสตร์
ที่มีผลงานการศึกษาภาษาพม่า โดยโรเบริ ์ด เชเฟอร์ มีผลงานการศึกษาเม่อื ครสิ ต์ศกั ราช ๑๙๕๕ หรือ พ.ศ. ๒๔๙๘
ได้แบ่งภาษาตระกูลจีน-ทิเบต ออกเป็น ๖ สาขา ในสาขาที่ ๔ คือสาขาพม่า (Burmish Section) แบ่งย่อยได้ ๘
สาขา และแต่ละสาขายังมีแขนงย่อยอีกด้วย เช่น สาขาย่อยพม่า (Burmish Division) มี ๔ แขนง อาทิ แขนงพม่า
(burma branch) จะอยู่ในประเทศพม่า มีกลุ่มเหนือและกลุม่ ใต้ แขนงโลโล (Lolo Branch) อยู่ทางตอนเหนือของ
พม่า ตอนเหนือของเวียดนาม และตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ส่วนนักภาษาชื่อรอบบินส์ เบอลิง สนใจศึกษาเจาะจง
แต่ภาษาพม่าเพียงภาษาเดียว คริสต์ศักราช ๑๙๗๖ หรือ พ.ศ. ๒๕๑๙ ได้เผยแพร่ผลการศึกษาภาษาพม่า โดยนา
ภาษาพม่าสาขาโลโล ๖ ภาษา คือ พม่า (Burmese) อัตชี (Atsi) มารู (Maru) ลีซอ (Lisa) มูเซอ (Lahu) และอีก้อ
(Akha) มาศึกษาเพื่อ ค้นหาภาษาโลโล-พม่าด้ังเดิม (proto Lolo-Burmese) โดยสรุปว่าภาษาพม่ากับภาษาอัตชี
ภาษามารูมีความสัมพันธ์กันมาก สามารถสร้างเป็นภาษาพม่าด้ังเดิมได้ ส่วนภาษาอีก้อกับภาษามูเซอมี
ความสมั พนั ธ์กันมากเช่นกันจนสามารถหาภาษาโลโลดั้งเดิมได้

๓) การศกึ ษาภาษาในเวียดนามและลาว
ภาษาเวียดนามอยู่ในตระกูลออสโตรเอเชียติก (austro-asiatic) ส่วนภาษาลาวอยู่ในตระกูลไท
เช่นเดียวกบั ภาษาไทย การศึกษาภาษาเวียดนาม ส่วนใหญ่เป็นผลงานของบาทหลวงที่มาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ ได้แก่
อเล็กซองดร์ เดอ โรดส์ (Alexandre de Rhoodes) ซ่ึงเป็นการศึกษาเพื่อการสื่อสาร ต่อจากน้ันมีนักภาษาศาสตร์
ชาวตะวันตก โดยเฉพาะจากประเทศฝรั่งเศสสนใจศึกษาภาษาเวียดนามมากข้ึน โดยเฉพาะจะมุ่งศึกษาตามแนว
ภาษาศาสตร์เชงิ ประวัติและเปรยี บเทยี บ นักภาษาศาสตร์คนสาคัญ เชน่ เจมส์ อาร.์ โลกัน (James R.Logan) อ็
องรี มาสเปโร (Henir Maspero) และช็อง ปรีซ์ลุสกี (Jean Przyluski) คริสต์ศักราช ๑๘๕๖ หรือ พ.ศ. ๒๓๙๙
เจมส์ อาร์ โลกัน เสนอบทความโดยมีใจความสาคัญสรุปได้ว่าภาษามอญกับภาษาเวียดนามมีความสัมพันธ์กัน
ต่อจากน้ันอ็องรี มาสเปโร ได้เขียนบทความอธิบายระบบเสียงภาษาเวียดนามและค้นพบว่าภาษาเวียดนามเป็น
ภาษาที่มีวรรณยุกต์ ทาให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างภาษาเวียดนามกับภาษาอื่น ๆ ในตระกูลออสโตรเอเชียติก
เมื่อคริสต์ศักราช ๑๙๒๑ หรือ พ.ศ. ๒๔๖๔ ช็อง ปรีซ์ลุสกี ศึกษาระบบคาไวยากรณ์ของภาษาเวียดนาม และศึกษา
ภาษาต่าง ๆ ในตระกูลออสโตรเอเชียติก แล้วแบ่งภาษาออกเป็น ๓ กลุ่ม คือ กลุ่มภาษามอญ-เขมร กลุ่มภาษา
เวียดนาม และกลุ่มภาษามุนดา ทั้งนี้ ช็อง ปรีซ์ลสกี แยกภาษาเวียดนามออกเป็นกลุ่มหน่ึงตา่ งหากเพราะมีลกั ษณะ
พิเศษนั่นคอื มีวรรณยกุ ต์
ส่วนการศึกษาภาษาและภาษาศาสตร์ในลาว มีนักภาษาศาสตร์ชาวไทย ได้แก่ ศาสตราจารย์
ดร.ธีระพันธ์ เหลืองทองคา สนใจศึกษาภาษาในประเทศลาวแต่เป็นภาษาถิ่นของลาว ในตระกูลมอญ-เขมร ได้แก่
ผลงานเรอ่ื ง “ภาษาและวฒั นธรรมของชนเผ่าในแขวงเซกองสาธารณรฐั ประชาธิปไตยประชาชนลาวเพ่ือเป็นความรู้

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๒

พ้ืนฐานในการวิจัยและพัฒนา” ในพ.ศ. ๒๕๔๐ – ๒๕๔๔ ในด้านระบบการเขียนของลาวที่ใช้อยู่ในปัจจุบันน้ันใช้
ตามแบบแผนของท่านภูมี วงศ์วิจิตร ซ่ึงให้สะกดตามเสียงพูด และเริ่มใช้อย่างเป็นทางการหลังจากลาว
เปลยี่ นแปลงการปกครอง เม่อื พ.ศ. ๒๕๑๘ เป็นต้นมาจนกระท่งั ปัจจุบัน

๔) การศกึ ษาภาษาในมาเลเซีย
ภาษามาเลเซียจัดอยู่ในภาษาตระกูลมาลาโยโปลิเนเซียน (malayapolynesian) หรือออสโตร เน
เซียน (Austronesian) นักภาษาศาสตร์ท่ีศึกษาภาษามาเลเซียได้แก่ อิสมาล ฮุเซอิน (Itmial Husein, 1981 : 4 –
5 อ้างจากรัตติยา สาและ, ๒๕๒๙ : ๑ – ๔) แบ่งภาษาในตระกูลมาลาโยโปลิเนเซียนออกเป็น ๓ สาขา ได้แก่สาขา
ภาษาหมู่เกาะมลายู (bahasa nusantara) สาขาภาษาเมลาเนเซีย (bahasa Melonesia) และสาขาภาษาโปลีเน
เซยี (bahasa polinesia) ภาษาในหมู่เกาะมลายูมีภาษาถ่ินย่อยประมาณ ๑๕๐ – ๒๐๐ ภาษา
ภาษามลายสู ามารถแบ่งได้หลายภาษาถ่ินย่อยตามสาเนียงในท้องถิน่ ต่าง ๆ แม้วา่ ภาษาพูดจะแตกต่าง
กนั แต่ภาษาเขียนเป็นภาษามาตรฐานเดียวกัน คือภาษามาตรฐานมลายู (malay standard) ภาษามลายูมาตรฐาน
น่าจะเป็นภาษาสาเนียงเมืองเรียว (Riau) ในอินโดนีเซีย ต่อมาดังกล่าวได้พัฒนามาเป็นภาษามาตรฐานของ
มาเลเซีย อนิ โดนีเซีย และบรโู น (รตั ติยา สาและ, ๒๕๒๙ : ๑ – ๔)

๑.๓.๓ ความเป็นมาของการศกึ ษาภาษาศาสตร์ภาษาไทย
การศึกษาภาษาและภาษาศาสตร์ในประเทศไทยเร่ิมมีมาต้ังแต่สมัยสุโขทัย แล้วพัฒนาผ่านยุคสมัยต่าง ๆ
อันไดแ้ ก่ อยุธยา และรตั นโกสินทร์ ซึง่ วรวรรธน์ ศรียาภัย (๒๕๕๖ : ๔๑ – ๔๖) ดังน้ี

๑) สมัยสโุ ขทัย
สมัยสุโขทัยปรากฏหลักฐานการศึกษาภาษาอย่างชัดเจนสมัยพ่อขุนรามคาแหงมหาราช พระองค์ทรง
ประดิษฐ์อักษรไทยสาหรับเขียนภาษาไทยข้ึนใน พ.ศ. ๑๘๒๖ โดยได้รับแบบอย่างมาจากอักษรขอมหวัด แล้วพ่อ
ขุนรามคาแหงฯ ก็ทรงนาแบบอักษรดังกล่าวมาจารึกลงในแท่งศิลาเรียกว่า “ศิลาจารึกหลักท่ี ๑” เป็นวรรณคดี
เรื่องแรกของไทย อักษรไทยของพ่อขุนรามฯ หรือลายสือไทย ประกอบด้วยพยัญชนะ ๓๙ รูป สระ ๒๐ รูป และ
วรรณยุกต์ ๒ รูป คนในสมัยสโุ ขทยั เรียนหนังสือท่วี ัดซึ่งประชาชนทั่วไปเรียกว่า “ไพรบ่ ้านไทยเมือง” ผสู้ อนวิชาการ
คือพระ (ธวัช ปุณโณทก, ๒๕๔๔ : ๖) ตามนัยสาคัญข้างต้น อาจกล่าวได้ว่าพ่อขุนรามคาแหงมหาราชทรงเป็น
นักภาษาศาสตร์พระองค์แรกของไทยที่ทรงศึกษาภาษาไทยและประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นใช้เป็นคร้ังแรก และใช้สืบ
ต่อมาจนกระท่ังปัจจุบัน ทั้งน้ียังเป็นแม่แบบแก่อักษรไทยน้อยซ่ึงเป็นอักษรโบราณของภาคอีสาน อักษรฝักขาม ซึ่ง
เป็นอักษรโบราณของภาคเหนือ และเปน็ แมแ่ บบให้อักษรลาว ซ่ึงใช้เขียนภาษาลาวในปัจจุบัน
๒) สมัยอยธุ ยา
พ.ศ. ๒๒๑๕ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อยุธยาตอนกลาง พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระ
โหราธิบดีแต่งตาราเรียนภาษาไทย เพื่อใช้เป็นแบบเรียนสอนอ่าน และให้ความรู้ด้านหลักภาษาและวิธีแต่งคา
ประพันธ์ แบบเรียนช่ือ “จินดามณี” เป็นแบบเรียนที่มีบทบาทในด้านการศึกษาภาษาไทยมายาวนานจนถึงสมัยต้น
รัตนโกสินทร์ หนังสือจินดามณีมีเน้ือหาแบ่งออกเป็น ๒ ภาค กล่าวคือ ภาคท่ี ๑ ว่าด้วยหลักภาษาประกอบด้วย
การใช้อักษรศัพท์ หลักการใช้ ศ ษ ส ใ ไ ฤ ฤา จากนั้นแบ่งอักษรออกเป็น ๓ หมู่ ตามเสียงวรรณยุกต์ของอักษรน้ัน
คืออักษรสูง อักษรกลาง และอักษรต่า เน้ือหาต่อไปเป็นการแจกลูก การผันอักษร เคร่ืองหมาย และพยัญชนะ
สะกด สว่ นภาคท่ี ๒ วา่ ดว้ ยวธิ ีการแต่งกาพย์ โคลง และฉันท์

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๑๓

๓) สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
สมัยรัชกาลที่ ๑ ถึง รัชกาลท่ี ๔ มีนักภาษาหลายท่านท้ังท่ีปรากฏนามและไม่ปรากฏนามได้แต่งตารา
เรียนภาษาไทย เช่น “ประถม ก.กา” ไม่ปรากฏนามผู้เขียน “ประถมมาลา” ของภิกษุผึ้งแห่งวัดราชบูรณะ และ
“ประถมจินดามณี เล่ม ๒” ของพระบรมวงศ์เธอกรมหลวงวงษาธิราชสนิท ซ่ึงได้นิพนธ์ขึ้น ใน พ.ศ. ๒๓๙๒ สมัย
รัชกาลที่ ๓ เนื้อหาเน้นเรื่องการแจกลูก ตัวสะกด ไตรยางศ์ และการผันเสียงวรรณยุกต์ ส่วนเร่ืองฉันทลักษณ์
กลา่ วถงึ เพยี งเล็กน้อย
นอกจากนี้ มีตาราว่าด้วยไวยากรณ์ไทยหรือหลักภาษาไทยเล่มแรกช่ือว่า “A Grammar of the
Thai) ผู้เขียนคือร้อยเอกเจมส์ โลว์ (James Low) โดยมีจุดมุ่งหมายในการเขียนเพ่ือให้ชาวที่มาติดต่อค้าขายกับ
ไทยในสมัยรัชกาลท่ี ๓ ได้รู้ภาษาไทย หนังสือเล่มนี้อธิบายถึงไวยากรณ์ไทยในด้านพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ ชนิด
ของคา และโครงสร้างของประโยค ในภาคผนวกได้รวบรวมคาซึ่งเขียนด้วยอักษรไทยและให้ความหมายเป็น
ภาษาอังกฤษ หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ที่ประเทศอินเดียเม่ือ พ.ศ. ๒๓๗๑ (จินดา งามสุทธิ, ๒๕๒๔ : ๖๐) ทางด้าน
การศึกษาของคนในสมัยน้ียังคงใชว้ ัดเป็นสถานศึกษาสาคัญอยู่เช่นเดิม
๔) สมยั รตั นโกสินทร์สมัยรชั กาลที่ ๕ ถึง พ.ศ. ๒๕๐๔
สมัยรัชกาลท่ี ๕ ระบบการจัดการเรียนการสอนเร่ิมเข้าสู่ระบบโรงเรียนเรียกได้ว่าเป็นการปฏิรูป
การศึกษาคร้ังแรกของไทย นักภาษาในสมัยนี้มีหลายท่าน เฉพาะผู้ท่ีมีผลงานเป็นที่รู้จักทั่วไปคือพระยาศรีสุนทร
โวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ได้เขียนตารากภาษาไทย ๖ เล่ม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๔ เรียกว่าชุด “มูลบทบรรพกิจ”
ประกอบด้วย มูลบทบรรพกิจ วาหนิติ์กร อักษรประโยค สังโยคพิธาน ไวพจน์พิจารณ์ และพิศาลการันต์ (เปรมจิต
ชนะวงศ์, ๒๕๖๐ : ๓๙) มีรายละเอียดเบ้ืองต้นดังนี้ ๑) มูลบทบรรพกิจ กล่าวถึงสระและชื่อของสระ พยัญชนะ
เครื่องหมายต่าง ๆ พร้อมทั้งบอกชอ่ื เคร่ืองหมายน้ันด้วย ๒) วาหนิต์ิกร กลา่ วถึง อักษรนา คือ อักษรสูงนาอักษรต่า
และอักษรกลางที่นาอักษรต่า ๓) อักษรประโยค กล่าวถึงการผันอักษรควบกล้า สมัยน้ันเรียก “อักษรประโยค”
ได้แก่ ร ล ว ซ่ึงนาไปควบกล้ากับพยัญชนะอ่ืนบางตัว ๔) สังโยคพิธาน กล่าวถึงตัวสะกด ซึ่งกล่าวถึงอย่างละเอียด
พร้อมยกตัวอย่างคา โดยเฉพาะคาที่มาจากภาษาบาลีสันสกฤต ๕) ไวพจน์พิจารณ์ กล่าวถึงคาพ้อง ได้แก่คาพ้อง
เสียง คืออ่านออกเสียงเหมือนกันแต่รูปเขียนต่างกัน ๖) พิศาลการันต์ กล่าวคือ ตัวการันต์ ซ่ึงเป็นตัวท่ีอยู่ท้ายคา
และไมอ่ อกเสียง
นอกจากน้ี ยังมีหนังสือไวยากรณ์ไทยเล่มสาคัญซ่ึงไม่ปรากฏนามผู้แต่ง คือ “อักขรวิธี วจีวิภาค
วากยสัมพันธ์ และฉันทลักษณ์” ของกรมศึกษาธิการ ซ่ึงนับว่าเป็นตารา ไวยากรณ์ไทยเล่มแรกที่เขียนข้ึนโดยคน
ไทย ต่อมาหนังสือน้ี ได้เป็นแม่แบบสาคัญให้พระยาอุปกิตศิลปสารเขียนตารา ช่ือ “สยามไวยากรณ์” และเปล่ียน
มาเป็น “หลักภาษาไทย” ซง่ึ เป็นตาราไวยากรณ์ไทยท่ีใช้เป็นตาราเรียนมาจนถึงปัจจุบัน
ในยุคนี้มีวิชาว่าด้วยการศึกษาภาษาท่ีใกล้เคียงกับภาษาศาสตร์มากที่สุดเกิดขึ้น คือ “นิรุกติศาสตร์”
(etymology) ผู้ที่ได้รับการยกย่องในด้านนี้ได้แก่พระยาอนุมานราชธน ซึ่งเรียบเรียงตาราชื่อ “นิรุกติศาสตร์” ใช้
ประกอบการเรียนการสอนรายวิชาดังกล่าวในจฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย เน้ือหาสาคัญประกอบดว้ ย ๗ หมวด ได้แก่
ตานานของนิรุกติศาสตร์ กาเนิดของคาในภาษา ภาษาและรูปคาของภาษา การแบ่งภาษา เสียงและ การกลาย
เสยี งของคาในภาษา แนวเทียบ ความหมายและการกลายความหมายของคาในภาษา
การเรียนการสอนวิชานิรุกติศาสตร์ ซ่ึงสอนโดยพระยาอนุมานราชธนน้ันสาเร็จผลอย่างเป็นรูปธรรม
มีมหาบัณฑิตจากจุฬาลงกรณ์สาขาวิชาภาษาไทย ทาวิทยานิพนธ์โดยอาศัยแนวของวิชาดังกล่าว ซึ่งมีพระยา

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๔

อนุมานราชธนเป็นอาจารยท์ ่ีปรึกษา มหาบณั ฑิตคนแรกคือบรรจบ พันธุเมธา (๒๔๘๙) ทาวิทยานิพนธ์เรื่อง “ภาษา
บาลีและสันสกฤตที่เก่ียวข้องกับภาษาไทย” ในปีเดียวกันมหาบัณฑิตซ่อนกล่ิน พิเศษสกลกิจ (๒๔๘๙) ทา
วิทยานิพนธ์เรื่อง “ภาษาจีนและภาษาไทยถิ่นเป็นประโยชน์เพียงใดในการค้นคว้าหาที่มาของคาในภาษาไทย”
ต่อจากน้ันอีกหลายปีต่อมา วิจินตน์ ฉันทะวิบูลย์ (๒๔๙๘ – ๒๔๙๙) ทาวิทยานิพนธ์เร่ือง “ความแตกต่างระหว่าง
ภาษากรุงเทพฯ และสงขลา” เพ่ือขอสาเร็จการศึกษาระดับมหาบัณฑิตเช่นกัน กระท่ังใน พ.ศ. ๒๕๐๑ – ๒๕๐๒
กาญจนา นาคสกุล เสนอวิทยานิพนธ์เพื่อขอสาเร็จการศกึ ษาปรญิ ญามหาบัณฑิต เร่ือง “คาสนั นิษฐานในภาษาไทย
ท่ีมมี ลู รากเป็นคาภาษาเขมร”

๕) สมัยรัตนโกสินทร์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ถึง พ.ศ. ๒๕๕๖
ประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๐ นักศึกษาไทยไปศึกษาที่ประเทศทางตะวันตกกันมาก ส่วนหน่ึงไปศึกษาวิชา
ภาษาศาสตร์ และผู้ที่สาเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกทางภาษาศาสตร์คนแรก คือฟุ้งเฟ่ือง เครือตราชู เมื่อ พ.ศ.
๒๕๐๓ ต่อมา พ.ศ. ๒๕๐๔ เฉลา ไชยรัตน์ ก็สาเร็จการศึกษาตามมาอีกหนึ่งคน ใน พ.ศ. ๒๕๐๕ อุดม วโรตม์สิกข
ดิตถ์ และวิจินตน์ ภาณุพงศ์ ก็สาเร็จการศึกษาเพ่ิมขึ้นมา ใน พ.ศ. ๒๕๐๕ น้ีที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เปล่ียน
วชิ า “นิรุกติศาสตร์” เป็น “ภาษาศาสตร์” แล้วบรรจุเข้าเป็นวิชาหน่ึงในหลักสูตรปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาภาษาไทย จนกระทั่งวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ “ภาควิชาภาษาศาสตร์” ได้ถือกาเนิดขึ้น ณ คณะ
อักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยภายใต้การบุกเบิกของศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.วิจินตน์ ภาณุพงศ์
นับต้ังแต่บัดนั้นมาวิชาภาษาศาสตร์จึงเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ ในประเทศไทย วิชาดังกล่าวได้ขยายการเรียนการ
สอนไปยังมหาวิทยาลัยอ่ืน ๆ มหาวิทยาลัยที่จัดการเรียนการสอนสาขาวิชาภาษาศาสตร์ในระดับปริญญาตรี
ปริญญาโท และปริญญา ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ส่วนมหาวิทยาลัยนเรศวร และมหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จัดการเรียนการสอนสาขาวิชา
ภาษาศาสตร์ในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก นอกจากนั้นวิชาภาษาศาสตร์ยังเป็นรายวิชาในหลักสูตรสาขาวิชา
ภาษาไทยในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ซึ่งจัดการเรียนการสอนทั้งระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก เช่น
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ม หาวิทยาลัยพะเยา
มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

๑.๔ สาขาของภาษาศาสตร์

๑.๔.๑ ภาษาศาสตร์ท่ัวไป
วรวรรธน์ ศรียาภัย (๒๕๕๖ : ๑๗) กล่าวไว้ว่า ภาษาศาสตร์ทั่วไป (General Linguistics) มีจุดมุ่งหมาย
สาคัญคือการศึกษาภาษาว่าประกอบด้วยโครงสร้างใดบ้าง และในโครงสร้างนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างไร เป็น
การศึกษาเชิงทฤษฎีโดยไม่ได้คานึงว่าจะนาผลการศึกษาไปใช้ประโยชน์อันใด สอดคล้องกับ จินดา เฮงสมบูรณ์
(๒๕๔๒ : ๒๗ – ๒๘) กล่าวไว้ว่า การศึกษาโครงสร้างต่าง ๆ ของภาษา ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยต่าง ๆ
ในภาษา นับว่าเป็นการศึกษาภาษาศาสตร์ล้วน ๆ เน้ือหาครอบคลุมต้ังแต่เร่ืองเสียง การจัดระบบเสียง ระบบคา
และกลุ่มคา ไวยากรณ์ ความหมาย การศึกษาภาษาศาสตร์สาขาน้ีจะศึกษาภาษาหน่ึงในช่วงเวลาหนึ่งโดยเฉพาะ
ซ่ึงเรียกว่า ภาษาศาสตร์วรรณนา (Descriptive Linguistics) หรือการศึกษาภาษาเฉพาะสมัย (Synchronic
study) ซึ่งเริ่มเป็นที่รู้จักกันในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ โดยเฟอร์ดินานด์ เดอ เซอซูร์ เป็นบุคคลสาคัญที่ทาให้

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๕

การศึกษาภาษาเปลี่ยนจากแนวเดิม คือ เชิงประวัติและเปรียบเทียบ หรือนิรุกติศาสตร์มาเป็นมาภาษาศาสตร์
วรรณนา

