The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รหัสนักศึกษา 63040109107

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by สุวิมล เภาวนะ, 2024-01-28 22:48:47

วิจัยของสุวิมล

รหัสนักศึกษา 63040109107

86 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน E1/E2 และ Wilcoxon matched-pairs sign ranks test ผลการวิจัยสรุปได้ ดังนี้1) ประสิทธิภาพของเว็บไซต์พอดคาสต์สำหรับการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านโดยใช้กลวิธีการ กำกับตนเองเรื่อง โครงสร้างการโปรแกรม มีค่าเท่ากับ 81.07/83.35 2) นักเรียนห้องเรียนพิเศษ วิทยาศาสตร์ที่เรียนรู้ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านโดยใช้กลวิธีการกำกับตนเอง มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง โครงสร้างการโปรแกรม หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) นักเรียนห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ที่เรียนรู้ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ ห้องเรียนกลับด้านโดยใช้กลวิธีการกำกับตนเองมีการกำกับตนเองหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 สมหมาย แก้วกันหา (2558) ได้พัฒนารูปแบบกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมมือแบบห้องเรียน กลับด้าน โดยใช้สื่ออีดีแอลทีวีผลการวิจัย พบว่ารูปแบบกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมมือแบบห้องเรียนกลับด้าน โดยใช้สื่ออีดีแอลทีวีมี4 ส่วน คือ1) นโยบายและหลักการที่เกี่ยวข้อง2) ผู้ปกครอง3) กิจกรรมการจัด การเรียนรู้4) เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและ5) ตัวชี้วัด ผู้เชี่ยวชาญมีความคิดเห็นโดยรวม โดยผลการพัฒนาขั้นตอนกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมมือแบบห้องเรียนกลับด้านโดยใช้สื่ออีดีแอลทีวี แยกเป็นกิจกรรมนอกห้องเรียน มี4 ขั้นตอน คือ การเรียนรู้ค้นคว้าเพิ่มเติม อภิปรายและผู้ปกครอง ตรวจสอบงานหรือรับรองผลงานของนักเรียน ส่วนกิจกรรมในห้องเรียนมี4 ขั้นตอน คือ ทบทวนความรู้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้นักเรียนทำกิจกรรมการเรียนร่วมกัน การนำเสนอผลงาน และครูมอบหมายภาระใหม่ อพัชชา ช้างขวัญยืน และ ทิพรัตน์ สิทธิวงศ์(2559) ได้ทำการวิจัย เรื่อง “การจัด การเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับการเรียนรู้แบบโครงงาน รายวิชาคอมพิวเตอร์สารสนเทศ ขั้นพื้นฐาน สำหรับนิสิตปริญญาตรี” เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนการสอนแบบ ห้องเรียนกลับด้านร่วมกับการเรียนรู้แบบโครงงาน รายวิชาคอมพิวเตอร์สารสนเทศขั้นพื้นฐาน ผลการวิจัย พบว่า1)การสร้างแผนการจัดการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับการเรียนรู้แบบโครงงาน รายวิชาคอมพิวเตอร์สารสนเทศขั้นพื้นฐาน โดยมีรายละเอียดที่ควรต้องคำนึงในการสร้างแผนการจัด การเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับการเรียนรู้แบบโครงงาน ประกอบด้วยชื่อแผนการจัด การเรียนรู้ชื่อหน่วยการเรียนรู้ชื่อเรื่องของแผนการจัดการเรียนรู้ชั้นที่สอน จำนวนคาบที่ใช้ในการสอน สาระวิชา วัตถุประสงค์สาระของเนื้อหา กิจกรรมสื่อและอุปกรณ์ การวัดและประเมินผล Google Classroom คู่มือการใช้งาน Google Classroom แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พร้อมเฉลยแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2)ผลการประเมินคุณภาพของแผนการสอนการจัดการเรียนการสอนแบบ ห้องเรียนกลับด้านร่วมกับการเรียนรู้แบบโครงงาน โดยผู้เชี่ยวชาญอยู่ในระดับมาก3)ผลการหา ประสิทธิผลของการสอนการจัดการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับการเรียนรู้แบบโครงงาน คือ 0.55 ผ่านเกณฑ์ที่ตั้งไว้


87 กัว (Gurr,1970: 98-102) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง ผลกระทบด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารต่อการทำงานและการใช้ชีวิตที่เป็นทั้งผู้บริโภคและผู้สร้างความรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยใช้ศักยภาพของเทคโนโลยีสารสนเทศระหว่างครูและนักเรียนทั้งในและนอกโรงเรียน และการสร้าง และการใช้ความรู้การปรับทักษะการสื่อการเรียนรู้และแหล่งสารสนเทศ ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่ กำหนดความสำเร็จคือ1) ด้านนักเรียน คือการมีความรู้เรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อใช้การทำงานและ การเรียนรู้ตลอดชีวิต แสวงหาแนวทางจัดการศึกษาและการวัดผลการเรียน การเพิ่มเติมโอกาสและ โอกาสที่เสมอภาคในการใช้ประโยชน์จากสารสนเทศ กระตุ้นให้นักเรียนมีวิสัยทัศน์และความเข้าใจ ระดับโลกส่งเสริมให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้จากเนื้อหาที่ข้ามพ้นจากภายในห้องเรียน 2) ด้านผู้บริหาร การศึกษาและครูคือการพัฒนากลยุทธ์ซึ่งให้ความสำคัญต่อระยะเวลาช่วงต่าง ๆในการยอมรับเทคโนโลยี สารสนเทศของครูและผู้ที่เกี่ยวข้อง คุณภาพของภาวะผู้นำและวิสัยทัศน์ของผู้จัดระบบการศึกษาและ ผู้นำโรงเรียน ซึ่งเป็นทั้งผู้ใช้เทคโนโลยีผู้จัดสรรทรัพยากรต่าง ๆผู้นำประชาชนและผู้นำการเปลี่ยนแปลง การมีโอกาสได้รับการพัฒนาวิชาชีพของตนในเวลาอันเหมาะสม โดยโครงการพัฒนาวิชาชีพเหล่านี้ จะต้องสามารถตอบสนองต่อความต้องการในการพัฒนาวิชาชีพและการเรียนรู้ที่หลากหลายของผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ของโรงเรียน นอกจากนี้การเรียนรู้ตลอดชีพโดยกระบวนการพัฒนาวิชาชีพและการสนับสนุน แก่ครูการตระหนักถึงบทบาทใหม่ที่เพิ่มขึ้นของผู้เชี่ยวชาญและผู้ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ในการทำงาน เป็นทีมร่วมกับครูการออกแบบโครงการศึกษาสำหรับครูขึ้นใหม่ซึ่งรวมถึงหลักสูตรวิชาชีพครูใน มหาวิทยาลัย เพื่อให้ครูมีความพร้อมต่อสังคมสารสนเทศ และได้นำเสนออุปสรรคสำคัญของครูใน การยอมรับเทคโนโลยีคือ อายุ ภาระงาน ขีดจำกัดเรื่องเวลา และการขาดโอกาสในการใช้เทคโนโลยี 3)ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ความสามารถของโรงเรียนและนักเรียนในการเข้าถึงโครงข่ายโทรคมนาคม ที่มีความเร็วสูงขึ้นเรื่อยๆ การมีโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อถือได้มีราคาเหมาะสม และสามารถใช้งานได้ อย่างต่อเนื่อง เรนเดล (Rendell, 2011) ได้สร้างห้องเรียนแบบห้องเรียนกลับด้านและบูรณาการ เทคโนโลยีการเรียนการสอนในระดับวิทยาลัย โดยเน้นการใช้ข้อมูลหลักสูตรระบบการทำตารางงาน และมีวัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้คือ การสำรวจว่าเทคโนโลยีจะช่วยอำนวยความสะดวกให้การสอน เป็นประโยชน์ต่อการใช้ห้องเรียน ห้องเรียนกลับด้าน สำหรับนักเรียนที่มาเรียนวิทยาลัยเบื้องต้นและ ใช้งานบนตารางงาน ในแง่ของผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนและความพึงพอใจที่มีชั้นเรียน ซึ่งพบว่าก่อน การทดลองและหลังการทดลองแตกต่างกัน โดยหลังการทดลองนั้นมีค่าความพึงพอใจมากขึ้น และ การทดลองครั้งนี้เป็นการทดลองโดยมีการออกแบบวิธีการผสมผสานให้ถูกนำมาใช้เพื่อกำหนด ความแตกต่างในความสำเร็จของนักเรียนที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนวิธีการใช้นอกจากนี้ การให้ค่าของแต่ละวิธีที่ได้รับการประเมินพร้อมกับการรับรู้ของนักเรียนของวิธีการเหล่านี้เพื่อกำหนด ส่งผลกระทบต่อการแทรกแซงของแต่ละอาจมีแรงจูงใจของนักเรียนที่จะเรียนรู้การเรียนการสอนแบบ จำลองที่ใช้ทดสอบในการศึกษาครั้งนี้พบว่า เป็นการแก้ปัญหาที่ปรับขนาดได้อย่างมากการใช้แนวทาง


88 แบบห้องเรียนกลับด้าน การเรียนในแง่ของการเรียนรู้ของนักเรียน ขณะที่นักเรียนไม่แสดงให้เห็นถึง การเรียนรู้จากการมุ่งเน้นกระบวนการของการเรียนการสอน การจำลองและการประเมินผลนักเรียน อาจจะผิดหวังและมีแรงจูงใจที่ลดลง พวกเขาจะเรียนรู้ทัศนคติของนักศึกษาที่มีต่อหัวข้อความตั้งใจ ของพวกเขาที่จะอ้างถึงการเรียนการสอนให้กับผู้อื่นและโอกาสที่พวกเขาจะใช้เวลาที่แน่นอนเช่นนี้อีก เป็นอย่างมาก ต่ำกว่านักเรียนในหรือพลิกสถานการณ์ในห้องเรียนปกติผลของการศึกษานี้สนับสนุน ข้อสรุปที่ว่าเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นจากการใช้การห้องเรียนกลับด้าน มีประสิทธิภาพและขยายขีดความสามารถ ซึ่งอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ที่ดีขึ้นกว่าการฝึกอบรมหรือการจำลองบทเรียน นักเรียนพบว่า วิธีการนี้เป็นการสร้างแรงจูงใจในการเรียนให้เพิ่มมากขึ้น และสร้างข้อแตกต่างในการเรียนการสอน ที่มากขึ้นด้วย มากาเรท และ ไลน่า (Margrethe & Liana, 2011) ได้ศึกษาการใช้เครือข่ายสังคมเพื่อ สร้างรูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือและทำการทดลองกับกลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรี ที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชาภาษาอังกฤษเพื่อธุรกิจ จำนวน 150 คน โดยแบ่งการทดลองออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้1) ใช้เครือข่ายสังคม 2) ไม่ใช้เครือข่ายสังคม การวิจัยครั้งนี้เป็นการประเมินผลจากการใช้คำถาม เชิงคุณภาพและเชิงปริมาณที่เป็นคำถามปลายเปิดในรูปแบบของการสัมภาษณ์รวมทั้งแบบทดสอบ ก่อนเรียนและหลังเรียน และใช้คำถามปลายปิด ผลการวิจัยพบว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือทำให้เกิด การทำงานเป็นทีมและมีผลกระทบต่อคุณภาพของผลงานที่ได้รับมอบหมาย กลุ่มที่ใช้เครือข่ายสังคม มีการร่วมกันแสดงความคิดเห็นและแชร์ประสบการณ์การเรียนรู้ส่งเสริมให้เกิดการทำงานร่วมกัน และเกิดการพัฒนาทักษะในการแก้ไขปัญหาร่วมกันภายในกลุ่มเพื่อให้ได้ผลงานที่ตรงตามจุดประสงค์ การเรียนรู้ที่ตั้งไว้นอกจากนี้ผลการวิจัยยังพบว่า เครือข่ายสังคมจะเอื้ออำนวยต่อการอภิปรายออนไลน์ แต่ยังขาดความร่วมมือในการตอบคำถามและการพูดคุยกันเพื่อติดต่อสื่อสารกัน สปาร์ค (Spark, 2011) ได้ศึกษาเรื่องโรงเรียนกลับด้านสำหรับการเลื่อนบทเรียน โดย Khan Academy โดยสรุปได้ว่า ผู้เขียนรายงานเกี่ยวกับรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับ ด้านที่ผู้ปกครองสามารถช่วยเหลือบุตรหลานในการทำการบ้าน โดยเป็นรูปแบบที่ครูทำการบรรยาย ออนไลน์แล้วให้นักเรียนเข้าถึงที่บ้าน และใช้เวลาในขั้นเรียนในการฝึกปฏิบัติทำโครงงานกลุ่มหรือทำ การบ้าน แต่มีนักวิจารณ์ได้ถกเถียงว่า รูปแบบนี้ทำให้นักเรียนพึ่งพาสื่อการเรียนออนไลน์มากเกินไป และยากต่อการนำไปใช้ในโรงเรียน ซึ่งต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีแต่สามารถช่วยให้ ครูผู้สอนกำหนดและติดตามนักเรียนเป็นรายบุคคลได้ สตราเยอร์ (Strayer, 2012) ได้ศึกษาวิธีการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) ที่มีอิทธิพลต่อความร่วมมือ นวัตกรรม และการแนะนำงาน โดยสรุปได้ว่า การพัฒนา เทคโนโลยีสมัยใหม่ก่อให้เกิดการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) ห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) ซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของการเรียนรู้แบบผสมผสานที่ใช้เทคโนโลยีในการเปลี่ยน สถานที่บรรยายไปยังนอกห้องเรียนและใช้กิจกรรมการเรียนรู้ในการฝึกปฏิบัติในชั้นเรียน งานวิจัยนี้


