The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงาน อบรมพระธรรมทูต 28 กลุ่ม ๕ - ๖ ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๕

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by suphakitth2537, 2022-06-05 12:08:48

รายงาน อบรมพระธรรมทูต 28 กลุ่ม ๕ - ๖ ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๕

รายงาน อบรมพระธรรมทูต 28 กลุ่ม ๕ - ๖ ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๕

ภาพผนวก 351

ภาพผนวก 352

ภาคผนวก

กิจกรรมตา่ งๆ

ภาพผนวก 354

ภาพผนวก 355

ภาพผนวก 356

ภาคผนวก

พธิ ีเปดิ โครงการ
อบรมพระธรรมทูตสายต่างประเทศ

รุ่นที่ 28 ประจำปี 2565

ภาพผนวก 357

ภาพผนวก 358

ภาคผนวก

พิธีปิดโครงการ
อบรมพระธรรมทตู สายตา่ งประเทศ

รนุ่ ท่ี 28 ประจำปี 2565

ภาพผนวก 360

ภาพผนวก 361

ภาพผนวก 362

ภาคผนวก

คำกลา่ วปฏิญาณ
กจิ กรรมภาควิชาการทบทวนธรรม

ภาพผนวก 363

คำปฏญิ ญา

พระธรรมทตู สายต่างประเทศ

ประพนั ธโ์ ดย: พระราชปัญญาเมธี (สมชยั กุสลจติ โต)
อดีตรองอธกิ ารบดฝี ่ายกิจการต่างประเทศ

คำปฏญิ าณ

ข้าพเจ้า, ขอปฏญิ าณตอ่ หน้าพระพทุ ธปฏมิ า, และครอู าจารย์ ณ ท่ีนี้ว่า,
ข้าพเจา้ , ขอยอมเป็นทาสผูร้ บั ใช้ของพระพุทธเจ้า, พระธรรม, และพระสงฆ์,
พระพุทธเจา้ , พระธรรม, และพระสงฆ์, เป็นนายมอี ิสระเหนอื ขา้ พเจ้า
ขา้ พเจ้า, ขอปฏิญาณว่า, จะตง้ั ใจฝึกฝนอบรมตน, ศกึ ษาแลกเปลย่ี นเรยี นรู้,
ปฏบิ ตั ิตามคำแนะนำพรำ่ สอน, ของครอู าจารย์, และปฏิบัตติ ามพระธรรมวนิ ยั ,
ด้วยความเคารพ
ขา้ พเจ้า, ขอปฏญิ าณว่า, เมือ่ ประกอบคณุ งามความดใี ด ๆ, จะไมห่ วังผลตอบ
แทน, เป็นลาภ, ยศ, สรรเสรญิ , เกียรติ, ชือ่ เสียงแกต่ นเอง, จะขอทำถวาย, เปน็ เครอ่ื ง
สักการบูชา, ตอบแทน, แดพ่ ระพุทธเจ้า, พระธรรม, และพระสงฆ์

องคฺ ํ ธนํ ชีวติ ญฺจาปิ สพพฺ ํ
จเช นโร ธมฺมมนสุ สฺ รนฺโต
ขา้ พเจา้ , ขอปฏิญาณว่า, ในฐานะพระธรรมทูตสายต่างประเทศ, ขอยอมสละ
สรรพสิ่ง, ทั้งสมบัติ, อวัยวะ, และชีวิตของตน. เพื่อประโยชน์สุขของพหูชน, และ
ความพัฒนาสถาพร, ของพระพทุ ธศาสนาสบื ไป.

ภาพผนวก 364

The Promise

Overseas Dhammaduta Bhikkhus

Phra Rajpannamedhi (Somchai Kusalacitto)
The Former Vice-Rector for Foreign Affairs

The Promise

• I make vow to the Buddha and my preceptors that
• I shall serve the Buddha, the Dhamma and the Sangha.
• I vow to pursue self-training, learning and the exchange of
knowledge diligently. I vow to abide by the advice of my preceptors and
to practice the Dhamma-Vinaya with humble respect.
• I vow that, when fulfilling any duty, I shall not expect worldly
rewards such as material gains, rank, compliments, honors and fame for
my own sake.
• I shall transfer any reward in order to show my reverence for the
Buddha, the Dhamma and the Sangha.

Angam dhanam jivitancapi sabbam
Caje naro dhammamanussaranto.

• In the name of the Overseas Dhammaduta Bhikkhus, I vow to
sacrifice everything including my own property, organs and life for the
happiness of all beings and beneficial expansion of the Buddha-Sasana.

ภาพผนวก 365

กจิ กรรมภาควชิ าการ ทบทวนธรรม
โครงการอบรมพระธรรมทูตสายต่างประเทศ รุ่นที่ 28/2565

1. กรรม 2
2. ไตรลกั ษณ์ 3
3. ไตรสกิ ขา 3
4. ภาวนา 4
5. อริยสจั 4
6. สตปิ ัฏฐาน 4
7. ขันธ์ 5
8. นิวรณ์ 5
9. อนิ ทรยี ์ 5
10. สัปปุริสทั ธรรม 7
11. มรรคมีองค์ 8
12. วิปสั สนาญาณ 9
13. ปฏิจจสมปุ ปาท 12
14. ธดุ งค์ 13
15. ธรรมะภาคสภาษาอังกฤษสำหรบั พระธรรมทตู
16. ศาสตร์และศิลป์แห่งการปฏบิ ัติธรรม
17. หลักธรรมนเิ ทศสหรับพระธรรมทูต

ภาพผนวก 366

กรรม 2

กรรม 2 (การกระทำ, การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา ทางกายก็ตาม ทางวาจาก็ตาม ทางใจก็ตาม -
Kamma: action; deed)

1. อกุศลกรรม (กรรมทเี่ ป็นอกศุ ล, กรรมชว่ั , การกระทำที่ไมด่ ี ไม่ฉลาด ไมเ่ กิดจากปญั ญา ทำให้เสือ่ มเสีคุณ
ภาพชีวิต หมายถึง การกระทำที่เกิดจากอกุศลมูล คือ โลภะ โทสะ หรือโมหะ - Akusala-kamma:
unwholesome action; evil deed; bad deed) เป็นบาป กรรมชั่ว ความชั่วร้าย ความเสียหาย ความ
ไม่ถูกต้อง ซึ่งให้ผลเป็นความทุกข์ เป็นสิ่งที่ควรเว้น การกระทำบาป กระทำความชั่ว เรียกว่าทำ
อกุศลกรรม เรยี กย่อว่า ทำอกศุ ล หรอื เรียกวา่ ทำบาปอกศุ ล อกุศลกรรมเกิดมาจากอกศุ ลมูลอย่างใดอยา่ ง
หนึ่งใน 3 อย่างคอื โลภะ โทสะ โมหะ เพราะเมื่อเกิดอย่างใดอย่างหนง่ึ เกิดขึน้ แล้วก็เป็นเหตชุ ักนำใจให้คิด
ทำอกุศลกรรม เชน่ เม่ือโลภะเกดิ ขึน้ ก็เป็นเหตใุ ห้คิดอยากได้ เมอ่ื อยากไดก้ ็แสวงหา เม่ือไม่ไดต้ ามต้องการ
ด้วยวธิ ีสุจรติ กเ็ ปน็ เหตใุ ห้ทำอกศุ ลกรรมอน่ื ตอ่ ไป เชน่ ลกั ขโมย ปลน้ จี้ ฉอ้ โกง เปน็ ต้น

2. กุศลกรรม (กรรมท่เี ปน็ กุศล, กรรมดี, การกระทำท่ีดี ฉลาด เกิดจากปัญญา ส่งเสรมิ คุณภาพของชีวิตจิตใจ
หมายถึง การกระทำที่เกิดจากกุศลมูล คืออโลภะ อโทสะ หรืออโมหะ -Kusala-kamma: wholesome
action; good deed) เป็นบุญ ความดี ความถกู ตอ้ ง ซง่ึ ให้ผลเป็นความสขุ โดยสว่ นเดยี ว การทำบุญ การ
ทำความดี เรียกว่า ทำกุศลกรรม หรือเรียกย่อว่าทำกุศล กุศลกรรมที่ควรทำเป็นประจำได้แก่ ให้
ทาน เสียสละ รกั ษาศลี อบรมจติ ใจ เจริญภาวนา เรียกย่อวา่ บำเพญ็ ทาน ศีล ภาวนา ซึง่ สามารถทำได้โดย
บรรเทาความโลภ ความโกรธ ความหลงใหน้ อ้ ยลง เพราะถา้ ยงั มคี วามโลภ ความโกรธ ความหลงเตม็ จติ อยู่
ก็ไม่สามารถทำกุศลกรรมอะไรได้

ไตรลกั ษณ์ 3

ไตรลักษณ์ แปลวา่ "ลักษณะ ๓ อยา่ ง" หมายถงึ สามัญลักษณะ หรอื ลักษณะทเี่ สมอกัน หรอื ขอ้ กำหนด หรือสงิ่
ท่มี ปี ระจำอยใู่ นตวั ของสงั ขารทัง้ ปวงเปน็ ธรรมที่พระพุทธเจ้าไดต้ รสั รู้ ๓ อยา่ ง ไดแ้ ก่
1. อนิจจตา (อนจิ จงั ) - ความไมเ่ ทย่ี ง ความไม่คงที่ ความไม่ยง่ั ยืน ภาวะทเี่ กดิ ข้นึ แล้วเสื่อมและสลายไป
2. ทุกขตา (ทุกขัง) - ความเป็นทุกข์ ภาวะที่ถูกบีบคั้นด้วยการเกิดขึ้นและสลายตัว ภาวะที่กดดัน ฝืนและ

ขัดแยง้ อยู่ในตวั เพราะปจั จัยทีป่ รุงแต่งให้มีสภาพเป็นอย่างนัน้ เปลี่ยนแปลงไป จะทำใหค้ งอยู่ในสภาพนั้น
ไม่ได้ ภาวะท่ไี ม่สมบรู ณ์มีความบกพร่องอยูใ่ นตวั
3. อนัตตตา (อนัตตา) - ความเป็นอนัตตา ความไม่ใช่ตัวตน ความไม่มีตัวตนที่แท้จริงของมันเอง ไม่ใช่ของ
ใคร ไม่อยู่ในอำนาจควบคุมของใคร

ลักษณะ ๓ อยา่ งน้ี เรียกอีกอยา่ งหน่งึ ว่า สามญั ลกั ษณะ คอื ลกั ษณะท่มี เี สมอกนั แก่สังขารทั้งปวง และเรยี กอกี
อยา่ งหน่ึงว่า ธรรมนิกาย คือกฎธรรมดาหรือข้อกำหนดทีแ่ นน่ อนของสังขาร

ภาพผนวก 367

ไตรสิกขา แปลว่า สิกขา 3 หมายถึงข้อสำหรับศกึ ษา, การศึกษาข้อปฏิบัติที่พึงศกึ ษา, การฝึกฝนอบรมตนใน
เรื่องท่ีพงึ ศกึ ษา 3 อย่างคือ

1. อธสิ ีลสกิ ขา คอื ศกึ ษาเร่ืองศีล อบรมปฏบิ ัติให้ถกู ตอ้ งดีงาม ให้ถกู ต้องตามหลกั จลุ ศลี มชั ฌมิ ศีล และมหา
ศีล ตลอดถึงปฏิบัติอยู่ในหลัก มัชฌิมศีล และมหาศีล ตลอดถึงปฏิบัติอยู่ในหลัก อินทรีย
สงั วร สตสิ มั ปชัญญะ และสนั โดษ

2. อธิจิตตสิกขา คือศึกษาเรื่องจิต อบรมจิตให้สงบมั่นคงเป็นสมาธิ ได้แก่การบำเพ็ญสมถกรรมฐานของผู้
สมบูรณ์ดว้ ยอริยศลี ขันธ์จนไดบ้ รรลุฌาน 4

3. อธิปญั ญาสกิ ขา คือศกึ ษาเรื่องปญั ญาอบรมตนใหเ้ กดิ ปญั ญาแจม่ แจ้ง ไดแ้ ก่การบำเพญ็ วปิ สั สนากรรมฐาน
ได้ฌานแล้วจนได้บรรลุวิชชา 8 คือเป็นพระอรหนั ต์หรืออืกชือ่ คอื อรหันตพ์ ทุ ธ

ภาวนา 4

ภาวนา แปลว่า การทำให้เจริญ การเจริญ การทำให้มีขึ้น การฝึกอบรม หรือการพัฒนา แบ่งตามสิ่งที่ควร
พฒั นามี 4 ประการ คือ
1. กายภาวนา คือ การพัฒนากาย หรอื การฝกึ อบรมกาย ให้รูจ้ กั ติดตอ่ เกี่ยวขอ้ งกบั สงิ่ ท้งั หลายภายนอกทาง

อินทรีย์ท้งั หา้ ในทางทีด่ ี และปฏบิ ัตติ ่อสิ่งเหลา่ นนั้ ในทางทเี่ ป็นคณุ ไม่ใหเ้ กดิ โทษหรอื อกุศลกรรม ใหเ้ กิดแต่
คณุ หรอื กุศลกรรม พดู ใหเ้ ข้าใจงา่ ย ๆ คือใช้กายในทางทด่ี ี สรา้ งแต่คุณงามความดนี ัน่ เอง
2. สีลภาวนา คือ การอบรมศีล หรือ การพฒั นาความประพฤติ ได้แก่ การดำรงตนใหต้ ัง้ อยูใ่ นระเบียบวินัย
ไม่ประพฤติตนนอกกรอบของศีลธรรมและกฎหมายบ้านเมือง ไม่เบียดเบียนหรือก่อความเดือดร้อน
เสียหายใหแ้ ก่ตนเองและสงั คม ดำรงตนอยู่ในสังคมด้วยหลักคณุ ธรรมจริยธรรมและช่วยเหลอื เกื้อกูลกนั
คอื รกั ษาศีลใหบ้ ริสทุ ธิ์นน่ั เอง
3. จิตตภาวนา คือ การพัฒนาจิต หรือ การฝึกอบรมจิตใจ เพื่อให้จิตใจเข้มแข็งมั่นคง เจริญงอกงามด้วย
คณุ ธรรมท้ังหลาย เช่น มีเมตตากรุณา มีฉนั ทะ มีความเพยี ร มีขนั ติ เปน็ ต้น คือการฝึกใหจ้ ติ ใจดำรงคงม่ัน
ในคณุ ธรรมนั่นเอง
4. ปญั ญาภาวนา คอื การพัฒนาปัญญา หรอื การฝึกอบรมปญั ญา ใหเ้ กดิ ความรู้ความเขา้ ใจสง่ิ ท้ังหลายตาม
ความเป็นจรงิ รู้เท่าทันและเหน็ แจง้ โลกตามสภาวะที่มนั เปน็ ฝึกทำจติ ใจให้บริสทุ ธจ์ิ ากกเิ ลสตัณหาท้ังปวง
แกไ้ ขปญั หาท่เี กิดข้นึ ดว้ ยปญั ญา การพัฒนาปัญญานน้ั สามารถทำได้ดว้ ยการเจรญิ วปิ สั สนาภาวนา

อริยสจั 4

อริยสัจ หรือจตุราริยสัจ หรืออริยสัจ 4 เป็นหลักคำสอนหนึ่งของพระโคตมพุทธเจ้า แปลว่า ความจริงอัน
ประเสรฐิ ความจริงของพระอรยิ บคุ คล หรือความจรงิ ท่ีทำใหผ้ ูเ้ ข้าถงึ กลายเป็นอรยิ ะ มีอยู่สี่ประการ คอื

ภาพผนวก 368

1. ทุกข์ คือ สภาพที่ทนได้ยาก ภาวะที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ สภาพที่บีบคั้น ได้แก่ ชาติ (การเกิด) ชรา
(การแก่ การเก่า) มรณะ (การตาย การสลายไป การสูญสิ้น) การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นท่ีรัก การพลดั
พรากจากส่ิงอนั เปน็ ท่ีรัก การปรารถนาส่ิงใดแล้วไมส่ มหวงั ในสง่ิ นั้น กลา่ วโดยย่อ ทุกข์ก็คืออุปาทานขันธ์
หรือขนั ธ์ 5

2. สมทุ ัย คอื สาเหตทุ ี่ทำให้เกิดทกุ ข์ ได้แก่ ตณั หา 3 คอื กามตณั หา-ความทะยานอยากในกาม ความอยาก
ได้ทางกามารมณ์, ภวตัณหา-ความทะยานอยากในภพ ความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่
ประกอบด้วยภวทิฏฐิหรือสัสสตทิฏฐิ และ วิภวตัณหา-ความทะยานอยากในความปราศจากภพ ความ
อยากไมเ่ ป็นโน่นเปน็ นี่ ความอยากท่ีประกอบด้วยวิภวทฏิ ฐหิ รอื อจุ เฉททฏิ ฐิ

3. นิโรธ คอื ความดบั ทุกข์ ไดแ้ ก่ ดบั สาเหตทุ ที่ ำให้เกดิ ทุกข์ กล่าวคอื ดบั ตณั หาท้งั 3 ไดอ้ ยา่ งส้ินเชงิ
4. มรรค คือ แนวปฏบิ ตั ิทนี่ ำไปสู่หรือนำไปถึงความดับทกุ ข์ มอี งคป์ ระกอบอยู่แปดประการ คอื 1. สัมมาทิฐิ

ความเหน็ ชอบ 2. สมั มาสังกัปปะ ความดำริชอบ 3. สัมมาวาจา เจรจาชอบ 4. สัมมากมั มนั ตะ กระทำชอบ
5. สมั มาอาชวี ะ เลี้ยงชีพชอบ 6. สมั มาวายามะ พยายามชอบ 7. สัมมาสติ ระลึกชอบ และ 8. สัมมาสมาธิ
ตงั้ ใจชอบ ซ่ึงรวมเรยี กอีกชอ่ื หนึ่งไดว้ ่า "มชั ฌิมาปฏิปทา" หรือทางสายกลาง

มรรคมีองค์แปดนี้สรุปลงในไตรสิกขา ได้ดังนี้ 1. อธิสีลสิกขา ได้แก่ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และ
สัมมาอาชวี ะ 2. อธิจิตสิกขา ได้แก่ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ และ 3. อธิปัญญาสิกขา ได้แก่
สัมมาทฏิ ฐิ และสัมมาสังกัปปะ
กิจในอรยิ สัจ 4

กิจในอรยิ สัจ คือสงิ่ ท่ตี อ้ งทำต่ออรยิ สจั 4 แต่ละข้อ ได้แก่
1. ปริญญา - ทุกข์ ควรรู้ คอื การทำความเขา้ ใจปัญหาหรือสภาวะทเ่ี ปน็ ทุกขอ์ ยา่ งตรงไปตรงมาตามความเปน็

จรงิ เปน็ การเผชิญหน้ากับปญั หา
2. ปหานะ - สมุทัย ควรละ คือการกำจัดสาเหตทุ ่ที ำให้เกดิ ทุกข์ เป็นการแก้ปญั หาทเ่ี หตตุ ้นตอ
3. สัจฉิกริ ยิ า - นโิ รธ ควรทำให้แจ้ง คือการเข้าถึงภาวะดับทกุ ข์ หมายถึงภาวะท่ไี ร้ปญั หาซึง่ เปน็ จุดมงุ่ หมาย
4. ภาวนา - มรรค ควรเจริญ คือการฝึกอบรมปฏิบตั ติ ามทางเพ่อื ใหถ้ งึ ความดับแห่งทุกข์ หมายถึงวิธกี ารหรือ

ทางท่จี ะนำไปสจู่ ุดหมาย
กจิ ทัง้ ส่นี ี้จะต้องปฏิบตั ิใหต้ รงกบั มรรคแตล่ ะข้อให้ถกู ตอ้ ง การร้จู กั กจิ ในอริยสจั นี้เรยี กว่ากจิ ญาณ
กิจญาณเป็นส่วนหนึ่งของญาณ 3 หรือญาณทัสสนะ (สัจญาณ, กิจญาณ, กตญาณ) ซึ่งหมายถึงการหยั่งรู้
ครบสามรอบ ญาณทง้ั สามเม่ือเข้าค่กู บั กจิ ในอริยสัจทงั้ สี่จงึ ไดเ้ ปน็ ญาณทัสนะมีอาการ 12 ดงั น้ี
1. สัจญาณ หย่งั รู้ความจรงิ สี่ประการว่า
1.1. น่ีคือทุกข์

ภาพผนวก 369

1.2. นคี่ อื เหตแุ หง่ ทกุ ข์
1.3. นีค่ ือความดับทกุ ข์
1.4. นี่คือทางแหง่ ความดับทกุ ข์
2. กจิ ญาณ หยงั่ รู้หนา้ ทตี่ ่ออริยสัจว่า
2.1. ทกุ ขค์ วรรู้
2.2. เหตุแห่งทุกขค์ วรละ
2.3. ความดับทกุ ข์ควรทำใหป้ ระจกั ษ์แจง้
2.4. ทางแหง่ ความดับทุกข์ควรฝกึ หัดใหเ้ จริญขึน้
3. กตญาณ หยั่งร้วู ่าได้ทำกิจท่คี วรทำไดเ้ สร็จส้นิ แล้ว
3.1. ทกุ ขไ์ ด้กำหนดรูแ้ ล้ว
3.2. เหตแุ ห่งทกุ ขไ์ ด้ละแล้ว
3.3. ความดับทกุ ขไ์ ด้ประจักษ์แจ้งแลว้
3.4. ทางแห่งความดบั ทุกขไ์ ด้ปฏบิ ัตแิ ลว้

สติปัฏฐาน 4

สติปัฏฐาน 4 เป็นหลกั การภาวนาตามมหาสติปัฏฐานสูตร[1] เป็นข้อปฏบิ ัตเิ พื่อรูแ้ จ้ง คือเข้าใจตาม
เปน็ จริงของสิ่งทั้งปวงโดยไมถ่ ูกกเิ ลสครอบงำ สตปิ ัฏฐานมี 4 อย่าง การตามอนุปสั สนาในกาย เวทนา จติ และ
ธรรม สตปิ ัฏฐาน = ศลี 5

โดยคำว่า สติ หมายถึงความระลกึ รู้ ไม่ลืม สติเป็นเจตสิกท่ีเกดิ กบั จติ ท่ีดงี ามเท่าน้ัน ไม่เกิดกบั อกศุ ล
คอยช่วยใหจ้ ติ ที่ดีงามนกึ ถึงแตเ่ ร่อื งทีเ่ ป็นประโยชนใ์ ห้ผลเปน็ ความสุข ระลกึ ถงึ แต่ส่งิ ทีไ่ ม่กอ่ ใหเ้ กิดโทษคอื กเิ ลส
, ส่วนปัฏฐาน แปลได้หลายอย่าง แต่ในมหาสติปัฏฐานสูตรและสติปัฏฐานสูตร หมายถึง ความตั้งมั่น, ความ
แน่วแน่, ความมุ่งมนั่ ไม่ปลอ่ ยเวลาใหเ้ สียประโยชน์[ตอ้ งการอา้ งอิง]

โดยรวมคือเข้าไปรู้เห็นในสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง คือ วงจรปฏิจจสมุปบาท เพื่อให้เห็นไตร
ลักษณ์หรอื สามญั ลกั ษณะ จนละคลายความยึดตดิ ด้วยอำนาจกิเลสท้งั ปวง[ต้องการอา้ งอิง] ได้แก่
1. กายานปุ ัสสนา สตปิ ฏั ฐาน - การมสี ตไิ มล่ มื วา่ กายเป็นแค่ทร่ี วมของธาตุ 4 ไดแ้ ก่ ดนิ น้ำ ลม ไฟมาประชุม

รวมกันเป็นร่างกาย ไมม่ องกายดว้ ยความเปน็ คน สัตว์ เรา เขา แต่มองแยกเปน็ รูปธรรมหนึ่งๆ อาศัยเหตุ
ปัจจัยมากมายเกิดขึ้นเป็นวงจรปฏิจจสมุปบาท ก็จะเห็นความเกิดดับ และเห็นว่ากายล้วนไม่เที่ยง เปน็
ทกุ ข์ และเปน็ อนตั ตา
2. เวทนานุปัสสนา สติปัฏฐาน -การมีสติไม่ลืมว่าเวทนา, ทั้งสุข ทุกข์ อุเบกขา มีและไม่มีอามิส, ล้วนเปน็
นามธรรมอยา่ งหนึ่ง ไม่มองเวทนาด้วยความเปน็ คน สตั ว์ เรา เขา แต่มองแยกเป็นแคน่ ามธรรมท่อี าศัยเหตุ

ภาพผนวก 370

ปจั จยั มากมายเกดิ ข้ึนเป็นวงจรปฏิจจสมุปบาท กจ็ ะเหน็ ความเกดิ ดบั และเหน็ วา่ เวทนาลว้ นไมเ่ ทยี่ ง เป็น
ทุกข์ และเป็นอนัตตา
3. จิตตานปุ สั สนา สติปฏั ฐาน - การมสี ตไิ มล่ ืมว่าจิตมเี หตุใกล้คือเจตสิกมากมายเปน็ ปจั จัยใหเ้ กิดอยู่ ไม่มอง
จติ ดว้ ยความเป็นคน สตั ว์ เรา เขา คือไม่มองว่าเรากำลังคดิ เรากำลังโกรธ หรือเรากำลังเหมอ่ ลอย แต่มอง
แยกเป็นนามธรรมอย่างหน่ึง ทีอ่ าศัยเหตุปจั จยั มากมายเกดิ ขึน้ เป็นวงจรปฏิจจสมปุ บาท ก็จะเห็นความเกดิ
ดับ และเหน็ ว่าจติ ล้วนไม่เทีย่ ง เป็นทุกข์ และเป็นอนตั ตา
4. ธัมมานุปัสสนา สติปัฏฐาน - การมีสตไิ ม่ลมื ว่าโลกิยธรรมทั้งปวงเกดิ จากเหตุปัจจยั มากมาย ไม่มองด้วย
ความเป็นคน สัตว์ เรา เขา แต่มองเป็นรูปธรรมและนามธรรม ที่อาศัยเหตุปัจจัยมากมายเกิดขึ้นเป็น
วงจรปฏิจจสมุปบาทกจ็ ะเหน็ ความเกดิ ดบั และเหน็ วา่ ธรรมท่ีเกดิ จากเหตุปัจจยั ลว้ นไมเ่ ทย่ี ง เป็นทุกข์ และ
เปน็ อนัตตา

ขันธ์ 5

ขันธ์ แปลวา่ ตวั , หมู่, กอง, พวก, หมวด ในทางพุทธศาสนาหมายถึงส่วนหนึ่งๆ ของรูปกับนามทแ่ี ยก
ออกเปน็ 5 กอง คือ รปู เวทนา สัญญา สังขาร และวญิ ญาณ ซ่ึงเรยี กว่า ขันธ์ 5 หรือขนั ธท์ ัง้ 5 ได้แก่
1. รูป เปน็ สภาพไมร่ ู้ มที ัง้ หมด 28 รปู แบง่ เป็น อุปาทยรูป 24 รูป และมหาภูตรปู 4 รูป
2. เวทนา เป็นความรูส้ กึ มที ั้งหมด 5 เวทนา
3. สัญญา เปน็ ความจำได้ ความร้จู ำสิง่ ทป่ี รากฏได้ทางตา และความรสู้ ึกได้ทางใจ
4. สังขาร เปน็ การปรงุ แต่งจิตให้เปน็ จิตหลากหลาย มที ัง้ หมด 50 สงั ขาร
5. วิญญาณ เป็นสภาพรับรู้ มที ้ังหมด 6 วิญญาณ

ในขนั ธ์ 5 น้ี เมอ่ื จัดขนั ธเ์ ข้าในปรมตั ถธรรม รปู จะจดั เป็นรูปธรรม สว่ นเวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
จะจัดเป็นนามธรรม

• รปู ขนั ธ์ จะจัดเขา้ ในรูป
• เวทนาขันธ์ สัญญาขนั ธ์ และสังขารขันธ์ จะจดั เข้าในเจตสกิ
• วญิ ญาณขันธ์ จะจดั เข้าในจติ
• การหมดเหตุปัจจยั ของนามรปู จะจัดเขา้ ในนพิ พาน
• ขันธ์ 5 จะจัดเขา้ ในไตรลักษณ์

นวิ รณ์ 5

ภาพผนวก 371

นิวรณ์ (อ่านว่า นิ-วอน) (บาลี: nīvaraṇāna) แปลวา่ เครื่องก้ัน ใช้หมายถงึ ธรรมทีเ่ ป็นเครื่องปิดกั้น
หรือขัดขวางไม่ให้บรรลุความดี ไม่เปิดโอกาสให้ทำความดี และเป็นเครื่องกั้นความดีไว้ไม่ให้เข้าถึงจิต เป็น
อปุ สรรคสำคญั ทีท่ ำใหผ้ ู้ปฏบิ ัติบรรลุธรรมไม่ไดห้ รือทำใหเ้ ลกิ ล้มความตง้ั ใจปฏิบัตไิ ป

นวิ รณ์มี 5 อยา่ ง คอื
1. กามฉันทะ ความพอใจ ติดใจ หลงใหลใฝฝ่ ัน ในกามโลกียท์ ้ังปวง ดจุ คนหลับอยู่
2. พยาบาท ความไม่พอใจ จากความไม่ได้สมดังปรารถนาในโลกียะสมบัติทั้งปวง ดุจคนถูกทัณท์

ทรมานอยู่
3. ถีนมิทธะ ความขี้เกยี จ ทอ้ แท้ ออ่ นแอ หมดอาลยั ไรก้ ำลงั ทง้ั กายใจ ไมฮ่ กึ เหิม
4. อทุ ธัจจะกุกกจุ จะ ความคิดซัดสา่ ย ตลอดเวลา ไมส่ งบนงิ่ อยู่ในความคดิ ใด ๆ
5. วจิ กิ ิจฉา ความไม่แนใ่ จ ลังเลใจ สงสยั กังวล กล้า ๆ กลัว ๆ ไมเ่ ตม็ ท่ี ไมม่ ั่นใจ

กรรมฐานทเ่ี หมาะสมแก่นวิ รณ์
1. กามฉันทะ ให้ภาวนากายคตาสติ อสภุ ะ 10 อาหาเรปฏกิ ลู สัญญา เพือ่ ทำลายความอยากในกาม

เสยี
2. พยาบาท ให้ภาวนาอัปมญั ญาหรือพรหมวิหาร 4 วรรณกสนิ 4 เพอื่ เพิม่ ความเมตตา
3. ถนี มทิ ธะ ให้ภาวนาอนุสสติ 7 คือพุทธานุสสติ ธมั มานสุ ติ สังฆานุสสติ สลี านสุ สติ จาคานสุ ติ เทว

ตานสุ ติ อุปสมานุสสติ และอาโลกสัญญา (แสงสวา่ งเป็นอารมณ)์ เพอื่ เสริมสรา้ งศรัทธาและความ
เพยี ร
4. อุทธัจจะกุกกุจจะ ให้ภาวนากสิน 6 คือ ปฐวีกสิน อาโปกสิน วาโยกสิน เตโชกสิน อากาสกสิน
อาโลกกสิน เพื่อเพิ่มกำลงั สมาธิ (อานาปานสติ เอามาเพิ่มทีหลังไม่เกี่ยวกับที่อ้างองิ แต่เป็นตวั
ระงบั ความฟุ้งซ่าน)
5. วิจิกิจฉา ให้ภาวนาจตตุ ธาตุววตั ถาน (พิจารณาธาตุ 4) อานาปานสติ มรณานุสสติ เพื่อละความ
สงสัย

ลกั ษณะ
1. กามฉนั ทะ เหมอื นน้ำทีถ่ ูกสยี ้อม
2. พยาบาท เหมือนนำ้ ท่กี ำลังเดอื ด
3. ถนี มทิ ธะ เหมือนน้ำที่มจี อกแหนปกคลมุ อยู่
4. อทุ ธัจจะกุกกุจจะ เหมือนนำ้ ท่เี ปน็ คลืน่
5. วจิ ิกิจฉา เหมือนน้ำทม่ี ีเปือกตม

ภาพผนวก 372

6. บคุ คลย่อมไมอ่ าจมองเหน็ ใตน้ ำ้ ได้สะดวกฉนั ใด เม่ือจติ มีนิวรณ์ บุคคลย่อมไม่อาจเห็นจติ ตามจริง
ไดส้ ะดวกฉันนั้น

ศีล 5 ท่ีสามารถควบคมุ นิวรณ์
• พยาบาท ให้ควบคมุ ดว้ ย การไมฆ่ า่ สตั ว์
• อุทธัจจะกุกกุจจะ ใหค้ วบคุมดว้ ย การไม่ถือเอาสิง่ ของท่ีเขาไม่ได้ให้
• กามฉนั ทะ ให้ควบคมุ ดว้ ย การไมป่ ระพฤติผดิ ในกาม
• วจิ ิกิจฉา ใหค้ วบคมุ ดว้ ยการไมพ่ ูดเทจ็
• ถีนมิทธะ ให้ควบคุมดว้ ย การไมเ่ สพสิง่ เสพติดอันเป็นเหตใุ ห้ประมาท

องคฌ์ านท่ีเป็นปฏปิ กั ษ์ตอ่ นิวรณ์
• วติ ก แก้ถนี มิทธะ
• วิจารณ์ แก้วิจกิ ิจฉา
• ปตี ิ แก้พยาบาท
• สขุ แก้อุทธัจจะกกุ กจุ จะ
• เอกัคคตา แก้กามฉันทะ
เมอ่ื จิตเป็นอปั ปนาสมาธจิ นเกดิ องคฌ์ านทั้ง 5 ย่อมทำลายนิวรณล์ งได้ ช่ัวคราว คือในขณะอยู่ในฌาน
และนอกฌาน เม่อื ยังทรงอารมณ์ฌานไว้ได้อยู่ (ฌานยังไมเ่ ส่อื ม)

พละ 5 ทเ่ี ปน็ ปฏปิ ักษต์ อ่ นิวรณ์
• ศรทั ธา แก้วจิ กิ ิจฉา
• วริ ยิ ะ แก้ถีนมทิ ธะ
• สติ แกพ้ ยาบาท
• สมาธิ แกอ้ ทุ ธัจจะกกุ กุจจะ
• ปัญญา แก้กามฉนั ทะ

อาหารของนิวรณ์
ร่างกายนี้มอี าหารเปน็ ท่ตี ั้ง ดำรงอย่ไู ดเ้ พราะอาศัยอาหาร ไมม่ ีอาหารดำรงอยไู่ มไ่ ด้ แมฉ้ ันใด นวิ รณ์ท้ัง
หา้ กม็ อี าหารเป็นทต่ี ้ัง ดำรงอยู่ไดเ้ พราะอาศัยอาหาร ไม่มอี าหารดำรงอย่ไู ม่ได้ ฉันนนั้ เหมอื นกนั

ภาพผนวก 373

อาหารของนวิ รณใ์ นทนี่ ้ี หมายถึง ปัจจัยอันนำมาซึ่งผลคือ นิวรณ์ (ซงึ่ อาหารของนิวรณท์ ง้ั หมดน้ัน ถ้าสังเกตดู
จะพบว่ามี การกระทำในใจโดยไมแ่ ยบคาย หรือ อโยนโิ สมนสิการเปน็ องคป์ ระกอบดว้ ยเสมอ)

อาหารของกามฉันท์
สิ่งที่เป็นอาหารให้กามฉันท์ที่ยงั ไม่เกิด เกิดขึ้น หรือกามฉันท์ที่เกิดแล้วให้เจริญไพบลู ย์ยิ่งขึ้น ได้แก่
การมีอยู่ หรือ การกระทำในใจโดยไมแ่ ยบคาย (อโยนิโสมนสกิ าร) ในสิ่งสวยๆงามๆ (ศุภนิมติ ) หรืออารมณท์ ่ี
เกิดขึน้ หลังจากได้ พบสิ่งสวย ๆ งาม ๆ
อาหารของพยาบาท
สิ่งที่เปน็ อาหารให้พยาบาทที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือพยาบาทที่เกิดแล้วให้เจรญิ ไพบูลย์ยิ่งขึน้ ได้แก่
การมีอยู่ หรือ การกระทำในใจโดยไม่แยบคาย (อโยนิโสมนสิการ) ในสิ่งที่ทำให้เกิดความขุ่นเคืองใจ ขัดใจ
(ปฏฆิ นมิ ติ )
อาหารของถนี มทิ ธะ
สิ่งที่เป็นอาหารให้ถีนมทิ ธะที่ยังไม่เกิด เกิดข้ึน หรือถีนมิทธะท่ีเกิดแล้วให้เจรญิ ไพบูลย์ย่ิงขึ้น ได้แก่
การมีอยขู่ องส่ิงเหลา่ นี้ หรือ การกระทำในใจโดยไมแ่ ยบคาย (อโยนิโสมนสิการ) ในส่ิงเหลา่ น้ี คือ
1. ความไม่ยินดี ในทอี่ ันสงัด หรือในธรรมท้งั หลายอนั เป็นกศุ ล
2. ความเกยี จคร้าน
3. ความบดิ กายดว้ ยอำนาจกิเลส (บิดรา่ งกาย เอยี งไปมา รู้สกึ ไมส่ บาย ด้วยอำนาจกเิ ลส)
4. ความเมาอาหาร
5. ความที่ใจหดหู่
อาหารของอทุ ธจั จกุกกุจจะ
สิง่ ทเ่ี ปน็ อาหารใหอ้ ทุ ธัจจกุกกุจจะทย่ี ังไมเ่ กิด เกดิ ขึ้น หรืออุทธจั จกุกกจุ จะท่เี กดิ แล้วให้เจริญไพบูลย์
ย่งิ ขึ้น ไดแ้ ก่ การมอี ย่หู รอื การกระทำในใจโดยไมแ่ ยบคาย ในความไมส่ งบใจ
เปรยี บเสมือนกองไฟท่คี ุกรน่ แมไ้ มเ่ หน็ เปลวไฟแลว้ เหลือแต่ถ่านดำๆ ก็ยงั มคี วามร้อนออกมาอยู่ ให้คนทนี่ งั่ ผิง
ไฟรู้สึกร้อนได้
อาหารของวิจิกิจฉา
สงิ่ ทเ่ี ป็นอาหารให้วิจิกิจฉาท่ียังไมเ่ กิด เกิดขน้ึ หรอื วิจกิ ิจฉาท่เี กดิ แลว้ ให้เจรญิ ไพบูลยย์ ่ิงข้นึ ได้แก่ การ
มอี ยู่ หรือ การกระทำในใจโดยไมแ่ ยบคาย (อโยนิโสมนสิการ) ในส่งิ ทเี่ ป็นทีต่ ง้ั แหง่ ความสงสยั

อินทรยี ์ 8

อนิ ทรีย์ หรือ อนิ ทรยี ์ 5 คอื ความสามารถหลักทางจติ ห้า ประการ ได้แก่
1. สัทธนิ ทรีย์ คอื ความศรัทธา ในโพธปิ ักขยิ ธรรม
2. วริ ยิ ินทรีย์ คือ ความเพียร ในสมั มัปปธาน 4
3. สตนิ ทรีย์ คอื ความระลึกได้ ในสตปิ ฏั ฐาน 4

ภาพผนวก 374

4. สมาธนิ ทรีย์ คอื ความตั้งมัน่ ในฌานทงั้ 4
5. ปัญญนิ ทรีย์ คือ ความเขา้ ใจ ในอรยิ สจั 4

อนิ ทรยี ์ 5 เปน็ หลกั ธรรมท่คี ู่กับ พละ 5
• สทั ธนิ ทรยี ์ เปรยี บเสมอื น การหาภาชนะดีๆมาใส่นำ้
• วิรยิ ินทรีย์ เปรยี บเสมือน การเติมนำ้ สะอาดแทนน้ำสกปรกเสมอ
• สตินทรยี ์ เปรยี บเสมือน การระวงั ไมใ่ หส้ งิ่ ใดหลน่ ใสใ่ นนำ้
• สมาธนิ ทรีย์ เปรียบเสมอื น การถือภาชนะใส่นำ้ ไวน้ ิง่ ๆและไม่ใหส้ ง่ิ ใดมากระทบกระเทือนให้หวน่ั ไหว
• ปญั ญนิ ทรีย์ เปรียบเสมอื น การเห็นนำส่ิงสกปรกออกจากนำ้

อนิ ทรีย์ 5 กับ อทิ ธิบาท 4
• อินทรยี ์5เปน็ ธรรมที่สง่ เสริมธรรมอนั เปน็ ฝักฝ่ายแห่งกศุ ลคอื อิทธบิ าท4
• สทั ธินทรีย์ ส่งเสรมิ ฉนั ทะอิทธบิ าท ความยนิ ดพี อใจ
• วริ ยิ นิ ทรยี ์ สง่ เสริม วริ ิยะอทิ ธิบาท ความเพียร แขง็ ใจปฏิบตั ิ
• สมาธนิ ทรยี ์ ส่งเสรมิ จิตตะอิทธิบาท ความตั้งใจ
• ปญั ญนิ ทรีย์ ส่งเสริม วิมงั สาอิทธบิ าท ความเอาใจฝกั ใฝ่สิ่งน้ัน พิจารณาใครค่ รวญ

อิทธบิ าททงั้ 4 ก็จะมาส่งเสริม สตินทรีย์ ความมีสติระลกึ เหน็ สภาพธรรมะเปน็ จรงิ และมีอย่จู รงิ แตต่ ัองอยู่
ภายใต้กฎแห่งพระไตรลกั ขณ์

สปั ปุริสธรรม 7

สัปปุรสิ ธรรม 7 ประกอบดว้ ย
1. ธมั มญั ญุตา เป็นผ้รู จู้ กั เหตุ
2. อตั ถญั ญตุ า เป็นผรู้ ู้จกั ผล
3. อัตตญั ญุตา เป็นผู้รู้จกั ตน
4. มตั ตญั ญตุ า เป็นผู้รู้จักประมาณ
5. กาลญั ญตุ า เป็นผรู้ ู้จักกาล
6. ปริสัญญุตา เป็นผู้รจู้ ักบรษิ ทั
7. ปุคคลญั ญตุ า เปน็ ผู้รูจ้ ักบคุ คล

ภาพผนวก 375

สัปปุริสธรรม 7 นี้ มีบรรยายอยู่ในสังคีติสูตรในพระไตรปิฎก สงั คีติสูตรน้ีเป็นพระสตู รที่รวบรวมธรรมะ
มากมาย เปน็ การบรรยายแจกธรรมเปน็ หมวดๆ โดยพระสารีบตุ ร อาจนับไดว้ ่า สงั คตี สิ ตู รเป็นต้นแบบของการ
สงั คายนาพทุ ธศาสนาในยคุ แรกๆ

ภกิ ษผุ ู้ประกอบด้วยสัปปรุ ิสธรรม 7 ข้อนี้ เป็นผูป้ ระกอบดว้ ยสงั ฆคณุ เปน็ ผคู้ วรแกข่ องคำนับ คอื เป็นผูค้ วร
รับของทเ่ี ขานำมาถวาย

นอกจากนี้ ยังมีธรรมะอีกหมวดหนึ่งซึ่งคล้ายกัน คือได้มีการบรรยายถึง พระเจ้าจักรพรรดิว่าทรง
ประกอบด้วยองค์ 5 ประการ ยอ่ มทรงยังจกั รให้เป็นไปโดยธรรม จกั รนัน้ ย่อมเปน็ จกั รอนั มนุษย์ผ้เู ปน็ ขา้ ศึกใดๆ
จะตา้ นทานมิได้ และแมพ้ ระพุทธเจา้ กท็ รงประกอบด้วยธรรม 5 ประการเหล่านี้ ย่อมทรงยงั ธรรมจกั รชัน้ เยีย่ ม
ให้เป็นไปโดยธรรม ธรรมจักรนั้นยอ่ มเป็นจกั รอนั สมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลก จะ
คัดค้านไมไ่ ด้ ธรรม 5 ประการนีไ้ ด้แก่

• ธัมมัญญตุ า เป็นผ้รู ูจ้ ักเหตุ
• อัตถัญญตุ า เปน็ ผู้รู้จักผล
• มัตตัญญตุ า เป็นผ้รู ู้จักประมาณ
• กาลัญญตุ า เป็นผู้รจู้ กั กาล
• ปรสิ ัญญุตา เปน็ ผรู้ ูจ้ กั บรษิ ทั

ธมั มัญญู รจู้ ักเหตุ
ธัมมัญญตุ า เป็นผู้รู้จักธรรม รู้หลกั หรือ รู้จักเหตุ คือ รู้หลกั ความจริง รู้หลักการ รู้หลักเกณฑ์ รู้กฎ

แหง่ ธรรมดา รกู้ ฎเกณฑแ์ ห่งเหตผุ ล และรหู้ ลกั การท่จี ะทำให้เกิดผล เช่น ภิกษุรูว้ า่ หลกั ธรรมข้อนนั้ ๆ คืออะไร
มีอะไรบ้าง พระมหากษัตริย์ทรงทราบว่า หลักการปกครองตามราชประเพณีเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง รู้ว่า
จะต้องกระทำเหตอุ นั นๆี้ หรอื กระทำตามหลักการข้อน้ๆี จงึ จะให้เกดิ ผลทต่ี ้องการอนั นัน้ ๆ เปน็ ต้น

กภ็ กิ ษเุ ปน็ ธมั มญั ญอู ย่างไร
ภกิ ษใุ นธรรมวินยั น้ี ย่อมรู้ธรรม คอื สุตตะ เคยยะ ไวยากรณะ คาถา อุทาน อิตวิ ุตตกะ ชาตกะอัพภูต
ธรรม เวทัลละ...

ธัมมัญญสู ูตร พระไตรปฎิ ก เล่มที่ 23

อัตถัญญู รูจ้ กั อรรถ
อตั ถญั ญตุ า ความรจู้ ักอรรถ รคู้ วามมุ่งหมาย หรอื เปน็ ผู้รจู้ กั ผล คอื รคู้ วามหมาย รู้ความมุ่งหมาย รู้

ประโยชน์ท่ีประสงค์ รจู้ กั ผลทีจ่ ะเกดิ ข้นึ สบื เน่ืองจากการกระทำหรอื ความเป็นไปตามหลกั เชน่ รวู้ ่าหลักธรรม
หรือภาษิตข้อนัน้ ๆ มีความหมายว่าอย่างไร หลักนั้นๆ มีความมุ่งหมายอย่างไร กำหนดไว้หรือพึงปฏิบัติเพอื่

ภาพผนวก 376

ประสงค์ประโยชนอ์ ะไร การท่ีตนกระทำอยู่มีความมุง่ หมายอย่างไร เมื่อทำไปแล้วจะบังเกิดผลอะไรบ้างดังนี้
เปน็ ต้น

กภ็ ิกษเุ ปน็ อัตถญั ญอู ยา่ งไร
ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ัยนี้ ย่อมรู้จักเน้อื ความแหง่ ภาษิตน้นั ๆ วา่ นีเ้ ปน็ เนื้อความแหง่ ภาษติ นี้ๆ...

ธมั มญั ญสู ตู ร พระไตรปิฎก เลม่ ท่ี 23

อตั ตญั ญู รู้จักตน
อัตตญั ญตุ า เปน็ ผรู้ ้จู กั ตนคอื รวู้ ่า เรานนั้ ว่าโดยฐานะ ภาวะ เพศ กำลงั ความรู้ ความสามารถ ความ

ถนดั และคุณธรรม เป็นตน้ บัดน้ี เท่าไร อยา่ งไร แลว้ ประพฤตใิ หเ้ หมาะสม และรูท้ ่ีจะแกไ้ ขปรบั ปรุงต่อไป
กภ็ ิกษเุ ป็นอัตตญั ญูอยา่ งไร
ภกิ ษุในธรรมวนิ ัยน้ี ย่อมรจู้ กั ตนว่า เราเปน็ ผู้มศี รัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปญั ญา ปฏิภาณ...
ธมั มญั ญสู ูตร พระไตรปฎิ ก เลม่ ท่ี 23

มตั ตญั ญู ร้จู ักประมาณ
มัตตัญญตุ า เปน็ ผรู้ ูจ้ ักประมาณ คอื ความพอดี เช่น ภกิ ษรุ ูจ้ ักประมาณในการรับและบริโภคปัจจัยส่ี

คฤหัสถ์รู้จักประมาณในการใช้จ่ายโภคทรพั ย์ พระมหากษตั ริย์รจู้ กั ประมาณ ในการลงทณั ฑอาชญาและในการ
เกบ็ ภาษี เปน็ ตน้

กภ็ ิกษเุ ป็นมตั ตัญญูอยา่ งไร
ภิกษุในธรรมวินยั นี้ ร้จู ักประมาณในการรับจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคลิ านปัจจยั เภสชั บริขาร...

ธัมมญั ญูสตู ร พระไตรปฎิ ก เลม่ ที่ 23

กาลญั ญู รจู้ กั กาล
กาลัญญตุ า เป็นผูร้ ูจ้ ักกาลคือ รู้กาลเวลาอันเหมาะสม และระยะเวลาทีจ่ ะต้องใช้ในการประกอบกิจ

กระทำหนา้ ทีก่ ารงาน เช่น ให้ตรงเวลา ใหเ้ ปน็ เวลา ใหท้ ันเวลา ใหพ้ อเวลา ใหเ้ หมาะเวลา เปน็ ต้น
กภ็ กิ ษุเป็นกาลญั ญูอยา่ งไร
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้จักกาลว่า นี้เป็นกาลเรียน นี้เป็นกาลสอบถาม นี้เป็นกาลประกอบความ
เพยี ร นีเ้ ปน็ กาลหลกี ออกเร้น...
ธมั มญั ญูสตู ร พระไตรปิฎก เลม่ ที่ 23

ปริสัญญู รู้จกั บริษทั

ภาพผนวก 377

ปรสิ ญั ญุตา เปน็ ผู้ร้จู กั บริษทั คือ รู้จักชมุ ชน และรู้จักทปี่ ระชุม รูก้ ิรยิ าทีจ่ ะประพฤติตอ่ ชุมชนน้นั ๆ ว่า
ชุมชนนี้เมอ่ื เขา้ ไปหา จะต้องทำกริ ิยาอย่างนี้ จะตอ้ งพูดอยา่ งนี้ ชุมชนนคี้ วรสงเคราะหอ์ ยา่ งน้ี เปน็ ต้น

กภ็ กิ ษเุ ปน็ ปริสญั ญอู ย่างไร
ภกิ ษุในธรรมวนิ ยั นี้ ยอ่ มรจู้ กั บรษิ ัทวา่ นี้บริษัทกษัตริย์ นี้บรษิ ัทคฤหบดี น้ีบริษัทสมณะ ในบริษัทนั้น
เราพึงเข้าไปหาอยา่ งน้ี พงึ ยืนอยา่ งนี้ พึงทำอยา่ งนี้ พึงนง่ั อยา่ งน้ี พึงนิ่งอยา่ งน.ี้ ..

ธมั มัญญูสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ 23

ปคุ คลปโรปรัญญู รู้จักเลอื กคบคน
ปุคคลัญญุตา หรือ ปุคคลปโรปรัญญุตา เป็นผู้รู้จักบุคคล คือ ความแตกต่างแห่งบุคคลว่า โดย

อัธยาศัย ความสามารถ และคุณธรรม เป็นต้น ใครๆ ยิ่งหรือหย่อนอย่างไร และรู้ที่จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นๆ
ด้วยดี วา่ ควรจะคบหรอื ไม่ จะใชจ้ ะตำหนิ ยกย่อง และแนะนำสง่ั สอนอยา่ งไร เปน็ ต้น

ก็ภกิ ษุเป็นปุคคลปโรปรัญญูอยา่ งไร

ภิกษุในธรรมวินัยน้ี เป็นผู้ร้จู กั บุคคลโดยส่วน ๒ คอื บคุ คล ๒ จำพวก คอื
พวกหน่ึงต้องการเห็นพระอริยะ
พวกหนึ่งไมต่ อ้ งการเห็นพระอริยะ
บคุ คลทไ่ี ม่ตอ้ งการเหน็ พระอริยะ พงึ ถูกตเิ ตียนด้วยเหตุน้นั ๆ
บุคคลที่ตอ้ งการเห็นพระอริยะพึงได้รบั ความสรรเสริญดว้ ยเหตุนน้ั ๆ

บุคคลท่ีต้องการเห็นพระอริยะก็มี ๒ จำพวก คือ
พวกหนึง่ ต้องการจะฟังสัทธรรม
พวกหนึ่งไม่ตอ้ งการฟงั สทั ธรรม
บคุ คลทไ่ี ม่ต้องการฟังสัทธรรม พงึ ถกู ตเิ ตยี นด้วยเหตุน้นั ๆ
บุคคลท่ีตอ้ งการฟังสทั ธรรม พึงไดร้ ับความสรรเสรญิ ด้วยเหตนุ ัน้ ๆ

บคุ คลท่ตี อ้ งการฟังสัทธรรมกม็ ี ๒ จำพวก คือ
พวกหนง่ึ ตงั้ ใจฟงั ธรรม
พวกหนึ่งไมต่ ัง้ ใจฟังธรรม
บคุ คลท่ไี มต่ ง้ั ใจฟังธรรม พงึ ถูกตเิ ตียนด้วยเหตุนั้นๆ
บคุ คลทต่ี ้งั ใจฟังธรรม พึงไดร้ ับความสรรเสรญิ ดว้ ยเหตนุ ั้นๆ

บุคคลทต่ี ั้งใจฟังธรรมก็มี ๒ จำพวก คือ

ภาพผนวก 378

พวกหนง่ึ ฟังแล้วทรงจำธรรมไว้
พวกหน่งึ ฟังแลว้ ไมท่ รงจำธรรมไว้
บุคคลทีฟ่ ังแลว้ ไมท่ รงจำธรรมไว้ พึงถกู ติเตียนด้วยเหตนุ ัน้ ๆ
บคุ คลทฟ่ี ังแลว้ ทรงจำธรรมไว้ พงึ ได้รบั ความสรรเสริญดว้ ยเหตุนัน้ ๆ

บคุ คลทฟ่ี งั แล้วทรงจำธรรมไวก้ ม็ ี ๒ จำพวก คือ
พวกหน่งึ พจิ ารณาเนอ้ื ความแหง่ ธรรมที่ทรงจำไว้
พวกหนงึ่ ไมพ่ จิ ารณาเนื้อความแห่งธรรม ทที่ รงจำไว้
บคุ คลทไ่ี มพ่ จิ ารณาเนอ้ื ความแหง่ ธรรมท่ีทรงจำไว้ พึงถูกติเตยี นดว้ ยเหตนุ ้ันๆ
บคุ คลที่พิจารณาเนื้อความแหง่ ธรรมทที่ รงจำไว้ พงึ ไดร้ บั ความสรรเสริญดว้ ยเหตุนนั้ ๆ

บุคคลที่พิจารณาเนื้อความแห่งธรรมทีท่ รงจำไว้ก็มี ๒ จำพวก คอื
พวกหนง่ึ ร้อู รรถรู้ธรรมแลว้ ปฏบิ ัตธิ รรมสมควรแก่ธรรม
พวกหนง่ึ หารู้อรรถรู้ธรรมแลว้ ปฏิบัตธิ รรมสมควรแก่ธรรมไม่
บคุ คลท่หี ารู้อรรถรู้ธรรมปฏบิ ัตธิ รรมสมควรแก่ธรรมไม่ พึงถูกติเตียนด้วยเหตุน้ันๆ
บคุ คลที่รูอ้ รรถรู้ธรรมแลว้ ปฏิบัตธิ รรมสมควรแก่ธรรม พงึ ไดร้ บั ความสรรเสริญ ดว้ ยเหตนุ ้นั ๆ

บุคคลทร่ี ูอ้ รรถรู้ธรรมแลว้ ปฏิบตั ิธรรมสมควรแก่ธรรม กม็ ี ๒ จำพวก คือ
พวกหนึ่งปฏิบตั ิเพือ่ ประโยชนข์ องตน ไมป่ ฏิบัติเพอื่ ประโยชน์ของผ้อู ื่น
พวกหนง่ึ ปฏิบัติทง้ั เพ่ือประโยชน์ตนและเพือ่ ประโยชนผ์ อู้ ่ืน
บุคคลที่ปฏบิ ตั เิ พื่อประโยชน์ตน ไมป่ ฏิบัตเิ พ่อื ประโยชน์ผอู้ ่ืน พึงถกู ติเตียนด้วยเหตนุ ้ันๆ
บุคคลทป่ี ฏิบัตทิ ้ังเพอ่ื ประโยชน์ตนและเพอื่ ประโยชนผ์ ู้อืน่ พงึ ได้รับความสรรเสริญด้วยเหตุนนั้ ๆ

ธัมมญั ญูสตู ร พระไตรปฎิ ก เลม่ ที่ 23

มรรคมีองค์ 8

มรรค (สันสกฤต: มรฺค; บาลี: มคฺค) คือ หนทางสู่ความดับทุกข์ เรียกอีกอย่างว่า ทุกขนิโรธคามินี
ปฏปิ ทา](ขอ้ ปฏิบตั ใิ หถ้ งึ ความดับทุกข)์ ประกอบด้วยองคป์ ระกอบ 8 ประการ เป็นหนง่ึ ในอรยิ สัจ 4

ในธัมมจกั กปั ปวตั ตนสตู ร พระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ อรยิ มรรคมอี งค์ 8 หรือ อษั ฎางคกิ มรรคน้ีเป็นทางสาย
กลาง คอื เปน็ ขอ้ ปฏบิ ตั อิ ันพอดที จ่ี ะนำไปส่คู วามหลุดพน้

ตามวิภังคสตู ร พระพุทธเจา้ ทรงอธิบายรายละเอยี ดไวด้ ังน้ี
1. สัมมาทิฏฐิ (ความเหน็ ทถี่ ูกต้อง) หมายถึง ความรู้ในอรยิ สจั 4
2. สมั มาสังกปั ปะ (ความคดิ ท่ีถูกตอ้ ง) หมายถึง ความคิดในการออกจากกาม ความไม่พยาบาท และการ

ไมเ่ บยี ดเบยี น

ภาพผนวก 379

3. สัมมาวาจา (วาจาทถ่ี กู ตอ้ ง) หมายถึง การเวน้ จากการพูดเท็จ หยาบคาย ส่อเสียด และเพอ้ เจ้อ
4. สมั มากัมมันตะ (การปฏิบัติทีถ่ กู ต้อง) หมายถงึ เจตนาละเว้นจากการฆา่ การเอาของท่เี จา้ ของไม่ไดใ้ ห้

และการประพฤตผิ ิดในกาม
5. สัมมาอาชีวะ (การหาเลย้ี งชพี ทถ่ี กู ตอ้ ง) หมายถงึ การเว้นจากมจิ ฉาชีพ
6. สัมมาวายามะ (ความเพียรทถี่ ูกตอ้ ง) หมายถึง สมั มัปปธาน 4 คอื ความพยายามปอ้ งกันอกศุ ลที่ยังไม่

เกดิ ละอกศุ ลทีเ่ กดิ ขน้ึ แลว้ ทำกศุ ลทยี่ ังไม่เกดิ และดำรงรักษากุศลทเี่ กดิ ขน้ึ แลว้
7. สัมมาสติ (การมสี ตทิ ถ่ี ูกตอ้ ง) หมายถงึ สตปิ ฏั ฐาน 4
8. สมั มาสมาธิ (การมสี มาธิที่ถกู ต้อง) หมายถึง ฌาน 4

