๔๗
๑.๑ สระหน้า เกิดจากขณะออกเสยี งเมื่อลมผา่ นเข้ามาสชู่ ่องปากแลว้ ริมฝีปากแผ่ยกล้ินส่วนหน้า
ไปใกลเ้ พดานแข็งแต่ไม่ใกล้มากนักในระดับสูง ระดับก่ึงสูง และระดบั กึ่งตา่ หากออกเสียงส้นั จะไดเ้ สียงสระ ๓
หน่วยเสียง และออกเสียงยาวจะได้เสียงสระ ๓ หน่วยเสียง รวมเป็น ๖ หน่วยเสียง ดังตารางภาพหน่วยเสียง
สระหน้าตอ่ ไปนี้
เสียงสระ สว่ นของลิ้น ระดับลนิ้ ออกเสียง ริมฝีปาก
หนา้ สูง ส้ัน รี
/i/ ก่งึ สูง ยาว
/i:/ ก่ึงตา่ สน้ั
/e/ ยาว
/e:/ ส้นั
/ɛ/ ยาว
/ɛ:/
จากตารางภาพหน่วยเสยี งสระหน้า มรี ายละเอียดดังนี้
หน่วยเสียงสระ /i/ เป็นหน่วยเสียงสระหน้า สูง สัน้ ริมฝีปากรี มกั จะออกเสียงอยา่ งไม่เน้นอวยั วะ
ที่ใช้ออกเสียง ในภาษาไทยเขียนด้วยรูปสระ -ิ หน่วยเสียงน้ีปรากฏกับหน่วยเสียงพยัญชนะต้นได้ทุกหน่วย
นอกจากหน่วยเสียงพยัญชนะควบ /kw/ และปรากฏกับหน่วยเสียงพยัญชนะท้ายได้ทุกหน่วยเสียง ยกเว้น
หน่วยเสยี ง /j/ ตัวอยา่ งคาเชน่ ติ ตริ ปริ กนิ อิ่ม ร้ิว กรง่ิ กล่ิน ปิด หงกิ ดิบ หยบิ ขริบ ปลดิ ขวดิ ขลบิ ฯลฯ
หน่วยเสยี งสระ /i:/ เป็นหนว่ ยเสียงสระหน้า สูง ยาว ริมฝีปากรี มักจะออกเสียงด้วยอวัยวะท่ีเน้น
มากกว่าสระสั้น ในภาษาไทยเขียนด้วยรูปสระ -ี หน่วยเสยี งน้ปี รากฏกับหน่วยเสียงพยัญชนะต้นได้ทุกหน่วย
ยกเวน้ หนว่ ยเสยี งพยัญชนะต้นควบ /kw/ /khw/ ส่วนที่เกิดกบั หน่วยเสยี ง /phr/ มีแต่ในคาสองพยางค์ซง่ึ เป็น
ช่ือเฉพาะคาหน่ึง และปรากฏในพยางค์ที่ไม่มีพยัญชนะท้ายหรือมีพยัญชนะท้าย /p t k m n/ เท่านั้น หน่วย
เสียงพยัญชนะท้าย /? j w ŋ/ ไม่ปรากฏว่าตามสระอีเลย ตัวอย่างคาเชน่ ปีน ตีบ กีด อีก พี่ บีบ หลีก รีด หยี
หวี ปร่ี ตรี กรดี ครีบ กลีบ ฯลฯ
หน่วยเสียงสระ /e/ เป็นหน่วยเสียงสระหน้า กึ่งสูง ส้ัน ริมฝีปากรี ในภาษาไทยเขียนด้วยรูปสระ
เ-ะ, เ-, เ-็ หน่วยเสียงสระนี้ปรากฏกับพยัญชนะต้นได้ทุกหน่วย ไม่พบหน่วยเสียงนี้เกิดกับหน่วยเสียง /phr/
/kw/ /khw/ และเกิดกับหน่วยเสียงพยัญชนะท้ายได้ทุกหน่วย ยกเว้น /j/ ตัวอย่างคาเช่น เป็ด เตะ เจ็บ เก็บ
เอว เง็ง เผ็ด เท็จ เช็ด เข็ม เบง่ เด็ด เม่น เหน็บ เล็ก เร็ว เฟะ เส้น เหน็ เว้น เยน็ เปร็ง เตร็ด เกร็ง เคร่ง เปล่ง
เผละ เกล็ด เคลน้ เป็นต้น
หน่วยเสยี งสระ /e:/ เปน็ หน่วยเสียงสระหนา้ ก่ึงสงู ยาว ริมฝีปากรี ในภาษาไทยเขียนด้วยรูปสระ
เ- หน่วยเสียงสระน้ีปรากฏกับหน่วยเสียงพยัญชนะต้นได้ทุกหน่วย ยกเว้นหน่วยเสียง /f/ และหน่วยเสียง
พยัญชนะควบ /kl/ /kw/ ส่วนท่ีเกิดกับหน่วยเสียงพยัญชนะต้น /t/ มีแต่ในคาสองพยางค์ หน่วยเสียง
พยัญชนะท้าย /?/ /j/ ไม่ปรากฏกับหน่วยเสียงสระน้ี นอกจากสองหน่วยนี้แลว้ หนว่ ยเสียงพยัญชนะท้ายอ่ืน ๆ
ตามหน่วยเสยี งสระนีไ้ ดท้ ้ังหมด ตัวอย่างคาเช่น เป้ง โตงเตง เจน เกก เอม เผง เทพ เฉก เข เบน เดน เมฆ เณร
เงก เลว เร่ เซ เวน เย้ เปรม เพรง เตร่ เกรง เครง เปล เพลง เขลง เขว เปน็ ต้น
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๔๘
หน่วยเสียงสระ /ɛ/ เป็นหน่วยเสียงสระหน้า กึ่งต่า ส้ัน ริมฝีปากรี ในภาษาไทยเขียนด้วยรูปสระ
แ-ะ, แ-็, แ- หน่วยเสียงสระน้ีสามารถเกิดตามหน่วยเสียงพยัญชนะในภาษาไทยได้ทุกหน่วย ยกเว้นพยัญชนะ
ต้นควบ /pl/ หน่วยเสียงพยัญชนะท้ายท่ีสามารถเกิดตามหน่วยเสียงสระนี้มีหน่วยเสียงพยัญชนะนาสิก /m/
/n/ /ŋ/ และพยัญชนะกัก /t/ /?/ หน่วยเสียงพยัญชนะกัก /k/ ปรากฏเป็นพยัญชนะท้ายเฉพาะในคาพิเศษ
หน่วยเสียงสระน้ีตามด้วยเสียง /j/ ไม่มี ตัวอย่างคาเช่น แป้น แต่ง แจ๋ว แจ่ม แก่ง แอ่น แผ่น แท่น แฉะ แข็ง
แบง่ แม่น แลน่ แฟะ แซะ แหง่ แว่น แล่น แปรง่ แพร่ง แตระ แกร่ง แคระ แขวะ แกว่ง แว็ด แวบ็ แน็บ ฯลฯ
หน่วยเสียงสระ /ɛ:/ เปน็ หน่วยเสยี งสระหน้า ก่ึงต่า ยาว รมิ ฝปี ากรี ในภาษาไทยเขียนด้วยรูปสระ
แ- หน่วยเสียงสระน้ีเกิดกบั หน่วยเสียงพยัญชนะต้นไดท้ ุกหน่วย ส่วนหนว่ ยเสียงพยัญชนะท่ีเป็นพยญั ชนะท้าย
ตามหลังหน่วยเสียงสระน้ีมีทุกหน่วย ยกเว้นหน่วยเสียง /?/ /j/ ตัวอย่างคาเช่น แป แต้ม แจก แกน แอบ แพ
แขน แบน แดด แนว แหลน แรง แฝด แหบ แหวน แยม้ แปรง แตร แคร่ แปลง แผล แกล้ง แขวง แคว้น ฯลฯ
๑.๒ สระกลาง เกิดจากขณะออกเสียงเมื่อลมผ่านเข้ามาสูช่ อ่ งปากแล้ว รมิ ฝีปากปกติหรือไม่แผไ่ ม่
ห่อ ยกล้ินส่วนกลางไปใกลเ้ พดานแข็งแต่ไม่ใกล้มากนักในระดับกง่ึ สูง ระดับก่ึงต่า และระดับต่า หากออกเสียง
ส้ันจะได้เสียงสระ ๓ หน่วยเสียง และออกเสียงยาวจะได้เสียงสระ ๓ หน่วยเสียง รวมเป็น ๖ หน่วยเสียง ดัง
ตารางภาพหน่วยเสยี งสระกลางตอ่ ไปน้ี
เสยี ง สว่ นของล้ิน ระดับล้นิ ออกเสียง รมิ ฝปี าก
/Ɯ/ กง่ึ สูง ส้นั
/Ɯ:/ ยาว
/ə/ กลาง กึ่งตา่ ส้ัน ไมร่ ีไม่หอ่
/ə:/ ยาว
/a/ ตา่ ส้นั
/a:/ ยาว
จากตารางภาพหนว่ ยเสยี งสระกลาง มรี ายละเอียดดังนี้
หน่วยเสียงสระ /Ɯ/ เป็นหน่วยเสียงสระหลังค่อนไปกลาง กึ่งสูง สั้น ริมฝีปากไม่รีไม่ห่อ ใน
ภาษาไทยเขียนด้วยรูปสระ –ึ หน่วยเสียงสระน้ีไม่ปรากฏกับหน่วยเสียงพยัญชนะต้น /w/ และหน่วยเสียง
พยัญชนะต้นควบ /pl/ /kw/ /khw/ หน่วยเสียงสระน้ีปรากฏหน้าหน่วยเสียงพยัญชนะท้ายได้ทุกหน่วย
ยกเว้น /w/ /j/ ตวั อยา่ งคาเชน่ ปกึ ตงึ จงึ กึง่ อึด พึม บึง ลึก ฝึก หึง พรงึ ปรึง ยดึ ฯลฯ
หน่วยเสียงสระ /Ɯ:/ เป็นหน่วยเสียงสระหลังค่อนไปกลาง กึ่งสูง ยาว ริมฝีปากไม่รีไม่ห่อ ใน
ภาษาไทยเขียนด้วยรูปสระ –ื, -ือ หน่วยเสียงสระน้ีเกิดตามหน่วยเสียงพยัญชนะได้ทุกอย่างยกเว้นหน่วยเสียง
/ŋ/ และหนว่ ยเสียงพยัญชนะต้นควบ /tr/ /kr/ /phl/ /kw/ /khw/ ส่วนท่ีเกิดกับหนว่ ยเสยี งพยัญชนะตน้ /k/
มีแตใ่ นคาสองพยางค์ หน่วยเสียงพยัญชนะทา้ ยท่ตี ามหน่วยเสียงสระนไี้ ด้ มแี ต่หน่วยเสยี งพยญั ชนะกัก /p/ /t/
กับหน่วยเสียงพยัญชนะนาสิก /m/ /n/ เท่านั้น ตัวอย่างคาเช่น ปืน ต่ืน จืด อ้ือ ผืน คืบ มืด มือ ปรือ หวือ
ปลม้ื กลืน คล่นื ฯลฯ
หน่วยเสียงสระ /ə/ เป็นหน่วยเสียงสระหลังค่อนไปกลาง ก่ึงต่า สั้น ริมฝีปากไม่รีไม่ห่อ ใน
ภาษาไทยเขียนด้วยรูปสระ เ-อะ, เ-ิ หน่วยเสียงสระนี้ปรากฏน้อยมากเท่าท่ีพบในภาษาไทย หน่วยเสียงสระนี้
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๔๙
ปรากฏกับหน่วยเสียงพยัญชนะต้นได้ คือ /p/ /t/ /c/ /?/ /ph/ /th/ /kh/ /b/ /n/ /ŋ/ /l/ /f/ /s/ /w/ /j/
และกับหน่วยเสียงพยัญชนะต้นควบ คือ /pr/ /kr/ /khr/ ท่ีเกิดกับพยัญชนะต้น /?/ พบแต่ในคาสองพยางค์
ส่วนหน่วยเสียงพยัญชนะท้ายที่จะเกิดกับหน่วยเสียงสระน้ีได้น้ัน คือ /?/ /n/ /ŋ/ ตัวอย่างคาเช่น เปิ่น เตอะ
เจอะ เพิ่ง เถอะ เคอะ เบอะ เงิน เลอะ เฟอะ เซอะ เหวอะ เยิน่ เปรอะ เกร่นิ เขรอะ ฯลฯ
หน่วยเสียงสระ /ə:/ เป็นหน่วยเสียงสระหลังค่อนไปกลาง ก่ึงต่า ยาว ริมฝีปากไม่รีไม่ห่อ ใน
ภาษาไทยเขียนดว้ ยรูปสระ เ-อ, เ-ิ หน่วยเสียงสระน้ีสามารถเกดิ ตามหนว่ ยเสยี งพยัญชนะเด่ียวได้ทุกหน่วย แต่
เกิดตามหน่วยเสียงพยัญชนะต้นควบได้ คือ /pr/ /kr/ /phl/ /kl/ /khl/ ส่วนหน่วยเสียงพยัญชนะท้ายท่ี
สามารถตามหน่วยเสียงสระนี้ได้นั้น มยี กเว้นเพียงหน่วยเสียงพยัญชนะ /?/ /w/ ตวั อย่างคาเชน่ เปิด เติบ เจอ
เกย เอ่อ เพิ่ม เถิก เฉย เคย เบิ่ง เดิน เหม่อ เนิน เงย เลิก เรอ เฟ้อ เสริม เห่อ เหว่อ เยิน เปรย เกร่อ เพลิน
เกลอ เคลิม้ ฯลฯ
หน่วยเสียงสระ /a/ เป็นหน่วยเสียงสระกลาง ต่า สน้ั ริมฝีปากไมร่ ีไม่หอ่ ในภาษาไทยเขียนดว้ ยรูป
สระ –ะ, -ั, -ำ, ใ-, ไ-, เ-า หน่วยเสยี งสระนีเ้ ป็นสระทส่ี ามารถเกิดตามและนาหน่วยเสียงพยัญชนะได้ทุกหน่วย
ตัวอย่างคาเชน่ ปะ ตบั ใจ กกั ฟัง ทา เขา ใบ ไฟ ตรสั ปรบั ใคร ปลกั พลดั ไกล นับ เมา คลัง ขวญั ฯลฯ
หน่วยเสยี งสระ /a:/ เป็นหน่วยเสียงสระกลาง ต่า ยาว ริมฝปี ากไม่รีไม่ห่อ ในภาษาไทยเขียนด้วย
รปู สระ –า หน่วยเสียงสระน้ีเป็นสระท่ีสามารถเกิดตามหนว่ ยเสียงพยัญชนะได้ทุกหนว่ ยในภาษาไทย และเกิด
นาหน่วยเสยี งพยญั ชนะไดท้ ุกหน่วย ยกเว้นหน่วยเสียง /?/ ตัวอย่างคาเชน่ ป่า ตา่ ง จาก อาบ ถา มาก ลา ฯลฯ
๑.๓ สระหลัง เกิดจากขณะออกเสียงเม่ือลมผ่านเข้ามาสู่ช่องปากแล้ว ริมฝีปากห่อกลม ยกล้ิน
ส่วนหลังไปใกล้เพดานแข็งแต่ไม่ใกล้มากนักในระดับสูง ระดับก่ึงสูง และระดับต่าหากออกเสียงสั้นจะได้เสียง
สระ ๓ หนว่ ยเสียง และออกเสยี งยาวจะได้เสยี งสระ ๓ หนว่ ยเสยี ง รวมเป็น ๖ หนว่ ยเสียง ดังตารางภาพหนว่ ย
เสยี งสระหลังต่อไปน้ี
เสียง ส่วนของลน้ิ ระดบั ลน้ิ ออกเสียง ริมฝีปาก
/u/ สูง ส้ัน
/u:/ ยาว
/o/ หลงั ก่ึงสูง สัน้ หอ่ กลม
/o:/ ยาว
/ɔ/ ก่ึงตา่ สน้ั
/ɔ:/ ยาว
จากตารางภาพหนว่ ยเสยี งสระหลงั มรี ายละเอยี ดดังนี้
หน่วยเสียงสระ /u/ เป็นหน่วยเสียงสระหลัง สูง สั้น ริมฝีปากห่อกลม ในภาษาไทยเขียนด้วยรูป
สระ –ุ หน่วยเสียงสระนี้เป็นสระที่เกิดตามหน่วยเสียงพยัญชนะได้ทุกหน่วยยกเว้นหน่วยเสียงพยัญชนะควบ
/kw/ /khw/ และเกิดนาหน่วยเสียงพยัญชนะท้ายทุกหน่วย ยกเว้น หน่วยเสียงคร่ึงสระ /w/ ตัวอย่างคาเช่น
ปุ๋ย จุ่ม กมุ อ่นุ ทุบ คุ มุม ลุง รงุ้ สกุ หุง วุ้น ปรงุ พรุ่ง กรนุ่ ปลกุ กลมุ้ ขลุ่ย ฯลฯ
หน่วยเสียงสระ /u:/ เป็นหนว่ ยเสียงสระหลัง สงู ยาว ริมฝีปากห่อกลม ในภาษาไทยเขียนดว้ ยรูป
สระ –ู หน่วยเสียงสระนี้เป็นสระท่ีเกิดตามหน่วยเสียงพยัญชนะต้นได้ทุกหน่วย ยกเว้นหน่วยเสียงพยัญชนะ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๕๐
ควบ /kw/ /khw/ และเกดิ นาหน่วยเสียงพยัญชนะทา้ ยได้ทกุ หน่วย ยกเว้นหน่วยเสยี ง /?/ /w/ /j/ ตวั อย่างคา
เช่น ปนู ตู้ จบู กู้ อมู พู่ ถกู ชู้ ขูด ดดู หมู งู ลูบ สูง ปรดู พรู ตรู่ ปลูก พลู ฯลฯ
หน่วยเสยี งสระ /o/ เปน็ หนว่ ยเสยี งสระหลัง กึ่งสงู ส้ัน รมิ ฝปี ากห่อกลม ในภาษาไทยเขียนด้วยรูป
สระ โ-ะ และลบรูปสระ โ-ะ เสีย หน่วยเสียงสระนี้เป็นสระท่ีเกิดตามหน่วยเสียงพยัญชนะได้ทุกหน่วย ยกเว้น
หน่วยเสียงพยัญชนะต้นควบ /khl/ /kw/ สระน้ีเกิดกับพยัญชนะต้น /khw/ มีแต่ในคาสองพยางค์ หน่วยเสียง
พยัญชนะท้ายที่ไม่ปรากฏตามหน่วยเสียงสระนี้ คือหน่วยเสียงพยัญชนะ /j/ /w/ ตัวอย่างคาเช่น ปด ตก จบ
ก้ม ชน โตะ๊ คง ดม มน นก งง รม่ ฝน ปรง พรม ตรง กรน ครก ปลน้ กลบ ฯลฯ
หน่วยเสียงสระ /o:/ เป็นหน่วยเสียงสระหลงั กึ่งสูง ยาว ริมฝีปากห่อกลม ในภาษาไทยเขียนด้วย
รูปสระ โ- หน่วยเสียงสระน้ีสามารถเกิดตามหน่วยเสียงพยัญชนะได้ทุกหน่วย แต่ไม่พบคาท่ีหน่วยเสียงสระน้ี
เกิดตามหน่วยเสียง /f/ /kw/ /khw/ ในภาษาไทย หน่วยเสียงพยัญชนะท่ีตามหน่วยเสียงสระน้ี มีทุกหน่วย
ยกเวน้ หน่วยเสียง /?/ /W/ เท่านัน้ ตวั อย่างคาเชน่ โปน โจน โกง โพ้น โชก โข โดด โมง โน้ม โง่ โลภ โรค โสม
โหม โวย โยน โปรย โปรง่ โพรง โขลน ฯลฯ
หน่วยเสียงสระ /ɔ/ เปน็ หนว่ ยเสียงสระหลัง กึ่งตา่ สั้น ริมฝปี ากหอ่ กลม ในภาษาไทยเขียนด้วยรูป
สระ เ-าะ, -อ, -็อ หน่วยเสียงสระน้ีเกิดตามหน่วยเสียงพยัญชนะต้นได้ทุกหน่วย ยกเว้นหน่วยเสียง /kw/
/khw/ ส่วนทตี่ ามหน่วยเสียง /tr/ มีแตใ่ นคายืมจากภาษาอังกฤษ หน่วยเสยี งสระน้ีเกิดนาหนว่ ยเสียงพยัญชนะ
ท้าย /?/ /m/ /n/ /ŋ/ /j/ ได้ และเฉพาะในคาเลียนเสียงและคายืมจากภาษาอังกฤษนาหน่วยเสียงพยัญชนะ
ท้ายท่ีเป็นเสียงกัก /p/ /t/ /k/ ตัวอย่างคาเช่น ป่อง ต้อง จ้อง เกาะ อ่อง เพาะ ถ่อม เฉาะ ค่อม บ่อน ด้อย
เมาะ น่อง หงอ่ ม ล่อง ร่อน ฝอย สรอ้ ย หอย ว่อน ยอ่ ง เปราะ พร่อง เกราะ คร่อม ปลอ่ ง เพลาะ ฯลฯ
หน่วยเสียงสระ /ɔ:/ เป็นหน่วยเสียงสระหลัง กึ่งต่า ยาว ริมฝีปากห่อกลม ในภาษาไทยเขียนด้วย
รูปสระ –อ หน่วยเสียงสระน้ีสามารถเกิดตามหน่วยเสยี งพยัญชนะตน้ ได้ทุกหนว่ ย ยกเว้นหน่วยเสียงควบ /kw/
/khw/ และสามารถเกิดนาหน่วยเสียงพยัญชนะท้ายได้ทุกหน่วย ยกเว้นหน่วยเสียง /?/ /w/ ตัวอย่างคาเช่น
ปอบ ตอด จอก ก้อน อ้อน พ้อง ถอน ชอบ คอย บอน ดอย มอม นอน งอบ ลอด รอด ฟ้อง สอง หอน วอด
ยอด ปรอย พรอด ตรอก กรอ ครอบ ปลอบ พลอง กลอน คล้อง ฯลฯ
๒. สระประสม (Diphthong) หมายถึงสระที่มีเสียงไม่คงท่ี เกิดจากเริ่มออกเสียงที่สระหน่ึงและไปจบ
ลงท่ีสระหนึ่ง โดยลงเสียงหนักที่สระเดียวเท่าน้ัน ในภาษาไทยจะลงเสียงหนักท่ีสระเสียงท่ีหน่ึง (วิจินตน์ ภาณุ
พงศ์, ๒๕๔๑ : ๑๓๕) สระประสมในภาษาไทยมี ๓ หน่วยเสียง คือ /ia/ /Ɯa/ /ua/ ลักษณะการเกิดเสียงสระ
ประสม ดังตารางภาพหนว่ ยเสียงสระประสมต่อไปน้ี
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๕๑
จากตารางภาพหน่วยเสยี งสระประสม มีรายละเอียดดงั น้ี
หน่วยเสียงสระ /ia/ เป็นหน่วยเสียงสระประสม เริ่มต้นท่ีสระหน้า สูง ริมฝีปากไม่รีไม่ห่อและลง
ท้ายด้วยสระต่า ในภาษาไทยเขียนด้วยรปู สระ เ –ี ย โดยทั่วไปรูปสระนป้ี รากฏในคาพยางคเ์ ดยี วจะมีเสียงยาว
แต่ถ้าคาน้ันปรากฏในตาแหน่งท่ีไม่ลงน้าหนัก อาจจะกลายเป็นเสียงส้ันได้ และในพยางค์หน้าของคาสอง
พยางค์ก็มักจะออกเป็นเสียงสั้น หน่วยเสียงสระนี้เกิดตามหน่วยเสียงพยัญชนะต้นได้ทุกหน่วย และเกิดนา
หน่วยเสียงพยัญชนะท้ายได้ทกุ หนว่ ยยกเวน้ หนว่ ยเสยี ง /j/ และถ้าพยัญชนะท้ายเป็นพยญั ชนะ /?/ สระจะเป็น
เสยี งสั้นเสมอ ตัวอย่างคาเช่น เปยี ก เตียง เกยี่ ว เพยี ง เทยี ม เขยี น เรยี น เสยี เหยยี ด เตรียม เครยี ด เพลยี เงย่ี ง
ฯลฯ
หน่วยเสียงสระ /Ɯa/ เป็นหน่วยเสียงสระประสม เริ่มต้นที่สระหลังสูง ริมฝีปากรีและลงท้ายด้วย
สระต่า ในภาษาไทยเขียนด้วยรูปสระ เ –ื อ โดยท่ัวไปรูปสระน้ีปรากฏในคาภาษาไทยจะปรากฏเป็นสระเสียง
ยาว แต่ถ้าคาน้ันปรากฏในตาแหน่งที่ไม่ลงน้าหนักอาจจะปรากฏเป็นสระเสียงสั้น หน่วยเสียงสระน้ี เกิดตาม
หนว่ ยเสียงพยัญชนะต้นได้ทกุ หนว่ ย ยกเว้น /w/ /tr/ /kr/ เมือ่ เกิดกับหนว่ ยเสียงควบ /phr/ ในภาษาไทยมีแต่
ในคาสองพยางค์ หน่วยเสียงสระนี้เกิดนาหน่วยเสียงพยัญชนะท้ายได้ทุกหน่วย ยกเว้นหน่วยเสียง /?/ /w/
ตัวอยา่ งคาเช่น เพื่อน เบ่ือ เตอื น เดือน เกอื บ เหมือน เนื้อ เสอื เปลอื ง เครอ่ื ง เกลอื เคลอื บ เออ้ื ม เจือ ฯลฯ
หน่วยเสียงสระ /ua/ เป็นหน่วยเสียงสระประสม เร่ิมต้นท่ีสระหลัง สูง ริมฝีปากห่อกลม แล้ว
เปล่ียนมาลงท้ายด้วยสระต่า ในภาษาไทยเขียนด้วยรูปสระ –ัว, -ว โดยทั่วไปในคาไทยเสียงสระน้ีจะเป็นเสียง
ยาวและมักจะกลายเป็นเสียงสั้นได้โดยไม่ทาให้ความหมายเปล่ียน โดยเฉพาะเม่ือไม่ลงน้าหนักหรืออยู่ใน
ตาแหน่งที่มีคาทล่ี งน้าหนักมาต่อท้าย หน่วยเสียงสระน้ีไมป่ รากฏกับหน่วยเสียงพยัญชนะต้น /f/ /kw/ /khw/
และที่เกดิ กับหนว่ ยเสียงพยัญชนะต้น /pr/ มีแต่ในคา ๒ พยางค์ หน่วยเสียงสระนี้เกิดนาหน่วยเสียงพยัญชนะ
ท้ายได้ทุกหน่วย ยกเว้นหน่วยเสียง /?/ /w/ ตัวอย่างคาเช่น ป่วน ตวง กวด อ้วน พวก ถั่ว ชั่ว ขวบ นวด ง่วง
ลว้ น รวม สวย หวั ยว้ ย ววั พรวน ตรวน กรวด ขรัว ปลวก พล่ัว กลวั ฯลฯ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๕๒
สรปุ ท้ายบท
อวัยวะที่ใช้ในการออกเสียงมี ๓ ส่วน ได้แก่ ๑) ปอดและหลอดลม ๒) กล่องเสียงและเส้นเสียง และ
๓) อวัยวะในช่องปาก ได้แก่ ริมฝีปาก ฟนั ปุ่มเหงอื ก เพดานอ่อน เพดานแขง็ ลน้ิ ล้นิ ไก่ จมกู โพรงคอ
เสียงหรือหน่วยเสียง (Phoneme) หมายถึง เสียงท่ีเปล่งออกมาจากปอดผ่านลาคอและช่องปาก จะ
เป็นเสียงท่ีมคี วามหมายหรือไมม่ ีความหมายก็ได้ ซึง่ มีบทบาทและหน้าท่ีในการแยกความหมายของคาในภาษา
และสามารถใช้ส่ือสารกันได้ ซ่ึงประกอบด้วยหน่วยเสียงพยัญชนะ หน่วยเสียงสระ และหน่วยเสียงวรรณยุกต์
แต่ละเสยี งหรือหนว่ ยเสียง
ลกั ษณะท่ัวไปของเสียงพูดในภาษาไทยมี ๖ ลักษณะ ดังน้ี ๑) เสียงก้อง – เสียงไม่ก้อง ๒) เสียงสูง –
เสียงตา่ ๓) ความยาวของเสียง ๔) การลงนา้ หนกั ๕) ความดงั ๖) ช่วงต่อของเสยี ง
เสียงสระ หมายถึงเสียงที่เปล่งออกมาจากลาคอผ่านช่องปากและผ่านริมฝีปากออกมาโดยไม่กระทบ
กับอวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใด ลิ้นและริมฝีปากทาให้การออกเสียงสระเปล่ียนแปลงไปตามระดับของเสียงสูงต่า
และตามรูปห่อกลมและรีของรมิ ฝีปาก อีกอยา่ งหน่งึ เสยี งสระ เรยี กวา่ เสยี งแท้
รูปและช่ือของสระในภาษาไทย มีนักปราชญ์ทางภาษาไทย ๒ ท่าน คือ พระยาอุปกิตศิลปสาร และ
นายกาชยั ทองหลอ่ ได้รวบรวมรูปสระไว้ ๒๑ รูป ๓๒ เสียง นอกจากนี้ สถาบันภาษาไทย ได้รวบรวมรปู สระใน
ภาษาไทยทีใ่ ช้ในปจั จบุ นั ขนึ้ ใหมม่ ที ง้ั หมด ๓๘ รูป
ลักษณะหน่วยเสียงสระ ในภาษาไทยมีรูปสระ ๓๒ ตัว ได้แก่ อะ อา อิ อี อึ อือ อุ อู เอะ เอ แอะ แอ
โอะ โอ เอาะ ออ เออะ เออ เอียะ เอีย เอือะ เอือ อัวะ อัว อา ไอ ใอ เอา ฤ ฤา ฦ ฦา มีหน่วยเสียงสระ ๒๑
หน่วยเสียง แบ่งเป็น ๒ ชนิด คือ หน่วยเสียงสระเด่ียว ๑๘ หน่วยเสียง และหน่วยเสียงสระประสม ๓ หน่วย
เสียง ซ่ึงหน่วยเสยี งสระเด่ียว ๑๘ หนว่ ยเสียง แบ่งเป็นสระเสียงส้ัน ๙ หนว่ ยเสียง ไดแ้ ก่ /i/ /e/ /ɛ/ /Ɯ/ /ə/
/a/ /u/ /o/ /ɔ/ สระเสียงยาว ๙ หนว่ ยเสยี ง ได้แก่ /i:/ /e:/ /ɛ:/ /Ɯ:/ /ə:/ /a:/ /u:/ /o:/ /ɔ:/ และมีหนว่ ย
เสียงสระประสม ๓ หน่วยเสียง ไดแ้ ก่ /ia/ /Ɯa/ /ua/
หน่วยเสียงสระในภาษาไทยท้งั ๒๑ หน่วยเสียง แบง่ เป็น ๒ ชนดิ คือ หนว่ ยเสียงสระเดย่ี ว ๑๘ หน่วย
เสียง ประกอบด้วยสระหน้า ๖ หน่วยเสียง สระกลาง ๖ หน่วยเสียง และสระหลัง ๖ หน่วยเสียง และหน่วย
เสยี งสระประสม ๓ หน่วยเสยี ง
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๕๓
รูปแบบการเรยี นการสอน
๑. กจิ กรรมสร้างสรรค์
๑.๑ เกม (บัตรคา)
๑.๒ แบบทดสอบ/แบบฝึกหดั ทางภาษาศาสตร์ภาษาไทย
๒. กิจกรรมการจัดการเรยี นรู้แบบสร้างสรรค์ (TBL : Tack-Based Learning)
๒.๑ อวยั วะทใี่ ชใ้ นการออกเสยี งมคี วามสาคญั อยา่ งไร
๒.๒ นยิ ามความหมายของเสยี งและหนว่ ยเสียงสระ
๒.๓ ลกั ษณะท่วั ไปของเสยี งและลักษณะของหน่วยเสียงสระเปน็ อยา่ งไร
๒.๔ รปู และชอื่ ของหน่วยเสียงสระมคี วามสาคญั อย่างไร
๒.๕ วาดแผนผังเปรียบเทยี บรูปและช่ือของหนว่ ยเสียงสระในภาษาไทย
สื่อการเรยี นรู้
๑. โปรแกรมนาเสนอภาพนิง่ (PPT.) เนอื้ หาประกอบการบรรยาย
๒. โปรแกรมส่อื มัตตมิ ีเดยี และแอปพลเิ คชนั YouTube
๓. เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ED1019 ภาษาศาสตร์ภาษาไทยสาหรบั ครู
๔. เกมบตั รคา
๕. แบบทดสอบ/แบบฝึกหัด
๖. แผนการจดั การเรยี นรู้
๗. ใบความรู้
การวดั และการประเมนิ ผล
๑. ประเมินผลจากการสังเกตความสนใจ ซกั ถาม และตอบคาถาม
๒. ประเมินผลจากการร่วมกจิ กรรม การอภปิ รายแสดงความคดิ เห็น
๓. ประเมนิ ผลจากผลงาน ด้านเนื้อหา รูปแบบ ความคิดสร้างสรรค์ วิธีการนาเสนอ
๔. ประเมนิ ผลจากการตรวจสอบผลการเล่นเกม แบบทดสอบ และแบบฝึกหดั
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๕๔
เอกสารอ้างองิ
กาญจนา นาคสกลุ . (๒๕๕๙). ระบบเสียงภาษาไทย. พิมพ์ครง้ั ท่ี ๘. กรงุ เทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
กาชยั ทองหล่อ. (๒๕๕๒). หลักภาษาไทย. พิมพค์ รง้ั ท่ี ๕. กรงุ เทพฯ : อมรการพิมพ.์
คณาจารย์มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์. (๒๕๔๕). ภาษาศาสตร์เบ้อื งต้น. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์.
