The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการสอนวิชาภาษาศาสตร์ภาษาไทยสำหรับครู

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by สุวรรณญาโณ ญาณเมธี, 2022-09-03 00:16:19

ภาษาศาสตร์ภาษาไทยสำหรับครู

เอกสารประกอบการสอนวิชาภาษาศาสตร์ภาษาไทยสำหรับครู

๙๗

แบบท่ี ๓ โครงสร้างพยางคเ์ ดย่ี วแบบทสี่ ี่ CCVST1,3 ดังตารางภาพโครงสร้างพยางค์เดย่ี วแบบที่ส่ี

แบบท่ี ๓ CCVST1,3

ลาดับท่ี โครงสรา้ ง ตวั อย่างคา ส่วนประกอบของพยางค์ เสียงวรรณยุกต์

๑ CCVST1 หนกั พยญั ชนะ + สระ + วรรณยกุ ต์ + ตัวสะกด เสียงเอก

๒ CCVST3 พรกิ พยัญชนะ + สระ + วรรณยกุ ต์ + ตัวสะกด เสยี งตรี

แบบที่ ๔ โครงสรา้ งพยางค์เด่ยี วแบบท่ีส่ี CCVST1,2 ดงั ตารางภาพโครงสรา้ งพยางค์เดยี่ วแบบที่สี่

แบบที่ ๔ CCVST1,2

ลาดับที่ โครงสร้าง ตวั อยา่ งคา ส่วนประกอบของพยางค์ เสียงวรรณยกุ ต์

๑ CCVVST1 กราบ พยัญชนะ + สระ + วรรณยกุ ต์ + ตัวสะกด เสียงเอก

๒ CCVVST2 คลอด พยญั ชนะ + สระ + วรรณยุกต์ + ตวั สะกด เสียงโท

โปรดสังเกตว่า โครงสร้างพยางค์เดียวแต่ละพยางค์ จะมีความสัมพันธ์กับเสียงวรรณยุกต์แตกต่างกัน
คอื ถ้าพยางคเ์ ปน็ หรือพยางคเ์ ปิด สามารถผันเสียงวรรณยกุ ต์ได้มากกวา่ คาพยางค์ตาย

๔.๗ โครงสรา้ งคาสองพยางค์
โครงสร้างคาสองพยางค์ (เรืองเดช ปันเขื่อนขัติย์, ๒๕๕๒ : ๑๓๖ – ๑๓๗) กล่าวไว้ว่า โครงสร้างคา

สองพยางค์ (Disyllabic pattern) ในภาษาไทย แบ่งออกเป็น ๒ ลักษณะคือ ๑) โครงสรา้ งสองพยางคแ์ ท้ และ
๒) โครงสรา้ งสองพยางคเ์ ทียม ดงั น้ี

๑. โครงสร้างคาสองพยางคแ์ ท้ (Disyllable)
โครงสร้างคาสองพยางค์แท้ มีลักษณะสองพยางค์ที่แตกต่างกัน คือ พยางค์แรก มีลักษณะ

โครงสร้างพยางค์ที่สามารถกาหนดได้ คือ C(C)VT0,1,3 ประกอบด้วยหน่วยเสียงพยัญชนะต้นเดี่ยวหรือควบ
กล้ากับหน่วยเสียงพยัญชนะ /ร/ หน่วยเสียงสระเสียงสั้น และมีลักษณะของเสียงวรรณยุกต์ คือ ถ้าพยัญชนะ
ต้นเด่ียวเป็นอักษรกลางจะเป็นเสียงวรรณยุกต์สามัญ หากพยัญชนะต้นเป็นอักษรสูงหรืออักษรต่าให้ผันเสียง
วรรณยุกต์ตามหลักการผันเสียงอักษรไตรยางค์ และการลงน้าหนักเสียงจะเบากว่าคือไม่ลงเสียงเน้นเลย
พยางค์ที่ ๒ ซึ่งจะลงเสยี งหนักกว่าพยางค์ที่ ๑ มีลักษณะโครงสร้างพยางคท์ ี่สามารถกาหนดได้คือ C(C)V(V)T0
– 4 ประกอบดว้ ยหน่วยเสียงพยัญชนะตน้ เดย่ี วหรือควบกล้ากับหนว่ ยเสียงพยัญชนะ /ร/ หนว่ ยเสียงสระเสียง
ส้นั หรือเสยี งยาว พยัญชนะท้ายสะกดด้วยมาตราตวั สะกด ได้แก่ น ม ย ว ง ก บ ด และหนว่ ยเสียงวรรณยุกต์
สามญั ถงึ จตั วา สาหรับโครงสร้างของคาสองพยางคน์ ้ี สามารถจาแนกออกเป็น ๓ แบบ ดงั น้ี

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๙๘

๑.๑ โครงสร้างคาสองพยางค์แท้ แบบท่ี ๑ C(C)VT0,1,3 + C(C)V(V)T0 – 4 ดังตารางภาพ

โครงสรา้ งคาสองพยางค์แท้ แบบท่ี ๑ C(C)VT0,1,3 + C(C)V(V)T0 – 4 ตอ่ ไปน้ี

ลาดบั ที่ พยางค์แรก + พยางค์ที่สอง ตวั อย่างคา พยางคแ์ รก + พยางคท์ ี่สอง ตวั อยา่ งคา
๑ CVT0 + CVT3 กะทิ CVT0 + CVVT0 กะลา
๒ CVT0 + CVT1 กะปิ CVT0 + CVVT2 กะโซ่
๓ CVT1 + CVT3 ขณะ CVT1 + CVVT1 ฉะฉี่
๔ CVT1 + CVVT2 สะบา้ CVT1 + CVVT3 ขยี้

๕ CVT3 + CVT3 ระยะ CVT3 + CVVT0 คดี

๖ CVT3 + CVVT3 คะน้า CVT3 + CVVT2 ชะลา่

๗ CVT0 + CCVVT2 ตะกร้า CVT0 + CCVVT1 กะหรี่

๘ CVT1 + CCVVT1 สะเหล่อ CVT1 + CCVVT4 แสม

๙ CCVT1 + CVVT0 ประปา CCVT1 + CVVT1 กระบี่

๑๐ CCVT1 + CVVT2 ประทา่ CCVT1 + CVVT3 กระพี้

๑๑ CCVT1 + CVVT4 กระสอื CCVT3 + CVVT0 พระยา

๑๒ CCVT1 + CCVVT1 ประหม่า CCVT3 + CCVVT1 ตระหนี่

๑.๒ โครงสร้างคาสองพยางค์แท้ แบบท่ี ๒ C(C)VT0,1,3 + C(C)V(V)NT0 – 4 ดังตารางภาพ

โครงสร้างคาสองพยางค์แท้ แบบท่ี ๒ C(C)VT0,1,3 + C(C)V(V)NT0 – 4 ต่อไปน้ี

ลาดับที่ พยางค์แรก + พยางค์ทีส่ อง ตัวอย่างคา พยางค์แรก + พยางคท์ ่ีสอง ตัวอย่างคา
๑ CVT0 + CVNT0 กะชงิ CVT1 + CVVNT0 สบาย
๒ CVT1 + CVNT0 สะพาน CVT3 + CVVNT0 คะนอง
๓ CVT3 + CVNT0 คะนงึ CVT3 + CVVNT1 มะม่วง
๔ CVT3 + CVNT2 ทะลึง่ CVT3 + CVVNT4 ทหาร
๕ CVT3 + CVNT3 ทะเลน้ CVT3 + CVVNT3 คะคอ้ ย

๖ CVT0 + CCVNT1 ตลิง่ CVT1 + CCVNT4 ถนน

๗ CVT0 + CCVVNT1 กะกร่อม CVT0 + CCVVNT2 กะพร่อง

๘ CVT0 + CCVVNT0 กะเพรา CVT0 + CCVVNT2 กะกร้าว

๙ CVT3 + CCVVNT1 คะไขว่ CCVT1 + CVNT0 ประกนั

๑๐ CCVT1 + CVNT1 ประถม CCVT1 + CVNT0 ประไพ

๑๑ CCVT1 + CVVNT0 ตระกลู CCVT1 + CVVNT2 ตระง่อง

๑๒ CCVT1 + CVVNT3 ประทว้ ง CCVT1 + CCVNT1 ประหนึง่

๑๓ CCVT1 + CCVNT3 กระพร้ิม CCVT1 + CCVNT2 ตระแตร้น

๑๔ CCVT1 + CCVVNT0 ตระเตรยี ม CCVT1 + CCVVNT1 กระแหม่ว

๑๕ CCVT1 + CCVVNT2 กระเกรยี้ ว CCVT1 + CCVVNT0 กระโปรง

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๙๙

๑.๓ โครงสร้างคาสองพยางค์แท้ แบบท่ี ๓ C(C)VT0,1,3 + C(C)V(V)ST1,2,3 ดังตารางภาพ

โครงสรา้ งคาสองพยางคแ์ ท้ แบบท่ี ๑ C(C)VT0,1,3 + C(C)V(V)ST1,2,3 ตอ่ ไปนี้

ลาดับท่ี พยางคแ์ รก + พยางคท์ ีส่ อง ตวั อย่างคา พยางค์แรก + พยางคท์ ่ีสอง ตัวอย่างคา
๑ CVT1 + CVST3 สงบ CVT1 + CVVST1 สะดวก
๒ CVT3 + CVST3 นริ กุ ติ CVT3 + CVVST2 ทวปี
๓ CVT3 + CVST2 คะเยอ CVT3 + CVVST1 พะอดื

๔ CVT0 + CVVST2 ปะงาบ CVT0 + CVVST1 ตะกวด

๕ CVT0 + CCVST0 ตลก CVT0 + CCVST1 กะปรบิ

๖ CVT0 + CCVST3 กะพรบิ CVT0 + CCVVST1 ตลอด

๗ CVT1 + CCVVST1 สนอบ CCVT0 + CVST3 ประมขุ

๘ CCVT0 + CVST1 ประกบ CCVT3 + CVST1 ตระบดั

๙ CCVT0 + CVVST1 ประกอบ CCVT0 + CVVST1 ประกาศ

๑๐ CCVT0 + CVVST1 ประสตู ิ CCVT0 + CVVST2 ประมาท

๑๑ CCVT0 + CCVST1 ประหยดั CCVT0 + CCVST3 ประพรต

๑๒ CCVT0 + CCVST1 ตระหนกั CCVT0 + CCVVST1 ประหลาด

๑๓ CCVT0 + CCVVST1 กระหนาบ CCVT0 + CCVVST1 กระปรอก

๒. โครงสร้างคาสองพยางค์สองพยางคเ์ ทยี ม (Mono + Mono Syllables)

โครงสร้างสร้างคาสองพยางค์เทียมของภาษาไทย มีโครงสร้างเช่นเดยี วกับโครงสร้างพยางค์เดียว

๒ แบบเรียงกัน หรือประสมกัน (Mono + Mono) พยางค์แต่ละพยางค์จะมีลักษณะโครงสร้าง พยางค์เดียว

แบบใดแบบหน่ึง อาจเป็นพยางค์ท่ีมีความหมายหรือไม่มีก็ได้ ลักษณะโครงสร้างขึ้นอยู่กับการประสมของ

โครงสร้างพยางคเ์ ดียวเข้าด้วยกันเป็น ๒ พยางคเ์ ทยี มแบบใดแบบหนงึ่ ใน ๓ แบบ ต่อไปน้ี

๒.๑ ลักษณะของโครงสรา้ งคาสองพยางค์เทียม พยางคแ์ รกเป็นพยางคเ์ ปิดโดยไม่มีพยัญชนะทา้ ย

สว่ นพยางคท์ ่ี ๒ อาจมโี ครงสรา้ งพยางค์เดยี วแบบใดกไ็ ด้ ดังน้ี

๑) โครงสร้างคาสองพยางค์เทียม แบบที่ ๑ C(C)VVT0 – 4 + C(C)V(V)T0 – 4 ดังตาราง

ภาพโครงสร้างคาสองพยางค์เทียม แบบท่ี ๑ C(C)VVT0 – 4 + C(C)V(V)T0 – 4 ตอ่ ไปน้ี

ลาดบั ท่ี พยางค์แรก + พยางค์ท่ีสอง ตวั อย่างคา พยางคแ์ รก + พยางคท์ ีส่ อง ตวั อย่างคา
๑ CVVT4 + CVVT1 ศาลา CVVT0 + CVVT4 ภาษา
๒ CVVT0 + CVVT0 นาวา CVVT4 + CVVT0 ฉายา
๓ CVVT0 + CVVT2 มาม่า CVVT0 + CVVT4 อาสา

๔ CCVVT4 + CVT4 ศรีษะ CVVT0 + CVT3 มานะ

๕ CVVT4 + CVVT3 สีฟ้า CVVT4 + CVVT0 สีดา

๖ CCVVT0 + CCVVT4 ปลาหมอ CVVT4 + CCVVT4 หวั หมอ

๗ CVVT0 + CVVT4 มือถือ CVVT0 + CVVT0 ทีวี

๘ CVVT0 + CVT3 นาที CVVT0 + CVVT0 ปนู า

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๑๐๐

๒) โครงสร้างคาสองพยางค์เทียม แบบท่ี ๒ C(C)VVT0 – 4 + C(C)V(V)NT0 – 4 ดังตาราง

ภาพโครงสร้างคาสองพยางค์เทียม แบบที่ ๒ C(C)VVT0 – 4 + C(C)V(V)NT0 – 4 ตอ่ ไปนี้

ลาดบั ที่ พยางค์แรก + พยางค์ทส่ี อง ตัวอย่างคา พยางคแ์ รก + พยางค์ท่สี อง ตวั อยา่ งคา
๑ CVVT0 + CVVNT0 อาจารย์ CVVT0 + CVVNT0 อาทร
๒ CVVT0 + CVVNT4 อาหาร CVVT0 + CVNT4 อาศัย
๓ CVVT0 + CVNT0 อาลัย CVVT0 + CVVNT0 อาการ

๔ CCVVT0 + CCVNT4 ปราศรยั CVVT0 + CVNT3 ยานา้

๕ CVVT0 + CVNT0 อารมณ์ CVVT0 + CVVNT0 ตาราง

๖ CCVVT0 + CVNT2 ตราชง่ั CVVT0 + CCVNT1 กาเหวา่

๗ CVVT4 + CVVNT0 สแี ดง CVVT0 + CVVNT3 โอเล้ียง

๘ CVVT4 + CVVNT4 ภูเขา CVVT2 + CVVNT3 แม่นา้

๙ CVVT1 + CVVNT4 ป่าเขา CVVT0 + CVNT0 การันต์

๑๐ CVVT3 + CVVNT2 ชีแ้ จ้ง CCVVT0 + CVVNT0 ปราการ

๓) โครงสร้างคาสองพยางค์เทียม แบบที่ ๓ C(C)VVT0 – 4 + C(C)V(V)ST1,2,3 ดังตาราง

ภาพโครงสรา้ งคาสองพยางค์เทยี ม แบบที่ ๓ C(C)VVT0 – 4 + C(C)V(V)ST1,2,3 ตอ่ ไปนี้

ลาดบั ที่ พยางค์แรก + พยางคท์ ่ีสอง ตวั อยา่ งคา พยางคแ์ รก + พยางคท์ ่สี อง ตวั อยา่ งคา
๑ CCVVT0 + CVVST2 ปราโมทย์ CVVT0 + CVVST1 อากาศ
๒ CCVVT0 + CVST3 ปรารภ CVVT0 + CVVST3 อาพาธ
๓ CVVT0 + CVST2 ยาเมด็ CCVVT0 + CVST2 ปรากฏ

๔ CVVT0 + CVST3 การก CVVT0 + CVST3 ชีวิต

๕ CVVT2 + CVVST1 โอ้อวด CCVVT0 + CVVST2 ตราบาป

๖ CVVT2 + CVVST1 ข้อศอก CCVVT0 + CCVST1 ปลาหมึก

๗ CVVT0 + CVST1 จารึก CVVT0 + CVVST1 จารีต

๒.๒ ลักษณะโครงสร้างสองพยางค์เทียมแบบท่ี ๒ พยางค์แรก เป็นพยางค์เป็นมีพยัญชนะท้าย

เป็นพยัญชนะนาสิกหรืออัฒสระก็ได้ ส่วนพยางค์ที่สองอาจเป็นโครงสร้างพยางค์เดียวแบบใดแบบหนึ่งก็ได้

ดังน้ี

๑) โครงสร้างคาสองพยางค์เทียม แบบท่ี ๑ C(C)V(V)NT0 – 4 + C(C)V(V)T0 – 4 ดังตาราง

ภาพโครงสรา้ งคาสองพยางค์เทียม แบบที่ ๑ C(C)V(V)NT0 – 4 + C(C)V(V)T0 – 4 ต่อไปนี้

ลาดับท่ี พยางค์แรก + พยางคท์ ส่ี อง ตัวอย่างคา พยางค์แรก + พยางค์ทส่ี อง ตัวอย่างคา
๑ CVNT0 + CVVT4 ปัญหา CVNT0 + CVVT4 กันหา
๒ CVNT0 + CVVT0 ปญั ญา CVNT4 + CVVT0 สญั ญา
๓ CVNT0 + CVVT0 บญั ชา CVVNT2 + CVVT0 ก้านคอ

๔ CVNT0 + CVVT0 บัญชี CVNT2 + CVVT0 กา้ มปู

๕ CVNT0 + CVVT4 ดนิ สอ CVNT3 + CVVT1 ล้ินจี่

๖ CVNT0 + CVVT3 ไฟฟา้ CVVNT4 + CVVT0 สายไฟ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๗ CVVNT3 + CVVT3 รา้ นค้า CVVNT3 + CVVT0 ๑๐๑
๘ CVNT0 + CVVT0 อาเภอ CVNT0 + CVVT0
ร้านยา
ตารา

๒) โครงสร้างคาสองพยางค์เทียม แบบท่ี ๒ C(C)V(V)NT0 – 4 + C(C)V(V)NT0 – 4 ดัง

ตารางภาพที่ ๒๔ โครงสร้างคาสองพยางคเ์ ทียม แบบท่ี ๒ C(C)V(V)NT0 – 4 + C(C)V(V)NT0 – 4 ต่อไปน้ี

ลาดับที่ พยางคแ์ รก + พยางคท์ ่ีสอง ตวั อย่างคา พยางคแ์ รก + พยางค์ทสี่ อง ตวั อย่างคา
๑ CVVNT4 + CVNT4 ของแขง็ CVNT4 + CVVNT4 สงสาร
๒ CVNT0 + CVVNT0 จานวน CVNT4 + CCVVNT4 สงคราม
๓ CVNT0 + CVNT0 ใจเบา CVNT0 + CVVNT0 วงเวียน

๔ CCVVNT1 + CVNT0 หนว่ ยคา CCVVNT1 + CVVNT4 หนว่ ยเสยี ง

๕ CVVNT0 + CVVNT0 ดาวเรอื ง CCVVNT2 + CVNT3 กล้วยไม้

๖ CVNT1 + CVNT0 หนุ่ ยนต์ CVNT0 + CVNT0 จริงจัง

๗ CVNT2 + CVNT0 สม้ ตา CVNT1 + CVVNT2 ไก่ย่าง

๘ CVNT0 + CVNT0 ตาบล CVNT0 + CVVNT0 ตานาน

๓) โครงสร้างคาสองพยางค์เทยี ม แบบท่ี ๓ C(C)V(V)NT0 – 4 + C(C)V(V)ST1,2,3 ดงั ตาราง

ภาพโครงสรา้ งคาสองพยางค์เทียม แบบที่ ๓ C(C)V(V)NT0 – 4 + C(C)V(V)ST1,2,3 ต่อไปน้ี

ลาดบั ที่ พยางค์แรก + พยางค์ทส่ี อง ตัวอยา่ งคา พยางคแ์ รก + พยางค์ท่สี อง ตวั อย่างคา
๑ CVVNT3 + CVVST1 ชา้ งเผือก CVNT0 + CVVST2 ตารวจ
๒ CVNT0 + CCVVST1 กาเนิด CVNT4 + CVST1 สานัก
๓ CVNT0 + CCVST1 กาหนัด CVNT3 + CVST1 น้าตก

๔ CVNT2 + CCVVST1 จ้ิงหรดี CVNT0 + CCVST1 จังหวัด

๕ CVVNT0 + CVVST1 ชายหาด CVVNT0 + CVST1 ตีนกบ

๖ CCVVNT4 + CVST3 แหวนเพชร CVNT0 + CCVST1 ตาหนัก

๗ CVVNT0 + CVST3 รางวดั CVNT4 + CVST1 สมเด็จ

๘ CVNT4 + CVST3 สมเพช CVVNT0 + CVST3 จอมทัพ

๒.๓ ลักษณะโครงสร้างสองพยางค์เทียมแบบท่ี ๓ พยางค์แรก เป็นพยางค์ตาย มีพยัญชนะท้าย

เปน็ พยัญชนะเสยี งกกั สว่ นพยางคท์ ส่ี องอาจเปน็ โครงสร้างพยางค์เดยี วแบบใดแบบหน่งึ กไ็ ด้ ดังนี้

๑) โครงสร้างคาสองพยางค์เทียม แบบท่ี ๑ C(C)V(V)ST1,2,3 + C(C)V(V)T0 – 4 ดังตาราง

ภาพโครงสรา้ งคาสองพยางค์เทยี ม แบบที่ ๑ C(C)V(V)ST1,2,3 + C(C)V(V)T0 – 4 ต่อไปนี้

ลาดบั ที่ พยางค์แรก + พยางค์ทสี่ อง ตัวอยา่ งคา พยางค์แรก + พยางค์ทีส่ อง ตัวอยา่ งคา
บาตรพระ
๑ CVVST1 + CVVT0 ขวดยา CVVST1 + CCVT3

๒ CCVVST1 + CVVT0 ตรวจตรา CVVST1 + CVVT0 ดอกบวั

๓ CVVST1 + CCVVT4 ปากหมา CVST3 + CVVT0 พุทรา

๔ CVST3 + CVVT4 มัจฉา CVVST1 + CVVT0 ปากกา

๕ CVVST1 + CCVVT2 ดอกหญา้ CVVST2 + CVVT3 ลกู ค้า

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๐๒

๖ CVVST2 + CVVT4 ภาพสี CVVST2 + CCVVT2 ยอดหญ้า
๗ CVVST1 + CVVT4 เสยี ดสี CCVST1 + CVVT0 ปรชั ญา
๘ CVST1 + CVVT0 ศรัทธา CVVST1 + CVVT0 ฉดี ยา

๒) โครงสรา้ งคาสองพยางคเ์ ทียม แบบที่ ๒ C(C)V(V)ST1,2,3 + C(C)V(V)NT0 – 4 ดงั ตาราง

ภาพโครงสรา้ งคาสองพยางคเ์ ทียม แบบที่ ๒ C(C)V(V)ST1,2,3 + C(C)V(V)NT0 – 4 ตอ่ ไปน้ี

ลาดบั ท่ี พยางคแ์ รก + พยางคท์ ่ีสอง ตัวอย่างคา พยางค์แรก + พยางค์ที่สอง ตัวอย่างคา
กฎหมาย
๑ CVVST1 + CVNT0 สวดมนต์ CVST1 + CCVVNT4

๒ CVVST2 + CVVNT0 งอกงาม CVST3 + CVNT0 รถยนต์

๓ CVST1 + CVVNT0 บดิ เบียน CCVVST1 + CCVVNT0 โปรดปราน

๔ CVST1 + CVNT0 ผดิ คิว CVST3 + CVNT4 ทรัพยส์ ิน

๕ CVST3 + CVVNT3 นักรอ้ ง CVST3 + CVVNT0 นกั เรยี น

๖ CVVST1 + CVVNT3 ปากรา้ ย CVST3 + CVVNT0 ชุดนอน

๗ CCVVST1 + CVVNT0 เปรยี บปาน CVVST2 + CVVNT0 มากมาย

๘ CCVVST1 + CCVVNT0 ปราบปราม CVST1 + CVNT0 สัทธรรม

๓) โครงสร้างคาสองพยางค์เทียม แบบท่ี ๓ C(C)V(V)ST1,2,3 + C(C)V(V)ST1,2,3 ดงั ตาราง

ภาพโครงสร้างคาสองพยางคเ์ ทียม แบบท่ี ๓ C(C)V(V)ST1,2,3 + C(C)V(V)ST1,2,3 ต่อไปน้ี

ลาดับท่ี พยางค์แรก + พยางค์ท่ีสอง ตัวอย่างคา พยางค์แรก + พยางคท์ ส่ี อง ตัวอยา่ งคา
นักปราชญ์
๑ CVVST2 + CVVST2 รปู ภาพ CVST3 + CCVVST1

๒ CVST1 + CVVST1 เดด็ ขาด CVST3 + CVVST2 นกั พูด

๓ CCVST1 + CCVST1 หงดุ หงดิ CVVST2 + CVVST2 รูปวาด

๔ CCVVST1 + CVVST2 เปรยี บเทยี บ CVVST2 + CVST3 ลกู ศษิ ย์

๕ CVST1 + CVVST1 อุจจาด CVST1 + CVVST1 อุกอาจ

๖ CVST1 + CVST1 สัตว์บก CVVST2 + CCVVST1 ลูกกวาด

๗ CVST1 + CVST1 ปกปดิ CVST1 + CVVST1 สตั ว์ปีก

๘ CCVST3 + CVVST2 ครบรอบ CCVVST1 + CVVST2 กรอบรูป

๔.๘ โครงสร้างคาหลายพยางค์
โครงสร้างคาหลายพยางค์ (เรืองเดช ปันเข่ือนขัติย์, ๒๕๕๒ : ๑๓๘ – ๑๔๐; สุนันท์ อัญชลีนุกูล,

๒๕๕๖ : ๑๙ – ๒๒) สรุปความได้ว่า โครงสร้างคาหลายพยางค์ (Polysyllables) หมายถึง โครงสร้างพยางค์
ของคาประสมตงั้ แต่ ๓ พยางคข์ ึ้นไป ดังน้ัน จงึ กล่าวได้ว่าโครงสร้างพยางค์หลายพยางค์ จึงเกิดขึ้นจากการเอา
โครงสร้างพยางค์เด่ียว (Mono) และสองพยางค์ (Dis) แบบใดแบบหน่งึ มาประสมกันหรือเรียงกันในลักษณะใด
ลักษณะหน่ึง ลักษณะของโครงสร้างพยางค์หลายพยางค์ จึงมีหลายรูปแบบข้ึนอยู่กับจานวนพยางค์ ซ่ึงจะ
นาเอาโครงสรา้ งพยางค์สามพยางค์ สพี่ ยางค์ หา้ พยางค์ และหกพยางคม์ าวิเคราะห์ ดังน้ี

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๑๐๓

๑. โครงสร้างคาสามพยางค์ ลักษณะของโครงสร้างคาสามพยางค์เกิดจากการประสมระหว่าง

โครงสร้างพยางคเ์ ดยี่ วลว้ น ๆ และการประสมระหว่างคาสองพยางคก์ ับคาพยางคเ์ ดี่ยว รวมเปน็ ๓ แบบ ดงั นี้

๑) โครงสรา้ งคาสามพยางค์ แบบท่ี ๑ Mono + Mono + Mono

๒) โครงสรา้ งคาสามพยางค์ แบบที่ ๒ Dis + Mono

๓) โครงสร้างคาสามพยางค์ แบบที่ ๓ Mono + Dis

ดงั ตารางภาพโครงสร้างคาสามพยางค์ ตอ่ ไปน้ี

ลาดบั ท่ี โครงสรา้ งคาสามพยางค์ ตัวอยา่ งคา

๑ Mono + Mono + Mono ชาตไิ ทยใหญ่ รถดบั เพลิง ครวั คนไทย ทางม้าลาย

๒ Dis + Mono กระเปา๋ ถอื ประหลาดใจ สนามหลวง ประเทศไทย

๓ Mono + Dis พฒั นา กายกรรม พัทลงุ อดุ ตะหลุด

๒. โครงสร้างคาสี่พยางค์ ลักษณะของคาโครงสร้างคาสี่พยางค์ ประกอบด้วยโครงสร้างพยางค์

เดียวประสมกันหรือโครงสร้างสองพยางค์ประสมกันหรือ ท้ังสองแบบประสมกัน แบบใดแบบหน่ึงใน ๕ แบบ

ตอ่ ไปนี้

๑) โครงสรา้ งคาสี่พยางค์ แบบท่ี ๑ Dis + Dis

๒) โครงสร้างคาสี่พยางค์ แบบท่ี ๒ Dis + Mono + Mono

๓) โครงสรา้ งคาส่ีพยางค์ แบบท่ี ๓ Mono + Mono + Dis

๔) โครงสรา้ งคาสี่พยางค์ แบบที่ ๔ Mono + Dis + Mono

๕) โครงสรา้ งคาส่ีพยางค์ แบบที่ ๕ Mono + Mono + Mono + Mono

ดงั ตารางภาพโครงสร้างคาส่ีพยางค์ ต่อไปนี้

ลาดบั ท่ี โครงสร้างคาสามพยางค์ ตัวอย่างคา
นครปฐม
๑ Dis + Dis กระจดั กระจาย ถนนหนทาง สนกุ สนาน
หวยรฐั บาล สภาผแู้ ทน
๒ Dis + Mono + Mono สะพานผา่ นฟา้ ดงพญาเย็น บา้ นนายทหาร
วัดวาอาราม นางพญาปลวก
๓ Mono + Mono + Dis ปากคลองตลาด เข้าด้ายเข้าเขม็