ในจฬู เวทลั ลสูตร พระพทุ ธเจา้ ทรงจดั สัมมาวาจา สมั มากัมมนั ตะ และสัมมาอาชีวะ เข้าในสีลขันธ์ ทรง
จดั สมั มาวายามะ สมั มาสติ และสมั มาสมาธิ ทรงจัดเขา้ ในสมาธขิ ันธ์ และทรงจัดสัมมาทฏิ ฐิ และสมั มาสังกปั ปะ
เขา้ ในเป็นปัญญาขันธ[์ 5]

วปิ ัสสนาญาณ 9

แต่เมื่อกล่าวถึงวิปัสสนาญาณโดยเฉพาะ อันหมายถึงญาณที่นับเข้าในวิปัสสนา หรือญาณทีจ่ ัดเป็น
วิปสั สนา จะมีเพยี ง 9 ขั้น คือ ตัง้ แต่ อุทยพั พยานปุ สั สนาญาณ ถึง สัจจานุโลมิกญาณ (ตามปฏิปทาญาณทัสสน
วิสทุ ธิ (ข้ันหนง่ึ ในวสิ ุทธิ 7) ท่ีบรรยายคัมภีรใ์ นวิสุทธิมรรค แตใ่ นคมั ภีร์อภธิ ัมมตั ถสังคหะ นับรวม สมั มสนญาณ
ด้วยเป็น 10 ขั้น) เมื่อโพชฌงค์เจริญบริบูรณ์ครบ 7 ข้อ จิตจึงมีกำลังสามารถเห็นวิปัสสนาญาณได้ และใช้
วิปัสสนาทป่ี รากฏขนึ้ มาเป็นเครอื่ งมือนำไปสมู่ รรค ผล นิพพาน

• วิปสั สนาญาณคืออุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ภงั คานปุ สั สนาญาณ น้นั เห็นอนิจจัง
• วปิ สั สนาญาณคือภยตปู ฏั ฐานญาณ อาทีนวานุปัสสนาญาณ นิพพิทานปุ ัสสนาญาณ นั้นเหน็ ทกุ ขงั
• วปิ สั สนาญาณคือมุจจติ กุ ัมยตาญาณ ปฏสิ ังขานปุ สั สนาญาณ สังขารุเบกขาญาณ น้ันเหน็ อนัตตา

ญาณ16 จดั เข้าในวสิ ุทธิ
• นามรปู ปรทิ เฉทญาณ จัดเขา้ ใน ทฏิ ฐิวิสทุ ธิ
• นามรูปปจั จยปริคคหญาณ จัดเข้าในกังขาวิตรณวสิ ทุ ธิ
• สมั มสนญาณและอทุ ธยพั พยญาณอย่างออ่ น จดั เข้าในมัคคามัคคญาณทสั สนะวิสทุ ธิ
• วปิ ัสสนาญาณทั้ง 9 จัดเข้าในปฏปิ ทาญาณทสั สนวิสทุ ธิ
• โคตรภญู าณ มัคคญาณ ผลญาณ ปัจจเวกขณญาณ จดั เปน็ ญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ

ลักษณะ 3 อย่างในญาณ 16

ภาพผนวก 380

1. สภาวะลักษณะ เห็นลักษณะที่ปรากฏจากความเป็นไปของธาตุ ปรากฏตั้งแต่ยังไม่ได้ญาณถึงนาม
รูปปัจจยปรคิ หญาณ

2. สังขตลกั ษณะ เห็นลักษณะคอื ความเกิดข้ึน ตง้ั อยู่ ดับไป ปรากฏตงั้ แต่สมั มสนญาณ
3. สามัญญลักษณะ เห็นลักษณะทั้งสามหรือไตรลักษณ์ ได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปรากฏตั้งแต่

อทุ ธยพั พยญาณ

ปฏิจจสมปุ บาท

ปฏิจจสมุปบาท (/ปะติดจะสะหมฺ ุบบาด/) (บาลี: Paṭiccasamuppāda ปฏิจฺจสมปุ ฺปาท; สนั สกฤต:
प्रतित्यसमुद्पाद ปฺรติตฺยสมุทฺปาท) เป็นชื่อพระธรรมหัวข้อหนึ่งในศาสนาพุทธ เรียกอีกอย่างว่า อิ
ทัปปจั จยตา หรือ ปัจจยาการ เป็นหลกั ธรรมที่อธบิ ายถึงการเกิดขึ้นพร้อมแหง่ ธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยกนั ,
การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันจึงเกิดมีขึ้น เช่น ทุกข์เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัย 12 เรื่องเกิดขึ้นสืบ ๆ เนื่องกันมา
ตามลำดับดังน้ี คือ

เพราะอวิชชา เป็นปจั จัย สังขาร ท้งั หลายจึงมี

เพราะสงั ขาร เป็นปจั จัย วญิ ญาณ จึงมี

เพราะวิญญาณ เป็นปัจจยั นามรปู จึงมี

เพราะนามรูป เป็นปจั จัย สฬายตนะ จงึ มี

เพราะสฬายตนะ เป็นปจั จยั ผสั สะ จงึ มี

เพราะผัสสะ เป็นปจั จยั เวทนา จงึ มี

เพราะเวทนา เปน็ ปัจจยั ตัณหา จงึ มี

เพราะตณั หา เปน็ ปจั จยั อปุ าทาน จงึ มี

เพราะอุปาทาน เปน็ ปจั จยั ภพ จงึ มี

เพราะภพ เปน็ ปจั จยั ชาติ จงึ มี

เพราะชาติ เปน็ ปัจจยั ชรามรณะ จงึ มี

ความโศก ความคร่ำครวญ ทกุ ข์ โทมนัส และความคบั แคน้ ใจ ก็มีพร้อม ความเกิดข้นึ แหง่ กองทุกข์

ทง้ั ปวงน้ี จงึ มี

การเทศนาปฏิจจสมุปบาท ดังแสดงไปแลว้ ข้างต้น เรียกวา่ อนุโลมเทศนา

หากแสดงย้อนกลบั จากปลายมาหาต้น จากผลไปหาเหตุปัจจัย เช่น ชรามรณะเปน็ ต้น มีเพราะชาติ

เป็นปจั จยั ชาติมีเพราะภพเป็นปจั จัย ฯลฯ สังขารมเี พราะอวิชชาเปน็ ปัจจัย ดังน้ี เรียกว่า ปฏโิ ลมเทศนา

ลำดับแห่งปฏจิ จสมปุ บาทฝ่ายดับทุกข์

ภาพผนวก 381

ความทุกข์ จะดับไปได้เพราะ ชาติ (การเกิดอตั ตา"ตวั ตน"คดิ วา่ ตนเปน็ อะไรอยู่) ดับ
ชาติ จะดับไปได้เพราะ ภพ (การมีภาระหนา้ ทีแ่ ละภาวะทางใจ) ดับ
ภพ จะดบั ไปได้เพราะ อปุ าทาน (ความยึดตดิ ในส่งิ ต่าง ๆ) ดบั
อปุ าทาน จะดับไปไดเ้ พราะ ตณั หา (ความอยาก) ดบั
ตัณหา จะดับไปได้เพราะ เวทนา (ความรูส้ กึ ทกุ ข์หรอื สุขหรือเฉยๆ) ดบั
เวทนา จะดับไปไดเ้ พราะ ผสั สะ (การสมั ผสั ) ดบั
ผสั สะ จะดับไปไดเ้ พราะ สฬายตนะ (อายตนะใน๖+นอก๖) ดับ
สฬายตนะ จะดับไปได้เพราะ นามรูป (รปู ขันธ์) ดบั
นามรปู จะดับไปได้เพราะ วิญญาณ (วิญญาณขนั ธ์) ดับ
วิญญาณ จะดบั ไปได้เพราะ สังขาร (อารมณป์ รงุ แต่งวญิ ญาณ-เจตสกิ ) ดับ
สงั ขาร จะดับไปได้เพราะ อวิชชา (ความไม่ร้อู ยา่ งแจ่มแจ้ง) ดับ
สมุทยวาร-นิโรธวาร
การแสดงหลกั ปฏิจจสมุปบาท เปน็ การแสดงให้เห็น ความเกดิ ขึน้ แหง่ ธรรมตา่ งๆ โดยอาศัยปัจจัยสืบ
ทอดกนั ไปอยา่ งนี้ เปน็ สมุทยวาร คือฝ่ายสมทุ ยั ใช้เป็นคำอธบิ าย อรยิ สจั ข้อทีส่ อง (สมุทยั สัจจ์) คือ แสดงให้
เหน็ ความเกิดข้ึนแหง่ ทกุ ข์ ปฏจิ สมุปบาทที่แสดงแบบนเ้ี รียกว่า อนุโลมปฏจิ จสมุปบาท
(ดังแสดงสองตัวอยา่ งที่ผ่านไป เป็น อนุโลมเทศนา และ ปฏิโลมเทศนา ของอนุโลมปฏิจจสมปุ บาท
ตามลำดับ)
การแสดงตรงกันข้ามกับขา้ งตน้ นี้ เรียกว่า นิโรธวาร คือฝ่ายนโิ รธ ใช้เป็นคำอธิบาย อริยสจั ข้อทีส่ าม
(นโิ รธสัจจ)์ เรยี กว่า ปฏิโลมปฏจิ จสมุปบาท แสดงให้เห็นความดบั ไปแห่งทุกข์ ด้วยอาศัยความดบั ไปแห่งปัจจัย
ทั้งหลาย สบื ทอดกนั ไป เช่น
เพราะอวชิ ชาสำรอกดับไปไม่เหลือสงั ขารจึงดับ เพราะสังขารดับวญิ ญาณจึงดบั ฯลฯ เพราะชาติ ดับ
ชรามรณะ (จงึ ดับ) ความโศก ความครำ่ ครวญ ทุกข์ โทมนัส ความคับแคน้ ใจ กด็ บั
ดังนเ้ี รียกวา่ อนุโลมเทศนา ของ ปฏโิ ลมปฏิจจสมปุ บาท
ส่วนปฏิโลมเทศนา ของ ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท ก็พึงแสดงย้อนว่า ชรามรณะเป็นต้น ดับเพราะชาติ
ดับ ชาตดิ ับเพราะภพดบั ฯลฯ สงั ขารดับเพราะอวิชชาดับ

ธุดงค์ 13

ธุดงค์ (บาลี: ธตุ งคฺ ) เป็นวัตรปฏิบตั ทิ พ่ี ระพุทธเจา้ ทรงอนญุ าตไว้ ไม่มกี ารบงั คับ แลว้ แตผ่ ใู้ ดจะสมัครใจ
ปฏบิ ตั [ิ 1] เปน็ อบุ ายวธิ ีกำจัดขัดเกลากิเลส ทำให้เกดิ ความมกั น้อยสันโดษยงิ่ ขึ้น ไม่สะสม เพ่ือให้เบาสบายไป

ภาพผนวก 382

มาไดส้ ะดวกด้วยไมม่ ภี าระมาก เหมือนนกท่มี ีเพียงปกี ก็บนิ ไป มใิ ชเ่ พอ่ื สะสมหรือเพ่อื ลาภสกั การะและช่อื เสียง
ถา้ ทำเพือ่ ลาภ เพื่อชอ่ื เสียง ต้องอาบัติทกุ กฎ

โดยรปู ศัพท์ ธดุ งค์ แปลวา่ องค์คณุ เปน็ เคร่ืองกำจัดกเิ ลส, องค์คณุ ของผูก้ ำจัดกเิ ลส หรอื การสมาทาน
เพ่ือเป็นเครือ่ งกำจัดกิเลสอนั อนั ตรายตอ่ สมั มาปฏบิ ัติ

ธุดงค์นัน้ เป็นศัพท์เฉพาะทีป่ รากฏในพระไตรปิฎกเถรวาท โดยพระพทุ ธเจ้าตรัสแสดงธดุ งคล์ ักษณะ
ตา่ ง ๆ ไว้หลายพระสูตร เม่ือรวมแล้วจงึ ได้ทัง้ หมด 13 ขอ้

ธดุ งคใ์ นปจั จบุ นั ยงั คงเป็นแนวการปฏิบตั ิท่เี ปน็ ทนี่ ยิ มของชาวพทุ ธเถรวาทท่ัวไปในหลายประเทศ โดย
ไมจ่ ำกดั เฉพาะพระสงฆเ์ ท่านนั้ คฤหัสถท์ ัว่ ไปกถ็ อื ปฏบิ ตั ไิ ดบ้ างขอ้ เช่นกนั

ปัจจบุ ัน คำว่า ธุดงค์ ในประเทศไทยใช้ในความหมายว่าเป็นการเดนิ จารกิ ของพระสงฆ์ไปยงั ที่ต่าง ๆ
หรือเรยี กวา่ การเดินธดุ งค์ ซ่ึงความหมายนี้แตกต่างจากความหมายเดมิ ในพระไตรปิฎก

ธุดงค์ คือวัตร หรอื แนวทางการปฏิบตั จิ ำนวน 13 ขอ้ ทีพ่ ระพุทธเจ้าอนญุ าตไวใ้ หแ้ กพ่ ระสงฆ์สำหรับ
เลอื กนำไปปฏิบตั ิ เพอ่ื ม่งุ ให้เปน็ แนวปฏิบตั ิเพิม่ เตมิ ของพระสงฆ์ท่ีตง้ั ใจสมาทานความเพียรเพ่ือมุ่งขัดเกลาทาง
จิตเพื่อกำจัดกิเลส โดยธุดงค์นี้เปน็ เพียงวัตร หรือแนวทางการประพฤติ ที่ไม่ใช่ศีลของพระสงฆ์ พระสงฆ์จึง
เลอื กปฏิบัตหิ รอื ไม่กไ็ ด้ข้ึนอยู่กบั ความสมคั รใจ และการปฏบิ ตั ิธุดงค์

ธุดงค์ ในภาษาไทย ใช้เรียกพระภิกษุแบกกลดเดินไปตามทางหรือเขา้ ปา่ ไปว่า เดินธุดงค์ หรือ ออก
ธดุ งค์ เรียกภิกษุทีป่ ฏิบตั ิเช่นนนั้ ว่า พระธุดงค์

ธุดงค์ ในภาษาไทย ใช้เรียกพระภิกษุแบกกลดเดินไปตามทางหรือเข้าปา่ ไปว่า เดินธุดงค์ หรือ ออก
ธุดงค์โดยการปฏิบัตทิ ี่ว่าด้วยการออกเดินทางนน้ั เป็นข้อวัตรปฏิบตั พิ ิเศษที่ช่ือว่า โมเนยยปฏิบัติ คือการอย่า
เที่ยวภิกขาจารในทีเ่ ดิมซ้ำ อย่านอนในท่ีเดิมซ้ำ เพื่อไมต่ ดั สินวา่ ใครดีชัว่ เพื่อไมพ่ จิ ารณาว่าส่ิงใดที่ไหนหยาบ
ปราณีต เรียกภิกษุที่ปฏิบัตเิ ช่นนั้นว่า พระธุดงค์ ธุดงค์ในภาษาไทยนี้จึงมีความหมายเฉพาะตัวตามประเพณี
ของพระวดั ปา่ ของประเทศไทย

ธุดงควัตร หมายถงึ กจิ วตั รของการธุดงคท์ พ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงอนุญาตมี 13 วิธีจัดเปน็ ข้อสมาทานละเว้น
และขอ้ สมาทานปฏิบตั ิ คือ

1. ปงั สุกลู ิกังคะ ละเว้นใชผ้ ้าทปี่ ระณตี เหมือนท่ีคหบดีใช้ (พระปา่ นิยมใชผ้ ้าท่อนเกา่ ) สมาทานถือใช้แต่
ผ้าบงั สุกุลท่ีเขาทงิ้ แล้ว (ข้อนตี้ ามคัมภีรเ์ ม่ือเทยี บกับวัดป่าไม่ตา่ งกนั )

2. เตจีวริตงั คะ ละเว้นการมผี ้าครอบครองและใชส้ อยผา้ เกนิ 3 ผืน (วัดป่าสมาทานการใช้สอยผา้ ไตรจวี ร
ในความหมายวา่ ผา้ นุง่ ผ้าห่ม ผ้าคลุมดว้ ย (ในทางปฏบิ ัติจะใชผ้ ้าคลมุ นุง่ เมื่อซักตากผ้าน่งุ และผา้ หม่
ชั่วคราว) คือ ผ้าที่เป็นผืน ๆ ที่ไม่ได้ตัดเป็นชุด ตามหลักผ้าใชน้ ุ่งหม่ เพ่ือกันความร้อนความเย็นและ
ปกปดิ ร่างกายกนั ความน่าอายเท่าน้ัน

3. ปิณฑปาติกงั คะ ละเว้นรบั อดเิ รกลาภ (คอื รับนิมนต์ไปฉันท่ีได้มานอกจากบิณฑบาตรเช่นไปฉันท่ีบ้าน
ท่โี ยมจดั ไว้ต้อนรับ) สมาทาน เทีย่ วบิณฑบาตเป็นประจำ (ขอ้ นี้ตามคมั ภีร์เม่ือเทียบกับวดั ป่าไม่ตา่ งกนั )

ภาพผนวก 383

4. สปทานจาริปังคะ ละเว้นการโลเล (ยึดติด) เที่ยวจาริก (ภิกขาจาร) (เพื่อมิให้ผูกพันกับญาติโยม)
สมาทานบิณฑบาตรตามลำดับ ลำดับบ้าน ไม่เลือกบ้านท่ีจะรับบิณฑบาต เดินแสวงหาบิณฑบาตไป
ตามลำดบั . สว่ นของวดั ป่าบางท่ีน้ันจะมวี ิธกี ารเพิม่ ออกนอกไปจากคมั ภีรอ์ กี คือ ละเว้นบณิ ฑบาตซำ้ ที่
เดิม ถอื อยา่ งเบายา้ ยสายบิณฑบาตทุกวนั อยา่ งหนกั ออกเดินทางย้ายทเี่ ทยี่ วบิณฑบาตไมต่ ่ำกวา่ ท่เี ดมิ
ไม่เกินโยชน์ (16 กิโลเมตร) สมาทานบิณฑบาตตามลำดับบ้าน ลำดับอายุพรรษา ไม่เดินแซง (แย่ง
อาหาร) ซ่งึ ไม่ผิดจากพระไตรปฎิ ก-อรรถกถาแตอ่ ยา่ งใด สามารถทำไดเ้ ชน่ กนั .

5. เอกาสนิกังคะ ละเว้นอาสนะที่สอง สมาทานอาสนะเดียว (ฉันมื้อเดียว). ปกติมักถือการนั่งฉันเมือ่
เคลื่อนกน้ จากฐานอาสนะทีน่ ่งั เปน็ อันยุตกิ ารฉันหรอื รบั ประทานอาหารในวันนน้ั ส่วนของวัดปา่ นัน้ จะ
มีวิธีการเพิ่มออกนอกไปจากคัมภีร์อีก คือ จะกำหนดเวลาฉันในแต่ละวัน เช่นกำหนดฉันเวลา 9
นาฬกิ า กจ็ ะฉันในเวลานนั้ ทกุ วนั (จะไม่ฉันกอ่ นเวลานน้ั หรือ หลังเวลานัน้ เช่นเวลา 8 นาฬิกา หรือ
10 นาฬิกา) จะไม่เปลี่ยนเวลาฉนั ตามความอยากฉัน หรือ ไม่อยากฉนั ตามอารมณ์ แต่ฉันตามสจั จะ
ตามเวลาทีอ่ ธษิ ฐานไว้

6. ปตั ตปณิ ฑิกังคะ ละเว้นฉนั ภาชนะที่ 2 ใสอ่ าหารรวมในภาชนะเดียวกันทัง้ หมด สมาทาน ฉันเฉพาะใน
บาตร. สว่ นของวดั ป่าบางท่นี ้ันจะมีวธิ กี ารเพมิ่ ออกนอกไปจากคมั ภรี อ์ กี คือ จะต้องคนอาหารรวมกัน
ด้วย ซ่งึ แม้จะไมม่ ีในขอ้ ธดุ งค์ตามคมั ภรี แ์ ต่กท็ ำไดไ้ มผ่ ดิ อะไร.

7. ขลุปจั ฉาภตั ติกงั คะ ละเว้นการรับประทานอาหารเหลือ สมาทานเม่อื เริ่มลงมอื ฉันแล้วไม่ยอมรับเพ่มิ .
ส่วนของวดั ป่าบางทน่ี ั้นจะมีวิธกี ารเพม่ิ ออกนอกไปจากคัมภรี ์อีก คือ ละเวน้ ฉันเหลอื ให้เป็นเดน (ฉัน
เหลอื เนือ่ งจากไม่ประมาณในการบริโภค) ซง่ึ กท็ ำได้ไมผ่ ิด ท้ังยังเป็นมรรยาททด่ี งี ามและพบตัวอย่าง
ของพระสมยั พุทธกาลท่ีทำเช่นนี้ด้วย. (อตริ ติ ต อาหารอันเป็นเดน)

8. อารญั ญิกังคะ ละเว้นการอยู่ในเสนาสนะใกล้บ้าน สมาทานการอย่ใู นป่าไกล 500 ชวั่ คนั ธนู หรอื ราว
1 กิโลเมตร โดยจะตอ้ งใหต้ ะวันขึน้ ในป่า หากตัวอยู่ในบา้ นตอนตะวนั ขนึ้ เปน็ อนั ธดุ งค์แตก สมาทาน
ถืออยู่ในปา่ (วน - กลุ่มต้นไม้, อรญั ญ - ปา่ ไกลบ้าน)

9. รกุ ขมลู ิกังคะ ละเว้นนอนในทีม่ ที มี่ งุ ท่ีบัง (เชน่ บา้ น ถ้ำ กุฏ)ิ สมาทานอยู่โคนไม้ แต่ท่านอนุญาตให้ทำ
ซุ้มจีวรได้ ส่วนของวัดป่าบางที่นั้นจะต่างออกไปเล็กน้อย คือ จะใช้การปักกลดแทน ประเพณีนี้ไม่
ทราบที่มาแนช่ ัดนัก แต่ถ้าไม่เอาด้ามกลดปกั ดินก็ทำได้เพราะถึงอย่างไรกลดก็ไม่ใช่กุฏิ (ปักกลด คือ
การกางร่มกลด (ร่มท่ีพระใช้ขณะเดินทาง) ใต้ต้นไม้ เป็นวิธีการของพระสายวัดป่าไทยโดยเฉพาะแต่
เดิมครง้ั พทุ ธกาลไม่มีมากอ่ น กลดมี 2 ลกั ษณะคือผกู เชือกแล้วแขวนกลด และใช้ดา้ มกลดปักพืน้ (มัก
ทำพระอาบัติปาจติ ตีย์กันบ่อยด้วยปฐวิขณนสิกขาบท เพราะจงใจขุดดนิ ท้ังทีร่ ู้ตวั ) บางรูปวางกบั พื้น
เรียกว่ากางโลงศพเพราะได้แต่อิริยาบถนอนในกลดเท่านั้น ลุกมานั่งสมาธิไม่ได้ (แต่สามารถถือวาง
พาดบ่าก็ลุกนั่งได้) โดยปกติจะครอบคลุมด้วยผ้ามุงทรงกระบอกเพื่อกันยุง ในครั้งพุทธกา ล

ภาพผนวก 384

พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ใสร่ องเท้าเมื่อเดินลยุ ในน้ำ ไม่ทรงอนุญาตให้ใสท่ ีอ่ ่ืน เนื่องจากเดินลุยน้ำ
เรามองไมเ่ ห็นว่าในนำ้ มีอะไรจึงตอ้ งใส่รองเทา้ แต่บนพนื้ เรามองเหน็ อยู่จะพลาดเหยียบหนามกเ็ พราะ
ขาดสติ (ทรงอนุญาตใหใ้ สร่ องเท้าในวัด หรอื ป่า เป็นตน้ ได้ แต่ห้ามใสเ่ ข้าในเขตหมูบ่ า้ น[8]) อีกท้งั ทรง
อนญุ าตให้ใช้รม่ เมอ่ื เข้าไปในใตต้ ้นไม้เพ่ือปอ้ งกันการรว่ งหลน่ ใส่ของกิ่งไมแ้ ต่ในเบ้ืองต้นยังไม่อนุญาต
ให้กางนอกต้นไม้เพื่อใช้กันแดดกันฝน ในคัมภีร์ท่านไม่ได้อนุญาตให้กางร่มกลดไว้ แต่หากเอาตาม
อัพโภกาสกิ ังคธดุ งค์แล้วกท็ รงอนญุ าตใหท้ ำซุ้มจีวรได้ (สันนิษฐานวา่ คงเป็นผ้ามุ้งหูเดียวที่ผูกแขวนใต้
ตน้ ไม้เพราะข้อธดุ งคร์ กุ ขมูลทก่ี ำหนดไว้ใหอ้ ยูใ่ ตต้ น้ ไม้ ไมน่ ่าจะเปน็ การเอาไมม้ าพาดแล้วคลุมด้วยผ้า
คล้ายเต็นท์ เพราะเต็นท์จะอยู่นอกใต้ต้นไม้ได้) อย่างไรก็ตามการใช้กลดก็ไม่ผิด เพราะก็อยู่โคนไม้
ไม่ใช่กุฏเิ หมอื นกัน).
10. อพั โภกาสกิ งั คะ ละเวน้ การเข้าในทม่ี ที ม่ี งุ ทบี่ ังและใตต้ ้นไม้ สมาทานอยกู่ ลางแจ้ง คือการไมเ่ ขา้ ไปพัก
ในร่มไมห้ รอื ชายคาหลังคาใด ๆ หรือแม้การกางรม่ กลดเพื่อกันแดดกันฝนก็ไมไ่ ดห้ า้ มท้งั ซุ้มจีวรและ
การใช้มุงใด ๆ.วัดป่าบางทีก็ถือการไม่ใช่อาสนะใด ๆ เลยเช่น เก้าอี้ เตียง ผ้าปูหรือ แม้แต่ผูกเปล
รวมทัง้ ไม่นอนบนตน้ ไม้ โดยถอื หลกั การไม่องิ อาศยั ส่งิ ใดเกินจำเป็น แม้แตร่ องเท้าก็ตาม
11. โสสานิกงั คะ ละเว้นการอยใู นสถานท่ไี ม่เปลี่ยว สมาทานอยปู่ ่าชา้ ในคมั ภึรห์ มายถึงป่าช้าเผาศพ ซ่ึง
ต้องเคยมีการเผาศพมาก่อนอย่างน้อยครัง้ หนงึ่ แต่ไม่ใชป่ ่าช้าฝงั ผี ข้อน้กี เ็ หมอื นกบั 2 ขอ้ กอ่ น ตรงท่ี
ถ้าไม่ได้อย่ใู นปา่ ช้าตอนตะวันขน้ึ ธดุ งคก์ ็แตกเชน่ กัน.วดั ป่ามักถอื การไมอ่ ยใู่ นปา่ ชา้ ใกล้ ๆกับทม่ี ีมนุษย์
อย่ใู นบริเวณใกลๆ้ กับสถานทตี่ นอยู่ เพราะการอยใู่ นป่าช้าก็เพ่อื การทดสอบจิตใจตอ่ การกลัวในความ
มืดและความเงียบ โดยการอยู่ในที่เปลี่ยวในป่าช้าหา่ งไกลผูค้ นและหมายถึงป่าทั้งที่ฝังและเผา (สน
สงดั สุสาน มปี กติสงดั ด)ี
12. ยถาสันถตกิ ังคะ ละเว้นการโลเล (ยึดติด) ในเสนาสนะ สมาทานอยูใ่ นทตี่ ามมีตามได้ เสนาสนคาหาป
กะจัดให้อยา่ งไรกอ็ ยู่ตามนั้น. ส่วนของวดั ป่านั้นจะมีวิธีการเพิม่ ออกนอกไปจากคมั ภรี ์อีก คือ ละเว้น
การนอนซ้ำทเ่ี ดมิ (เพือ่ ไมห่ วงแหนในตดิ ในสถานที่) โดย

1. ถอื อย่างเบาคอื นอนยา้ ยทีใ่ นอาวาสทกุ วัน
2. ถอื อยา่ งหนักคือออกเดินทางย้ายที่นอนทุกวนั
3. ถ้านอกอาวาส ถ้าหลายรูปใหพ้ รรษาที่สูงกว่าเลือกใหแ้ ละให้พรรษาสูงกว่าเลือกก่อน (ข้อนี้

เปน็ สมาจาริกศีล ไมใ่ ช่ธุดงค์) และ
4. อยูบ่ นกฏุ ิวหิ ารใหท้ ำให้สะอาด ถา้ ตามโคนไมไ้ มก่ วาดหรือทำอะไรเพราะใบไม้มปี ระโยชน์เชน่

ทำใหเ้ ทา้ ไม่ เปื้อนกอ่ นเขา้ อาสนะ และสตั ว์หรอื คนเข้ามาย่อมไดย้ นิ เสียง.

ภาพผนวก 385

13. เนสัชชิกังคะ สมาทานถอื อิรยิ าบถนัง่ -อริ ิยาบถยนื -อริ ยิ าบถเดนิ เพยี ง 3 อริ ยิ าบถไมอ่ ย่ใู นอริ ยิ าบถนอน
ส่วนของวัดปา่ น้ันจะมีวธิ ีการเพิ่มออกนอกไปจากคัมภีรอ์ ีก คือ ละเว้นการหลับด้วย ซึ่งก็ทำได้ไมผ่ ิด
(มกั เรียกการประพฤตนิ ว้ี า่ เนสัชชกิ )

ภาพผนวก 386

กรรม 2

Kamma: action; deed)
1. Akusala-kamma: unwholesome action; evil deed; bad deed
2. Kusala-kamma : wholesome action; good deed

ไตรลกั ษณ์

Tilakkhaṇa: the Three Characteristics

1. Aniccatā : impermanence; transiency

2. Dukkhatā : state of suffering or being oppressed

3. Anattatā : soullessness; state of being not self

สิกขา 3 หรอื ไตรสกิ ขา

Sikkhā: the Threefold Learning; the Threefold Training)

1. Adhisīla-sikkhā : training in higher morality)

2. Adhicitta-sikkhā : training in higher mentality)

3. Adhipaññā-sikkhā : training in higher wisdom)

เรียกงา่ ยๆ ว่า ศีล สมาธิ ปญั ญา (morality, concentration and wisdom)

ภาวนา 4

Bhāvanā:growth; cultivation; training; development

1. Kāya-bhāvanā : physical development)

2. Sīla-bhāvanā : moral development)

3. Citta-bhāvanā : cultivation of the heart; emotional development)
4. Paññā-bhāvanā : cultivation of wisdom; intellectual development; wisdom

development)

อริยสจั จ์ 4

Ariyasacca: The Four Noble Truths)

1. Dukkha : suffering; unsatisfactoriness)

2. Dukkha-samudaya : the cause of suffering; origin of suffering)
3. Dukkha-nirodha : the cessation of suffering; extinction of suffering)

4. Dukkha-nirodha-gāminī paṭipadā : the path leading to the cessation of

suffering)

สติปฏั ฐาน 4

Satipaṭṭhāna: foundations of mindfulness)
1. Kāyānupassanā : contemplation of the body; mindfulness as regards the body
2. Vedanānupassanā : contemplation of feelings; mindfulness as regards

ภาพผนวก 387

3. Cittānupassanā feelings
4. Dhammānupassanā
: contemplation of mind; mindfulness as regards mental
conditions

: contemplation of mindobjects; mindfulness as regards
ideas

ขนั ธ์ 5 หรอื เบญจขนั ธ์

Pañca-khandha: the Five Groups of Existence; Five Aggregates

1. Rūpa-khandha : corporeality

2. Vedanā-khandha : feeling; sensation
3. Saññā-khandha : perception
: mental formations; volitional activities
4. Saṅkhāra-khandha : consciousness
5. Viññāṇa-khandha

นิวรณ์ 5

Nāvaraṇa: hindrances.

1. Kāmachanda : sensual desire
2. Byāpāda : illwill

3. Thīna-middha : sloth and torpor

4. Uddhacca-kukkucca : distraction and remorse; flurry and worry;

5. Vicikicchā restlessness and anxiety)
: doubt; uncertainty

อนิ ทรยี ์ 5

Indriya: controlling faculty
1. Saddhā: confidence
2. Viriya: energy; effort
3. Sati: mindfulness
4. Samādhi: concentration
5. Paññā: wisdom; understanding

สปั ปรุ สิ ธรรม 7

Sappurisa-dhamma: qualities of a good man; virtues of a gentleman

1. Dhammaññutā : knowing the law; knowing the cause
2. Atthaññutā : knowing the meaning; knowing the purpose; knowing the

3. Attaññutā consequence
: knowing oneself

ภาพผนวก 388

4. Mattaññutā : moderation; knowing how to be temperate; sense of
5. Kālaññutā proportion
6. Parisaññutā : knowing the proper time; knowing how to choose and keep
7. Puggalaññutā time
: knowing the assembly; knowing the society
: knowing the individual; knowing the different individuals

มรรคมีองค์ 8

Aṭṭhaṅgika-magga: the Noble Eightfold Path

1. Sammādiṭṭhi : Right View; Right Understanding
2. Sammāsaṅkappa : Right Thought

3. Sammāvācā : Right Speech
4. Sammākammanta :Right Action

5. Sammā-ājīva :Right Livelihood
6. Sammāvāyāma :Right Effort

7. Sammāsati : Right Mindfulness
8. Sammāsamādhi : Right Concentration

วิปัสสนาญาณ 9

Vipassanāñāṇa: insight-knowledge)

1. Udayabbayañāṇa : knowledge of contemplation on rise and fall)
2. Bhaṅgañāṇa
: knowledge of contemplation on dissolution)

3. Bhayañāṇa : knowledge of the appearance as terror)
: knowledge of contemplation on disadvantages)
4. Ādānavañāṇa

5. Nibbidāñāṇa : knowledge of contemplation on dispassion)
6. Muñcitukamyatāñāṇa : knowledge of the desire for deliverance)

7. Paṭisaṅkhāñāṇa : knowledge of reflective contemplation)
8. Saṅkhārupekkhāñāṇa : knowledge of equanimity regarding all formations)

9. Anulomañāṇa : conformity-knowledge; adaptation-knowledge

ปฏิจจสมปุ บาท 12

Pañicca-samuppāda: the Dependent Origination; conditioned arising

1.-2. Dependent on Ignorance arise Kamma-Formations
3. Dependent on Kamma-Farmations arises Consciousness
4. Dependent on Consciousness arise Mind and Matter
5. Dependent on Mind and Matter arise the Six Sense-Bases
6. Dependent on the Six Sense-Bases arises Contact
7. Dependent on Contact arises Feeling.
8. Dependent on Feeling arises Craving
9. Dependent on Craving arises Clinging
10.Dependent on Clinging arises Becoming.

ภาพผนวก 389

11.Dependent on Becoming arises Birth.
12.Dependent on Birth arise Decay and Death.

ธดุ งค์ 13

Dhutaṅga: means of shaking off or removing defilements; austere practices; ascetic
practices ;
connected with robes
1. Paṁsukūlikaṅga: refuse-rag-wearer’s practice

2. Tecāvarikaṅga: triple-robe-wearer’s practice

connected with almsfood
3. Piṇḍapātikaṅga: alms-food-eater’s practice
4. Sapadānacārikaṅga: house-to-house-seeker’s practice
5. Ekāsanikaṅga: one-sessioner’s practice
6. Pattapiṇḍikaṅga: bowl-food-eater’s practice
7. Khalupacchā-bhattikaṅga: later-food-refuser’s practice
connected with the resting place

8. Āraññikaṅga: forest-dweller’s practice
9. Rukkhamålikaṅga: tree-root-dweller’s practice

10.Abbhokāsikaṅga: open-air-dweller’s practice

11.Sosānikaṅga: charnel-ground-dweller’s practice

12.Yathāsanthatikaṅga: any-bed-user’s practice
connected with energy
13.Nesajjikaṅga: sitter’s practice


Click to View FlipBook Version