วิธีการศึกษาภาษาศาสตร์วรรณนา เป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์ มีการศึกษาจากข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล
แล้วจึงตั้งกฎเกณฑ์ โดยวิธีนี้ผู้ศึกษาอาจตั้งกฎเกณฑ์ของภาษาน้ันได้ แม้จะไม่รู้ภาษาน้ันมาก่อนเลย ดังเช่น
บลูมฟิลด์ (Leonard Bloomfield) ได้ศึกษาภาษาตากาล็อคโดยให้ชาวฟิลิปปินส์คนหนึ่งเล่านิทานพ้ืนเมืองเป็น
ภาษาตากาล็อค แล้วบันทึกไว้เป็นสัทอักษร จากนิทานพ้ืนเมอื งน้ี บลูมฟิลดส์ ามารถเขียนไวยากรณ์ภาษาตากาล็อค
ได้ ทัง้ ทไ่ี ม่เคยเรียนรภู้ าษาน้มี ากอ่ นเลย (นภาลยั สวุ รรณธาดา, ๒๕๒๖ : ๒๙)

ภาษาศาสตร์ท่ัวไปสามารถแบ่งยอ่ ยตามเนือ้ หาได้ ๓ สาขา ดังน้ี
๑. สรวิทยา หรือสัทวิทยา (Phonology) เป็นการศึกษาเก่ียวกับเรื่องเสียงในภาษา ซึ่งแยกออกเป็น

แขนงย่อย ๆ ๒ แขนง คือ สัทศาสตร์ (Phonetics) และ สรศาสตร์ (Phonemics) ดงั นี้
๑.๑ สัทศาสตร์ (Phonetics) คือการศึกษาเกี่ยวกับลักษณะของเสียงพูดในภาษา ซ่ึงยังจาแนก

ออกเป็น ๓ แขนงยอ่ ย ๆ ได้แก่
๑) สรรี สัทศาสตร์ (Articulator Phonetics) คือการศึกษาถึงกลไกกระแสลมที่ใช้ในการเปล่ง

เสียงพูด อวัยวะที่ใช้ในการออกเสียง สภาวะของการเปล่งเสียง การออกเสียงประเภทต่าง ๆ จากจุดท่ีเกิดเสียงใน
ปากและลักษณะทางเสียงอื่น ๆ ท่ีเกิดขึ้นพร้อมกับพยัญชนะและสระ หรือเรียกว่า สัทสัมพันธ์ (prosodies)
ตลอดจนปรากฏการณ์ในการออกเสียงลักษณะอ่ืน ๆ รวมท้ังการใช้สัญลักษณ์แทนเสียงพูดหรือเรียกว่าการ
ถา่ ยทอดเสียง (transcription)

๒) กลสัทศาสตร์ (Acoustic Phonetics) คือการศึกษาลักษณะทางกายภาพของการเปล่ง
เสียงพูด อาทิ คลื่นเสียง องค์ประกอบของคลื่นเสียง คุณสมบัตขิ องแหล่งเกิดเสียง การแสดงสัญญาและการตีความ
สัญญาณทางเสียง เป็นต้น

๓) โสตสัทศาสตร์ (auditory phonetics) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับสรีระและหน้าท่ีของหูใน
การรับฟัง การรับรู้สัญญาณทางเสียง กระบวนการถ่ายทอดสัญญาณทางเสียงไปยังสมอง ตลอดจนจิตวิทยาการ
รับรแู้ ละการเส่ือมสัญญาณในการรับฟัง (พิณทิพย์ ทวยเจริญ, ๒๕๔๗ : ๑๓ – ๑๘)

๑.๒ สรศาสตร์ (Phonemics) คือการศึกษาเก่ียวกับเร่ืองหน่วยเสียง (Phonemes) มีการ
จัดระบบเสียงพูดให้เป็นหมวดหมู่อย่างมีหลักเกณฑ์ เพื่อประโยชน์ในการจัดทาตัวอักษรให้แก่ภาษาที่ ยังไม่มี
ตัวเขียน

๒. ไวยากรณ์ (Grammar) เป็นวิชาที่ศึกษากฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของหน่วยที่มีความหมายอาจเป็นส่วน
ของคา วลี หรือประโยคก็ตาม แบ่งออกเป็น ๒ แขนง ไดแ้ ก่วจวี ิภาค (Morphology) กล่าวคือการศึกษาเรื่องระบบ
คาและโครงสร้างของคา และวากยสัมพันธ์ (Syntax) กล่าวคือการศึกษาเร่ืองระบบและโครงสร้างของวลีและ
ประโยค

๒.๑ สัมพันธสาร ซ่ึงวรวรรธน์ ศรียาภัย (๒๕๕๖ : ๒๐๑ – ๒๐๒) กล่าวไว้ว่า สัมพันธสาร
หมายถึง หน่วยภาษาในระดับสูงกว่าประโยค มีความสัมพันธต่อเน่ืองกันตั้งแต่เร่ิมต้นไปจนจบ ซ่ึงมนุษย์ในการ
สอ่ื สารจริง มีทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน ทั้งภาษาที่พดู คนเดียวและพูดโตต้ อบกนั ซ่ึงมีความสาคัญต่อวิชาการด้าน

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๑๖

ภาษาศาสตร์ที่ได้ศึกษาหน่วยของภาษาท่ีใหญ่กว่าประโยคเป็นเรื่องที่จาเป็นต้องดาเนินการอย่างย่ิง หากมิเช่นนั้น
แล้วก็มิอาจอธิบายไวยากรณ์ของภาษาได้ชัดเจน ซ่ึงการศึกษาเรื่องน้ีจะต้องอาศัยการศึกษาสัมพันธสารด้วยจึงจะ
อธิบายไวยากรณ์ได้กระจ่างชัด (สมทรง บุรุษพัฒน์, ๒๕๓๗ : ๓) นอกจากน้ี ยังมีความสาคัญต่อศาสตร์อื่น ๆ อาทิ
หากเป็นการศึกษาเชิงสังคมวิทยาและชาติพันธุ์ก็จะศึกษาโครงสร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคมในส่วนที่เกี่ยวกับภาษา
เช่น ศึกษาว่าคนในสังคมมีระบบการสนทนากันอย่างไร หากเป็นการศึกษาเชิงจิตวิทยาจะมุ่งศึกษากระบวนการ
ทางสมองท่ีเกี่ยวข้องกับการเปล่งถ้อยคา การรับรู้ภาษา การเข้าใจภาษา และการเรียนรู้ภาษา ส่วนการศึกษาทาง
มานุษยวิทยาจะศึกษาเพ่ือการให้คาตอบเก่ียวกับชีวิตและวัฒนธรรมของกลุ่มชนน้ัน ๆ โดยใช้ข้อมูลทางภาษา เช่น
วรรณกรรม นิทาน นิยาย ภาษิต สานวน ทั้งนี้ยังได้มีการศึกษาสัมพันธสารตามแนวทางของศาสตร์อน่ื เชน่ ปรัชญา
วาทศาสตร์ และคอมพวิ เตอร์ เป็นตน้ (ชลธิชา บารงุ รักษ์, ๒๕๕๔ : ๑๒๙ – ๑๓๐)

๓. ความหมาย (Semantics) เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับเร่ืองความหมายของคา ซ่ึงเชื่อมโยงไปถึง
ความหมายของประโยค และข้อความต่าง ๆ เร่ืองของความพ้องความกากวม ซ่ึงเป็นเร่ืองซับซ้อน นกั ภาษาศาสตร์
วรรณนารุ่นแรก ๆ หรือนักไวยากรณ์โครงสรา้ ง (Structural Grammar) เว้นการศึกษาเรื่องของความหมาย เพราะ
ไม่สามารถวางระบบหรือโครงสร้างที่แน่นอนได้เช่นเดียวกับเรื่องเสียงหรือคา อย่างไรก็ตามนักภาษาศาสตร์รุ่น
ต่อมา คือ นักภาษาศาสตร์เพิ่มพูน (Generative Grammar) หรือนักไวยากรณ์กลุ่มปริวรรต (Transformation
Grammar) ได้ให้ความสนใจในเร่ืองความหมายเป็นอย่างมาก เพราะถือว่าความหมายมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด
กับเร่ืองวากยสัมพันธ์และได้กาหนดแนวทางในการศึกษาภาษาต่างไปจากนักไวยากรณ์โครงสร้าง กล่าวคือ นัก
ไวยากรณ์โครงสร้างจะศึกษาจากหน่วยเล็กไปจนถึงหน่วยใหญ่ ได้แก่ศึกษาจากเสียง คา กลุ่มคาประโยคตามลาดับ
แต่นักไวยากรณ์ปริวรรตจะศึกษาประโยคก่อน เพราะถือว่าคนเราใช้ประโยคเป็นหน่วยท่ัวไปในการสนทนา
จากนั้นจงึ ศึกษาคาและเสียงตามลาดับ

๓.๑ อรรถศาสตร์ ซ่ึงสุริยา รัตนกุล (๒๕๕๕ : ๓ – ๑๐) กล่าวไว้ว่า คาว่า อรรถศาสตร์ เป็น
คาสมาสเกิดจากการนาคาศัพท์จากภาษาสันสกฤต ๒ คาศัพท์มาต่อกัน คือคาว่า อรรถ มาต่อกับคาว่า ศาสตร์ คา
ว่าศาสตร์นั้นแปลตามรูปศัพท์ว่า ระบบวิชาความรู้ หมายถึง ใจความ ความหมาย เนื้อเรื่อง คาแปล เนอ้ื ความ และ
ความมุ่งหมาย จนกลายมาเป็นวิชา คือ วิชาอรรถศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาศึกษาเร่ืองความหมายในภาษา กล่าวคือ
ศึกษาถึงแนวคิดเรื่องวิธีการที่ภาษาส่ือความหมาย ศึกษาประเภทต่าง ๆ ของความหมาย ศึกษาว่าภาษาส่ือ
ความหมายได้อย่างไร มีความหมายอะไรบ้างที่ภาษาส่ือออกมา การส่ือความหมายผ่านข้ันต่าง ๆ ของภาษาอัน
ได้แก่ คา ประโยค และข้อความต่อเน่ืองท่ียาวกว่าประโยคทาได้อย่างไร ความรู้ที่ได้จากการศึกษาวิชานี้จะช่วยทา
ใหเ้ ราทราบธรรมชาตขิ องความหมายในภาษาได้ดีขึ้น

๓.๒ วัจนปฏิบัติศาสตร์ ซึ่งสจุ ริตลักษณ์ ดีผดุง (๒๕๕๒ : ๑) กล่าวไว้วา่ เป็นการศึกษาความหมาย
ท่ีสื่อสารโดยผู้พูด (หรือผู้เขียน) และความหมายท่ีตีความโดยผู้ฟัง (หรือผู้อ่าน) หรือผู้รับสาร เป็นเร่ืองของการ
วิเคราะห์ว่า ผู้พูดต้องการให้ถ้อยคาที่พูดออกไปสื่อความหมายอะไร มากกว่าการวิเคราะห์ว่าคาและวลีที่ประกอบ
กันเป็นถ้อยคานั้นมีความหมายอะไร ทั้งนี้ เน้ือหาสาคัญของวัจนปฏิบัติศาสตร์ ประกอบด้วย ๖ เร่ือง ดังน้ี ๑) ตัว
บ่งบอก (Deixis) ๒) สภาวะเกิดก่อน (Presupposition) ๓) ความหมายช้ีบ่งเป็นนัยในการสนทนา

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๑๗

(Conversational Implicature) ๔) วัจนกรรม (Speech Act) ๕) หลักการความสุภาพ (Politeness Principle)
๖) การวเิ คราะห์บทสนทนา (Conversation Analysis)

๑.๔.๒ ภาษาศาสตร์เชงิ ประวัตแิ ละเปรียบเทียบ
วรวรรธน์ ศรียาภัย (๒๕๕๖ : ๑๙) กล่าวไว้ว่า ภาษาศาสตร์เชิงประวัติ (Historical Linguistics) มีจุดมุ่ง
ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของภาษาในลักษณะต่าง ๆ คือ เสียง คา ประโยค และความหมาย ที่เรียกว่าภาษาศาสตร์
เฉพาะสมัย (Synchronic Linguistics) มาสู่ภาษาศาสตร์ข้ามสมัย (Diachronic Linguistics) ว่ามีขบวนการ
เปล่ียนแปลงอย่างไร มีสาเหตุมาจากเหตุผลใด และผลเป็นอย่างไร โดยศึกษาจากหลักฐานที่เป็นเอกสาร เช่น ศิลา
จารึก สมุดไทย ใบลาน เป็นต้น ส่วนภาษาศาสตร์เปรียบเทียบ (Comparative Linguistics) เป็นการใช้ระเบียบวิธี
เปรียบเทียบ (Comparative Method) มาใช้ในการศึกษาภาษา โดยศกึ ษาลักษณะต่าง ๆ ของภาษาไปในอดีตไกล
กว่าที่มีเอกสารเป็นหลักฐานปรากฏอยู่ อีกอย่างหน่ึง เป็นการศึกษาเพื่อนามาเปรียบเทียบตระกูลภาษาหรือภาษา
ตระกลู เดียวกันในระยะเวลาเดียว เพื่อดูว่าแตล่ ะภาษามคี วามสมั พันธก์ ันอยา่ งไร
นอกจากน้ี จินดา เฮงสมบูรณ์ (๒๕๔๒ : ๒๙) กล่าวไว้ว่า การศึกษาภาษาเชิงประวัติและเปรียบเทียบนี้มี
มาก่อนยุคภาษาศาสตร์ปัจจุบัน นับแต่ ดังเต ได้ศึกษาเปรียบเทียบภาษาในยุโรป และแบ่งออกเป็นตระกูลต่าง ๆ
ซึ่งเป็นท่ีสนใจอย่างแพร่หลายในรวมคริสต์ศตวรรษท่ี ๑๖ – ๑๗ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ เซอร์ วิลเลียม โจนส์ ได้
ศกึ ษาไวยากรณ์สันสกฤตเปรียบเทียบกับไวยากรณ์ภาษายุโรปว่ามีความคล้ายคลึงกันมาก
ในประเทศไทยมีการศึกษารายวิชาน้ีท่ีคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีช่ือเรียกว่า นิรุกติ
ศาสตร์ (Philology) โดยมีพระยาอนุมานราชธนเป็นผู้สอน ซึ่งตรงกับภาษาศาสตร์เชิงประวัติและเปรียบเทียบ
และเป็นสาขาหน่ึงของภาษาศาสตร์

๑.๔.๓ ภาษาศาสตร์ประยุกต์
วรวรรธน์ ศรียาภัย (๒๕๕๖ : ๒๐) กล่าวไว้ว่า ภาษาศาสตร์ประยุกต์ (Applied Linguistics) เป็น
การศึกษาภาษาศาสตร์ในด้านท่ีสัมพันธ์กับศาสตร์อื่น ๆ อันได้แก่ จิตวิทยา สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ การศึกษา
และมานุษยวิทยา เป็นต้น ปัจจุบันจึงนิยมและให้ความสาคัญข้ึนเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตามการศึกษาภาษาศาสตร์
ประยุกต์ ก็จาเป็นต้องอาศัยองค์ความรู้เชิงภาษาศาสตร์บริสุทธิ์เป็นพ้ืนฐานสาคัญ สาขาของภาษาศาสตร์ประยุกต์
ได้วิวัฒนาการและแตกตัวไปตามการคิดค้นของผู้ศึกษา ณ ปัจจุบัน พ.ศ. ๒๕๕๖ ภาษาศาสตร์ประยุกต์อาจจาแนก
ได้ ๑๘ สาขา (ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๕๓) ดงั น้ี

๑. ภาษาศาสตรป์ ระสาทวิทยา
พิณทิพย์ ทวยเจริญ (๒๕๔๗ : ๑๖๔ – ๑๗๔; วรวรรธน์ ศรียาภยั , ๒๕๕๖ : ๒๑) กล่าวไว้วา่ การศึกษา
ภาษาศาสตร์ประสาทวิทยา (Neurolinguistics) เน้นการศึกษาสรีระรวมท้ังบทบาทและหน้าที่ของสมองโดยเฉพาะ
ในส่วนท่ีสัมพันธ์กับการพัฒนาภาษา ตลอดจนพิจารณาพยาธิสภาพทางสมองท่ีมีผลทาให้เกิดความบกพร่องหรือ
ความผิดปกติทางภาษา นอกจากนี้ยังมุ่งศึกษาลักษณะทางกายภาพและการทางานของสมองกับภาษาโดยเฉพาะ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๘

ในเร่ืองการรับภาษาการพัฒนาภาษา การใช้ภาษา และความผิดปกติในการสื่อสาร ภาษาศาสตร์ประสาทวิทยาน้ี
เปน็ แขนงหน่ึงของปริชานศาสตร์ (cognitive science) โดยมสี าระสาคัญต่อไปนี้

๑) สรีระและบทบาทหน้าท่ีของสมอง สมองมีความสาคัญย่ิงต่อพัฒนาการของมนุษย์ในทุก ๆ
ด้าน สาหรับบริเวณท่ีสัมพันธ์กับภาษาหรือเรียกว่าบริเวณภาษาน้ันอยู่ที่สมองใหญ่ อย่างไรก็ตามถึงแม้ระบบ
ประสาทส่วนกลางคือสมองแต่ละส่วนรวมกับไขสันหลังจะมีบทบาทตอ่ การดารงชีวิตของมนุษย์ แต่นักภาษาศาสตร์
ประสาทวิทยาเน้นการศึกษาเฉพาะสมองใหญซ่ ึง่ มีบทบาทสัมพันธก์ ับภาษา

๒) บทบาททางภาษาของสมองใหญ่ สมองใหญ่แบ่งออกเป็น ๒ ซีกคือ ซีกซ้ายและซีกขวา โดย
สมองซีกซ้ายควบคุมการทางานของอวยั วะด้วยขวาของร่างกาย และสมองซกี ขวาควบคุมการทางานด้านซ้าย และ
เช่ือกันว่าบริเวณภาษาในสมองสัมพันธ์กับสมองซีกซ้าย นอกจากน้ียังมีร่องท่ีเปลือกสมองอีก ๒ ร่องคือ ร่องกลาง
พาดทางขวาง และร่องด้านข้าง ท้ัง ๒ ร่องนี้แบ่งสมองใหญ่ออกเป็น ๔ กลีบ คือ กลีบหน้าผากฟรันเทิล กลีบ
ขมบั เทม็ เพอเริล กลีบขา้ งขมอ่ มเพอไรเออเทิล และกลีบท้ายทอยออกซิพิเทิล

๓) บทบาทของสมองในการพัฒนาภาษา การพัฒนาความคิดรวมท้ังการพัฒนาภาษาจะค่อย ๆ
เจริญเติบโตข้ึน แต่ต้องอาศัยปัจจัยด้านประสบการณ์ต่าง ๆ เป็นตัวเสริมจึงจะทาให้การพัฒนาได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ ส่วนเซลสมองในส่วนท่ีเกี่ยวกับภาษา การเรียนรแู้ ละการส่ังสมความคิดจะทางานประสานกับการรับ
ประสบการณ์จากสังคม จึงกล่าวได้ว่าส่วนต่าง ๆ ของสมองเด็กที่ทางานเฉพาะหน้าท่ี และการถนัดด้านซ้ายหรือ
ด้านขวา ยังไม่คงตัวหรือเรียกว่า สมองเด็กยังยืดหยุ่น บริเวณภาษาท่ีทาหน้าท่ีเฉพาะส่วนก็ยังไม่คงที่เช่นกัน ซ่ึงทา
ให้บังเกิดผล ๒ ลักษณะ ประการแรก คือ หากเด็กเล็กได้รับความกระทบกระเทือนที่บริเวณภาษาในสมองซีกซ้าย
สมองซีกขวาจะรับช่วงการทางานด้านภาษาได้ ผลท่ีตามมาก็คือไม่เกิดภาวะการเสื่อมการรับรู้และการสื่อภาษาใน
เด็ก ต่างกับบุคคลในวัยรุ่นหรือวัยผู้ใหญ่หากมีเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันเกิดขึ้น สมองซีกขวาจะรับช่วงการทางาน
ได้ยากหรือไม่สามารถรับช่วงในการทางานด้านภาษาได้ จึงเกิดความบกพร่องทางภาษาข้ึน ประการที่สองคือ การ
สร้างรูปแบบทางประสาทที่สัมพันธ์กับการออกเสียงจะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วตามลักษณะของรูปแบบทางเสียงท่ี
เกิดข้ึนในสังคมรอบตัวเด็ก กล่าวคือเมื่อเด็กอยู่ในแวดวงของคนที่พูดภาษาใดก็ตาม สมองจะสร้างรูปแบบทาง
ประสาท (neuronal pattern) ในการออกเสียงภาษานั้น ๆ ได้เหมือนกับเจ้าของภาษา ทาให้มีโอกาสเป็นเด็กที่
เรียนรู้ ๒ ภาษาหรือเกิดภาวะทวิภาษา (bilingualism) ได้โดยง่าย ด้วยหลักการทางานของสมองในลักษณะ
เดียวกัน หากคุณครูท่ีสอนภาษาไทยออกเสียงถูกต้องตามหลักภาษา ก็จะเป็นการสร้างรูปแบบทางประสาทท่ี
สัมพันธ์กับการออกเสียงได้ดี ซ่ึงจะส่งผลให้เด็กออกเสียงภาษาไทยได้ถูกต้องตามแบบอย่าง ในทางตรงกันข้ามก็จะ
มผี ลเป็นอกี อยา่ งหน่ึงเช่นกัน

๔) กลไกการทางานของสมองในด้านภาษา สมองมีกลไกช่วยให้มนุษย์รับรู้ภาษาแม่พร้อมท้ัง
พัฒนาการรูค้ ดิ ซึ่งเร่มิ จากมีความคิดสรุปไปจนถงึ มคี วามคิดได้อย่างไร โดยแบง่ เป็นช่วงต่าง ๆ ไดด้ ังนี้

ช่วงตาดู-หูฟัง ตั้งแต่เด็กทารกจับตามองส่ิงของรอบตัวน้ันหูของเด็กจะรับฟังเสียงต่าง ๆ รอบตัว
ไปด้วยทั้งรวมท้ังเสียงพูดของบุคคลรอบด้านเช่นกัน สมองของเด็กจะทางานในลักษณะท่ีกล่าวแล้วข้างต้น คือเมื่อ
เสียงผ่านหูเข้าไปสมองจะบันทึกรูปแบบของเสียงต่าง ๆ ไว้ และถ้าเสียเหล่าน้ันมีความหมายต่อเด็ก ความคิดสรุป

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๑๙

เกี่ยวกับเสียงน้ัน ๆ ก็จะเกิดขึ้นและพัฒนาต่อไปโดยเก็บรายละเอียดได้มากขึ้นจนสามารถนาไปใช้ได้เมื่อกลไกการ
ทางานของอวัยวะเกี่ยวกับการพูดในปากแข็งแรงข้ึน ซ่งึ จะสัมพันธ์กับการทางานของบริเวณภาษาท่ีเก่ียวกับการพูด

ชว่ งฟัง-พูด เม่ือเด็กมีอายุประมาณ ๑ ขวบขึ้นไป ซึ่งอยู่ในวัยรับรู้และพูด การทางานของสมองใน
ส่วนท่ีบังคับให้กล้ามเนื้ออวัยวะในการพูดเริ่มพัฒนาดีข้ึนกว่าในวัยทารกเด็กเร่ิมใช้คาพูดส่ือความได้แต่เสียงพูดยัง
ไม่ชัดเจนตามรูปแบบภาษาแม่มากนักและจานวนคาที่ใช้มไี ม่มาก แตแ่ สดงให้เหน็ ว่ามีการพฒั นาการใช้ถ้อยคาและ
รับรู้ถ้อยความ (เข้าใจความหมาย) ซึ่งสอดคล้องกับสภาวะการเติบโตของสมอง กล่าวคือเม่ือเด็กได้ยินถ้อยคาต่าง
ๆ สมองของเด็กจะบันทึกลักษณะคาหรือลักษณะเด่นของคาน้ัน ๆ ไว้ เพื่อสร้างเป็นความคิดสรุปเก่ียวกับถ้อยคา
ดังกลา่ วพรอ้ มท่ีจะใหก้ ลไกของสมองท่ีทางานเก่ียวกับการออกเสียงพูดได้ทาหน้าท่ีตอ่ ไป