89 เปรียบเทียบสภาพแวดล้อมของห้องเรียนวิชาสถิติเบื้องต้นด้วยการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน กับการจัดการเรียนรู้แบบปกติในมหาวิทยาลัยเดียวกัน งานวิจัยนี้ใช้วิธีการศึกษาแบบผสมผสาน ระหว่างสภาพแวดล้อมที่เป็นทรัพย์สินของวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย (College and University Classroom Environment Inventory-CUCEI) โดยการสืบหาสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ของห้องเรียน ทั้งสองแบบ ใช้การเก็บข้อมูลโดยบันทึกข้อมูล การสัมภาษณ์และการสนทนากลุ่ม นักเรียนที่เรียน แบบห้องเรียนกลับด้านพอใจน้อยกว่าในเรื่องวิธีการแนะนำโครงสร้างของห้องเรียน เรื่องการมอบหมาย ชิ้นงาน แต่พอใจมากกว่าในเรื่องการเปิดกว้างในการเรียนรู้แบบร่วมมือมากขึ้น และเรื่องเป็นวิธี การเรียนการสอนที่เป็นนวัตกรรม และยังเป็นวิธีที่ทาให้มีความมั่นคงและความเชื่อมโยงกับสังคม การเรียนรู้ในห้องเรียน ลอยด์ และ เอเบนเนอร์ (Lloyd & Ebener, 2014) ศึกษาการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียน กลับทาง โดยใช้ชื่อการจัดการเรียนรู้ว่า The Inverted Model วิชาชีววิทยาของนักศึกษาที่เรียนมา จากต่างสาขา นักวิจัยกำหนดให้นักศึกษาใช้การจดบรรยายจากวีดีโอการสอนและแหล่งทรัพยากร ออนไลน์ที่มีให้ จากนั้นเมื่อเข้าชั้นเรียนอาจารย์จะทำหน้าที่เป็นผู้อำนวย(Facilitate) ให้นักศึกษาถาม ตอบและเรียนรู้เชิงลึกการวิจัยครั้งนี้ออกแบบการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental Design) มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีววิทยาของนักศึกษาที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ แบบห้องเรียนกลับทางและการจัดการเรียนรู้แบบบรรยายโดยใช้เครื่องมือวัดเป็นแบบทดสอบปลาย ภาคการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ t-test Independentผลปรากฏว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักศึกษาที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับทางสูงกว่าการจัดการเรียนรู้แบบบรรยาย เท่ากับ 74.49(S.D. = 12.54)และ 70.32 (S.D. = 12.19) ตามลำดับ นอกเหนือจากนี้นักวิจัยยัง วัดการกระจายของเกรดโดยใช้สถิติ Chi-square พบว่า นักศึกษาที่เลือกเรียนวิชาชีววิทยาในชั้นเรียน ของห้องเรียนกลับทางได้เกรด F และมีการถอดวิชาออก (เกรด W) น้อยกว่าห้องเรียนแบบบรรยาย อย่างมีนัยสำคัญ โอเวอร์ไมเออ (Overmyer, 2014) ศึกษาผลการใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการเรียน การสอนแบบห้องเรียนกลับทางของนักเรียนระดับวิทยาลัย ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาพีชคณิต งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ มีการออกแบบการวิจัยแบบกึ่งการทดลอง (Quasi-experimental Design) เพื่อเปรียบเทียบผลการเรียนวิชาพีชคณิตของนักเรียนที่เรียนแบบห้องเรียนกลับทาง(Flipped Classroommethods) และนักเรียนที่เรียนแบบบรรยาย (Traditional Lecture Structure) โดยที่ นักเรียนที่เรียนแบบห้องเรียนกลับทาง มีจำนวน 5 ห้องเรียน นักเรียนจะต้องดูวีดิโอการสอนสั้น ๆ และทำแบบฝึกหัดออนไลน์และบางห้องเรียนจะทำกิจกรรมกลุ่มในชั้นเรียน สืบเสาะความรู้ (Inquiry Based Learning) และการอภิปรายส่วนนักเรียนที่เรียนแบบบรรยาย มีจำนวน 6 ห้องเรียน นักเรียน จะเรียนในชั้นเรียนปกติและมีการบ้าน โดยใช้เครื่องมือเป็นแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทดสอบ


90 ก่อนเรียนและหลังเรียน งานวิจัยนี้พบว่า ผลการเรียนของนักเรียนทั้ง 2 กลุ่ม ไม่มีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ อย่างไรก็ตามนักเรียนที่เรียนด้วยห้องเรียนกลับทางมีคะแนนสูงกว่านักเรียน ที่เรียนแบบบรรยายเล็กน้อย ชูลท์ซ และคณะ(Schultzet al., 2014) ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับ ทางที่มีต่อผลการเรียนของนักเรียนโรงเรียนมัธยมวิชาเคมีขั้นสูงและผลการรับรู้ของนักศึกษาเกี่ยวกับวิธี การเรียนการสอน การทดลองแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มควบคุม ซึ่งใช้วิธีการสอนแบบดั้งเดิม (Tranditional TeachingMethods) และกลุ่มทดลองซึ่งใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับทางการประเมินและวิเคราะห์ผล โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive) และการทดสอบค่าt-test Independent พบว่ากลุ่มตัวอย่าง ทั้งสองความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และพบว่า การประเมินผลนักเรียนทุกคนที่เรียน ด้วยวิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับทางมีคะแนนสูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งหมด นอกจากนี้นักเรียนส่วนใหญ่ มีความเข้าใจที่ดีเกี่ยวกับการสอนในชั้นเรียนของห้องเรียนกลับทาง สังเกตในการเรียนแบบห้องเรียน กลับทางซึ่งนักเรียนสามารถหยุด ย้อนกลับและทบทวนการบรรยายเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้ เป็นรายบุคคลและครูมีความพร้อมช่วยเหลือนักเรียนมากขึ้น จากการศึกษาค้นคว้าเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องผู้วิจัยได้นำเอาหลักการทฤษฎีต่าง ๆ มาผสมผสาน เพื่อที่จะปรับใช้ในงานวิจัย เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่สามารถนำเทคโนโลยี เข้ามาปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประโยชน์อย่างแท้จริงและเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้า และพัฒนางานวิจัยที่เกี่ยวข้องต่อไป


กรอบแนวคิดในการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใชภาพที่ 14 ความสัมพันธ์ของปัจจัยที่ส่งเสริมการพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 ทฤษฎี


24 ช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ฎีการเชื่อมโยงความรู้ แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน และทักษะในศตวรรษที่ 21 102


ผู้วิจัยได้วิเคราะห์หลักการเรียนรู้ตามทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ และหเพื่อนำไปใช้ในการสร้างรูปแบบการเรียนการสอน แสดงดังภาพที่ 16 ภาพที่ 15 วิเคราะห์หลักการร่วมของทฤษฎีConneหลักการทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ (Connectivism) 1. การเรียนรู้และความรู้เกิดจากความหลากหลายของความคิดเห็น 2. การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงจุดของแหล่งความรู้ ต่าง ๆ 3. ความรู้สามารถถูกจัดเก็บไว้ในสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ได้ 4. ความสามารถในการเรียนรู้เพิ่มมากขึ้นมีความสำคัญมากกว่า ปริมาณความรู้ที่มีอยู่ในปัจจุบัน 5. การดูแลและคงไว้ซึ่งการเชื่อมโยงเป็นสิ่งที่จำเป็นในการอำนวย ให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง 6. ทักษะหลักที่สำคัญในการเรียนรู้คือ ความสามารถที่จะเห็น ความเชื่อมต่อโดยรวมขององค์ความรู้ในเรื่องต่างๆ 7. ความรู้ที่มีความถูกต้อง และทันสมัย เป็นจุดมุ่งหมาย ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดเชื่อมโยงนิยม 8. ในการจัดการการเรียนรู้ การเลือกที่จะเรียนรู้ และการเลือก ความหมายของสารสนเทศ ด้วยการเห็นความเป็นจริงที่ เปลี่ยนแปลงไป หลักการแนวคิดห้อCla1. เป็นการกำหนดยุทธวิธีเครูผู้สอนเป็นผู้ชี้แนะวิธกเนื้อหาโดยอาศัยวิธีการที่หกำหนดขึ้นเอง 2. เป็นการสืบค้นเพื่อให้เกิเป็นผู้คอยชี้แนะให้กับผู้เรีประเภท 3. เป็นการสร้างองค์ความรู้ผู้บูรณาการสร้างทักษะองเรียนรู้ด้วยตนเองโดยการส(Blogs) การใช้แบบทดสออนไลน์และกระดานสำ(Social Networking &4. เป็นการสาธิตและประยุความรู้โดยผู้เรียนเองในโครงงาน (Project) และ(Presentations) ที่เกิด


25 ลักการตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน เพื่อนำมาวิเคราะห์หาหลักการร่วม ectivism และแนวคิด Flipped Classroom องเรียนกลับด้าน (Flipped assroom) เพิ่มพูนประสบการณ์ โดยมี การเรียนรู้ให้กับผู้เรียนเพื่อเรียน หลากหลายทั้งการใช้กิจกรรมที่ ดมโนทัศน์รวบยอด โดยครูผู้สอน รียนจากสื่อหรือกิจกรรมหลาย รู้อย่างมีความหมายโดยผู้เรียนเป็น งค์ความรู้จากสื่อที่ได้รบจากการ สร้างกระดานความรู้อิเล็กทรอนิกส์ สอบ (Tests) การใช้สื่อสังคม ำหรับอภิปรายแบบออนไลน์ & Discussion Boards) ุกต์ใช้ เพื่อเป็นการสร้างองค์ เชิงสร้างสรรค์ โดยการจัดทำเป็น ะผ่านกระบวนการนำเสนอผลงาน จากการรังสรรค์งานเหล่านั้น หลักการร่วม ระหว่าง Connectivism & Flipped Classroom 1. ความสามารถในการเชื่อมโยง ประสบการณ์และความรู้เดิมมีบทบาท สำคัญต่อการเรียนรู้ 2. มนุษย์มีความรู้ในการเลือกและ เปลี่ยนแปลงข้อมูลสารสนเทศเพื่อช่วย ในการตัดสินใจการเรียนรู้ 3. เรียนรู้ข้อมูลใหม่และใช้รูปแบบการเรียนรู้ ที่หลากหลายและเน้นองค์ความรู้ที่ ถูกต้องใช้กิจกรรมเชื่อมโยงการเรียนรู้ 4. การเรียนรู้ขึ้นอยู่กับบริบทของผู้เรียน และเป็นกิจกรรมทางสังคม 5. สร้างองค์ความรู้โดยผู้เรียนเองในเชิง สร้างสรรค์ โดยการจัดทำเป็นโครงงาน และผ่านกระบวนการนำเสนอผลงาน ที่เกิดจากการรังสรรค์ 10 3


ผู้วิจัยได้นำหลักการร่วมไปวิเคราะห์เงื่อนไขในการจัดการเรียนรู้ และกำหแสดงดังภาพที่ 17 หลักการร่วม ระหว่าง Connectivism & Flipped Classroom 1. ความสามารถในการเชื่อมโยงประสบการณ์ และความรู้เดิมมีบทบาทสำคัญต่อการเรียนรู้ 2. มนุษย์มีความรู้ในการเลือกและเปลี่ยนแปลง ข้อมูลสารสนเทศเพื่อช่วยในการตัดสินใจ การเรียนรู้ 3. เรียนรู้ข้อมูลใหม่และใช้รูปแบบการเรียนรู้ ที่หลากหลายและเน้นองค์ความรู้ที่ถูกต้อง ใช้กิจกรรมเชื่อมโยงการเรียนรู้ 4. การเรียนรู้ขึ้นอยู่กับบริบทของผู้เรียนและ เป็นกิจกรรมทางสังคม 5. สร้างองค์ความรู้โดยผู้เรียนเองในเชิงสร้างสรรค์ โดยการจัดทำเป็นโครงงาน และผ่านกระบวนการ นำเสนอผลงาน ที่เกิดจากการรังสรรค์ เงื่อนไขการเรียนรู้จากหลักการร1. การเรียนรู้เป็นกระบวนการลงมือกระทำ (Acที่เกิดขึ้นในแต่ละบุคคล 2. ความรู้ถูกสร้างขึ้นด้วยตัวของผู้เรียนเอง โดรับมาใหม่ร่วมกับข้อมูลหรือความรู้เดิม 3. ความรู้ของบุคคลใด คือ โครงสร้างทางปัญญที่สร้างขึ้นจากประสบการณ์ 4. ครูมีหน้าที่จัดการให้นักเรียนได้ปรับขยายโคปัญญาของนักเรียนเอง 5. การเรียนรู้และความรู้ คือสิ่งที่หลงเหลือจาความคิดเห็นที่หลากหลาย 6. การเรียนรู้โดยเกิดขึ้นจากการมองเห็นความสโหนดที่กระจัดกระจายอย่างสับสนวุ่นวาย เความสัมพันธ์ การเรียนรู้ก็จะเกิดขึ้นทันที 7. ผู้เรียนต้องมีความสามารถในการค้นหาข้อมู8. การมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล เป็ให้เกิดการเรียนรู้ 9. การตัดสินใจด้วยตนเองเป็นกระบวนการเรียเรียนรู้และความหมายของข้อมูลที่เข้ามา โดลิขสิทธิ์และมีความรับผิดชอบต่อสังคม