จนิ ดา เฮงสมบูรณ.์ (๒๕๔๒). ภาษาศาสตรเ์ บอ้ื งตน้ . กรุงเทพฯ : สวุ ีริยาสาสน์ .
ประสิทธ์ิ กาพย์กลอน. (๒๕๑๖). การศึกษาภาษาไทยตามแนวภาษาศาสตร์. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช
จากัด.
พระยาอปุ กิตศิลปสาร. (๒๕๔๕). หลักภาษาไทย. พมิ พค์ รั้งท่ี ๑๑. กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช จากดั .
พณิ ทิพย์ ทวยเจริญ. (๒๕๔๗). ภาพรวมของการศึกษาสทั ศาสตร์และภาษาศาสตร์. พิมพ์ครง้ั ท่ี ๓. กรุงเทพฯ
: มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร.์
รุ่งฤดี แผลงศร. (๒๕๖๑). ศาสตร์การสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศ. พิมพ์คร้ังที่ ๒. กรุงเทพฯ :
จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
เรืองเดช ปนั เข่ือนขัตยิ ์. (๒๕๕๒). ภาษาศาสตร์ภาษาไทย. พิมพ์ครัง้ ที่ ๒. กรงุ เทพฯ : Fast Books.
วรวรรธน์ ศรียาภยั . (๒๕๕๖). ภาษาศาสตร์ภาษาไทย. นนทบรุ ี : สัมปชญั ญะ.
วิจินตน์ ภาณุพงศ์. (๒๕๔๑). โครงสร้างภาษาไทย : ระบบไวยากรณ์. พิมพ์คร้ังท่ี ๑๔. กรุงเทพฯ :
มหาวิทยาลยั รามคาแหง.
สถาบนั ภาษาไทย. (๒๕๕๕). บรรทดั ฐานภาษาไทย เลม่ ๔. กรงุ เทพฯ : ครุ ุสภาลาดพรา้ วหนา้ .
สธุ วิ งศ์ พงศ์ไพบลู ย์. (๒๕๔๓). หลกั ภาษาไทย. พิมพค์ รัง้ ที่ ๑๕. กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ จากัด.
อภิลักษณ์ ธรรมทวีธิกุล. (๒๕๔๗). สัทวิทยา : การวิเคราะห์ระบบเสียงในภาษา. กรุงเทพฯ :
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.์
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๕๕
แผนการสอนประจาบท
หวั เรื่อง
๑. ความหมายของเสยี งพยัญชนะ
๒. ลักษณะของเสยี งพยัญชนะ
๓. หน่วยเสยี งพยัญชนะ
๔. การเทยี บหน่วยเสียงพยญั ชนะ
๕. ความหมายของเสยี งวรรณยกุ ต์
๖. ประเภทของหน่วยเสียงวรรณยกุ ต์
๗. องค์ประกอบของการผันเสียงวรรณยุกต์
๘. การผันเสียงวรรณยุกต์ตามหลกั ภาษาไทย
๙. การผันเสียงวรรณยกุ ต์ตามหลกั ภาษาศาสตรภ์ าษาไทย
แนวคิด
ลักษณะของเสียงพยญั ชนะ คอื การเกิดของเสียงท่ีไปกระทบกับอวัยวะตา่ ง ๆ ภายในชอ่ งปาก แลว้ ทา
ให้เกิดเสียงต่าง ๆ ตามลักษณะของการเปล่งเสียงน้ันมี ๙ ลักษณะ ได้แก่ เสียงก้อง (voiced sound) เสียงไม่
ก้อง (voiceless sound) เสียงหยุดหรือเสียงกัก (stop) เสียงนาสิก (nasal) เสียงข้างลิ้น (lateral) เสียงเสียด
แทรก (fricative) เสยี งก่ึงเสียดแทรก (affricate) เสยี งรวั ลน้ิ (trill) เสยี งกึ่งสระหรอื อฒั สระ (semi-vowel)
หน่วยเสียงพยัญชนะในภาษาไทย แบ่งตามลักษณะการเกิดเสียงได้ ๗ ลักษณะ ดังน้ี ๑) พยัญชนะ
ระเบิด (Plosive) มหี น่วยเสยี งพยัญชนะระเบดิ ได้แก่ /p/ /t/ /k/ /?/ /ph/ /th/ /kh/ /b/ /d/ ๒) พยญั ชนะ
กักเสียดแทรก (affricates) มีหน่วยเสียงพยัญชนะกักเสียดแทรก ได้แก่ /c/ /ch/ ๓) พยัญชนะเสียดแทรก
(fricative) มีหน่วยเสียงพยัญชนะเสียงแทรก ได้แก่ /f/ /s/ /h/ ๔) พยัญชนะนาสิก (nasal) มีหน่วยเสียง
พยัญชนะนาสกิ ไดแ้ ก่ /m/ /n/ /ŋ/ ๕) พยัญชนะขา้ งล้นิ (lateral) มีหน่วยเสียงพยัญชนะขา้ งลิน้ ได้แก่ /l/ ๖)
พยัญชนะรัวลิ้น (trill) มีหน่วยเสียงพยัญชนะรัวล้ิน ได้แก่ /r/ ๗) พยัญชนะกึ่งสระ (semi-vowel) มีหน่วย
เสียงพยัญชนะก่ึงสระ ได้แก่ /w/ /j/ รูปพยัญชนะในภาษาไทยมี ๔๔ รูป ซ่ึงสามารถจาแนกหน่วยเสียงตาม
แนวภาษาศาสตร์ภาษาไทยได้ ๒๑ หน่วยเสยี ง
เสยี งวรรณยุกต์ หมายถึง พยางคท์ มี่ กี ารเปลีย่ นระดับเสียงขน้ึ สูงหรือต่าลงทาใหแ้ ตล่ ะพยางค์ออกเสียง
แตกต่างกัน และการออกเสียงนั้นเป็นเหมือนเสียงเครื่องดนตรี ซ่ึงเสียงท่ีมีความแตกต่างกัน จะทาให้เกิด
ความหมายแตกต่างกันด้วย เพราะระดับของเสียงท่ีสูง ๆ ต่า ๆ เป็นตัวบ่งช้ีความหมายของพยางค์หรือคาน้ัน
ซึง่ หน่วยเสียงวรรณยกุ ตใ์ นภาษาไทย มี ๓ ประเภท คอื วรรณยกุ ต์ระดบั มี ๓ ระดับ วรรณยกุ ตเ์ ปลีย่ นระดับ มี
๒ ระดบั และวรรณยุกตเ์ น้น
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๕๖
วัตถปุ ระสงค์
เมื่อนักศกึ ษาเรยี นจบบทท่ี ๓ มีสามารถไดด้ งั นี้
๑. อธิบายความหมายของเสยี งพยญั ชนะได้
๒. อธบิ ายลักษณะของเสยี งพยัญชนะได้
๓. อธิบายหนว่ ยเสยี งพยญั ชนะได้
๔. อธบิ ายการเทยี บหน่วยเสียงพยญั ชนะ
๕. อธบิ ายความหมายของเสียงวรรณยกุ ตไ์ ด้
๖. อธบิ ายองคป์ ระกอบของการผนั เสยี งวรรณยุกตไ์ ด้
๗. อธิบายการผันเสยี งวรรณยกุ ต์ตามหลกั ภาษาไทยได้
๘. อธบิ ายประเภทของหน่วยเสยี งวรรณยกุ ต์ได้
๙. อธบิ ายการผันเสียงวรรณยุกตต์ ามหลักภาษาศาสตรภ์ าษาไทยได้
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๕๗
บทที่ ๓
หนว่ ยเสยี งพยัญชนะและเสียงวรรณยุกต์
หน่วยเสยี งพยัญชนะเปน็ ส่วนสาคัญในการส่ือสาร ทาให้ผู้พดู สามารถสื่อสารได้ตามความต้องการ อีก
ท้ังยังช่วยให้ผู้ฟังและผู้พูดมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน หน่วยเสียงพยัญชนะไม่สามารถออกเสียงได้ตามลาพัง
ตนเอง แต่จะต้องอาศัยหน่วยเสียงสระในการออกเสียง ส่วนเสียงวรรณยุกต์ทาให้เกิดความหมายใหม่และเกิด
การสร้างคาเพ่ือสื่อความหมายได้หลากหลาย ถ้าผู้พูดออกเสียงวรรณยุกต์นั้นผิดอาจจะทาให้เกิดความเข้าใจ
คลาดเคล่ือนได้ ดังนั้น การออกเสียงวรรณยุกต์จึงมีความจาเป็นอย่างย่ิงต่อการสื่อสารเพ่ือให้ตรงกับ
ความหมายที่ต้องการจะส่ือ ในบทน้ีจะได้กล่าวถึง ความหมายของเสียงพยัญชนะ ลักษณะของเสียงพยัญชนะ
หน่วยเสียงพยัญชนะ การเทียบหน่วยเสียงพยัญชนะ ความหมายของเสียงวรรณยุกต์ ประเภทของหน่วยเสียง
วรรณยุกต์ องค์ประกอบของการผันเสียงวรรณยุกต์ การผันเสียงวรรณยุกต์ตามหลักภาษาไทย และการผัน
เสียงวรรณยุกต์ตามหลกั ภาษาศาสตรภ์ าษาไทย มรี ายละเอียดดังต่อไปนี้
๓.๑ ความหมายของเสียงพยัญชนะ
กาญจนา นาคสกลุ (๒๕๕๙ : ๑๐๗) กล่าวไว้ว่า เสยี งพยัญชนะ หมายถึง เสียงทเี่ กดิ จากลมซง่ึ ผา่ นเส้น
เสียงแล้วมาถกู ดัดแปลงด้วยอวัยวะออกเสียงสว่ นต่าง ๆ ในปาก เสียงพยญั ชนะมีหลายประเภท มลี ักษณะการ
ออกเสียงแตกต่างกันหลายแบบ ความแตกต่างนั้นทาให้ความหมายของคาต่างกัน หรือเรียกได้ว่าเป็นความ
แตกตา่ งทีท่ าให้เกิดหนว่ ยเสียงในภาษาน้ัน
เรืองเดช ปันเขื่อนขัติย์ (๒๕๕๒ : ๘๙) กล่าวไว้ว่า พยัญชนะ (consonant) หมายถึง เสียงท่ีเปล่ง
ออกมา ลมจะถูกกักไว้ หรือโดยการท่ีกล่องเสียงหรือช่องปากหรือลมถูกผลักดันหรือถูกบีบให้ลมผ่านช่องแคบ
ๆ ออกมาหรือถกู ทาให้หันเหไปจากส่วนกลางของช่องปากไปข้าง ๆ ลิ้น หรือทาให้เส้นเสียงในลาคอหรือปลาย
ลิ้นเกิดการส่ันสะเทือนข้ึน นอกจากนี้ พยัญชนะ หมายถึงหน่วยเสียสงที่ทาหน้าท่ีเป็นต้นคาหรือต้นพยางค์
และหรือทาหน้าที่เป็นเสียงท้ายคาหรือท้ายพยางค์ของคาต่าง ๆ หรือบางครั้งสามารถควบกล้ากับเสียงอื่นที่
เปน็ พยัญชนะตน้ หรือทา้ ยคาหรอื ท้ายพยางค์ของคาในภาษาต่าง ๆ ไดด้ ้วย
ประสิทธ์ิ กาพย์กลอน (๒๕๑๖ : ๖๖) กล่าวไว้ว่า เสียงพยัญชนะ หมายถึง ลักษณะเสียงท่ีลมลอด
ออกมาตามจุดต่าง ๆ ในปากนั้น ทาให้เกิดเสียงพยญั ชนะชนิดต่าง ๆ ข้นึ หลายลักษณะ แลว้ แต่ว่าลมจะออกไป
ทางชอ่ งจมกู หรือหยดุ หรือลอดออกไปด้วยอาการเสยี ดแทรก ฯลฯ
นิตยา กาญจนะวรรณ (๒๕๕๔ : ๑๓๑) กล่าวไว้ว่า เสียงพยัญชนะ หมายถึง ลมหายใจท่ีพุ่งออกมา
จากหลอดลมจะถูกขัดขวางตามส่วนต่าง ๆ ของปาก อาจถูกขัดขวางบางส่วนก็ได้ หรือถกู ขัดขวางโดยสิ้นเชิงก็
ได้ เสียงพยัญชนะจึงออกเสียงยาวนานอย่างสระไม่ได้ และเสียงพยัญชนะก็ไม่ใช่ เสียงก้อง เสมอไป พยัญชนะ
ในภาษาไทยเป็นเสียงไม่ก้องแทบทุกเสียง เม่ืออยู่ท้ายคา คือในฐานะตัวสะกดก็คงเป็นเสียงไม่ก้องทั้งหมด
พยัญชนะของไทยออกเสียงต่างกันไปบ้าง เมื่ออยู่ต้นคาและอยู่ท้ายคา จึงต้องแยกเป็นพยัญชนะต้นและ
พยัญชนะตัวสะกด
วรวรรธน์ ศรียาภัย (๒๕๕๖ : ๗๑) กลา่ วไว้ว่า เสียงพยัญชนะ หมายถึง เสียงท่ีมีหนา้ ที่สาคัญในระบบ
เสียงของภาษาคือทาหน้าที่แยกความหมายของคาหรืออีกนัยหน่ึงก็คือเสียงท่ีส่ือความหมายได้โดย ทาให้คาแต่
ละคามคี วามหมายต่างกัน
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๕๘
รุ่งฤดี แผลงศร (๒๕๖๑ : ๑๔๑) กลา่ วไว้ว่า เสยี งพยัญชนะหรือที่เรียกว่า เสียงแปร คือเสียงที่ทางเดิน
ของลมถูกขัดขวางตามส่วนต่าง ๆ ในช่องปากระหว่างฐานกับกรณ์ ทาให้เสียงที่ออกมามีท้ังเสียงก้องและเสียง
ไมก่ อ้ ง ดงั นั้น การออกเสียงพยญั ชนะจึงไม่สามารถออกเสียงไดย้ าวนานเหมือนเสียงสระ
สรุปความได้ว่า เสียงพยัญชนะ (consonant sound) หมายถึงเสียงพูดท่ีเปล่งออกมา ถ้าเป็นเสียงไม่
ก้อง หรือเสียงที่เปล่งออกมาโดยลมต้องถูกกัก ณ ที่ใด ๆ ในช่องปาก ลมถูกบีบให้ผ่านช่องแคบ ๆ จนเกิดเป็น
เสยี งเสียดแทรก ลมออกไปทางจมูกหรือถูกดดั แปลงอยา่ งใด ๆ กต็ าม
๓.๒ ลักษณะของเสียงพยัญชนะ
ลักษณะของเสียงพยัญชนะ (กาญจนา นาคสกุล, ๒๕๕๙ : ๕๐ – ๕๔; วรวรรธน์ ศรียาภัย, ๒๕๕๖ :
๖๙; เรืองเดช ปนั เขื่อนขตั ิย์, ๒๕๕๒ : ๘๙; จินดา เฮงสมบรู ณ์, ๒๕๔๒ : ๖๙; ประสิทธ์ิ กาพยก์ ลอน, ๒๕๑๖ :
๖๖ – ๖๗; รุ่งฤดี แผลงศร, ๒๕๖๑ : ๑๔๑; สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์, ๒๕๔๐ : ๓๔๓ – ๓๕๐) กล่าวไว้ว่า การ
อธิบายลักษณะของเสียงพยัญชนะ แตกต่างกับวิธีการอธิบายเสียงสระเพราะเสียงพยัญชนะมีตาแหน่งท่ีเกิดที่
ชัดแจ้งแน่นอนกว่า แต่เสียงพยัญชนะ บางเสียงไม่สามารถจะได้ยินได้ชัดเจนเมื่อออกเสียงตามลาพัง
จาเปน็ ต้องอาศัยเสยี งสระมาช่วยเพ่ือทาใหไ้ ด้ยิน การอธิบายเสียงพยัญชนะจึงอาจจะทาให้เข้าใจ และไดย้ ินได้
ยากกว่าเสียงสระเล็กน้อย การอธิบายลักษณะของเสียงพยัญชนะ มีลักษณะสาคัญ คือ ลักษณะของลมที่ผ่าน
เส้นเสียง ลมท่ีผ่านเส้นเสียงออกมาเกิดเป็นเสียงพยัญชนะน้ัน อาจจะออกมาทางปากหรือทางจมูกก็ได้ ลมท่ี
ผ่านออกมาทางปากอาจจะออกด้วยอาการแตกต่างกันได้หลายแบบ นักสัทศาสตร์ได้กาหนดช่ือเพื่อใช้อธิบาย
ลกั ษณะของลมที่ทาให้เกิดเสยี งพยัญชนะ และได้ใช้เป็นชื่อเรียกเสียงพยญั ชนะน้ัน ๆ ด้วย ซ่ึงมี ๒ ลักษณะ คือ
ลกั ษณะของเสียงและลักษณะของการออกเสยี ง ดงั นี้
๑. ลกั ษณะของเสียงมี ๘ ลกั ษณะ ดงั นี้
๑.๑ เสียงหยุดหรือเสียงกัก (stop) หมายถึง การท่ีลมซึ่งเปล่งผ่านเส้นเสียงขึ้นมาออกมาถูก กัก
ณ ที่ใดที่หน่ึงในช่องปากช่ัวระยะหน่ึง เน่ืองจากอวัยวะในช่องปากปิดก้ันทางลมเสีย การกักลมอาจจะกักได้ท่ี
ชอ่ งระหว่างเส้นเสียง หรอื ใชล้ ิน้ สว่ นหลงั กักไวท้ ่ีเพดานอ่อน ใช้ล้นิ สว่ นหน้ากกั ไว้ทีเ่ พดานแข็ง ท่ปี ุ่มเหงอื ก หรือ
ใช้ริมฝีปากท้ังสอง ปิดเข้าหากันก็ได้ เสียงท่ีเกิดด้วยอาการอย่างน้ี จึงเรียกว่า เสียงกัก หรือ เสียงหยุด เสียง
ระเบดิ ในภาษาไทยมี ๕ ลกั ษณะ คือ ลักษณะแรกระเบดิ ทีร่ ิมฝีปากท้งั สองไดแ้ ก่ เสียง /บ/ /ป/ /พ/ ลักษณะที่
สองระเบิดท่ีปุ่มเหงือกได้แก่ เสียง /ด/ /ต/ /ท/ ลักษณะที่สามระเบิดท่ีเพดานอ่อนได้แก่ เสียง /ก/ /ค/
ลกั ษณะทส่ี ี่ระเบิดทป่ี มุ่ เหงือกต่อเพดานแขง็ ไดแ้ ก่ เสยี ง /จ/ ลักษณะทีห่ ้าระเบดิ ทีเ่ ส้นเสียงไดแ้ ก่ เสยี ง /อ/
๑.๒ เสยี งระเบิด (plosive) หมายถึง ลมที่ถกู ปล่อยออกมาอย่างแรงและอย่างรวดเร็ว หลังจากที่
ถกู กักอยู่ ณ ท่ใี ดท่ีหน่ึงในปาก การกักลมเพื่อทาเสียงระเบิดนก้ี ระทาได้โดยการปิดอวัยวะในช่องปาก เช่น ปิด
ริมฝีปากทั้งสอง ใช้ปลายล้ินปิดกดไว้ที่หลังฟัน ใช้ลิ้นส่วนหน้าปิดไว้ท่ีปุ่มเหงือกหรือท่ีเพดานแข็ง หรือใช้ล้ิน
ส่วนหลังปดิ ไวท้ เี่ พดานอ่อน เช่นเดียวกับการออกเสียงกัก เมอ่ื เปิดทก่ี กั ลมโดยเรว็ จะทาใหล้ มพุ่งออกมาโดยแรง
เกิดเป็นเสียงท่ีเรียกว่า เสยี งระเบิด การออกเสียงระเบิดในภาษาพูดโดยทั่วไปจะมีลักษณะเด่นอยู่ ๒ แบบ คือ
แบบที่ออกเสียงระเบิดธรรมดา ๆ เรียกว่า ระเบิดไม่มีลม (unaspirated plosive) หมายถึงการที่ลมมาถูกกัก
ในช่องปากแล้วก็ถูกปล่อยออกมาโดยแรงแบบหน่ึง อีกแบบหน่ึง คือ ออกเสียงระเบิดแล้วเพิ่มลมตามออกมา
ในทนั ที เรียกวา่ ระเบดิ มีลม (aspirated plosive) คาวา่ “มีลม” และ “ไม่มีลม” ในทีน่ ี้จึงหมายถึงเฉพาะลมท่ี
ตามเสียงระเบิดออกมาอีกทีหนึ่งเท่านั้น ในภาษาไทยเสียง ป ต ก เป็นเสียงระเบิดไม่มีลม ส่วนเสียง พ ท ค
เป็นเสยี งระเบดิ มีลม เป็นต้น
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๕๙
๑.๓ เสียงนาสิก (nasal) หมายถึง ลมที่ถูกกักในช่องปากแล้วผ่านไปออกทางจมูก การที่จะทาให้
ลมออกทางจมูกไดน้ ั้น เราต้องบังคับอวัยวะส่วนที่เรียกว่า เพดานอ่อนและล้ินไก่ ให้อยู่ในลกั ษณะพัก เพ่ือเปิด
ช่องด้านหลังให้ลมขึ้นไปทางจมูก ในการออกเสียงพยัญชนะ ซึ่งเรียกว่า เสียงนาสิก น้ัน ช่องปากจะต้องกักลม
ไว้ ณ ทีใ่ ดที่หนง่ึ เสมอ เช่น เสียง /ม/ /น/ /ง/ เป็นเสียงนาสิก แต่ถ้าลมหนีออกทางช่องจมกู ในขณะท่ีเราเปล่ง
เสียงออกมาทางปากจะเรียกว่า เสียงขึ้นจมูก (nasalized sound) เสียงสระท่ีตามและนาเสียงนาสิกใน
ภาษาไทยมักจะเป็นเสียงข้ึนจมูก ซึ่งมี ๓ ลักษณะ ได้แก่ ลักษณะแรกเม้มริมฝีปากเข้าหากัน คือเสียง /ม/
ลกั ษณะท่ีสองเอาล้ินกดปมุ่ เหงือกกับเพดานแข็ง คือเสียง /น/ ลักษณะที่สามใช้ลน้ิ จดเพดานอ่อน คือเสียง /ง/
ในภาษาไทย
๑.๔ เสียงขา้ งลิน้ (lateral) หมายถงึ ลมทีอ่ อกจากปากทางด้านข้างของลิ้น เมื่อลมท่ีผา่ นเสน้ เสียง
ข้ึนมาถึงช่องปาก ให้ล้ินกดเพดานตรงแนวช่องกลางลิ้นไว้ แล้วปล่อยให้ลมออกทางด้านข้าง ๆ ก็จะทาให้เกิด
เสียงซ่ึงเรียกวา่ เสียงข้าง (lateral sound) เสยี งพยัญชนะข้างคือเสยี งพยัญชนะ /ล/ /ฬ/ ในภาษาไทย
๑.๕ เสยี งรวั ลิ้น (roll) หมายถึง ลมท่ีถูกอวยั วะในชอ่ งปากผลักออกไปกระทบอวัยวะอีกส่วนหน่ึง
หลายครั้งติดต่อกันอย่างรวดเร็ว อวัยวะส่วนน้ันต้องเคล่ือนหลาย ๆ คร้ังจนเกิดเป็นอาการรัว เช่น ปลายล้ินที่
รัวไปกระทบปุ่มเหงือก ทาให้เกิดเสียง /ร/ ลิ้นไก่ก็อาจถูกลมผลักให้รัวได้ แต่ถ้าอาการรัวของปลายล้ินมีน้อย
คร้ังจะทาใหเ้ กิดเสียงทีเ่ รียกว่า เสยี งกระทบ (tap) หรอื เสียงลิ้นสะบัด (flap)
๑.๖ เสียงเสียดแทรก (fricative) หมายถึง ลมท่ีออกมาอย่างไม่สะดวกต้องผ่านช่องแคบในช่อง
ปากซึ่งทาให้เกิดเสยี งเสียดแทรกดังซซู่ ่าข้ึน ช่องแคบในปากจะเกิดได้ก็โดยท่ีอวัยวะต่าง ๆ เช่น ริมฝีปาก หรือ
ฟนั วางอยใู่ กลก้ ันมาก หรอื ลิ้น อยู่ใกล้ส่วนตา่ ง ๆ ในปาก เช่นอยู่ใกล้เพดาน จนลมผา่ นออกไปไมไ่ ด้สะดวก ลม
ท่ีเบียดตัวผ่านช่องแคบ ๆ ในปากทาให้เกิดเสียงเสียดแทรกข้ึน เสียงเสียดแทรกในภาษาไทย ได้แก่ เสียง
พยัญชนะ /ฟ/ /ซ/ /ฮ/ /ห/ ซึ่งมีอยู่ ๓ ลักษณะ คือ ลักษณะแรกเกิดทร่ี ิมฝีปากบนกับฟันล่างได้แก่ เสียง /ฟ/
ลักษณะที่สองเกิดระหว่างปุ่มเหงือกต่อเพดานแข็งได้แก่ เสียง /ซ/ ลักษณะที่สามเป็นเสียงเสียดแทรกที่
ลกู กระเดอื กไดแก่ เสยี ง /ห/ /ฮ/
๑.๗ เสยี งกกั เสียดแทรกหรือเสียงก่ึงเสียดแทรก (affricate) หมายถึง ลมที่ผา่ นเส้นเสียงขึ้นมาถูก
กักในช่องปากเช่นเดียวกับการออกเสียงกัก แต่เม่ืออวัยวะท่ีปิดกั้นทางลมแยกออกเพื่อเปิดท่ีกักลมนั้น ไม่ได้
แยกออกโดยเร็ว หากแยกออกช้ากว่าการออกเสียงระเบิด และในการแยกตัวนั้นทาให้เกิดเสียงเสียดแทรก
ตามหลังเสียงกกั ออกมาด้วย เสียงกักเสยี ดแทรก จึงเป็นเสยี งเสียดแทรกท่ีนาด้วยเสยี งกกั นั่นเอง เสยี ง /ฉ/ /ช/
/ฌ/ ในภาษาไทยบางครงั้ ออกเสยี งแบบเสยี งกักเสยี ดแทรก
๑.๘ เสียงเปิด (approximants) หมายถึง การออกเสียงน้ีอวัยวะในปากจะเคล่ือนเข้าหากัน
เล็กน้อย ลมจากปอดจะเคลื่อนผ่านช่องปากออกไปได้สะดวก เช่นเสียง /w/ /j/ เสียงชนิดน้ีมีลักษณะการเกิด
คลา้ ยกับเสยี งสระ จึงเรยี กว่า เสียงก่ึงสระ (semi-vowels)
๒. ลกั ษณะของการออกเสยี งมี ๖ ลกั ษณะ ดงั นี้
