The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รหัสนักศึกษา 63040109107

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by สุวิมล เภาวนะ, 2024-01-28 22:48:47

วิจัยของสุวิมล

รหัสนักศึกษา 63040109107

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยประยุกต์ใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ สุวิมล เภาวนะ วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาเครื่องกล มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566


การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยประยุกต์ใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ สุวิมล เภาวนะ วิทยานิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาเครื่องกล มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566


หัวข้อวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียน โดยประยุกต์ใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ ผู้วิจัย นางสาวสุวิมล เภาวนะ สาขาวิชา เครื่องกล อาจารย์ที่ปรึกษา ผศ.ดร.ชญานนท์ แสงมณี ครูพี่เลี้ยง นายจักรกฤษ วงษ์ชาลี อาจารย์ประจำหลักสูตรครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาเครื่องกล คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ อุดรธานีอนุมัติให้นับวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชา เครื่องกล .................................................................. หัวหน้าสาขาวิชา (รองศาสตร์ตราจารย์ ดร.สุนทร สุทธิบาก) วันที่.......…เดือน…….…………พ.ศ…………… คณะกรรมการผู้ประเมินรายงานวิจัยในชั้นเรียน .................................................................................. ประธานคณะกรรมการ (รองศาสตร์ตราจารย์ ดร.สุนทร สุทธิบาก) .................................................................................. กรรมการ (ผู้ช่วยศาสตร์ตราจารย์.ดร.ชญานนท์ แสงมณี) .................................................................................. กรรมการ (ผู้ช่วยศาสตร์ตราจารย์ ณัฐกิตติ์ แสนทอง) .................................................................................. กรรมการ (ดร.อธิกา จันทนปุ่ม) .................................................................................. กรรมการ (อาจารย์ กลมรัตน์ ดีสภา)


ก ชื่อเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยประยุกต์ใช้แนวคิดห้องเรียน กลับด้านของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5โรงเรียนสตรีราชินูทิศ ผู้วิจัย นางสาวสุวิมล เภาวนะ อาจารย์ที่ปรึกษา ผศ.ดร.ชญานนท์ แสงมณี อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม นายจักรกฤษ วงษ์ชาลี ปีการศึกษา 2566 . . บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎี การเชื่อมโยงความรู้และแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน 2) เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชาการงานพื้นฐานอาชีพของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยดำเนินการวิจัยแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และ แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ได้ดำเนินการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เพื่อกำหนดกรอบและรายละเอียดของ รูปแบบการเรียนการสอนและจัดทำรูปแบบการเรียนการสอนฉบับร่าง โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการ เชื่อมโยงความรู้และแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ได้มาโดยใช้วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม จำนวน 2 ห้องเรียน ประกอบด้วยนักเรียนทั้งหมด 83 คน จับสลากเป็นห้องควบคุมและห้องทดลอง ใช้รูปแบบการ วิจัยแบบกึ่งทดลองที่มีกลุ่มควบคุม ทดสอบก่อนและหลัง (Nonequivalent Control Group Design) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าสถิติ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและร้อยละ การทดสอบทีแบบไม่อิสระ และ การวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วมพหุคูณ (One-Way MANCOVA) ผลการวิจัยพบว่า 1. รูปแบบการเรียนการสอน โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และแนวคิดห้องเรียน กลับด้าน ประกอบด้วย 9 องค์ประกอบ คือ 1) ที่มาของรูปแบบการเรียนการสอน 2) หลักการจัดการเรียน การสอน 3) วัตถุประสงค์ 4) ขั้นตอนการจัดการเรียนการสอน ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 ขั้นเตรียมความพร้อม (Preparing & Aggregating) ขั้นที่ 2 ขั้นจัดหมวดหมู่เนื้อหา (Introducing & Remixing)ขั้นที่ 3 ขั้นจัดการเรียนการสอน (Processing & Repurposing)ขั้นที่ 4 ขั้นประเมินผล (Evaluating) และขั้นที่ 5 ขั้นแบ่งปันความรู้(Sharing) 5) การวัดและประเมินผล 6) ระบบสังคม 7) หลักการแสดงปฏิสัมพันธ์ 8) สิ่งสนับสนุนการสอน และ 9) ผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน


ข 2. ผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และ แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ที่มีต่อทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีและผลการเรียนรู้วิชา การงานพื้นฐานอาชีพ 2.1 ผลการเปรียบเทียบทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยีและผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มทดลอง ก่อนเรียนและหลังเรียน 2.1.1 นักเรียนกลุ่มทดลอง มีคะแนนเฉลี่ยทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยี หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2.1.2 นักเรียนกลุ่มทดลอง มีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียน 2.2 ผลการเปรียบเทียบทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยีและผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มควบคุม ก่อนเรียนและหลังเรียน 2.2.1 นักเรียนกลุ่มควบคุม มีคะแนนเฉลี่ยทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยี หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2.2.2 นักเรียนกลุ่มควบคุม มีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียน 2.3 ผลการเปรียบเทียบทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีและผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม 2.3.1 นักเรียนกลุ่มทดลอง มีคะแนนเฉลี่ยทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยี หลังเรียนสูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุม 2.3.2 นักเรียนกลุ่มทดลอง มีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่า นักเรียนกลุ่มควบคุม


ค กิตติกรรมประกาศ วิทยานิพนธ์ฉบับนี้สำเร็จได้ด้วยความกรุณาจากผศ.ดร.ชญานนท์ แสงมณีและนายจักรกฤษ วงษ์ชาลีอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ที่กรุณาเสียสละเวลาในการตรวจทาน รายงาน ให้คำปรึกษา แนะนำ และแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ของวิทยานิพนธ์ รวมทั้งให้กำลังใจผู้วิจัยมาโดยตลอด จน วิทยานิพนธ์เล่มนี้สำเร็จสมบูรณ์ ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ขอขอบพระคุณผู้อำนวยการ ผู้บริหาร และคณะครูโรงเรียนสตรีราชินูทิศ ทุกท่านที่อำนวย ความสะดวก ให้ความร่วมมือช่วยเหลือในกระบวนการเก็บข้อมูล และเป็นกำลังใจโดยตลอด ขอบคุณ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ ปีการศึกษา 2566 ทุกคนที่ให้ความร่วมมือ เป็นอย่างดีในการทดลองใช้เครื่องมือและเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ ขอกราบขอบพระคุณบิดา มารดา สมาชิกทุกคนในครอบครัวของผู้วิจัย เพื่อนร่วมงาน และ ขอขอบคุณเพื่อนนักศึกษาสาขาวิชาหลักสูตรและการเรียนการสอนที่คอยช่วยเหลือสนับสนุน กันและกันในทุกด้าน และให้กำลังใจผู้วิจัยในการศึกษามาตลอดหลักสูตร ประโยชน์และคุณค่าจากวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ รวมทั้งกุศลแห่งคุณงามความดีทั้งหลาย ผู้วิจัย ขอมอบแด่พระคุณบิดามารดาและครูอาจารย์ทุกท่านที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ในการศึกษาและ การทำวิทยานิพนธ์จนทำให้ผู้วิจัยประสบความสำเร็จในครั้งนี้ สุวิมล เภาวนะ


ง สารบัญ หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ค สารบัญ ง สารบัญตาราง ช สารบัญภาพ ซ บทที่ 1 บทนำ 1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 1 คำถามการวิจัย 8 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 8 สมมติฐานของการวิจัย 8 ขอบเขตของการวิจัย 9 นิยามศัพท์เฉพาะ 11 ข้อจำกัดของการวิจัย 12 ประโยชน์ที่ได้รับ 13 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 14 ทักษะในศตวรรษที่ 21 14 ทฤษฎีการเชื่อมโยง (Connectivism) 20 แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) 28 ทฤษฎีและแนวคิดเกี่ยวการออกแบบการเรียนการสอนและรูปแบบการเรียนการสอน 40 การประเมินรูปแบบการเรียนการสอน 61 แนวคิดเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนา 76 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 81 องค์ประกอบของตัวแปรตาม 116


จ สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า 3 วิธีดำเนินการวิจัย 118 ระยะที่ 1 การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยง ความรู้และแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน เพื่อเสริมสร้างทักษะ ด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี 118 ระยะที่ 2 การศึกษาผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎี การเชื่อมโยงความรู้และแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน 130 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 138 ผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยประยุกต์ใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ 138 ผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยประยุกต์ใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ5สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 146 5 สรุปและอภิปรายผล 151 วัตถุประสงค์เขิงการวิจัย 151 วิธีดำเนินการวิจัย 151 สรุปผลการวิจัย 152 การอภิปรายผล 153 ข้อเสนอแนะ 160 เอกสารอ้างอิง 161


ฉ สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า ภาคผนวก 175 ประวัติย่อของผู้วิจัย 217


ช สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1 ข้อเปรียบเทียบด้านตัวอย่างของกิจกรรมและเวลา ระหว่างการเรียนแบบเดิม กับห้องเรียนกลับด้าน............................................................................................................ 32 2 การสังเคราะห์ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้เพื่อกำหนดรูปแบบการเรียนการสอน 108 3 ผลการกำหนดกรอบแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา รูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES………………………………………………………………………………. 120 4 แบบแผนการทดลอง........................................................................................... 131 5 รายการเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล................................................... 132 6 ค่าเฉลี่ยคะแนนการประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้............... 134 7 รายละเอียดของการเก็บรวบรวมข้อมูล.............................................................. 135 8 รายละเอียดการดำเนินการทดลองกับกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม.................. 136 9 คะแนนเฉลี่ยคุณภาพรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ฉบับสมบูรณ์……. 143 10 ผลการเปรียบเทียบทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี ก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม 146 11 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา การงานพื้นฐานอาชีพ ก่อนเรียน และหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม................ 147 12 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ หลังเรียนของ กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม................................................................................................. 149 13 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยี และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ หลังเรียนของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5ในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมแยกรายตัวแปร.................................... 149


ซ สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 1 วิวัฒนาการของทฤษฎีการจัดการการเรียนรู้จากพฤติกรรมนิยม ปัญญานิยม คอนสตรัคติวิสต์ และ คอนเนคติวิสต์.................................................................................... 22 2 เปรียบเทียบระหว่างการเรียนแบบเดิมกับห้องเรียนกลับด้าน…………………………………….. 32 3 โมเดลห้องเรียนแบบกลับด้าน (Flipped Classroom Model)………………………………… 34 4 รูปแบบการออกแบบระบบการเรียนการสอนของ Gerlach และ Ely………………………... 52 5 รูปแบบการออกแบบระบบการเรียนการสอนของSeels & Glasgow…………………….….. 53 6 รูปแบบการออกแบบระบบการเรียนการสอนของ Dick และ Carey………………….……….. 53 7 แผนผังการออกแบบ ADDIE Model ………………………………………………………….………..... 60 8 โมเดลการประเมินของ ไทเลอร์……………………………………………………………….…………….. 62 9 โมเดลเคาน์ทิแนนซ์……………………………………………………………………………………….….... 65 10 การเปรียบเทียบผลการปฏิบัติกับมาตรฐานตามโมเดลของ โปรวัส............................... 71 11 โมเดลพื้นฐานของ สตัฟเฟิลบีม (Stufflebeam’s CIPP Model) …………….……………. 73 12 แนวทางการประเมินโครงการรูปแบบโมเดลสตัฟเฟิลบีม ………………………………….…. 75 13 ขั้นตอนการวิจัยและพัฒนา …………………………………………………………………………..…….. 78 14 ความสัมพันธ์ของปัจจัยที่ส่งเสริมการพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน และทักษะในศตวรรษที่ 21............. 102 15 วิเคราะห์หลักการร่วมของทฤษฎีConnectivism และแนวคิด Flipped Classroom… 103 16 วิเคราะห์เงื่อนไขในการจัดการเรียนรู้ และกำหนดเป็นขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ตาม รูปแบบการเรียนการสอน ..................................................................................................... 104 17 ความสัมพันธ์ของทักษะในศตวรรษที่ 21 ที่ต้องการพัฒนากับขั้นตอน การจัดการเรียนรู้.................................................................................................................. 105


ฌ สารบัญภาพ (ต่อ) ภาพที่ หน้า 18 ความสัมพันธ์ของทักษะในศตวรรษที่ 21 ที่ต้องการพัฒนากับขั้นตอน การจัดการเรียนรู้................................................................................................................... 106 19 องค์ประกอบของรูปแบบการเรียนการสอน …………………………………………………………. 108 20 กรอบแนวคิดในการวิจัย................................................................................................. 115 21 กรอบแนวคิดที่ใช้พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPESฉบับร่าง........................ 118 22 ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ที่ใช้ในการเรียนการสอนกับขั้นตอนการเรียนการสอน........... 123 23 แนวคิดห้องเรียนกลับด้านที่ใช้ในการเรียนการสอนกับขั้นตอนการเรียนการสอน......... 125 24 แนวคิดห้องเรียนกลับด้านที่ใช้ในการเรียนการสอนกับ ขั้นตอนการเรียนการสอน (ต่อ).............................................................................................. 126 25 ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และแนวคิดห้องเรียนกลับด้านที่ใช้ในการเรียนการสอนกับ ขั้นตอนการเรียนการสอน....................................................................................................... 127 26 ขั้นตอนการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และ แนวคิดห้องเรียนกลับด้านที่ใช้ในการเรียนการสอนกับขั้นตอนการเรียนการสอน................ 128


1 บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ประเทศไทยในอดีตมีการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจวัฒนธรรมและการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่โมเดลประเทศไทย1.0 ที่เน้นภาคการเกษตร ไปสู่ประเทศไทย2.0 ที่เน้นอุตสาหกรรมเบาและ ก้าวสู่โมเดลประเทศไทย 3.0 ที่เน้นอุตสาหกรรมหนักทว่าภายใต้โมเดล ประเทศไทย 3.0 ที่เป็นอยู่ ต้องเผชิญกับดักสำคัญที่ไม่อาจนำพาประเทศพัฒนาไปมากกว่านี้อย่างไรก็ดีภายใต้โมเดลประเทศไทย 3.0 นอกจากต้องเผชิญกับกับดักประเทศรายได้ปานกลางแล้วเรายังต้องเผชิญกับกับดักความเหลื่อมล้ำ ของความมั่งคั่ง และกับดักความไม่สมดุลในการพัฒนา (สุวิทย์เมษินทรีย์, 2560: 11) กับดักเหล่านี้ เป็นประเด็นที่ท้าทายในการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและการศึกษาของประเทศ เพื่อก้าวข้าม ประเทศไทย 3.0 ไปสู่ประเทศไทย 4.0 ซึ่งยุทธศาสตร์ชาติ20 ปี(พ.ศ. 2560-2579) เกิดจากความเชื่อมโยง ระหว่างยุทธศาสตร์ชาติกับแผนพัฒนาฯฉบับที่ 12 ในสภาพปัญหาอันเป็นที่มาของแนวคิดการจัดทำ ยุทธศาสตร์ชาติได้แก่การพัฒนาประเทศขาดความต่อเนื่อง มีแผนพัฒนาประเทศและแผนยุทธศาสตร์ ที่หลากหลาย มีการจัดสรรและการใช้งบประมาณแบบแยกส่วน การกำหนดอนาคตของชาติกระทำ โดยภาครัฐเป็นส่วนใหญ่และประเทศพัฒนาแล้วจะมียุทธศาสตร์ชาติ โดยกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี(พ.ศ. 2560-2579) คือ ประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนา ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง นำไปสู่การพัฒนาให้คนไทยมีความสุขและตอบสนองต่อการบรรลุซึ่ง ผลประโยชน์แห่งชาติในการที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตสร้างรายได้ระดับสูงและสร้างความสุขของคนไทย สังคมมีความมั่นคงเสมอภาคและเป็นธรรม อีกทั้งประเทศสามารถแข่งขันได้ในระบบเศรษฐกิจ ประเทศไทย 4.0 เป็นความมุ่งมั่นที่ต้องการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่ Value-based Economy หรือ การมีเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมอย่างน้อยใน 3 มิติสำคัญ คือ เปลี่ยนจากการผลิตสินค้า โภคภัณฑ์ไปสู่สินค้าเชิงนวัตกรรม การเปลี่ยนจากการขับเคลื่อนประเทศด้วยภาคอุตสาหกรรมไปสู่ การไปขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม และเปลี่ยนจากการเน้นภาค การผลิตสินค้าไปสู่การเน้นภาคบริการมากขึ้น (เกษม เมษินทรีย์, 2559: 25)ซึ่งประเทศไทยสื่อสังคม ออนไลน์ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงในหลายมิติเช่น ระบบเศรษฐกิจ วัฒนธรรม การคมนาคม รวมถึง การศึกษา ดังเช่น แผนการศึกษาแห่งชาติ(พ.ศ. 2560-2579) มีเป้าหมายมุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคนให้มี คุณลักษณะและทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ทักษะด้านการสื่อสาร สารสนเทศ และการรู้เท่าทันสื่อ (Communications, Information and MediaLiteracy)และทักษะด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี


2 สารสนเทศและการสื่อสาร (Computing and ICT Literacy) (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2560: 14) การศึกษา 4.0 (Education 4.0) คือ การเรียนการสอนที่สอนให้นักเรียนสามารถนำเอา องค์ความรู้ที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งบนโลกนี้มาบูรณาการเชิงสร้างสรรค์ เพื่อพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ มาตอบสนองความต้องการของสังคม ซึ่งการเรียนการสอนในปัจจุบัน ยังคงห่างไกลในหลาย ๆ มิติ เช่น ไม่เคยสอนให้ผู้เรียนได้คิดเองทำเอง ส่วนใหญ่ยังคงสอนให้ทำโจทย์แบบเดิม ๆ อีกเรื่อง คือ ผู้เรียนเริ่มไม่รู้จักสังคม ส่วนใหญ่ใช้เวลาในโลกออนไลน์ไปกับเกมส์ การช้อปปิ้ง การแชทเฟสบุ๊ค ไลน์ และอินสตราแกรม เป็นความยากและท้าทายของผู้ที่ต้องทำหน้าที่สอนในยุคนี้ เพราะการเรียนการสอน ในยุค4.0 ต้องปล่อยให้ผู้เรียนได้ใช้เทคโนโลยีในการเรียนรู้ด้วยตนเอง ปล่อยให้กล้าคิดและกล้าที่จะผิด แต่ทั้งหมดก็ยังคงต้องอยู่ในกรอบทีสังคมต้องการหรือยอมรับได้ซึ่งปัจจัยหลักของการใช้เทคโนโลยี ที่เกิดความคุ้มค่าได้แก่ การใช้อินเทอร์เน็ตความคิดสร้างสรรค์ การปฏิสัมพันธ์กับสังคม ปัจจัยดังกล่าว ถ้าทำได้ดีการศึกษา4.0 จะสามารถสร้างและพัฒนาคนให้สามารถค้นหาความรู้ต่าง ๆ มาปะติดปะต่อ และประยุกต์เข้ากับงานที่ทำสามารถต่อยอดและพัฒนาซึ่งการศึกษาไทยในยุคไทยแลนด์4.0 จะต้อง สามารถยกระดับคุณภาพการศึกษาสร้างผู้เรียนที่มีสมรรถนะเป็นที่ต้องการสนับสนุนการคิดนวัตกรรม และการพึ่งตนเองได้บ้าง ทางเทคโนโลยี(เกรียงศักดิ์เจริญวงศ์ศักดิ์, 2559: 8) โดยการเตรียมการศึกษา จะต้องมีการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน จัดหลักสูตรให้ครอบคลุมคนทุกกลุ่ม พร้อมทั้งปรับปรุงตำรา ให้สอดคล้องกับหลักสูตรที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นสิ่งที่ควรจะต้องดำเนินการคือการปรับปรุงตำราเรียน ให้สอดคล้องกับหลักสูตร ต้องเปลี่ยนระบบการประเมินเพื่อให้สอดคล้องกับหลักสูตร โดยเฉพาะการคิดเป็น วิเคราะห์เป็น ตามทักษะในศตวรรษที่21 และการปรับการอบรมครูให้ตรงกับความต้องการในการนำ ความรู้ไปใช้และการพัฒนาให้ผู้เรียนสามารถสร้างนวัตกรรมเพื่อนำไปใช้ต้องดำเนินการควบคู่ไปด้วยกัน (ธีระเกียรติเจริญเศรษฐศิลป์,2559: 55) ปัญหาในการการพัฒนาการศึกษาภายใต้กรอบประเทศไทย4.0คือ ด้านคุณภาพการศึกษา รัฐบาลไทยได้มีความพยายามที่จะปฏิรูปการศึกษาอย่างต่อเนื่อง เช่น การทุ่มงบประมาณด้านการศึกษา 5.10 แสนล้านบาท ในปีงบประมาณ 2561 คิดเป็นร้อยละ 17.6 ของงบประมาณทั้งหมด และ 4% ของ GDP ประเทศ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ รวมถึงเพิ่มชั่วโมงเรียนถึง 1,200 ชั่วโมงต่อปี มากกว่าเด็กฟินแลนด์ถึง 500 ชั่วโมง อีกทั้งยังขึ้นเงินเดือนครู เพื่อเพิ่มแรงจูงใจและเพิ่ม การคัดกรองครูอย่างเป็นระบบมากขึ้น แต่จากผลการประเมินนักเรียนไทยในโครงการ PISA ในปีพ.ศ.2557 พบว่า เด็กไทยติดอันดับ 54 จาก 70 ประเทศ ทิ้งห่างจากประเทศเพื่อนบ้านอย่าง เวียดนาม ซึ่งอยู่ ลำดับ 8 โดยทำคะแนนความรู้ด้านคณิตศาสตร์ การอ่านและวิทยาศาสตร์ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ในด้านการอ่าน มีเด็กไทยถึง 74% อ่านภาษาไทยไม่รู้เรื่อง ตั้งแต่การอ่านไม่ออก อ่านแล้วตีความไม่ได้ ไปจนถึงอ่านแล้ว วิเคราะห์ความหมายไม่ถูกส่วนวิชาวิทยาศาสตร์ มีนักเรียนไทยเพียง 1% เท่านั้น ที่ผลการประเมิน อยู่ในระดับดีมาก ในด้านความสามารถด้านภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาที่จำเป็นในการสื่อสารในโลกยุคใหม่


3 จากการสุ่มทดสอบผู้ใหญ่จาก 80 ประเทศ ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักทางระบบออนไลน์ ในปี พ.ศ. 2017 ประเทศไทยได้คะแนนเฉลี่ยลำดับที่ 53 ซึ่งอยู่ในกลุ่มระดับทักษะต่ำ (สถาบันส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2560: 4) นอกจากความรู้ด้านวิชาการแล้ว ในปีพ.ศ. 2556-2557 องค์กร World Economic Forum จัดอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านความสามารถการคิด วิเคราะห์ และด้านนวัตกรรม ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 โดยนักเรียนไทยระดับประถมอยู่ อันดับที่ 86 ระดับมัธยมอันดับ 101 ความสามารถด้านนวัตกรรมอยู่อันดับที่ 70 นอกจากนี้ การ จัดการศึกษายังคงกระจุกตัวอยู่ในเมืองใหญ่ ซึ่งระหว่างเมืองใหญ่และชนบทยังคงแตกต่างกันสูง โดยเฉพาะด้านการจัดสรรงบประมาณที่ไม่เท่าเทียมและไม่สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่โรงเรียน เล็ก ๆ ในชนบทจะได้รับงบประมาณน้อยอยู่มากจากผลการสอบ PISA เด็กที่เก่งที่สุดของไทยกับเด็ก อ่อนที่สุดของไทยมีคะแนนห่างกันถึง 200คะแนน เท่ากับห่างกันอยู่ 7 ปีการศึกษา เด็กที่เก่งที่สุดมี ความรู้เทียบเท่า ม. 3ส่วนเด็กที่อ่อนที่สุดเท่าเด็ก ป. 2 (ไพฑูรย์สินลารัตน์, 2559: 15-36) สาเหตุมาจากเป้าหมายการศึกษาของไทยที่มุ่งเน้นความเป็นเลิศทางวิชาการ ทำให้เด็กที่เก่ง ด้านอื่น ๆ ไม่ได้รับการยอมรับและไม่มีความสุขจากการเรียน อีกทั้ง การเก่งด้านวิชาการเพียงด้านเดียว ทำให้ยากต่อการเชื่อมโยงกับโลกและสังคมที่มีความหลากหลาย จุดมุ่งหมายทางการศึกษากลายเป็น ปริญญาบัตรมากกว่าการพัฒนาทักษะอาชีพและทักษะชีวิต ทำให้เด็กจำนวนมากไม่รู้จักตัวเอง ก่อให้เกิด ปัญหาการเลิกเรียน (Drop Out) (สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2559: 144) และปัญหาการลาออก จากงานในภายหลัง จากสถิติพบว่า ในปีพ.ศ.2545 มีคนที่เข้า ป.1 ประมาณ 1 ล้านคน ผ่านไป 10 ปี มีเพียง 600,000 ในปี พ.ศ. 2555โดยสาเหตุในการลาออกกลางคัน ได้แก่ การอพยพตามผู้ปกครอง ปัญหาการปรับตัว ปัญหาครอบครัว หาเลี้ยงครอบครัว และสมรสแล้ว ตามลำดับ ปัญหาเกี่ยวกับครู โดยคุณภาพของผู้เรียนขึ้นอยู่กับคุณภาพของครูเป็นส่วนสำคัญ ในขณะที่ประเทศไทยขาดครูจำนวนถึง 40,000 คน เราผลิตครูมากถึงปีละประมาณ 12,000 คน แต่การบรรจุครูใหม่ในแต่ละปีก็มีเพียง 3-4 พันคนเท่านั้น เนื่องจากครูเป็นอาชีพที่เงินเดือนน้อย มีภาระงานนอกเหนือจากการสอนมาก ครูใช้เวลา กับการเตรียมสอนและการอยู่ในชั้นเรียนน้อยลง เพราะต้องทำงานเอกสารและทำการประเมินผล ทำให้ในบางพื้นที่ครูหนึ่งคนต้องสอนมากกว่าหนึ่งชั้นเรียน และสอนไม่ตรงกับวุฒิเนื่องมาจากสาเหตุ ของการขาดแคลนครู สาขาที่ขาดแคลนมากเรียงตามลำดับ คือ ภาษาต่างประเทศ คณิตศาสตร์ภาษาไทย วิทยาศาสตร์สังคมศาสตร์คอมพิวเตอร์และการงานอาชีพ (สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2559: 81) ในปีพ.ศ. 2554 ผลสำรวจของโครงการทดสอบนานาชาติTIMSS (The Trends in International Mathematics and Science Study) พบว่า ในกลุ่มนักเรียนไทย ม.2 ที่เรียนกับครูรุ่นใหม่ที่มีประสบการณ์ การสอนน้อยกว่า5 ปีมีเพียงร้อยละ20 ได้เรียนกับครูที่มีความมั่นใจในการออกแบบโจทย์คณิตศาสตร์ ที่ชวนให้นักเรียนคิดขณะที่ร้อยละ55 ได้เรียนกับครูที่ให้นักเรียนจำสูตรและวิธีการทำในทุกคาบเรียน ซึ่งมากกว่าในประเทศที่ประสบความสำเร็จด้านการศึกษา หลักฐานเชิงประจักษ์ข้างต้นชี้ไปในทางที่ว่า


4 ครูไทยรุ่นใหม่ยังไม่มีความพร้อมด้านความรู้เนื้อหาและทักษะการสอน (สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2559: 82) ประกอบกับสื่อสังคมออนไลน์ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงในหลายมิติเช่น ระบบเศรษฐกิจ วัฒนธรรม การคมนาคม รวมถึงการศึกษา ดังเช่น แผนการศึกษาแห่งชาติ(พ.ศ. 2560-2579) มีเป้าหมาย มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคนให้มีคุณลักษณะและทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ทักษะด้านการสื่อสาร สารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ (Communications, Information and Media literacy)และ ทักษะด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Computing and ICT literacy) (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2560: 13)รวมถึงพัฒนาการของสื่อ สารสนเทศ และเทคโนโลยี ดิจิทัล ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และได้เคลื่อนเข้าสู่ยุคสื่อหลอมรวม (Convergent Media) ซึ่งมีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต การสื่อสาร และการเรียนรู้ ของผู้คนในสังคม จากข้อมูลของ Internet World Stats ปี พ.ศ. 2558 พบว่า มีการใช้อินเทอร์เน็ต ทั่วโลกสามพันกว่าล้านคน (Internet World Stats, 2015: 32) รวมถึง ผลสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้งาน อินเทอร์เน็ตประเทศไทย ปีพ.ศ. 2561 พบว่า คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตนานขึ้นเฉลี่ย 10 ชั่วโมง 5 นาที ต่อวัน เป็นผลจากการเปลี่ยนผ่านชีวิตไปสู่ดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น เผย Gen Y ครองแชมป์ใช้งานอินเทอร์เน็ต สูงสุดติดต่อกันเป็นปีที่ 4 โดยเฉพาะการใช้Facebook, Instagram, Twitter และ Pantip สูงถึง 3 ชั่วโมง 30 นาทีต่อวัน (สำนักงานสถิติแห่งชาติ,2561: 5) โดยเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้เปลี่ยนรูปแบบ การสื่อสารแบบดั้งเดิมในโลกแห่งความเป็นจริงไปสู่การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในโลกเสมือนจริง (Virtual World) ส่งผลให้เกิดยุคแห่งการสื่อสารไร้พรมแดนและเป็นยุคหลังข้อมูลสารสนเทศ (Post-Information Age) ที่ผู้คนจากทั่วทุกมุมสามารถเข้าถึงสื่อได้รับข้อมูลสารสนเทศจำนวนมากผ่านสื่อและเทคโนโลยี ดิจิทัลอย่างรวดเร็ว สื่อ สารสนเทศ และดิจิทัล จึงเป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องกันและส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลง ทางสังคมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ประกอบกับยุคนี้ การรู้เท่าทันสื่อ สารสนเทศ และดิจิทัล เป็นชุด ของสมรรถนะ (Competency) ที่ครอบคลุมทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความสามารถ ในการเข้าถึงสารสนเทศผ่านสื่อและเทคโนโลยีดิจิทัล การเลือกรับ วิเคราะห์ ประเมินและนำข้อมูลที่ได้รับ ไปใช้ในทางสร้างสรรค์รวมทั้งความสามารถผลิตสื่อเพื่อขับเคลื่อนสังคมได้ด้วยตนเอง การรู้เท่าทันสื่อ สารสนเทศและดิจิทัล นั้นมีลักษณะที่เชื่อมโยงกันระหว่างสมรรถนะ 3 เรื่อง คือ การรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) การรู้เท่าทันสารสนเทศ (Information Literacy) และการรู้เท่าทันดิจิทัล (Digital Literacy) นอกจากนี้สมรรถนะชุดดังกล่าวยังมีความสัมพันธ์กับทักษะชุดอื่น ๆ เช่น ทักษะชีวิตที่ครอบคลุม เรื่องทักษะการจัดการตัวเอง (Self Management Skills) ทักษะการคิด (Thinking Skills) และทักษะ การอยู่ร่วมกับผู้อื่น (Interpersonal and Communication Skills) อีกด้วย การเข้าถึงสื่อและสารสนเทศ ถือเป็นสิทธิพื้นฐานในฐานะพลเมืองและเป็นสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้เพื่อคุ้มครองสิทธิที่พลเมืองจะมีข้อมูล มากพอจากแหล่งที่มาที่หลากหลายเพื่อประกอบการคิด ตัดสินใจ และลงมือปฏิบัติการในฐานะพลเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมประชาธิปไตยที่พลเมืองอยู่ร่วมกันท่ามกลางความหลากหลาย การเข้าถึง เข้าใจ เท่าทัน และใช้สื่อสารสนเทศ เทคโนโลยีดิจิทัล เป็นเครื่องมือและความสามารถสำคัญที่พลเมือง


5 จะใช้ในการปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานในการเข้าถึงข้อมูล เพื่อการติดตาม ตรวจสอบ ขับเคลื่อนต่อสู้ ต่อรองกับอำนาจรัฐ อำนาจทุน และธุรกิจสื่อ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดสังคมที่ผู้คนอยู่ร่วมกัน โดยยึดความยุติธรรมทางสังคมเป็นหลักการสำคัญ การจัดการศึกษาโดยมุ่งเน้นการพัฒนาให้เกิด การบูรณาการและเชื่อมโยงระหว่างชุดของสมรรถนะและทักษะดังกล่าวจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับ ที่ 2) พ.ศ. 2545 หมวดที่4 มาตราที่22 กล่าวว่า การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถในการเรียนรู้และ พัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถ พัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ และมาตราที่24 จัดการเรียนรู้ให้เกิดได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือกับบิดา มารดา ผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชน ทุกฝ่ายเพื่อร่วมกันพัฒนา ผู้เรียนตามศักยภาพการศึกษาในศตวรรษที่21 ผู้สอนจะต้องปรับแนวทางการเรียนการสอน โดยผู้สอน จะต้องทำให้ผู้เรียนรักที่จะเรียนรู้ตลอดชีวิตและมีเป้าหมายในการสอนที่จะทำให้ผู้เรียนมีทักษะชีวิต ทักษะการคิดและทักษะด้านไอทีซึ่งหมายถึงการที่ผู้เรียนรู้ว่าเมื่ออยากรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งจะไปตามหาข้อมูล (Data) เหล่านั้น ได้ที่ไหนและเมื่อได้ข้อมูลมาผู้เรียนต้องวิเคราะห์ได้ว่าข้อมูลเหล่านั้น มีความน่าเชื่อถือ เพียงใดและสามารถแปลงข้อมูลเป็นความรู้(Knowledge) ได้(กระทรวงศึกษาธิการ, 2546: 2) ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องเกิดจากการฝึกฝน ผู้สอนจะต้องให้ผู้เรียนได้มีโอกาสทดลองด้วยตนเองการศึกษาใน ปัจจุบันส่วนมากเป็นวิธีการสอนแบบบรรยายเนื่องจากเนื้อหาที่มีมากกับเวลาที่มีอยู่จำกัด ทำให้ผู้สอน นำเสนอในสิ่งที่คิดว่าจำเป็นในการนำไปใช้ซึ่งเนื้อหาบางส่วนอาจเป็นข้อมูลที่ไม่เป็นปัจจุบัน การเรียน การสอนจึงอยู่ในลักษณะที่ผู้สอนเป็นศูนย์กลาง เป็นผู้เลือกเนื้อหา เลือกวิธีการเรียน เลือกเวลาในการสอน และเป็นผู้ตัดสินว่าผู้เรียนคนใดผ่านเกณฑ์จากเครื่องมือที่ผู้สอนสร้างขึ้น ดังนั้น ผู้เรียนส่วนมากจึงเรียนจาก การจดจำโดยยึดจากเนื้อหาที่ผู้สอนนำเสนอเท่านั้น ไม่ได้พัฒนาทักษะด้านกระบวนการคิดการค้นคว้า จนไม่สามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้กับการทำงานในชีวิตจริงได้ ในขณะเดียวกัน สังคมแห่งการเรียนรู้ ในยุคศตวรรษที่ 21 มีการนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นเครื่องมือช่วยแก้ปัญหาในการจัดการศึกษาและสภาพ การเรียนรู้ปัจจุบันสามารถเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ตได้ง่าย ทำให้มีเสรีภาพแห่งการเรียนรู้ได้ทุกสถานการณ์ ทุกสถานที่และทุกเวลา (Anyway, Anywhere, Anytime) ทำให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตจากแหล่ง ความรู้ทั่วโลก จากข้อมูลข้างต้น การเตรียมเยาวชนในยุคศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาคุณภาพเยาวชนยุคใหม่ให้เติบโตในยุคดิจิทัล การจัดกิจกรรม การเรียนรู้เพื่อเชื่อมโยงทฤษฎีผ่านสื่อสังคมออนไลน์จึงเป็นการพัฒนาความคิดของผู้เรียน พัฒนาทักษะ การเรียนรู้การสืบเสาะแสวงหา และการสร้างความรู้ด้วยตนเองที่มีประสิทธิภาพ (กิตติพงษ์พุ่มพวง, 2558: 1)และ เอกนฤน บางท่าไม้(2560: 58) ยังได้สรุปผลการศึกษาเพื่อพัฒนารูปแบบกิจกรรมการเรียน การสอนผ่านระบบเครือข่ายสังคมออนไลน์ไว้เป็นขั้นตอน ดังนี้1)ผู้สอนวางแผนการเรียนรู้และปฐมนิเทศ การเรียน 2)ผู้สอนสร้างแรงจูงใจในการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างสร้างสรรค์3)ผู้สอนสนับสนุนให้ผู้เรียน กำหนดเป้าหมายการเรียนและการประเมินตนเอง 4) ผู้เรียนนำเสนอแนวทางของตนเอง 5) ผู้เรียน


