๑๙๖
รูปแบบการเรียนการสอน
๑. กิจกรรมสรา้ งสรรค์
๑.๑ เกม (บัตรคา)
๑.๒ แบบทดสอบ/แบบฝึกหดั ทางภาษาศาสตร์ภาษาไทย
๒. กจิ กรรมการจดั การเรยี นรแู้ บบเนน้ ภาระงาน (TBL : Tack-Based Learning)
๒.๑ นิยามความหมายของวลี ประโยค ความหมาย
๒.๒ ลักษณะของโครงสรา้ งและลกั ษณะของวลีเปน็ อยา่ งไร
๒.๓ ลักษณะของโครงสรา้ งและลกั ษณะของประโยคเป็นอย่างไร
๒.๔ ลกั ษณะของโครงสรา้ งและลักษณะของความหมายเป็นอยา่ งไร
๒.๕ วาดแผนผงั เปรยี บเทยี บวลีตามหลกั ภาษาศาสตร์ภาษาไทย
๒.๖ วาดแผนผังเปรยี บเทยี บประโยคตามหลักภาษาศาสตร์ภาษาไทย
๒.๗ วาดแผนผงั เปรยี บเทียบความหมายตามหลกั ภาษาศาสตร์ภาษาไทย
สื่อการเรยี นรู้
๑. โปรแกรมนาเสนอภาพน่งิ (PPT.) เนือ้ หาประกอบการบรรยาย
๒. โปรแกรมสอ่ื มตั ติมเี ดียและแอปพลเิ คชัน YouTube
๓. เอกสารประกอบการสอน รายวชิ า ED1019 ภาษาศาสตร์ภาษาไทยสาหรบั ครู
๔. เกมบตั รคา
๕. แบบทดสอบ/แบบฝึกหดั
๖. แผนการจัดการเรยี นรู้
๗. ใบความรู้
การวัดและการประเมินผล
๑. ประเมนิ ผลจากการสังเกตความสนใจ ซักถาม และตอบคาถาม
๒. ประเมินผลจากการรว่ มกจิ กรรม การอภปิ รายแสดงความคดิ เห็น
๓. ประเมินผลจากผลงาน ด้านเนื้อหา รปู แบบ ความคดิ สร้างสรรค์ วิธกี ารนาเสนอ
๔. ประเมินผลจากการตรวจสอบผลการเล่นเกม แบบทดสอบ และแบบฝกึ หดั
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๑๙๗
เอกสารอ้างองิ
กาชยั ทองหลอ่ . (๒๕๕๒). หลกั ภาษาไทย. พิมพ์คร้งั ที่ ๕. กรงุ เทพฯ : อมรการพิมพ์.
จนิ ดา เฮงสมบูรณ.์ (๒๕๔๒). ภาษาศาสตร์เบ้ืองตน้ . กรุงเทพฯ : สุวรี ยิ าสาส์น.
นววรรณ พันธุเมธา. (๒๕๔๙). ไวยากรณไ์ ทย. พมิ พค์ รง้ั ที่ ๒. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
นิตยา กาญจนะวรรณ. (๒๕๕๔). การวิเคราะห์โครงสรา้ งภาษาไทย. พิมพ์ครั้งท่ี ๕. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลัย
รามคาแหง.
ประยุทธ กุยสาคร. (๒๕๒๗). ภาษาไทยเชิงภาษาศาสตร์. กรุงเทพฯ : เอกสารการนิเทศการศึกษาฉบับท่ี
๒๕๘ ภาคพัฒนาตาราและเอกสารวชิ าการหน่วยการศึกษานิเทศก์ กรมการฝกึ หดั ครู.
พระครูคัมภรี ธ์ รรมานุวัตร. (๒๕๖๓). หลกั ภาษาไทยเบอ้ื งตน้ . ขอนแกน่ : เอม่ี ก๊อปป้ี เซน็ เตอร์.
พระยาอปุ กิตศลิ ปสาร. (๒๕๔๕). หลกั ภาษาไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๑๑. กรงุ เทพฯ : ไทยวัฒนาพานชิ จากดั .
เรืองเดช ปันเข่อื นขัตยิ ์. (๒๕๕๒). ภาษาศาสตร์ภาษาไทย. พมิ พ์ครงั้ ที่ ๒. กรุงเทพฯ : Fast Books.
วรวรรธน์ ศรยี าภัย. (๒๕๕๖). ภาษาศาสตร์ภาษาไทย. พิมพ์ครงั้ ท่ี ๒. นนทบุรี : สมั ปชัญญะ.
วันเพญ็ เทพโสภา. (๒๕๔๗). หลกั ภาษาไทย ฉบบั นกั เรยี น-นักศกึ ษา. กรงุ เทพฯ : พฒั นาศกึ ษา.
วิเชยี ร เกษประทมุ . (๒๕๕๘). หลักภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : เพมิ่ ทรพั ยก์ ารพิมพ์.
วิจินตน์ ภาณุพงศ์. (๒๕๔๓). โครงสร้างของภาษาไทย : ระบบไวยากรณ์. พิมพ์ครั้งท่ี ๑๕. กรุงเทพฯ :
มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง.
วิจินตน์ ภาณุพงศ์ และอนันต์ เหล่าเลิศวรกุล. ๒๕๕๒. ชนิดของคา. ในบรรทัดฐานภาษาไทย : ชนิดของคา
วลี ประโยค และสมั พนั ธสาร. กรุงเทพฯ : องคก์ ารคา้ ของสกสค.
วิไลวรรณ ขนษิ ฐานันท.์ (๒๕๒๗). ภาษาและภาษาศาสตร.์ กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์.
สถาบนั ภาษาไทย. (๒๕๕๕). บรรทัดฐานภาษาไทย เล่ม ๓. พมิ พ์ครงั้ ที่ ๓. กรงุ เทพฯ : องคก์ ารค้าของสกสค.
สุนนั ท์ อัญชลีนุกลู . (๒๕๖๓). ระบบคาภาษาไทย. พิมพ์ครัง้ ท่ี ๖. กรงุ เทพฯ : จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สรุ ิยา รตั นกุล. (๒๕๕๕). อรรถศาสตร์เบอ้ื งต้น. พิมพค์ รั้งที่ ๒. นครปฐม : มหาวิทยาลัยมหดิ ล.
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๑๙๘
แผนการสอนประจาบท
หัวเร่อื ง
๑. ความหมายของสัมพันธสาร
๒. การเช่ือมโยงความของสมั พนั ธสาร
แนวคดิ
ความหมายของสัมพันธสาร หมายถึง ภาษาระดับข้อความ บทสนทนา ย่อหน้า เรียงความ จดหมาย
บทความ เร่ืองส้ัน นิทาน นวนิยาย หนังสือ ตารา คัมภีร์ ล้วนเป็นหน่วยภาษาระดับสัมพันธสารทั้งสิ้น ถึงแม้
ประโยคจะเป็นหน่วยท่ีสาคัญท่ีสุดในระบบไวยากรณ์และใช้สื่อสารกันรู้เร่ือง แต่ในการสื่อสารต้องใช้
ภาษาระดับสัมพันธสาร ซ่งึ ประกอบดว้ ยประโยคหลายประโยค
การเชื่อมโยงความของสัมพันธสาร หมายถึงหมายถึง กลวิธีท่ีทาให้เกิดการเชื่อมโยงความในสัมพัน
ธสาร ได้แก่ การอ้างถึง (reference) การละ (ellipsis) การใช้คาเช่ือมสัมพันธสาร (conjunction) และการใช้
คาศัพท์ (lexical cohesion) ดังน้ี ๑) การอ้างถึง (reference) หมายถึงการเช่ือมโยงความด้วยการใช้คาหรือ
วลีเพ่ืออ้างถึงคาหรือวลีที่มาข้างหน้า ๒) การเช่ือมโยงความด้วยการละ การเชื่อมโยงความในสัมพันธสารอาจ
ทาโดย การละ (ellipsis) คือการละไว้ในฐานที่เข้าใจ หรือการตัดข้อความท่ีผู้พูดกับผู้ฟังรู้ดีอยู่แล้วออก ทาให้
เกิดช่องว่างท่ีมีความเช่ือมโยงกับข้อความท่ีมาข้างหน้า ๓) การเชื่อมโยงความด้วยการใช้คาเชื่อมสัมพันธสาร
คาเชื่อมสัมพันธสาร (conjunction) คือ คาท่ีใช้เชื่อมระหว่างประโยคเพ่ือให้ข้อความมีความต่อเนื่องและ
สัมพันธ์กัน ๔) การเช่ือมโยงความด้วยการใช้คาศัพท์ (lexical cohesion) ทาได้ด้วยการใช้คาศัพท์ที่สัมพันธ์
กัน อาจเป็นคาศัพท์ที่มีความหมายสัมพันธ์กันในแง่ต่าง ๆ ๕) การเช่ือมโยงความด้วยการใช้กลวิธีหลายอย่าง
รว่ มกนั ในสัมพันธสารทัว่ ไป การเชอื่ มโยงความมกั เกดิ จากการใชก้ ลวธิ หี ลายอย่างปนกนั
วัตถุประสงค์
เมื่อนกั ศึกษาเรียนจบบทท่ี ๘ มสี ามารถปฏบิ ตั ิไดด้ งั น้ี
๑. อธิบายความหมายของสมั พนั ธสารในภาษาไทยได้
๒. อธิบายการเชอื่ มโยงความของสมั พนั ธสารในภาษาไทยได้
๓. อธบิ ายประเภทของสมั พนั ธสารในภาษาไทยได้
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๑๙๙
บทท่ี ๘
สัมพนั ธสารในภาษาไทย
สัมพันธสารเป็นการใช้ข้อความสาหรับเชื่อมโยงข้อความระหว่างประโยคกับประโยค ข้อความกับ
ข้อความ เพ่ือให้เกิดความสัมพันธ์กันทางเนื้อหา อีกท้ังเป็นการอ้างอิงถึงที่ต้องการเชื่อมโยง เพ่ือลดการพูดซ้า
หรอื เขียนซา้ ในบทนี้ ผู้เขยี นจะได้กล่าวถงึ ความหมายของสมั พันธสาร และการเชอื่ มโยงความของสมั พันธสาร
ดังมีรายละเอยี ดตอ่ ไปน้ี
๘.๑ ความหมายของสัมพันธสาร
สถาบันภาษาไทย (๒๕๕๕ : ๑๑๗) กล่าวไวว้ ่า คาวา่ สัมพันธสาร ตรงกับคาว่า discourse หรือ text
ซ่ึงนักวชิ าการใช้คาแทนหลายคา นอกจาก สัมพันธสารแล้ว ยังมคี าวา่ ปริจเฉท ตัวบท และ วาทกรรม อกี ดว้ ย
คาว่า ปริจเฉท และ ตัวบท มักใช้ในความหมายด้านภาษา หมายถึง ข้อความต่อเนื่องในภาษาที่
นักภาษาศาสตร์นามาวิเคราะห์ ส่วน วาทกรรม มักใช้ในความหมายด้านสังคม หมายถึง การใช้ภาษาท่ีแสดง
ความสัมพันธ์ทางสังคมหรือแสดงจุดประสงค์ทางสังคม เช่น วาทกรรมทางการเมือง (political discourse)
วาทกรรมทางศาสนา (religious discourse) เป็นต้น ส่วนคาว่าสัมพันธสารซึ่งใช้ในที่น้ีเป็นคาท่ีมีความหมาย
กลาง ๆ คือหมายถึง หน่วยภาษาที่ใหญ่กว่าประโยค ประกอบด้วยประโยคตั้งแต่ ๒ ประโยคข้ึนไปที่มี
ความสัมพนั ธ์กนั
พจนานุกรมศัพท์ (ภาษาศาสตร์ประยุกต์) ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (๒๕๕๓ : ๑๓๕) กล่าวไว้ว่า
สัมพันธสาร เป็นการศึกษาความเก่ียวพันกับประโยคในภาษาพูดและภาษาเขียนข้ึนเป็นหน่วยท่ีใหญ่ขึ้นกว่า
ระดบั ประโยค คอื ระดับยอ่ หนา้ หรอื เป็นบทสนทนาและบทสมั ภาษณต์ า่ ง ๆ
สมทรง บุรุษพัฒน์ (๒๕๓๗ : ๑) กล่าวไว้ว่า สัมพันธสาร หมายถงึ ประโยคหรือข้อความที่มีเนื้อความ
เป็นอนั หนงึ่ อันเดียวกันและมีคาหรอื วลีทาหน้าทเ่ี ช่ือมโยงระหว่างประโยคและข้อความนั้นให้มีความสละสลวย
อมรา ประสิทธ์ิรัฐสินธุ์ (๒๕๕๒ : ๑๑๗) กล่าวไว้ว่า สัมพันธสาร หมายถึง หน่วยภาษาที่ทาหน้าที่ใน
การเชือ่ มหรือแสดงความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งประโยคกับประโยค ซึง่ มคี วามหมายเปน็ เร่อื งเดยี วกนั
วรวรรธน์ ศรียาภัย (๒๕๕๖ : ๒๐๐) กล่าวไว้ว่า สัมพันธสาร หมายถึง หน่วยภาษาในระดับสูงกว่า
ประโยค มีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันต้ังแต่เริ่มต้นไปจนจบ ซึ่งมนุษย์ในการส่ือสารจริง มีท้ังภาษาพูดและภาษา
เขียน ท้งั ภาษาที่พูดคนเดยี วและพูดโตต้ อบกนั
สรุปความได้ว่า สัมพันธสาร หมายถึง วลีหรือข้อความท่ีใช้สาหรับเชื่อมโยงข้อความระหว่างประโยค
กับประโยค ข้อความกับข้อความ เพ่ือให้เกิดความสัมพันธ์กันทางเน้ือหา อีกทั้งเป็นการอ้างอิงถึงท่ีต้องการ
เชอ่ื มโยง เพอ่ื ลดการพดู ซา้ หรอื เขียนซา้
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๒๐๐
๘.๒ การเชอ่ื มโยงความของสมั พนั ธสาร
สถาบันภาษาไทย (๒๕๕๕ : ๑๑๗ – ๑๔๔) กล่าวไว้ว่า คุณสมบัติสาคัญของสัมพันธสารได้แก่ความ
เกีย่ วกนั ระหว่างประโยคหนงึ่ กับอกี ประโยคหนึ่ง ซึ่งทาให้ข้อความทป่ี ระกอบดว้ ยประโยคต่าง ๆ เหล่าน้ัน ไม่ใช่
เป็นเพียงการนาประโยคมาเรียงต่อกันให้ข้อความยาวขึ้น ๆ เท่านั้น แต่เนื้อความของประโยคเหล่านั้นต้องมี
ความต่อเนื่องและเก่ียวพันกัน อันจะทาให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านเข้าใจสิ่งที่ผู้พูดหรือผู้เขียนต้องการสื่อสารได้ ความ
เกีย่ วพันและตอ่ เนอื่ งของประโยคต่าง ๆ ในสัมพันธสารเรียกว่า การเช่ือมโยงความ (cohesion)
สัมพันธสารต้องมีการเช่ือมโยงความ หากไม่มีคุณสมบัติข้อน้ีอาจทาให้การสื่อสารไม่มีประสิทธิภาพ
การเชื่อมโยงความเกิดข้ึนได้ด้วยกลวิธีต่าง ๆ ส่วนใหญ่เจ้าของภาษาจะใช้โดยไม่รู้สึกตัว ในบทนี้จะได้กล่าวถึง
กลวธิ ี ๔ กลวิธที ่ีทาให้เกิดการเชื่อมโยงความใน สัมพันธสาร ไดแ้ ก่ การอ้างถึง (reference) การละ (ellipsis)
การใช้คาเชือ่ มสมั พันธสาร (conjunction) การใชค้ าศัพท์ (lexical cohesion) ดงั นี้
๘.๒.๑ การอ้างถึง (reference) หมายถงึ การเชื่อมโยงความดว้ ยการใช้คาหรือวลีเพื่ออา้ งถึงคาหรอื วลี
ทม่ี าข้างหนา้ เชน่
คาว่า แก ใน#หมู่นี้คุณสมชายลางานบ่อย ผมสงสัยว่าแกคงมีปัญหาเร่ืองสุขภาพ # (แก อ้างถึง
คณุ สมชาย)
คาว่า ท้ังสองคน ใน#นิดกับต้อยไม่ค่อยลงรอยกันเลย #ไม่น่าเชื่อว่าท้ังสองคนเคยเป็นเพื่อนรัก
กนั มากอ่ นสมัยเรียนหนังสอื ทีโ่ รงเรยี น # (ทั้งสองคน อ้างถงึ นดิ กับต้อย)
คาว่า ขนมแบบนี้ ใน#ฉันซ้ือขนมถ่ัวแปบให้น้องกิน#น้องไม่กิน#บอกว่าไม่ชอบ ขนมแบบน้ี#
(ขนมแบบน้ี อ้างถงึ ขนมถว่ั แปบ)
กลวิธีการอ้างถึงท่ีใช้เพ่ือให้เกิดการเชื่อมโยงความในสัมพันธสารภาษาไทยมี ๘ ประเภท คือการซ้า
นามวลเี ดมิ การใช้บุรษุ สรรพนาม การใช้สรรพนามช้เี ฉพาะ การใช้คาบอกกาหนดชี้เฉพาะ การใช้คาที่เก่ียวกับ
จานวน การใช้ตวั บ่งบอก การใช้คาแทนท่ี และการใชค้ าเปรียบเทยี บมากน้อย
๑) การอ้างถึงโดยการซ้านามวลีเดิม คือการอ้างถึงข้อความที่มาข้างหน้าอาจทาได้โดยการซ้ารูป
นามวลีเดิม ซ่ึงเป็นกลวิธีท่ีพบมากในภาษาไทยโดยเฉพาะภาษากฎหมาย เพราะทาให้ข้อความชัดเจนไม่มีข้อ
สงสัย ดงั ตวั อยา่ งตอ่ ไปนี้
#รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราชและบูรณภาพแห่งอาณาเขต #รัฐ
ต้องจัดให้มีกาลังทหารไว้เพื่อพิทักษ์รักษาเอกราชความม่ันคงของรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ ผลประโยชน์
แหง่ ชาติ และการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย อันมีพระมหากษตั ริย์ทรงเป็นประมุข#
คาว่า รฐั กบั สถาบันพระมหากษตั รยิ ์ ในประโยคหลงั เป็นรูปนามวลีทีซ่ า้ รูปเดิมในประโยคแรก
#บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกต้ัง #บุคคลซึ่งไม่ไปเลือกตั้งโดยไม่แจ้งเหตุอันสมควรท่ีทาให้ไม่
อาจไปเลือกตง้ั ไดย้ ่อมเสยี สทิ ธติ์ ามที่กฎหมายบัญญตั ิ#
บคุ คล ในประโยคหลังอ้างถึง บุคคล ในประเทศแรก
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๒๐๑
#อายุของสภาผู้แทนราษฎรมีกาหนดคราวละส่ีปีนับแต่วันเลือกตั้ง #เมื่ออายุของสภา
ผู้แทนราษฎรส้ินสุดลง พระมหากษัตริย์จะได้ทรงตราพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทน
ราษฎรใหม่เป็นการเลือกต้งั ทัว่ ไป#
สภาผู้แทนราษฎร เป็นนามวลีซา้ กับนามวลีท่ีมาขา้ งหนา้
#สมชายยกมือไหว้ครู# แล้วก็พูดกบั ครูว่า “ผมเอาการบ้านมาสง่ ครบั ”#
ครู ในประโยคหลงั อา้ งถึง ครู ในประโยคแรก
#ผู้อ่านที่ฉลาด ย่อมไม่อ่านโดยใช้วิธีเดียวกันทั้งหมด เพราะเอกสารท่ีอ่านไม่เหมือนกัน #ผู้อ่าน
ที่ฉลาดจงึ เลือกวิธีอ่านให้เหมาะกับงานเขยี นทง้ั ในด้านรปู แบบและเนื้อหา#
ผ้อู ่านท่ีฉลาด เปน็ นามวลซี ้ากบั นามวลที ่ีมาขา้ งหนา้
#เรามาเริ่มกันท่ีการพิจารณาตัวเองก่อนดีไหม #แต่ละคนมีปัญหาอะไรบ้าง #เม่ือทราบปัญหา
แลว้ จะไดห้ าทางแกไ้ ขใหถ้ กู จุด#
ปัญหา เป็นนามวลีซา้ กบั นามวลที ี่มาขา้ งหน้า
๒) การอ้างถงึ โดยการใช้คาบุรุษสรรพนาม คือ คาบุรษุ สรรพนาม หมายถึง คาสรรพนามที่ใชอ้ ้าง
ถึงคน สตั ว์ หรือส่ิงของท่ีเป็นผู้พูดเอง (บุรุษท่ีหนึ่ง) เชน่ ฉัน ผม ฯลฯ ผู้ทเ่ี ราพูดดว้ ย (บุรุษท่ีสอง) เชน่ คุณ แก
ฯลฯ และผทู้ ี่เราพดู ถึง (บุรุษที่สาม) เช่น เขา ฯลฯ
คาบุรุษสรรพนามเม่ือใช้ตามหลังและอยู่ติดกับคานามจะแสดงความสัมพันธ์แบบ ความเป็น
เจ้าของ กับคานามข้างหน้า เช่น ฉัน คุณ ท่าน ใน บ้านฉัน หนังสือคุณ สมบัติท่าน บางคร้ังอาจมีคาบุพบท
ของ อยรู่ ะหว่างคานามกับคาบรุ ุษสรรพนาม เชน่ บ้านของฉัน หนงั สอื ของคณุ สมบตั ขิ องท่าน ฯลฯ
การใชค้ าสรรพนามทาใหส้ ัมพันธสารมีการเช่อื มโยงความแบบอ้างถึง ดงั ตัวอย่างต่อไปนี้
#พอ่ กลบั มาจากการเดินทาง #เขาประหลาดใจมากท่ีเห็นของใหม่ ๆ มากมายในบา้ น#
เขา เป็นบุรุษสรรพนาม อ้างถงึ พอ่
#คุณสุพจน์ทามาค้าข้ึนเพราะวิธีการขายของเขาน่ันเอง #เขาอุทิศตัวให้แก่อาชีพอย่างจริงใจ
ท่ีสดุ #
เขา เป็นบุรษุ สรรพนาม อา้ งถงึ คณุ สุพจน์
#สถานการณข์ องสายฟ้าอยู่ในข้ันจนตรอก #เขาจะตอบคาถามนักข่าวอยา่ งไร#
เขา เป็นบรุ ุษสรรพนาม อ้างถึง สายฟ้า
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๒๐๒
#เลขาฯ ของคุณไพศาลเดินเข้ามารายงาน #“บ.ก. คะ คุณสมชายมารอพบค่ะ” #เธอพูดด้วย
น้าเสียงแปลก ๆ#
เธอ เปน็ บรุ ษุ สรรพนาม อา้ งถึง เลขาฯ ของคุณไพศาล
#ในทสี่ ดุ นังเขียวก็ลืมตวั #พงุ่ เข้าขย้าคนทก่ี าลังจะผลกั ลูกของเธอเข้าไปในกรง #หมายจะกัดฟัด
แย่งเอาลูกกลบั มาให้ได#้
เธอ เปน็ สรรพนาม อา้ งถึง นงั เขียว
#ผมยักไหล่ #ส่ายศีรษะ #นัยน์ตาของเด็กผู้หญิงมีน้าตาเอ่อล้น #เธอยื่นมือมาลูบคลาตัวสัตว์ที่
แสนจะซูบผอม #แลว้ หนั หลังเดินอยา่ งแผ่วเบาไปทป่ี ระตู#
เธอ เปน็ บรุ ุษสรรพนาม อา้ งถึง เด็กผหู้ ญิง
#มีผู้โดยสารสี่ห้าคนขึ้นมาบนรถ #หนึ่งในจานวนน้ันมีผู้หญิงท้องอยู่ด้วย #หล่อนเดินข้ึนทาง
บันไดหนา้ #สายตาส่ายหาที่ว่าง#
หลอ่ น เป็นบุรุษสรรพนาม อ้างถงึ ผ้หู ญิงท้อง
#ประกายของดวงดาวบนฟ้ายังมีให้เห็นอยู่ในดวงตาของนุชนาถ #หล่อนปล่อยให้ชายหนุ่มหยิบ
สูทท่ีคลุมรา่ งของหล่อนไปแขวน#
หล่อน เปน็ บรุ ษุ สรรพนาม อา้ งถงึ นชุ นาถ
#นุชนาถรสู้ ึกดีขน้ึ #หล่อนสวมเสือ้ คลุม #แลว้ ออกมายนื ทหี่ น้าต่าง#
หล่อน เปน็ บรุ ุษสรรพนาม อ้างถงึ นชุ นาถ
#ผมมีความผูกพันกับแมวสองตัวน้ีตลอดเวลาหลายปี #ชอบเห็นมันเดินหย่ง ๆ ลงมาตามเนิน
เพ่ือกนิ อาหาร #ดูมันเล่นกันในพงหญ้ากลางท้องทุ่ง#
มนั เปน็ บุรษุ สรรพนาม อา้ งถึง แมวสองตัวน้ี
#เด็กน้อยออกไปหน้าบ้าน #แต่เป็นคราวเคราะห์ #พอก้าวออกจากประตูบ้าน ก็บังเอิญเหยียบ
ถูกสนุ ขั ตัวหนึ่ง #มันมีขนสนี า้ ตาล เปยี กลู่แนบตัว #หางยาวมาก #ผอมโกรกจนเห็นซโี่ ครง#
มนั เป็นบุรษุ สรรพนาม อา้ งถึง สุนขั ตวั หนึ่ง
#ซินแสเฒ่าย้ิมสุขุมและตอบว่า #อ๊ัวมาจากสงขลา #ท่องเท่ียวมาเรื่อย ๆ #อยากจะไปให้ครบ
ทุกจงั หวัดในประเทศไทย#
อ๊วั เปน็ บุรุษสรรพนาม อา้ งถึง ซนิ แสเฒ่า
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๒๐๓
๓) การอ้างถงึ โดยการใช้สรรพนามชเ้ี ฉพาะ คือการอา้ งถึงเพื่อให้เกิดการเชอื่ มโยงความในสัมพันธ
สารอาจทาโดยใช้คาสรรพนามช้ีเฉพาะ น้ี นั้น โน้น นู้น น่ี น่ัน โน่น นู่น สรรพนามชี้เฉพาะใช้อ้างถึง นามวลี
กรยิ าวลี หรอื ประโยคที่มาขา้ งหนา้ ดงั ตัวอยา่ งขา้ งลา่ งนี้
#ปี พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นจุดเปล่ียนท่ีสาคัญของประเทศไทย #นับจากน้ัน ประชาธิปไตยก็พัฒนา
เรือ่ ยมา#
นัน้ เปน็ สรรพนามช้ีเฉพาะ อา้ งถงึ ปี พ.ศ. ๒๔๗๕
#เห็นส่ีแยกไฟแดงไกลลิบ ๆ ขา้ งหน้าไหม #เราจะต้องเล้ียวตรงโนน้ แหละ#
โน้น เปน็ สรรพนามช้เี ฉพาะ อา้ งถงึ สแี่ ยกไฟแดงไกลลบิ ๆ ข้างหนา้
#กฎหมายท่ีควบคุมการผลิตสุรา กาหนดให้ผู้ผลิตต้องเป็นนิติบุคคลเท่านั้น #นั่นหมายถึงผู้ที่
จะผลติ สรุ าไดต้ อ้ งเป็นบริษทั #
นั่น เป็นสรรพนามช้ีเฉพาะ อ้างถึง กฎหมายที่ควบคุมการผลิตสุรา กาหนดให้ผู้ผลิตต้องเป็นนิติ
บุคคลเท่านัน้
#เราทุกคนต้องเปลี่ยนระบบการทางานใหม่ #น่ีเป็นแคจ่ ดุ เร่มิ ตน้ ของการประกนั คณุ ภาพ#
นี่ เปน็ สรรพนามชเี้ ฉพาะ อา้ งถึง เราทกุ คนตอ้ งเปลยี่ นระบบการทางานใหม่
๔) การอา้ งถงึ โดยการใช้คาบอกกาหนดช้ีเฉพาะ คือคาบอกกาหนดชี้เฉพาะ ได้แก่ น้ี นั้น โนน้ นู้น
นี่ นั่น โน่น นู่น ซ่ึงใช้ตามหลังและอยู่ติดกับคานามหรือคาลักษณนาม คาบอกกาหนดช้ีเฉพาะสามารถใช้ได้
อยา่ งตวั บง่ บอก คอื ใชร้ ะบหุ รอื เจาะจงส่งิ ทก่ี ล่าวมาแล้วหรอื กาลงั จะกลา่ วต่อไป ดังตวั อยา่ งตอ่ ไปนี้
#เด็กน้อยออกไปหน้าบ้าน #แต่เป็นคราวเคราะห์ #พอก้าวออกจากประตูบ้าน ก็บังเอิญเหยียบ
ถูกสุนัขตัวหนึ่ง #มันมีขนสีน้าตาล เปียกลู่แนบตัว #หางยาวมาก #ผอมโกรกจนเห็นซ่ีโครง #สุนัขตัวนั้นแผด
เสียงลนั่ ดว้ ยความเจ็บปวด
(สนุ ัขตัว) น้นั เปน็ ตัวบง่ บอกประเภทคาบอกกาหนด อ้างถงึ (สุนัขตัว) หนง่ึ
#สถานท่ีท่องเที่ยวชื่อ เมืองบาดาลตั้งอยู่ในเขื่อนวชิราลงกรณ์ จังหวัดกาญจนบุรี #เดิมทีเขื่อน
แหง่ นี้ ชือ่ เขอ่ื นเขาแหลม#
(แหง่ ) นี้ เปน็ ตวั บง่ บอกประเภทคาบอกกาหนด อา้ งถึง (เขอ่ื น) วชริ าลงกรณ์
#เรื่องท่ีสองคือการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ #เรื่องนี้ผมมองว่าเป็นกระบวนการทาให้เศรษฐกิจสู้
นานาชาตไิ ด้มากขน้ึ #
(เร่ือง) น้ี เปน็ ตัวบง่ บอกประเภทคาบอกกาหนด อ้างถึง (เรือ่ ง) ที่สอง
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๒๐๔
#สถานทที่ อ่ งเท่ยี วท่โี ดดเด่นในอาเภอนี้ คอื วัดวงั ก์วิเวการาม #ผู้รเิ ร่ิมสรา้ งวัดน้ีเปน็ พระเถระชาว
มอญ#
(วัด) นี้ เป็นตวั บ่งบอกประเภทคาบอกกาหนด อ้างถึง (วัด) วังก์วิเวการาม
#หากเดือนไหนเขาเขาเขียนเร่ืองได้แค่ ๒ เรื่องเขาจะมีรายได้แค่สี่พันบาท #แต่หากเดือนน้ัน
หนงั สือสกั เล่มเกิดมีปัญหาหรือทาท่าจะเจ๊งรายได้ของเขากจ็ ะเหลอื แคส่ องพันบาท#
(เดอื น) นน้ั เปน็ ตวั บ่งบอกประเภทคาบอกกาหนด อ้างถึง (เดือน) ไหน
#อยากรู้นักว่าคอมพิวเตอร์จะมีหน้าตาอย่างไรในศตวรรษหน้า #ยุคนู้น อาจไม่ใช้คอมพิวเตอร์
เลยกไ็ ด้#
(ยคุ ) นนู้ เป็นตวั บ่งบอกประเภทคาบอกกาหนด อ้างถงึ (ศตวรรษ) หนา้
๕) การอ้างถึงโดยการใช้คาท่ีเกี่ยวกับจานวน คือการอ้างถึงเพ่ือให้เกิดการเชื่อมโยงความอาจทา
โดยการใช้คาบอกปริมาณ ซ่ึงได้แก่คาบอกจานวน เช่น หน่ึง สอง สาม บาง ล้วน ท้ังหมด ฯลฯ คาบอกลาดับ
เชน่ ท่ีหนงึ่ ที่สอง แรก สุดทา้ ย ฯลฯ ดงั ตัวอย่างต่อไปน้ี
#มีผูโ้ ดยสารสห่ี ้าคนขึ้นมาบนรถ #หน่งึ ในจานวนนัน้ มีผ้หู ญงิ ทอ้ งอยดู่ ว้ ย#
หนง่ึ อ้างถงึ ผู้โดยสาร
#ตอนบ่ายแก่ ๆ ผมไปถึงกองทราย #เจ้าเบ้ิมมารออยู่แล้วพร้อมหนูน้าหวาน #ปรากฏวา่ เราท้ัง
สามคนต่างมขี องเลน่ มาอวดกันครับ#
ท้งั สาม (คน) อ้างถงึ ผมเจ้าเบิ้ม และหนูนา้ หวาน
#นักอ่านที่อ่านได้เร็วมาก ๆ อาจจะอ่านโดยจับสายตาอยู่ท่ีกลางหน้า #บางคนใช้น้ิวลากลงมา
เพอื่ ชว่ ยสายตา #บางคนใชก้ ระดาษที่ค่ันหนงั สือหรือซองจดหมายทาบใตข้ ้อความแล้วเลอ่ื นลงอย่างรวดเร็ว#
บาง (คน) อ้างถึง นักอ่านทอ่ี า่ นไดเ้ รว็ มาก ๆ
#ผมติดตามการเปล่ียนแปลงของเศรษฐกิจไทยมาโดยตลอด #เห็นความต่อเนื่องของนโยบาย
และมาตรการทั้งหลาย #ซง่ึ ลว้ นแต่ชี้ให้เหน็ วา่ เศรษฐกิจไทยเปน็ ทุนนยิ มระบบตลาด#
ลว้ น อา้ งถึง ความตอ่ เนอื่ งของนโยบายและมาตรการทง้ั หลาย
#มีแท็กซ่จี อดรอคิวประมาณ ๑๐ คนั #คันแรกกาลงั จะออกเดย๋ี วนี้#
(คัน) แรก อา้ งถึง แท็กซี่ ๑๐ คัน
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๒๐๕
๖) การอ้างถึงโดยการใช้ตัวบ่งบอก คือการอ้างถึงอีกวิธีหน่ึงคือการใช้ตัวบ่งบอก ตัวบ่งบอก
หมายถึง คาหรือวลีท่ีชี้บ่งเฉพาะเจาะจงว่าส่ิงท่ีผู้พูดกล่าวถึงคือส่ิงท่ีได้กล่าวถึงมาแล้วหรือส่ิงที่จะได้กล่าวถึง
ตอ่ ไป ทาให้รู้ว่าข้อความที่อ้างถึงนั้นอยู่ ณ ส่วนใดของสัมพันธสารคาท่ีใช้เป็นตัวบ่งบอก เช่น ดังกล่าว ข้างต้น
ขา้ งล่าง ขา้ งท้าย ดงั กลา่ วข้างตน้ ดงั กลา่ วมาแลว้ ตอ่ ไปนี้ ทแ่ี นบมาน้ี ดงั แจ้งแล้วน้นั ฯลฯ ดงั ตัวอยา่ งต่อไปนี้
#คากล่าวท่ีว่า ท่ีใดมีรักท่ีน่ันมีทุกข์ เป็นสัจธรรมท่ีมาจากพระพุทธพจน์ #อย่างไรก็ตามคนท่ี
กาลังมคี วามรกั มกั ไมเ่ ชือ่ คากลา่ วขา้ งต้น#
ขา้ งตน้ เปน็ ตวั บง่ บอก อ้างถึง (คากลา่ ว) ทวี่ า่ ท่ีใดมรี ักที่นัน่ มที ุกข์
#ภาษาต่างกันอาจมีคาที่ใช้เรียกสีพื้นฐานไม่เท่ากัน #งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าภาษาบางภาษามี
คาดงั กลา่ วเพียง ๒ คาเทา่ นั้น#
ดังกลา่ ว เปน็ ตัวบ่งบอก อา้ งถงึ ทีใ่ ช้เรียกสพี ื้นฐาน
#ตัวบ่งบอกมี ๒ ประเภท #ท้ัง ๒ ประเภททาใหเ้ กิดการเชื่อมโยงความ ดังตวั อยา่ งตอ่ ไปน้ี#
ต่อไปนี้ เปน็ ตัวบ่งบอก อา้ งถงึ ตวั อยา่ งท่ตี ามมาข้างหลัง
#ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้วันพุธที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๑ เป็นวันหยุดราชการเพ่ิมอีก ๑ วัน
ความดังแจง้ แลว้ นนั้ #
ความดังแจ้งแล้วน้ัน เป็นตัวบ่งบอก อ้างถึงคณะรัฐมนตรีมีมติให้วันพุธท่ี ๑๖ เมษายน ๒๕๕๑
เปน็ วนั หยดุ ราชการเพม่ิ อกี ๑ วนั
๗) การอ้างถึงโดยการใช้คาแทนที่ คาแทนท่ี หมายถึง คาท่ีใช้แทนคาหรือข้อความอ่ืนใช้แทน
นามวลี กริยาวลี หรอื ประโยคที่มาข้างหน้า คาแทนท่ีมักเป็นคานามหรือคากริยาซึ่งมีความหมายเปรียบเทียบ
เก่ยี วเนอื่ ง หรือขยายความของคาหรือขอ้ ความท่ีแทนเช่น เรือ่ ง สิ่ง ทา ฯลฯ ดังตวั อยา่ งตอ่ ไปนี้
#ศศิธรลกุ ขน้ึ ทนั ทหี ลังวางหูโทรศพั ท์ #หญงิ สาววงิ่ ลงบนั ได #แลว้ ขบั รถออกไปอย่างเร็วท่ีสุด#
หญงิ สาว เป็นคาแทนท่ี อ้างถงึ ศศธิ ร
#อยากรู้นักว่าคอมพิวเตอร์จะมีหน้าตาอย่างไรในศตวรรษหน้า #ยุคนู้นอาจไม่ใช้คอมพิวเตอร์
เลยก็ได้#
ยุค เปน็ คาแทนที่ อ้างถงึ ศตวรรษ
#การดื่มสุรา การเที่ยวกลางคืน การคบเพื่อนเลว จะนาความวิบัติมาสู่เจ้า #จงหลีกเลี่ยง
พฤตกิ รรมเช่นนเี้ สียเถิด#
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๒๐๖
พฤตกิ รรม เป็นคาแทนที่ อ้างถงึ การด่มื สุรา การเท่ียวกลางคนื การคบเพ่ือนเลว
#เสาร์อาทิตย์น้ี ลูกเอาหลานมาฝาก ฉนั กว็ ่นุ กับเจ้าตัวยงุ่ จนไม่ได้ทาอะไร#
เจา้ ตัวยุง่ เป็นคาแทนที่ อา้ งถงึ หลาน
#มีผูโ้ ดยสารสห่ี ้าคนข้นึ มาบนรถ #หนึง่ ในจานวนนั้นมผี หู้ ญงิ ทอ้ งอยู่ด้วย#
จานวน เปน็ คาแทนท่ี อา้ งถึง สี่หา้ คน
#เขาลอื กนั ว่า สรวงสุดาหยา่ กบั สามแี ลว้ #เรือ่ งน้ีใคร ๆ กร็ กู้ นั แล้วทง้ั นัน้ #
เรื่อง เปน็ คาแทนที่ อา้ งถงึ สรวงสุดาหยา่ กับสามีแล้ว
#ตอนมีชีวิตอยู่ ตาชุ่มแกทาบุญทานเป็นประจา #ตอนแกตายสิ่งนั้นก็เลยส่งผลกรรมให้แกหลับ
ไปเฉย ๆ#
ส่ิง เปน็ คาแทนที่ อ้างถงึ การทาบญุ ทาทานเปน็ ประจา
#จะให้ไปกราบไหวข้ อขมาเขานะ่ หรือ #ฉันทาไมไ่ ด้หรอก #ฉันไมไ่ ดเ้ ปน็ ฝา่ ยผดิ นะ#
ทา เป็นคาแทนที่ อ้างถึง ไปกราบไหว้ขอขมาเขา
๘) การอ้างถึงโดยการใช้คาเปรียบบอกความมากน้อย คือการอ้างถึงอาจทาโดยการใช้คาเปรียบบอก
ความมากนอ้ ยของลกั ษณะหรอื ปริมาณ เชน่ คาวา่ กว่า ท่สี ดุ ดังตัวอยา่ งต่อไปน้ี
#ฉันสูง ๑ เมตร ๖๐ เซนติเมตร #แตน่ อ้ งก็ยงั สูงกว่าอีก#
(สูง) กวา่ อา้ งถึง (สูง) ๑ เมตร ๖๐ เซนตเิ มตร
#ปนี หี้ น่วยงานของเราใช้งบประมาณ ๕ ล้านบาท #ปหี นา้ จะตอ้ งใช้มากกวา่ แนน่ อน#
มากกว่า อา้ งถงึ ๕ ล้าน บาท
#การคมนาคมในจังหวัดเชียงรายสามารถทาได้ท้ังทางบก ทางน้า และทางอากาศ #แต่ทางท่ี
สะดวกท่ีสุดคงจะเป็นเส้นทางการคมนาคมทางบก#
ท่สี ะดวกทส่ี ดุ อ้างถงึ ทางบก ทางน้า และ ทางอากาศ
#มโี รคร้ายแรงหลายโรคท่คี รา่ ชีวิตคนไทยในปจั จบุ ัน #ท่ีร้ายแรกทสี่ ดุ คือโรคหวั ใจ#
ท่ีร้ายแรงท่ีสดุ อ้างถงึ โรครา้ ยแรงหลายโรค
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๒๐๗
๘.๒.๒ การเชื่อมโยงความด้วยการละ การเชื่อมโยงความในสัมพันธสารอาจทาโดย การละ (ellipsis)
คือการละไว้ในฐานที่เข้าใจ หรือการตัดข้อความท่ีผู้พูดกับผู้ฟังรู้ดีอยู่แล้วออก ทาให้เกิดช่องว่างที่มีความ
เชื่อมโยงกับข้อความท่ีมาข้างหน้า ข้อความที่ละอาจเป็นนามวลี กริยาวลี หรืออนุประโยคก็ได้ ดังตัวอย่าง
ข้างลา่ งน้ี
#สมชายยกมือไหวค้ รู #แล้ว Ø*กพ็ ดู กับครวู ่าผมเอาการบา้ นมาส่งครับ#
ขอ้ ความท่ลี ะคือ สมชาย
#ในที่สุด นังเขียวก็ลืมตัว# Øพุ่งเข้าขย้าคนท่ีกาลังจะผลักลูกของเธอเข้าไปในกรง# Ø หมายจะ
กดั ฟัดแย่งเอาลูกกลบั มาใหไ้ ด้#
ขอ้ ความที่ละคือ นังเขียว
#นัยน์ตาของเด็กผู้หญิงมีน้าตาเอ่อล้น #เธอยื่นมือมาลูบคลาตัวสัตว์ท่ีแสนจะซูบผอม #แล้ว Ø
หนั หลงั เดนิ อยา่ งแผ่วเบาไปที่ประตู#
ข้อความท่ลี ะคือ เด็กผูห้ ญิง
#มีผู้โดยสารสี่ห้าคนข้ึนมาบนรถ #หนึ่งในจานวนนั้นมีผู้หญิงท้องอยดู่ ้วย หลอ่ นเดินข้ึนทางบันได
หน้า# Ø ส่ายตาหาทวี่ ่าง#
ข้อความท่ลี ะคอื ผู้หญิงทอ้ ง
#เด็กน้อยออกไปหน้าบ้าน #แต่เป็นคราวเคราะห์ #พอ Ø ก้าวออกจากประตูบ้าน Ø ก็บังเอิญ
เหยียบถูกสนุ ัขตวั หนง่ึ #
ข้อความทล่ี ะคอื เด็กนอ้ ย
#นุชนาถรูส้ ึกดีข้ึน #หลอ่ นสวมเส้ือคลมุ #แล้ว Ø ออกมายนื ทีห่ น้าต่าง#
ขอ้ ความที่ละคอื นุชนาถ
#ซนิ แสเฒ่าย้ิมในระดับเดิม# Ø หยิบถ้วยน้าชาขึ้นจิบช้า ๆ# และ Ø ตอบคาถามสดุ ท้ายของผม
ด้วยความม่ันใจ#
ขอ้ ความที่ละคอื ซนิ แสเฒ่า
#เห็นพวงกญุ แจของฉนั ไหม #วางไวแ้ ถวนี้ # ไม่เหน็ Ø#
ข้อความท่ีละคอื พวงกุญแจของฉนั
*เครอื่ งหมาย Ø แสดงขอ้ ความทล่ี ะ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๒๐๘
#จริงไหมคะทพี่ ่ีจะลาออก# จริงค่ะ Ø#
ขอ้ ความที่ละคือ ท่พี จ่ี ะลาออก
#ตอ้ งไปประชุมเด๋ียวนีล้ ะคะ่ # ลานะคะ# เดี๋ยว Ø ไมท่ ัน#
ข้อความที่ละคือ ไปประชมุ
#ใครโทรมาเมือ่ เชา้ น้ี# เพ่อื น Ø#
ข้อความท่ลี ะคอื โทรมาเมือ่ เช้านี้
๘.๒.๓ การเชอื่ มโยงความด้วยการใชค้ าเชือ่ มสัมพันธสาร
คาเช่ือมสัมพันธสาร (conjunction) คือ คาท่ีใช้เช่ือมระหว่างประโยคเพ่ือให้ข้อความมีความต่อเนื่อง
และสัมพนั ธก์ นั การใชค้ าเชอื่ มสัมพันธสารเป็นอีกกลวิธีหนึ่งที่ทาใหเ้ กดิ การเชอ่ื มโยงความ คาเชือ่ มสัมพันธสาร
ทาหน้าท่ีต่าง ๆ ท่ีสาคัญมี ๑๓ ประเภท เช่ือมคาอธิบาย ตัวอย่าง ความเน้นเฉพาะ ความสรุป ความขัดแย้ง
ความคล้อยตาม ความเพ่ิม ลาดับเวลา ความเปน็ เหตุเป็นผล ความเสริม เร่ืองใหม่ความช้ีแจง และความที่เป็น
เงือ่ นไข ดงั รายละเอียดตอ่ ไปน้ี
๑) คาเช่ือมสัมพันธสารเช่ือมคาอธิบาย คือทาหน้าที่เชื่อมข้อความท่ีขยายความหรืออธิบาย
ข้อความที่มาข้างหน้าเพ่ือทาให้กระจ่างชัดขึ้น เช่น คาว่า กล่าวคือ นั่นคือ อีกนัยหนึ่ง หรืออีกนัยหน่ึง น่ัน
หมายความว่า ดงั ตัวอยา่ งตอ่ ไปน้ี คาเช่อื มสัมพนั ธสารเช่อื มคาอธิบายจะพิมพ์ตัวเน้น
#โรคหัวใจเป็นโรคท่ีร้ายแรงมาก #กล่าวคือ เป็นโรคท่ีทาให้มีผู้เสียชีวิตเป็นอันดับหน่ึงของ
ประเทศ#
#เราต้องช่วยกันพัฒนาทักษะความสามารถและสิ่งท่ีเด็กในหลายทศวรรษก่อนขาดไป #น่ันคือ
ตอ้ งฝึกใหเ้ ดก็ แสดงความคิดและตัดสนิ ใจด้วยตนเอง#
#เราต้องช่วยให้เดก็ พ้นจากการเป็นหุ่นกระบอกท่ีมีคนชักใย #อีกนัยหน่ึง เราต้องสอนและอบรม
ให้เขาร้จู ักใชค้ วามคิดโดยอสิ ระ#
#เกษตรกรต้องจาใจขายผลผลิตในราคาท่ีถูกลง #น่ันหมายความว่า รายได้ของพวกเขาก็ต้อง
ลดลงด้วย#
๒) คาเชื่อมสัมพันธสารเชื่อมตัวอย่าง คอื ทาหน้าที่เชื่อมข้อความที่เป็นตัวอย่างหรืออทุ าหรณ์ของ
ข้อความที่มาข้างหน้า เช่นคาว่า เช่น ยกตัวอย่างเช่น ตัวอย่าง อาทิ ฯลฯ ดังตัวอย่างต่อไปน้ี คาเช่ือมสัมพันธ
สารเชอื่ มตวั อย่างจะพมิ พ์ตัวเน้น
#ลักษณะทางนามธรรมย่อมแสดงออกมาทางวัตถุธรรม #เช่น เม่ือเราพินิจถึงประติมากรรม
พระพุทธรูปสมัยสุโขทัย เราจะเกิดความรู้สึกทางอารมณ์และคิดไกลไปถึงผู้สร้างสรรค์ผลงานดังกล่าวว่า มี
จติ ใจเยอื กเยน็ และมศี รทั ธาแรงกลา้ ในพระพุทธศาสนา#
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๒๐๙
#โครงเร่ืองเป็นส่วนสาคัญของเรื่องสั้น #ยกตัวอย่างเช่น ในเรื่องท่อนแขนนางรา ความเข้มข้น
ของเรอื่ งข้ึนอยู่กบั การวางโครงเร่อื ง#
#เห็ดบางาชนิดกินแล้วแค่เจ็บป่วย แต่ไม่ถึงตาย #ตัวอย่างเช่น เห็ดเก็บจากสนามหญ้า ตามกอง
ปุย๋ หมกั หรือกองมลู สัตวต์ ่าง ๆ อาจทาให้คนกินเมาได้#
#เช่ือว่าหลายคนคงรู้จักมักคุ้นกับบทเพลงที่ ไพบูลย์ บุตรขัน แต่งให้นักร้องหลายคนขับขาน #
อาทิ มนต์รักเมืองเหนือ มนต์รักลูกทุ่ง มนต์รักแม่กลอง ค่าน้านม โลกนี้คือละคร ฝนเดือนหก เพลงเหล่านี้คน
ส่วนใหญม่ ักรอ้ งกนั ได้#
๓) คาเชื่อมสัมพันธสารเชอ่ื มความเน้นเฉพาะ หมายถึง คาเชื่อมสมั พนั ธสารทเ่ี ช่ือมข้อความท่ีเพ่ือ
เจาะเนน้ เฉพาะส่วนท่สี าคัญของข้อความที่มาขา้ งหน้า เช่นคาวา่ เฉพาะ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่ง โดยเฉพาะ เฉพาะ
อยา่ งย่ิง ฯลฯ ดังตัวอย่างต่อไปนี้ คาเช่อื มสัมพนั ธสารเชอื่ มความเน้นเฉพาะจะพิมพ์ตวั เน้น
#ไปสัมมนากับบรษิ ัทคราวนี้ บริษัทอนุญาตว่า #เฉพาะคนท่แี ต่งงานแล้วใหพ้ าสามีหรือภรรยาไป
ด้วยได้ สว่ นคนโสดน้นั ต้องเสยี เปรียบอยา่ งชว่ ยไมไ่ ด้#
#พ่อแม่ต้องเล่นบทบาทที่แท้จริงของตนในการเลี้ยงลูก #โดยเฉพาะอย่างย่ิง ต้องพัฒนาด้วย
จติ ใจของลูกให้เตบิ โตไปพร้อมกับรา่ งกาย#
#ปญั หาส่วนใหญ่มผี ลต่อชีวติ คนจานวนมาก #โดยเฉพาะ คนตวั เล็ก ๆ ในสงั คมมีปญั หาท่ีรัฐต้อง
เอาใจใส่เป็นพเิ ศษ#
#การเขียนข่าวไม่ระวังบางคร้ังทาให้หลายคนเดือดร้อน เฉพาะอย่างย่ิง การเขียนข่าวคนดังถูก
กลา่ วหาไดท้ าใหห้ ลายคนเสยี ชอ่ื เสียงไปอยา่ งไมอ่ าจกู้กลับได้เลย#
๔) คาเช่ือมสัมพันธสารเชื่อมความสรุป คือทาหน้าที่เชื่อมข้อความท่ีเป็นข้อสรุปของข้อความ
ทั้งหมดที่มาข้างหน้า เช่นคาว่า โดยสรุป กล่าวโดยสรุป กล่าวโดยรวม โดยท่ัวไป เป็นอันว่า ฯลฯ ดังตัวอย่าง
ต่อไปนี้ คาเชอื่ มสัมพันธสารเช่ือมความสรปุ จะพมิ พ์ตัวเน้น
#โดยสรุป ทกุ กรมจะได้งบเพม่ิ ขึ้น#
#กลา่ วโดยสรปุ จีนดาเนนิ นโยบายท่เี น้นการแข่งขนั กับตลาดตา่ งประเทศ#
#กลา่ วโดยรวม ผลงานวิจยั น้ีอยใู่ นระดับดีมาก#
#โดยทวั่ ไป ในกรงุ เทพฯ มีอาหารอร่อยใหค้ ณุ เลือกไดท้ ุกถนน#
#สรปุ กค็ ือ เราจะชว่ ยกันออกเงินซื้อของขวัญใหแ้ มใ่ ชไ่ หม#
#เปน็ อันว่า เราจะประชมุ กนั สัปดาหล์ ะครัง้ #
๕) คาเชื่อมสัมพันธสารเช่ือมความขัดแย้ง คือทาหน้าท่ีเชื่อมข้อความที่แย้งกับข้อความท่ีมา
ข้างหน้า เช่นคาว่า แต่ แต่ทว่า อย่างไรก็ตาม อย่างไรก็ดี กระนั้น ก็ตาม ในทางตรงข้าม ในทางกลับกัน ฯลฯ
ดังตัวอย่างต่อไปนี้ คาเชื่อมสมั พันธสารเชอื่ มความขัดแยง้ จะพมิ พต์ ัวเน้น
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๒๑๐
#ด้วยอายุเกือบ ๕๐ ปี อาคารหลังนี้ดูทรุดโทรมมาก #แต่คนส่วนใหญ่เห็นว่าอาคารน้ียังมีคุณค่า
ทางศลิ ปะอยู่#
#ผลการสารวจแสดงว่าพรรคการเมืองเก่าได้รับคะแนนนิยมสูงกว่าพรรคคู่แข่ง #แต่ทว่าผลการ
เลอื กตัง้ กลับเปน็ ตรงกันขา้ ม#
#การหงุ ตม้ ตามปรกตทิ าให้เนื้อไก่สกุ ท่ัวถึงได้ #อย่างไรก็ตาม การใช้อุณหภูมิไม่เหมาะสมอาจทา
ใหไ้ ก่ไม่สุกได#้
#ลพบุรีเป็นเมืองที่มีศิลปะเก่าแก่และมีอิทธิพลสูง #อย่างไรก็ดี เรายังไม่พบจิตรกรรมสมัยลพบุรี
ในประเทศไทยเลย#
#ในประเทศไทยเรายังไม่เคยพบภาพเขียนบนผนังปราสาทเมืองลพบุรี #ถึงกระนั้น ศิลปะสมัย
ลพบุรีกอ็ าจมอี ทิ ธพิ ลต่อจิตรกรรมในสมยั ปัจจุบนั ได้#
#หลายคนเห็นว่าขณะนี้รัฐบาลมีเอกภาพและเสถียรภาพ #กระน้ันก็ตาม รัฐบาลอาจจะอยู่ไม่
ครบวาระหากมีปัญหาเรอ่ื งคอรร์ ปั ช่นั #
#นักเรียนท่ีทาตัวเรียบร้อยน่ิงเฉยมักไม่ได้รับความสนใจจากครู #ในทางตรงข้าม นักเรียนที่ทา
ตัวแปลก ก้าวร้าว และโวยวายกลบั เป็นที่สนใจของครู#
#ระบบการเมือง ระบบเศรษฐกิจ และระบบนิเวศ ทาให้ระบบอ่ืนเปล่ียนแปลง #ในทางกลับกัน
ระบบอ่นื อาจส่งผลกระทบใหร้ ะบบการเมือง ระบบเศรษฐกจิ และระบบนเิ วศ เปล่ยี นแปลงได้#
๖) คาเช่ือมสัมพันธสารเชื่อมความคล้อยตาม คือทาหน้าท่ีเชื่อมข้อความท่ีเป็นไปในทานอง
เดียวกับหรือเข้ากับข้อความที่อยู่ข้างหน้า เช่นคาว่า ในทานองเดียวกัน โดยนัยเดียวกันนั้น ฯลฯ ดังตัวอย่าง
ตอ่ ไปนี้ คาเชอ่ื มสมั พนั ธสารเชื่อมความคลอ้ ยตามจะพิมพต์ วั เน้น
#คาพูดเหล่านั้นวนเวียนอยู่ในใจของผม ในทานองเดียวกัน ใบหน้าของคุณพูดก็หลอกหลอนผม
อยู่ตลอดเวลา#
#เขาดูแลพ่อแม่มาอยา่ งดี โดยนยั เดยี วกันนนั้ เขากไ็ ด้รบั การดูแลอยา่ งดีจากลกู #
๗) คาเช่ือมสัมพันธสารเชื่อมความเพม่ิ คือทาหน้าที่เช่ือมข้อความที่เติมข้อมูลให้กับข้อความที่มา
ข้างหน้า เช่นคาว่า นอกจากน้ี นอกจากน้ัน อีกทั้ง ย่ิงไปกว่านั้น นอกจากท่ีกล่าวมาแล้ว ฯลฯ ดังตัวอย่าง
ตอ่ ไปนี้ คาเช่ือมสมั พันธสารเชอื่ มความเพิม่ จะพมิ พ์ดว้ ยตัวเน้น
#การปรับปรุงโครงสร้างขององค์กรเป็นส่วนสาคัญของการปฏิรูประบบราชการ #นอกจากนี้ #
การปรบั ปรงุ ระบบบริหารงานบุคคลกถ็ อื เป็นเร่ืองสาคญั #
#เม่ือพิจารณารอบการโคจร เป็นไปได้ว่าดาวหางอิเคยะ-จางอาจเคยผ่านเขา้ มาในระบบสุริยะมา
กอ่ นหนา้ นแ้ี ลว้ #นอกจากนั้น จากผลการตรวจสอบเบอื้ งต้น เช่ือว่าดวงหางดวงนอ้ี าจเป็นดวงทเ่ี คยปรากฏใน
ปี พ.ศ. ๒๐๗๕#
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๒๑๑
#การเก็บภาษีโรงเรือนทาให้ กทม. มีรายได้ปีละ ๓๐ ล้านบาท #ย่ิงไปกว่านั้น ยังมีช่องทางที่
กทม. จะมีรายไดเ้ พมิ่ จากภาษีนิติกร ภาษีนา้ มันและภาษหี อ้ งพักอีกดว้ ย#
#นอกจากท่กี ลา่ วมาแล้ว โครงการวิจัยน้ียงั มีประโยชน์ในแงก่ ารสบื สานภมู ปิ ัญญาไทยอกี ด้วย#
๘) คาเชื่อมสัมพันธสารเชื่อมความลาดับเวลา คือทาหน้าที่เชื่อมข้อความท่ีแสดงลาดับเวลา
ก่อนหลัง เช่นคาวา่ แล้ว หลงั จากนั้น ก่อนหน้านั้น ในท่ีสดุ สุดท้าย ฯลฯ หรือเชื่อมขอ้ ความซง่ึ แสดงเหตกุ ารณ์
ที่เกิดในเวลาไล่เลี่ยกันหรือเวลาเดียวกัน เช่นคาว่า ขณะเดียวกัน ขณะท่ี เม่ือ เวลาน้ัน ขณะน้ัน ฯลฯ ดัง
ตัวอย่างตอ่ ไปน้ี คาเชอื่ มสัมพันธสารเชื่อมความลาดับเวลาจะพิมพ์ด้วยตวั เน้น
#นักศึกษาทั้งโรงอาหารหนั มามองเขา #แล้วพากนั หวั เราะครืน#
#สนุ ิสาควา้ กระเปา๋ ถือ #แลว้ ลกุ หนีไปดว้ ยความอับอาย#
#สรวงสุดาวางหูโทรศพั ทล์ งอย่างเศรา้ สร้อย #หลงั จากนัน้ หล่อนก็หมกตัวอย่แู ตใ่ นห้อง#
#สรวงสุดาแต่งตวั ไปทางานปรกติ #กอ่ นหนา้ น้ันหลอ่ นได้แต่หมกตัวอยใู่ นห้อง#
#รถแล่นมา ๓ ชวั่ โมงเต็ม #ในที่สดุ ก็มาจอดอยู่หน้าบ้านกานัน#
#ตลอด ๔๐ ปีที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตอย่างผาดโผน ไร้ศีลธรรม #สุดท้ายเขาก็ต้องจบชีวิตลงอย่าง
นาถ#
#วันนี้มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถไฟชนกัน ๒๓ คน #ในขณะเดียวกัน อุบัติเหตุรถสิบล้อชนรถ
เกง๋ กค็ ร่าชีวติ คนไป ๗ คน#
#มคี นโทรไปบอกว่าลกู ชายเขาถูกจับ #เวลานน้ั เขากาลังประชมุ อยูอ่ ย่างเคร่งเครียด#
๙) คาเชื่อมสัมพันธสารเช่ือมความเป็นเหตุเป็นผล คือทาหน้าที่เชื่อมข้อความที่เป็นเหตุหรือผล
ของข้อความท่ีมาข้างหน้า เช่นคาว่า เน่ืองด้วย ด้วยเหตุท่ีว่า ฯลฯ ใช้เชื่อมข้อความท่ีเป็นเหตุ ดังตัวอย่าง
ตอ่ ไปนี้
#เน่ืองด้วย ดิฉันมีความจาเป็นต้องเดินทางไปต่างจังหวัด และไม่สามารถประชุมได้ #ดิฉันจึงขอ
อนญุ าตลาประชมุ ในวนั ศุกรท์ ่ี ๙ เมษายน#
#เยาวชนสมัยน้ีขาดความอบอุ่นและขาดการดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด #ด้วยเหตุท่ีว่าผู้ปกครอง
ทางานหนกั มากจนแทบไม่มีเวลาอย่กู บั ลูก#
ส่วนคาเชื่อม เช่นคาว่า ดังนั้น เพราะฉะน้ัน ด้วยเหตุฉะน้ัน เม่ือเป็นดังนี้ ฯลฯ ใช้เชื่อมข้อความที่เป็น
ผล ดงั ตวั อย่างต่อไปน้ี
# ขณะน้ีมีหลายกลุ่มออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ #ดังน้ันรัฐบาลจึง
ต้องระมัดระวงั อยา่ งมากก่อนตัดสินใจเดด็ ขาดลงไป#
# ไทยไม่สามารถแข่งกับจีนได้เลยในตลาดล่าง #เพราะฉะน้ันไทยจะต้องปรับตัวข้ึนไปตลาด
กลางหรือตลาดบน#
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๒๑๒
# ในสายตาของผู้เขียน ลัทธิเผด็จการคือต้นตอของปัญหาทั้งหมดน้ี #ด้วยเหตุฉะนั้นสังคมต้อง
สลัดความเป็นเผดจ็ การท้งิ ไป#
# ในปัจจุบัน ประเทศไทยกาลังเผชิญปัญหาสังคมต่าง ๆ มากมายที่เกิดจากการกระทาของคน
#เมื่อเปน็ ดังนี้การศึกษาวจิ ัยพฤติกรรมของคนจงึ มคี วามจาเปน็ มาก#
๑๐) คาเชื่อมสัมพันธสารเชื่อมความเสริม คือทาหน้าที่เช่ือมข้อความที่เป็นข้อมูลเสริมของ
ขอ้ ความทมี่ าขา้ งหนา้ เชน่ ทงั้ น้ี ดังตัวอยา่ งตอ่ ไปน้ี
#นักศึกษาท่ีมีผลการเรียนเฉลี่ย ๘๐ % ขึ้นไปจะได้ทุนเรียนฟรี #ท้ังน้ีผู้ที่สามารถสมัครรับทุนได้
ตอ้ งมีคุณสมบัตติ ามทีก่ าหนด#
๑๑) คาเช่ือมสัมพันธสารเชื่อมเร่ืองใหม่ คือทาหน้าที่เช่ือมข้อความที่เป็นเร่ืองท่ีเปลี่ยนไป หรือ
ต่างจากเร่ืองเดิม ส่วนใหญ่มักมีความสัมพันธ์กับเร่ืองเดิมอยู่บ้างในบางแง่ ในภาษาเขียนใช้คาว่า อนึ่ง ดัง
ตัวอย่างต่อไปน้ี
#ในระหว่างพิจารณาคดี ศาลมีอานาจส่ังให้ผู้ที่จะเป็นพยานซ่ึงมิใช่จาเลยออกไปอยู่นอกห้อง
พจิ ารณาจนกว่าจะเขา้ มาเบิกความ #อนง่ึ เม่ือพยานเบิกความแลว้ จะให้รออยู่ในห้องพจิ ารณาก่อนก็ได้#
#ให้ปลัดอาเภอซึ่งนายอาเภอแต่งตั้ง เป็นกรรมการและเลขานุการ #อนึ่ง ในการพิจารณาเร่ืองอา
เกี่ยวกับการเช่าในเขตหม่บู า้ นใด ใหผ้ ู้ใหญ่บา้ นแห่งหมู่บา้ นนน้ั เป็นกรรมการด้วย#
๑๒) คาเช่ือมสัมพันธสารเช่ือมความช้ีแจง คือทาหน้าที่เชื่อมข้อความที่เป็นการชี้แจงข้อเท็จจริง
ให้กับข้อความท่ีมาข้างหน้า ข้อความท่ีช้ีแจงข้อเท็จจริงอาจมีความหมายในเชิงขัดแย้งหรือคล้อยตามข้อความ
ทม่ี าขา้ งหน้าก็ได้ เชน่ คาว่า อันที่จริง จรงิ ๆ แลว้ ฯลฯ ดังคาทีพ่ มิ พ์ตัวเน้นในตัวอย่างต่อไปนี้
#อาหารเสริมส่วนใหญ่เป็นท่ีนิยมเพราะมีการอวดอ้างสรรพคุณ #อันท่ีจริงร่างกายเราต้องการ
อาหารเสริมเฉพาะกรณีที่เกดิ การเจบ็ ป่วยหรือไม่สามารถกินอาหารตามปรกติได้#
#สงั คมพากนั ประณามว่าคุณสมชายหนีหน้ี #จริง ๆ แล้ว ความคิดท่จี ะชาระหน้ีให้หมดส้ินอยู่ใน
สานึกของคณุ สมชายมาตลอด#
๑๓) คาเช่ือมสัมพนั ธสารเชอื่ มความที่เปน็ เงือ่ นไข คอื ทาหน้าทีเ่ ชื่อมข้อความท่ีมคี วามหมายแสดง
เง่ือนไข เชน่ คาว่า มิฉะน้นั ไมเ่ ชน่ น้นั ไม่อย่างนนั้ ไม่งัน้ ฯลฯ ดังคาทพ่ี ิมพต์ วั เนน้ ในตัวอย่างต่อไปนี้
#ผู้ป่วยท่ีเป็นโรคมะเร็งต้องได้รับการรักษาโดยเร็วท่ีสุด #มิฉะนั้นโรคอาจลุกลามจนไม่มีทาง
รกั ษาให้หายขาดได#้
#การรณรงค์ต่อต้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจต้องให้เป็นข่าวหน้าหน่ึง #ไม่เช่นน้ันเราไม่มีทางทา
สาเร็จเลย#
#ราคาน้ามันมีแต่จะเพ่ิมขึ้น โอกาสที่จะได้ใช้น้ามันราคาถูกอย่างแต่ก่อนไม่มีอีกแล้ว #เราทุกคน
ต้องช่วยกนั ประหยดั พลังงานอย่างเตม็ ที่ #ไมอ่ ยา่ งน้ันจะตอ้ งเผชญิ กบั วิกฤตรา้ ยแรงอยา่ งคาดไมถ่ งึ #
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๒๑๓
#ยังโชคดที ี่เป็นแกว้ พลาสตกิ #ไม่ง้ันคงแตกไปแล้ว#
๘.๒.๔ การเช่ือมโยงความด้วยการใช้คาศัพท์ (lexical cohesion) ทาได้ด้วยการใช้คาศัพท์ท่ีสัมพันธ์
กนั อาจเปน็ คาศพั ทท์ ม่ี คี วามหมายสัมพันธ์กนั ในแงต่ า่ ง ๆ ดงั นี้
๑) มีความหมายเหมือนกนั โดยใช้คาเดยี วกันซ้า เช่น ศึกษา กับ ศกึ ษา หรอื ใช้คาพ้องความหมาย
เชน่ ศกึ ษา กับ เลา่ เรยี น
๒) มีความหมายขดั แย้งกัน โดยใชค้ าท่ีมีความหมายตรงกนั ข้าม เช่น ร่าเริง กบั ซึมเศร้า
๓) คาหนงึ่ เป็นส่วนย่อย ประเภทยอ่ ย ชนิดยอ่ ย หรือลักษณะย่อยของอีกคาหน่งึ เชน่ ขาโต๊ะ เป็น
ส่วนยอ่ ยของ โต๊ะ มะม่วง เป็นประเภทยอ่ ยของผลไมส้ ีเขยี วตองอ่อน เปน็ ลักษณะยอ่ ย สีเขยี ว
๔) คาหนง่ึ อธบิ ายลกั ษณะหรืออาการของอีกคาหนง่ึ เช่น เลื้อย เป็น อาการของงู
๕) เป็นคาท่ีใช้ในทาเนียบภาษาเดยี วกนั หรอื ในวงการเดียวกัน เช่น ใช้คาราชาศัพทเ์ หมือนกนั ใช้
คาในสาขาวิชาเฉพาะเดยี วกัน ใชค้ าในแวดวงอาชีพเดยี วกัน เป็นต้น
การใชค้ าศัพทเ์ ชอ่ื มโยงความมตี วั อยา่ งดงั นี้
#บา้ นหลังนนั้ เก่าโทรมและเล็กมาก #ประตูหน้าตา่ งเปิดแง้มไว้ บรรยากาศซมึ เศร้านา่ หดหู่#
ประตหู นา้ ตา่ ง เปน็ สว่ นหนึง่ ของ บ้าน
#ในการทาอาหารบางชนิด คุณต้องใช้ไฟแรง #อาหารจึงจะอร่อย #แต่อาหารบางชนิด คณุ ต้อง
ใช้ไฟอ่อนหนอ่ ย #รสชาติของอาหารจานนนั้ จึงจะกลมกล่อม#
ไฟแรง กับ ไฟอ่อน เป็นคาท่ีมีความหมายตรงกันข้าม รสชาติ เป็นองค์ประกอบของอาหาร ส่วน
กลมกลอ่ ม เปน็ ชนิดยอ่ ยของรสชาติ และคาทัง้ หมดนี้เปน็ คาในแวดวงการทาอาหารทั้งสนิ้
#ท่ีกลางบึง ฟองอากาศฟองใหญ่จานวนมากเร่ิมผุดขึ้นมาท่ีผิวน้า #น้าถูกดันสูงขึ้นเหมือนตัว
อะไรใหญ่มาก ๆ กาลงั จะขน้ึ มาจากใตน้ า้ #แลว้ เรากเ็ หน็ มนั ชดั เจนทก่ี ลางบึง#
คาที่พมิ พ์ตัวเน้นทั้งหมดเป็นคาท่อี ธบิ ายลกั ษณะของ บงึ
#ผู้ถือหุ้นในราคาต่ากว่าต้นทุนไม่จาเป็นต้องรีบเทขาย #ควรรอจังหวะขายทากาไร #ในคร่ึงปี
แรกดัชนีจะผนั ผวนสงู มาก#
คาท่พี มิ พต์ ัวเนน้ ท้ังหมดเป็นศพั ทเ์ กยี่ วกบั การเลน่ หนุ้
#รถป๊ิกอั้พรนุ่ น้มี ีกาลังแรงกว่ารุ่นอื่น ๆ #ด้วยพลังเทอร์โบ ๒๕๐๐ ซซี ี ๑๒๑ แรงม้า ๑๒ วาล์ว
รถรุ่นน้ีมกี าลงั แรงเต็มสมรรถนะ #ทาให้ผ้ขู บั รู้สึกเหมือนขบั รถสปอรต์ #
คาว่า พลังเทอร์โบ ซีซี แรงม้า วาล์ว และผู้ขับ เป็นส่วนประกอบของรถ คาว่า กาลังแรง และ
สมรรถนะ เปน็ ลกั ษณะของรถ สว่ นคาวา่ รถปก๊ิ อพ้ั และรถสปอรต์ เปน็ ชนดิ หน่ึงของ รถ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๒๑๔
#ทฤษฎีใหม่เปน็ แนวพระราชดาริอันยิง่ ใหญ่และลกึ ซงึ้ สอดคล้องกับวิถีชีวิตและสภาพภูมิประเทศ
ของไทย #เกิดข้ึนจากพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงศึกษาสภาพปัญหาทุกด้าน
ของประเทศด้วยพระองค์เองอย่างใกลช้ ิดมาตลอดระยะเวลากว่า ๕๐ ป#ี
คาที่พิมพต์ ัวเนน้ ทกุ คาเป็นคาในทาเนียบภาษาเดยี วกัน คือ ราชาศัพท์ท่ีใชก้ บั พระบาทสมเด็จพระ
เจา้ อยหู่ ัว
#เส้นทางคมนาคมใหม่จะเช่ือมไปยังเมืองใหม่บริวาร #มีการขยายเส้นทางรถไฟ และรถยนต์
#ทั้งนี้ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนกว่า ๔๐๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อทาให้ระบบขนส่งเชื่อมโยงกัน #เม่ือระบบขนส่ง
มวลชนดี ประชาชนจะเลอื กใชบ้ รกิ ารระบบขนสง่ มวลชนมากกวา่ ใช้รถสว่ นตัว#
คาท่ีพิมพต์ วั เนน้ ทกุ คามีความหมายเก่ยี วกบั การคมนาคมท้งั สน้ิ
๘.๒.๕ การเช่ือมโยงความด้วยการใช้กลวิธหี ลายอย่างร่วมกนั ในสมั พันธสารทวั่ ไป การเช่ือมโยงความ
มกั เกิดจากการใชก้ ลวิธีหลายอย่างปนกัน ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างข้างล่างน้ี ผอู้ า่ นอาจลองพิจารณาดวู ่าแต่ละ
ตัวอย่างที่ใช้กลวิธกี ารเชอ่ื มโยงความอะไรบา้ ง คาตอบและคาอธิบายอยชู่ ่องขวามอื
ตวั อยา่ ง คาอธบิ าย
#ลักษณะเด่นของการปกครองในสมัยสุโขทัยคือการปกครองแบบบิดา ๑ ก) การใช้คาเชื่อมสัมพันธ
ปกครองบุตรและการปกครองแบบธรรมราชา #ด้วยว่า พระมหากษัตริย์ สารใช้คาเชื่อม ด้วยว่า เช่ือม
ไทยในสมัยกรงุ สุโขทัยมีฐานะเป็นบุคคลเช่นเดียวกับราษฎร #มิใช่เป็นสมติ ความเปน็ เหตเุ ปน็ ผล
เทพ #Øมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากอันเป็นลักษณะเด่นของการปกครอง ๒) การละ พระมหากษัตริย์
แบบบิดาปกครองบุตร #น่ันคือ ผู้ปกครองและผู้อยู่ใต้ปกครองมีความ ไ ท ย ห น้ า มิ ใ ช่ แ ล ะ ล ะ
ร่วมมอื กนั #ต่างฝา่ ยต่างฟังความคดิ ซ่ึงกันและกัน# พระมหากษัตริย์ไทยกับราษฎร
(ดนัย ไชยโยธา, ๒๕๔๖ : ๕) หนา้ มีความสมั พันธ์
๑ ข) การใช้คาเช่ือมสัมพันธ
สารใช้คาเชื่อม น่ันคือ เชื่อม
คาอธิบาย
๓) การใช้คาบอกจานวน ต่าง
(ฝ่าย) อ้างถึง ผู้ปกครองและผู้
อยูใ่ ตป้ กครอง
๔ ) ก ารใช้ค าศัพ ท์ ใช้ค าท่ี
หมายถึงการปกครองแบบต่าง
ๆ ซึ่งเป็นประเภทย่อยของการ
ปกครอง
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๒๑๕
#คนไทยเป็นคนรักความสนุกสนานมาทุกยุคทุกสมัย #เพราะฉะน้ัน ๑) การซ้า ซ้านามวลี ความ
กิจกรรมต่าง ๆ จงึ มักตั้งพ้นื ฐานอย่บู นความสนุกสนาน #ขอยกตวั อย่างเช่น สนุกสนาน
การทาบุญทอดกฐินมักนิยมยกขบวนไปทอด ณ วัดไกล ๆ เพื่อให้ผู้ร่วม ๒ ก) การใช้คาเชื่อมสัมพันธ
ขบวนได้รับความสนุกสนานจากการท่องเทยี่ ว# สาร เพราะฉะน้ัน เช่ือมความ
(ดนัย ไชยโยธา, ๒๕๔๖ : ๑๓) เป็นเหตุเปน็ ผล
๒ ข) การใช้คาเชื่อมสัมพันธ
สาร
ข อ ย ก ตั ว อ ย่ างเช่ น เชื่ อ ม
ตัวอย่าง
๓ ) การใช้คาศั พ ท์ คือการ
ท่องเท่ียว สัมพันธ์กับความ
สนุกสนานและผู้ร่วมขบวนเป็น
สว่ นหน่งึ ของ ขบวน
#สังคมไทยในสมัยก่อนนั้นถือว่า การเลือกคู่เป็นหน้าที่ของบิดามารดาหรือ ๑ ก) การใช้คาเช่ือมสัมพันธ
ญาติผ้ใู หญ่ #กลา่ วคือ บิดา มารดา หรือญาติผู้ใหญ่เปน็ ผูก้ าหนดคู่สมรสแก่ สารใช้คาเช่ือม กล่าวคือ เชื่อม
บุตรธิดาของตน #ซึ่งทาใหเ้ กิดประเพณี คลุมถุงชน เพราะฉะน้ัน การเลือก คาอธบิ าย
ค่สู มรสหรือคคู่ รองในสมัยกอ่ นจึงเป็นสัญญาท่ีผู้ใหญ่ของคู่สมรสทั้งสองฝ่าย ๒) การซ้า ซ้านามวลี บิดามาร
จดั ทาขึน้ เพอ่ื ผูกพันบตุ รธิดาของตน# หรือญาติผู้ใหญ่ บุตรธิดาและคู่
(ดนัย ไชยโยธา, ๒๕๔๖ : ๘๔) สมรส
๓) การใช้คาแทนท่ี คือผู้ใหญ่
อ้างถึง บิดามารดาหรือญาติ
ผู้ใหญ่ ใช้คาว่า ตน อ้างถึง
บิดามารดาหรอื ญาติผูใ้ หญ่
๔) การใช้คาศัพท์ที่สัมพันธ์กัน
ได้แก่ บุตรธิดา สัมพันธ์กับ
บิดามารดาหรือญาติใหญ่ คา
ว่าการเลือกคู่ คู่สมรส คู่ครอง
ผูกพันสองฝ่าย คลุมถุงชน เป็น
ศัพทท์ ่ีเก่ยี วขอ้ งกับการสมรส
๕) การละ ละข้อความหน้า
คาเชือ่ ม ซ่ึง
๑ ข) การใช้คาเช่ือมสัมพันธ
สารใช้คาเชื่อม เพราะฉะน้ัน
เช่อื มความเป็นเหตุเป็นผล
#คนไทยมีค่านิยมในเรื่องความสนุกสนาน #เพราะฉะน้ัน การปฏิบัติ ๑ ก) การใช้คาเชื่อมสัมพันธ
วฒั นธรรมต่าง ๆ ของไทยจึงมักมีพ้ืนฐานอยู่บนความสนุกสนาน #เช่น การ สารใช้คาเช่ือม เพราะฉะนั้น
จัดงานวันคล้ายวันเกิด ก็มีการแสดงดนตรี #งานเผาศพในชนบทจะมีการ เช่ือมความเป็นเหตเุ ป็นผล
จัดงานมหรสพ #กล่าวได้ว่า คนไทยมีวัฒนธรรมท่ีแสดงออกซ่ึงความ ๒) การซ้า ซ้านามวลี ความ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๒๑๖
สนุกสนานตง้ั แตเ่ กิดจนตายเลยทเี ดียว# สนกุ สนาน
(ดนยั ไชยโยธา, ๒๕๔๖ : ๑๑๑) ๓) การใช้คาศัพท์ที่สัมพันธ์กัน
คาว่า การแสดงดนตรี การจัด
งานมหรสพ สัมพันธ์กับความ
สนุกสนาน
๑ ข) การใช้คาเชื่อมสัมพันธ
สารใช้คาเช่ือม กล่ าวได้ว่า
เชื่อมความสรุป
#การประกันชีวิตมีแบบต่าง ๆ ให้เลือกหลายรูปแบบ #โดยแต่ละรูปแบบ ๑ ) ก า ร ใช้ ค า ศั พ ท์ ได้ แ ก่
จะมีลักษณะความคุ้มครองและให้ผลประโยชน์ท่ีตา่ งกนั #ซึ่งเป็นผลให้การ คาศัพท์ในวงการประกันชีวิต
คิดอัตราเบ้ียประกันแตกต่างออกไปด้วย #ฉะน้ัน ผู้ซ้ือควรเลือกซ้ือแบบ คื อ ค ว า ม คุ้ ม ค ร อ ง
ประกันชีวิตท่ีเหมาะสมกับความต้องการ #โดยแบบประกันชีวิตจะแบ่ง ผลประโยชน์ อัตราเบ้ียประกัน
ออกเปน็ แบบพนื้ ฐาน และแบบประยุกต์# ซื้อแบ บ ป ระกัน ชีวิต แบ บ
(โลกการคา้ , ๒๕๔๔ : ๗๒) พนื้ ฐาน และแบบประยกุ ต์
๒ ก) การใช้คาเช่ือมสัมพันธ
สารใชค้ าเช่ือม โดย เชอื่ มความ
เสรมิ
๓) การอ้างถึง ใช้คาว่า แต่ละ
อา้ งถึง รูปแบบ
๔) การซ้า ซา้ นามวลี รปู แบบ
๕) การละ ละข้อความหน้า
คาเชอ่ื ม ซ่ึง
๒ ข) การใช้คาเช่ือมสัมพันธ
สารใช้คาเชื่อม ฉะนั้น เช่ือม
ความเป็นเหตุเปน็ ผล
๒ ค) การใช้คาเชื่อมสัมพันธ
สารใช้คาเช่ือม โดย เชื่อมความ
เสรมิ
#การศึกษาคุณภาพชีวิต เป็นการศึกษาภาวะความเป็นอยู่ตามการรับรู้ของ ๑ ) ก า ร ซ้ า ซ้ า น า ม ว ลี
บุคคล #เป็นการศึกษาถึงสภาพความเป็นอยู่ ความพึงพอใจในสภาพความ การศึกษาความเป็นอยู่ ความ
เป็นอยู่ ความพึงพอใจในสภาพความเป็นอยู่และมาตรฐานการดารงชีวิต พึงพอใจ บุคคล และคุณภาพ
ของบุคคลว่ามีความพึงพอใจในระดับใด และมีส่ิงใดท่ีมีความเหมาะสมกับ ชวี ติ
ตวั เขาเองบา้ ง #นัน่ คือคณุ ภาพชวี ิตมีลักษณะอตั วสิ ยั # ๒) การใช้คาศัพท์ ความเป็นอยู่
(อจั ฉรา วงศว์ ัฒนามงคล, ๒๕๓๘ : ๑๑๑) การดารงชีวิต มีความหมาย
สัมพันธ์กับ ชีวิต คาว่า สภาพ
กั บ ภ า ว ะ มี ค ว า ม ห ม า ย
เหมือนกัน คาว่า อัตวิสัย มี
ความหมายสัมพันธ์กับคาว่า
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๒๑๗
ตวั และ บคุ คล
๓) การใช้คาสรรพนาม เขา
อา้ งถงึ บุคคล
๔) การใช้คาเชื่อมสัมพันธสาร
ใช้คาเช่ือม น่ันคือ เชื่อมคา
อธิบาย
#การสอบคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ท่ี ๑ ) ก า ร ใช้ ค า ศั พ ท์ ค า ว่ า
ชาวบ้านเรียกกันสั้น ๆ เพื่อง่ายแก่การเข้าใจว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ข้อสอบ (ใช้ ๒ คร้ัง) สัมพันธ์
หรือการสอบเอ็นทร้านซ์เป็นท่ียอมรับโดยท่ัวไปว่าเป็นการสอบท่ีโปร่งใส กับการสอบคัดเลือก คาว่า
บริสุทธิ์และเป็นธรรมมากที่สุดและดาเนินการมาด้วยดีเป็นเวลาหลาย บ ริ สุ ท ธิ์ แ ล ะ เป็ น ธ ร ร ม มี
ทศวรรษแล้ว #แต่ปีน้ีกลับมีราคีมัวหมอง #ถูกแฉว่าข้อสอบรั่ว #และต้อง ความหมายตรงข้ามกับมีราคี
ออกขอ้ สอบใหม่อยา่ งกะทนั หนั # มวั หมอง
(ไทยรฐั , ๒๕๔๗ : ๓) ๒) การใช้คาเช่ือมสัมพันธสาร
ใช้คาเชื่อม แต่ เช่ือมความ
ขัดแย้ง
๓) การละ ละนามวลี การสอบ
คดั เลอื ก หนา้ กลับมี และถูกแฉ
จะเห็นได้ว่าการเชื่อมโยงความซึ่งเป็นคณุ สมบัติสาคัญของสัมพันธสารเกิดข้ึนได้ด้วยกลวธิ ีหลายอย่าง
ซึ่งแบ่งเป็นประเภทใหญ่ ๆ ๔ ประเภท ได้แก่ การอ้างถึง การละ การใช้คาเชื่อมสัมพันธสาร และการใช้
คาศพั ท์ ซงึ่ แสดงให้เหน็ โดยละเอียดขา้ งต้นแลว้
อนึ่ง หากต้องการศึกษาเปรียบเทียบสัมพันธสารชนิดต่าง ๆ เช่น สัมพันธสารเร่ืองเล่า (narrative
discourse) สัมพันธสารวรรณ นา (descriptive discourse) สัมพันธสารกระบวนการ (procedural
discourse) สัมพันธสารเชิญชวน (persuasive discourse) ฯลฯ ผู้ศึกษาจาเป็นต้องพิจารณาคุณสมบัติอื่น ๆ
ทที่ าให้สัมพนั ธสารเหล่านัน้ แตกตา่ งกันด้วย เช่น ศึกษาโครงสร้าง ตัวบง่ ช้ี และกลวิธอี ื่น ๆ ที่ใชใ้ นการเช่อื มโยง
ความของสัมพนั ธสารดงั กลา่ ว จงึ จะเห็นลักษณะทแ่ี ท้จรงิ ของสัมพนั ธสารแต่ละชนดิ ได้
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๒๑๘
สรุปทา้ ยบท
สัมพันธสาร หมายถึง ภาษาระดับข้อความ บทสนทนา ย่อหน้า เรียงความ จดหมาย บทความ เรื่อง
ส้ัน นิทาน นวนิยาย หนังสือ ตารา คัมภีร์ ล้วนเป็นหน่วยภาษาระดับสัมพันธสารทั้งสิ้น ถึงแม้ประโยคจะเป็น
หน่วยท่ีสาคัญที่สุดในระบบไวยากรณ์และใช้ส่ือสารกันรู้เรื่อง แต่ในการสื่อสารต้องใช้ภาษาระดับสัมพันธสาร
ซ่งึ ประกอบดว้ ยประโยคหลายประโยค
การเช่ือมโยงความของสัมพันธสาร คือกลวิธีท่ีทาให้เกิดการเช่ือมโยงความในสัมพันธสาร ได้แก่ การ
อ้างถงึ (reference) การละ (ellipsis) การใช้คาเชื่อมสัมพันธสาร (conjunction) และการใชค้ าศัพท์ (lexical
cohesion) ดงั น้ี
๑) การอ้างถงึ (reference) หมายถึงการเชอ่ื มโยงความด้วยการใช้คาหรือวลีเพื่ออ้างถึงคาหรือวลี
ท่ีมาข้างหน้า กลวธิ ีการอ้างถึงท่ีใช้เพ่ือให้เกดิ การเช่ือมโยงความในสัมพันธสารภาษาไทยมี ๘ ประเภท คือการ
ซ้านามวลีเดิม การใช้บุรุษสรรพนาม การใช้สรรพนามช้ีเฉพาะ การใช้คาบอกกาหนดชี้เฉพาะ การใช้คาที่
เกี่ยวกับจานวน การใชต้ วั บ่งบอก การใช้คาแทนท่ี และการใช้คาเปรยี บเทียบมากน้อย
๒) การเชื่อมโยงความด้วยการละ การเช่ือมโยงความในสัมพันธสารอาจทาโดย การละ (ellipsis)
คือการละไว้ในฐานที่เข้าใจ หรือการตัดข้อความที่ผู้พูดกับผู้ฟังรู้ดีอยู่แล้วออก ทาให้เกิดช่องว่างท่ีมีความ
เชอ่ื มโยงกบั ข้อความท่ีมาขา้ งหน้า ขอ้ ความท่ลี ะอาจเป็นนามวลี กรยิ าวลี หรอื อนปุ ระโยคก็ได้
๓) การเชอื่ มโยงความด้วยการใชค้ าเชื่อมสัมพันธสาร คาเชอ่ื มสัมพันธสาร (conjunction) คอื คา
ที่ใช้เชื่อมระหว่างประโยคเพื่อให้ข้อความมีความต่อเนื่องและสัมพันธ์กัน การใช้คาเชื่อมสัมพันธสารเป็นอีก
กลวิธีหนึ่งที่ทาให้เกิดการเช่ือมโยงความ คาเชื่อมสัมพันธสารทาหน้าท่ีต่าง ๆ ที่สาคัญมี ๑๓ ประเภท เช่ือม
คาอธิบาย ตัวอย่าง ความเน้นเฉพาะ ความสรุป ความขัดแย้ง ความคล้อยตาม ความเพ่ิม ลาดับเวลา ความ
เปน็ เหตุเปน็ ผล ความเสรมิ เรื่องใหมค่ วามชีแ้ จง และความทเ่ี ป็นเงือ่ นไข ดังรายละเอยี ดต่อไปน้ี
๔) การเช่ือมโยงความด้วยการใช้คาศัพท์ (lexical cohesion) ทาได้ด้วยการใช้คาศัพท์ที่สัมพันธ์
กนั อาจเป็นคาศพั ท์ท่ีมีความหมายสัมพันธ์กันในแง่ตา่ ง ๆ ดังน้ี (๑) มีความหมายเหมือนกัน โดยใช้คาเดียวกัน
ซา้ เช่น ศกึ ษา กับ ศึกษา หรือใช้คาพ้องความหมาย เช่น ศกึ ษา กบั เลา่ เรียน (๒) มีความหมายขดั แยง้ กัน โดย
ใช้คาที่มีความหมายตรงกันข้าม เช่น รา่ เรงิ กับ ซึมเศร้า (๓) คาหนึ่งเป็นส่วนย่อย ประเภทย่อย ชนิดย่อย หรือ
ลักษณะย่อยของอีกคาหนึ่ง เช่น ขาโต๊ะ เป็นส่วนย่อยของ โต๊ะ มะม่วง เป็นประเภทย่อยของผลไม้สีเขียวตอง
อ่อน เป็นลักษณะย่อย สีเขียว (๔) คาหน่ึงอธิบายลักษณะหรืออาการของอีกคาหน่ึง เช่น เล้ือย เป็น อาการ
ของงู (๕) เป็นคาที่ใช้ในทาเนียบภาษาเดียวกัน หรือในวงการเดียวกนั เช่น ใชค้ าราชาศัพท์เหมือนกัน ใช้คาใน
สาขาวชิ าเฉพาะเดียวกัน ใช้คาในแวดวงอาชพี เดยี วกนั เป็นตน้
๕) การเชื่อมโยงความดว้ ยการใช้กลวธิ ีหลายอยา่ งรว่ มกนั ในสมั พันธสารทวั่ ไป การเช่อื มโยงความ
มกั เกดิ จากการใช้กลวิธหี ลายอย่างปนกัน
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๒๑๙
รูปแบบการเรียนการสอน
๑. กิจกรรมสร้างสรรค์
๑.๑ เกม (บัตรคา)
๑.๒ แบบทดสอบ/แบบฝึกหัดทางภาษาศาสตร์ภาษาไทย
๒. กจิ กรรมการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์ (CBL : Creativity-Based Learning)
๒.๑ นยิ ามความหมายของสมั พันธสาร
๒.๒ ลักษณะการใชส้ ัมพนั ธสารในประโยคเปน็ อย่างไร
๒.๓ ลักษณะการใช้สมั พันธสารในขอ้ ความเป็นอย่างไร
๒.๔ วาดแผนผังสัมพันธสารตามหลักภาษาศาสตร์ภาษาไทย
สื่อการเรยี นรู้
๑. โปรแกรมนาเสนอภาพนิ่ง (PPT.) เนือ้ หาประกอบการบรรยาย
๒. โปรแกรมสือ่ มัตตมิ เี ดยี และแอปพลิเคชัน YouTube
๓. เอกสารประกอบการสอน รายวชิ า ED1019 ภาษาศาสตรภ์ าษาไทยสาหรับครู
๔. เกมบัตรคา
๕. แบบทดสอบ/แบบฝกึ หดั
๖. แผนการจัดการเรยี นรู้
๗. ใบความรู้
การวดั และการประเมินผล
๑. ประเมินผลจากการสังเกตความสนใจ ซักถาม และตอบคาถาม
๒. ประเมินผลจากการรว่ มกจิ กรรม การอภิปรายแสดงความคดิ เห็น
๓. ประเมินผลจากผลงาน ดา้ นเนือ้ หา รปู แบบ ความคิดสร้างสรรค์ วิธีการนาเสนอ
๔. ประเมินผลจากการตรวจสอบผลการเลน่ เกม แบบทดสอบ และแบบฝกึ หดั
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๒๒๐
เอกสารอ้างองิ
ราชบัณ ฑิตยสถาน. (๒๕๕๓). พจนานุกรมศัพท์ ภาษาศาสตร์ (ภาษาศาสตร์ประยุกต์) ฉบับ
ราชบัณฑติ ยสถาน. กรงุ เทพฯ : ราชบณั ฑิตยสถาน.
วรวรรธน์ ศรยี าภยั . (๒๕๕๖). ภาษาศาสตรภ์ าษาไทย. พมิ พค์ รง้ั ที่ ๒. นนทบรุ ี : สมั ปชญั ญะ.
สมทรง บุรุษพัฒน์. (๒๕๓๗). วจนะวิเคราะห์ : การวิเคราะห์ภาษาระดับข้อความ. นครปฐม : สถาบันวิจัย
ภาษาและวฒั นธรรมเพอ่ื พัฒนาชนบท มหาวิทยาลยั มหิล.
สถาบันภาษาไทย. (๒๕๕๕). บรรทัดฐานภาษาไทย เลม่ ๓. พมิ พ์ครง้ั ที่ ๓. กรุงเทพฯ : องคก์ ารคา้ ของสกสค.
อมรา ประสิทธิ์รัฐสินธ์ุ. (๒๕๕๒). “สัมพันธสาร”. ใน บรรทัดฐานภาษาไทย : ชนิดของคาวลี ประโยค และ
สัมพันธสาร. กรงุ เทพฯ : องค์การคา้ ของสกสค.
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๒๒๑
บรรณานกุ รม
กาญจนา นาคสกุล. (๒๕๕๙). ระบบเสยี งภาษาไทย. พิมพค์ รง้ั ท่ี ๘. กรงุ เทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
กาชัย ทองหลอ่ . (๒๕๕๒). หลกั ภาษาไทย. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๕. กรุงเทพฯ : อมรการพิมพ.์
คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (๒๕๖๑). ภาษาศาสตร์เบื้องต้น (Introduction to
Linguistics) ฉบบั ปรบั ปรงุ . พมิ พค์ ร้งั ท่ี ๓. พระนครศรีอยุธยา : มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย.
จรัลวิไล จรญู โรจน์. (๒๕๕๒). ภาษาศาสตรเ์ บอื้ งต้น. พิมพ์ครง้ั ท่ี ๔. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.์
จนิ ดา งามสทุ ธิ. (๒๕๒๔). ภาษาศาสตร์ภาษาไทย. พมิ พค์ รั้งท่ี ๒. กรุงเทพฯ : โอเดยี นสโตร.์
จนิ ดา เฮงสมบูรณ์. (๒๕๔๒). ภาษาศาสตร์เบ้อื งต้น. กรงุ เทพฯ : สวุ ีรยิ าสาสน์ .
ชลธิชา บารุงรักษ์. (๒๕๓๙). การวิเคราะห์ภาษาระดับข้อความประเภทต่าง ๆ ในภาษาไทย. กรุงเทพฯ :
ภาควิชาภาษาศาสตร์ คณะศลิ ปะศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร.์
ฐะปะนยี ์ นาครทรรพ. (๒๕๑๓). การประพนั ธ์. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์.
ดษุ ฎพี ร ชานิโรคศานต.์ (๒๕๒๖). ภาษาศาสตรเ์ ชิงประวัตแิ ละภาษาไทเปรยี บเทยี บ. กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณ์
มหาวิทยาลัย.
ธวชั ปณุ โณทก. (๒๕๔๕). ววิ ัฒนาการภาษาไทย. กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช.
นววรรณ พันธเุ มธา. (๒๕๔๙). ไวยากรณไ์ ทย. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๒. กรงุ เทพฯ : จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย.
นภาลัย สุวรรณธาดา. (๒๕๒๖). “ความรู้เบื้องต้นเก่ียวกับภาษาศาสตร์”. ใน เอกสารการสอนชุดวิชา
ภาษาไทย ๓ หน่วยที่ ๑ หน้า ๑ – ๕๐. (พิมพค์ ร้ังท่ี ๒). กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช.
นิตยา กาญจนะวรรณ. (๒๕๕๔). การวิเคราะหโ์ ครงสรา้ งภาษาไทย. พิมพ์คร้ังท่ี ๕. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัย
รามคาแหง.
ประยุทธ กุยสาคร. (๒๕๒๗). ภาษาไทยเชิงภาษาศาสตร์. กรุงเทพฯ : เอกสารการนิเทศการศึกษาฉบับท่ี
๒๕๘ ภาคพฒั นาตาราและเอกสารวชิ าการหน่วยการศึกษานเิ ทศก์ กรมการฝึกหัดครู.
ประสิทธ์ิ กาพย์กลอน. (๒๕๑๖). การศึกษาภาษาไทยตามแนวภาษาศาสตร์. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช
จากัด.
ปรยี า องิ คาภิรมย์. (๒๕๔๘). ไวยากรณ์ภาษาญปี่ นุ่ . กรงุ เทพฯ : ดอกหญา้ กรุป๊ .
เปรมจิต ชนะวงศ์. (๒๕๔๕). ภาษาศาสตร์เบ้ืองต้น. พิมพ์ครั้งท่ี ๗. นครศรีธรรมราช : สถาบันราชภัฏ
นครศรธี รรมราช.
พระครคู ัมภรี ์ธรรมานวุ ัตร. (๒๕๖๓). หลกั ภาษาไทยเบือ้ งตน้ . ขอนแกน่ : เอมี่ กอ๊ ปปี้ เซ็นเตอร์.
พระยาอุปกติ ศลิ ปสาร. (๒๕๔๕). หลกั ภาษาไทย. พิมพค์ ร้ังที่ ๑๑. กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ จากัด.
พัชรี พลาวงศ์. (๒๕๓๗). ความรู้เบ้ืองต้นทางอรรถศาสตร์. พิมพ์ครั้งท่ี ๔. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัย
รามคาแหง.
พิณทิพย์ ทวยเจริญ. (๒๕๔๗). ภาพรวมของการศกึ ษาสัทศาสตร์และภาษาศาสตร์. พิมพ์ครง้ั ท่ี ๓. กรุงเทพฯ
: มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร.์
๒๒๒
รัตติยา สาและ. (๒๕๒๙). การอ่านและการเขียนภาษามลายูด้วนตัวอักษรยาวี. กรุงเทพฯ : มูลนิธีเสฐียร
โกเศศนาคะประทีป.
ราชบณั ฑิตยสถาน. (๒๕๔๗). พจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒. กรงุ เทพฯ : นานมบี ุ๊ค.
_______. (๒๕๕๓). พจนานุกรมศัพท์ภาษาศาสตร์ (ภาษาศาสตร์ประยุกต์) ฉบับราชบัณฑิตยสถาน.
กรงุ เทพฯ : ราชบัณฑติ ยสถาน.
รุ่งฤดี แผลงศร. (๒๕๕๐). การประยกุ ต์หลกั การคเู่ ทยี บเสยี งในการสอนภาษาไทยแก่ผ้เู รียนชาวต่างประเทศ.
วารสารมนษุ ยศาสตร์ปรทิ รรศน์. ๒๙(๑), ๓๓ – ๔๖.
รุ่งฤดี แผลงศร. (๒๕๖๑). ศาสตร์การสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศ. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ :
จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
เรอื งเดช ปันเขอ่ื นขัติย์. (๒๕๕๒). ภาษาศาสตรภ์ าษาไทย. พิมพ์ครง้ั ที่ ๒. กรุงเทพฯ : Fast Books.
วรวรรธน์ ศรียาภยั . (๒๕๕๖). ภาษาศาสตรภ์ าษาไทย. พมิ พ์ครง้ั ที่ ๒. นนทบุรี : สัมปชญั ญะ.
วันเพ็ญ เทพโสภา. (๒๕๔๗). หลักภาษาไทย ฉบับนักเรียน-นกั ศึกษา. กรุงเทพฯ : พฒั นาศกึ ษา.
วิจินตน์ ภาณุพงศ์. (๒๕๓๒). โครงสร้างของภาษาไทย : ระบบไวยากรณ์. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัย
รามคาแหง.
วิจินตน์ ภาณุพงศ์ และอนันต์ เหล่าเลิศวรกุล. ๒๕๕๒. ชนิดของคา. ในบรรทัดฐานภาษาไทย : ชนิดของคา
วลี ประโยค และสมั พนั ธสาร. กรงุ เทพฯ : องคก์ ารคา้ ของสกสค.
วิเชยี ร เกษประทมุ . (๒๕๕๘). หลักภาษาไทย ฉบับสมบรู ณ์. กรงุ เทพฯ : สานกั พิมพ์ พ.ศ.พฒั นา.
วไิ ลวรรณ ขนษิ ฐานันท.์ (๒๕๒๑). ภาษาและภาษาศาสตร์. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร.์
วิโรจน์ อรณุ มานะกุล. (๒๕๔๙). ทฤษฎภี าษาศาสตร.์ กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สถาบันภาษาไทย. (๒๕๕๕). บรรทดั ฐานภาษาไทย เลม่ ๔. กรุงเทพฯ : คุรสุ ภาลาดพร้าวหนา้ .
_______. (๒๕๕๕). บรรทัดฐานภาษาไทย เลม่ ๓. พิมพ์คร้ังท่ี ๓. กรุงเทพฯ : องค์การค้าของสกสค.
สมาคมครูภาษาไทยแห่งประเทศไทย. (๒๕๕๘). หลักภาษาไทย : เร่ืองที่ครูภาษาไทยต้องรู้. กรุงเทพฯ :
องคก์ ารค้าของสกสค.
สัญชัญ สลุ กั ษณานนท์. (๒๕๔๒). ภาษาศาสตร์ภาษาฝรงั่ เศสเบ้อื งตน้ . กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์.
สมทรง บุรุษพัฒน์. (๒๕๓๗). วจนะวิเคราะห์ : การวิเคราะห์ภาษาระดับข้อความ. นครปฐม : สถาบันวิจัย
ภาษาและวัฒนธรรมเพอ่ื พฒั นาชนบท มหาวิทยาลัยมหดิ ล.
สจุ ริตลักษณ์ ดีผดุง. (๒๕๕๒). วัจนปฏิบัติศาสตร์เบ้ืองต้น (Introduction to Pragmatics). พิมพ์ครั้งที่ ๒.
กรงุ เทพฯ : ห้างหุ้นสว่ นจากดั สามลดา.
สนุ นั ท์ อัญชลีนุกูล. (๒๕๕๖). ระบบคาภาษาไทย. พิมพค์ ร้ังที่ ๔. กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
สุริยา รตั นกลุ . (๒๕๕๕). อรรถศาสตร์เบื้องต้น. พิมพค์ รั้งที่ ๒. นครปฐม : มหาวทิ ยาลยั มหิดล.
สธุ วิ งศ์ พงศ์ไพบลู ย์. (๒๕๔๓). หลักภาษาไทย. พมิ พค์ รงั้ ที่ ๑๕. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ จากัด.
ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา. (๒๕๒๕). การและความในภาษาไทยในราชบัณฑิตยสถาน (บก.). เอกสารประกอบการ
สมั มนาเร่ืองมองพจนานุกรม ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕.
อภิลักษณ์ ธรรมทวีธิกุล. (๒๕๔๗). สัทวิทยา : การวิเคราะห์ระบบเสียงในภาษา. กรุงเทพฯ :
มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร.์
๒๒๓
อมรา ประสิทธ์ิรฐั สนิ ธ์ุ และคณะ. (๒๕๕๔). ทฤษฎีไวยากรณ์. พิมพค์ รั้งท่ี ๓. กรงุ เทพฯ : เอเอสพี.
_______. (๒๕๕๒). “สัมพันธสาร”. ใน บรรทัดฐานภาษาไทย : ชนิดของคาวลี ประโยค และ
สัมพนั ธสาร. กรงุ เทพฯ : องคก์ ารคา้ ของสกสค.
อดุ ม วโรตมส์ ิกขดิตถ์. (๒๕๔๗). ภาษาศาสตร์เบื้องต้น. พมิ พค์ รง้ั ที่ ๒๐. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง.
๒๒๔
ช่อื -นามสกุล ประวัติผูเ้ ขยี น
ตดิ ตอ่
อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
ทีอ่ ย่ปู ัจจบุ ัน เบอรโ์ ทรศัพท์ ๐๖๑-๖๙๔-๖๙๖๖
Facebook: ศิษยน์ อ้ ย ภูเขาทอง
บา้ นดอนยาง ตาบลศิลา อาเภอเมือง จังหวัดขอนแกน่ ๔๐๐๐๐
การศึกษา สอบได้นักธรรมชัน้ เอก วัดปากน้า (บงุ้ สระพัง) สานกั เรยี นคณะจังหวัดอบุ ลราชธานี
พ.ศ. ๒๕๔๘ สอบได้เปรียญธรรม ๔ ประโยค วดั สระเกศ สานักเรียนวดั สระเกศ
พ.ศ. ๒๕๕๐ สาเรจ็ ปรญิ ญาตรี พุทธศาสตรบณั ฑิต (พธ.บ.) รนุ่ ท่ี ๕๘ สาขาวชิ าภาษาไทย
พ.ศ. ๒๕๕๕ คณะมนษุ ยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย
สาเร็จปรญิ ญาโท พทุ ธศาสตรมหาบณั ฑติ (พธ.ม.) รุน่ ที่ ๔ สาขาวชิ าภาษาศาสตร์
พ.ศ. ๒๕๕๗ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย
สาเร็จปรญิ ญาเอก พุทธศาสตรดษุ ฎบี ัณฑติ (พธ.ด.) รนุ่ ที่ ๑ สาขาวิชาภาษาศาสตร์
พ.ศ. ๒๕๖๒ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
ประสบการณ์ทางาน
พ.ศ. ๒๕๕๗ – ๒๕๖๑ เปน็ ครูพระสอนศลี ธรรม ทโ่ี รงเรยี นสตรศี รีสุริโยทยั
พ.ศ. ๒๕๖๑ เปน็ อาจารยพ์ ิเศษ สาขาวชิ าการสอนภาษาไทย คณะศึกษาศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั
พ.ศ. ๒๕๖๒ – ๒๕๖๔ เป็นอาจารย์ประจาหลกั สตู รระดับปรญิ ญาตรี สาขาวชิ าการสอนภาษาไทย
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย วิทยาเขตอีสาน
พ.ศ. ๒๕๖๔ – ปัจจบุ ัน เป็นอาจารยป์ ระจาหลักสูตรระดับบัณฑติ ศึกษา หลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต
และหลกั สูตรศึกษาศาสตรดุษฎบี ณั ฑติ สาขาวิชาการสอนภาษาไทย
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหามกุฏราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตอสี าน
ผลงานทางวชิ าการ (๕ ปีย้อนหลงั )
อรรถพงษ์ ผิวเหลือง. (๒๕๖๔. รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการเรียนรู้โดยการกระทา. ตีพิมพ์วารสาร
บัณฑิตศึกษามหาจุฬาขอนแก่น. ปีที่ ๘ ฉบับท่ี ๔ (ตลุ าคม – ธันวาคม). หนา้ ๒๒ – ๓๐. TCI 2.
พระครูชิโนวาทธารง (ปรีดา ปีติธมฺโม) และอรรถพงษ์ ผิวเหลือง. (๒๕๖๔). วิเคราะห์การใช้คาอุปมาเชิง
ภาษาศาสตร์ในวรรณกรรมของพระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร). ตีพิมพ์วารสาร มจร มนุษยศาสตร์
ปริทรรศน.์ ปที ่ี ๗ ฉบบั ท่ี ๑ (มกราคม – มิถนุ ายน). หน้า ๒๙๙ – ๓๑๕. TCI 2.
อรรถพงษ์ ผิวเหลือง, บัญชา เกียรติจรุงพันธุ์ และณัฐกิตต์ิ สิริวัฒนาทากุล. (๒๕๖๓). สภาพการจัดการเรียนรู้
ของครูภาษาไทย : แนวทางในการแก้ปัญหา. ตีพิมพ์วารสารศึกษาศาสตร์ มมร. ปีที่ ๘ ฉบับท่ี ๒
(กรกฎาคม – ธนั วาคม). หนา้ ๑๙๕ – ๒๑๑. TCI 2.
บัญชา เกียรติจรุงพันธ์, ณัฐกิตต์ิ สิริวัฒนาทากุล และอรรถพงษ์ ผิวเหลือง. (๒๕๖๓). การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนรายวิชา ED1020 ประวัติวรรณคดีและวรรณคดีเอกของไทยโดยการจัดกิจกรรมการ
๒๒๕
เรียนรู้ ตามแนวคิดเชิงรุก (Active Learning) สาหรับนักศกึ ษาสาขาวิชาการสอนภาษาไทย ช้ันปีท่ี 2
มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน. ตพี ิมพ์วารสารศกึ ษาศาสตร์ มมร. ปีที่ ๘ ฉบับท่ี
๒ (กรกฎาคม – ธันวาคม). หนา้ ๑๐๖ – ๑๑๗. TCI 2.
อรรถพงษ์ ผิวเหลือง. (๒๕๖๓). การจัดการเรียนรู้ภาพพจน์โดยใช้กรณีตัวอย่าง. ตีพิมพ์วารสารวิชาการแสง
อีสาน. ปีท่ี ๑๗ ฉบบั ท่ี ๒ (กรกฎาคม – ธันวาคม). หน้า ๒๖ – ๓๙. (TCI 3).
อรรถพงษ์ ผิวเหลือง. (๒๕๖๓). การแผลงเสียงสระภาษาบาลีและสันสกฤตในภาษาไทย. ตีพิมพ์วารสาร
มนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มมร. วิทยาเขตอสี าน. ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๒ (พฤษภาคม – สงิ หาคม). หน้า
๖๓ – ๗๔.
พระมหาอรรถพงษ์ อตฺถญาโณ, (ผิวเหลือง). (๒๕๖๒). การเรียนการสอนภาษาอังกฤษเบื้องต้นตามแนว
ภาษาศาสตร์. ตีพิมพ์วารสารศึกษาศาสตร์ มมร. ปีท่ี ๗ ฉบับท่ี ๑ (มกราคม – มิถุนายน). หน้า ๑๐๗
– ๑๑๘. (TCI 2).
พระครูชิโนวาทธารง (ปรีดา ปีติธมฺโม) และอรรถพงษ์ ผิวเหลือง. (๒๕๖๒). กลวิธีการใช้อุปลักษณ์ในเทศนา
ธรรมของหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน. ตีพิมพ์วารสารวิชาการแสงอีสาน ปีที่ ๑๖ ฉบับที่ ๒
(กรกฎาคม – ธันวาคม). หนา้ ๒๕๖ – ๒๗๑. (TCI 2).
พระมหาอรรถพงษ์ อตฺถญาโณ, บัญชา เกยี รติจรุงพนั ธ์, คชา ประณตี พลกรัง และบัญชา ธรรมบุตร. (๒๕๖๒).
การพัฒนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุกในวิชาหลักภาษาไทย. นาเสนอและตีพิมพ์ในการประชุมวิชาการ
ผลงานวจิ ยั ระดบั ชาติ ครง้ั ที่ ๑ ครบรอบ ๕๕ ปี มรสน. กบั การพัฒนาทอ้ งถิน่ .
บัญชา ธรรมบุตร, คชา ประณีตพลกรัง, พระมหาอรรถพงษ์ อตฺถญาโณ และบัญชา เกียรติจรุงพันธ์. (๒๕๖๒).
การพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based learning) ในวิชาคุณธรรม
จรยิ ธรรมสาหรบั คร.ู นาเสนอและตีพมิ พ์ในการประชุมวชิ าการนาเสนอผลงานวจิ ัยระดับชาติ คร้งั ท่ี ๑
ครบรอบ ๕๕ ปี มรสน. กบั การพัฒนาทอ้ งถน่ิ .
พระมหาอรรถพงษ์ อตฺถญาโณ, (ผิวเหลือง). (๒๕๖๒). วาทศิลป์ในปาฐกกถาธรรมของสมเด็จพระพุฒาจารย์
(เก่ียว อุปเสโณ). ตีพิมพ์วารสาร มจร มนุษยศาสตร์ปริทรรศน์. ปีที่ ๕ ฉบับท่ี ๑ (มกราคม –
มถิ ุนายน). หน้า ๒๙ – ๓๗.
พระมหาอรรถพงษ์ อตฺถญาโณ, (ผิวเหลือง). (๒๕๖๑). ความแตกต่างของอุปลักษณ์ตามแนวคดิ โวหารภาพพจน์
ภาษาศาสตร์ปริชาน และอรรถศาสตร์ปริชาน. ตีพิมพ์วารสารศึกษาศาสตร์ มมร. ปีท่ี ๖ ฉบับท่ี ๒
(กรกฎาคม – ธันวาคม). หน้า ๓๒๑ – ๓๓๒. (TCI 2).
พระมหาอรรถพงษ์ อตฺถญาโณ, (ผิวเหลือง) และเรืองเดช ป่ันเขือนขัติย์. (๒๕๖๑). กลวิธีการใช้อุปลักษณ์ใน
ปาฐกถาธรรมสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ). ตีพิมพ์วารสารวไลยอลงกรณ์ปริทัศน์
(มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์). ปีที่ ๘ ฉบับท่ี ๓ (กันยายน – ธันวาคม). หน้า ๑๐๑ – ๑๑๓. (TCI
2).