26 นดเป็นขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้น ขั้นตอนการจัดการการเรียนรู้ของรูปแบบการเรียนการสอน 1. ขั้นเตรียมความพร้อมก่อนสอน - ชี้แจงผู้เรียน/ผู้ปกครอง - แนะนำวิธีการเรียน - กำหนดมาตรการ/ข้อตกลงก่อนชั้นเรียนที่บ้าน 2. ขั้นระหว่างการจัดการการเรียนการสอนตามขั้นตอน PIPES ขั้นตอนที่ 1 ขั้นเตรียมความพร้อม ขั้นตอนที่ 2 ขั้นจัดหมวดหมู่เนื้อหา ขั้นตอนที่ 3 ขั้นจัดการเรียนการสอน ขั้นตอนที่ 4 ขั้นประเมินผล ขั้นตอนที่ 5 ขั้นแบ่งปันความรู้ 3. ขั้นหลังการจัดการการเรียนรู้ 3.1 วัดผลและประเมินผลการเรียนตามสภาพจริง 3.2 ประเมินทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี ร่วม ctive Process) ยใช้ข้อมูลที่ได้ ญาของบุคคลนั้น ครงสร้างทาง กการแสดง สัมพันธ์ระหว่าง เมื่อเรามองเห็น มูล ป็นทักษะสำคัญ ยนรู้เลือกสิ่งที่จะ ดยไม่ละเมิด


ภาพที่ 16 วิเคราะห์เงื่อนไขในการจัดการเรียนรู้ และกำหนดเป็นผู้วิจัยได้ศึกษาความสัมพันธ์ของทักษะในศตวรรษที่ 21 ที่ต้องการพัฒนากัการเชื่อมโยงความรู้และแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน เพื่อพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 ขั้นที่ 1 ขั้นเตรียมความพร้อม ก่อนสอน ชี้แจงผู้เรียน / ผู้ปกครอง - ให้ผู้ปกครองนักเรียนทราบเรื่อง การเรียนแบบใหม่ แนะนำวิธีการเรียน - สอนวิธีดูและจัดการวีดิทัศน์ - กำหนดให้นักเรียนตั้งคำถามที่ น่าสนใจ กำหนดมาตรการ ข้อตกลงก่อนชั้นเรียนที่บ้าน - ให้นักเรียนได้จัดการเวลาและ งานของตนเอง - ส่งเสริมให้เด็กช่วยเหลือกันเอง ทักษะในศตวรรษที่ 21 การรู้สารสนเทศ (Information Literacy) 1. การเข้าถึงและการประเมินสารสนเทศ 2. การใช้และการจัดการสารสนเทศ การรู้สื่อ (Media Literacy) 1. ความสามารถในการวิเคราะห์สื่อ 2. ความสามารถในการผลิตสื่อสร้างสรรค์ การรู้เทคโนโลยี (ICT: Information, Communication and Technology Literacy) 1. ประสิทธิผลของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี


27 นขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนการสอน ับขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบการเรียนการสอนโดยบูรณาการทฤษฎี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 แสดงดังภาพที่ 18 10 4 1. ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ การเรียนรู้เกิดขึ้นจากกการสร้างการเชื่อมโยงเป็นเครือข่าย (Network) ผ่าน เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว และที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผู้เรียนเรียนรู้ ผ่าน เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อยู่ในโลกออนไลน์มา คัดกรอง และทำ ให้ทรัพยากรการเรียนรู้ต่าง ๆ เหล่านั้น มีความหมายสำหรับตัวเองใช้เทคโนโลยี สารสนเทศอย่างมีจริยธรรมและไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ นำไปสร้างกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่อ สังคม การเรียนรู้จำเป็นต้องเชื่อมโยงกับสังคม คนรอบตัว และการสร้างเครือข่าย ผู้เรียนสามารถนำข้อมูลมาร้อยเรียงให้เกิดเป็นการเชื่อมโยงที่มีความหมายสำหรับ การเรียนรู้ของตนเอง และนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการเรียนรู้ได้ 2. แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน เป็นการสร้างสรรค์องค์ความรู้ด้วยตัวผู้เรียนเองตามทักษะ ความรู้ความสามารถและ สติปัญญาของเอกัตบุคคล ตามอัตราความสามารถทางการเรียนแต่ละคน จากมวล ประสบการณ์ที่ครูจัดให้ผ่านสื่อเทคโนโลยี ICT หลากหลายประเภทในปัจจุบัน และ เป็นลักษณะการเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้นอกชั้นเรียนอย่างอิสระทั้งด้านความคิดและ วิธีปฏิบัติซึ่งแตกต่างจากการเรียนแบบเดิมที่ครูจะเป็นผู้ป้อนความรู้ประสบการณ์ให้ ผู้เรียนในลักษณะของครูเป็นศูนย์กลาง การสอนแบบกลับทางจะเป็นการเปลี่ยนแปลง บทบาทของครูอย่างสิ้นเชิง ครูไม่ใช่ผู้ถ่ายทอดความรู้แต่จะทำบทบาทเป็นติวเตอร์ หรือโค้ชที่จะเป็นผู้จุดประกายและสร้างความสนุกสนานในการเรียน รวมทั้งเป็น ผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนในชั้นเรียนนั้นๆ


ภาพที่ 17 ความสัมพันธ์ของทักษะในศตวรรษที่ 21 ท1. ขั้นเตรียมความพร้อเตรียมความพร้อมก่อนเรีนำเสนอเรื่องที่จะเรียน2. ขั้นจัดหมวดหมู่เนื้อห(Elicitation of the prioknowledge) ถามตอบเรื่องวีดิทัศน์/สื่อ ที3. ขั้นจัดการเรียนการสทำกิจกรรมเรียนรู้ด้วยตน4. ขั้นที่ประเมินผล ขั้นที่ 2 ขั้นระหว่างการการเรียนรู้ ตามขั้นตอน ขั้นที่ 3 ขั้นหลังการจัดการกา5. ขั้นนำเสนอผลงานทักษะในศตวรรษที่ 21 การรู้เท่าทันสารสนเทศ (Information Literacy) 1. การเข้าถึงและการประเมินสารสนเทศ 2. การใช้และการจัดการสารสนเทศ การรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) 1. ความสามารถในการวิเคราะห์สื่อ 2. ความสามารถในการผลิตสื่อสร้างสรรค์ การรู้ทันไอซีที (ICT: Information, Communication and Technology Literacy) 1. ประสิทธิผลของการประยุกต์ใช้ เทคโนโลยี


28 ที่ต้องการพัฒนากับขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ 10 5 1. ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ การเรียนรู้เกิดขึ้นจากกการสร้างการเชื่อมโยงเป็นเครือข่าย (Network) ผ่านเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว และที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผู้เรียนเรียนรู้ ผ่านเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อยู่ในโลกออนไลน์มา คัดกรอง และทำให้ทรัพยากรการเรียนรู้ต่าง ๆ เหล่านั้น มีความหมายสำหรับ ตัวเองใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมีจริยธรรมและ ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์นำไป สร้างกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่อสังคม การเรียนรู้จำเป็นต้องเชื่อมโยงกับสังคม คนรอบตัว และการสร้างเครือข่าย ผู้เรียนสามารถนำข้อมูลมาร้อยเรียงให้เกิดเป็นการเชื่อมโยงที่มีความหมายสำหรับ การเรียนรู้ของตนเอง และนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการเรียนรู้ได้ 2. แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน เป็นการสร้างสรรค์องค์ความรู้ด้วยตัวผู้เรียนเองตามทักษะ ความรู้ ความสามารถและสติปัญญาของเอกัตบุคคล ตามอัตราความสามารถทาง การ เรียนแต่ละคน จากมวลประสบการณ์ที่ครูจัดให้ผ่านสื่อเทคโนโลยี ICT หลากหลายประเภทในปัจจุบัน และเป็นลักษณะการเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้นอก ชั้นเรียนอย่างอิสระทั้งด้านความคิดและวิธีปฏิบัติซึ่งแตกต่างจากการเรียนแบบเดิม ที่ครูจะเป็นผู้ป้อนความรู้ประสบการณ์ให้ผู้เรียนในลักษณะของครูเป็นศูนย์กลาง การสอนแบบกลับทางจะเป็นการเปลี่ยนแปลงบทบาทของครูอย่างสิ้นเชิง ครู ไม่ใช่ผู้ถ่ายทอดความรู้แต่จะทำบทบาทเป็นติวเตอร์ หรือโค้ชที่จะเป็นผู้จุด ประกายและสร้างความสนุกสนานในการเรียน รวมทั้งเป็นผู้อำนวยความสะดวก ในการเรียนในชั้นเรียนนั้นๆ อม รียน น หา or ที่ศึกษา สอน นเอง จัด ารเรียนรู้ น


ภาพที่ 18 ความสัมพันธ์ของทักษะในศตวรรษที่ 21 ท


29 ที่ต้องการพัฒนากับขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ 10 6


107 หลังจากผู้วิจัยได้วิเคราะห์หลักการ หลักการเรียนร่วม เงื่อนไขการเรียนรู้ ตลอดจน ขั้นตอนการเรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนการสอน โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และแนวคิด ห้องเรียนกลับด้าน เพื่อเสริมสร้างทักษะในศตวรรษที่ 21 ด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรียบร้อยแล้ว ผู้วิจัยได้นำหลักการร่วมระหว่าง Connectivism และ Flipped Classroom มาวิเคราะห์หาองค์ประกอบของรูปแบบการเรียนการสอน แสดงดังภาพที่ 20 ภาพที่ 19 องค์ประกอบของรูปแบบการเรียนการสอน หลักการร่วม ระหว่าง Connectivism & Flipped Classroom 1. ความสามารถในการเชื่อมโยง ประสบการณ์และความรู้เดิมมีบทบาท สำคัญต่อการเรียนรู้ 2. มนุษย์มีความรู้ในการเลือกและ เปลี่ยนแปลงข้อมูลสารสนเทศเพื่อช่วย ในการตัดสินใจการเรียนรู้ 3. เรียนรู้ข้อมูลใหม่และใช้รูปแบบการเรียน การสอนที่หลากหลายและเน้นองค์ ความรู้ที่ถูกต้องใช้กิจกรรมเชื่อมโยง การเรียนรู้ 4. การเรียนรู้ขึ้นอยู่กับบริบทของผู้เรียน และเป็นกิจกรรมทางสังคม 5. สร้างองค์ความรู้โดยผู้เรียนเองในเชิง สร้างสรรค์ โดยการจัดทำเป็นโครงงาน และผ่านกระบวนการนำเสนอผลงาน ที่เกิดจากการรังสรรค์ องค์ประกอบด้านกระบวนการจัดการการเรียนรู้ การเชื่อมโยงประสบการณ์และความรู้เดิม การใช้การเลือก และเปลี่ยนแปลงข้อมูลสารสนเทศเพื่อช่วยในการตัดสินใจ การเรียนรู้ การเรียนรู้ข้อมูลใหม่และใช้รูปแบบการเรียนรู้ที่ หลากหลายตามบริบทของผู้เรียน โดยผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ ด้วยตนเอง โดยการจัดทำเป็นโครงงาน และผ่านกระบวนการ นำเสนอผลงานที่เกิดจากการรังสรรค์ องค์ประกอบด้านแหล่งการเรียนรู้ 1. สถานศึกษาและห้องเรียน 2. สถาบันศาสนา 3. ชุมชน 4. ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 5. เพื่อน องค์ประกอบด้านวัสดุสนับสนุนการเรียนรู้ วัสดุสนับสนุนการเรียนรู้สมัยใหม่ที่นำมาใช้ในการจัด การเรียน ได้แก่ บทเรียนออนไลน์ (e-Leaning) คอมพิวเตอร์ เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์แท็บเล็ตโทรศัพท์ที่เชื่อมต่อ อินเตอร์เน็ต องค์ประกอบด้านความร่วมมือบนเว็บไซด์สังคมเครือข่าย การแบ่งบทบาทหน้าที่กัน การช่วยเหลือกันของสมาชิก การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน การทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม ทั้งระหว่างครูกับผู้เรียน ผู้เรียนกับผู้เรียน และผู้เรียนกับกลุ่ม ของตัวเองในการเรียนรู้ และบริการสังคมผ่านสังคมเครือข่าย ออนไลน์ และเทคโนโลยี ได้ฝึกวิธีคิด วิเคราะห์ สร้างสรรค์ จินตนาการ และยอมรับผู้อื่น สร้างจิตสำนึกในความเป็น พลเมืองดี ผ่านเว็บไซต์เครือข่ายออนไลน์ (Social Network Website) Facebook


108 องค์ประกอบของรูปแบบการเรียนการสอน ผู้วิจัยได้วิเคราะห์หลักการของทฤษฎี การเชื่อมโยงความรู้และแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน เพื่อนำไปสนับสนุนกระบวนการจัดการเรียน การสอนตามรูปแบบการเรียนการสอน แสดงดังตารางที่ 2 ตารางที่ 2การสังเคราะห์ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้เพื่อกำหนดรูปแบบการเรียนการสอน ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ (Connectivism) หลักการ บราวน์ (Brown, 2002: 10-20) 1. การเรียนรู้เกิดขึ้นจากการสร้างการเชื่อมโยงเพื่อการพัฒนา เป็นเครือข่าย 2. การเรียนรู้เกิดขึ้นโดยมองว่า ทฤษฎีการเรียนรู้ในยุคเดิมๆ ไม่สามารถตอบสนองวิธีการเรียนรู้ของเยาวชนในยุคดิจิตัลได้ ท่ามกลางการพัฒนาของเทคโนโลยีต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเช่น โทรศัพท์มือถือ กล้องดิจิตัล ไอพอด ไอแพด เครื่องเล่นดีวี ดี คอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊ค อินเทอร์เน็ต ฯลฯ ซึ่งเยาวชนใช้ เวลาส่วนใหญ่เรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีต่างๆ เหล่านั้น 3. การเรียนรู้ภายใต้ แนวคิดการเชื่อมโยงนิยม (Connectivism) เกิดขึ้นจากการตัดสินใจของผู้เรียนที่จะ เลือกสรรทรัพยากร การเรียนรู้ต่างๆ ซึ่งอยู่รอบตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อยู่ในโลกออนไลน์นั้นมาคัดกรอง และ ทำให้ทรัพยากรการเรียนรู้ต่างๆ เหล่านั้น มีความหมาย สำหรับตัวเอง 4. การเรียนรู้จำเป็นต้องเกิดจากการเชื่อมโยงกับสังคม คน รอบตัว และการสร้างเครือข่าย เมื่อใดที่ข้อมูลสารสนเทศ ความคิดเห็น ความรู้สึก ภาพ การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดูเหมือนจะ ไม่ชัดเจนในความสัมพันธ์ 5. หากเมื่อผู้เรียนสามารถที่จะนำมาร้อยเรียงให้เกิดเป็นการ เชื่อมโยงที่มีความหมายสำหรับการเรียนรู้ของตนเองและ นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการเรียนรู้ได้นั้น เมื่อนั้นการ เรียนรู้ได้เกิดขึ้นแล้ว


109 ตารางที่ 2การสังเคราะห์ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้เพื่อกำหนดรูปแบบการเรียนการสอน (ต่อ) ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ (Connectivism) หลักการ ซีเมนส์ (Siemens, 2004: 79) 1. การเรียนรู้และความรู้เกิดจากความหลากหลายของ ความคิดเห็น 2. การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงจุดของแหล่งความรู้ ต่าง ๆ 3. ความรู้สามารถถูกจัดเก็บไว้ในสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ได้ 4. ความสามารถในการเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น มีความสำคัญ มากกว่าปริมาณความรู้ที่มีอยู่ในปัจจุบัน 5. การดูและคงไว้ซึ่งการเชื่อมโยงเป็นสิ่งที่จำเป็นในการอำนวย ให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง 6. ทักษะหลักที่สำคัญในการเรียนรู้คือ ความสามารถที่จะเห็น ความเชื่อมต่อโดยรวมขององค์ความรู้ในเรื่องต่างๆ 7. ความรู้ที่มีความถูกต้อง และทันสมัย เป็นจุดมุ่งหมาย ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดเชื่อมโยงนิยม 8. ในการจัดการการเรียนรู้ การเลือกที่จะเรียนรู้ และการ เลือกความหมายของสารสนเทศด้วยการเห็นความเป็นจริง ที่เปลี่ยนแปลงไปเมื่อเวลาเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ความ ถูกต้องของความรู้เปลี่ยนไปเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของ บริบทสารสนเทศ ทำให้ความถูกต้องของความรู้เปลี่ยนไป เนื่องจากกาเปลี่ยนแปลงของบริบท สารสนเทศ ซึ่งมีผลต่อ การตัดสิน เมื่อเทคโนโลยีการและอินเทอร์เน็ต ติดตามเรา ไปได้ทุกหนทุกแห่ง ตารางที่ 2การสังเคราะห์ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้เพื่อกำหนดรูปแบบการเรียนการสอน (ต่อ)


110 ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ (Connectivism) หลักการ โบพิโล (Bopelo,2011: 162) 1. จุดศูนย์กลางของทฤษฎีเชื่อมโยงความรู้ เป็นการเรียนใน รูปแบบการเชื่อมต่อการเรียนรู้ชุมชน และผลประโยชน์จาก การค้นคว้าข้อมูลการเรียนรู้ชุมชน คือการศึกษากลุ่มประชาชน รวมกัน ผ่านการหารือแลกเปลี่ยนความรู้ที่น่าสนใจ 2. ชุมชนได้รับความสำคัญว่า เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายที่กว้างขึ้น เครือข่ายซึ่งมีความหลากหลาย แต่สามารถเชื่อมต่อการ สนับสนุนบนพื้นฐานความหลากหลาย และการพัฒนาความรู้ ในเชิงสร้างสรรค์ 3. ความรู้ไม่ได้จำกัดอยู่ที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งแต่สามารถ กระจาย เผยแพร่ความรู้ข้อมูลเครือข่ายหรือบุคคลทั่วไปดังนั้น การเรียนรู้ และการสร้างความรู้ จะต้องขึ้นอยู่กับ ความหลากหลายของ มุมมองและความคิดเห็น และความสามารถในการเข้าถึงข้อมูล ที่แตกต่าง 4. ข้อมูลจะมีการเปลี่ยนแปลงและมีความจำเป็นต้องถูก ประเมินอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้องค์ความรู้และข้อมูลอย่าง แท้จริง 5. มีการเชื่อมต่อ ระหว่างทางวินัยในกระบวนการ สร้างองค์ ความรู้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสร้างระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Internet- environment กับการกระจายข้อมูลผ่านระบบ ตารางที่ 2การสังเคราะห์ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้เพื่อกำหนดรูปแบบการเรียนการสอน (ต่อ)


111 ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ (Connectivism) หลักการ ยืน ภู่วรวรรณ (2556: 38-40) 1. ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ เป็นทฤษฎีการเรียนรู้ที่มีพื้นฐาน มาจากความรู้ ที่มีอยู่บนโลก มากกว่าความรู้ ที่มีอยู่ในตัว ของ แต่ละคน 2. ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ เชื่อว่าการเรียนรู้และองค์ความรู้ มาจากความคิดที่หลากหลาย 3. การเรียนรู้ ตามทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้เป็นกระบวนการ เชื่อมโยงแหล่งสารสนเทศ 4. ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ เชื่อว่าการเรียนรู้เกิดขึ้นได้จาก เครื่องมือเครื่องจักรที่ไม่ใช่มนุษย์ 5. ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ เชื่อว่าการเรียนรู้มีอะไรมากกว่า การรู้ 6. ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ เชื่อว่าการทำให้มีการเชื่อมโยงทำ ให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง 7. ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ เชื่อว่า การรับรู้เกี่ยวกับการ เชื่อมโยงการหาข้อมูล ความคิด และแนวคิดสำคัญ คือแก่น ของทักษะการเรียนรู้ 8. ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียน เป็นผู้ปฏิบัติกิจกรรม ตารางที่ 2การสังเคราะห์แนวคิดห้องเรียนกลับด้านเพื่อกำหนดรูปแบบการเรียนการสอน (ต่อ)


112 แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) หลักการ เบอร์คแมน และ แซมส์ (Bergmann & Sams: 2012) 1. เป็นรูปแบบการเรียนการสอน ที่ครูต้องเปลี่ยนแปลงบริบท ของครูผู้สอน จากการสอน เป็นการจัดเตรียมแหล่งการเรียนรู้ และกิจกรรมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน 2. เน้นกิจกรรมที่ผู้เรียน จะต้องทำความเข้าใจจากเนื้อหาที่ครู จัดเตรียมให้นอกห้องเรียนหรือจากแหล่งการเรียนรู้ สารสนเทศอื่น ๆ 3. นำความรู้ที่ได้จากการศึกษาสรุปเป็นองค์ความรู้ด้วยตัวเอง กลับมา ทำกิจกรรมในห้องเรียนร่วมกับเพื่อน และครูผู้สอน ในลักษณะที่ว่า“เรียนที่บ้าน ทำการบ้านที่โรงเรียน” 4. มุ่งเน้นการสร้างสรรค์องค์ความรู้ด้วยตัวผู้เรียนเองตาม ทักษะความรู้ความสามารถและสติปัญญาของเอกัตบุคคล (Individualized Competency) 5. มุ่งเน้นการสร้างสรรค์องค์ความรู้ด้วยตัวผู้เรียนเองตาม อัตราความสามารถทางการเรียนแต่ละคน (Self-paced) จากมวลประสบการณ์ที่ครูจัดให้ผ่านสื่อเทคโนโลยีICT หลากหลายประเภทในปัจจุบัน 6. เป็นลักษณะการเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้นอกชั้นเรียนอย่าง อิสระทั้งด้านความคิดและวิธีปฏิบัติ 7. ครูไม่ใช่ผู้ถ่ายทอดความรู้แต่จะทำบทบาทเป็น ติวเตอร์ (Tutors) หรือโค้ช(Coach) ที่จะเป็นผู้จุดประกายและสร้าง ความสนุกสนานในการเรียน รวมทั้งเป็นผู้อำนวยความสะดวก ในการเรียน ตารางที่ 2การสังเคราะห์แนวคิดห้องเรียนกลับด้านเพื่อกำหนดรูปแบบการเรียนการสอน (ต่อ)


113 แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) หลักการ วิจารณ์ พานิช(2555: 30-34) 1. ส่งเสริมการเรียนรู้ ของนักเรียนตลอดเวลา โดยนำ เทคโนโลยีเข้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของนักเรียน ในศตวรรษ ที่ 21 ซึ่งเป็นยุคที่เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าเป็น อย่างมาก 2. ช่วยให้นักเรียนที่มีกิจกรรมมากสามารถเรียนล่วงหน้าหรือ เรียนตามได้ง่ายขึ้น และยังช่วยให้นักเรียนรู้จักบริหารเวลา ของตนให้เหมาะสมอีกด้วย 3. ทำให้ครูเข้าใจความก้าวหน้าทางการเรียนรู้ของนักเรียนว่า ช้าหรือเร็วและให้คำแนะนำในการเรียนหรือเนื้อหาวิชาได้ อย่างเหมาะสม 4. นักเรียนสามารถศึกษาจากสื่อการเรียนรู้ได้ตามศักยภาพ ของตน จะศึกษาสื่อกี่รอบก็ได้จนกว่าจะเข้าใจเนื้อหาบทเรียน 5. ช่วยสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนด้วยกัน และนักเรียน กับครูจากการทำกิจกรรมภายในชั้นเรียน ที่เป็นกิจกรรม กลุ่ม ให้นักเรียนได้เรียนรู้ และช่วยกันทำงานจน เป็นผลสำเร็จ โดยมีครูให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด 6. ทำให้ครูรู้จักนักเรียนของตนดีขึ้นจากการจัดกิจกรรมในชั้น เรียน เพราะครูต้องสังเกตพฤติกรรมการเรียน ให้คำแนะนำ สร้างแรงบันดาลใจให้กำลังใจรับฟังและส่งเสริมการ เรียนรู้ของนักเรียน ทำให้ครูเห็นความแตกต่างของนักเรียนใน ชั้นเรียน เห็นจุดแข็งและจุดอ่อนของนักเรียนแต่ละคน 7. ทำให้บรรยากาศการเรียนรู้ในชั้นเรียนเปลี่ยนไป พฤติกรรม ที่ไม่พึงประสงค์บางอย่างของนักเรียนหายไป เช่น การเล่น โทรศัพท์ในเวลาเรียน การนอนหลับในชั้นเรียน เนื่องจาก ในห้องเรียนกลับด้านนักเรียนจะเป็นผู้ลงมือปฏิบัติไม่ใช่รับ การถ่ายทอดแบบเดิม ตารางที่ 2การสังเคราะห์แนวคิดห้องเรียนกลับด้านเพื่อกำหนดรูปแบบการเรียนการสอน (ต่อ)


114 แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) หลักการ สุพัตราอุตมัง (2558) 1. ส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนตลอดเวลา โดยนำเทคโนโลยี เข้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของนักเรียนในศตวรรษ ที่21 ซึ่งเป็นยุคที่เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าเป็นอย่างมาก 2. ช่วยให้นักเรียนที่มีกิจกรรมมากสามารถเรียนล่วงหน้าหรือ เรียนตามได้ง่ายขึ้น และยังช่วยให้นักเรียนรู้จักบริหารเวลา ของตนให้เหมาะสมอีกด้วย 3. ทำให้ครูเข้าใจความก้าวหน้าทางการเรียนรู้ของนักเรียนว่า ช้าหรือเร็วและให้คำแนะนำในการเรียนหรือเนื้อหาวิชาได้ อย่างเหมาะสม 4. นักเรียนสามารถศึกษาจากสื่อการเรียนรู้ได้ตามศักยภาพ ของตน จะศึกษาสื่อกี่รอบก็ได้จนกว่าจะเข้าใจเนื้อหา บทเรียนนั้น 5. ช่วยสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนด้วยกัน และนักเรียน กับครูจากการทำกิจกรรมภายในชั้นเรียน ที่เป็นกิจกรรม กลุ่ม ให้นักเรียนได้เรียนรู้และช่วยกันทำงานจน ประสบผลสำเร็จโดยมีครูคอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด 6. ทำให้ครูรู้จักนักเรียนของตนดีขึ้นจากการจัดกิจกรรมในชั้น เรียน เพราะครูต้องสังเกตพฤติกรรมการเรียน ให้คำแนะนำ สร้างแรงบันดาลใจให้กำลังใจรับฟังและส่งเสริมการ เรียนรู้ของนักเรียน ทำให้ครูเห็นความแตกต่างของนักเรียนใน ชั้นเรียน เห็นจุดแข็งและจุดอ่อนของนักเรียนแต่ละคน 7. ทำให้บรรยากาศการเรียนรู้ในชั้นเรียนเปลี่ยนไป พฤติกรรม ที่ไม่พึงประสงค์บางอย่างของนักเรียนหายไป เช่น การเล่น โทรศัพท์ในเวลาเรียน การนอนหลับในชั้นเรียน เนื่องจาก ในห้องเรียนกลับด้านนักเรียนจะเป็นผู้ลงมือปฏิบัติไม่ใช่รับ การถ่ายทอดแบบเดิมจากที่กล่าวมาข้างต้น การจัดการ เรียนรู้แบบกลับด้านห้องเรียน


ภาพที่ 20 กรอบแนวคิทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ (Connectivism) C1 Aggregating สร้างความตระหนัก และการรวบรวมข้อมูล จากแหล่งเรียนรู้บนอินเทอร์เน็ต C2 Remixing จัดหมวดหมู่สิ่งที่คันคว้าซึ่งผู้เรียนสามารถแบ่งปันทรัพยากร ที่หามาได้ C3 Repurposing การประยุกต์ใช้ จากเนื้อหาที่ทำการศึกษา โดยการสนทนาเชิงลึก ยกตัวอย่าง ทดลองใช้ และฝึกหัดด้วยตนเอง C4 Sharing การแบ่งปัน การนำเสนอผลงานให้ผู้เรียนร่วมและสังคม ภายนอกได้รับรู้ FC1P = Preparing ขั้นการเตรียมความพร้อม FC2I = Introducing ขั้นการนำเข้าสู่เนื้อหาการเรียนการสอน FC3P = Processing ขั้นกระบวนการเรียนรู้โดยผู้เรียนเป็นผู้บูรณาการ สร้างทักษะองค์ความรู้จากสื่อที่ได้รับ จากการเรียนรู้ด้วยตนเอง FC4E = Evaluating ขั้นการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และผลป้อนกลับ


105 คิดในการวิจัย 11 5 รูปแบบการเรียนการสอน โดยประยุกต์ใช้ ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และแนวคิดห้องเรียน กลับด้าน ขั้นตอนที่ 1P & A = Preparing & Aggregating ขั้นเตรียมความพร้อม ขั้นตอนที่ 2I & R = Introducing & Remixing ขั้นจัดหมวดหมู่เนื้อหา ขั้นตอนที่ 3 P & R = Processing & Repurposing ขั้นจัดการเรียนการสอน ขั้นตอนที่ 4 E = Evaluating ขั้นประเมินผล ขั้นตอนที่ 5S = Sharing ขั้นแบ่งปันความรู้ ทักษะด้าน สารสนเทศ สื่อ และ เทคโนโลยี และ ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน


116 องค์ประกอบของตัวแปรตาม ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี(Information, Media and Technology Skills) ได้แก่ องค์ประกอบสำคัญดังต่อไปนี้(The Partnership for 21st Century Skills,2009: 5-6) 1. การรู้สารสนเทศ (Information Literacy) ประกอบด้วย 1.1 การเข้าถึงและการประเมินสารสนเทศ (Access and Evaluate Information) โดย 1.1.1 เข้าถึงสารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ด้านเวลา) และเกิดประสิทธิผล (แหล่งข้อมูลสารสนเทศ) 1.1.2 ประเมินสารสนเทศได้อย่างมีวิจารณญาณตามสมรรถนะที่เกิดขึ้น 1.2 การใช้และการจัดการสารสนเทศ (Use and Manage Information) โดย 1.2.1เพิ่มประสิทธิภาพการใช้สารสนเทศอย่างสร้างสรรค์และตรงกับประเด็น ปัญหาที่เกิดขึ้น 1.2.2 จัดการกับสารเทศได้อย่างต่อเนื่อง จากแหล่งข้อมูลที่มีอยู่มากมายหลากหลาย 1.2.3 มีความรู้พื้นฐานที่จะประยุกต์ใช้สารสนเทศตามกรอบแห่งคุณธรรมจริยธรรม ที่มีปัจจัยเสริมอยู่รอบด้าน 2. การรู้สื่อ (Media Literacy) ประกอบด้วย 2.1 ความสามารถในการวิเคราะห์สื่อ (Analyze Media) โดย 2.1.1 เข้าใจวิธีการใช้และการผลิตสื่อเพื่อให้ตรงกับเป้าประสงค์ที่กำหนด 2.1.2 สามารถใช้สื่อเพื่อตอบสนองต่อความแตกต่างของปัจเจกชน รู้คุณค่าและ สร้างจุดเน้น รู้ถึงอิทธิพลของสื่อที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคสื่อ 2.1.3 มีความรู้พื้นฐานที่จะประยุกต์ใช้สื่อได้ตามกรอบแห่งคุณธรรมจริยธรรมที่มี ปัจจัยเสริมอยู่รอบด้าน 2.2 ความสามารถในการผลิตสื่อสร้างสรรค์ (Create Media Products) โดย 2.2.1 มีความรู้ความเข้าใจต่อการใช้สื่ออย่างสร้างสรรค์และเหมาะสมตามคุณลักษณะ เฉพาะของตัวสื่อประเภทนั้น ๆ 2.2.2 มีความรู้ความเข้าใจต่อการใช้สื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสนองต่อ ความแตกต่างในเชิงวัฒนธรรมอย่างรอบด้าน 3. การรู้เทคโนโลยี(ICT: Information, Communication and Technology Literacy) ประกอบด้วย


117 3.1 ประสิทธิผลของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี (Apply Technology Efficiency) โดย 3.1.1 ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือเพื่อการวิจัย การจัดการองค์กร การประเมินและ การสื่อสารทางสารสนเทศ 3.1.2 ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (คอมพิวเตอร์, PDAs, Media Players etc.) ในการสื่อสาร และการสร้างเครือข่าย รวมทั้งการเข้าถึงสื่อทางสังคม (Social Media) ได้อย่างเหมาะสม 3.1.3 มีความรู้พื้นฐานในการประยุกต์ใช้ ICT ได้ตามกรอบแห่งคุณธรรมจริยธรรม ที่มีข้อมูลหลากหลายรอบด้าน


บทที่3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้ เป็นการวิจัยเพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎี การเชื่อมโยงความรู้และแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผู้วิจัยได้ ประยุกต์ใช้ขั้นตอนการวิจัยเชิงพัฒนา (Developmental Research) ของ ริชชีย์, ไคลน์ และ เนลสัน (Richey, Klein, & Nelson, 2005: 30-31)ดำเนินการวิจัยเป็น 2ระยะ คือ ระยะที่1 การพัฒนา รูปแบบการเรียนการสอน โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และแนวคิดห้องเรียนกลับ ด้าน และระยะที่ 2 การศึกษาผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยง ความรู้และแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิจัยตามลำดับขั้นตอน ดังนี้ ระยะที่ 1การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ และแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน การดำเนินการในส่วนนี้ ประกอบด้วย4 ขั้นตอน คือ 1. การศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เพื่อกำหนดกรอบของรูปแบบการเรียนการสอนฯ ที่พัฒนาขึ้น และจัดทำรายละเอียดของรูปแบบการเรียนการสอนฯ ฉบับร่าง 1.1 ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดที่ใช้เป็นฐานในการพัฒนารูปแบบการเรียน การสอนฯ ได้แก่ 1) รูปแบบการเรียนการสอน 2)แนวคิดพื้นฐานที่นำมาใช้ในการพัฒนารูปแบบการเรียน การสอนฯ 3) ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้4) แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน เพื่อกำหนดองค์ประกอบของ รูปแบบการเรียนการสอนฯ ฉบับร่าง 1.2 การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ และแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีกรอบแนวคิดในการพัฒนา รูปแบบการเรียนการสอนฯ แสดงดังภาพที่ 22 ภาพที่21 กรอบแนวคิดที่ใช้พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPESฉบับร่าง จากกรอบแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนสามารถกำหนด รายละเอียดผลที่ได้รับจากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง แสดงได้ดังตารางที่3 1. แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน 2. ทฤษฎีการเชื่อมโยความรู้ 3. แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน 4. แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา การงานพื้นฐานอาชีพ รูปแบบการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้ ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และแนวคิด ห้องเรียนกลับด้าน (PIPES) ฉบับร่าง


119 ตารางที่3 ผลการกำหนดกรอบแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES แนวคิดที่ใช้ เป็นฐานคิด ผลที่ได้รับจากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง 1. แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนา รูปแบบการเรียน การสอน เพื่อกำหนดองค์ประกอบของรูปแบบการเรียนการสอนฯ ที่พัฒนาขึ้น มี9 องค์ประกอบ ตามแนวคิดของตามแนวคิดของ Joyceและ Weil (2009: 24)คือ1) ที่มาของรูปแบบการเรียนการสอน ตามรูปแบบ การเรียนการสอน 2) หลักการจัดการเรียนการสอน 3) วัตถุประสงค์4)ขั้นตอนการจัดการเรียนการสอน 5)การวัดและ ประเมินผล6)ระบบสังคม 7) หลักการแสดงปฏิสัมพันธ์8) สิ่ง สนับสนุนการสอน และ 9)ผลที่เกิดกับผู้เรียน 2. ทฤษฎีการเชื่อมโยง ความรู้ ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้เน้นการเรียนรู้ผ่านเครือข่ายสังคมด้วย เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีการสื่อสาร เป็นทฤษฎีการเรียนรู้ สำหรับยุคดิจิตอลเน้นการเชื่อมต่อชุดข้อมูลเฉพาะและการเชื่อมต่อที่ช่วย ให้เราเรียนรู้เพิ่มเติมได้(Siemens, 2004: 6) โดยการเชื่อมต่อและป้อน ข้อมูลเข้าไปในชุมชนการจัดการการเรียนรู้ชุมชนเป็นกลุ่มของพื้นที่ ที่คล้ายกัน ที่สนใจเหมือนกัน ช่วยให้มีการปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน (Grenadier, 2005: 29)และใช้หลักการความวุ่นวายของเครือข่ายที่ซับซ้อนและทฤษฎี องค์กรการเรียนรู้เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในสภาพแวดล้อมที่คลุมเครือ ภายใต้การควบคุมของบุคคลคือเน้นการเชื่อมต่อชุดข้อมูลเฉพาะและ ตารางที่3 ผลการกำหนดกรอบแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES (ต่อ)


120 แนวคิดที่ใช้ เป็นฐานคิด ผลที่ได้รับจากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง การเชื่อมต่อที่ช่วยให้เราเรียนรู้เพิ่มเติมให้มีความสำคัญมากกว่าที่เรารู้ใน ปัจจุบัน (Downes, 2005: 19-39)ซึ่งเครือข่ายประกอบด้วยสองหรือ มากกว่าหนึ่งจุดเชื่อมโยงเพื่อให้เราสามารถใช้ทรัพยากรร่วมกัน แต่ละจุด เชื่อมโยงอาจจะแตกต่างกันขนาดและความแข็งแกร่งขึ้นอยู่กับความเข้มข้น ของข้อมูลและจำนวนของบุคคลที่กำลังนำทาง (Baggaley, 2012:117- 123) ช่วยทำให้ครูและนักเรียนที่ติดต่อสื่อสารกันผ่านสังคมเครือข่าย มีปฏิสัมพันธ์กันโดยตรงและบ่อยขึ้น ถนอมพร เลาหจรัสแสง (2541:63) ท่ามกลางการพัฒนาของเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่มีอยู่รอบตัว เช่น โทรศัพท์มือถือ กล้องดิจิตัลไอพอด เครื่องเล่นดีวีดีคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค อินเทอร์เน็ต ฯลฯ 3. แนวคิดห้องเรียน กลับด้าน ผู้วิจัยนำแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) มาใช้ ในการจัดการเรียนการสอนครั้งนี้ โดยใช้แนวคิดของ Gerstein (2011); Bergmann และSams (2012);Schoolwires(2013)และสุรศักดิ์ปาเฮ (2556) ผู้วิจัยได้รูปแบบการเรียนการสอน 4. แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนา ผลการเรียนรู้วิชา การงานพื้นฐานอาชีพ นำมาพัฒนาแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาการงานพื้นฐาน อาชีพ ผู้วิจัยได้จัดทำเอกสารรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ฉบับร่างที่แสดงถึง ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบตามแนวคิดของ Joyceและ Weil (2009: 24) มี8 องค์ประกอบ คือ 1) ที่มาของรูปแบบการเรียนการสอน ตามรูปแบบการเรียนการสอน 2) หลักการจัดการเรียนการสอน 3) วัตถุประสงค์4) ขั้นตอนการจัดการเรียนการสอน 5)การวัดและประเมินผล 6) ระบบสังคม 7) หลักการแสดงปฏิสัมพันธ์ และ 8) สิ่งสนับสนุนการสอน รายละเอียดของการสังเคราะห์แนวคิด ทฤษฎีที่นำมาใช้ในการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES แสดงในบทที่ 2 ผลการศึกษา พบว่า ได้รูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPESฉบับร่าง 5 ขั้น ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 Preparing & Aggregating ขั้นการเตรียมความพร้อม มี 6 ขั้น วิเคราะห์ รายวิชา/วิเคราะห์ผู้เรียน/เตรียมความพร้อมผู้เรียน/เตรียมความพร้อมผู้สอน/ออกแบบสื่อการเรียน การสอน/วิเคราะห์ปัจจัยสิ่งที่สนับสนุนการเรียนการสอนโดยนักเรียนและครูพูดจะคุยถึงคำถามที่น่าสนใจ


121 ที่เกิดจากการเรียนล่วงหน้า (Flipped Classroom: Out Class Activities) แล้วทำบันทึก Cornell มาก่อนเข้าชั้นเรียน เพื่อเป็นการนำเข้าสู่บทเรียน (Warm up) ใช้เวลา 5 นาทีเป็นการเริ่มกิจกรรม ในห้องเรียน (Flipped Classroom: In Class Activities) ขั้นตอนที่2 Introducing & Remixingขั้นจัดหมวดหมู่เนื้อหา มี 4 ขั้น ปฐมนิเทศ ผู้เรียน/ทดสอบก่อนเรียน/การใช้สื่อสังคมออนไลน์/การจัดกลุ่มผู้เรียน โดยนักเรียนแต่ละกลุ่มเมื่อได้ ไปศึกษานอกห้องเรียนมาแล้ว จะมาร่วมกันแบ่งปันความรู้กันในห้องเรียนเรียงลำดับไปทีละเรื่องและ ทุกคนในห้องเรียนก็จะได้พูดคุย ถกเถียง อธิบาย อภิปรายประเด็นที่สงสัย คำถามต่าง ๆ ที่ได้จาก การเรียนรู้ ตอบคำถามร่วมกันทั้งห้องเรียน ขั้นตอนที่ 3 Processing & Repurposingขั้นจัดการเรียนการสอน มี 2 ส่วน กิจกรรม นอกห้องเรียน/กิจกรรมในห้องเรียน ขั้นตอนที่4 Evaluatingขั้นการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและผลป้อนกลับ มี 3 ขั้น คือ ประเมินผลงานระหว่างดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้/ประเมินทักษะด้านสารสนเทศสื่อและ เทคโนโลยี/วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การงานอาชีพ โดยครูจะทำหน้าที่ชี้แนะ ร่วมหาคำตอบ อธิบายเหตุผล ลงข้อสรุปร่วมกับนักเรียนในชั้นเรียน เพิ่มเติมส่วนที่ขาดหายไป และแนะนำประเด็น ที่น่าสนใจ หัวข้อรู้หรือเปล่าซึ่งจะเกี่ยวข้อกับการนำความรู้ที่เรียนมาไปใช้ ขั้นตอนที่ 5 Sharingขั้นแบ่งปันความรู้ 2. การสัมภาษณ์(Interview) วัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาและให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงรูปแบบ การเรียนการสอนแบบ PIPES ที่พัฒนาขึ้น ดังนี้ 2.1 กลุ่มเป้าหมาย เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3คน ประกอบด้วย 1) ผู้ทรงคุณวุฒิด้าน หลักสูตรและการเรียนการสอนที่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขาหลักสูตรและการเรียนการสอน และมีประสบการณ์สอนไม่น้อยกว่า 5 ปีจำนวน 1คน 3)ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสอนการงานพื้นฐาน อาชีพ มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขาหลักสูตรและการเรียนการสอน และมีประสบการณ์ สอน ไม่น้อยกว่า 5 ปีจำนวน 2 คน รายนามผู้ทรงคุณวุฒิ แสดงดังภาคผนวกก 2.2 ตัวแปรที่ศึกษา คือ คุณภาพของรูปแบบการเรียนการสอน ฯ ที่พัฒนาขึ้น 2.3 เนื้อหาในการสัมภาษณ์คือเอกสารรูปแบบการเรียนการสอนฯ ที่พัฒนาขึ้น พิจารณาก่อนการนัดหมายสัมภาษณ์ประมาณ 1 สัปดาห์ และทำการนัดหมายเพื่อขอเข้าดำเนินการ สัมภาษณ์ตามหัวข้อของแบบประเมินคุณภาพของรูปแบบการเรียนการสอน 2.7 การวิเคราะห์ข้อมูลรูปแบบการเรียนการสน ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยการสรุปแบบพรรณนาความ


122 ผลการศึกษาพบว่า รูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ที่พัฒนาขึ้น ผู้ทรงคุณวุฒิ มีความคิดเห็นตรงกันว่า ทุกองค์ประกอบมีความสอดคล้องเหมาะสม ข้อเสนอแนะเพื่อนำไปพัฒนา คือ น่าจะมีผลของรูปแบบการเรียนการสอนด้านอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากที่กำหนดในวิทยานิพนธ์ผู้วิจัย นำเสนอแนวคิดการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และ แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน เพื่อให้เกิดผลที่เกิดขึ้นได้แก่ ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี แต่การใช้ภาษาในการเขียนเชื่อมโยง แนวคิด ทฤษฎี หลักการ จนถึงขั้นตอนการจัดการเรียนการสอน ในบางประเด็นยังไม่ค่อยเข้าใจให้เขียนอธิบายให้ชัดเจนและผลการวิเคราะห์ขั้นตอนในการจัดการเรียน การสอนตามรูปแบบการเรียนการสอนไม่ตรงกัน 3. ปรับปรุงและจัดทำเอกสารรายละเอียดรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ที่พัฒนาขึ้น ผู้วิจัยดำเนินการปรับปรุงและจัดทำเอกสารรายละเอียดรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ตามข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิผลการปรับปรุง ดังนี้ 3.1 ผลการสังเคราะห์เอกสารงานวิจัยของนักวิชาการที่เกี่ยวกับขั้นตอนการเรียนรู้ตาม ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้(Connectivism)แสดงดังภาพที่ 23


123 ภาพที่22 ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ที่ใช้ในการเรียนการสอนกับขั้นตอนการเรียนการสอน ระดับที่ 1 Awareness & Receptivity (Siemens, 2006) ผู้เรียนนี้มีความสนใจและต้องการที่จะเริ่มเรียนรู้/ใช้ทักษะ พื้นฐานเพื่อเชื่อมโยงค้นหาเข้าถึงสารสนเทศ/สามารถสืบค้น แสวงหาเข้าถึงแหล่งข้อมูลโดยใช้เครื่องมือทางเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร ระดับที่ 1 Aggregation (Downse, 2012) การรวบรวมข้อมูลจาก แหล่งเรียนรู้บนอินเทอร์เน็ต ผู้เรียนศึกษาประเด็น เนื้อหาที่สนใจ รวมถึง วางแผนช่องทางในการศึกษาด้วยตนเอง ระดับที่2 Connection-forming (Siemens, 2006) สามารถสร้างและจัดแบบฟอร์มในเครือข่ายส่วนตัวได้/ผู้เรียน มีสามารถเข้าร่วมกิจกรรมในพื้นที่แหล่งนิเวศการเรียนรู้ ระดับที่3 Contribution & Involvement (Siemens, 2006) ผู้เรียนสามารถโพสต์ข้อมูล/แสดงออกทางความคิดลงในนิเวศ การเรียนรู้/ผู้เรียนเริ่มเผยแพร่แบ่งปัน เกิดเป็นแหล่งข้อมูล ระดับที่4 Pattern Recognition (Siemens, 2006) สร้างการรู้จำแบบแผน/ผู้เรียนนี้เป็นจุดเริ่มต้นความตระหนัก ต่อเครือข่าย(Network Aware)/ผู้เรียนเป็นผู้ที่เข้ามามีส่วนร่วม ในนิเวศการเรียนรู้/ผู้เรียนสามารถจัดการความรู้ในเกิดการรู้จำ ระดับที่ 2 Remixing(Downse, 2012) การผสมผสานจัดหมวดหมู่สิ่งที่ค้นคว้าซึ่งผู้เรียนสามารถ แบ่งปันทรัพยากรที่หามาได้และร่วมกันประเมินคุณภาพกับผู้อื่น ขั้นที่ 1 Aggregating สร้างความสนใจและ การรวบรวมข้อมูล พื้นฐานจากแหล่ง เรียนรู้บนอินเทอร์เน็ต ขั้นที่ 2 Connecting มีส่วนร่วมและ แสดงออกทาง ความคิดในการสร้าง เครือข่ายส่วนตัว และจัดหมวดหมู่สิ่ง ที่คันคว้าซึ่งผู้เรียน สามารถแบ่งปัน ทรัพยากรที่หามาได้ ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ ขั้นตอนการเรียนการสอน


124 ภาพที่22 ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ที่ใช้ในการเรียนการสอนกับขั้นตอนการเรียนการสอน (ต่อ) 3.2 ผลการสังเคราะห์เอกสารงานวิจัยของนักวิชาการที่เกี่ยวกับขั้นตอนการเรียนรู้ตาม แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom)แสดงดังภาพที่ 24 ระดับที่5 Meaning-making (Siemens, 2006) ผู้เรียนนี้สามารถเข้าใจถึงความหมายวิธีการหาความหมาย ของแบบแผน/ผู้เรียนสามารถรู้วิธีการปรับ ยอมรับและ ตอบสนอง/การหาความเนื้อหาจากการกระทำ ระดับที่ 3 การประยุกต์ใช้ Repurposing (Downse, 2012) การสรุปความรู้จากเนื้อหาที่ทำการศึกษา โดยการสนทนา เชิงลึก ยกตัวอย่าง ทดลองใช้ และฝึกหัดด้วยตนเอง ระดับที่6 Praxis (Siemens, 2006) สร้างสรรค์ประสบการณ์กับเครือข่ายการเรียนรู้ด้วยตนเอง/ สร้างสรรค์ประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ Tweaking การสร้าง ขึ้น (Building) และสร้างทดแทนขึ้นมาใหม่ (Recreating) ระดับที่ 4 Sharing (Downse, 2012) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การนำเสนอผลงานให้ผู้เรียนร่วมและสังคมภายนอกได้รับรู้ ซึ่งจะช่วยเสริมแรงผู้เรียนให้มีการพัฒนาต่อไป ขั้นที่ 3 MeaningMaking สามารถรู้วิธีการปรับ ยอมรับ เนื้อหา โดยการประยุกต์ใช้ จากเนื้อหาที่ทำการศึกษา โดยการสนทนาเชิงลึก ยกตัวอย่าง ทดลองใช้ และ ฝึกหัดด้วยตนเอง ขั้นที่ 4 Sharing สร้างสรรค์ประสบการณ์ กับเครือข่ายการเรียนรู้ ด้วยตนเองโดยการแลก เปลี่ยนเรียนรู้และนำเสนอ ผลงานให้ผู้เรียนร่วมได้รับรู้ ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ ขั้นตอนการเรียนการสอน


125 บันทึก ภาพที่23 แนวคิดห้องเรียนกลับด้านที่ใช้ในการเรียนการสอนกับขั้นตอนการเรียนการสอน ขั้นที่ 1 การกำหนดยุทธวิธีเพิ่มพูนประสบการณ์ (Experiential Engagment) (Gerstein, 2011) ขั้นที่1 ผู้สอนจะอธิบายวิธีการเรียนแบบแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Bergmann & Sams, 2012) ขั้นที่ 1 การนำเข้าสู่ประสบการณ์(ExperientialEngagement) ครูแนะนำวิธีการเรียนรู้ให้กับนักเรียน (Schoolwires,2013) ขั้นที่ 1 การกำหนดยุทธวิธีเพิ่มพูนประสบการณ์(Experiential Engagement) โดยมีครูผู้สอนเป็น (สุรศักดิ์ปาเฮ,2556) ผู้ชี้แนะวิธีการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน ขั้นที่ 2 การสืบค้นเพื่อให้เกิดแนวความคิดรวบยอด(Concept Exploration) (Gerstein, 2011) ขั้นที่2 ผู้สอนจะต้องสอนวิธีการดูและจัดการวีดิทัศน์ ขั้นที่3 ผู้เรียนตั้งคำถามที่น่าสนใจ ผู้สอนจะมอบหมายให้ผู้เรียน ตั้งคำถามคนละ 1 คำถาม จากบทเรียนที่ผู้เรียนเรียนจากวีดิทัศน์ (Bergmann & Sams, 2012) ขั้นที่ 2 การสำรวจความรู้เพื่อสร้างมโนทัศน์ (Concept Exploration) ครูแนะนำให้นักเรียนเรียนรู้จากกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น สื่อวีดิทัศน์ การบรรยาย สื่อบันทึกเสียง เว็บไซต์ สื่อสังคมออนไลน์ (Schoolwires,2013) ขั้นที่ 2 การสืบค้นเพื่อให้เกิดมโนทัศน์รวบยอด (Concept Exploration) โดยครูผู้สอนเป็นผู้คอยชี้แนะให้กับผู้เรียนจากสื่อหรือกิจกรรมหลาย ประเภท เช่น สื่อประเภทวิดีโอ การบรรยาย การใช้สื่อ Websites หรือสื่อออนไลน์Chats (สุรศักดิ์ปาเฮ,2556) ขั้นที่ 1Preparing ขั้นการเตรียม ความพร้อม ขั้นที่ 2 Introducing ขั้นการนำเข้าสู่เนื้อหา การเรียนการสอน


126 ภาพที่24 แนวคิดห้องเรียนกลับด้านที่ใช้ในการเรียนการสอนกับขั้นตอนการเรียนการสอน (ต่อ) ขั้นที่ 3 การสร้างองค์ความรู้อย่างมีความหมาย (Meaning Making) และขั้นที่ 4 การสาธิตและประยุกต์ ใช้ (Demonstration & Application) (Gerstein, 2011) ขั้นที่4 สร้างรูปแบบห้องเรียนแบบกลับด้าน และขั้นที่5 ผู้เรียน จัดการเวลาและงานของตนเอง (Bergmann และ Sams,2012) ขั้นที่ 3 การสร้างความรู้ที่มีความหมาย (MeaningMaking)สรุป องค์ความรู้จากสื่อที่ครูมอบหมายให้ศึกษา และขั้นที่ 4 การสาธิตและ ประยุกต์ใช้(Demonstration & Application) นักเรียนนำเสนอ ความรู้และการนำความรู้ไปใช้ (Schoolwires,2013) ขั้นที่ 3 การสร้างองค์ความรู้อย่างมีความหมาย(Meaning Making) โดยผู้เรียนเป็นผู้บูรณาการสร้างทักษะองค์ความรู้จากสื่อที่ได้รับจาก การเรียนรู้ ด้วยตนเอง และขั้นที่ 4 การสาธิตและประยุกต์ใช้ (Demonstration & Application) เป็นการสร้างองค์ความรู้ โดยผู้เรียนเองในเชิงสร้างสรรค์โดยการจัดทำเป็นโครงงาน (Project) และผ่านกระบวนการนำเสนอผลงาน (Presentations) (สุรศักดิ์ปาเฮ,2552) ขั้นที่5 การประเมินผลของผู้สอน (Bergmann, & Sams, 2012) ขั้นที่ 3Processing ขั้นกระบวนการเรียนรู้ แบบห้องเรียน กลับด้านผสาน ด้วยเทคโนโลยี ขั้นตอนที่ 4 Evaluating ขั้นการประเมินผล


127 3.3 ผลการสังเคราะห์เอกสารงานวิจัยของนักวิชาการที่เกี่ยวกับขั้นตอนการเรียนการสอน แบบ PIPESควรมีลักษณะแสดงดังภาพที่ 25 ภาพที่25 ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และแนวคิดห้องเรียนกลับด้านที่ใช้ในการเรียนการสอนกับ ขั้นตอนการเรียนการสอน (Connectivism) ขั้นที่ 1 Aggregating สร้างความตระหนักและการ รวบรวมข้อมูลจากแหล่งเรียนรู้บนอินเทอร์เน็ต (Flipped Classroom) ขั้นที่ 1 Preparing ขั้นการเตรียมความพร้อม ขั้นที่ 1 Preparing & Aggregating ขั้นเตรียมความพร้อม เพื่อสร้างความ ตระหนักและการรวบรวมข้อมูลจาก แหล่งเรียนรู้บนอินเทอร์เน็ต (Connectivism) ขั้นที่ 2 Remixingจัดหมวดหมู่สิ่งที่คันคว้าซึ่งผู้เรียน สามารถแบ่งปันทรัพยากรที่หามาได้ (Flipped Classroom) ขั้นที่ 2 Introducing ขั้นการนำเข้าสู่เนื้อหาการเรียนการสอน ขั้นที่ 2 Introducing & Remixing ขั้นจัดหมวดหมู่เนื้อหา โดยการตั้ง คำถามประเด็นที่ศึกษา เพื่อให้ได้ ข้อสรุป ในการจัดหมวดหมู่เนื้อหา ที่ศึกษามาก่อน (Connectivism) ขั้นที่ 3 Repurposingการประยุกต์ใช้ จากเนื้อหาที่ ทำการศึกษา โดยการสนทนาเชิงลึก ยกตัวอย่าง ทดลองใช้ และฝึกหัดด้วยตนเอง (Flipped Classroom) ขั้นที่ 3 Processing ขั้นกระบวนการเรียนรู้แบบห้องเรียน กลับด้านผสานด้วยเทคโนโลยีความจริงเสริม ขั้นที่ 3 Processing &Repurposing ขั้นจัดการเรียนการสอน จากเนื้อหา ที่ทำการศึกษา โดยการประยุกต์ใช้ จากเนื้อหาที่ทำการศึกษา เช่น การสนทนาเชิงลึก ฝึกปฏิบัติ ทดลองใช้ และฝึกหัดด้วยตนเอง (Flipped Classroom) ขั้นที่ 4 Evaluatingขั้นการประเมินผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนและผลป้อนกลับ ขั้นที่ 4 Evaluating ขั้นประเมินผล (Connectivism) ขั้นที่ 4 Sharing การแบ่งปัน การนำเสนอผลงานให้ ผู้เรียนร่วมและสังคมภายนอกได้รับรู้ ขั้นที่ 5 Sharing ขั้นแบ่งปันความรู้


128 สรุปผลการสังเคราะห์องค์ความรู้โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้(C) และแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (FC) ที่ใช้ในการเรียนการสอนกับขั้นตอนการเรียนการสอนตาม รูปแบบที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น พบว่า ควรมีลักษณะดังต่อไปนี้ ภาพที่26 ขั้นตอนการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และ แนวคิดห้องเรียนกลับด้านที่ใช้ในการเรียนการสอนกับขั้นตอนการเรียนการสอน C1 Aggregating สร้างความ ตระหนักและการรวบรวมข้อมูล จากแหล่งเรียนรู้บนอินเทอร์เน็ต P & A = Preparing & Aggregating ขั้นเตรียมความพร้อม FC1P = Preparing ขั้นการเตรียมความพร้อม C2Remixing มีส่วนร่วมและ แสดงออกทางความคิดในการสร้าง เครือข่าย จัดหมวดหมู่สิ่งที่ค้นคว้า และแบ่งปันทรัพยากรที่หามาได้ I & R = Introducing & Remixing ขั้นจัดหมวดหมู่เนื้อหา FC2I = Introducing ขั้นการเตรียมความพร้อม C3Repurposingการประยุกต์ใช้ จากเนื้อหาที่ทำการศึกษา โดย การสนทนาเชิงลึก ยกตัวอย่าง ทดลองใช้ และฝึกหัดด้วยตนเอง ที่หามาได้ P & R = Processing & Repurposing ขั้นจัดหมวดหมู่เนื้อหา FC3P = Processing ขั้นกระบวนการจัด การเรียนรู้ C4Sharingการแบ่งปัน การนำเสนอผลงานที่ให้ผู้เรียน ร่วมและสังคมภายนอกได้รับรู้ E = Evaluating ขั้นประเมินผล FC4E = Evaluating ขั้นประเมินผลการเรียน S = Sharing ขั้นแบ่งปันความรู้


129 3.4 การเพิ่มองค์ประกอบที่9ตามหลักการนำเสนอรูปแบบการเรียนการสอนของ จอยส์ และ เวลล์ (Joyce & Weil,2009: 24)คือผลที่จะเกิดขึ้นจากรูปแบบการเรียนการสอน ดังนี้ 3.4.1 ผลที่เกิดขึ้นทางตรง คือ ผู้เรียนมีทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี มีผลการเรียนรู้ในด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้สอนเปลี่ยนวิธีการสอนใหม่ จากกิจกรรมเดิมที่เคยทำในห้องเรียนก็เปลี่ยนไปทำที่บ้าน ส่วนกิจกรรมที่ทำที่บ้าน ก็ทำให้สมบูรณ์ แบบในห้องเรียน แต่ช่วงเวลาในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่จำกัดผู้เรียนยังคงที่ จะมีคำถาม หลังจากที่ศึกษาผ่านวีดีโอ รูปแบบของการเรียนการสอน จึงเริ่มด้วยการที่ผู้สอนตอบข้อสงสัยของผู้เรียน ก่อนเริ่มเรียนและเพิ่มเติมรายละเอียด เพื่อไม่ให้เข้าใจเนื้อหาผิดพลาด ก่อนที่จะนำความรู้ในเรื่องนั้น ไปฝึกหัดและประยุกต์ใช้ ส่วนเวลาที่เหลือให้ใช้ไปกับการจัดกิจกรรมที่ได้รับมอบหมายหรือฝึกทักษะ การแก้ปัญหา ผู้สอนจะมีเวลาให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติมากขึ้น ให้ผู้เรียนเรียนรู้เป็นรายบุคคล และเป็นกลุ่ม เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียนด้วยกันเองและระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน และยังใช้การประเมิน และให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนในเนื้อหาที่อาจเกิดขึ้นได้ 3.4.2 ผลที่เกิดขึ้นทางอ้อม คือผู้เรียนเกิดเครือข่ายการเรียนรู้ สามารถค้นหา วิเคราะห์ สร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเองจากการปฏิบัติงาน หลังจากที่ศึกษาเนื้อหาความรู้ก่อนทำกิจกรรมการเรียน การสอน และมีภูมิคุ้มกันในการตัดสินใจดูข้อมูลข่าวสารในปัจจุบันได้เพราะผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ โดยเรียนรู้จากกิจกรรม สื่อ วัสดุ อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ครูเตรียมไว้ ครูทำหน้าที่เป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ ในการทำกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมการเรียนการสอน ที่เป็นการลงมือฝึกปฏิบัติจริง เช่น การต่อสายไฟฟ้า การประดิษฐ์โมเดลกระดาษ การทำโครงงานไม้ เป็นต้น ครูทำหน้าที่ตอบสนองต่อ ผู้เรียนทางบวก คือ การให้กำลังใจ เป็นผู้ฟังที่ดีโดยให้เวลาให้ผู้เรียนได้คิดและแนะนำวิธีการต่าง ๆ ที่นักเรียนสงสัย นอกจากนี้ครูยังต้องประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียนและให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้เรียน ใน ทุกระยะของการเรียนรู้ 3.5 ผลการดำเนินงานในขั้นตอนนี้ ทำให้สามารถจัดทำรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPESฉบับสมบูรณ์ ซึ่งได้นำเสนอเอกสารรูปแบบการเรียนการสอนฯ ฉบับย่อ


130 4.การประเมินคุณภาพของรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ฉบับสมบูรณ์ ระยะที่ 2การศึกษาผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยง ความรู้และแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน การวิจัยในระยะนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ที่พัฒนาขึ้น ต่อ1) ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี2)ผลการเรียนรู้วิชาการงานพื้นฐานอาชีพ ในด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษาเป็นรายวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ 4 หน่วย จำนวน 12 ชั่วโมง ใช้เวลาสอนสัปดาห์ละ 1ชั่วโมง เป็นเวลา 12 สัปดาห์ ระหว่างวันที่1กรกฎาคม - 30ตุลาคม พ.ศ.2563 โดยมีรายละเอียดการดำเนินการวิจัยดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากร เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ของโรงเรียนสตรีราชินูทิศสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 20 จังหวัดอุดรธานีภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน16 ห้องเรียน รวมนักเรียนจำนวน 614คน 1.2 กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5โรงเรียนสตรีราชินูทิศ จังหวัดอุดรธานี ปีการศึกษา 2566 จำนวน 2 ห้องเรียน ได้มาโดยใช้วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม แล้วจับสลากอีกครั้งหนึ่ง ได้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/11และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/13 เป็นกลุ่มทดลองและกลุ่ม ควบคุม ตามลำดับ กลุ่มทดลองประกอบด้วยนักเรียนหญิงจำนวน 41คน ได้รับการสอนตามรูปแบบ การเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน และกลุ่ม ควบคุมประกอบด้วย นักเรียนเพศหญิง จำนวน 42คน ได้รับการสอนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนตาม คู่มือครู 2. แบบแผนการทดลอง การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยใช้รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลองที่มีกลุ่มควบคุม ทดสอบก่อนและหลัง (Nonequivalent Control Group Design) (สัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ และ วิลาวรรณ พันธุ์พฤกษ์, 2542: 25) มีแบบแผนการทดลองแสดงดังตารางที่4


131 ตารางที่4 แบบแผนการทดลอง กลุ่ม วัดก่อน สิ่งทดลอง วัดหลัง E O1 X O2 C O3 - O4 เมื่อ O1 หมายถึง คะแนนทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยีและผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน ก่อนทดลองของกลุ่มทดลอง O2 หมายถึง คะแนนทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยีและผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน หลังทดลองของกลุ่มทดลอง O3 หมายถึง คะแนนทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยีและผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน ก่อนทดลองของกลุ่มควบคุม O4 หมายถึง คะแนนทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยีและผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน หลังทดลองของกลุ่มควบคุม X หมายถึง การเรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎี การเชื่อมโยงความรู้และแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน - หมายถึง การเรียนรู้ตามคู่มือครู E หมายถึง กลุ่มทดลอง C หมายถึง กลุ่มควบคุม 3. ตัวแปรที่ศึกษา ได้แก่ 3.1 ตัวแปรต้น ได้แก่รูปแบบการเรียนการสอน แบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ 3.1.1 รูปแบบการเรียนการสอน โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และ แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน 3.1.2 รูปแบบการเรียนการสอนแบบปกติ 3.2 ตัวแปรตาม มี 1ตัว ได้แก่ 3.2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา การงานพื้นฐานอาชีพของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 3.3 ตัวแปรร่วม คือ การทดสอบก่อนเรียน ได้แก่ 3.3.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา การงานพื้นฐานอาชีพของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5


132 4. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย รายการเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แสดงดังตารางที่5 ตารางที่5 รายการเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ที่ รายการประเมิน เครื่องมือวัด ลักษณะเครื่องมือ ค่า ความเชื่อมั่น 1 ผลการเรียนรู้วิชาการ งานพื้นฐานอาชีพ แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา การงานพื้นฐานอาชีพ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เป็นแบบทดสอบ ปรนัยจำนวน 40 ข้อ 0.95 5. การสร้างและพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 5.1เครื่องมือวัดผลการเรียนรู้วิชาการงานพื้นฐานอาชีพ ประกอบด้วยแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาการงานพื้นฐานอาชีพ ดังนี้ 5.1.1 แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาการพื้นฐานงานอาชีพ เป็นแบบทดสอบ ชนิดเลือกตอบ 4ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ เวลาที่ใช้ในการทำข้อสอบ 60 นาทีดำเนินการดังนี้ 5.1.1.1 ศึกษาเอกสารและสร้างตารางวิเคราะห์ข้อสอบ ในวิชาการงานพื้นฐาน อาชีพ (งานช่างพื้นฐาน)ตามหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ หลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช2551 5.1.1.2 สร้างข้อสอบตามตารางวิเคราะห์ข้อสอบ และออกข้อสอบเพิ่ม จุดประสงค์ละ2ข้อ รวม 76 ข้อ 5.1.1.3 เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อพิจารณา 6. เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้2ชุด คือ แผนการจัด การเรียนรู้ที่จัดทำขึ้นตามรูปแบบการเรียนการโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และแนวคิด ห้องเรียนกลับด้าน และ แผนการจัดการเรียนรู้ที่จัดทำขึ้นตามรูปแบบการเรียนการสอนตามคู่มือครู ของรายวิชาการพื้นฐานงานอาชีพ (งานช่างพื้นฐาน)การดำเนินการดังนี้ 2.6.1 ศึกษาเอกสาร ตำรา และงานวิจัยที่เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนในขอบข่าย ของสาระวิชาการพื้นฐานงานอาชีพ (งานช่างพื้นฐาน) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช2551


133 2.6.2 ศึกษารายละเอียดเนื้อหาวิชาการพื้นฐานงานอาชีพ (งานช่างพื้นฐาน) จากคู่มือครู แบบเรียน และการเรียนรู้ ตามหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ 2.6.3 เขียนแผนการจัดการเรียนรู้ให้ครอบคลุมเนื้อหาที่วิเคราะห์ ตามหัวเรื่องที่กำหนด จำนวน 11 แผน โดยผู้วิจัยใช้เวลาสอนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมเท่ากัน คือ สัปดาห์ละ 1 ชั่วโมง จำนวน 18 สัปดาห์ รวม 18 ชั่วโมง คาบละ60 นาที โดยมีรายละเอียดดังนี้ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 งานช่างพื้นฐาน เวลา 1 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่2ความปลอดภัยในการปฏิบัติงานช่าง เวลา1 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่3 เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เวลา1 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่4 เตารีด พัดลม และกาต้มน้ำไฟฟ้า เวลา 1 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่5 หม้อหุงข้าวไฟฟ้าและเครื่องดูดฝุ่น เวลา1 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่6ตู้เย็นและเครื่องซักผ้า เวลา 1 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่7 การเขียนแบบเพื่อให้ได้มาตรฐานและรวดเร็วควร เลือกใช้เครื่องมือในงานเขียนแบบให้เหมาะสมกับงานและควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับเครื่องมือในงาน เขียนแบบก่อนลงมือปฏิบัติเวลา 1 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่8 ภาพไอโซเมตริก (Isometric) เวลา 1 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่9 ภาพออบลิค (OBLIQUE) เวลา 1 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่10การเขียนภาพฉายเวลา 1 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่11งานไม้เวลา8ชั่วโมง 2.6.4 นำแผนการจัดการเรียนรู้ทั้ง 2 รูปแบบ เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ และปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ 2.6.5 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่จัดทำขึ้นตามรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินความเหมาะสมของแผนการจัด การเรียนรู้ที่จัดทำขึ้น โดยใช้แบบ ประเมินมาตราส่วนประเมินค่า (Rating scale) 5 ระดับ โดยแปลความหมายของข้อมูล (บุญชม ศรี สะอาด,2553:69)ดังนี้ ค่าเฉลี่ย 4.51-5.00 หมายถึง เห็นด้วย/เหมาะสมในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 3.51-4.50 หมายถึง เห็นด้วย/เหมาะสมในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 2.51-3.50 หมายถึง เห็นด้วย/เหมาะสมในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.51-2.50 หมายถึง เห็นด้วย/เหมาะสมในระดับน้อย ค่าเฉลี่ย 1.00-1.50 หมายถึง เห็นด้วย/เหมาะสมในระดับน้อยที่สุด ผลการประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ที่จัดทำขึ้นตามรูปแบบ การเรียนการสอนแบบ PIPES แสดงดังตารางที่6


134 ตารางที่6ค่าเฉลี่ยคะแนนการประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ รายการประเมิน S.D. ความเหมาะสมในด้านความสอดคล้องภายในองค์ประกอบของแผนการ จัดการเรียนรู้ 1. จุดประสงค์การเรียนรู้สอดคล้องกับสาระสำคัญ 4.60 0.55 2. สาระสำคัญสอดคล้องกับเนื้อหา 4.40 0.55 3. กิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้องกับขั้นตอนการสอน 4.40 0.89 4. การวัดและประเมินผลสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้และกิจกรรม การเรียนรู้ตามขั้นตอนการสอน 4.60 0.55 5. สื่อและแหล่งเรียนรู้สอดคล้องกับกิจกรรมการเรียนรู้ตามขั้นตอนการสอน 4.60 0.55 ความเหมาะสมในด้านความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้กับรูปแบบ การเรียนการสอน 1. จุดประสงค์การเรียนรู้ในแต่ละแผนฯ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของรูปแบบฯ 4.60 0.55 2. กิจกรรมการเรียนรู้ที่ระบุในแต่ละขั้นตอน 2.1 สอดคล้องกับระบบสังคมที่ได้ระบุในรูปแบบฯ 4.60 0.55 2.2 สอดคล้องกับหลักการตอบสนองที่ได้ระบุในรูปแบบฯ 4.60 0.55 2.3 สอดคล้องกับสิ่งสนับสนุนที่ได้ระบุในรูปแบบฯ 4.60 0.55 2.4 สอดคล้องกับสื่อและแหล่งเรียนรู้ที่ได้ระบุในรูปแบบฯ 4.80 0.45 3. การวัดและประเมินผลในแต่ละแผนฯ สอดคล้องกับการวัดและประเมินผล ตามรูปแบบฯ 4.40 0.55 ภาพรวมการประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ 4.56 0.54 จากตารางที่ 6 พบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนของแผนการจัดการเรียนรู้อยู่ระหว่าง 4.40-4.80 หมายความว่าผู้เชี่ยวชาญมีความคิดเห็นว่าแผนการจัดการเรียนรู้ฉบับนี้มีความเหมาะสม อยู่ในระดับดีมาก สามารถนำไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้ 2.6.6 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่จัดทำขึ้นตามรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES และแผนการจัดการเรียนรู้ที่จัดทำขึ้นตามคู่มือครูเสนอต่อผู้อำนวยการโรงเรียน เพื่อขออนุญาตจัด กิจกรรมการเรียนการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม 2.6.7 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่จัดทำขึ้นตามรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ไปทดลองใช้(Tryout)กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/11 จำนวน 41คน ซึ่งมีลักษณะไม่แตกต่าง


135 กับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 3 แผนการจัดการเรียนรู้คือ 1) งานเขียนแบบ (ภาพ Isometric) ใช้ เ ว ล า ใ นกา รดำเนิ น การวิ จ ั ยในว ั นที่ 7 กร กฎา ค ม พ.ศ. 2566 เว ลา 09.30-10.20 น. จำนวน 1ชั่วโมง 2)งานเขียนแบบ (ภาพ Oblique) ใช้เวลาในการดำเนินการวิจัยในวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 เวลา 09.30-10.20 น. จำนวน 1 ชั่วโมง และ 3) งานเขรยนแบบภาพฉาย ใช้เวลาใน การดำเนินการวิจัยในวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2566เวลา 09.30-10.20 น จำนวน 1 ชั่วโมง ผล การใช้แผนการจัดการเรียนรู้พบว่า เวลาในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มีความเหมาะสมกับกิจกรรมที่ได้ ระบุในแผน และครูสามารถจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้ระบุไว้ในแผนการจัดการเรียนรู้ได้ควบถ้วน ในส่วน ของผู้เรียน นักเรียนมีความตั้งใจเมื่อลงมือฝึกปฏิบัติเนื่องจากนักเรียนมีความรู้พื้นฐานในเรื่องที่ปฏิบัติ จากการดูวีดิโอมาแล้วล่วงหน้าจากงานที่ครูมอบหมายไว้ให้ก่อนที่จะลงมือปฏิบัติแต่ครูต้องปรับใบ กิจกรรมการเรียนการสอนบ้าง เพื่อให้สอดคล้องกับเวลาภายใน 1ชั่วโมง 2.6.8 ปรับปรุงแก้ไขและจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ที่จัดทำขึ้นตามรูปแบบการเรียน การสอนแบบ PIPES พร้อมใช้งานจริง 7. การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลวันที่ 15กรกฎาคม -12ตุลาคม พ.ศ. 2566 ในภาค เรียนที่ 1 ปีการศึกษา2566 รายละเอียดของการเก็บรวบรวมข้อมูลแสดงดังตารางที่7 ตารางที่7 รายละเอียดของการเก็บรวบรวมข้อมูล ที่ รายการ ประเมิน เครื่องมือวัด ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล เวลาวัด tryout Pretest Posttest 1 ผลการเรียนรู้ วิชาการงาน พื้นฐานอาชีพ แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา การงานพื้นฐานอาชีพที่ผู้วิจัย สร้างขึ้น เป็นแบบทดสอบปรนัย4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ 60 นาที ในการดำเนินการทดลองกับกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ผู้วิจัยดำเนินการ ดังนี้


136 ตารางที่8รายละเอียดการดำเนินการทดลองกับกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กิจกรรม การเรียนการสอนแบบปกติ การเรียนการสอนแบบ PIPES นอกชั้นเรียน - -ศึกษาเนื้อหามาก่อนล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ สื่อ วีดิโอ และช่องทางอื่น ๆ เพื่อทำ ความเข้าใจในเนื้อหาที่ครูผู้สอนมอบหมาย (1 สัปดาห์) ในชั้นเรียน จัดกิจกรรมการเรียนการสอน - บรรยายเนื้อหาวิชาใหม่30-45 นาที - กิจกรรมเรียนรู้ที่ครูมอบหมายหรือ นักเรียนคิดเองหรือ Lab 20-35 นาที จัดกิจกรรมการเรียนการสอน - ถาม/ตอบเนื้อหาที่ศึกษามาก่อนล่วงหน้า 10 นาที - กิจกรรมการเรียนรู้ที่ครูมอบหมายหรือ นักเรียนคิดเองหรือLab 44 ชั่วโมง - ทำแบบฝึกหัด ใบกิจกรรม ในงานเพิ่มเติม จากเนื้อหาที่เรียน 10 นาที นอกชั้นเรียน - ทำแบบฝึกหัด การบ้านเพิ่มเติมจาก เนื้อหาที่เรียน (1 สัปดาห์) หมายเหตุ เป็นข้อจำกัดเรื่องการใช้เวลานอกชั้นเรียนของผู้เรียน ผู้วิจัยไม่สามารถจำกัดได้ว่าผู้เรียน แต่ละคนใช้เวลาเท่าไร 8. การวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลผู้วิจัยนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติ ดังนี้ 8.1 สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพของเครื่องมือ 8.1.1 ตรวจสอบความเหมาะสมและสอดคล้องกับความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity)ของรูปแบบการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และแนวคิดห้องเรียน กลับด้านและแผนการจัดการเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ โดยใช้แบบประเมินความเหมาะสม เป็นแบบ มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ 8.1.2 ตรวจสอบความเหมาะสมและสอดคล้องของแบบวัดทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีและแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา การงานพื้นฐานอาชีพจากผู้เชี่ยวชาญ โดยใช้ค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence: IOC) 8.1.3 หาค่าความยากง่าย และค่าอำนาจจำแนกของแบบวัดทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยีและแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาการงานพื้นฐานอาชีพ โดยวิเคราะห์ตรวจ


137 ให้คะแนน โดยข้อที่ตอบถูกให้1 คะแนน ข้อที่ตอบผิดให้0คะแนน เพื่อนำมาหาคุณภาพของแบบวัด โดยใช้เทคนิค25% (บุญชม ศรีสะอาด,2553: 89) 8.1.4 หาค่าความเชื่อมั่นของแบบวัดทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี และแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา การงานพื้นฐานอาชีพ ด้วยสูตรคูเดอร์ริชาร์ดสัน 20(KuderRichardson 20: K-R20) 8.2 สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการบรรยายข้อมูล สถิติพื้นฐานในการบรรยายข้อมูลใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติสำหรับการวิเคราะห์ ข้อมูลทางสังคมศาสตร์ (SPSS for Windows) ประกอบด้วย 8.2.1 ร้อยละ (%) 8.2.2 ค่าเฉลี่ย( ) 8.2.3 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 8.3 สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมุติฐานการวิจัย โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ สำหรับข้อมูลทางสังคมศาสตร์ (SPSS) หาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยทักษะ ด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยีและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ(One-way MANCOVA) โดยมีการตรวจสอบข้อตกลงเบื้องต้น เกี่ยวกับสถิติ(One-way MANCOVA) ได้แก่ ลักษณะการแจกแจงปกติ(Normality)ความเป็นเอกพันธ์ ของความแปรปรวน (Homogeneity of Variance) ลักษณะการแจกแจงปกติหลายตัวแปร (Multivariate Normality)ความเป็นเอกพันธ์ของเมทริกซ์ความแปรปรวน (Homogeneity ofVariance-covariance Matrices) โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป และทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยทักษะด้าน สารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยีและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้Hotelling T 2 เมื่อพบว่า มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างกลุ่ม ทดสอบความแตกต่างทีละคู่ โดยการทดสอบ Univariate


บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยเพื่อการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยประยุกต์ใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสตรีราชินูทิศผู้วิจัยขอนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลเป็น 2ตอน ได้แก่ ตอนที่ 1 ผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยประยุกต์ใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ ตอนที่ 2 การศึกษาผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ ผู้วิจัยรายงานผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยได้ ดังนี้ 1. ผลการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และแนวคิด ห้องเรียนกลับด้าน เพื่อเสริมสร้างทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2. ผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และแนวคิด ห้องเรียนกลับด้าน เพื่อเสริมสร้างทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้แก่ 2.1 ผลการเปรียบเทียบทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีก่อนทดลอง กับหลังทดลอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม 2.2 ผลการเปรียบเทียบทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีหลังการทดลองของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม 2.3 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยมีรายละเอียดของรายงานผลการวิจัย ดังนี้ .


Click to View FlipBook Version