6 นำเสนอกิจกรรมที่ส่งเสริมการใช้สื่ออินเทอร์เน็ตอย่างสร้างสรรค์ 6) ผู้สอนสนับสนุนการสืบเสาะหา ความรู้ 7) ผู้เรียนนำเสนอผลงานจากตัวอย่างที่กำหนด 8) ผู้สอนประเมินผลในลักษณะสังคมมิติ 9) ผู้สอนสรุปคุณลักษณะการใช้สื่ออินเทอร์เน็ตอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งการจัดการเรียนการสอนผ่านสื่อ สังคมออนไลน์ ไม่ได้มุ่งเน้นให้ผู้เรียนใช้สื่อเป็นอย่างเดียวแต่ยังช่วยพัฒนาทักษะในการสืบค้น วิเคราะห์ และประเมินค่า เสริมสร้างความตระหนักในสิทธิของบุคคลและความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างมีจริยธรรม โดยใช้ความคิดอย่างสร้างสรรค์ในการสื่อสาร (กิตติพงษ์พุ่มพวง, 2558: 2) ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้แสดงให้เห็นจุดเปลี่ยนทางด้านการศึกษา กล่าวคือ เปลี่ยนจาก รูปแบบการศึกษาที่อยู่บนพื้นฐานตามทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behaviorism)ซึ่งเน้นในเรื่องเชาว์ปัญญา (Intelligence) จุดประสงค์ (Objective) ระดับความรู้ (Level of Knowledge) และการให้แรงเสริม (Reinforcement) มาเป็นรูปแบบการจัดการศึกษาที่เน้นทฤษฎีความรู้ความคิด (Cognitive Theory) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ (Connectivism Learning) ที่มีความเชื่อที่ว่า ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ของตนเอง (Construct Their Own Knowledge) จากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม แกนอน และ คอลเลย์ (Gagnon & Collay, 2001: 1) เพเพิร์ท (Papert, 1993: 63) ได้นำความรู้เกี่ยวกับการเกิดการเรียนรู้ตามแนวคิด Constructivism ที่ได้รับจาก เพียเจท์ (Piaget) มาสร้างเป็นทฤษฎีของการให้การศึกษา เรียกว่า Constructionism แนวคิดนี้อยู่บน พื้นฐานที่ว่าการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดีเมื่อผู้เรียนมีส่วนร่วมในการสร้างผลิตผลที่มีความหมายกับตนเอง เมื่อมีการสร้างบางสิ่งบางอย่างออกมาเป็นผลิตผล ก็จะมีการสร้างความรู้ด้วยตามมา เพเพิร์ท มีความคิดว่า (ทิศนา แขมมณี และคณะ, 2545: 24) หากผู้เรียนมีโอกาสได้สร้างความรู้และนำความคิดของตนเอง ไปสร้างสรรค์ชิ้นงานขึ้น โดยอาศัยสื่อเทคโนโลยีที่เหมาะสมจะช่วยให้ความคิดนั้น เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน เมื่อผู้เรียนสร้างสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมาในโลก หมายถึง การสร้างความรู้ขึ้นในตนเอง ความรู้ที่สร้าง ขึ้นจะมีความหมายอยู่คงทน และไม่ลืมง่าย และจะสามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นเข้าใจความคิดของตนเอง ได้ความรู้ที่สร้างขึ้นจะเป็นฐานที่มั่นคงให้ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ต่อไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด สอดคล้องกับ กนกรัตน์ จิรสัจจานุกูล และ ณมน จีรังสุวรรณ (2559: 62) ได้ศึกษาการพัฒนารูปแบบ การเรียนรู้ด้วยทฤษฎีการเรียนรู้แบบการสร้างความรู้นิยมและทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้เพื่อการสร้าง นวัตกรรมแบบประสบการณ์จริง ผลการวิจัย พบว่า สรุปผลการประเมินโดยรวมมีระดับความพึงพอใจ อยู่ในเกณฑ์มาก ( = 4.27, S.D. = 0.41) และจากผลการวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างรายวิชา การจัดการเรียนรู้คอมพิวเตอร์ วิชาหลักการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุด้วยสถิติการทดสอบ t-Test พบว่า ไม่แตกต่างกัน ถึงแม้กลุ่มหมวดประเภทวิชาจะแตกต่างกัน จากผลจากวิจัยแสดงให้เห็นว่า รูปแบบ การเรียนรู้แบบ C2I Model เป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการผลิตนวัตกรรมแบบประสบการณ์จริงได้ และสามารถนำไปใช้ได้กับทุกวิชา


7 อีกทั้งการนำแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน The Flipped Classroom ทำให้วิธีการเรียนแนวใหม่ ที่ฉีกตำราการสอนแบบเดิม ๆ Flipped Classroom เป็นการเรียนแบบกลับหัวกลับหางหรือพลิกกลับ โดยเปลี่ยนรูปแบบวิธีการสอนจากแบบเดิมที่เริ่มจากครูผู้สอนในห้องเรียน นักเรียนกลับไปทำการบ้านส่ง เปลี่ยนเป็นนักเรียนเป็นผู้ค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองผ่าน “เทคโนโลยี” ที่ครูจัดหาให้ก่อนเข้าชั้นเรียน และมาทำกิจกรรม โดยมีครูคอยแนะนำในชั้นเรียนแทน โดยสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของ Flipped Classroom นี้ก็คือ การใช้เทคโนโลยีการเรียนการสอนที่ทันสมัยและการให้นักเรียนได้มีโอกาสเรียนรู้ผ่านกิจกรรม ซึ่งทั้งสองส่วนนี้จะกระตุ้นให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้อย่างเต็มที่ ซึ่ง Jonathan และ Aaron ได้กล่าวว่า รูปแบบห้องเรียนกลับด้าน เป็นวิธีการที่ครอบคลุมการใช้งานและประยุกต์ใช้เทคโนโลยี อินเทอร์เน็ต เพื่อยกระดับการเรียนรู้ในห้องเรียนต่าง ๆเพื่อให้สามารถใช้เวลามากขึ้นในการมีปฏิสัมพันธ์ กับนักเรียน แทนการบรรยายหน้าชั้นเรียนเพียงอย่างเดียว ซึ่งวิธีการที่ถูกใช้เป็นส่วนใหญ่มักจะทำการสอน โดยใช้วีดิทัศน์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยครูซึ่งนักเรียนสามารถเรียนรู้ได้นอกเวลาเรียน Jonathan และ Aaron เรียกว่า ห้องเรียนกลับด้าน เพราะกระบวนการเรียนและการบ้านทั้งหมดจะ“พลิกกลับ” สิ่งที่เคยเป็น กิจกรรมในชั้นเรียน เช่น การจดบันทึก(Lecture)จะถูกทำที่บ้านผ่านทางวีดิทัศน์ที่ครูสร้างขึ้น และ นำมาปฏิบัติในชั้นเรียน ห้องเรียนกลับด้านเป็นกระบวนการที่จะช่วยให้ครูดูแลศิษย์ได้เป็นรายคน สิ่งที่ดีที่สุดที่นักเรียนพึงได้รับจากชั้นเรียนในปัจจุบันไม่ใช่เนื้อหาวิชา เพราะสิ่งนั้นนักเรียนรู้เองได้ กระบวนการเรียนรู้ที่นักเรียนต้องพึ่งครูคือการตีความวิชาเข้าสู่ชีวิตจริงหรือการประยุกต์ใช้ความรู้ ในกระบวนการนี้นักเรียนต้องฝึกฝนลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง โดยส่วนใหญ่ทำเป็นทีมร่วมกับเพื่อนและ ต้องการครูฝึกคอยช่วยแนะนำ และให้กำลังใจการกลับทางการเรียน จึงไม่ใช่สูตรสำเร็จของวิธีการ แต่เป็นการเปลี่ยนวิธีคิด (Mindset) เปลี่ยนความสนใจ จากที่ครูมาเป็นที่นักเรียนและที่การเรียนรู้ และ ครูที่กลับทางการเรียนรู้ จัดการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน เบอร์คแมน และ แซมส์(Bergmann & Sams, 2012: 13) สอดคล้องกับ ลัทธพล ด่านสกุล (2558: 98) ได้ศึกษาการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียน กลับด้าน ด้วยพอดคาสต์โดยใช้กลวิธีการกำกับตนเองเป็นการนำจุดเด่นของการจัดการเรียนรู้แบบ ห้องเรียนกลับด้านและการใช้กลวิธีการกำกับตนเอง โดยใช้เว็บไซต์พอดคาสต์มาผสมผสาน ในการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ผลการวิจัยสรุปได้ ประสิทธิภาพของเว็บไซต์พอดคาสต์ สำหรับการเรียนรู้แบบ ห้องเรียนกลับด้าน โดยใช้กลวิธีการกำกับตนเอง เรื่องโครงสร้างการโปรแกรม มีค่าเท่ากับ 81.07/83.35 นักเรียนห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ที่เรียนรู้ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน โดยใช้กลวิธี การกำกับตนเองมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง โครงสร้างการโปรแกรมหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และสอดคล้องกับ อพัชชา ช้างขวัญยืน และ ทิพรัตน์ สิทธิวงศ์ (2558: 100) ได้ทำการวิจัยเรื่อง “การจัดการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับการเรียนรู้ แบบโครงงาน รายวิชาคอมพิวเตอร์สารสนเทศขั้นพื้นฐาน สำหรับนิสิตปริญญาตรี” ผลการวิจัย พบว่า ผลการหาประสิทธิผลของการสอนการจัดการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับการเรียนรู้ แบบโครงงาน คือ0.55 ผ่านเกณฑ์ที่ตั้งไว้


8 ผู้วิจัยได้ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 เพื่อให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี จึงได้พัฒนารูปแบบการเรียนการสอน โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยศึกษาแนวทางการประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และแนวคิดห้องเรียน กลับด้าน จากเอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อนำหลักการร่วมของ 2 ทฤษฏีมาประยุกต์เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างเป็นรูปแบบการเรียนการสอนให้เข้ากับบริบทของการเตรียม เยาวชนในยุคศตวรรษที่21 โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีต่อไป คำถามการวิจัย 1. รูปแบบการเรียนการสอน โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และแนวคิดห้องเรียน กลับด้าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีองค์ประกอบที่สำคัญอะไรบ้าง และแต่ละองค์ประกอบ มีขั้นตอนการดำเนินการอย่างไร 2. รูปแบบการเรียนการสอน โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และแนวคิด ห้องเรียนกลับด้าน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ได้หรือไม่ อย่างไร 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มทดลองแตกต่างจากกลุ่มควบคุมหรือไม่ วัตถุประสงค์ของการวิจัย รูปแบบการเรียนการสอน โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และแนวคิดห้องเรียน กลับด้าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1. เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และ แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 2. เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม สมมติฐานของการวิจัย 1. ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี หลังทดลองของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 5 ทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม สูงกว่าก่อนทดลอง


9 2. ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีหลังทดลองของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุม 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุม ขอบเขตของการวิจัย รูปแบบการเรียนการสอน โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และแนวคิดห้องเรียน กลับด้าน เพื่อเสริมสร้างทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีการดำเนินการวิจัย แบ่งเป็น 2 ระยะ ขอบเขตการวิจัยในแต่ละระยะ เป็นดังนี้ 1. การวิจัยระยะที่ 1การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยง ความรู้และแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ดังนี้ 1.1วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาบริบทข้อมูลเบื้องต้น ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี มาใช้ในการสร้างรูปแบบ การเรียนการสอน และเป็นข้อมูลในการร่างต้นแบบการเรียนการสอนและการตรวจสอบรูปแบบ การเรียนการสอน โดยมีขั้นตอนการดำเนินงาน ดังนี้ 1.1.1 การศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เพื่อกำหนดกรอบของรูปแบบการเรียนการสอนฯ ที่พัฒนาขึ้นและจัดทำรายละเอียดของรูปแบบการเรียนการสอนฯ ฉบับร่าง 1.1.2 การสร้างรูปแบบการเรียนการสอนและเครื่องมือประเมินผู้เรียน ผู้วิจัยนำ ข้อมูลที่ได้การศึกษาบริบท ข้อมูลเบื้องต้น การศึกษาแนวคิด ทฤษฎีดังนี้ 1.1.2.1นำมาสร้างรูปแบบการเรียนการสอน โดยนำเอาหลักการและ องค์ประกอบของรูปแบบการเรียนการสอน ในส่วนของสาระสำคัญที่ได้จากแนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง มาทำการวิเคราะห์ สังเคราะห์ เป็นองค์ประกอบของรูปแบบการเรียนการสอน 1.1.2.2 สรุปต้นแบบรูปแบบการเรียนการสอน ซึ่งประกอบด้วย หลักการ และเหตุผล ทฤษฎีและแนวคิดพื้นฐาน หลักการของรูปแบบ จุดมุ่งหมายของรูปแบบ การจัดการเรียนรู้ ตามรูปแบบ กระบวนการตามรูปแบบ ประกอบด้วย การจัดการเรียนรู้ แหล่งเรียนรู้ วัสดุสนับสนุน การเรียนรู้ ความร่วมมือบนเว็บไซต์สังคมเครือข่าย บทบาทผู้สอน บทบาทผู้เรียน และการประเมิน ตามรูปแบบ 1.2ระยะเวลาในการศึกษา 15 พฤษภาคม 2566 – 10 ตุลาคม 2566 1.3สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1.3.1 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา 1.3.2 ข้อมูลเชิงปริมาณ ใช้ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน


10 2. การวิจัยระยะที่2 การศึกษาผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎี การเชื่อมโยงความรู้และแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน มีขอบเขตของการศึกษาดังนี้ 2.1วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอน โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยง ความรู้และแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยมีขั้นตอนการดำเนินงาน ดังนี้ 2.1.1 การทดลองใช้รูปแบบการเรียนการสอน 2.1.2 การสรุปผลและการวิเคราะห์ข้อมูล 2.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2.2.1 ประชากร เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ สำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 20 จังหวัดอุดรธานี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 16 ห้องเรียน รวมนักเรียนจำนวน 614 คน 2.2.2กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ จังหวัดอุดรธานี ปีการศึกษา 2566 ได้มาโดยใช้วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม จำนวน 2 ห้องเรียน โดยจับฉลาก เป็นห้องทดลองและห้องควบคุม กลุ่มทดลอง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/11จำนวน 41 คน ได้รับการสอนโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน และกลุ่มควบคุม เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/13 จำนวน 42 คน ได้รับการสอนด้วยรูปแบบการเรียนการสอน แบบปกติ 2.3 ตัวแปรในการวิจัยตัวแปรในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย 2.3.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ รูปแบบการเรียนการสอน แบ่งเป็น 2.3.1.1 รูปแบบการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ และแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน 2.3.1.2 รูปแบบการเรียนการสอนแบบปกติ 2.3.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ 2.3.2.1 ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยี 2.3.2.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา การงานพื้นฐานอาชีพ ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2.3.3 ตัวแปรร่วม คือ การทดสอบก่อนเรียน ได้แก่ 2.3.3.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา การงานพื้นฐานอาชีพ ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5


11 2.4เนื้อหาสาระ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยง ความรู้และแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ในครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้เนื้อหาจาก หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ประกอบด้วย4 หน่วยการเรียนรู้ คือ 2.4.1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 งานช่างกับการดำรงชีวิต 2.4.2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ความปลอดภัยในการปฏิบัติงานช่าง 2.4.3 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน 2.4.4 หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 งานเขียนแบบเบื้องต้น ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 18 แผน รวม 18 ชั่วโมง 2.5ระยะเวลาในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ ใช้เวลาในการทดลองจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนการสอนฯ ระหว่างภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566รวม 18สัปดาห์ จำนวน 18 ชั่วโมง 2.6สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 2.6.1 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา 2.6.2 ข้อมูลเชิงปริมาณ หาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบความแตกต่าง ของค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมโดยใช้การวิเคราะห์ ความแปรปรวนร่วมพหุคูณ (One-Way MANCOVA) นิยามศัพท์เฉพาะ 1. รูปแบบการเรียนการสอน โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และแนวคิด ห้องเรียนกลับด้าน หมายถึง สภาพหรือลักษณะของการจัดการเรียนการสอนที่จัดขึ้นอย่างมีระบบ ระเบียบ มีแบบแผนตามหลักปรัชญา ทฤษฎี หลักการแนวคิด หรือความเชื่อต่างๆ ที่สามารถเชื่อมต่อ โดยรวมขององค์ความรู้ในเรื่องต่าง ๆ ให้นักเรียนเป็นผู้ค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง ผ่าน “เทคโนโลยี” ที่ครูจัดหาให้ก่อนเข้าชั้นเรียนและมาทำกิจกรรม มีครูคอยแนะนำในชั้นเรียนแทน ใช้เทคโนโลยีการเรียน การสอนที่ทันสมัย เรียนรู้ผ่านกิจกรรม ซึ่งทั้งสองส่วนนี้จะกระตุ้นให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ อย่างเต็มที่ ประกอบด้วย 9 องค์ประกอบ คือ 1) ที่มาของรูปแบบการเรียนการสอน 2) หลักการจัด การเรียนการสอน 3) วัตถุประสงค์ 4) ขั้นตอนการจัดการเรียนการสอน 5) การวัดและประเมินผล 6) ระบบสังคม 7) หลักการแสดงปฏิสัมพันธ์ 8) สิ่งสนับสนุนการสอน และ 9) ผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน โดยมีขั้นตอนการจัดการเรียนการสอน ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่