๒.๑ เสียงกอ้ ง (voiced sound) หมายถึง เสียงพูดท่ีเปลง่ ออกมา เม่ือเสน้ เสียงถกู ดึงเข้ามาชิดกัน
ซ่ึงเป็นตาแหน่งท่ีเรียกว่า ปิด ลมที่ถูกดันให้ผ่านเส้นเสียงข้ึนมาจะทาให้เส้นเสียงสั่น มีคุณสมบัติสาคัญ คือ
สามารถแต่งระดับให้สูงหรือต่าได้ จึงทาให้เกิดเสียงวรรณยุกต์ได้ เสียงก้องจะมีความดังและทาให้เสียงท่ีอยู่
แนบชิดดังข้ึนด้วย ส่วนเสียงไม่ก้อง (voiceless sound) หมายถึง เสียงพูดที่เปล่งออกมา เม่ือเส้นเสียงอยู่ใน
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๖๐
ตาแหน่งท่ีเรียกว่า เปิด ลมทถ่ี ูกดันให้ผ่านเส้นเสยี งขึ้นมาจะไม่ทาใหเ้ ส้นเสียงสั่น เสียงที่เกิดจะเป็นเสยี งไม่ก้อง
ไม่สามารถแต่งระดับให้สูงหรือต่าได้ เสียงไม่ก้องมักไมม่ ีความดังจึงต้องอาศยั เสียงก้องที่อยู่แนบชิดทาให้ดังข้ึน
ได้ ตัวอย่างเช่น ในภาษาไทย เสียงพยัญชนะ บ ด เป็นเสียงก้อง เสียง ป ต เป็นเสียงไม่ก้อง ในภาษาอังกฤษ
เสยี ง b d z v เป็นเสยี งก้อง p t s f เปน็ เสยี งไมก่ ้อง เปน็ ตน้
๒.๒ ตาแหน่งที่เกิดของเสียง ลมท่ีใช้ในการออกเสียงพยัญชนะน้ันจะมาถูกกัก หรือถูกดัดแปลง
จนเกิด การกัก การเสียดแทรก หรือเกิดอาการอน่ื ใด ในช่องปากจะตอ้ งมีตาแหน่งที่เกิดอยู่ด้วยเสมอ ตาแหน่ง
น้ัน คือ ตาแหน่งที่ลมทาอาการอย่างน้ัน ๆ เช่น ถ้าลมถูกกักที่ตรงริมฝีปาก ริมฝีปากก็เป็นตาแหน่งท่ีเกิดของ
เสียงกักนั้น ถ้าลมถูกกักท่ีเพดานแข็ง เพดานแข็งก็เป็นตาแหน่งที่เกิดของเสียงกักน้ัน เป็นต้น ในการอธิบาย
เสียงพูดโดยเฉพาะเสียงพยัญชนะ จึงต้องพูดถงึ ตาแหน่งหรือฐานที่เกิดของพยัญชนะน้ันด้วย ตาแหนง่ สาคัญที่
เกิดของเสียงพยัญชนะ คือ ริมฝีปาก ฟัน ปุ่มเหงือก เพดานแข็ง เพดานอ่อน และช่องระหว่างเส้นเสียง มีอยู่
ตาแหน่งหน่ึงซึ่งใช้อวัยวะ ๒ ตาแหน่งพร้อมกัน คือ ฟันบนกับริมฝีปากล่าง เมื่อกดฟันบนกับริมฝีปากกล่าวไว้
เบา ๆ และใหล้ มผ่านออกมาจะทาให้เกิดเสียงเสียดแทรกเสยี งหนงึ่ คือ เสยี งของพยญั ชนะ ฟ
๒.๓ การออกเสียงพยัญชนะจะออกเสียงได้ไม่สะดวกเท่าการออกเสียงสระ เพราะในการออก
เสียงพยัญชนะ ในช่องปากฐานกับกรณ์จะปิดก้ันทางเดินทางลม ส่วนการออกเสียงสระจะไม่มีปิดก้ันทาง
เดนิ ทางลม
๒.๔ การออกเสยี งพยญั ชนะจะออกเสยี งยาวนานเท่าสระไม่ได้
๒.๕ การออกเสียงพยัญชนะลมสามารถผ่านออกไปทางช่องปากหรือทางช่องจมูกก็ได้ แต่ในการ
ออกเสียงสระลมสามารถผ่านออกทางชอ่ งปากไดช้ อ่ งทางเดียว
๒.๖ หน่วยเสียงท่ีทาหน้าที่เป็นต้นคาหรือต้นพยางค์และหรือทาหน้าท่ีเป็นเสียงท้ายคาหรือท้าย
พยางค์ของคาต่าง ๆ หรือบางครั้งสามารถควบกล้ากับเสียงอ่ืนท่ีเป็นพยัญชนะต้นหรือท้ายคาหรือท้ายพยางค์
ของคาในภาษาตา่ ง ๆ ไดด้ ้วย
๓.๓ หนว่ ยเสียงพยญั ชนะ
ในภาษาไทยมีตัวอักษร ๔๔ ตวั ได้แก่ ก ข ฃ ค ฅ ฆ ง จ ฉ ช ซ ฌ ญ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ด ต ถ ท ธ น บ
ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม ย ร ล ว ศ ส ษ ห ฬ อ ฮ มหี น่วยเสยี ง ๒๑ หน่วยเสยี ง ได้แก่ /p/ /t/ /c/ /k/ /?/ /ph/ th/
/kh/ /b/ /d/ /m/ /ŋ/ /f/ /s/ /h/ /l/ /s/ /w/ /y/ ดงั แผนภาพแสดงหน่วยเสียงพยัญชนะตอ่ ไปน้ี
ฐานกรณ์ รมิ ฝีปาก รมิ ฝปี าก- ฟนั -ปมุ่ เพดานแข็ง เพดานอ่อน ชอ่ งระหวา่ ง
ลักษณะของเสยี ง P ฟนั เหงอื ก เส้นเสยี ง
ระเบดิ ไม่กอ้ ง ไม่มลี ม ph
b f t k?
ไม่ก้อง มีลม
ก้อง ไม่มลี ม m th kh
กกั เสียด ไม่ก้อง ไม่มลี ม
แทรก ไม่กอ้ ง มีลม w d
เสียดแทรก
นาสิก c
ขา้ งล้นิ ch
รวั
กงึ่ สระ sh
nŋ
l
r
j (w)
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๖๑
หน่วยเสียงพยัญชนะในภาษาไทย แบ่งตามลักษณะการเกิดเสียงได้ ๗ ลักษณะ (กาญจนา นาคสกุล,
๒๕๕๙ : ๑๑๑ – ๑๑๗; เรืองเดช ปันเขื่อนขัติย์, ๒๕๕๒ : ๘๙; จินดา เฮงสมบูรณ์, ๒๕๔๒ : ๖๔ – ๗๑; รุ่งฤดี
แผลงศร, ๒๕๖๑ : ๑๔๔ – ๑๕๖) ซึ่งสรปุ ความได้ดงั นี้
๑. พยัญชนะระเบิด (Plosive) คือ เสียงพยัญชนะซ่ึงเกิดจากการที่ลมซึ่งเปล่งออกมาถูกกัก ณ ที่
ใดท่ีหนึ่งในช่องปาก แล้วเปิดช่องท่ีกักน้ันให้ลมพุ่งออกมาโดยแรง ตาแหน่งที่ลมจะถูกกักนั้นมีหลายตาแหน่ง
เช่น ทีร่ ิมฝปี าก ที่ฟัน ทีเ่ พดานแข็ง ที่เพดานอ่อน ฯลฯ เสยี งระเบดิ นี้ ถ้ามีลมหายใจเพิม่ ขึ้นมาอีก ก็จะเรยี กว่า
เสียงระเบิดมีลม (aspirated plosive) ส่วนเสียงระเบิดธรรมดา คือ เสียงระเบิดซึ่งไม่มีลมหายใจเพิ่มมาอีก
เรียกว่า เสียงระเบดิ ไม่มลี ม (unaspirated plosive) เสียงระเบดิ ในภาษาไทยมีอยู่หลายเสยี ง
ในภาษาไทยมีเสียงพยัญชนะพวกหนึ่ง มีลักษณะการเกิดในระยะต้นเหมือนกับพยัญชนะระเบิด
คอื ลมที่ออกจากปอดผ่านเส้นเสียงแล้ว มาถูกกัก ณ ที่ใดท่ีหนึ่งในชอ่ งปาก หรอื ลมมาถูกกักท่ีเส้นเสียง แต่ลม
ทถ่ี ูกกักน้ันแทนที่จะระเบิดออกมา ก็ถูกกลืนกลับลงไปใหม่หรืออาจจะกลายเป็นลมหายใจธรรมดาออกไปทาง
จมูก เพราะช่องที่กักลมไว้น้ันไม่เปิดออก เสียงอย่างน้ีเรียกว่าเสียงกักหรือเสียงพยัญชนะกัก (stop) ใน
ภาษาไทย พยัญชนะกักเกิดตามเสียงสระ คือเกิดเป็นเสยี งพยัญชนะท้ายเท่าน้ัน เสียงกักกับเสียงระเบิดจึงเป็น
เสียงที่เกิดหลีกล้อกัน คือเสียงระเบิดเกิดแต่ในตาแหน่งพยัญชนะต้น เสียงกักเกิดแต่ในตาแหน่งพยัญชนะท้าย
มีหนว่ ยเสยี งพยญั ชนะระเบิด ดงั น้ี
หน่วยเสียง /p/ เป็นหน่วยเสียงพยัญชนะเสียงระเบิด ไม่ก้อง ไม่มีลม เกิดท่ีริมฝีปากทั้งสอง
ปรากฏทงั้ ตาแหนง่ ต้นพยางคแ์ ละท้ายพยางค์ และสามารถเกิดควบกล้ากับหน่วยเสยี ง /l/ และ /r/ เป็นหน่วย
เสยี งพยญั ชนะต้นควบกล้า /pl/ และ /pr/
หน่วยเสียง /t/ เป็นหน่วยเสียงพยัญชนะเสียงระเบิด ไม่ก้อง ไม่มีลม เกิดที่ปุ่มเหงือก ปรากฏใน
ตาแหนง่ ตน้ พยางค์และทา้ ยพยางค์ และยงั สามารถเป็นพยัญชนะตน้ ควบกล้ากบั หนว่ ยเสียง /r/ ได้ เชน่ /tr/
หนว่ ยเสียง /k/ เป็นหนว่ ยเสยี งพยัญชนะระเบดิ ไม่ก้อง ไม่มีลม เกิดท่ีเพดานอ่อน ปรากฏใน
ตาแหน่งตน้ พยางค์และท้ายพยางค์ และยงั สามารถเกดิ ควบกับหน่วยเสียง /r/ /l/ /w/ เปน็ พยญั ชนะควบกล้า
/kr/ /kl/ /kw/ และปรากฏหนา้ หน่วยเสยี งสระไดท้ ุกเสียง
หน่วยเสียง /?/ เป็นหน่วยเสียงพยัญชนะระเบิด ไม่ก้อง ไม่มีลม เกิดที่ช่องระหว่างเส้นเสียง
ปรากฏท้ังต้นคาและทา้ ยคาท่มี ีสระเสียงสัน้ พยางค์เดยี วและเนน้ เสยี ง
หน่วยเสียง /ph/ เป็นหน่วยเสียงพยัญชนะระเบิด ไม่ก้อง มีลม เกิดที่ริมฝีปากท้ังสองปรากฏ
เฉพาะในตาแหน่งต้นพยางค์เท่านั้น และสามารถเกิดควบกล้ากับหน่วยเสียง /r/ และ /l/ เป็นเสียงพยัญชนะ
ควบกล้า เชน่ /phr/ /phl/
หน่วยเสียง /th/ เป็นหน่วยเสียงพยัญชนะระเบิด ไม่ก้อง มีลม เกิดท่ีปุ่มเหงือก ปรากฏเฉพาะ
ตาแหน่งต้นพยางค์และร่วมกับหน่วยเสียง /r/ เป็นเสียงควบกล้า /thr/ ในคายืมจากภาษาสันสกฤต และ
ปรากฏหน้าหน่วยเสยี งสระได้ทกุ หน่วยเสียง
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๖๒
หน่วยเสียง /kh/ เป็นหน่วยเสียงพยัญชนะระเบิด ไม่ก้อง มีลม เกิดท่ีเพดานอ่อน ปรากฏเฉพาะ
แต่ต้นพยางค์และนาหน้าหน่วยเสียงสระ ได้ทุกหน่วยเสียง และสามารถเกิดควบกล้ากับหน่วยเสียง /w l r/
เป็นเสียงควบกลา้ /khw/ /khl/ /khr/
หน่วยเสยี ง /b/ เป็นหน่วยเสียงพยญั ชนะระเบดิ ก้อง ไม่มีลม เกิดที่ริมฝีปากท้ังสอง ปรากฏ
เฉพาะกับตาแหน่งต้นพยางค์ ยกเว้นปรากฏหน้า /b/ ในทางสัทศาสตร์ และปรากฏหน้าหน่วยเสียงสระได้ทุก
หนว่ ยเสยี ง
หน่วยเสียง /d/ เป็นหน่วยเสียงพยัญชนะระเบิด ก้อง ไม่มีลม เกิดท่ีปุ่มเหงือก หน่วยเสียงน้ี
ปรากฏเฉพาะกับตาแหนง่ ต้นพยางค์ ยกเว้นปรากฏหน้า /d/ ในทางสัทศาสตร์และปรากฏหน้าหน่วยเสยี งสระ
ได้ทกุ หนว่ ยเสียง ดงั ตารางภาพหนว่ ยเสียงพยญั ชนะระเบิดต่อไปน้ี
อวยั วะทใ่ี ช้ออกเสยี ง ริมฝปี าก ริมฝีปาก- ฟนั -ปมุ่ เหงอื ก เพดาน เพดาน ช่องระหวา่ ง
ลักษณะเสยี ง ฟนั แขง็ ออ่ น เส้นเสยี ง
ระเบดิ ไมก่ อ้ ง ไม่มีลม P t
Ph th k?
ไมก่ ้อง มีลม b d
ก้อง ไม่มีลม kh
กักเสียดแทรก ไม่ก้อง ไม่มีลม
ไม่กอ้ ง มลี ม
เสียดแทรก
นาสกิ
ขา้ งลิน้
รัว
กง่ึ สระ
๒. พยัญชนะกักเสียดแทรก (affricates) เสียงกักเสยี ดแทรกเป็นเสยี งท่เี กดิ จากลมจากปอดจะข้ึน
ไปช่องจมูกไม่ได้ในระหวา่ ง กล่าวคอื ในช่องปากทางเดินของลมถกู ปดิ กั้นสนิทชั่วระยะหนึ่ง หลงั จากนนั้ อวยั วะ
ที่ปิดกั้นทางเดินของลมจะเคล่ือนตัวออกจากกัน การเคลื่อนตัวออกจากกันของอวัยวะท่ีเกี่ยวข้องในการเปล่ง
เสียงกักเสียดแทรกน้ีจะเกิดข้ึนช้ากว่าการเปล่งเสียงระเบิดทาให้เกิดเสียงเสียดแทรกขึ้นเม่ือปล่อยลมที่ถูกกัก
ออกไป เสยี งพยัญชนะกักเสยี ดแทรกในภาษาไทยมี ๒ หนว่ ยเสียง ดงั น้ี
หน่วยเสยี ง /c/ เปน็ หนว่ ยเสียงพยญั ชนะระเบิด ไม่ก้อง ไม่มีลม เกดิ ท่ีเพดานแข็งส่วนหน้าใกล้กับ
ปุ่มเหงือก หน่วยเสียงนี้ปรากฏเฉพาะต้นพยางค์เท่านั้น และสามารถเกิดหน้าหน่วยเสียงสระได้ทุกหน่วยเสียง
และเปน็ ได้ทัง้ หน่วยเสยี งพยญั ชนะระเบิดและเสียดแทรก จงึ นิยมเรยี กอีกชอ่ื หนึง่ ว่า ก่งึ เสียดแทรก
หน่วยเสียง /ch/ เป็นหน่วยเสยี งพยัญชนะระเบิด ไม่ก้อง มีลม เกิดท่ีเพดานแข็งส่วนหน้าใกล้กับ
ปมุ่ เหงือก หน่วยเสียงน้ีเป็นได้ทงั้ เสียงระเบิดและเสียงเสียดแทรกท่ีปลายล้ิน โดยกักลมไว้แล้วปล่อยลมออกใน
ท่ีแคบ ๆ ทาให้เกิดเสียงเสียดแทรกเล็กน้อย จึงมักเรียกหน่วยเสียงพยัญชนะนี้ว่า พยัญชนะก่ึงเสียดแทรก
เช่นเดียวกับหน่วยเสียง /c/ ซ่ึงแตกต่างกันเพียงเสียงไม่มีลมกับมีลมเท่านั้น หน่วยเสียง /ch/ ปรากฏเฉพาะ
ตาแหน่งต้นพยางค์เท่านั้นและสามารถปรากฏได้กับหน่วยเสยี งสระทกุ หนว่ ยเสียง ท้ังสระเดย่ี วและสระประสม
ดงั ตารางภาพหนว่ ยเสยี งพยัญชนะกกั เสียดแทรก ตอ่ ไปน้ี
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๖๓
อวัยวะทใี่ ช้ออกเสยี ง รมิ ฝีปาก รมิ ฝปี าก- ฟัน-ปมุ่ เหงือก เพดาน เพดาน ชอ่ งระหว่าง
ลักษณะเสยี ง ฟัน แข็ง อ่อน เสน้ เสยี ง
ระเบิด ไม่กอ้ ง ไม่มีลม
c
ไม่กอ้ ง มีลม ch
กอ้ ง ไม่มีลม
กกั เสียดแทรก ไมก่ ้อง ไม่มีลม
ไมก่ ้อง มลี ม
เสียดแทรก
นาสกิ
ขา้ งลิ้น
รัว
ก่ึงสระ
๓. พยัญชนะเสียดแทรก (fricative) คือ เสียงพยัญชนะซึ่งเกิดข้ึนเมื่อลมที่ทาให้เกิดเสียงต้องบีบ
ตัวผ่านชอ่ งแคบ ณ ที่ใดท่ีหนงึ่ ในชอ่ งปาก และทาให้เกิดเสียงซซู่ ่าขึ้น อวัยวะส่วนทที่ าให้เกดิ ช่องแคบได้ คือริม
ฝีปากบนกับล่าง, ฟันบนกับริมฝีปากลา่ ง, ลิน้ กับส่วนต่าง ๆ ของเพดานปาก, และที่ชอ่ งระหว่างเสน้ เสียง เสยี ง
เสียดแทรกจงึ มหี ลายเสยี ง ในภาษาไทยเสียงเสยี ดแทรกจะปรากฏเฉพาะในตาแหนง่ พยัญชนะต้นเท่าน้ัน เสียง
พยญั ชนะเสียงแทรกในภาษาไทยมี ๓ เสียง จดั เป็นหน่วยเสยี ง ๓ หน่วยเสียง ดงั นี้
หน่วยเสียง /f/ เป็นหน่วยเสียงพยัญชนะเสียดแทรก ไม่ก้อง เกิดระหว่างริมฝีปากล่างกับฟันบน
หน่วยเสียงน้ีปรากฏเฉพาะตาแหน่งต้นพยางค์ ยกเว้นปรากฏหน้า /f/ ในทางสัทศาสตร์ และสามารถนาหน้า
เสียงสระได้ทุกหน่วยเสียง ยกเว้นสระ /e:/ และสามารถเกิดควบกล้ากับหน่วยเสียง /r/ /l/ เป็นเสียงควบกล้า
/fr/ /fl/ ในคายืมจากภาษาองั กฤษไดอ้ ีกดว้ ย
หน่วยเสียง /s/ เป็นหน่วยเสียงพยัญชนะเสียดแทรก ไม่ก้อง เกิดที่ฟันระหว่างฟันบนและฟันล่าง
กับปลายลิ้น โดยเปิดให้ลมผ่านออกทางช่องแคบ ๆ เป็นเสียงเสียดแทรกข้ึน หน่วยเสียงน้ี ปรากฏเฉพาะ
ตาแหน่งตน้ พยางคเ์ ท่าน้ันและสามารถนาหนา้ หน่วยเสียงสระได้ทุกหนว่ ยเสียง
หน่วยเสียง /h/ เป็นหน่วยเสียงพยัญชนะเสียดแทรก ไม่ก้อง เกิดท่ีช่องระหว่างเส้นเสียง หน่วย
เสยี งนี้ปรากฏ ไดท้ ้งั ตาแหน่งตน้ พยางค์และท้ายพยางค์ ในตาแหน่งท้ายพยางคจ์ ะเป็นเสยี งเสยี ดแทรกแบบเบา
ๆ ปรากฏเฉพาะกับคาลงท้ายเท่านั้น และสามารถนาหน้าหน่วยเสยี งสระได้ทุกเสียง ดังตารางภาพหน่วยเสียง
พยญั ชนะเสยี ดแทรก ตอ่ ไปน้ี
อวัยวะทใี่ ช้ออกเสียง ริมฝีปาก รมิ ฝีปาก- ฟัน-ปมุ่ เหงอื ก เพดาน เพดาน ช่องระหวา่ ง
ลกั ษณะเสยี ง ฟนั แขง็ อ่อน เสน้ เสยี ง
ระเบดิ ไม่ก้อง ไม่มีลม
fs h
ไมก่ ้อง มลี ม
กอ้ ง ไม่มีลม
กกั เสยี ดแทรก ไมก่ อ้ ง ไม่มีลม
ไมก่ ้อง มีลม
เสียดแทรก
นาสิก
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๖๔
ขา้ งลิ้น
รัว
กึง่ สระ
๔. พยัญชนะนาสิก (nasal) มีวิธีการเปล่งเสียงคล้ายกับการเปล่งเสียงพยัญชนะกัก แต่เม่ือให้ลม
มากักอยู่ในช่องปากแล้วก็ลดล้ินไก่ลง, เปิดช่องจมูกให้ลมออกไปทางโพรงจมูก ลมถูกกักในช่องปาก ณ
ตาแหน่งใด ตาแหน่งนั้นก็จะเป็นที่เกิดของพยัญชนะนาสิกน้ันด้วย หน่วยเสียงพยัญชนะนาสิกท่ีปรากฏใน
ภาษาไทยมี ๓ หน่วย มีลักษณะเป็นเสียงก้องทั้งหมด หน่วยเสียงท้ัง ๓ นี้ ปรากฏได้ทั้งเป็นเสียงพยัญชนะต้น
และเป็นเสยี งพยญั ชนะท้าย เสยี งพยัญชนะนาสกิ ในภาษาไทยมี ๓ หน่วยเสียง ดงั น้ี
หนว่ ยเสยี ง /m/ เป็นหนว่ ยเสยี งพยัญชนะนาสิก กอ้ ง เกิดทีร่ ิมฝปี ากทั้งสอง โดยปดิ ลมไวแ้ ตล่ น้ิ ไก่
และเพดานอ่อนจะเปดิ ให้ลมผ่านออกไปทางรูจมูก หน่วยเสียงนป้ี รากฏทัง้ ตาแหนง่ ตน้ พยางคแ์ ละท้ายพยางค์
และสามารถนาหนา้ หนว่ ยเสียงสระได้ทกุ หน่วยเสยี ง ทง้ั สระเด่ียวและสระประสม
หน่วยเสียง /n/ เป็นหน่วยเสียงพยญั ชนะนาสิก ก้อง เกิดทป่ี ุ่มเหงือก เวลาเปล่งเสียงปลายลิ้นจะ
ยกปิดลมท่ีปุ่มเหงือกหลังฟัน ล้ินไก่ และเพดานอ่อนจะเปิดให้ลมผ่านออกไปทางจมูก ปรากฏท้ังตาแหน่งต้น
พยางค์และท้ายพยางค์ และสามารถนาหนา้ เสียงสระได้ทุกเสยี ง
หน่วยเสียง /ŋ/ เป็นหน่วยเสียงพยัญชนะนาสิก ก้อง เกิดท่ีเพดานอ่อน ในการเปล่งเสียง ปลาย
ลน้ิ จะโค้งไปปิดลมไวท้ ี่เพดานอ่อน โดยเปิดใหล้ มผ่านออกไปทางจมูกโดยสะดวก ปรากฏท้งั ตาแหน่งต้นพยางค์
และท้ายพยางค์ และสามารถนาหน้าเสียงสระได้ทุกหน่วยเสียง ยกเว้นสระ /?:/ และตามเสียงสระได้ทุกเสียง
ยกเวน้ /i:/ /Ɯ:/ ดงั ตารางภาพหน่วยเสยี งพยัญชนะนาสิก ต่อไปนี้
อวยั วะท่ีใช้ออกเสยี ง รมิ ฝีปาก รมิ ฝีปาก- ฟนั -ปุ่มเหงอื ก เพดาน เพดาน ชอ่ งระหว่าง
ลักษณะเสยี ง m ฟัน แขง็ อ่อน เสน้ เสยี ง
ระเบดิ ไมก่ ้อง ไม่มีลม
n ŋ
ไม่กอ้ ง มลี ม
ก้อง ไม่มีลม
กักเสียดแทรก ไม่กอ้ ง ไม่มีลม
ไม่กอ้ ง มลี ม
เสยี ดแทรก
นาสกิ
ข้างลิน้
รัว
ก่ึงสระ
๕. พยัญชนะข้างลิ้น (lateral) คือ เสียงพยัญชนะก้อง ซ่ึงเปล่งเสียงโดยลิ้นปิดบริเวณปุ่มเหงือก
และเพดานตรงสว่ นกลางไว้ ปลอ่ ยให้ลมออกมาทางข้าง ๆ ลนิ้ ดงั น้ี
หน่วยเสียง /l/ เป็นหน่วยเสียงพยัญชนะข้างลิ้น ก้อง เกิดที่ข้างล้ิน เพราะในการออกเสียง ลิ้น
ส่วนหน้าและส่วนปลายจะกักลมไว้ระหว่างปลายลิ้นกับปุ่มเหงือก โดยปล่อยให้ลมผ่านออกไปทางข้างลิ้น จึง
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๖๕
นิยมเรยี กว่า พยญั ชนะขา้ งลิ้น หน่วยเสยี งนี้ปรากฏเฉพาะต้นพยางค์เทา่ นัน้ และสามารถเกดิ รว่ มกบั หนว่ ยเสยี ง
พยัญชนะต้น คือ /k/ /khp/ /ph/ เป็นเสียงควบกล้า /kl/ /khl/ /pl/ /phl/ และเกิดนาหน้าหน่วยเสียงสระ
ทุกหน่วยเสยี ง ดังตารางภาพหนว่ ยเสยี งพยัญชนะขา้ งลน้ิ ต่อไปนี้
อวัยวะทีใ่ ช้ออกเสยี ง ริมฝปี าก ริมฝีปาก- ฟัน-ปมุ่ เหงอื ก เพดาน เพดาน ช่องระหวา่ ง
ลักษณะเสยี ง ฟนั แข็ง อ่อน เส้นเสยี ง
ระเบิด ไม่ก้อง ไม่มีลม
l
ไมก่ อ้ ง มีลม
ก้อง ไม่มีลม
กักเสยี ดแทรก ไม่กอ้ ง ไม่มีลม
ไมก่ อ้ ง มีลม
เสยี ดแทรก
นาสิก
ขา้ งลิ้น
รวั
กึ่งสระ
๖. พยัญชนะรัวลิ้น (trill) หรือพยัญชนะเสียงกระดกลิ้น เสียงรัวเกิดจากลมจากปอดจะขึ้นไปท่ี
ชอ่ งจมูกหรอื ไมข่ ึ้นก็ได้ ลมจะถูกอวัยวะในช่องปากผลักออกไปกระทบกับอีกอวยั วะหน่ึงหลาย ๆ ครั้งติดต่อกัน
จนเกดิ เปน็ อาการรวั
หน่วยเสียง /r/ เป็นหน่วยเสียงพยัญชนะรัวล้ินหรือเสียงกระดกล้ิน ก้อง เกิดท่ีบริเวณปุ่มเหงือก