ช่วงพูด-อ่าน-เขียน เด็กจะมีความสามารถในการเขียนข้ันต้น เช่น คัดตัวอักษรก็ต่อเมื่อสมองมี
การพัฒนากล้ามเนื้อ แขน มือ และนิ้วได้ดีพอสมควร โดยใช้มือข้างที่ถนัดมากกว่า ในช่วงทารกตอนปลายวัย ๕ –
๘ เดือน เด็กจะพัฒนากล้ามเน้ือที่มือได้บ้างโดยจับส่ิงของที่ใหญ่แต่เบา อีกอย่างหน่ึง ในวัยท่ีสามารถเขียนได้มี
ประสิทธิภาพพอสสมควรแล้วจะมีการเรียนอ่านซ่ึงเร่ิมจากง่ายไปยากตามวุฒิภาวะทางสมอง สมองส่วนต่าง ๆ ท่ี
ทางานเกี่ยวกับภาษาต้องทางานประสานกันนั้นคือส่วนรับภาพด้วยสายตา จะส่งสาระข้อมูลไปยังบริเวณของสมอง
ที่ทางานเก่ียวกับการรับรู้ตีความ หากเป็นการอ่านในใจบริเวณภาษาในสมองเก่ียวกับการพูดไม่จาเป็นต้องมี
บทบาท แต่ถ้าต้องการอ่านออกเสียงบริเวณการพูดในสมองต้องทางานร่วมด้วย สรุปได้ว่าการเขียนและการอ่าน
เป็นทักษะท่ีไม่ได้เกิดข้ึนตามปกติวิสัยจาเป็นต้องมีการเรียนการสอน แตกต่างไปจากการพูดและการฟังซ่ึงเกิดข้ึน
ได้แทบจะเป็นอัตโนมัติหากเด็กคนน้ันเกิดมาในแวดวงท่ีมีการใช้ภาษาในการมีปฏิสมั พันธ์ซง่ึ กันและกัน

๕) ความบกพร่องทางภาษาเน่ืองจากความผิดปกติของสมอง ความผิดปกติของสมองอาจเกิดข้ึน
ได้ทั้งกับเด็กและผู้ใหญ่ สาหรับเด็กบางคนเร่ิมผิดปกติต้ังแต่วันคลอด นั่นคือได้รับความกระทบกระเทือนที่สมอง
ในขณะคลอดหรือเด็กบางคนมีความผิดปกติทางสมองเนื่องจากโรคภัยไข้เจ็บซึ่งนาไปสู่ความผิดปกติทางภาษาด้วย
สาหรับผู้ใหญ่ความผิดปกติของสมองซ่ึงยังผลให้เกิดความบกพร่องทางภาษาอาจมสี าเหตุมาจากความเจ็บป่วยหรือ
อบุ ตั ิเหตุกระทบกระเทือนที่สมองบริเวณภาษา ในที่นจ้ี ะกลา่ วถึงความผิดปกติบางกรณีเพอ่ื เป็นตัวอยา่ งดงั นี้

(๑) อวัยวะในการพูดอ่อนเปล้ียหรือดิสซาเธรีย (dysarthria) เกิดขึ้นเนื่องจากระบบประสาท
ส่วนกลางของสมองได้รับความกระทบกระเทือน มีผลทาให้การควบคุมอวัยวะในการออกเสียงพูดเป็นไปได้อย่าง
ลาบาก

(๒) ความบกพรอ่ งของกลไกเคลื่อนไหวอวัยวะทั้งระบบหรือเซอรีบรลั พัลซี (cerebral palsy)
เรียกย่อ ๆ ว่า C.P. เป็นความผิดปกติของสมองท่ีทาให้เกดิ ความบกพร่องหลากหลายเนื่องจากการทางานของกลไก
เคล่ือนไหวอวยั วะไม่ประสานกันรวมทั้งอวัยวะในการพูด ผู้ที่มีความผิดปกติในลักษณะน้ีออกเสียงพูดได้ลาบากและ
ปรากฏความผิดปกติทุกด้านของกระบวนการทางภาษา

(๓) ภาวะเสียการส่ือภาษาไม่รุนแรงหรือดิสเฟเซีย (dysphasia) มีสาเหตุมาจากการได้รับ
ความกระทบกระเทือนท่ีสมอง หรือมีโรคภัยที่เก่ียวกับสมองซึ่งกระทบกระเทือนบริเวณภาษาทาให้มีความผิดปกติ
ในการพูดหรือการเขียนรวมทงั้ การ “นกึ ” นาคาศัพท์ต่าง ๆ มาใช้

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๒๐

(๔) ภาวการณ์เสียภาษาอย่างรุนแรงหรืออะเฟเซีย (aphasia) มีสาเหตุเช่นเดียวกันกับดิสเฟ
เซียแต่ผลที่เกิดขึ้นรุนแรงมากกว่า น่ันคือขาดทักษะทางภาษาอย่างรุนแรงแต่ระดับของความรุนแรงอาจแตกต่าง
กนั ไป ผู้ป่วยในกลุ่มน้ีหรือเรยี กว่าผู้เป็น “อัมพาต” บางกลุ่มเข้าใจถ้อยความได้แต่ไม่สามารถพูดออกมาได้ อาจต้อง
ใช้วิธีการเขียนโดยใช้มือข้างท่ีไม่เป็นอัมพาต บางกลุ่มพูดออกมาได้แต่ไม่เข้าใจถ้อยความ ดังนั้นคาพูดที่เปล่ง
ออกมาอาจไม่ตรงกับเรอ่ื งราวหรอื ไม่ถกู ต้องตามไวยากรณ์

๒. ภาษาศาสตร์จิตวิทยา
ภาษาศาสตร์จิตวิทยา หรือ ภาษาศาสตร์เชิงจิตวิทยา (Psycholinguistics) (วรวรรธน์ ศรียาภัย,
๒๕๕๖ : ๒๑; พิณทิพย์ ทวยเจริญ, ๒๕๔๗ : ๑๗๕ – ๑๙๖; จินดา เฮงสมบูรณ์, ๒๕๔๒ : ๒๙) กล่าวไว้ว่า เป็นวิชา
ที่ศึกษาการพัฒนาภาษาและการเข้าใจภาษาของมนุษย์ กล่าวคือ ศึกษาว่ามนุษย์เรามีกระบวนการอย่างไรในการ
พัฒนาภาษาแม่ต้ังแต่แรกเกิดจนสามารถใช้ภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนมีกระบวนการรับรู้เข้าใจภาษา
ทั้งน้ียังเป็นการศึกษาภาษาในแง่ท่ีสัมพันธ์กับกระบวนการด้านจิตวิทยาของผู้พูด เช่น กระบวนการรับรู้ภาษา
เรียนรู้และเข้าใจภาษา บทบาทของความจาและมโนทัศน์ในการเรียนรู้และการใช้ภาษา ผลกระทบของสภาวะหรือ
ภูมิหลังทางจิตใจต่อการรับรู้และเรียนรู้ภาษา ตลอดจนพัฒนาการเรียนรู้ภาษาของเด็กหรือผู้เรียน
ภาษาต่างประเทศ ในประเทศไทยมีผู้ศึกษาภาษาศาสตร์สาขานี้ ได้แก่ ศรีเรือน แก้วกังวาล (๒๕๑๙) ได้ศึกษา
พัฒนาการทางภาษาของเด็กต้ังแต่แรกเกิดจนถึง ๒ ขวบ พิณทิพย์ ทวยเจริญ (๒๕๒๐) ได้ศึกษาพัฒนาการทาง
ภาษาของเดก็ ชายคนหน่ึงต้ังแต่วัย ๓ เดือน จนถงึ ๑๘ เดอื น เป็นต้น
๓. ภาษาศาสตรพ์ ุทธิปัญญา
ภาษาศาสตร์พุทธิปัญญา หรือ ภาษาศาสตร์ปริชาน (Cognitive psychology) (พิณทิพย์ ทวยเจริญ,
๒๕๔๗ : ๑๗๕ – ๑๙๖) กล่าวไว้ว่า เป็นการศึกษากระบวนการรับรู้ข้อมูลและรูปแบบทางภาษา กล่าวคือศึกษา
กระบวนการรับรู้นาไปส่กู ารมีความเข้าใจและมีความคิดส่ังสมให้มีปัญญาเกิดขึ้น และในการรับรู้ดังกล่าวมีการรับรู้
ภาษาเป็นปัจจยั สาคัญดว้ ย อีกอย่างหน่ึง การศึกษาภาษาศาสตร์เช่ือมโยงกับหลักการทางพทุ ธิปญั ญา และมีการนา
หลกั การไปใช้ในการบรรยายการรับรูค้ วามหมายอีกด้วย
๔. ภาษาศาสตร์สงั คม
ภาษาศาสตร์เชิงสังคมหรือภาษาศาสตร์สังคม (Sociolinguistics) (วรวรรธน์ ศรียาภัย, ๒๕๕๖ : ๒๒;
จินดา เฮงสมบูรณ์, ๒๕๔๒ : ๓๐) กล่าวไว้ว่า เป็นการศึกษาภาษาในด้านที่สัมพันธ์กับสังคม โดยนาเอาปริบททาง
สังคมมาอธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในภาษา ประเด็นหัวข้อหลักของภาษาศาสตร์สังคม คือ การแปรของภาษา
ตามปัจจัยทางสังคมอันทาให้เกิดภาษาถ่ิน ภาษาย่อยสังคม ทาเนียบภาษา วัจนลีลา นอกจากนี้ยังศึกษาการ
เปลี่ยนแปลงของภาษา นโยบายภาษา การวางแผนภาษา การเลือกภาษา การสลับภาษา และทัศนคติภาษา
เป็นต้น อีกอย่างหนึ่ง ภาษาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและสังคม ภาษาก็มีบทบาทต่อสังคมและสังคมก็มีบทบาท
ต่อภาษาการศึกษาภาษาในแง่นี้จึงเป็นการศึกษาลักษณะแตกต่างของภาษาตามสภาพสังคมก็มี บทบาทต่อภาษา
การศึกษาภาษาในแง่น้ีจึงเป็นการศึกษาลักษณะแตกต่างของภาษาตามสภาพสังคมเช่น ภาษาเด็ก ภาษาผู้ใหญ่
หรือภาษาที่แตกต่างกันในด้านภูมิประเทศ ภาษากลาง ภาษาถิ่น ความแตกต่างกันของการใช้ภาษาระหว่างเพศ
หญิงกับเพศชาย เป็นต้น ส่ิงเหล่าน้ีเป็นประโยชน์อย่างมากทางด้านการเมืองและสังคม เพราะการท่ีคนเราเข้าใจ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๒๑

กันดีในเร่ืองภาษา ผู้ศึกษาภาษาศาสตร์สาขาน้ีได้แก่ อังกาบ พลากรกุล ได้ศึกษาเร่ือง คาสรรพนาม ในวิทยานิพนธ์
ปริญญาเอกช่ือ A Sociolinguistics Study of Pronominal Strategy in Spoken Bangkok Thai เม่อื ปี ๒๕๑๕

๕. ภาษาศาสตร์มานษุ ยวิทยา
ภาษาศาสตร์เชิงมานุษยวิทยาหรือภาษาศาสตร์มานุษยวิทยา (Anthropological Linguistics)
(วรวรรธน์ ศรียาภัย, ๒๕๕๖ : ๒๒; จินดา เฮงสมบูรณ์, ๒๕๔๒ : ๓๑) กล่าวไว้ว่า เป็นการศึกษาภาษาใดภาษาหน่ึง
เพื่อใช้ในการวิจัยทางมานุษยวิทยา หรือใช้เป็นเคร่ืองมือศึกษาวัฒนธรรมด้านที่สัมพันธ์กับวัฒนธรรมมีการหา
ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษยชาติเปรียบเทียบขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ไปพร้อมกับศึกษาลักษณะภาษา เพ่ือ
หาที่มาหรือความสัมพันธ์ของภาษาแต่ละภาษา เนื้อหาของภาษาศาสตร์มานุษยวิทยากว้างขวางครอบคลุมเน้ือหา
หลายด้าน เช่น ภาษาศาสตร์ภาคสนาม ภาษาศาสตรช์ าติพันธ์ (Ethno-linguistics) เปน็ ต้น
๖. ภาษาศาสตร์การศึกษา
ภาษาศาสตร์เพื่อการศึกษาหรือภาษาศาสตร์การศึกษา (Educational Linguistics) (วรวรรธน์
ศรียาภัย, ๒๕๕๖ : ๒๐; จินดา เฮงสมบูรณ์, ๒๕๔๒ : ๓๑) กล่าวไว้ว่า เป็นการศึกษาภาษาหรือบทบาทของภาษา
ในแง่ที่สัมพันธ์กับการศึกษาและการเรียนการสอน ภาษาศาสตร์การศึกษาครอบคลุมหัวข้อต่าง ๆ เช่น การเรียน
การสอนภาษา การอ่านออกเขียนได้ นโยบายและการวางแผนภาษา วิธีการสอนภาษา หลักสูตรสองภาษา ภาษา
ระหว่างกลางหรืออันตรภาษา (inter-language) การเรียนรู้ภาษาโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วย การสร้างหลักสูตรภาษา
ต่าง ๆ และภาษาที่ใช้เป็นสื่อการสอนในสถาบันต่าง ๆ ทั้งน้ี ยังช่วยในด้านการวิเคราะห์เปรียบเทียบโครงสร้างของ
ภาษาทั้งสอง (คือภาษาเดิมกับภาษาท่ีเรียนรู้ใหม่) ช่วยฝึกฝนการออกเสียง โดยเฉพาะหน่วยเสียงท่ีไม่มีในภาษา
ของตน เชน่ เสียงพยัญชนะ [z] [v] ในภาษาอังกฤษท่ีไม่มีในภาษาไทย เปน็ ต้น
๗. ภาษาศาสตรค์ อมพิวเตอร์
ภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์ (Computational Linguistics) (จินดา เฮงสมบูรณ์, ๒๕๔๒ : ๓๐;
วรวรรธน์ ศรียาภัย, ๒๕๕๖ : ๒๑) กล่าวไว้ว่า เป็นการศึกษาภาษาศาสตร์โดยการนาคอมพิวเตอร์มาใช้ในการ
วเิ คราะห์ภาษา แปลภาษา และสร้างโปรแกรมการใช้ภาษาเน้ือหาของภาษาศาสตร์คอมพวิ เตอร์ เช่น การแปลด้วย
เคร่ือง (machine translation) การรู้จาเสียง (speech recognition) การสังเคราะห์ภาษาธรรมชาติ (natural
language synthesis) ภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์ อาจเรียนอกี อย่างหน่ึงว่า การประมวลภาษาธรรมชาติ
ภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์เร่ิมมีบทบาทมาตั้งแต่สมัยสงครามโลก โดยมีต้นตอมาจากสหรัฐอเมริกา
และรัสเซียพยายามจะแปลภาษาด้วยเคร่ือง (Machine Translation) การใช้คอมพิวเตอร์แปลภาษานี้ เร่ิมตั้งแต่
พ.ศ. ๒๔๗๖ แต่มาได้รับความสาเร็จในการทดลองเม่ือปี พ.ศ.๒๔๙๗ ในการแปลภาษารัสเซียเป็นภาษาอังกฤษ
หลังจากนั้นได้มีการพยายามแปลสองภาษานี้แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ นักภาษาศาสตร์ชาวไทยท่ีศึกษาด้านน้ีคือ เมื่อ
พ.ศ. ๒๕๑๓ อุดม วโรตม์สิกขดิตถ์ ได้ศึกษาเร่ือง Computerized Alphabetization of Thai และ เม่ือ พ.ศ.
๒๕๑๘ นิตยา กาญจนะวรรณ ได้ทาวิทยานิพนธ์เรื่อง Some Aspects of Thai-English Automatic Machine
Translation และเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๑ ได้ทาดุษฎีนิพนธ์เร่ือง Expression for Time in the Thai Verb and Its
Application to Thai-English Machine Translation

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๒๒

๘. ภาษาศาสตรข์ อ้ ความต่อเน่ือง
ภาษาศาสตร์ข้อความต่อเนือ่ ง (Text Linguistics) เป็นการศึกษาวิเคราะห์แบบแผนและส่วนประกอบ
ของข้อความต่อเน่ืองเพื่อให้ได้ไวยากรณ์สัมพันธสาร (Discourse Grammar) และกฎการเช่ือมโยงความ (Rules
of cohesion) มักมีเน้ือหาเกี่ยวข้อง ๔ ประเด็น คือความเป็นข้อความต่อเน่ือง (textuality) คือลักษณะโครงสร้าง
และหน้าที่ส่วนประกอบของข้อความต่อเนื่อง แบบลักษณ์ของข้อความต่อเนื่อง (Text typology) เป็นการศึกษา
โดยจาแนกประเภทของข้อความต่อเนื่อง การบูรณาการเข้ากับวัจนลีลาศาสตร์ (Stylistics) และวาทศิลป์
(Rhetoric) และข้อความต่อเนื่องกับความเข้าใจ เช่น การศึกษาปัจจัยที่ทาให้ข้อความต่อเน่ืองบางประเภทเข้าใจ
งา่ ยและบางประเภทเข้าใจยาก อนึง่ ภาษาศาสตรข์ ้อความต่อเน่ืองน้มี ีความใกล้เคียงกับสัมพันธสาร
๙. ภาษาศาสตร์คณิตศาสตร์
ภาษาศาสตร์เชิงคณิตศาสตร์หรือภาษาศาสตร์คณิตศาสตร์ (Mathematical Linguistics) (จินดา
เฮงสมบูรณ์, ๒๕๔๒ : ๓๐) กล่าวไว้ว่า เป็นการศึกษาตัวเลขท่ีเกี่ยวข้องกับภาษา เช่น การหาสถิติของคา เป็นต้น
ประโยชน์ที่มองเห็นก็คือ ถ้าเราทราบว่าตัวอักษรใดเราใช้มากที่สุดเราก็จะสามารถสร้างพิมพ์ดีดท่ีจัดตัวอักษรท่ีใช้
มากท่ีสุดอยู่บนแป้นท่ีน้ิวมือจะสัมผัสได้สะดวกที่สุด หรือถ้าเราทราบว่าคนใดใช้มากที่สุดในภาษาไทยเราก็อาจจะ
นาเอาคาเหลา่ นั้นมาบรรจุไว้ในตาราสอนเด็กให้รู้จักคาที่ใชก้ ันมากที่สุดในภาษากอ่ น เปน็ ต้น
๑๐. ภาษาศาสตร์คลินิก
ภาษาศาสตร์คลินิก (Clinical Linguistics) เป็นการใช้ความรู้ทางภาษาศาสตร์ในการศึกษาความ
บกพร่องทางภาษาของผู้พูดหรือผู้ป่วย ครอบคลุมปัญหาการใช้ภาษาหลายระดับ ต้ังแต่ระดับท่ีสามารถแก้ไขได้
ด้วยการชี้แนะหรือการสอน จนถึงระดับที่ต้องผ่าตัดแก้ไขความพิการ ผู้ทาหน้าที่แก้ไขความบกพร่องทางภาษาน้ีมี
หลายกลุ่ม เช่น นักวจีบาบัดหรือผู้สอนภาษาและแพทย์ ลักษณะงานด้านภาษาศาสตร์คลินิก ได้แก่วิเคราะห์
ลักษณะความบกพร่องทางภาษาของผู้พูด อาจเรียกว่าผู้ป่วยก็ได้ จากน้ันจึงจัดประเภทของความบกพร่อง เช่น
วินิจฉัยว่าบกพร่องด้านใด อาทิ การออกเสียงหรือเป็นผู้อยู่ในภาวะเสียภาษา (Dysphasia) แล้วจึงประเมินความ
บกพร่องน้ันวา่ อยู่ในระดับใด สุดทา้ ยกด็ าเนินการแก้ไขข้อบกพร่อง
๑๑. ภาษาศาสตรช์ ุดข้อมูล
ภาษาศาสตร์ชุดข้อมูล (Corpus Linguistics) เป็นการศึกษาโครงสร้างของภาษาและการใช้ภาษาซ่ึง
รวบรวมมาจากตัวอย่างภาษาท่ีใช้จริง จัดทาเป็นชุดข้อมูลและเก็บบันทึกไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ ประเด็นสาคัญ
ของการศึกษาภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์ เช่น ความหมายของคาตามประเภทของการใช้ การปรากฏและหนา้ ทข่ี อง
รูปภาษาบางลักษณะ ความสัมพันธ์หรือการปรากฏร่วมระหว่างคาบางคากับโครงสร้างทางไวยากรณ์บางลักษณะ
ลักษณะของข้อความในภาษาพูดหรือภาษาเขียนบางประเภท ในการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศ มีการจัดทา
ชุดข้อมูลภาษาของผู้เรียนชาวตา่ งประเทศเพื่อวิเคราะหข์ ้อผิดพลาดของการใชภ้ าษาดา้ นต่าง ๆ
๑๒. ภาษาศาสตร์สังคมเชิงปรมิ าณ
ภาษาศาสตร์สังคมเชิงปริมาณ (Quantitative Sociolinguistics) เป็นการศึกษาท่ีเน้นวิธีการรวบรวม
และวิเคราะห์ข้อมูลในเชิงปริมาณหรือตัวเลข เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research) ท่ีใช้ตัวเลขใน
การอธิบายผลการศึกษา โดยทั่วไปการศึกษาภาษาแนวน้ีเป็นการศึกษาการแปรของภาษาตามปัจจัยทางสังคมของ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๒๓

ผู้พูด โดยศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระ (Independent variable) ซ่ึงเป็นตัวแปรทางสังคม (Social
Variable) กับตัวแปรตาม (Dependent variable) ซ่ึงเป็นตวั แปรภาษา (linguistic variable)

๑๓. ภาษาศาสตรภ์ าคสนาม
ภาษาศาสตร์ภาคสนาม (Field Linguistics) เป็นการศึกษาวิธีการที่จะได้ข้อมูลทางภาษา บริบทหรือ
ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เก่ียวกับภาษา ผู้ศึกษาจะต้องออกไปเกบ็ ข้อมูลในพ้ืนที่ซ่ึงมีประชากรพดู ภาษาซ่ึงตนต้องการ
เพ่ือให้ได้ข้อมูลภาษาของผู้บอกภาษาซึ่งใช้จริงในชีวิตประจาวัน บางคร้ังสภาพแวดล้อมและบรรยากาศไม่
เอื้ออานวยให้ออกพื้นท่ีจริงอาจเลือกเก็บภาษาจากห้องเรียนหรือห้องทางานก็ได้ แต่ข้อมูลภาษาอาจแตกต่างจาก
ภาษาท่ใี ชอ้ ยู่ตามธรรมชาติ
๑๔. ภาษาศาสตรโ์ ลกวิสัย
ภาษาศาสตร์โลกวิสัย (Secular Linguistics) เป็นการศึกษาภาษาที่ใช้จริงในชีวิตประจาวันว่ามี
ลักษณะองค์ประกอบทางเสียง คา ประโยค ความหมาย ตลอดจนการใช้ภาษาว่าอยู่บนเง่ือนไขใด ไม่ใช่ภาษาของ
นกั ภาษาหรือภาษาท่ีนกั ไวยากรณ์กาหนดว่าถูกต้องภาษาศาสตรโ์ ลกวิสัยมีความใกล้เคียงกับภาษาศาสตร์สังคม
๑๕. ภาษาศาสตร์สงั คมแนวลาบอฟ
ภาษาศาสตร์สังคมแนวลาบอฟ (Labovian Sociolinguistics) เป็นการศึกษาภาษาศาสตร์สังคมตาม
แนววิลเลียม ลาบอฟ (William Labov) เป็นภาษาศาสตร์สังคมจุลภาคที่มุ่งศึกษาการแปรของภาษาในปัจจุบัน มี
วิธีการวิจัยคือ การเก็บข้อมูลอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด อาทิ ถามคาถามโดยให้ผู้บอกภาษาตอบมาทันที เพื่อได้
ขอ้ มูลภาษาท่ีเป็นจรงิ ในชีวิตประจาวันใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงปริมาณคอื สถิติพรรณนาหรือตีความข้อมูล
๑๖. ภาษาศาสตร์หนา้ ท่ี
ภาษาศาสตร์หน้าที่ (Functional Linguistics) เป็นการศึกษาภาษาในฐานะเคร่ืองมือของปฏิสัมพันธ์
ในสังคมมากกว่าจะแยกออกไปต่างหาก ตามแนวน้ีถือว่าแต่ละคนเป็นส่ิงมีชีวิตในสังคมจึงต้องตรวจสอบวิธีการใช้
ภาษาส่ือสารกับคนในสังคมของแต่ละคน ท่ามกลางปริบทแวดล้อมของคนผู้น้ัน
๑๗. ภาษาศาสตร์สังคมจลุ ภาค
ภาษาศาสตร์สังคมจุลภาค (Micro-Sociolinguistics) เป็นการศึกษาการแปรของภาษาตามปัจจัยทาง
สังคม โดยกาหนดขอบเขตให้แคบและเฉพาะเจาะจง เช่น เลือกชุมชนภาษาขนาดเล็ก จากัดประชากรให้เล็กที่สุด
และเลือกตัวแปรภาษา ๑ ตัว หรือ ๑ กลุ่ม (ส่วนใหญ่ไม่เกิน ๕ ตัว) ซึ่งล้วนแต่เป็นตัวสาคัญในสังคม แล้ววิเคราะห์
หารูปแปรของตัวแปรนั้นว่ามีอะไรบา้ ง แปรไปตามปัจจัยใดในสังคมอย่างไร จุดมุ่งหมายสาคัญของการศึกษาแนวนี้
คือเพอ่ื ให้ได้ภาพการเปล่ียนแปลงท่ีกาลงั ดาเนินอยู่ในภาษาใช้ทานายแนวโน้มในอนาคตได้
๑๘. ภาษาศาสตร์สังคมมหัพภาค
ภาษาศาสตร์สังคมมหัพภาพ (Macro-sociolinguistics) เป็นการศึกษาภาษาที่สัมพันธ์กับสังคมในวง
กว้างซ่ึงมักเป็นระดับชาติ โดยมักค้นหาสภาพความเป็นจริงของภาษาต่าง ๆ ในสังคม และสังคมเข้าไปจัดการกับ
ภาษานั้นอย่างไร ประเด็นสาคัญของภาษาศาสตร์แขนงน้ี เช่น ภาวะหลายภาษา การเลือกภาษา ทวิภาษณ์ การ
เปล่ียนภาษา การธารงภาษา และการวางแผนภาษา ด้วยเน้ือหาและขอบเขตของภาษาศาสตร์สังคมมหัพภาค
เหมือนกับสังคมวิทยาภาษา (Sociology of Language) นกั วิชาการจงึ ใช้ทงั้ ๒ คานี้ในความหมายเดียวกัน

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๒๔

๑.๕ แนวคิดและทฤษฎีไวยากรณ์

อมรา ประสิทธ์ิรัฐสินธุ์ (๒๕๕๔ : ๑๑๗ – ๑๔๐) กล่าวไว้ว่า แนวคิดและทฤษฎีไวยากรณ์ มี ๖ ทฤษฎี
ได้แก่ ทฤษฎีไวยากรณด์ ้ังเดิม ทฤษฎีโครงสรา้ ง ทฤษฎีโครงสร้าง ทฤษฎีปริวรรต ทฤษฎไี วยากรณ์การก และทฤษฎี
แทกมมี ิค มรี ายละเอียดดังน้ี

๑. ทฤษฎีไวยากรณ์ด้ังเดมิ
ทฤษฎีไวยากรณ์ด้ังเดิม (Traditional Grammar) มีกาเนิดมาจากไวยากรณ์กรีกและไวยากรณ์ละติน
จุดกาเนิดเร่ิมแรกคือการวิเคราะห์ภาษาของปราชญ์ชาวกรีก ซ่ึงศึกษาภาษาโดยเร่ิมจากคาและจาแนกคาตาม
ความหมาย จากคาจะศึกษาการนาคามารวมกันเป็นประโยค ในการวิเคราะห์ มักใช้ตัวเขียนเป็นหลัก หน่วยที่เล็ก
ที่สุดในภาษาไม่ใช่หนว่ ยเสยี ง แต่เปน็ ตัวอักษรต่อมาในสมยั โรมนั เรืองอานาจ ไวยากรณ์ละตินจึงมอี ิทธิพลอย่างมาก
ในยุโรป ไวยากรณ์ละตินเต็มไปด้วยกฎระเบียบ และจุดเน้นคงเป็นเช่นเดียวกับกรีก คือเน้นคาเป็นหลักและใช้
ภาษาเขียนหรือตัวเขียนเป็นหลัก เนื่องด้วยภาษาละตินมีอิทธิพลทั่วยุโรป และเป็นภาษาของผู้มีการศึกษา
ไวยากรณ์ของทุกภาษาจึงมีลักษณะเหมือนไวยากรณ์ภาษาละติน นอกจากนั้น เนื่องด้วยภาษาละตินเป็นวิชาหน่ึง
ในหลักสูตรของแทบทุกมหาวิทยาลัยในยุโรป รวมทั้งอังกฤษด้วยแนวความคิด ศัพท์เฉพาะ และวิธีการอธิบาย
ภาษาของละตินจึงเป็นแบบอย่างของทุกภาษา ผู้เขียนตาราไวยากรณ์ของทุกภาษาในยุโรปและครูสอนภาษาจะยึด
ไวยากรณ์ละตินเป็นหลัก แม้ในปัจจุบัน ก็ยังมีไวยากรณ์ภาษายโุ รปบางเล่มทย่ี ึดแนวทางตามไวยากรณ์ละติน ถึงแม้
จะไม่เป็นท่ีนิยมเท่าในสมัยกอ่ นก็ตาม
สรุปลักษณะเด่นของไวยากรณ์ด้ังเดิมดังน้ี (๑) ไวยากรณ์ด้ังเดิม เป็นไวยากรณ์ที่มีรากฐานอยู่บนกฎที่
ยึดถือกันมาเป็นประเพณี กาเนิดมาจากไวยากรณ์กรีกและละติน (๒) ไวยากรณ์ด้ังเดิมเป็นไวยากรณ์บังคับ มีความ
เข้มงวด ความศักดิ์สิทธิ์ เพราะมีจุดยืนที่ว่าไวยากรณ์ต้องทาหน้าที่ชี้ให้ผู้ใช้ภาษาเห็นแต่ส่ิงท่ีถูกต้องหรือมาตรฐาน
เพ่ือให้สังคมยึดถือ ปฏิบัติตามและแก้ไข หรือลบล้างลักษณะท่ีไม่ถูกต้องในภาษาให้หมดไป ถึงแม้จะเป็นรูปแบบที่
ใช้กันท่ัวไปก็ตาม (๓) ไวยากรณ์ดั้งเดิมเน้นภาษาเขียน เพราะในสมัยแรกเริ่มนักไวยากรณ์วิเคราะห์แต่ภาษาเขียน
ภาษาพูดนอกจากจะไม่ได้รับความสนใจแล้วยังถือว่าเป็นรูปแบบท่ีวิบัติอีกด้วย (๔) ไวยากรณ์ด้ังเดิมใช้หลัก
ตรรกวิทยาในการตัดสินว่ารูปแบบใดถูกหรือผิด ไม่ได้ตัดสินจากความรู้ของเจ้าของภาษาหรือรูปแบบที่ปรากฏใน
การใช้ในชีวิตประจาวัน (๕) เน้ือหาของไวยากรร์ดั้งเดิม เน้นเรื่องชนิดของคา และประเภททางไวยากรณ์ที่เก่ียวพัน
กับคา จึงมีการเน้นระบบวิภัตติปัจจัย เพราะเป็นลักษณะของภาษาอินโดยูโรเปียน ซึ่งเป็นภาษาที่ให้กาเนิด
ไวยากรณ์ดั้งเดิมภาษาที่ไม่มีวิภัตติปัจจัยไม่ได้รับความสนใจ (๖) ไวยากรณ์ดั้งเดิมไม่มีเกณฑ์ที่เป็นระบบในการ
จาแนกหน่วยต่าง ๆ เช่นเร่ืองชนิดของคามักใช้เกณฑ์ความหมาย และหน้าท่ี แต่ไม่มีความเป็นวัตถุวิสัย ทาให้เกิด
การซ้อนเกินหรือความลักล่ันในการจาแนก (๗) ไวยากรณ์ด้ังเดิมไม่มีรูปแบบท่ีเป็นเอกลักษณ์ในการวิเคราะห์ทาง
วากยสัมพันธ์ ไม่มีแนวทางการวิเคราะห์ที่เห็นได้ชัด เพราะจุดประสงค์คือการชี้บอกว่าอะไรถูกหรือผิด มิใช่เพ่ือให้
ข้อสรุปเก่ียวกับภาษาท่ีใช้จริง ๆ นักภาษาชาวไทยที่วิเคราะห์ภาษาไทยตามทฤษฎีน้ี คือ พระยาอุปกิตศิลปสาร
และ กาชัย ทองหลอ่

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๒๕

๒. ทฤษฎีโครงสร้าง
ไวยากรณ์โครงสร้าง (Structural Grammar) เป็นทฤษฎีไวยากรณ์ที่พัฒนาข้ึนราวต้นศตวรรษท่ี ๒๐
พร้อม ๆ กับที่การศึกษาภาษาเชิงวิทยาศาสตร์ ซ่ึงต่อมากลายเป็นศาสตร์ใหม่ชื่อ ภาษาศาสตร์ได้กาเนิดขึ้น
ไวยากรณ์ดั้งเดิมได้มีอิทธิพลในการวิเคราะห์หรือการเรียนการสอนภาษา อยู่หลายศตวรรษและได้แพร่กระจายมี
อิทธิพลไปแทบทว่ั โลก ไวยากรณ์โครงสรา้ งเนน้ การวิเคราะห์ภาษาอย่างเปน็ วิทยาศาสตร์ เน้นภาษาพูด เน้นรปู ของ
ภาษามากกว่าความหมาย ส่ิงท่ีสาคัญที่สุดในไวยากรณ์โครงสร้างก็คือ โครงสร้าง ซ่ึงหมายถึงวิธีท่ีส่ว นต่าง ๆ
รวมกันเป็นหน่วยสร้าง หรือการท่ีหน่วยเล็กรวมตัวกันเป็นหน่วยที่ใหญ่ขึ้น ดังน้ันไวยากรณ์โครงสร้างจึงเน้น ช้ัน
(layer) หรือ ระดับ (level) ของหน่วยต่าง ๆ เช่น หน่วยเสียง หน่วยคา คา วลี และประโยค (เรียงจากเล็กไปหา
ใหญ่หรือต่าไปหาสูง) นอกจากนี้ วิจินตน์ ภาณุพงศ์ (๒๕๓๒ : ๑๑๑ – ๑๑๒) อธิบายแนวคิดของไวยากรณ์
โครงสร้างไว้ ดังนี้ “นักภาษาศาสตร์โครงสร้างนับเป็นนักภาษาศาสตร์กลุ่มแรกที่พยายามจะศึกษาภาษาตามแนว
วิทยาศาสตร์ กล่าวคือ สนใจศึกษาภาษาพูด ซึ่งคนในสมัยปัจจุบันใช้กันอยู่โดยการฟังแล้วจดบันทึกไว้ หรือ
บันทึกเสียงไว้ด้วยเครื่องบันทึกเสียงแล้วนามาเป็นข้อมูลเพ่ือศึกษาวิเคราะห์ต่อไป ในการศึกษาวิเคราะห์ก็พยายาม
พิจารณาสิ่งท่ีเราสามารถจะสังเกตโดยตรงได้ น่ันคือพิจารณารูปภาษา (form) ซ่ึงได้แก่เร่ืองรูปลักษณะ ตาแหน่ง
และหน้าท่ีของเสียง พยางค์ หน่วยคา คา วลี อนุพากษ์ และประโยคในภาษา ส่วนเร่ืองความหมายน้ัน ถือวา่ เรายัง
ศึกษาโดยตรงไม่ได้ และเรายังไม่มีความรู้เพียงพอ จึงยังไม่ควรจานามาเป็นหลักในการพิจารณาวิเคราะห์ภาษา
ดังนั้น นักภาษาศาสตร์โครงสร้างมุ่งท่ีจะศึกษามีรูปแบบ ซึ่งหมายถึงลักษณะที่ปรากฏซ้าแล้วซ้าเล่าอย่างสม่าเสมอ
ในภาษาและศึกษาถึงส่วน (ประกอบ) ท่ีสาคัญซึ่งถือว่าเป็นหน่วยที่สาคัญของภาษา และหน่วยที่เป็นส่วน
(ประกอบ) ท่ีสาคัญนี้ เรียกว่า หน่วยโครงสร้าง เพราะหน่วยโครงสร้างนี้เองท่ีจะมาประกอบกันเข้าเป็นโครงสร้าง
อีกทหี นงึ่ นักภาษาชาวไทยท่ีวิเคราะห์ภาษาไทยตามทฤษฎีนี้ คือ วจิ ินตน์ ภาณพุ งศ์
๓. ทฤษฎีปริวรรต
ผู้เป็นเจ้าของทฤษฎีปริวรรต คือ นอม ชอมสกี (Noam Chomsky) ซึ่งเขียนหนังสือ Syntactic
Structures ใน ค.ศ. ๑๙๕๗ หรือ พ.ศ. ๒๕๐๐ ต่อจากน้ันอีก ๘ ปี เขียนหนังสือ Aspects of the Theory of
Syntax ความคิดเบื้องต้นเห็นว่าทฤษฎีโครงสร้างไม่สามารถทาให้เข้าใจธรรมชาติของภาษาได้ นักภาษาทฤษฎีนี้
มองว่าภาษาของมนุษย์มี ๒ ระดับ คือ ระดับลึก (deep structure) คือระดับในความคิดความต้องการและระดับ
ผิว (surface structure) คือระดับท่ีเห็นและได้ยินในการสื่อสาร ส่วนการใช้ภาษาก็แบ่งออกเป็น ๒ ระดับเช่นกัน
คือระดับความรู้ในภาษาและระดับการใช้ภาษา จุดมุ่งหมายหลักของทฤษฎีปริวรรตคือการตั้งทฤษฎีทางภาษา
(theory of language) เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในภาษา โดยถือว่าไวยากรณ์คือกฎเกณฑ์ของภาษา
ประกอบด้วย ๓ ส่วน คือ เสียง ความหมาย และประโยค นักภาษาชาวไทยท่ีวิเคราะห์ภาษาไทยตามทฤษฎีน้ี คือ
อดุ ม วโรตม์สิกขด์ ิตถ์ (วรวรรธน์ ศรยี าภยั , ๒๕๕๖ : ๕๐)
๔. ทฤษฎไี วยากรณ์การก
ทฤษฎีไวยากรณ์การก (Case theory) ผู้เป็นเจ้าของทฤษฎีน้ีคือ ชาร์ล ฟิลล์มอร์ (Charles Fillmire)
ซ่ึงได้เขียนบทความเร่ือง The Case for Case ใน ค.ศ. ๑๙๖๘ หรือ พ.ศ. ๒๕๑๑ โดยให้ความเห็นว่า ทฤษฎี
ปริวรรตน้ันยังยึดไวยากรณ์ท่ีประกอบด้วย ๓ ส่วน คือ เสียง ความหมาย ประโยค ทฤษฎีการกเน้นว่าความหมาย

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๒๖

สาคัญที่สุดจะอยู่ในโครงสร้างลึก ซึ่งมีส่วนประกอบสาคัญทเ่ี รียกว่า การก (case) เป็นความสมั พันธ์ระหว่างคานาม
กับคากริยาในประโยค ซึ่งมีหลายแบบ เช่น คานามสัมพันธ์กับคากริยาในฐานะเป็นผู้กระทา คานามสัมพันธ์กับ
คากริยาในฐานะผู้รับการกระทาอย่างไรก็ตามการกต่าง ๆ ในภาษาเป็นส่ิงสากล ทุกภาษาจะมีเหมือนกันหมด แต่
ไม่อาจจากัดจานวนได้ว่าในแตล่ ะภาษาจะมีเท่าใด นักภาษาชาวไทยที่วิเคราะหภ์ าษาไทยตามทฤษฎีนี้ คือ นววรรณ
พันธเุ มธา (วรวรรธน์ ศรียาภัย, ๒๕๕๖ : ๕๑)

๕. ทฤษฎีแทกมีมิค
ทฤษฎแี ทกมีมิค (Tagmemice Theory) เกดิ ขึ้นในช่วงก่อนปี ค.ศ. ๑๙๕๐ ผนู้ าของนักไวยากรณ์กลุ่ม
นี้คือ เคนเนธ แอล ไพค์ (Kenneth L Pike) เป็นนักภาษาศาสตร์อยู่ในกลุ่มของบลูมฟิลด์ การต้ังทฤษฎีสืบ
เน่ืองมาจากการวิเคราะห์ภาษาระดับไวยากรณ์ (Syntax) ตามแนวไวยากรณ์โครงสร้างยังไม่รัดกุมพอที่จะอธิบาย
โครงสร้างของวลีและประโยคได้ชัดเจนในบางกรณี ปัญหาท่ีไพค์พบคือความสับสนระหว่างประเภทของคาและ
หน้าทขี่ องคา ซ่ึงตามความคดิ ของนักไวยากรณ์โครงสรา้ งจะจาแนกประเภทของคาตามตาแหนง่ ท่ีคาปรากฏ
ภายหลังไพค์ได้แนวคิดจากไวยากรณ์การก และปรับปรุงไวยากรณ์แทกมีมิคของเขาใหม่ (๑๙๗๗)
โดยนาความสัมพันธ์แบบการกมาเป็นบทบาท (Role) ของแทกมีม และเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างแทกมีม
(Cohesion) ขึ้นอีกแบบหนึ่ง ในการอธิบายภาษาจึงกาหนดให้หน่วยทางไวยากรณ์ (Tagmeme) ประกอบขึ้นด้วย
ลักษณะสาคัญ ๔ ลักษณะคือ ๑) หน้าที่ของหน่วยทางไวยากรณ์ ซ่ึงแสดงด้วยลาดับตาแหน่งท่ีแน่นอน (Slot) เช่น
ตาแหน่งประธาน (Subject) ตาแหน่งภาคแสดง (Predicate) ตาแหน่งหน่วยหลัก (Necleuse) ตาแหน่งหน่วย
ขยาย (Margin) ฯลฯ ๒) ประเภทของหน่วยทางไวยากรณ์ (Filler of class) เช่น คานาม (Noun) คาช้ีเฉพาะ
(Determiner) นามวลี (Noun phrase) อนุประโยคหลัก Clause root) ฯลฯ ๓) บทบาทของหน่วยทางไวยากรณ์
ซ่ึงแสดงความสัมพันธ์ทางความหมาย (role) (คล้ายกับความสัมพันธ์ในข้ันลึกแบบการก) เช่น ผู้กระทา (Actor)
ผู้ถูกกระทา (Undergoer) บอกเล่า (Statement) สถานที่ (Location) ฯลฯ ๔) ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยทาง
ไวยากรณ์ (Cohesion) เช่น การเปลี่ยนแปลงรูปศัพท์ซ่ึงสัมพันธ์กับ เพศ พจน์ กาล ฯลฯ (จินดา เฮงสมบูรณ์,
๒๕๔๒ : ๔๕)

สรุปทา้ ยบท
ภาษาศาสตร์ คือ กระบวนการศึกษาภาษาอย่างเป็นระบบระเบียบตามลาดับข้ันตอนหรอื เคร่ืองมือสาหรับ

ศึกษาวิเคราะห์ภาษาด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ อันประกอบด้วยการตั้งปัญหา การตั้งสมมุติฐาน การ
รวบรวมข้อมลู การวเิ คราะห์ขอ้ มูล และการสรปุ ผล บนพืน้ ฐานที่ประจักษ์ต่อหลักฐาน

ความสาคัญของภาษาศาสตร์ไว้ ๔ ประการ ดังนี้ ๑) ภาษาศาสตร์ฝึกให้ผู้เรียนใจกว้าง มีใจเป็นกลาง ๒)
ภาษาศาสตร์ฝึกให้ผู้เรียนมีความคิดที่เป็นเหตุเป็นผลและเป็นระบบ ๓) ภาษาศาสตร์ทาให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้
ภาษาอื่น ๆ ได้ง่ายและลึกซึง้ ขึ้น ๔) ความรู้สาขาต่าง ๆ ของภาษาศาสตร์สามารถนาไปประยกุ ต์กับงานอ่ืน ๆ ได้อีก
มาก

ประวัติการศึกษาภาษาศาสตร์ ประกอบด้วย ๑) ความเป็นมาของการศึกษาภาษาศาสตร์ในโลกตะวันตก
ดังนี้ (๑) การศึกษาภาษาศาสตร์เชิงประวัติและเปรียบเทียบสมัยกรีกและโรมัน ได้แก่ การศึกษาภาษาในกรีก และ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๒๗

การศึกษาภาษาในโรมัน (๒) การศึกษาภาษาและภาษาศาสตร์ในประเทศตะวันตก ได้แก่ การศึกษาภาษาใน
อังกฤษ การศึกษาภาษาในอเมริกา การศึกษาภาษาในฝร่ังเศส การศึกษาภาษาในเยอรมัน และการศึกษาภาษาใน
รัสเซีย ๒) ความเป็นมาของการศึกษาภาษาศาสตร์ในประเทศตะวันออก ได้แก่ การศึกษาภาษาในอินเดีย
การศึกษาภาษาในจีน ญ่ีปุ่นและพม่า การศึกษาภาษาในเวียดนามและลาว และการศึกษาภาษาในมาเลเซีย ๓)
ความเป็นมาของการศึกษาภาษาศาสตร์ภาษาไทย ได้แก่ สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น สมัย
รตั นโกสนิ ทร์สมัยรัชกาลท่ี ๕ ถึง พ.ศ. ๒๕๐๔ และสมัยรัตนโกสินทร์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ถงึ พ.ศ. ๒๕๕๖

สาขาของภาษาศาสตร์ ประกอบด้วย ๓ สาขา ดังนี้
ภาษาศาสตร์ท่ัว (General Linguistics) มีจุดมุ่งหมายสาคัญคือการศึกษาโครงสร้างต่าง ๆ ของภาษา

ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยต่าง ๆ ในภาษา นับว่าเป็นการศึกษาภาษาศาสตร์ล้วน ๆ เน้ือหาครอบคลุม
ตั้งแต่เร่ืองเสียง การจัดระบบเสียง ระบบคาและกลุ่มคา ไวยากรณ์ ความหมาย ภาษาศาสตร์ทั่วไปสามารถ
แบ่งย่อยตามเน้ือหาได้ ๓ สาขา ดังนี้ ๑) สรวิทยา หรือสัทวิทยา (Phonology) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับเร่ืองเสียงใน
ภาษา ซ่ึงแยกออกเป็นแขนงย่อย ๆ ๒ แขนง คือ สัทศาสตร์ (Phonetics) และ สรศาสตร์ (Phonemics) ๒)
ไวยากรณ์ (Grammar) เป็นวิชาท่ีศึกษากฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของหน่วยท่ีมีความหมายอาจเป็นส่วนของคา วลี หรือ
ประโยคก็ตาม แบ่งออกเป็น ๒ แขนง ได้แก่วจีวิภาค (Morphology) กล่าวคือการศึกษาเรื่องระบบคาและ
โครงสร้างของคา และวากยสัมพันธ์ (Syntax) กล่าวคือการศึกษาเร่ืองระบบและโครงสร้างของวลีและประโยค ๓)
ความหมาย (Semantics) เป็นวิชาที่ศึกษาเก่ียวกับเร่ืองความหมายของคา ซึ่งเช่ือมโยงไปถึงความหมายของ
ประโยค และข้อความต่าง ๆ เรือ่ งของความพ้องความกากวม ซึง่ เปน็ เรือ่ งซับซ้อน

ภาษาศาสตร์เชิงประวัติ (Historical Linguistics) มีจุดมุ่งศึกษาการเปล่ียนแปลงของภาษาในลักษณะ
ต่าง ๆ คือ เสียง คา ประโยค และความหมาย ที่เรียกว่าภาษาศาสตร์เฉพาะสมัย (Synchronic Linguistics) มาสู่
ภาษาศาสตร์ข้ามสมัย (Diachronic Linguistics) ว่ามีขบวนการเปลี่ยนแปลงอย่างไร มีสาเหตุมาจากเหตุผลใด
และผลเป็นอย่างไร โดยศกึ ษาจากหลักฐานท่ีเป็นเอกสาร

ภาษาศาสตร์ประยุกต์ (Applied Linguistics) เป็นการศึกษาภาษาศาสตร์ในด้านที่สัมพันธ์กับศาสตร์
อ่ืน ๆ อันได้แก่ จิตวิทยา สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ การศึกษา และมานุษยวิทยา เป็นต้น ปัจจุบันจึงนิยมและให้
ความสาคัญข้ึนเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตามการศึกษาภาษาศาสตร์ประยุกต์ ก็จาเป็นต้องอาศัยองค์ค วามรู้เชิง
ภาษาศาสตร์บริสุทธ์ิเป็นพื้นฐานสาคัญ ทั้งน้ีภาษาศาสตร์ประยุกต์อาจจาแนกได้ ๑๘ สาขา ตามพจนานุกรม ฉบับ
ราชบัณฑิตยสถาน ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ดังนี้ ๑) ภาษาศาสตร์ประสาทวิทยา ๒) ภาษาศาสตร์จิตวิทยา ๓) ภาษาศาสตร์
พุทธิปัญญา ๔) ภาษาศาสตร์สังคม ๕) ภาษาศาสตร์มานุษยวิทยา ๖) ภาษาศาสตร์การศึกษา ๗) ภาษาศาสตร์
คอมพิวเตอร์ ๘) ภาษาศาสตร์ข้อความต่อเน่ือง ๙) ภาษาศาสตร์คณิตศาสตร์ ๑๐) ภาษาศาสตร์คลินิก ๑๑)
ภาษาศาสตร์ชดุ ข้อมูล ๑๒) ภาษาศาสตร์สังคมเชิงปริมาณ ๑๓) ภาษาศาสตร์ภาคสนาม ๑๔) ภาษาศาสตร์โลกวิสัย
๑๕) ภาษาศาสตร์สังคมแนวลาบอฟ ๑๖) ภาษาศาสตร์หน้าที่ ๑๗) ภาษาศาสตร์สังคมจุลภาค ๑๘) ภาษาศาสตร์
สังคมมหพั ภาค

แนวคดิ และทฤษฎีไวยากรณ์ มี ๖ ทฤษฎี ไดแ้ ก่ ทฤษฎีไวยากรณ์ดัง้ เดมิ ทฤษฎโี ครงสรา้ ง ทฤษฎีโครงสร้าง
ทฤษฎปี รวิ รรต ทฤษฎีไวยากรณ์การก และทฤษฎแี ทกมีมิค ดงั นี้

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๒๘

๑) ทฤษฎีไวยากรณ์ด้ังเดิม (Traditional Grammar) มีกาเนิดมาจากไวยากรณ์กรีกและไวยากรณ์
ละติน จุดกาเนิดเริ่มแรกคือการวิเคราะห์ภาษาของปราชญ์ชาวกรีก ซ่ึงศึกษาภาษาโดยเริ่มจากคาและจาแนกคา
ตามความหมาย จากคาจะศึกษาการนาคามารวมกันเป็นประโยค ในการวิเคราะห์ มักใช้ตัวเขียนเป็นหลัก หน่วยท่ี
เล็กที่สุดในภาษาไม่ใช่หน่วยเสียง

๒) ไวยากรณ์โครงสร้าง (Structural Grammar) เป็นทฤษฎีไวยากรณ์ที่พัฒนาข้ึนราวต้นศตวรรษที่
๒๐ พร้อม ๆ กับที่การศึกษาภาษาเชิงวิทยาศาสตร์ ซ่ึงต่อมากลายเป็นศาสตร์ใหม่ชื่อ ภาษาศาสตร์ได้กาเนิดข้ึน
ไวยากรณ์ดั้งเดิมได้มีอิทธิพลในการวิเคราะห์หรือการเรียนการสอนภาษา อยู่หลายศตวรรษและได้แพร่กระจายมี
อทิ ธิพลไปแทบท่ัวโลก ไวยากรณ์โครงสร้างเน้นการวิเคราะห์ภาษาอยา่ งเป็นวิทยาศาสตร์ เน้นภาษาพูด เน้นรปู ของ
ภาษามากกว่าความหมาย สิ่งท่ีสาคัญที่สุดในไวยากรณ์โครงสร้างก็คือ โครงสร้าง ซ่ึงหมายถึงวิธีที่ส่วนต่าง ๆ
รวมกันเป็นหน่วยสร้าง หรือการท่ีหน่วยเล็กรวมตัวกันเป็นหน่วยที่ใหญ่ขึ้น ดังนั้นไวยากรณ์โครงสร้างจึงเน้น ชั้น
(layer) หรอื ระดบั (level) ของหนว่ ยต่าง ๆ เช่น หน่วยเสียง หน่วยคา คา วลี และประโยค

๓) ทฤษฎีปริวรรต ผู้เป็นเจ้าของทฤษฎีปริวรรต คือ นอม ชอมสกี (Noam Chomsky) ซึ่งเขียน
หนังสือ Syntactic Structures ใน ค.ศ. ๑๙๕๗ หรือ พ.ศ. ๒๕๐๐ ต่อจากน้ันอีก ๘ ปี เขียนหนังสือ Aspects of
the Theory of Syntax ความคิดเบ้ืองต้นเห็นว่าทฤษฎีโครงสร้างไม่สามารถทาให้เข้าใจธรรมชาติของภาษาได้ นัก
ภาษาทฤษฎีนี้มองว่าภาษาของมนุษย์มี ๒ ระดับ คือ ระดับลึก (deep structure) คือระดับในความคิดความ
ต้องการและระดบั ผิว (surface structure) คือระดับทเี่ ห็นและไดย้ ินในการสือ่ สาร ส่วนการใช้ภาษาก็แบ่งออกเป็น
๒ ระดบั เช่นกันคือระดับความรู้ในภาษาและระดับการใช้ภาษา

๔) ทฤษฎีไวยากรณ์การก (Case theory) ผู้เป็นเจ้าของทฤษฎีนี้คือ ชาร์ล ฟิลล์มอร์ (Charles
Fillmire) ซึ่งได้เขียนบทความเร่ือง The Case for Case ใน ค.ศ. ๑๙๖๘ หรือ พ.ศ. ๒๕๑๑ โดยให้ความเห็นว่า
ทฤษฎีปริวรรตน้ันยังยึดไวยากรณ์ท่ีประกอบด้วย ๓ ส่วน คือ เสียง ความหมาย ประโยค ทฤษฎีการกเน้นว่า
ความหมายสาคัญท่ีสุดจะอยู่ในโครงสร้างลึก ซึ่งมีส่วนประกอบสาคัญท่ีเรียกว่า การก (case) เป็นความสัมพันธ์
ระหวา่ งคานามกับคากริยาในประโยค ซึ่งมีหลายแบบ

๕) ทฤษฎีแทกมีมิค (Tagmemice Theory) เกิดข้ึนในช่วงก่อนปี ค.ศ. ๑๙๕๐ ผู้นาของนักไวยากรณ์
กลุ่มน้ีคือ เคนเนธ แอล ไพค์ (Kenneth L Pike) เป็นนักภาษาศาสตร์อยู่ในกลุ่มของบลูมฟิลด์ การตั้งทฤษฎีสืบ
เน่ืองมาจากการวิเคราะห์ภาษาระดับไวยากรณ์ (Syntax) ตามแนวไวยากรณ์โครงสร้างยังไม่รัดกุมพอท่ีจะอธิบาย
โครงสร้างของวลีและประโยคได้ชัดเจนในบางกรณี ปัญหาท่ีไพค์พบคือความสับสนระหว่างประเภทของคาและ
หน้าท่ขี องคา ซ่ึงตามความคดิ ของนักไวยากรณ์โครงสรา้ งจะจาแนกประเภทของคาตามตาแหน่งท่ีคาปรากฏ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๒๙

รูปแบบการเรียนการสอน

๑. กิจกรรมสรา้ งสรรค์
๑.๑ เกม (บตั รคา)
๑.๒ แบบทดสอบ/แบบฝกึ หัดทางภาษาศาสตร์ภาษาไทย

๒. กิจกรรมการจัดการเรียนรแู้ บบสรา้ งสรรค์ (CBL : Creativity-Based Learning)
๒.๑ ภาษาศาสตรป์ ระยุกตม์ ีความสาคัญอย่างไร
๒.๒ ภาษาศาสตร์เชิงประวัติมีประโยชน์ต่อการเรียนการสอนภาษาไทยอย่างไร
๒.๓ ภาษาศาสตร์เชงิ เปรียบเทียบมีประโยชน์ต่อการเรียนการสอนภาษาไทยอย่างไร
๒.๔ วาดแผนผงั โครงสรา้ งของภาษาศาสตร์ภาษาไทย
๒.๕ วาดแผนผงั เปรียบเทียบทฤษฎีไวยากรณ์

สื่อการเรียนรู้

๑. โปรแกรมนาเสนอภาพน่ิง (PPT.) เนื้อหาประกอบการบรรยาย
๒. โปรแกรมสอ่ื มัตตมิ ีเดียและแอปพลิเคชัน YouTube
๓. เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ED1019 ภาษาศาสตร์ภาษาไทยสาหรับครู
๔. เกมบัตรคา
๕. แบบทดสอบ/แบบฝึกหัด
๖. แผนการจัดการเรียนรู้
๗. ใบความรู้

การวัดและการประเมินผล

๑. ประเมินผลจากการสงั เกตความสนใจ ซักถาม และตอบคาถาม
๒. ประเมินผลจากการร่วมกิจกรรม การอภิปรายแสดงความคิดเห็น
๓. ประเมินผลจากผลงาน ด้านเนื้อหา รูปแบบ ความคิดสร้างสรรค์ วิธกี ารนาเสนอ
๔. ประเมินผลจากการตรวจสอบผลการเล่นเกม แบบทดสอบ และแบบฝึกหัด

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๓๐

เอกสารอา้ งอิง

คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (๒๕๖๑). ภาษาศาสตร์เบ้ืองต้น (Introduction to
Linguistics) ฉบบั ปรับปรุง. พิมพ์ครั้งท่ี ๓. พระนครศรอี ยธุ ยา : มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย.

จรัลวิไล จรูญโรจน์. (๒๕๕๒). ภาษาศาสตร์เบื้องต้น. พิมพ์คร้ังที่ ๔. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร.์
จินดา งามสุทธิ. (๒๕๒๔). ภาษาศาสตร์ภาษาไทย. พมิ พ์คร้ังที่ ๒. กรงุ เทพฯ : โอเดียนสโตร์.
จินดา เฮงสมบรู ณ์. (๒๕๔๒). ภาษาศาสตรเ์ บื้องต้น. กรงุ เทพฯ : สวุ ีริยาสาส์น.
ชลธิชา บารุงรักษ์. (๒๕๓๙). การวิเคราะห์ภาษาระดับข้อความประเภทต่าง ๆ ในภาษาไทย. กรุงเทพฯ :

ภาควิชาภาษาศาสตร์ คณะศลิ ปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
ดุษฎีพร ชานิโรคศานต์. (๒๕๒๖). ภาษาศาสตร์เชิงประวัติและภาษาไทเปรียบเทียบ. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์

มหาวทิ ยาลัย.
ธวัช ปุณโณทก. (๒๕๔๕). วิวัฒนาการภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช.
นภาลยั สวุ รรณธาดา. (๒๕๒๖). “ความรู้เบ้ืองต้นเก่ียวกับภาษาศาสตร์”. ใน เอกสารการสอนชุดวิชาภาษาไทย ๓

หน่วยท่ี ๑ หน้า ๑ – ๕๐. (พมิ พค์ ร้ังที่ ๒). กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธริ าช.
ปรียา อิงคาภริ มย์. (๒๕๔๘). ไวยากรณ์ภาษาญี่ปุ่น. กรงุ เทพฯ : ดอกหญา้ กรุ๊ป.
เปรมจิต ชนะวงศ์. (๒๕๔๕). ภาษาศาสตร์เบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ ๗. นครศรีธรรมราช : สถาบันราชภัฏ

นครศรีธรรมราช.
พชั รี พลาวงศ.์ (๒๕๓๗). ความรู้เบ้ืองต้นทางอรรถศาสตร์. พิมพ์ครงั้ ท่ี ๔. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคาแหง.
พิณทิพย์ ทวยเจริญ. (๒๕๔๗). ภาพรวมของการศึกษาสัทศาสตร์และภาษาศาสตร์. พิมพ์ครั้งท่ี ๓. กรุงเทพฯ :

มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร.์
รัตติยา สาและ. (๒๕๒๙). การอ่านและการเขียนภาษามลายูด้วนตัวอักษรยาวี. กรุงเทพฯ : มูลนิธีเสฐียรโกเศศ-

นาคะประทีป.
ราชบณั ฑิตยสถาน. (๒๕๔๗). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒. กรุงเทพฯ : นานมีบคุ๊ .
ราชบัณฑิตยสถาน. (๒๕๕๓). พจนานุกรมศัพท์ภาษาศาสตร์ (ภาษาศาสตร์ประยุกต์) ฉบับราชบัณฑิตยสถาน.

กรุงเทพฯ : ราชบณั ฑติ ยสถาน.
วรวรรธน์ ศรียาภยั . (๒๕๕๖). ภาษาศาสตร์ภาษาไทย. พิมพค์ รง้ั ท่ี ๒. นนทบรุ ี : สมั ปชญั ญะ.
วจิ ินตน์ ภาณพุ งศ.์ (๒๕๓๒). โครงสร้างของภาษาไทย : ระบบไวยากรณ์. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง.
วิไลวรรณ ขนษิ ฐานันท์. (๒๕๒๑). ภาษาและภาษาศาสตร์. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
วิโรจน์ อรณุ มานะกุล. (๒๕๔๙). ทฤษฎภี าษาศาสตร์. กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สญั ชัญ สุลักษณานนท์. (๒๕๔๒). ภาษาศาสตร์ภาษาฝร่ังเศสเบื้องต้น. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์.
สมทรง บุรุษพัฒน์. (๒๕๓๗). วจนะวิเคราะห์ : การวิเคราะห์ภาษาระดับข้อความ. นครปฐม : สถาบันวิจัยภาษา

และวฒั นธรรมเพอ่ื พัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล.
สุจริตลักษณ์ ดีผดุง. (๒๕๕๒). วัจนปฏิบัติศาสตร์เบื้องต้น (Introduction to Pragmatics). พิมพ์ครั้งที่ ๒.

กรุงเทพฯ : หา้ งห้นุ ส่วนจากัดสามลดา.

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๓๑
สุริยา รัตนกุล. (๒๕๕๕). อรรถศาสตร์เบ้ืองต้น. พิมพค์ ร้งั ที่ ๒. นครปฐม : มหาวิทยาลัยมหิดล.
อมรา ประสิทธร์ิ ัฐสินธ์ุ และคณะ. (๒๕๕๔). ทฤษฎีไวยากรณ์. พิมพค์ รั้งท่ี ๓. กรงุ เทพฯ : เอเอสพี.
อดุ ม วโรตมส์ ิกขดิตถ์. (๒๕๔๗). ภาษาศาสตร์เบ้ืองต้น. พมิ พค์ รง้ั ที่ ๒๐. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง.

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๓๒

แผนการสอนประจาบท

หวั เรอื่ ง

๑. อวัยวะที่ใชใ้ นการออกเสยี ง
๒. ความหมายของเสียง
๓. ลักษณะท่วั ไปของเสียง
๔. ความหมายของหน่วยเสียงสระ
๕. ลกั ษณะของหนว่ ยเสยี งสระ
๖. รูปและช่ือของหน่วยเสยี งสระในภาษาไทย
๗. หนว่ ยเสยี งสระในภาษาไทย

แนวคิด

เสียงหรือหน่วยเสียง (Phoneme) หมายถึง เสียงท่ีเปล่งออกมาจากปอดผ่านลาคอและผ่านช่องปาก
จะเป็นเสียงท่ีมีความหมายหรือไม่มีความหมายก็ได้ แต่เสียงนั้น ย่อมจะแสดงความหมายออกมาไม่ว่าผู้พูดจะ
ต้ังใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ซึ่งเสียงในภาษาจะต้องประกอบด้วยเสียงสระ เสียงพยัญชนะ เสียงวรรณยุกต์ ทั้งน้ี
ระดับของเสียงและน้าเสียงยังมีความสัมพันธ์กับความหมายอีกด้วย นอกจากนี้ในภาษาไทยมีหน่วยเสียง ๓
หน่วยเสียง คือ หน่วยเสียงสระ ๒๑ หน่วยเสียง หน่วยเสียงพยัญชนะ ๒๑ หน่วยเสียง และหน่วยเสียง
วรรณยุกต์ ๕ หน่วยเสียง อีกอย่างหน่ึงส่ิงที่มีส่วนสาคัญในการออกเสียงหรือเปล่งเสียงคืออวัยวะที่ใช้ในการ
ออกเสยี งซ่งึ มบี ทบาทและหนา้ ท่ใี นการบอกลักษณะของภาษาและแยกประเภทของเสยี งต่าง ๆ ในภาษา

วตั ถุประสงค์
เมือ่ นกั ศกึ ษาเรยี นจบบทที่ ๒ มสี ามารถได้ดงั นี้
๑. อธิบายความหมายของเสียงและลกั ษณะทวั่ ไปของเสยี งได้
๒. อธิบายการทางานของอวัยวะท่ใี ช้ในการออกเสยี งได้
๓. อธิบายความหมายของหน่วยเสียงสระได้
๔. อธบิ ายลักษณะของเสยี งสระได้
๕. อธิบายการเปลยี่ นแปลงของรูปและช่ือของหน่วยเสยี งสระในภาษาไทยได้
๖. อธิบายหน่วยเสียงสระตามหลักภาษาศาสตร์ภาษาไทยได้

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๓๓

บทท่ี ๒
อวยั วะท่ีใชใ้ นการออกเสียงและหน่วยเสยี งสระ

เคร่ืองมือท่ีใช้ส่ือสารได้รวดเร็วคือเสียงพูด ซ่ึงมีความสาคัญในการถ่ายทอดความรู้ ความคิด และ
ประสบการณ์ต่าง ๆ จากรนุ่ ส่รู ุ่น เสียงยังทาให้จิตใจของผู้ฟงั อ่อนโยนและสามารถโน้มน้าวใหผ้ ้ฟู ังอยากทาตาม
จะเห็นไดจ้ ากเสียงร้องเพลง เสียงสวดมนต์ เสียงผสมผสานกับนา้ เสียง ลักษณะของเสียงทาให้เกิดความหมาย
ต่าง ๆ ท้ังนี้ส่ิงท่ีช่วยให้เกิดเสียงท่ีไพเราะ น่าฟังคืออวัยวะท่ีใช้ในการออกเสียง ซึ่งจะทาให้ผู้พูดออกเสียงได้
ถูกต้องตามหลักภาษาและเป็นการอนุรักษ์ภาษาอันเป็นวัฒนธรรมของประเทศชาติได้อีกด้านหนึ่ง ในบทนี้จะ
ได้กล่าวถึง อวัยวะที่ใช้ในการออกเสียง ความหมายของเสียง ลักษณะท่ัวไปของเสียง ความหมายของหน่วย
เสียงสระ ลักษณะของหน่วยเสียงสระ รูปแลชื่อของหน่วยเสียงสระในภาษาไทย และหน่วยเสียงสระใน
ภาษาไทย มรี ายละเอียดดงั ตอ่ ไปนี้

๒.๑ อวยั วะทใี่ ชใ้ นการออกเสยี ง
อวยั วะทใ่ี ช้ในการออกเสียงมี ๓ ส่วน ได้แก่ ปอดและหลอดลม กลอ่ งเสียงและเส้นเสยี ง และอวยั วะใน

ชอ่ งปาก ดังนี้
๑. ปอดและหลอดลม

(ท่ีมา: ภาพปอดและหลอดลมจาก https://shorturl.asia/5AYih)
ปอดและหลอดลม (รุ่งฤดี แผลงศร, ๒๕๖๑ : ๑๓๓ – ๑๓๔; จินดา เฮงสมบรู ณ์, ๒๕๔๒ : ๕๕) กล่าว
ไว้ว่า ปอดมี ๒ ข้าง มีลักษณะคล้ายฟองน้าประกอบด้วยถุงลมเล็ก ๆ จานวนมาก ไม่มีกล้ามเน้ือ มีเฉพาะ
หลอดลมฝอย ปอดจะอยู่ในช่องอกมีกระดูกซ่ีโครงหุ้มท้ังส่วนหน้าและส่วนหลัง ระหว่างปอดจะเชื่อมต่อด้วย
หลอดลมเล็กและหลอดลมใหญ่ โดยหลอดลมเล็กจะเชื่อมต่อระหว่างปอดแต่ละข้าง หลอดลมเล็กจากปอดแต่
ละข้างมารวมกันเป็นหลอดลมใหญ่ ทอดตัวยาวข้ึนมาจนถึงกล่องเสียงหรือลูกกระเดือก ปอดมีหน้าที่ในการ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๓๔

หายใจ สาหรบั การเปล่งเสียงพูดโดยปอดทาให้เกิดลมเพ่ือใช้ในการเปล่งเสียง กล่าวคือ การเปล่งเสียงเกิดจาก
ลมถูกปล่อยออกมาจากปอดผ่านหลอดลมมาสู่ช่องปากหรือช่องจมูกหรือทั้งสองช่อง เสียงจะเกิดขึ้นเม่ือลมท่ี
ผ่านออกมาถูกกัก ด่านแรกท่ีลมถูกกักคือเส้นเสียง ซ่ึงเป็นเส้นคู่อยู่บนหลอดลมในกล่องเสียง จากน้ันเสียงจะ
ผ่านเข้าสชู่ ่องปากซ่ึงมดี า่ นกักอกี คือลน้ิ รมิ ฝีปาก และฟันอวยั วะเหลา่ นีจ้ ะทาใหเ้ กิดเสยี งลักษณะตา่ ง ๆ กัน

ด้านลา่ งของปอดมกี ะบังลมซ่ึงเป็นแผ่นกลา้ มเนือ้ รูปโคง้ แผ่นกะบังลมน้จี ะเป็นตัวชว่ ยกดดันใหช้ ่องอก
ใหญ่ขึ้นหรือเล็กลงเวลาหายใจ กล่าวคือถ้าแผ่นกะบังลมลดตัวลง กระดูกซ่ีโครงจะถูกกล้ามเน้ือดึงให้ขยายตัว
ออก ขนาดของชอ่ งอกจะใหญข่ ึ้น ความดันของอากาศในช่องอกจะต่ากว่าความดันของอากาศภายนอกช่องอก
อากาศก็จะไหลจากภายนอกรา่ งกายเข้าไปในปอดเป็นลมหายใจเข้า เมื่อสูดลมหายใจเข้าแล้ว ช่องอกจะอยู่ใน
สภาพพัก แผ่นกะบังลมจะดันตัวโค้งข้ึนเล็กนอ้ ย กระดูกซี่โครงจะถกู กล้ามเน้อื ระหว่างซ่ีโครงดึงใหเ้ ข้ามาหากัน
ขนาดของช่องอกจะเล็กลง ความดันของอากาศในช่องอกจะสูงกว่าความดันภายนอกช่องอก อากาศก็จะไหล
จากปอดออกไปนอกร่างกายเป็นลมหายใจออก

๒. กล่องเสียงและเสน้ เสียง

(ทีม่ า: ภาพกล่องเสยี งและเส้นเสยี งจาก https://shorturl.asia/Nq3hL)
กล่องเสียงและเสน้ เสยี ง (พิณทิพย์ ทวยเจริญ, ๒๕๔๗ : ๗๒ – ๘๑; รุ่งฤดี แผลงศร, ๒๕๖๑ : ๑๓๔ –
๑๓๕) กล่าวไว้ว่า กล่องเสียงเป็นกระดูกมลี ักษณะคลา้ ยกลอ่ งอยูส่ ่วนหน้าของคอกล่องน้ีมีท่ีปิดด้านบนเป็นลิ้น
๒ ชิ้น เรียกว่า เส้นเสียง ช่องท่ีมีเส้นเสยี งเปิดปิดน้ี เรียกว่า หอหอย เส้นเสียงมีหนา้ ท่ีในการปดิ กั้นไม่ให้อาหาร
พลัดลงไปในหลอดลม ขณะที่กลืนอาหาร เส้นเสียงจะเข้ามาชิดกันเพื่อปิดตอนบนของหลอดลม แต่เม่ือเปล่ง
เสียง เส้นเสียงมีหน้าที่สาคัญคือเปลี่ยนลมจากปอดให้เป็นคลื่นเสียง เส้นเสียงทาให้เกิดความแตกต่างระหว่าง
เสยี งประเภทตา่ ง ๆ เช่น เสยี งไม่ก้อง (Voiceless) เกิดจากเส้นเสยี งเปดิ อยู่ลมท่ผี ่านข้ึนมาจากปอดกไ็ ม่ต้องดัน
เส้นเสียง ลมสามารถผ่านไปได้โดยสะดวกและเส้นเสียงไม่สะบัด เกิดเป็นเสียงไม่ก้อง ถ้าเส้นเสียงปิดไม่สนิทมี
ช่องพอลมผ่านออกมาได้จะเกิดเป็นเสยี งกระซบิ ส่วนเสียงก้อง (Voiced) เกิดจากเส้นเสียงปดิ ลมจากปอดผา่ น
ไมส่ ะดวก เสน้ เสียงจะอยชู่ ิดกนั เกิดการส่ันสะบดั เป็นเสยี งกอ้ ง

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๓๕

กล่องเสียง ลมจากปอดจะเคล่ือนผ่านออกมาทางหลอดลมแล้วผ่านต่อออกมาทางกล่องเสียง ตั้งอยู่
ส่วนบนของหลอดลมประกอบด้วยกล้ามเน้ือและกระดูกอ่อน ๓ ส่วน คือ กระดูกไทรอยด์ (thyroid) เป็น
กระดูกอ่อนช้ินใหญ่ที่สุดของกล่องเสียง มีลักษณะโป่งนูน สัมผัสได้บริเวณลาคอ คือลูกกระเดือกนั่นเอง มี
หน้าท่ีสาคัญคือปกป้องกล่องเสียงด้านหน้าและด้านข้างทั้งสองมิให้รับความกระทบกระเทือนและเป็นส่วนยึด
ของกล้ามเนื้อท่ีทาให้เกิดการทางานของเส้นเสียง กระดูกอ่อนส่วนท่ีสองคือกระดูกไครคอยด์ (cricoid) อยู่
บริเวณส่วนล่างของกระดูกไทรอยด์มีลักษณะคล้ายวงแหวน จึงมีช่ือเรียกอีกอย่างหน่ึงว่ากระดูกรูปวงแหวน
กระดูกอ่อนส่วนท่ีสามมี ๒ ช้ินเล็ก ๆ เรียกว่ากระดูกแอรีทีนอยด์ (arythenoid) ต้ังอยู่ส่วนบนด้านหลังของ
กระดูกไทรอยด์และกระดูกไครคอยด์ ส่วนท้ายสุดของเส้นเสียงติดยึดอยู่กับบริเวณด้านหน้าของกระดูกแอรีที
นอยด์ กระดูก ๒ ช้ินนี้เคล่ือนท่ีขึ้นลงหรือเคล่ือนท่ีไปทางซ้ายทางขวาได้ และเป็นกระดูกชิ้นสาคัญในการ
ทางานของเสน้ เสยี ง

เส้นเสียง หรือเส้นเสียงแท้ เส้นเสียงอยู่ในบริเวณส่วนประกอบของกระดูกอ่อนท้ังสามท่ีกล่าวมาแล้ว
มีลักษณะเป็นเส้นเอ็นบาง ๆ ยืดหยุ่นและเคล่ือนไหวได้ด้วยกล้ามเนื้อไทโรแอรีทีนอยด์ มี ๒ เส้นโยงจาก
ด้านหน้าไปด้านหลังของกล่องเสียง สามารถเคล่ือนมาชิดติดกันหรือยืดห่างออกจากกันเพ่ือเปิดเป็นช่องว่าง
(glottis) ปกตแิ ล้วเสน้ เสยี งของผู้ชายจะยาวกว่าเส้นเสยี งของผู้หญงิ เสียงผชู้ ายจงึ ทุ้มต่ากวา่ เสยี งผู้หญิง

๓. อวยั วะในช่องปาก

(ทมี่ า: ภาพอวัยวะในชอ่ งปากจาก https://shorturl.asia/lGJjk)
อวัยวะในช่องปาก (กาญจนา นาคสกุล, ๒๕๕๙ : ๒๒; สถาบันภาษาไทย, ๒๕๕๕ : ๑๕ – ๒๐; พิณ
ทพิ ย์ ทวยเจริญ, ๒๕๔๗ : ๑๙ – ๒๖; วรวรรธน์ ศรยี าภัย, ๒๕๕๖ : ๕๘ – ๕๙) กล่าวไว้ว่า อวัยวะที่ใช้ในการ
ออกเสียง อาจจะแบ่งได้เป็น ๒ พวก คือ ๑) อวัยวะที่เป็นส่วนกระทาอาหาร (articulators) หมายถึงอวัยวะ
ส่วนท่ีเคล่ือนไหวเพ่ือผลักลมไปยังตาแหน่งต่าง ๆ อวัยวะตัวกระทาการท่ีสาคัญ คือลิ้น ซึ่งเคล่ือนไหวได้ มาก
ที่สุด บางคนเรียกอวัยวะส่วนนี้ว่า กรณ์ ๒) อวัยวะท่ีเป็นตาแหน่งที่เกิดเสียงต่าง ๆ (point of articulation)
หมายถึงตาแหน่งหรือฐานท่ีเกิดของเสียงต่าง ๆ เช่น ริมฝีปาก ฟัน เพดาน ส่วนต่าง ๆ เป็นต้น บางคนเรียก
อวยั วะส่วนน้วี ่า ฐาน

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๓๖

กระบวนการออกเสยี งพูดเร่มิ ตงั้ แตก่ ารที่ลมหายใจออกซง่ึ ถูกขับใหผ้ ่านเส้นเสยี งข้นึ มาถกู ดดั แปลงด้วย
อวัยวะต่าง ๆ ในช่องปาก ทาใหเ้ กิดเป็นเสียงตามท่มี ีในระบบของภาษา ซง่ึ อวัยวะส่วนท่ีมีหนา้ ทีโ่ ดยตรงในการ
ออกเสียงพดู มีลกั ษณะสาคัญดงั น้ี

๑. รมิ ฝปี าก (lip) เป็นอวัยวะส่วนทสี่ ามารถเคลอื่ นไหวได้มากและมีสว่ นในการดัดแปลงลมให้เป็น
เสียงต่าง ๆ กัน ทาให้เสียงแตกต่างกันมาก เราอาจจะบังคับริมฝีปากให้ปิดสนิท ให้เปิดเล็กน้อย ให้เปิดกว้าง
ข้ึน ริมฝีปากเข้าไปชดิ ฟัน และสามารถทาให้ยื่นออกมา ให้หอ่ กลมหรือทาเป็นรูปรีก็ได้ ลักษณะต่าง ๆ ของริม
ฝีปากล้วนมผี ลตอ่ การออกเสยี งและทาใหเ้ สียงแตกตา่ งกันไปทงั้ ส้นิ

๒. ฟัน (teeth) เป็นอวัยวะซ่ึงเป็นฐานหรือตาแหน่งท่ีเกิดของเสียงหลายชนิดเช่น เม่ือกดฟันบน
ลงท่รี ิมฝปี ากล่าง ลมจะลอดชอ่ งที่พอจะผ่านออกมาได้ ทาให้เกิดเป็นเสียงชนิดท่ีเรียกว่า เสยี งเสียดแทรกทีเ่ กิด
ระหว่างฟันกับริมฝีปาก ถ้าฟันบนกดกับฟันล่าง ลมที่ผ่านออกมา ทาให้ได้เสียงเสียดแทรกที่เกิดที่ฟัน เป็นต้น
นอกจากน้ี เน่ืองจากปลายลิ้นอยู่ใกล้กับฟัน ปลายลิ้นจึงมักจะทาอาการต่าง ๆ บริเวณฟันและหลังฟันบ่อย ๆ
ทาใหเ้ กดิ เสยี งทเี่ รียกวา่ เสยี งเกดิ ทฟี่ ัน (dental sound)

๓. ปุ่มเหงอื ก (alveolus) เปน็ ส่วนที่นนู ออกมาตรงบริเวณหลังฟนั ด้านบน ถ้าเอาลิ้นแตะดจู ะรู้สึก
ว่ามีลักษณะเป็นคล่ืนน้อย ๆ ลิ้นอาจจะแตะหรืออยู่ใกล้บริเวณปุ่มเหงือก ซึ่งทาให้เกิดเสียงปุ่มเหงือก
(alveolar sound) ปุม่ เหงือกจงึ นับเป็นตาแหน่งหรือฐานสาคญั ในการออกเสียงพูดตาแหนง่ หนึง่

๔. เพดานแข็ง (palate) เป็นส่วนท่ีต่อจากปุ่มเหงือกไปทางด้านหลังเป็นเพดานส่วนท่ีโค้งเป็น
กระดูกแขง็ เคลื่อนไหวไม่ได้ เพดานแขง็ เปน็ ตาแหน่งสาคัญอีกตาแหน่งหนึง่ ในการอธบิ ายทเ่ี กดิ ของเสยี ง

๕. เพดานอ่อน (velum) เป็นส่วนของเพดานซึ่งอยู่ต่อเพดานแข็งเข้าไปข้างในช่องปาก มี
ลักษณะเป็นกระดูกอ่อนท่ีขยับข้ึนลงได้เล็กน้อย ส่วนปลายของเพดานอ่อนคือล้ินไก่ เวลาหายใจเพดานอ่อน
และล้ินไก่ซ่ึงอยู่ปลายเพดานอ่อนจะลดระดับลงมาเปิดช่องให้ลมออกไปทางจมูก ฉะน้ัน เวลาท่ีเราไม่พูด
เพดานอ่อนและล้ินไก่จะลดระดับลง เวลาพูดส่วนใหญ่เพดานอ่อนและล้ินไก่จะถูกยกขึ้นไปจดกับผนังคอและ
กนั้ ลมไม่ให้ออกไปทางจมูก ในเวลาออกเสียงนาสิกเท่าน้ันท่ีเพดานอ่อนจะลดระดับลงมาเพือ่ ให้ลมออกไปทาง
จมูกได้

๖. ล้ินไก่ (uvula) เปน็ กอ้ นเนือ้ เลก็ ๆ อยตู่ ่อปลายเพดานอ่อนตรงกลางปากส่ันรัวได้
๗. ช่องจมูก (nasal cavity) หมายถึง โพรงในช่องจมูก ซึ่งอยู่เหนือล้ินไก่ข้ึนไป เป็นช่องที่ลมซ่ึง
ผ่านเส้นเสียงขึ้นมาจะผ่านออกไปทางจมกู ได้เม่ือเวลาหายใจและเวลาออกเสียงนาสกิ ส่วนเวลาที่เปล่งเสยี งอ่ืน
ๆ ลน้ิ ไกจ่ ะถูกยกขน้ึ ไปปดิ ช่องจมกู เพ่อื ให้ลมออกมาทางช่องปาก
๘. ลิน้ (tongue) เปน็ สว่ นทีเ่ คลอื่ นไหวได้มากที่สุดในการออกเปล่งเสียง เพราะลิน้ สามารถเคล่ือน
ตวั ได้อยา่ งคล่องแคลว่ หลายทศิ ทาง นอกจากนี้ ส่วนทีเ่ คล่อื นไหวของล้นิ แตล่ ะส่วนมีผลต่อการออกเสยี ง เราจึง
แบง่ ล้นิ ออกเปน็ ๓ ส่วน ตามหน้าทีท่ ีม่ ีในการออกเสียง คือ

๘.๑ ล้ินส่วนปลาย (tip of the tongue) หรือ ลิ้นส่วนปลายสุด หมายเอาส่วนปลายของลิ้น
ซงึ่ จะยกขึน้ ไปแตะอวัยวะส่วนตา่ ง ๆ ในปากตอนบนไดโ้ ดยง่าย

๘.๒ ล้ินส่วนหนา้ (blade of the tongue) หมายเอาลิ้นสว่ นทอี่ ยู่ตรงขา้ มกบั เพดานแข็ง

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๓๗

๘.๓ ลน้ิ ส่วนหลัง (back of the tongue) หมายเอาส่วนของลนิ้ ที่อยู่ตรงขา้ มกับเพดานอ่อน
๙. แผ่นเนื้อปากหลอดลม (epiglottis) หรือล้ินปิดกล่องเสียง เป็นแผ่นเน้ือบาง ๆ อยู่ติดโคนล้ิน
ลงไปในลาคอ มีหน้าท่ีปิดเปิดช่องหลอดลมเพ่ือป้องกันมิให้อาหารตกลงไปในหลอดลม ในเวลาท่ีกลืนอาหาร
แผ่นเน้ือปากหลอดลมจะปิดลงให้อาหารผ่านไปลงหลอดอาหาร เมอ่ื พูดแผน่ เนื้อนี้จะเปิดออก หากพูดในขณะ
กลนื อาหารลมที่ออกมาจะดันใหแ้ ผ่นเนอ้ื น้เี ปดิ ออก อาหารจะตกลงไปในชอ่ งหลอดลม ทาใหส้ าลกั ได้
๑๐. โพรงคอ (pharynx) หมายถงึ โพรงซึ่งอย่ถู ัดชอ่ งปากลงไปจนถงึ เส้นเสยี งหรอื สายเสยี ง
๑๑. เส้นเสียง (vocal cords) เป็นอวัยวะสาคัญท่ีทาให้เกิดเสียง เส้นเสียงมีลักษณะประกอบดว้ ย
เส้นเอ็นและกล้ามเน้ือเป็นแผ่น ๒ แผ่น เส้นเสียงทั้งสองวางขวางอยู่ตรงกลางกล่องเสียง กล่องเสียงคือส่วนท่ี
อยู่เหนอื หลอดลมขึ้นมา ตรงที่เราเรยี กว่าลกู กระเดอื ก
นอกจากนี้ อวัยวะทใี่ ช้ในการออกเสียงขา้ งตน้ สามารถแบ่งได้ ๓ กลุ่ม ดงั น้ี
๑. อวัยวะท่ีใช้เริ่มต้นการออกเสียง ได้แก่ ปอด กะบังลม และกล้ามเน้ือระหว่างซ่ีโครง อวัยวะ
เหล่านเี้ ปน็ อวยั วะท่ีก่อใหเ้ กิดลม เพือ่ ใชเ้ ปลง่ เสียงพดู
๒. อวัยวะที่ทาให้เกิดเสียงพูด ได้แก่ หลอดลม กล่องเสียง และเส้นเสียง เมื่อลมผ่านขึ้นมาจาก
ปอดแล้ว อวยั วะเหล่านจ้ี ะทาหน้าทใี่ ห้เกดิ เสยี งประเภทตา่ ง ๆ เชน่ เสียงก้อง เสียงไมก่ อ้ ง
๓. อวัยวะท่ีทาให้เสียงเปลี่ยนเป็นเสียงต่าง ๆ ได้แก่ ริมฝีปาก ล้ิน ฟัน ปุ่มเหงือก เพดานอ่อน
เพดานแข็ง ลิ้นไก่ คอหอย และช่องจมูก อวัยวะเหล่าน้ีทาให้เกิดเป็นเสียงต่าง ๆ ในภาษา ขึ้นอยู่กับฐานกรณ์
การออกเสียง เช่น เสยี ง /m/ เกิดขึ้นทีร่ มิ ฝปี าก แต่เสียง /r/ เกดิ ขนึ้ ทป่ี ุ่มเหงอื ก
ดังน้ัน กระบวนการเปล่งเสียงพูดต้องใช้อวัยวะท้ัง ๓ กลุ่มข้างต้นทางานประสานกัน เริ่มตั้งแต่มี
อากาศเข้าไปในปอด แล้วเราใช้ลมหายใจออกมาทาให้เกิดเสียงพูด โดยลมถูกบังคับจากอวัยวะต่าง ๆ ต้ังแต่
เส้นเสียงมีการเปิดปิดหรือสั่นสะเทือน แล้วผ่านออกมาทางช่องปากหรือช่องจมูก อวัยวะในช่องปากจะ
ดัดแปลงใหเ้ ป็นเสียงตา่ ง ๆ ตามท่ีผู้พูดตอ้ งการ (ร่งุ ฤดี แผลงศร, ๒๕๖๑ : ๑๓๙ – ๑๔๐)

๒.๒ ความหมายของเสียง
เรืองเดช ปันเขือ่ นขัตยิ ์ (๒๕๕๒ : ๔๗) กล่าวไว้ว่า เสียงหรือหน่วยเสียง (Phoneme) หมายถึง หน่วย

ที่เล็กที่สุด ท่ีมีนัยสาคัญสาหรับพูดในภาษา เพราะหน่วยเสียงเหล่าน้ี เมื่อนามาประกอบเป็นคาก็สามารถเป็น
องค์ประกอบของคาต่าง ๆ ได้ และทาให้คาหน่ึงมีความหมายต่างจากอกี คาหน่ึงได้เมื่อต่างหนว่ ยเสียงกันอย่าง
มีระบบ โครงสร้างเสียงของภาษาไทยจะประกอบด้วยหน่วยเสียงพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ ซึ่ง
นักภาษาศาสตร์จะเรยี กวา่ ระบบเสยี ง (Phonology)

กาญจนา นาคสกุล (๒๕๕๙ : ๑๔ – ๑๙) กล่าวไว้ว่า เสียง หมายถึงเสียงที่เปล่งออกมาโดยเจ้าของ
ภาษาเพ่ือใช้สื่อความหมายได้ตรงกัน ซ่ึงแต่ละบุคคลมีความเข้าใจความหมายของเสียงน้ัน ทั้งนี้เจ้าของเสียง
อาจจะไม่รลู้ ักษณะการออกเสียง ตาแหน่งที่เกดิ ของเสียง และความสัมพันธ์ของเสียงเลยก็ได้ นอกจากน้ี เสียง
หมายถึงภาษาหนงึ่ มีหน่วยเสียงอยูจ่ านวนหนึ่งเป็นจานวนจากัด เจ้าของภาษารู้จักหน่วยเสียงเหล่านี้ และรู้ว่า
หน่วยเสียงแต่ละหน่วยมีความสัมพันธ์กันประกอบกันได้อย่างมีกฎเกณฑ์ เป็นพยางค์ เป็นคา เพ่ือส่ือ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๓๘

ความหมายในภาษา เจ้าของภาษาจะรู้ได้ว่าเสียงท่ีนามาประกอบกันนั้น เสียงใดเข้าลักษณะภาษาของตน
หรอื ไม่ การเปลง่ เสียงของแต่ละหนว่ ยนั้นอาจจะเหมอื นกันหรอื ไมเ่ หมอื นกนั ภายในขอบเขตของภาษา

คณาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (๒๕๔๕ : ๓๐) กลา่ วไว้ว่า หน่วยเสียง (Phoneme) คอื เสยี งที่มี
หน้าท่ีแยกความหมายของคา เสยี งพูดในภาษาจานวนมากมาย แต่ไม่ใช่ทุกเสียงท่ีสามารถแยกความหมายของ
คา หรอื สอื่ ความหมายได้

จินดา เฮงสมบูรณ์ (๒๕๔๒ : ๙๕) กล่าวไว้ว่า หน่วยเสียง (Phoneme) หมายถึง เสียงสาคัญในภาษา
ที่มีหน้าที่แยกความหมายของคาในภาษา ประกอบด้วยหน่วยเสียงพยัญชนะ หน่วยเสียงสระ หน่วยเสียง
วรรณยกุ ต์ มบี ทบาทและหน้าทีส่ มั พนั ธ์กนั อย่างมรี ะบบ

อภิลักษณ์ ธรรมทวีธิกุล (๒๕๔๗ : ๒) กล่าวไว้ว่า เสียงหรือหน่วยเสียง (Phoneme) คือ ส่ิงที่ผู้พูด
เปล่งออกมาแตล่ ะครั้ง และผ้ฟู งั ได้ยินเสยี ง ๆ หนง่ึ สรีระของการออกเสียงแตล่ ะเสียงแตกต่างกันไปตามอวัยวะ
ต่าง ๆ ที่ใชใ้ นชอ่ งเสยี งของผู้พูด แตล่ ะหน่วยเสียงมีคณุ สมบตั ิที่แตกตา่ งจากหน่วยเสยี งอื่น ๆ ในหนา้ ทแ่ี ละการ
สมั พนั ธก์ บั ความหมายในระบบเสียงของภาษา

สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ (๒๕๔๓ : ๓๔๒) กล่าวไว้ว่า หน่วยเสียง คือ ส่วนย่อยที่สุดของเสียงท่ีปรากฏใน
ภาษาหนึง่ ๆ และเม่อื อยู่ในสง่ิ แวดลอ้ มอนั เดยี วกันแล้ว หนว่ ยเสียงนัน้ ๆ จะไม่ซา้ กบั เสยี งอ่ืน ๆ อกี เลย

สรุปความได้ว่า เสียงหรือหน่วยเสียง (Phoneme) หมายถึง เสียงที่เปล่งออกมาจากปอดผ่านลาคอ
และช่องปาก จะเป็นเสียงที่มีความหมายหรือไม่มีความหมายก็ได้ ซึ่งมีบทบาทและหน้าท่ีในการแยก
ความหมายของคาในภาษา และสามารถใช้ส่ือสารกนั ได้ ซ่ึงประกอบดว้ ยหน่วยเสียงพยญั ชนะ หน่วยเสียงสระ
และหน่วยเสียงวรรณยุกต์ แต่ละเสยี งหรอื หน่วยเสยี ง

๒.๓ ลกั ษณะท่ัวไปของเสยี ง
ลกั ษณะท่วั ไปของเสียง (กาญจนา นาคสกลุ , ๒๕๕๙ : ๒๙ – ๓๕; วรวรรธน์ ศรยี าภยั , ๒๕๕๖ : ๖๔ –

๖๕; อภิลักษณ์ ธรรมทวีธิกุล, ๒๕๔๗ : ๗๘ – ๘๒; พิณทิพย์ ทวยเจริญ, ๒๕๔๗ : ๗๒ – ๘๑; คณาจารย์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๕ : ๔๒ – ๔๓) สรุปความได้ว่า ลักษณะทั่วไปของเสียงพูดในภาษาไทยมี ๖
ลักษณะ ดงั นี้

๑. เสยี งก้องและเสยี งไม่กอ้ ง
ในเวลาที่เราไม่พูด เส้นเสียงจะอยู่ห่างจากกัน เปิดช่องระหว่างเส้นเสียงหรือช่องคอหอยให้ลมหายใจ
ผ่านเข้าออกได้โดยสะดวก ในขณะที่ออกเสียงพูด บางครั้งเส้นเสียงอาจจะเปิดออกแต่ไม่กว้างเท่าเวลาหายใจ
เราเรียกเส้นเสียงในตาแหน่งนี้ว่า เส้นเสียงเปิด เมื่อเส้นเสียงเปิดลมที่ดันผ่านจากปอดข้ึนมาจะผ่านออก
โดยสะดวก และไม่ทาให้เส้นเสียงส่ัน มเี สียงพูดของคนเราหลายเสียงซ่ึงเกดิ ขึ้นในขณะที่เส้นเสียงเปิด เราเรียก
เสียงเหลา่ นี้ว่า เสียงไม่ก้อง (Voiceless Sounds) เช่น เสยี งพยัญชนะ พ ท ป ส ในภาษาไทย
ในการออกเสียงพูดบางเสียง เส้นเสียงจะถูกดึงเข้ามาใกล้กันจนเกือบจะปิดช่องทางลมเสียสนิท
ตาแหน่งน้ีเรียกว่า เส้นเสียงปิด ถ้าเราออกเสียงพูดในขณะท่ีเส้นเสียงปิด ลมที่ดันข้ึนมาจากปอดจะทาให้เส้น
เสียงท้ังสองต้องส่ันสะบัด คือ ลมพยายามจะหาทางออกทาให้เส้นเสียงส่วนที่อยู่ด้วยหลังเปิดออกแล้ว
ส่วนกลางก็เปิดออกตาม แล้วเปิดเร่ือยไปถึงส่วนหน้า พอส่วนหน้าเปิด ส่วนหลังก็ปิด สลับกันอยู่อย่างนี้ แต่
อาการที่เกิดขึ้นนี้เร็วมากจนเกิดเป็นอาการส่ัน ลมท่ีออกมาไม่สะดวกเพราะต้องบีบตัวผ่านช่องแคบ ๆ เป็น

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๓๙

จังหวะ ๆ จึงทาให้เกิดเป็นเสียงข้ึน เรียกว่า เสียงก้อง (Voiced sounds) เสียงก้อง เป็นเสียงท่ีดัง เพราะลมที่
ออกมาทาให้เกิดเปน็ คลืน่ ไปในอากาศ ผูท้ ่อี ยู่หา่ งออกไปจงึ ไดย้ นิ อาการสั่นสะบัดทเ่ี สน้ เสียงเป็นสิ่งทเ่ี ราจะรู้สึก
ได้จากอาการภายนอกด้วยการวางมอื เบา ๆ ไว้ตรงลูกกระเดือก แล้วเปล่งเสียงสระ หรือเสยี งพยัญชนะซึ่งเป็น
เสยี งกอ้ ง เช่น สระ อา หรือพยญั ชนะ บ น หรอื z เป็นตน้

เส้นเสียง นอกจากจะปิดหรือเปิด ดังอธิบายข้างบนนี้แล้ว เส้นเสียง ยังอาจจะถูกดึงเข้าจนชิดกัน ปิด
ก้ันลมมิให้ผ่านเข้าออกเลยกไ็ ด้ เชน่ เวลาที่เรากลัน้ หายใจ หากเส้นเสยี งปดิ สนทิ แลว้ เปลง่ ให้ลมออกมาโดยแรง
ก็จะได้เสียง อย่างเสียงพยัญชนะ อ ในตาแหน่งพยัญชนะต้นของไทย เรียกเสียงท่ีเกิดลักษณะน้ีว่า เสียงกักท่ี
เสน้ เสียง (glottal stop)

๒. เสียงสูงและเสียงตา่
เส้นเสียง เป็นอวัยวะท่ีทาใหเ้ กิดเสียงก้องแล้ว ยังเป็นอวยั วะที่ทาใหเ้ กิดเสยี งระดับสงู และต่าในการพูด
ด้วย เสียงก้องเป็นเสียงท่ีอาจเปล่งออกให้มีระดับต่าง ๆ กันได้ ทั้งน้ีเพราะระดับเสียงสูงหรือต่า (pitch of
voice) มีความสัมพันธ์กับอัตราการส่ันของเส้นเสียง เสียงสูงต่าต่างกันเพราะมีความถี่ (audio frequency)
ตา่ งกัน ความถ่ีของเสียง หมายถึงอัตราการสั่นสะเทือนของเครื่องกาเนิดของเสียงในกรณีของเสียงพูด อวัยวะ
สว่ นทีท่ าใหเ้ สยี งมรี ะดับสูงหรือตา่ กค็ ือ เสน้ เสียง
ส่วนเสียงสูงต่าที่เกิดในพยางค์หรือคา แล้วทาให้พยางค์หรือคานั้นมีความหมาย แตกต่างกับพยางค์
หรือคาท่ีมีเสียงอ่ืน ๆ ซ่ึงประกอบเข้าเป็นพยางค์หรือคานั้นอย่างเดียวกัน เป็นเสียงสูงเสียงต่าที่มีความหมาย
เป็นหน่วยเสียงซึ่งเรียกว่า หน่วยเสียงวรรณยุกต์ (tone) ส่วนเสียงสูงต่าที่มิได้ผูกพันกับพยางค์หรือคา แต่
เปลี่ยนไปตามรูปแบบของประโยคอาจทาให้ความหมายของประโยคเปลี่ยน ในทานองประโยคบอกเล่าเป็น
ประโยคคาถาม เป็นต้น จัดเปน็ เสยี งสงู ต่าทเี่ ปน็ สว่ นประกอบของประโยค เรียกวา่ ทานองเสียง (intonation)
อกี อย่างหนึ่ง ระดับเสียง (pitch) หมายถึง เสยี งสูง-ต่า หรือเสียงระดับสูงต่า เกิดจากการสน่ั ของเสียง
ในลักษณะที่มีความถ่ีไมเ่ ท่ากัน หากความถ่ีของเสียงต่า ระดับเสยี งก็จะตา่ หากความถี่ของเสียงสงู ระดับเสียง
ก็จะสูง คาว่า ความถี่ของเสียง หมายถึงอัตราการสั่งสะเทือนของเส้นเสียง ในทางกลศาสตร์จะวัดความถี่ของ
เสียงเป็นเฮอร์ตซ์ (hertz) อักษรยอ่ ใช้ว่า ฮซ. (Hz) หรือรอบต่อวนิ าที โดยเปรียบเทียบกับการส่ันสะเทือนของ
วัตถุท่ีเคล่ือนจากจุดหน่ึงไป แล้วกลับมาถึงจุดเดิม เรียกว่า ๑ ฮซ. หรือ ๑ รอบ ตัวอย่างเช่น เสียงที่มีความถี่
๓๐๐ ฮซ. หรอื ๓๐๐ รอบ จะมีระดับเสียงต่ากว่าเสยี งท่ีมคี วามถี่ ๔๐๐ ฮซ. หรือ ๔๐๐ รอบ ซ่ึงระดับเสียงสูง
หรอื ต่าน้นั จะเกิดกับเสียงกอ้ งเทา่ นัน้ เพราะมกี ารสน่ั สะเทือนของเสน้ เสยี งทม่ี ีความถี่ในระดับตา่ ง ๆ กนั
๓. ความยาวของเสยี ง
ความยาวของเสียง (length) หมายถึง การที่เสียงใดเสียงหนึ่งจะเปลง่ ออกมานานเท่าใด เสียงพูดบาง
เสียงอาจจะเปล่งออกมาได้นานเช่น เสียงสระ เสียงพยัญชนะนาสิก เสียงพยัญชนะเสียดแทรก เป็นต้น บาง
เสียงไม่สามารถจะออกได้นาน เช่น เสียงพยัญชนะระเบิดไม่ก้อง เป็นต้น เราจะพูดถึงความยาวของเสียงเม่ือมี
การเปรียบเทียบ และเมือ่ ความยาวของเสยี งเปน็ ลกั ษณะสาคญั ประการหน่ึงของเสยี งที่เราพดู ถึง ความยาวของ
เสียงอาจมีได้หลายขนาด แต่โดยท่ัวไปก็มักจะมีความจาเป็นท่ีจะพูดถึงเพียง ๒ ขนาด คือ สั้น และ ยาว
หมายถึงเสียงสระ ในภาษาไทยนั่นเอง
๔. การลงนา้ หนัก
การลงน้าหนัก (stress) หมายถึง การออกเสยี งพยางค์ใดพยางคห์ นง่ึ ใหด้ ังเน้นมากกวา่ พยางค์อ่ืนที่อยู่
ข้างเคียง การลงน้าหนักพยางค์ข้ึนอยู่กับกาลังแรงท่ีใช้ในการเปล่งเสียงของพยางค์แต่ละพยางค์ การท่ีจะลง
น้าหนักที่พยางค์ใด ผู้ออกเสียงจะตอ้ งเพ่มิ ลมท่ีเปล่งเสียงพยางคน์ ัน้ ใหม้ ากข้ึน และเปลง่ ออกด้วยกาลังทีแ่ รงขึ้น

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๔๐

อวยั วะทกุ ส่วนท่ีใช้ในการออกเสียงพยางคน์ ั้นจะต้องทาหน้าท่ีอย่างแข็งขันข้ึนเพ่ือทาให้พยางคน์ ้ัน ดงั เน้น กว่า
พยางค์ทอี่ ยขู่ า้ งเคยี งการลงน้าหนกั พยางค์มีความสัมพันธก์ บั จังหวะในการพูด

การออกเสียงคาซ่ึงมิใช่คาพยางค์เดียวในภาษาไทย แต่ละพยางค์จะออกเสียงเน้นหนกั ไม่เท่ากัน กรณี
ที่ออกเสียงเน้นหนักเท่ากันก็ย่อมจะกระทาได้ แต่จะไม่เป็นธรรมชาติ การลงเสียงหนักเบาของแต่ละพยางค์
ข้นึ อยู่กบั กฎเกณฑ์ซง่ึ กาหนดคุณลักษณะทางสัทศาสตร์ของแตล่ ะพยางค์ เชน่ คาประสาน ๒ พยางค์ ท่พี ยางค์
หน้าประสมด้วยสระเสยี งสั้น ไม่มีเสยี งพยัญชนะสะกด จะไมล่ งเสยี งหนัก แต่จะลงเสียงหนกั ที่พยางค์หลัง เช่น
มะพร้าว กระเทียม มะม่วง พะเยา เป็นต้น และในตัวอย่างคาอื่น ๆ เช่น น้าหมึก วิทยาการ สีน้าตาล
สนกุ สนาน มหาวทิ ยาลยั พะเยา เป็นตน้

๕. ความดัง
ความดัง (loudness) หมายถึง ความดังของเสียง ความดังจะข้ึนอยู่กับปริมาณของลมที่ผู้พูดเปล่ง
ออกมาในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ รวมกับคุณลักษณะประจาตัวของเสียง การลงน้าหนัก และความยาวของเสียง
ประกอบกัน
๖. ชว่ งตอ่ ของเสยี ง
ช่วงต่อของเสียง (juncture) เป็นส่ิงสาคัญประการหน่ึงที่สงั เกตได้ว่ามีความเกี่ยวขอ้ งกบั การพูด เสียง
ซง่ึ เรยี งกันมาในคาพดู ของคนนั้น มชี ่วงตอ่ ระหวา่ งเสียงไม่เหมือนกนั บางเสยี งก็อยูช่ ิดกัน บางเสียงก็อยู่ห่างกัน
ถ้าอยู่ห่างกันมากเราก็อาจจะหยุดระหว่างเสียงน้ัน ๆ แต่ถ้าอยู่ชิดกันก็ไม่อาจจะหยุดได้ เสียงท่ีรวมกันเป็น
พยางค์หน่ึง ๆ จะเชื่อมกันสนิทจนเกือบจะไม่เห็นช่วงต่อเรียกว่า ช่วงต่อแนบชิด (close juncture) เสียงที่
ปรากฏอยู่ คนละพยางค์ หรือ คนละคาจะมีช่วงต่อห่างจนสังเกตเห็นได้ชัดเรียกว่า ช่วงต่อห่าง (open
juncture) เช่น เสียงท่ีเรียงกันมาเป็นคาพูดว่า ปลากราย มีเสียง ป ล า ก ร า ย ส่วนเสียงท่ีเรียงกันเป็นคาว่า
ปากร้าย มีเสียง ป า ก ร้ า ย เมื่อเทียบเสียงที่ปรากฏในคาท้ังสองน้ีจะเห็นว่า มีเสียงบางเสียงเหมือนกัน คือ
เสียง ป า ก ร า ย ซ่ึงปรากฏเหมือนกันในท้ัง ๒ คา ถ้าพิจารณาเฉพาะช่วงต่อระหว่างเสียง ก กับ ร ในคาท้ัง
สอง จะเห็นว่าไม่เหมือนกัน ในคาว่า ปลากราย ก กับ ร ต่อกันสนิทเป็นเสียงควบแต่ในคาว่า ปากร้าย เสยี ง ก
กับ ร ต่อกนั หา่ ง อาจมชี ่วงหยุด (pause) อยตู่ รงกลาง ช่วงตอ่ ของเสียง ก กับ ร ในคาว่า ปลากราย มีลกั ษณะ
เป็นช่วงต่อแนบชิด แต่ช่วงต่อของเสียง ก กับ ร ในคาว่า ปากร้าย เป็นช่วงต่อห่าง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมี
ตวั อยา่ งการแยกชว่ งต่อต่างกนั ในระดับประโยค กจ็ ะทาใหค้ วามหมายแตกต่างกนั เช่น
ตวั อยา่ งท่ี ๑ ยานี้ดี กินแล้วแข็งแรง ไม่มโี รคภัยเบยี ดเบียน

ยาน้ีดี กนิ แลว้ แขง็ แรงไมม่ ี โรคภัยเบียดเบียน
ตวั อย่างที่ ๒ ไม่เจอกนั ต้งั นานนม โตข้นึ เป็นกองเลย

ไมเ่ จอกันตง้ั นาน นมโตข้ึนเป็นกองเลย

๒.๔ ความหมายของเสยี งสระ
เรอื งเดช ปนั เขอื่ นขัติย์ (๒๕๕๒ : ๑๐๓) กลา่ วไว้วา่ สระ หมายถงึ เสยี งทเ่ี ปล่งออกจากปอดมาทางชอ่ ง

ปากโดยไม่มีอะไรมาปิดขวางทางลม เพอ่ื ให้ลมสามารถผ่านออกมาจากปอดมาถึงริมฝีปากหรือพ้นออกมาจาก
ปากโดยไม่มีการกกั หรอื ปิด ลมไม่ถูกกักหรือถูกบบี ณ จุดใดจุดหนึ่งหรือไม่มีการหักเหจากตรงกลางไปทางข้าง
ลิ้นหรอื ไมม่ ีการสัน่ สะเทือนท่เี สน้ เสยี ง

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๔๑

กาญจนา นาคสกุล (๒๕๕๙ : ๖๑) กลา่ วไว้ว่า หน่วยเสียงสระ คือเสยี งทเี่ กิดจากลมซึ่งผ่านเสน้ เสียงใน
ตาแหน่งปิดเกือบสนิทและลมที่ต้องดันตัวออกมา ทาให้เส้นเสียงสั่นเกิดเป็นเสียงดังข้ึน เรียกว่า เสียงก้อง
ดังน้ัน เสียงสระเป็นเสียงก้องที่ถูกเปล่งออกมาทางปาก โดยท่ีจะไม่มีอวัยวะส่วนใดในปากมาปิดก้ันทางลมไว้
แต่อวยั วะในปากอาจจะอย่ใู นลักษณะและตาแหน่งต่าง ๆ ซึ่งทาให้โพรงปากมีลักษณะต่างกันไดห้ ลายแบบ ลม
ที่ผ่านออกมาจึงเกิดเป็นเสียงต่าง ๆ กัน เปรียบได้กับลมที่เป่าผ่านเคร่ืองดนตรีประเภทเป็นหลอดหรือท่อ ถ้า
หลอดหรือท่อน้ันมีลักษณะแตกต่างไป ลมก็จะออกมาเป็นเสียงต่างกัน เสียงสระก็มีลักษณะการเกิด
เช่นเดียวกันน้ัน การห่อริมฝีปากหรือไม่ห่อริมฝีปากมากน้อยต่างกันก็ดี การยกลิ้นส่วนใดส่วนหน่ึงก็ดี การยก
ล้นิ สงู ต่าตา่ งกันก็ดี ยอ่ มมีผลทาให้เสยี งสระเป็นเสยี งตา่ งกนั ทงั้ น้ัน

วรวรรธน์ ศรียาภัย (๒๕๕๖ : ๘๓) กล่าวไว้ว่า สระ หมายถึงเสียงและเป็นเสียงก้องท่ีออกได้ยาวนาน
ทาหนา้ ท่เี ป็นแกนกลางของพยางค์

ประสิทธ์ิ กาพย์กลอน (๒๕๑๖ : ๗๔) กล่าวไว้ว่า เสียงสระ หมายถึงเสียงท่ีลมพุ่งออกมาสะดวก ไม่มี
อวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใดปิดกั้นทางลมเอาไว้เหมือนเสียงพยัญชนะ อวัยวะส่วนท่ีใช้ทาเสียงสระคือลิ้นกับริม
ฝปี าก

รุ่งฤดี แผลงศร (๒๕๖๑ : ๑๕๗) กล่าวไว้ว่า เสียงสระหรือเสียงแท้ เป็นเสียงก้องทุกเสียง ซ่ึงเปล่ง
ออกมาโดยไม่ทาให้อวัยวะเหนือเส้นเสียงขึ้นไปสั่นสะบัดและลมที่ออกมาน้ันออกทางปากโดยไม่ถูกกักหรือถูก
บบี จนลมตอ้ งออกอย่างมีเสยี งเสยี ดแทรกเหมือนเสียงพยญั ชนะ

อภิลักษณ์ ธรรมทวีธิกุล (๒๕๔๗ : ๒๔) กล่าวไว้ว่า เสียงสระเป็นเสียงท่ีออกโดยไม่มีการสกัดกั้น
ทางเดินของลมในช่องคอหรือช่องปาก ลมปอดผ่านกล่องเสียงข้ึนมาทางหลอดเสียงและผ่านออกทางปาก
ความดนั ในชอ่ งปากมีน้อยกว่าความดันใต้กล่องเสียง ประกอบกับเส้นเสียงอยู่ในภาวะหย่อนพอเหมาะทจี่ ะสั่น
เสียงสระจึงเป็นเสียงโฆษะ เสียงสระตา่ ง ๆ เกิดจากการเคล่ือนที่ยกระดับสูงต่าไปข้างหน้าหรือข้างหลังของลิ้น
ในช่องปากประกอบกับการเปลีย่ นลกั ษณะของการห่อปาก การเคล่อื นท่ีเปลี่ยนแปลงของอวัยวะเหลา่ นี้มผี ลทา
ให้เกดิ การเปล่ียนแปลงรูปร่างลักษณะและความยาวของช่องเสียง ตั้งแต่กลอ่ งเสยี งผ่อนชอ่ งคอ ช่องปากขึ้นมา
จนถงึ ริมฝีปาก ก่อให้เกิดความถ่ีสั่นพอ้ งของคล่นื เสยี งจากช่องเสียงในลักษณะต่าง ๆ กัน ยงั ผลให้เกดิ เสยี งท่ีเรา
ไดย้ นิ แตกตา่ งกนั ไปตามลกั ษณะของความถสี่ ่ันพอ้ งนนั้ ๆ

นติ ยา กาญจนะวรรณ (๒๕๕๔ : ๑๒๗) กล่าวไว้วา่ การออกเสียงสระ ลมท่ีพุ่งออกมาจากหลอดลมจะ
ผ่านปากเกิดเป็นเสียงได้ โดยไม่ถูกลิ้นกักหรือขัดขวางไว้แต่อย่างใด ทั้งล้ินไม่ว่าส่วนไหนก็ไม่จดเพดานด้วย
เวลาออกเสียงสระ ลมหายใจอาจจะถูกขดั ขวางบ้างที่สายเสียง (อยู่ในกล่องเสียงบริเวณลกู กระเดือก) เสียงสระ
จึงเปน็ เสยี งกอ้ ง และเพราะลมหายใจไม่ถูกขดั ขวางเวลาออกเสียง เสยี งสระจึงออกเสยี งให้ยาวนานได้ อวัยวะท่ี
เกี่ยวข้องกับการออกเสียงสระ ไดแ้ ก่ ล้ิน กับริมฝีปาก ถ้าลิ้นสว่ นใดทาหน้าท่ีเพยี งส่วนเดียว เสียงท่ีเกิดข้ึนก็จะ
มีเพียงเสยี งเดียว เสียงเช่นนี้เรียกว่าสระเดี่ยว แต่ถ้าล้ินส่วนอ่ืนทาหน้าที่ร่วมด้วย เสียงน้ันก็กลายเป็น ๒ เสียง
หรอื ๓ เสยี งไป ซงึ่ เรียกว่า สระผสม

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๔๒

สรุปความได้วา่ เสยี งสระ หมายถงึ เสียงท่ีเปลง่ ออกมาจากลาคอผ่านช่องปากและผ่านริมฝีปากออกมา
โดยไม่กระทบกับอวัยวะส่วนหนงึ่ ส่วนใด ล้ินและริมฝีปากทาใหก้ ารออกเสยี งสระเปลี่ยนแปลงไปตามระดับของ
เสียงสงู ต่าและตามรูปหอ่ กลมและรขี องริมฝีปาก อีกอย่างหน่งึ เสียงสระ เรียกวา่ เสียงแท้

๒.๕ ลกั ษณะของเสียงสระ
ลักษณะของเสียงสระ (กาญจนา นาคสกุล, ๒๕๕๙ : ๔๘ – ๔๙; วรวรรธน์ ศรียาภัย, ๒๕๕๖ : ๘๕)

กล่าวไว้ว่า เหตทุ ี่ลมทาให้เกดิ เสยี งสระ จะต้องไม่ถกู ปิดกั้นหรือถกู บังคับให้ผ่านช่องแคบใด ๆ ในปาก ลักษณะ
ของปากจึงจะต้องเป็นโพรง การที่จะเปล่งเสียงสระให้แตกต่างกันได้ ก็เนื่องจากการแต่งรูปปากให้มีลักษณะ
ตา่ ง ๆ กัน การอธิบายลักษณะของสระแต่ละเสยี ง จึงมีเกณฑ์ท่ีจะใช้ในการออกเสียง อีกอย่างหน่ึง เหตุทเี่ สียง
สระทุกเสียงเป็นเสียงก้อง จึงเปน็ เสียงที่มักจะดงั เด่นกว่าเสียงอื่นท่ีอย่ขู ้างเคียง ความดังเด่นน้ีเองที่ทาให้เราได้
ยินเสียงสระได้ชัดเจน และทาให้ออกเสียงสระแต่เพียงลาพังได้ทุกเสียง นอกจากน้ี เสียงสระยังทาให้เรา
สามารถได้ยินเสียงอื่น ๆ ที่ปรากฏอยแู่ นบชิดสระนั้น ๆ ไดอ้ ีกด้วย ความดังเด่นของเสียงสระน้ันมีไม่เท่ากันทุก
เสียง ถ้าออกเสียงสระด้วยกาลงั ลมเท่า ๆ กัน เนน้ หนักเท่า ๆ กัน และออกเสียงนานเท่า ๆ กัน สระเปิดจะดัง
มากกว่าสระปิดหรือพูดอีกอย่าง ก็คือ สระเปิดดังไปได้ไกลกว่าสระปิด ซ่ึงมี ๒ ลักษณะ คือ ลักษณะของเสียง
และลักษณะของการออกเสียง ดังนี้

๑. ลักษณะของเสียงมี ๓ ลกั ษณะ ดงั นี้
๑.๑ ลักษณะของริมฝีปาก ริมฝปี ากอาจจะห่อกลม (rounded) หรือ รี (unrounded) ตามขนาด

ตา่ ง ๆ กัน การห่อริมฝีปากหรือไม่ห่อรมิ ฝีปาก มีผลทาใหไ้ ด้เสยี งสระท่ีตา่ งกัน ถ้าลนิ้ อยู่ในตาแหน่งเดียวกัน แต่
เปล่งเสยี งสระใหร้ ิมฝปี ากเปน็ รูปกลมคร้งั หนงึ่ เป็นรูปรี ครั้งหนึง่ กจ็ ะไดเ้ สียงสระทตี่ า่ งกนั เป็นต้น

๑.๒ ส่วนของลน้ิ ขณะท่ีออกเสยี งสระต่าง ๆ ทาให้ทราบว่า ลน้ิ สว่ นหน้า สว่ นกลาง หรือส่วนหลัง
จะยกข้ึนใกล้เพดานในขณะทเี่ ปล่งเสียงสระหน่ึง ๆ ล้ินแต่ละสว่ นที่ยกขึ้นน้ัน จะทาให้เกิดเสียงสระต่างกนั เรา
จงึ เรียกสระตามส่วนของลิ้นที่ยกข้ึนน้ัน ถา้ ออกเสียงสระใด ล้ินสว่ นหน้ายกข้ึนให้จดุ สงู สุดอยู่ใกล้เพดานแขง็ ก็
เรียกสระนั้นว่า สระหน้า (front vowel) เช่น สระอี เอ แอ เป็นสระหน้า ถ้าออกเสียงสระใด ลิ้นส่วนหลัง
ยกขึน้ ให้จดุ สงู สดุ อยู่ใกลเ้ พดานอ่อน ก็เรยี กสระน้นั ว่า สระหลงั (back vowel) เชน่ สระอู โอ ออ เปน็ สระหลัง
เปน็ ตน้

๑.๓ ระดับของล้ิน ความสูงของล้ินท่ียกขึ้นใกล้เพดานเป็นส่วนสาคัญในการทาให้เสียงสระ
แตกต่างกันไปด้วย ความสูงต่าน้ีอาจจะกาหนดให้หลายระดับ แต่ในการอธิบายเสียงสระในภาษาไทยอาจ
กาหนดไว้เพยี ง ๓ ระดับ คอื สงู กลาง ตา่ ถา้ ลิน้ ยกขึ้นสงู ช่องว่างระหว่างล้ินกับเพดานก็จะปดิ แคบ เสียงสระ
ท่ีเกิดเมื่อลิ้นยกขึ้นสูงจะเรียกว่า สระสูง หรือสระปิด (close vowel) เช่น สระอี อือ อู เป็นสระสูง ถ้าออก
เสียงสระใด ล้ินวางอย่ใู นระดับต่าก็เรียกสระน้ันว่า สระต่า หรือสระเปิด (open vowel) เชน่ สระอา เปน็ สระ
ตา่ เป็นตน้

๒. ลกั ษณะของการออกเสยี ง มี ๕ ลกั ษณะ ดงั น้ี
๒.๑ เสียงสระทุกเสยี งมเี สยี งกอ้ ง
๒.๒ เป็นเสยี งเด่นดงั กวา่ เสียงข้างเคยี งและทาใหไ้ ด้ยินเสยี งอืน่ ๆ ทีป่ รากฏอยูใ่ กลเ้ คียง
๒.๓ ออกเสียงได้สะดวก เนอ่ื งจากการออกเสียงไมม่ อี วยั วะส่วนใดปิดก้ันทางเดนิ ลม
๒.๔ ออกเสยี งได้ยาวนานและไปไดไ้ กล

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๔๓

๒.๕ ใช้อวัยวะในการออกเสียง ๒ ส่วน คือริมฝีปากและล้ิน ได้แก่ ริมฝีปาก ริมฝีปากอยู่ใน ๓
ลักษณะ คือ แผ่ รี (หรือไม่แผ่ไม่ห่อหรือปกติ) และห่อกลม ส่วนล้ิน ลิ้นท่ีใช้ในการออกเสียงสระมี ๒ ลักษณะ
คือ ส่วนของล้ิน แบ่งได้ ๓ ส่วน ได้แก่ ส่วนหน้า ส่วนกลาง และส่วนหลัง และระดับของลิ้น แบ่งได้ ๔ ระดับ
ได้แก่ สงู กง่ึ สูง กงึ่ ต่า และต่า

๒.๖ รปู และช่อื ของสระในภาษาไทย

รูปและช่ือของสระในภาษาไทย มีนักปราชญ์ทางภาษาไทย ๒ ท่าน คือ พระยาอุปกิตศิลปสาร และ

นายกาชยั ทองหล่อ ไดร้ วบรวมรปู สระไว้ ๒๑ รูป ๓๒ เสยี ง นอกจากนี้ สถาบนั ภาษาไทย ได้รวบรวมรปู สระใน

ภาษาไทยท่ีใช้ในปัจจุบันขน้ึ ใหม่มที ง้ั หมด ๓๘ รูป ดงั มีรายละเอยี ดตอ่ ไปนี้

พระยาอุปกิตศิลปสาร (๒๕๔๕ : ๓) กล่าวไว้ว่า สระมี ๒๑ รูป ๓๒ เสยี ง ในเสียงสระ ๓๒ นี้มีเสยี งซ้า

กันอยู่ ๘ เสียง ซ่ึงเป็นสระเกิน คือ ฤ ฤา ฦ ฦา อา ไอ ใอ เอา เพราะฉะนั้น จึงมีเสียงสระในภาษาไทยต่างกัน

๒๔ เสยี ง ดังนี้

ที่ รูปสระ ช่อื สระ วิธีใช้ ๓๒ เสยี ง

๑ ะ วสิ รรชนีย์ ประหลังเปน็ สระ อะ และประสมกบั รปู อ่นื อะ อา

๒ ั ไม้ผดั /หนั อากาศ เขยี นขา้ งบนเปน็ สระ อะ เมอ่ื มตี วั สะกด อิ อี

๓ ็ ไม้ไตค่ ู้ เขียนข้างบนแทนวิสรรชนีย์ในสระบางตัวท่ีมีตัวสะกด และใช้ อึ อื
อุ อู
ประสมกบั ตวั ก เปน็ สระ เอาะ มไี ม้โท
เอะ เอ
๔ า ลากข้าง เขยี นขา้ งหลงั เป็นสระ อา และประสมกับรปู อื่น
เขียนข้างบนเป็นสระ อิ และใช้แทนตัว อ ของสระ เออ เม่ือมี โอะ โอ
๕ ิ พนิ ทุ์ เอาะ ออ

ตวั สะกดกไ็ ด้ เออะ เออ

๖ ่ ฝนทอง เขยี นข้างบนพินท์ุ อิ เปน็ สระ อี และประสมกับรปู อนื่
๗ นฤคหิต/หยาดน้าคา้ ง* เขยี นขา้ งบนลากขา้ งเปน็ สระ อา บนพนิ ทุ์ เปน็ สระ อึ เอยี ะ เอยี
เออื ะ เออื
๘ " ฟนั หนู เขยี นบนพนิ ทุ์ เป็นสระ อือ และประสมกับสระอน่ื
อัวะ อัว
๙ ุ ตีนเหยยี ด เขยี นข้างล่างเป็นสระ อุ
ฤ ฤา
๑๐ ู ตนี คู้ เขียนขา้ งลา่ งเปน็ สระ อู
เขียนข้างหน้า รูปเดียวเป็นสระ เอ, สองรูปเป็นสระ แอ และ ฦ ฦา
๑๑ เ ไมห้ นา้ อา ไอ

ประสมกับรปู อื่น ใอ เอา

๑๒ ใ ไมม้ ้วน เขยี นขา้ งหนา้ เปน็ สระ ใอ

๑๓ ไ ไมม้ ลาย เขยี นข้างหน้าเป็นสระ ไอ

๑๔ โ ไม้โอ เขียนข้างหนา้ เปน็ สระ โอ

๑๕ อ ออ เขียนข้างหลงั เป็นสระ ออ และประสมกบั รูปอืน่

๑๖ ย ยอ สาหรบั ประสมกับรปู อ่นื เป็นสระ

๑๗ ว วอ สาหรับประสมกับรปู อน่ื เปน็ สระ

๑๘ ฤ รึ เขยี นเปน็ สระ

๑๙ ฤา รือ เขยี นเปน็ สระ

๒๐ ฦ ลึ เขียนเปน็ สระ

๒๑ ฦา ลอื เขยี นเปน็ สระ

* ในภาษาบาลีและสนั สกฤตเป็นพยัญชนะเรียกวา่ นคิ หิต หรอื นฤคหิต ใชเ้ ขยี นบนสระในภาษาบาลีอ่านเป็นเสียง ง
สะกด เช่น ก (อ่านวา่ กงั ) ในภาษาสันสกฤตอ่านเปน็ เสยี ง ม สะกด เช่น ก (อา่ นวา่ กัม) เป็นต้น

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๔๔

กาชยั ทองหล่อ (๒๕๕๒ : ๕๒ – ๕๓) กล่าวไว้ว่า สระมี ๒๑ รูป ๓๒ เสียง ซึง่ มรี ูปสระท่ใี ชแ้ ตกต่างกัน

จากรูปสระของพระยาอปุ กติ ศิลปสาร ดงั กล่าวแลว้ ในเบ้อื งตน้ ดงั ต่อไปนี้

ท่ี รปู สระ ชอื่ สระ วิธีใช้ ๓๒ เสยี ง

๑ ะ วิสรรชนีย/์ นมนางทั้งคู่ ใชเ้ ป็นสระอะเมอ่ื อยหู่ ลงั พยัญชนะและใช้ประสมกบั สระรูปอนื่ อะ อา

๒ ั ไม้ผดั /หันอากาศ/หาง ใช้ผัดข้างบนหรือเขียนไว้ข้างบนพยัญชนะเพ่ือใช้แทนสระอะ ใน อิ อี
อึ อื
กงั หัน เม่อื มีตัวสะกด และใชป้ ระสมกับรูปสระอ่ืน
ใชเ้ ขยี นไว้ข้างบนพยญั ชนะทปี่ ระสมกับรัสสะท่ีมวี ิสรรชนียเ์ พื่อใช้ อุ อู
๓ ็ ไมไ้ ต่ค/ู้ ไมต้ ายคู้ แทนวิสรรชนีย์ ในเมื่อมีตัวสะกด และใช้เขียนไว้บนตัว ก เพ่ือใช้ เอะ เอ

แทนสระเอาะท่มี ีวรรณยกุ ตโ์ ท และมีใช้อย่เู พยี งตวั เดยี วเทา่ น้ัน โอะ โอ
เอาะ ออ
๔ า ลากขา้ ง ใช้เปน็ สระ อา และประสมกับสระรปู อน่ื
เออะ เออ
๕ ิ พินท/ุ พนิ ทอุ ิ ใชเ้ ปน็ สระ อิ และประสมกบั สระรปู อ่นื
๖ ่ ฝนทอง/ฟันหน/ู มสู ิก - เขียนไว้ข้างบนพินทุอิ ทาให้เป็นสระอี ถ้าเขียนคู่กัน ๒ อัน ทา เอยี ะ เอีย
เอือะ เออื
ทนั ต์ ให้เปน็ สระอื
- เขียนไว้ข้างบน ฟองมัณฑ์ (๏) เช่น หมายความว่าข้ึนต้น อวั ะ อัว
ข้อความใหญ่หรือย่อหน้าขึ้นบรรทัดใหม่ และประสมกับสระรูป ฤ ฤา
อ่นื ฦ ฦา
ใช้เขียนไว้ข้างบนลากข้างเปน็ สระ อา เขยี นไว้ข้างบนพินทุอิ เป็น อา ไอ
๗ หยาดน้าค้าง* สระ อึ ใอ เอา

๘ ุ ตนี เหยยี ด/ลากตีน เขยี นข้างล่างเปน็ สระ อุ

๙ ู ตีนค/ู้ ลากตนี เขยี นขา้ งล่างเป็นสระ อู

๑๐ เ ไมห้ น้า ใช้เป็นสระ เอ เขียนไว้ข้างหน้าพยัญชนะ, ถ้าใช้สองรูปคู่กันเป็น

สระ แอ และประสมกบั รูปอนื่

๑๑ ใ ไมม้ ว้ น เขยี นขา้ งหนา้ เปน็ สระ ใอ

๑๒ ไ ไม้มลาย เขียนขา้ งหนา้ เปน็ สระ ไอ

๑๓ โ ไม้โอ เขียนข้างหน้าเป็นสระ โอ และประสมกับวสิ รรชนีย์

๑๔ ฤ รึ จะใชโ้ ดด ๆ หรือประสมกบั พยัญชนะกไ็ ด้ ถ้าประสมกับพยญั ชนะ

ตอ้ งเขียนไว้ข้างหลังพยัญชนะ คาไทยใช้ ฤ มีพยัญชนะสะกดเช่น

จาฤก แต่เลิกใชแ้ ลว้ ใชต้ ัว ร แทน เปน็ จารึก

๑๕ ฤา รือ ใช้โดด ๆ ไม่ใช้ประสมกบั พยญั ชนะ และใชเ้ ปน็ พยางคห์ นา้ ของคา

เช่น ฤาษี

๑๖ ฦ ลึ มีพยัญชนะสะกดก็ได้ เช่น ฦกซ้ึง (ลึกซึ้ง), ดงฦก (ดงลึก) ฯลฯ

บัดนเ้ี ลกิ ใช้แล้ว

๑๗ ฦา ลือ เลกิ ใช้แลว้ โบราณใชแ้ ทน ลือ ไดท้ กุ แหง่ เชน่ ฦาชา

๑๘ ย ตวั ยอ ถ้าอยู่ตามลาพัง ใช้เป็นพยัญชนะ จะเป็นสระได้ก็ต้องประสมกับ

สระอนื่ เช่น สระเอยี สระเอยี ะ

๑๙ ร ร หนั ถ้าอยู่ตามลาพัง ใช้เป็นพยัญชนะ จะเป็นสระได้ต้องอยู่หน้าตัว ร

ซ่ึงเปน็ ตัวสะกด เพราะตัว ร หัน ใชแ้ ทนหนั อากาศซง่ึ แปลงรูปมา

จากวสิ รรชนยี เ์ ช่น สรร

* ในภาษาบาลแี ละสนั สกฤตเป็นพยัญชนะเรยี กวา่ นคิ หิต หรือ นฤคหิต ใชเ้ ขยี นบนสระในภาษาบาลอี ่านเป็นเสียง ง
สะกด เช่น ก (อา่ นวา่ กงั ) ในภาษาสันสกฤตอา่ นเป็นเสยี ง ม สะกด เชน่ ก (อา่ นวา่ กัม) เป็นต้น

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๔๕

ที่ รปู สระ ชอื่ สระ วิธใี ช้

๒๐ ว ตวั วอ ถ้าอยู่ตามลาพัง ใช้เป็นพยัญชนะ จะเป็นสระได้ก็ต้องประสมกับ
สระอืน่ คอื ประสมกบั หนั อากาศเปน็ สระอัว ประสมกับหันอากาศ
๒๑ อ ตวั ออ และวิสรรชนีย์เปน็ สระ อัวะ

เขยี นขา้ งหลังเป็นสระ ออ และประสมกบั สระรปู อืน่

สถาบันภาษาไทย ได้จัดทาหนังสืออุเทศภาษาไทย ชุด บรรทัดฐานภาษาไทย เล่ม ๑ ของ

กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๕๔ : ๖๘ – ๖๙) กล่าวไว้ว่า รูปสระในภาษาไทยที่ใช้ในปัจจุบันจานวน ๓๘ รูป ใช้

แทนเสียงสระจานวน ๒๑ เสยี ง ดังน้ี

ที่ รปู สระ แทนเสยี งสระ ตัวอยา่ งคา
จะ นะ
๑ -ะ สระ อะ แทนเสยี งสระ อะ จนั กนั
จา นา
-ั ไมห้ นั อากาศ แทนเสยี งสระ อะ ไจ ไน
ไทย เวไนย
-ำ สระ อา แทนเสยี งสระ อะ กับพยัญชนะ ม ใจ ใน
เจา้ เนา
ไ- สระ ไอ ไมม้ ลาย แทนเสยี งสระ อะ กบั พยญั ชนะ ย สรรพ วรรค
สรร จรรยา
ไ-ย สระ ไอ ไม้มลาย กบั ตวั ย หรอื สระไอ-ยอ แทนเสยี งสระ อะ กบั พยัญชนะ ย มา จาก
ติ ชมิ
ใ- สระ ใอ ไม้มว้ น แทนเสียงสระ อะ กบั พยัญชนะ ย ดี ปีน
ข้ึน ดึง
เ-า สระ เอา แทนเสยี งสระ อะ กับพยัญชนะ ว มอื ถอื
ยนื กลนื
รร รอ หนั แทนเสยี งสระ อะ ดุ จุน
- แทนเสียงสระ อะ กบั พยญั ชนะ น ดู นูน
เตะ เละ
๒ -า สระ อา แทนเสียงสระ อา
เลง็ เป็น
๓ -ิ สระ อิ แทนเสียงสระ อิ เพง่ เด้ง
เก เลน
๔ -ี สระ อี แทนเสยี งสระ อี แกะ แพะ
แขง็ แกร็น
๕ -ึ สระ อึ แทนเสียงสระ อึ

๖ -อื สระ อือ-ออ แทนเสียงสระ อื

-ื - แทนเสยี งสระ อื

๗ -ุ สระ อุ แทนเสยี งสระ อุ

๘ -ู สระ อู แทนเสียงสระ อู

๙ เ-ะ สระ เอะ แทนเสยี งสระ เอะ

เ-็ สระ เอ กับไม้ไตค่ ู้ แทนเสยี งสระ เอะ

เ- สระ เอ แทนเสยี งสระ เอะ

๑๐ เ- สระ เอ แทนเสียงสระ เอ

๑๑ แ-ะ สระ แอะ แทนเสยี งสระ แอะ

แ-็ สระ แอ กบั ไมไ้ ตค่ ู้ แทนเสยี งสระ แอะ

แ- สระ แอ แทนเสียงสระ แอะ แบ่ง แกรง่
๑๒ แ- สระ แอ แทนเสียงสระ แอ แก แกง
๑๓ โ-ะ สระ โอะ แทนเสยี งสระ โอะ โละ โตะ้
ตม ลบ
ไมม่ ีรูปหรอื ลดรปู แทนเสียงสระ โอะ โอ โอน
๑๔ โ- สระ โอ แทนเสียงสระ โอ เกาะ เงาะ
๑๕ เ-าะ สระ เอาะ แทนเสยี งสระ เอาะ ลอ็ ก บล็อก
ก็
-อ็ ไมไ้ ตค่ ู้กับสระออ แทนเสียงสระ เอาะ
-็ ไม้ไตค่ ู้ แทนเสียงสระ เอาะ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๔๖

ที่ รูปสระ แทนเสียงสระ ตัวอยา่ งคา
พอ สอง
๑๖ -อ สระ ออ แทนเสยี งสระ ออ เลอะ เจอะ
เงนิ เปิน่
๑๗ เ-อะ สระ เออะ แทนเสยี งสระ เออะ เธอ เกลอ
เนิน เพลิน
เ-ิ สระ เอ กบั สระ อิ แทนเสียงสระ เออะ เกย เนย
เป๊ียะ เก๊ยี ะ
๑๘ เ-อ สระ เออ แทนเสยี งสระ เออ เปยี เสยี
ไมพ่ บคา
เ-ิ สระ เอ กบั สระ อิ แทนเสยี งสระ เออ เรอื เกลอื
จ๊ัวะ ผลวั ะ
เ- สระ เอ แทนเสยี งสระ เออ กบั พยญั ชนะ ย ตวั กลัว
ชวน ทวง
๑๙ เ-ยี ะ สระ เอีย แทนเสียงสระ เอียะ

เ-ยี สระ เอยี แทนเสยี งสระ เอีย

๒๐ เ-อื ะ สระ เออื ะ แทนเสยี งสระ เออื

เ-อื สระ เอือ แทนเสียงสระ เออื

๒๑ -วั ะ ไมห้ นั อากาศ พยญั ชนะ ว และสระ อะ แทนเสียงสระ อัว

-วั ไมห้ นั อากาศ กับพยญั ชนะ ว แทนเสยี งสระ อวั

-ว พยัญชนะ ว แทนเสียงสระ อัว

๒.๗ หนว่ ยเสียงสระในภาษาไทย

ในภาษาไทยมีรูปสระ ๓๒ ตัว ได้แก่ อะ อา อิ อี อึ อือ อุ อู เอะ เอ แอะ แอ โอะ โอ เอาะ ออ เออะ

เออ เอียะ เอีย เอือะ เอือ อัวะ อัว อา ไอ ใอ เอา ฤ ฤา ฦ ฦา มีหน่วยเสียงสระ ๒๑ หน่วยเสียง แบ่งเป็น ๒

ชนิด คือ หน่วยเสียงสระเด่ียว ๑๘ หน่วยเสียง และหน่วยเสียงสระประสม ๓ หน่วยเสียง ซ่ึงหน่วยเสียงสระ

เด่ียว ๑๘ หน่วยเสียง แบ่งเป็นสระเสียงส้ัน ๙ หน่วยเสียง ได้แก่ /i/ /e/ /ɛ/ /Ɯ/ /ə/ /a/ /u/ /o/ /ɔ/ สระ

เสียงยาว ๙ หน่วยเสียง ได้แก่ /i:/ /e:/ /ɛ:/ /Ɯ:/ /ə:/ /a:/ /u:/ /o:/ /ɔ:/ และมีหน่วยเสียงสระประสม ๓

หน่วยเสยี ง ได้แก่ /ia/ /Ɯa/ /ua/ ดังตารางภาพหนว่ ยเสยี งสระต่อไปน้ี

ตาแหน่งลิน้ ลิ้นส่วนหน้า ลิน้ สว่ นกลาง ลิน้ สว่ นหลัง
ริมฝีปากแผ่ ริมฝปี ากไมแ่ ผไ่ มห่ อ่ ริมฝปี ากหอ่ กลม
ระดบั ลิ้น
/i/ /i:/ /Ɯ/ /Ɯ:/ /u/ /u:/
สงู /e/ /e:/ /ə/ /ə:/ /o/ /o:/
กงึ่ สงู /ɛ/ /ɛ:/ /ɔ/ /ɔ:/
กง่ึ ตา่ /a/ /a:/
ตา่ /ia/ /Ɯa/ /ua/
สระประสม

หน่วยเสียงสระในภาษาไทยทั้ง ๒๑ หน่วยเสียง แบง่ เป็น ๒ ชนดิ คือ หนว่ ยเสียงสระเดย่ี ว ๑๘ หน่วย
เสียงและหน่วยเสียงสระประสม ๓ หน่วยเสียง (เรืองเดช ปันเขื่อนขัติย์, ๒๕๕๒ : ๑๐๖ – ๑๑๔; กาญจนา
นาคสกลุ , ๒๕๕๙ : ๗๐ – ๑๐๕; วรวรรธน์ ศรียาภยั , ๒๕๕๖ : ๘๕ – ๙๖) ดงั มีรายละเอียดต่อไปน้ี

๑. หน่วยเสียงสระเด่ียว สระเด่ียว (Monophthong) หมายถึง สระที่เกิดจากตาแหน่งการออกเสียง
ตาแหนง่ เดียว ซงึ่ ขณะออกเสียงลักษณะของลิ้นและริมฝปี ากจะไม่มกี ารเปลี่ยนแปลง หรือมีแต่น้อยมาก หน่วย
เสยี งสระเดี่ยวในภาษาไทยมี ๑๘ หนว่ ยเสียง โดยแบ่งประเภทตามตาแหน่งของล้ินท่ีใช้ยกขึ้นในขณะออกเสยี ง
ได้ ๓ ประเภท คอื สระหน้า สระกลาง และสระหลงั ดงั นี้

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง


Click to View FlipBook Version