๔ Mono + Dis + Mono โรงพยาบาล

๕ Mono + Mono + Mono + Mono ตกอกตกใจ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๑๐๔

๓. โครงสรา้ งคาห้าพยางค์ ในภาษาไทยอาจเกดิ จากการนาคาพยางคเ์ ดยี ว คาสองพยางค์ คาสาม

พยางค์ มาประสมกัน และออกเสียงเป็นคาห้าพยางค์ โดยอาจมีการลงน้าหนักเสียงต่าง ๆ กัน พยางค์ที่ใช้

ตวั อักษรหนาจะเน้นน้าหนักเสยี ง ส่วนพยางค์ทีไ่ มข่ ดี เส้นใตจ้ ะไมล่ งน้าหนกั เสียง และออกเสียงก่งึ มาตรา ดังนี้

ดงั ตารางภาพโครงสร้างคาหา้ พยางค์ ตอ่ ไปนี้

ลาดับท่ี ตวั อยา่ งคา คาอ่าน

๑ สาธารณสุข สา – ทา – ระ – นะ – สกุ

๒ วิจารณญาณ วิ – จา – ระ – นะ – ยาน

๓ ไวยาวัจกร ไว – ยา – วัด – จะ – กอน

๔ รฐั ธรรมนูญ รดั – ถะ – ทา – มะ – นูน

๕ จติ วิทยา จิด – ตะ – วดิ – ทะ – ยา

๖ บรมอฐั ิ บอ – รม – มะ – อดั – ถิ

๗ บรรณารกั ษศาสตร์ บนั – นา – รัก – สะ – สาด

๘ นาวกิ โยธิน นา – วิก – กะ – โย – ทิน

๙ นิรโทษกรรม นิ – ระ – โทด – สะ – กา

๑๐ นเิ วศวิทยา นิ – เวด – วิ – ทะ – ยา

๔. โครงสร้างคาหกพยางค์ ในภาษาไทยเกิดจากการนาคาพยางค์เดียว คาสองพยางค์ คาสาม

พยางค์ คาส่ีพยางค์ มาประสมกันเป็น ๑ หน่วยคา หรือ ๑ คาหกพยางค์ คาหกพยางค์อาจมีการลงน้าหนัก

เสียงตา่ ง ๆ กัน คาที่ใชต้ ัวอกั ษรหนาจะเนน้ น้าหนกั เสยี ง สว่ นคาทไ่ี มข่ ดี เสน้ ใตอ้ อกเสยี งกง่ึ มาตรา ดงั นี้

ดงั ตารางภาพโครงสร้างคาหกพยางค์ ต่อไปนี้

ลาดับที่ ตวั อยา่ งคา คาอา่ น

๑ กรุงเทพมหานคร กรุง – เทพ – มะ – หา – นะ – คอน

๒ วรมหาวิหาร วอ – ระ – มะ – หา – วิ – หาน

๓ ยวุ ราชรงั สฤษด์ิ ยุ – วะ – ราด – รัง – สะ – หรดิ

๔ นโิ รธสมาบัติ นิ – โรด – ทะ – สะ – มา – บัด

๕ โทรคมนาคม โท – ระ – คะ – มะ – นา – คม

๖ ทกุ รกริ ิยา ทุก – กะ – ระ – กิ – ริ – ยา

๗ ทพิ ยจกั ษุญาณ ทบิ – พะ – ยะ – จกั – สุ – ยาน

๘ ทศพธิ ราชธรรม ทด – สะ – พิด – ราด – ชะ – ทา

๙ ทรมาทรกรรม ทอ – ระ – มา – ทอ – ระ – กา

๑๐ ศาสนปู ถมั ภก สา – สะ – นู – ปะ – ถา – พก

การพิจารณาคาในภาษาไทย จากจานวนพยางค์ดังกล่าวข้างต้นมี ข้อควรสังเกตคือ คาตั้งแต่ ๒
พยางค์ขึ้นไปมักเป็นคายืม เช่น คาบาลี คาสันสกฤต คาเขมร เป็นต้น แต่มักเป็นการยืมรูปคาเท่าน้ัน การอ่าน
ออกเสียง การลงน้าหนักเสียงและผันเสียงวรรณยุกต์ ตลอดจนการกาหนดตัวการันต์ส่วนมากเป็นไปตาม
ระบบการอ่านออกเสียงในภาษาไทย แม้ว่าจะเป็นคายืมประเภททับศัพท์ก็ตาม เช่น คาว่า film ทับศัพท์ว่า
ฟิล์ม กาหนดให้พยัญชนะ ล เป็นตัวการันต์ คาว่า เทป ทับศัพท์และออกเสียงว่า /เท้บ/ แต่ไม่มีรูปวรรณยุกต์

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๑๐๕

คาว่า technology ทบั ศัพท์ว่า เทคโนโลยี ออกเสียงคาว่า เทค เป็นเสยี งวรรณยุกตต์ รี และลงน้าหนัก
เสยี งท่พี ยางคแ์ รกกบั พยางค์ที่ ๔ ขณะท่ีภาษาองั กฤษลงน้าหนักเสยี งท่ีพยางค์ท่ี ๒ เปน็ ต้น

การศึกษาลักษณะคาในภาษาไทยจากการพิจารณาจานวนพยางค์จึงมีส่วนช่วยในด้านการอ่านและ
การลงน้าหนักเสียงให้ถูกต้อง เช่น คาว่า มะม่วง มะนาว เป็นคาสองพยางค์แท้ เวลาออกเสียงจึงไม่ลงน้าหนัก
เสียงท่ีพยางค์แรก แต่ลงน้าหนักเสียงท่ีพยางค์ท่ีสอง คือออกเสียงเป็น /ma - muay/ /ma - naaw/ ไม่ออก
เสียงลงน้าหนกั ท้ังสองพยางคว์ า่ /ma? - muan/ /ma? - naaw/

หรือคา ว่า รัตนตรัย ซึ่งเป็นคาสองคาท่ีมีส่ีพยางค์ คือ คา รัตน + ตรัย ควรลงน้าหนักเสียงท่ีพยางค์
แรกกับพยางค์สุดท้าย ส่วนพยางค์ที่ ๒ และพยางค์ท่ี ๓ ควรออกเสียงเพียงก่ึงมาตรา คือ /rat – ta - na -
trai/ ไมใ่ ช่ /rat - ta? - na? -trail เป็นตน้

การศึกษาโครงสร้างของคาจากจานวนพยางค์จึงมีส่วนช่วยให้มีหลักการออกเสียงคาหลายพยางค์ให้
สมั พันธก์ ับธรรมชาตกิ ารลงนา้ หนกั เสียงตามลกั ษณะของภาษาไทยไดเ้ ป็นอยา่ งดี

๔.๙ ความหมายของคา
ความหมายของคาตามหลักภาษาไทย
พระยาอุปกิตศิลปสาร (๒๕๔๕ : ๕๙) กลา่ วไว้ว่า ความหมายของคา ในตาราไวยากรณ์ มีความหมาย

ตา่ งกันเปน็ ๓ อย่าง คอื ๑) หมายความวา่ พยางค์หนึ่ง ๆ คือเสียงทเี่ ปลง่ ออกมาครั้งหนึง่ ๆ ดังท่ใี ช้อยู่ในตารา
อักขรวิธีว่า คาเป็น คาตาย และที่ใช้ในตาราฉันทลักษณ์ว่า คาครุ คาลหุ หรือจานวนคา ท่ีใช้ในวรรคหน่ึง ๆ
ของคาประพันธ์ว่า โคลงบาทนั้นมเี ท่านั้นคา ฉันทบ์ ทน้ีมเี ท่านั้นคา เป็นต้น ๒) หมายความว่า คาร้องท่อนหน่ึง
เป็นคาหน่ึง ดังท่ีใช้ในคากลอนบทละครต่าง ๆ คือหมายความว่า คากลอน ๒ วรรค เป็นคาหนึ่ง เช่นตัวอย่าง
“มาจะกล่าวบทไป ถึงสอี่ งค์ทรงธรรม์นาถา” เรียกว่าคาหน่ึง คือ หมายถงึ คาร้องคาหน่ึง ๓) คาท่ีใช้ในตาราวจี
วภิ าคน้ีคือหมายความวา่ เสยี งที่พูดออกมา ไดค้ วามอยา่ งหนึ่ง ตามความต้องการของผู้พูดจะเปน็ กี่พยางคก์ ็ตาม
เรยี กว่าคาหน่ึง บางคากม็ ีพยางค์เดยี ว บางคาก็มหี ลายพยางค์

กาชัย ทองหล่อ (๒๕๕๒ : ๒๑๐) กล่าวไว้ว่า คา หมายถึง อักษรที่ประสมกันแล้วออกเสียงมาเป็น
หน่วยเสียงเดี่ยว ประกอบด้วย สระตัวเดี่ยว เรียกว่า พยางค์ พยางค์ที่เปล่งออกมาจะเป็นพยางค์เด่ียวหรือ
หลายพยางคร์ วมกนั กต็ าม ถา้ มคี วามหมายเป็นทีร่ ้กู ันได้ เรียกวา่ คาหรอื ถ้อยคา ซึง่ ถ้าเปลง่ ออกมาเปน็ เสยี งพูด
ก็เรียกวา่ คาพดู ถา้ เขียนเปน็ หนงั สอื ก็เรยี กว่า คาเขยี น คาคาเดยี วจะมพี ยางค์เดยี วหรือหลายพยางคก์ ็ได้

เรืองเดช ปันเข่ือนขัติย์ (๒๕๕๒ : ๑๕๘) กล่าวไว้ว่า คา หรือรูปคา หมายถึงกลุ่มของหน่วยเสียงท่ีมี
ความหมายหรือหน่วยท่ีเล็กท่ีสุดท่ีมีความหมายในภาษา คาหนึ่งคาอาจมีพยางค์เดียวหรือหลายพยางค์ก็ได้แต่
ต้องมีความหมายเสมอ ส่วน คาศัพท์ เป็นคาที่มีความหมายสาเร็จรูปในตัวเองเช่นเดียวกับคาเหมือนกัน แต่
เป็นศพั ทเ์ ชงิ วิชาการและนิยมใช้เปน็ ทางการมากกว่าไม่เป็นทางการ

ความหมายของคาตามหลักภาษาศาสตรภ์ าษาไทย
สถาบันภาษาไทย (๒๕๔๕ : ๑ – ๘) กล่าวไว้ว่า หน่วยคา หมายถึง หน่วยย่อยท่ีสุดในภาษาทีเ่ จ้าของ
ภาษารู้จักและใช้ในการพูดและเขียน คาเป็นหน่วยภาษาท่ีสามารถใช้ตามลาพังเพื่อส่ือสารได้ ซึ่งคามี
องคป์ ระกอบ ๒ ประการ คือ รูป กับ ความหมาย คาเป็นหนว่ ยทางภาษาท่เี ล็กทสี่ ุดทเี่ จา้ ของภาษาแต่ละภาษา
รจู้ กั เจ้าของภาษาใช้ คาเปน็ เครอ่ื งมือสาคญั ในการสอื่ สารไมว่ า่ จะพดู หรอื เขยี น

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๑๐๖

สุนันท์ อัญชลีนุกูล (๒๕๕๖ : ๕) กล่าวไว้ว่า หน่วยคา หมายถึง ส่วนของคาพูดที่เล็กท่ีสุดท่ีมี
ความหมาย มีความหมายทั่วไปหรือมีความหมายทางไวยากรณ์โดยเฉพาะก็ได้ และส่วนที่เล็กท่ีสุดท่ีมี
ความหมายนีก้ ็คือหนว่ ยคาอสิ ระ ทีป่ รากฏตามลาพังได้

ประสิทธิ์ กาพย์กลอน (๒๕๑๖ : ๑๑๑) กล่าวไว้ว่า หนว่ ยคา หมายถงึ หนว่ ยท่ีเล็กทสี่ ดุ ซ่งึ มีความหมาย
ไม่ว่าจะปรากฏในที่ใดจะมีความหมายคงเดมิ เสมอ ทั้งน้ี หน่วยคาเป็นหน่วยที่เกิดจากการเรียงลาดับของหนว่ ย
เสียง กลายเป็นหน่วยท่ีมีความหมายในภาษา หน่วยคาจึงเป็นหน่วยท่ีใหญ่กว่าหน่วยเสียง ฉะนั้น หน่วยเสียง
เป็นหนว่ ยท่ีเลก็ ที่สุดในภาษา สามารถแยกความหมายในภาษาได้ แต่ตัวมนั เองไม่มีความหมาย

เรอื งเดช ปันเขื่อนขตั ยิ ์ (๒๕๕๒ : ๑๕๘) กลา่ วไวว้ ่า หนว่ ยคา หมายถงึ หนว่ ยทีเ่ ล็กท่ีสดุ ท่มี คี วามหมาย
ในภาษา บางทีหน่วยคา หมายถึงกลุ่มของหน่วยเสียงที่มีความหมาย (Meaningful) หรือมีหน้าที่ในภาษา คือ
๑) ทาหน้าท่ีเป็นส่วนหนึ่งของคาในภาษาไทย ๒) ทาหน้าท่ีสาหรับใช้เติมหน้าคาหรือเติมท้ายคาต่าง ๆ เพ่ือให้
เป็นคาหลายพยางค์ ๓) ให้ความหมายเชงิ สังคมมากกว่าความหมายของหน่วยประสานนั้น ๆ

สรุปความได้ว่า ความหมายของคาตามหลักภาษาไทยและความหมายของคาตามหลักภาษาศาสตร์ มี
ความหมายเหมือนกัน คือ คา หมายถึง ส่วนของคาพูดหรือส่วนย่อยท่ีเล็กท่ีสุดท่ีมีความหมาย และสามารถ
ปรากฏได้ตามลาพัง หากแต่ใช้คาศัพท์เฉพาะในการอธิบายความต่างกัน โดยหลักภาษาไทยพิจารณาคาจาก
พยางค์ทม่ี ีความหมาย สว่ นหลกั ภาษาศาสตร์พิจารณาคาจากหนว่ ยคาที่สามารถแยกย่อยได้และมีความหมาย

๔.๑๐ ลักษณะของคามลู หรือหน่วยคา
ลักษณะของคามูลหรอื หน่วยคา (เรืองเดช ปนั เข่ือนขัติย์, ๒๕๕๒ : ๑๖๖; วเิ ชยี ร เกษประทุม, ๒๕๕๘

: ๕๗; สถาบันภาษาไทย, ๒๕๕๕ : ๒๐ – ๒๖) สรุปความได้ว่า คามูล คือคาท่ีเป็นคาหลักหรือคาท่ีมีหน่วยคา
เดียว คามูลอาจมีพยางค์เดียวมีหน่วยคาเดียวก็ได้ หรือมีสองพยางค์หรือหลายพยางค์ก็ได้ แต่ทุกคาต้องมี
ความหมายเดียวหรือหน่วยคาเดยี ว โดยไม่สามารถแบ่งแยกเปน็ สองหน่วยคาหรือหลายหน่วยคาได้ในเวลาพูด
เช่นคาว่า สัตว์ นอน ม้า ทหาร มะละกอ อาจารย์ อนามยั กลุ ีกุจอ เป็นต้น

อีกอย่างหน่ึง นักวิชาการไทยในอดีตเรียกว่า “คามูล” เพราะว่าคานั้นไม่ได้นาไปประสมกับคาอื่น ๆ
หากนาไปประสมกับคาอนื่ ที่มีความหมายหรือไมม่ ีความหมายก็จะเรียกว่า คาประสม ส่วน “หนว่ ยคา” เป็นคา
เรียกของนักวิชาการไทยในปัจจุบัน หลังจากได้ศึกษาหลักภาษาศาสตร์ตามแบบตะวันตก ซ่ึงเป็นการอธิบาย
ลักษณะของคาในภาษาไทย ซ่ึงหน่วยคาแบ่งเป็น ๒ ประเภทตามลักษณะการปรากฏร่วมกับคาอื่น ได้แก่
หนว่ ยคาอิสระ และ หน่วยคาไมอ่ สิ ระ

๑. หน่วยคาอิสระ (free morpheme) คือ หน่วยคาท่ีสามารถปรากฏตามลาพังเป็นคาหรือใช้
ตามลาพังโดยไม่ต้องมีหน่วยคาอ่ืนมาประกอบ หน่วยคาในภาษาไทยส่วนใหญ่มักเป็นหน่วยคาประเภทนี้ เช่น
ไฟ, กระชาย, กระดาษ, ผลิต, กาแพง, ตลาด, การ์ตูน, หิ่งหอ้ ย, กามะหยี่ ฯลฯ

๒. หน่วยคาไม่อิสระ (bound morpheme) คือ หน่วยคาที่ต้องใช้ประกอบกับหน่วยคาอื่นเสมอ
ไม่ปรากฏวา่ ใช้ตามลาพังได้ กล่าวคือต้องใช้ร่วมกับหน่วยคาอื่นเสมอและเม่ือร่วมกับคาอ่ืนแล้วจะใช้เป็นคาคา

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๑๐๗

เดียว เช่น “ท่ี-” “-กร” “การ-” “ความ-” “-นิยม” เป็นต้น หน่วยคาไม่อิสระสามารถจาแนกย่อยได้หลาย

ประเภทตามเกณฑต์ า่ ง ๆ ดังนี้

๒.๑ หน่วยคาไม่อิสระจาแนกตามหน้าท่ีแบ่งได้เป็น ๒ ชนิด คือ หน่วยผันคากับหน่วย

ประสานคา

๑) หน่วยผันคา (Inflectional morpheme) หรือวิภัตติ คือ หน่วยคาไม่อิสระ ท่ีใช้

ประกอบต้นเค้าศัพท์ (stem) เพอื่ ให้ได้รูปคาท่ีใช้จริงในภาษา (realized form) แม้ภาษาไทยจะเป็นภาษาทีไ่ ม่

มีหน่วยผันคา เมื่อประกอบเข้ากับต้นเค้าศัพท์ใด จะไม่ทาให้ความหมายหลักของต้นเค้าศัพท์นั้นเปล่ียนแปลง

ไป หนว่ ยผันคาในทุกภาษาเป็นหนว่ ยคาไมอ่ ิสระชนดิ ที่ประกอบเขา้ ข้างท้ายตน้ เคา้ ศัพท์

๒) หน่วยประสานคา (derivational morpheme) คือ หน่วยคาไม่อิสระที่ใช้เปล่ียน

ชนิดของคาหรือความหมายของคา เช่น “การ- ความ-” ในภาษาไทย ใช้เปล่ียนคากริยาหรือคาขยายให้

กลายเป็นคานามท่สี ื่อความหมายนามธรรม ดงั ตารางภาพหนว่ ยประสานคา “การ- ความ-” ตอ่ ไปนี้

หนว่ ยคาไม่อสิ ระ คากริยา กลายเป็นคานาม
การ-
ศกึ ษา การศกึ ษา
ความ- สนั่ สะเทอื น การสัน่ สะเทือน
ตาย การตาย
ภกั ดี ความภักดี
รบั ผิดชอบ ความรบั ผิดชอบ
สกปรก ความสกปรก

๒.๒ หน่วยคาไม่อิสระจาแนกตามการเกิดซ้า (recursiveness) และการใช้ร่วมกับคาอ่ืน

(Concurrence) จะจาแนกเปน็ ๒ ชนิด คือ หนว่ ยฐานจากดั กับ หนว่ ยคาเตมิ

๑) หน่วยฐานจากัด (bound base) คือ หน่วยคาไม่อิสระที่ปรากฏและใช้ร่วมกับ

หนว่ ยคาอื่นไดเ้ พยี งหน่วยเดียวเท่านั้น และใช้รว่ มกบั หนว่ ยคานัน้ ในฐานะที่เปน็ คาคาเดยี วกัน ดังนี้

-โคลง้ ใช้รว่ มกับ ตม้ เปน็ ตม้ โคลง้ เสมอ

-โต้ง ใชร้ ่วมกบั ไก่ เป็น ไกโ่ ต้ง เสมอ

-ทู ใชร้ ่วมกับ ปลา เป็น ปลาทู เสมอ

-เบือ ใชร้ ว่ มกับ ตายเป็น เป็น ตายเป็นเบือ เสมอ

-ประสวิ ใชร้ ่วมกบั ดนิ เป็น ดนิ ประสิว เสมอ

-ผวย ใช้ร่วมกับ ผ้า เป็น ผ้าผวย เสมอ

-รา้ ใชร้ ว่ มกับ ปลา เป็น ปลารา้ เสมอ

-ลาย ใช้รว่ มกับ น้า เป็น น้าลาย เสมอ

-เลง ใช้ร่วมกับ นกั เป็น นักเลง เสมอ

กง- ใชร้ ว่ มกบั การ เป็น กงการ เสมอ

ก้า- ใชร้ ่วมกบั กึ่ง เป็น ก้าก่ึง เสมอ

-พาน ใชร้ ่วมกบั พบ เป็น พบพาน เสมอ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๑๐๘

-โยน ใช้รว่ มกับ อ่อน เป็น อ่อนโยน เสมอ

-รอน ใช้ร่วมกับ ทุน เป็น ทนุ รอน เสมอ

หนว่ ยคา -โคลง้ -โต้ง -ทู -เบือ -ประสิว -ผวย -ร้า -ลาย -เลง กง- ก้า- -พาน -โยน -รอน เป็น

หน่วยฐานจากัด ส่วนต้มโคล้ง ไก่โต้ง ปลาทู ตายเป็นเบือ ดินประสิว ผ้าผวย ปลาร้า น้าลาย นักเลง กงการ

ก้ากึ่ง พบพาน ออ่ นโยน ทนุ รอน ใชเ้ ป็นคาคาเดียวกัน

๒) หน่วยคาเติม (affix) คือ หน่วยคาไมอ่ ิสระท่ใี ช้ประกอบกับหน่วยคาอน่ื แล้วทาให้เกิด

เป็นคาประสาน หน่วยคาเติมจึงอาจเรียกว่า หน่วยประสานคา หน่วยคาเติมใชป้ ระกอบหน่วยคาอ่ืนเพ่ือแปลง

ความหมายและหน้าที่ของหน่วยคานั้น โดยทั่วไปหน่วยคาเติมสามารถจาแนกตามตาแหน่งท่ีปรากฏเป็น

หนว่ ยคาเตมิ หนา้ หน่วยคาเตมิ กลาง และหน่วยคาเตมิ หลงั

ก) หนว่ ยคาเติมหน้า (prefix) คือ หนว่ ยคาไมอ่ ิสระท่ใี ช้ประกอบเข้าข้างหนา้ หนว่ ยคาอื่น

เช่น หน่วยคาเติมหน้า นัก- ซึ่งมีความหมายว่า “คน คนที่ชานาญ” ส่วนใหญ่ใช้ประกอบหน้าคากริยา แต่อาจ

ประกอบหนา้ คานามบา้ ง ดังตัวอย่างต่อไปนี้

นกั - ใช้ประกอบหน้าหน่วยคาทีเ่ ป็นกรยิ า

นัก- + เรยี น = นกั เรยี น นกั - + ชก = นกั ชก

นัก- + พากย์ = นักพากย์ นกั - + บิน = นักบนิ

นกั - ใช้ประกอบหนา้ หนว่ ยคาทเี่ ป็นนาม

นกั - + ข่าว = นกั ขา่ ว นกั - + โทษ = นกั โทษ

นกั - + เคมี = นกั เคมี นกั - + มวย = นกั มวย

ข) หน่วยคาเติมกลาง (infix) คือ หน่วยคาไมอ่ ิสระที่ใช้แทรกประกอบเข้า กลางหน่วยคา

อ่นื เช่น หนว่ ยคาเตมิ กลาง -อาน- -อาณ- ของภาษาเขมรในคาต่อไปน้ี

-อาน- -อาณ- ใช้แทรกเขา้ ไปในหน่วยคา เกีต (ท. เกดิ ) เป็น กเณีต (ท. กาเนิด)

” จง่ (ท. จง) เป็น จณง่ (ท. จานง)

อาจ (ท. อาจ) เป็น อณาจ (ท. อานาจ)

เฎรี (ท. เดนิ ) เป็น ฎเณีร (ท. ดาเนิน)

ทาย (ท. ทาย) เป็น ทนาย (ท.ทานาย)

หน่วยคาเติมกลาง “-อาน- -อาณ- นอกจากพบในคาภาษาเขมรแล้ว ยังพบในคาภาษาเขมรท่ียืมมาใช้

ในภาษาไทยดว้ ย

ค) หน่วยคาเติมหลัง (Suffix) คือ หน่วยคาไม่อิสระที่ประกอบเข้าท้ายหน่วยคาอ่ืน เช่น

หน่วยคาเติมหลัง -นิยม มีความหมายว่า “ลัทธิ ความเชื่อ ความชอบ” ซึ่งประกอบท้ายคาหรอื หน่วยคาตา่ ง ๆ

เพื่อสร้างคาที่ใช้เป็นช่ือเรียก ลัทธิ ความเชื่อ อุดมคติ หรือค่านิยมต่าง ๆ เช่น เหตุผลนิยม สุขนิยม เทวนิยม

จิตนิยม ธรรมชาตินยิ ม วตั ถนุ ิยม บรโิ ภคนยิ ม เป็นต้น

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๑๐๙

สรุปท้ายบท
พยางค์ หมายถึง ส่วนประกอบของคาหนึ่งคา น้ันจะมีความหมายหรือไม่มีความหมายก็ได้ ในหน่ึงคา

อาจจะมี พยางค์เดียว สองพยางค์ สามพยางค์ สี่พยางค์ เป็นตน้ ในแต่ละพยางค์อาจจะมคี วามหมายในตัวเอง
หรือไม่มีความหมายกไ็ ด้ แต่เมอื่ นามารวมกนั เปน็ คาเดียวแล้วจะเกิดความหมายใหมเ่ สมอ

โครงสร้างคาตามหลักภาษาไทย ในหนึ่งพยางค์มีส่วนประสม ๓ – ๕ ส่วน ได้แก่ พยัญชนะ + สระ +
วรรณยกุ ต์ + ตัวสะกด + การนั ต์ พยางค์แต่ละพยางค์ อย่างน้อยจะต้องมีส่วนประกอบ ๓ ส่วน คือ พยัญชนะ
สระ และวรรณยกุ ต์ อย่างมากจะต้องมีส่วนประสม ๕ สว่ น คือพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ ตัวสะกด และการันต์
จะน้อยกว่า ๓ สว่ นหรือมากกวา่ ๕ สว่ นไมไ่ ด้และคา ๆ เดยี วจะมีพยางค์เดียวหรอื หลายพยางคก์ ไ็ ด้

หน่วยคา หมายถึง หน่วยย่อยท่ีสุดในภาษาท่ีเจ้าของภาษารู้จักและใช้ในการพูดและเขียน คาเป็น
หน่วยภาษาที่สามารถใช้ตามลาพังเพ่ือสื่อสารได้ ซ่ึงคามีองค์ประกอบ ๒ ประการ คือ รูป กับ ความหมาย คา
เป็นหน่วยทางภาษาท่ีเล็กที่สุดท่ีเจ้าของภาษาแต่ละภาษารู้จัก เจ้าของภาษาใช้ คาเป็นเคร่ืองมือสาคัญในการ
สื่อสารไม่ว่าจะพูดหรือเขียน ดังนั้น การเรียนรู้คาใดคาหน่ึงคือการเรียนรู้ข้อมูลทางภาษาท้ังหมดที่อยู่ในคาน้ัน
คาแต่ละคามีข้อมูลต่าง ๆ หลายด้านซ่ึงผู้เรียนรู้คาจะต้องรู้ ดังน้ี ๑. ข้อมูลด้านเสียง ๒. ข้อมูลด้านโครงสร้าง
ของคา ๓. ข้อมูลดา้ นวากยสมั พันธ์ ๔. ข้อมูลด้านความหมาย ๕. ข้อมูลด้านการใช้คา ๖. ข้อมูลด้านสังคมและ
วัฒนธรรม ๗. ขอ้ มลู ดา้ นประวัติหรอื ท่ีมาของคา

ส่วนประกอบของพยางค์ การศึกษาลักษณะโครงสร้างพยางค์ภาษาไทย จึงจาเป็นต้องศึกษาลักษณะ
สว่ นประกอบของคาต่าง ๆ โดยกาหนดสัญลักษณใ์ ชแ้ ทนหน่วยเสียงตา่ ง ๆ ทเี่ ป็นสว่ นประกอบของพยางค์

โครงสร้างพยางค์ในภาษาไทย ภาษาไทยเป็นภาษาท่ีได้รับอิทธิพลจากภาษาต่างประเทศหลาย
ประเทศ เนอ่ื งดว้ ยเหตุผลหลายประการ เชน่ ศาสนา วฒั นธรรม การศกึ ษา เศรษฐกจิ และการเมือง โดยเฉพาะ
ปจั จุบันนี้เป็นยุคกระแสโลกาภิวัตน์ มีการล่นื ไหลทางวัฒนธรรมดว้ ย จงึ ได้รบั เอาศัพท์จากภาษาต่างประเทศมา
ใช้โดยการยืมคา การยืมเสียง การยืมโครงสร้างไวยากรณ์ และการบัญญัติคาศัพท์ใช้ เป็นต้น คาต่าง ๆ ใน
ภาษาไทย ถ้าอาศยั พยางคเ์ ป็นหลัก จะมีพยางคอ์ ยทู่ ั้งหมด ๓ ประเภท คอื ๑) คาพยางค์เดย่ี ว (Monosyllabic
Words) ๒) คาสองพยางค์ (Disyllabic Words) ๓) คาหลายพยางค์ (Polysyllabic Words)

โครงสร้างคาพยางค์เดี่ยว (Monosyllabic pattern) แบ่งออกเป็น ๔ แบบ ดังนี้ ๑) โครงสร้างแบบท่ี
หนึ่ง C(C)VT0,1,3 ๒) โครงสร้างแบบที่สอง C(C)VVT0 – 4 ๓) โครงสร้างแบบที่สาม C(C)V(V)NT0 – 4 ๔)
โครงสร้างแบบที่สี่ C(C)V(V)ST1,2,3

โครงสร้างคาสองพยางค์ (Disyllabic pattern) ในภาษาไทย แบ่งออกเป็น ๒ ลักษณะคือ ๑)
โครงสร้างคาสองพยางค์แท้ (Disyllable) โครงสร้างคาสองพยางค์แท้ มีลักษณะสองพยางค์ที่แตกต่างกัน คือ
พยางค์แรก มีลักษณะโครงสร้างพยางค์ท่ีสามารถกาหนดได้ คือ C(C)VT0,1,3 ประกอบด้วยหน่วยเสียง
พยัญชนะต้นเด่ียวหรือควบกล้ากับหน่วยเสียงพยัญชนะ /ร/ หน่วยเสียงสระเสียงส้ัน และมีลักษณะของเสียง
วรรณยุกต์ คือ ถ้าพยัญชนะต้นเดี่ยวเป็นอักษรกลางจะเป็นเสียงวรรณยุกต์สามัญ หากพยัญชนะต้นเป็นอักษร
สูงหรืออักษรต่าให้ผันเสียงวรรณยุกต์ตามหลักการผันเสียงอักษรไตรยางค์ และการลงน้าหนักเสียงจะเบากว่า
คือไม่ลงเสียงเน้นเลย พยางค์ท่ี ๒ ซ่ึงจะลงเสียงหนักกว่าพยางค์ที่ ๑ มีลักษณะโครงสร้างพยางค์ที่สามารถ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๑๑๐

กาหนดได้คือ C(C)V(V)T0 – 4 ประกอบด้วยหน่วยเสียงพยัญชนะต้นเดี่ยวหรือควบกล้ากับหน่วยเสียง
พยญั ชนะ /ร/ หน่วยเสียงสระเสยี งสัน้ หรอื เสียงยาว พยญั ชนะท้ายสะกดด้วยมาตราตัวสะกด ได้แก่ น ม ย ว ง
ก บ ด และหน่วยเสียงวรรณยกุ ต์สามญั ถึงจตั วา

๒) โครงสร้างคาสองพยางค์สองพยางค์เทียม (Mono + Mono Syllables) โครงสร้างสร้างคาสอง
พยางค์เทียมของภาษาไทย มีโครงสร้างเช่นเดียวกับโครงสร้างพยางค์เดียว ๒ แบบเรียงกัน หรือประสมกัน
(Mono + Mono) พยางค์แต่ละพยางค์จะมีลักษณะโครงสร้าง พยางค์เดียวแบบใดแบบหนง่ึ อาจเปน็ พยางค์ที่
มีความหมายหรือไม่มกี ็ได้ ลักษณะโครงสร้างข้นึ อยู่กบั การประสมของโครงสร้างพยางค์เดียวเขา้ ด้วยกันเป็น ๒
พยางค์เทียมแบบใดแบบหนึ่ง

โครงสร้างคาหลายพยางค์ (Polysyllables) หมายถงึ โครงสร้างพยางค์ของคาประสมตง้ั แต่ ๓ พยางค์
ขึน้ ไป ดังน้นั จึงกลา่ วไดว้ ่าโครงสรา้ งพยางคห์ ลายพยางค์ จึงเกดิ ข้นึ จากการเอาโครงสร้างพยางค์เดีย่ ว (Mono)
และสองพยางค์ (Dis) แบบใดแบบหนึ่งมาประสมกันหรือเรียงกันในลักษณะใดลักษณะหน่ึง ลักษณะของ
โครงสร้างพยางค์หลายพยางค์ จึงมีหลายรูปแบบข้ึนอยู่กับจานวนพยางค์ ซ่ึงจะนาเอาโครงสร้างพยางค์สาม
พยางค์ สพ่ี ยางค์ หา้ พยางค์ และหกพยางค์มาวเิ คราะห์ดงั ทก่ี ลา่ วแล้วขา้ งต้น

ความหมายของคาตามหลักภาษาไทยและความหมายของคาตามหลักภาษาศาสตร์ มีความหมาย
เหมือนกัน คือ คา หมายถึง ส่วนของคาพูดหรือส่วนย่อยที่เล็กที่สดุ ท่ีมีความหมาย และสามารถปรากฏได้ตาม
ลาพัง หากแต่ใช้คาศัพท์เฉพาะในการอธิบายความต่างกัน โดยหลักภาษาไทยพิจารณาคาจากพยางค์ที่มี
ความหมาย ส่วนหลักภาษาศาสตร์พิจารณาคาจากหน่วยคาที่สามารถแยกย่อยได้และมีความหมาย
ลักษณะของคามูลหรือหน่วยคา กล่าวคือ คามูล คือคาที่เป็นคาหลักหรือคาท่ีมีหน่วยคาเดียว คามูลอาจมี
พยางค์เดียวมีหน่วยคาเดียวก็ได้ หรือมีสองพยางค์หรือหลายพยางค์ก็ได้ แต่ทุกคาต้องมีความหมายเดียวหรือ
หน่วยคาเดียว โดยไม่สามารถแบ่งแยกเปน็ สองหน่วยคาหรือหลายหน่วยคาได้ในเวลาพูด เช่นคาว่า สัตว์ นอน
ม้า ทหาร มะละกอ อาจารย์ อนามัย กุลีกุจอ เป็นต้น อีกอย่างหนึ่ง นักวิชาการไทยในอดีตเรียกว่า “คามูล”
เพราะว่าคานั้นไม่ได้นาไปประสมกับคาอื่น ๆ หากนาไปประสมกับคาอ่ืนท่ีมีความหมายหรือไม่มีความหมายก็
จะเรียกว่า คาประสม ส่วน “หน่วยคา” เป็นคาเรียกของนักวิชาการไทยในปัจจุบัน หลังจากได้ศึกษาหลัก
ภาษาศาสตรต์ ามแบบตะวนั ตก ซ่ึงเป็นการอธิบายลักษณะของคาในภาษาไทย ซง่ึ หน่วยคาแบ่งเป็น ๒ ประเภท
ตามลักษณะการปรากฏรว่ มกบั คาอนื่ ไดแ้ ก่ หน่วยคาอสิ ระ และ หนว่ ยคาไมอ่ สิ ระ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๑๑

รูปแบบการเรยี นการสอน

๑. กิจกรรมสร้างสรรค์
๑.๑ เกม (บตั รคา)
๑.๒ แบบทดสอบ/แบบฝึกหดั ทางภาษาศาสตรภ์ าษาไทย

๒. กจิ กรรมการจดั การเรยี นรู้แบบเน้นภาระงาน (TBL : Tack-Based Learning)
๒.๑ นยิ ามความหมายของพยางคแ์ ละคาหรอื หนว่ ยคา
๒.๒ ลกั ษณะของโครงสร้างคาตามหลักภาษาไทยเป็นอย่างไร
๒.๓ ลักษณะของโครงสรา้ งคาตามหลักภาษาศาสตร์ภาษาไทยเปน็ อยา่ งไร
๒.๔ องค์ประกอบของของพยางค์มีความสาคัญอย่างไร
๒.๕ วาดแผนผังโครงสรา้ งคาพยางคเ์ ดีย่ วและโครงสรา้ งคาสองพยางค์
๒.๖ วาดแผนผังโครงสร้างคาหลายพยางค์

สือ่ การเรยี นรู้

๑. โปรแกรมนาเสนอภาพน่งิ (PPT.) เนือ้ หาประกอบการบรรยาย
๒. โปรแกรมส่อื มตั ตมิ เี ดียและแอปพลิเคชัน YouTube
๓. เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ED1019 ภาษาศาสตรภ์ าษาไทยสาหรบั ครู
๔. เกมบตั รคา
๕. แบบทดสอบ/แบบฝกึ หัด
๖. แผนการจัดการเรยี นรู้
๗. ใบความรู้

การวัดและการประเมินผล

๑. ประเมนิ ผลจากการสงั เกตความสนใจ ซกั ถาม และตอบคาถาม
๒. ประเมินผลจากการร่วมกจิ กรรม การอภิปรายแสดงความคิดเห็น
๓. ประเมนิ ผลจากผลงาน ดา้ นเน้อื หา รปู แบบ ความคดิ สร้างสรรค์ วิธกี ารนาเสนอ
๔. ประเมนิ ผลจากการตรวจสอบผลการเลน่ เกม แบบทดสอบ และแบบฝกึ หัด

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๑๑๒

เอกสารอา้ งอิง

กาญจนา นาคสกลุ . (๒๕๕๙). ระบบเสียงภาษาไทย. พิมพ์ครง้ั ที่ ๘. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
กาชัย ทองหลอ่ . ๒๕๕๒). หลักภาษาไทย. พมิ พค์ รั้งท่ี ๕. กรุงเทพฯ : อมรการพมิ พ์.
ประสิทธิ์ กาพย์กลอน. (๒๕๑๖). การศึกษาภาษาไทยตามแนวภาษาศาสตร์. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช

จากัด.
พระยาอุปกิตศิลปสาร. (๒๕๔๕). หลกั ภาษาไทย. พิมพค์ ร้งั ที่ ๑๑. กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ จากัด.
เรืองเดช ปนั เข่อื นขตั ิย.์ (๒๕๕๒). ภาษาศาสตรภ์ าษาไทย. พมิ พค์ รัง้ ท่ี ๒. กรุงเทพฯ : Fast Books.
วรวรรธน์ ศรียาภัย. (๒๕๕๖). ภาษาศาสตร์ภาษาไทย. นนทบรุ ี : สมั ปชัญญะ.
วเิ ชียร เกษประทุม. (๒๕๕๘). หลกั ภาษาไทย ฉบับสมบูรณ์. กรงุ เทพฯ : สานกั พมิ พ์ พ.ศ.พฒั นา.
สถาบนั ภาษาไทย. (๒๕๕๕). บรรทัดฐานภาษาไทย เล่ม ๒. พิมพ์ครง้ั ที่ ๓. กรงุ เทพฯ : องคก์ ารคา้ ของ สกสค.
สุนนั ท์ อญั ชลีนกุ ลู . (๒๕๕๖). ระบบคาภาษาไทย. พมิ พ์ครัง้ ท่ี ๔. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๑๓

แผนการสอนประจาบท

หวั เรือ่ ง

๑. ค้าซา้
๒. คา้ ซ้อน
๓. ค้าประสม
๔. ค้าประสาน
๕. คา้ สมาส
๖. ค้าสนธิ

แนวคดิ

ประเภทของค้าในภาษาไทยตามหลักภาษาไทยเดิม แบ่งตามลักษณะการสร้างค้ามี ๒ ประเภท คือ
การสร้างค้าตามหลักภาษาไทยเดิม และการสร้างค้าตามหลักภาษาบาลีสนั สกฤต ซง่ึ ไทยได้ยมื คา้ และการสร้าง
ค้ามาใช้ในภาษาไทย ดังนัน จึงจ้าแนกประเภทของค้าในภาษาไทยได้ ๖ ประเภท ดังนี ค้าซ้า ค้าซ้อน ค้า
ประสม ค้าประสาน ค้าสมาส ค้าสนธิ ทงั นี ค้าสมาสและค้าสนธิในหนังสือบรรทัดฐานภาษาไทยได้รวมเป็นค้า
เดียวกนั คอื คา้ สมาส แตแ่ ยกออกเปน็ สองลักษณะ คือ ค้าสมาสแบบไม่มสี นธกิ บั ค้าสมาสแบบมีสนธิ

วัตถุประสงค์

เม่อื นักศกึ ษาเรียนจบบทที่ ๕ มสี ามารถได้ดังนี
๑. อธบิ ายความหมายของคา้ ซา้ คา้ ซอ้ น ค้าประสม คา้ ประสาน ค้าสมาส ค้าสนธิได้
๒. อธบิ ายโครงสรา้ งและลกั ษณะของคา้ ซ้าได้
๓. อธิบายโครงสร้างและลักษณะของคา้ ซ้อนได้
๔. อธบิ ายโครงสรา้ งและลักษณะของคา้ ประสมได้
๕. อธิบายโครงสรา้ งและลักษณะของค้าประสานได้
๖. อธบิ ายโครงสรา้ งและลกั ษณะของค้าสมาสได้
๗. อธิบายโครงสรา้ งและลกั ษณะของค้าสนธไิ ด้

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๑๑๔

บทที่ ๕
ประเภทของคาในภาษาไทย

ประเภทของค้าในภาษาไทยตามหลักภาษาไทยเดิม แบ่งตามลักษณะการสร้างค้ามี ๒ ประเภท คือ
การสร้างค้าตามหลักภาษาไทยเดิม และการสร้างค้าตามหลักภาษาบาลีสันสกฤต ซ่ึงไทยได้ยืมค้าและวิธีการ
สร้างค้าภาษาบาลีสันสกฤตมาใช้ในภาษาไทย ในบทนี จะได้กล่าวถึงโครงสร้างและลักษณะการสร้างค้าซ้า
โครงสร้างและลกั ษณะการสรา้ งค้าซ้อน โครงสร้างและลักษณะการสร้างคา้ ประสม โครงสร้างและลกั ษณะการ
สร้างค้าประสาน โครงสร้างและลักษณะการสร้างค้าสมาส และโครงสร้างและลักษณะการสร้างค้าสนธิ ดังมี
รายละเอียดต่อไปนี

๕.๑ คาซา

๕.๑.๑ ความหมายของค้าซ้า
สถาบนั ภาษาไทย (๒๕๕๕ : ๖๒) กล่าวไว้ว่า ค้าซ้า หมายถึง ค้าท่ีประกอบด้วยหนว่ ยคา้ ๒ หน่วย ซ่ึง
เหมอื นกันทุกประการ หรืออีกนัยหน่ึง การพูดหรือเขียนค้าใดคา้ หนึ่งอีกครังท้าให้เกิดคา้ ซ้า เชน่ เด็ก ๆ สาว ๆ
หนมุ่ ๆ หลาน ๆ ดา้ ๆ แดง ๆ สวย ๆ ดี ๆ ในการเขียนค้าซา้ จะใช้เครื่องหมายไมย้ มกแทนค้าทซี่ ้า ในภาษาไทย
ค้าทุกชนิดซา้ ได้ แต่ไมใ่ ช่วา่ ในแตล่ ะชนดิ จะซ้าได้ ทงั นีขนึ อยกู่ บั ความหมายของคา้ และปริบท
สุนันท์ อัญชลนี ุกลู (๒๕๕๖ : ๒๔) กล่าวไว้วา่ คา้ ซา้ ในภาษาไทยเกดิ จากการนา้ ค้า ๆ เดยี วกันมาซ้ากัน
บางครังเวลาออกเสียงจะมีการลงน้าหนักเสียงที่ค้าใดค้าหนึ่งในค้าซ้า การลงน้าหนักเสียงมีผลต่อความหมาย
ของค้าซ้าที่เกิดใหม่ด้วย ส่วนการเขียนนิยมใช้เคร่ืองหมายไม้ยมก (ๆ) แทนการเขียนซ้ารูปค้าเดิม จึงถือว่าค้า
ซา้ แตล่ ะคา้ ประกอบดว้ ยหนว่ ยคา้ อสิ ระ ๑ หน่วยค้าและหนว่ ยคา้ ไมอ่ ิสระ (คอื ไมย้ มก)
สมาคมครูภาษาไทยแห่งประเทศไทย (๒๕๕๘ : ๘๒) ได้อธิบายไว้ว่า ค้าซ้า หมายถึงค้าที่เกิดจากการ
นา้ ค้าที่เหมือนกันทุกประการมาใช้ต่อกัน ๒ ครัง และรวมเข้าเป็นค้าเดียวกัน ในการเขียนจะใช้ไมย้ มกแทนค้า
ที่ ๒ เชน่ เด็ก ๆ แม่ ๆ คณุ ๆ หนุ่ม ๆ แก่ ๆ ดี ฯลฯ คา้ ทน่ี ้ามาสรา้ งเป็นคา้ ซา้ มักไดแ้ ก่ คา้ นามและค้ากรยิ า แต่
ไม่ใช่ค้านามและค้ากริยาทุกค้าจะน้ามาสร้างเป็นค้าซ้าได้ทังหมด ส่วนค้ากริยาเม่ือน้ามาซ้าเป็นค้าซ้ามัก
กลายเป็นค้าวิเศษณ์หรือค้ากริยาคุณศัพท์ เช่น เขาดีกับทุกคน (ดี = ค้ากริยา) พูดดี ๆ ก็ได้ ไม่ต้องขึนเสียง
(ดี ๆ = ค้าวเิ ศษณ์) เดก็ ดี ๆ แบบนคี วรส่งเสริม (ดี ๆ = คา้ กรยิ าคุณศัพท)์ ค้าซา้ ส่วนใหญ่ลงเสียงหนักท่คี า้ หลัง
อย่างไรก็ตามมีค้าซ้าอีกพวกหนึ่งออกเสียงสูงท่ีค้าหน้าคล้ายเสียงวรรณยุกต์ตรี แต่เน้นกว่า และยืดเสียงสระ
ออกเล็กน้อย ส่วนค้าหลังเป็นเสียงปรกติ ค้าซ้าพวกนีใช้พูดเมื่อต้องการแสดงอารมณ์และเน้นความหมายของ
ค้า ในการเขียนค้าซ้าแบบเน้นเสียงนี ให้เขียนซ้าโดยไม่ต้องใช้เคร่ืองหมายไม้ยมก เช่น เด็กเด็ก แก๊แก่ ด้าด้า
อิมอ่มิ เสียงว๊านเสียงหวาน นางเอก๊ นางเอก เปน็ ต้น
วิเชียร เกษประทุม (๒๕๕๘ : ๖๑) กล่าวไว้ว่า ค้าซ้า คือค้าท่ีเกิดจากการซ้าเสียงค้าเดียวกันตังแต่ ๒
ครังขนึ ไป เพอื่ ทา้ ใหเ้ กิดค้าใหมไ่ ด้ความหมายใหม่ และค้าท่ีมีเสยี งซ้ากันนันต้องทา้ หนา้ ทอี่ ยา่ งเดียวกนั
สรุปความได้ว่า ค้าซา้ คือ ค้าท่ีซ้าเสียงสองพยางค์หรือส่ีพยางค์ ซ่ึงจะใช้เครื่องหมายไม้ยมกแทนค้าที่
ซา้ และการซา้ คา้ ที่มีเสียงของสระทใี่ กล้เคยี ง มีความสละสลวยในการออกเสียง

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๑๑๕

๕.๑.๒ การออกเสยี งค้าซา้
สถาบนั ภาษาไทย (๒๕๕๕ : ๖๒) กลา่ วไวว้ า่ การออกเสยี งค้าซ้า มี ๒ ประเภท ดังนี

๑. คา้ ซ้าประเภทไม่เปลี่ยนเสยี ง ถา้ ค้าเดิมเป็นค้าพยางคเ์ ดียวจะลงเสียงหนกั ที่พยางค์หลังเหมอื น
คา้ สองพยางค์ เช่น หลาน ๆ แดง ๆ สวย ๆ ถ้าค้าเดมิ เป็นคา้ สองพยางคห์ รือค้าหลาย พยางค์เมอื่ เป็นค้าซา้ กจ็ ะ
ออกเสยี งเหมือนคา้ เดมิ เพ่มิ อีกครังหน่งึ เชน่ พอดี ๆ สปั ดาห์ ๆ ระบบ ๆ

๒. ค้าซ้าประเภทเปล่ียนเสียง ค้าซ้าประเภทท่ีเน้นความหมายหรือเพิ่มความหมายขึน จะเปล่ียน
เสียงวรรณยุกต์ของพยางค์หน้าเป็นวรรณยุกต์เน้นพิเศษ ค้าซ้าประเภทเปล่ียนเสียงที่เป็นค้านามเมื่อซ้าแล้ว
อาจใช้เป็นค้ากริยาคุณศัพท์หรือค้าวิเศษณ์ได้ ค้าประเภทนีมีทังค้าภาษาไทยและค้าภาษาอ่ืน ค้าซ้าประเภทนี
จะซ้าค้าโดยไม่ใช้ไม้ยมก ในที่นี ใช้เคร่ืองหมาย ๙ เรียกว่า ไม้เบญจา ใช้แสดงเสียงวรรณยุกต์เน้นพิเศษที่มี
ลักษณะสูงกว่าเสียงตรปี รกตใิ นภาษาไทย (ยงั ไมไ่ ดบ้ ญั ญัติให้ใชท้ ัว่ ไป เปน็ เพยี งแนวคิด) ดงั ตัวอย่างต่อไปนี

คา้ ซา้ ทีน่ า้ คา้ นามมาซา้ เชน่
ผ้หู ญงิ คนนที ่าทางนางเอก๙นางเอก
คนอะไรไมร่ ู้ตลาด๙ตลาด
เขาคงไม่ไดร้ บั การอบรม กริ ยิ าจึงเป็นไพร่๙ไพร่
ผู้หญงิ คนนดี เู ปน็ ผู้ดี๙ผดู้ ี
ใคร ๆ ก็ชมว่าทา่ ทางเขาดูแมน๙แมน
ลกู ชายบา้ นนีแตง่ ตัวจิกโก๙จกิ โก๋
บ้านนีโบราณ๙โบราณ
ผชู้ ายคนนีสมถะ๙สมถะ

ค้าซ้าทนี่ า้ ค้ากรยิ ามาซา้ เช่น
คนใชบ้ ้านนีขยัน๙ขยนั ทา้ งานไมไ่ ดห้ ยดุ เลย
วนั นีฉันเบลอ๙เบลอ
ทา่ เดนิ ของนางแบบวัยรุ่นดูเก๙เก๋

๕.๑.๓ การสรา้ งค้าซา้
การสร้างค้าซ้า (เรืองเดช ปันเขื่อนขัตยิ ์, ๒๕๕๒ : ๑๗๕ – ๑๗๘; สุนันท์ อัญชลีนุกูล, ๒๕๕๖ : ๒๔ –
๓๒) กล่าวไว้ว่า ลักษณะของค้าซ้า การซ้าค้าเป็นวิธีการสร้างค้าวิธีหน่ึง โดยเอาค้าหลักหรือค้าตังมาซ้ากัน ใน
ภาษาไทยถ้าอาศัยลักษณะของค้าซ้ามีลักษณะการซ้าอยู่ ๔ ลักษณะ คือ ๑) การซ้าพยางค์ ๒) การซ้าค้า ๓)
การซ้าบางส่วนของค้า และ ๔) การซ้าหนว่ ยเสียง ส่วนจ้านวนพยางคข์ องคา้ ซ้า โดยท่ัวไปจะมตี ังแต่ ๒ พยางค์
ถงึ ๔ พยางค์ (แตไ่ มเ่ กนิ ๖ พยางค์) มรี ายละเอียดดงั นี

๑. การซ้าพยางค์
การซ้าพยางค์ ลักษณะของการซ้าพยางค์ ได้แก่ ค้าซ้าที่ซ้ากันตังแต่ ๒ พยางค์ ถึง ๔ พยางค์ท่ีไม่
สามารถหาหน่วยค้าที่เป็นค้าหลักได้ เวลาใช้นิยมพูดร่วมกันไปเสมอ ค้าซ้าประเภทนีจึงไม่จัดเป็นค้าประสม
ประเภทประสมซ้าในภาษาไทยได้ แต่จัดเป็นค้ามูลประเภทซ้าพยางค์ได้ ตัวอย่างเช่น ค้าว่า กุลีกุจอ
มะงุมมะงาหรา โกโรโกโส อลิ งุ ตงุ นงั เป็นต้น
๒. การซ้าค้า
การซ้าค้า ได้แก่ ค้าซ้าท่ีสามารถหาหน่วยค้าที่เป็นค้าหลักได้ จึงเรียกค้าซ้าประเภทนีว่าเปน็ ค้าซ้า

แท้ มีอยู่ทังหมด ๓ ประเภท ตามจ้านวนพยางค์ ดงั นี

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๑๑๖

๒.๑ ค้าซา้ สองพยางค์ ประกอบด้วยค้าหลกั ประสมคา้ ซ้า มลี ักษณะโครงสรา้ งแบบ ค้าหลัก +

คา้ ซา้ เชน่ แดง ๆ ด้า ๆ ถูก ๆ จริง ๆ แท้ ๆ ดี ๆ ชัด ๆ ค่อย ๆ สูง ๆ ฯลฯ ค้าพยางค์แรกถือเป็นค้าหลัก ส่วน

ค้าที่สองเป็นค้าซ้า รวมเข้าด้วยกันเป็นค้าซ้าสองพยางค์ ค้าซ้าประเภทสองพยางค์ในภาษาไทยมี ๒ ลักษณะ

คอื ๑) คา้ ซ้าสองพยางค์ทไ่ี ม่มีการเปลยี่ นเสียงวรรณยุกต์ค้าหลัก และ ๒) คา้ ซ้าสองพยางค์ที่มีการเปลี่ยนเสียง

วรรณยกุ ต์ค้าหลัก ซ่งึ โดยปกติมักจะเปล่ยี นเสียงวรรณยุกต์จากคา้ หลกั เดมิ เปน็ เสียงวรรณยกุ ต์ตรี (High tone)

ซง่ึ จะมสี ทั ลักษณส์ ูงกวา่ เสียงวรรณยุกต์ตรีโดยปกติ ดงั ตารางภาพค้าซ้าสองพยางคต์ อ่ ไปนี

ค้าซ้า ค้าซ้า ค้าซ้า ค้าซ้า
ไมเ่ ปลี่ยนเสียงวรรณยกุ ต์ เปล่ยี นเสียงวรรณยกุ ต์ ไม่เปลย่ี นเสียงวรรณยกุ ต์ เปลย่ี นเสียงวรรณยกุ ต์

ดี ๆ ดดี ี สวย ๆ ส๊วยสวย

สงู ๆ สู๊งสงู ดา้ ๆ ดา้ ดา้

๒.๒ ค้าซ้าสามพยางค์ ค้าซ้าประเภทสามพยางค์ในภาษาไทย มีลักษณะโครงสร้าง ๓ แบบ

ดังนี ๑) พยางค์แรกเป็นค้าหลักประสมกับค้าอื่นและซ้า (ค้าหลัก + ค้าอ่ืน + ค้าซ้า) รวมเป็นสามพยางค์ เช่น

๒) พยางค์แรกเปน็ ค้าหลัก ส่วนพยางคท์ สี่ องเป็นคา้ ซ้าเสยี งตรแี ละท่ีสามจะเปน็ ค้าซ้า (ค้าหลัก + คา้ ซา้ เสยี งตรี

+ ค้าซ้า) ๓) พยางค์แรกเปน็ ค้าหลัก สว่ นพยางค์ท่สี องและท่ีสามเป็นค้าซ้า (ค้าหลัก + ค้าซ้าเสียงตรี + ค้าซ้า)

ดงั ตารางภาพค้าซา้ สามพยางค์ต่อไปนี

โครงสรา้ ง ตัวอย่างคา้ สามพยางค์

คา้ หลัก + ค้าอนื่ + คา้ ซ้า ดีไมด่ ี ไดไ้ มไ่ ด้ พอไม่พอ ใครตอ่ ใคร

ค้าหลกั + คา้ ซ้า + คา้ ซา้ ดดี ดี ี ถูกถู๊กถูก จนจ๊นจน รวยร๊วยรวย

คา้ หลัก + คา้ ซา้ + คา้ ซา้ ดดี ดี ี เอาเอาเอา แรงแรงแรง ไดไ้ ด้ได้

๒.๓ ค้าซ้าส่ีพยางค์ ได้แก่ ค้าซ้าสี่พยางค์ที่มีสองพยางค์ใด พยางค์หน่ึงซ้ากัน ส่วนอีกสอง
พยางค์ท่ีเหลือจะไม่มีการซ้ากัน ลักษณะของค้าซ้าประเภทสี่พยางค์สามารถแยกค้าหลักออกได้ จึงจัดเป็นค้า
ประสมซ้า แต่ในกรณีท่ีไม่สามารถแยกค้าหลักออกได้จะจัดเป็นค่ามูลประเภทค้าพยางค์ ค้าซ้าสี่พยางค์ แบ่ง
ตามโครงสรา้ งและลักษณะการซา้ ไดเ้ ปน็ ๔ แบบ ดงั นี

๑) ก ข ก ข เช่น ประหยัด ๆ ทุกวัน ๆ ประจา้ ๆ เสมอ ๆ เปน็ ต้น
๒) ก ข ก ค เช่น เข้าด้ายเข้าเข็ม สะดวกสบาย ตกอกตกใจ ชัดถ้อยชัดค้า อ่อนอกอ่อน
ใจ อดข้าวอดน้า น้าหูนา้ ตา หน้าสิ่วหน้าขวาน กินทิงกินขวา้ ง มากหมอมากความ ขยบิ หูขยิบตา ปากหอยปาก
ปู ผดิ ฝาผดิ ตวั กนิ ลา้ งกินผลาญ กนิ ดอี ย่ดู ี เป็นตน้
๓) ก ก ข ข เช่น เก้ ๆ กงั ๆ สูง ๆ ต้่า ๆ เขียว ๆ แดง ๆ ลุม่ ๆ ดอน ๆ เป็นต้น
๔) ก ข ค ข เช่น เข้าใครออกใคร ลูกใครหลานใคร กงเกวียนก้าเกวียน คิดใหม่ท้าใหม่
คดิ ดพี ูดดี เป็นตน้

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๑๗

หมายเหตุ
คา้ อธบิ ายสญั ลกั ษณ์ที่ใช้ในโครงสร้างการซ้าคา้ ดังนี ก หมายถงึ คา้ หลัก ข หมายถึง ค้าอืน่ ค หมายถงึ

ค้าซ้า
๓) การซ้าบางส่วนของค้า คือ ค้าสองพยางค์ท่ีมีลักษณะการซ้าบางส่วนของพยางค์ ได้แก่ (๑)

พยัญชนะท้ายซ้ากัน ส่วนสระจะซ้าหรือไม่ก็ได้ (๒) พยัญชนะต้นของค้าแรกซ้ากับพยางค์ท้ายของค้าหลัง ส่วน
สระและวรรณยุกตจ์ ะซา้ หรอื ไมก่ ไ็ ด้ เช่นค้าวา่ ชิงชัง โวยวาย ออ้ นวอน กรดี กรา๊ ด เรอ่ื ยเปอื่ ย อ้อมแอม้ เป็นต้น

๔) การซา้ หนว่ ยเสียง คือ การซ้าเฉพาะพยัญชนะตน้ ของค้าหลักกับค้าหลังเทา่ นัน ส่วนพยัญชนะ
ท้าย (ถ้ามี) จะต่างกัน ส่วนสระจะเหมือนหรือต่างกันก็ได้ เช่นค้าว่า จอแจ หนักหน่วง รบเร้า อู้อี หนักแน่น
เอด็ องึ โผเผ อ้อยอ่งิ เป็นต้น

๕.๑.๔ ประเภทของคา้ ซ้า
ประเภทของค้าซ้า (เรืองเดช ปันเข่ือนขัติย์, ๒๕๕๒ : ๑๗๘) กล่าวไว้ว่า ประเภทของค้าซ้า สามารถ
จัดแบ่งประเภทตามลักษณะของการซ้าเปน็ ๓ ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่

๑. ค้าซ้าแท้ คือ ค้าท่ีมกี ารซ้าตนเองหรือซ้าพยางค์โดยท่ัวไป
๒. ค้าซ้าเทียม คือ ค้าซ้าเฉพาะบางส่วนของพยางค์ทังสระ และพยัญชนะ หรือเฉพาะหน่วยเสียง
พยญั ชนะตน้ คา้ หรือท้ายค้า
๓. ค้าซ้าแท้ผสมค้าซ้าเทียม คือ ค้าท่ีมีทังการซ้าค้าหรือซ้าพยางค์ และซ้าเพียงบางส่วนของ
พยางคใ์ นค้าซ้านนั ๆ ไปพร้อม ๆ กนั ทังสองแบบ (ตาม ๑ และ ๒) ดังตารางภาพประเภทของคา้ ซ้าตอ่ ไปนี

ค้าซา้ แท้ ค้าซ้าเทียม ค้าซา้ แทผ้ สมค้าซ้าเทยี ม

ดดี ี ชงิ ชัง กระโดกกระเดก
ดา้ ดา้ ขงึ ขัง กระปิดกระปอย
ดไี มด่ ี แวววาว กระตุง้ กระติง
เสมอ ๆ ออดแอด กระจดั กระจาย
ดา้ ๆ แดง ๆ เปล่งปล่ัง กระชุ่มกระชวย
ไดไ้ ม่ได้ โฉง่ ฉ่าง กระหืดกระหอบ
ตกอกตกใจ หนกั หน่วง กระหนงุ กระหนงิ
เขา้ อกเข้าใจ อูอ้ ี
เข้าใครออกใคร โผเผ สมา้่ เสมอ
กระออดกระแอด

๕.๑.๕ คา้ ท่มี เี สียงซา้ กันแตไ่ ม่ใชค่ า้ ซา้
ค้าที่มีเสียงซ้ากันแต่ไม่ใช่ค้าซ้า (สถาบันภาษาไทย, ๒๕๕๕ : ๖๙) กล่าวไว้ว่า ค้าท่ีมีรูปซ้าบางค้าแต่
ไมใ่ ช่ค้าซา้ มี ๒ ประเภท ดังนี

๑. ค้าบางค้าดูเหมือนจะมีลักษณะเป็นค้าซ้าเพราะออกเสียงซ้ากนั และใช้รปู ๆ เขียน เช่น ฉอด ๆ
ปาว ๆ หลัก ๆ ยอง ๆ หยก ๆ แต่คา้ เหล่านีไมส่ ามารถน้าค้าเดิม คือ ฉอด ปาว หลัก ยอง หยก มาใชโ้ ดยไมซ่ ้า
โดยปรกติจะต้องใช้ในรูปท่ีออกเสยี งซ้ากนั เท่านัน คา้ เหล่านจี ึงไม่นบั เป็นคา้ ซา้

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๑๑๘

๒. ค้าที่ออกเสยี งซ้ากันและเขยี นซา้ กันโดยไม่ใช้ไมย้ มก เช่น จะจะ ซ่ึงมีความหมายว่า “ใหช้ ัดเจน
กระจา่ ง” เชน่ ในข้อความว่า “เหน็ อย่จู ะจะแล้วว่า อะไรเป็นอะไร ไมต่ อ้ งพดู กันใหม้ ากเรอ่ื ง” กรณีเชน่ นี คา้ ว่า
จะจะ ไม่ใชค่ ้าซา้ นอกจากนีค้าต่างประเทศอื่น ๆ ท่ีเขียนซา้ กนั โดยไม่ใช้ไม้ยมก เชน่ นานา หรือช่ือเฉพาะท่ีมา
จากภาษาจีน เชน่ หวีอันอนั อ๋ิงอิ๋ง เชาเชา ชิงชิง เป็นตน้ กไ็ ม่นับวา่ เป็นคา้ ซา้

๕.๑.๖ ชนดิ ของค้าซ้า

ชนิดของค้าซ้า (สถาบันภาษาไทย, ๒๕๕๕ : ๖๒ – ๖๙; สุนันท์ อัญชลีนุกูล, ๒๕๕๖ : ๒๔ – ๓๒;

สธุ ิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์, ๒๕๔๓ : ๑๑๗) กล่าวไว้ว่า ชนิดของคา้ และลักษณะความหมายของค้าซ้า มี ๑๒ ประเภท

ไดแ้ ก่ คา้ นาม ค้าสรรพนาม คา้ ลักษณนาม ค้ากริยา ค้าชว่ ยกรยิ า คา้ บุพบท ค้าวิเศษณ์ ค้าบอกจ้านวน ค้าบอก

ลา้ ดบั ค้าหน้าจ้านวน ค้าหลังจา้ นวน และค้าบอกก้าหนดไมช่ ีเฉพาะ

คา้ ที่ซ้าแล้วจะมีความหมายต่างไปจากค้าเดิม ได้แก่ เปน็ พหูพจน์ ไม่เฉพาะเจาะจง เน้นว่ามีเฉพาะส่ิง

นัน ท้าซ้า ๆ คล้าย ๆ อย่างนัน แยกพวก น้าหนักอ่อนลง น้าหนักเพ่ิมขึนและเปล่ียนไปหรือเป็นส้านวนท่ีมี

ความหมายเฉพาะ ในหลายกรณี ความหมายของค้าซ้าจะขึนกับปริบท เชน่ ค้าซา้ ค้าเดียวกนั ในปริบทหนึง่ อาจ

มีความหมายเป็นพหูพจน์ แต่ในอีกปริบทหนึ่ง อาจมีความหมายเป็นลักษณะกลาง ๆ เป็นท้านองนันก็ได้ ดัง

รายละเอยี ดต่อไปนี

๑. ค้านาม ท่ีน้ามาซ้ามักเป็นค้านามที่บอกเครือญาติ เช่น พ่ี น้อง ลูก หลาน ลุง ป้า ฯลฯ และ

ค้านามทั่วไปบางคา้ เชน่ หนุม่ สาว เพือ่ น แป้ง เนอื น้า ค้านามทซ่ี ้าแลว้ จะมีความหมาย ดงั ต่อไปนี

๑.๑ มคี วามหมายเป็นพหูพจน์ เช่น

พ่ี ๆ ฉนั อยตู่ ่างจังหวดั เพือ่ น ๆ รนุ่ เดียวกบั ฉันท้างานสว่ นตัวทังนัน

คณุ ยายอยู่กบั หลาน ๆ สาว ๆ แต่งตัวกนั เสรจ็ หรือยงั

๑.๒ มคี วามหมายคลา้ ยอย่างนัน มีลกั ษณะท้านองนนั เชน่

อายุมากแลว้ ยงั แต่งตัวเหมือนสาว ๆ ลกู ชินนีเป็นแปง้ ๆ ไม่อรอ่ ย

ผา้ ผนื นีดเู ปน็ ไหม ๆ แต่ก็ไมใ่ ชไ่ หม แกงนีนา่ จะเสีย นา้ แกงเป็นยาง ๆ แลว้

ดารากลมุ่ นมี ีแต่เด็ก ๆ

๑.๓ มีความหมายเนน้ เช่น

แม่ครวั ใชห้ มูเนือ ๆ ท้าอาหาร ตกั ข้าวตม้ ใหฉ้ ันเอาแต่นา ๆ นะ

อาหารบา้ นนมี ีแต่ผกั ๆ ทงั นัน

๒. ค้าสรรพนาม ค้าสรรพนามทซี่ า้ แลว้ จะมคี วามหมาย ดงั ตอ่ ไปนี

๒.๑ มีความหมายเปน็ พหูพจน์ เช่น

บริกรมาแล้ว คุณ ๆ จะกินอะไรกนั จะ หนู ๆ ทงั หลายน่ังใหเ้ ปน็ ระเบยี บหน่อย

เรา ๆ คนกนั เองไมต่ ้องมีพิธรี ีตองมากมาย

๒.๒ มีความหมายไม่เฉพาะเจาะจง เชน่

ขา่ วนีออกโดง่ ดงั ใคร ๆ ก็รู้ ท่ีไปท้าเสียชื่อนัน่ นะ เรา ๆ ท่าน ๆ ทงั นัน

อะไร ๆ ฉันก็กินได้ทงั นนั แต่อย่าให้เผด็ ก็แล้วกัน

ไปเท่ยี วไหน ๆ แล้วกต็ ้องกลับมาซือของทกี่ รุงเทพฯ

๓. ค้าลักษณนาม ค้าลักษณนามส่วนมากจะซ้าได้ และมักมีค้าว่า “เป็น” อยู่ด้วย เม่ือซ้าแล้ว มี

ความหมายดงั ตอ่ ไปนี

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๑๙

๓.๑ มคี วามหมายเป็นพหพู จน์ เชน่

ช้างมากันเป็นโขลง ๆ คนสมัยก่อนเก็บทองเป็นท่ีหีบ ๆ

คนมาเทีย่ วงานเปน็ กลมุ่ ๆ คุณหญิงบ้านนนั มีเสือผา้ เป็นตู้ ๆ

ช้างกินกลว้ ยเป็นหวี ๆ เด็กดม่ื นมเป็นกล่อง ๆ

๓.๒ มคี วามหมายว่าแยกท่ีละสว่ นและเป็นพหพู จน์ เช่น

แมค่ รวั น่ันเนอื เปน็ ชิน ๆ ตา้ รวจสอบสวนเปน็ คดี ๆ ไป

บรษิ ทั จ่ายค่าจา้ งคนงานเปน็ วัน ๆ กินขนมใหห้ มดเปน็ จาน ๆ ไปแลว้ คอ่ ยไปตักใหม่

๔. คา้ กริยา ค้ากรยิ าทุกชนดิ มักน้ามาซา้ ได้ เมื่อซ้าคา้ กริยานันแล้วท้าใหม้ คี วามหมาย ดังนี

๔.๑ มีความหมายวา่ หลายครงั และต่อเนื่อง เช่น

ฉนั เดิน ๆ อยู่ เขาก็วิ่งเข้ามาหา เขาได้แต่พดู ๆ แล้วไมเ่ ห็นท้า

เรือ่ งนฟี ัง ๆ ดูกน็ ่าสนใจดี

๔.๒ มคี วามหมายวา่ หลายครัง เช่น

เตอื น ๆ เขาหน่อย เขาชกั จะเกเรขึน เขียน ๆ ไปเดยี๋ วก็เกง่ เอง

หนังสือนะทอ่ ง ๆ เข้าจะได้สอบได้

๔.๓ เน้นความหมายของกรยิ านัน เชน่

กนิ ๆ เข้าไปอย่าเรื่องมาก เร็ว ๆ เข้าเดยี๋ วไปไม่ทนั

ฉนั อยากใหเ้ ขาไป ๆ เสียใหพ้ ้น

๔.๔ มีความหมายเบาลง เช่น

คุณแม่ยังโกรธ ๆ เขาอยู่ คนไข้ยังเพลยี ๆ ไม่คอ่ ยมแี รง

เขาชักเคอื ง ๆ เพื่อนอยู่ไมน่ ้อย คนชอบ ๆ กัน ไม่น่ามาโกงกันได้

ใส่ ๆ เข้าเถอะ เสือตวั ไหนก็ดูดีทงั นนั แหละ

๕. ค้าชว่ ยกริยา ค้าช่วยกริยาท่นี ้ามาซา้ ได้ เช่น เกือบ จวน คล้าย ชกั ค้าช่วยกริยา เม่ือซ้าแล้วท้า

ใหม้ ีความหมายเบาลง เชน่

เด็กคนนีเกอื บ ๆ จมน้าตาย ลกู ชายของเขาจวน ๆ จะจบปรญิ ญาโทแลว้

ฉันรสู้ ึกคลา้ ย ๆ จะเปน็ ไข้ เพง่ิ หายไข้ ค่อย ๆ เดิน อย่ารีบรอ้ น

๖. ค้าบุพบท ค้าบุพบทท่ีน้ามาซ้าได้มักเป็นค้าบุพบทบอกสถานท่ี เช่น ริม แถว ข้าง ใกล้ ฯลฯ

เม่ือซา้ แลว้ มักจะมีความหมายไมเ่ ฉพาะเจาะจง ไม่ก้าหนดบรเิ วณแนช่ ัด เช่น

อ่ซู อ่ มรถอยู่ขา้ ง ๆ วัด เขาไปซือหนังสือแถว ๆ ศนู ย์การคา้ ทเ่ี ปิดใหม่

รัฐบาลมีนโยบายให้นักเรียนเรียนโรงเรยี นใกล้ ๆ บ้าน

เราไปยนื ดูกระทงตรงกลาง ๆ สะพานพระราม ๘

๗. ค้าวเิ ศษณ์ ค้าวิเศษณ์ท่นี ้ามาซา้ ได้ เชน่ ค้าวา่ เสมอ บ่อย ช้า เช้า สาย เม่อื ซ้าแลว้ มีความหมาย

ดงั ตอ่ ไปนี

๗.๑ มีความหมายบอกความเนน้ หรือท้าซา้ เกิดซ้า เชน่

เขาออกก้าลงั กายเสมอ ๆ จงึ แข็งแรง เคียวอาหารชา้ ๆ อาหารจะได้ย่อยงา่ ย

เด็กคนนปี ว่ ยบ่อย ๆ เพราะไมค่ ่อยออกก้าลงั กาย

๗.๒ มีความหมายไมเ่ ฉพาะเจาะจง หรือไม่ก้าหนดแน่ชดั ลงไป เช่น

เขานัดให้ฉันไปหาเช้า ๆ ตอนสาย ๆ รถจะติดมากกว่าตอนเชา้

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๒๐

๘. ค้าบอกจ้านวน ค้าบอกจ้านวนที่น้ามาซ้าได้มักเปน็ ตัวเลขจ้านวนหลัก เช่น สิบ ร้อย พัน หม่ืน

แสน ลา้ น และมกั จะใช้กบั คา้ ว่า “เป็น” เมื่อซา้ แล้วมกั จะมคี วามหมายเปน็ พหูพจน์ เชน่

รถยนตย์ ่ีหอ้ นรี าคาเปน็ ลา้ น ๆ คนมาเชียรฟ์ ตุ บอลกนั เป็นพนั ๆ คน

ในห้างสรรพสนิ ค้ามขี องลดราคาเป็นร้อย ๆ ประเภท

๙. ค้าบอกล้าดบั ค้าบอกล้าดับท่ีท่ีน้ามาซ้า เช่นค้าว่า แรก หลัง ท้าย เมื่อซ้าแล้วมีความหมายไม่

เจาะจง เชน่

ฉันชอบน่ังแถวหน้า ๆ ลกู ชายเขาสอบไดท้ ี่ท้าย ๆ เป็นประจ้า

วันแรก ๆ ก็ขยันดี วันหลัง ๆ ชกั ขเี กียจ

เขาไมส่ บาย เดือนหลงั ๆ นอี าการทรดุ ลงมาก

๑๐. คา้ หน้าจ้านวน ค้าหน้าจา้ นวนทีน่ ้ามาซา้ ได้ เชน่ คา้ ว่า ราว เกือบ เม่ือซา้ แลว้ มีความหมายไม่

ก้าหนดแนน่ อน มกั ใชเ้ มือ่ ผูพ้ ูดไมแ่ น่ใจ เชน่

เขากลบั ถึงบา้ นราว ๆ ๓ ทุ่ม น้องชายของเขาสูงเกือบ ๆ ๖ ฟตุ

๑๑. ค้าหลังจ้านวน ค้าหลังจ้านวนที่น้ามาซ้าได้ เช่น เต็ม พอดี พูน ถ้วน กว่า เศษ มีความหมาย

ดงั ตอ่ ไปนี

๑๑.๑ มีความหมายเน้น เช่น

เขาปว่ ยอยู่ ๒ อาทติ ย์เตม็ ๆ แมจ่ ่ายเงนิ ไป ๕๐,๐๐๐ บาทถว้ น ๆ

หอ้ งนีจุคนได้ ๑๐๐ คนพอดี ๆ เขากินข้าวไป ๓ ชามพนู ๆ

๑๑.๒ มคี วามหมายไมเ่ ฉพาะเจาะจง เชน่

เขาขับรถไป ๒ ชั่วโมงกว่า ๆ แม่ครัวจ่ายเงินค่ากับข้าว ๕๐๐ บาทเศษ ๆ

๑๒. คา้ บอกก้าหนดไม่ชีเฉพาะ ค้าบอกก้าหนดไมช่ เี ฉพาะทน่ี ้ามาซ้าได้ เช่นค้าว่า ไหน เมอ่ื ซ้าแล้ว

มี ความหมายเป็นพหพู จน์ เชน่

ละครเรอ่ื งไหน ๆ ฉันก็ดูไดท้ ังนัน ปากกาด้ามไหน ๆ กเ็ ขียนไม่ล่นื เท่าดา้ มนี

คา้ ซา้ ทก่ี ล่าวมาแลว้ นีเป็นคา้ ซ้าประเภททีอ่ อกเสียงคงเดิม ไมม่ กี ารเปล่ยี นแปลงเสียงของหน่วยค้าหน้า

คา้ ซา้ ประเภทนมี กั เรยี กวา่ คา้ ซ้าประเภทคงรปู

๕.๑.๗ การเปลย่ี นความหมายของค้าซา้
การเปลี่ยนความหมายของคา้ ซา้ (สุนันท์ อัญชลีนกุ ูล, ๒๕๕๖ : ๒๔ – ๓๒; สถาบันภาษาไทย, ๒๕๕๕
: ๖๙) กล่าวไว้ว่า ความหมายของค้าซ้าท่ีเกิดจากการน้าค้าที่มีรูปเดียวกันมาซ้ากัน อาจท้าให้เกิดความหมาย
ต่าง ๆ กัน ดังมรี ายละเอยี ดตอ่ ไปนี

๑. การซา้ คา้ แสดงความหมายทางไวยากรณเ์ ป็นพหพู จน์
ค้าซ้าที่มีความหมายเป็นพหูพจน์ในภาษาไทยมักปรากฏกับค้านามท่ีเกี่ยวกับเครือญาติบางค้า
เช่น ลูก ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ เป็นต้น ไม่ได้ปรากฏกับค้านามโดยท่ัวไป เช่นไม่ใช้ว่า รถ ๆ แก้ว ๆ เป็นต้น ค้าซ้าท่ีมี
ความหมายเปน็ พหูพจน์นีเมื่อเป็นคา้ เดยี่ วอาจมีความหมายเป็นเอกพจน์หรอื พหูพจน์ก็ได้ แต่เม่ือปรากฏเป็นค้า
ซ้าจะมีความหมายเปน็ พหพู จนเ์ ทา่ นนั
๒. การซา้ ค้าเพือ่ เพมิ่ นา้ หนกั ของความหมายของคา้
การลงน้าหนักเสยี งท่พี ยางคแ์ รกของค้าซ้าและออกเสียงเน้นให้เป็นเสียงวรรณยุกตต์ รีเป็นการเพิ่ม
นา้ หนกั ของค้าซา้ ใหม้ ีความหมายเน้นมากขึน ตัวอยา่ ง

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๒๑

หนงั สือเลม่ หนา ๆ (อ่านวา่ หนา-หนา) มีความหนาธรรมดา

หนังสือเล่มหนา ๆ (อ่านวา่ น้า-หนา) เน้นว่ามคี วามหนามากกว่า

๓. การซา้ คา้ เพื่อลดนา้ หนักความหมายของค้าเดิม

การลดน้าหนักเสียงท่ีพยางค์แรกของค้าซ้าและออกเสียงค้าซ้าค้าแรกให้เป็นเสียงเบาและสันลง

เปน็ การลดน้าหนกั ความหมายของค้าเดิมให้มนี า้ หนักน้อยลง ตัวอยา่ ง

สมดุ เล่มบาง ๆ (อา่ นว่า บาง-บาง) มคี วามบางธรรมดา

สมดุ เล่มบาง ๆ (อา่ นวา่ บงั -บาง) เนน้ ว่ามคี วามบางมากกวา่

๔. การซ้าค้าเพอ่ื แยกความหมายเปน็ ส่วน ๆ

การซา้ ค้า บางครังท้าให้เกดิ ความหมายแยกสว่ น ตัวอย่าง

ครูตรวจข้อสอบเป็นขอ้ ๆ หมายถึง ตรวจขอ้ สอบทีละข้อ

แม่ครวั ทอดปลาเปน็ ตวั ๆ หมายถงึ ทอดปลาทลี ะตัว

ความหมายของค้าซ้าลักษณะนีบางครังอาจเกิดความก้ากวมได้ จึงต้องพิจารณาจากปริบทด้วย เช่น

แมวกินปลาเป็นตวั ๆ อาจหมายถงึ กินปลาทังตวั หรอื กนิ ปลาทีละตัว

๕. การซา้ คา้ อาจทา้ ใหเ้ กิดความหมายไม่จ้ากดั แนน่ อน

เขาชอบนัง่ แถวกลาง ๆ อาจหมายถงึ บริเวณใดบรเิ วณหนึง่ ของสถานท่ี

เธอนั่งอยู่รมิ ๆ สระ อาจหมายถึง บริเวณใดบรเิ วณหนึ่งของสระนา้

๖. การซา้ คา้ เป็นสา้ นวน

การซ้าค้าในภาษาไทยบางครังเกิดเปน็ ส้านวนที่ใช้ในความหมายไมต่ รงตามตัวอักษร ซึ่งมีทังชนิด

สา้ นวนทม่ี สี องพยางค์หรือส่ีพยางค์ ตัวอยา่ ง

กล้วย ๆ และ หมู หมายถึง ไม่ยาก

งู ๆ ปลา ๆ หมายถงึ รู้ไม่มาก

ผลุบ ๆ โผล่ ๆ หมายถงึ ทา้ บา้ งไมท่ ้าบ้าง

๗. คา้ ซา้ ทเี่ ปลย่ี นความหมาย

เมื่อพิจารณาค้าที่ปรากฏในภาษาไทยแล้วจะพบว่า ค้าท่ีมีรูปซ้าบางค้า ความหมายต่างไปจากค้า

ท่ีไมซ่ ้า ดังนี

เขาทา้ งานวิจัยมาตังนาน แล้วกลับเลกิ ท้าเอาดือ ๆ

ไป ๆ มา ๆ เขาก็มาคา้ ขายอยทู่ ี่บา้ นเดิม

เรอ่ื งกล้วย ๆ แคน่ เี ขากท็ ้าให้เป็นเร่อื งยากไปได้

เขามีความรู้ภาษาอังกฤษแบบงู ๆ ปลา ๆ

ไหน ๆ กม็ าแลว้ อยชู่ ่วยงานเขาสกั สองวนั เถอะ

อยู่ดี ๆ เขาก็เป็นลมไป

เขารอ้ งเพลงอยู่แลว้ ก็หยุดไปเฉย ๆ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๑๒๒

๕.๒ คาซ้อน
๕.๒.๑ ความหมายของคา้ ซ้อน
สถาบันภาษาไทย (๒๕๕๕ : ๕๗) กล่าวไว้ว่า ค้าซ้อน หมายถึง ค้าท่ีเกิดจากการน้าค้าตังแต่ ๒ ค้าขึน

ไปมาเรียงต่อกัน โดยแต่ละค้านัน มีความสัมพันธ์กันในด้านความหมาย อาจเป็นความหมายเหมือนกัน
คลา้ ยกนั ทา้ นองเดยี วกันหรือตรงกนั ขา้ มก็ได้

สมาคมครูภาษาไทยแห่งประเทศไทย (๒๕๕๘ : ๘๐) กลา่ วไว้วา่ คา้ ซ้อน หมายถงึ คา้ ท่ีเกิดจากการน้า
ค้าตังแต่ ๒ คา้ ขึนไปมาเรียงตอ่ กนั โดยแต่ละค้านนั อาจมีความหมายเหมอื นกนั คล้ายกัน ท้านองเดยี วกนั หรือ
ตรงกันขา้ มกไ็ ด้

เรืองเดช ปันเขื่อนขัติย์ (๒๕๕๒ : ๑๗๙) กล่าวไว้ว่า คา้ ซ้อน (Meaning compound words) เป็นค้า
ประสมประเภทหนึ่ง แต่ถูกเรียกว่า ค้าซ้อน เพราะเอาค้าที่มีความหมายเหมือนกัน ใกล้เคียงกัน หรือมี
ความหมายเดยี วกนั แตใ่ ช้ในทอ้ งถิ่นตา่ งกัน บางครังตา่ งภาษากนั กม็ ีเอามาประสมกนั เปน็ ค้าซ้อน

สนุ ันท์ อัญชลนี ุกูล (๒๕๕๖ : ๓๓) กล่าวไว้ว่า ค้าซ้อนเป็นชื่อเรียกค้าประเภทหนึ่งท่ีเกดิ จากการน้าค้า
๒ ค้า มาซ้อนกัน ค้าที่น้ามาซ้อนกันเพื่อให้เกิดเป็นค้าซ้อนนันแต่เดิมมักใช้ค้าท่ีมีความหมายเหมือนกัน หรือ
คล้ายคลึงกนั โดยท่ีค้าทังสองอาจมที ใ่ี ช้ในภาษาถ่นิ คนละถ่นิ หรือใช้ต่างกาลเวลากนั มาซ้อนกัน

วิเชียร เกษประทุม (๒๕๕๘ : ๕๘) กล่าวไว้ว่า ค้าซ้อน คือการน้าค้าท่ีมีความหมายเหมือนกัน
คลา้ ยกนั หรือตรงกนั ข้าม ซ่ึงเปน็ คา้ ประเภทเดียวกนั มาซอ้ นเขา้ คกู่ นั เพอ่ื ใหค้ วามหมายชัดเจนย่ิงขนึ

สรุปความได้ว่า ค้าซ้อน คือการน้าค้าสองค้าท่ีมีความหมายเหมือนกัน คล้ายคลึงกัน หรือตรงข้ามกัน
และการน้าค้าสองพยางค์ ส่ีพยางค์ หรือหกพยางคท์ ม่ี ีเสยี งคลอ้ งจ้องกนั มาซ้อนกนั

๕.๒.๒ จดุ ประสงค์ของคา้ ซ้อน
จุดประสงค์ของค้าซ้อน (สถาบันภาษาไทย, ๒๕๕๕ : ๕๗; สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์, ๒๕๔๓ : ๑๒๓ –
๑๒๖) กล่าวไว้ว่า จุดประสงค์ของการซ้อนค้าเพ่ือให้ส่ือความหมายได้ชัดเจน บางครังค้าหนึ่งช่วยอธิบาย
ความหมายของค้าอกี ค้าหนึง่ ให้เข้าใจยงิ่ ขึน โดยเฉพาะเม่ือไทยยืมคา้ ภาษาต่างประเทศหรือภาษาถ่ินมาใช้ กน็ ้า
ค้าไทยมาใช้เข้าคู่กันเพื่อบอกความหมายของค้าต่างประเทศนัน ค้าท่ีซ้อนเพ่ืออธิบายความอาจอยู่ส่วนหน่ึง
หรือส่วนหลังของค้าซ้อนก็ได้ และยังช่วยแก้ไขความก้ากวมของค้าพ้องหรือแยกความหมายของค้าให้ชัดเจน
ยิง่ ขนึ ด้วย ดงั นี

๑. แยกค้าที่มีเสียงพ้องกัน เพ่อื ให้ความหมายของค้าชดั เจนขึน เช่น รบราฆ่าฟัน ราคาค่างวด เป็น
ตน้

๒. เพ่ือเสริมความหมาย ให้มีความหมายเฉพาะเจาะจงชัดเจนขึน เช่น เล็กน้อย นุ่มนิ่ม อ่อนโยน
ออ่ นนอ้ ม ขัดขวาง ขดั ขืน ขดั ขอ้ ง เปน็ ต้น

๓. เพื่ออธิบายความหมายหรือแปลความหมายของค้าในภาษาถิ่นหรือภาษาต่างประเทศ เช่น
พัดวี เส่ือสาด ภูตผี ทรัพย์สิน แสวงหา ทรัพย์สมบัติ โจรผู้ร้าย ศึกสงคราม เล่ห์กล ทรวงอก ดูแล ง่วงเหงา
แปดเปื้อน เปน็ ตน้

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๑๒๓

๕.๒.๓ การสรา้ งคา้ ซ้อน
การสร้างค้าซ้อน (สถาบันภาษาไทย, ๒๕๕๕ : ๕๘ – ๕๙; เรืองเดช ปันเขื่อนขัติย์, ๒๕๕๒ : ๑๗๙;
สนุ ันท์ อญั ชลีนุกลู , ๒๕๕๖ : ๒๔ – ๓๒; วิเชยี ร เกษประทมุ , ๒๕๕๘ : ๕๘ – ๖๐) กลา่ วไว้วา่ การสรา้ งค้าซอ้ น
สามารถแบง่ เป็น ๒ ประเภท ไดแ้ ก่ ค้าซ้อนเพ่ือความหมาย และคา้ ซ้อนเพื่อเสียง ดงั นี

๑. คา้ ซ้อนเพ่ือความหมาย เกดิ จากการนา้ ค้า ๒ คา้ ท่ีมีความหมายเหมือนกัน ใกล้เคียงกัน ทา้ นอง
เดียวกนั หรือตรงข้ามกันมาซ้อนกนั คา้ ทน่ี า้ มาซอ้ นกนั มีความหมายประเภทใดประเภทหนง่ึ ดังตอ่ ไปนี

๑.๑ ความหมายเหมือนกัน หมายถงึ ค้าท่นี ้ามาซอ้ นกนั นันหมายถงึ ส่ิงเดียวกนั หรอื เป็นอย่าง
เช่น เรว็ ไว ทรพั ย์สนิ ใหญโ่ ต สูญหาย ดูแล หยาบชา้ นุ่มน่มิ เลอื กสรร บอกกลา่ ว ขบั รอ้ ง เป็นตน้

๑.๒ ความหมายคล้ายกัน หมายถึง ค้าท่ีน้ามาซ้อนกันนันมีความหมายใกล้เคียงกันหรือ
เป็นไปใน ท้านองเดียวกัน พอที่จะจัดเข้าในกลุ่มเดียวกันได้ เช่น อ่อนนุ่ม เล็กน้อย ยักษ์มาร ใจคอ ศีลธรรม
เขตแดน ไร่นา ภาษีอากร ถ้วยโถโอชาม เย็บปักถักร้อย หน้าตา แข้งขา เปลี่ยนแปลง รีบเร่ง ถูกต้อง เจ็บปวด
รูปรา่ ง โครงรา่ ง กลับคนื เป็นต้น

๑.๓ ความหมายตรงกันข้าม หมายถงึ คา้ ที่น้ามาซอ้ นกนั นันมีความหมายเปน็ คนละลักษณะ
หรอื คนละฝ่ายกัน เชน่ ใกล้ไกล สูงตา่้ ดา้ ขาว ผดิ ถูก ชวั่ ดี ตดั เป็นตัดตาย ตืนลกึ หนาบาง เหตุผล ทีหน้าทหี ลัง

๒. ค้าซ้อนเพื่อเสียง เกิดจากการน้าค้าพยางค์เดียวหรือ ค้าหลายพยางค์ที่มีเสียงพยัญชนะต้น
เหมือนกันและเสียงพยัญชนะตัวสะกดอาจเหมือนกันหรือต่างกัน แต่ประสมด้วยเสียงสระต่างกันซ้อนกัน
ความหมายของคา้ ซ้อนชนิดนี อาจอยู่ท่ีพยางค์ใดพยางค์หนง่ึ หรืออย่ทู ่ีทุกพยางค์รวมกัน ค้าซอ้ นเพื่อเสียงมักมี
จ้านวนพยางคเ์ ปน็ จา้ นวนคู่ เชน่ สองพยางค์ ส่ีพยางค์ หกพยางค์ เปน็ ตน้ ดงั รายละเอียดต่อไปนี

๒.๑ ค้าซ้อน ๒ คา้ หมายถงึ ค้าซ้อนท่ปี ระกอบดว้ ยค้า ๒ คา้ เช่น ช้างม้า บ้านเมอื ง คุก
ตะราง วัวควาย กู้ยืม ภาษีอากร ปากคอ ฝนฟ้า ประเทศชาติ ดุกดิก จุกจิก โอนเอน งอแง งัวเงีย จริงจัง
เก้งก้าง แกรกกราก รุงรัง ซุ่มซ่าม โยงยาง ปกป้อง ออดอ้อน หมองหมาง ตกแต่ง ซุกซน ทักท้วง จัดจ้าน
รอนแรม โชกโชน ยอกย้อน ทาบทาม เปน็ ตน้

๒.๒ ค้าซอ้ น ๔ ค้า หมายถึง คา้ ซอ้ นท่ีประกอบด้วยค้า ๔ คา้ อาจมบี างค้าที่มมี ากกวา่ ๑
พยางค์ก็ได้ เชน่

๑) ค้าซ้อน ๔ ค้าเรียงกัน เช่น ช้างมา้ วัวควาย กงุ้ หอยปูปลา หมูเห็ดเป็ดไก่ ตีรันฟันแทง
เยบ็ ปักถกั รอ้ ย เสอื สงิ ห์กระทิงแรด ถว้ ยโถโอชาม ตนื ลึกหนาบาง ตับไตไสพ้ งุ

๒) ค้าซ้อนท่ีประกอบด้วยค้า ๔ ค้าที่แยกเป็น ๒ คู่ ซ่ึงมักจะมีเสียงคล้องจองระหว่าง
พยางค์ท่ี ๒ กับ ๓ เช่น ทุกข์โศกโรคภัย ใส่ร้ายป้ายสี โบกปัดพัดวี สอบสวนทวนความ อกไหม้ไส้ขม
รวบรดั ตดั ความ

๒.๓ ค้าซ้อน ๖ ค้า หมายถึง ค้าซ้อนท่ีประกอบด้วยค้า ๖ ค้า โดยท่ีบางค้าอาจมีมากกว่า ๑
พยางคก์ ็ได้ ค้าซ้อน ๖ ค้า จะแบ่งเป็นส่วนละ ๓ ค้า มีเสียงคล้องจองระหว่างส่วนหน้ากับส่วนหลังและมีค้าซ้า
กันอยู่ในส่วนทังสองนนั ด้วย เช่น คดในข้อ งอในกระดูก, เลือกที่รัก มักท่ีชัง, จบั ไม่ได้ ไล่ไม่ทัน, ฆ่าไม่ตาย ขาย
ไมข่ าด ก้าแพงมหี ู ประตมู ีชอ่ ง, อดตาหลบั ขบั ตานอน ขิงก็ราขา่ กแ็ รง ชว่ั ชา่ งชดี ีชา่ งสงฆ์ เปน็ ต้น

๕.๒.๔ ท่ีมาของคา้ ซ้อน
ท่ีมาของค้าซ้อน (สถาบันภาษาไทย, ๒๕๕๕ : ๖๐ – ๖๑; เรืองเดช ปันเข่ือนขัติย์, ๒๕๕๒ : ๑๗๙;
สธุ ิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์, ๒๕๔๓ : ๑๒๓) กล่าวไว้ว่า ค้าท่ีน้ามาซ้อนกันอาจเป็นค้าไทยซ้อนกับค้าไทย ค้าไทยซ้อน
กับค้าตา่ งประเทศ หรอื ค้าตา่ งประเทศซอ้ นกันเอง ดงั นี

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๑๒๔

๑. คา้ ไทยซ้อนกับคา้ ไทย

๑.๑ ค้าไทยกลางซ้อนกับค้าไทยกลาง เช่น กู้ยืม เดอื ดรอ้ น ปากคอ บา้ นเมือง
๑.๒ คา้ ไทยกลางซอ้ นกับคา้ ไทยถนิ่ เชน่ ว่องไว ฝดื เคอื ง เชอื นแช เบียหอย เก็บหอม เสาะหา

เติบโต แตกฉาน อือฉาว ซัดทอด ทักท้วง โต้แย้ง คับแคบ ยืนยัน ขาดแคลน หลอกลวง อบรม อดทนถากถาง

สอดแนม ชักจูง ขัดแย้ง ปกปิด เบียดบัง ลักลอบ กีดกัน ล่วงเกิน ชุกชุม แก้ไขเดือดร้อน ซ่ือตรง

คุ้นเคย หยาบคาย มั่งมี เช่ืองช้า จัดจ้าน สึกหรอ เข็ดหลาบ แก่เฒ่า เก็บง้า ข่มเหง ตัดสิน พัดวี ครูบา ดูแล

เสยี หลาย เก่ยี วขอ้ ง เดยี วดาย อว้ นพี ตัดสนิ เส่ือสาด คอยทา่ แปดเป้ือน บาดแผล แกเ่ ฒ่า

๒. คา้ ไทยซ้อนกับค้าต่างประเทศ
๒.๑ คา้ ไทยซอ้ นกับคา้ ภาษาบาลแี ละสันสกฤต
ไทย + บาลี-สนั สกฤต เชน่ ข้าทาส ศกึ สงคราม แก่นสาร สร้างสรรค์ พืนฐาน

บาลี-สันสกฤต + ไทย เช่น โจรผรู้ า้ ย อามสิ สนิ จา้ ง ภตู ผี จิตใจ เขตแดน รูปร่าง

๒.๒ ค้าภาษาไทยซ้อนกับค้าภาษาเขมร

ไทย + เขมร เชน่ ลา้ งผลาญ เขียวขจี ฝาผนัง ชอ่ื ตรง ฉับไว

เขมร + ไทย เชน่ ทรวงอก แสวงหา ขจัดปัดเป่า

๒.๓ ค้าภาษาไทยซ้อนกบั คา้ ภาษาองั กฤษ

ไทย + อังกฤษ เชน่ พักเบรก แจกฟรี แถมฟรี เลยี วกลบั ยเู ทริ ์น

ภาษอี ากร

๒.๔ คา้ ภาษาไทยซ้อนกับคา้ ภาษามลายู

ไทย + มลายู เชน่ คงกระพนั

๒.๕ ค้าภาษาไทยซ้อนกับคา้ ภาษาจีน

ไทย + จีน เช่น เยน็ เจยี บ

๓. ค้าต่างประเทศซ้อนกนั

๓.๑ ค้าบาลีสันสกฤตซ้อนกัน เช่น ยักษ์มาร ศีลธรรม ประเทศชาติ สบถสาบาน ทุกข์โศก
โรคภยั อทิ ธิฤทธ์ิ ทรัพย์สิน

๓.๒ ค้าเขมรซ้อนกัน เช่น ต้าหนิติเตียน ละเอียดลออ กระจัดกระจาย ขมีขมัน เลอเลิศ สรง

สนาน เฉลมิ ฉลอง
นอกจากนี ยังมกี ารใช้คา้ ปฏิเสธ “ไม”่ กับประโยคทีม่ ีคา้ ซ้อนที่เปน็ กริยา บางค้าสามารถใช้คา้ ปฏิเสธ

ค้าเดยี วหรอื สองค้าก็ได้ เชน่

ไม่เจ็บปวด เป็น ไม่เจบ็ ไมป่ วด

ไมส่ วยงาม เป็น ไม่สวยไม่งาม

ไม่ขัดข้อง เปน็ ไมข่ ดั ไม่ข้อง ฯลฯ

๔. ซ้อนค้าที่มีเสียงใกล้เคียงกัน เพื่อให้ออกเสียงสะดวก ค้าซ้อนพวกนีเกิดขึนตามธรรมชาติของ

การออกเสียง อาจเป็นค้าท่ีไม่มีความหมายเลยก็ได้ แตเ่ ม่ือน้าคา้ ท่ีมีเสียงใกล้กันมาเข้าคู่กันเป็นค้าซอ้ นแล้วท้า

ให้เกิดความหมายขึน ได้แก่ค้าท่ีมีพยัญชนะต้นและตัวสะกดตรงกัน แต่ประสมด้วยสระต่างกัน สระนนั มักเป็น

สระทีใ่ กล้เคียงกัน

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๒๕

ข้อควรสังเกต สระ อุ อู กับ อิ อี เกิดระดบั เดียวกนั เพยี งแตเ่ ปน็ สระหนา้ กบั สระหลงั ดังนนั ถา้ เรา

จะออกเสียงสระหลังแล้วผ่านไปสระหน้าก็จะสะดวกกว่าออกเสียงสระหน้าหรือสระหลังซ้ากัน เช่นแทนท่ีจะ

ออกเสียง จุกจุก หรือ จิกจิก ออกเป็นจุกจิก จะสะดวกกว่า การท้าเสียงให้ต่างกันเช่นนีศัพท์ทางภาษาศาสตร์

เรียกว่า dissimilation อันเป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติของภาษา ที่เรียกว่า การผลักดันของเสียง และค้า

ซ้อนที่เกิดขึนตามหลัก dissimilation นีมีมากค้าในภาษาไทย ดังตารางภาพที่ ๕ ค้าซ้อนที่มีเสียงใกล้เคียงกัน

ต่อไปนี

เสียงสระ ตวั อย่างค้าซ้อน

อุ อู กับ อิ อี นุงนิง สุงสิง หวุดหวิด หงุดหงิด นุ่มน่ิม ดุบดิบ หยุกหยิก ตุกติก กระจุ๋มกระจิ๋ม
กระตงุ้ กระติง จ้จู ี บบู้ ี

โอะ โอ กบั เอะ เอ โลเล โมเม โดกเดก โยกเยก โฉงเฉง โตงเตง โว้เว้ โอเ้ อ้ โกกเกก โผลกเผลก โอนเอน
โพลเ้ พล้

เอาะ ออ กับ แอะ แอ จอแจ งอแง ออ้ แอ้ ทอ้ แท้ มอมแมม วอกแวก อ้อนแอ้น จ๋อแจ๋ ซอกแซก ปอดแปด
ออ้ มแอ้ม วอแว

เออะ เออ กับ อะ อา เซ่อซ่า เทอะทะ เหวอะหวะ เหนอะหนะ เนิบนาบ เอิบอาบ เร่อร่า เหินห่าง เล่อล่า
เยิบยาบ เขยอะขยะ เดอ๋ ด๋า

เอะ เอ กับ อะ อา เกะกะ เขะขะ เปะปะ เกง้ กา้ ง เหะหะ เอะอะ เคว้งคว้าง เปง้ ป้าง
โอะ โอ กับ อะ อา
โฮกฮาก กะโต๊กกะตา๊ ก ระโรงระราง กระโชกกระชาก โฉง่ ฉ่าง โด่งดัง โครกคราก
โครมคราม โกร่งกร่าง โกรกกราก โผงผาง โอ่อา่

สระอื่น ๆ ทไ่ี มใ่ ช่สระ ซซู่ า่ ตูมตาม ตตุ๊ ๊ะ ทึกทกั อึกอกั เอออวย ตึงตัง งวั เงีย ยัวเยยี นัวเนีย ฉุยฉาย ชิชะ
หนา้ กบั สระหลัง เออออ กระจยุ กระจาย อยุ้ อ้าย คกิ คกั ยิบยับ เฉอะแฉะ

บางทีมีการเปลี่ยน แร้นแคน้ เท้งเตง้ เลือยเจือย เบ้อเร้อ ลอมชอม ล่อนจ้อน เพ้อเจ้อ จิมลิม นุงถุง
เสยี งพยญั ชนะต้น โกง้ โคง้ โกโรโกโส จ้อมป้อม อ้อมค้อม เดินเหิน เงียบเชียบ รางชาง ราบคาบ ล้าต้า

กา้ วรา้ ว รอบคอบ ออมชอม อา้ งว้าง ชมรม สิงคลงิ

๕.๒.๕ ตา้ แหน่งของคา้ ท่บี อกความหมายของค้าซ้อน
ตา้ แหน่งของค้าทบ่ี อกความหมายของค้าซอ้ น (สถาบันภาษาไทย, ๒๕๕๕ : ๖๒; สุธิวงศ์ พงศไ์ พบูลย์,
๒๕๔๓ : ๑๒๓; สุนันท์ อัญชลีนุกูล, ๒๕๕๖ : ๔๖; วิเชียร เกษประทุม, ๒๕๕๘ : ๖๑) กล่าวไว้ว่า ค้าซ่ึงมา
รวมกนั เป็นค้าซ้อน อาจมีเพยี งค้าใดค้าหนงึ่ ใชต้ รงกบั ความหมายของค้าซ้อนทังค้า อีกค้าหนึ่งเปน็ เพียงค้าท่ีเข้า
มาประกอบเท่านัน ค้าที่ใช้ในความหมายตรงกับความหมายของค้าซ้อนทังค้า อาจเป็นค้าที่อยู่ส่วนหน้าหรือ
ส่วนหลังของค้าซ้อนก็ได้ ความหมายของค้าซ้อนชนิดต่าง ๆ ทังชนิดค้าซ้อนเพ่ือความหมายและค้าซ้อนเพ่ือ
เสยี ง อาจจะแบง่ เป็น ๒ ลกั ษณะ คอื

๑. ค้าซ้อนที่มีความหมายเหมือนค้าเดิม ค้าซ้อนประเภทนีเป็นค้าซ้อนเพ่ือความหมายโดยตรง

เพราะเกิดจากการน้าค้าท่ีมีความหมายเหมอื นกัน คล้ายคลงึ กัน หรือท้านองเดียวกัน แต่มีท่ีใช้ต่างถ่ินหรือต่าง

เวลากันมาซ้อนกัน อาจเพื่ออนุรักษ์ค้าและบอกความหมายของค้า ท้าให้ผู้อ่านถ่ินนัน ๆ รู้จักค้าและเข้าใจ

ความหมายของค้าอีกถ่ินหนึ่ง เช่นค้าว่า บ้านเรือน เส่ือสาด ทรัพย์สนิ ทองค้า ฉับไว เสาะหา ย่างเดิน เป็นต้น

ค้าในคา้ ซอ้ นเหลา่ นจี ะมีความหมายเหมอื นกนั

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๒๖

๒. ค้าซ้อนท่ีมีความหมายใหม่ มักเป็นค้าซ้อนที่เกิดจากการน้าค้าที่มีความหมายใกล้เคียงกัน

ท้านองเดียวกัน หรือตรงข้ามกันมาซ้อนกัน ท้าใหน้ ้าหนักของความหมายอยู่ที่ค้าใดค้าหนึ่ง มี ๓ ลักษณะ ดังนี

๑) ความหมายของค้าซ้อนอยู่ทค่ี ้าแรก ๒) ความหมายของค้าซอ้ นอย่ทู ี่ค้าหลัง ๓) ความหมายของค้าซ้อนกวา้ ง

ขึน ๔) ความหมายอยู่ที่ค้าตน้ และค้าทา้ ย ๕) ความหมายเฉพาะแตกต่างไปจากเดมิ ดังตารางภาพความหมาย

ของค้าซอ้ นอย่ทู ค่ี า้ แรกต่อไปนี

ค้าซ้อน ตัวอยา่ งข้อความ ความหมายอยูท่ ี่

ใจคอ ใจคอเขาโหดเหียมเหลอื เกนิ ใจ

เขตแดน รัฐบาลกา้ หนดเขตแดนให้ผ้ลู ีภยั อยู่ เขต

หน้าตา เด็กคนนีหน้าตาสวย หนา้

ประเทศชาติ ถ้าคนไม่พฒั นาประเทศชาติจะเจรญิ ได้อย่างไร ประเทศ

ปากคอ ปากคอเราะรา้ ย ปาก

หวั หู หัวหูยงุ่ ทังวนั หัว

ดงั ตารางภาพความหมายของค้าซ้อนอยู่ท่ีคา้ หลงั ต่อไปนี ความหมายอยูท่ ่ี
ตา
ค้าซ้อน ตัวอยา่ งข้อความ ตวั
หตู า หตู าแวววาว ขา
เนือตัว เนอื ตัวเหนยี วหมด แผล
ขาแขง้ ขาแขง้ หมดแรง นา้ ตา
บาดแผล บาดแผลของคนเจบ็ ไม่ได้นกั หนาอะไร จรงิ
น้าหูนา้ ตา พอไดฟ้ งั เรื่องเศรา้ ทไี ร เธอเป็นต้องนาหูนาตาไหล
เท็จจรงิ ขอ้ เทจ็ จริงเปน็ อยา่ งไรไมม่ ใี ครรู้

ดงั ตารางภาพความหมายของคา้ ซอ้ นกวา้ งขนึ ตอ่ ไปนี

คา้ ซ้อน ตัวอยา่ งข้อความ ความหมายกวา้ งขึน

ลูกหลาน ลกู หลานเตม็ บา้ น มีสมาชกิ ในตระกลู เดียวกนั

เสอื ผ้า เสือผ้าหลายแบบ เครอ่ื งนุ่งห่มที่รวมถึงกางเกงกระโปรง

ขา้ วปลา ขา้ วปลามากมาย อาหารหลาย ๆ อย่าง

ดงั ตารางภาพความหมายอยู่ทคี่ า้ ตน้ และค้าทา้ ยตอ่ ไปนี

ค้าซ้อน ความหมายอยทู่ ค่ี ้าต้นและคา้ ทา้ ย

ผลหมากรากไม้ ผล-ไม้

ตกไร้ได้ยาก ตก-ยาก

ติดสอยหอ้ ยตาม ตดิ -ตาม

เคราะหห์ ามยามร้าย เคราะห์-ร้าย

ชอบมาพากล ชอบ-กล

อดตาหลบั ขับตานอน อด-นอน

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๑๒๗

ถ้วยโถโอชาม ถ้วย-ชาม

ดังตารางภาพความหมายเฉพาะแตกต่างไปจากเดิมต่อไปนี

คา้ ซอ้ น ความหมายเฉพาะแตกต่างไปจากเดิม

ตบั ไตไส้พุง อวัยวะในร่างกาย

ไฟไหมไ้ ตล้ น รอ้ นอกร้อนใจ

หมเู ห็ดเปด็ ไก่ อาหารหลายชนดิ

กนิ ข้าวกนิ ปลา กนิ อาหาร

ปยู่ ่าตายาย บรรพบรุ ษุ

ขนมนมเนย อาหารประเภทของหวาน

ขมขื่น ความรู้สกึ เป็นทุกข์

เหลียวแล การเอาใจใส่เปน็ ธุระ

เดอื ดรอ้ น เป็นทกุ ข์กังวลไม่เป็นสุข

เบกิ บาน แจ่มใส

ดดู ดม่ื เอบิ อาบซาบซ่าน

๕.๓ คาประสม
๕.๓.๑ ความหมายของคา้ ประสม
สถาบันภาษาไทย (๒๕๕๕ : ๓๒) กล่าวไว้วา่ ค้าประสม หมายถึง ค้าท่ีเกิดจากการนา้ หน่วยค้าอิสระที่

มคี วามหมายต่างกันอย่างน้อย ๒ หนว่ ยมารวมกัน เกดิ เป็นคา้ ใหม่คา้ หนึ่งมีความหมายใหม่
สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ (๒๕๔๓ : ๑๒๐) กล่าวไวว้ ่า คา้ ประสม คือน้าค้าตังแต่สองคา้ ขึนไป และเปน็ ค้าที่

มีความหมายต่างกันมาประสมกันเป็นค้าใหม่โดยใช้ค้าท่ีมีลักษณะเด่นเป็นค้าหลักหรือเป็นฐานแล้ว ใช้ค้าท่ีมี
ลกั ษณะรองมาขยายไว้ข้างหลัง ค้าทีเ่ กิดขนึ ใหม่มคี วามหมายใหม่ตามเค้าของค้าเดิม (พวกความหมายตรง) แต่
บางทีใช้ค้าท่ีมีน้าหนักความหมายเท่า ๆ กันมาประสมกัน ท้าให้เกิดความพิสดารขึน (พวกความหมาย
อปุ มาอปุ ไมย)

เรืองเดช ปั่นเขื่อนขัติย์ (๒๕๕๒ : ๑๘๑) กล่าวไว้ว่า ค้าประสม (Compound Words) คือ ค้าท่ีมี
พยางค์ตังแต่ สองพยางค์ขึนไป และต้องประกอบด้วยหน่วยค้า ตังแต่สองหน่วยค้าขึนไป ซ่ึงสามารถแยกได้
และเม่ือประสมกันแล้วจะมีความหมายเป็นหนึ่งความหมายเสมอ และเม่ือออกเสียงพูดหรืออ่านค้าประสม
จะต้องพูดต่อเนื่องกัน โดยไม่มีการหยุดจงั หวะของเสียงระหว่างค้าประสมนัน ๆ และโปรดสังเกตด้วยว่าหากมี
การหยดุ จังหวะหรือไม่มกี ารพูดตอ่ เนื่องกันแล้ว จะท้าใหค้ วามหมายเปล่ียนไปและไม่ถอื วา่ ค้านันเป็นค้าประสม
ในภาษาไทย

สุนันท์ อญั ชลีนกุ ลู (๒๕๕๖ : ๔๖) กลา่ วไวว้ า่ คา้ ประสมเกดิ จากการสรา้ งค้าขึนใช้ในภาษาไทย โดยน้า
ค้านาม ค้ากริยา ค้าบุพบท เป็นต้นหรือหน่วยค้าอิสระ ๒ หน่วยขึนไป มาประสมกันและเกิดเป็นค้าใหม่ท่ีมี
ความหมายใหม่ ๑ หน่วยความหมายหรือเกิดส่ิงใหม่อีก ๑ ชนิด โดยอาจมีเคา้ ความหมายเดิมอยู่มากหรอื น้อย
ก็ได้

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๑๒๘

วิเชยี ร เกษประทุม (๒๕๕๘ : ๕๗) กล่าวไว้วา่ คา้ ประสม คือการน้าค้ามูลที่มคี วามหมายตา่ งกนั ตังแต่
๒ ค้าขึนไปมารวมเป็นคา้ เดียวกันแล้วเกิดคา้ ใหม่ มีความหมายใหม่ แต่ยังคงมีเคา้ ความหมายเดิมอยู่ ค้าท่นี า้ มา
ประสมกันนัน อาจเป็นค้าไทยกับค้าไทย หรือค้าไทยกับค้าภาษาต่างประเทศหรือค้าภาษาต่างประเทศกับ
ภาษาตา่ งประเทศกไ็ ด้

สรปุ ความได้ว่า ค้าประสม คือการนา้ ค้าท่ีมีความหมายสองค้ามาประสมกนั เพื่อให้เกิดความหมายใหม่
ซ่งึ ความหมายนันมี ๒ ลักษณะ คือ ความหมายเปรยี บเทียบ และความหมายทอี่ า้ งถงึ

๕.๓.๒ เกณฑท์ ่ีใชแ้ ยกค้าประสมออกจากคา้ ประเภทอื่น กล่มุ ค้า และประโยค
สถาบันภาษาไทย (๒๕๕๕ : ๓๓ – ๓๔) กล่าวไว้ว่า เกณฑ์ที่ใช้แยกค้าประสมออกจากค้าประเภทอ่ืน
กลมุ่ คา้ และประโยค มีดงั นี

๑. ค้าประสมเป็นค้าที่มีความหมายใหม่ ต่างจากความหมายท่ีเป็นผลรวมของหน่วยค้าที่มา
รวมกนั แต่มกั มเี คา้ ความหมายของหนว่ ยค้าเดมิ อยู่ เชน่

ค้าว่า ผ้าขีริว เป็นค้าประสม มีความหมายว่า “ผ้าเก่าขาดท่ีใช้เช็ดถูพืน เป็นต้น” เป็น
ความหมายใหม่ทมี่ เี ค้าความหมายของหน่วยคา้ เดมิ ว่า ผ้า และ ขีรวิ

คา้ วา่ น้าแขง็ เปน็ คา้ ประสม มคี วามหมายว่า “น้าท่แี ขง็ เปน็ ก้อนเพราะถกู ความเยน็ จดั ” เป็น
ความหมายใหม่ท่ีมีเค้าความหมายเดมิ ของหน่วยค้า นา้ และ แขง็

คา้ วา่ หนงั สือพมิ พ์ เป็นค้าประสม มคี วามหมายว่า “ส่งิ พิมพ์ท่ีเสนอข่าวสารและความเหน็ แก่
ประชาชนมักออกเปน็ รายวนั ” เป็นความหมายใหม่ที่มเี คา้ ความหมายเดมิ ของหนว่ ยคา้ วา่ หนงั สือและพมิ พ์

๒. คา้ ประสมจะแทรกค้าใด ๆ ลงระหว่างหนว่ ยค้าทีม่ ารวมกันนันไมไ่ ด้ ถ้าสามารถแทรกค้าอื่นลง
ไปได้ ค้าทร่ี วมกันนันจะไม่ใชค่ า้ ประสม เชน่

ลูกช้างเดินตามแม่ช้าง ค้าว่า ลูกช้าง แปลว่า “ลูกของช้าง” สามารถแทรกค้าว่า ของ
ระหว่างคา้ วา่ ลกู กบั ชา้ ง เปน็ ลูกของช้าง ได้ ดังนัน ลูกช้าง ในประโยคนีจึงไมใ่ ช่คา้ ประสม

ลูกชา้ งหมนุ ตัวอยบู่ นเวที คา้ วา่ ลกู ช้าง แปลวา่ “ช้างทย่ี งั เยาวว์ ัยอยู่” ไมส่ ามารถแทรกค้าใด
ๆ ลงไประหว่างคา้ ว่า ลูก กับ ช้าง ได้ ลูกชา้ ง ในประโยคนีจึงเปน็ ค้าประสม

เจา้ แม่ชว่ ยลกู ชา้ งดว้ ย คา้ ว่า ลูกช้าง เปน็ “ค้าสรรพนามแทนตัวผ้พู ูดเมื่อพูดกับสิง่ ศักดิ์สิทธิ์”
ไม่สามารถแทรกคา้ ใด ๆ ลงไประหวา่ งคา้ ว่า ลกู กบั ช้าง ได้ ลูกชา้ ง ในประโยคนจี ึงเป็นค้าประสม

หมอใช้ผ้าปดิ ปากเวลาตรวจคนไข้ ค้าว่า ปิดปาก สามารถแทรก ค้าว่า ท่ี หรือ ตรง ระหว่าง
คา้ ว่า ปดิ กับ ปาก ได้ เป็น ปดิ ท่ปี าก หรือ ปดิ ตรงปาก ปิดปาก ในประโยคนจี งึ ไม่ใช่ ค้าประสม

เขาถกู ฆ่าปดิ ปาก คา้ ว่า ปิดปาก แปลว่า “ไม่ให้มีโอกาสพูดได้” ไม่สามารถแทรกค้าใด ๆ ลง
ไประหวา่ งค้าวา่ ปิด กบั ปาก ได้ ปดิ ปาก ในประโยคนจี งึ เปน็ ค้าประสม

๓. ค้าประสมเป็นค้าค้าเดียว หน่วยค้าที่เป็นส่วนประกอบของค้าประสม ไม่สามารถย้ายท่ี หรือ
สลับที่ได้ เชน่

ฉันกินข้าวมาแล้ว สามารถย้ายค้าว่า ข้าว ไปไว้ต้นประโยคเป็น ข้าว ฉันกินมาแล้ว ได้
ขอ้ ความ กนิ ข้าว จงึ ไมใ่ ช่คา้ ประสม

เขาน่ังกินที่ ไมส่ ามารถย้ายค้าว่า กิน หรือ ท่ี ไปไวท้ ่ีอน่ื ได้ ค้าว่า กินที่ จงึ เป็นค้าประสม

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๑๒๙

๔. ค้าประสมจะออกเสียงต่อเนื่องกันไปโดยไม่หยุดหรือเว้นจังหวะระหว่าง หน่วยค้าท่ีเป็น
ส่วนประกอบ เช่น

ดินเหนียว ถ้าออกเสียงต่อเน่ืองกันไป หมายถึง “ดินชนิดหนึ่ง มีเนือเหนียว” เป็นค้าประสม
ถ้ามชี ว่ งเวน้ จงั หวะ ระหว่าง ดนิ กับ เหนียว หมายถึง “ดนิ มีสภาพเหนียว” เป็นประโยค

กาแฟเย็น ถ้าออกเสยี งต่อเนื่องกนั ไป หมายถึง “กาแฟใส่นมใส่นา้ แข็ง” เป็นค้าประสม ถ้ามี
ช่วงเว้นจังหวะระหว่าง กาแฟ กับ เย็น หมายถึง “กาแฟรอ้ นทท่ี ิงไวจ้ นเย็น” เปน็ ประโยค

๕. คา้ ประสมบางค้าไม่มคี วามสัมพันธท์ างวากยสัมพันธร์ ะหวา่ งหน่วยค้าท่เี ป็นสว่ นประกอบ เช่น
กินนา ไมเ่ ปน็ ค้าประสม เพราะหน่วยค้าวา่ กิน กับ น้า มีความสัมพันธ์ทางวากยสมั พันธ์แบบ

กริยา-กรรม
กนิ ใจ เป็นคา้ ประสม หนว่ ยค้าวา่ กิน กบั ใจ ไม่มีความสัมพนั ธ์ทางวากยสัมพนั ธ์
รถเสีย ไม่เป็นค้าประสม เพราะหน่วยค้าว่า รถ กับ เสีย มีความสัมพันธ์ทางวากยสัมพันธ์

แบบ ประธาน-กริยา
ใจเสีย เป็นคา้ ประสม หนว่ ยคา้ วา่ ใจ กบั เสีย ไมม่ ีความสัมพนั ธท์ างวากยสมั พันธ์

๕.๓.๓ ส่วนประกอบของคา้ ประสม
สถาบันภาษาไทย (๒๕๕๕ : ๓๕ – ๓๙) กล่าวไว้ว่า ส่วนประกอบของค้าประสม คือหน่วยค้าท่ีมา
รวมกันเป็นคา้ ประสมอาจจะเป็นค้านาม คา้ กริยา ค้าจ้านวนนบั คา้ ล้าดับที่หรือค้าบุพบท เมอ่ื น้าค้าชนิดนนั ๆ
มาประกอบกันแล้ว ส่วนใหญ่จะได้ค้าประสมที่เป็นค้านามหรือค้ากริยา ดังตารางภาพค้าประสมที่เป็นนาม
ตอ่ ไปนี

ค้านาม + ค้านาม ความหมาย

ดอกฟา้ หญิงทส่ี ูงศักดิ์
ววั นม วัวพนั ธทุ์ ่ีเลียงไว้เพอ่ื รีดนม
ตีนกา รอยย่นซ่งึ ปรากฏท่หี างตา มีลกั ษณะคล้ายตีนของกา
หมกู ระทะ ชื่ออาหารประเภทหน่งึ
หูช้าง กระจกติดข้างรถยนตเ์ ปน็ รูปคล้ายหูของชา้ ง ส้าหรบั เปิดรับลม

ค้านาม + ค้านาม + คา้ นาม ความหมาย

แม่ยา่ นาง ผีผูห้ ญิงประจ้าเรอื
เดก็ หลอดแกว้ เดก็ ทเ่ี กดิ จากการผสมไข่และเชอื อสุจิในหลอด
รถไฟฟ้า รถไฟท่แี ล่นบนรางยกระดับ
ปากนกกระจอก แผลเปือ่ ยทีม่ ุมปาก เกิดจากขาดวิตามนิ บี

คา้ นาม + ค้าลกั ษณนาม ความหมาย

นา้ ขวด น้าหรือนา้ อัดลมท่บี รรจุในขวด
ไอตมิ แทง่ ไอศกรมี ทท่ี า้ เปน็ แท่ง
น้าแข็งกอ้ น นา้ แข็งชนิดทีท่ า้ เปน็ กอ้ นเลก็ ๆ
บะหมซี่ อง บะหม่ีกึง่ ส้าเรจ็ รูปท่บี รรจุในซอง

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๓๐

ค้านาม + ค้ากริยา ความหมาย

มอื ถอื โทรศพั ทท์ ถ่ี ือติดตัวไปได้, โทรศัพทเ์ คลอ่ื นที่
กล่องด้า กลอ่ งบรรจุข้อมูลเก่ียวกับการบนิ ในเครอ่ื งบนิ
รถรอ้ น รถประจา้ ทางท่ีไม่มเี คร่อื งปรับอากาศ
ยนี สฟ์ อก ผ้ายนี สท์ ่ีฟอกดว้ ยสารเคมีทา้ ให้เนอื ผ้านิม่ ลง

ค้านาม + คา้ กริยา + ค้านาม ความหมาย

คนเดนิ โตะ๊ พนักงานเสิร์ฟอาหารในร้านอาหาร
ลิงชงิ หลกั ช่ือการเล่นชนดิ หน่ึง ผเู้ ลน่ ทสี่ มมติใหเ้ ป็นลงิ ต้องชงิ หลักจากผ้อู น่ื
แปรงสีฟนั แปรงที่ใชส้ า้ หรับทา้ ความสะอาดฟัน
คนเดินดิน บุคคลที่มีความเป็นอยธู่ รรมดา

ค้านาม + ค้ากรยิ า + ค้ากรยิ า ความหมาย

น้าแขง็ กด น้าแข็งท่ีเป็นเกล็ดเล็ก ๆ แล้วน้ามากดในพิมพ์เสียบไม้ ราดน้าหวาน
น้าแข็งไส นา้ แข็งที่ท้าให้เปน็ เกล็ดเล็ก ๆ สา้ หรับใส่ขนม
บา้ นจดั สรร บ้านซึง่ รฐั หรอื เอกชนสรา้ งขายเงนิ ผอ่ น
ใบขบั ข่ี ใบอนุญาตใหข้ บั ข่ียานพาหนะ

ค้านาม + ค้าบุพบท + ค้านาม ความหมาย

รถใตด้ นิ รถไฟทแ่ี ล่นอยใู่ ตด้ ิน
คนหลังเขา คนทีไ่ ม่ทนั ความเจรญิ ของโลก
บวั ใตน้ ้า คนทส่ี ง่ั สอนใหร้ ู้ธรรมไม่ได้, คนโง่

ค้ากรยิ า + คา้ กริยา ความหมาย

พมิ พ์ดดี อปุ กรณส์ า้ หรับพิมพ์ตัวหนงั สอื ด้วยปลายนิวมือ
หอ่ หมก ชื่ออาหาร ใช้เนือปลาผสมกับน้าพริกและกะทิกวน ให้เขา้ กนั ห่อแลว้ นึ่ง
จิมจมุ่ ชื่ออาหารอสี าน นา้ เนอื สัตว์มาจุม่ ลงในน้าเดือดแล้วจมิ นา้ จิมรบั ประทาน
กันสาด เพงิ ที่ตอ่ ชายคาสา้ หรับกนั ฝนไม่ให้สาดเขา้ บา้ น

คา้ กริยา + คา้ นาม ความหมาย

เท้าแขน สว่ นของเกา้ อสี ้าหรบั วางแขน
รองพืน เครอ่ื งส้าอางประเภทหน่งึ ใช้ทาผิวหนา้ กอ่ นผดั
บงั ตา เครอื่ งบังประตทู ้าดว้ ยไม้หรอื กระจก ความสูงเห็นระดับสายตา

คา้ บุพบท + คา้ นาม ความหมาย

ในหลวง พระเจ้าแผน่ ดิน
ใต้เท้า สรรพนามบุรษุ ที่ ๒ แทนผู้ทีน่ ับถอื อย่างสูง
ที่บา้ น สรรพนามบรุ ษุ ท่ี ๓ แทนสามีหรือภรรยา
หลังบา้ น ภรรยา

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๓๑

ดังตารางภาพคา้ ประสมที่เปน็ กรยิ าตอ่ ไปนี

คา้ กริยา + คา้ กรยิ า ความหมาย

ซกั ฟอก ซักถามใหไ้ ด้ความชดั เจนว่าได้ท้าความผิดไวห้ รือไม่

ซกั ซอ้ ม สอบใหแ้ ม่นยา้ , แนะกันไวล้ ่วงหน้า

กวาดลา้ ง กา้ จดั ใหส้ นิ ไป

บรรยายสด แสดงปาฐกถา, พดู ออกรายการวทิ ยโุ ทรทศั นใ์ นขณะท่เี ผยแพร่

เปน็ ต่อ มีโอกาสดีกว่าในการต่อสู้หรือการแข่งขัน

คา้ กรยิ า + ค้านาม ความหมาย

ปิดปาก ไมพ่ ูด, ท้าให้ไมไ่ ด้พูด

ยกเมฆ พดู ให้น่าเช่ือโดยคดิ สรา้ งหลักฐานประกอบขนึ มาเอง

ขายเสียง ยนิ ยอมลงคะแนนเสยี งให้บคุ คลใดบุคคลหนง่ึ เพ่ือแลกกบั สิ่งของและเงนิ

เทคะแนน ลงคะแนนออกเสยี งใหเ้ ป็นจ้านวนมาก

ค้ากริยา + คา้ นาม + ค้ากรยิ า ความหมาย

ขดี เส้นตาย ใหโ้ อกาสเป็นครงั สุดท้าย ก้าหนดเวลาสุดท้ายทจ่ี ะต้องท้าให้เสรจ็

ลดชอ่ งวา่ ง ทา้ ตวั ให้เขา้ กันไดโ้ ดยไมม่ ีความแตกตา่ งระหว่างบุคคล

ตีบทแตก แสดงได้สมบทบาท

คา้ กริยา + คา้ บุพบท ความหมาย

เป็นกลาง ไมเ่ ขา้ ขา้ งใดขา้ งหนึ่ง

คา้ กรยิ า + ค้าบุพบท + คา้ นาม ความหมาย

กินตามน้า โกงกินรว่ มไปกับผูอ้ ืน่ ทัง ๆ ท่ีอาจจะไมม่ ีเจตนาโกงกนิ แตแ่ รก

ตีท้ายครวั เขา้ ตดิ ต่อกบั ภรรยาผอู้ ืน่ ในทางชสู้ าว

คา้ นาม + คา้ กริยา ความหมาย

ตาแขง็ ไม่ง่วง

มอื ใหม่ ยังไม่ช้านาญ

มอื สะอาด มีความซ่ือสัตยส์ จุ รติ

หัวโบราณ นิยมตามแบบเกา่

หน้าอ่อน ดอู ายนุ ้อยกวา่ อายจุ รงิ

คา้ นาม + ค้ากริยา + ค้านาม ความหมาย

เลือดเข้าตา หาทางออกไม่ได้, สู้อย่างไมก่ ลัวตาย

น้าทว่ มปาก พูดไมอ่ อกเพราะเกรงจะมีภยั แก่ตนหรอื แก่ผู้อื่น

๕.๓.๔ ลักษณะความหมายของคา้ ประสม
สถาบันภาษาไทย (๒๕๕๕ : ๔๐ – ๔๒) กล่าวไว้ว่า ลักษณะความหมายของค้าประสม ค้าประสมมี
ความหมายเป็น ๓ ลักษณะ คือ ความหมายเปรียบเทียบ ความหมายเฉพาะ ซ่ึงแตกต่างกับความหมายของ
หน่วยค้าเดิม และมีความหมายใกล้เคียงกับหน่วยค้าเดิมที่มาประกอบกัน ซึ่งความหมายของค้าประสมนันจะ
สังเกตได้จากปริบท แต่ถึงอย่างไร ความหมายของค้าประสมก็ยังคงมีเค้าความหมายของค้าเดิมอยู่ ดังมี
รายละเอียดต่อไปนี

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๑๓๒

ดงั ตารางภาพความหมายเปรยี บเทยี บตอ่ ไปนี

คา้ ประสม ความหมาย

หมาวดั ผชู้ ายที่มีศกั ดิต์ ้่ากว่าผหู้ ญิงท่ีตนหมายปอง

ตีนแมว นกั ย่องเบา

ดอกฟ้า หญิงผสู้ งู ศักดิ์

มอื สะอาด มีความซ่ือสตั ย์สุจริต

ตีนผี ส่วนของจักรที่ใชก้ ดผา้ เวลาเดินจกั ร, ผู้ท่ขี บั รถเรว็ จนกอ่ ใหเ้ กิดอบุ ตั เิ หตุ

ขึนคาน ไมไ่ ด้แตง่ งานทงั ทีม่ อี ายมากพอควรแล้ว (ใชก้ ับผู้หญิง)

ดังตารางภาพความหมายเฉพาะต่อไปนี

ค้าประสม ความหมาย

หน้าอ่อน ดูอายนุ อ้ ยกวา่ อายจุ ริง

เบาใจ ไม่หนักใจ, โลง่ ใจ

ยาบา้ ยาเสพติดชนดิ หนงึ่ เมอ่ื เสพแลว้ เกดิ อาการคล้ายคนบา้

หมาบา้ หมาที่เปน็ โรคพษิ สนุ ขั บา้

ดงั ตารางภาพความหมายใกล้เคียงกับคา้ เดิมต่อไปนี

ค้าประสม ความหมาย

งพู ิษ งูประเภทหน่ึงท่มี ีพิษ

ยางลบ ยางท่ใี ช้ส้าหรบั ลบขอ้ ความ

ผ้าปูโตะ๊ ผ้าทใ่ี ชป้ โู ตะ๊

ยาสฟี ัน ยาทใี่ ช้ส้าหรับสฟี นั

เข็มฉดี ยา เขม็ ท่ใี ชฉ้ ีดยา

อนึ่ง ค้าประสมบางค้าอาจจะมีความหมายเป็น ๒ อย่าง เช่น ความหมายเปรียบเทียบกับความหมาย

ใกล้เคยี งกบั คา้ เดิม หรือความหมายใกล้เคียงกับคา้ เดมิ กบั ความหมายเฉพาะ ดงั ตวั อย่างตอ่ ไปนี

หมาวดั หมายถงึ หมาทอี่ าศยั อยู่ในวดั ความหมายใกลเ้ คยี งกับคา้ เดิม

หมาวัด หมายถงึ ชายทีม่ ีศกั ดิต่้ากว่าหญงิ ท่ตี นหมายปอง ความหมายเปรยี บเทียบ

งพู ิษ หมายถึง งูประเภทหน่งึ ที่มพี ิษ ความหมายใกลเ้ คียงกบั ค้าเดิม

งพู ษิ หมายถึง คนทมี่ ีพษิ สงสามารถท้ารา้ ยผูอ้ ืน่ ได้ ความหมายเปรียบเทยี บ

ตีนผี หมายถงึ ส่วนของจักรเยบ็ ผา้ ซึง่ กดผ้าใหแ้ นบกับตัวเคร่ือง ความหมายเฉพาะ

ตนี ผี หมายถึง คนทข่ี ับรถเร็ว ซ่ึงมักก่ออุบัตเิ หตุ มีผ้เู สียชวี ติ ความหมายเปรียบเทยี บ

หมาบ้า หมายถึง หมาที่เป็นโรคพิษสนุ ัขบา้ ความหมายเฉพาะ

หมาบา้ หมายถึง คนที่มีอาการไร้สติคล้ายหมาบ้า ความหมายเปรียบเทยี บ

จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้ว่าค้าประสมบางค้ามีทังความหมายเปรียบเทียบและความหมาย

ใกล้เคียงกับค้าเดิม หรือความหมายเปรียบเทียบและหมายเฉพาะ แต่บางค้าจะมีเฉพาะความหมาย

เปรียบเทยี บเทา่ นัน เชน่ ตาหวาน ใจด้า หวั สงู ตาตา้่ ปอดแหก ปากจดั รอบจดั เขียวลากดนิ เป็นต้น

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๑๓๓

๕.๔ คาประสาน

๕.๔.๑ ความหมายของค้าประสาน
สถาบันภาษาไทย (๒๕๕๕ : ๔๓) กล่าวไว้ว่า คา้ ประสาน หมายถงึ คา้ ทีส่ รา้ งขึนดว้ ยการรวมหน่วยค้า
เติมกับหน่วยฐานเข้าเป็นค้าใหม่ค้าหนึ่ง กระบวนการสร้างค้าประสานเป็นกระบวนการทเี่ กิดขึนได้ เร่ือยไปไม่
จ้ากัดและไม่รู้จบ หน่วยค้าเติมจะมีความหมายคงท่ี ค้าประสานที่เกิดจากหน่วยค้าเติมเดียวกันจะเป็นค้าชนิด
เดยี วกัน เช่น หน่วยคา้ เตมิ นัก- จะมคี วามหมายว่า “คนท่ที า้ กรยิ านนั ” หรือ “คนท่ีช้านาญในการท้ากริยานนั ,
คนที่มีอาชีพอยู่กับส่ิงนัน” เช่น นักกิน, นักติ, นักชม, นักวิจารณ์, นักประท้วง, นักหนังสือพิมพ์, นักกีฬา,
นักกอล์ฟ, นักฟุตบอล, นักเขียน, นักประพันธ์ ฯลฯ หนว่ ยที่แสดงความหมายหลัก ในค้าประสานในภาษาไทย
จะปรากฏอยู่หลังหน่วยค้าเติม ยกเว้นค้าประสานกลุ่ม สุดท้ายซึ่งมีหน่วยค้าเติมมาจากภาษาบาลีเท่านันที่มี
หน่วยหลกั อยหู่ นา้
สนุ ันท์ อัญชลีนุกูล (๒๕๕๖ : ๕๖) กล่าวไว้ว่า ค้าประสานคล้ายกับค้าประสม กล่าวคือ ประกอบด้วย
หน่วยค้าอย่างน้อย ๒ หน่วย ซึ่งต้องเป็นหน่วยค้าไม่อิสระอย่างน้อย ๑ หน่วย โดยอาจปรากฏต้นค้าหรือท้าย
ค้าก็ไดห้ รือเปน็ หนว่ ยค้าไม่อสิ ระทงั ๒ หนว่ ย
สรุปความได้ว่า ค้าประสาน คือการน้าค้าไม่อิสระหรือค้าท่ีไม่สามารถวางอยู่ได้ตามล้าพังมาประกอบ
กับค้าอิสระหรือค้ามลู ซงึ่ คา้ ไมอ่ สิ ระนนั สามารถวางไว้ในต้าแหนง่ หนา้ คา้ มลู และทา้ ยคา้ มูล

๕.๔.๒ ลักษณะของค้าประสาน

สถาบันภาษาไทย (๒๕๕๕ : ๔๓ – ๕๕) กล่าวไว้ว่า ลักษณะของค้าประสาน คือคา้ ประสาน เป็นค้าที่

เติมหน่วยค้าเติมเข้าข้างหน้าหรือข้างหลังหน่วยฐาน ซึ่งเป็นหน่วยหลัก หน่วยฐาน (base form) อาจเป็น

หน่วยค้าไม่อสิ ระ หนว่ ยคา้ อสิ ระ คา้ ประสม คา้ ซ้อน ค้าสมาส หรือกลุ่มค้ากไ็ ด้ เชน่

หน่วยคา้ เติม + หนว่ ยค้าไม่อิสระ เช่น นัก- + -เลง นกั เลง

หน่วยค้าเตมิ + หนว่ ยคา้ อิสระ เช่น นัก- + รอ้ ง นักรอ้ ง

หนว่ ยคา้ เติม + คา้ ประสม เชน่ นัก- + เดินขบวน นักเดนิ ขบวน

หนว่ ยค้าเตมิ + คา้ ซอ้ น เช่น นกั - + แสวงหา นกั แสวงหา

หน่วยคา้ เติม + คา้ สมาส เชน่ นกั - + จติ วิทยา นกั จิตวิทยา

หน่วยค้าเติม + กลุ่มค้า เช่น นกั - + ผสมพันธุ์สัตว์ นักผสมพันธุ์สตั ว์

ค้าประสานในภาษาไทยแบ่งตามต้าแหน่งของหน่วยค้าเติมได้เป็น ๒ ประเภท คือค้าประสานท่ี

หน่วยค้าเตมิ ปรากฏหนา้ หน่วยฐาน กบั คา้ ประสานที่หนว่ ยค้าเติมปรากฏหลังหนว่ ยฐาน

๑. ค้าประสานท่ีมีหน่วยค้าเติมอยู่หน้าหน่วยฐานมีจ้านวนมากที่สุด ค้าประสานประเภทนีแบ่งได้

เป็น ๖ กล่มุ ดังนี

๑.๑ ค้าประสานที่เป็นค้าอาการนาม ค้าประสานท่ีเป็น อาการนาม สร้างขนึ ด้วยหนว่ ยคา้ เติม

หนา้ ๓ หน่วย คอื การ- ความ- และ ภาวะ- ดงั นี

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๓๔

ดงั ตารางภาพคา้ วา่ การ เป็นหนว่ ยคา้ เติมซง่ึ ใชเ้ ตมิ หนา้ ค้ากรยิ า ท้าใหเ้ ป็นค้าอาการนาม

หน่วยค้าเติม หน่วยฐาน ค้าประสาน

การ- เรียน การเรียน

แปล การแปล

แผร่ ังสี การแผร่ ังสี

อยดู่ ีกนิ ดี การอยู่ดีกินดี

แก่งแย่งแข่งดีกัน การแกง่ แย่งแขง่ ดกี นั

ดงั ตารางภาพค้าวา่ ความ เป็นหน่วยคา้ เตมิ ที่ใช้เติมหน้าคา้ กรยิ า คณุ ศัพท์ ทา้ ใหเ้ ปน็ ค้านามธรรม

หนว่ ยค้าเตมิ หน่วยฐาน ค้าประสาน

ความ- รกั ความรัก

เสียสละ ความเสยี สละ

ไมส่ มปรารถนา ความไม่สมปรารถนา

เจ็บปวดรวดร้าว ความเจบ็ ปวดรวดร้าว

ภูมใิ จแหง่ ตน ความภมู ิใจแห่งตน

เมื่อใช้หน่วยค้าเติม การ- และ ความ- น้าหน้ากรยิ าค้าเดยี วกนั คา้ ประสานที่ใช้ การ- จะแสดงอาการ

ของกริยานนั ส่วนค้าประสานทีใ่ ช้ ความ- จะแสดงสภาพ เชน่

การตาย เปน็ อาการนามของอาการสินชวี ติ

ความตาย เป็นนามธรรมแสดงภาวะของการสินชวี ิต

การอย่รู อด เปน็ อาการนามของอาการมชี วี ิตหรืออาศัยอยู่

ความอยู่รอด เป็นนามธรรมแสดงภาวะของการมีชีวติ อยู่

การเคารพ เป็นอาการนามของอาการกระทา้ ความเคารพ

ความเคารพ เป็นนามธรรมแสดงถึงภาวะของการเคารพ

ดังตารางภาพค้าวา่ ภาวะ เป็นหน่วยค้าเติมที่ใชเ้ ติมหน้าค้ากรยิ า ค้านาม ท้าให้เปน็ ค้านามธรรม

หนว่ ยคา้ เติม หน่วยฐาน ค้าประสาน

ภาวะ- ไรน้ ้าหนกั ภาวะไรน้ า้ หนกั

ขาดวิตามนิ ภาวะขาดวิตามิน

ไขส้ ูง ภาวะไขส้ ูง

กามตายดา้ น ภาวะกามตายด้าน

ประสาทหลอน ภาวะประสาทหลอน

๑.๒ ค้าประสานที่เป็นนามสามัญ สร้างขึนด้วยหนว่ ยค้าเติมหลายหน่วย ดังนี ค้าประสานซึ่ง
หมายถึง “คน” สร้างขึนด้วยหน่วยค้าเติม ผู้- ชาว- นัก- ช่าง- ท่ี- เคร่ือง- การ- เป็นหน่วยค้าเติมหน้าค้านาม
ค้ากรยิ า หรอื กรยิ าวลี ดังนี

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๑๓๕

ดงั ตารางภาพคา้ วา่ ผู้ มคี วามหมายว่า “คนทที่ ้ากรยิ าหรืออาการนัน ๆ”

หนว่ ยค้าเติม หน่วยฐาน คา้ ประสาน

ผู้- ปว่ ย ผู้ป่วย

ประสานงาน ผู้ประสานงาน

เห็นเหตกุ ารณ์ ผเู้ หน็ เหตกุ ารณ์

รับการฝกึ อบรม ผู้รับการฝึกอบรม

รับการทดลอง ผรู้ บั การทดลอง

ดงั ตารางภาพคา้ วา่ ชาว มีความหมายว่า “คนที่ประกอบอาชพี สงั กดั สถาบันหรอื เปน็ คนชาติ”

หน่วยคา้ เตมิ หน่วยฐาน ค้าประสาน

ชาว- บ้าน ชาวบ้าน

ไร่ ชาวไร่

ไทย ชาวไทย

แฟลตดนิ แดง ชาวแฟลตดินแดง

มลู นธิ ิคุม้ ครองสัตวป์ ่า ชาวมลู นิธคิ มุ้ ครองสัตว์ปา่

ดงั ตารางภาพค้าว่า นัก มคี วามหมายว่า “ผู้ที่มคี วามช้านาญ ผทู้ ี่มอี าชีพ หรอื มักท้าสิง่ นัน ๆ”

หนว่ ยคา้ เตมิ หนว่ ยฐาน คา้ ประสาน

นกั - เรียน นักเรียน

ฉวยโอกาส นกั ฉวยโอกาส

สะสมแสตมป์ นักสะสมแสตมป์

ผสมพันธุส์ ัตว์ นักผสมพนั ธุ์สัตว์

ดนตรี นักดนตรี

จติ วิทยา นักจิตวิทยา

ดงั ตารางภาพค้าวา่ ชา่ ง มคี วามหมายวา่ “ผทู้ มี่ คี วามชา้ นาญในการชา่ งนัน ๆ”

หน่วยค้าเติม หนว่ ยฐาน ค้าประสาน

ช่าง- ปูน ชา่ งปนู

สี ชา่ งสี

กระจก ช่างกระจก

ตูเ้ ยน็ ช่างตูเ้ ย็น

คอมพวิ เตอร์ ช่างคอมพวิ เตอร์

หมายเหตุ
ช่าง- เป็นหน่วยค้าไม่อิสระ ประเภทหน่วยค้าเติมหน้า ค้าประสานท่ีมีหน่วยค้า ช่าง- อยู่น้าหน้า เช่น

ชา่ งไม้ ชา่ งเครื่อง ช่างประปา อาจตัดย่อ (clip) เหลอื แต่เพยี ง ชา่ งØ เช่น ตามชา่ งØมาหรอื ยง ช่างØคนนีฝมี ือ
ดีมาก คา้ ว่า ช่างØ ทต่ี ัดยอ่ มาจากค้าประสานเตมิ มลี ักษณะเหมอื นกบั หน่วยค้าอสิ ระ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๓๖

ดังตารางภาพค้าว่า ท่ี มีความหมายว่า “ส่ิงหรืออุปกรณ์ท่ีใช้ในการนัน ๆ มักเป็นอุปกรณ์มีขนาดเล็ก

หรอื ไม่สลับซบั ซอ้ น”

หนว่ ยคา้ เตมิ หน่วยฐาน ค้าประสาน

ท-ี่ เย็บกระดาษ ทเ่ี ย็บกระดาษ

เปดิ กระปอ๋ ง ทเี่ ปิดกระปอ๋ ง

รองหม้อ ทีร่ องหมอ้

คั่นหนังสอื ท่ีคน่ั หนงั สือ

ช้อนลกู นา้ ที่ช้อนลูกนา้

ดังตารางภาพค้าว่า เคร่ือง มีความหมายว่า “อุปกรณ์หรือเครื่องมือท่ีใช้ในการนัน ๆ มักเป็นอุปกรณ์

ทมี่ ขี นาดใหญห่ รือมัน่ คงแข็งแรง”

หนว่ ยค้าเตมิ หนว่ ยฐาน ค้าประสาน

เครือ่ ง- ปัน่ ไฟ เครื่องป่นั ไฟ

กรองน้า เครื่องกรองน้า

คา้ นวณ เครอ่ื งคา้ นวณ

ชว่ ยหายใจ เครื่องชว่ ยหายใจ

บนั ทึกคล่ืนไฟฟ้าหวั ใจ เครอื่ งบนั ทกึ คล่ืนไฟฟา้ หวั ใจ

หมายเหตุ
เคร่ือง- เป็นหน่วยค้าไม่อิสระ ประเภทหน่วยค้าเติมหน้า หมายถึง “อุปกรณ์หรือเคร่ืองมือที่มีกลไก”

เป็น คนละค้ากับหน่วยค้าอสิ ระ เครือ่ ง ซ่ึงหมายถึง “เคร่ืองยนต์” ค้าประสานที่มีหนว่ ยค้าไม่อิสระ เคร่ือง-อยู่
ค้าหน้า อาจตัดย่อ (clip) เหลือเพียงเคร่ืองØ เช่น เคร่ืองเอทีเอ็มนีขัดข้อง กรุณาไปใช้บริการเครื่องØอ่ืนใน
บริเวณใกลเ้ คียง

ดังตารางภาพคา้ ว่า การ มคี วามหมายวา่ “กจิ การ การงาน”

หนว่ ยคา้ เติม หนว่ ยฐาน ค้าประสาน

การ- เมอื ง การเมอื ง

ต่างประเทศ การตา่ งประเทศ

ไฟฟ้า การไฟฟ้า

คอมพิวเตอร์ การคอมพวิ เตอร์

อนิ เทอรเ์ นต็ การอินเทอร์เนต็

ปิโตรเลยี ม การปิโตรเลียม

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๑๓๗

๑.๓ ค้าประสานที่เป็นค้านามราชาศัพท์ สร้างขึนด้วยหน่วยค้าเติมหน้า พระ- พระราช- ท่ี

นา้ หน้าคา้ นามแล้วท้าให้เป็นคา้ ประสานท่ีเป็นค้านามราชาศัพท์ เชน่

ดงั ตารางภาพค้าว่า ใช้ พระ พระราช นา้ หน้าเป็นคา้ นามราชาศพั ท์

หน่วยคา้ เติม หนว่ ยฐาน ค้าประสาน

พระ- เจา้ พระเจา้

เกศ พระเกศ

หตั ถ์ พระหัตถ์

เนตร พระเนตร

อักษร พระอกั ษร

พระราช- บิดา พระราชบดิ า

ชนนี พระราชชนนี

ทรัพย์ พระราชทรพั ย์

วินจิ ฉยั พระราชวินิจฉัย

โทรเลข พระราชโทรเลข

๑.๔ ค้าประสานท่ีเป็นคา้ กรยิ า สร้างขึนด้วยหน่วยค้าเตมิ หนา้ ขี- ช่าง- บรม- ค้าประสาน ซึ่ง

หมายถึง “มกั ท้าอย่างนนั ” ใชเ้ ติมหน้าค้ากรยิ า หรอื กรยิ าคุณศพั ท์ ดังนี

ดังตารางภาพค้าว่า ขี มคี วามหมายว่า “มกั ท้าอย่างนนั ”

หนว่ ยคา้ เติม หน่วยฐาน คา้ ประสาน

ข-ี งอน ขงี อน

เบื่อ ขเี บื่อ

สงสัย ขีสงสยั

ก๊อปป้ี ขีก๊อปป้ี

เอาอย่าง ขีเอาอยา่ ง

ดังตารางภาพคา้ วา่ ชา่ ง มคี วามหมายวา่ “มกั ทา้ อยา่ งนนั ”

หนว่ ยค้าเติม หน่วยฐาน ค้าประสาน

ช่าง- ฟอ้ ง ช่างฟ้อง

พถิ พี ิถัน ช่างพถิ ีพิถนั

เอาอกเอาใจ ชา่ งเอาอกเอาใจ

ประดษิ ฐ์ ชา่ งประดษิ ฐ์

ไมม่ ีสัมมาคารวะ ชา่ งไมม่ ีสมั มาคารวะ

ไมร่ ้ทู ีต่ ่้าท่ีสงู ชา่ งไม่รูท้ ต่ี ่้าท่สี ูง

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๓๘

ดังตารางภาพคา้ ว่า บรม มคี วามหมายวา่ “เป็นเชน่ นันอย่างยงิ่ ”

หน่วยค้าเติม หนว่ ยฐาน คา้ ประสาน

บรม- โง่ บรมโง่

เซ่อ บรมเซอ่

ขีเกยี จ บรมขเี กียจ

ซวย บรมซวย

เซอะ บรมเชอะ

๑.๕ ค้าประสานที่เป็นค้ากริยาราชาศัพท์สร้างขึนด้วยหน่วยค้าเติมหน้า ทรง ใช้น้าหน้า

ค้ากริยาท่ัวไปหรือกริยาวลี ค้านามหรือค้านามราชาศพั ท์ เปน็ คา้ กรยิ าราชาศัพท์ ค้าราชาศพั ท์ ดังนี

ดังตารางภาพใช้คา้ ว่า ทรง เป็นคา้ กริยาราชาศพั ท์

หนว่ ยคา้ เติม หน่วยฐาน คา้ ประสาน

ทรง- ขอบใจ ทรงขอบใจ

ยืน ทรงยืน

เปน็ ตวั อย่าง ทรงเป็นตวั อย่าง

ลงพระนาม ทรงลงพระนาม

แสดงละคร ทรงแสดงละคร

เรอื ใบ ทรงเรือใบ

ฟุตบอล ทรงฟตุ บอล

เรอื พระทนี่ ง่ั ทรงเรือพระที่น่งั

ฉลองพระหตั ถช์ อ้ นส้อม ทรงฉลองพระหัตถ์ชอ้ นสอ้ ม

ดงั ตารางภาพใช้คา้ วา่ ทรง เป็นคา้ ราชาศัพท์

หนว่ ยคา้ เติม หน่วยฐาน คา้ ประสาน

ทรง- พระเมตตา ทรงพระเมตตา
ทรงพระประชวร
พระประชวร ทรงพระราชนพิ นธ์
ทรงพระราชกุศล
พระราชนิพนธ์ ทรงพระราชศรัทธา

พระราชกศุ ล

พระราชศรทั ธา

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๑๓๙

๑.๖ คา้ ประสานที่เปน็ วิเศษณ์ สร้างขึนด้วยหน่วยค้าเติมหน้า อย่าง- โดย- น้าหน้ากรยิ าหรือ

กริยาวลที ้าหน้าท่ีเป็นวิเศษณ์ ดังนี

ดังตารางภาพค้าว่า อยา่ ง โดย

หนว่ ยคา้ เตมิ หน่วยฐาน ค้าประสาน

อย่าง- ดี อยา่ งดี

งดงาม อย่างงดงาม

ถูกระเบียบ อย่างถกู ระเบยี บ

หน้าไมอ่ าย อยา่ งหนา้ ไม่อาย

ไมน่ า่ เป็นไปได้ อยา่ งไม่นา่ เปน็ ไปได้

ไมเ่ คยเป็นมากอ่ น อยา่ งไมเ่ คยเปน็ มากอ่ น

โดย- ละม่อม โดยละม่อม

ประมาท โดยประมาท

รูเ้ ทา่ ไม่ถึงการณ์ โดยรเู้ ท่าไมถ่ งึ การณ์

ไมส่ นใจไยดี โดยไมส่ นใจไยดี

ปราศจากขอ้ สงสยั โดยปราศจากขอ้ สงสยั

๒. ค้าประสานที่มีหน่วยค้าเติมอยู่หลังหรือท้ายค้าประสาน เป็นหน่วยค้าที่รับมาจากภาษาบาลี

และสนั สกฤต ไดแ้ ก่ หน่วยค้าเติม -นิยม -กร ใช้ประกอบทา้ ยคา้ นาม ดงั นี

ดงั ตารางภาพค้าว่า นยิ ม มีความหมายวา่ “ความเชอื่ , ความชอบ, ความพอใจ”

หนว่ ยฐาน หน่วยค้าเตมิ ค้าประสาน

จติ -นยิ ม จติ นยิ ม

ทนุ ทนุ นิยม

วตั ถุ วัตถุนิยม

ประชา ประชานยิ ม

สงั คม สงั คมนิยม

ดงั ตารางภาพคา้ ว่า กร มคี วามหมายวา่ “ผกู้ ระทา้ ”

หนว่ ยฐาน หน่วยคา้ เตมิ ค้าประสาน

เกษตร -กร เกษตรกร

จติ ร จิตรกร

ฆาต ฆาตกร

บริ บริกร

พธิ ี พิธีกร

วาทย วาทยกร

วิศว วศิ วกร

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๑๔๐

๕.๕ คาสมาส
๕.๕.๑ ความหมายของคา้ สมาส
สถาบันภาษาไทย (๒๕๕๕ : ๗๐ – ๗๑) กล่าวไว้ว่า สมาส มีความหมายตามรูปศัพท์ว่า “การวางอยู่

รวมกัน” (สมฺ-อาสฺ-อ = สมาส ส้ (รวม,ร่วม) + อสฺ (ขว้าง,โยน) + -อ หน่วยท้ายศัพท์ใช้เปล่ียนกริยาให้
กลายเป็นนาม) ในภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต ค้าว่า สมาส มีความหมายแตกต่างกัน ๒ ประการ คือ
ประการแรก หมายถึง การสร้างค้าใหม่โดยน้าค้าที่ใช้อยู่เดิมมารวมกันเป็นค้าเดียว ตามความหมายนี สมาส
เป็นชื่อของกลไกการสร้างค้า (Word formation) มีความหมายเช่นเดียวกับค้าว่า compounding ใน
ภาษาอังกฤษ หรือการประสมค้าในภาษาไทย ประการที่ ๒ หมายถึง การน้าค้าหลายค้ามาเรียงต่อกัน ค้าท่ี
เรียงต่อกันนี จะไม่มีหน่วยผันค้าแสดงการกสัมพันธ์ (case relation)** แม้จะมีความสัมพันธ์เชิงการกสัมพันธ์
ในลักษณะใดลักษณะหน่ึงกต็ าม การประกอบหน่วยผนั คา้ จะประกอบกับคา้ ท้ายเพียงครังเดยี ว

ก้าชัย ทองหลอ่ (๒๕๕๒ : ๓๐๖) กลา่ วไวว้ ่า สมาส ในภาษาบาลีและสันสกฤต หมายถึง วิธียอ่ บทต่าง
ๆ ตังแต่ ๒ บทขึนไปให้รวมเป็นบทเดียวกัน โดยลบวิภัตติของศัพท์หน้าหรือไม่ลบวิภัตติ แต่น้ามาเขียนติดกัน
เพื่อให้รู้ว่าเป็นบทเดียวกัน บทต่าง ๆ ท่ีรวมเข้าด้วยกัน ส่วนสมาสในภาษาไทย หมายถึง การประสมค้าตังแต่
๒ ค้าขึนไปให้เป็นค้าเดียว เม่ือประสมกันแล้วความหมายคงเดิมก็มี ความหมายเปล่ียนไปก็มี และความหมาย
อยทู่ ่คี ้าหนา้ คา้ เดยี วก็มี

สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ (๒๕๔๓ : ๒๐๐ – ๒๐๑) กล่าวไว้ว่า สมาส คือการย่อศัพท์ตังแต่สองค้าขึนไป
รวมเข้าเป็นศัพท์ใหม่ อีกอย่างหนึ่ง ค้าสมาสนันจะวางค้าขยายไว้หน้าค้าหลัก จึงแปลจากข้างหลังมาข้างหน้า
หลักการสร้างค้าสมาสมี ๓ ลักษณะ คือ ๑) ค้าท่ีน้ามาสมาสกัน ต้องเป็นค้าภาษาบาลีหรือค้าภาษาสันสกฤต
เทา่ นัน ใชค้ า้ ภาษาอ่นื ปนไม่ได้ ๒) ในค้าสมาสนนั คา้ ท่ีนา้ มาขยายจะอยขู่ ้างหนา้ ส่วนค้าหลักจะอยูข่ า้ งหลัง ๓)
ใช้ค้าภาษาบาลแี ละค้าภาษาสันสกฤตสมาสกนั ได้ เพ่อื ใหเ้ กดิ เสยี งทไ่ี พเราะ และท้าใหค้ วามหมายเดน่ ชดั

วิเชียร เกษประทุม (๒๕๕๘ : ๖๒) กล่าวไว้ว่า ค้าสมาสแบ่งออกเป็น ๒ ชนิด ตามลักษณะของการ
กลมกลืนเสียงระหว่างค้า ๒ ค้า ที่น้ามารวมกัน ไดแ้ ก่ ค้าสมาสที่ไมม่ ีสนธิ หมายถึง ค้าสมาสทไี่ ม่กลมกลืนเสียง
ของคา้ โดยการน้าค้าในภาษาบาลแี ละสันสกฤต ตังแต่ ๒ ค้าขึนไป มาเรยี งตอ่ เข้าเป็นค้าเดียวกัน โดยไม่มีการ
เปลี่ยนแปลงรูปค้า เวลาอ่านต้องอ่านให้เสียงต่อเน่ืองกนั และค้าท่ีมาสมาสกันแล้ว บางค้าเกิดความหมายใหม่
หรือมีความหมายเดิมก็ได้ แตค่ า้ สมาสทไี่ ม่มีสนธสิ ่วนใหญ่ ความหมายหลักจะอยทู่ คี่ ้าหลัง และคา้ สมาสท่มี สี นธิ
หมายถึง สมาสท่ีกลมกลืนเสียงของค้า โดยการน้าค้าที่มาจากภาษาบาลีและภาษาสนั สกฤต ตังแต่ ๒ ค้าขึนไป
มาเช่ือมต่อกันเข้าท้าให้เสียงพยางค์หลังของค้าหน้ากลมกลืนกบั เสียงพยางค์หนา้ ของคา้ หลัง มี ๓ ลักษณะ คือ
สระสนธิ พยญั ชนะสนธิ และนฤคหิตสนธิ

สรปุ ความไดว้ ่า ค้าสมาส คอื การน้าค้าภาษาบาลแี ละสันสกฤต ตังแต่ ๒ คา้ ขึนไปมาประสมกัน โดยมี
๒ วธิ ใี นการสร้างคา้ สมาสในภาษาไทย คอื การชนกันหรือต่อกนั และการลบสระตัวใดตัวหนงึ่ ท่ีเหมือนกันออก

อีกอย่างหน่ึง ค้าสมาสท่ีใช้ในภาษาไทยแบบเดิมมีลักษณะในการสร้างค้าดังที่กล่าวมาแล้ว แต่ไม่ได้
จ้าแนกเปน็ ประเภทตา่ ง ๆ ดงั จะได้กลา่ วตอ่ ไปนี

** การกสัมพันธ์ (case relation) คือ ความสัมพันธ์ของความหมายทางไวยากรณ์ระหว่างค้านามกับค้ากริยา เช่น
ค้านามมีความสัมพันธ์กับค้ากริยาในฐานะท่ีเป็นผู้กระท้ากริยา เป็นผู้รับการกระท้าของกริยา เป็นผู้รับประโยชน์ เป็นเหตุผล
เป็นสถานท่ี ฯลฯ ซึง่ ในภาษาบาลีและสนั สกฤตใช้วิภตั ตินาม (nominal inflectional morpheme) แสดงความหมายต่าง ๆ
เหลา่ นี

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๑๔๑

๕.๕.๒ ประเภทของคา้ สมาส
สถาบันภาษาไทย (๒๕๕๕ : ๗๓ – ๘๒) กล่าวไว้ว่า ประเภทของค้าสมาสในภาษาไทยมี ๓ ประเภท
ดังนี

๑. ค้าสมาสยืม คือ ค้าที่ยืมเข้ามาใช้ในภาษาไทย ค้าสมาสของภาษาบาลีและสันสกฤตทังหมดที่
ภาษาไทยยืมมาใชล้ ว้ น แต่เป็นต้นเค้าศัพท์** ซงึ่ ยงั ไม่ประกอบหนว่ ยผนั คา้ เข้าทข่ี ้างท้ายค้าสมาส ดงั นี

๑.๑ ตัวอย่างค้าสมาสของไทยท่ียืมมาจากค้าสมาสของภาษาบาลี ได้แก่ ฌาปนกิจ มัจจุราช
อรหตั ผล กมั มฏั ฐาน ธมั มสวนะ รปู ขันธ์ เปน็ ตน้

๑.๒ ตัวอยา่ งคา้ สมาสของไทยที่ยมื มาจากค้าสมาสของภาษาสนั สกฤต ไดแ้ ก่ กรรมกร คทาธร
ปรปักษ์ มหากาพย์ ยถากรรม วรี บรุ ษุ เป็นต้น

๑.๓ ตัวอย่างค้าสมาสของไทยที่ยืมมาจากค้าสมาสที่มีใช้ทังในภาษาบาลีและสันสกฤต ได้แก่
เทวรปู มหาโจร มธรุ ส ชนบท ราชทณั ฑ์ โลกนาถ กรรมฐาน ธรรมสวนะ เปน็ ต้น

๒. ค้าสมาสสร้าง คือ ค้าสมาสที่ไทยสร้างขนึ เลียนแบบค้าสมาสของภาษาบาลีและสันสกฤต โดย
นา้ คา้ ท่ียืมมาจากภาษาบาลแี ละสนั สกฤตมารวมกัน อาศยั เหตุผลสา้ คญั ๒ ประการ ดังนี

๒.๑ ค้าสมาสสร้างมีใช้แต่ในภาษาไทย ไม่พบในภาษาบาลีและสันสกฤต เช่น สุขภัณฑ์
อดุ มคติ ไสยศาสตร์ ฯลฯ

๒.๒ ลักษณะการเรียงล้าดับของค้าสมาสสร้างในภาษาไทยนัน มี ๒ ลักษณะ ได้แก่
เรียงลา้ ดับหน่วยหลักไว้ทตี่ า้ แหน่งหน้าและเรยี งหน่วยขยายไว้ที่ต้าแหนง่ หลัง (หน่วยหลัก + หน่วยขยาย) และ
เรยี งหนว่ ยหลักไว้ท่ีต้าแหน่งหลัง และเรียงหนว่ ยขยายไว้ท่ีตา้ แหนง่ หน้า (หน่วยขยาย + หนว่ ยหลกั ) ดังนี

๑) ค้าสมาสสร้างที่เรียงล้าดับค้าแบบ (หน่วยหลัก + หน่วยขยาย) มีลักษณะเหมือนกับค้า
ประสมในภาษาไทยนัน เช่น กัมปนาท ฆาตกร จารกรรม ฉัตรมงคล ชลนัยน์ ญาติธรรม ดาราจักร ธนบัตร
นิตยสาร บรรณพิภพ ประชาชน ผลติ ภณั ฑ์ พนั ธกิจ ภารกิจ มูลนธิ ิ โยธวาทติ โลกทัศน์ สันติภาพ อุตสาหกรรม
ทรพั ยากร บรรณารักษ์ ประชาธิปไตย เลขานุการ สรรพาวุธ ขีปนาวธุ กัมมันตรังสี สวามิภักด์ิ สตู ิบัตร จนิ ตกวี
นติ ิภาวะ บรมธาตุ มนเทียรบาล เอกราช กจิ กรรม มาตรฐาน กาฬโรค กิตติคุณ ครุภัณฑ์ ธรรมชาติ จันทรคติ
จกั รยาน ทศนิยม นครรัฐ ยุทธหัตถี อายุขัย นามธรรม กายกรรม พลศึกษา คุณลักษณะ เกียรติคุณ จักรวรรดิ
วัตร จิตรกรรม เชตุพน โพธิธรรม มิตรภาพ ราชทรัพย์ ราชภัฏ โลกนาถ กายวิภาคศาสตร์ เกียรตินิยม
จักรวรรดินิยม จิตพิสัย ฐานนิยม ตรีโกณมิติ เทพนิยาย นามสกุล นิเทศศาสตร์ นามบัตร บทบาท บาทยุคล
ผลลัพธ์ ไพศาลทักษิณ ภาพพจน์ ภาพลักษณ์พสกนิกร วิกลจริต วิเทศสัมพันธ์ สกรรมกริยา สุภาพบุรุษ
อเนกประสงค์ อุดมศึกษา วินัยธร เวทมนตร์ สังคมวิทยา อธิการบดี อินทรธนู อุตุนิยมวิทยา ดุลพินิจ
รัฐวิสาหกิจ รัฐสภา ศิลปกรรม อุดมคติ บุคลิกลักษณะ ไปรษณียภัณฑ์ พุทธศักราช สารสนเทศ ชวเลข
พันธบัตร เภสัชกรรม ยนตรกรรม วันทยหัตถ์ สวัสดิภาพ พฤษภาคม วิทยาลัย แสนยานุภาพ พลการ ราชฤษี
เศวตฉตั ร ชวี อากาศวทิ ยา ทศั นอุปกรณ์ วนอทุ ยาน โลกอดุ ร พนันดร สขุ อนามัย อาชวี อนามยั เอกอัครราชทูต
บูรณาการ ศิลปากร วิทยาลัย เกียรตบิ ัตร ชาติพันธว์ุ ิทยา มหาวทิ ยาลยั นารายณ์หตั ถ์ พพิ ัฒน์สัตยา ประจักษ์

** ตน้ เคา้ ศัพท์ (stem) คือ “คา้ ที่ยังไม่ประกอบหนว่ ยผันคา้ หรือวภิ ตั ติ” ปาณินเิ รียกตน้ เคา้ ศัพท์วา่ ศพฺท (<ท. ศพท์)
ภาษาบาลีและสนั สกฤตมี ศพั ท์ ๒ ประเภท คอื นามศัพท์ (nominal stem) กบั กรยิ าศัพท์ (verbal stem) ราชบณั ฑิตยสถาน
บัญญัติศัพท์แทนคา้ ว่า stem ว่า ตน้ เค้าศัพท์ ดังนันเราอาจเรียก นามศพั ท์ (nominal stem) ว่า ต้นเค้าศัพทห์ นว่ ยนาม และ
เรียก กริยาศพั ท์ (verbal stem) ว่า ต้นเคา้ ศัพท์หนว่ ยกริยา

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๔๒

สมั ผัส วิเศษณว์ ลี ศนู ยส์ ูตร พยากรณศ์ าสตร์ โลกยี ว์ ิสัย ศัพท์บัญญัติ อกั ษรศาสตรบัณฑิต แพทยศาสตรบัณฑิต
สัจธรรม สาธารณสมบัติ อารยธรรม ศาสตราจารย์ วันทนาการ คงคาลัย มัคคเุ ทศก์

๒) คา้ สมาสสรา้ งทเ่ี รยี งล้าดบั คา้ แบบ (หน่วยขยาย + หน่วยหลกั ) ตามลักษณะของภาษาบาลี
และสันสกฤต มักจะแปลค้าหลักท่ีมาข้างหลังก่อนค้าขยายท่ีมาข้างหน้า เช่น อดีตชาติ ขัตติยกุมาร
คณิตศาสตร์ ฌาปนสถาน ไตรลักษณ์ ถาวรวัตถุ ทัณฑสถาน ราชมงคล วาตภัย ศุภนมิ ิต หัตถกรรม ภตั ตาคาร
ฌาปนกิจ ปฐมวัย มนุษยธรรม แพทยศาสตร์ รัฐศาสตร์ รุกขวิทยา สมุฏฐานวิทยา สวนศาสตร์ กรรมฐาน
ธรรมขันธ์ โบราณคดี เบญจศีล ปรากฏการณ์ เพชรบุรี ราชบุรี มนุษยศาสตร์ ศัลยแพทย์ โบราณวัตถุ
ประวัตศิ าสตร์ แพทยสภา วิกฤตการณ์ อักษรศาสตร์ อุบัตเิ หตุ กรณยี กิจ ยุทธภูมิ ราชอาชญา ราชโองการ ราช
โอรส คชลกั ษณ์ คณบดี นิติบุคคล มจิ ฉาทิฐิ ศาสนพิธี สมุทรเจดีย์ เหมนั ตฤดู
และสามารถแปลค้าหน้ากอ่ นค้าหลงั เชน่ ธรรมวินัย ผลกรรม ผลบุญ มณฑลพธิ ี สรรพางค์ สมณพราหมณ์

อีกอย่างหนึ่ง ค้าทเ่ี กิดจากต้นเคา้ ศัพท์ ตังแต่ ๒ หนว่ ยค้ามารวมกนั ซึ่งหนว่ ยค้าแรกเป็นหนว่ ยค้า
เติมหน้า หรือ อุปสรรค รวมกับ ต้นเค้าศัพท์ (หน่วยค้าเติมหน้า + ต้นเค้าศัพท์) ไม่จัดว่าเป็นค้าสมาส ซึ่งเป็น
วธิ ีการสร้างค้าชนิดหนึ่งในภาษาบาลีและสันสกฤต โดยภาษาไทยได้ยืมค้าเหล่านีมาใช้ และจัดเปน็ ค้าประสาน
แบบหน่ึง เพราะเป็นค้าที่เกิดจาก หน่วยค้าเติมหน้า กับ ต้นเค้าศัพท์ เช่น ทรพิษ เนรคุณ ปฏิกรรม ปราชัย
สมบูรณ์ สญั ญาณ สุจรติ อธิราช อนุชน อภิสทิ ธ์ิ อวกาศ อุปราช เปน็ ต้น

๓. ค้าสมาสซ้อน คือ ค้าสมาสท่ีน้าค้ายืมภาษาบาลีและสันสกฤตที่มีความหมายเหมือนกันหรือ
คล้ายคลึงกันมาซ้อนรวมกัน เช่น กาลเวลา นรชน ประชาชน ผลานิสงส์ โภชนาหาร มิตรสหาย วัฏสงสาร
ศาสตราวุธ สงั สารวฏั กปั กลั ป์ ขัตตยิ กษตั ริย์ อทิ ธฤิ ทธิ์ เปน็ ตน้

๔. ค้าสมาสเทียม กล่าวคือ มีองค์ประกอบท่ีไม่ใช่ค้ายืมภาษาบาลีและสันสกฤตปนอยู่ด้วย จึง
เรียกว่า ค้าสมาสเทียม ค้าสมาสเทียมอาจมีค้าที่มาจากภาษาบาลีหรือสันสกฤตอยู่ส่วนหน้าหรือส่วนหลังของ
ค้ากไ็ ด้ แต่อกี ค้าหนึง่ ท่มี ารวมกนั นนั ไม่ใช่คา้ ยมื จากภาษาบาลแี ละสนั สกฤต ดังนี

๑) ค้าสมาสเทียมที่มีค้าภาษาบาลีหรือสันสกฤตอยู่ส่วนหน้าของค้า เช่น คุณค่า ภูมิล้าเนา
เภสัชเคมี อินทรีย์เคมี มายากล จุลจอมเกล้า ชีวเคมี เทพเจ้า ผลไม้ พลขับ พลความ พลเมือง พุทธท้านาย
เมรุมาศ ราชวัง ราชด้าเนนิ ราชปะแตน ราชสา้ นัก เวชระเบยี น ศักดินา สรรพสนิ คา้ สวุ รรณชาด ฯลฯ

๒) ค้าสมาสเทียมท่ีมีค้าภาษาบาลีหรือสันสกฤตอยู่ส่วนหลังของค้า เช่น เคมีภัณฑ์ บรรทัด
ฐาน กลศาสตร์ เขมรินทร์ คริสตกาล คริสตจักร คริสตสมภพ ทุนทรัพย์ บรรจุภัณฑ์ บรรดาศักดิ์ อิสลามิกชน
ฯลฯ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๑๔๓

๕.๖ คาสนธิ
๕.๖.๑ ความหมายของคา้ สนธิ
พระยาอุปกติ ศิลปสาร (๒๕๓๙ : ๔๑ – ๔๓) กล่าวไวว้ ่า สนธิคือวธิ ีเชอื่ มค้ากบั คา้ ให้ติดเป็นค้าเดยี วกัน

ในภาษาบาลีและสันสกฤตมีวิธีต่าง ๆ แต่ในท่ีนีจะกล่าวเฉพาะที่ใช้กันอยู่ในภาษาไทย ค้าที่ใช้สนธิกันได้ก็มีแต่
ค้าท่มี าจากบาลีและสันสกฤตเท่านัน

สถาบันภาษาไทย (๒๕๕๕ : ๘๓) กล่าวไว้ว่า สนธิ หมายถึง ปรากฏการณ์ท่ีหน่วยเสยี ง ๒ หน่วย เมื่อ
มาอยู่ประชิดกันแล้ว หน่วยเสียงใดหน่วยเสียงหน่ึงหรือทังสองแปรไปหรือหน่วยเสียง ๒ หน่วย รวมเข้าเป็น
หน่วยเสยี งเดยี วกนั หรอื มหี น่วยเสียงอกี หน่วยเสียงหนง่ึ เพมิ่ เข้ามา

สมาคมครูภาษาไทยแหง่ ประเทศไทย (๒๕๕๘ : ๘๖) กลา่ วไวว้ า่ สนธิ หมายถงึ ปรากฏการณท์ เี่ สียง ๒
เสียง มาอยู่ประชิดกันแล้วเสียงหนึ่งหรือทังสองเสียงแปรไป เสียงสุดท้ายของค้าหน้ากลืนกับเสียงแรกของค้า
หลังและกลืนเป็นเสียงเดยี วกนั

สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ (๒๕๔๓ : ๒๐๑) กล่าวไว้ว่า สนธิ คือการเช่ือมค้าในภาษาบาลีและสันสกฤตให้
เสียงกลมกลืนกัน คือท้ายเสียงค้าต้น กับต้นเสียงค้าท่ีน้ามาต่อจะกลมกลืนกัน เป็นวิธีสร้างค้าใหม่ขึนใช้ใน
ภาษาหรืออาจจะพูดอีกอย่างหนึ่งว่า สนธิ คือการต่อศัพท์และอักขระให้เน่ืองกันด้วยอักขระเพ่ือย่ออักขระให้
น้อยลง ท้าให้เกิดค้าใหม่ที่มีเสียงกลมกลืนกัน มีประโยชน์ในการน้าไปแต่งค้าประพันธ์และให้ได้รูปศัพท์ใหม่ท่ี
ทังเดน่ ดว้ ยความหมายและได้รปู ค้าสละสลวย

ก้าชัย ทองหล่อ (๒๕๕๒ : ๑๓๒) กล่าวไว้ว่า สนธิ คือการต่อค้าตังแต่สองค้าขึนไปให้ติดเน่ืองเป็นค้า
เดียวกัน โดยมีการเปล่ียนแปลงรูปสระในระหว่างค้าหรือเพิ่มพยัญชนะแทรกลงในระหว่างค้า เพื่อให้ค้าที่จ ะ
นา้ มาต่อกันนนั เชอื่ มกันได้สนิท

สรุปความได้วา่ ค้าสนธิ คือ การเชือ่ มค้าตงั แต่ ๒ คา้ ขนึ ไป ใหม้ ีเสยี งกลมกลืนเปน็ คา้ เดียวกัน

๕.๖.๒ ลกั ษณะของค้าสนธิ
ก้าชัย ทองหลอ่ (๒๕๕๒ : ๑๓๒) กลา่ วไวว้ า่ ค้าสนธิทใ่ี ชใ้ นภาษาไทยมี ๔ ลักษณะ ดงั นี

๑. ค้าท่จี ะนา้ มาสนธกิ นั อยา่ งนอ้ ยจะต้องมี ๒ ค้า ขนึ ไป
๒. เมื่อสนธิกันแล้ว จะต้องเป็นค้าเดียวกันเช่นเดียวกับค้าสมาสและโดยปกติจะต้องแปลจากค้า
หลงั ย้อนไปหาค้าหน้าเสมอ เพราะต้องเรียงคา้ ตามหลกั ไวยากรณ์บาลีและสันสกฤตคือเรียงค้าขยายไว้ข้างหน้า
๓. ค้าท่ีจะน้ามาสนธิกัน ตามปรกติจะต้องเป็นค้าบาลีหรือสันสกฤต อาจจะเป็นบาลีสนธิกับบาลี
สนั สกฤตสนธกิ ับสนั สกฤต หรอื บาลสี นธกิ บั สนั สกฤตกไ็ ด้
๔. ค้าท่ีจะน้ามาสนธิกัน ตามปรกติจะต้องมีทังสระหน้าและสระหลัง สระหน้าคือสระที่เป็น
พยางคส์ ุดท้ายของค้าหน้า สระหลังคือสระที่เป็นพยางค์หนา้ ของคา้ หลงั สระหลังนีจะต้องเป็นสระลว้ น ๆ ที่ไม่
มพี ยัญชนะประสมอยู่ดว้ ย ตัวอย่าง เชน่ สระหนา้ มี ๖ คือ อะ อา อิ อี อุ อู สระหลงั มี ๑๑ คือ อะ อา อิ อี อุ อู
เอ โอะ โอ ไอ เอา สระหลังนีถ้ามีพยัญชนะประสมอยู่ด้วย (ตัว อ ไม่นับ) จะสนธิกันไม่ได้ เว้นไว้แต่จะประสม
กนั ไปเฉย ๆ ตามวธิ ีของสมาส

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๑๔๔

๕.๖.๓ ประเภทของค้าสนธิ
๑. ประเภทของค้าสนธิในภาษาไทย สามารถแบง่ ได้ ๓ ประเภท ดงั นี
๑.๑ สระสนธิ คือการสนธิระหว่างค้าที่ขึนต้นด้วยสระกับค้าท่ีสุดศัพท์ด้วยสระ วิธีสนธิหรือ

กลมกลืนเสียงนันมีหลายวิธี เช่น ลบสระหลังบ้าง แปลงสระหน้า หรือแปลงสระหลังบ้าง หรืออาจจะแทรก
เสียงสระเข้าตรงกลางอย่างทเ่ี รียกว่าลงสระอาคมบ้าง หรอื บางทีอาจจะปล่อยรูปศัพท์ให้คงรูปอยู่อยา่ งเดิม ซ่ึง
เรียกว่า ปรกติสนธิ หรืออาจจะยืดเสียงสระที่เป็นรัสสระให้ยาว เรียกว่า ทีฆสระสนธิ หรือทอนเสียงสระให้สัน
ลง เรียกว่า รสั สระสนธิ (สุธิวงศ์ พงศ์ไพบลู ย์, ๒๕๔๓ : ๒๐๒) เช่นค้าว่า ศาสนปู ถัมภ์ อกั ขรานุกรม จฬุ าลงกรณ์
ธรรมาภิบาล โลกาภิวัตน์ กรรมาธิการ นเรนทร์ ปรมาณู สุโขทัยพนานดร คเชนทร์ เทเวนทร์ นเรนทร์
นาเคนทร์ มฤเคนทร์ ราชูปโภค ราโชปโภค ราชินูปถัมภ์ ธันวาคม เทศาภิบาล มเหสี ราโชบาย กรินทร์
ผณินทร์ สุขาภิบาล มูรธาภิเษก มุทธาภิษิต นเรศวร เกษตราธิการ นราธิบดี ศึกษาธิการ ประชาภิบาล
สาธารณูปโภค นโยบาย ราชินูปถัมภ์ ราชิโนวาท ขันตยาคม อัธยาตม อัธยาศัย นันทยารมณ์ สันตยารักษ์
อัตยนั ต์ ปรตั ยุบัน ฯลฯ

อีกอย่างหน่ึง ลักษณะท่ีสองเมื่อเชื่อมกันแล้วเป็นค้าเดียว ไม่สามารถแยกค้าได้ เช่น คชินทร์
เทวินทร์ เทพินทร์ นรินทร์ นาคินทร์ มฤคินทร์ มุนินทร์ ชนินทร์ มหิทธิ มโหฬาร มเหาฬาร วนันดร พุทธันดร
กตญั ชลี ทานัธยาศยั มหรรณพ มหัศจรรย์ ทฆี ัมพร สรุ างค์ เสนางค์ สตางค์ อุตมางค์ มหาตม มหินทร์ มไหศูรย์
วโรกาส มโหสถ สุทโธทนะ ปิเยารส อรินทร์ นารินทร์ ไพรินทร์ นารีศวร ปัจเจกชน พุทโธวาท อัคยาคาร
หตั ถาจารย์ ประชากรหตั ถาภรณ์ วราภรณ์ พัชรนิ ทร์ กรนิ ทร์ กเรนทร์ บคุ ลากร ศภุ มัสดุ ปรเมนทร์ นานัปการ
ยุทโธปกรณ์ ฯลฯ

๑.๒ พยัญชนะสนธิ คอื การเชอ่ื ม และกลมกลนื เสยี งระหว่างค้าท่ีสุดศพั ทด์ ว้ ยพยญั ชนะกับค้า
ท่ขี ึนต้นดว้ ยพยญั ชนะหรือสระ พยญั ชนะสนธกิ รณนี ีมีเฉพาะในภาษาสันสกฤตเทา่ นัน ในภาษาบาลีไมม่ ี เพราะ
ศัพทใ์ นภาษาบาลที ุกค้าจะต้องสุดศัพท์ด้วยสระ หรอื ท่เี รียกว่าสระการันต์ ดงั นนั พยัญชนะสนธิ ในภาษาบาลีมี
เฉพาะถึงการกลืนเสียงระหว่างค้าต้นท่ีจบด้วยสระ กับค้าท้ายซึ่งขึนต้นด้วยพยัญชนะ (สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์,
๒๕๔๓ : ๒๐๔) เช่น อนามัย อนาคต รังสิโยภาส ปิตุเรศ ฉฬายตนะ ยุพเรศ รัตยานันท์ มัตยาธิบาย สามัคยา
จารย์ อคั โยภาส ปัจจามิตร ปจั จบุ นั ปัจจุคมน์ ปรโิ ยสาน จตรุ งค์ เยาวเรศ จตุราริยสจั เอตทัคคะ ครุโวปการ
มโหสถ รโหฐาน นริ ภัย ทรุ ชน นมัสการ กตัญญู ฯลฯ

๑.๓ นฤคหิตสนธิ คือการต่อเชื่อมและกลมกลืนเสียงระหว่างค้าต้นที่ลงท้ายด้วยนฤคหิตกับ
ค้าที่ขึนต้นด้วยสระหรือพยัญชนะ เม่ือค้าท่ีลงท้ายด้วยนฤคหิต สนธิกับค้าที่ขึนต้นด้วยพยัญชนะวรรค ดังนัน
นฤคหิตจะสลายเปน็ พยญั ชนะนาสกิ ยะของพยัญชนะตัวทต่ี ามมา คือเป็นพยัญชนะในแถวที่ ๕ ของแต่ละวรรค
ได้แก่ ง ญ น ณ ม (สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์, ๒๕๔๓ : ๒๐๖) เช่น สัญจร สัมผัส สมาคม สมาจาร สโมสร สังคม
สณั ฐาน สันธาน สัมผัส สังหาร สังวร สงั สรรค์ สัญญา สัญญาณ บงั สุกุล ฯลฯ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๔๕

สรุปทา้ ยบท

คา้ ซ้า ประกอบด้วย ๗ หัวข้อ ได้แก่ ๑) ความหมายของค้าซ้า ๒) การออกเสียงค้าซ้า ๓) การสร้างค้า
ซ้า ๔) ประเภทของค้าซ้า ๕) ค้าท่ีมีรูปซ้าบางค้าแต่ไม่ใช่ค้าซ้า ๖) ชนิดของค้าและลักษณะความหมายของค้า
ซา้ ๗) การเปลย่ี นความหมายของค้าซ้า ดงั นี

๑) ความหมายของค้าซ้า ค้าซ้า หมายถึง ค้าที่ประกอบด้วยหน่วยค้า ๒ หน่วย ซ่ึงเหมือนกันทุก
ประการ เพือ่ ทา้ ให้เกิดคา้ ใหม่ไดค้ วามหมายใหม่ และค้าท่ีมีเสยี งซา้ กันนันต้องท้าหนา้ ที่อย่างเดยี วกนั

๒) การออกเสียงค้าซ้า มี ๒ ประเภท ดังนี (๑) ค้าซ้าประเภทไม่เปล่ียนเสียง ถ้าค้าเดิมเป็นค้า
พยางค์เดียวจะลงเสียงหนักที่พยางค์หลังเหมือนค้าสองพยางค์ เช่น หลาน ๆ แดง ๆ สวย ๆ ถ้าค้าเดิมเป็นค้า
สองพยางคห์ รือคา้ หลาย พยางคเ์ มื่อเปน็ ค้าซ้าก็จะออกเสยี งเหมอื นค้าเดมิ เพ่ิมอกี ครังหนง่ึ เชน่ พอดี ๆ สปั ดาห์
ๆ ระบบ ๆ (๒) ค้าซ้าประเภทเปลี่ยนเสียง ค้าซ้าประเภทท่ีเน้นความหมายหรือเพิ่มความหมายขึน จะเปลี่ยน
เสียงวรรณยุกต์ของพยางค์หน้าเป็นวรรณยุกต์เน้นพิเศษ ค้าซ้าประเภทเปลี่ยนเสียงที่เป็นค้านามเม่ือซ้าแล้ว
อาจใช้เป็นค้ากริยาคุณศัพท์หรือค้าวิเศษณ์ได้ ค้าประเภทนีมีทังค้าภาษาไทยและค้าภาษาอ่ืน ค้าซ้าประเภทนี
จะซ้าค้าโดยไม่ใช้ไม้ยมก ในที่นี ใช้เครื่องหมาย ๙ เรียกว่า ไม้เบญจา ใช้แสดงเสียงวรรณยุกต์เน้นพิเศษที่มี
ลักษณะสูงกวา่ เสยี งตรีปรกตใิ นภาษาไทย (ยังไม่ไดบ้ ญั ญัตใิ ห้ใชท้ ัว่ ไป เป็นเพยี งแนวคิด)

๓) การสร้างค้าซ้า การซ้าค้าเป็นวิธีการสร้างค้าวิธีหนึ่ง โดยเอาค้าหลักหรือค้าตังมาซ้ากัน ใน
ภาษาไทยถ้าอาศัยลักษณะของค้าซ้ามีลักษณะการซ้าอยู่ ๔ ลักษณะ คือ ๑) การซ้าพยางค์ ๒) การซ้าค้า ๓)
การซา้ บางส่วนของค้า และ ๔) การซ้าหน่วยเสียง สว่ นจ้านวนพยางค์ของค้าซ้า โดยทั่วไปจะมีตังแต่ ๒ พยางค์
ถึง ๔ พยางค์ (แต่ไม่เกนิ ๖ พยางค)์

๔) ประเภทของค้าซ้า สามารถจัดแบ่งประเภทตามลักษณะของการซ้าเป็น ๓ ประเภทใหญ่ ๆ
ได้แก่ (๑) ค้าซ้าแท้ คือ ค้าท่ีมีการซ้าตนเองหรือซ้าพยางค์โดยท่ัวไป (๒) ค้าซ้าเทียม คือ ค้าซ้าเฉพาะบางส่วน
ของพยางค์ทังสระ และพยัญชนะ หรือเฉพาะหน่วยเสียงพยัญชนะต้นค้าหรือท้ายค้า (๓) ค้าซ้าแท้ผสมค้าซ้า
เทียม คอื คา้ ท่ีมีทังการซ้าค้าหรอื ซ้าพยางค์ และซ้าเพียงบางส่วนของพยางค์ในค้าซ้านัน ๆ ไปพร้อม ๆ กัน ทัง
สองแบบ (ตาม ๑ และ ๒)

๕) ค้าท่ีมีรูปซ้าบางค้าแต่ไม่ใช่ค้าซ้า มี ๒ ประเภท ดังนี (๑) ค้าบางค้าดูเหมือนจะมีลักษณะเป็น
ค้าซ้าเพราะออกเสียงซ้ากันและใช้รูป ๆ เขียน เช่น ฉอด ๆ ปาว ๆ หลัก ๆ ยอง ๆ หยก ๆ แต่ค้าเหล่านีไม่
สามารถน้าค้าเดิม คือ ฉอด ปาว หลัก ยอง หยก มาใช้โดยไม่ซ้า โดยปรกติจะต้องใช้ในรูปที่ออกเสียงซ้ากัน
เท่านัน ค้าเหล่านีจึงไม่นับเป็นค้าซ้า (๒) ค้าที่ออกเสียงซ้ากันและเขียนซ้ากันโดยไม่ใช้ไม้ยมก เช่น จะจะ ซ่ึงมี
ความหมายว่า “ให้ชัดเจน, กระจ่าง” เช่น ในข้อความว่า “เห็นอยู่จะจะแล้วว่า อะไรเป็นอะไร ไม่ต้องพดู กันให้
มากเรื่อง” กรณีเช่นนี ค้าว่า จะจะ ไม่ใช่ค้าซ้า นอกจากนีค้าต่างประเทศอ่ืน ๆ ท่ีเขียนซ้ากันโดยไม่ใช้ไม้ยมก
เชน่ นานา หรอื ชอ่ื เฉพาะท่ีมาจากภาษาจีน เชน่ หวีอนั อัน, อิ๋งองิ๋ , เชาเชา, ชิงชิง เปน็ ตน้ กไ็ มน่ ับวา่ เป็นค้าซา้

๖) ชนิดของคา้ และลกั ษณะความหมายของค้าซ้า มี ๑๒ ประเภท ได้แก่ ค้านาม ค้าสรรพนาม ค้า
ลักษณนาม ค้ากริยา ค้าช่วยกริยา ค้าบุพบท ค้าวิเศษณ์ ค้าบอกจ้านวน ค้าบอกล้าดับ ค้าหน้าจ้านวน ค้าหลัง
จ้านวน และค้าบอกก้าหนดไม่ชีเฉพาะ ค้าท่ีซ้าแล้วจะมีความหมายต่างไปจากค้าเดิม ได้แก่ เป็นพหูพจน์ ไม่
เฉพาะเจาะจง เน้นว่ามีเฉพาะสิ่งนัน ท้าซา้ ๆ คล้าย ๆ อย่างนัน แยกพวก น้าหนักอ่อนลง นา้ หนักเพ่ิมขึนและ
เปลยี่ นไปหรอื เป็นส้านวนท่ีมีความหมายเฉพาะ ในหลายกรณี ความหมายของค้าซา้ จะขึนกบั ปรบิ ท เช่น คา้ ซ้า
ค้าเดียวกันในปริบทหน่ึงอาจมีความหมายเปน็ พหพู จน์ แต่ในอีกปรบิ ทหน่งึ อาจมคี วามหมายเป็นลักษณะกลาง
ๆ เป็นท้านองนันก็ได้

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๑๔๖

๗) การเปลยี่ นความหมายของค้าซา้ ความหมายของคา้ ซา้ ท่ีเกดิ จากการนา้ คา้ ที่มีรูปเดยี วกนั มาซ้า
กัน อาจท้าให้เกิดความหมายต่าง ๆ กัน มี ๗ ประการ ดังนี (๑) การซ้าค้าแสดงความหมายทางไวยากรณ์เป็น
พหูพจน์ (๒) การซ้าคา้ เพ่ือเพ่ิมน้าหนกั ของความหมายของค้า (๓) การซา้ ค้าเพอื่ ลดน้าหนักความหมายของค้า
เดิม (๔) การซ้าค้าเพื่อแยกความหมายเป็นส่วน ๆ (๕) การซ้าค้าอาจทา้ ให้เกิดความหมายไม่จ้ากัดแน่นอน (๖)
การซา้ คา้ เปน็ สา้ นวน (๗) ค้าซา้ ท่ีเปลี่ยนความหมาย

คา้ ซ้อน ประกอบด้วย ๕ หัวข้อ ได้แก่ ๑) ความหมายของค้าซ้อน ๒) จุดประสงค์ของคา้ ซ้อน ๓) การ
สร้างค้าซอ้ น ๔) ทีม่ าของคา้ ทม่ี าซอ้ นกัน ๕) ตา้ แหนง่ ของคา้ ทีบ่ อกความหมายของค้าซ้อน

๑) ความหมายของค้าซ้อน ค้าซ้อน หมายถึง ค้าท่ีเกิดจากการน้าค้าตังแต่ ๒ ค้าขึนไปมาเรียงต่อ
กัน โดยแต่ละค้านัน มีความสัมพันธ์กันในด้านความหมาย อาจเป็นความหมายเหมือนกัน คล้ายกัน ท้านอง
เดียวกันหรือตรงกันข้ามก็ได้ ค้าท่ีน้ามาซ้อนกันเพ่ือให้เกิดเป็นค้าซ้อนนันแต่เดิมมักใช้ค้าที่มีความหมาย
เหมือนกนั หรอื คลา้ ยคลึงกัน โดยทีค่ ้าทังสองอาจมีทีใ่ ชใ้ นภาษาถิ่นคนละถน่ิ หรอื ใชต้ ่างกาลเวลากนั มาซ้อนกัน

๒) จุดประสงค์ของค้าซอ้ น การซ้อนคา้ เพื่อให้สอื่ ความหมายไดช้ ดั เจน บางครังคา้ หน่งึ ชว่ ยอธบิ าย
ความหมายของคา้ อกี ค้าหนึ่งใหเ้ ขา้ ใจย่ิงขึน โดยเฉพาะเม่ือไทยยืมคา้ ภาษาต่างประเทศหรอื ภาษาถ่ินมาใช้ ก็น้า
ค้าไทยมาใช้เข้าคู่กันเพ่ือบอกความหมายของค้าต่างประเทศนัน ค้าที่ซ้อนเพื่ออธิบายความอาจอยู่ส่วนหน่ึง
หรือส่วนหลังของค้าซ้อนก็ได้ และยังช่วยแก้ไขความก้ากวมของค้าพ้องหรือแยกความหมายของค้าให้ชัดเจน
ย่ิงขึนด้วย ดังนี ๑) แยกค้าท่ีมีเสียงพ้องกัน ๒) เพ่ือเสริมความหมาย ๓) เพื่ออธิบายความหมายหรือแปล
ความหมายของค้าในภาษาถ่ินหรือภาษาตา่ งประเทศ

๓) การสรา้ งค้าซ้อน สามารถแบ่งเป็น ๒ ประเภท ได้แก่ ค้าซ้อนเพ่อื ความหมาย และคา้ ซ้อนเพ่ือ
เสียง ดังนี (๑) ค้าซอ้ นเพอื่ ความหมาย เกิดจากการน้าคา้ ๒ ค้าท่ีมคี วามหมายเหมือนกัน ใกล้เคียงกัน ท้านอง
เดียวกันหรือตรงข้ามกันมาซ้อนกัน ค้าที่น้ามาซ้อนกันมีความหมายประเภทใดประเภทหนึ่ง (๒) ค้าซ้อนเพ่ือ
เสียง เกิดจากการน้าค้าพยางค์เดียวหรือ ค้าหลายพยางค์ที่มีเสียงพยัญชนะต้นเหมือนกันและเสียงพยัญชนะ
ตัวสะกดอาจเหมอื นกันหรอื ต่างกนั แตป่ ระสมดว้ ยเสยี งสระต่างกันซอ้ นกัน ความหมายของคา้ ซอ้ นชนดิ นี อาจ
อยู่ที่พยางค์ใดพยางค์หน่ึงหรืออยู่ที่ทุกพยางค์รวมกัน ค้าซ้อนเพ่ือเสียงมักมีจ้านวนพยางค์เป็นจ้านวนคู่ เช่น
สองพยางค์ ส่พี ยางค์ หกพยางค์ เป็นต้น

๔) ที่มาของคา้ ที่มาซอ้ นกัน กลา่ วคือค้าท่นี ้ามาซ้อนกนั อาจเป็นค้าไทยซ้อนกบั ค้าไทย ค้าไทยซ้อน
กับค้าต่างประเทศ หรือค้าต่างประเทศซ้อนกันเอง และซ้อนค้าที่มีเสียงใกล้เคียงกัน เพื่อให้ออกเสียงสะดวก
ค้าซ้อนพวกนีเกิดขึนตามธรรมชาติของการออกเสียง อาจเป็นค้าท่ีไม่มีความหมายเลยก็ได้ แต่เมื่อน้าค้าท่ีมี
เสียงใกล้กันมาเข้าคู่กันเป็นค้าซ้อนแล้วท้าให้เกิดความหมายขึน ได้แก่ค้าที่มีพยัญชนะต้นและตัวสะกดตรงกัน
แตป่ ระสมดว้ ยสระตา่ งกนั สระนนั มกั เป็นสระทใ่ี กล้เคยี งกนั

๕) ตา้ แหน่งของค้าที่บอกความหมายของค้าซ้อน ค้าซ่งึ มารวมกันเป็นค้าซ้อน อาจมเี พียงค้าใดค้า
หนึ่งใช้ตรงกับความหมายของค้าซ้อนทังค้า อีกค้าหน่ึงเป็นเพียงค้าท่ีเข้ามาประกอบเท่านัน ค้าที่ใช้ใน
ความหมายตรงกับความหมายของค้าซ้อนทังค้า อาจเป็นค้าที่อยู่ส่วนหน้าหรือส่วนหลังของค้าซ้อนก็ได้
ความหมายของค้าซ้อนชนิดต่าง ๆ ทังชนิดค้าซ้อนเพื่อความหมายและค้าซ้อนเพ่ือเสียง อาจจะแบ่งเป็น ๒
ลักษณะ คือ (๑) ค้าซ้อนที่มีความหมายเหมือนค้าเดิม ค้าซ้อนประเภทนีเป็นค้าซ้อนเพื่อความหมายโดยตรง
เพราะเกิดจากการน้าค้าที่มีความหมายเหมอื นกัน คล้ายคลงึ กัน หรือท้านองเดียวกัน แต่มีท่ีใชต้ ่างถ่ินหรือต่าง
เวลากันมาซ้อนกัน อาจเพื่ออนุรักษ์ค้าและบอกความหมายของค้า ท้าให้ผู้อ่านถ่ินนัน ๆ รู้จักค้าและเข้าใจ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง


Click to View FlipBook Version