12 ขั้นที่ 1 ขั้นเตรียมความพร้อม (Preparing & Aggregating) ขั้นนี้เป็นการเตรียมความพร้อม จากการที่ให้นักเรียนไปศึกษาเนื้อหา ความรู้เรื่องที่จะเรียนมาก่อนล่วงหน้า พร้อมให้นักเรียนเตรียม ประเด็นคำถามจากการจดบันทึกผลการศึกษาก่อนล่วงหน้า ขั้นที่ 2 ขั้นจัดหมวดหมู่เนื้อหา (Introducing & Remixing)ขั้นนี้เป็นการชี้แจงให้ผู้เรียน ได้ทราบรายละเอียดของรายวิชา วัตถุประสงค์เนื้อหาการจัดกลุ่มผู้เรียน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน เป็นกลุ่ม ในเนื้อหาที่ได้ศึกษามาก่อนล่วงหน้า พร้อมตอบคำถามในประเด็นที่สงสัยจากการศึกษา เนื้อหามาก่อน ขั้นที่ 3 ขั้นจัดการเรียนการสอน (Processing & Repurposing) นักเรียนลงมือปฏิบัติ เสริมความเข้าใจ ผ่านกิจกรรมกลุ่ม กิจกรรมระดมสมอง เช่น การสอนที่เป็นภาคปฏิบัติโดยใช้หลัก การเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ โดยมีครูคอยให้คำแนะนำ ขั้นที่ 4 ขั้นประเมินผล (Evaluating) เป็นกิจกรรมการเรียนรู้โดยการประเมินผลตาม สภาพจริง พิจารณาจากผลงานและกระบวนการทำงาน จากพฤติกรรมของผู้เรียน ครูนำการอภิปราย โดยใช้คำถามเพื่อซักถามให้นักเรียนไปสู่ข้อสรุปเพื่อให้เกิดความรู้ในบทเนื้อหาที่เรียน ขั้นที่ 5 ขั้นแบ่งปันความรู้(Sharing) ให้ตัวแทนโชว์ผลงานและนำเสนอผลงานโดยอธิบาย เทคนิค วิธีการทำงานเพื่อแบ่งปันข้อมูลซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดความรู้ต่าง ๆ ความคิดและเทคนิค ในมุมมองต่าง ๆ 2. การจัดการเรียนรู้แบบปกติหมายถึง การจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียนปกติ โดยมีครูเป็น ผู้จัดการเรียนรู้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีขั้นตอนการเรียนรู้ตามคู่มือครูในหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่งประกอบด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้ 5ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ขั้นที่ 2 ขั้นสอน และขั้นที่ 3 ขั้นสรุป 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ หมายถึง ความสามารถของ นักเรียนในการเรียนรู้ วิชาการงานพื้นฐานอาชีพ ซึ่งสามารถวัดได้โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาการงานพื้นฐานอาชีพ มีลักษณะเป็นข้อสอบปรนัย 4 ตัวเลือก ที่ครอบคลุมลำดับขั้น การเรียนรู้ตามทฤษฎีการเรียนรู้ของ บลูม (Bloom’s Taxonomy) ได้แก่ ความจำ ความเข้าใจ การประยุกต์ใช้ คิดวิเคราะห์ การประเมินค่า และความคิดสร้างสรรค์ จำนวน 40 ข้อ ข้อจำกัดของการวิจัย จากการวิจัยครั้งนี้ กลุ่มทดลองซึ่งได้รับการสอนตามรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES นักเรียนได้ศึกษาเนื้อหาที่จะเรียนก่อนถึงคาบเรียนปกติและนักเรียนที่เรียนแบบปกติ ได้ทำแบบฝึกหัด


13 เพิ่มเติมนอกเวลาเรียนหลังจากที่เรียนเสร็จ ซึ่งเวลาที่นักเรียนใช้นอกเวลาคาบเรียนปกติของทั้งสองกลุ่ม ไม่สามารถควบคุมได้ ประโยชน์ที่ได้รับ การวิจัยเพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ และแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ครั้งนี้สามารถเอื้อประโยชน์ต่อการจัดการเรียนรู้และผู้เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1. นักเรียนได้พัฒนาความสามารถในด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีที่สามารถนำไปใช้ ในการเข้าถึงสารสนเทศ การใช้และจัดการสารสนเทศ การวิเคราะห์สื่อ การผลิตสื่ออย่างสร้างสรรค์ และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการเรียนรายวิชาต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2. ครูและผู้เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา สามารถนำต้นแบบรูปแบบการเรียนการสอน แบบ PIPESไปใช้กับวิชาอื่น ๆ และในระดับชั้นต่าง ๆ เพื่อพัฒนาทักษะการแสวงหาความรู้ โดยการสืบค้น จากผู้รู้และใช้เทคโนโลยีสารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551


15 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยเรื่อง การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ และแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และ งานวิจัยที่เกี่ยวกับรูปแบบการเรียนการสอน ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน นำมา สังเคราะห์เป็นกรอบแนวคิดในการวิจัยครั้งนี้ 1. ทักษะในศตวรรษที่ 21 1.1 แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับทักษะในศตวรรษที่21 2. ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้(Connectivism) 3. แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) 4. ทฤษฎีและแนวคิดเกี่ยวการออกแบบการเรียนการสอนและรูปแบบการเรียนการสอน 5. การประเมินรูปแบบการเรียนการสอน 6. แนวคิดเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนา 7. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 8. การวิเคราะห์หลักการเรียนรู้ตามทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ และหลักการตามแนวคิด ห้องเรียนกลับด้าน เพื่อนำมาวิเคราะห์หาหลักการร่วม ในการสร้างรูปแบบการเรียนการสอน 9. องค์ประกอบของตัวแปรตาม ทักษะในศตวรรษที่ 21 1. แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับทักษะในศตวรรษที่21 “ศตวรรษที่21” หรือ “The 21st Century” คือ ช่วงเวลาร้อยปีตั้งแต่ปีค.ศ. 2001 ถึงค.ศ. 2100 (พ.ศ. 2544 ถึง พ.ศ. 2643) ศตวรรษที่ 21 เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ของโลกในหลากหลายเรื่องราวจนกระทบต่อการทำงานและการใช้ชีวิตของพลโลกและก่อให้เกิดเสียง เรียกร้องให้เตรียมความพร้อมพลโลกของเรา เพื่อรองรับต่อการทำงานและการใช้ชีวิตในศตวรรษที่ 21 นี้ ประเทศที่ริเริ่มการเรียกร้องให้เตรียมความพร้อมพลเมืองสำหรับศตวรรษที่21 ขึ้นเป็นประเทศแรก ๆ ก็คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา (United States of America) โดยการเรียกร้องอย่างเป็นทางการเกิดขึ้น ในปีค.ศ. 2009 (พ.ศ. 2552) จากองค์กรความร่วมมือระหว่างบริษัทขนาดใหญ่องค์กรวิชาชีพระดับประเทศ และสำนักงานด้านการศึกษาของรัฐโดยเรียกตัวเองว่าภาคีเพื่อทักษะแห่งศตวรรษที่21 (Partnership for 21 st Century Skills) ที่แสดงเหตุผลสำคัญเพื่อรองรับการเรียกร้องดังกล่าวเคย์(Kay,2010: 28) สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ(2541: 12) ได้จัดตั้งองค์กรมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ และนวัตกรรมในการเรียนการสอนและการเรียนรู้โดยเข้าร่วมการเรียกร้องสำหรับการผสมผสานทักษะ ในศตวรรษที่21 เข้าไปในหลักสูตรตัวอย่างเช่น มาตรฐานการศึกษาวิทยาศาสตร์แห่งชาติความรู้ทาง


15 วิทยาศาสตร์ที่มีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นในการทำงาน ให้มากขึ้นและความต้องการทักษะขั้นสูงที่จำเป็น ต้องมีคนที่จะสามารถที่จะเรียนรู้เหตุผล คิดสร้างสรรค์การตัดสินใจและการแก้ปัญหา ความเข้าใจ ในวิทยาศาสตร์และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มีส่วนช่วยในวิธีที่จำเป็นในการทักษะเหล่านี้ประเทศ อื่น ๆ ที่มีการลงทุนอย่างมากในการสร้างทางวิทยาศาสตร์และกองกำลังในการทำงานความรู้ทางเทคนิค เพื่อให้ทันในโลกตลาดสหรัฐอเมริกาจะต้องมีพลเมืองที่มีความสามารถเท่าเทียมกัน วิจารณ์ พานิช(2555: 3) นำเสนอว่า ความสามารถในการทำงานมิได้ขึ้นกับรู้มากหรือ รู้น้อย แต่ขึ้นกับทักษะการเรียนรู้พร้อมเรียนรู้ใฝ่เรียนรู้อยากเรียนรู้สนุกกับการเรียนรู้เรียนรู้ได้ ตลอดเวลาจากทุกสถานที่มีทักษะชีวิตที่ดีปรับตัวได้ทุกครั้งเมื่อพบอุปสรรคยืดหยุ่นตัวเองได้ทุกรูปแบบ เมื่อพบปัญหาชีวิต นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งเป็นปรากฏการณ์ใหม่ แห่งศตวรรษที่21 วิจารณ์พานิช (2555: 7) กล่าวว่า “การศึกษาที่ถูกต้องสำหรับศตวรรษใหม่ต้องเรียน ให้บรรลุทักษะคือ ทำได้ต้องเรียนเลยจากรู้วิชาไปสู่ทักษะในการใช้วิชาเพื่อการดำรงชีวิตในโลกแห่ง ความเป็นจริง การเรียนจึงต้องเน้นเรียนโดยการลงมือทำหรือการฝึกฝนนั่นเอง และคนเราต้องฝึกฝน ทักษะต่างๆ ที่จำเป็นตลอดชีวิต”เครื่องมือเสริมสร้างทักษะแห่งศตวรรษที่21 จึงเป็นเครื่องมือสำคัญ ในการยกระดับการเรียนรู้ร่วมกันของทั้งผู้บริหารการศึกษา ครูและผู้เรียนบนฐานคิด “กระบวนการ เรียนรู้สำคัญกว่าความรู้” และ “กระบวนการหาคำตอบสำคัญกว่าคำตอบ” โดยใช้ฐานคิด “ทักษะ แห่งศตวรรษที่21” (21st Century Skills) เพื่อรองรับความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะ เกิดขึ้นกับประเทศไทยในศตวรรษที่ 21 การยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาและส่งเสริมการผลิต กำลังคนที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีเศรษฐกิจโลกในศตวรรษที่ 21 โดยอยู่บนพื้นฐาน ความเป็นไทยและฐานคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อให้เข้าใจตัวตนความเป็นไทยอย่างเข้มแข็ง ก่อนเข้าสู่เวทีประชาคมอาเซียนอย่างยั่งยืน ดังนั้นการสร้างเครื่องมือเสริมสร้างทักษะแห่งศตวรรษที่21 จึงได้ถูกสร้างขึ้นผ่านฐานปรัชญาความคิดและกระบวนการทางการวิจัย เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กไทย ให้บรรลุ“ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21” (21st Century Skills) ที่เน้นทักษะการใช้ชีวิตและการเรียนรู้ ตลอดชีวิตซึ่งจะมีครูมีบทบาทหน้าที่เป็นผู้แนะนำและทำโครงการการเรียนรู้ร่วมกันกับเด็กซึ่งเด็กจะได้ ทั้งความสนุกสนานและแนวทางการคิดและสร้างองค์ความรู้ร่วม ทั้งนวัตกรรมต่างๆ จากความคิดที่ เปิดกว้างจากครูที่เป็นผู้เปิดโลกทัศน์นั้นให้เด็ก เพราะเครื่องมือเป็นเพียงตัวช่วยนำทางให้ครูเท่านั้น แต่ “ความสำเร็จในการเรียนรู้ไม่ได้อยู่ที่เครื่องมือ หากอยู่ที่การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้สร้างสรรค์ องค์ความรู้ด้วยตนเอง” ฮันซาเกอร์ (Hunsaker, 2006: 25) นำเสนอว่า ประสิทธิภาพของความคิดสร้างสรรค์ ระดับชาติและระหว่างประเทศที่ขยายและเสริมสร้างหลักสูตรของโรงเรียนยังเป็นเป้าหมายของโปรแกรม การพัฒนาของหลักการทักษะศตวรรษที่ 21 ตัวอย่างเช่น ภารกิจที่ระบุไว้ในอนาคตการแก้ปัญหา


16 หลักสูตรนานาชาติ(FPSPI) คือ การพัฒนาความสามารถของคนหนุ่มสาวทั่วโลกในการออกแบบและ การส่งเสริมใช้ความคิดสร้างสรรค์ในอนาคต ผ่านการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ของ ปัญหาโลกแห่งความจริง ฮาร์ดี่ (Hardy, 2007: 20) นำเสนอว่า ภาคีเพื่อทักษะศตวรรษที่21 ที่มีบริษัทสมาชิก รวมที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา เช่น แอปเปิ้ล, Microsoft, และ McGraw-Hill Education ได้วางแผน 6 จุด แบบครบวงจรสำหรับวิสัยทัศน์ร่วมกันสำหรับการเรียนรู้ในศตวรรษที่21 ซึ่งจะรวมถึงวิชาหลัก เนื้อหาศตวรรษที่ 21 เช่น การรับรู้ทั่วโลกและความรู้พลเมือง การเรียนรู้และทักษะการคิด เช่น ความคิด สร้างสรรค์การติดต่อสื่อสารและการเรียนรู้บริบท การรู้ไอซีทีทักษะชีวิต เช่น ความเป็นผู้นำ มีจริยธรรม และความรับผิดชอบทางสังคม และการประเมินผลที่สามารถวัดสิ่งที่ชอบคิดและทักษะชีวิต โจ๊ก และ นาตารี (Joke & Natalie,2010: 5) กล่าวว่า ภาคีเพื่อทักษะในศตวรรษที่21 Partnership for 21st Century Skills หรือ (P21) พัฒนาขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยมีเป้าหมาย ในการวางตำแหน่งทักษะในศตวรรษที่21 ที่ศูนย์การศึกษาK12 ภาคีเพื่อทักษะในศตวรรษที่21 เป็น องค์กรระดับชาติที่เกิดขึ้นในปีคศ.2001 ด้วยการสนับสนุนของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและหลายองค์กร จากภาคเอกชน (เช่น Apple Computer, Cisco Systems, Dell Computer Corporation, Microsoft Corporation, National Education Association เป็นต้น) สรุปได้ว่า การเรียนการสอนและการประเมิน ทักษะศตวรรษที่21 (Assessment and Teaching of 21st Century Skills, ATCS ) ถูกพัฒนาเป็น ส่วนหนึ่งของโครงการระหว่างประเทศการสนับสนุนจากซิสโก้(Cisco), อินเทล(Intel) และไมโครซอฟท์ (Microsoft) โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการให้คำจำกัดความของการดำเนินงานที่ชัดเจนของทักษะ ในศตวรรษที่21 สำหรับการออกแบบนวัตกรรม การประเมินผลงานเพื่อนำไปใช้ในห้องเรียน การเรียนรู้จากปัญหาเป็นววิธีการที่ดีที่สุดในการพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 เขาอธิบาย ว่าวิธีที่ครูจะสามารถปรับเปลี่ยนหลักสูตรจากวิธีที่สอนอยู่ฝ่ายเดียวไปสู่การสอนที่เปิดให้นักเรียนมีส่วน ร่วมในการแก้ไขปัญหาและตั้งคำถาม การสืบค้นปัญหาสามารถปรับใช้กับนักเรียนทุกวัย ทุกระดับ ความสามารถ และที่มีปัญหาในการเรียนทุกรูปแบบ (วรพจน์วงศ์กิจรุ่งเรือง และ อธิป จิตตฤกษ์, 2554: 273-300) ความท้าทายสำคัญ 4 ประการในศตวรรษที่ 21 ซึ่งได้แก่ 1) การพึ่งพากันในระดับที่มากขึ้น 2) จำนวนประเทศประชาธิปไตยที่เพิ่มขึ้น 3) ความต้องการผู้ประกอบการที่มีหัวสร้างสรรค์4) ความสำคัญ ของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่มีต่อการพัฒนาอัตลักษณ์ส่วนบุคคล ทั้งสองอภิปรายว่า เหตุใดการเรียนรู้ แบบร่วมมือการพิพาทเชิงสร้างสรรค์และการต่อรองเพื่อแก้ปัญหา จึงมีบทบาทอย่างยิ่งในการสอนนักเรียน ให้มีความสามารถและคุณค่าที่จำเป็นต่อการรับมือเพื่อนำไปสู่ชีวิตที่สร้างสรรค์และสมบูรณ์(วรพจน์ วงศ์กิจรุ่งเรือง และ อธิป จิตตฤกษ์, 2554: 302-328;อ้างอิงจาก David & Roger, 2009) นวัตกรรมที่สำคัญของการเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ 21 ได้แก่การทำให้เห็นภาพการทำความรู้ ให้เป็นประชาธิปไตยและวัฒนธรรมการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ฟิชเชอร์และ เฟรย์(Fisher & Frey,


17 2008: 32-37) ให้ความเห็นว่า การเตรียมนักเรียนให้เชี่ยวชาญทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 มีวิธีการสามอย่าง ที่ครูสามารถใช้รับมือกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างสุดขั้วและความต้องการของ นักเรียนในศตวรรษที่ 21 วิธีดังกล่าว ได้แก่ 1) การพิจารณาหน้าที่การใช้งานมากกว่าตัวเครื่องมือ 2) การทบทวนนโยบายด้านเทคโนโลยีและ3) การพัฒนาความคิดของนักเรียนผ่านการสอนอย่างจงใจ มากกว่า 1 สาขาได้และมีทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมทักษะเทคโนโลยี สารสนเทศ และทักษะชีวิตและการทำงาน โดยทั้งหมดจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยระบบสนับสนุนจำเป็น ระบบมาตรฐานและการประเมิน ระบบหลักสูตรและการสอน ระบบการพัฒนาทางวิชาชีพ และระบบ สภาพแวดล้อมการเรียนรู้โดยระบบสนับสนุนที่สำคัญอันหนึ่ง ก็คือ ระบบมาตรฐานและการประเมิน (วรพจน์วงศ์กิจรุ่งเรือง และ อธิป จิตตฤกษ์, 2554: 356-357;อ้างอิงจาก Cheryl, 2008) 2. องค์ประกอบของทักษะในศตวรรษที่21 วิจารณ์ พานิช (2555: 16-21) ได้กล่าวถึง ทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 ดังนี้ สาระวิชาหลัก(Core Subjects) ประกอบด้วย ภาษาแม่และภาษาสำคัญของโลกศิลปะ คณิตศาสตร์การปกครองและหน้าที่พลเมือง เศรษฐศาสตร์วิทยาศาสตร์ภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์ โดยวิชาแกนหลักนี้จะนำมาสู่การกำหนดเป็นกรอบแนวคิดและยุทธศาสตร์สำคัญต่อการจัดการเรียนรู้ ในเนื้อหาเชิงสหวิทยาการ (Interdisciplinary) หรือหัวข้อสำหรับศตวรรษที่ 21 โดยการส่งเสริมความเข้าใจ ในเนื้อหาวิชาแกนหลักและสอดแทรกทักษะแห่งศตวรรษที่21 เข้าไปในทุกวิชาแกนหลักดังนี้ ทักษะในศตวรรษที่21 (21st Century Skills) ประกอบด้วยความรู้เกี่ยวกับโลก (Global Awareness)ความรู้เกี่ยวกับการเงิน เศรษฐศาสตร์ธุรกิจและการเป็นผู้ประกอบการ (Financial, Economics, Business and Entrepreneurial Literacy) ความรู้ด้านการเป็นพลเมืองที่ดี(Civic Literacy)ความรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม (EnvironmentalLiteracy) ทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรม จะเป็นตัวกำหนดความพร้อมของผู้เรียนเข้าสู่โลกการทำงานที่มี ความซับซ้อนมากขึ้นในปัจจุบัน ได้แก่ความริเริ่มสร้างสรรค์และนวัตกรรมการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการแก้ปัญหาการสื่อสารและการร่วมมือเนื่องด้วยในปัจจุบันมีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านทาง สื่อและเทคโนโลยีมากมายผู้เรียนจึงต้องมีความสามารถในการแสดงทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และปฏิบัติงานได้หลากหลาย โดยอาศัยความรู้ในหลายด้าน ได้แก่ ความรู้ด้านสารสนเทศความรู้ เกี่ยวกับสื่อ ความรู้ด้านเทคโนโลยี ทักษะด้านชีวิตและอาชีพ การดำรงชีวิตและทำงานในยุคปัจจุบันให้ประสบความสำเร็จ นักเรียนจะต้องพัฒนาทักษะชีวิตที่สำคัญได้แก่ความยืดหยุ่นและการปรับตัวการริเริ่มสร้างสรรค์และ เป็นตัวของตัวเอง ทักษะสังคมและสังคมข้ามวัฒนธรรม การเป็นผู้สร้างหรือผู้ผลิต (Productivity)


18 และความรับผิดชอบเชื่อถือได้(Accountability) ภาวะผู้นำและความรับผิดชอบ (Responsibility) ทักษะของคนในศตวรรษที่21 ที่ทุกคนจะต้องเรียนรู้ตลอดชีวิตคือการเรียนรู้3R x 7C 3R คือ Reading (อ่านออก), (W) Riting (เขียนได้), และ (A) Rithemetics (คิดเลขเป็น) 7C ได้แก่ Critical Thinking and Problem Solving (ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและทักษะในการแก้ปัญหา) Creativity and Innovation (ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม) Cross-cultural Understanding (ทักษะด้านความเข้าใจความต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์) Collaboration, Teamwork and Leadership (ทักษะด้านความร่วมมือการทำงานเป็นทีม และภาวะผู้นำ) Communications, Information, and Media Literacy (ทักษะด้านการสื่อสารสารสนเทศและรู้เท่าทันสื่อ) Computing and ICT Literacy (ทักษะด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร) Career and Learning Skills (ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้) การเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ 21 (21st Century Learning) เป็นวลีคำกล่าว (Phrase) ที่กลายมาเป็นส่วนสำคัญต่อการวิเคราะห์และอภิปรายกันอย่างกว้างขวางของสังคมรอบด้าน ซึ่งได้ถูก กำหนดให้เป็นยุทธศาสตร์การทำงานเพื่อการจัดการศึกษาเรียนรู้ในยุคใหม่นี้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ต่อการจัดการเรียนรู้และในขณะเดียวกันนั้น ทักษะแห่งศตวรรษที่21 (21st Century Skills) ก็กลายเป็น ยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญที่นักการศึกษาหลากหลายฝ่ายต่างร่วมกันวิจัยเพื่อสร้างเป็นรูปแบบและ นำเสนอแนวปฏิบัติต่อการเสริมสร้างประสิทธิภาพของการจัดการศึกษาเรียนรู้ให้เกิดขึ้นเช่นกัน (วิจารณ์ พานิช, 2555: 16-21; อ้างอิงจาก Mishra & Kereluik,2011) ดังนั้นการสร้างทักษะเพื่อการเรียนรู้ ในศตวรรษที่21 จึงเป็นลักษณะของการศึกษาวิจัยในเชิงบูรณาการเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพแห่ง องค์ความรู้ทักษะ ความเชี่ยวชาญและสมรรถนะให้เกิดกับผู้เรียน เพื่อประสิทธิภาพของการเรียนรู้ สำหรับการดำรงชีพในสังคมแห่งความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เป็นการกำหนดแนวทางยุทธศาสตร์ในการจัดการเรียนรู้ โดยร่วมกันสร้างรูปแบบและแนวปฏิบัติในการเสริมสร้างประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษ ที่21โดยเน้นที่องค์ความรู้ทักษะความเชี่ยวชาญและสมรรถนะที่เกิดกับตัวผู้เรียน เพื่อใช้ในการดำรงชีวิต ในสังคมแห่งความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน โดยจะอ้างถึงรูปแบบ (Model) ที่พัฒนามาจากเครือข่าย องค์กรความร่วมมือเพื่อทักษะแห่งการเรียนรู้ในศตวรรษที่21 (Partnership For 21stCentury Skills) ที่มีชื่อย่อว่า เครือข่าย P21 ซึ่งได้พัฒนากรอบแนวคิดเพื่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยผสมผสาน องค์ความรู้ทักษะเฉพาะด้าน ความชำนาญการและความรู้เท่าทันด้านต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เพื่อความสำเร็จ ของผู้เรียนทั้งด้านการทำงานและการดำเนินชีวิต สุขุม เฉลยทรัพย์และคณะ (2554: 28) ได้กล่าวถึง แนวคิดสำคัญในศตวรรษที่ 21 ที่นักศึกษาจำเป็นจะต้องทราบและมีความรู้พื้นฐานเหล่านี้เป็นพื้นฐาน เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพ ได้อย่างมี“สัมมาชีพ” เป็นพลเมืองที่ดีของสังคมและมีความสุขในชีวิตคือ


19 จิตสำนึกต่อโลก คือ ความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อมและโลกใบนี้โดยจะต้องมี ความรู้และมีแนวคิดในการดำรงชีวิตที่ถูกต้อง มีจิตสำนึกต่อโลก มีคุณธรรมจริยธรรม มีจิตอาสา รักษาสิ่งแวดล้อม เป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม รวมถึงความสามารถที่จะต้องเรียนรู้ และทำงานรวมกับคนจากวัฒนธรรมที่หลากหลาย และสามารถสื่อสารด้วยภาษาต่างประเทศได้ ความรู้พื้นฐานด้านการเงิน เศรษฐกิจ ธุรกิจ และการเป็นผู้ประกอบการ คือ ทักษะใหม่ที่จำเป็น เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากทางด้านเศรษฐกิจ เช่น จะต้องมีการวางแผนการออมและการลงทุน หลังเกษียณของตนเอง วิกฤตการณ์ที่เพิ่งขึ้นในภาคธนาคาร ธุรกิจสินเชื่อ และการจำนอง รวมถึง ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่มีผลกระทบในหลาย ๆ ประเทศ เป็นการตอกย้ำความสำคัญ ของความรู้ความเข้าใจว่า พลังทางเศรษฐกิจมีผลต่อชีวิตของผู้คนมากมายเพียงใดการตัดสินผิดพลาด ทางด้านการเงินอาจจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้ซึ่งในการทำงานนั้นจะต้องเรียนรู้ว่าจะปรับตัว และทำประโยชน์ให้กับองค์กรได้อย่างไร และต้องรู้จักนำวิธีคิดแบบผู้ประกอบการมาใช้ในชีวิตเมื่อตระหนัก ถึงโอกาส ความเสี่ยง และรางวัลแล้ว จะสามารถเพิ่มผลงาน เพิ่มทางเลือกในอาชีพ และจัดการกับ สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างสุขุม ความรู้พื้นฐานด้านพลเมือง คือ ความรู้เกี่ยวกับกฎหมาย สิทธิและหน้าที่ของการเป็น พลเมืองที่ดีเพื่อที่จะได้ปฏิบัติตามสิทธิและหน้าที่ของตนเอง ไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่นและไม่ขัดต่อ กฎหมายบ้านเมือง ความรู้พื้นฐานด้านสุขภาพ คือ ความรู้เกี่ยวกับสุขอนามัยเพื่อจะได้มีสุขภาพที่แข็งแรง ทำให้ดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างปกติสุขซึ่งควรมีความรู้เกี่ยวกับการรับประทานอาหารการออกกำลังกาย การมีอารมณ์ที่แจ่มใสเบิกบาน และการพักผ่อนนอนหลับ เป็นต้น ความรู้พื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อม คือความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ลักษณะภูมิอากาศ ภูมิประเทศ ภาวะโลกร้อน ภัยพิบัติทางธรรมชาติและการรักษาสิ่งแวดล้อมทักษะการเรียนรู้ และ นวัตกรรมทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมเป็นพื้นฐานที่มีความจำเป็นในการทำงานในอนาคต ซึ่งประกอบด้วย ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม คือการคิดนอกรอบ มีการใช้จินตนาการสร้างสรรค์ นวัตกรรมขึ้นมาตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือสตีฟ จ็อบส์(Steve Jobs) ผู้ที่เป็นตำนานของการใช้ ความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนานวัตกรรมของ Apple การคิดเชิงวิพากษ์และการแก้ไขปัญหา คือความสามารถในการคิดเชิงวิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์และสามารถคิดแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ซึ่งในอนาคตนักศึกษาจำเป็นที่จะต้องมีทักษะ การคิดหรือลักษณะจิต 5 ประการ (วรพจน์วงศ์กิจรุ่งเรือง และ อธิป จิตตฤกษ์, 2554: 56-84; อ้างอิงจาก Howard Gardner,2006) ดังนี้1)จิตเชี่ยวชาญ (Discipline Mind)2) จิตสังเคราะห์


20 (Synthesizing Mind) 3) จิตสร้างสรรค์(Creative Mind) 4) จิตเคารพ (Respect Mind) และ 5) จิตรู้จริยธรรม (Ethical Mind) ซึ่งทั้ง5 ลักษณะจิตจำเป็นต้องรับการฝึกฝนและขัดเกลาอย่างต่อเนื่อง ทฤษฎีการเชื่อมโยง (Connectivism) บุคคลสำคัญที่นำเสนอแนวคิดการเชื่อมโยงนิยม (Connectivism) คนแรก คือ ซีเมนส์ (Siemens, 2004: 15) เป็นผู้อำนวยการร่วมของศูนย์การเรียนรู้เทคโนโลยีที่มหาวิทยาลัยแมนิโทบา ซึ่งได้ทำงานร่วมกับผู้เรียนและศึกษาสภาพแวดล้อมออนไลน์ในการจัดการการเรียนรู้ตลอดจน การเชื่อมโยงความรู้ (Connectivism) เป็นทฤษฎีการเรียนรู้สำหรับยุคดิจิตอล เพื่อสนับสนุนทฤษฎี พฤติกรรมนิยม, พุทธิปัญญานิยม และเสริมทฤษฎีการสร้างความรู้ และต่อมาได้ร่วมกับ สตีเฟน ดาวเนส (Stephen Downes) ซึ่งเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบการเรียนออนไลน์ของสภาวิจัยแห่งชาติ สถาบันเทคโนโลยี สารสนเทศในมองก์ตัน, นิวบรันสวิก ประเทศแคนาดา ดาวน์ส ได้ศึกษาความเชื่อมโยงและปฏิบัติสัมพันธ์ ของเนื้อหาหรือความรู้ออนไลน์ ในการเชื่อมต่อภายในเครือข่าย ดาวเนส(Downes, 2005: 1) มีรายละเอียด สำคัญดังนี้ 1. ความหมายของการเชื่อมโยงนิยม ถนอมพร เลาหจรัสแสง (2541: 63) กล่าวว่า การเรียนรู้เกิดขึ้นจากการสร้างการเชื่อมโยง เพื่อการพัฒนาเป็นเครือข่าย (Network) โดยมองว่า ทฤษฎีการเรียนรู้ในยุคเดิม ๆ ไม่สามารถตอบสนอง วิธีการเรียนรู้ของเยาวชนในยุคดิจิตัลได้ ท่ามกลางการพัฒนาของเทคโนโลยีต่างๆ ที่มีอยู่รอบตัว เช่น โทรศัพท์มือถือ กล้องดิจิตัลไอพอด เครื่องเล่นดีวีดี คอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊ค อินเทอร์เน็ต ฯลฯ ซึ่งเยาวชน ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีต่าง ๆ เหล่านั้น การเรียนรู้ภายใต้แนวคิดการเชื่อมโยงนิยมเกิดขึ้น จากการตัดสินใจของผู้เรียนที่จะเลือกสรรทรัพยากรการเรียนรู้ต่างๆ ซึ่งอยู่รอบตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่อยู่ในโลกออนไลน์นั้นมาคัดกรองและทำให้ทรัพยากรการเรียนรู้ต่าง ๆ เหล่านั้น มีความหมายสำหรับ ตัวเอง ซีเมนส์ (Siemens, 2004: 6) กล่าวว่า จุดเริ่มต้นสำหรับการเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อความรู้ จะทำงานผ่านกระบวนการของการเรียน การเชื่อมต่อและป้อนข้อมูลเข้าไปในชุมชนการจัดการการเรียนรู้ ชุมชนเป็นกลุ่มของพื้นที่ที่คล้ายกันที่สนใจเหมือนกัน ช่วยให้มีการปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน ร่วมพูดคุยและ การคิดร่วมกัน ตลอดจนบูรณาการหลักการของการสำรวจ ความวุ่นวายของเครือข่ายที่ซับซ้อนและ ทฤษฎีการจัดระบบตนเอง เกรดเลอร์ (Gredier, 2005: 29) ได้กล่าวถึง แนวคิดการเชื่อมโยงนิยมว่า เป็นทฤษฎี การเรียนรู้สำหรับยุคดิจิตอลเป็นการบูรณาการโดยใช้หลักการความวุ่นวายของเครือข่ายที่ซับซ้อนและ


21 ทฤษฎีองค์กรการเรียนรู้เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในสภาพแวดล้อมที่คลุมเครือภายใต้การควบคุม ของบุคคล การจัดการการเรียนรู้ที่อยู่นอกตัวเอง (ภายในองค์กรหรือฐานข้อมูล) คือ เน้นการเชื่อมต่อ ชุดข้อมูลเฉพาะและการเชื่อมต่อที่ช่วยให้เราเรียนรู้เพิ่มเติมให้มีความสำคัญมากกว่าที่เรารู้ในปัจจุบัน ดาวเนส (Downes, 2005: 19-39) กล่าวว่า การเรียนรู้ตามแนวทางของแนวคิด การเชื่อมโยงนิยม คือ ชุมชนการเรียนรู้ที่เป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ที่มีจุดเชื่อมโยงจากจุดเชื่อมต่อที่พบ ในเครือข่าย เครือข่าย ประกอบด้วย สองหรือมากกว่าหนึ่งจุดเชื่อมโยงเพื่อให้คุลากรสามารถใช้ทรัพยากร ร่วมกัน แต่ละจุดเชื่อมโยงอาจจะแตกต่างกันขนาดและความแข็งแกร่งขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของข้อมูล และจำนวนของบุคคลที่กำลังนำทาง แบกกาเลย์ (Baggaley, 2012: 117-123) กล่าวว่า เป็นทฤษฎีที่เหมาะสมสำหรับเรียนรู้ ยุคดิจิทัล โดยทั่วไปแสดงให้เห็นว่าแนวคิดการเชื่อมโยงนิยม ช่วยทำให้ครูและนักเรียนที่ติดต่อสื่อสาร กันผ่านสังคมเครือข่ายมีปฏิสัมพันธ์กันโดยตรงและบ่อยขึ้น สรุปได้ว่า เป็นทฤษฎีการเรียนรู้สำหรับยุคดิจิตอลเน้นการเชื่อมต่อชุดข้อมูลเฉพาะและ การเชื่อมต่อที่ช่วยให้เราเรียนรู้เพิ่มเติมได้ มีความสำคัญมากกว่าที่เรารู้ในปัจจุบัน การเชื่อมต่อช่วยป้อน ข้อมูลเข้าไปในชุมชนที่คล้ายกัน สนใจเหมือนกัน ช่วยให้มีการปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน บุคลากรสามารถใช้ ทรัพยากรร่วมกัน ช่วยทำให้ครูและนักเรียนที่ติดต่อสื่อสารกันผ่านสังคมเครือข่าย มีปฏิสัมพันธ์กัน โดยตรงและบ่อยขึ้น การเรียนรู้ภายใต้แนวคิดการเชื่อมโยงนิยมเกิดขึ้นจากการตัดสินใจของผู้เรียน ที่จะเลือกสรรทรัพยากรการเรียนรู้ต่าง ๆ ซึ่งอยู่รอบตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อยู่ในโลกออนไลน์นั้น มาคัดกรองและทำให้ทรัพยากรการเรียนรู้ต่างๆ เหล่านั้น มีความหมายสำหรับตัวเอง 2. ความเป็นมาของแนวคิดการเชื่อมโยงนิยม แนวคิดการเชื่อมโยงนิยม มีรากฐานแนวคิดมาจาก วีกอดสกี (Vygotsky: Activity Theory) และ แบนดูรา (Bandura: Social Cognitive Learning Theory) ที่เน้นทฤษฎีสังคมและ วัฒนธรรมว่า เป็นส่วนหนึ่งที่จะส่งเสริมความฉลาดและกระบวนการเรียนรู้ในพัฒนาการของมนุษย์ โดยผ่านปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบ ๆ ตัว อยู่เสมอ จอร์จ ซีเมนศ์ และ สตีเฟน ดาวเนส (Siemens: 2004: 6; Downes, 2005: 19-39) คือ เจ้าของแนวคิด ซึ่งแนวคิดนี้มุ่งเน้นไปที่ความรู้ รอบตัวมากกว่าความรู้ที่อยู่ในตัวบุคคลซึ่งมองการจัดการเรียนรู้แยกส่วนว่า การสอน คือ การทำเป็น แบบอย่างและการสาธิตแสดงให้เห็น ส่วนการเรียน คือ การฝึกปฏิบัติและการสะท้อนความคิด มีการให้ ความหมายว่า เป็นแนวคิดการเรียนรู้ในยุคดิจิตอล เป็นแนวคิดที่เกิดมาจากความก้าวหน้าของอินเทอร์เน็ต ซึ่งเน้นการเรียนรู้ตลอดชีวิต เป็นแนวคิดการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล ซีเมนส์ (Siemens, 2004: 23) มีความคิดเห็นว่า ทฤษฎีการเรียนรู้ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เป็นทฤษฎีที่เกิดขึ้นก่อนยุคดิจิตัล ซึ่งดิจิตัลยังไม่มีบทบาทต่อชีวิตมนุษย์เราเช่นทุกวันนี้ แนวคิด


22 การเชื่อมโยงนิยมจึงเป็นแนวคิดเชิงทฤษฎีการเรียนรู้ที่เหมาะสมในการอธิบายการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น ในยุคดิจิตัล Siemens อธิบายว่า Connectivism เป็นแนวคิดที่รองรับความรู้ที่มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลง จากการคิดค้นสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในทุกวัน ทำให้ความรู้ที่มีอยู่นั้นมีอายุการใช้งานที่สั้นลง ความรู้ที่ทันสมัยในปัจจุบันกลายเป็นความรู้ที่ล้าสมัยในเวลาอันรวดเร็ว เนื่องจากเทคโนโลยีมีการพัฒนา เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงทำให้คนเรามีความจำเป็นที่จะต้องมีการเรียนรู้ตลอดชีวิต องค์ความรู้ที่มี การวิวัฒนาการอยู่ตลอดเวลา ข้อมูลข่าวสารที่มีจำนวนมากมหาศาล ทำให้ไม่สามารถจะมีการเรียนรู้ เฉพาะในห้องเรียนได้ตลอดไป มนุษย์มีความจำเป็นที่จะต้องปรับตัวในการดำรงชีวิตให้มีความสอดคล้อง กับสังคมที่เปลี่ยนไป และมีความรู้ที่ทันกับกาลเวลา และยุคสมัยเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร บุปผชาติ ทัฬหิกรณ์ (2551: 64) ได้กล่าวถึง แนวคิดการเชื่อมโยงนิยมว่า เป็นวิวัฒนาการ ของทฤษฎีการจัดการการเรียนรู้จากพฤติกรรมนิยม ปัญญานิยมคอนสตรัคติวิสต์ (Constructivism) และคอนเนคติวิสต์ (Connectivism) ชไวเออร์ (Schwier, 2007: 19) ซึ่ง จอร์จ ซีเมนส์ (George Siemens) ได้วิเคราะห์และให้ความเห็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับทฤษฎีการจัดการการเรียนรู้โดยนำเสนอว่า ทฤษฎีกลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ระบุว่าความรู้เป็นเสมือนวัตถุ ซึ่งสามารถครอบครองได้โดยใช้ กระบวนการกระตุ้นด้วยสิ่งเร้า เพื่อให้เกิดการลงมือปฏิบัติ ในขณะที่พุทธิปัญญา (Cognitivism) ระบุว่า การเรียนรู้ของมนุษย์คล้ายกับกระบวนการทำงานของคอมพิวเตอร์แอนเดอร์สัน และคณะ(Anderson et al, 2011: 922) ขณะที่ทฤษฎีสร้างสรรค์ (Constructivism) มองว่า ความรู้ของมนุษย์ถูกสร้าง โดยผ่านประสบการณ์ของเขาเอง โดยทั้งทฤษฎีพฤติกรรมการเรียนรู้และพุทธิปัญญา มองว่าความรู้ คือ สิ่งที่อยู่ภายนอกของมนุษย์และกระบวนการเรียนรู้เกิดขึ้นภายในตัวมนุษย์เพื่อเติมเต็มภาชนะเก็บ ความรู้ ทฤษฎีการสร้างสรรค์ไม่ได้คิดว่ามนุษย์เป็นภาชนะที่ว่างเปล่าที่ต้องถูกเติมเต็มด้วยความรู้ แต่มี ความพยายามที่จะสร้างความรู้ขึ้นมาเอง โดยเห็นว่าในโลกของความเป็นจริงนั้นค่อนข้างยุ่งเหยิง การจัด รูปแบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง ตามแนวคิดการเชื่อมโยงนิยม เป็นการเตรียมผู้เรียนให้พร้อมสำหรับการเรียนรู้ ตลอดแสง, ชีวิต


23 ภาพที่ 1 วิวัฒนาการของทฤษฎีการจัดการการเรียนรู้จากพฤติกรรมนิยม ปัญญานิยม คอนสตรัคติวิสต์ และ คอนเนคติวิสต์ 1. ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) อธิบายการเรียนรู้ว่า เกิดจากสิ่งเร้า การตอบสนอง และผลป้อนกลับเป็นสำคัญ 2. ทฤษฎีปัญญานิยม (Cognitivism) อธิบายการเรียนรู้ว่า เกิดจากการนำเข้าข้อมูล ประมวลผลเข้ารหัสหรือจัดเก็บในรูปแบบที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ 3. ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ (Constructivism) อธิบายการเรียนรู้ว่าเกิดจากประสบการณ์ ในการสร้างความรู้จากการลงมือกระทำกิจกรรมต่างๆ ที่ได้รับการออกแบบไว้ล่วงหน้า 4. แนวคิดการเชื่อมโยงนิยม (Connectivism) อธิบายว่า การเรียนรู้เกิดขึ้นจากการสร้าง การเชื่อมโยงความรู้เข้าด้วยกัน จนพัฒนาเป็นเครือข่าย ซึ่งทฤษฎีการเรียนรู้ในยุคเดิม ๆ ไม่สามารถ ตอบสนองวิธีการเรียนรู้ของเยาวชนในยุคดิจิตัลได้ ซึ่งเยาวชนใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนรู้ผ่านเทคโนโลยี ต่าง ๆ เหล่านั้น และการเรียนรู้เกิดขึ้นจากการสร้างการเชื่อมโยงเพื่อการพัฒนาเป็นเครือข่ายและ การเรียนรู้ภายใต้แนวคิดการเชื่อมโยงนิยม เกิดขึ้นจากการตัดสินใจของผู้เรียนที่จะเลือกสรรทรัพยากร การเรียนรู้ต่าง ๆ ซึ่งอยู่รอบตัว มาคัดกรอง และทำให้ทรัพยากรการเรียนรู้ต่าง ๆ เหล่านั้น มีความหมาย สำหรับตัวเอง สรุปได้ว่า แนวคิดการเชื่อมโยงนิยม เป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นไปที่ความรู้รอบตัวมากกว่าความรู้ ที่อยู่ในตัวบุคคล เป็นแนวคิดที่รองรับความรู้ที่มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงจากการค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น อย่างรวดเร็วในทุกวัน ซึ่งความรู้ส่วนมากในปัจจุบันอยู่บนฐานข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 3. แนวคิดการเชื่อมโยงนิยมกับการจัดการการเรียนรู้ บราวน์ (Brown, 2002: 10-20) ศึกษาเกี่ยวกับแนวคิดการเชื่อมโยงนิยม พบว่ามีความสัมพันธ์ กับการเกิดการเรียนรู้ ดังนี้ 1. การเรียนรู้เกิดขึ้นจากการสร้างการเชื่อมโยงเพื่อการพัฒนาเป็นเครือข่าย 2. การเรียนรู้เกิดขึ้นโดยมองว่า ทฤษฎีการเรียนรู้ในยุคเดิม ๆ ไม่สามารถตอบสนอง วิธีการเรียนรู้ของเยาวชนในยุคดิจิตัลได้ ท่ามกลางการพัฒนาของเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว เช่น โทรศัพท์มือถือ กล้องดิจิตัล ไอพอด ไอแพด เครื่องเล่นดีวีดี คอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊ค อินเทอร์เน็ต ฯลฯ ซึ่งเยาวชนใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีต่างๆ เหล่านั้น 3. การเรียนรู้ภายใต้ แนวคิดการเชื่อมโยงนิยม (Connectivism) เกิดขึ้นจากการตัดสินใจ ของผู้เรียนที่จะเลือกสรรทรัพยากรการเรียนรู้ต่าง ๆ ซึ่งอยู่รอบตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อยู่ในโลก ออนไลน์นั้นมาคัดกรอง และทำให้ทรัพยากรการเรียนรู้ต่างๆ มีความหมายสำหรับตัวเอง


24 4. การเรียนรู้จำเป็นต้องเกิดจากการเชื่อมโยงกับสังคม คนรอบตัว และการสร้างเครือข่าย เมื่อใดที่ข้อมูลสารสนเทศ ความคิดเห็น ความรู้สึก ภาพ การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดูเหมือนจะไม่ชัดเจน ในความสัมพันธ์ 5. หากเมื่อผู้เรียนสามารถที่จะนำมาร้อยเรียงให้เกิดเป็นการเชื่อมโยงที่มีความหมาย สำหรับการเรียนรู้ของตนเองและนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการเรียนรู้ได้นั้น เมื่อนั้นการเรียนรู้ได้ เกิดขึ้นแล้ว 4. หลักการของแนวคิดการเชื่อมโยงนิยม ซีเมนส์ (Siemens, 2004: 79) ได้นำเสนอหลักการของแนวคิดการเชื่อมโยงนิยมไว้ดังนี้ 1. การเรียนรู้และความรู้เกิดจากความหลากหลายของความคิดเห็น 2. การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงจุดของแหล่งความรู้ต่างๆ 3. ความรู้สามารถถูกจัดเก็บไว้ในสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ได้ 4. ความสามารถในการเรียนรู้เพิ่มมากขึ้นมีความสำคัญมากกว่าปริมาณความรู้ที่มีอยู่ ในปัจจุบัน 5. การดูแลและคงไว้ซึ่งการเชื่อมโยงเป็นสิ่งที่จำเป็นในการอำนวยให้เกิดการเรียนรู้ อย่างต่อเนื่อง 6. ทักษะหลักที่สำคัญในการเรียนรู้คือ ความสามารถที่จะเห็นความเชื่อมต่อโดยรวม ขององค์ความรู้ในเรื่องต่างๆ 7. ความรู้ที่มีความถูกต้องและทันสมัย เป็นจุดมุ่งหมายในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามแนวคิดเชื่อมโยงนิยม 8. ในการจัดการการเรียนรู้ การเลือกที่จะเรียนรู้และการเลือกความหมายของสารสนเทศ ด้วยการเห็นความเป็นจริงที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อเวลาเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ความถูกต้องของความรู้ เปลี่ยนไป เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของบริบทสารสนเทศ ทำให้ความถูกต้องของความรู้เปลี่ยนไป เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของบริบท สารสนเทศ ซึ่งมีผลต่อการตัดสิน เมื่อเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ต ติดตามเราไปได้ทุกหนทุกแห่ง ซีเมนส์ (Siemens, 2006: 15; ถนอมพร เลาหจรัสแสง, 2553: 68) ได้เสนอแนะว่า แนวคิดการเชื่อมโยงนิยมยังอยู่กับความท้าทายในการจัดกิจกรรมที่หลากหลายเพื่อให้ได้ความรู้ ความรู้ ที่เกิดขึ้นจะอยู่ในฐานข้อมูลและต้องมีการเชื่อมต่อกับบุคคลที่เหมาะสมและเวลาที่เหมาะสม นี่คือ ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างแนวคิดการเชื่อมโยงนิยมและทฤษฎีการเรียนรู้แบบดั้งเดิม สรุปหลักการของแนวคิดการเชื่อมโยงนิยมได้ว่า การเรียนรู้และความรู้เกิดจาก ความหลากหลายของความคิดเห็น การมีความสามารถในการเรียนรู้เพิ่ม มีความสำคัญมากกว่าปริมาณ


25 ความรู้ที่มีอยู่ ทักษะหลักที่สำคัญในการเรียนรู้คือ ความสามารถที่จะเห็นความเชื่อมต่อโดยรวมของ องค์ความรู้ในเรื่องต่าง ๆ ที่ถูกต้องและทันสมัย ความรู้ที่เกิดขึ้นจะอยู่ในฐานข้อมูล และต้องมีการเชื่อมต่อ กับบุคคลที่เหมาะสมและเวลาที่เหมาะสม 5. กระบวนการเชื่อมโยงเครือข่ายกับสภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้ การกำหนดความสัมพันธ์ในรูปแบบระบบเปิดและมีความซับซ้อน สามารถปรับตัวเข้ากับ สภาพแวดล้อมแบบไดนามิกและพึ่งพากันได้ นั่นคือ การพัฒนาการจัดระบบด้วยตนเอง ซีเมนส์ (Siemens, 2006: 15-28) ได้กล่าวว่า สภาพแวดล้อมที่สัมพันธ์ในการจัดการการเรียนรู้ ดังนี้ 1. การสนับสนุนสภาพแวดล้อมหรือการสนับสนุนพัฒนาการของผู้เรียน 2. การปรับปรุงการเปลี่ยนแปลงและการตอบสนอง 3. ระบบการจัดการตนเอง/การชี้นำตนเองของแต่ละบุคคล 4. โครงสร้างที่ไม่เป็นทางการ 5. มีความหลากหลาย 6. สิ่งมีชีวิต สรุปได้ว่า กระบวนการเชื่อมโยงเครือข่ายกับสภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้ เป็นการเชื่อมต่อ ระหว่างโหนด ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของเครือข่ายการจัดการเรียนรู้และสภาพแวดล้อมภายใน มีการเชื่อมต่อ เครือข่ายซึ่งเป็นระบบที่มีความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งระบบดังกล่าวผู้เรียนเป็นส่วนหนึ่ง ที่จะทำให้ระบบมีความสมบูรณ์และเป็นที่ยอมรับ 6. แนวโน้มการเรียนรู้ตามแนวคิดการเชื่อมโยงนิยม ดาวเนส (Downes, 2008: 14) ได้นำทฤษฎีเชื่อมโยงนิยมมาประยุกต์ในด้านการเรียนรู้ ดังนี้ 1. ผู้สอนจะต้องออกแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยผสมผสานสื่อที่หลากหลาย เช่น การยกตัวอย่างโดยใช้สื่อที่อยู่ในรูปแบบไฟล์วีดิโอ 2. การสร้างคลังความรู้ให้ผู้เรียนให้ศึกษาค้นคว้า 3. การเปิดช่องทางการสื่อสารที่ทำให้ผู้เรียนได้เกิดการมีปฏิสัมพันธ์กับครูหรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ทั้งในห้องเรียน นอกห้องเรียน 4. จะต้องให้ผู้เรียนรู้ว่าจะต้องหาความรู้จากที่ใด เช่น จากเครือข่ายสังคมออนไลน์ หรือจากแหล่งเรียนรู้ที่ผู้สอนได้จัดทำขึ้น ฯลฯ


26 ดังนั้น ผู้สอนจะต้องจัดกิจกรรมที่บูรณาการเนื้อหาให้เข้ากับเทคโนโลยีและเลือกใช้ เครื่องมือบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตให้เหมาะสม 7. งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดการเชื่อมโยงนิยม ราเวนสครอฟ (Ravenscroft, 2009; 1-5) ได้ศึกษาการสนทนาและทฤษฎีการเชื่อมโยงนิยม แนวทางใหม่ในการทำความเข้าใจและการส่งเสริมเรียนรู้โดยการสนทนาบนเครือข่ายทฤษฎีการเชื่อมโยงนิยม เป็นทฤษฎีสำหรับการเรียนรู้ในยุคดิจิตอล ซึ่งแตกต่างจาก Cognitivist และ Constructivist และ ที่สำคัญของทฤษฎีนี้ผ่านการพิสูจน์และแสดงให้เห็นถึงวิธีที่จะได้รับประโยชน์จากมุมมองทฤษฎีสร้าง ความรู้เชิงสังคมวัฒนธรรมของไวกอทสกีและมุ่งเน้นไปที่การสนทนา การสนทนาผ่านเครือข่าย เป็นวิธีหลักในการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากการเชื่อมต่อการเรียนรู้บนอินเทอร์เน็ตที่ส่งเสริมสมรรถนะ ขั้นสูงและเสริมสร้างองค์ความรู้ทางสังคมผ่านการสนทนาและการอภิปราย ซึ่งสอดคล้องกับ ซีเมนส์ (Siemens, 2006: 18) ที่กล่าวว่า การเรียนรู้บนเครือข่าย สามารถพัฒนาการคิดเชิงเหตุผลและวิเคราะห์ได้ดี ซูซาน (Suzanne, 2006: 38-40) ได้ศึกษาทฤษฎีการเชื่อมโยงนิยม (Connectivist) เครื่องมือการเรียนการสอนในระดับวิทยาลัย จากการสำรวจการทำงานของจอร์จซีเมนส์และทฤษฎี การเรียนรู้ Connectivist “ทฤษฎีการเรียนรู้ยุคดิจิตัล” ผลการวิจัยจากการทบทวนวรรณกรรม ซึ่งตรวจสอบจุดแข็งและจุดอ่อนของ Connectivismและข้อสรุปสังเคราะห์เป็นฐานความรู้ของการใช้ งานจริงสำหรับระดับวิทยาลัยในห้องเรียนเทคโนโลยี Connectivism ทฤษฎีการเชื่อมโยงนิยมทำให้มั่นใจ ได้ว่า สามารถอำนวยความสะดวกในการเชื่อมโยงการเรียนรู้ได้ดี การใช้เครือข่ายทางสังคมอย่างชาญฉลาด สามารถกระตุ้นให้นักเรียนบรรลุตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตรที่กำหนดไว้ ทฤษฎีการเชื่อมโยงนิยม ช่วยให้การเรียนรู้ในอนาคตสามารถเป็นจริงได้และช่วยให้บุคคลร่วมกันสร้างองค์ความรู้ในสภาพแวดล้อม บนเครือข่ายทั่วโลกได้เป็นอย่างดี ฟรานเซส (Frances, 2011: 98-116) ได้ศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีการเชื่อมโยงการแทนที่ ของทฤษฎีในงานวิจัยและนวัตกรรมการเรียนรู้ทางเทคโนโลยี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับ ทฤษฎีที่นำมาใช้ในการจัดการเรียนรู้เทคโนโลยี การนำทฤษฎีการเชื่อมโยงนิยมมาใช้โดยลำพังไม่เพียง พอที่จะทำให้การจัดการเรียนรู้เทคโนโลยีบรรลุวัตถุประสงค์ได้ แต่อย่างไรก็ตามทฤษฎีการเชื่อมโยงนิยม ก็มีส่วนเป็นอย่างมากในการสนับสนุนการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยี จากการศึกษา 5 สถานการณ์ ได้แก่ สถานการณ์ที่ 1 ครูนำ Web 2.0 มาใช้ในห้องเรียน สถานการณ์ที่ 2 การใช้แหล่งข้อมูลแบบเปิด บนเครือข่ายที่หลากหลาย สถานการณ์ที่ 3 การดำเนินการตามกลยุทธ์ในการใช้สารสนเทศของนักศึกษา ในมหาวิทยาลัยเยอรมัน สถานการณ์ที่ 4 การศึกษาการใช้งานของคนหนุ่มสาวของอินเทอร์เน็ตและ สื่อสังคมในการเรียนรู้อย่างไม่เป็นทางการ สถานการณ์ที่ 5 การศึกษาการใช้ไอซีทีในที่อยู่อาศัยที่ใน เขตพื้นที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต ผลการศึกษาพบว่า ในสถานการณ์ที่ 1 ในรูปแบบการเรียนการสอนแบบ MOOC ที่นำเว็บ 2.0 มาใช้ ส่งผลให้นักเรียนสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้ได้ดี มีความกระตือรือร้น


27 ในการเรียน สถานการณ์ที่ 2 จากการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการปฏิบัติงานของผู้เรียนบนเครือข่าย พบว่า ทฤษฎีการปฏิบัติงานบนเครือข่ายและทฤษฎีการเชื่อมโยงนิยมต่างสนับสนุนซึ่งกันและกัน ในสถานการณ์ ที่ 3 เป็นการผสมผสานการศึกษาในทางปฏิบัติทั้งในด้านการประเมินเชิงปริมาณและเชิงปริมาณ สถานการณ์ที่ 4 ผลการศึกษาพบว่า จากการนำทฤษฎีการสร้างความรู้เชิงสังคมของไวกอทสกี้มาใช้ ร่วมกับทฤษฎีการเชื่อมโยงนิยม ส่งผลให้การเรียนรู้ของผู้เรียนเพิ่มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สถานการณ์ที่ 5 ประชากรในรุ่นที่ 3 ในชุมชนมีความเข้าใจในผลของการนำ ICT มาใช้ในชีวิตประจำวันในสังคมที่มี ความซับซ้อน แมทเธียส(Matthias, 2012: 124) ทฤษฎีการเชื่อมโยงนิยม และขอบเขตประสบการณ์ แต่ละบุคคล การเชื่อมโยงนิยม (Connectivism) ได้รับการเสนอเป็นทฤษฎีการเรียนรู้ใหม่สำหรับ ยุคดิจิตอลกับสี่หลักการสำคัญสำหรับการเรียนรู้ เอกราชเชื่อมโยงความหลากหลายและเปิดกว้าง สนามทดสอบสำหรับทฤษฎีนี้เป็นสนามขนาดใหญ่ออนไลน์เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ความสนใจในปฏิสัมพันธ์ ระหว่างผู้เรียนและการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นบุคคลในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนมีความหลากหลาย และการกระจายเหล่านี้มีการเจริญเติบโตเป็นอย่างมาก สภาพแวดล้อมเหล่านี้เป็นองค์ประกอบของ การเชื่อมต่อเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพและความหลากหลายของมุมมองของ แต่ละคนทั้งเปิดเผยและปกปิดในระหว่างการสื่อสารกับองค์ประกอบเหล่านี้ การขยายตัวดังกล่าว มีผลกระทบต่อประสบการณ์ของผู้เรียน และตระหนักถึงความแตกต่างกันของผู้เรียน ออสเลม (Oziem, 2013: 1-7) ได้ศึกษาการให้ความช่วยเหลือการเรียนรู้ผ่านสิ่งแวดล้อม บนโทรศัพท์มือถือ เครือข่ายทางสังคมและเทคโนโลยีมือถือจะเปลี่ยนการเรียนรู้ในสภาพแวดล้อม การเรียนรู้ที่หลากหลาย จุดมุ่งหมายของการศึกษา นี้คือ การตรวจสอบวิธีการให้ความช่วยเหลือ เพื่อการเรียนรู้ในด้านการเรียนรู้ในสภาพแวดล้อมบนเครือข่าย ในการจัดการกระบวนการเรียนรู้บน เครือข่าย การโต้ตอบในสังคมเครือข่ายและการใช้เครื่องมือที่เป็นเครือข่ายสังคม นักวิจัยอธิบายว่า ไวก็อทสกี เจ้าของทฤษฎีและนวคิดที่สนับสนุนแนวคิดการเชื่อมโยงนิยมของซีเมนส์ การเก็บรวบรวม ข้อมูลผ่านเว็บไซต์สังคมเครือข่าย เช่น Facebook ข้อความส่วนตัว แชท Twitter Diigo รายการบล็อก อีเมล จากการศึกษาโดยใช้แบบสำรวจ พบว่า ผลการศึกษาพบว่า มีสี่ด้านที่สำคัญ ได้แก่ ชนิดของโทรศัพท์ ผู้บริการ ระยะเวลาการให้บริการ และกลยุทธ์การขาย ผู้ให้ข้อมูลชอบวิธีการให้ความช่วยเหลือ การยอมรับ วิธีการจัดการ เครื่องมือและเทคนิคการให้ความช่วยเหลือ การช่วยเหลือทางสังคมดำเนินการโดยกลุ่มเพื่อน และระบบการจัดการโดยผู้สร้างโทรศัพท์ การเรียนรู้ผ่านโทรศัพท์มือถือสามารถส่งเสริมการเรียนรู้ ของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี โทรศัพท์มือถือ และสังคมเครือข่ายทำให้จัดกระบวนการการเรียนรู้ได้ง่าย ผู้เรียนเรียนรู้ได้ง่ายขึ้นและผู้สอนจัดการเรียนรู้ได้สะดวกและมีผลต่อผู้เรียนทางบวก


28 แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) จากการศึกษาเอกสาร บทความและรายงานการประชุมเกี่ยวกับห้องเรียนกลับด้าน สามารถ สรุปได้ดังนี้ 1. ความสำคัญการพัฒนานวัตกรรมกับการเรียนการสอน สุรศักดิ์ ปาเฮ (2556: 12) ได้กล่าวถึง การพัฒนานวัตกรรมเพื่อการนำมาใช้สำหรับ การเรียนการสอนไว้ว่า การสร้างนวัตกรรมมีหลากหลายรูปแบบเพื่อใช้สำหรับการปรับปรุงพัฒนาและ การแก้ไขปัญหาในการจัดการศึกษาการเรียนนั้น ได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเรียกว่าเกิดเป็นพลวัติที่ ดำเนินการภายใต้สภาพการณ์ทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป นวัตกรรมทางการศึกษาที่ได้ผ่านกระบวนการ ศึกษาวิจัยอย่างเป็นระบบแล้วนั้น จะก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการจัดการเรียนการสอนที่ทรงพลัง และเป็นที่ยอมรับ สภาพการณ์ทางการเรียนรู้ในปัจจุบันได้มีการปรับเปลี่ยนเพื่อก้าวทันกับสังคม ที่เปลี่ยนแปลงไปสังคมแห่งการเรียนรู้ภายใต้กระแสแห่งโลกในยุคดิจิตัลส่งผลต่อการแสวงหารูปแบบ และการปรับปรุงกระบวนทัศน์ในการทำงานที่มีความหลากหลายให้สอดรับและก้าวทันความเปลี่ยนแปลง กับโลกยุคใหม่ ซึ่งเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นแนวความคิด รูปแบบและวิธีการที่ใช้กันในแบบเดิมนั้น อาจมีการวิเคราะห์ทบทวนเพื่อศึกษาผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นว่า มีประสิทธิภาพและมีความเหมาะสมมากน้อย ประการใดและทำการศึกษาพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมรูปแบบใหม่ขึ้นมาใช้เพื่อจุดมุ่งหมายสำคัญ ในวงการศึกษาของไทยได้มีการคิดค้นเพื่อพัฒนารูปแบบนวัตกรรมทางการเรียนรู้และ รูปแบบการสอนตามหลักสูตร เพื่อก้าวทันกับการเปลี่ยนแปลงกับบริบทเชิงสังคมและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การก้าวทันความเปลี่ยนแปลงกับโลกแห่งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาท ต่อการจัดการศึกษาค่อนข้างสูง ร่วมทั้งการปรับสภาพการณ์ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมภายใต้ กระแสแห่งการปฏิรูปการศึกษาไทยในปัจจุบันที่มุ่งพัฒนาการศึกษาให้บรรลุผลตามเจตนารมณ์ของ การจัดการศึกษาโดยรวม ซึ่งในวงการการศึกษาไทยได้มีการคิดค้นพัฒนานวัตกรรมการจดการศึกษา ในหลากหลายรูปแบบเป็นไปตามปรัชญาแนวคิดของการพัฒนา โดยมุ่งเน้นที่ผู้เรียนเป็นสำคัญ (Learners Center) ก้าวสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไปในอนาคต วิธีการปรับเปลี่ยนแนวคิดเพื่อสร้างนวัตกรรมทางการศึกษาภายใต้กรอบแนวคิดที่เรียกว่า ทศวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นแนวคิดในการพัฒนาคนรนใหม่ให้มีคุณลักษณะพร้อมสำหรับการดำรงชีวิตและ รับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเนื่องด้วยโลกที่ไร้พรมแดนความก้าวหน้าของ เทคโนโลยีการสื่อสาร และนโยบายความร่วมมือของพลเมืองโลก ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ตองมีการคิดค้น หาแนวทางสู่กระบวนการทักษะใหม่ในศตวรรษที่ 21 นี้ จึงเป็นประเด็นสำคัญที่สังคมต่างมุ่งมั่นและ ให้ความสำคัญ


29 สุรศักดิ์ ปาเฮ(2556: 15) ได้กล่าวถึง ห้องเรียนกลับด้านไว้ว่า เป็นนวัตกรรมและมุมมองหนึ่ง ของตัวอย่างจากประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นในวงการศึกษา เป็นวิธีการใช้ห้องเรียนให้เกิดคุณค่าแก่เด็ก โดยใช้ฝึกประยุกต์ความรู้ในสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้แบบ “รู้จริง (Mastery Learning)” และเป็นวิธีจัดการเรียนรู้เพื่อยกระดับและคุณค่าแห่งวิชาชีพครูที่ปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้อีกรูปแบบหนึ่ง ให้เกิดขึ้นผ่านสื่อเทคโนโลยีที่นำมาใช้ 2. ความหมายและความเป็นมาเกี่ยวกับห้องเรียนกลับด้าน Jonathan และ Aaron ได้กล่าวว่า รูปแบบห้องเรียนกลับด้าน เป็นวิธีการที่ครอบคลุม การใช้งานและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต เพื่อยกระดับการเรียนรู้ในห้องเรียนต่าง ๆของคุณ เพื่อให้คุณสามารถใช้เวลามากขึ้นในการมีปฏิสัมพันธ์กับนักเรียนแทนการบรรยายหน้าชั้นเรียนเพียง อย่างเดียวซึ่งวิธีการที่ถูกใช้เป็นส่วนใหญ่มักจะทำการสอนโดยใช้วิดีโอที่ถูกสร้างขึ้นโดยครูซึ่งนักเรียน สามารถเรียนรู้ได้นอกเวลาเรียน Jonathan และ Aaron เรียกกว่าห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) เพราะกระบวนการเรียนและการบ้านทั้งหมดจะ “พลิกกลับ” สิ่งที่เคยเป็นกิจกรรมใน ชั้นเรียน เช่น การจดบันทึก(Lecture) จะถูกทำที่บ้านผ่านทางวิดีโอที่ครูสร้างขึ้นและสิ่งที่เคยต้องทำ ที่บ้าน (งานต่างๆได้รับมอบหมาย) จะนำมาทำในชั้นเรียน เบอร์คแมน และ แซมส์ (Bergmann & Sams, 2012) ห้องเรียนกลับด้าน ตรงกับภาษาอังกฤษว่า The Flipped Classroom เป็นศัพท์บัญญัติ ที่นิยามไว้ ดังนี้ Flipped Classroom (n.) A Model of Teaching which students’homework is the traditional lecture viewed outside of class on a video. Class time is then spent on inquiry-based learning that would include what would traditionally be viewed asstudents’ homework assignments. สรุปได้ว่า ห้องเรียนกลับด้าน (คำนาม) เป็นรูปแบบหนึ่ง ของการสอน โดยที่ผู้เรียนจะได้เรียนรู้จากการบ้านที่ได้รับผ่านการเรียนด้วยตนเองจากสื่อนอกชั้นเรียน หรือที่บ้าน ส่วนการเรียนในชั้นเรียนปกตินั้นจะเป็นการเรียนแบบสืบค้นหาความรู้ที่ได้รับร่วมกันกับ เพื่อนรวมชั้นโดยมีครูเป็นผู้คอยให้ความช่วยเหลือชี้แนะ จุดเริ่มต้นของการพัฒนานวัตกรรมประเภทนี้เกิดจากการจัดการเรียนการสอนนักเรียน ระดับมัธยมปลายที่โรงเรียน Woodland Park High School เมือง Woodland Park รัฐ Colorado สหรัฐอเมริกา โดย ครูผู้สอนวิทยาศาสตร์สองคนชื่อ Bergmannและ Sams ราวปี ค.ศ. 2007 ที่เขาได้เริ่มทำการบันทึกเทปวีดิโอซึ่งเป็นเนื้อหาสาระการสอน เพื่อให้นักเรียนนำไปศึกษาด้วยตนเอง ที่บ้าน แล้วให้ผู้เรียนนำเอาผลการศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเองนำกลับมาสู่กระบวนการอภิปราย สืบค้นเพื่อหา บทสรุปของคำตอบที่ชั้นเรียนอีกครั้งหนึ่ง โดยครูทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดประสบการณ์ ทางการเรียนดังกล่าว ซึ่งวิธีการเรียนแบบนี้เป็นการเรียนแบบกลับด้านแนวคิดจากแบบเดิมที่ต้อง เรียนเนื้อหาที่โรงเรียนและนำงานกลับไปทำต่อที่บ้าน โดยให้เรียนเนื้อหาที่บ้านด้วยตนเอง แล้วนำงาน


30 หรือประสบการณ์ที่ได้รับมาทำการเรียนรู้เพิ่มเต็มที่โรงเรียนรวมกันกับเพื่อนต่อไป โดยครูจะเป็นผู้ให้ คำแนะนำชี้แจงในประเด็นคำตอบที่เกิดขึ้น ซึ่งรูปแบบดังกล่าวนี้ภายหลังได้พัฒนาและขยาย ขอบข่ายไปกว้างขวาง โดยเฉพาะการปรับใช้กับสื่อICT หลากหลายประเภทที่มีศักยภาพค่อนข้างสูง ในปัจจุบันคำถามมาด้วยอย่างน้อย 1 ข้อ อย่างไรก็ตามจะต้องมีการฝึกทักษะในการจดบันทึกให้แก่ นักเรียนก่อนช่วงต้นปีการศึกษา เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ห้องเรียนกลับด้านให้เด็ก ชินภัทร ภูมิรัตน์ (2556: 25) ได้กล่าวถึง ห้องเรียนกลับด้านไว้ว่า การให้เด็กเรียนรู้ เนื้อหาล่วงหน้าที่บ้านแล้วมาพูดคุยในชั้นเรียนนั้น จะทำให้เด็กเรียนรู้ได้ดีขึ้น เร็วขึ้น เหลือเวลาสำหรับ เติมสิ่งอื่น ๆ ให้เด็กโดยเฉพาะทักษะคิดวิเคราะห์ รูปแบบเดิมนั้น เวลาในชั้นเรียนจะหมดไปกับ การ Warm-up (เตรียมพร้อม) จำนวน 5 นาที ตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับการบ้านของนักเรียน 20 นาที บรรยายเนื้อหาใหม่ 30-45 นาที เหลือแค่ 20-35 นาทีให้นักเรียนทำงานและกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ แต่ห้องเรียนกลับด้าน ใช้เวลา Warm-Up จำนวน 5 นาที ถามตอบเกี่ยวกับวีดิโอที่ดู 10 นาที ที่เหลือ อีก 75 นาที นักเรียนจะได้ทำงาน กิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ ที่ช่วยเพิ่มพูนความรู้ให้ลุ่มลึกกว้างขวางขึ้น ที่ผ่านมาเด็กไทยอยู่ในกลุ่มเรียนเยอะ เปรียบเทียบจำนวนชั่วโมงเรียนกับนานาชาติแล้วไทยอยู่ในกลุ่มบน ต่อปีเด็กไทยเรียนถึง 1,200 คาบ แต่ผลประเมินระดับนานาชาติ เช่น Pisa กลับอยู่ในกลุ่มล่าง เข้าทำนอง เรียนมากแต่รู้น้อย 70% ของชั้นเรียนเป็นการบรรยายของครู แต่ถ้ากลับด้านห้องเรียนแล้วแทนที่เด็ก จะมาตัวเปล่า นั่งรอรับความรู้จากครูเด็กก็จะมาเรียนด้วยความเข้าใจเพราะเรียนรู้เนื้อหาล่วงหน้ามาแล้ว ในชั้นเรียนจะเป็นการซักถามเพิ่มเติม การมีส่วนร่วมในชั้นเรียนเราจะได้เวลาเพิ่มขึ้นอีก 30-40 นาที สำหรับพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ให้เด็ก"ห้องเรียนกลับด้าน" ยังเป็นการเข้าใกล้การจัดการเรียน การสอนแบบ Child Center มากขึ้น แทนที่การสอนแบบ Teacher Center ซึ่งกำลังจะตกยุคเข้าไป ทุกทีที่สำคัญช่วยแก้ปัญหาเรื่องการบ้านได้ด้วย 3. ความสำคัญของห้องเรียนกลับด้าน จากการศึกษาเอกสาร รายงานเกี่ยวกับห้องเรียนกลับด้าน พบว่า มีเอกสารรายงาน สรุปเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2556 ที่ผ่านมา ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่ได้เชิญผู้บริหาร สพฐ. ผู้เชี่ยวชาญ ผู้บริหารระดับเขตพื้นที่การศึกษาผู้บริหารสถานศึกษา นักวิชาการศึกษา และผู้เกี่ยวข้องร่วมประชุมปฏิบัติการพิจารณาแนวการจัดการศึกษาแบบกลับด้านชั้นเรียน (Flip Your Classroom) ณ โรงแรมเอเชีย กรุงเทพฯ เพื่อร่วมกันระดมความคิดพิจารณาถึงความเป็นไปได้ ความเหมาะสมปัจจัยสนับสนุน ข้อจำกัดของการที่จะนำแนวคิดของห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) ไปสู่การปฏิบัติในประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันสำนักพัฒนาการศึกษา เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (สพก.จชต.) ได้เชิญผู้บริหารระดับเขตพื้นที่การศึกษา


31 ศึกษานิเทศก์และผู้บริหารสถานศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในพื้นที่กว่า 800 คน เข้าร่วม ประชุมปฏิบัติการพัฒนารูปแบบการเรียนรู้และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนที่สอดคล้องกับสถานการณ์ใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ โรงแรมลีการ์เด้น พลาซ่า จังหวัดสงขลา โดยมุ่งเน้นที่จะนำห้องเรียนกลับด้าน ไปสู่การปฏิบัติในสถานศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในพื้นที่ดังกล่าวเป็นการนำร่อง จากการศึกษา หนังสือ“ครูเพื่อศิษย์ สร้างห้องเรียนกลับทาง” ของ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช พบว่า ห้องเรียนกลับด้านทำให้เปลี่ยนความคิดจากเดิมที่จะนำการจัดการเรียนรู้แบบกลับทางมาใช้ได้ ประสบความสำเร็จเนื่องจากวัฒนธรรมการจัดการศึกษาซึ่งมีบริบทที่แตกต่างอีกทั้งยังขาดความพร้อม ด้านสื่อเครื่องมืออุปกรณ์ช่วยสอนอยู่อีกมาก รวมถึงความพร้อมของครอบครัวส่วนใหญ่ก็อาจเป็นอุปสรรค อยู่ไม่น้อย แต่อย่างไรก็ตามหากเป็นยุทธศาสตร์ระดับนโยบายและนำไปสู่การปฏิบัติในสถานศึกษา โดยในเบื้องต้นอาจต้องมีการสนับสนุนปัจจัยที่จำเป็นแต่ที่สำคัญที่สุด คือการปรับเปลี่ยนกระบวนการคิด และทัศนคติของครูต่อการจัดการเรียนรู้รูปแบบใหม่รวมถึงพัฒนาศักยภาพการจัดการเรียนรู้อย่างทั่วถึง และเท่าเทียม ซึ่งอาจทำให้สิ่งที่เราเคยคิดว่ายากอาจกลับกลายเป็นง่ายกว่าที่คิด แนวคิดห้องเรียนกลับการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากห้องเรียนแบบเดิมนักเรียนนั่งฟังครูสอน ครูเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้คอยบอก และออกคำสั่งให้นักเรียนทำการบ้าน แล้วก็ให้นักเรียนทำข้อสอบ เพื่อทดสอบสิ่งที่ได้เรียนรู้ผลของการเรียนแบบเดิม มีนักเรียนที่สอบผ่านและไม่ผ่านแต่การสอนของครู ก็ยังคงสอนเรื่องใหม่ต่อไปเรื่อย ๆ จนบางครั้งนักเรียนกลุ่มที่เรียนช้าหรือไม่เข้าใจแทบจะไม่ได้รับการดูแล เอาใจใส่เลย ส่งผลให้นักเรียนกลุ่มนี้เรียนไม่ทันคนอื่น ๆ เป็นเหตุก่อให้เกิดช่องว่างที่ยิ่งนานวันก็จะทบ ทวีคูณระยะห่างมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายไม่อยากเข้าห้องเรียน เนื่องจากเรียนไปก็ไม่รู้เรื่องจะเห็นว่า การเรียนแบบเดิมนั้นนักเรียนไปโรงเรียนเพื่อหวังให้ได้เกรด ส่วนใหญ่เรียนโดยผ่านการท่องจำ แต่ไม่ได้เกิดการเรียนรู้ที่แท้จริงในขณะที่ห้องเรียนกลับทางนั้นได้ เปลี่ยนวัฒนธรรมการเรียนรู้ในห้องเรียนใหม่ โดยเปลี่ยนชื่อ “ห้องเรียน” (Classroom) เป็น “พื้นที่ สำหรับการเรียนรู้”(Learning Space) คือเปลี่ยนจากเดิมที่ห้องเรียนเป็นที่สำหรับครูถ่ายทอดความรู้ ไปสู่นักเรียนไปเป็นพื้นที่สำหรับการเรียนรู้โดยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันจากสิ่งที่ได้เรียนมาล่วงหน้า จะเห็นได้ว่าการเรียนรู้แบบใหม่นี้นักเรียนจะมีส่วนรวมในกระบวนการเรียนรู้ไม่ได้เป็นเพียงผู้รับความรู้ จากการบอกหรือถ่ายทอดเนื้อหาสาระจากครูดังเดิม อย่างไรก็ตาม “ห้องเรียนกลับด้าน”คงไม่ใช่สูตร สำเร็จของวิธีการจัดการเรียนรู้แต่จะช่วยให้นักเรียนเกิดทักษะการเรียนรู้และเกิดการเรียนรู้ที่แท้จริง ถูกต้อง และเพียงพอสำหรับเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ต่อไปในอนาคต 4. ข้อเปรียบเทียบของการเรียนแบบเดิมกับการเรียนแบบกลับด้าน สุรศักดิ์ ปาเฮ(2556: 12) ได้กล่าวถึงแนวคิดของห้องเรียนกลับด้าน มีบทสรุปเปรียบเทียบ ให้เห็นถึงรูปแบบของการจัดการเรียนการสอนแบบกลับด้าน (Flipped Learning)กับรูปแบบการจัด การเรียนการสอนแบบเดิม (Traditional Learning) กล่าวคือการจัดการเรียนการสอนแบบห้องเรียน


32 กลับทางนั้น จะมุ่งเน้นการสร้างสรรค์องค์ความรู้ด้วยตัวผู้เรียนเองตามทักษะ ความรู้ความสามารถและ สติปัญญาของเอกัตบุคคล (Individualized Competency) ตามอัตราความสามารถทางการเรียน แต่ละคน (Self-paced) จากมวลประสบการณ์ที่ครูจัดให้ผ่านสื่อเทคโนโลยีICT หลากหลายประเภท ในปัจจุบันและเป็นลักษณะการเรียนรู้ จากแหล่งเรียนรู้นอกชั้นเรียนอย่างอิสระทั้งด้านความคิดและ วิธีปฏิบัติซึ่งแตกต่างจากการเรียนแบบเดิมที่ครูจะเป็นผู้ป้อนความรู้ประสบการณ์ให้ผู้เรียนในลักษณะ ของครูเป็นศูนย์กลาง (Teacher Center) ดังนั้น การสอนแบบกลับทางจะเป็นการเปลี่ยนแปลงบทบาท ของครูอย่างสิ้นเชิงกล่าวคือ ครูไม่ใช่ผู้ถ่ายทอดความรู้แต่จะทำบทบาทเป็นติวเตอร์ (Tutors) หรือโค้ช (Coach) ที่จะเป็นผู้จดประกายและสร้างความสนุกสนานในการเรียน รวมทั้งเป็นผู้อำนวยความสะดวก ในการเรียน (Facilitators) ในชั้นเรียน ภาพที่ 2 เปรียบเทียบระหว่างการเรียนแบบเดิมกับห้องเรียนกลับด้าน ที่มา: สุรศักดิ์ ปาเฮ (2556: 4) ตารางที่ 1 ข้อเปรียบเทียบด้านตัวอย่างของกิจกรรมและเวลา ระหว่างการเรียนแบบเดิมกับห้องเรียน กลับด้าน ห้องเรียนแบบเดิม (Traditional) ห้องเรียนแบบกลับด้าน (Flipped Classroom) กิจกรรม Warm-up 5 นาที กิจกรรม Warm-up 5 นาที ทบทวนการบ้านของคืนก่อน 20 นาที ถาม-ตอบเรื่องวีดิทัศน์ 10 นาที บรรยายเนื้อหาวิชาใหม่30-45 นาที กิจกรรมการเรียนรู้ที่ครูมอบหมายหรือ นักเรียนคิดเองหรอLab 1 ชั่วโมง 15 นาที กิจกรรมเรียนรู้ที่ครูมอบหมายหรือนักเรียน


33 คิดเองหรือLab 20-35 นาที ที่มา: วิจารณ์ พานิช (2556: 13) 5. ตัวแบบ (Model) ของห้องเรียนแบบกลับด้าน การจัดการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) ซึ่งเป็นนวัตกรรม การเรียนการสอนรูปแบบใหม่ในการสร้างผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้แบบรอบด้านหรือ Mastery Learning นั้น จะมีองค์ประกอบสำคัญที่เกิดขึ้น 4 องค์ประกอบ ที่เป็นวัฏจักร (Cycle) หมุนเวียนกันอย่างเป็นระบบ ซึ่งองค์ประกอบทั้ง 4 ที่เกิดขึ้น ได้แก่ 5.1การกำหนดยุทธวิธีเพิ่มพูนประสบการณ์ (Experiential Engagement) โดยมี ครูผู้สอนเป็นผู้ชี้แนะวิธีการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนเพื่อเรียนเนื้อหา โดยอาศัยวิธีการที่หลากหลายทั้งการใช้ กิจกรรมที่กำหนดขึ้นเอง เกมส์สถานการณ์จำลอง การปฏิสัมพันธ์ การทดลอง หรืองานด้านศิลปะ แขนงต่าง ๆ 5.2 การสืบค้นเพื่อให้เกิดมโนทัศน์รวบยอด (Concept Exploration) โดยครูผู้สอน เป็นผู้คอยชี้แนะให้กับผู้เรียนจากสื่อหรือกิจกรรมหลายประเภท เช่น สื่อประเภทวีดิโอบันทึกการบรรยาย การใช้สื่อบันทึกเสียงประเภท Podcasts การใช้สื่อ Websites หรือสื่อออนไลน์Chats 5.3 การสร้างองค์ความรู้อย่างมีความหมาย(Meaning Making) โดยผู้เรียนเป็นผู้บูรณาการ สร้างทักษะองค์ความรู้จากสื่อที่ได้รบจากการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยการสร้างกระดานความรู้อิเล็กทรอนิกส์ (Blogs) การใช้แบบทดสอบ (Tests) การใช้สื่อสังคมออนไลน์และกระดานสำหรับอภิปรายแบบออนไลน์ (Social Networking & Discussion Boards) 5.4 การสาธิตและประยุกต์ใช้(Demonstration and Application) เป็นการสร้าง องค์ความรู้โดยผู้เรียนเองในเชิงสร้างสรรค์ โดยการจัดทำเป็นโครงงาน (Project) และผ่านกระบวนการ นำเสนอผลงาน (Presentations) ที่เกิดจากการรังสรรค์งานเหล่านั้น ตัวแบบของการจัดกิจกรรม การเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้านที่กล่าวไว้เบื้องต้นนั้น สามารถกำหนดเป็นภาพเชิงกราฟิกดังนี้


34 ภาพที่ 3 โมเดลห้องเรียนแบบกลับด้าน (Flipped Classroom Model) ที่มา: http://www.google.go.th/imgres?imgrurl=//1.bp.blogspot.com/Pprl 6. จากการศึกษาเหตุผลบางประการที่บอกถึงคุณประโยชน์ของการสอนแบบห้องเรียน กลับด้าน (Flipped Classroom) ที่ Bergmann และ Sams กล่าวไว้ในหนังสือของเขาที่ชื่อ Flip Your Classroom: Reach Every Student in Every Class Every Day (สุรศักดิ์ ปาเฮ,2556) สรุป ได้ดังนี้ 6.1 เพื่อเปลี่ยนวิธีการสอนของครู จากการบรรยายหน้าชั้นเรียนหรือจากครูสอนไปเป็น ครูฝึก ฝึกการทำแบบฝึกหัดหรือทำกิจกรรมอื่นในชั้นเรียนให้แก่ศิษย์เป็นรายบุคคลหรืออาจเรียกว่า เป็นครูติวเตอร์ 6.2 เพื่อใช้เทคโนโลยีการเรียนที่เด็กสมัยใหม่ชอบ โดยใช้สื่อ ICT ซึ่งกล่าวได้ว่า เป็นการนำโลกของโรงเรียนเข้าสู่โลกของนักเรียนซึ่งเป็นโลกยุคดิจิตัล 6.3 ช่วยเหลือเด็กที่มีงานยุ่ง เด็กสมัยนี้มีกิจกรรมมาก ดังนั้นจึงต้องเข้าไปช่วยเหลือ ในการจัดการเรียนรู้โดยใช้บทสอนที่สอนด้วยวีดิทัศน์อยู่บนอินเทอร์เน็ต (Internet) ช่วยให้เด็กเรียน ไว้ล่วงหน้าหรือเรียนตามชั้นเรียนได้ง่ายขึ้น รวมทั้งเป็นการฝึกเด็กให้รู้จักการจัดเวลาของตนเอง 6.4 ช่วยเหลือเด็กเรียนอ่อนให้ขวนขวายหาความรู้ในชั้นเรียนปกติเด็กเหล่านี้จะถูกทอดทิ้ง แต่ในห้องเรียนกลับด้านเด็กจะได้รับการเอาใจใส่จากครูมากที่สุดโดยอัตโนมัติ


35 6.5 ช่วยเหลือเด็กที่มีความสามารถแตกต่างกันให้ก้าวหน้าในการเรียนตามความสามารถ ของตนเอง เพราะเด็กสามารถฟังดูวีดิทัศน์ได้เองจะหยุดตรงไหนก็ได้ กรอกลับ (Review) ก็ได้ ตามที่ ตนเองพึงพอใจที่จะเรียน 6.6 ช่วยให้เด็กสามารถหยุดและกรอกลับครูของตนเองได้ ทำให้เด็กจัดเวลาเรียน ตามที่ตนพอใจเบื่อก็หยุดพักได้สามารถแบ่งเวลาในการดูเป็นช่วงได้ 6.7 ช่วยให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับครูเพิ่มขึ้น ตรงกันข้ามกับการที่เรียนแบบ ออนไลน์การเรียนแบบห้องเรียนกลับด้านยังเป็นรูปแบบการเรียนที่นักเรียนยังคงมาโรงเรียนและ นักเรียนพบปะกับครูห้องเรียนกลับด้านเป็นการประสานการใช้ประโยชน์ระหว่างการเรียนแบบ ออนไลน์และการเรียนระบบพบหน้าช่วยเปลี่ยนและเพิ่มบทบาทของครูให้เป็นทั้งพี่เลี้ยง (Mentor) เพื่อน เพื่อนบ้าน (Neighbor) และผู้เชี่ยวชาญ (Expert) 6.8 ช่วยให้ครูรู้จักนักเรียนดีขึ้น หน้าที่ของครูไม่ใช่เพียงช่วยให้ศิษย์ได้ความรู้หรือเนื้อหา แต่ต้องกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจ (Inspire) ให้กำลังใจ รับฟังและช่วยเหลือส่งเสริมผู้เรียน ซึ่งเป็นมิติ สำคัญที่จะช่วยเสริมพัฒนาการทางการเรียนของเด็ก 6.9 ช่วยเพิ่มปฏิสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนนักเรียนด้วยกันเอง จากกิจกรรมทางการเรียน ที่ครูจัดประสบการณ์ขึ้นมานั้น ผู้เรียนสามารถที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันได้ดีเป็นการปรับเปลี่ยน กระบวนทัศน์ของนักเรียนที่เคยเรียนตามคำสั่งครูหรือทำงานให้เสร็จตามกำหนดเป็นการเรียนเพื่อตนเอง ไม่ใช่คนอื่น ส่งผลต่อเด็กที่เอาใจใส่การเรียน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนด้วยกันจะเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ 6.10ช่วยให้เห็นคุณค่าของความแตกต่าง ตามปกติแล้วในชั้นเรียนเดียวกันจะมีเด็กที่มี ความแตกต่างกันมาก มีความถนัดและความชอบที่แตกต่างกัน ดังนั้นการจัดกิจกรรมการสอนแบบ ห้องเรียนกลับด้านจะช่วยให้ครูเห็นจุดอ่อนจุดแข็งของผู้เรียนแต่ละคน เพื่อนด้วยกันก็เห็นและ ช่วยเหลือกันด้วยจุดแข็งของแต่ละคน 6.11เป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดการห้องเรียน ช่วยเปิดช่องให้ครูสามารถ จัดการชั้นเรียนได้ตามความต้องการที่จะทำ ครูสามารถทำหน้าที่ของการสอนที่สำคัญในเชิงสร้างสรรค์ เพื่อสร้างคุณภาพแก่ชั้นเรียน ช่วยให้เด็กรู้อนาคตของชีวิตได้ดีที่สุด 6.12 เปลี่ยนคำสนทนากับพ่อแม่ ประสานความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างโรงเรียนกับผู้ปกครอง ซึ่งการรับทราบและแลกเปลี่ยนความรู้ร่วมกันจะทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ที่ดีได้ 6.13ช่วยให้เกิดความโปร่งใสในการจัดการศึกษา การใช้ห้องเรียนแบบกลับทางโดยนำ สาระคำสอนไปไว้ในวีดิทัศน์นำไปเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตเป็นการเปิดเผยเนื้อหาสาระทางการเรียน ให้สาธารณชนได้ทราบ สร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพการเรียนการสอนให้ผู้ปกครองทราบ 7. ห้องเรียนกลับด้านกับการเรียนแบบรอบรู้


Click to View FlipBook Version