ใกล้ฟันบน ในการออกเสียงใช้ปลายลิ้นสะบัดหรือรัวบริเวณหลังฟันบน หน่วยเสียงน้ีปรากฏเฉพาะตาแหน่งต้น
พยางค์ สามารถนาหน้าเสียงสระได้ทุกหน่วยเสยี ง และสามารถเกดิ ร่วมกับหนว่ ยเสียงพยญั ชนะ /p/ /ph/ /k/
/kh/ เปน็ เสียงควบกล้า /pr/ /phr/ /kr/ /khr/ ไดอ้ กี ดว้ ย ดงั ตารางภาพหนว่ ยเสยี งพยัญชนะรวั ล้นิ ต่อไปน้ี
อวัยวะที่ใช้ออกเสียง ริมฝปี าก รมิ ฝีปาก- ฟนั -ปุ่มเหงือก เพดาน เพดาน ชอ่ งระหวา่ ง
ลกั ษณะเสยี ง ฟนั แขง็ อ่อน เส้นเสียง
ระเบดิ ไมก่ อ้ ง ไม่มีลม
r
ไม่กอ้ ง มลี ม
ก้อง ไม่มีลม
กกั เสียดแทรก ไม่ก้อง ไม่มีลม
ไมก่ ้อง มลี ม
เสียดแทรก
นาสิก
ข้างลิ้น
รัว
กึ่งสระ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๖๖
๗. พยัญชนะกึ่งสระ (semi-vowel) เสียงพยัญชนะก่ึงสระหรือเสียงอัฒสระในภาษาไทยมี ๒
หน่วยเสียง ทง้ั สองหน่วยเสียงสามารถปรากฏได้ท้ังตาแหน่งต้นพยางค์และทา้ ยพยางค์ เฉพาะหน่วยเสียง /w/
สามารถเกิดร่วมกับหนว่ ยเสียง /k/ /kh/ เป็นเสียงควบกล้า /kw/ /khw/ ได้ด้วยและเปน็ ควบกล้าเสียงเดียวที่
เจ้าของภาษาสามารถออกเสียงควบกลา้ ไดช้ ัดเจนกว่าเสียงควบกล้าอื่น หนว่ ยเสียงท้ังสองเสียงมีสทั ลักษณ์และ
การปรากฏ ดังนี้
หนว่ ยเสยี ง /w/ เป็นหน่วยเสียงพยัญชนะกึ่งสระ ก้อง เกิดท่รี ิมฝีปากทั้งสองและเพดานออ่ น เป็น
เสียงก่ึงสระระหว่างสระสูง /u/ กับสระอื่นอีกหนึ่งสระท่ีตามมา หน่วยเสียงนี้ปรากฏถึง ๓ ตาแหน่งในพยางค์
ภาษาไทยคือ เป็นพยัญชนะตน้ เป็นเสียงควบกล้ากับหน่วยเสียง /k/ /kh/ เป็นพยัญชนะท้ายหรือตัวสะกดแม่
เกอวในภาษาไทย และสามารถเกดิ นาหน้าหน่วยเสียงสระได้ทุกหน่วยเสียง ยกเว้นสระ /iə/ และเกิดหลังเสียง
สระไดท้ กุ เสยี ง ยกเว้นสระ /i/ /i:/ /Ɯ/ /Ɯ:/ /ɔ/ /ɔ:/ /iə/
หนว่ ยเสียง /j/ เป็นหน่วยเสียงพยัญชนะก่ึงสระ กอ้ ง เกดิ ท่ีเพดานแขง็ เป็นเสียงท่เี กิดระหวา่ งสระ
/i/ และสระอื่นที่มีความดังเท่า ๆ กันหรือดังกว่า ปรากฏได้ทั้งตาแหน่งต้นพยางค์และท้ายพยางค์คือ เป็น
ตัวสะกดสามารถเกิดนาหนา้ หน่วยเสยี งสระได้ทุกเสียง ดังตารางภาพหนว่ ยเสยี งพยญั ชนะกึง่ สระ ตอ่ ไปน้ี
อวัยวะทใ่ี ช้ออกเสยี ง ริมฝีปาก ริมฝปี าก- ฟนั -ปมุ่ เหงือก เพดาน เพดาน ชอ่ งระหวา่ ง
ลักษณะเสยี ง w ฟัน แข็ง อ่อน เสน้ เสยี ง
ระเบดิ ไม่กอ้ ง ไม่มีลม
j (w)
ไม่กอ้ ง มลี ม
กอ้ ง ไม่มีลม
กักเสียดแทรก ไมก่ ้อง ไม่มีลม
ไมก่ อ้ ง มลี ม
เสียดแทรก
นาสิก
ข้างลิ้น
รัว
กง่ึ สระ
๓.๔ การเทยี บหนว่ ยเสยี งพยัญชนะ
รูปพยัญชนะในภาษาไทยมี ๔๔ รูป ซึ่งสามารถจาแนกหน่วยเสียงตามแนวภาษาศาสตร์ภาษาไทยได้
๒๑ หน่วยเสียง แต่ละหน่วยเสียงจะเขียนด้วยสัทอักษร (Phonetic alphabet) เพื่อใช้ในการบันทึกเสียงพูด
ตวั สัทอักษรหน่ึงตวั ใช้บันทึกเสียงไดเ้ พียงหน่วยเสียงเดียวเท่านั้น หน่วยเสยี งพยัญชนะภาษาไทยสามารถเขียน
ดว้ ยสทั อักษรไดด้ งั น้ี /p-/ แทน ป, /t-/ แทน ต ฏ, /k-/ แทน ก, /?-/ แทน อ, /ph-/ แทน พ ภ ผ, /th-/ แทน
ท ธ ฑ ถ ฐ ฒ, /kh-/ แทน ข ฃ ค ฅ ฆ, /b-/ แทน บ, /d-/ แทน ด ฎ, /c-/ แทน จ, /ch-/ แทน ฉ ช ฌ, /f-/
แทน ฟ ฝ, /s-/ แทน ซ ส ศ ษ, /h-/ แทน ห ฮ, /m-/ แทน ม, /n-/ แทน น ณ, /ŋ-/ แทน ง, /l-/ แทน ล ฬ,
/r-/ แทน ร, /w-/ แทน ว, /j-/ แทน ย ญ ซึ่งหนว่ ยเสยี งพยัญชนะภาษาไทยดังทีไ่ ดก้ ลา่ วมาแลว้ นี้ ผ้เู ขยี นจะได้
นาหน่วยเสียงพยัญชนะภาษาไทยมาเทียบเสียง โดยการแบ่งเป็นกลุ่มได้ ๖ กลุ่ม ตามลักษณะของเสียงหรือ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๖๗
คุณสมบัติของเสียง (รุ่งฤดี แผลงศร, ๒๕๕๐ : ๓๘ – ๓๙; รุ่งฤดี แผลงศร, ๒๕๖๑ : ๑๔๑ – ๑๕๔; เรืองเดช
ปันเข่ือนขัตยิ ,์ ๒๕๕๒ : ๙๒ – ๑๐๑; วรวรรธน์ ศรียาภัย, ๒๕๕๖ : ๗๕ – ๘๒; อุดม วโรตมส์ กิ ขดติ ถ์, ๒๕๔๕ :
๗๒ – ๗๗; นิตยา กาญจนะวรรณ, ๒๕๕๔ : ๑๓๐ – ๑๓๔; กาญจนา นาคสกุล, ๒๕๕๙ : ๑๑๙ – ๑๕๑;
ประสทิ ธิ์ กาพยก์ ลอน, ๒๕๑๖ : ๖๐ – ๗๓) มรี ายละเอียดดงั ต่อไปนี้
๑. หน่วยเสียงพยัญชนะต้นแบ่งออกเป็น ๒ ชนิด คือหน่วยเสียงพยัญชนะต้นเดี่ยวและพยัญชนะต้น
ควบกล้า ดังน้ี
๑.๑ หน่วยเสียงพยัญชนะต้นเดี่ยว มีคู่เทียบเสียงตามกลุ่มที่เกิดหน่วยเสียง คือ เปรียบเทียบคู่
เทียบเสียงพยญั ชนะกลุ่มเสียงระเบิด กลุ่มเสียงกักเสียดแทรก กลุม่ เสยี งเสียดแทรก กลุ่มเสยี งนาสิก กลุ่มเสียง
รัวกบั กลุ่มเสยี งข้างล้ิน และกลุ่มเสยี งกงึ่ สระหรืออัฒสระ ในการหาคู่เทียบเสียงจะต้องใชเ้ สียงสระและตวั สะกด
เหมือนกนั ส่วนเสียงวรรณยุกต์ให้ใช้รปู วรรณยุกต์เหมอื นกัน และจะต้องเป็นคาไทยเท่านั้น ซง่ึ คาทุกคาทน่ี ามา
เทยี บเสียงจะต้องมคี วามหมาย ดงั น้ี
๑) เปรยี บเทียบค่เู ทียบเสียงพยัญชนะกลุ่มเสียงระเบดิ มี ๕ หน่วยเสยี ง ไดแ้ ก่
๑.๑) หนว่ ยเสียงพยัญชนะ /p-/ เทยี บกับ /ph-/
/p-/ กับ /ph-/ ตวั อยา่ งคาว่า “ปาน” กบั “พาน”
“ปี” กบั “ผี”
๑.๒) หนว่ ยเสยี งพยัญชนะ /ph-/ เทยี บกบั /b/
/ph-/ กับ /b-/ ตวั อย่างคาว่า “ปน” กบั “บน”
“ปก” กับ “บก”
๑.๓) หนว่ ยเสียงพยญั ชนะ /t-/ เทียบกบั /th-/
/t-/ กบั /th-/ ตวั อย่างคาวา่ “ตาล” กับ “ทาน”
“ตบ” กบั “ทบ”
๑.๔) หนว่ ยเสียงพยัญชนะ /th-/ เทียบกับ /d-/
/th-/ กบั /d-/ ตัวอยา่ งคาว่า “ดก” กบั “ทก”
“เดย่ี ว” กบั “เท่ียว”
๑.๕) หนว่ ยเสียงพยัญชนะ /k-/ เทยี บกบั /kh-/
/k-/ กับ /kh-/ ตัวอยา่ งคาวา่ “ไก”่ กบั “ไข”่
“เก้ียว” กบั “เคย้ี ว”
๒) เปรยี บเทียบคเู่ ทยี บเสยี งพยัญชนะกลุม่ เสียงกกั เสยี ดแทรก มี ๑ หน่วยเสียง ไดแ้ ก่
๒.๑) หน่วยเสียงพยัญชนะ /c-/ เทียบกับ /ch-/
/c-/ กับ /ch-/ ตวั อยา่ งคาว่า “จี้” กบั “ช้ี”
“จดุ ” กบั “ฉดุ ”
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๖๘
๓) เปรยี บเทยี บคู่เทยี บเสยี งพยญั ชนะกลุ่มเสียงเสียดแทรก มี ๒ หน่วยเสยี ง ไดแ้ ก่
๓.๑) หนว่ ยเสยี งพยญั ชนะ /f-/ เทียบกับ /s-/
/f-/ กบั /s-/ ตวั อย่างคาว่า “ไฟ” กับ “ไส”
“ฝน” กบั “ซน”
๓.๒) หน่วยเสยี งพยัญชนะ /s-/ เทียบกับ /h-/
/s-/ กบั /h-/ ตัวอยา่ งคาวา่ “สน่ั ” กับ “หน่ั ”
“ไส้” กับ “ไห้”
๔) เปรยี บเทียบคเู่ ทียบเสียงพยญั ชนะกล่มุ เสยี งนาสกิ มี ๒ หน่วยเสียง ได้แก่
๔.๑) หนว่ ยเสียงพยัญชนะ /m-/ เทียบกบั /n-/
/m-/ กบั /n-/ ตวั อยา่ งคาวา่ “มาย” กับ “นาย”
“มัด” กับ “นดั ”
๔.๒) หนว่ ยเสียงพยัญชนะ /n-/ เทยี บกบั /ŋ-/
/n-/ กบั /ŋ-/ ตัวอยา่ งคาว่า “นา” กับ “งา”
“นั้น” กับ “ง้นั ”
๕) เปรียบเทยี บคเู่ ทยี บเสียงพยญั ชนะกลุ่มเสียงรวั กบั กลมุ่ เสยี งข้างลิน้ มี ๑ หน่วยเสียง ไดแ้ ก่
๕.๑) หน่วยเสียงพยญั ชนะ /r-/ เทียบกับ /l-/
/r-/ กบั /l-/ ตัวอยา่ งคาวา่ “เรียน” กบั “เลยี น”
“รด” กับ “ลด”
๖) เปรยี บเทียบคู่เทียบเสียงพยัญชนะกลมุ่ เสียงกึ่งสระหรอื อฒั สระ มี ๑ หน่วยเสยี ง ได้แก่
๖.๑) หน่วยเสยี งพยัญชนะ /w-/ เทยี บกบั /y-/
/w-/ กับ /y-/ ตวั อย่างคาว่า “วนั ” กบั “ยัน”
“วาน” กับ “ยาน”
๑.๒ หน่วยเสยี งพยัญชนะต้นควบกล้า มี ๒ ชนิด คือ หนว่ ยเสียงพยัญชนะควบกล้าแท้และหน่วย
เสยี งพยญั ชนะควบกล้าไมแ่ ท้ ดงั นี้
๑) หน่วยเสียงพยัญชนะควบกล้าแท้ มี ๑๑ หน่วยเสียง คือ /pr-/ ปร, /phr-/ พร, /tr-/ ตร,
/kr-/ กร, /khr-/ ขร/คร, /pl-/ ปล, /phl-/ ผล/พล, /kl-/ กล, /khl-/ ขล/คล, /kw-/ กว, /khl-/ คว/ขว ใน
การหาคู่เทียบเสียงจะตอ้ งใชเ้ สียงสระและตวั สะกดเหมือนกัน ส่วนเสียงวรรณยุกต์ใหใ้ ชร้ ปู วรรณยุกตเ์ หมอื นกัน
และจะต้องเปน็ คาไทยเท่านัน้ ซึง่ คาทกุ คาท่ีนามาเทยี บเสยี งจะมีความหมายหรือไมม่ ีก็ได้ ดังน้ี
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
หน่วยเสียงพยญั ชนะคู่เทียบเสยี ง ตวั อย่างคาวา่ ๖๙
/p-/ กับ /pr-/ “เปยี บ กับ เปรยี บ”
/p-/ กบั /pl-/ “ปา กับ ปลา” “ปะ กับ ประ”
/ph-/ กบั /phr-/ “พาย กบั พราย” “ปี กบั ปลี”
/ph-/ กบั /phl-/ “พู กบั พลู” “แพ กบั แพร”
/t-/ กับ /tr-/ “เตียม กับ เตรยี ม” “พัน กบั พลนั ”
/k-/ กบั /kr-/ “กาบ กบั กราบ” “ตา กบั ตรา”
/k-/ กบั /kl-/ “กวั กบั กลัว” “กาว กับ กราว”
/k-/ กบั /kw-/ “กาด กับ กวาด” “ไก กับ ไกล”
/kh-/ กับ /khr-/ “คู กับ คร”ู “กดั กบั กวัด”
/kh-/ กบั /khl-/ “ขาด กับ ขลาด” “คบ กับ ครบ”
/kh-/ กบั /khw-/ “คาย กับ ควาย” “เขา กับ เขลา”
“ค้า กบั ควา้ ”
๒) หน่วยเสียงพยัญชนะควบกล้าไม่แท้ มี ๓ หน่วยเสียง คือ /cr-/ จร, /thr-/ ทร, /sr-/ สร/
ศร ซึ่งไม่สามารถเทียบเสียงพยัญชนะได้ ดังนั้น ผู้สอนอาจจะสร้างแบบฝึกการออกเสียงพยัญชนะควบกล้าไม่
แท้ เพ่ือให้ฝึกออกเสียง โดยแบ่งเป็นกลุ่ม ๆ ตามลักษณะของเสียง เพ่ือให้ผู้เรียนจดจาได้ง่ายและเป็นระบบ
ได้แก่ /cr-/ จร ออกเสียงเหมือนกับ /c-/ จ เช่นคาว่า จริง /thr-/ ทร ออกเสียงเหมือนกับ /s-/ ซ เช่นคาว่า
ทราย ทราบ ทรุดโทรม ฉะเชิงเทรา พุทรา เป็นต้น /sr-/ สร/ศร ออกเสียงเหมือนกับ /s-/ ส เช่นคาว่า เสริม
สร้าง เสรจ็ สระ ศรี เศร้า ศรทั ธา เศรษฐี เป็นต้น
๒. หน่วยเสียงพยัญชนะท้าย หรือจะเรียกว่า ตัวสะกด หมายถึง หน่วยเสียงพยัญชนะท่ีปรากฏท้าย
พยางค์หรือตามหลังสระ มี ๘ หน่วยเสียง แบ่งตามคู่เทียบเสียงได้ ๓ กลุ่ม คือ กลุ่มเสียงกัก ได้แก่ แม่กก แม่
กด แม่กบ กลุ่มเสียงนาสิก ได้แก่ แม่กง แมก่ น แมก่ ม กลุ่มเสียงกึ่งสระหรืออัฒสระ ได้แก่ แม่เกย และแม่เกอว
ในการหาคู่เทียบเสียงจะต้องใช้เสียงสระและพยัญชนะต้นเหมือนกัน ส่วนเสียงวรรณยุกต์ให้ใช้รูปวรรณยุกต์
เหมอื นกนั และจะตอ้ งเป็นคาไทยเทา่ นั้น ซ่งึ คาทกุ คาท่ีนามาเทียบเสียงจะมีความหมายหรือไม่มีกไ็ ด้ ดงั น้ี
๑) เปรียบเทียบคู่เทียบเสียงกลุ่มเสียงกัก ได้แก่ หน่วยเสียง /-p/ แทนตัวสะกดด้วย บ ป พ ฟ ภ
หน่วยเสียง /-t/ แทนตวั สะกดด้วย จ ช ซ ฎ ฏ ฑ ฐ ฒ ด ต ถ ท ธ ศ ษ ส หนว่ ยเสียง /-k/ แทนตัวสะกดด้วย
ก ข ค ฆ ดังนี้
หนว่ ยเสยี งพยญั ชนะคู่เทยี บเสียง ตวั อยา่ งคาวา่
/-p/ กับ /-t/ “สบู กับ สดู ” “สาป กบั สาด”
/-t/ กบั /-k/ “มุด กบั มุก” “กด กับ กก”
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๗๐
๒) เปรียบเทียบคู่เทียบเสยี งกลุ่มเสียงนาสิก ได้แก่ หน่วยเสียง /-m/ แทนตัวสะกดด้วย ม หน่วย
เสยี ง /-n/ แทนตัวสะกด น ญ ณ ร ล ฬ หน่วยเสยี ง /ŋ-/ แทนตัวสะกดด้วย ง ดังนี้
หน่วยเสียงพยัญชนะคูเ่ ทยี บเสียง ตัวอย่างคาว่า
/-m/ กบั /-n/ “ตาม กับ ตาล” “งาม กบั งาน”
/-n/ กบั /ŋ-/ “นาน กับ นาง” “จน กับ จง”
๓) เปรียบเทียบคู่เทียบเสียงกลุ่มเสียงก่ึงสระหรืออัฒสระ ได้แก่ หน่วยเสียง /-w/ แทนตัวสะกด
ด้วย ว หน่วยเสียง /-j/ แทนตัวสะกดดว้ ย ย ดังนี้
หนว่ ยเสียงพยัญชนะคู่เทียบเสยี ง ตวั อย่างคาว่า
/-w/ กับ /-j/ “สาว กับ สาย” “ลาว กบั ลาย”
ทั้งน้ี การเทียบหน่วยเสียงพยัญชนะภาษาไทยตามแนวภาษาศาสตร์ภาษาไทยดังกล่าวมาแล้วน้ี
สามารถนาไปสร้างเป็นแบบฝึกหัดเพื่อให้นักเรียน นักศึกษา หรือชาวต่างประเทศที่สนใจศึกษาได้ โดยการ
เปล่ียนหนว่ ยเสียงสระใหค้ รบทั้ง ๒๑ หน่วยเสียง และเพ่มิ จานวนคาในแบบฝกึ หัดไดอ้ ยา่ งไม่มกี าหนด
๓.๕ ความหมายของเสียงวรรณยุกต์
เรืองเดช ปันเข่ือนขัติย์ (๒๕๕๒ : ๑๑๕) กล่าวไว้ว่า เสียงวรรณยุกต์ (tone) คือระดับเสียงที่เป็น
องคป์ ระกอบของคาหรือพยางคข์ องภาษาทม่ี ีเสียงวรรณยกุ ต์ ระดบั เสียงที่มีประจาอย่แู ต่ละคา ถา้ เปล่ียนระดับ
เสยี งของคาก็จะทาให้ความหมายของคาเปลย่ี นไปเปน็ คนละคาหรือคนละความหมาย
กาชัย ทองหล่อ (๒๕๕๒ : ๗๕) กล่าวไว้ว่า อักษร ๓ หมู่นน้ั ใช้ผันด้วยวรรณยุกต์ วรรณยุกต์มี ๒ ชนิด
คือ ๑) วรรณยกุ ต์มีรปู หมายถึงวรรณยุกตท์ ีม่ ีเคร่ืองหมายบอกระดับของเสยี งให้เห็นชัดอยู่เบอื้ งบนอักษร มีอยู่
๔ รูปคือ ่ ้ เรียกช่ือว่าวรรณยุกต์ เอก โท ตรี จัตวา โดยลาดับและให้เขียนไว้เบ้ืองบนอักษรตอนสุดท้าย
เช่น ก่ ก้ ก ก ปั่น ปั้น ลื่น เล่ียน เป็นต้น ถ้าเป็นอักษรควบหรืออักษรนาให้เขียนไว้เบื้องบนอักษรตัวที่ ๒ เช่น
ครุ่น คลื่น เกล่ือน เกล้า ใกล้ เสน่ห์ หมั่น โกรน ฯลฯ และ ๒) วรรณยุกต์ไม่มีรูป ได้แก่เสียงท่ีมีทานองสูงต่า
ตามหมู่ของอักษร โดยไม่ต้องมีรูปวรรณยุกต์กากับก็อ่านออกเสียงได้เหมือนมีรูปวรรณยุกต์กากับอยู่ด้วย เช่น
นา หนะ นาก นะ หนา ฯลฯ
วิเชียร เกษประทุม (๒๕๕๘ : ๗) กล่าวไว้ว่า วรรณยุกต์ คือเครื่องหมายบอกระดับของเสียงอยู่เบื้อง
บนตวั อกั ษรท่ปี ระดิษฐข์ ึน้ มาแทนเสียงดนตรี เพราะภาษาไทยนยิ มออกเสียงสูง ๆ ต่า ๆ จงึ ตอ้ งอาศยั วรรณยกุ ต์
ช่วยในการออกเสียง คาว่า วรรณยุกต์ แปลตามรูปศัพท์ว่า เคร่ืองหมายประกอบตัวหนังสือ แบ่งออกเป็น ๒
อย่างคือ รูปวรรณยุกต์และเสียงวรรณยุกต์ รูปวรรณยุกต์มี ๔ รูปคือ ่ เรียก ไม้เอก, ้ เรียก ไม้โท, เรียก
ไม้ตรี, เรียก ไม้จัตวา รูปวรรณยุกต์ทั้ง ๔ รูปน้ี ใช้เขียนบนส่วนท้ายของพยัญชนะต้นเช่น ก่อ กล้วย กก กง
ถา้ พยญั ชนะนัน้ มีสระอยู่ข้างบน ใหเ้ ขียนวรรณยุกต์ไวบ้ นสระอกี ทีหนึง่
กาญจนา นาคสกลุ (๒๕๕๙ : ๑๕๖) กล่าวไว้ว่า ระดับสูงตา่ ของเสยี งในภาษาพดู จะจัดเป็น หน่วยเสียง
หรือไม่ ก็แล้วแต่ว่าระดับเสียงต่าง ๆ นั้นจะสามารถเกดิ ในท่ีแวดล้อมเดียวกัน แลว้ ทาให้เกิดคาท่ีมีความหมาย
ตา่ งกันได้หรือไม่ ในภาษาไทยระดบั เสียงสูงตา่ ของคา เรยี กวา่ วรรณยกุ ต์ เป็นส่วนสาคัญที่ทาให้คาตั้งแต่ ๒ คา
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๗๑
ขนึ้ ไป ซึ่งมสี ่วนประกอบอื่น ๆ คือ พยัญชนะตน้ สระ และพยัญชนะท้าย อย่างเดียวกัน มีความหมายต่างกันได้
วรรณยุกต์ในภาษาไทยจึงจัดเป็น หน่วยเสียง เรียกว่า หน่วยเสียงวรรณยุกต์ หน่วยเสียงวรรณยุกต์จัดเป็น
หน่วยเสียงซ้อน เพราะไม่เกดิ ตามลาพัง จะเกิดพร้อมกับหน่วยเสยี งเรียง โดยปรกติวรรณยุกตจ์ ะเกิดพร้อมกับ
สระ
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (๒๕๕๖ : ๑๑๐๐) ได้ให้ความหมายไว้ว่า วรรณยุกต์ คือ ระดับ
เสียงสูงต่าของคาในภาษาไทย มี ๕ เสียง คือ เสียงสามัญ เสียงเอก เสียงโท เสียงตรี เสียงจัตวา มีรูป
เครือ่ งหมายบอกระดบั ของเสียงอยู่เบื้องบนอักษร ๔ รปู คือ ่ (ไมเ้ อก) ้ (ไมโ้ ท) (ไม้ตร)ี (ไมจ้ ัตวา)
พระยาอุปกติ ศลิ ปสาร (๒๕๔๕ : ๑๒) กล่าวไว้ว่า วรรณยุกต์ คือการบังคับให้อ่านคาให้ออกเสียงสงู ๆ
ต่า ๆ ตามรูปวรรณยุกต์ปรากฏและไม่ปรากฏ อีกอย่างหน่ึง เสียงวรรณยุกต์ท่ีเปล่งออกมาสูง ๆ ต่า ๆ อย่าง
เสยี งเครอ่ื งดนตรี เรียกว่า เสียงดนตรี
วรวรรธน์ ศรียาภัย (๒๕๕๖ : ๙๖) กล่าวไว้ว่า เสียงวรรณยุกต์ หมายถึงเสียงสูงต่าในภาษาที่สามารถ
เปลี่ยนความหมายของคาได้และเป็นเสียงประกอบของเสียงอ่ืนท่ีไม่สามารถปรากฏตามลาพังได้ เรียกว่า
ลักษณะเหนือหน่วยแยกสว่ น (Suprasegmental features) ซ่ึงตา่ งจากเสียงพยญั ชนะและสระทีส่ ามารถแยก
ออกจากหนว่ ยเสียงอื่นได้และมีลกั ษณะเด่นเฉพาะตวั เรียกว่าเสยี งแยกสว่ น (Segmental sound)
นิตยา กาญจนะวรรณ (๒๕๕๔ : ๑๓๕) กล่าวไว้ว่า เสียงวรรณยุกต์ คือเสียงสูงต่าในคา ซึ่งมีการ
กาหนดเสียงสูงต่าไว้ตายตัวในคาแต่ละคา ถ้าออกเสียงสูงต่าผิดไปความหมายย่อมผิดไปด้วย ที่จริงภาษาแทบ
ทุกภาษาย่อมมีเสียงสูงต่าในภาษา แต่ไม่ได้กาหนดไว้ในคา คาคาเดียวกันอาจออกเสียงสูงต่าอย่างไรก็ได้
แล้วแต่จะไปอยู่ที่ใดของประโยคและผู้พูดพูดแสดงความรู้สึกอย่างไร มุ่งหมายอย่างไร บอกเล่า ถาม ขอร้อง
หรือบังคบั
สรปุ ความได้ว่า เสียงวรรณยุกต์ หมายถึง พยางค์ท่มี กี ารเปลี่ยนระดบั เสียงขน้ึ สูงหรือตา่ ลงทาใหแ้ ต่ละ
พยางค์ออกเสียงแตกต่างกัน และการออกเสียงนั้นเป็นเหมือนเสียงเครื่องดนตรี ซึ่งเสียงที่มีความแตกต่างกัน
จะทาใหเ้ กิดความหมายแตกตา่ งกันด้วย เพราะระดับของเสียงท่ีสูง ๆ ต่า ๆ เป็นตัวบ่งช้คี วามหมายของพยางค์
หรือคานนั้
๓.๖ ประเภทของหนว่ ยเสยี งวรรณยุกต์
กาญจนา นาคสกุล (๒๕๕๙ : ๑๕๙ – ๑๖๔) กล่าวไว้ว่า หน่วยเสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทย มี ๓
ประเภท คือ วรรณยกุ ตร์ ะดบั วรรณยุกต์เปลี่ยนระดบั และวรรณยุกตเ์ น้น ดงั นี้
๑. วรรณยุกต์ระดบั (Level tone) เป็นเสียงซึ่งมีระดับความถ่ีของเสียงค่อนข้างคงที่ตลอดพยางค์ ใน
การออกเสยี งพูดน้ัน โดยปรกติ เสียงต้นพยางค์และท้ายพยางค์มักจะไม่อยู่ในระดับเดียวกันทีเดี่ยว ต้นพยางค์
จะมีระดับเสียงสงู กว่าและดังกว่าเสมอ แต่ในทางสัทศาสตรถ์ ือวา่ ความเปลี่ยนแปลงของระดับเสียงนัน้ เลก็ น้อย
เม่ือเทียบกบั ความเปล่ยี นแปลงของระดับเสียงในพยางค์อีกพวกหนงึ่ จึงอนุโลมเรียกว่า วรรณยุกต์ระดับ เสียง
วรรณยุกตร์ ะดับในภาษาไทยมี ๓ หน่วย ดังน้ี
๑.๑ หน่วยเสียงวรรณยุกต์ระดับต่า (low tone) คือ วรรณยุกต์เอก จะมีต้นเสียงกลาง ๆ
ประมาณ ๑๒๐ Hz แล้วจะลดต่าลงมาถึงประมาณ ๑๐๐ Hz อย่างรวดเร็วแล้วคงอยู่ในระดับน้ี วรรณยุกต์
ระดับต่าสามารถปรากฏได้ดังน้ี ๑) กับคาพยางค์เป็นที่มีพยัญชนะต้นเป็นอักษรต่า ห นา และอักษรสูง ที่มีรูป
วรรณยุกต์เอก ๒) กับคาพยางค์เป็นที่มีอักษรกลางเป็นพยัญชนะต้นคาและมีรูปวรรณยุกต์เอก และ ๓) กับคา
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๗๒
พยางคต์ ายทั้งสระเสยี งส้ันและเสียงยาว ที่มีพยัญชนะต้นเป็นอกั ษรตา่ ห นา อักษรสูง และอักษรกลางท้ังหมด
(เรอื งเดช ปันเข่ือนขตั ยิ ์, ๒๕๕๒ : ๑๒๑) ดงั ตารางภาพหนว่ ยเสยี งวรรณยกุ ตร์ ะดับตา่ ต่อไปนี้
อีกอย่างหน่ึง เสียงวรรณยุกต์ระดบั ต่า เขียนดว้ ยสัทลักษณ์ / ̀ / หรือ /1/ (ดูรายละเอียดในบทท่ี
๒) หรือวรรณยกุ ต์เอก เขียนดว้ ยสัญลักษณ์ / - / ซ่งึ มีเสยี งแปรได้ ๒ เสียง ดังนี้ ๑) เป็นเสียงวรรณยุกต์ ต่า-ตก
ต้นเสียงอยู่ระดับกลาง แล้วลดต่าลงอย่างรวดเร็ว เกิดเฉพาะกับคาพยางค์ตายท้ังสระเสียงสั้นและยาวเท่านั้น
เช่น ขัด จบั มดั กัด กกั อาบ หาบ ขาด ชาติ เป็นตน้ ๒) เป็นเสียงวรรณยุกต์ตา่ ระดับหรอื ต่า-ตก ต้นเสียงเกิด
ในระดับต่า ระดับเสียงคงที่ เกิดในคาพยางค์เป็น โดยท่ัวไปทั้งสระเสียงสั้นและยาว เช่น ไข่ เต่า อุ่น อยู่ ไก่ สู่
ที่ ชอ่ ง หอ่ สี่ ป่า เป็นตน้ (เรืองเดช ปันเข่ือนขตั ยิ ์, ๒๕๕๒ : ๑๒๔)
๑.๒ หน่วยเสียงวรรณยุกต์ระดับกลาง (mid tone) คือ วรรณยุกต์สามัญ มีระดับเสียงกลาง ๆ
ประมาณ ๑๒๐ Hz และจะคงอยู่ระดบั นนั้ จนกระท่ังปลาย ๆ พยางค์จงึ ลดต่าลงมาเกือบถงึ ประมาณ ๑๑๐ Hz
วรรณยุกต์สามัญสามารถปรากฏได้ดังน้ี ๑) กับคาพยางค์เป็นที่มีพยัญชนะต้นคาเป็นอักษรกลางและอักษรต่า
ทั้งหมด และ ๒) กับคาพยางค์แรกของคาสองพยางค์ (Disyllabic words) โดยเฉพาะคาสองพยางค์ท่ีมีพยางค์
ท้ายเป็นเสยี งสามัญ และพยางคแ์ รกสระเสียงสน้ั มกั จะออกเสยี งสามัญ เชน่ ประจา สภา กระทา ขนม เป็นต้น
(เรืองเดช ปนั เขอ่ื นขัตยิ ์, ๒๕๕๒ : ๑๒๑) ดงั ตารางภาพหน่วยเสียงวรรณยกุ ต์ระดับกลางต่อไปน้ี
อีกอย่างหนึ่ง เสยี งวรรณยุกต์ระดับกลาง ไม่มีรูปเขียนด้วยสัทลักษณ์ แต่ใช้ตัวเลข /0/ แทนเสียง
(ดูรายละเอยี ดในบทที่ ๒) หรือวรรณยุกต์สามัญ ไม่มีรปู เขียนด้วยสัญลักษณ์ ซึง่ มีเสียงแปรได้ ๒ เสยี ง ดังน้ี ๑)
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๗๓
เป็นเสียงสามัญท่ีท้ายเสียงจะตกมากกว่าเสียงสามัญท่ัวไป ปรากฏเฉพาะกับพยางค์แรกของคาสองพยางค์
(Disyllabic word) ท่ีมีสระเสียงส้ัน เช่น สะพาน ตลก ทหาร ประโยชน์ กระโดด มะพร้าว กะเทย กระทะ
มะม่วง เป็นต้น ๒) เป็นเสียงสามัญระดับกลาง-คงที่ ท้ายเสียงตกเพียงเล็กน้อย เกิดกับพยางค์เป็นโดยท่ัวไป
เชน่ ตา อา มา นา งาน เมีย เรอื โลง โกง ปาน เป็นต้น (เรืองเดช ปนั เข่ือนขตั ยิ ์, ๒๕๕๒ : ๑๒๓)
๑.๓ หน่วยเสียงวรรณยุกต์ระดับสูง (high tone) คือ วรรณยุกต์ตรี เสียงวรรณยุกต์น้ีมีลักษณะ
เด่นท่ีมีระดับเสียงสูง โดยจะค่อย ๆ สูงข้ึนทีละน้อยจากต้นพยางค์ประมาณ ๑๒๕ Hz จนถึงประมาณ ๑๓๕ –
๑๔๐ Hz เมื่อจบพยางค์หรืออาจจะลดต่าตอนปลาย ๆ พยางค์ลงมาถึงประมาณ ๑๓๐ Hz แล้วแต่ว่าพยางค์
นั้นจบลงด้วยเสียงประเภทใด ถ้าเป็นพยางค์ท่ไี ม่มีเสียงพยัญชนะท้ายหรือมีเสยี งพยัญชนะท้ายเป็นเสียงนาสิก
หรือเป็นเสียงพยัญชนะคร่ึงสระ ระดับเสียงตอนปลายพยางค์จะไม่ลดต่าลงมา ถ้าพยางค์น้ันมีพยัญชนะท้าย
เป็นเสียงกัก และเป็นพยางค์ท่ีมีสระเสียงสั้นด้วย ระดับเสียงตอนปลายพยางค์มักจะลดต่าลงเล็กน้อย เสียง
วรรณยกุ ต์ตรีสามารถปรากฏไดด้ ังน้ี ๑) ปรากฏกับคาพยางค์เป็นสระเสียงส้ันและเสียงยาวได้ เชน่ คาวา่ มา้ น้า
นา้ รอ้ ง ค้า เล้า ชั้น น้ี ไม้ เป็นต้น ๒) กับคาพยางค์ตายอักษรต่าท่ีมีสระเสยี งสั้น เชน่ คาว่า นัก นก ลัก รัก ทัก
ชดั วัด ยกั ษ์ เป็นต้น และ ๓) บางคร้ังปรากฏกับคาพยางคต์ ายทีม่ ีสระเสียงยาวในภาษาพูด เช่นคาวา่ ร้องวาก
รอ้ งจาก แรงแรง มนั ม๊ัน เปน็ ตน้ และคายืมมาจากภาษาอังกฤษหรอื ภาษาฝร่ังเศสท่ีนามาใช้ในภาษาไทย เขียน
ด้วยรปู วรรณยุกต์โท แต่มีเสียงวรรณยกุ ต์ตรี เช่นคาวา่ เชิ้ต โน้ต ชา้ รต์ เม้ตร มาร์ค ไฮปาร์ค เป็นตน้ (เรอื งเดช
ปนั เขอ่ื นขตั ิย,์ ๒๕๕๒ : ๑๒๒) ดงั ตารางภาพหน่วยเสียงวรรณยุกตร์ ะดับสูงต่อไปน้ี
อกี อย่างหนงึ่ เสียงวรรณยุกต์ระดับสูง เขียนด้วยสัทลักษณ์ / ́ / หรือ /3/ (ดรู ายละเอยี ดในบทท่ี
๒) หรือวรรณยุกต์ตรี เขียนด้วยสัญลักษณ์ / - / ซึ่งมีเสียงแปรได้ ๓ เสียง ดังนี้ ๑) เสียงสูงระดับท่ีไม่มีปลาย
เสียงเป็นเสยี งกัก ปรากฏเฉพาะในคาพยางค์แรกของคาซ้า เช่นคาว่า ดี๊ดี ขาวขาว สวยสวย แรงแรง มากมาก
เปน็ ต้น ๒) เป็นเสียงสูงระดับทมี่ ีปลายเสียงเป็นเสยี งกัก ปลายเสียงตกเลก็ นอ้ ยและมีลักษณะของเสียงกกั ทีเ่ ส้น
เสียงร่วมด้วย ปรากฏเฉพาะคาพยางค์เป็นโดยท่ัวไป เช่นคาว่า น้า น้อง ม้า ช้า เป็นต้น และ ๓) เป็นเสียงสูง
ระดับตน้ เสียง เกดิ ในตาแหน่งสูงระดบั เสยี งคงท่ี ปรากฏเฉพาะกับคาพยางค์ตายสระเสยี งส้ันโดยท่ัวไป และกับ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๗๔
คาพยางคต์ ายสระเสยี งยาว กบั คายมื และคาเลยี นเสยี งธรรมชาติ ตวั อยา่ งในประโยค ลูกหมาร้องบอก ๆ ลูกนก
ร้องจิบ๊ ๆ ลูกแมวร้องเหมียว ๆ เป็นตน้ (เรอื งเดช ปันเขอื่ นขตั ิย์, ๒๕๕๒ : ๑๒๔)
๒. วรรณยุกต์เปลี่ยนระดับ (contour tone) เป็นวรรณยุกต์ซึ่งมีระดับความถี่ของการออกเสียง
เปล่ยี นแปลงมากในช่วงพยางค์หนึ่ง ๆ เช่น ต้นพยางค์ออกเสยี งให้มรี ะดับสูงแล้วลดระดับเสียงลงอย่างรวดเร็ว
ไปส่รู ะดบั ต่าท่ปี ลายพยางค์ หรอื ต้นพยางคเ์ สยี งมรี ะดบั ต่าแลว้ เพ่ิมระดับเสยี งอยา่ งรวดเรว็ เป็นระดับสงู ที่ปลาย
พยางค์ หรือเปลี่ยนจากสูงแล้วไปต่าแล้วสูงอีก หรือเปล่ียนจากต่าแล้วไปสูงแล้วต่าอีกก็ได้ ในภาษาไทย
วรรณยุกตเ์ ปลี่ยนระดับมี ๒ หน่วย คอื หนว่ ยเสียงวรรณยุกตเ์ ปล่ียนตก และหนว่ ยเสียงวรรณยุกตเ์ ปลี่ยนขึ้น
๒.๑ หน่วยเสียงวรรณยุกต์เปลี่ยนตก (falling tone) คือเสยี งวรรณยกุ ต์โท ระดับเสียงจะเริม่ ต้นท่ี
ความถ่ีประมาณ ๑๔๐ Hz แตใ่ นราว ๆ ๑ ใน ๔ ของความยาวช่วงพยางค์ ก็จะลดลงอย่างเร็วจนต่ากว่า ๑๐๐
Hz ที่ปลายพยางค์ หรืออาจจะเปล่ียนสูงขึ้นจากระดับต้นพยางค์นิดหน่อย ก่อนจะลดระดับเสียงลงอย่าง
รวดเร็วก็ได้ วรรณยุกตโ์ ทจะไมป่ รากฏในพยางคท์ ี่มสี ระเสียงส้ันและมีพยญั ชนะกักเปน็ พยญั ชนะท้าย นอกจาก
ในคาพิเศษ อยา่ งคาเลียนเสยี งคาลงท้ายบางคา เสียงวรรณยุกตโ์ ทสามารถปรากฏได้ดังนี้ ๑) กับคาพยางค์เป็น
ท่มี ีพยัญชนะต้นเป็นอักษรต่าที่มรี ูปวรรณยุกต์เอกกากับ เช่น ค่า วา่ เลา่ เน่า เป็นต้น ๒) กบั คาพยางคเ์ ป็นท่ีมี
อักษรสูงและอักษรต่า ห นา และอักษรกลาง และมีรูปวรรณยุกต์โท เช่น หน้า ห้า ข้า ป้า จ้าง อ้าง ด้าย
เป็นต้น ๓) กับคาพยางค์ตายสระเสียงสั้น ในภาษาพูดเช่นกัน แต่น้อยมาก เช่น ฝนตกจ่ัก ๆ หน้าตาเล่ิกลั่ก
และ ๔) คาพยางค์ตายสระเสียงยาว เชน่ มาก ยาก ลาก โลก เป็นต้น (เรืองเดช ปนั เขื่อนขัตยิ ์, ๒๕๕๒ : ๑๒๒)
ดงั ตารางภาพหนว่ ยเสยี งวรรณยุกตเ์ ปลี่ยนตกต่อไปน้ี
อีกอย่างหน่ึง เสียงวรรณยุกตเ์ ปลยี่ นตก เขียนด้วยสัทลกั ษณ์ / ˆ / หรือ /2/ (ดูรายละเอยี ดในบท
ที่ ๒) หรือวรรณยกุ ต์โท เขียนดว้ ยสัญลักษณ์ / - / ซ่ึงมเี สยี งแปรได้ ๓ เสียง ดงั น้ี ๑) หนว่ ยเสียงวรรณยุกต์สูง-
ตก ไม่มีปลายเสียงเป็นเสียงกัก เกิดเฉพาะกับคาพยางค์ตายเท่าน้ัน เช่นคาว่า เล่ิกล่ัก นอก มาก เป็นต้น ๒)
เป็นเสียงสงู -ตก หรอื กลางตก ที่มีปลายเสยี งเป็นเสยี งกักเล็กน้อย เกิดกับคาพยางค์เป็นโดยทว่ั ไป เช่นคาว่า พ่อ
ได้ ดา้ ย ให้ บา้ น ไม่ ใช่ เปน็ ต้น (เรอื งเดช ปนั เข่ือนขัตยิ ์, ๒๕๕๒ : ๑๒๕)
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๗๕
๒.๒ หน่วยเสียงวรรณยุกต์เปล่ียนข้ึน (rising tone) คือเสียงวรรณยุกต์จัตวา ระดับเสียงจะเร่ิมท่ี
ความถ่ีประมาณ ๑๑๐ Hz แล้วมักจะลดลงเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเสียงขึ้นอย่างรวดเร็วไปสู่ความถ่ีท่ีสูงถึง
ประมาณ ๑๔๐ Hz ที่ปลายพยางค์ วรรณยุกต์จัตวาจะไม่ปรากฏในพยางค์ท่ีมีพยัญชนะท้ายเป็นเสียงกักเลย
เสียงวรรณยกุ ตจ์ ัตวาสามารถปรากฏได้ดังน้ี ๑) ปรากฏเฉพาะคาพยางค์เปน็ ท้ังสระเสยี งส้ันและเสียงยาว ในคา
ที่มีพยัญชนะต้นเป็นอักษรสูงท่ีไม่มเี คร่ืองหมายวรรณยกุ ต์ เช่นคาว่า ขา ขาว ขัน ขาน สูง สาว หา เหน็ หัว ไถ
ถงุ เป็นต้น ๒) กับคาทีม่ ีพยัญชนะต้นเปน็ อักษรตา่ แต่มี ห นา ไม่มีเครื่องหมายวรรณยุกต์ใด ๆ เช่นคาว่า หนา
หนาว หลาน ไหล หวง หวาน หงาย เหงา หมู หมา เป็นต้น และ ๓) นอกจากนี้ยังมีคายืมบางคาที่นามาใช้ใน
ภาษาไทยท่ีมีพยัญชนะต้นเป็นอักษรกลางแต่ต้องใช้เครื่องหมายวรรณยุกต์จัตวากากับ เช่น ตอง เตา ก๋ึน เป๋า
ปา๋ เปน็ ต้น (เรอื งเดช ปนั เขือ่ นขัติย์, ๒๕๕๒ : ๑๒๒) ดังตารางภาพหน่วยเสียงวรรณยกุ ต์เปลย่ี นข้นึ ตอ่ ไปน้ี
อีกอย่างหนึง่ เสียงวรรณยุกต์เปล่ียนข้ึน เขียนด้วยสัทลักษณ์ / ˇ / หรือ /4/ (ดรู ายละเอียดในบท
ท่ี ๒) หรือวรรณยกุ ต์จัตวา เขียนดว้ ยสัญลักษณ์ / - / จดุ เร่มิ ต้นของเสยี งเกดิ ในตาแหน่งต่าระดับ เสียงเลื่อนลง
เล็กน้อย และเล่ือนขึ้นไปส้ินสุดในตาแหน่งสูง วรรณยุกต์นี้ปรากฏเฉพาะกับรูปคาพยางค์เป็นที่มีพยัญชนะต้น
เป็นอักษรสูงหรืออักษรต่า ห นา (ไม่มีเครื่องหมายวรรณยุกต์ใด ๆ) เช่นคาว่า หู หัว เสือ เหมือน หนาว หลาน
เปน็ ตน้ (เรืองเดช ปนั เข่ือนขัติย์, ๒๕๕๒ : ๑๒๖)
๓. วรรณยุกต์เน้น (intensifying tone) เป็นเสียงวรรณยุกต์อีกเสียงหน่ึง ซึ่งมีลักษณะเป็นเสียง
วรรณยุกต์เปลย่ี นชนดิ เปลี่ยนข้ึนและลงในพยางคเ์ ดียวกัน แต่ระดับเสียงจะเริม่ ที่ระดับค่อนข้างสูงและจะข้นึ ไป
สูงกว่าระดับเสียงสูงของวรรณยุกต์อ่ืนทั้งหมดก่อนที่จะตกลงมาเพียงเล็กน้อยตอนปลายพยางค์ วรรณยุกต์
อย่างนี้ปรากฏแต่เฉพาะในคาซ้า ซึ่งออกเสียงเน้นพยางค์ท่ีมาข้างหน้าเพื่อแสดงความหมายพิเศษเท่าน้ัน
เพ่ือที่จะให้แสดงเสียงวรรณยุกต์เน้นท่ีต่างกับเสียงวรรณยุกต์ปรกติ เรียกว่า ไม้เบญจา เป็นเครื่องหมาย
วรรณยุกต์ในการเขียนอกั ษรไทย เขยี นดว้ ยสัทลักษณ์ /5/ และเขียนดว้ ยสญั ลกั ษณ์ /-๙/ เชน่ คาว่า ดี๙-ดี รู๙-รู้
แดง๙ -แดง เปน็ ต้น วรรณยุกต์เน้นจัดเปน็ เสียงวรรณยุกต์อีกเสียงหน่งึ ท่เี ปลี่ยนไปจากหนว่ ยเสียงวรรณยุกต์ทั้ง
๕ หน่วย ท่ีกล่าวแล้วข้างต้น ทั้งน้ีเสียงวรรณยุกต์เน้นจะสูงกว่าเสียงวรรณยุกต์ตรีปรกติ และในพยางค์มี
พยัญชนะตน้ เปน็ อักษรสงู ก็ไมส่ ามารถแสดงไดเ้ ลย
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๗๖
๓.๗ องคป์ ระกอบของการผันเสียงวรรณยกุ ต์
องค์ประกอบของการผันเสียงวรรณยุกต์ ผู้เรียนจะได้มีความรู้ความเข้าใจการประสมคา ซ่ึง
ประกอบด้วย ไตรยางค์ มาตราตัวสะกด หน่วยเสียงสระและรูปสระ คาเป็นคาตาย และส่วนประกอบของ
พยางค์ ดงั มีรายละเอยี ดต่อไปนี้
๑. ไตรยางศ์ ไตรยางศ์ แปลว่า ๓ ส่วน ใช้เป็นช่ือเรียกการจาแนกอักษร ๓ หมู่ คือ อักษรสูง
อักษรกลาง และอกั ษรต่า มีดงั น้ี
อกั ษรสูงมี ๑๑ ตัว คือ ข ฃ ฉ ฐ ถ ผ ฝ ศ ษ ส ห มหี ลักการจาว่า ฃวดของฉนั ใส่ถุงผ้าฝากให้
เศรษฐี
อักษรกลางมี ๙ ตัวคอื ก จ ฎ ฏ ด ต บ ป อ มีหลักการจาวา่ เตา่ เดนิ ไปเจอกบฏายอยูบ่ นฎนิ
อักษรต่ามี ๒๔ ตัวคือ ค ฅ ฆ ง ช ซ ฌ ญ ฑ ฒ ณ ท ธ น พ ฟ ภ ม ย ร ล ว ฬ ฮ แบ่ง
ออกเป็น ๒ พวก คือ อักษรคู่ และ อักษรเด่ียว อักษรคู่ ได้แก่ อักษรต่าที่มีเสียงคู่หรือใกล้เคียงกับอักษรสูง มี
๑๔ ตัว ดังน้ี ค ฅ ฆ ช ซ ฌ ฑ ฒ ท ธ พ ฟ ภ ฮ มีหลักการจาว่า พ่อค้าภู่ฆ่าฟันช้างเฒ่าฮ่อ เฌอซื้อทองธาฑา
อักษรเด่ียว ได้แก่ อกั ษรต่าท่ีมเี สยี งไม่เหมือนหรือไม่ใกล้เคยี งกบั อกั ษรสูงมี ๑๐ ตัว ดังนี้ ง ญ ณ น ม ย ร ว ฬ
ล มหี ลักการจาวา่ งใู หญน่ อนอยู่ ณ รมิ วดั โมฬีโลก
๒. มาตราตัวสะกด มาตราคือแม่บทแจกลูกอักษรตามหมวดคาที่มีตัวสะกด หรือออกเสียงอย่าง
เดียวกนั แบง่ เป็น ๘ มาตราหรอื ๘ แมค่ อื
มาตรา แม่ ก กา คอื พยางคท์ ่ไี มม่ ีตัวสะกด
มาตรา แม่ กน คือพยางค์ท่มี ีตัว น สะกดหรอื ตัวอื่นซ่ึงทาหนา้ ท่ีเหมือนตวั น สะกด ได้แก่ตัว
นญณรลฬ
มาตรา แม่ กง คือพยางค์ทีม่ ีตัว ง สะกดหรือนคิ หิตซึ่งทาหน้าทเ่ี หมือนตวั ง สะกด
มาตรา แม่ กก คือพยางค์ท่ีมีตัว ก สะกดหรือตัวอ่ืนซึ่งทาหน้าที่เหมือนตัว ก สะกด ได้แก่ตัว
กขคฆ
มาตรา แม่ กด คือพยางค์ที่มีตัว ด สะกดหรือตัวอ่ืนซ่ึงทาหน้าที่เหมอื นตัว ด สะกด ได้แก่ตัว
ดจฉชซฌฎฏฐฑฒตถทธศษส
มาตรา แม่ กบ คือพยางค์ที่มตี ัว บ สะกดหรือตัวอื่นซง่ึ ทาหน้าที่เหมือนตวั บ สะกด ได้แก่ตัว
บปพฟภ
มาตรา แม่ กม คือพยางค์ที่มีตัว ม สะกดหรือนคิ หิตซ่ึงทาหน้าท่ีเหมือนตัว ม สะกด
มาตรา แม่ เกย คือพยางค์ท่ีมตี วั ย และตัว ว สะกด
๓. หน่วยเสียงสระและรูปสระ สระในภาษาไทยมี ๒๑ หน่วยเสียง ๓๘ รูป ซ่ึงรูปสระแบ่งตาม
ลกั ษณะการใชม้ ี ๒ ชนิด คือ รปู สระคงเดิมและรปู สระเปลย่ี นแปลง (ดรู ายละเอยี ดในบทที่ ๓)
๔. คาเป็นคาตาย คาเป็น คือพยางค์ท่ีประสมด้วยสระเสียงยาวในแม่ ก กา และพยางค์ที่มี
ตัวสะกดใน แม่ กน กง กม เกย พยางค์ท่ีประสมด้วยสระ อา ใอ ไอ เอา ซึ่งเป็นสระเสียงส้ันก็นับเป็นคาเป็น
ด้วย เพราะออกสาเนียงมีเสียงตวั ม ย ว กากบั เปน็ ตวั สะกดอยู่ดว้ ย ตัวอยา่ งคาเป็น เชน่ ตานาแลตาอินน่ังขาย
ที่ดินส้มโอลาไย คาตาย คือพยางค์ที่ประสมด้วยสระเสียงสั้นในแม่ ก กา (ยกเว้นสระสั้น ๔ ตัวคือ อา ใอ ไอ
เอา) และพยางคท์ ีม่ ีตัวสะกดในแม่ กก กด กบ เชน่ ชชิ ะนกจะกละจิกกบบัดซบนัก
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๗๗
๕. ส่วนประกอบของพยางค์ ส่วนประกอบของพยางค์ ในหนง่ึ พยางค์จะต้องประกอบด้วย ๓ – ๕
ส่วน ได้แก่ พยัญชนะต้น สระ ตัวสะกด ตัวการันต์ และเสียงวรรณยุกต์หรือรูปวรรณยุกต์ ซึ่งวรรณยุกต์ มี ๕
เสียง ได้แก่ สามญั เอก โท ตรี และจัตวา และมี ๔ รูป ได้แก่ เอก โท ตรี และจัตวา
๓.๘ การผนั เสยี งวรรณยกุ ต์ตามหลักภาษาไทย
การผันเสียงวรรณยุกต์ตามหลักภาษาไทย ซึ่งสามารถแบ่งตามกลุ่มอักษรไตรยางค์ได้ ๓ กลุ่ม ดังน้ี
กลมุ่ อักษรสูงมี ๔ แบบฝึกหดั กล่มุ อกั ษรกลางมี ๒ แบบฝึกหดั และกลุ่มอกั ษรต่ามี ๒ แบบฝกึ หัด ท้งั น้ี การผัน
เสยี งวรรณยุกต์ของอักษรควบกลา้ ให้ยดึ อกั ษรตวั แรกเปน็ หลกั ดงั มีรายละเอียดดังตอ่ ไปนี้
๑. กลุ่มอักษรสูงมี ๔ แบบฝึกหัด ได้แก่ แบบฝึกหัดอักษรสูง คาเป็น แบบฝึกหัดอักษรมี ห นา
คาเปน็ แบบฝกึ หัดอักษรสูง คาตาย และแบบฝกึ หดั อกั ษรสงู มี ห นา คาตาย ดังมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
๑.๑ แบบฝึกหัดอักษรสูง คาเป็น ซง่ึ อักษรสูง คาเป็น มีพ้ืนเสียงวรรณยุกต์ เป็นเสียงจัตวา มี
รูปวรรณยุกต์เอก เป็นเสียงเอก และมีรูปวรรณยุกต์โท เป็นเสียงโท ดังตารางภาพแบบฝึกหัดอักษรสูง คาเป็น
ต่อไปนี้
ลาดบั ที่ เสียงวรรณยกุ ต์ อกั ษรสงู คาเปน็ ตัวอยา่ งคา
๑ จัตวา ผา ไข เสือ ขาว - ผัว ถุง ถอื
๒ เอก ผา่ ไข่ เส่ือ ข่าว - - - -
๓ โท ผา้ ไข้ เสือ้ ข้าว ให้ - - -
๑.๒ แบบฝึกหัดอักษรมี ห นา คาเป็น คือใช้อักษร ห ประสมกับอักษรต่าเดี่ยว ซ่ึงถือว่ามี
เสียงเหมือนกับอักษรสูง คาเป็น มีพ้ืนเสียงวรรณยุกต์ เป็นเสียงจัตวา มีรูปวรรณยุกต์เอก เป็นเสียงเอก และมี
รูปวรรณยุกต์โท เป็นเสียงโท ดงั ตารางภาพแบบฝกึ หดั อักษรมี ห นา คาเป็น ต่อไปน้ี
ลาดบั ท่ี เสียงวรรณยกุ ต์ อกั ษรมี ห นา คาเปน็ ตัวอยา่ งคา
๑ จัตวา
๒ เอก หนา หนี เหลา ไหม - - เหรยี ญ ไหน
๓ โท -
หนา้ - เหลา่ - ใหม่ หลน่ - -
หนี้ เหลา้ ไหม้ - - - -
๑.๓ แบบฝึกหัดอักษรสูง คาตาย ซ่ึงอักษรสูง คาตาย มีพ้ืนเสียงวรรณยุกต์ เป็นเสียงเอก ท้ัง
สระเสยี งส้นั และสระเสยี งยาว ดงั ตารางภาพแบบฝกึ หดั อกั ษรสูง คาตาย ตอ่ ไปน้ี
ลาดับที่ เสยี งวรรณยกุ ต์ อกั ษรสูง คาตาย
สั้น ยาว สัน้ ยาว สั้น ยาว สัน้ ยาว
๑ จัตวา - -- - - - - -
๒ เอก ขดั ขาด กดั กาด ฉบิ สาป ผัด ถกู
๓ โท - -- - - - - -
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๗๘
๑.๔ แบบฝึกหัดอักษรมี ห นา คาตาย คือใช้อักษร ห ประสมกับอักษรต่าเดี่ยว ซึ่งถือว่ามี
เสียงเหมือนกับอกั ษรสูง คาตาย มีพืน้ เสียงวรรณยุกต์ เป็นเสียงเอก ทั้งสระเสียงส้ันและสระเสียงยาว ดงั ตาราง
ภาพแบบฝึกหดั อกั ษรมี ห นา คาตาย ต่อไปน้ี
ลาดับที่ เสียงวรรณยุกต์ อกั ษรมี ห นา คาตาย
ส้ัน ยาว ส้ัน ยาว สั้น ยาว ส้ัน ยาว
๑ จตั วา - -- - - - - -
๒ เอก หมด หมาด หวิด หนบี เหนบ็ หลอก หลดุ เหยียบ
๓ โท - -- - - - - -
๒. กลุ่มอักษรกลางมี ๒ แบบฝึกหัด ได้แก่ แบบฝึกหัดอักษรกลาง คาเป็น และแบบฝึกหัดอักษร
กลาง คาตาย ดงั มรี ายละเอียดดังต่อไปน้ี
๒.๑ แบบฝึกหัดอักษรกลาง คาเป็น ซ่ึงอักษรกลาง คาเป็น มีพื้นเสียงวรรณยุกต์ เป็นเสียง
สามัญ มีรูปวรรณยุกต์เอก เป็นเสียงเอก และมีรูปวรรณยุกต์โท เป็นเสียงโท ดังตารางภาพแบบฝึกหัดอักษร
กลาง คาเปน็ ตอ่ ไปนี้
ลาดบั ที่ เสยี งวรรณยกุ ต์ อักษรกลาง คาเปน็ ตัวอยา่ งคา
๑ สามญั ปา บาน ปาย ไก - อาน กนั เปน็
๒ เอก ปา่ - ป่าย ไก่ อยู่ อา่ น กั่น -
๓ โท ปา้ บา้ น ปา้ ย - - - ก้นั -
๒.๒ แบบฝึกหดั อกั ษรกลาง คาตาย ซ่ึงอักษรกลาง คาตาย มีพนื้ เสยี งวรรณยุกต์ เป็นเสยี งเอก
ดังตารางภาพแบบฝกึ หดั อักษรกลาง คาเป็น ตอ่ ไปนี้
ลาดับที่ เสยี งวรรณยุกต์ อกั ษรกลาง คาตาย
ส้ัน ยาว สน้ั ยาว สั้น ยาว ส้ัน ยาว
๑ สามัญ - -- - - - - -
๒ เอก กบ แบบ จับ ตอบ ตบ แตก อัด ตาก
๓ โท - -- - - - - -
๓. กลุ่มอักษรต่ามี ๒ แบบฝึกหัด ได้แก่ แบบฝึกหัดอักษรต่า คาเป็น และแบบฝึกหัดอักษรต่า
คาตาย ดังมรี ายละเอยี ดดังตอ่ ไปนี้
๓.๑ แบบฝึกหัดอักษรต่า คาเป็น ซึ่งอักษรต่า คาเป็น ซึ่งพื้นเสียงวรรณยุกต์ เป็นเสียงสามัญ
มีรูปวรรณยุกต์เอก เป็นเสียงโท มีรูปวรรณยุกต์โท เป็นเสียงตรี ดังตารางภาพแบบฝึกหัดอักษรต่า คาเป็น
ต่อไปนี้
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๗๙
ลาดบั ท่ี รปู วรรณยกุ ต์ เสียงวรรณยกุ ต์ อกั ษรต่า คาเปน็ ตัวอยา่ งคา เสียงวรรณยกุ ต์
สามญั (ไมม่ รี ปู ) คา สามัญ เรียน สามัญ
๑ ค่า โท เสยี งวรรณยุกต์ เสยี งวรรณยกุ ต์ เสยี งวรรณยุกต์
๒ เอก ค้า ตรี พอ สามัญ ทาน สามัญ นัน สามัญ - โท
๓ โท พอ่ โท ท่าน โท นน่ั โท - ตรี
พอ้ ตรี - ตรี นนั้ ตรี
๓.๒ แบบฝึกหัดอักษรต่า คาตาย ซ่ึงพ้ืนเสียงวรรณยุกต์ เป็นเสียงตรี ประสมสระเสียงยาว
เป็นเสียงโท ดงั ตารางภาพแบบฝกึ หัดอกั ษรตา่ คาตาย ต่อไปนี้
ลาดบั ท่ี เสยี งวรรณยุกต์ อกั ษรตา่ คาตาย ตวั อยา่ งคา
๑ ตรี (เสยี งสัน้ ) มกั ทับ รัก รก งบ คด ทด
๒ โท (เสยี งยาว) มาก ทาบ ราก โลก เงียบ คาด ทตู
อกี อยา่ งหน่ึง การผนั เสียงวรรณยุกต์ตามหลักภาษาไทย โดยใช้อกั ษรไตรยางศ์หรอื อกั ษร ๓ หมู่ ได้แก่
อักษรสูง อกั ษรกลาง และอกั ษรตา่ เป็นฐาน เพอ่ื ใหส้ ามารถผันเสียงวรรณยุกตไ์ ด้ครบทง้ั ๕ เสียง ดังน้ี
๑. อักษรสูง คาเป็น มเี สยี งวรรณยกุ ต์ ๓ เสียง ไดแ้ ก่ เสียงเอก เสียงโท และเสียงจัตวา หากจะให้
สามารถผันเสียงวรรณยุกต์ได้ครบทั้ง ๕ เสียง จะต้องนาอักษรต่าคู่ ได้แก่ ค ฅ ฆ ช ซ ฌ ฑ ฒ ท ธ พ ฟ ภ ฮ
ซง่ึ มเี สยี งใกล้เคยี งกับเสยี งอกั ษรสูง ซึ่งทัง้ สองเกิดจากฐานกรณเ์ ดียวกัน อกั ษรสูง ไดแ้ ก่ ข ฃ ฉ ฐ ถ ผ ฝ ศ ษ ส
ห สามารถจับคู่กนั ได้ ดงั ตารางภาพเทียบอกั ษรต่าคูก่ ับอกั ษรสงู ตอ่ ไปน้ี
อักษรตา่ คู่ อกั ษรสงู
คฅฆ ขฃ
ชฌ ฉ
ซ ศษส
ฑฒทธ คู่กบั ฐถ
พภ ผ
ฟฝ
ฮห
ตวั อยา่ งการผนั เสยี งวรรณยุกต์อักษรสงู ครบทัง้ ๕ เสียง ดังตารางภาพต่อไปน้ี
อักษร เสยี งสามัญ เสยี งเอก เสียงโท เสยี งตรี เสียงจตั วา
ขา
คา ขา่ ข้า/คา่ ค้า ฉาง
สอื
ชาง ฉา่ ง ฉา้ ง/ช่าง ช้าง ถาย
ผู
ซอื ส่อื ส้อื /ซื่อ ซอ้ื ฝา
หาง
อักษรสูง ทาย ถา่ ย ถา้ ย/ท่าย ทา้ ย
ภู ผู่ ผ/ู้ ภู่ ภู้
ฟา ฝ่า ฝา้ /ฟา่ ฟา้
ฮาง ห่าง ห้าง/ฮ่าง ฮา้ ง
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๘๐
๒. อักษรกลาง คาเป็น มีเสียงวรรณยุกต์ ๓ เสียง ได้แก่ เสียงสามัญ เสียงเอก และเสียงโท ซึ่ง
สามารถผันไดค้ รบทัง้ ๕ เสียง ตามรปู วรรณยุกตไ์ ด้ ไม่มคี วามซับซอ้ น ดังตารางภาพต่อไปน้ี
อักษร เสียงสามญั เสยี งเอก เสยี งโท เสียงตรี เสียงจัตวา
กา กา่ กา้ กา กา
จา จ่า จ้า จา จา
ดา ดา่ ดา้ ดา ดา
อักษรกลาง ตนื ตน่ื ตน้ื ตน๊ื ตน๋ื
บอ บ่อ บ้อ บอ บอ
ปา ป่า ป้า ป๊า ป๋า
อาง อ่าง อา้ ง อาง อาง
๓. อกั ษรตา่ เด่ียว คาเป็น มีเสยี งวรรณยุกต์ ๓ เสยี ง ไดแ้ ก่ เสียงสามัญ เสยี งโท (รูปวรรณยุกต์เอก
เป็นเสียงโท) และเสียงตรี (รูปวรรณยุกต์โทเป็นเสียงตรี) หากจะให้สามารถผันเสียงวรรณยุกต์ได้ครบท้ัง ๕
เสียง จะตอ้ งนาอักษร ห มานาหนา้ อกั ษรต่าเดย่ี ว จงึ จะสามารถผันไดค้ รบท้ัง ๕ เสยี ง ดงั ตารางภาพตอ่ ไปน้ี
อกั ษร เสยี งสามัญ เสียงเอก เสียงโท เสียงตรี เสียงจตั วา
นา หนา่ นา่ นา้ หนา
มา หม่า มา่ ม้า หมา
วาน หว่าน ว่าน วา้ น หวาน
อกั ษรตา่ เดยี่ ว ลวง หลว่ ง ล่วง ลว้ ง หลวง
เรือ เหรื่อ เรอ่ื เรื้อ เหรือ
ยาว หย่าว ย่าว ยา้ ว หยาว
งู หงู่ งู่ งู้ หงู
๓.๙ การผนั เสียงวรรณยุกต์ตามหลกั ภาษาศาสตรภ์ าษาไทย
การผันเสียงวรรณยุกต์ ผู้เขียนได้จัดทาตารางภาพแสดงการผันเสียงวรรณยุกต์ภาษาไทยตามแนว
ภาษาศาสตร์ภาษาไทย ซ่ึงผู้เขยี นได้ดดั แปลงมาจาก การผันเสียงวรรณยกุ ตภ์ าษาไทย (เรืองเดช ปันเขื่อนขัตยิ ์,
๒๕๕๒ : ๑๑๗) ดงั ตารางภาพการผนั เสียงวรรณยกุ ตภ์ าษาไทย
ตารางการผันเสียงวรรณยุกต์ภาษาไทย
A B (รปู เอก) C (รูปโท) DS (เสียงสั้น) DL (เสยี งยาว) อักษร
จัตวา เอก โท เอก เอก อกั ษรสูง/ ห นา
สามัญ เอก โท เอก เอก อกั ษรกลาง
สามญั โท ตรี ตรี โท อกั ษรต่า
คาเปน็ คาตาย ประเภทคา
จากตารางภาพการผันเสียงวรรณยกุ ตภ์ าษาไทย ชอ่ ง A B C เป็นคาเปน็ ช่อง DS เปน็ คาตายสระเสยี ง
ส้นั ช่อง DL เป็นคาตายสระเสยี งยาว ช่อง B ผันด้วยรูปวรรณยุกต์เอก เปน็ เสียงเอก ยกเว้นอักษรต่า เป็นเสยี ง
โท ช่อง C ผันด้วยรูปวรรณยุกต์โท เป็นเสียงโท ยกเว้นอักษรต่า เป็นเสียงตรี ช่อง DS สระเสียงส้ัน อักษรสูง
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๘๑
อกั ษรกลาง เป็นเสียงเอก ยกเว้นอักษรต่า เป็นเสียงตรี ช่อง DL สระเสียงยาว อักษรสูง อักษรกลาง เป็นเสียง
เอก ยกเว้นอักษรตา่ เป็นเสียงโท
ข้ันตอนการผันเสียงวรรณยุกตม์ ีดังน้ี
ขน้ั ตอนที่ ๑ ให้ดูวา่ พยญั ชนะตน้ ในคาเป็นอักษรชนิดใด อักษรสูง อกั ษรกลาง หรอื อักษรตา่
ขน้ั ตอนที่ ๒ ให้ดูว่า พยัญชนะนั้นประสมด้วยสระเสียงส้นั หรอื สระเสียงยาว
ขัน้ ตอนท่ี ๓ ให้ดวู ่า คานั้นเป็นคาเป็นหรอื เปน็ คาตาย (ใหด้ ูชอ่ งตามตารางภาพทแี่ สดงไว)้
ขั้นตอนที่ ๔ หากว่า คาน้ันมีพยัญชนะท้ายคาหรือตัวสะกด ให้ดูว่าสะกดด้วยมาตราแม่สะกด เป็นคาเป็นหรือ
คาตาย
ขัน้ ตอนที่ ๕ ให้ดูว่า ช่องของคาน้ันมเี สียงวรรณยุกตอ์ ะไร
ตัวอย่างการผันเสียงวรรณยกุ ตอ์ กั ษรสูงมี ๕ คา ดังน้ี
คาว่า “เสือ” ส เป็นอักษรสงู ประสมด้วยสระเสยี งยาว ไม่มตี ัวสะกด เป็นคาเป็น เปน็ เสียงจัตวา
คาว่า “ไข่” ข เป็นอักษรสูง ประสมด้วยสระเสียงสั้น สะกดด้วยมาตราแม่เกย เป็นคาเป็น มีรูป
วรรณยุกตเ์ อก เป็นเสียงเอก
คาว่า “ผ้า” ผ เป็นอักษรสูง ประสมด้วยสระเสียงยาว ไม่มีตัวสะกด เป็นคาเป็น มีรูปวรรณยุกต์
เอก เป็นเสียงโท
คาว่า “ขีด” ข เป็นอักษรสูง ประสมด้วยสระเสียงยาว สะกดด้วยมาตราแม่กด เป็นคาตาย เป็น
เสยี งเอก
คาว่า “ฉาก” ฉ เป็นอกั ษรสูง ประสมด้วยสระเสียงยาว สะกดด้วยมาตราแม่กก เป็นคาตาย เป็น
เสยี งเอก
ตัวอย่างการผนั เสยี งวรรณยุกต์อักษรต่ามี ๕ คา ดงั นี้
คาว่า “ทาน” ท เป็นอักษรต่า ประสมดว้ ยสระเสียงยาว สะกดด้วยมาตราแม่กน เปน็ คาเป็น เป็น
เสยี งสามญั
คาว่า “ค่า” ค เป็นอักษรต่า ประสมด้วยสระเสียงยาว ไม่มีตัวสะกด เป็นคาเป็น มีรูปวรรณยุกต์
เอก เปน็ เสียงโท
คาว่า “ไม้” ม เป็นอักษรต่า ประสมด้วยสระเสียงสั้น สะกดด้วยมาตราแม่เกย เป็นคาเป็น มีรูป
วรรณยุกตโ์ ท เปน็ เสียงตรี
คาว่า “มัด” ม เป็นอักษรต่า ประสมด้วยสระเสียงสั้น สะกดด้วยมาตราแม่กด เป็นคาตาย เป็น
เสียงเอก
คาว่า “ราบ” ร เป็นอักษรต่า ประสมดว้ ยสระเสียงยาว สะกดด้วยมาตราแม่กบ เป็นคาตาย เป็น
เสียงโท
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๘๒
สรุปท้ายบท
เสียงพยัญชนะ (consonant sound) หมายถึงเสียงพูดท่ีเปล่งออกมา ถ้าเป็นเสียงไม่ก้อง หรือเสียงท่ี
เปล่งออกมาโดยลมต้องถูกกัก ณ ท่ีใด ๆ ในช่องปาก ลมถูกบีบให้ผ่านช่องแคบ ๆ จนเกิดเป็นเสียงเสียดแทรก
ลมออกไปทางจมูกหรือถูกดัดแปลงอยา่ งใด ๆ กต็ าม
ลักษณะของเสียงพยญั ชนะ คอื การเกิดของเสียงที่ไปกระทบกับอวัยวะตา่ ง ๆ ภายในชอ่ งปาก แลว้ ทา
ให้เกิดเสียงต่าง ๆ ตามลักษณะของการเปล่งเสียงนั้นมี ๙ ลักษณะ ได้แก่ เสียงก้อง (voiced sound) เสียงไม่
ก้อง (voiceless sound) เสียงหยุดหรือเสียงกัก (stop) เสียงนาสิก (nasal) เสียงขา้ งล้ิน (lateral) เสียงเสียด
แทรก (fricative) เสียงก่งึ เสียดแทรก (affricate) เสียงรวั ล้ิน (trill) เสียงกึ่งสระหรอื อฒั สระ (semi-vowel)
หน่วยเสยี งพยญั ชนะในภาษาไทย แบง่ ตามลักษณะการเกดิ เสียงได้ ๗ ลกั ษณะ ดงั นี้
๑. พยัญชนะระเบดิ (Plosive) คือ ลมที่ออกจากปอดผ่านเสน้ เสียงแล้ว มาถูกกัก ณ ที่ใดที่หนงึ่ ใน
ช่องปาก หรือลมมาถูกกักท่ีเส้นเสียง แต่ลมที่ถูกกักนั้นแทนที่จะระเบิดออกมา ก็ถูกกลืนกลับลงไปใหม่หรือ
อาจจะกลายเป็นลมหายใจธรรมดาออกไปทางจมูก เพราะช่องที่กักลมไว้นั้นไม่เปิดออก เสียงอย่างน้ีเรียกว่า
เสียงกักหรือเสียงพยัญชนะกัก (stop) ในภาษาไทย พยัญชนะกักเกิดตามเสียงสระ คือเกิดเป็นเสียงพยัญชนะ
ทา้ ยเทา่ น้นั เสียงกักกับเสยี งระเบิดจึงเปน็ เสยี งที่เกิดหลีกล้อกัน คือเสียงระเบิดเกิดแต่ในตาแหน่งพยัญชนะต้น
เสียงกักเกิดแต่ในตาแหน่งพยัญชนะท้าย มีหน่วยเสียงพยัญชนะระเบิด ได้แก่ หน่วยเสียง /p/ /t/ /k/ /?/
/ph/ /th/ /kh/ /b/ /d/
๒. พยัญชนะกักเสียดแทรก (affricates) เสียงกักเสยี ดแทรกเป็นเสยี งท่ีเกดิ จากลมจากปอดจะข้ึน
ไปช่องจมูกไม่ได้ในระหว่าง กล่าวคอื ในช่องปากทางเดินของลมถกู ปดิ กั้นสนทิ ช่ัวระยะหน่ึง หลงั จากนน้ั อวยั วะ
ท่ีปิดก้ันทางเดินของลมจะเคลื่อนตัวออกจากกัน การเคล่ือนตัวออกจากกันของอวัยวะที่เก่ียวข้องในการเปล่ง
เสียงกักเสียดแทรกน้ีจะเกิดข้ึนช้ากว่าการเปล่งเสียงระเบิดทาให้เกิดเสียงเสียดแทรกขึ้นเมื่อปล่อยลมท่ีถูกกัก
ออกไป เสียงพยัญชนะกักเสียดแทรกในภาษาไทยมี ๒ หนว่ ยเสียง ได้แก่ หน่วยเสียง /c/ /ch/
๓. พยัญชนะเสียดแทรก (fricative) คือ เสียงพยัญชนะซึ่งเกิดข้ึนเม่ือลมที่ทาให้เกิดเสียงต้องบีบ
ตัวผ่านช่องแคบ ณ ที่ใดทีห่ นง่ึ ในช่องปาก และทาให้เกิดเสียงซซู่ ่าขึ้น อวัยวะส่วนทท่ี าใหเ้ กดิ ช่องแคบได้ คือริม
ฝีปากบนกับล่าง, ฟันบนกับริมฝปี ากลา่ ง, ล้ินกับสว่ นต่าง ๆ ของเพดานปาก, และท่ีชอ่ งระหว่างเสน้ เสียง เสียง
เสียดแทรกจึงมหี ลายเสยี ง ในภาษาไทยเสยี งเสยี ดแทรกจะปรากฏเฉพาะในตาแหนง่ พยัญชนะต้นเท่าน้ัน เสียง
พยญั ชนะเสยี งแทรกในภาษาไทยมี ๓ เสยี ง จัดเปน็ หน่วยเสียง ๓ หนว่ ยเสยี ง ได้แก่ หนว่ ยเสยี ง /f/ /s/ /h/
๔. พยัญชนะนาสิก (nasal) มีวิธีการเปล่งเสียงคล้ายกับการเปล่งเสียงพยัญชนะกัก แต่เมื่อให้ลม
มากักอยู่ในช่องปากแล้วก็ลดล้ินไก่ลง, เปิดช่องจมูกให้ลมออกไปทางโพรงจมูก ลมถูกกักในช่องปาก ณ
ตาแหน่งใด ตาแหน่งนั้นก็จะเป็นที่เกิดของพยัญชนะนาสิกน้ันด้วย หน่วยเสียงพยัญชนะนาสิกท่ีปรากฏใน
ภาษาไทยมี ๓ หน่วย มีลักษณะเป็นเสียงก้องทั้งหมด หน่วยเสียงทั้ง ๓ นี้ ปรากฏได้ท้ังเป็นเสียงพยัญชนะต้น
และเปน็ เสยี งพยญั ชนะทา้ ย เสยี งพยัญชนะนาสกิ ในภาษาไทยมี ๓ หนว่ ยเสียง ไดแ้ ก่ หน่วยเสียง /m/ /n/ /ŋ/
๕. พยัญชนะข้างล้ิน (lateral) คือ เสียงพยัญชนะก้อง ซ่ึงเปล่งเสียงโดยลิ้นปิดบริเวณปุ่มเหงือก
และเพดานตรงส่วนกลางไว้ ปลอ่ ยให้ลมออกมาทางขา้ ง ๆ ลนิ้ ไดแ้ ก่ หน่วยเสียง /l/
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๘๓
๖. พยัญชนะรัวล้ิน (trill) หรือพยัญชนะเสียงกระดกล้ิน เสียงรัวเกิดจากลมจากปอดจะข้ึนไปท่ี
ช่องจมูกหรือไม่ข้ึนก็ได้ ลมจะถกู อวัยวะในช่องปากผลักออกไปกระทบกับอีกอวัยวะหนง่ึ หลาย ๆ ครั้งติดต่อกัน
จนเกิดเปน็ อาการรวั ได้แก่ หนว่ ยเสยี ง /r/
๗. พยัญชนะก่ึงสระ (semi-vowel) เสียงพยัญชนะก่ึงสระหรือเสียงอัฒสระในภาษาไทยมี ๒
หน่วยเสียง ทั้งสองหน่วยเสียงสามารถปรากฏไดท้ ั้งตาแหน่งต้นพยางค์และทา้ ยพยางค์ เฉพาะหน่วยเสียง /w/
สามารถเกดิ ร่วมกับหน่วยเสียง /k/ /kh/ เป็นเสียงควบกล้า /kw/ /khw/ ไดด้ ้วยและเปน็ ควบกล้าเสียงเดยี วท่ี
เจ้าของภาษาสามารถออกเสียงควบกล้าไดช้ ัดเจนกว่าเสียงควบกล้าอ่ืน หนว่ ยเสียงทั้งสองเสียงมีสทั ลักษณ์และ
การปรากฏ ได้แก่ หน่วยเสียง /w/ /y/
รูปพยัญชนะในภาษาไทยมี ๔๔ รูป ซึ่งสามารถจาแนกหน่วยเสียงตามแนวภาษาศาสตร์ภาษาไทยได้
๒๑ หน่วยเสียง แต่ละหน่วยเสียงจะเขียนด้วยสัทอักษร (Phonetic alphabet) เพื่อใช้ในการบันทึกเสียงพูด
ตัวสัทอักษรหน่ึงตวั ใช้บันทึกเสียงได้เพียงหนว่ ยเสียงเดยี วเท่าน้ัน หน่วยเสยี งพยัญชนะภาษาไทยสามารถเขียน
ดว้ ยสทั อักษรไดด้ ังนี้ /p-/ แทน ป, /t-/ แทน ต ฏ, /k-/ แทน ก, /?-/ แทน อ, /ph-/ แทน พ ภ ผ, /th-/ แทน
ท ธ ฑ ถ ฐ ฒ, /kh-/ แทน ข ฃ ค ฅ ฆ, /b-/ แทน บ, /d-/ แทน ด ฎ, /c-/ แทน จ, /ch-/ แทน ฉ ช ฌ, /f-/
แทน ฟ ฝ, /s-/ แทน ซ ส ศ ษ, /h-/ แทน ห ฮ, /m-/ แทน ม, /n-/ แทน น ณ, /ŋ-/ แทน ง, /l-/ แทน ล ฬ,
/r-/ แทน ร, /w-/ แทน ว, /y-/ แทน ย ญ ซ่ึงหน่วยเสียงพยัญชนะภาษาไทยดังที่ได้กล่าวมาแล้วน้ี ผู้เขียนจะ
ได้นาหน่วยเสียงพยัญชนะภาษาไทยมาเทียบเสียง โดยการแบ่งเป็นกลุ่มได้ ๖ กลุ่ม ตามลักษณะของเสียงหรือ
คุณสมบัติของเสยี ง
เสียงวรรณยุกต์ หมายถึง พยางค์ที่มีการเปลี่ยนระดับเสียงขึ้นสูงหรือต่าลงทาให้แต่ละพยางค์ออก
เสียงแตกต่างกัน และการออกเสียงน้ันเป็นเหมือนเสียงเครอื่ งดนตรี ซ่ึงเสียงที่มีความแตกต่างกัน จะทาให้เกิด
ความหมายแตกตา่ งกนั ด้วย เพราะระดับของเสียงท่ีสูง ๆ ตา่ ๆ เป็นตวั บ่งชีค้ วามหมายของพยางค์หรอื คานน้ั
หนว่ ยเสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทย มี ๓ ประเภท คือ ๑) วรรณยกุ ต์ระดบั มี ๓ ระดบั ไดแ้ ก่ (๑) หนว่ ย
เสียงวรรณยุกต์ระดับต่า (low tone) คือ วรรณยุกต์เอก (๒) หน่วยเสียงวรรณยุกต์ระดับกลาง (mid tone)
คือ วรรณยุกต์สามัญ และ (๓) หน่วยเสียงวรรณยุกต์ระดับสูง (high tone) คือ วรรณยุกต์ตรี ๒)วรรณยุกต์
เปล่ียนระดับ มี ๒ ระดับ ได้แก่ (๑) หนว่ ยเสียงวรรณยุกต์เปลี่ยนตก (falling tone) คือเสียงวรรณยุกต์โท (๒)
หนว่ ยเสยี งวรรณยุกต์เปลยี่ นขึน้ (rising tone) คือเสยี งวรรณยุกต์จัตวา และ ๓) วรรณยกุ ต์เนน้
องค์ประกอบของการผันเสียงวรรณยุกต์ ผู้เรียนจะได้มีความรู้ความเข้าใจการประสมคา ซึ่ง
ประกอบด้วย ๑) ไตรยางศ์ แปลว่า ๓ ส่วน ใช้เป็นชื่อเรียกการจาแนกอักษร ๓ หมู่ คือ อักษรสูง อักษรกลาง
และอักษรต่า ๒) มาตราตัวสะกดมาตราคือแม่บทแจกลูกอักษรตามหมวดคาที่มีตัวสะกด หรือออกเสียงอย่าง
เดียวกันแบ่งเป็น ๘ มาตราหรือ ๘ แม่ ๓) หน่วยเสียงสระและรูปสระ สระในภาษาไทยมี ๒๑ หน่วยเสียง ๓๘
รูป ซึ่งรูปสระแบ่งตามลักษณะการใช้มี ๒ ชนิด คือ รูปสระคงเดิมและรูปสระเปลี่ยนแปลง ๔) คาเป็นคาตาย
คาเปน็ คือพยางค์ทป่ี ระสมด้วยสระเสียงยาวในแม่ ก กา และพยางค์ที่มตี วั สะกดใน แม่ กน กง กม เกย พยางค์
ท่ีประสมด้วยสระ อา ใอ ไอ เอา คาตาย คือพยางค์ท่ีประสมด้วยสระเสียงสั้นในแม่ ก กา และพยางค์ท่ีมี
ตัวสะกดในแม่ กก กด กบ ๕) ส่วนประกอบของพยางค์ ในหนึง่ พยางค์จะต้องประกอบด้วย ๓ – ๕ ส่วน ได้แก่
พยัญชนะตน้ สระ ตวั สะกด ตวั การันต์ และเสยี งวรรณยกุ ต์หรือรูปวรรณยุกต์
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๘๔
รูปแบบการเรยี นการสอน
๑. กจิ กรรมสร้างสรรค์
๑.๑ เกม (บัตรคา)
๑.๒ แบบทดสอบ/แบบฝึกหดั ทางภาษาศาสตรภ์ าษาไทย
๒. กจิ กรรมการจัดการเรยี นรแู้ บบสรา้ งสรรค์ (TBL : Tack-Based Learning)
๒.๑ นยิ ามความหมายของหนว่ ยเสียงพยัญชนะและเสยี งวรรณยกุ ต์
๒.๒ ลักษณะของหน่วยเสียงพยัญชนะในภาษาไทยเปน็ อย่างไร
๒.๓ ลกั ษณะของหน่วยเสยี งวรรณยกุ ต์เปน็ อย่างไร
๒.๔ องคป์ ระกอบของการผนั เสียงวรรณยกุ ต์มคี วามสาคัญอย่างไร
๒.๕ วาดแผนผังเปรยี บเทียบหนว่ ยเสยี งพยัญชนะในภาษาไทย
๒.๖ วาดแผนผงั เปรียบเทียบการผนั เสียงวรรณยุกต์
ส่ือการเรยี นรู้
๑. โปรแกรมนาเสนอภาพนิง่ (PPT.) เนือ้ หาประกอบการบรรยาย
๒. โปรแกรมสอื่ มตั ติมเี ดียและแอปพลเิ คชัน YouTube
๓. เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ED1019 ภาษาศาสตรภ์ าษาไทยสาหรบั ครู
๔. เกมบัตรคา
๕. แบบทดสอบ/แบบฝึกหัด
๖. แผนการจดั การเรียนรู้
๗. ใบความรู้
การวัดและการประเมินผล
๑. ประเมนิ ผลจากการสงั เกตความสนใจ ซกั ถาม และตอบคาถาม
๒. ประเมนิ ผลจากการร่วมกิจกรรม การอภิปรายแสดงความคดิ เหน็
๓. ประเมนิ ผลจากผลงาน ดา้ นเนอื้ หา รปู แบบ ความคิดสร้างสรรค์ วิธกี ารนาเสนอ
๔. ประเมินผลจากการตรวจสอบผลการเลน่ เกม แบบทดสอบ และแบบฝึกหดั
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๘๕
เอกสารอ้างอิง
กาญจนา นาคสกลุ . (๒๕๕๙). ระบบเสยี งภาษาไทย. พมิ พ์ครงั้ ที่ ๘. กรงุ เทพฯ : จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
กาชัย ทองหลอ่ . (๒๕๕๖). หลกั ภาษาไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๕๔. กรงุ เทพฯ : บริษทั รวมสาสน์ (๑๙๗๗) จากดั .
จินดา เฮงสมบรู ณ์. (๒๕๔๒). ภาษาศาสตรเ์ บื้องตน้ . กรุงเทพฯ : สวุ รี ยิ าสาส์น.
นติ ยา กาญจนะวรรณ. (๒๕๕๔). การวิเคราะห์โครงสรา้ งภาษาไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๕. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัย
รามคาแหง.
ประสิทธ์ิ กาพย์กลอน. (๒๕๑๖). การศึกษาภาษาไทยตามแนวภาษาศาสตร์. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช
จากดั .
รุง่ ฤดี แผลงศร. (๒๕๕๐). การประยุกตห์ ลักการคู่เทยี บเสียงในการสอนภาษาไทยแก่ผเู้ รยี นชาวต่างประเทศ.
วารสารมนษุ ยศาสตร์ปริทรรศน.์ ๒๙(๑), ๓๓ – ๔๖.
รุ่งฤดี แผลงศร. (๒๕๖๑). ศาสตร์การสอนภาษาไทยในฐานะภาษาต่างประเทศ. พิมพ์ครั้งท่ี ๒. กรุงเทพฯ :
จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย.
เรืองเดช ปันเข่ือนขัติย.์ (๒๕๕๒). ภาษาศาสตรภ์ าษาไทย. พิมพ์คร้ังท่ี ๒. กรุงเทพฯ : Fast Books.
วรวรรธน์ ศรียาภยั . (๒๕๕๖). ภาษาศาสตร์ภาษาไทย. นนทบุรี : สมั ปชญั ญะ.
สุธิวงศ์ พงศไ์ พบูลย.์ (๒๕๔๓). หลกั ภาษาไทย. พิมพค์ ร้ังที่ ๑๕. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช จากัด.
อดุ ม วโรฒมส์ กิ ขดิตถ์. (๒๕๔๕). ภาษาศาสตร์เหมาะสมัยเบือ้ งตน้ . กรงุ เทพฯ : ตน้ ธรรม.
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๘๖
แผนการสอนประจาบท
หัวเร่ือง
๑. ความหมายของพยางค์
๒. โครงสรา้ งคาตามหลักภาษาไทย
๓. หน่วยคาในภาษาไทย
๔. ส่วนประกอบของพยางค์
๕. โครงสร้างของพยางคใ์ นภาษาไทย
๖. โครงสรา้ งคาพยางคเ์ ดียว
๗. โครงสร้างคาสองพยางค์
๘. โครงสร้างคาหลายพยางค์
๙. ความหมายของคาหรอื หน่วยคา
๑๐. ลักษณะของคามูลหรอื หนว่ ยคา
แนวคิด
พยางค์ หมายถึง ส่วนประกอบของคาหนึ่งคา น้ันจะมีความหมายหรือไม่มีความหมายก็ได้ ในหนึ่งคา
อาจจะมี พยางค์เดียว สองพยางค์ สามพยางค์ ส่ีพยางค์ เป็นตน้ ในแต่ละพยางค์อาจจะมีความหมายในตัวเอง
หรือไม่มีความหมายก็ได้ แต่เม่ือนามารวมกันเป็นคาเดียวแล้วจะเกิดความหมายใหม่เสมอ ส่วนประกอบของ
พยางค์ การศึกษาลักษณะโครงสร้างพยางค์ภาษาไทย จึงจาเป็นต้องศึกษาลักษณะส่วนประกอบของคาต่าง ๆ
โดยกาหนดสัญลักษณ์ใช้แทนหน่วยเสียงต่าง ๆ ท่ีเป็นส่วนประกอบของพยางค์ ซ่ึงโครงสร้างคาตามหลัก
ภาษาไทย ในคาหนึ่งคาจะมีส่วนประกอบของพยางค์ประสมกัน ๓ – ๕ ส่วน ได้แก่ พยัญชนะ + สระ +
วรรณยุกต์ + ตวั สะกด + การันต์
โครงสร้างพยางค์ในภาษาไทย ภาษาไทยเป็นภาษาที่ได้รับอิทธิพลจากภาษาต่างประเทศหลาย
ประเทศ เนื่องด้วยเหตผุ ลหลายประการ เชน่ ศาสนา วัฒนธรรม การศกึ ษา เศรษฐกจิ และการเมือง โดยเฉพาะ
ปจั จุบันน้เี ป็นยุคกระแสโลกาภิวัตน์ มกี ารลื่นไหลทางวฒั นธรรมด้วย จงึ ได้รับเอาศัพทจ์ ากภาษาต่างประเทศมา
ใช้โดยการยืมคา การยืมเสียง การยืมโครงสร้างไวยากรณ์ และการบัญญัติคาศัพท์ใช้ เป็นต้น คาต่าง ๆ ใน
ภาษาไทย ถ้าอาศัยพยางค์เป็นหลัก จะมีพยางค์อยู่ทั้งหมด ๓ ประเภท คือ ๑) คาพยางค์เดี่ยว ๒) คาสอง
พยางค์ ๓) คาหลายพยางค์
หน่วยคา หมายถึง หน่วยย่อยที่สุดในภาษาท่ีเจ้าของภาษารู้จักและใช้ในการพูดและเขียน คาเป็น
หน่วยภาษาที่สามารถใช้ตามลาพังเพื่อสื่อสารได้ ซ่ึงคามีองค์ประกอบ ๒ ประการ คือ รูป กับ ความหมาย
ลกั ษณะของคามูลหรือหน่วยคา นักวิชาการไทยในอดีตเรียกว่า “คามลู ” เพราะว่าคาน้ันไม่ได้นาไปประสมกับ
คาอื่น ๆ หากนาไปประสมกับคาอื่นท่ีมีความหมายหรือไม่มีความหมายก็จะเรียกว่า คาประสม ส่วน
“หน่วยคา” เป็นคาเรียกของนักวิชาการไทยในปัจจุบัน หลังจากได้ศึกษาหลักภาษาศาสตร์ตามแบบตะวันตก
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๘๗
ซ่งึ เปน็ การอธบิ ายลกั ษณะของคาในภาษาไทย ซ่งึ หน่วยคาแบง่ เป็น ๒ ประเภทตามลักษณะการปรากฏร่วมกับ
คาอืน่ ไดแ้ ก่ หนว่ ยคาอิสระ และ หน่วยคาไมอ่ ิสระ
วตั ถุประสงค์
เม่ือนักศึกษาเรยี นจบบทที่ ๔ มสี ามารถได้ดังน้ี
๑. อธิบายความหมายของพยางค์ได้
๒. อธิบายโครงสร้างคาตามหลกั ภาษาไทยได้
๓. อธบิ ายหนว่ ยคาและความหมายได้
๔. อธบิ ายสว่ นประกอบของพยางค์ได้
๕. อธิบายโครงสร้างคาพยางค์เด่ียวได้
๖. อธิบายโครงสร้างคาสองพยางคไ์ ด้
๗. อธบิ ายโครงสร้างคาหลายพยางค์ได้
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๘๘
บทท่ี ๔
โครงสรา้ งพยางค์และหน่วยคาในภาษาไทย
ระบบคาในภาษามีเป็นส่วนสาคัญในการเขียน การอ่าน ซ่ึงในแต่ละภาษาจะมีโครงสร้างคา และในคา
หน่ึงคาอาจจะมีโครงสร้างพยางค์เดี่ยว หรือโครงสร้างสองพยางค์ หรือโครงสร้างหลายพยางค์ก็ได้ ทั้งนี้ ใน
ภาษาไทยเดิมจะมีโครงสร้างพยางค์เด่ียว กล่าวคือภาษาไทยมีลักษณะเป็นคาพยางค์เด่ียว เม่ือมีการติดต่อกับ
ต่างประเทศและได้ยืมคามาใช้ในภาษาไทยจึงทาให้ภาษาไทยมีคาหลายพยางค์ ดังจะเห็นในปัจจุบัน ในบทน้ี
จะได้กล่าวถึง ความหมายของพยางค์ โครงสร้างคาตามหลักภาษาไทย หน่วยคาในภาษาไทย ส่วนประกอบ
ของพยางค์ โครงสรา้ งของพยางค์ในภาษาไทย โครงสร้างคาพยางค์เดยี ว โครงสรา้ งคาสองพยางค์ โครงสร้างคา
หลายพยางค์ ความหมายของคา และลกั ษณะของคามลู หรอื หน่วยคา ดังมีรายละเอยี ดต่อไปน้ี
๔.๑ ความหมายของพยางค์
กาชัย ทองหล่อ (๒๕๕๒: ๘๙) กล่าวไว้ว่า พยางค์ คือส่วนหน่ึงของคาหรือหน่วยเสียงท่ีประกอบด้วย
สระตวั เดียวจะมคี วามหมายหรอื ไม่มกี ็ได้
เรอื งเดช ปันเขือนขัติย์ (๒๕๕๒ : ๑๒๙) กล่าวไวว้ า่ พยางค์ (Syllable) หมายถึงกลมุ่ เสียงทีด่ ังเดน่ ซ่ึง
ปรากฏในกลุ่มเสียงท่ีเรียงเป็นคาพูด ถ้าเราพูดช้า ๆ จะสังเกตหรือได้ยินเสียงพูดเด่นดังเป็นช่วง ๆ ติดต่อกัน
และถ้ามีการเน้นที่คาใดหรือพยางค์ใดในขณะท่ีพูด ก็จะได้ยินเสียงพยางค์นั้นชัดกว่าพยางค์อื่น ๆ ในขณะท่ี
เปล่งเสยี งพูดออกมา
พระยาอุปกิตศิลปสาร (๒๕๔๕ : ๑๘) กล่าวไว้ว่า พยางค์คือส่วนของคาพูด ท่ีต้ังขึ้นเพื่อใช้แทนคา
ถอ้ ยคาท่ใี ชพ้ ูดกนั นน้ั บางทีกเ็ ปล่งเสยี งออกครง้ั เดียว บางทีก็หลายครง้ั
กาญจนา นาคสกุล (๒๕๕๙ : ๑๖๕) กล่าวไว้ว่า พยางค์ คือ หน่วยท่ีเล็กที่สุดในการพูดเพ่ือสื่อ
ความหมายของคนเรา โดยทว่ั ๆ ไปเจ้าของภาษาจะสามารถบอกได้ว่า คาทเี่ ขาพดู คาหนึง่ ๆ มีก่พี ยางค์
สุนันท์ อัญชลีนุกูล (๒๕๕๖ : ๑๒) กล่าวไว้ว่า พยางค์ คือ ส่วนประกอบของคาที่นามาร่วมกัน จะมี
ความหมายหรอื ไม่มคี วามหมายก็ไดใ้ นหนึง่ พยางค์ ในหนึ่งคาอาจมีมากกว่าหนึง่ พยางคก์ ็ได้
วิเชียร เกษประทุม (๒๕๕๘ : ๖๘) กล่าวไว้ว่า พยางค์ คือเสียงท่ีเปล่งออกมาคร้ังหนึ่ง ๆ จะมี
ความหมายหรือไมม่ คี วามหมายกไ็ ด้
ประสิทธิ์ กาพย์กลอน (๒๕๑๖ : ๙๔) กล่าวไว้ว่า พยางค์ คือการลาดับของเสียง ซึ่งอาจจะมี
ความหมายหรือไม่มีความหมายก็ได้ พยางค์ต่างกับคาตรงท่ีว่า คาต้องมีความหมายเสมอ พยางค์กับคาจึงมิใช่
สิ่งเดียวกัน ดังนั้น พยางค์จึงหมายถึงเสียงที่เปล่งออกมาครั้งหนึ่ง ๆ เสียงท่ีเปล่งออกมาน้ันต้องประกอบด้วย
เสยี งต่าง ๆ เชน่ พยญั ชนะ สระ และวรรณยกุ ต์ เป็นต้น ร่วมอย่ดู ว้ ยเสมอ
สรปุ ความได้ว่า พยางค์ หมายถึง ส่วนประกอบของคาหนง่ึ คา นั้นจะมคี วามหมายหรอื ไมม่ ีความหมาย
ก็ได้ ในหน่ึงคาอาจจะมี พยางค์เดียว สองพยางค์ สามพยางค์ ส่ีพยางค์ เป็นต้น ในแต่ละพยางค์อาจจะมี
ความหมายในตวั เองหรอื ไม่มคี วามหมายกไ็ ด้ แต่เม่อื นามารวมกนั เป็นคาเดยี วแลว้ จะเกิดความหมายใหม่เสมอ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๘๙
๔.๒ โครงสร้างคาตามหลักภาษาไทย
โครงสรา้ งคาตามหลักภาษาไทย (กาชัย ทองหลอ่ , ๒๕๕๒ : ๘๙; สุนันท์ อัญชลนี ุกูล, ๒๕๕๖ : ๖ – ๘;
วิเชียร เกษประทุม, ๒๕๕๘ : ๖๘ – ๖๙) สรุปความได้ว่า ในหนึ่งพยางค์มีส่วนประสม ๓ – ๕ ส่วน ได้แก่
พยัญชนะ + สระ + วรรณยกุ ต์ + ตัวสะกด + การันต์ พยางค์แตล่ ะพยางค์ อยา่ งนอ้ ยจะตอ้ งมสี ่วนประกอบ ๓
สว่ น คือ พยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ อย่างมากจะตอ้ งมีส่วนประสม ๕ ส่วน คอื พยัญชนะ สระ วรรณยุกต์
ตวั สะกด และการันต์ จะน้อยกว่า ๓ ส่วนหรือมากกวา่ ๕ ส่วนไมไ่ ดแ้ ละคา ๆ เดียวจะมีพยางคเ์ ดียวหรือหลาย
พยางค์ก็ได้ ดงั น้ี
๑. คาที่มี ๓ ส่วน ได้แก่ คาท่ีประกอบด้วยพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ ในส่วนของวรรณยุกต์
อาจเป็นวรรณยุกต์ปรากฏรูปหรือวรรณยุกต์ไม่ปรากฏรูปก็ได้ คาในภาษาแม้จะไม่ปรากฏรูปวรรณยุกต์ ก็ต้อง
พจิ ารณาเสียงวรรณยุกตใ์ นโครงสรา้ งเสมอ ดังตารางภาพคาทปี่ ระกอบดว้ ย ๓ ส่วน ตอ่ ไปนี้
ตัวอยา่ งคา พยญั ชนะตน้ สระ วรรณยุกต์
ขา ข อา ไม่มีรูป
ลา้ ล อา รปู วรรณยุกต์โท
ขวา ขว อา ไม่มรี ปู
ทา้ ท อา รปู วรรณยกุ ตโ์ ท
แม่ ม แอ รูปวรรณยกุ ต์เอก
๒. คาที่มี ๔ ส่วน คือ คาท่ีประกอบด้วยพยญั ชนะ สระ วรรณยกุ ต์ และตวั สะกด มี ๒ กลมุ่ ดังน้ี
๒.๑ คาท่ีมี ๔ ส่วนปกติ คือ คาที่ประกอบด้วยพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ และตัวสะกด ดัง
ตารางภาพท่ี ๒ คาท่ีประกอบด้วย ๔ ส่วนปกติ ตอ่ ไปนี้
ตัวอย่างคา พยัญชนะตน้ สระ ตวั สะกด วรรณยุกต์
กัน ก อะ น ไม่มรี ปู
ขบ ข โอะ บ ไม่มีรูป
ริบ ร อิ บ ไม่มีรูป
ทา่ น ท อา น รูปวรรณยกุ ต์เอก
แล้ง ล แอ ง รูปวรรณยกุ ตโ์ ท
๒.๒ คาท่ีมี ๔ ส่วนพิเศษ คือ คาท่ีประกอบด้วยพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ และตัวการันต์
(พยัญชนะท่ีมีไม้ทัณฑฆาตกากับเพื่อไม่ให้ออกเสียงพยัญชนะตัวนั้น ๆ) คาท่ีมี ๔ ส่วน มักเป็นคาต่างประเทศ
ดังตารางภาพคาที่ประกอบด้วย ๔ ส่วนพิเศษ ต่อไปนี้
ตัวอย่างคา พยญั ชนะตน้ สระ ตวั การันต์ วรรณยกุ ต์
คยี ์ ค อี ย์ ไมม่ รี ูป
เล่ห์ ล เอ ห์ รูปวรรณยกุ ต์เอก
สีห์ ส อี ห์ ไม่มรี ูป
ปรดี ิ์ ปร อี ด์ิ ไมม่ รี ปู
พาห์ พ อา ห์ ไมม่ ีรปู
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๙๐
๓. คาท่ีมี ๕ สว่ น คอื คาทปี่ ระกอบดว้ ยพยญั ชนะ สระ ตัวสะกด วรรณยุกต์ และตัวการันต์ มกั เปน็ คา
ตา่ งประเทศ ดงั ตารางภาพคาท่ีประกอบด้วย ๕ ส่วน ตอ่ ไปนี้
ตัวอย่างคา พยญั ชนะต้น สระ ตัวสะกด ตัวการนั ต์ วรรณยุกต์
แพทย์ พ แอ ท ย์ ไม่มรี ปู
ทิพย์ ท อิ พ ย์ ไมม่ รี ปู
อนิ ทร์ อ อิ น ทร์ ไม่มรี ปู
ฉนั ท์ ฉ อะ น ท์ ไม่มรี ูป
ปราชญ์ ปร อา ช ญ์ ไม่มรี ปู
๔.๓ หนว่ ยคาในภาษาไทย
สถาบันภาษาไทย (๒๕๔๕ : ๑ – ๘) กล่าวไว้ว่า หน่วยคา หมายถึง หน่วยย่อยท่ีสุดในภาษาที่เจ้าของ
ภาษารู้จักและใช้ในการพูดและเขียน คาเป็นหน่วยภาษาที่สามารถใช้ตามลาพังเพื่อสื่อสารได้ ซ่ึงคามี
องค์ประกอบ ๒ ประการ คือ รูป กับ ความหมาย คาเป็นหน่วยทางภาษาท่ีเล็กท่ีสุดทีเ่ จ้าของภาษาแต่ละภาษา
รู้จัก เจ้าของภาษาใช้ คาเป็นเครื่องมือสาคัญในการส่ือสารไม่ว่าจะพูดหรือเขียน ดังน้ัน ผู้เขียนจะกล่าวถึง
ความหมายของคาและหนว่ ยคาในบทที่ ๗ การเรียนรูค้ าใดคาหนึ่งคือการเรียนรู้ขอ้ มลู ทางภาษาทั้งหมดที่อยู่ใน
คานั้น คาแต่ละคามขี อ้ มลู ตา่ ง ๆ หลายดา้ นซึ่งผ้เู รียนรูค้ าจะต้องรู้ ดงั นี้
๑. ข้อมูลด้านเสียง (phonological information) คือ ข้อมูลดา้ นรูปแบบของเสยี งท่ีเรียงกันตาม
ระบบของภาษา การเกิดร่วมกันของเสียงท่ีใช้ในภาษาใดภาษาหนึ่ง เพื่อประกอบเข้าเป็นคาของภาษาน้ัน ๆ
เช่นคาว่า ศึกษาธิการ ออกเสยี งเป็น ๔ พยางค์ แต่ละพยางค์ประกอบดว้ ยเสียงพยัญชนะและเสียงสระเรยี งกัน
ตามลาดับ ทุกพยางค์มีเสียงวรรณยุกต์ และพยางค์ที่ ๑, ๒, ๔ ลงน้าหนักเสียง ส่วนพยางค์ที่ ๓ ไม่ลงน้าหนัก
เสยี ง ดงั ตารางภาพการลงน้าหนกั เสียงคา ๔ พยางค์
พยางค์ที่ ๑ พยางค์ท่ี ๒ พยางค์ท่ี ๓ พยางค์ท่ี ๔
ศึก ษา ธิ การ
พยญั ชนะ+สระ+ตัวสะกด พยญั ชนะ+สระ พยญั ชนะ+สระ พยญั ชนะ+สระ+ตัวสะกด
(ไม่มรี ปู วรรณยุกต์) (ไม่มีรูปวรรณยุกต)์ (ไม่มีรูปวรรณยุกต์) (ไม่มรี ปู วรรณยกุ ต์)
ลงเสยี งหนกั ลงเสียงหนกั ลงเสยี งเบา ลงเสียงหนัก
๒. ข้อมูลด้านโครงสร้างของคา (morphological information) คือ ข้อมูลท่ีบอกว่า คาหน่ึง ๆ
เปน็ คาเดียวหรือประกอบขน้ึ มาจากหนว่ ยคาอะไรบา้ ง เชน่ คาวา่ นา้ , รบ, อัศจรรย์ เป็นคาเดยี่ วหรือคามูล และ
เช่นคาว่า น้าพุ ประกอบขึ้นจากหน่วยคาท่ีมีความหมาย ซึ่งสามารถปรากฏโดด ๆ ๒ หน่วย ส่วนคาว่า นักรบ
ประกอบข้ึนจากหน่วยที่มีความหมาย ๒ หน่วย เช่นกัน แต่หน่วยแรกเป็นหน่วยที่ไม่สามารถปรากฏโดด ๆ ได้
สว่ นหน่วยหลังเป็นหนว่ ยท่ีปรากฏโดด ๆ ได้ ดงั ตารางภาพส่วนประกอบของโครงสร้างคา
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๙๑
ตวั อยา่ งคา แยกสว่ นประกอบ ความหมาย+การปรากฏ
นา้ พุ น้า หน่วยทมี่ ีความหมายและปรากฏโดด ๆ ได้
พุ หนว่ ยที่มคี วามหมายและปรากฏโดด ๆ ได้
นักรบ นัก หนว่ ยท่มี ีความหมายและปรากฏโดด ๆ ไม่ได้
รบ หน่วยที่มคี วามหมายและปรากฏโดด ๆ ได้
๓. ข้อมูลด้านวากยสัมพันธ์ (syntactic information) คือ ข้อมูลด้านชนิด และหน้าที่ของคาท่ี
จาเป็นต้องรู้ เม่ือคานั้นไปสัมพันธ์กบั คาอ่ืนในโครงสร้างที่ใหญ่กว่า เช่นคาว่า นอน ในภาษาไทย เป็นคากริยา
ใช้เป็นภาคแสดง (predicate) ในประโยค
๓.๑ คาว่า นอน ปรากฏในตาแหนง่ หลังคานาม คาสรรพนาม หรือหลงั คากรยิ าอนื่
คานาม + นอน เช่น น้องนอน แมวนอน ชาวบา้ นนอน
คาสรรพนาม + นอน เชน่ เขานอน เธอนอน พวกเรานอน
คากริยา + นอน เช่น ไปนอน เข้านอน ล้มตวั ลงนอน
๓.๒ คาว่า นอน อาจมีคานามหรอื คากริยาอื่นตามมาหรอื ไม่กไ็ ด้
นอน + คานาม เช่น เขานอนเตียง ฉันกลบั ไปนอนบา้ น
นอน + คากริยา เชน่ น้องนอนร้องไห้ เจ้าตูบนอนเฝา้ บ้าน
๔. ข้อมลู ด้านความหมาย (semantic information) คือ ข้อมลู ด้านความหมายท้ังหมดของคา ที่
คานั้น ๆ ใช้ส่ือทั้งความหมายตรง (denotative meaning) และความหมายเปรียบเทียบหรือความหมายแฝง
(connotative meaning) เช่น รู้วา่ หมู มีความหมายตรงหมายถึง “สัตว์ ๔ เทา้ จมูกกลม หางสั้น มีผิวหนังสี
ชมพูหรือดา ร้องอึด ๆ นิยมเล้ียงไว้เป็นอาหาร หรือหมายถึง “อาหารท่ีทามาจากเน้ือของสัตว์ชนิดนั้น” เช่น
หมูแผ่น หมูป้งิ หมูสะเตะ๊ ฯลฯ และมีความหมายเปรยี บเทียบ หมายถึง “ง่าย ไม่ซับซ้อน สามารถทาได้โดยไม่
ลาบากหรือเหน่อื ยแรง” เชน่ ขอ้ สอบวันนหี้ มูมาก แคย่ กเดยี วกล็ งไปกองกับพนื้ เสยี แลว้ หมยู ังกับอะไร
๕. ข้อมูลด้านการใช้คา (pragmatic information) คือ ข้อมูลด้านการใช้คา ในปริบทของ
สถานการณ์หรือข้อความต่าง ๆ เชน่ รู้วา่ คาว่า หมู ซึ่งเป็นความหมาย เปรียบเทียบ มักใช้ซ้ารูปกนั เปน็ หมู ๆ
เช่น ของหมู ๆ เรือ่ งหมู ๆ และจะใช้ในปริบทท่ีไมเ่ ป็นทางการเทา่ นัน้
ในดา้ นการใช้คานั้น บางคร้ังผู้ใช้จะใช้ตามเจตนา อารมณ์ ทรรศนะ หรือ ทัศนคตทิ ี่ตนต้องการส่ือ
เช่น เมอื่ ใชว้ ่า ไอห้ มูตัวนี้มนั ชอบพังประตคู อกออกมา จะแสดงใหเ้ หน็ ทรรศนะของผู้พดู วา่ “ไม่ชอบ” หรอื “ไม่
พอใจ” หมู ตวั ที่กลา่ วถงึ
๖. ข้อมูลด้านสังคมและวัฒนธรรม (socio-cultural information) คือ ความรู้ด้านสังคมและ
วัฒนธรรมที่แฝงอยู่ในคา เช่น คาว่า ข้าวปลา ในภาษาไทย ไม่ได้มีความหมายตรงตามตัวว่า “ข้าวและปลา”
แต่มีความหมายกว้างว่า “อาหาร” เช่น เมืองไทยข้าวปลาอุดมสมบูรณ์ กินข้าวกินปลามาหรือยัง กับข้าวกับ
ปลามีให้เลือกมากมาย เข้าไปในครัวหาข้าวหาปลากินเสียก่อน คาว่า ข้าวปลา น้ีสะท้อน ให้เห็นว่า ข้าวและ
ปลา เป็นอาหารหลักของคนไทยมาแต่ด้ังเดิม อีกทั้งดินแดนซึ่ง เป็นท่ีตั้งประเทศไทยในปัจจุบันยังเป็นพื้นท่ีท่ี
เหมาะแกก่ ารปลกู ขา้ วและมีปลาชุกชมุ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๙๒
๗. ข้อมูลด้านประวัติหรือที่มาของคา (etymological information) คือ ข้อมูลที่ให้ความรู้
เก่ียวกับประวัติความหมายดั้งเดิมของคาหรือท่ีมาของคานั้น ๆ ว่า เป็นคาท่ีมาจากภาษาอะไร มาจากคาใด
หรือมาจากรากศพั ทอ์ ะไร เช่น รู้วา่ คาวา่ ทรัพย์ เป็นคาทยี่ ืมมาจากภาษาสันสกฤตว่า ทรฺ วยฺ มีความหมายตาม
รูปศัพท์ว่า “ส่ิงทวี่ ิ่งได้” เดมิ ใชเ้ รียก “ปศุสัตว์” ในอินเดยี โบราณ คาว่า ทฺรวยฺ มคี วามหมายเหมือน “เงิน” ใน
เชิงเศรษฐศาสตร์ คือ ใช้ ทฺรวฺย หรือ “ปศสุ ัตว์” เป็นสื่อกลางในการแลกเปล่ียน เป็นมาตรฐานในการวัดมูลค่า
สิ่งต่าง ๆ และเป็นมาตรฐานใน การชาระหน้ี ดังน้ัน ต่อมา ทรฺ วฺย จึงมีความหมายขยายออกไปหมายถึง “สิ่งมี
คา่ ทงั้ ปวง” เปน็ ต้น
เมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลด้านอ่ืน ๆ จะเห็นว่า ข้อมูลของคาในด้านประวัติหรือที่มาของคา มี
ความสาคัญในแง่ของการส่ือสารน้อย แต่มีประโยชน์ช่วยให้ เข้าใจความหมายของคานั้น ๆ ลึกซ้ึงยิ่งข้ึน
การศึกษาภาษาท้ังภาษาแม่และภาษาต่างประเทศเพ่ือนาไปใช้ในการส่ือสาร ไม่จาเป็นต้องศึกษาประวัติและ
ที่มาของคา
๔.๔ ส่วนประกอบของพยางค์
ส่วนประกอบของพยางค์ (เรืองเดช ปันเข่ือนขัติย์, ๒๕๕๒ : ๑๓๐; กาญจนา นาคสกุล, ๒๕๕๙ :
๑๗๒; วรวรรธน์ ศรียาภัย, ๒๕๕๖ : ๑๐๖; สุนันท์ อัญชลีนุกูล, ๒๕๕๖ : ๑๐) สรุปความได้ว่า การศึกษา
ลักษณะโครงสร้างพยางค์ภาษาไทย จึงจาเป็นต้องศึกษาลักษณะส่วนประกอบของคาต่าง ๆ โดยกาหนด
สัญลกั ษณ์ใชแ้ ทนหนว่ ยเสยี งตา่ ง ๆ ท่เี ปน็ สว่ นประกอบของพยางค์ ดงั น้ี
C = แทนหน่วยเสียงพยญั ชนะต้น
CC = แทนหนว่ ยเสยี งพยญั ชนะควบกลา้ (ว ล ร) และหน่วยเสยี งมพี ยัญชนะ ห นา
V = แทนหนว่ ยเสียงสระเสียงสัน้
VV = แทนหน่วยเสียงสระเสยี งยาวและสระประสม
N = แทนหน่วยเสยี งพยัญชนะทา้ ยทเี่ ป็นพยัญชนะนาสิก (น ม ย ว ง)
S = แทนหน่วยเสยี งพยัญชนะทา้ ยทีเ่ ป็นพยัญชนะเสียงหยดุ (ก บ ด)
T = แทนหนว่ ยเสียงวรรณยกุ ต์
T0 แทนหนว่ ยเสยี งวรรณยุกตส์ ามัญ
T1 แทนหนว่ ยเสยี งวรรณยกุ ต์เอก
T2 แทนหนว่ ยเสียงวรรณยกุ ตโ์ ท
T3 แทนหนว่ ยเสยี งวรรณยกุ ตต์ รี
T4 แทนหน่วยเสียงวรรณยุกตจ์ ตั วา
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๙๓
๔.๕ โครงสร้างของพยางค์ในภาษาไทย
โครงสร้างของพยางค์ในภาษาไทย (วไิ ลศักด์ิ กิ่งคา, ๒๕๕๖ : ๒๑๙; เรืองเดช ปันเข่ือนขัติย์; ๒๕๕๒ :
๑๓๐; สุนันท์ อัญชลนี กุ ูล, ๒๕๕๖ : ๑๔ – ๑๖; วรวรรธน์ ศรยี าภยั , ๒๕๕๖ : ๑๑๔) สรปุ ความไดว้ า่ โครงสร้าง
พยางค์ภาษาไทย ภาษาไทยเป็นภาษาท่ีได้รับอิทธิพลจากภาษาต่างประเทศหลายประเทศ เนื่องด้วยเหตุผล
หลายประการ เช่น ศาสนา วัฒนธรรม การศึกษา เศรษฐกิจ และการเมือง โดยเฉพาะปัจจุบันน้ีเป็นยุคกระแส
โลกาภิวัตน์ มีการล่ืนไหลทางวัฒนธรรมดว้ ย จึงได้รับเอาศพั ท์จากภาษาต่างประเทศมาใช้โดยการยมื คา การยืม
เสียง การยมื โครงสรา้ งไวยากรณ์ และการบัญญัติคาศพั ทใ์ ช้ เปน็ ตน้
คาตา่ ง ๆ ในภาษาไทย ถา้ อาศยั พยางคเ์ ปน็ หลกั จะมีพยางคอ์ ยทู่ ั้งหมด ๓ ประเภท คอื
๑. คาพยางค์เด่ียว (Monosyllabic Words) หมายถึง คาเด่ียวท่ีเป็นหน่วยเล็กท่ีสุดท่ีมี
ความหมายและเป็นหน่วยคาอิสระเพราะปรากฏตามลาพังได้ คาพยางค์เดียวหรือหน่วยคาอิสระนี้มีใช้มากใน
ภาษาไทย เพราะส่วนมากเปน็ คาพน้ื ฐานทใี่ ชใ้ นชวี ติ ประจาวนั
๒. คาสองพยางค์ (Disyllabic Words) หมายถึง คาท่ีเกิดจากพยางค์ ๒ พยางค์รวมกัน คาสอง
พยางค์ในภาษาไทยแบ่งออกเป็น ๒ ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ คาสองพยางคแ์ ท้ คือคาที่มีสองพยางค์ พยางค์แรกมักไม่มี
ตัวสะกด ถ้ามีตัวสะกดมักเป็นพยัญชนะแม่กง แม่กน แม่กม เวลาออกเสียงพยางค์แรกจะไม่ลงน้าหนักเสียง
หรือออกเสียงเพียงก่ึงมาตรา ส่วนพยางค์หลักอาจมีตัวสะกดหรือไม่มีตัวสะกดที่ต้องลงน้าหนักเสียงตามปกติ
คาที่ขีดเส้นใต้เป็นคาที่ลงน้าหนักเสียง และคาสองพยางค์เทียม คือ คาที่มีสองพยางค์ พยางค์แรกและพยางค์
หลังจะลงนา้ หนักเทา่ กนั เกิดเป็นคาสองพยางคเ์ ทียม ๑ คา
๓. คาหลายพยางค์ (Polysyllabic Words) หมายถึง คาท่ีมีส่วนประกอบของพยางค์ต้ังแต่ ๓
พยางค์ขึ้นไปแล้วมีความหมาย เกิดขึ้นจากการเอาโครงสร้างพยางค์เด่ียวและสองพยางค์ แบบใดแบบหนึ่งมา
ประสมกันหรือเรยี งกันในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ลักษณะของคาหลายพยางค์มหี ลายรูปแบบข้ึนอยกู่ ับจานวน
พยางค์
ดังนั้น การแบ่งโครงสร้างของพยางค์ภาษาไทย จึงต้องแบ่งไปตามประเภทคาในภาษาไทย โดย
แบง่ ประเภทของพยางคภ์ าษาไทย ๓ แบบ คอื
๑) โครงสรา้ งพยางคเ์ ด่ียว (Monosyllabic pattern)
๒) โครงสร้างสองพยางค์ (Disyllabic pattern)
๓) โครงสร้างหลายพยางค์ (Polysyllabic pattern)
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๙๔
๔.๖ โครงสร้างคาพยางคเ์ ดี่ยว
โครงสร้างคาพยางค์เด่ียว (เรืองเดช ปนั เขอื่ นขัตยิ ์, ๒๕๕๒ : ๑๓๑ – ๑๓๕) สรุปความได้ว่า โครงสรา้ ง
คาพยางคเ์ ดี่ยว (Monosyllabic pattern) แบ่งออกเปน็ ๔ แบบ ดังนี้
๑) โครงสร้างแบบท่ีหนึ่ง C(C)VT0,1,3
๒) โครงสรา้ งแบบที่สอง C(C)VVT0 – 4
๓) โครงสร้างแบบที่สาม C(C)V(V)NT0 – 4
๔) โครงสร้างแบบทสี่ ี่ C(C)V(V)ST1,2,3
ลกั ษณะโครงสร้างทั้ง ๔ แบบน้ี ถือเป็นโครงสร้างหลักซ่ึงสามารถแตกยอ่ ยออกไปอีกตามรูปแบบและ
เสยี งวรรณยุกต์ดังนี้
๑. โครงสรา้ งพยางคเ์ ดี่ยวแบบทหี่ นงึ่ C(C)VT0,1,3
โครงสร้างน้ี ประกอบดว้ ยหน่วยเสียง ๓ – ๔ หนว่ ยเสียง คือ (๑) หน่วยเสียงพยญั ชนะต้นพยางค์
(๒) หน่วยเสียงพยัญชนะควบกล้า (ถ้ามี) (๓) หน่วยเสียงสระเสียงสั้น และ (๔) หน่วยเสยี งวรรณยุกต์เอก หรือ
ตรี และโครงสร้างพยางค์ลกั ษณะนี้ จะปรากฏเฉพาะกบั พยางค์แรกของคาสองพยางค์แท้ (Disyllabic Words)
เท่าน้ัน โดยไม่ปรากฏในคาพยางค์เดียวโดยทั่วไป สาหรับการออกเสียงวรรณยุกต์ของพยางค์นี้มักจะไม่เน้น
เสียง (unstressed) จึงเป็นเสียงวรรณยุกต์สามัญเป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้าเน้นเพียงเล็กน้อยก็จะเป็นเสียงเอกหรือ
ตรี ทัง้ น้ีขนึ้ อยู่กบั พยัญชนะต้นเป็นอักษรชนิดใดในภาษาเขียน กล่าวคือ ถ้าเป็นอักษรสูงหรือกลางมักเป็นเสียง
เอก และถ้าเป็นอักษรต่ามักจะเป็นเสียงตรี ลักษณะโครงสร้างพยางค์น้ี สามารถจาแนกออกเป็น ๖ แบบ ตาม
เสยี งวรรณยุกตแ์ ละเสียงควบกลา้ ดงั ตารางภาพโครงสรา้ งพยางค์เดย่ี วแบบท่หี น่ึง C(C)VT0,1,3
ลาดบั ที่ โครงสร้าง ตวั อย่างคา สว่ นประกอบของพยางค์ เสียงวรรณยกุ ต์
๑ CVT0 คดี พยญั ชนะ + สระ + วรรณยกุ ต์ เสยี งสามัญ
๒ CCVT0 ประจา พยัญชนะ + สระ + วรรณยกุ ต์ เสียงสามัญ
๓ CVT1 จะ พยญั ชนะ + สระ + วรรณยกุ ต์ เสียงเอก
๔ CCVT1 กระ พยญั ชนะ + สระ + วรรณยกุ ต์ เสยี งเอก
๕ CVT3 ละ พยัญชนะ + สระ + วรรณยกุ ต์ เสียงตรี
๖ CCVT3 พระ พยญั ชนะ + สระ + วรรณยุกต์ เสยี งตรี
๒. โครงสร้างแบบทส่ี อง C(C)VVT0 – 4
โครงสร้างแบบนเ้ี รียกว่า พยางค์เปิด ประกอบด้วยหน่วยเสยี งอย่างนอ้ ย ๓ หน่วยเสียง อย่างมาก
ไม่เกิน ๔ หน่วยเสียง คือ (๑) หน่วยเสียง พยัญชนะต้นเดี่ยว (๒) หน่วยเสียงควบกล้า /ว ร ล/ (ถ้ามี) (๓)
หน่วยเสียงสระเสียงยาวหรือสระประสม ซึ่งเป็นแกนของพยางค์ และ (๔) หน่วยเสียง วรรณยุกต์ 0 – 4 ซึ่ง
สามารถจาแนกออกเป็น ๑๐ แบบ ดังตารางภาพโครงสร้างพยางค์เดีย่ วแบบทีส่ อง C(C)VVT0 – 4
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
ลาดบั ท่ี โครงสร้าง ตวั อยา่ งคา ส่วนประกอบของพยางค์ ๙๕
๑ CVVT0 มา พยัญชนะ + สระ + วรรณยกุ ต์
๒ CVVT1 ปี่ พยัญชนะ + สระ + วรรณยกุ ต์ เสยี งวรรณยุกต์
๓ CVVT2 ขา้ พยญั ชนะ + สระ + วรรณยุกต์ เสียงสามัญ
๔ CVVT3 มา้ พยัญชนะ + สระ + วรรณยกุ ต์ เสียงเอก
๕ CVVT4 หา พยัญชนะ + สระ + วรรณยกุ ต์ เสียงโท
๖ CCVVT0 ครู พยัญชนะ + สระ + วรรณยกุ ต์ เสยี งตรี
๗ CCVVT1 อยู่ พยัญชนะ + สระ + วรรณยุกต์ เสียงจตั วา
๘ CCVVT2 กล้า พยญั ชนะ + สระ + วรรณยุกต์ เสียงสามัญ
๙ CCVVT3 พร้า พยัญชนะ + สระ + วรรณยกุ ต์ เสียงเอก
๑๐ CCVVT4 หนา พยัญชนะ + สระ + วรรณยกุ ต์ เสยี งโท
เสียงตรี
เสียงจัตวา
๓. โครงสรา้ งแบบที่สาม C(C)V(V)NT0 – 4
โครงสร้างพยางค์แบบน้ีเรียกว่า พยางค์เป็น (คาเป็น) ประกอบด้วยหน่วยเสียง ๔ หน่วยเสียง
อย่างมากไม่เกิน ๕ หน่วยเสียง คือ (๑) หน่วยเสียงพยัญชนะต้นเดี่ยว หรือ (๒) หน่วยเสียงพยัญชนะควบกล้า
(ถ้ามี) (๓) หนว่ ยเสยี งสระเดี่ยว หรือสระประสม (๔) หน่วยเสียงพยัญชนะท้ายท่ีเป็นพยญั ชนะนาสิก (N) /ม น
ง/ หรืออัฒสระ /ว ย/ และ (๕) หน่วยเสียงวรรณยุกต์ ๐ – ๔ โครงสร้างพยางค์ลักษณะน้ีสามารถจาแนก
ออกเปน็ แบบ ๔ แบบ ดงั นี้
แบบที่ ๑ โครงสร้างพยางค์เด่ียวแบบที่สาม CVNT0 – 4 ดังตารางภาพโครงสร้างพยางค์เดี่ยว
แบบที่สาม แบบที่ ๑ CVNT0 – 4
ลาดับท่ี โครงสรา้ ง ตวั อยา่ งคา สว่ นประกอบของพยางค์ เสียงวรรณยุกต์
๑ CVNT0 ฟัง พยัญชนะ + สระ + วรรณยกุ ต์ + ตวั สะกด เสียงสามัญ
๒ CVNT1 ปั่น พยัญชนะ + สระ + วรรณยุกต์ + ตวั สะกด เสียงเอก
๓ CVNT2 ขั้น พยัญชนะ + สระ + วรรณยกุ ต์ + ตัวสะกด เสยี งโท
๔ CVNT3 ค้น พยัญชนะ + สระ + วรรณยกุ ต์ + ตัวสะกด เสยี งตรี
๕ CVNT4 ฝัน พยญั ชนะ + สระ + วรรณยุกต์ + ตวั สะกด เสยี งจัตวา
แบบที่ ๒ โครงสร้างพยางค์เด่ียวแบบท่ีสาม CVVNT0 – 4 ดังตารางภาพโครงสร้างพยางค์เดี่ยว
แบบทส่ี าม แบบที่ ๒ CVVNT0 – 4
ลาดับที่ โครงสร้าง ตัวอยา่ งคา ส่วนประกอบของพยางค์ เสียงวรรณยุกต์
๑ CVVNT0 เมอื ง พยญั ชนะ + สระ + วรรณยกุ ต์ + ตวั สะกด เสยี งสามญั
๒ CVVNT1 ผา่ น พยัญชนะ + สระ + วรรณยุกต์ + ตวั สะกด เสียงเอก
๓ CVVNT2 บ้าน พยัญชนะ + สระ + วรรณยกุ ต์ + ตัวสะกด เสยี งโท
๔ CVVNT3 ร้าน พยญั ชนะ + สระ + วรรณยกุ ต์ + ตัวสะกด เสยี งตรี
๕ CVVNT4 เสียง พยัญชนะ + สระ + วรรณยกุ ต์ + ตัวสะกด เสยี งจัตวา
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๙๖
แบบท่ี ๓ โครงสร้างพยางค์เดี่ยวแบบที่สาม CCVNT0 – 4 ดังตารางภาพโครงสร้างพยางค์เดี่ยว
แบบทสี่ าม แบบท่ี ๓ CCVNT0 – 4
ลาดับท่ี โครงสร้าง ตวั อย่างคา สว่ นประกอบของพยางค์ เสียงวรรณยกุ ต์
๑ CCVNT0 คลัง พยญั ชนะ + สระ + วรรณยุกต์ + ตัวสะกด เสยี งสามัญ
๒ CCVNT1 เปล่ง พยญั ชนะ + สระ + วรรณยกุ ต์ + ตวั สะกด เสยี งเอก
๓ CCVNT2 คลงั่ พยัญชนะ + สระ + วรรณยุกต์ + ตัวสะกด เสียงโท
๔ CCVNT3 ครัง้ พยัญชนะ + สระ + วรรณยุกต์ + ตัวสะกด เสียงตรี
๕ CCVNT4 เหงา พยัญชนะ + สระ + วรรณยกุ ต์ + ตัวสะกด เสียงจตั วา
แบบที่ ๔ โครงสร้างพยางค์เดยี่ วแบบท่ีสาม CCVVNT0 – 4 ดังตารางภาพโครงสร้างพยางค์เด่ียว
แบบทสี่ าม แบบที่ ๔ CCVVNT0 – 4
ลาดบั ที่ โครงสรา้ ง ตัวอยา่ งคา สว่ นประกอบของพยางค์ เสยี งวรรณยกุ ต์
๑ CCVVNT0 เกรียม พยญั ชนะ + สระ + วรรณยกุ ต์ + ตัวสะกด เสยี งสามญั
๒ CCVVNT1 ปลอ่ ย พยญั ชนะ + สระ + วรรณยุกต์ + ตัวสะกด เสียงเอก
๓ CCVVNT2 เกลยี้ ง พยญั ชนะ + สระ + วรรณยุกต์ + ตัวสะกด เสยี งโท
๔ CCVVNT3 ครา้ น พยัญชนะ + สระ + วรรณยุกต์ + ตัวสะกด เสยี งตรี
๕ CCVVNT4 ขวาน พยญั ชนะ + สระ + วรรณยกุ ต์ + ตวั สะกด เสียงจัตวา
๔. โครงสรา้ งแบบท่ีส่ี C(C)V(V)ST1,2,3
โครงสร้างพยางค์แบบน้ี เรียกว่า พยางค์ตาย (คาตาย) ประกอบด้วยหน่วยเสียงอย่างน้อย ๔
หน่วยเสียง และอย่างมากไม่เกิน ๕ หน่วยเสียง คือ (๑) หน่วยเสียงพยัญชนะต้นเดี่ยว หรือ (๒) หน่วยเสียง
พยัญชนะควบกล้า /ว ร ล/ (ถ้ามี) (๓) หน่วยเสียงสระเดี่ยวหรือสระประสม (๔) หน่วยเสียงพยัญชนะท้ายที่
เป็นพยัญชนะเสยี งกัก (S) /ก บ ด/ และ (๕) หน่วยเสียงวรรณยุกต์ ๑, ๒, ๓ โครงสร้างแบบนี้สามารถจาแนก
ออกเปน็ โครงสร้างย่อยแบบ ๔ แบบ ดงั น้ี
แบบท่ี ๑ โครงสร้างพยางค์เด่ียวแบบท่ีสี่ CVST1,3 ดังตารางภาพโครงสร้างพยางค์เด่ียวแบบที่ส่ี
แบบท่ี ๑ CVST1,3
ลาดับท่ี โครงสร้าง ตัวอย่างคา สว่ นประกอบของพยางค์ เสียงวรรณยุกต์
๑ CVST1 ขัด พยัญชนะ + สระ + วรรณยกุ ต์ + ตัวสะกด เสียงเอก
๒ CVST3 ลกั พยญั ชนะ + สระ + วรรณยุกต์ + ตวั สะกด เสียงตรี
แบบท่ี ๒ โครงสรา้ งพยางค์เด่ียวแบบที่ส่ี CVVST1,2 ดังตารางภาพโครงสรา้ งพยางค์เด่ียวแบบทสี่ ่ี
แบบท่ี ๒ CVVST1,2
ลาดับท่ี โครงสร้าง ตวั อย่างคา ส่วนประกอบของพยางค์ เสียงวรรณยกุ ต์
๑ CVVST1 หาบ พยญั ชนะ + สระ + วรรณยุกต์ + ตัวสะกด เสียงเอก
๒ CVVST2 มาก พยัญชนะ + สระ + วรรณยกุ ต์ + ตวั สะกด เสียงโท
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง