๑๔๗
ความหมายของค้าอีกถิ่นหนึ่ง เช่นคา้ ว่า บ้านเรือน เสื่อสาด ทรัพย์สนิ ทองค้า ฉับไว เสาะหา ย่างเดิน เป็นต้น
ค้าในคา้ ซ้อนเหล่านีจะมีความหมายเหมอื นกัน (๒) ค้าซ้อนท่ีมีความหมายใหม่ มักเป็นค้าซ้อนท่ีเกิดจากการน้า
ค้าท่ีมีความหมายใกล้เคียงกัน ท้านองเดียวกัน หรือตรงข้ามกันมาซ้อนกัน ท้าให้น้าหนักของความหมายอยู่ที่
ค้าใดค้าหน่ึง มี ๓ ลักษณะ ดังนี (๑) ความหมายของค้าซ้อนอยู่ท่ีค้าแรก (๒) ความหมายของค้าซ้อนอยู่ที่ค้า
หลัง (๓) ความหมายของค้าซ้อนกว้างขึน (๔) ความหมายอยู่ที่ค้าต้นและค้าท้าย (๕) ความหมายเฉพาะ
แตกตา่ งไปจากเดมิ
ค้าประสม ประกอบด้วย ๑ หัวข้อ ได้แก่ ๑) ความหมายของค้าประสม ๒) เกณฑ์ที่ใช้แยกค้าประสม
ออกจากค้าประเภทอ่ืน กลุ่มค้า และประโยค ๓) ส่วนประกอบของค้าประสม ๔) ลักษณะความหมายของค้า
ประสม
๑) ความหมายของค้าประสม คือ คา้ ประสมเกดิ จากการสร้างค้าขนึ ใชใ้ นภาษาไทย โดยน้าค้านาม
ค้ากริยา คา้ บพุ บท เป็นตน้ หรือหน่วยค้าอิสระ ๒ หน่วยขึนไป มาประสมกันและเกิดเป็นค้าใหมท่ ่ีมีความหมาย
ใหม่ ๑ หน่วยความหมายหรือเกิดสิ่งใหม่อีก ๑ ชนิด โดยอาจมีเค้าความหมายเดิมอยู่มากหรือน้อยก็ได้ ค้าที่
น้ามาประสมกันนัน อาจเป็นค้าไทยกับค้าไทย หรอื คา้ ไทยกับคา้ ภาษาต่างประเทศหรอื ค้าภาษาต่างประเทศกับ
ภาษาต่างประเทศก็ได้
๒) เกณฑ์ที่ใช้แยกค้าประสมออกจากค้าประเภทอื่น กลุ่มค้า และประโยค ดังนี (๑) ค้าประสม
เป็นค้าที่มีความหมายใหม่ ต่างจากความหมายที่เป็นผลรวมของหน่วยค้าท่ีมารวมกัน แต่มักมีเค้าความหมาย
ของหน่วยค้าเดิมอยู่ (๒) คา้ ประสมจะแทรกคา้ ใด ๆ ลงระหวา่ งหนว่ ยค้าท่มี ารวมกนั นนั ไม่ได้ ถ้าสามารถแทรก
ค้าอ่ืนลงไปได้ ค้าท่ีรวมกันนันจะไม่ใช่ค้าประสม (๓) ค้าประสมเป็นค้าค้าเดียว หน่วยค้าท่ีเป็นส่วนประกอบ
ของค้าประสม ไม่สามารถย้ายที่ หรือสลับท่ีได้ (๔) ค้าประสมจะออกเสียงต่อเนื่องกันไปโดยไม่หยุดหรือเว้น
จงั หวะระหว่าง หน่วยค้าที่เป็นส่วนประกอบ (๕) ค้าประสมบางค้าไม่มีความสมั พันธ์ทางวากยสัมพันธ์ระหว่าง
หน่วยค้าท่เี ป็นส่วนประกอบ
๓) ส่วนประกอบของค้าประสม คือหน่วยค้าท่ีมารวมกันเป็นค้าประสมอาจจะเป็นค้านาม
ค้ากริยา ค้าจ้านวนนับ ค้าล้าดับที่หรือค้าบุพบท เม่ือน้าค้าชนิดนัน ๆ มาประกอบกันแล้ว ส่วนใหญ่จะได้ค้า
ประสมท่เี ป็นคา้ นามหรอื ค้ากริยา
๔) ลักษณะความหมายของค้าประสม ค้าประสมมีความหมายเป็น ๓ ลักษณะ คือ ความหมาย
เปรียบเทียบ ความหมายเฉพาะ ซึ่งแตกต่างกับความหมายของหน่วยค้าเดิม และมีความหมายใกล้เคียงกับ
หน่วยค้าเดิมท่ีมาประกอบกัน ซ่ึงความหมายของค้าประสมนันจะสังเกตได้จากปริบท แต่ถึงอย่างไร
ความหมายของคา้ ประสมก็ยังคงมเี ค้าความหมายของค้าเดิมอยู่
ค้าประสาน ประกอบด้วย ๒ หวั ขอ้ ได้แก่ ๑) ความหมายของคา้ ประสาน ๒) ลกั ษณะของค้าประสาน
๑) ความหมายของค้าประสาน ค้าประสาน หมายถึง ค้าท่ีสร้างขึนด้วยการรวมหน่วยค้าเติมกับ
หน่วยฐานเข้าเป็นค้าใหม่ค้าหน่ึง กระบวนการสร้างค้าประสานเป็นกระบวนการท่ีเกิดขึนได้ เรื่อยไปไม่จ้ากัด
และไม่รู้จบ หน่วยค้าเติมจะมีความหมายคงท่ี ค้าประสานที่เกิดจากหน่วยค้าเติมเดียวกันจะเป็นค้าชนิด
เดียวกัน กล่าวคือ ประกอบด้วยหน่วยค้าอย่างน้อย ๒ หน่วย ซึ่งต้องเป็นหน่วยค้าไม่อิสระอย่างน้อย ๑ หน่วย
โดยอาจปรากฏตน้ คา้ หรือทา้ ยคา้ ก็ได้หรือเปน็ หนว่ ยคา้ ไม่อิสระทงั ๒ หน่วย
๒) ลักษณะของค้าประสาน คือค้าประสาน เป็นค้าที่เติมหน่วยค้าเติมเข้าข้างหน้าหรือข้างหลัง
หนว่ ยฐาน ซ่ึงเปน็ หนว่ ยหลัก หนว่ ยฐาน (base form) อาจเป็นหน่วยค้าไม่อิสระ หนว่ ยคา้ อิสระ ค้าประสม ค้า
ซ้อน ค้าสมาส หรือกลุ่มค้าก็ได้ ค้าประสานในภาษาไทยแบ่งตามต้าแหน่งของหน่วยค้าเติมได้เป็น ๒ ประเภท
คือค้าประสานที่หน่วยค้าเตมิ ปรากฏหน้าหน่วยฐาน กับค้าประสานทหี่ นว่ ยคา้ เติมปรากฏหลงั หนว่ ยฐาน
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๑๔๘
ค้าสมาส หมายถึง การน้าค้าภาษาบาลีและสันสกฤต ตังแต่ ๒ ค้าขึนไปมาประสมกัน โดยมี ๒ วิธีใน
การสรา้ งค้าสมาสในภาษาไทย คือ การชนกันหรือตอ่ กันและการลบสระตวั ใดตวั หน่ึงทเ่ี หมอื นกนั ออก ประเภท
ของค้าสมาสในภาษาไทยมี ๓ ประเภท ดังนี ๑) ค้าสมาสยืม คือ ค้าที่ยืมเข้ามาใช้ในภาษาไทย ค้าสมาสของ
ภาษาบาลีและสันสกฤตทังหมดที่ภาษาไทยยืมมาใช้ล้วน ๒) ค้าสมาสสร้าง คือ ค้าสมาสท่ีไทยสร้างขึน
เลียนแบบค้าสมาสของภาษาบาลีและสันสกฤต โดยน้าค้าที่ยืมมาจากภาษาบาลีและสันสกฤตมารวมกัน ๓)
ค้าสมาสซ้อน คือ ค้าสมาสที่น้าค้ายืมภาษาบาลีและสันสกฤตที่มีความหมายเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันมา
ซ้อนรวมกัน ๔) ค้าสมาสเทียม กล่าวคือ มีองค์ประกอบที่ไม่ใช่ค้ายืมภาษาบาลีและสันสกฤตปนอยู่ด้วย จึง
เรียกว่า ค้าสมาสเทียม ค้าสมาสเทียมอาจมีค้าท่ีมาจากภาษาบาลีหรือสันสกฤตอยู่ส่วนหน้าหรือส่วนหลังของ
ค้ากไ็ ด้ แตอ่ กี ค้าหนงึ่ ทีม่ ารวมกันนนั ไม่ใช่คา้ ยมื จากภาษาบาลีและสันสกฤต
ค้าสนธิ หมายถึง การเช่ือมค้าตังแต่ ๒ ค้าขึนไป ให้มีเสียงกลมกลืนเป็นค้าเดียวกัน ค้าสนธิท่ีใช้ใน
ภาษาไทยมี ๔ ลกั ษณะ ดังนี
๑) ค้าทจี่ ะน้ามาสนธกิ นั อยา่ งนอ้ ยจะต้องมี ๒ คา้ ขนึ ไป
๒) เมื่อสนธิกันแล้ว จะต้องเป็นค้าเดียวกันเช่นเดียวกับค้าสมาสและโดยปกติจะต้องแปลจากค้า
หลงั ย้อนไปหาค้าหน้าเสมอ เพราะตอ้ งเรยี งค้าตามหลกั ไวยากรณ์บาลีและสันสกฤตคือเรียงค้าขยายไว้ข้างหน้า
๓) ค้าที่จะน้ามาสนธิกัน ตามปรกติจะต้องเป็นค้าบาลีหรือสันสกฤต อาจจะเป็นบาลีสนธิกับบาลี
สนั สกฤตสนธกิ บั สันสกฤต หรอื บาลสี นธกิ ับสันสกฤตกไ็ ด้
๔) ค้าที่จะน้ามาสนธิกัน ตามปรกติจะต้องมีทังสระหน้าและสระหลัง สระหน้าคือสระท่ีเป็น
พยางคส์ ุดทา้ ยของค้าหนา้ สระหลังคือสระท่ีเป็นพยางค์หนา้ ของคา้ หลัง สระหลังนีจะต้องเปน็ สระลว้ น ๆ ท่ีไม่
มพี ยญั ชนะประสมอยู่ด้วย ตัวอยา่ ง เช่น สระหนา้ มี ๖ คอื อะ อา อิ อี อุ อู สระหลงั มี ๑๑ คือ อะ อา อิ อี อุ อู
เอ โอะ โอ ไอ เอา สระหลังนีถ้ามีพยัญชนะประสมอยู่ด้วย (ตัว อ ไม่นับ) จะสนธิกันไม่ได้ เว้นไว้แต่จะประสม
กนั ไปเฉย ๆ ตามวธิ ขี องสมาส
ประเภทของค้าสนธิในภาษาไทย สามารถแบ่งได้ ๓ ประเภท ดังนี
๑) สระสนธิ คอื การสนธิระหว่างค้าที่ขนึ ต้นดว้ ยสระกับค้าที่สดุ ศัพทด์ ้วยสระ วธิ สี นธหิ รอื กลมกลืน
เสียงนนั มีหลายวิธี เช่น ลบสระหลังบ้าง แปลงสระหนา้ หรอื แปลงสระหลังบ้าง หรืออาจจะแทรกเสียงสระเข้า
ตรงกลางอย่างท่ีเรียกว่าลงสระอาคมบ้าง หรือบางทีอาจจะปล่อยรูปศัพท์ให้คงรูปอยู่อย่างเดิม ซ่ึงเรียกว่า
ปรกติสนธิ หรืออาจจะยืดเสียงสระที่เป็นรัสสระให้ยาว เรียกว่า ทีฆสระสนธิ หรือทอนเสียงสระให้สันลง
เรียกว่า รสั สระสนธิ
๒) พยัญชนะสนธิ คือการเช่ือม และกลมกลืนเสียงระหว่างค้าท่ีสุดศัพท์ด้วยพยัญชนะกับค้าท่ี
ขึนต้นด้วยพยัญชนะหรือสระ พยัญชนะสนธิกรณีนีมีเฉพาะในภาษาสันสกฤตเท่านัน ในภาษาบาลีไม่มี เพราะ
ศพั ท์ในภาษาบาลที ุกค้าจะต้องสุดศัพท์ด้วยสระ หรือทเี่ รยี กว่าสระการันต์ ดงั นนั พยัญชนะสนธิ ในภาษาบาลีมี
เฉพาะถงึ การกลืนเสียงระหว่างคา้ ตน้ ทจ่ี บด้วยสระ กบั คา้ ทา้ ยซง่ึ ขนึ ต้นด้วยพยัญชนะ
๓) นฤคหิตสนธิ คือการต่อเช่ือมและกลมกลืนเสียงระหว่างค้าต้นที่ลงท้ายด้วยนฤคหิตกับค้าที่
ขึนต้นด้วยสระหรือพยัญชนะ เมื่อค้าท่ีลงท้ายด้วยนฤคหิต สนธิกับค้าท่ีขึนต้นด้วยพยัญชนะวรรค ดังนัน นฤค
หิตจะสลายเป็นพยัญชนะนาสิกยะของพยัญชนะตัวท่ีตามมา คือเป็นพยัญชนะในแถวท่ี ๕ ของแต่ละวรรค
ได้แก่ ง ญ น ณ ม
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๑๔๙
รูปแบบการเรียนการสอน
๑. กจิ กรรมสรา้ งสรรค์
๑.๑ เกม (บัตรค้า)
๑.๒ แบบทดสอบ/แบบฝกึ หดั ทางภาษาศาสตร์ภาษาไทย
๒. กจิ กรรมการจัดการเรียนรแู้ บบเนน้ ภาระงาน (TBL : Tack-Based Learning)
๒.๑ นยิ ามความหมายของค้าซา้ คา้ ซ้อน ค้าประสม คา้ ประสาน คา้ สมาส ค้าสนธิ
๒.๒ ลักษณะของโครงสร้างคา้ ซา้ เป็นอยา่ งไร
๒.๓ ลกั ษณะของโครงสรา้ งค้าซอ้ นเป็นอยา่ งไร
๒.๔ ลักษณะของโครงสรา้ งคา้ ประสมเปน็ อย่างไร
๒.๕ ลักษณะของโครงสร้างค้าประสานเป็นอย่างไร
๒.๖ ลักษณะของโครงสรา้ งค้าสมาสเป็นอยา่ งไร
๒.๗ ลักษณะของโครงสรา้ งคา้ สนธิเป็นอย่างไร
สือ่ การเรยี นรู้
๑. โปรแกรมน้าเสนอภาพนง่ิ (PPT.) เนือหาประกอบการบรรยาย
๒. โปรแกรมส่ือมตั ตมิ ีเดยี และแอปพลิเคชนั YouTube
๓. เอกสารประกอบการสอน รายวชิ า ED1019 ภาษาศาสตร์ภาษาไทยสา้ หรบั ครู
๔. เกมบตั รคา้
๕. แบบทดสอบ/แบบฝึกหัด
๖. แผนการจดั การเรยี นรู้
๗. ใบความรู้
การวัดและการประเมนิ ผล
๑. ประเมินผลจากการสังเกตความสนใจ ซกั ถาม และตอบคา้ ถาม
๒. ประเมนิ ผลจากการรว่ มกิจกรรม การอภปิ รายแสดงความคดิ เห็น
๓. ประเมินผลจากผลงาน ด้านเนือหา รปู แบบ ความคดิ สร้างสรรค์ วธิ กี ารนา้ เสนอ
๔. ประเมนิ ผลจากการตรวจสอบผลการเล่นเกม แบบทดสอบ และแบบฝึกหดั
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๑๕๐
เอกสารอา้ งอิง
กา้ ชัย ทองหล่อ. (๒๕๕๒). หลักภาษาไทย. พมิ พค์ รงั ที่ ๕. กรงุ เทพฯ : อมรการพมิ พ.์
ประสิทธ์ิ กาพย์กลอน. (๒๕๑๖). การศึกษาภาษาไทยตามแนวภาษาศาสตร์. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช
จ้ากัด.
พระยาอปุ กิตศิลปสาร. (๒๕๔๕). หลักภาษาไทย. พิมพค์ รงั ที่ ๑๑. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานชิ จ้ากดั .
เรืองเดช ปันเขื่อนขตั ิย.์ (๒๕๕๒). ภาษาศาสตรภ์ าษาไทย. พิมพค์ รงั ท่ี ๒. กรงุ เทพฯ : Fast Books.
วิเชยี ร เกษประทมุ . (๒๕๕๘). หลักภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : เพม่ิ ทรพั ย์การพิมพ์.
สมาคมครภู าษาไทยแหง่ ประเทศไทย. (๒๕๕๘). หลกั ภาษาไทย : เรอื่ งทคี่ รูภาษาไทยต้องรู.้ กรุงเทพฯ :
องคก์ ารค้าของสกสค.
สถาบนั ภาษาไทย. (๒๕๕๕). บรรทดั ฐานภาษาไทย เลม่ ๒. พิมพ์ครงั ที่ ๓. กรุงเทพฯ : องค์การค้าของสกสค.
สนุ นั ท์ อัญชลนี ุกูล. (๒๕๕๖). ระบบคาภาษาไทย. พิมพค์ รงั ที่ ๔. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
สธุ ิวงศ์ พงศ์ไพบลู ย์. (๒๕๔๓). หลกั ภาษาไทย. พมิ พ์ครงั ท่ี ๑๕. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ จา้ กัด.
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๑๕๐
แผนการสอนประจาบท
หวั เรื่อง
๑. คานาม
๒. คาสรรพนาม
๓. คากริยา
๔. คาวเิ ศษณ์
๕. คาบพุ บท
๖. คาสนั ธาน
๗. คาอทุ าน
แนวคิด
ชนิดของคาในภาษาไทย มีเกณฑ์การจาแนกชนิดของคาหลายเกณฑ์ เช่น ตามหลกั ภาษาไทยเดิมมี ๗
ชนิด ได้แก่ คานาม คาสรรพนาม คากริยา คาวิเศษณ์ คาบุพบท คาสันธาน และคาอุทาน ตามหนังสืออุเทศ
ภาษาไทย ชุด บรรทัดฐานภาษาไทย เล่ม ๓ จาแนกชนิดของคาในภาษาไทยออกเป็น ๑๒ ชนิด โดยใช้เกณฑ์
หน้าท่ี เกณฑ์ตาแหน่งที่คาปรากฏและสัมพันธ์กับคาอื่น และเกณฑ์ความหมายประกอบกัน ได้แก่ คานาม
คาสรรพนาม คากริยา คาช่วยกริยา คาวิเศษณ์ คาที่เก่ียวกับจานวน คาบอกกาหนด คาบุพบท คาเช่ือม
คาลงท้าย คาอุทาน และคาปฏิเสธ ในทน่ี ี้ใช้เกณฑ์ตามหลกั ภาษาไทยเดิมแบ่งเป็น ๗ ชนิด และไดอ้ ธิบายความ
สอดคลอ้ งกบั ชนิดของคา ๑๒ ชนิด
วตั ถุประสงค์
เมือ่ นักศกึ ษาเรยี นจบบทท่ี ๖ มีสามารถไดด้ งั นี้
๑. อธบิ ายความหมายและลักษณะของคานามได้
๒. อธบิ ายความหมายและลักษณะของคาสรรพนามได้
๓. อธบิ ายความหมายและลักษณะของคากริยาได้
๔. อธิบายความหมายและลักษณะของคาวิเศษณ์ได้
๕. อธิบายความหมายและลักษณะของคาบุพบทได้
๖. อธบิ ายความหมายและลักษณะของคาสนั ธานได้
๗. อธบิ ายความหมายและลักษณะของคาอทุ านได้
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๑๕๑
บทท่ี ๖
ชนิดของคาในภาษาไทย
ชนิดของคาในภาษาไทย มีเกณฑ์การจาแนกชนิดของคาหลายเกณฑ์ เช่น ตามหลักภาษาไทยเดิมมี ๗
ชนิด ได้แก่ คานาม คาสรรพนาม คากริยา คาวิเศษณ์ คาบุพบท คาสันธาน และคาอุทาน ตามหนังสืออุเทศ
ภาษาไทย ชุด บรรทัดฐานภาษาไทย เล่ม ๓ จาแนกชนิดของคาในภาษาไทยออกเป็น ๑๒ ชนิด โดยใช้เกณฑ์
หน้าท่ี เกณฑ์ตาแหน่งที่คาปรากฏและสัมพันธ์กับคาอื่น และเกณฑ์ความหมายประกอบกัน ได้แก่ คานาม
คาสรรพนาม คากริยา คาช่วยกริยา คาวิเศษณ์ คาท่ีเก่ียวกับจานวน คาบอกกาหนด คาบุพบท คาเช่ือม
คาลงท้าย คาอุทาน และคาปฏิเสธ วิจินตน์ ภาณุพงศ์ จาแนกชนิดของคาเป็น ๒๖ ชนิด นววรรณ พันธุเมธา
จาแนกชนิดของคาเป็น ๖ หมวดคา ในบทที่จะได้กลา่ วถึง ชนดิ ของคาในภาษาไทยตามหลกั ภาษาไทยเดิมมี ๗
ชนิด ได้แก่ คานาม คาสรรพนาม คากริยา คาวิเศษณ์ คาบุพบท คาสันธาน และคาอุทาน ดังมีรายละเอียด
ตอ่ ไปน้ี
๖.๑ คานาม
คานาม คือ คาที่ใช้เรียกช่ือของคน สัตว์ สถานท่ี ส่ิงของ สภาพธรรมชาติ สถานที่ต่าง ๆ ความคิด
ความเช่ือ ค่านิยม คือท้ังท่ีเป็นสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต ท้ังท่ีเป็นรูปธรรมและนามธรรม และกิริยาอาการท่ัวไป
(สถาบันภาษาไทย, ๒๕๕๕ : ๑๗; กาชยั ทองหล่อ, ๒๕๕๒ : ๑๙๗; วิเชียร เกษประทุม, ๒๕๕๘ : ๑๓) คานาม
จาแนกเปน็ ๕ ชนิด คือ สามานยนาม วิสามานยนาม ลักษณนาม สมหุ นาม อาการนาม ดังน้ี
๖.๑.๑ สามานยนาม (สามานย แปลว่า ท่ัว ๆ ไป) เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า คานามสามัญ หมายถึง
คาท่ีใช้เรียกสิ่งต่าง ๆ ของ คน สัตว์ สถานที่ สิ่งของ ทั้งน้ี สามานยนามมี ๒ ลักษณะ ได้แก่ สามานยนามใหญ่
คือบอกช่ือกว้าง ๆ เช่น คน นก บ้าน ประเทศ เป็นต้น และสามานยนามย่อย คือบอกชอ่ื ท่ีแคบลง เช่น คนจีน
คนไทย คนญีป่ นุ่ นกเอ้ยี ง นกกระจาบ เปน็ ต้น
๖.๑.๒ วิสามานยนาม เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า คานามวิสามัญ หมายถึง คาท่ีเป็นช่ือเฉพาะของ คน
สัตว์ สถานที่ และส่ิงของ เป็นชื่อท่ีบัญญัติข้ึนสาหรับใช้เรียกช้ีเฉพาะลงไปว่า เป็นใครหรืออะไร เพื่อให้รู้ชัดว่า
เป็นคนใด สัตว์ใด สิง่ ใด และท่ีใด แต่เพยี งคนเดียว ตวั เดยี ว ส่ิงเดยี ว และแหง่ เดียว ทั้งนีเ้ พื่อใหแ้ จ่มแจ้งข้ึนและ
ไมป่ ะปนกบั นามชนิดอืน่ ๆ
วสิ ามานยนามจานวนมากมักใช้ตามหลังสามานยนาม เช่น (ประเทศ)ไทย (เรือพระท่ีนั่ง)สุพรรณ
หงส์ (สวน)ลุมพินี (ถนน)ราชดาเนิน (สะพาน)ผ่านฟ้าลีลาศ (ประตู)วิเศษไชยศรี (วัด)พระศรีรัตนศาสดาราม
(โรงเรียน)สวนกุหลาบวิทยาลัย (รถไฟฟ้า)บีทีเอส (อาจารย์)กาญจนา (ครู)แหวว ฯลฯ ฉะนั้น สามานยนาม
จานวนมาก เช่น ประชาธิปไตย วัตถุนิยม คุณธรรม เศรษฐกิจพอเพียง ภูมิศาสตร์ จิตวิทยา ดวงอาทิตย์
อากาศ ร้งุ กนิ นา้ ฯลฯ เปน็ คาสามานยนามทไ่ี มม่ ชี ่อื เฉพาะ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๑๕๒
๖.๑.๓ ลักษณนาม คือ คานามที่บอกลักษณะของคานามน้ัน เพ่ือแสดงรูปลักษณะ ขนาดหรือ
ประมาณของนามน้นั เพื่อแสดงชนิดหมู่ สัณฐาน จานวนอาการของนามน้ัน ๆ ให้ชัดเจนยิ่งขน้ึ เพื่อต้องการให้
ทราบว่าคานามนั้นมีลักษณะอย่างไร และคาลักษณนามจะอยู่หลังคาวิเศษณ์บอกจานวนนับเสมอ (วันเพ็ญ
เทพโสภา, ๒๕๔๗ : ๖๑) ในหนังสือหลักภาษาไทยของ พระยาอุปกิตศิลปสาร (๒๕๔๕ : ๓๕) ได้แบ่ง
คาลักษณนามไว้ดงั นี้
๑) ลกั ษณนามบอกชนิด เชน่ รปู ตน คน ตกั เลา เรอื น ฯ
๒) ลกั ษณนามบอกหมวดหมู่ เช่น กอง ฝงู โรง สารบั วง ตับ ฯ
๓) ลกั ษณนามบอกสัณฐาน เชน่ วง แผ่น ผนื แท่ง กอ้ น อนั ฯ
๔) ลกั ษณนามบอกจานวนและมาตรา เช่น คู่ โหล กุลี ชง่ั หาบ เกวยี น ฯ
๕) ลกั ษณนามบอกอาการ เช่น รปู จบี มวน มดั ม้วน กา ฟ่อน ฯ
๖) ลกั ษณนามซ้าชื่อ เช่น บา้ น วัด จังหวดั เมือง ประเทศ ทวีป ฯ
ตัวอย่าง คาลกั ษณนามในประโยค เชน่
ฝงู ผ้ึงเขา้ จู่โจมศตั รูทันที เขาตดิ แผน่ กระดาษเลก็ ๆ ไว้ท่ีผนงั
สง่ จานให้ใบสิ แม่บอกไมใ่ ห้กินข้าวคานา้ คา
โรงเรียน ๒ โรงเรียน ตารวจ ๓ คน
คอยจนหลับไป ๒ ตื่นแล้ว เพอ่ื นไปยังไมม่ า เขามาเท่ยี วเมอื งไทยหลายครงั้
ตอนเดนิ แห่ พวกเราโหข่ ้นึ ๓ ลา ขอเตะซกั ป้าบเถอะ
ถูกตีหลายที แตไ่ มร่ อ้ งซักแอะ
อีกอยา่ งหนึ่ง คาลกั ษณนามสามารถใช้บอกกลุม่ หมู่ พวก ของคานามทีร่ วมกันได้ เชน่
นักเรียน ๒ กลมุ่ ทหาร ๓ กอง บุคคล ๕ คณะ
นกฝงู สุดท้าย ช้าง ๑ โขลง ประทดั หลายตบั
กรรมการ ๒ คณะ ดินสอโหลหน่งึ ฯลฯ
๖.๑.๔ สมุหนาม๑ คือ คานามท่ีทาหน้าท่ีแสดงหมวดหมู่ของสามานยนามและวิสามานยนามท่ีมา
รวมกนั อยู่มาก ๆ ซ่ึงจะมีคาว่า คณะ หมู่ กลุ่ม กอง เหล่า พวก สมาคม โขลง ฝูง ฯ อยูห่ นา้ คานามเสมอ แตถ่ ้า
ไปอยู่หลงั คานามจะเปน็ ลักษณนาม เชน่
ทหารกองหน่งึ ตง้ั อย่ทู ่เี ชิงเขา คาว่า กอง เป็น ลกั ษณนาม
กองทหารต้งั อย่ทู เี่ ชงิ เขา คาว่า กอง เปน็ สมุหนาม
คณะกรรมการกาลังตรวจบญั ชี คาว่า คณะ เป็น สมุหนาม
กรรมการคณะน้ันกาลงั ตรวจบัญชี คาว่า คณะ เป็น ลกั ษณนาม
นายแดงสรา้ งโรงเรยี น คาว่า โรงเรยี น เปน็ สามานยนาม
๑ หมายเหตุ สมุหนามน้ี ในหนงั สือบรรทดั ฐานภาษาไทยจดั เป็นคาลกั ษณนาม
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๑๕๓
โรงเรียนออกใบสุทธใิ ห้นกั เรียน คาว่า โรงเรยี น เป็น สมหุ นาม
บรษิ ทั ต้ังอยู่ทถี่ นนเจรญิ กรุง คาว่า บริษัท เป็น สามานยนาม
บรษิ ัทขอแสดงความขอบคุณประชาชน คาวา่ บรษิ ัท เป็น สมุหนาม ฯลฯ
๖.๑.๕ อาการนาม คือ คานามที่เกิดจากคากริยาหรือคาวิเศษณ์เป็นคานาม โดยการเติมคาว่า
“การ” หรือ “ความ” หน้าคากริยา ซง่ึ คาอาการนามจะมคี วามหมายเป็นนามธรรมเสมอ
การใช้คา “การ” และ “ความ” นาหน้ามขี ้อสงั เกต ดงั นี้
๑) คาวา่ “การ” มักใชน้ าหน้าคากริยาทีแ่ สดงความเป็นไปทางกายและวาจา
๒) คาวา่ “ความ” มักใช้นาหน้าคากริยาท่แี สดงความเป็นไปทางจติ ใจหรอื คาที่แสดงความนึก
คิดทางนามธรรม และนาหน้าคาวิเศษณ์ อีกอย่างหนึ่ง นาหน้าคากรยิ าท่ีมีความหมายว่า มี เป็น เกิด ดับ เจริญ
เสื่อม (ฐะปะนีย์ นาครทรรพ, ๒๕๑๓ : ๒๔๖) ทั้งนี้ ศักด์ิศรี แย้มนัดดา (๒๕๒๕ : ๑๑๓) กล่าวไว้ว่า คาท่ีมี
“ความ” นาหน้า ใช้กับคาท่ีมีสภาพคงที่ มิได้เกิดจากการกระทาใด ๆ ท่ีอาศัยความเคลื่อนไหว ส่วนคาท่ีมี
“การ” นาหน้า ใชก้ ับคาทเี่ กดิ จากการกระทา เป็นส่งิ ทเ่ี กิดจากการเคลอื่ นไหว เช่น
การตายของเขามเี งื่อนงา ไม่มีใครหนีความตายได้พน้
การฝันชว่ ยลดความเครยี ดได้ ฉันจาความฝันเม่อื คนื กอ่ นไดแ้ มน่ ยา
การจาทาใหไ้ ดฝ้ กึ สมอง ความจาของเขาทาให้หลายคนประหลาดใจ
ความคิดที่รอบคอบจะช่วยผา่ นอปุ สรรคนไ้ี ปได้
การคิดอย่างรอบคอบจะทาให้ประกอบธรุ กจิ ไมข่ าดทุน
รา่ งกายคนเราจะหยุดการเจริญเตบิ โตเม่อื อายุประมาณ ๒๕ ปี
ความเจรญิ เติบโตของบ้านเมืองตอ้ งอาศยั ปจั จยั หลายดา้ น ฯลฯ
คากริยาบางคาสามารถเติมหน้า “การ” เพ่ือสร้างคาอาการนามได้ แต่ไม่สามารถเติมหน้า
“ความ” ได้ ในทานองเดียวกัน คากริยาบางคาก็เติมได้เฉพาะ “ความ” เท่านั้น เติมหน้า “การ” ไม่ได้ และ
คากริยาบางคาไม่สามารถเตมิ ไดท้ ง้ั หนา้ “การ” และ “ความ” เช่น
คากรยิ า คาอาการนาม ใชผ้ ดิ
เดิน การเดิน *ความเดนิ
จดจา การจาจด *ความจดจา
สาเร็จ ความสาเรจ็ *การสาเรจ็
รอ้ น ความร้อน *การร้อน
คอื - *การคอื ความคอื ฯลฯ
นอกจากนี้ คาว่า “การ” และ “ความ” ถ้านาหน้าคาชนิดอ่ืนนอกจากคากริยาและคาวิเศษณ์ ไม่
นับว่าเป็นอาการนาม เช่น การบ้าน การเมือง การพาณิชย์ การเศรษฐกิจ การศึกษา การสงคราม การเรือน
การคลัง การประปา การกฬี า ความแพ่ง ความอาญา ความเมอื ง ฯลฯ แตจ่ ัดเปน็ สามานยนาม
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๑๕๔
๖.๒ คาสรรพนาม
คาสรรพนาม แปลตามรูปศัพท์วา่ ชื่อทั้งปวง หมายถึง คาท่ีใช้แทนคานามหรือข้อความท่ีกลา่ วมาแล้ว
เพ่ือไม่ต้องกล่าวนามหรือข้อความนั้นซ้าอีก เพื่อต้องการให้ภาษาน้ันมีความไพเราะและความสละสลวย ซ่ึง
สรรพนามแบ่งได้เป็น ๖ ชนิด คือ บุรษุ สรรพนาม ประพันธสรรพนาม วิภาคสรรพนาม นิยมสรรพนาม อนิยม
สรรพนาม และปฤจฉาสรรพนาม ดังน้ี
๖.๒.๑ บุรุษสรรพนาม หมายถึง คาสรรพนามท่ีใช้ระบุแทนบุคคล สัตว์ ต้นไม้ วัตถุ หรือความ
คดิ เหน็ กไ็ ด้ เพื่อบอกวา่ เปน็ ผพู้ ูด ผทู้ ่ีพดู ด้วย และผทู้ ่กี ลา่ วถึง แบ่งออกเป็น ๓ ชนิด คอื
๑) คาสรรพนามบุรุษที่ ๑ คือ คาสรรพนามบอกที่ใช้แทนพูดหรือผู้เขียน เช่น ฉัน ดิฉัน ผม
กระผม ข้าพเจ้า กระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า ข้า กู เรา กัน อ๊ัว อีฉัน หนู อาตมาภาพ กระหม่อมฉัน
เกลา้ กระหมอ่ ม เกลา้ กระหม่อมฉนั ฯลฯ
๒) คาสรรพนามบุรุษท่ี ๒ คือ คาสรรพนามบอกบุรุษทใ่ี ชแ้ ทนผทู้ ่ีพูดด้วย ได้แก่ ผู้ฟังให้ผู้อา่ น
เชน่ เธอ คุณ ท่าน ฝ่าบาท ใตฝ้ า่ พระบาท เอง็ มงึ ใตเ้ ท้า เจ้า แก นาย ล้อื ฝา่ พระบาท โยม หนู ฯลฯ
๓) คาสรรพนามบุรุษท่ี ๓ คือ คาสรรพนามบอกบุรุษที่ใช้แทนผู้ท่ีกล่าวถึง เช่น เขา ท่าน มัน
ใคร ผู้ใด พระองค์ แก ฯลฯ
ในภาษาทไ่ี ม่เปน็ ทางการ บางคาอาจทาหนา้ ที่ไดห้ ลายหนา้ ที่ ดังน้ี
เราพาพอ่ กะแมม่ าด้วย (เรา เปน็ สรรพนามบุรษุ ท่ี ๑)
เราตอ้ งกนิ นมเยอะ ๆ นะ จะได้ตัวโต ๆ เหมอื นพไี่ ง (เรา เปน็ คาสรรพนามบรุ ษุ ท่ี ๒)
ชว่ ยส่งกระเทยี มใหห้ นอ่ ยสิเธอ (เธอ เปน็ คาสรรพนามบุรษุ ท่ี ๒)
เธอเปน็ ผู้หญิงท่ไี ม่เคยเขยี นหน้าทาปากอยา่ งใครเขา (เธอ เป็นคาสรรพนามบรุ ุษท่ี ๓)
แกเขา้ มาในบา้ นฉันไดอ้ ยา่ งไร (แก เปน็ คาสรรพนามบรุ ษุ ท่ี ๒)
ผมเตอื นแกหลายหนแลว้ เรอื่ งกอ่ หนี้บัตรเครดติ แต่แกกไ็ ม่สนใจ (แก เปน็ คาสรรพนามบรุ ุษท่ี ๓)
เสดจ็ ๑ใหม้ าทลู ถามว่าเสดจ็ ๒ทรงได้รับของทร่ี ะลึกหรือยังกระหม่อม
(เสด็จ๑ เป็นคาสรรพนามบุรษุ ที่ ๓)
(เสดจ็ ๒ เป็นคาสรรพนามบุรษุ ที่ ๒)
ในภาษาท่ีเป็นทางการหรือภาษาพิธีการ คาบุรุษสรรพนามมักใช้แยกหน้าท่ีกันอย่างชัดเจน คือ
คาสรรพนามแทนบุคคลคาหน่ึง ใช้คาสรรพนาม บุรุษท่ี ๑ บุรุษที่ ๒ หรือบุรุษท่ี ๓ อย่างใดอย่างหน่ึง ยกเว้น
ท่านอาจใชเ้ ปน็ คาสรรพนามบุรษุ ที่ ๒ หรือคาสรรพนามบุรษุ ท่ี ๓ กไ็ ด้ เช่น
ขอเชญิ ท่านถา่ ยรูปเป็นเกยี รตแิ กค่ ู่สมรส (ทา่ น เปน็ คาสรรพนามบุรษุ ที่ ๒)
ทา่ นเดินทางไปตา่ งประเทศตั้งแต่สปั ดาห์ทแ่ี ลว้ (ท่าน เป็นคาสรรพนามบรุ ษุ ที่ ๓)
ในแต่ละภาษาคาบุรุษสรรพนามจะสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมและการมองโลกที่แตกต่างกัน คา
บุรษุ สรรพนามในภาษาไทยสะทอ้ นให้เหน็ วัฒนธรรมไทยการมองโลกและการใชภ้ าษาไทย ได้แก่
แสดงสถานภาพสงู ตา่ เชน่ กระผมจะขบั รถพาคณุ ทา่ นไปหาหมอเองครับ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๑๕๕
แสดงความอาวุโสมากนอ้ ย เชน่ หนูจะชว่ ยทากบั ขา้ วให้ทา่ นนะคะ
แสดงเพศ เช่น ผมให้เธอเลอื กเองวา่ จะเอาสฟี ้าหรือสแี สด
แสดงความสภุ าพ เช่น ผมอยากให้ท่านสบายใจ
แสดงความสนทิ สนมระหวา่ งผู้พูดกับผู้ฟังและผ้ทู ี่กล่าวถงึ เช่น
หนังเรอื่ งนี้ขา้ ดมู าแลว้ สนุกมาก
ขา้ วา่ เอง็ น่าจะชวนไอช้ ดิ มันไปดนู ะ
ในภาษาไทยนิยมใช้คานามสามัญบางคาอย่างคาบุรุษสรรพนาม เช่น คานามซ่ึงเป็นคาเรียกญาติ
คาเรียกตาแหน่ง คาแสดงยศ คาเรียกอาชีพ คานามเหล่านั้นแม้จะนามาใช้อย่างบุรุษสรรพนาม แต่ก็ยังคง
วเิ คราะห์ให้เปน็ คานามสามัญอยู่ ไม่วเิ คราะหใ์ หเ้ ปน็ คาบรุ ษุ สรรพนาม
คานามเรียกญาติซ่ึงใช้อย่างบรุ ษุ สรรพนาม เช่น
เยน็ น้ีผมตดิ งานคงกลบั มากนิ ขา้ วที่บา้ นกับแม่ไม่ได้นะครับ
เม่อื ก่อนปพู่ ายา่ มาเที่ยวทีน่ บี่ ่อย ๆ
พป่ี วดหวั มาก นอ้ งชว่ ยลงไปรับแขกแทนหน่อยนะ
คานามเรียกตาแหน่งซ่งึ ใช้อย่างบุรุษสรรพนาม เชน่
ผมขอลาหัวหนา้ กลับกอ่ นนะครับ
คณบดีอย่าลืมนัดตอน ๔ โมงเยน็ นะคะ
ผมพาสนุ ัขของเจา้ นายไปตัดขนเรียบรอ้ ยแล้วครับ
คานามแสดงยศซงึ่ ใช้อย่างบตุ รสรรพนาม เช่น
ผมรายงานผพู้ นั แล้วครบั
สารวัตรจะดมื่ ชาหรือกาแฟดีครับ
จ่าชว่ ยลงบนั ทึกประจาวันให้ผมดว้ ย
คานามบอกอาชีพและหนา้ ท่กี ารงานซ่ึงใชอ้ ยา่ งบรุ ุษสรรพนาม เช่น
หมอเตือนแลว้ ว่าอยา่ ออกกาลงั กายหักโหม คุณก็ไม่เชื่อหมอ
ครูขออวยพรให้นักเรยี นทุกคนประสบแตค่ วามสาเรจ็
โซเฟอ่ ร์ช่วยเลยี้ วตรงไฟแดงข้างหน้านะ
๖.๒.๒ ประพันธสรรพนาม๒ คาว่า ประพันธ์ แปลว่า ผูกพันกันหรือเก่ียวพันกัน ในที่นี้หมายถึง
คาสรรพนามที่ใช้แทนคานามหรือคาสรรพนามหรือข้อความที่อยู่ข้างหน้า โดยทาหน้าที่เช่ือมกับคานามหรือคา
สรรพนามหรือข้อความนั้น เพ่ือให้เกิดความสละสลวยในประโยคและสามารถตัดคาท่ีจะกล่าวซ้า ๆ ซ่ึงไม่
ไพเราะนัก ได้แก่คาวา่ ผู้ ท่ี ซึง่ อนั ดงั ผทู้ ่ี ผู้ซึ่ง ดงั ตัวอย่างตอ่ ไปนี้
๒ หมายเหตุ ประพนั ธสรรพนามนี้ ไมม่ ีในหนังสอื บรรทดั ฐานภาษาไทย
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๑๕๖
เด็ก ๆ ผ้ไู มป่ ระสงค์จะดลู ะครก็ให้ไปดภู าพยนตร์
คนทเ่ี ปน็ ครูต้องมีความอดทนอดกลั้นอยา่ งมาก
เขาบชู าความรกั ซ่ึงทาให้เขาตาบอด
บคุ คลดงั จะกลา่ วตอ่ ไปน้เี ป็นผ้เู ยาว์
ไมอ้ ันวางอยู่บนโต๊ะคือไม้ตะพด
นักเรียนผทู้ ส่ี อบไดท้ ีห่ นง่ึ จะได้ไปเรยี นต่อประเทศอเมรกิ า
เขาผ้ซู งึ่ ชอบเลน่ การพนนั จะต้องพบความพินาศในวันหน่งึ
เขากลา้ แสดงความคดิ เห็นทค่ี ่อนข้างรนุ แรงและเอาจรงิ เอาจงั มาก
๖.๒.๓ วิภาคสรรพนาม คาว่า วิภาค แปลว่า แยก จาแนก ในที่น้ีหมายถึงคาสรรพนามท่ีใช้แทน
คานามหรือคาสรรพนามท่ีแยกออกเป็นแต่ละคน แต่ละสิ่ง หรือแต่ละพวก เพื่อแสดงว่ามีหลายฝ่ายหลายส่วน
แต่ละฝา่ ยแต่ละส่วนแยกกนั ทากริ ยิ าใดกิรยิ าหน่ึงหรอื มากกว่า ไดแ้ ก่คาวา่ ต่าง บ้าง กัน ดังน้ี
ต่าง ใช้แทนคานามขา้ งหนา้ เพอื่ แสดงวา่ มหี ลายฝา่ ย แต่ละฝา่ ยทากิรยิ าเดยี วกนั เชน่
ชาวนาตา่ งก็เกีย่ วขา้ วแลว้ นาข้าวขน้ึ ยุง้ ฉาง
คนเหนือคนใตห้ รอื คนอีสาน เราต่างก็เป็นคนไทยดว้ ยกนั ทงั้ น้ัน
เราตา่ งคนต่างอย่จู ะดีกวา่
บ้าง ใช้แทนคานามข้างหน้าเพ่ือแสดงว่ามีหลายฝ่าย แต่ละฝ่ายแยกทากิริยาต่างกันหรือเป็น
กรรมของคากริ ิยาต่างกนั คาว่า บา้ ง มักใช้เปน็ คู่ ปรากฏในประโยค ๒ ประโยคที่มีโครงสร้างคล้ายคร่งึ กัน เชน่
นกั เรยี นเหล่านั้น บา้ งกน็ อนบ้างกน็ ั่ง
เงนิ ทองที่หามาได้ ฉนั ก็ใช้บา้ งเกบ็ บ้าง
เมื่อ บ้าง ปรากฏหลังคานามหรือคาบุรุษสรรพนามและปรากฏหน้าคากริยา จะแสดง
ความหมายว่า แตล่ ะฝ่ายแยกทากริ ิยาตา่ งกนั เช่น
คนสวนบ้างรดนา้ บ้างพรวนดนิ
เด็ก ๆ บา้ งก็ดูทวี ี บา้ งก็เลน่ เกม ยงั ไมย่ อมหลับยอมนอนกัน
พวกเราบ้างกพ็ กั บา้ นญาติ บา้ งกพ็ กั ตามวดั
เมอื่ บ้าง ปรากฏหลังคากริยา จะแสดงความหมายวา่ แต่ละสว่ นถกู กระทาไม่เหมอื นกนั เช่น
ของท่ีซอ้ื เก็บไวใ้ นตู้เยน็ กก็ ินบา้ ง ทง้ิ บ้าง
เส้อื ผ้าทีซ่ กั แล้ว กร็ บี บ้าง ไมร่ ดี บา้ ง ตามสะดวก
คานามหรือคารู้สรรพนามที่ปรากฏหน้าคาสรรพนามแยกฝ่าย ต่าง บ้างอาจเป็นคาที่อยู่ใน
ประโยคเดยี วกัน หรืออย่ใู นประโยคคนละประโยคซ่ึงอยู่กอ่ นหน้ากไ็ ด้ เช่น
เพ่ือนในกล่มุ แต่ละคนตา่ งก็มคี รอบครวั กนั แล้วท้งั น้ัน
เดก็ กลุ่มนี้บ้างก็ใฝด่ ี ใชว่ า่ จะเป็นนกั เลงไปเสียทั้งหมด
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๑๕๗
คานามหรือคาบุรุษสรรพนามปรากฏในประโยคคนละประโยคกับคาสรรพนามแยกฝ่าย ต่าง
บ้าง
นกั ท่องเทยี่ วแตล่ ะคนต้องการความสาราญ ตา่ งพากนั ดืม่ กนิ กันเต็มท่ี
พวกเราช่วยกันคนละไมค้ นละมอื บ้างพรวนดนิ บ้างก็ดายหญา้
กัน ใช้แทนคานามหรือคาบุรุษสรรพนามข้างหน้า เพ่ือแสดงว่ามีหลายฝ่าย แต่ละฝ่ายทา
กริ ยิ าอย่างเดยี วกนั กับอีกฝา่ ยหนงึ่ เช่น
มวยวนั น้ีต่อยกนั มนั ทกุ คู่
เขานดั ปรึกษางานกนั ท้ายโรงเรียน
พน่ี ้องคู่น้ีจากกนั ไปนาน พอเจอหนา้ กนั กก็ อดกนั แน่น
๖.๒.๔ นิยมสรรพนาม คาว่า นิยม แปลว่า กาหนด ชี้เฉพาะ ในท่นี ี้หมายถึงคาสรรพนามทใี่ ช้แทน
นามหรือข้อความที่กล่าวมาแล้วหรือท่ีปรากฏอยู่เฉพาะหน้า เป็นสรรพนามชี้เฉพาะเพ่ือบ่งความให้ชัดเจน
บอกระยะใกล้ไกล ได้แก่คาว่า น่ี นั่น โน่น นู่น น้ี น้ัน โน้น นู้น ท้ังนี้ ท้ังนั้น เช่นนี้ เช่นน้ัน อย่างนี้ อย่างนั้น
อยา่ งโน้น สามารถจาแนกการใชไ้ ด้ดังนี้
คาว่า ท้ังน้ี ท้ังนั้น เช่นน้ี เช่นน้ัน อย่างนี้ อย่างนั้น อย่างโน้น เป็นสรรพนามชี้เฉพาะเพ่ือบ่งความ
ให้ชัดเจน เชน่
ฉนั เข้าใจว่า อย่างนี้ดกี วา่ อย่างน้นั หรือเธอชอบอย่างโน้น ทงั้ น้ีเปน็ ความเหน็ ของฉัน
คาว่า น่ี น่ัน โน่น นู่น เป็นสรรพนามบอกระยะใกล้
น่ีกระเปา๋ ใคร นั่นทที่ าการไปรษณีย์
นนู่ สถานรี ถไฟ โน่นโรงพยาบาล
คาว่า น้ี นน้ั โน้น นนู้ เปน็ สรรพนามบอกระยะไกล
มีอะไรอยใู่ ต้น้ี ตรงน้ันไม่ควรวางของ
นกเกาะอยู่บนโนน้ เขาเดินเข้าไปในนู้น
๖.๒.๕ อนิยมสรรพนาม คาว่า อนิยม แปลว่า ไม่กาหนด ไม่ชเี้ ฉพาะ ในที่น้ีหมายถึงคาสรรพนาม
ท่ใี ช้แทนนามท่ัว ๆ ไป ไม่ชี้เฉพาะเจาะจง ไม่กาหนดแน่นอน อาจเป็นผู้ใดหรอื สิ่งใดก็ได้ ได้แก่คาวา่ ใคร อะไร
ไหน ผูใ้ ด ผู้อ่นื ผู้หนงึ่ ผ้ใู ด ใด ๆ ใคร ๆ อะไร ๆ ไหน ๆ อ่ืน ๆ เช่น
เขาจะพดู อะไร กเ็ รอ่ื งของเขา เรือ่ งนีเ้ ขาไม่ได้บอกใครเลย
ผู้ใดเป็นคนดเี ราควรคบผนู้ ัน้ ใคร ๆ กช็ อบขนมปังไสส้ งั ขยารา้ นน้ี
อะไร ๆ เขากก็ นิ ได้ ขออยา่ ใหเ้ ผ็ดเปน็ พอ ใด ๆ ในโลกล้วนอนิจจัง
แม่ครัวซ้ือผกั หมู ไก่ ไข่ ผลไม้ และอน่ื ๆ ไหน ๆ ฉนั กอ็ ยู่ได้
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๑๕๘
๖.๒.๖ ปฤจฉาสรรพนาม คาว่า ปฤจฉา แปลว่า คาถาม ในท่ีนี้หมายถึง คาสรรพนามท่ีใช้แทน
คานามและใช้แสดงคาถามในขณะเดยี วกนั ไดแ้ ก่คาว่า ใคร อะไร ไหน ผใู้ ด เชน่
ใครเขียนจดหมายฉบบั น้ี ? (เป็นปฤจฉาสรรพนาม)
ใครจะมาหาฉนั กไ็ ด้ (เปน็ อนยิ มสรรพนาม)
นอ้ งกาลังทาอะไรอยู่ ? (เป็นปฤจฉาสรรพนาม)
ฉนั จะรบั ประทานอะไรก็ได้ (เป็นอนยิ มสรรพนาม)
รม่ อยู่ไหน ? (เปน็ ปฤจฉาสรรพนาม)
ฉนั อยู่ไหนกไ็ ด้ (เปน็ อนิยมสรรพนาม)
ผ้ใู ดอยใู่ นห้องนนั้ ? (เป็นปฤจฉาสรรพนาม)
ผู้ใดจะอยูใ่ นหอ้ งนน้ั กไ็ ด้ (เป็นอนิยมสรรพนาม)
๖.๓ คากริยา
คากริยา คือ คาที่แสดงอาการหรือการกระทาหรือแสดงสภาพของคานามและคาสรรพนาม เพื่อให้รู้
ว่าแสดงอาการอะไร กระทาต่อส่ิงใด และมีสภาพอย่างไร แบ่งออกเป็น ๕ ชนิด ได้แก่ สกรรมกริยา
อกรรมกริยา วิกตรรถกริยา กริยานเุ คราะห์ และคากริยาเรียง ดังมรี ายละเอยี ดดังต่อไปนี้
๖.๓.๑ สกรรมกริยา หมายถึง คากรยิ าที่ตอ้ งการกรรมมารับ จงึ จะทาใหเ้ นอื้ ความสมบูรณ์ เชน่
พอ่ ครวั หงุ ข้าว ชาวนาไถนา
แมค่ า้ ขายปลา ตารวจจบั ผู้ร้าย ฯลฯ
นอกจากนี้ ในการสร้างรูปประโยคที่ตัดคาให้ส้ันลง ทาให้มีกรรมสองคาปรากฏต่อท้ายคากริยา
เรียกว่า ทวิกรรมกริยา หรือ คากริยาทวิกรรม๓ ซึ่งกรรมตัวแรกทาหน้าที่เป็นกรรมตรง และกรรมตัวที่สองทา
หน้าท่เี ป็นกรรมรอง ดังตัวอย่างประโยคต่อไปน้ี
เขาสอนภาษาไทยเดก็ ๆ เป็น ทวิกรรมกริยา
เขาสอนภาษาไทยแก่เดก็ ๆ เปน็ สกรรมกริยา
พปี่ อ้ นข้าวนอ้ ง เปน็ ทวกิ รรมกรยิ า
พป่ี ้อนขา้ วแก่น้อง เป็น สกรรมกริยา
แมใ่ หเ้ งนิ ลกู เปน็ ทวิกรรมกริยา
แมใ่ หเ้ งนิ แก่ลูก เปน็ สกรรมกรยิ า ฯลฯ
๖.๓.๒ อกรรมกริยา หมายถึง คากริยาท่ีไม่ต้องการกรรมมารับ ซ่ึงมีเนื้อความสมบูรณ์ในตัวเอง
แต่ถ้าต้องการให้มีความชัดเจนย่งิ ขึน้ ต้องมคี าหรอื วลีมาขายขา้ งหลัง เชน่
นักเรยี นเดิน (ที่ถนน) นกบนิ (ในอากาศ)
อาจารย์น่งั (บนเก้าอ้ี) แมวนอน (ใต้ตู้) ฯลฯ
๓ หมายเหตุ ในหนงั สือบรรทดั ฐานภาษาไทย เพ่ิมทวกิ รรมกรยิ าเขา้ มาตามแบบไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๑๕๙
อีกอย่างหนึ่ง คากริยาบางคามีหลายความหมาย จึงสามารถเป็นได้ทั้งสกรรมกริยาและ
อกรรมกรยิ า เช่น
หนา้ ต่างเปิด เปิด เป็นอกรรมกรยิ า
เขาเปิดหนา้ ตา่ ง เปดิ เปน็ สกรรมกริยา
ดอกไมห้ อมมาก หอม เป็นอกรรมกรยิ า
แมห่ อมลกู นอ้ ย หอม เป็นสกรรมกรยิ า ฯลฯ
๖.๓.๓ วิกตรรถกริยา แปลว่า กริยาอาศัยส่วนเติมเต็ม หมายถึง คากรยิ าทไ่ี มส่ าเร็จความหมายใน
ตัวเองและใช้เป็นกรยิ าของประธานตามลาพงั ตวั เองไมไ่ ด้ จะต้องมีคานาม คาสรรพนามหรือคาวิเศษณม์ าขยาย
จึงจะได้ความ ได้แก่คาว่า เป็น เหมือน เท่า คล้าย คือ เสมือน ดุจ ประดุจ ประหนึ่ง ราวกับ อุปมาเหมือน
เปรยี บเหมอื น เพียงดัง ใช่ มี เกดิ ปรากฏ ตัวอยา่ งตอ่ ไปน้ี
นายแดงเป็นครู รปู รา่ งของลาเหมอื นรปู ร่างของมา้
ลกู เทา่ พ่อ แมวคลา้ ยเสอื
งคู อื สตั ว์เลือ้ ยคลานชนิดหนึง่ เขาเสมอื นนักโทษทฆ่ี า่ คน
วาจาดจุ ตะไกรที่คมกรบิ ดวงหนา้ ประดจุ ดวงจนั ทรใ์ นวนั เพ็ญ
ตานอ้ งประหนึง่ ตาเนือ้ รูปร่างราวกบั ยกั ษ์
เศวตฉตั รเพียงดังฉัตรแกว้ ในเมอื งสวรรค์ คาพดู เปรียบเสมือนเข็ม
เขาอปุ มาเหมือนสุนัขบ้า เดก็ คนน้นั ใช่สมศกั ดิ์แน่นะ
เขามบี ้านอยู่อทุ ยั ธานี ปีที่แลว้ เกดิ ภาวะฝนแล้ง
คอยไมน่ าน เดย่ี วกป็ รากฏเงาราง ๆ ขน้ึ มา ฯลฯ
๖.๓.๔ กรยิ านุเคราะห์ แปลว่า กริยาชว่ ยหรือคาชว่ ยกริยา หมายถงึ คากรยิ าที่ทาหนา้ ท่ีช่วยกริยา
อน่ื ให้แสดงความหมาย เพ่ือแสดงกาล มาลา และวาจก๔ โดยนาไปไว้หน้าหรือหลังกริยาในประโยค เพราะคา
ในภาษาไทยมีรูปคงที่ไม่เปลี่ยนรูปไปตามกาล มาลา หรือวาจก เหมือนภาษาที่มีวิภัตติ ปัจจัย จึงจาเป็นต้อง
อาศัยกรยิ านเุ คราะห์เปน็ เคร่อื งชว่ ย ดังน้ี
๑) กริยานุเคราะห์บอกกาล คือ คากริยาท่ีบง่ บอกเวลาหรอื ช่วงเวลา ไดแ้ ก่คาว่า ได้ จะ กาลัง
มกั พึง่ ยงั อยู่ แลว้ เคย จวน เชน่
หมอได้ผ่าเอาเนื้อร้ายออกหมดแล้ว ฉนั จะไปหาเขาพรงุ่ นี้
ผมกาลงั อาบนา้ อยู่ เลยรบั โทรศัพทไ์ ม่ได้ นาฬกิ าพึ่งตาย
เขามักออกไปวง่ิ ทีส่ วนสาธารณะทุกเยน็ น้องยังหลบั
คุณปู่นอนอยู่ เขาทางานแลว้
ผมเคยมาที่น่ี นอ้ งจวนหลับ ฯลฯ
๔ หมายเหตุ ในหนงั สอื บรรทดั ฐานภาษาไทย เรยี กว่า คากรยิ าชว่ ย คากริยาตาม คากริยานา
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๑๖๐
๒) กริยานุเคราะห์บอกมาลา คือ คากริยาท่ีแสดงความคิดเห็น แนะนา ปฏิเสธ ซักถาม
คาดคะเน มน่ั ใจ ส่งั ห้าม ไดแ้ ก่คาวา่ จง คง ควร นา่ ไม่ หรอื อาจ ต้อง โปรด อย่า เช่น
จงไปเดีย๋ วน้ี เขาคงทางานดึก
เราควรเรียนภาษาอังกฤษ เขาน่าจะอยูใ่ นชนบท
ฉันไม่รบั ประทานเนอื้ สัตว์ เธอมีนอ้ งชายสองคนหรอื
ฝนอาจตก ฉันตอ้ งไปดูฟุตบอล
โปรดชาระเงนิ กอ่ น อยา่ พูดเสยี งดงั ฯลฯ
๓) กริยานุเคราะห์บอกวาจก คือ คากริยาท่ีแสดงว่าประธานทาหน้าท่ีเป็นผู้ใช้ ผู้ถูก ผู้ถูกใช้
ได้แกค่ าว่า ถูก โดน ให้ ถกู ....ให้ เช่น
รถเราถกู รถคันน้ันเฉียวเอา เจา้ ตบู โดนขัง
บิดาให้บุตรเขยี นหนงั สือ นักเรยี นถกู ครใู หท้ างาน ฯลฯ
๖.๓.๕ คากริยาเรียง คือ คากริยาท่ีนามาใช้เพิ่มจากกริยาหลักในประโยค ซง่ึ คากรยิ าเรียงทาหน้า
ร่วมกับกริยาหลัก และขยายคากริยาด้วย โดยจะสามารถวางหน้าคากริยาหลัก หลังคากริยาหลัก หรือวางไว้
ส่วนใดสว่ นหน่งึ ของประโยคก็ได้ ในกรณที ี่ประธานทากริ ิยาตอ่ เน่ืองกัน ดังน้ี
๑) คากริยานา คือ คากรยิ าที่ปรากฏหน้ากรยิ าหลักในประโยคเสมอ ไดแ้ ก่คาว่า ชอบ พลอย
พยายาม อยาก ฝนื หัด ต้งั ใจ หา้ ม ช่วย กรุณา วาน เชน่
เขาชอบเปน็ หวดั คนใช้ฝนื กินยาจนหมด
วนั น้ีเดก็ พลอยเปยี กฝนดว้ ย เราพยายามเตอื นเขาแล้ว
ตอนนีเ้ ขาอยากพกั ผ่อนมาก เขาฝนื กนิ น้ามะเขือเทศทง้ั ๆ ท่ีไมช่ อบ
เด็กหัดข่ีจักรยาน นกั เรียนตัง้ ใจฟงั ครู
แถวน้ีหา้ มสบู บุหรี่ คุณช่วยขยับไปหน่อยนะคะ
กรุณากดกร่ิง ผมวานซอ้ื บตั รโทรศัพทใ์ หห้ น่อย
๒) คากริยาตาม คือ คากริยาที่ปรากฏตามหลังกริยาหลักในประโยค หรือวางไว้ส่วนใดส่วน
หนงึ่ ของประโยคกไ็ ด้ ไดแ้ กค่ าว่า ไป มา ขึ้น ลง เข้า เอา ให้ ไว้ เสยี ออก เช่น
เขาส่งพสั ดุไปแล้ว พวกเรากลับจากเที่ยวกันมา
ลูกโปง่ คอ่ ย ๆ ลอยขึ้น น้าลดลงมากแลว้
พยายามเข้า อย่าไดย้ อ่ ท้อ เออื้ มไมถ่ ึง ก็ใชไ้ มส้ อยเอา
เขาหยิบยืนไมตรีใหก้ อ่ น ขอเตอื นไว้ก่อนว่าอยา่ พยายามแหกกฎ
กนิ เสียหนอ่ ยจะไดม้ ีแรง เขาเก่งออก ฯลฯ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๑๖๑
๖.๔ คาวิเศษณ์
คาวิเศษณ์ คือ คาที่ทาหน้าที่ประกอบท้ายคานาม คาสรรพนาม คากริยา และคาวิเศษณ์ เพ่ือทา
หน้าท่ีขยายคาเหล่านั้นให้ได้ความชัดเจนยิ่งขึ้น ซ่ึงบ่งชี้ลักษณะต่าง ๆ เช่น ชนิด สัณฐาน ขนาด สี กล่ิน รส
เสยี ง สมั ผัส อาการ นอกจากนย้ี ังบ่งช้สี ถานท่ี ปริมาณ จานวน เปน็ ต้น แบง่ ออกเปน็ ๑๐ ประเภท ดังนี้
๖.๔.๑ ลักษณวิเศษณ์ หมายถึง คาวิเศษณ์ท่ีใช้ประกอบคาอ่ืนเพื่อบอกลักษณะต่าง ๆ ซึ่งแบ่งได้
๙ ลักษณะ ดังน้ี
๑) บอกชนิด ไดแ้ ก่คาว่า ดี ชัว่ เลว แก่ อ่อน ดิบ สุก หน่มุ สาว ใหม่ เก่า โบราณ ฯ
๒) บอกสัณฐาน ได้แกค่ าวา่ กลม รี แบน แปน้ เหล่ยี ม ราบ นนู มน ฯ
๓) บอกขนาด ได้แกค่ าวา่ ผอม อ้วน เลก็ โต กวา้ ง แคบ ยาว สนั้ สูง ใหญ่ ฯ
๔) บอกสี ได้แกค่ าว่า ดา แดง ขาว เขียน เหลอื ง ฟ้า ส้ม น้าเงนิ ชมพู ฯ
๕) บอกเสียง ได้แก่คาว่า เบา ดงั แหลม สูง แหบ ตา่ ท่มุ ค่อย แหบ ฯ
๖) บอกรส ได้แกค่ าว่า เปรีย้ ว หวาน มนั เคม็ จดื จดั ขม เผด็ ฯ
๗) บอกกล่ิน ได้แกค่ าว่า สาบ ฉุน หอม เหมน็ อับ ฯ
๘) บอกสัมผัส ไดแ้ กค่ าวา่ แข็ง นม่ิ เย็น รอ้ น หนาว สาก หยาบ ฯ
๙) บอกอาการ ไดแ้ กค่ าว่า ช้า เร็ว ดว่ น คล่อง ว่องไว อดื อาด ฯ
๖.๔.๒ กาลวิเศษณ์ คือ คาวิเศษณ์ที่ใช้ประกอบคาอื่นเพื่อบอกเวลา ทาให้เนื้อความชัดเจนขึ้น
ได้แกค่ าว่า กอ่ น หลงั อีก เสมอ เดีย๋ วน้ี เช้า สาย บ่าย เที่ยง เย็น ดกึ กลางวนั กลางคนื เป็นตน้ เช่น
เจ้าภาพเลย้ี งอาหารกลางวัน พระอาทิตย์ตกตอนเย็น ฯลฯ
๖.๔.๓ สถานวิเศษณ์ คือ คาวิเศษณ์ท่ีใช้ประกอบคาอื่นเพ่ือบอกสถานที่ ได้แก่คาว่า ไกล ใกล้
หน้า หลัง เหนือ ใต้ ซา้ ย ขวา บน ลา่ ง ห่าง ชิด ริม ขอบ เป็นต้น เช่น
น้องนั่งริมหน้าตา่ ง ลกู เสือเดินทางไกล ฯลฯ
๖.๔.๔ ประมาณวิเศษณ์ คือ คาวิเศษณท์ ่ใี ช้ประกอบคาอน่ื เพ่ือบอกจานวน แบง่ เป็น ๒ ชนิด คอื
๑) บอกจานวนนบั และลาดบั ท่ี เช่น หน่ึง สอง สาม ส่ี ห้า ฯลฯ ที่หน่งึ ทส่ี อง ที่สาม ทสี่ ี่ ทหี่ ้า
ฯลฯ จะใชเ้ ป็นตัวเลขหรือตัวหนงั สอื ก็ได้
๒) บอกจานวนปริมาน คือ คาท่ีไม่ได้บอกชัดว่ามีจานวนเท่าไหร่ เป็นแต่กาหนดว่ามากหรือ
น้อย ซ่ึงพอจะรู้ความหมายได้โดยปริมาณหรือประมาณ ได้แก่คาว่า มาก น้อย หลาย ท้ังหลาย จุ ทั้งปวง
ทัง้ หมด บรรดา กว่า ต่าง บาง บา้ ง กัน ครบ ถว้ น เปน็ ตน้ เชน่
ฉันสอบไดล้ าดบั ท่ี ๑ ของสนามสอบ ท่ดี นิ ท้งั หมดเปน็ ของนายสมชาย
เมื่อวานเธออา่ นหนงั สอื ได้หลายเล่ม เขาบรจิ าครองเท้า ๑๐ กวา่ คู่ ฯลฯ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๑๖๒
๖.๔.๕ นิยมวิเศษณ์ คอื คาวิเศษณ์ทใี่ ชป้ ระกอบคาอนื่ เพื่อช้ีเฉพาะเจาะจงวา่ เป็นสิ่งนั้นสิ่งน้ี ได้แก่
คาวา่ นี่ นี้ นัน่ น้นั โน่น โนน้ เอง แนน่ อน เฉพาะ เป็นต้น เช่น
ผหู้ ญิงคนนี้เป็นนกั ศกึ ษามหาวิทยาลัยไหน รถคันนั้นสวยมาก
ฉันหยดุ ทางานเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ เขาทากับข้างกนิ เอง ฯลฯ
๖.๔.๖ อนิยมวิเศษณ์ คือ คาวิเศษณ์ที่ใช้ประกอบคาอื่นเพ่ือบอกความไม่แน่นอน ไม่เจาะจง และ
ไมไ่ ด้เปน็ คาถามในประโยค ได้แก่คาว่า ใด ไร ไหน กี่ อะไร ทาไม ฉนั ใด เช่นไร ใคร อนื่ เปน็ ตน้ เช่น
พลงั ใดกไ็ ม่สาคัญเท่าพลงั สามัคคี เธอจะพกั บ้านหลงั ไหนก็ได้
นักเรยี นจะมากันก่คี น คนอืน่ กินหมดแลว้ ฯลฯ
๖.๔.๗ ปฤจฉาวิเศษณ์ คือ คาวิเศษณ์ท่ีใช้ประกอบคาอ่ืนเพื่อใช้เป็นคาถามหรือความสงสัย ได้แก่
คาวา่ ใด ใคร อะไร ทาไม ไหน หรอื ไฉน เทา่ ไร ไร ไหม อนั ใด อยา่ งไร กี่ เปน็ ต้น เชน่
วันน้ีเธอทาอะไรบ้าง ? หนังสอื เล่มน้ีราคาเท่าไร ?
นกั กฎหมายอธิบายเรื่องน้ไี ว้อยา่ งไร ? เขากาลงั คุยกับใคร ? ฯลฯ
๖.๔.๘ ประติชญาวิเศษณ์ คือ คาวิเศษณ์ท่ีใช้ประกอบคาอ่ืนเพ่ือตอบรับหรือขานรับหรือคาลง
ท้าย เพื่อเป็นความสละสลวยของภาษาหรือแสดงความเป็นกันเองของคู่สนทนา ได้แก่คาว่า ครับ คะ ค่ะ จ้ะ
จ๊ะ จา๋ ขา ขอรบั กระผม ครบั ผม เช่น
คณุ ครคู รับ มีอะไรให้ผมชว่ ยไหมครับ น้องจ๋าฟ้าทางนจ้ี ้ะ
คุณพอ่ คะมแี ขกมาหาค่ะ ทาไดข้ อรับ ฯลฯ
๖.๔.๙ ประติเสธวิเศษณ์ คือ คาวิเศษณ์ที่ใช้ประกอบคาอ่ืนเพ่ือปฏิเสธหรือไม่ยอมรับหรือห้าม
ได้แกค่ าว่า มิ มไิ ด้ มิใช่ ไม่ได้ หาไม่ บ บ่ อยา่ ไม่ ไมใ่ ช่ หา...ไม่ หามิได้ เป็นตน้ เชน่
คนท่ีไม่รักชาติของตนเปน็ คนทคี่ บไม่ได้ เธออย่าพดู เรื่องน้ใี ห้ใครฟงั นะ
ความกรณุ าปราณจี ะมใี ครบงั คับกห็ าไม่ บญุ คณุ ของพ่อแมป่ ระมาทมไิ ด้ ฯลฯ
๖.๔.๑๐ ประพันธวิเศษณ์ คือ คาวิเศษณ์ที่ใช้เชื่อมประโยคให้มีความสัมพันธ์กัน เพื่อขยาย
คากรยิ าหรือคาวเิ ศษณท์ ีอ่ ย่ขู า้ งหน้า ได้แก่คาวา่ ท่ี ซ่ึง อนั ว่า คอื เพอื่ ว่า เปน็ ตน้ เชน่
เขาเปน็ คนฉลาดทใ่ี คร ๆ ไม่ควรดถู ูกเขา ชาวบ้านพูดวา่ ตอนกลางคืนมผี ีดุ
เขาไม่ควรพูดถ้อยคาเหลา่ น้ี ซึง่ จะทาใหผ้ อู้ ่ืนเสยี ใจ เร่ืองสาคัญคอื นายดารับซอ้ื ของโจร
วดั เปน็ สถานทส่ี งบอันเราทัง้ หลายไม่ควรส่งเสยี งดงั เขาเก็บเงนิ ไว้เพื่อวา่ เขาจะไดใ้ ช้เม่อื แก่
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๑๖๓
๖.๕ คาบพุ บท
คาบุพบท แปลว่า คานาหน้าบท คือ คาที่ทาหน้าที่ขยายคานาม คาสรรพนาม คากริยา คาวิเศษณ์
และมีหน้าท่ีเก่ียวข้องสัมพันธ์กับคาหรือประโยคที่อยู่ข้างหน้าอย่างไร คาที่อยู่หลังคาบุพบทจะต้องเป็นคานาม
คาสรรพนาม และคาวิเศษณเ์ ท่านัน้ ดงั น้ี
๖.๕.๑ แสดงความสัมพันธ์เกี่ยวกับสถานท่ี ได้แก่คาว่า ใน นอก บน ใต้ เหนอื ริม ข้าง หน้า หลัง
ใกล้ ไกล ที่ จาก ถงึ ยงั เปน็ ต้น
๖.๕.๒ แสดงความสมั พันธเ์ ก่ยี วกบั ความประสงค์ ไดแ้ กค่ าวา่ แก่ เพ่อื โดย ด้วย ตาม เปน็ ต้น
๖.๕.๓ แสดงความสัมพันธ์เกี่ยวกบั เวลา ได้แก่คาว่า เมื่อ ใน ณ แต่ ตั้งแต่ จน จนกระทั่ง สาหรับ
เฉพาะ เป็นต้น
๖.๕.๔ แสดงความสมั พนั ธเ์ ก่ียวกับความเปน็ เจ้าของ ไดแ้ ก่คาว่า ของ แหง่
๖.๕.๕ แสดงความสัมพันธ์เก่ียวกับการใช้อวัยวะหรือส่ิงต่าง ๆ ได้แก่คาว่า ด้วย โดย เพราะ กับ
ตาม เปน็ ต้น
๖.๕.๖ แสดงความสมั พนั ธเ์ กีย่ วกบั การเป็นผูร้ ับ ไดแ้ ก่คาวา่ กบั แก่ แด่ ตอ่ เพ่อื สาหรบั เปน็ ตน้
๖.๕.๗ แสดงความสมั พันธเ์ กย่ี วกับการประมาณหรือคาดคะเน ไดแ้ กค่ าว่า เกือบ ราว สกั เป็นต้น
ดังตวั อยา่ งตอ่ ไปน้ี
เงนิ อยู่ในกระเปา๋ เขาทาเพ่อื ชือ่ เสียง
เงนิ น้ใี หใ้ ช้เฉพาะสัปดาหเ์ ดยี ว ธนาคารแห่งประเทศไทย
พอ่ เดนิ ทางโดยรถไฟ อาหารจานี้สาหรบั คณุ คนเดยี ว
ฉนั ขอยมื เงนิ เธอสกั สองรอ้ ยบาท ครูไปหานักเรยี นทบี่ ้าน ฯลฯ
๖.๖ คาสันธาน
คาสันธาน แปลว่า การต่อหรือการเชื่อม หมายถึง คาที่ใช้ต่อหรือเชื่อมระหว่างคากับคา ประโยคกับ
ประโยค ข้อความกับขอ้ ความ และเชอื่ มเพ่อื ความสละสลวย ดงั น้ี
๖.๖.๑ เช่ือมคากบั คา ไดแ้ ก่คาว่า และ กบั หรอื
๖.๖.๒ เช่อื มประโยคกบั ประโยค ได้แกค่ าว่า และ แต่ เพราะ จึง หรอื ฯลฯ
๖.๖.๓ เช่ือมข้อความกับข้อความ ได้แก่คาว่า ดังนั้น เพราะฉะน้ัน อีกประการหนึ่ง อีกอย่างหน่ึง
ท้ังน้ี อนึ่ง สว่ น อยา่ งไรก็ตาม กลา่ วคอื ฯลฯ
๖.๖.๔ เชอื่ มเพ่ือความสละสลวย ได้แก่คาว่า อันวา่ ก็ อยา่ งไรกต็ าม หากว่า
อีกอย่างหน่ึง คาสันธานมีลักษณะการต่อหรือการเช่ือมคากับคา ประโยคกับประโยค ข้อความกับ
ข้อความ และเช่อื มเพ่อื ความสละสลวย สามารถแบง่ เป็น ๘ ชนิด ดังนี้
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๑๖๔
๑) เชื่อมความที่คล้อยตาม ได้แก่คาว่า กับ และ ก็ได้ ก็ดี ท้ัง ทั้ง...ก็ ทั้ง...และ ทั้ง...กับ ก็ จึง
ครั้น...จึง ครน้ั ...ก็ เมือ่ ...ก็ พอ...ก็ เช่น
วนั นี้ท้งั ฝนกต็ กท้งั แดดกอ็ อก ยานใี้ ช้กินก็ได้ทาก็ได้ ฯลฯ
๒) เชื่อมความขัดแย้งกนั ไดแ้ กค่ าวา่ แต่ แต่วา่ แตท่ วา่ ถึง...ก็ กวา่ ...ก็ เช่น
เขาแตง่ ตัวดีแต่ไม่สนใจการเรียน ปากเขาร้ายแตท่ วา่ ใจเขาดี ฯลฯ
๓) เชือ่ มความท่เี ลอื กเอา ได้แก่คาวา่ หรือ มิฉะนัน้ ไมเ่ ชน่ น้นั หรือไม่ก็ ไม.่ ..ก็ เช่น
เธอจะเรยี นหรือเธอจะทางาน ไม่พกี่ ็น้องตอ้ งไปรบั คุณแม่ ฯลฯ
๔) เชื่อมความเป็นเหตุเป็นผลกัน ได้แก่คาว่า จึง เพราะ...จึง เพราะฉะน้ันจึง ฉะนั้น...จึ ง
เพราะ ดังนนั้ ...จึง ดว้ ย เหตุว่า เพระวา่ เพราะฉะนัน้ เหตฉุ ะนี้ เช่น
เขาเป็นคนเหน็ แก่ตวั เพราะฉะนนั้ จึงไม่มใี ครคบเขา
เขาไม่อยากเกีย่ วขอ้ งกับใครฉะนั้นเขาจึงอยูค่ นเดียว ฯลฯ
๕) เช่ือมความต่างตอนกัน จะใช้เชื่อมข้อความที่กล่าวถึงตอนหนึ่งจบแล้ว กับข้อความท่ีจะ
กล่าวอีกตอนหนงึ่ ให้สัมพนั ธก์ ัน ได้แก่คาวา่ ฝ่าย ส่วน วา่ อน่ึง อกี ประการหน่ึง เช่น
แมว หนู และเป็ดเป็นเพื่อนกัน วันหนึ่งแมวกับหนูช่วยกันสร้างท่ีอยู่อาศัย ฝ่ายเป็ดเห็น
เช่นน้นั กไ็ ปช่วยดว้ ยความเต็มใจ
คนดีย่อมมีศีลธรรม มีความขยันหม่ันเพียรเพื่อต้ังตนให้มีฐานะ คนชนิดน้ีควรแก่การ
สรรเสรญิ อน่ึง คนทีม่ คี วามกตญั ญูกค็ วรแกก่ ารสรรเสริญด้วย ฯลฯ
๖) เชื่อมความแบ่งรับแบ่งสู้หรือการคาดคะเน เช่น ถ้า ถ้า...ก็ หาก ถ้าหากว่า แม้ แม้ว่า
แม้นว่า เว้นแต่ นอกจาก เช่น
ถา้ นกั เรยี นใช้จ่ายอยา่ งประหยดั กจ็ ะชว่ ยพ่อแม่ได้
หากไมไ่ ดร้ บั ขา่ วจากทางบา้ น ฉนั คงตอ้ งโทรศพั ทไ์ ปถาม ฯลฯ
๗) เช่ือมความเปรียบเทียบ ได้แก่คาว่า ดุจ ดัง ราว ราวกบั เหมอื น เหมือนกับ อย่างกบั ปาน
ประหนง่ึ คลา้ ย เช่น
เขาว่ิงเรว็ ราวกับลมพัด จมูกละมา้ ยคลา้ ยพร้าขอ
สองแก้มกลั ยาดังลูกยอ ทาตัวเหมือนเด็กนอ้ ย ฯลฯ
๘) เชื่อมความใหไ้ พเราะสละสลวย ได้แกค่ าว่า อัน อันวา่ อันท่ีจรงิ อยา่ งไรก็ดี อย่างไรกต็ าม
ทาไมกบั ก็ ถึงกระนั้นกด็ ี เช่น
อย่างไรก็ดี พรงุ่ นีข้ อให้เธอมาพบฉัน
ถึงกระน้ันก็ดี เขาควรจะปรึกษาฉนั ก่อน ฯลฯ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๑๖๕
๖.๗ คาอุทาน
คาอุทาน แปลว่า เสียงท่ีเปล่งออกมา หมายถึง คาที่เปล่งออกมาเพื่อแสดงอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ
เช่น สะเทือนใจ ตกใจ ดีใจ เห็นใจ ประหลาดใจ สงสาร สงสัย เจ็บปวด เป็นต้น คาอุทานมักปรากฏหน้า
ประโยค ในการเขียนมักมเี ครื่องหมายอัศเจรีย์ (!) กากับหลังคาอทุ านนนั้ ซ่งึ คาอุทานแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท
ดังน้ี
๖.๗.๑ คาอุทานบอกอาการ คือ คาอทุ านทใี่ ชแ้ สดงความรู้สกึ ต่าง ๆ ของผู้พูด คือ
๑) เป็นคาแสดงความรู้สึกของผู้พูด ได้แก่คาว่า ชิ ชิชะ โธ่ พุทโธ่ อนิจจา โถ ว้าย ไซโย โอย
เอ๊ะ ชีวติ เฮ้อ เปน็ ต้น เช่น
โถ ! เจา้ เขยี้ วเงินไม่นา่ ตายเลย ว้าย ! ชว่ ยดว้ ย
โธ่ ! ไมน่ ่าเปน็ เชน่ นี้เลย ไซโย ! ฉนั สอบไดท้ ่ีหน่งึ แลว้
๒) ใช้เป็นคาขึ้นประโยคในคาประพันธ์ เพื่อแสดงความราพึงราพัน วิงวอน หรือปลอบโยน
เป็นตน้ ไดแ้ กค่ าวา่ อา้ โอ้ โอว้ ่า เชน่
อา้ แมพ่ มิ สกลโฉม สริ ิโลมลออตา
จากกันประหน่ึงจะมรณา เพราะวิบตั ิอบุ ัติเห็น ฯลฯ
๖.๗.๒ คาอุทานเสริมบท คือ คาอุทานท่ีใช้เป็นคาเสริมหรือคาสร้อย เพื่อให้คาสละสลวย หรือมี
คาครบถ้วยตามท่ีตอ้ งการ คือ
๑) คาอุทานเสริมบทที่ใช้เป็นคาเสรมิ ซ้อนเข้ามา โดยคาที่นามาเสรมิ นั้นไม่มีความหมายอะไร
เป็นแต่เตมิ เขา้ มาเพือ่ ใหเ้ ป็นสะพานเสยี งทอดสมั ผัสระหวา่ งคาหน้ากบั คาหลงั เช่น
วดั วาอาราม ผา้ ผ่อนทอ่ นสไบ ลดราวาศอก เลขผานาที
ลูกเต้าเหล่าใคร สิงสาราสตั ว์ หนังสือหนงั หา ฯลฯ
๒) คาอุทานเสริมบทท่ีใช้เป็นคาสร้อยของบทประพันธ์ เพื่อให้บทประพันธ์นั้นมีพยางค์ครบ
ตามบญั ญัติของฉันทลกั ษณ์ ไม่ไดม้ คี วามหมายอะไรเพิ่มข้ึน ไดแ้ ก่คาว่า ฮา แฮ แล นา รา เอย เชน่
จาใจจรจากสร้อย อยู่แมอ่ ย่าละหอ้ ย
หอ่ นชา้ คนื สม แมแ่ ล ฯ
อยุธยายศลม่ แล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
ธ ไคลพลคล่าคล้าย แลนา ฯ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๑๖๖
สรุปท้ายบท
คานาม คือ คาท่ีใช้เรียกชื่อของคน สัตว์ สถานท่ี สิ่งของ สภาพธรรมชาติ สถานที่ต่าง ๆ ความคิด
ความเช่ือ ค่านิยม คือทั้งท่ีเป็นส่ิงมีชีวิตและไม่มีชีวิต ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม และกิริยาอาการทั่วไป
คานามจาแนกเป็น ๕ ชนดิ คอื สามานยนาม วสิ ามานยนาม ลักษณนาม สมหุ นาม อาการนาม ดังนี้
๑. สามานยนาม (สามานย แปลว่า ท่ัว ๆ ไป) เรียกอีกอย่างหน่งึ วา่ คานามสามัญ หมายถงึ คาที่
ใช้เรียกสิง่ ตา่ ง ๆ ของ คน สตั ว์ สถานที่ สงิ่ ของ
๒. วสิ ามานยนาม เรยี กอีกอย่างหนง่ึ ว่า คานามวิสามญั หมายถึง คาท่ีเป็นชื่อเฉพาะของ คน สัตว์
สถานท่ี และสิ่งของ เป็นชือ่ ท่ีบัญญตั ิข้ึนสาหรับใชเ้ รียกชเ้ี ฉพาะลงไปว่า เป็นใครหรืออะไร เพ่ือให้ร้ชู ดั ว่าเปน็ คน
ใด สัตว์ใด ส่ิงใด และที่ใด แต่เพียงคนเดียว ตัวเดียว สิ่งเดียว และแห่งเดียว ท้ังนี้เพ่ือให้แจ่มแจ้งข้ึนและไม่
ปะปนกับนามชนดิ อน่ื ๆ
๓. ลักษณนาม คือ คานามท่ีบอกลักษณะของคานามนั้น เพื่อแสดงรูปลักษณะ ขนาดหรือ
ประมาณของนามนน้ั เพ่ือแสดงชนิดหมู่ สัณฐาน จานวนอาการของนามน้ัน ๆ ใหช้ ัดเจนย่ิงข้ึน เพ่ือต้องการให้
ทราบวา่ คานามนน้ั มลี ักษณะอยา่ งไร และคาลกั ษณนามจะอยู่หลังคาวิเศษณ์บอกจานวนนบั เสมอ
๔. สมุหนาม คือ คานามที่ทาหน้าที่แสดงหมวดหมู่ของสามานยนามและวิสามานยนามที่มา
รวมกนั อยู่มาก ๆ ซ่ึงจะมีคาว่า คณะ หมู่ กลุ่ม กอง เหล่า พวก สมาคม โขลง ฝูง ฯ อยหู่ นา้ คานามเสมอ แตถ่ ้า
ไปอยูห่ ลังคานามจะเปน็ ลกั ษณนาม
๕. อาการนาม คือ คานามท่ีเกิดจากคากริยาหรอื คาวเิ ศษณ์เปน็ คานาม โดยการเติมคาว่า “การ”
หรือ “ความ” หนา้ คากริยา ซง่ึ คาอาการนามจะมคี วามหมายเปน็ นามธรรมเสมอ
คาสรรพนาม แปลตามรปู ศัพท์ว่า ช่ือทั้งปวง หมายถึง คาทใี่ ช้แทนคานามหรอื ขอ้ ความท่ีกล่าวมาแล้ว
เพ่ือไม่ต้องกล่าวนามหรือข้อความนั้นซ้าอีก เพื่อต้องการให้ภาษานั้นมีความไพเราะและความสละสลวย ซึ่ง
สรรพนามแบ่งได้เป็น ๖ ชนิด คือ บุรษุ สรรพนาม ประพันธสรรพนาม วิภาคสรรพนาม นิยมสรรพนาม อนิยม
สรรพนาม และปฤจฉาสรรพนาม ดงั นี้
๑. บุรุษสรรพนาม หมายถึง คาสรรพนามที่ใช้ระบุแทนบุคคล สัตว์ ต้นไม้ วัตถุ หรือความคิดเห็น
ก็ได้ เพือ่ บอกวา่ เป็นผ้พู ูด ผทู้ ีพ่ ดู ด้วย และผทู้ กี่ ลา่ วถงึ
๒. ประพันธสรรพนาม คาว่า ประพันธ์ แปลว่า ผูกพันกันหรือเกี่ยวพันกัน ในท่ีน้ีหมายถึง คา
สรรพนามที่ใช้แทนคานามหรือคาสรรพนามหรือข้อความที่อยู่ข้างหน้า โดยทาหน้าท่ีเชื่อมกับคานามหรือคา
สรรพนามหรือข้อความนั้น เพ่ือให้เกิดความสละสลวยในประโยคและสามารถตัดคาท่ีจะกล่าวซ้า ๆ ซึ่งไม่
ไพเราะนัก ไดแ้ ก่คาว่า ผู้ ท่ี ซึ่ง อัน ดงั ผู้ท่ี ผู้ซึง่
๓. วิภาคสรรพนาม คาว่า วิภาค แปลว่า แยก จาแนก ในท่ีน้ีหมายถึงคาสรรพนามที่ใช้แทน
คานามหรือคาสรรพนามที่แยกออกเป็นแต่ละคน แต่ละสิ่ง หรือแต่ละพวก เพื่อแสดงว่ามีหลายฝ่ายหลายส่วน
แต่ละฝา่ ยแต่ละสว่ นแยกกันทากริ ยิ าใดกริ ิยาหนึง่ หรอื มากกว่า ได้แก่คาว่า ต่าง บ้าง กัน
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๑๖๗
๔. นยิ มสรรพนาม คาว่า นิยม แปลวา่ กาหนด ช้ีเฉพาะ ในที่นี้หมายถึงคาสรรพนามทใี่ ชแ้ ทนนาม
หรือข้อความท่ีกล่าวมาแล้วหรือที่ปรากฏอยู่เฉพาะหน้า เป็นสรรพนามช้ีเฉพาะเพื่อบ่งความให้ชัดเจน บอก
ระยะใกล้ไกล ได้แก่คาว่า นี่ นั่น โน่น นู่น นี้ น้ัน โน้น นู้น ท้ังน้ี ทั้งน้ัน เช่นนี้ เช่นน้ัน อย่างนี้ อย่างน้ัน
อย่างโนน้
๕. อนิยมสรรพนาม คาว่า อนิยม แปลว่า ไม่กาหนด ไม่ชี้เฉพาะ ในท่ีนี้หมายถึงคาสรรพนามท่ีใช้
แทนนามท่ัว ๆ ไป ไม่ชี้เฉพาะเจาะจง ไม่กาหนดแน่นอน อาจเป็นผู้ใดหรือสงิ่ ใดก็ได้ ได้แก่คาว่า ใคร อะไร ไหน
ผใู้ ด ผอู้ ื่น ผูห้ นง่ึ ผู้ใด ใด ๆ ใคร ๆ อะไร ๆ ไหน ๆ อน่ื ๆ
๖. ปฤจฉาสรรพนาม คาว่า ปฤจฉา แปลว่า คาถาม ในท่ีน้ีหมายถึง คาสรรพนามทใ่ี ชแ้ ทนคานาม
และใชแ้ สดงคาถามในขณะเดียวกัน ได้แก่คาวา่ ใคร อะไร ไหน ผู้ใด
คากริยา คือ คาท่ีแสดงอาการหรือการกระทาหรือแสดงสภาพของคานามและคาสรรพนาม เพ่ือให้รู้
ว่าแสดงอาการอะไร กระทาต่อสิ่งใด และมีสภาพอย่างไร แบ่งออกเป็น ๕ ชนิด ได้แก่ สกรรมกริยา
อกรรมกริยา วกิ ตรรถกรยิ า กริยานเุ คราะห์ และคากริยาเรียง ดังมีรายละเอยี ดดังตอ่ ไปนี้
๑. สกรรมกรยิ า หมายถงึ คากรยิ าทตี่ ้องการกรรมมารับ จึงจะทาใหเ้ น้ือความสมบูรณ์
๒. อกรรมกริยา หมายถึง คากริยาท่ีไม่ต้องการกรรมมารับ ซ่ึงมีเนื้อความสมบูรณ์ในตัวเอง แต่ถ้า
ตอ้ งการให้มคี วามชดั เจนยิง่ ข้นึ ตอ้ งมีคาหรือวลมี าขายข้างหลงั
๓. วิกตรรถกริยา แปลว่า กริยาอาศัยส่วนเติมเต็ม หมายถึง คากริยาที่ไม่สาเร็จความหมายใน
ตัวเองและใช้เปน็ กรยิ าของประธานตามลาพังตวั เองไม่ได้ จะต้องมีคานาม คาสรรพนามหรือคาวิเศษณม์ าขยาย
จึงจะได้ความ ได้แก่คาว่า เป็น เหมือน เท่า คล้าย คือ เสมือน ดุจ ประดุจ ประหนึ่ง ราวกับ อุปมาเหมือน
เปรยี บเหมือน เพียงดงั ใช่ มี เกดิ ปรากฏ
๔. กริยานุเคราะห์ แปลว่า กริยาช่วยหรอื คาช่วยกรยิ า หมายถึง คากริยาที่ทาหน้าที่ช่วยกริยาอ่ืน
ให้แสดงความหมาย เพ่ือแสดงกาล มาลา และวาจก โดยนาไปไว้หน้าหรือหลังกริยาในประโยค เพราะคาใน
ภาษาไทยมรี ูปคงที่ไม่เปลีย่ นรปู ไปตามกาล มาลา หรือวาจก เหมอื นภาษาท่ีมีวิภัตติ ปัจจัย จึงจาเป็นตอ้ งอาศัย
กรยิ านุเคราะห์เป็นเครอ่ื งช่วย
๕. คากริยาเรียง คือ คากริยาที่นามาใช้เพ่ิมจากกริยาหลักในประโยค ซึ่งคากริยาเรียงทาหน้า
ร่วมกับกริยาหลัก และขยายคากริยาด้วย โดยจะสามารถวางหน้าคากริยาหลัก หลังคากริยาหลัก หรือวางไว้
สว่ นใดสว่ นหน่ึงของประโยคกไ็ ด้ ในกรณีทปี่ ระธานทากิริยาต่อเนื่องกนั
คาวิเศษณ์ คือ คาท่ีทาหน้าท่ีประกอบท้ายคานาม คาสรรพนาม คากริยา และคาวิเศษณ์ เพ่ือทา
หน้าที่ขยายคาเหล่านั้นให้ได้ความชัดเจนย่ิงขึ้น ซึ่งบ่งช้ีลักษณะต่าง ๆ เช่น ชนิด สัณฐาน ขนาด สี กล่ิน รส
เสยี ง สมั ผัส อาการ นอกจากนีย้ งั บ่งช้ีสถานท่ี ปริมาณ จานวน เปน็ ตน้ แบ่งออกเป็น ๑๐ ประเภท ดังนี้
๑. ลกั ษณวิเศษณ์ หมายถึง คาวิเศษณ์ที่ใช้ประกอบคาอ่นื เพื่อบอกลกั ษณะต่าง ๆ
๒. กาลวิเศษณ์ คือ คาวิเศษณ์ท่ีใช้ประกอบคาอ่ืนเพื่อบอกเวลา ทาให้เนื้อความชัดเจนข้ึน ได้แก่
คาวา่ ก่อน หลัง อกี เสมอ เดย๋ี วนี้ เชา้ สาย บา่ ย เทยี่ ง เยน็ ดกึ กลางวนั กลางคนื เป็นต้น
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๑๖๘
๓. สถานวิเศษณ์ คือ คาวิเศษณ์ที่ใช้ประกอบคาอ่ืนเพ่ือบอกสถานท่ี ได้แก่คาว่า ไกล ใกล้ หน้า
หลัง เหนอื ใต้ ซา้ ย ขวา บน ลา่ ง หา่ ง ชดิ ริม ขอบ เปน็ ตน้
๔. ประมาณวิเศษณ์ คือ คาวเิ ศษณท์ ใ่ี ช้ประกอบคาอน่ื เพ่ือบอกจานวน
๕. นิยมวิเศษณ์ คือ คาวิเศษณ์ที่ใช้ประกอบคาอื่นเพ่ือช้ีเฉพาะเจาะจงว่าเป็นส่ิงน้ันส่ิงนี้ ได้แก่คา
วา่ นี่ น้ี น่นั นนั้ โนน่ โนน้ เอง แนน่ อน เฉพาะ เป็นต้น
๖. อนิยมวิเศษณ์ คือ คาวิเศษณ์ท่ใี ช้ประกอบคาอนื่ เพ่ือบอกความไม่แนน่ อน ไมเ่ จาะจง และไม่ได้
เปน็ คาถามในประโยค ไดแ้ กค่ าว่า ใด ไร ไหน ก่ี อะไร ทาไม ฉนั ใด เชน่ ไร ใคร อ่ืน เปน็ ตน้
๗. ปฤจฉาวิเศษณ์ คือ คาวิเศษณท์ ี่ใชป้ ระกอบคาอื่นเพ่อื ใชเ้ ป็นคาถามหรอื ความสงสยั ไดแ้ กค่ าว่า
ใด ใคร อะไร ทาไม ไหน หรอื ไฉน เท่าไร ไร ไหม อนั ใด อยา่ งไร กี่ เป็นต้น
๘. ประติชญาวิเศษณ์ คือ คาวิเศษณ์ท่ีใช้ประกอบคาอ่ืนเพ่ือตอบรับหรือขานรับหรือคาลงท้าย
เพ่ือเป็นความสละสลวยของภาษาหรอื แสดงความเป็นกันเองของค่สู นทนา ได้แก่คาว่า ครับ คะ ค่ะ จ้ะ จ๊ะ จ๋า
ขา ขอรบั กระผม ครบั ผม
๙. ประติเสธวิเศษณ์ คือ คาวิเศษณ์ท่ีใช้ประกอบคาอ่ืนเพ่ือปฏิเสธหรือไม่ยอมรับหรือห้าม ได้แก่
คาว่า มิ มไิ ด้ มใิ ช่ ไมไ่ ด้ หาไม่ บ บ่ อย่า ไม่ ไมใ่ ช่ หา...ไม่ หามไิ ด้ เปน็ ต้น
๑๐. ประพันธวิเศษณ์ คือ คาวิเศษณ์ที่ใช้เช่ือมประโยคให้มีความสัมพันธ์กัน เพ่ือขยายคากริยา
หรือคาวิเศษณท์ อี่ ยขู่ า้ งหนา้ ได้แก่คาวา่ ที่ ซึ่ง อนั วา่ คือ เพือ่ ว่า เป็นตน้
คาบุพบท แปลว่า คานาหน้าบท คือ คาท่ีทาหน้าที่ขยายคานาม คาสรรพนาม คากริยา คาวิเศษณ์
และมีหน้าท่ีเก่ียวข้องสัมพันธ์กับคาหรือประโยคท่ีอยู่ข้างหน้าอย่างไร คาที่อยู่หลังคาบุพบทจะตอ้ งเป็นคานาม
คาสรรพนาม และคาวิเศษณ์เท่าน้ัน ดงั นี้
๑. แสดงความสัมพันธ์เก่ยี วกับสถานที่ ได้แก่คาวา่ ใน นอก บน ใต้ เหนือ รมิ ข้าง หน้า หลัง ใกล้
ไกล ท่ี จาก ถงึ ยัง เปน็ ตน้
๒. แสดงความสัมพนั ธเ์ กย่ี วกบั ความประสงค์ ได้แกค่ าว่า แก่ เพื่อ โดย ดว้ ย ตาม เปน็ ต้น
๓. แสดงความสัมพันธ์เกี่ยวกับเวลา ได้แก่คาว่า เม่ือ ใน ณ แต่ ต้ังแต่ จน จนกระท่ัง สาหรับ
เฉพาะ เปน็ ต้น
๔. แสดงความสัมพนั ธ์เก่ียวกับความเป็นเจ้าของ ได้แกค่ าวา่ ของ แหง่
๕. แสดงความสัมพันธ์เกี่ยวกับการใช้อวัยวะหรือสิ่งต่าง ๆ ได้แก่คาว่า ด้วย โดย เพราะ กับ ตาม
เปน็ ตน้
๖. แสดงความสัมพันธ์เกี่ยวกบั การเป็นผู้รบั ไดแ้ ก่คาว่า กับ แก่ แด่ ตอ่ เพื่อ สาหรบั เปน็ ต้น
๗. แสดงความสัมพนั ธ์เก่ยี วกับการประมาณหรอื คาดคะเน ได้แกค่ าวา่ เกือบ ราว สกั เป็นตน้
คาสันธาน แปลว่า การต่อหรือการเช่ือม หมายถึง คาที่ใช้ต่อหรือเชื่อมระหว่างคากับคา ประโยคกับ
ประโยค ข้อความกบั ข้อความ และเชอื่ มเพ่ือความสละสลวย ดงั น้ี
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๑๖๙
๑. เช่ือมคากับคา ไดแ้ ก่คาว่า และ กับ หรือ
๒. เชอ่ื มประโยคกับประโยค ไดแ้ กค่ าว่า และ แต่ เพราะ จึง หรอื ฯลฯ
๓. เช่อื มข้อความกับข้อความ ไดแ้ กค่ าว่า ดังน้ัน เพราะฉะน้ัน อีกประการหน่ึง อีกอยา่ งหน่งึ ทั้งน้ี
อน่งึ สว่ น อย่างไรกต็ าม กล่าวคอื ฯลฯ
๔. เช่ือมเพอ่ื ความสละสลวย ได้แกค่ าว่า อนั ว่า ก็ อย่างไรกต็ าม หากว่า
คาอุทาน แปลว่า เสียงที่เปล่งออกมา หมายถึง คาท่ีเปล่งออกมาเพื่อแสดงอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ
เช่น สะเทือนใจ ตกใจ ดีใจ เห็นใจ ประหลาดใจ สงสาร สงสัย เจ็บปวด เป็นต้น คาอุทานมักปรากฏหน้า
ประโยค ในการเขียนมักมีเคร่ืองหมายอัศเจรีย์ (!) กากับหลังคาอทุ านนนั้ ซึง่ คาอุทานแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท
ดงั น้ี
๑. คาอทุ านบอกอาการ คือ คาอทุ านท่ใี ชแ้ สดงความรสู้ ึกต่าง ๆ ของผู้พดู
๒. คาอุทานเสริมบท คือ คาอุทานที่ใช้เป็นคาเสริมหรือคาสร้อย เพ่ือให้คาสละสลวย หรือมีคา
ครบถว้ ยตามทตี่ อ้ งการ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๑๗๐
รูปแบบการเรยี นการสอน
๑. กิจกรรมสรา้ งสรรค์
๑.๑ เกม (บตั รคา)
๑.๒ แบบทดสอบ/แบบฝึกหัดทางภาษาศาสตร์ภาษาไทย
๒. กจิ กรรมการจดั การเรยี นรแู้ บบเน้นภาระงาน (TBL : Tack-Based Learning)
๒.๑ นยิ ามความหมายของคาทง้ั ๗ ชนดิ
๒.๒ ลักษณะของโครงสรา้ งและลักษณะของคานามเปน็ อย่างไร
๒.๓ ลักษณะของโครงสร้างและลักษณะของคาสรรพนามเป็นอย่างไร
๒.๔ ลักษณะของโครงสร้างและลักษณะของคากรยิ าเป็นอย่างไร
๒.๕ ลกั ษณะของโครงสรา้ งและลกั ษณะของคาวเิ ศษณ์เป็นอย่างไร
๒.๖ ลกั ษณะของโครงสรา้ งและลักษณะของคาบุพบทเป็นอยา่ งไร
๒.๗ ลกั ษณะของโครงสร้างและลักษณะของคาสนั ธานเป็นอยา่ งไร
๒.๘ ลักษณะของโครงสรา้ งและลกั ษณะของคาอุทานเป็นอยา่ งไร
สอ่ื การเรยี นรู้
๑. โปรแกรมนาเสนอภาพนงิ่ (PPT.) เนือ้ หาประกอบการบรรยาย
๒. โปรแกรมส่อื มตั ติมีเดียและแอปพลเิ คชัน YouTube
๓. เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ED1019 ภาษาศาสตรภ์ าษาไทยสาหรบั ครู
๔. เกมบัตรคา
๕. แบบทดสอบ/แบบฝกึ หดั
๖. แผนการจดั การเรยี นรู้
๗. ใบความรู้
การวัดและการประเมินผล
๑. ประเมินผลจากการสังเกตความสนใจ ซกั ถาม และตอบคาถาม
๒. ประเมินผลจากการร่วมกิจกรรม การอภปิ รายแสดงความคดิ เห็น
๓. ประเมินผลจากผลงาน ดา้ นเนื้อหา รปู แบบ ความคดิ สร้างสรรค์ วธิ กี ารนาเสนอ
๔. ประเมินผลจากการตรวจสอบผลการเลน่ เกม แบบทดสอบ และแบบฝกึ หัด
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๑๗๑
เอกสารอ้างองิ
กาชยั ทองหลอ่ . (๒๕๕๒). หลกั ภาษาไทย. พิมพค์ ร้ังท่ี ๕. กรงุ เทพฯ : อมรการพิมพ์.
ฐะปะนยี ์ นาครทรรพ. (๒๕๑๓). การประพันธ์. กรงุ เทพฯ : อกั ษรเจริญทัศน์.
พระยาอปุ กติ ศิลปสาร. (๒๕๔๕). หลักภาษาไทย. พมิ พ์คร้ังที่ ๑๑. กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช จากดั .
วนั เพญ็ เทพโสภา. (๒๕๔๗). หลกั ภาษาไทย ฉบับนักเรียน-นกั ศกึ ษา. กรงุ เทพฯ : พัฒนาศกึ ษา.
วเิ ชยี ร เกษประทมุ . (๒๕๕๘). หลักภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : เพมิ่ ทรพั ย์การพมิ พ์.
สถาบนั ภาษาไทย. (๒๕๕๕). บรรทดั ฐานภาษาไทย เลม่ ๒. พิมพค์ รั้งท่ี ๓. กรงุ เทพฯ : องคก์ ารค้าของ สกสค.
ศักด์ิศรี แย้มนัดดา. (๒๕๒๕). การและความในภาษาไทยในราชบัณฑิตยสถาน (บก.). เอกสารประกอบการ
สมั มนาเรื่องมองพจนานกุ รม ฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕.
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๑๗๒
แผนการสอนประจาบท
หัวเรอื่ ง
๑. วลใี นภาษาไทย
๒. ประโยคในภาษาไทย
๓. ความหมายในภาษาไทย
แนวคิด
วลี คือ คาที่ประกอบกันต้ังแต่ ๒ คาขึ้นไปมารวมกัน มีใจความไม่สมบูรณ์หรือไม่สามารถส่ือ
ความหมายได้ชัดเจน และเป็นเพียงส่วนหนึ่งส่วนใดของประโยคเท่าน้ัน เช่น ประธาน กริยา กรรม เป็นต้น
และวลใี นภาษาไทย แบ่งออกเปน็ ๒ ประเภท ตามลกั ษณะการศึกษา ดังน้ี ๑) วลี ตามแนวหลกั ภาษาเดิม มี ๗
ชนิด ได้แก่ นามวลี สรรพนามวลี กริยาวลี วิเศษณ์วลี บุพบทวลี สันธานวลี อุทานวลี ๒) วลี ตามแนว
ภาษาศาสตร์ นักภาษาศาสตร์มีแนวคิดที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถสรุปตามแนวคิดได้ ๒ กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มที่ ๑
วลี ตามแนวภาษาศาสตร์ มี ๕ ชนิด ได้แก่ นามวลี กริยาวลี วิเศษณ์วลี สถานวลี กาลวลี กลุ่มท่ี ๒ วลี ตาม
แนวภาษาศาสตร์ มี ๖ ชนิด ได้แก่ นามวลี ปรมิ าณวลี กริยาวลี บุพบทวลี วิเศษณ์วลี วลซี อ้ นวลี
ประโยค หมายถึง คาหรือกลมุ่ คาท่ีนามาจัดวางตามโครงสร้างของประโยคมปี ระธาน กริยา กรรม ซ่ึง
มีความหมายครบถ้วนสมบูรณ์ ประโยคในภาษาไทยประกอบด้วย ชนิดของประโยค และรูปประโยค ดังนี้ ๑)
ชนดิ ของประโยค มี ๓ ชนิด ไดแ้ ก่ ประโยคความเดียว ประโยคความรวมและประความซ้อน ดังนี้ (๑) ประโยค
ความเดยี ว หรือ ประโยคพ้นื ฐาน หรือ ประโยคสามัญ (๒) ประโยคความรวม หรือ ประโยครวม หรอื อเนกกร
รถประโยค (๓) ประโยความซ้อน หรือ สังกรประโยค ๒) รูปประโยคในภาษาไทย มี ๑๑ ชนิด ได้แก่ ประโยค
บอกเล่า ประโยคปฏิเสธ ประโยคคาถาม ประโยคขอร้อง ประโยคคาสั่ง ประโยคแสดงความต้องการ ประโยค
คาดคะเน ประโยคขู่ ประโยคชกั ชวน ประโยคเสนอแนะ และประโยคบอกใหท้ ราบ
ความหมายของคา มี ๗ ประเภท ได้แก่ ๑) ความหมายประจารูปภาษา ๒)ความหมายอ้างอิง ๓)
ความหมายสือ่ สาระ หรือ ความหมายบ่งชี้ หรือ ความหมายปริชาน ๔) ความหมายสอดสังคม ๕) ความหมาย
ส่ออารมณ์ ๖) ความหมายอุปลักษณ์ ๗) ความหมายปริลักษณ์ ซึ่งสามารถแบ่งได้ ๒ ประเภท ดังน้ี ๑)
ความหมายของคาตามแนวหลักภาษาไทย คือ คาพ้อง หมายถึง คาที่มีลักษณะใดลักษณะหนึ่งเหมือนกัน
กล่าวคือ อาจเป็นรูปเขียน เสียงอ่าน หรือความหมายก็ได้ คาพ้องในภาษาไทยแบ่งออกเป็น ๔ ประเภท ดังนี้
คาพ้องรูป คาพ้องเสียง คาพ้องความ คาพ้องรูปพ้องเสียง ๒) การเปล่ียนแปลงทางความหมายของคา คือ
ความหมายของคาอาจมกี ารเปล่ียนไปในลกั ษณะต่าง ๆ เชน่ ความหมายอาจแคบเขา้ กวา้ งออก หรือย้ายที่
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๑๗๓
วตั ถปุ ระสงค์
เมอ่ื นักศกึ ษาเรียนจบบทที่ ๗ มีสามารถได้ดังนี้
๑. อธบิ ายความหมายและบอกประเภทของวลีได้
๒. อธบิ ายความแตกต่างของวลตี ามหลกั ภาษาเดิมและตามหลักภาษาศาสตร์ได้
๓. อธิบายความหมายและบอกประเภทของประโยคได้
๔. อธิบายความแตกต่างของประโยคตามหลกั ภาษาเดิมและตามหลักภาษาศาสตร์ได้
๕. อธิบายความหมายของคาตามหลักภาษาศาสตรไ์ ด้
๖. อธบิ ายความแตกตา่ งของความหมายของคาตามหลักภาษาเดิมและตามหลักภาษาศาสตร์ได้
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๑๗๔
บทที่ ๗
วลี ประโยค และความหมายในภาษาไทย
วลีเป็นส่วนที่ใหญ่กว่าหน่วยคาแต่ทาหน้าท่ีเหมือนกับหน่วยคาในประโยค วลีและหน่วยคาหลายคา
หรือวลมี าประกอบกันและวางอยู่ในตาแหน่งต่าง ๆ ในประโยคตามรูปประโยคแต่ละภาษา ซ่ึงเป็นประโยคท่ีมี
ความหมายสมบูรณ์ ส่วนความหมาย มีความหมายระดับคา วลี และประโยค ซ่ึงการวางแต่ละตาแหน่งหรือ
หน้าท่ีในประโยค ย่อมจะสื่อความหมายแตกต่างกันไป ในบทที่จะได้กล่าวถึง วลีในภาษาไทย ประโยคใน
ภาษาไทย และความหมายในภาษาไทย ดงั มรี ายละเอียดตอ่ ไปนี้
๗.๑ วลใี นภาษาไทย
๗.๑.๑ ความหมายของวลี
สถาบันภาษาไทย(๒๕๕๕: ๖๖) กล่าวไว้ว่า วลีหมายถึง หน่วยทางภาษาที่ใช้เป็นส่วนประกอบของ
ประโยค เมอื่ ประกอบเข้าในประโยคแล้ว วลยี ่อมทาหน้าทใ่ี ดหน้าท่หี น่ึง
กาชัย ทองหล่อ (๒๕๕๒ : ๓๖๖) กล่าวไว้ว่า วลี คือกลุ่มคาที่เรียงติดต่อกันเป็นระเบียบและมีกระแส
ความเปน็ ที่รกู้ ันได้ แต่ไม่ได้ความครบบริบรู ณ์ คาทจี่ ะนามารวมกนั เปน็ วลนี ั้น อยา่ งนอ้ ยตอ้ งมี ๒ คา อยา่ งมาก
ไม่จากัด วลีจะใช้ตามลาพังไม่ได้ต้องใช้เป็นส่วนใดส่วนหน่ึงของประโยคและใช้ได้เช่นเดียวกับนาม คือใช้เป็น
บทประธาน บทกริยา บทกรรมหรอื บทขยายก็ได้
เรืองเดช ปันเขื่อนขัติย์ (๒๕๕๒ : ๒๒๒) กล่าวไว้ว่า วลี หมายถึง คาหรือกลุ่มคาที่ทาหน้าท่ีเป็น
ส่วนประกอบของประโยค
วิเชียร เกษประทุม (๒๕๕๘ : ๖๙) กล่าวไว้ว่า วลีหรือกลุ่มคา คือการนาคาตั้งแต่ ๒ คาข้ึนไปมาเรียง
กัน มคี วามหมาย แตย่ ังไมเ่ ป็นประโยคเป็นเพยี งส่วนหน่ึงของประโยคเท่าน้ัน เพราะยังมคี วามหมายไมส่ มบูรณ์
จินดา เฮงสมบูรณ์ (๒๕๔๒ : ๑๘๑) กล่าวไว้ว่า วลี หมายถึง กลุ่มคาหมหู่ นึ่ง ๆ จานวนตง้ั แต่ ๒ คาขึ้น
ไปและไม่มีความครบที่จะเป็นประโยคได้ จะข้ึนต้นด้วยคาชนิดไรก่อนก็ได้ และมีคาพ่วงท้ายออกไปอีกคาหนึ่ง
หรือมากกว่าก็ได้ ข้อสาคัญท่ีจะสังเกตก็คือไม่ใช่คาประสม คือ เป็นคาต่อคาท่ีใช้ติดต่อกัน และมีเนื้อความ
เกีย่ วเน่อื งกันดว้ ย
พระยาอุปกิตศิลปะสาร (๒๕๔๕ : ๑๙๙) กล่าวไว้ว่า วลี คือ กลุ่มคาต้ังแต่ ๒ คาข้ึนไป ยังไม่มีความ
ครบหรือ ขาดส่วนหนงึ่ หรอื หลายสว่ น เชน่ กินก่อน ขาดประธาน ขาดกรรม
วิจินตน์ ภาณุพงศ์ (๒๕๔๓ : ๒๔๕) กล่าวไว้ว่า วลี คือ กลุ่มคาตั้งแต่ ๒ คาข้ึนไป ซึ่งยังมีใจความไม่
ครบท่ีจะเป็นประโยคและมีลักษณะแตกต่างจากคาประสม ส่วนความหมายของวลีตามแนวภาษาศาสตร์ คือ
จะเป็นกลมุ่ คาหรอื คา ๆ เดยี วก็ได้
พระครูคัมภีร์ธรรมานุวัตร (๒๕๖๓ : ๑๙๙) กล่าวไว้ว่า วลี คือ กลุ่มคา หรือ คาต้ังแต่ ๒ คาขึ้นไป มา
รวมกัน แต่ใจความยังไม่สมบูรณ์ ซ่ึงเราจะนับวลีว่าเป็นส่วนหนึ่งของประโยค มีความยาวของข้อความอยู่
ระหว่างคาและประโยคมีกลุ่มคาประธาน กริยา และกรรม หรือภาคประธานและภาคขยายประธานไม่ครบ
สมบรู ณ์ให้เป็นประโยคได้
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๑๗๕
วันเพ็ญ เทพโสภา (๒๕๔๗: ๙๔) กล่าวไว้ว่า วลี หมายถึง กลุ่มคาตั้งแต่ ๒ คาข้ึนไปเรียงติดต่อกัน
อย่างมีระเบียบ มีเนื้อความไม่สมบูรณ์พอเป็นประโยค แต่ก็มีความหมายพอเข้าใจได้ เพราะฉะน้ันจึงเป็นแค่
ส่วนหนึง่ ของประโยคเทา่ นัน้
สรุปความได้ว่า วลี คือ คาท่ีประกอบกันต้ังแต่ ๒ คาขึ้นไปมารวมกัน มีใจความไม่สมบูรณ์หรือไม่
สามารถสื่อความหมายได้ชัดเจน และเป็นเพียงส่วนหน่ึงสว่ นใดของประโยคเท่านั้น เช่น ประธาน กรยิ า กรรม
เปน็ ตน้
๗.๑.๒ ประเภทของวลี
ประเภทของวลีในภาษาไทย แบง่ ออกเป็น ๒ ประเภท ตามลักษณะการศกึ ษาดังนี้
๑. วลี ตามแนวหลักภาษาเดิม (วันเพ็ญ เทพโสภา, ๒๕๔๗: ๙๔; ประยุทธ กุยสาคร, ๒๕๒๗ :
๑๒๓ – ๑๒๔; กาชัย ทองหล่อ, ๒๕๕๒ : ๓๖๖) มี ๗ ชนิด ได้แก่ นามวลี สรรพนามวลี กริยาวลี วิเศษณ์วลี
บพุ บทวลี สันธานวลี อทุ านวลี ดงั น้ี
๑.๑ นามวลี คือ วลที ่ีมีคานามนาหน้า เชน่
จังหวดั นครสวรรค์มพี ระเกจอิ าจารยห์ ลายรปู
ดินสอสีแดงของใครลมื ไวบ้ นโต๊ะของครู
หนงั สอื แบบเรียนเร็วอย่ใู นกระเปา๋
นาฬิกาขอ้ มือเรอื นทองมีขายท่ไี หน ? ฯลฯ
๑.๒ สรรพนามวลี คือ วลีที่มีคาสรรพนามนาหน้า หรือวลีท่ีทาหน้าท่ีเป็นคาสรรพนาม เช่น
พระคณุ เจ้าจะไปท่ีใดหรอื ขอรบั ?
ข้าพเจ้านายกล้า ชาญชยั มีความรกั ต่อแมแ่ ตงออ่ นอย่างยิง่
ฝ่าพระบาทจะเสดจ็ พระดาเนินเพลาใด ?
ข้าพระพทุ ธเจ้าขอนอ้ มกายถวายชวี ิตเป็นพุทธบชู า ฯลฯ
๑.๓ กริยาวลี คอื วลที ี่มีคากริยานาหนา้ โดยมีความหมายเป็นเรอ่ื งเดยี วกัน เชน่
ฉนั เดนิ เร่ือยเปอื่ ยท่ีบึงท่งุ สร้าง
พวกเขาไม่ทาการบา้ นทุกวนั
เธอน่งั รอ้ งเพลงท่รี า้ นอาหารเปน็ ประจา
ท่านได้ถึงแก่กรรมแลว้ ฯลฯ
๑.๔ วิเศษณ์วลี คือ วลีที่มีคาวิเศษณ์นาหน้า และทาหน้าที่ประกอบคาอ่ืนอย่างเดียวกับคา
วเิ ศษณ์ อาจประกอบนาม ขยายกริยา ขยายวเิ ศษณ์ดว้ ยกนั เองกไ็ ด้ เชน่
กลว้ ยหอมนา่ กนิ จัง
วนั น้ี อากาศรอ้ นเหลอื เกนิ
ช้างสามเชือกในสวนสตั ว์สวยมาก
เธอพูดจาเกง่ กาจอะไรเชน่ นัน้ ฯลฯ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๑๗๖
๑.๕ บุพบทวลี คือ วลีท่ีมีคาบุพบทนาหน้า หรอื อยหู่ น้าคาอ่ืน อาจอยู่หน้าคานาม สรรพนาม
หรือกริยาบางคา เชน่
ปญั หารถตดิ ในเมืองหลวง
ห้องน้ีสาหรบั ใช้อา่ นหนังสือ
ข้าแต่สมาชกิ ทัง้ หลายกระผมกค็ ัดค้านญัตติข้อท่ี ๕
นคี่ อื รปู มนุษย์ในสมยั กอ่ นประวัติศาสตร์ฯลฯ
๑.๖ สันธานวลี คือ วลีที่ทาหน้าท่ีเป็นคาสันธาน คือ ทาหน้าท่ีเช่ือมคา เช่ือมประโยค เชื่อม
ข้อความ ซง่ึ จะมีคาสนั ธานนาหนา้ หรือไม่มีกไ็ ด้ เชน่
เขามีความรักในลูกและเมยี
ถงึ ฝนจะตกฉันกจ็ ะไป
ถงึ จะอย่างไรก็แล้วแต่ ขอให้ท่านเห็นใจฉนั บ้าง
เพราะอย่างไรกต็ าม เขากไ็ ดช้ ่ือวา่ เป็นพี่ของฉัน ฯลฯ
๑.๗ อุทานวลี คือ วลที าหนา้ ทเี่ ป็นคาอทุ าน ซงึ่ จะมคี าอุทานนาหนา้ หรอื ไมม่ ีก็ได้ เช่น
ชวี ิต !เธอทาอยา่ งน้ันไดอ้ ยา่ งไร
อนจิ จาความรกั เอย !เจา้ มีท้งั คณุ และโทษ
เขาร้องขนึ้ วา่ โอ๊ยตายแลว้ !
โอโ้ ฮนกกระยางขายาวจรงิ !ดตู รงนั้นสิ ฯลฯ
๒. วลี ตามแนวภาษาศาสตร์ นักภาษาศาสตร์มีแนวคิดที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถสรุปตามแนวคิด
ได้ ๒ กลมุ่ ใหญ่ ดงั นี้
กลุ่มที่ ๑ วลี ตามแนวภาษาศาสตร์ (วิเชียร เกษประทุม, ๒๕๕๘ : ๗๐; ประยุทธ กุยสาคร,
๒๕๒๗ : ๑๒๕ – ๑๒๗) มี ๕ ชนดิ ได้แก่ นามวลี กรยิ าวลี วเิ ศษณ์วลี สถานวลี กาลวลี ดงั น้ี
๑) นามวลี คือ คานามคาเดียว คาสรรพนามคาเดียว หรือคานามกับคาขยาย คาสรรพนาม
กบั คาขยายทาหนา้ ท่ีเป็นสว่ นของประโยค เช่น
นักเรียนทกุ คนในโรงเรยี นมีความสุข
รถคนั น้ีกนิ นา้ มนั มาก
เขาเชิญวิทยากรท้ังสองคนมาจากมหาวทิ ยาลัยเดียวกัน
ครบู อกคะแนนสอบปลายภาคแก่นกั เรยี น ฯลฯ
๒) กริยาวลี คือ คากริยาคาเดียว หรือคากริยากับส่วนขยายทาหน้าท่ีเป็นส่วนของประโยค
เชน่
ใบไม้ขยับไปตามลม
เขาทง้ิ จดหมายไปแลว้
ครูอยากสอนหนงั สอื เดก็ พวกน้ี
เราไมต่ ้องอบรมมารยาทเด็กดี ฯลฯ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๑๗๗
๓) วิเศษณ์วลี เรียกอีกอยา่ งหนึ่งวา่ พิเศษวลี คือ คาวิเศษณ์คาเดียว หรือคาวเิ ศษณ์ที่มคี าบุพ
บทตามนาหนา้ ซง่ึ เปน็ ส่วนขยายทาหน้าทเี่ ป็นส่วนของประโยค เช่น
ตามปกติรถจะไมต่ ิด
ตามธรรมดาทกุ ชีวติ มีความเกดิ แก่ เจ็บ ตาย ฯลฯ
๔) สถานวลี คือ วลีที่ประกอบด้วยคาบุพบทกับคานามวลีหรือคาบุพบท ๒ คา เรียงกันก็ได้
ซ่งึ ทาหนา้ ทีเ่ ป็นส่วนขยายในประโยค เชน่
ที่นครสวรรค์น้าทว่ มทุกปี
น้องชอบเดนิ ตรงกลาง
ขา้ งหนา้ มหาวทิ ยาลยั มีร้านอาหารอรอ่ ยมาก
ทบี่ า้ นของฉันมีววั และควายสบิ ตัว ฯลฯ
๕) กาลวลี คือ วลีที่ประกอบด้วยคาบอกเวลาคาเดียวหรือหลายคาหรือคาบอกเวลากับส่วน
ขยายในประโยค เช่น
เธอคอ่ ยมาพบครูพรงุ่ นเ้ี ชา้ ตอนเก้านาฬกิ า
เมือ่ ตอนกลางวัน ฉนั และเพอื่ นไปทานขา้ วดว้ ยกัน
อาทติ ยห์ นา้ คณะครตู ้องไปเข้าร่วมอบรมคา่ ยลูกเสือ
ฝนตกหนกั มาก เม่อื ตอนตสี อง ฯลฯ
กลุ่มที่ ๒ วลี ตามแนวภาษาศาสตร์ (วิจินตน์ ภาณุพงศ์, ๒๕๕๒ : ๖๖; นิตยา กาญจนวรรณ,
๒๕๕๔ : ๑๘๕; นววรรณ พันธุเมธา, ๒๕๔๙ : ๑๔๔; วรวรรธน์ ศรียาภัย, ๒๕๕๖ : ๑๕๗– ๑๖๓; สถาบัน
ภาษาไทย,๒๕๕๕ : ๖๖ – ๙๐) มี ๖ ชนิด ได้แก่ นามวลี ปริมาณวลี กริยาวลี บุพบทวลี วิเศษณ์วลี วลีซ้อนวลี
ดงั นี้
๑) นามวลี คือ คานามหรือคานามกับกลมุ่ คา ซงึ่ ทาหนา้ ทอ่ี ย่างใดอย่างหนึ่งในประโยค ได้แก่
ประธาน กรรม สว่ นเติมเตม็ หรอื เสริมความ เช่น
ภาษาไทยศึกษาใหเ้ ข้าใจได้ไม่ยาก
ภาษาและวรรณคดีเรียนไมย่ าก
คณุ ครสู มศักดิ์ ลกู ชายของเพ่อื นครูชอบเรียนภาษาไทยมาก
อาคารท่สี รา้ งใหมน่ ่ากลัวมาก
ผมเจอผีทีโ่ ดนปล่อยมากอ่ นกาหนดวาระกรรม ฯลฯ
๒) ปริมาณวลี คือ วลที ป่ี ระกอบมาจากคาที่เก่ียวกบั จานวน อันได้แก่ คาบอกจานวน คาบอก
ลาดับ และคาลักษณนาม ข้างหน้าปริมาณวลีอาจมีคาหน้าจานวนประกอบอยู่ด้วยก็ได้ เช่นเดียวกันข้างหลัง
ปริมาณวลกี อ็ าจมีคาหลังจานวนประกอบดว้ ย หรอื คาทั้ง ๒ ลักษณะประกอบเข้าขนาบหน้าและหลงั
ในภาษาไทยนั้นปริมาณวลีแบ่งตามโครงสร้างได้ ๓ ประเภท ได้แก่ ปริมาณวลีท่ีมีคาบอก
จานวน ปริมาณวลีทีม่ คี าบอกลาดบั และปริมาณวลที ี่มีคาบอกจานวนและคาบอกลาดับ ดงั น้ี
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๑๗๘
(๑) ปริมาณวลีทมี่ คี าบอกจานวน
ผมเรยี นท่มี หาวทิ ยาลยั ใหม่ ๒ แหง่ พรอ้ มกนั
ผมฝากเงนิ ตั้ง ๑ ลา้ นบาทถ้วน ไดด้ อกเบี้ยนิดเดยี ว
อาจารย์สนิ ชัยขบั รถไปตัง้ ๑๓ กโิ ล ก็ถึงในเมอื งพะเยา ฯลฯ
(๒) ปริมาณวลีท่ีมคี าบอกลาดบั
เธอเรยี นได้รางวัลท่ี ๓
อาจารย์สอนวชิ าสดุ ท้ายแล้ว
ครเู รียกนักศกึ ษาคนแรกเท่าน้นั ฯลฯ
(๓) ปรมิ าณวลีทมี่ คี าบอกจานวนและคาบอกลาดบั
สภุ าพบุรษุ จุฑาเทพ ๒ ตอนแรกสนกุ มาก
บพุ เพสันนวิ าส มี ๔๔ ตอน สนกุ มากเลย
ชมรมรักการอ่านรบั สมาชิกครั้งท่ี ๓ อกี ครั้งเดียว ฯลฯ
๓) กริยาวลี คือ วลีที่มีหน่วยกริยาเป็นส่วนประกอบหลัก และเป็นส่วนสาคัญที่สุดของ
ประโยคหลัก ประโยคย่อย และอนุประโยค ประโยคทั้ง ๓ ชนิดน้ี จะขาดวลีใดก็ไดย้ กเวน้ กริยาวลี เพราะหาก
ขาดกริยาวลีแล้วจะไม่ส่ือความหมาย กริยาวลีในภาษาไทยมีส่วนประกอบ ๓ ส่วน ได้แก่ ส่วนหลัก ส่วนเสริม
ส่วนหลัก และส่วนขยาย ดังนี้
(๑) สว่ นหลักของกริยาวลี
ผมเรยี นภาษาไทยท่ีมหาวทิ ยาลยั พะเยา
นักศึกษาภาษาไทยเกง่ ดีมสี ขุ กนั ทุกคน
อาจารย์อานนท์อนเุ คราะหส์ อนแทนอาจารย์ขวญั ชัย
(๒) ส่วนเสรมิ สว่ นหลักของกรยิ าวลี
มหาวิทยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัยกาลงั พฒั นาทุก ๆ ดา้ น
ครตู าสรา้ งหอพกั นักศึกษา
มณซี ือ้ หนงั สอื
(๓) สว่ นขยายของกริยาวลี
อาจารย์ดุอยา่ งแขง็ กรา้ ว
เธอเรียนเพิม่ อีก ๓ ช่วั โมง
ศาลเจา้ ตง้ั บนดอยลกู หลงั
๔) บุพบทวลี คือ วลีที่ประกอบด้วยคาบุพบทกับนามวลี ซ่ึงสามารถปรากฏได้ ๓ ตาแหน่ง
คอื หลงั นามวลี หลังกรยิ าวลี และต้นประโยค เชน่
ใครนั่งคยุ ในชน้ั เรียน
ขอให้เดนิ ทางกลบั โดยสวสั ดิภาพกันทกุ คน
ตอนเช้าตรู่หมอกลงจดั จนตวั ขาวเลย
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๑๗๙
ในหอพกั นิสิตขยันเรียนและทากิจกรรมกันทุกวนั ฯลฯ
๕) วิเศษณ์วลี คือ วลที ี่ทาหน้าท่ีขยายกริยาวลี มักประกอบด้วยคาวิเศษณ์เป็นส่วนหลัก อาจ
มคี าวเิ ศษณ์อ่นื หรอื วลีอน่ื มาร่วมอยูด่ ้วยก็ได้ เชน่
กนกรัตน์ตัง้ ใจเรยี นดมี าก
จิราพรอา่ นหนงั สอื เอาเปน็ เอาตาย
ทศั นว์ รรณขบั รถนม่ิ ตลอดการเดนิ ทาง
ศริ นิ วรรณอา่ นเรื่องน้าเล่นไฟแบบใสใ่ จเปน็ พเิ ศษ ฯลฯ
๖) วลีซ้อนวลี คือ วลีแต่ละหน่วยท่ีซ้อนกัน เช่นบุพบทวลี วิเศษณ์วลีหรือปริมาณวลีซ้อนอยู่
ใตน้ ามวลี และนามวลี บุพบทวลี วิเศษณว์ ลี ปรมิ าณวลี ซ้อนอยูใ่ ตก้ ริยาวลหี รือบุพบทวลีซอ้ นกนั เองเปน็ ช้ัน ๆ
ดงั ตารางภาพวลซี อ้ นวลีแบบที่ ๑
นามวลี กรยิ าวลี
นาม บพุ บทวลี กริยา นามวลี วิเศษณว์ ลี บพุ บทวลี ปรมิ าณ
นามวลี
น้า ในสระนี้ นิ่ง - สงบ --
มหาวทิ ยาลยั ในขอนแกน่ สวยงาม - โดดเด่นทีส่ ุด ด้วยศิลป ะแล ะ -
วัฒนธรรม
นักเรียน ท่ีอาเภอชุม เขา้ มาเรยี น หนังสือ - ท่มี หาวิทยาลยั หลายคณะ
แพ
ดงั ตารางภาพวลซี อ้ นวลีแบบที่ ๒ กริยาวลี
นามวลี นามวลี บพุ บทวลี ปรมิ าณวลี วิเศษณ์วลี
นาม วิเศษณ์วลี กรยิ า
ทะเล แถวน้ี สวยงาม -- - มาก
ญาติ ๆ ท่ีตา่ งจงั หวัด มาเยี่ยม
แมลงปอ - บินโฉมลงมา ยาย ทโี่ รงพยาบาล ๒ ครงั้ เมอื่ เดือดรอ้ น
-- - ไม่หยดุ
ดงั ตารางภาพวลีซ้อนวลีแบบท่ี ๓
นามวลี กรยิ าวลี บพุ บทวลี
กรยิ า นามวลี
บพุ บทวลี บุพบทวลี
เขา เอื้อมไปหยบิ ของ
เจา้ เหมียว แอบไปหลบ - บนหิ้ง บพุ บทวลี บุพบทวลี
พนักงานหนุ่ม กรอก ใต้เตียง
ขอ้ มลู ในแบบฟอร์ม ใต้เพดาน ตรงมมุ ห้อ
ในห้องนอน ของพส่ี าว
ของธนาคาร ข้างบรษิ ัท
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๑๘๐
ดงั ตารางภาพวลซี ้อนวลีแบบที่ ๔
นามวลี กรยิ าวลี
กรยิ า นามวลี บพุ บทวลี
บพุ บทวลี บุพบทวลี บุพบทวลี บพุ บทวลี บพุ บทวลี
ถริ วรรณ ยืนรอ ปราณี ทธ่ี นาคารกรงุ ไทย ใก ล้ ท่ี นั่ ง ตรงมุมตึก ของ ใน
รอรถเมล์ อาคาร มหาวิทยาลยั
เรยี นรวม
หวง รอ แฟน ในรถสว่ นตวั ใตต้ ้นไม้ ข้างอา่ งเก็บ
แบน ตาก ผา้ ในวนั ฝนตก ใหญ่ ของกรม บนดอยอ่าง
บนระเบียง อทุ ยาน ขาง
หน้าหอ้ ง นั่งเลน่
สนิ ชัย ทีห่ อ ของปา้ ดี
ชยั พฤกษ์
๗.๒ ประโยคในภาษาไทย
๗.๒.๑ ความหมายของประโยค
สถาบันภาษาไทย (๒๕๕๕ : ๙๑) กล่าวไว้ว่า ประโยค คือ หน่วยทางภาษาที่ประกอบด้วยคาหรือคา
หลายคาเรียงต่อกัน กรณีท่ีเป็นคาหลายคาเรียงต่อกัน คาเหล่าน้ันต้องมีความสัมพันธ์ทางไวยากรณ์ กันอย่าง
ใดอย่างหนึ่ง ประโยคเป็นหน่วยทางภาษาที่สามารถสื่อความได้ว่าเกิดอะไรขึ้น หรืออะไรมีสภาพเป็นอย่างไร
โดยท่ัวไปประโยคประกอบด้วยส่วนสาคัญ ๒ ส่วน คือ นามวลีกับกริยาวลี ประโยคอาจมเี พียงกรยิ าวลีก็ได้ แต่
จะมีเพียงนามวลีไมไ่ ด้
วิเชียร เกษประทุม (๒๕๕๘ : ๗๐) กลา่ วไวว้ ่า ประโยค คือคาหรอื กลุ่มคาท่ีนามาเรยี งกันมีความหมาย
ครบถ้วนสมบรู ณ์ทาให้ร้วู ่าใครทาอะไร
กาชัย ทองหล่อ (๒๕๕๒ : ๓๖๗) กล่าวไว้ว่า ประโยค คือกลุ่มคาท่ีมีความเก่ียวข้องกันเป็นระเบียบ
และมีเนื้อความครบสมบูรณ์โดยปรกติประโยคจะต้องมีบทประธานและบทกริยาเป็นหลักสาคัญ แต่ถ้าใช้
สกรรมกริยา จะต้องมีบทกรรมมารับ ถ้าใช้วิกตรรถกริยา จะต้องมีบทขยาย จึงจะได้ความสมบูรณ์ บทขยาย
น้นั จะเป็นคา วลี หรอื ประโยคก็ได้ ถ้าใช้อกรรมกริยา ไมต่ ้องมีกรรมรับ เพราะได้ความสมบูรณ์อยู่แล้ว แต่จะมี
บทขยายใหค้ วามชดั เจนขึ้นอีกกไ็ ด้
วรวรรธน์ ศรียาภัย (๒๕๕๖ : ๑๖๔) กล่าวไว้ว่า ประโยค หมายถึง หน่วยภาษาที่ประกอบด้วยคาคา
เดียวหรือหลายคา หากเปน็ คาหลายคาเรยี งตอ่ เน่อื งกัน ต้องมีความสมั พนั ธ์กันทางไวยากรณ์อยา่ งใดอย่างหน่ึง
ประโยคตอ้ งสอื่ ความได้ครบถว้ นสมบรู ณ์ ประโยคมกั จะประกอบด้วยนามวลีและกรยิ าวลี บางครั้งอาจมีเฉพาะ
กริยาวลกี ็ได้
วันเพ็ญ เทพโสภา (๒๕๔๗: ๙๕) กล่าวไว้ว่า ประโยค คือ ถ้อยคาท่ีเรียบเรียงขึ้นเป็นข้อความท่ี
สมบรู ณ์ ซ่ึงจะบอกให้ร้วู ่าใครทาอะไรกับใคร
วิจินตน์ ภาณุพงศ์ (๒๕๔๓ : ๑๓๓) กล่าวไว้ว่า ประโยค คือ หน่วยที่สามารถวิเคราะห์ลักษณะทาง
ไวยากรณ์ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ และมีความหมายบริบูรณ์ในตัวเอง ซ่ึงจะมีส่วนประกอบเพียงเสียงเดียวหรือ
หลายส่วนกไ็ ด้
วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์ (๒๕๒๗ : ๙๐) กล่าวไว้ว่า ประโยค คือ คาที่ประกอบขึ้นเป็นประโยค ต้องมี
ตาแหนง่ คาทีเ่ ฉพาะจึงจะได้ความหมาย มิใชว่ ่าคาใดจะอยูต่ าแหนง่ ใดกไ็ ด้และสามารถส่ือความหมายได้ มิใช่ว่า
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๑๘๑
คาใดจะอยู่ตาแหน่งก็ได้ และสามารถสื่อความหมายได้ การนาคามาเรียงกันเข้าเป็นประโยคมีขอบเขตจากัด
หรอื มีกฎเกณฑท์ ี่เราจะต้องทาตามเพื่อทีจ่ ะให้ไดป้ ระโยคท่ีถูกต้องออกมา
สรุปความได้ว่า ประโยค หมายถึง คาหรือกลุ่มคาท่ีนามาจัดวางตามโครงสร้างของประโยคมีประธาน
กริยา กรรม ซ่ึงมีความหมายครบถว้ นสมบรู ณ์
๗.๒.๒ ส่วนประกอบของประโยค
ภาคประธาน ภาคแสดง
สว่ นขยายกรรม ส่วนขยายกริยา
ประธาน สว่ นขยายประธาน กรยิ า กรรม --
- - หนกั
นก - รอ้ ง - --
- เกง่
นกั มวย ไทย เตะ ปลา ตัวใหญ่ ได้
ภาษาไทย
ชาวประมง - จับ หนู
นักเรียน ชั้น ป. ๑ เรยี น
แมว สีขาว จบั
๗.๒.๓ การวิเคราะห์ส่วนประชิดของประโยค มีวิธแี สดงความสัมพันธ์ทางไวยากรณ์ของส่วนประกอบ
ของประโยคได้โดยลากเส้นตัดระหว่างส่วนของประโยค ๒ ส่วนท่ีอยู่ประชิดกัน ซ่ึงเรียกว่า การวิเคราะห์ส่วน
ประชิด (immediate constituents analysis หรือ IC analysis) ส่วนของประโยคที่สัมพันธ์กันมากจะถูกตัด
ไว้ในกลุ่มเดียวกัน ส่วนที่สัมพันธ์น้อยท่ีสุดจะถูกตัดขาดออกไป และทาเช่นน้ีเรื่อยไปเป็นช้ันๆ เช่น ในประโยค
วา่ น้องเพ่ือนฉันสวมเสื้อตวั ใหญ่เป็นประจา สามารถวิเคราะห์ส่วนประชิด (สถาบันภาษาไทย, ๒๕๕๕ : ๙๘ –
๙๙) ได้ดงั ขั้นตอนตอ่ ไปน้ี
๑) ตัดวิเคราะห์ระหว่างนามวลี นอ้ งเพื่อนฉัน ซึง่ ทาหน้าท่ีเป็นประธานออกจากกริยาวลี สวมเสื้อ
ตัวใหญ่เป็นประจา ซงึ่ ทาหน้าทีเ่ ปน็ ภาคแสดง
นามวลี กรยิ าวลี
ภาคประธาน ภาคแสดง
น้องเพอ่ื นฉนั สวมเสื้อตวั ใหญ่เป็นประจา
๒) วิเคราะห์สว่ นประชิดของภาคประธานกับภาคแสดง ซง่ึ มีสว่ นประชิด ๒ ส่วน คือ ส่วนหลักกับ
สว่ นขยาย
ภาคประธาน น้องเพื่อนฉนั ตดั สว่ นประชิดออกเปน็ สว่ นหลกั นอ้ ง กับส่วนขยาย เพือ่ นฉัน
ภาคแสดง สวมเส้ือตัวใหญ่เปน็ ประจา ตัดส่วนประชดิ ออกเป็นส่วนหลัก สวมเสอ้ื ตวั ใหญ่ กับส่วน
ขยาย เป็นประจา
นามวลี กรยิ าวลี
ภาคประธาน ภาคแสดง
นอ้ งเพ่ือนฉนั สวมเสอ้ื ตัวใหญเ่ ปน็ ประจา
น้อง เพ่อื นฉัน สวมเส้ือตวั ใหญ่ เป็นประจา
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๑๘๒
๓) วิเคราะหส์ ่วนประกอบของภาคประธานกบั ภาคแสดง
ภาคประธาน ส่วนหลักมีคาเพียงคาเดียวจึงวิเคราะห์แต่ส่วนขยายของภาคประธาน เพ่ือนฉัน ตัด
ส่วนประชิดออกเป็นส่วนหลัก เพอ่ื น กบั ส่วนขยาย ฉัน
ภาคแสดง วิเคราะห์ท้งั ส่วนหลกั และสว่ นขยายของภาคแสดง ส่วนหลักของภาคแสดง สวมเสอ้ื ตัว
ใหญ่ ตัดส่วนประชิดออกเป็นส่วนหลกั ซ่ึงเป็นคากริยา สวม กับนามวลีซึ่งทาหน้าท่ีเป็นกรรม เส้ือตัวใหญ่ ส่วน
ขยายของภาคแสดง เป็นประจา ตดั สว่ นประชดิ ออกเป็นส่วนหลัก เปน็ กบั ส่วนขยาย ประจา
นามวลี กริยาวลี
ภาคประธาน ภาคแสดง
นอ้ งเพ่ือนฉนั สวมเสอื้ ตัวใหญ่เป็นประจา
เพอื่ นฉัน สวมเสือ้ ตัวใหญ่ เปน็ ประจา
น้อง เพ่อื น ฉนั สวม เสอ้ื ตัวใหญ่ เป็น ประจา
๔) วิเคราะห์กรรม เสื้อตัวใหญ่ ตัดส่วนประชิดออกเป็นคานาม เสื้อ ซึ่งเป็นส่วนหลัก กับส่วน
ขยาย ตวั ใหญ่
นามวลี กริยาวลี
ประธาน ภาคแสดง
นอ้ งเพื่อนฉัน สวมเสอ้ื ตวั ใหญ่เปน็ ประจา
นอ้ ง เพอ่ื นฉนั สวมเส้อื ตวั ใหญ่ เป็นประจา
เพื่อน ฉนั สวม เส้อื ตวั ใหญ่ เป็น ประจา
เส้ือ ตัวใหญ่
๕) วิเคราะห์ส่วนขยายของกรรม คือ ตัวใหญ่ ออกเป็นคาลักษณนาม ตัว กับคากริยาคุณศัพท์
ใหญ่
นามวลี กรยิ าวลี
ประธาน ภาคแสดง
น้องเพ่ือนฉนั สวมเส้อื ตัวใหญ่เปน็ ประจา
นอ้ ง เพอ่ื นฉัน สวมเสื้อตวั ใหญ่ เปน็ ประจา
เพ่ือน ฉัน สวม เส้ือตวั ใหญ่ เป็น ประจา
เสื้อ ตวั ใหญ่
ตวั ใหญ่
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๑๘๓
การวิเคราะห์ส่วนประชิดช่วยทาให้เข้าใจโครงสร้างของส่วนต่างๆ ของประโยค ว่ามีความสัมพันธ์กัน
เปน็ ชน้ั ๆ ตามลาดบั
๗.๒.๔ ชนิดของประโยค
ชนดิ ของประโยค (วิเชียร เกษประทมุ , ๒๕๕๘ : ๗๒ – ๗๕; วรวรรธน์ ศรียาภัย, ๒๕๕๖ : ๑๖๕ –
๑๗๐; สถาบันภาษาไทย, ๒๕๕๕ : ๑๐๐ – ๑๐๔) มี ๓ ชนิด ได้แก่ ประโยคความเดียว ประโยคความรวมและ
ประความซ้อน ดังนี้
๑. ประโยคความเดียว หรือ ประโยคพ้ืนฐาน หรือ ประโยคสามัญ คือประโยคท่ีมุ่งกล่าวถึงสิ่งใด
ส่ิงหน่ึงเพียงสิ่งเดียว และส่ิงนั้นแสดงกิริยาอาการหรืออยู่ในสภาพอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว อีกอย่าง
หน่ึง ประโยคที่ประกอบด้วยนามวลีซึ่งทาหน้าที่ประธานและกริยาวลีซ่ึงทาหน้าที่เป็นภาคแสดง ไม่มีอนุ
ประโยคเป็นส่วนขยาย ซง่ึ มี ๒ ประเภท คือ ประโยคความเดยี วมกี รยิ าวลีเดยี ว และประโยคความเดียวมีหลาย
กรยิ าวลีเชน่
ทองคาบรสิ ุทธกิ์ าลงั ขึ้นราคา
สวนสตั ว์ดสุ ติ เป็นสมบัติของสว่ นรวม
ดอกรักวิง่ ไปขนึ้ รถอย่างรวดเร็ว
พระมหาโยธินออกไปบิณฑบาตภัตตาหาร
๒. ประโยคความรวม หรือ ประโยครวม หรือ อเนกกรรถประโยค คือ ประโยคท่ีมีประโยคความ
เดียวตั้งแต่ ๒ ประโยคขึ้นไปมารวมกัน โดยมีคาสนั ธานเช่ือมประโยค ได้แก่คาว่า และ และก็ แต่ ทวา่ แต่ทว่า
หรือไม่...ก็ ฯลฯ ทาหน้าที่เช่ือมประโยคท้ัง ๒ ประโยคนั้นเข้าเป็นประโยคเดียวกนั เพ่ือให้ได้ใจความติดต่อกัน
เปน็ ประโยคเดยี ว ถ้าประธานหรือกรยิ าของประโยคเปน็ คาเดยี วกนั กอ็ าจละสนั ธานได้ เช่น
นนั ทนาจะเรียนใหจ้ บปีนี้ส่วนโสมประภาเลอ่ื นไปจบปีหนา้
เธอมาเรยี นกจ็ รงิ แต่ทว่าครกู ลบั แล้ว
ขวญั และหวานชอบอ่านหนังสือทุกวัน
ไม่ตารวจก็ผรู้ ้าย ตอ้ งตายกนั ไปข้างหน่ึง
๓. ประโยความซ้อน หรือ สังกรประโยค คือ ประโยคที่เกิดจากประโยคตั้งแต่ ๒ ประโยค ขึ้นไป
มารวมกัน โดยท่ีประโยคหนง่ึ ทาหน้าท่ีขยายส่วนใดสว่ นหนึ่งของอีกประโยคหนึ่งหรือทาหน้าท่ีเปน็ ส่วนใดส่วน
หนึ่งของอีกประโยค ท้ังน้ี ประโยคท่ีมีส่วนประกอบประโยคหลักหรือมุขยประโยคเหมือนประโยคสามัญ คือ
นามวลีและกริยาวลี แต่ท้งั นามวลีและกริยาวลีอยา่ งใดอย่างหน่ึงหรือทั้งสองอย่างต้องมีส่วนขยายเป็นประโยค
ทเ่ี รยี กว่าอนุประโยค เชน่
ไกท่ อดอัญเจรญิ ทเี่ จ้าดากินตกดนิ แลว้
ดอกกุหลาบทแ่ี มซ่ อื้ มาเปน็ ของหนู
เขาเล่าวา่ เขาไปเทีย่ วทางเหนอื สนุกมาก
ผูช้ ายที่นง่ั อยู่ตรงนั้นเป็นพชี่ ายของเธอ
เราตอ้ งบอกนภาว่าประเสรฐิ จะไปงานคืนนี้ดว้ ย
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๑๘๔
๗.๒.๕ รปู ประโยค
รปู ประโยคในภาษาไทย (วเิ ชยี ร เกษประทุม, ๒๕๕๘ : ๗๐; สถาบันภาษาไทย, ๒๕๕๕ : ๑๐๕ –
๑๐๙)มี ๑๑ ชนิด ได้แก่ ประโยคบอกเล่า ประโยคปฏิเสธ ประโยคคาถาม ประโยคขอร้อง ประโยคคาสั่ง
ประโยคแสดงความต้องการ ประโยคคาดคะเน ประโยคขู่ ประโยคชักชวน ประโยคเสนอแนะ และประโยค
บอกให้ทราบ ดังนี้
๑. ประโยคบอกเล่า คือ ประโยคท่ีมีใจความเพ่ือบอกให้ทราบว่า ใคร ทาอะไร ทาที่ไหน ทา
อยา่ งไร เปน็ การแจ้งเร่ืองราวใหท้ ราบ หรอื บอกเร่อื งราวตา่ ง ๆ เชน่
ฉนั เรยี นอย่ชู ้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๓
วนั องั คารที่ ๖ มถิ นุ ายน ๒๕๕๗ ดาวศกุ ร์จะโคจรผา่ นดวงอาทติ ย์
ระยะนอ้ี ากาศค่อนขา้ งร้อนและรอ้ นแบบแสบๆ ตัว
เมอ่ื วานนี้ฝนตกลงมามากจนเกอื บทว่ มบ้าน
๒. ประโยคปฏิเสธ คือ ประโยคที่มีใจความไมต่ อบรับ มีเนื้อความตรงกันข้ามกับประโยคบอกเล่า
มกั ใชค้ าว่า ไม่ ไมไ่ ด้ ไม่ใช่ ประกอบ เชน่
ฉันไมไ่ ด้ลอกการบา้ นเพ่ือน
สรุ ชัยไม่ชอบเลีย้ งสัตว์
พจน์ไม่มาประชุมเพราะภรรยาป่วย
กิจการเมอื งมิใชก่ ิจของสงฆ์
๓. ประโยคคาถาม คือ ประโยคท่ีมีใจความเป็นคาถามเพื่อต้องการคาตอบ คาที่เป็นคาถามจะอยู่
ต้นประโยคหรอื ทา้ ยประโยคกไ็ ด้ มักมีคาแสดงคาถาม ใคร อะไร ที่ไหน เม่ือไร ทาไม เชน่
บ้านของคุณอยู่ทไ่ี หน
อะไรอยู่ในตู้
น้องจะกินขนมอันไหน
ปรียาจะกลับจากเชียงใหม่เมอ่ื ไร
๔. ประโยคขอร้อง คือ ประโยคที่มีข้อความแสดงความต้องการให้ช่วยเหลือในลักษณะต่าง ๆ
มักจะมีคาว่า โปรด กรุณา ช่วย วาน อยู่หน้าประโยค และมักจะมีคาว่า หน่อย นะ หรือคารับอยู่ท้ายประโยค
เชน่
โปรดมาน่งั ข้างหน้าใหเ้ ต็มก่อน
ปรีชาช่วยลบกระดานใหค้ รูหนอ่ ย
กรณุ าลงชอ่ื ในแบบฟอรม์ ด้วย
ชว่ ยถือหนงั สอื ไปสง่ อาจารย์ดว้ ยนะ
๕. ประโยคคาส่ัง คือ ประโยคที่บอกให้บุคคลอ่ืนทา หรือไม่ให้ทาส่ิงใดสิ่งหน่ึง มักจะละประธาน
ไว้ เช่น
หา้ มเดินลดั สนาม
อยา่ คุยกันในห้องเรยี น
จงตอบคาถามตอ่ ไปน้ี
ใหต้ อบคาถามตอ่ ไปน้ี
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๑๘๕
๖. ประโยคแสดงความต้องการ คือ ประโยคที่แสดงความอยากได้ อยากมี อยากเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
มกั มคี าว่า อยาก ตอ้ งการ ประสงค์ อยใู่ นประโยค เช่น
พ่อตอ้ งการให้ฉนั เปน็ ทหาร
ฉนั อยากเรียนต่อในระดบั ปริญญาตรี
๗. ประโยคคาดคะเนคือ ประโยคท่ีผู้พูดมีเจตนาแสดงความคาดหมายว่าส่ิงใดจะเกิดข้ึนหรือ
เกดิ ข้ึนแล้ว ในประโยคอาจมีคาชว่ ยกรยิ า คง อาจ ทา่ จะ เหน็ จะ น่ากลวั คาลงท้าย กระมัง ละซิ เช่น
ไพรัชคงไปโรงเรียนแล้ว
ณัฐอาจไม่ไปซื้อของกบั แม่
แดงนา่ กลัวจะไปฮอ่ งกงแลว้
สมศกั ดโ์ิ กรธสมศรีกระมัง
ชมพู่คดิ ว่าถ้าชมพไู่ มแ่ นะ ปกุ๊ ลุกคงนกึ ไม่ออกละซิ
๘. ประโยคขู่ คือ ประโยคท่ีผู้พูดมีเจตนาชักจูงให้ผู้ฟังทาตามด้วยการบอก ผลของการไม่ทาตาม
ไว้ ประโยคอาจมคี าเช่ือม ถ้า หาก ปรากฏอยู่ดว้ ย เชน่
ถา้ เธอไม่เปิดประตู ฉนั จะพังเขา้ ไปเด๋ียวน้ี
หากเธอไม่รว่ มมอื พวกเราจะไม่ใหเ้ ธออยู่ในกลมุ่ ของพวกเราแล้ว
ฉันจะฟ้องพอ่
ลองมาวา่ ฉันซิ
เดีย๋ วโดนตี
๙. ประโยคซักชวน คือ ประโยคที่มีเจตนาชวนให้ผู้ฟังทาตามความคิดของตน อาจมีคาวิเศษณ์
กัน คาลงท้าย นะ เถอะ เถอะนะ เถอะนะ ปรากฏอยดู่ ว้ ย เชน่
เราไปดูละครกนั ดีกวา่
คุณเชอ่ื ผมเถอะ แล้วจะปลอดภยั
เรามาพบั นกสง่ ภาคใต้กนั เถอะ
วันสิ้นปีมากินข้าวบา้ นเรากันนะ
พักกนั เถอะนะ
๑๐. ประโยคเสนอแนะคือ ประโยคท่ีผู้พูดต้องการเสนอแนะข้อคิดเหน็ ให้ ผฟู้ ังปฏิบัติ ในประโยค
อาจมคี ากริยานา ลอง หรือคากรยิ าตาม ดู คาช่วยกรยิ า ควร หรอื คาลงทา้ ยบอกมาลา นะซิ ซ่ิ ซี่ ซี้ เช่น
ลองชิมแกงเขียวหวานไก่ฝมี อื เราดหู นอ่ ยนะ
เราควรอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ ทา่ นจะไดเ้ มตตา
ไปชวนเตยซิ ยังว่างอยู่
คุณลองพดู เพราะๆ กบั เข้าบ้างซ่ิ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๑๘๖
๑๑. ประโยคบอกให้ทราบ คือ ประโยคท่ีผู้พดต้องการบอกกล่าวหรืออธิบายเรื่องต่างๆ ให้ผู้ฟัง
ทราบ และอาจอย่ใู นรูปคาถามกไ็ ด้ เชน่
คุณตาลชอบกินขนมไทยๆ
คณุ ตาลไม่ชอบกินขนมไทยๆ
รไู้ หมว่าเขาไปเมอื งนอกแลว้ นะ
๗.๓ ความหมายของคา
๗.๓.๑ ประเภทของความหมายของคา (สรุ ยิ า รัตนกุล, ๒๕๕๕ : ๘๑ – ๑๐๗) มี ๗ ประเภท ดงั น้ี
๑. ความหมายประจารูปภาษา คือความหมายที่คาและวลีมีอยู่ในตัวของตัวเองโดยไม่จาเป็นต้อง
อ้างอิงไปถึงสิ่งใดส่ิงหนึ่ง เมื่อเราได้ฟังคาน้ันหรือวลีนั้นเราก็เข้าใจความหมายไปเท่าท่ีคานั้นหรือวลีน้ัน
แสดงออก
๒. ความหมายอ้างอิง คือ ความหมายท่ีเช่ือมโยงระหว่างความหมายประจารูปภาษากับส่ิงใดส่ิง
หนึ่งท่ีอยู่ในโลกท่ีมีลักษณะทางกายภาพ ตัวอย่าง คานามวลีว่า เส้ือขาว ท่ีกล่าวมาแล้วก็อาจจะมีความหมาย
อ้างองิ ได้ถ้าหากเราใช้มนั เพอื่ บง่ บอกไปถึงเส้ือตวั ใดตวั หน่ึงเปน็ พเิ ศษ
๓. ความหมายส่ือสาระ หรือ ความหมายบ่งชี้ หรือ ความหมายปริชาน คือ ความหมายตรงที่
พรรณนาส่ิงใดส่ิงหนึ่ง หรือความหมายกลางท่ีรู้กันทั่วไป อีกอย่างหน่ึง ความหมายที่ตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม
ถา้ คาคาหนึง่ มีความหมายได้หลายอย่างความหมายส่ือสารก็มักจะเปน็ ความหมายแรกท่จี ะพบในพจนานุกรม
๔. ความหมายสอดสังคม คือ ความหมายมิได้มีแต่เฉพาะการส่ือสาระจากผู้พูดไปยังผู้ฟังเท่าน้ัน
แต่ยังทาหน้าท่ีอ่ืนอีกมาก ท่ีสาคัญก็คือเป็นเครื่องสอดคล้องร้อยรัดให้คนที่อยู่ในสังคมด้วยกันมีความรู้สึกว่า
เป็นคนในสังคมเดียวกัน ไม่เกิดความรู้สึกแปลกแยกว่าเป็นผู้แปลกหน้า อีกอย่างหน่ึง ความหมายท่ีก่อให้เกิด
ความเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน ความเป็นมิตรหรือความคุ้นเคยกันของผู้พูดและผู้ฟัง เกิดความรู้สึกว่าอยู่ในกลุ่ม
เดียวกัน
๕. ความหมายส่ออารมณ์ คือ การไม่สอื่ ความอย่างตรงไปตรงมา แต่มีการใส่สสี นั ซงึ่ เปน็ การแสดง
อารมณ์เข้าไปเจือปนอยู่ด้วย อารมณ์ท่ีใส่เข้าไปนี้มีท้ังอารมณ์ดูถูกเหยียดหยาม อารมณ์หวาดกลัว อารมณ์
ขยะแขยง อารมณย์ กย่อง อารมณร์ ่ืนเรงิ เบิกบาน ฯลฯ
๖. ความหมายอุปลักษณ์ คือ ความหมายท่ีบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ซึ่งมีอยู่ระหว่างคานั้นกับคน
สัตว์ พืช ส่ิงของ สถานที่ คุณสมบัติ กระบวนการ กิจกรรม ฯลฯ อันใดอันหนึ่ง เหล่านี้เป็นส่ิงท่ีอยู่นอกระบบ
ของภาษา แตภ่ าษาสามารถบง่ ช้ีความหมายของส่ิงท่ีมีอยู่
๗. ความหมายปริลกั ษณ์ คอื ความหมายทีใ่ ช้ตรงกันข้ามกับความหมายอุปลักษณ์ ความหมายปริ
ลักษณ์คือความหมายที่ชวนให้ระลึกถึงซึ่งเป็นข้อมูลเพ่ิมเติมข้ึนมาจากความหมายอุปลักษณ์ ที่สื่อความออกมา
ตามปกติ บางคร้ังความหมายปริลักษณ์ของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับประสบการณ์หรือส่ิงที่ได้ผ่าน
พบ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๑๘๗
๗.๓.๒ ความหมายของคาตามแนวหลักภาษาไทย
วเิ ชียร เกษประทุม (๒๕๕๘ : ๑๕๗ – ๑๖๙) กล่าวไว้วา่ คาวา่ “พ้อง” แปลว่า “เหมือน” ฉะนั้น “คา
พ้อง” จึงหมายถึง คาที่มีลักษณะใดลักษณะหน่ึงเหมือนกันกล่าวคือ อาจเป็นรูปเขียน เสียงอ่าน หรือ
ความหมายก็ได้ คาพ้องในภาษาไทยแบ่งออกเปน็ ๔ ประเภท ดงั นี้
๑. คาพ้องรูปหมายถงึ คาทเี่ ขียนเหมือนกนั แต่อา่ นต่างกัน และมีความหมายตา่ งกนั ดังนี้
คาพ้องรปู อา่ นวา่ ความหมาย
กรอด กรฺ อด ผอมลง เซยี วลง เสยี งกัดฟนั ดังเชน่ นั้น
กะ-หรฺ อด ช่อื นกชนิดหน่ึง
กรี กฺรี กระดูกแหลมที่หัวกุ้ง
กะ-รี ช้าง
กลา่ กลฺ ่า เครอื่ งดักปลา
กะ-หฺลา่ กลอกไปกลอกมา
กาก กาก เศษ เดน ของเหลอื
กา-กะ นกกา
เขมา เข-มา สบายใจ
ขะ-เหมา ชื่อโกศชนิดหนง่ึ ใชเ้ ปน็ เครื่องยาไทย
แขม แขม ไม้ลม้ ลุกทีข่ น้ึ ตามชายนา้ เช่น มีต้นแขมขึ้นอยตู่ ามชายน้า
ขะ-แม คนเขมร
เขดา ขะ-เดา ความรอ้ น
เข-ดา ไมม่ ีความหมาย
ครุ คฺรุ ภาชนะสานชนดิ หนงึ่
คะ-รุ ครู หนัก
จามจุรี จาม-จ-ุ รี ตน้ ไมช้ นดิ หนง่ึ
จาม-มะ-จ-ุ รี เน้ือทราย
ตม ตม โคลน เลน
ตะ-มะ ความมืด ความเขลา
ตนุ ตะ-นุ ตน ฉัน
ตะ-หนุ เตา่ ชนดิ หนง่ึ
ตรุ ตรฺ ุ คกุ ตะราง
ตะ-รุ ตน้ ไม้
ทวิ ทวิ แถวหรือแนวทต่ี ดิ ต่อกนั ยาวยดื
ทิ-วะ วัน สวรรค์
ปถวี ปะ-ถะ-วี พ้นื ดิน
ปะ-ถะ-หวฺ ี ท้ายเรอื พธิ ี
ปรกั ปฺรัก เงิน
ปะ-หฺรกั หกั
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๑๘๘
ปรามาส ปรา-มาด ดูถกู
ปกั เป้า ปะ-รา-มาด การจับต้องลูบคลา
ปาน
ผวิ ปัก-เป้า ว่าวชนิดหนึง่ มหี างยาว
ผอบ ปัก-กะ-เป้า ชอื่ ปลาชนิดหนง่ึ ผิวหนา้ มีหนาม
พวง
พยาธิ ปาน ผิวหนงั ทเี่ ป็นสดี าหรอื แดงท่เี กิดตามร่างกายแต่กาเนิด
พลี ปา-นะ นา้ สาหรบั ด่มื เครอื่ งดม่ื
เพลา
มน ผวิ สว่ นท่ีมีลกั ษณะบาง ๆ หุ้มอยู่นอกสดุ ของหนังหรือเปลอื ก
เวทนา ผิ-วะ หากว่า แมน้ วา่
สมาธิ
สระ ผอบ ไม่มีความหมาย
ผะ-อบ ภาชะสาหรบั ใสข่ อง มีเชงิ ฝาครอบมียอด
สวก
สวง พะ-วง กังวล
สาน พวง กลุ่มของส่ิงที่ห้อยยอ้ ยไปทางเดียวกัน
เสมา
เสลา พะ-ยาด ตวั เชื้อโรคชนิดหน่ึง
พะ-ยา-ทิ ความเจบ็ ไข้
พลฺ ี เสียสละ
พะ-ลี การบชู า
เพลา เบาลง แกนดุมรถหรอื เกวียน ตวั
เพ-ลา เวลา
มน กลม ๆ ไม่มเี หลี่ยม
มะ-นะ ใจ
เว-ทะ-นา ความรู้สึก
เวด-ท-นา สงสารสลดใจ
สะ-หมาด การนัง่ คู้เข่าทัง้ ๒ ข้างใหแ้ บะลงทพ่ี ืน้ แลว้ เอาขาไขวก้ นั ทับฝา่ เทา้
สะ-มา-ทิ การกาหนดจติ ไปอยกู่ บั อารมณ์ใดอารมณห์ นง่ึ
สะ บ่อ ล้าง ชาระ
สะ-ระ เสยี ง
สะ-หระ ตวั อักษรทไี่ ม่ใช่พยัญชนะ
สวก มีเนือ้ ไมแ่ นน่ และไมซ่ ยุ
สะ-หวก สวิงขนาดเล็กสาหรับดักปลา
สวง ในคาวา่ บวงสวง ปัจจบุ ันใชว้ า่ “บวงสรวง” หมายถงึ บูชาเทวดา
สวง ในคาว่า สวงเส ปัจจบุ นั ใชว้ ่า สรวงเส หมายถึง บชู า
สาน ใชต้ อกหรือส่งิ อืน่ ขัดกันใหเ้ ป็นลวดลาย
สา-นะ สุนัข
เส-มา รูปเคร่ืองหมายคล้ายใบโพธิใ์ ช้บอกเขตพระอุโบสถ
สะ-เหมา หญา้
เส-ลา เขา หนิ
สะ-เหลา สวย งาม เปลา ช่อื ตน้ ไม้ชนดิ หน่ึง
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๑๘๙
เสว สะ-เว ในคาวา่ วนั เสว หมายถึง วันพรุ่ง
เส-วะ ในคาว่า เสวกา หมายถงึ ขา้ ราชการในราชสานัก
โสน สะ-โหน ช่ือไม้พุ่มใบเล็กคลา้ ยใบมะขามดอกสเี หลอื งกินได้
โสน ในคาวา่ คลองโสน ซ่งึ เปน็ ชอ่ื เฉพาะ
แหน แหน หวง ล้อม เฝา้
แหน พชื ชนิดหนงึ่ ลอยอยู่ในนา้
เหลา เหลา ภตั ตาคาร
เห-ลา ความสนุก การหยอกเอนิ
เหง เหง ข่มเหงรงั แก โดยการใชก้ าลังหรอื อานาจทาให้เดือดร้อน
เหง ชื่อเฉพาะในคาว่า จนี เหง
แหง ชื่อเฉพาะในคาว่า คาแหง หมายถึง กล้าแข็ง
แหง อาการของหน้าทแี่ สดงความเกอ้ หรือจนปัญญา
โหง โหง กระดกข้ึน ยกข้นึ
โหง ชอื่ เฉพาะในคาว่า ยิโหง
หมายเหตุ การอ่านคาพ้องรูป ต้องสังเกตคาแวดล้อม ที่ประกอบอยู่ข้างหน้าหรือข้างหลัง และความหมายท่ี
ปรากฏอย่ใู นประโยค
พระยาศรีสนุ ทรโวหาร [นอ้ ย อาจารยางกรู] (๒๕๐๘ : ๑๕๓) ได้นาคาพ้องรูปมาแต่งเปน็ คาประพันธ์
กลอนสุภาพไว้ในหนงั สอื ปกีระณาพจนาดถ์ วา่ ดังน้ี
หนังสือไทย ทท่ี า่ นใช้ นัน้ มมี าก คาหลากหลาย เลาเลศ ลว้ นเหตผุ ล
แมน้ ไม่ได้ ศกึ ษา ก็ท่าจน อุตส่าห์ ขวนขวายรู้ เชน่ ภรู ี
กระบวนหนง่ึ ตวั เขยี น ไมเ่ ปลย่ี นแปลก แต่อ่านแยก สองความ ตามวถิ ี
วัดเขมา โกฏิเขมาเพลากม็ ี แตท่ ี่นี่ ไปถงึ ป่า เพลาเย็น
ท่รี มิ เชงิ เสลา ภูผาใหญ่ ล้วนกอไผ่ ลาสลา้ ง เสลาเหน็
หดั โบกปูน ใบเสมา กวา่ จะเป็น หน้าโฮเตล็ ปลกู เสมา ดเู พลาตา
ใครไปตัด ตน้ โสน ท่ีคลองโสน ตดั จนโกร๋น เห้ยี นหกั เอาหนักหนา
ปแู สม แลเขดา เขดาระงา เป็นวาจา สองเงอ่ื น อย่าเฟือนทาง
จีนยิโหง โผเ่ ลน่ กระเด็นโหง เสยี งดังโผง ฟาดปงึ ดงั ผงึ ผาง
ทด่ี งแขม เมืองแขม แลดบู าง ท้องตราวาง เมอื งแขม แปลสาเนา
ใครคมุ เหง จีนเหง จนเซซวด อ้ายจนี ฮวด มนั เก่ง คมุ เหงเขา
อยา่ หวงแหน จอกแหน ใหแ้ กเ่ รา พอลมเพลา ก็เพลา ลงสายัณห์
วันเสว เสวกา จะพรอ้ มอยา่ พวง หลงล้อม พวงปะหนัน
ทบ่ี วงสวง สวงเส ทา้ วเทวัญ ดนู า่ พิศวงครัน นกึ หวั่นแด
คนข่ีมา้ บา่ วพระยา รามคาแหง ชอ่ื อ้ายแดง ตกม้า ทาหนา้ แหง
ผอบกับ ผอบทอง เปน็ สองแคว อา่ นจงแล ดคู วาม ตามทานอง
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๑๙๐
๒. คาพ้องเสยี ง หมายถึง คาที่เขยี นตา่ งกนั แต่อา่ นออกเสียงเหมอื นกัน ดังนี้
คาพ้องเสียง ความหมาย
กฎ ขอ้ กาหนด เช่น กฎของลูกเสือสามัญมี ๓ ข้อ
กด บงั คบั ลง ขม่ เช่น เขาเอามือกดหวั ฉนั ไว้
กรรณ หู เช่น พระกรรณหมายถงึ หู
กณั ฐ์ คอ เชน่ ทศกณั ฐ์ มี ๑๐ คอ
กัน กัน้ ห้าม โกนให้เสมอกนั เชน่ ช่างตัดผมกาลังกนั ผม
กลั ป์ ระยะเวลานานมาก เชน่ จงรกั กันช่ัวกัปชัว่ กลั ป์
การ งาน ส่งิ หรอื เรอ่ื งทที่ าขึ้น เช่น เวลาทาการของบริษัทเร่ิมต้ังแต่ ๘.๐๐ น.
การณ์ เหตุ เค้า มูล เช่น วนั นเี้ กิดเหตุการณ์ทน่ี า่ ตื่นเต้นขนึ้
กาล เวลา เชน่ กาลเวลามคี ่า เราจงึ ต้องตรงต่อเวลา
กาฬ ดา เชน่ เขาเปน็ ไข้กาฬ
กาน ตัดเพ่ือให้แตกใหม่ เช่น พ่อกานต้นมะม่วงในสวน
กานต์ เป็นที่รกั เชน่ จันทรกานต์ แปลว่าเป็นทร่ี กั ของพระจันทร์
กานท์ บทกลอน เช่น นักเรยี นควรหัดแตง่ กลอนกานท์เข้าไวบ้ า้ ง
กรรม การกระทา การงาน บาป เช่น คนไทยเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม
กา ทาน้ิวมือใหง้ อจดอุ้งมือ ซ่ีลอ้ รถเหมอื นเกวยี น เช่น ใหน้ กั เรียนทกุ คนกามือไว้
เกด ช่อื ต้นไม้ชนดิ หน่ึง เช่น คณุ ปู่กาลงั ปลูกตน้ เกตในสวน
เกตุ ธง ชือ่ ดาวพระเคราะหด์ วงหน่ึง เช่น ดาวพระเกตุเป็นดาวอยูใ่ นระบบสรุ ิยะ
เกศ ผม หวั เชน่ พระเกศดาเปน็ มันวาว
ข้ัว สว่ นที่ต่อจากก้านของดอกไม้ ใบไม้ ผลไม้ และอ่ืน ๆ เชน่ ฉนั สอยฝรง่ั ท่ีข้ัวผล
คั่ว เอาสิง่ ของใส่กระทะตง้ั ไฟให้ร้อนแลว้ คนไปจนสุกหรือเกรียม เชน่ แม่กาลงั ค่วั พริก
จัน ช่อื ตน้ ไม้ ผลสุกสีเหลอื ง เช่น นอ้ งชอบกนิ ลกู จนั สกุ
จันทร์ ดวงเดือน เชน่ วันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง
จนั ทน์ ชื่อพรรณไม้บางชนิดท่มี ีเนื้อไม้ ดอก หรือผลหอม เช่น ไม้จันทน์มกี ลิ่นหอม
โจทก์ ผู้กลา่ วหา ผู้ฟ้องความในศาล เช่น โจทกก์ ลา่ วหาจาเลยหลายอย่าง
โจทย์ คาถามในการคิดเลข เช่น ก่อนทาควรอา่ นโจทยใ์ ห้เข้าใจเสียก่อน
โจษ พูดกันเซ็งแซ่ เล่าลอื เช่น เรื่องนีม้ ผี ู้คนโจษกนั ท่วั เมอื ง
ชน ปะทะ กระทบ บรรจบ เชน่ เขาขบั รถไปชนต้นไม้
ชนม์ การเกดิ เชน่ พระเจา้ แผ่นดนิ ไดส้ นิ้ พระชนมล์ ง
ชล น้า เช่น สายชลไหลเชี่ยวเปน็ เกลียวคลน่ื
ชยั การชนะ เชน่ ขอให้มีชยั ในการแขง่ ขัน
ไช เจาะเขา้ ไป เชน่ หนอนไชใบไมจ้ นทะลุ
โชก เปียกมาก ชุ่มมาก เชน่ เขาถูกสาดน้าเปยี กโชกไปทงั้ ตวั
โชค ส่ิงท่ีนาผลมาใหโ้ ดยคาดหมายไดย้ าก เช่น คุณแมโ่ ชคดีถูกลอตเตอรร่ีรางวลั ท่ี ๑
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๑๙๑
๓. คาพ้องความ หมายถึง คาท่ีเขียนต่างกัน แต่มีความหมายเหมือนกันหรือใกล้เคียงกันมาก อาจ
เรียกวา่ “คาไวพจน์” ก็ได้ ดงั นี้
ความหมาย คาพ้องความ หรือ คาไวพจน์
ดวงอาทติ ย์ ตะวนั สุริยะ สรุ ยิ า สรุ ยิ ัน สุรยี ์ ทินกร ไถง รพี รวี อาภากร ทพิ ากร ภานุ ภาณุมาศ ทวิ ากร
รงั สิมารังสิมันต์ุ
นา้ ชล วารี อทุ ก
ป่า วนา พนา พนาลี พนาวัน พนาดร ไพร พนาสณั ฑ์ ไพรสัณฑ์ พนาสณฑ์ อรัญ พนสั
ฝน พรรษ พริ ณุ วัสสะ
ไฟ เพลงิ อัคคี อคั นี
ท้องฟ้า นภา นภดล เวหา เวหน ทฆิ ัมพร อัมพร คคนัมพร คคนางค์ คคนานต์ โพยม
ภเู ขา ดอย บรรพต สงิ ขร พนม ไศล คีรี ศงิ ขรี ศิขริน
ลม มารุต วาตะ วาโย วายุ
ผหู้ ญงิ กัลยา กัลยาณี กานดา นงคราญ นงนุช นงพะงา นงพาล บังอร พธู วนิดา นงโพธ นงเยาว์
นงราม นงลกั ษณ์ ยุพนิ เยาวมาลย์ นารี สมร สดุ า สตรี
ดอกไม้ ผกา ผบู บปุ ผา มาลา มาลี มาลย์ บุหงา บหุ งัน บษุ บา บุษบัน บษุ บง โกสุม กสุ ุมา
มา้ พาชี มโนมยั อัสดร อัศวะ อาชา แสะ ดุรงค์ สนิ ธพ หยั
เมือง พารา ธานี นคร บรุ ี ธานนิ ทร์
ยินดี ปรีดา เปรมปรดี ิ์ ปีติ ปลาบปลื้ม ภริ มย์
ไป จร จรจรัล จรลี ครรไล คลาไคล
ดวงจันทร์ แข โสม ศศิ ศศิธร ศศนิ ศศี บหุ ลนั แถง นศิ ากร เดือน ดวงเดอื น รัชนกี ร รตั ติกร จนั ทรา
มนทกานติ พระจันทร์
สวย งาม วไิ ล ละไม อาไพ โสภา พร้ิงเพรศิ วิลาส วลิ าวัลย์ อะเคอ้ื
มาก อนนั ต์ อเนก อักโข ดาษดา ดาษดนื่ ดารดาษ
ใจ ฤดี ฤทัย หทัย จิต มโน กมล
ต้นไม้ พฤกษ์ พฤกษา พฤกษาชาติ รุกข์ รุกขา รุกขชาติ ตรุ
ชา้ ง คช คชา คเชนทร์ คชสาร สาร ไอยรา ดารี ดาไร กญุ ชร หตั ถี หสั ดินทร์ กรี กริน
เทวดา เทพ เทพดา เทพบุตร เทพยเจา้ เทพยดา เทวา
พระอนิ ทร์ มหนิ ท์ โกสยี ์ ตรีเนตร ท้าวพันตา มัฆวาน ป่นิ ฟ้า อมรนิ ทร์ มเหนทร์ เทพบดี สหสั นยั น์
ควาย มหิงสา มหิงส์ กาสร กระบือ
ววั พฤษภ อุสภ อสุ ุภ โค งัว คาวี
นก วหิ ค สกุณา สกุณี สุโนก ปักษา ปักษี บุหรง
ลิง วานร กระบ่ี พานรินทร์ กบิล พานเรศ
ดวงดาว ดารา ดารกะ ดารากร
พระมหากษตั ริย์ พระราชา พระราชนั พระเจา้ แผ่นดนิ พระทรงศรี พระภูมี พระภูวดล นฤเทพ นฤบดี
นฤบาล นฤเบศ บดนิ ทร์ ขตั ติยะ มหิศร มหศิ วร มเหศวร นฤบดี นฤบาล มหบิ ดี มหิธร
หมา สุนัข สุวาน สาน
หมู สกุ ร วราหะ จรกุ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๑๙๒
ความหมาย คาพ้องความ หรือ คาไวพจน์
ปลา มจั ฉา มัศยา มีน
พื้นดนิ พสธุ า ธรณี ธรา ปถพี ปัถพี ธราดล ธรณิน วสมุ ดี
ทอง สวุ รรณ เหม กนก มาศ กาญจน์
แม่นา้ , ทะเล คงคา นที สาคร ชลาลัย ชลาศยั ชลาสินธุ์ ชโลธร สนิ ธ์ุ สนิ ธุ สินธู ชลธี ชลธาร สมทุ ร
ยักษ์ มาร กมุ ภณั ฑ์ อสรู ยักษา ยกั ษี ราพณ์ อสรุ า อสุรี
จระเข้ กุมภีล์ สุงสุมาร สงุ สุมารี
ตาย มรณา อาสัญ วายปราณ บรรลยั ลาญ สิน้ สิน้ ใจ สน้ิ ชีพ สิ้นลมปราณ สน้ิ อายุขัย สน้ิ ชอ่ื
สิน้ สังขาร ส้ินชวี ติ สน้ิ ลม มว้ ยชวี ี มว้ ยมรณ์
ไพร่พล โยธา โยธี เสนา เสนี พลไกร พลขัณฑ์ พลากร
ดอกบัว โกมทุ ปทุม ปทุมา บงกช บษุ กร อรพินท์ ปัทมา กมล จงกล สตั ตบรรณ สตั ตบุษย์ ลินจง
อุบล สาโรช โกเมศ
โกรธ โมโห พิโรธ กรวิ้
พ่อ บดิ า ชนก บดิ ร บติ รุ งค์ ปิตุ
แม่ มารดา ชนนี มารดร มาตรุ งค์ มดาย
มอื กร หัตถ์
หัว ศีรษะ เศยี ร กบาล
ชีวติ ชีพ ชวี ี ชีวา ชีวาตม์ ชีวนั ชีวาลยั
คน ชน มนษุ ย์ นรชาติ
เพ่อื น เกลอ มติ ร สหาย
งู นาคา นาคี นาเคนทร์ นาคินทร์ อรุ คะ
๔. คาพ้องรูปพ้องเสียง หมายถึง คาที่เขียนเหมือนกัน และออกเสียงเหมือนกัน แต่มีความหมาย
ต่างกัน เช่น
กนั ๑ หมายถงึ คาท่ีใชแ้ ทนผู้พดู เพศชาย พดู กบั ผูเ้ สมอหรือผนู้ อ้ ยในทานองกนั เอง
เช่น วันนี้กนั ไมไ่ ปด้วยนะ
กัน ๒ หมายถึง คาที่ประกอบท้ายกริยาของกระทาตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไปแสดงการกระทารว่ มกัน
เชน่ พวงเราจงมาปรึกษาหารือกนั
กัน ๓ หมายถึง กีดขวางไว้ไมใ่ ห้เข้าไปหรอื ออกไปหรือไมใ่ ห้เกิดมีขึ้น
เช่น จงกนั เขาอยา่ ใหเ้ ขา้ มาพบฉัน
กนั ๔ หมายถึง โกนใหเ้ ป็นเขตเสมอกัน เช่น เขากนั ค้ิวใหฉ้ นั
ฉัน ๑ หมายถงึ คาที่ใชแ้ ทนผู้พูด พูดกับผู้เสมอหรือผู้ใหญพ่ ูดกับผู้น้อย เช่น ฉนั มาโรงเรยี นทกุ วัน
ฉนั ๒ หมายถงึ กิน (ใชแ้ กภ่ กิ ษุสามเณร) เชน่ พระสงฆก์ าลงั ฉนั อาหาร
ฉนั ๓ หมายถึง เช่น อย่าง เชน่ จงอยู่ด้วยกนั ฉนั ญาตพิ ่ีน้อง
มัน ๑ หมายถงึ ช่ือเรียกไม้เถาหรือต้นไมท้ ่ใี ชห้ ัวเป็นอาหารได้
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๑๙๓
เชน่ เขาไปขุดเผือกขุดมันมากินต่างข้าว
มนั ๒ หมายถงึ เนอื้ เยอ่ื เกี่ยวพันชนิดหนงึ่ ในคน สตั ว์ มีลักษณะนุ่ม ๆ หยุ่น ๆ มไี ขมันอยู่ในตัว
เชน่ แม่ชอบกินมนั หมู
มัน ๓ หมายถึง คาทีเ่ ราใชแ้ ทนผู้ทเี่ ราพูดถึง สาหรบั ผใู้ หญเ่ รยี กสนุ ัขและสาหรับเรยี กสตั ว์
เช่น สนุ ัขมันชอบไลก่ ัดแมว
มนั ๔ หมายถงึ เพลนิ ถูกอกถูกใจ เช่น มวยคูน่ ช้ี กกันมันเหลอื เกิน
มัน ๕ หมายถงึ มีรสอย่างรสกะทิหรืออยา่ งถ่ัวลสิ งคว่ั เปน็ เงา
เชน่ ขนมน้มี รี สหวานมนั เหง่ือออกหนา้ เป็นมนั
ขดั ๑ หมายถงึ ให้ตดิ ขวางไวไ้ มใ่ ห้หลุดออก เช่น อยา่ ลืมขดั กระดุมเส้อื
ขดั ๒ หมายถึง ไม่ทาตาม ฝ่าฝนื เชน่ การขัดคาสงั่ ผ้บู ังคับบญั ชา
ขัด ๓ หมายถงึ ถใู หเ้ กลีย้ ง ถูให้ข้ึนเงา เช่น คนงานใช้แปรงขดั พนื้
ขดั ๔ หมายถงึ ไมค่ ล่อง ไม่เป็นปกติ เชน่ ฉนั ถา่ ยปสั สาวะขัด
กา ๑ หมายถึง ชื่อนกตวั ดา ร้องกา ๆ เชน่ กาออกหากินแตเ่ ชา้ มืด
กา ๒ หมายถงึ ภาชนะสาหรบั ใสน่ า้ หรอื ตม้ นา้ มีพวยและหสู าหรบั ห้วิ หรือจบั
เชน่ นเ่ี ธอชว่ ยยกกานา้ ชามาให้ฉนั หนอ่ ย
กา ๓ หมายถึง ทาเครือ่ งหมายเปน็ รูปกากบาท เช่น โปรดกาเครอ่ื งหมายลงช่องท่ีกาหนด
เขา ๑ หมายถงึ เนินทนี่ นู สูงข้นึ เปน็ จ่อมเดน่ เชน่ ลงุ บุญปลกู บา้ นอย่บู นเนนิ เขา
เขา ๒ หมายถึง สงิ่ ทงี่ อกออกมาจากหวั สัตว์บางพวก มีลักษณะแข็ง
เชน่ วัวควายเปน็ สัตว์สเ่ี ทา้ ที่มีเขา
เขา ๓ หมายถงึ ช่ือนกชนดิ หน่งึ เช่น นายพรานไปจับนกเขาชวามาเลี้ยง
เขา ๔ หมายถึง คาท่ใี ช้แทนผู้ที่เราพูดถึง เชน่ วันนก้ี ฤษณะเขาไม่มาโรงเรยี น
๗.๓.๓ การเปล่ยี นแปลงทางความหมายของคา
สุนันท์ อัญชลีนุกูล (๒๕๖๓ : ๒๐๗ – ๒๐๙) ความหมายของคาอาจมีการเปล่ียนไปในลักษณะต่าง ๆ
เช่น ความหมายอาจแคบเข้า กว้างออก หรอื ยา้ ยที่ คาในภาษาไทยก็เช่นเดียวกันมีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะ
ดงั กลา่ วจะเหน็ ได้ชัดเจนโดยเฉพาะอยา่ งย่ิงในคาต่างประเทศทนี่ ามาใชใ้ นภาษาไทย ดงั น้ี
๑. ความหมายแคบเข้า เป็นการเลือกใช้ความหมายบางความหมาย เชน่
คา ความหมายเดมิ ไทยใช้ความหมาย
วาสนา ธรรมชาต,ิ เครอื่ งอบรมความแตง่ บุญบารมีกศุ ลทีท่ าให้ได้ลาภยศ
วิบาก ผลอนั สกุ วเิ ศษ ผลแห่งกรรมดกี รรมชวั่ ที่ทาไวแ้ ต่ปางก่อน
อนงค์ ชือ่ กามเทพของชาวฮนิ ดู ไมม่ ตี ัวตน นางงาม นางงาม
Boy เด็กชาย บรกิ รชาย เพือ่ นยาก บ๋อย หมายถึง บรกิ รชาย
Cook คนครวั ปรงุ อาหาร หุงต้ม กกุ๊ หมายถึง พอ่ ครัว
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๑๙๔
๒. ความหมายกว้างออก เป็นการนาคามาใช้ในความหมายที่กว้างกว่าเดิม เชน่
คา ความหมายเดิม ไทยใช้ความหมาย
กมล ดอกบวั ดอกบวั ใจ
คงคา ชอ่ื แมน่ ้าคงคา นา้ แมน่ า้
รักษา ปอ้ งกนั ดูแล ปอ้ งกนั ดูแล เยียวยา
เวที แท่นที่วางเครอ่ื งสักการะบชู า ยกพ้นื สาหรับการแสดงต่าง ๆ
Bungalow บ้านชั้นเดียว บงั กะโลบา้ นพกั ตากอากาศ
คา ๓. ความหมายย้ายท่ี เชน่ ไทยใชค้ วามหมาย
ดัสกร ข้าศกึ
ปรมานุ ความหมายเดิม ปรมาณู สว่ นของสารท่มี ีขนาดเลก็ ท่สี ดุ
อิจฉา ขโมย โจร ไม่อยากใหผ้ อู้ ื่นไดด้ ี
อาสา นอ้ ยยง่ิ รับทาโดยเตม็ ใจ
cocktail ความปรารถนา งานเลี้ยงประเภทหน่ึง
partner ความหวัง ความปรารถนา หญงิ คเู่ ตน้ รา
เครอ่ื งด่มื ทีผ่ สมจากสุราตา่ ง ๆ
ผู้มสี ่วนรว่ มในกิจกรรมต่าง ๆ
สรุปการจาแนกคาในภาษาไทยตามความหมายของคาทั้งแนวหลักภาษาไทยและแนวภาษาศาสตร์
ยอ่ มพิจารณาดา้ นความหมายตรง ความหมายแฝงของคาเหมือนกัน สว่ นทีต่ ่างกนั คอื การแบ่งคาภาษาไทยตาม
ความหมายของคาแนวหลักภาษาไทยมักพิจารณาด้านคาพ้องชนิดต่าง ๆ ซึ่งเป็นลักษณะเด่น ของคาใน
ภาษาไทย แต่การจาแนกคาภาษาไทยตามความหมายของคาแนวภาษาศาสตร์มักพิจารณาท้ังหน่วย
ความหมายย่อยและดา้ นปรบิ ทหรอื ขอ้ ความแวดลอ้ มของคานั้น ๆ
สรุปท้ายบท
วลี คือ คาที่ประกอบกันต้ังแต่ ๒ คาขึ้นไปมารวมกัน มีใจความไม่สมบูรณ์หรือไม่สามารถส่ือ
ความหมายไดช้ ัดเจน และเปน็ เพยี งส่วนหนึ่งสว่ นใดของประโยคเท่านั้น เชน่ ประธาน กริยา กรรม เปน็ ต้น
ประเภทของวลีในภาษาไทย แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ตามลักษณะการศึกษา ดังน้ี ๑) วลี ตามแนว
หลักภาษาเดิม มี ๗ ชนิด ได้แก่ นามวลี สรรพนามวลี กริยาวลี วิเศษณ์วลี บุพบทวลี สันธานวลี อุทานวลี ๒)
วลี ตามแนวภาษาศาสตร์ นักภาษาศาสตร์มีแนวคิดท่ีแตกต่างกัน ซึ่งสามารถสรุปตามแนวคิดได้ ๒ กลุ่มใหญ่
คือ กลุ่มท่ี ๑ วลี ตามแนวภาษาศาสตร์ มี ๕ ชนดิ ได้แก่ นามวลี กริยาวลี วิเศษณ์วลี สถานวลี กาลวลี กลมุ่ ท่ี
๒ วลี ตามแนวภาษาศาสตร์ มี ๖ ชนดิ ได้แก่ นามวลี ปรมิ าณวลี กริยาวลี บุพบทวลี วิเศษณว์ ลี วลีซอ้ นวลี
ประโยค หมายถึง คาหรือกล่มุ คาท่ีนามาจัดวางตามโครงสร้างของประโยคมีประธาน กริยา กรรม ซ่ึง
มีความหมายครบถ้วนสมบูรณ์
ชนิดของประโยค มี ๓ ชนิด ได้แก่ ประโยคความเดียว ประโยคความรวมและประความซอ้ น ดงั น้ี
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๑๙๕
๑) ประโยคความเดียว หรือ ประโยคพื้นฐาน หรือ ประโยคสามัญ คือประโยคที่มุ่งกล่าวถึงส่ิงใด
ส่ิงหน่ึงเพียงส่ิงเดียว และส่ิงน้ันแสดงกิริยาอาการหรืออยู่ในสภาพอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว อีกอย่าง
หน่ึง ประโยคท่ีประกอบด้วยนามวลีซึ่งทาหน้าที่ประธานและกริยาวลีซ่ึงทาหน้าท่ีเป็นภาคแสดง ไม่มีอนุ
ประโยคเป็นส่วนขยาย ซ่งึ มี ๒ ประเภท คือ ประโยคความเดียวมกี ริยาวลีเดียว และประโยคความเดียวมีหลาย
กริยาวลี
๒) ประโยคความรวม หรือ ประโยครวม หรือ อเนกกรรถประโยค คือ ประโยคท่ีมีประโยคความ
เดียวต้ังแต่ ๒ ประโยคขึ้นไปมารวมกัน โดยมีคาสันธานเชื่อมประโยค ได้แก่คาว่า และ และก็ แต่ ทว่า แต่ทว่า
หรือไม่...ก็ ฯลฯ ทาหน้าที่เช่ือมประโยคทั้ง ๒ ประโยคน้ันเข้าเป็นประโยคเดียวกนั เพื่อให้ได้ใจความติดต่อกัน
เปน็ ประโยคเดียว ถา้ ประธานหรอื กริยาของประโยคเปน็ คาเดยี วกนั ก็อาจละสันธานได้
๓) ประโยความซ้อน หรือ สังกรประโยค คือ ประโยคที่เกิดจากประโยคตั้งแต่ ๒ ประโยค ข้ึนไป
มารวมกัน โดยท่ีประโยคหนงึ่ ทาหนา้ ท่ีขยายส่วนใดสว่ นหนึ่งของอกี ประโยคหนึ่งหรอื ทาหน้าท่ีเป็นส่วนใดส่วน
หน่ึงของอีกประโยค ทั้งนี้ ประโยคที่มีส่วนประกอบประโยคหลักหรือมุขยประโยคเหมือนประโยคสามัญ คือ
นามวลีและกรยิ าวลี แต่ทง้ั นามวลีและกริยาวลีอย่างใดอย่างหน่ึงหรือท้ังสองอย่างต้องมีส่วนขยายเป็นประโยค
ทเี่ รยี กว่าอนปุ ระโยค
รูปประโยคในภาษาไทย มี ๑๑ ชนิด ได้แก่ ประโยคบอกเล่า ประโยคปฏิเสธ ประโยคคาถาม
ประโยคขอร้อง ประโยคคาส่ัง ประโยคแสดงความต้องการ ประโยคคาดคะเน ประโยคขู่ ประโยคชักชวน
ประโยคเสนอแนะ และประโยคบอกให้ทราบ
ความหมายของคา มี ๗ ประเภท ได้แก่ ๑) ความหมายประจารูปภาษา ๒)ความหมายอ้างอิง ๓)
ความหมายสือ่ สาระ หรือ ความหมายบ่งชี้ หรือ ความหมายปริชาน ๔) ความหมายสอดสังคม ๕) ความหมาย
ส่ออารมณ์ ๖) ความหมายอปุ ลกั ษณ์ ๗) ความหมายปริลกั ษณ์ ซึง่ สามารถแบง่ ได้ ๒ ประเภท ดังนี้
๑) ความหมายของคาตามแนวหลักภาษาไทย คอื คา “พ้อง” แปลว่า “เหมือน” ฉะน้ัน “คาพ้อง” จึง
หมายถงึ คาท่มี ีลกั ษณะใดลักษณะหนึ่งเหมือนกนั กล่าวคือ อาจเป็นรูปเขียน เสยี งอ่าน หรอื ความหมายก็ได้ คา
พ้องในภาษาไทยแบ่งออกเป็น ๔ ประเภท ดังน้ี ๑. คาพ้องรูปหมายถึง คาที่เขียนเหมือนกัน แต่อ่านต่างกัน
และมีความหมายต่างกัน ๒. คาพ้องเสียง หมายถึง คาท่ีเขียนต่างกัน แต่อ่านออกเสียงเหมือนกัน ๓. คาพ้อง
ความ หมายถึง คาท่ีเขียนต่างกัน แตม่ ีความหมายเหมอื นกนั หรือใกล้เคียงกนั มาก อาจเรยี กว่า “คาไวพจน์” ก็
ได้ ๔. คาพ้องรูปพอ้ งเสียง หมายถงึ คาท่เี ขยี นเหมอื นกัน และออกเสยี งเหมือนกัน แต่มคี วามหมายตา่ งกนั
๒) การเปลี่ยนแปลงทางความหมายของคา คือ ความหมายของคาอาจมีการเปลย่ี นไปในลักษณะต่าง
ๆ เช่น ความหมายอาจแคบเข้า กว้างออก หรือย้ายท่ี คาในภาษาไทยก็เช่นเดียวกันมีการเปลี่ยนแปลงใน
ลักษณะดังกลา่ วจะเหน็ ไดช้ ดั เจนโดยเฉพาะอยา่ งย่ิงในคาต่างประเทศท่ีนามาใชใ้ นภาษาไทย
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง