The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รหัสนักศึกษา 63040109107

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by สุวิมล เภาวนะ, 2024-01-28 22:48:47

วิจัยของสุวิมล

รหัสนักศึกษา 63040109107

138 ผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยประยุกต์ใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ ผลการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสตรีราชินูทิศได้ดำเนินการเป็นขั้นตอนตามหลักการพัฒนารูปแบบการเรียนการ สอน คือ 1. การศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เพื่อกำหนดกรอบของรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES และ จัดทำรายละเอียดของรูปแบบการเรียนการสอน ฉบับร่าง พบว่า แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องสามารถ นำมาใช้ในสร้างรูปแบบการเรียนการสอน ฉบับร่างได้ รายละเอียดการศึกษาแสดงดังตาราง ที่ 2 ในบทที่ 3 2. รูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ฉบับร่าง ประกอบด้วย 8 องค์ประกอบ คือ 1) ที่มา ของรูปแบบการเรียนการสอน 2) หลักการจัดการเรียนการสอน 3) วัตถุประสงค์ 4) ขั้นตอนการจัด การเรียน การสอน 5) การวัดและประเมินผล 6) ระบบสังคม 7) หลักการแสดงปฏิสัมพันธ์ และ 8) สิ่งสนับสนุนการสอน 3. การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) ผลการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่า รูปแบบ การเรียนการสอนแบบ PIPES ที่พัฒนาขึ้นมีความสอดคล้องเหมาะสม สอดคล้องกับแนวคิด ทฤษฎี แต่การใช้ ภาษาในการเขียนเชื่อมโยง แนวคิด ทฤษฎี หลักการ จนถึงขั้นตอนการจัดการเรียนการสอนในบางประเด็นยัง ไม่ชัดเจน ให้เขียนอธิบายให้ชัดเจน และควรนำเสนอในรูปแผนภาพเพื่อแสดงให้เห็นถึงการเชื่อมโยง แนวคิด ทฤษฎีต่างๆ สู่ขั้นตอนการจัดการเรียนการสอน นอกจากนี้ผู้ทรงคุณวุฒิมีความคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับ แนวคิด ทฤษฎีที่รองรับรูปแบบการเรียนการสอน คือ ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ (Connectivism) และ แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) และเพิ่มองค์ประกอบด้านผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน ตาม หลักการนำเสนอรูปแบบการเรียนการสอนของ Joyce และ Weil (2009: 24) รายละเอียดแสดงดังภาคผนวก ข ซึ่งผู้วิจัยดำเนินการปรับปรุงจนได้รูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ฉบับสมบูรณ์ 4. รูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ฉบับสมบูรณ์ ประกอบด้วย 9 องค์ประกอบ คือ 1) ที่มาของรูปแบบการเรียนการสอน 2) หลักการจัดการเรียนการสอน 3) วัตถุประสงค์ 4) ขั้นตอนการจัดการ เรียนการสอน 5) การวัดและประเมินผล 6) ระบบสังคม 7) หลักการแสดงปฏิสัมพันธ์8) สิ่งสนับสนุนการ สอน และ 9) ผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน ดังนี้


139 รูปแบบการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และแนวคิดห้องเรียน กลับด้าน 1. เป้าหมายของรูปแบบ (Goal) เพื่อเสริมสร้างทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีและผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียน วิชา การงานพื้นฐานอาชีพ 2. ความเป็นมาและความสำคัญ แนวคิด ทฤษฎีที่รองรับรูปแบบรูปแบบการเรียน การสอนฯ ที่พัฒนา 2.1 ความเป็นมาและความสำคัญ แผนการศึกษาแห่งชาติ(พ.ศ.2560-2579) มีเป้าหมายมุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ให้มี คุณลักษณะและทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ทักษะด้านการสื่อสาร สารสนเทศ และการรู้เท่าทันสื่อ (Communications, Information and Media literacy) และทักษะด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร (Computing and ICT literacy) (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2560) รวมถึง พัฒนาการของสื่อ สารสนเทศ และเทคโนโลยีดิจิทัล ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็ว และได้เคลื่อนเข้าสู่ยุคสื่อหลอมรวม (Convergent Media) ซึ่งมีส่วนสำคัญในการเปลี่ยน วิถีการดำเนินชีวิต การสื่อสาร และการเรียนรู้ของผู้คนในสังคมจากข้อมูลของ Internet World Stats ปี พ.ศ. 2558 พบว่า มีการใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกสามพันกว่าล้านคน (Internet World Stats, 2015)รวมถึง ผล สำรวจพฤติกรรมผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตประเทศไทย ปีพ.ศ. 2561 พบว่า คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตนานขึ้นเฉลี่ย 10 ชั่วโมง 5 นาทีต่อวัน เป็นผลจากการเปลี่ยนผ่านชีวิตไปสู่ดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น เผย Gen Y ครองแชมป์ ใช้งานอินเทอร์เน็ตสูงสุดติดต่อกันเป็นปีที่ 4 โดยเฉพาะการใช้Facebook, Instagram, Twitter และ Pantip สูงถึง 3 ชม. 30 นาทีต่อวัน (สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2561) โดยเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ เปลี่ยนรูปแบบการสื่อสารแบบดั้งเดิม ในโลกแห่งความเป็นจริงไปสู่การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในโลก เสมือนจริง (Virtual World) ส่งผลให้เกิดยุคแห่งการสื่อสารไร้พรมแดนและเป็นยุคหลังข้อมูลสารสนเทศ (Post-information Age) ที่ผู้คนจากทั่วทุกมุมสามารถเข้าถึงสื่อได้รับข้อมูลสารสนเทศจำนวนมากผ่านสื่อ และเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างรวดเร็ว สื่อ สารสนเทศ และดิจิทัล จึงเป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องกัน และส่งผลต่อการ เปลี่ยนแปลงทางสังคมไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดสังคมที่ผู้คนอยู่ร่วมกันโดยยึดความ ยุติธรรมทางสังคมเป็นหลักการสำคัญ การจัดการศึกษาโดยมุ่งเน้นการพัฒนาให้เกิดการบูรณาการ และ เชื่อมโยงระหว่างชุดของสมรรถนะ และทักษะดังกล่าว จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง มีแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง เชื่อมโยง คือ ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ (Connectivism)และแนวคิดเกี่ยวกับห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) ที่นำมาใช้ในการจัดทำรูปแบบ


140 2.2 ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ 2.2.1 การเรียนรู้และความรู้คือสิ่งที่หลงเหลือจากการแสดงความคิดเห็น ที่ หลากหลาย 2.2.2 การเรียนรู้คือกระบวนการของการเชื่อมต่อระหว่าง โหนด (Node) อย่าง จำเพาะเจาะจงหรือแหล่งข้อมูลสำคัญ 2.2.3 การเรียนรู้อาจเกิดขึ้นในสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ได้ตัวอย่างเทียบเคียง อาทิเช่น ใน หุ่นยนต์ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ 2.2.4 ความสามารถในการรับข้อมูลเพิ่มเติม มีความสำคัญกว่าข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน 2.2.5 บำรุงรักษาและการเชื่อมต่อเป็นสิ่งจำเป็นเพื่ออำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ อย่างต่อเนื่อง 2.2.6 ความสามารถในการดูและสังเกตการณ์เชื่อมต่อของข้อมูลถือเป็นทักษะ หลักการมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างเกลียวเชือกเป็นทักษะสำคัญให้เกิดการเรียนรู้ 2.2.7 ความสามารถในการรับทราบข้อมูลในปัจจุบันทันสมัยเป็นสิ่งสำคัญ 2.2.8 การตัดสินใจด้วยตนเองเป็นกระบวนการเรียนรู้เลือกสิ่งที่จะเรียนรู้และ ความหมายของข้อมูลที่เข้ามาจะเห็นผ่านเลนส์ของจริงผลัดเปลี่ยน ในขณะที่มีคำตอบตอนนี้อาจเป็นวันพรุ่งนี้ ผิดเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมในข้อมูลที่มีผลต่อการตัดสินใจ 2.3แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน เป็นการเปลี่ยนวิธีการสอนใหม่ จากกิจกรรมเดิมที่เคยทำในห้องเรียนก็เปลี่ยนไปทำที่บ้าน ส่วนกิจกรรมที่ทำที่บ้านก็ทำให้สมบูรณ์แบบในห้องเรียน แต่ช่วงเวลาในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ จำกัดผู้เรียน ยังคงที่จะมีคำถามหลังจากที่ศึกษาผ่านวีดิโอ ซึ่งรูปแบบของFlipped Model คือ 1) มีการชี้แจงให้ ผู้ปกครองของผู้เรียนทราบเกี่ยวกับการเรียนแบบแนวคิดนี้ และชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของการจัดกิจกรรมการเรียน การสอนแบบแนวคิดนี้ 2) ใช้วิธีการดูวีดิทัศน์บทเรียนและสื่ออื่น ๆ โดยผู้เรียนสรุปเนื้อหาที่ได้เรียนรู้รวมถึงการ จดบันทึกคำถามที่สงสัย 3) ผู้สอนให้ผู้เรียนหาคำตอบด้วยตนเองหรือช่วยกันหาคำตอบเป็นกลุ่ม ถือเป็นการ เรียนรู้ร่วมกันทั้งผู้สอนและผู้เรียน ผู้สอนสามารถสังเกตถึงความเข้าใจผิดของผู้เรียนและแก้ไขให้ถูกต้อง4)ผู้สอน จะต้องเปลี่ยนรูปแบบการจัดห้องเรียนเพื่อการเรียนรู้โดยการลงมือทำ 5) ผู้เรียนสามารถวางแผนการเรียนรู้ และการทำงานได้ด้วยตนเองโดยเสมือนได้เรียนรู้ไปพร้อมกับผู้เรียนคนอื่น หากมีกิจกรรมแทรกเข้ามาทำให้ไม่ สามารถเข้าร่วมเรียนในชั้นเรียนได้ และ 6) มีระบบการประเมินผลอย่างเหมาะสม โดยเน้นการประเมินตาม สภาพจริง


141 3. หลักการของรูปแบบการเรียนการสอน 3.1 เป็นการใช้เทคโนโลยีทางการศึกษา เพื่อสร้างองค์ความรู้ผ่านวีดีโอที่ครูได้บันทึกไว้แล้ว รวมทั้งการอ่านหนังสือเพิ่มเติม ปรึกษาเพื่อนหรือครูออนไลน์ บวกกับการจัดกิจกรรมในห้องเรียน เนื่องจากเวลา ในห้องเรียนมีจำกัด ทำให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ 3.2จัดกิจกรรมการเรียนการสอนผ่านองค์ความรู้ที่ผู้เรียนเคยศึกษามาก่อน เปิดโอกาส ให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง เป็นรายบุคคล และเป็นกลุ่ม เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน และ ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน 3.3ผู้เรียนนำความรู้จากการสร้างเครือข่ายในการเรียนรู้ ไปประยุกต์ใช้ในการ ออกแบบ สร้างสิ่งประดิษฐ์ และ/หรือนวัตกรรมพร้อมทั้ง ทดสอบ ประเมิน ปรับปรุง แก้ไขและนำเสนอ ร่วมกัน 4. วัตถุประสงค์ของรูปแบบการสอน 4.1 เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และ แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 4.2 เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม 5. ระบบสังคม ผู้สอนเปลี่ยนวิธีการสอนใหม่ จากกิจกรรมเดิมที่เคยทำในห้องเรียนก็เปลี่ยนไป ทำที่บ้าน ส่วนกิจกรรมที่ทำที่บ้าน ก็ทำให้สมบูรณ์แบบในห้องเรียน แต่ช่วงเวลาในการจัดกิจกรรม การเรียนการสอนที่ จำกัดผู้เรียนยังคงที่ จะมีคำถามหลังจากที่ศึกษาผ่านวีดิโอ รูปแบบของการเรียนการสอน จึงเริ่มด้วยการที่ผู้สอน ตอบข้อสงสัยของผู้เรียนก่อนเริ่มเรียน และเพิ่มเติมรายละเอียด เพื่อไม่ให้เข้าใจเนื้อหาผิดพลาด ก่อนที่จะนำ ความรู้ในเรื่องนั้นไปฝึกหัดและประยุกต์ใช้ ส่วนเวลาที่เหลือให้ใช้ไปกับการจัดกิจกรรมที่ได้รับมอบหมายหรือ ฝึกทักษะการแก้ปัญหา ผู้สอนจะมีเวลาให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติมากขึ้น ให้ผู้เรียนเรียนรู้เป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่ม เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียนด้วยกันเองและระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน และยังใช้การ ประเมินและให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนในเนื้อหาที่อาจเกิดขึ้นได้ 6. ขั้นตอนการเรียนการสอน การจัดการเรียนการสอนประกอบด้วย 5 ขั้น ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ขั้นเตรียมความพร้อม (P & A = Preparing & Aggregating) เป็นขั้นทำความ เข้าใจเนื้อหา จากการที่นักเรียนได้ศึกษามาก่อนล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ สื่อ วีดิโอ และช่องทางอื่น ๆ เพื่อทำ ความเข้าใจในเนื้อหา ขั้นตอนที่ 2 ขั้นจัดหมวดหมู่เนื้อหา(Introducing & Remixing)ขั้นนี้เป็นการชี้แจงให้ผู้เรียน ได้ทราบรายละเอียดของรายวิชา วัตถุประสงค์เนื้อหา การจัดกลุ่มผู้เรียน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันเป็น กลุ่ม ในเนื้อหาที่ได้ศึกษามาก่อนล่วงหน้า พร้อมตอบคำถามในประเด็นที่สงสัยจากการศึกษาเนื้อหามาก่อน


142 ขั้นตอนที่ 3 ขั้นจัดการเรียนการสอน (P & R = Processing & Repurposing) เป็นขั้นที่ นักเรียนประยุกต์ใช้จากเนื้อหาที่ทำการศึกษา โดยการสนทนาเชิงลึก ยกตัวอย่าง ทดลองใช้ ฝึกหัดและฝึก ปฏิบัติด้วยตนเอง ขั้นตอนที่ 4 ขั้นประเมินผล (E = Evaluating) ขั้นนี้จะมีการสรุป และประเมิน ผลงาน พร้อมให้ข้อมูลย้อนกลับทันทีเพื่อแก้ไขความคลาดเคลื่อนในความรู้ของนักเรียน ขั้นตอนที่ 5 ขั้นแบ่งปันความรู้ (S = Sharing) เป็นขั้นที่มีการแบ่งปัน การนำเสนอผลงาน ให้ผู้เรียนร่วมได้รับรู้ 7. หลักการตอบสนอง ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ โดยเรียนรู้จากกิจกรรม สื่อ วัสดุ อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ครูเตรียมไว้ครูทำ หน้าที่เป็นผู้ให้ความช่วยเหลือในการทำกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมการเรียนการสอนที่เป็นการลงมือฝึก ปฏิบัติจริง เช่น การทำโครงงานไม้ เป็นต้น ครูทำหน้าที่ตอบสนองต่อผู้เรียนทางบวก คือการให้กำลังใจ เป็น ผู้ฟังที่ดีโดยให้เวลาให้ผู้เรียนได้คิดและแนะนำวิธีการต่าง ๆ ที่นักเรียนสงสัย นอกจากนี้ครูยังต้องประเมิน การเรียนรู้ของผู้เรียนและให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้เรียนในทุกระยะของการเรียนรู้ 8. ระบบสนับสนุน สถานการณ์/ประเด็นปัญหา สื่อ วัสดุอุปกรณ์ในการสืบค้น และอุปกรณ์อำนวยความ สะดวก เช่น คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต โปรเจคเตอร์ ปริ้นเตอร์ ฯลฯ ที่ผู้เรียนสนใจอย่างเป็นระบบประเมินผล การเรียนรู้ โดยใช้แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ ในหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ การงานอาชีพและเทคโนโลยี ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551ลักษณะเป็นแบบทดสอบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น 9. ผลที่จะเกิดขึ้นจากรูปแบบการเรียนการสอน (Instructional and Nurturant effects) 9.1 ผลที่เกิดขึ้นทางตรง คือ ผู้เรียนมีทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี มีผลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพิ่มขึ้น 9.2 ผลที่เกิดขึ้นทางอ้อม คือ ผู้เรียนเกิดเครือข่ายการเรียนรู้ สามารถค้นหา วิเคราะห์ สร้าง องค์ความรู้ได้ด้วยตนเองจากการปฏิบัติงาน หลังจากที่ศึกษาเนื้อหาความรู้ก่อนทำกิจกรรมการเรียนการ สอน และมีภูมิคุ้มกันในการตัดสินใจดูข้อมูลข่าวสารในปัจจุบันได้ 5. ผลการประเมินคุณภาพของรูปแบบการเรียนการสอน ฯ ฉบับสมบูรณ์ โดยผู้ทรงคุณวุฒิแสดงดัง ตารางที่ 9


143 ตารางที่ 9 คะแนนเฉลี่ยคุณภาพรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ฉบับสมบูรณ์ รายการประเมิน S.D. แปลผล 1. ความเป็นมาและความสำคัญของ รูปแบบการเรียนการสอน 1.1 สอดคล้องกับเป้าหมายและ ทฤษฎีที่รองรับรูปแบบ การเรียนการสอน 4.40 0.55 มาก 2. วัตถุประสงค์ของรูปแบบการเรียน การสอน 2.1 แสดงถึงสิ่งที่มุ่งหวังให้เกิดขึ้นกับ ผู้เรียน 4.80 0.45 มากที่สุด 2.2 ชัดเจน และสามารถดำเนินการ ให้บรรลุผลได้ 4.60 0.55 มากที่สุด คะแนนเฉลี่ยด้านวัตถุประสงค์ 4.70 .48 มากที่สุด 3. แนวคิด ทฤษฎีและหลักการของ รูปแบบการเรียนการสอน 3.1 แสดงความเชื่อมโยงของแนวคิด ทฤษฎี ที่ใช้เป็นฐาน ในการพัฒนารูปแบบการสอน อย่างชัดเจน 4.40 0.55 มาก 3.2 คำอธิบายแนวคิดหรือทฤษฎีที่ใช้ เป็นฐานในการพัฒนารูปแบบการ เรียนการสอนมีความครบถ้วน สมบูรณ์ และชัดเจนเพียงพอ 4.20 0.45 มาก คะแนนเฉลี่ยด้านแนวคิด ทฤษฎีและ หลักการ 4.40 0.55 มาก 4. ขั้นตอนการจัดการเรียนการสอนตาม รูปแบบการเรียนการสอน 4.1 จัดลำดับขั้นตอนการเรียนการ สอน สอดคล้อง สัมพันธ์ และ ส่งเสริมซึ่งกันและกัน 4.80 0.45 มากที่สุด


144 4.2 คำอธิบายแต่ละขั้นตอนมีความ ชัดเจน สอดคล้อง และส่งเสริมซึ่งกันและกัน 4.60 0.55 มากที่สุด 4.3 คำอธิบายแนวทางการจัด กิจกรรมการเรียนการสอน แต่ละขั้นตอน สามารถนำไป ปฏิบัติได้ 4.60 0.55 มากที่สุด คะแนนเฉลี่ยด้านขั้นตอนการจัดการ เรียนการสอน 4.67 0.49 มากที่สุด ตารางที่ 9 คะแนนเฉลี่ยคุณภาพรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ฉบับสมบูรณ์(ต่อ) รายการประเมิน S.D. แปลผล 5. การประเมินผล 5.1 เครื่องมือวัด สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของรูปแบบ การเรียนการสอน 4.40 0.55 มาก 5.2 คำอธิบายเครื่องมือวัดแต่ละชนิด ชัดเจน สามารถนำไป ประเมินผู้เรียนได้ 4.80 0.45 มากที่สุด คะแนนเฉลี่ยด้านการประเมินผล 4.60 0.52 มากที่สุด 6. ระบบสังคม (Social System) 6.1 สอดคล้องกับแนวคิดและทฤษฎีที่นำมาใช้ในการพัฒนา รูปแบบการเรียนการสอน 4.80 0.45 มากที่สุด 6.2 อธิบายได้ชัดเจน สอดคล้อง สัมพันธ์ ส่งเสริมซึ่งกันและ สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง 4.60 0.55 มากที่สุด คะแนนเฉลี่ยด้านระบบสังคม 4.70 0.48 มากที่สุด 7. หลักการตอบสนอง (Principles of Reaction) 7.1 สอดคล้องกับแนวคิดและทฤษฎีที่นำมาใช้ในการพัฒนา รูปแบบการเรียนการสอน 4.80 0.45 มากที่สุด


145 7.2 อธิบายได้ชัดเจน สอดคล้อง เหมาะสม และสามารถนำไป ปฏิบัติได้จริง 4.80 0.45 มากที่สุด คะแนนเฉลี่ยด้านหลักการตอบสนอง 4.80 0.42 มากที่สุด 8. ระบบสนับสนุน (Support System) 8.1 สอดคล้องกับแนวคิดและทฤษฎีที่นำมาใช้ในการพัฒนา รูปแบบการเรียนการสอน 5.00 0.00 มากที่สุด 8.2 อธิบายได้ชัดเจน สอดคล้อง เหมาะสม และสามารถนำไป ปฏิบัติได้จริง 5.00 0.00 มากที่สุด คะแนนเฉลี่ยด้านระบบสนับสนุน 5.00 0.00 มากที่สุด ตารางที่ 9 คะแนนเฉลี่ยคุณภาพรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ฉบับสมบูรณ์(ต่อ) รายการประเมิน S.D. แปลผล 9. ผลที่จะเกิดขึ้นจากรูปแบบการเรียนการสอน 9.1 ผลที่เกิดขึ้นทางตรง (Instructional Effects) 9.1.1 สอดคล้องกับแนวคิด ทฤษฎี และวัตถุประสงค์ของ รูปแบบการเรียนการสอน 5.00 0.00 มากที่สุด 9.1.2 คำอธิบายชัดเจน และแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ต้องการ ให้เกิดกับผู้เรียน 4.40 0.89 มาก คะแนนเฉลี่ยด้านผลที่เกิดขึ้นทางตรง 4.70 0.67 มากที่สุด 9.2 ผลที่เกิดทางอ้อม (Nurturant Effects) 9.2.1 คำอธิบายชัดเจน และแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่คาดหวัง จะให้เกิดกับผู้เรียนที่นอกเหนือจากวัตถุประสงค์ ของรูปแบบการเรียนการสอน 4.60 0.89 มากที่สุด คะแนนเฉลี่ยด้านผลที่จะเกิดขึ้น 4.67 0.72 มากที่สุด คะแนนเฉลี่ยรูปแบบการเรียนการสอนฯ ที่พัฒนา 4.66 0.52 มากที่สุด ตารางที่ 9 พบว่า ค่าคะแนนเฉลี่ยของคุณภาพรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ โดยภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.66) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ ค่าคะแนนเฉลี่ยของคุณภาพรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES พบว่า ข้อที่มีคะแนนเฉลี ่ยสูง สุดคื อ ข้อที่ 7) หลักการตอบสนอง (Principles of Reaction)


146 ( = 4.80) ส่วนลำดับสุดท้าย ข้อที่ 1) ความเป็นมาและความสำคัญของรูปแบบการเรียนการสอน ( = 4.40)และข้อที่ 3) แนวคิด ทฤษฎีและหลักการของรูปแบบการเรียนการสอน ( = 4.40) ผลการศึกษาการใช้รูปแบบการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน และผลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา การงานพื้นฐานอาชีพ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 และสามารถ รายงานผลตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย ได้ดังนี้ 1. การเปรียบเทียบทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีก่อนเรียนและหลังเรียน ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5ในกลุ่มที่เรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES (กลุ่มทดลอง) และกลุ่มที่ เรียนรู้แบบปกติ (กลุ่มควบคุม)แสดงดังตารางที่ 10 ตารางที่ 10 ผลการเปรียบเทียบทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี ก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่ม การทดลอง ก่อนเรียน หลังเรียน ผลต่างค่าเฉลี่ย t Eta S.D. S.D. Squared กลุ่มทดลอง (40 คน) 14.57 2.65 21.80 1.60 7.23 24.03** 0.818 กลุ่มควบคุม (40 คน) 13.95 2.29 15.57 2.12 1.62 6.02** 0.485 **มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จากตารางที่ 10 พบว่า ผู้เรียนทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม มีคะแนนเฉลี่ยทักษะ ด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี หลังเรียนและก่อนเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยพบว่า ทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม มีคะแนนเฉลี่ยทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยี หลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยี ก่อนเรียน 14.57 คะแนน และหลังเรียน 21.80 คะแนน และกลุ่มควบคุม มีคะแนนเฉลี่ยทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และ เทคโนโลยีก่อนเรียน 13.95 คะแนน และหลังเรียน 15.57 คะแนน เมื่อพิจารณาค่า Eta Squaredในกลุ่ม ทดลอง จึงสามารถอธิบายได้ว่า หลังเรียนมีผู้เรียนร้อยละ 81.80 มีทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี สูง กว่าก่อนเรียน ส่วนในกลุ่มควบคุมจะเห็นได้ว่า หลังเรียนมีผู้เรียนร้อยละ 48.50 ที่มีทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีสูงกว่าก่อนเรียน


147 2. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา การงานพื้นฐานอาชีพ ก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ในกลุ่มที่เรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES (กลุ่มทดลอง) และกลุ่มที่เรียนรู้แบบปกติ (กลุ่มควบคุม)แสดงดังตารางที่ 11 ตารางที่ 11 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา การงานพื้นฐานอาชีพ ก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่ม การทดลอง ก่อนเรียน หลังเรียน ผลต่างค่าเฉลี่ย t Eta S.D. S.D. Squared กลุ่มทดลอง (40 คน) 14.57 2.65 21.80 1.60 7.23 24.03** 0.705 กลุ่มควบคุม (40 คน) 13.95 2.29 15.57 2.12 1.62 6.02** 0.441 **มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จากตารางที่ 11 พบว่าผู้เรียนทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม มีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ หลังเรียนและก่อนเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 โดยพบว่า ทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม มีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การงาน พื้นฐานอาชีพ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา การงาน พื้นฐานอาชีพ ก่อนเรียน 14.57 คะแนน และหลังเรียน 21.80 คะแนน และกลุ่มควบคุม มีคะแนนเฉลี่ย ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ ก่อนเรียน 13.95 คะแนน และหลังเรียน 15.57 คะแนน เมื่อพิจารณาค่า Eta Squared ในกลุ่มทดลองจึงสามารถอธิบายได้ว่า หลังเรียนมีผู้เรียน ร้อยละ 70.50 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ สูงกว่าก่อนเรียน ส่วนในกลุ่มควบคุมจะเห็นได้ว่า หลังเรียนมีผู้เรียน ร้อยละ 44.10 ที่มีทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีสูงกว่าก่อนเรียน 3. ผลการเปรียบเทียบทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา การงานพื้นฐานอาชีพ หลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ในกลุ่มที่เรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนการ สอนแบบ PIPES (กลุ่มทดลอง) และกลุ่มที่เรียนรู้แบบปกติ (กลุ่มควบคุม) สำหรับการวิจัยในครั้งนี้ เนื่องจากเป็นการวิจัยกึ่งทดลองที่ใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ห้องเรียน ที่จัดผู้เรียนแบบคละกันเป็นหน่วยของการสุ่ม ไม่ได้สุ่มผู้เรียนแต่ละคนเป็นหน่วยของการสุ่ม ซึ่งอาจทำให้กลุ่ม ตัวอย่างที่ได้มาไม่เท่าเทียมกัน (ชูศรี วงศ์รัตนะ, 2546: 297) ดังนั้น ผู้วิจัยจึงใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้


148 สถิติ MANCOVA เพื่อควบคุมตัวแปรร่วม ได้แก่ ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี และผลสัมฤทธิ์ ท า ง ก า ร เ ร ี ย น ว ิ ช า ก า ร ง า น พ ื ้ น ฐ า น อ า ช ี พ ก ่ อ น เ ร ี ย น ท ี ่ อ า จ จ ะ ส ่ ง ผ ล ต่ อ ตัวแปรตามของการวิจัย และก่อนทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีและ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 55 ในกลุ่ม ทดลองและกลุ่มควบคุมโดยใช้สถิติ (One-way MANCOVA)ผู้วิจัยได้ตรวจสอบข้อตกลงเบื้องต้น ดังนี้ 1. การตรวจสอบด้านการแจกแจงข้อมูล ในการวิจัยครั้งนี้มีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็นกลุ่มทดลองและกลุ่ม ควบคุม กลุ่มละ 40 คน ผู้วิจัยจึงทดสอบการแจกแจงข้อมูลโดยใช้สถิติ Shapiro-wilk ผลการตรวจสอบ ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี พบว่า ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (ค่า Sig เท่ากับ .093)ผลการตรวจสอบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ พบว่าไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ(ค่า Sig เท่ากับ .426) แสดงว่า การแจกแจงข้อมูลของกลุ่มตัวอย่างมีการแจกแจงแบบปกติ 2. การตรวจสอบด้านความสัมพันธ์ของตัวแปรตามโดยใช้สถิติ Pearson Correlations ผลการ ตรวจสอบในกลุ่มทดลอง พบว่า ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี มีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (r = .094) และผลการ ตรวจสอบในกลุ่มควบคุมพบว่า ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีมีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (r = .760) 3. การตรวจสอบข้อตกลงเบื้องต้นด้านเมตริกซ์ความแปรปรวน-ความแปรปรวนร่ วม (Variance-Covariance Matrix) โดยใช้สถิติ Box’s M พบว่า การทดสอบไม่มีนัยสำคัญ (Sig = .805) แสดงให้ เห็นว่า ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี มีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา การงาน พื้นฐานอาชีพ มีค่าความแปรปรวนไม่แตกต่างกัน 4. การตรวจสอบด้านความเท่ากันของความแปรปรวนประชากร โดยใช้สถิติ Levene's Test of Equality of Error Variances ผลการทดสอบ พบว่า ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีพบว่า ไม่มี นัยสำคัญทางสถิติ (ค่า F = 1.140 และ Sig เท่ากับ .28) ผลการตรวจสอบผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนวิชา การ งานพื้นฐานอาชีพ พบว่า ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (ค่า F = .008 และ Sig เท่ากับ .93) แสดงว่า ความแปรปรวน ของประชากรเท่ากัน จากการตรวจสอบข้อตกลงเบื้องต้น สามารถสรุปได้ว่า ข้อมูลของกลุ่มตัวอย่างมีการแจกแจงแบบปกติ ตัวแปรตามได้แก่ ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี มีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การ งานพื้นฐานอาชีพ เป็นตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กันทั้งในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ความแปรปรวนของ ประชากรเท่ากัน ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงเบื้องต้นในการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ (One-way MANCOVA) ดังนั้น จึงสามารถวิเคราะห์เปรียบเทียบทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีมีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ หลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยใช้สถิติ (One-way MANCOVA)โดยมีทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี มีความสัมพันธ์กับ


149 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ ก่อนเรียนเป็นตัวแปรร่วม ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบ ได้ผลแสดงดังตารางที่ 12 ตารางที่ 12 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีและ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ หลังเรียนของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ตัวแปรต้น Multivariate test Value F Hypothesis df Error df Partial Eta Squared รูปแบบ การสอน Pillai’s Trace .985 2539.81** 2.00 77.00 .985 Wilks’ Lambda .015 2539.81** 2.00 77.00 .985 Hotelling’sTrace 65.96 2539.81** 2.00 77.00 .985 Roy’sLargest Root 65.96 2539.81** 2.00 77.00 .985 **มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จากตารางที่ 12 เนื่องจากการทดสอบข้อตกลงเบื้องต้นแล้วผลการทดสอบเป็นไปตามข้อตกลงเบื้องต้น ทั้งหมด ผู้วิจัยจึงเลือกใช้ผลการวิเคราะห์ของ Wilks’ Lambda ซึ่งพบว่าค่า F เท่ากับ 2539.81 (Sig = .01) แสดงให้เห็นว่า คะแนนเฉลี่ยของทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีและ/หรือผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพหลังเรียนของนักเรียนกลุ่มทดลองแตกต่างจากกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01 ดังนั้น เพื่อวิเคราะห์ว่ารูปแบบการเรียนการสอนส่งผลต่อตัวแปรตามใดบ้าง ผู้วิจัยจึงวิเคราะห์แยกราย ตัวแปรโดยใช้สถิติวิเคราะห์ Univariate ซึ่งได้ผลแสดงดังตารางที่ 13 ตารางที่ 13 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีและผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ หลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ในกลุ่ม ทดลองและกลุ่มควบคุมแยกรายตัวแปร แหล่งความ แปรปรวน ตัวแปรตาม SS df MS F Partial Eta Squared รูปแบบ การสอน ทักษะฯ หลังเรียน 684.863 1 684.863 361.017** .826 ผลสัมฤทธิ์หลังเรียน 2162.614 1 2162.614 227.516** .750 ความคลาด เคลื่อน ทักษะฯ หลังเรียน 144.175 76 1.897 ผลสัมฤทธิ์หลังเรียน 722.404 76 9.505 **มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01


150 จากตารางที่ 13 พบว่า หลังจากขจัดอิทธิพลอันเนื่องมาจากทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและ เทคโนโลยีและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ ก่อนเรียนออกแล้ว นักเรียนกลุ่มทดลองและกลุ่ม ควบคุม มีทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพ หลัง เรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01ดังนี้ ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยี กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน ( = 21.80)สูงกว่า กลุ่มควบคุม ( = 15.57)อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยขนาดของผลกระทบ (Eta Squared) เท่ากับร้อยละ 82.60 ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา การงานพื้นฐานอาชีพ หลังเรียน กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยหลัง เรียน ( = 34.02) สูงกว่ากลุ่มควบคุม ( = 23.27) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยขนาดของ ผลกระทบ (Eta Squared) เท่ากับร้อยละ 75.00


บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยประยุกต์ใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ ผู้วิจัยขอนำเสนอ วัตถุประสงค์ของการวิจัย วิธีดำเนินการวิจัย สรุปผลการวิจัย อภิปรายผลการวิจัยและข้อเสนอแนะในงานวิจัย มีรายละเอียด ดังนี้ วัตถุประสงค์ของการวิจัย การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และ แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2. เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม 2.1เพื่อเปรียบเทียบทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี ก่อนทดลองกับหลังทดลอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม 2.2 เพื่อเปรียบเทียบทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี หลังการทดลองของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม 3. เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา การงานพื้นฐานอาชีพของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม วิธีดำเนินการวิจัย การดำเนินการวิจัยแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน แบบ PIPES ได้ดำเนินการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เพื่อกำหนดกรอบและรายละเอียดของรูปแบบการเรียน การสอนและจัดทำรูปแบบการเรียนการสอนฉบับร่าง การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อให้ผู้ทรงคุณวุฒิ พิจารณาและให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงรูปแบบการเรียนการสอน ฉบับร่าง ปรับปรุงและจัดทำ เอกสาร รายละเอียดรูปแบบการเรียนการสอนฉบับสมบูรณ์ และตรวจสอบคุณภาพเบื้องต้นของรูปแบบ การเรียนการสอนฉบับสมบูรณ์ และ ระยะที่ 2 การวิจัยเพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอน แบบ PIPES เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ จังหวัดอุดรธานี ปีการศึกษา 2566ได้มาโดยใช้วิธีการสุ่ม แบบกลุ่ม จำนวน 2 ห้องเรียน โดยจับฉลากเป็นห้องทดลองและห้องควบคุม กลุ่มทดลอง จำนวน 41คน


152 ได้รับการสอนตามรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPESและกลุ่มควบคุม จำนวน 42คน ได้รับการสอน ด้วยรูปแบบการเรียนการสอนตามคู่มือครูรูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลองที่มีกลุ่มควบคุม ทดสอบก่อนและหลัง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย1) แบบวัดทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและ เทคโนโลยี2) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาการงานพื้นฐานอาชีพ การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้การหา ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วมพหุคูณ สรุปผลการวิจัย ผลการวิจัย แบ่งออกเป็น 1) สรุปผลการพัฒนาพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES และ 2) สรุปผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ที่มีต่อทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และ เทคโนโลยีและผลการเรียนรู้วิชาการงานพื้นฐานอาชีพ ดังนี้ 1. สรุปผลการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES รูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ประกอบด้วย 9 องค์ประกอบ คือ 1) ที่มาของ รูปแบบการเรียนการสอน 2) หลักการจัดการเรียนการสอน 3) วัตถุประสงค์ 4) ขั้นตอนการจัดการเรียน การสอน 5) การวัดและประเมินผล 6) ระบบสังคม 7) หลักการแสดงปฏิสัมพันธ์ 8) สิ่งสนับสนุนการสอน และ 9) ผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน ข้อสรุปและรายละเอียดแสดงดังแผนภาพที่ 23 ในบทที่ 4 และผล การประเมินคุณภาพของรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ฉบับสมบูรณ์ โดยผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่า ค่าคะแนนเฉลี่ยคุณภาพรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES อยู่ระหว่าง 4.66 มีความเหมาะสม สอดคล้องกับแนวคิดและทฤษฎี อยู่ในระดับดีมาก 2. สรุปผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ที่มีต่อทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีและผลการเรียนรู้วิชาการงานพื้นฐานอาชีพ ได้แก่ 2.1 ผลการเปรียบเทียบทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี และผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5กลุ่มควบคุม ก่อนเรียนและหลังเรียน สรุปผลการวิจัยได้ดังนี้ 2.1.1 นักเรียนกลุ่มควบคุม มีคะแนนเฉลี่ยทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยี หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 2.1.2 นักเรียนกลุ่มควบคุม มีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 2.2 ผลการเปรียบเทียบทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี และผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5กลุ่มทดลอง ก่อนเรียนและหลังเรียน สรุปผลการวิจัยได้ดังนี้


153 2.2.1 นักเรียนกลุ่มทดลอง มีคะแนนเฉลี่ยทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยี หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 2.2.2 นักเรียนกลุ่มทดลอง มีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 2.3 ผลการเปรียบเทียบทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี และผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองสรุปผลการวิจัยได้ดังนี้ 2.3.1 นักเรียนกลุ่มทดลอง มีคะแนนเฉลี่ยทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยี หลังเรียนสูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 2.3.2 นักเรียนกลุ่มทดลอง มีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่า นักเรียนกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 การอภิปรายผล การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และแนวคิด ห้องเรียนกลับด้าน เพื่อเสริมสร้างทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 5 ผู้วิจัยนำเสนอการอภิปรายผลการวิจัยออกเป็น 2 ตอน ดังนี้ 1. การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES รูปแบบการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และแนวคิดห้องเรียน กลับด้าน (รูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES) ประกอบด้วย 9 องค์ประกอบ คือ 1) ที่มาของรูปแบบ การเรียนการสอน 2) หลักการจัดการเรียนการสอน 3) วัตถุประสงค์ 4) ขั้นตอนการจัดการเรียนการสอน 5) การวัดและประเมินผล 6) ระบบสังคม 7) หลักการแสดงปฏิสัมพันธ์ 8) สิ่งสนับสนุนการสอนและ 9) ผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน โดยรูปแบบการเรียนการสอนนี้ ผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้นอย่างเป็นระบบขั้นตอนใน แต่ละขั้นตอนมีความเชื่อมโยงกัน เริ่มจากการศึกษาวิเคราะห์ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และแนวคิด ห้องเรียนกลับด้าน สรุปแนวคิดพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้และองค์ประกอบสำคัญ ของทฤษฎีสู่หลักการของกระบวนการจัดการเรียนรู้ และเชื่อมโยงหลักการนั้นมาสู่ขั้นตอนการจัด การเรียนรู้ เมื่อได้ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แล้ว ก็เขียนแผนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งผู้วิจัยได้กำหนดโครงสร้าง การจัดการเรียนรู้โดยวิเคราะห์ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องที่สอดคล้องตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 หลังจากนั้นก็ทำการตรวจสอบคุณภาพโดยผ่านการสัมภาษณ์ เชิงลึกและการตรวจสอบรูปแบบการเรียนการสอนและแผนการจัดการเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด 5 ท่าน ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะผู้เชี่ยวชาญ และได้ส่งให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเหมาะสม อีกครั้ง ซึ่งความเหมาะสมของรูปแบบการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับเหมาะสมมากที่สุด 4.66 โดยรูปแบบการเรียนการสอนที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น มีขั้นตอนการจัดการเรียนการสอน 5 ขั้น คือ ขั้นที่ 1 ขั้นเตรียมความพร้อม (P = Preparing & Aggregating) ขั้นที่ 2 ขั้นจัดหมวดหมู่เนื้อหา


154 (I = Introducing & Remixing)ขั้นที่ 3 ขั้นจัดการเรียนการสอน (P = Processing & Repurposing) ขั้นที่ 4 ขั้นประเมินผล (E = Evaluating) และ ขั้นที่ 5 ขั้นแบ่งปันความรู้(S = Sharing) ทั้งนี้รูปแบบ การเรียนการสอนแบบ PIPES ที่พัฒนาขึ้น เพื่อให้เข้ากับกระแสการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในศตวรรษ ที่ 21 โดยเฉพาะทักษะการเรียนรู้ (Learning Skill) ซึ่งการเรียนรู้ในปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องเรียนแค่ใน ห้องเรียนสามารถเรียนรู้ได้จากทุกที่ทุกเวลา จึงทำให้เทคโนโลยีมีส่วนสำคัญในการจัดการเรียนรู้ผู้สอน ในศตวรรษที่ 21 ต้องมีการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดการเรียนการสอน ต้องพัฒนาทักษะด้าน การจัดการเรียนรู้ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีซึ่งมีบทบาทที่สำคัญต่อการศึกษา ในปัจจุบันและอนาคต โดยการปรับเปลี่ยนแนวคิด การจัดการเรียนรู้ใหม่ คือ สร้างนวัตกรรมทาง การศึกษา เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้และสามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง ห้องเรียน กลับด้านเป็นมุมมองหนึ่งที่สามารถเป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้ที่เปลี่ยนแปลงกระบวนการจัดการเรียน การสอนของผู้สอน โดยใช้สื่อนวัตกรรมต่าง ๆ ในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ การสร้างองค์ความรู้ เพื่อให้เกิดทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ทั้งยังช่วยให้นักเรียนที่มีกิจกรรมมากสามารถเรียนล่วงหน้า หรือเรียนตามได้ง่ายขึ้น และยังช่วยให้นักเรียนรู้จักบริหารเวลาของตนให้เหมาะสมอีกด้วย ทำให้ครู เข้าใจความก้าวหน้าทางการเรียนรู้ของนักเรียนว่าช้าหรือเร็วและให้คำแนะนำในการเรียนหรือเนื้อหาวิชา ได้อย่างเหมาะสม นักเรียนสามารถศึกษาจากสื่อการเรียนรู้ที่ครูได้รวบรวมหรือสืบค้นจากสื่อออนไลน์ ต่าง ๆ ได้ตามศักยภาพของตน จะศึกษาสื่อกี่รอบก็ได้จนกว่าจะเข้าใจเนื้อหาบทเรียนนั้น นอกจากนั้น ในระหว่างการทำงานยังช่วยสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนด้วยกัน และนักเรียนกับครูจากการทำ กิจกรรมภายในชั้นเรียน ที่เป็นกิจกรรมกลุ่มให้นักเรียนได้เรียนรู้และช่วยกันทำงานจนประสบผลสำเร็จ โดยมีครูคอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด ทำให้ครูรู้จักนักเรียนของตนดีขึ้นจากการจัดกิจกรรมในชั้นเรียน เพราะครูต้องสังเกตพฤติกรรมการเรียน ให้คำแนะนำ สร้างแรงบันดาลใจ ให้กำลังใจ รับฟัง และ ส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียน ทำให้ครูเห็นความแตกต่างของนักเรียนในชั้นเรียน เห็นจุดแข็งและ จุดอ่อนของนักเรียนแต่ละคน ทำให้บรรยากาศการเรียนรู้ในชั้นเรียนเปลี่ยนไป พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ บางอย่างของนักเรียนหายไป เช่น การเล่นโทรศัพท์ในเวลาเรียน การนอนหลับในชั้นเรียน เนื่องจาก ในห้องเรียนกลับด้านนักเรียนจะเป็นผู้ลงมือปฏิบัติไม่ใช่รับการถ่ายทอดแบบเดิม คือ การให้ความรู้ เนื้อหาเพียงอย่างเดียว รูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ยังมีผลทำให้ผลการเรียนรู้วิชาการงาน พื้นฐานอาชีพสูงขึ้น สอดคล้องกับงานวิจัยของ Sterlie (2018: 154-156) ได้ศึกษาถึงผลการใช้ห้องเรียน กลับด้านที่ชวยเพิ่มแรงจูงใจวัยรุ่นในการเรียนพลศึกษา โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเกรียนเกรด 8-11 จำนวน 338 คน เป็นนักเรียนหญิง ร้อยละ 45.3 จากโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายจาก โรงเรียน 6 แห่ง จาก3 เขตในประเทศนอร์เวย์รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบมีกลุ่มควบคุม โดยมีการสุ่มเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ทำการทดลองเป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์ในช่วงภาคฤดู ใบไม้ผลิปีค.ศ.2016 ซึ่ง Ove ได้ทำการทดลองโดยมอบหมายให้นักเรียนไปดูวีดิโอที่บ้านเป็นการบ้าน


155 ก่อนที่จะมาเรียนในชั้นเรียน วีดิโอแต่ละตอนมีความยาว12 นาทีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม แรงจูงใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติPaired Samples t-test ซึ่งผลการวิจัยพบว่า การเรียนแบบ ห้องเรียนกลับด้านและการเรียนแบบห้องเรียนปกตินักเรียนมีแรงจูงใจแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 สรุปได้ว่า การใช้ห้องเรียนกลับด้านช่วยเพิ่มแรงจูงใจวัยรุ่นในการเรียนพลศึกษา ซึ่งรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES นี้ ผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้นอย่างเป็นระบบ ในแต่ละ ขั้นตอนมีความเชื่อมโยงกัน ผ่านการประเมินตามที่ผู้ทรงคุณวุฒิได้ประเมินคุณภาพของรูปแบบการเรียน การสอนแบบ PIPES พบว่า ค่าคะแนนเฉลี่ยคุณภาพรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPESอยู่ระหว่าง 4.30-5.00 มีความเหมาะสมสอดคล้องกับแนวคิดและทฤษฎี อยู่ในระดับดีมาก ทั้งนี้อาจเนื่องจาก 1) ได้ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดกรอบในการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES เป็นอย่างดี 2) มีการจัดประชุมผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงรูปแบบการเรียน การสอน และ 3) มีการปรับปรุงรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ตามคำแนะนำของผู้ทรงคุณวุฒิ จนกว่าจะได้เอกสารรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ฉบับสมบูรณ์ 2. สรุปผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ที่มีต่อทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีผลการเรียนรู้วิชาการงานพื้นฐานอาชีพ ผู้วิจัยนำรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ที่พัฒนาขึ้น ไปจัดการเรียนการสอนกับ นักเรียนกลุ่มทดลอง และนักเรียนกลุ่มควบคุมที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนตามรูปแบบการเรียน การสอนตามคู่มือครู พบว่า 2.1 นักเรียนที่เรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES มีทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีหลังเรียนสูงกว่านักเรียนที่เรียนรู้ตามคู่มือครูซึ่งสามารถอธิบายทั้งสองรูปแบบได้ว่า รูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES เป็นแนวคิดของห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Learning) ส่วน การเรียนการสอนตามคู่มือครู เป็นรูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบเดิม (Traditional Learning) กล่าวคือ การจัดการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้านนั้นจะมุ่งเน้นการสรางสรรค์องค์ความรู้ด้วย ตัวผู้เรียนเองตามทักษะ ความรู้ความสามารถและสติปัญญาของเอกัตบุคคล(Individualized Competency) ตามอัตราความสามารถทางการเรียนแต่ละคน (Self-paced) จากมวลประสบการณ์ที่ครูจัดให้ผ่านสื่อ เทคโนโลยีICT หลากหลายประเภทในปัจจุบัน และเป็นลักษณะการเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้นอกชั้นเรียน อย่างอิสระ ทั้งด้านความคิดและวิธีปฏิบัติซึ่งแตกต่างจากการเรียนแบบเดิมที่ครูจะเป็นผู้ป้อนความรู้ ประสบการณ์ให้ผู้เรียนในลักษณะของครูเป็นศูนย์กลาง (Teacher Center) (สุรศักดิ์ ปาเฮ, 2556) การที่รูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES มีทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีหลังเรียนสูงกว่า นักเรียนที่เรียนรู้ตามคู่มือครู อาจเป็นเพราะผู้เรียนได้เรียนรู้ผ่านขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 ขั้นเตรียมความพร้อม (P = Preparing & Aggregating) โดยครูผู้สอนให้นักเรียนศึกษา


156 สื่อการเรียนรู้มาก่อนล่วงหน้า จากสื่อหรือเว็บไซต์ที่ครูเตรียมไว้ล่วงหน้า แต่นักเรียนสามารถสืบค้น จากแหล่งอื่น นอกเหนือจากที่ครูกำหนดให้ได้เพื่อให้นักเรียนสามารถสืบค้นได้จากหลากหลายช่องทาง ซึ่งการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอนเป็นการเปิดโอกาส ให้เยาวชนได้เรียนรู้ผ่านสื่อ ผู้เรียนสามารถประยุกต์การเรียนได้ทั้งแบบออนไลน์และแบบออฟไลน์ ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม เพื่อให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล (วรปภา อารีราษฎร์ และคณะ, 2557: 359) เมื่อศึกษาเนื้อหาเสร็จให้นักเรียนจดบันทึกประเด็นที่สงสัยจากการดูเนื้อหา ที่ครูกำหนดให้ เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและเห็นแนวทางในการเนื้อหาที่ทำการเรียน โดยนำคำถามที่สงสัยมาซักถามในชั้นเรียนผลการศึกษาเรียนรู้ ซึ่งขั้นตอนนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ สุรศักดิ์ปาเฮ (2556: 5) ขั้นที่ 2 ขั้นจัดหมวดหมู่เนื้อหา (I = Introducing & Remixing) ครูชี้แจง ให้ผู้เรียนได้ทราบรายละเอียดของวัตถุประสงค์เนื้อหากิจกรรมที่จะปฏิบัติ และเกณฑ์การประเมินผล มีการทดสอบก่อนเรียน เพื่อวัดพื้นฐานความรู้และทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียนจากการศึกษาเนื้อหามาก่อน แล้วร่วมกันแสดงความคิดเห็นจากประเด็นคำถามที่นักเรียนสงสัย เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับครู โดยในขั้นตอนนี้นักเรียนสามารถเขียนประเด็นคำถามลงในแบบฟอร์มผ่าน Google Formที่ครูส่งให้ รวมถึงประเด็นความรู้ที่ได้จากการศึกษาเนื้อหาก่อนเข้าสู่กิจกรรมการเรียนการสอนโดยการลงมือปฏิบัติ ต่อไป จะทำให้นักเรียนเข้าใจเนื้อหาที่ได้ศึกษามาก่อนอย่างลึกซึ้งมากขึ้นกว่าเดิม ขั้นที่ 3 ขั้นจัดการเรียน การสอน (P = Processing & Repurposing) ผู้เรียนเสริมเสริมความเข้าใจ ผ่านกิจกรรมกลุ่ม โดยทุกกลุ่ม ร่วมมือกันทำงาน มีการแสดงความคิดเห็น อภิปรายในกลุ่มย่อยทำให้ผู้เรียนแต่ละคนเห็นคุณค่าของ ตัวเองและผู้อื่น ซึ่งสอดคล้องกับ Dixon (2010: 1-13) ที่กล่าวว่า การสอนโดยใช้ห้องเรียนกลับด้าน จะทำให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ขึ้นสูง อันจะนำไปสู่การเรียนรู้แบบ Active Learningและความสามารถ ในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ความกล้าแสดงออก เป็นต้น ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัย ของ Jamaludin & Osman (2014: 124-131) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การใช้ ห้องเรียนกลับด้านเพื่อพัฒนาการมีส่วนร่วมและสงเสริมการเรียนรู้แบบ Active Learning ผลการศึกษา วิจัยยืนยันว่า การสอนโดยใช้รูปแบบห้องเรียนกลับด้านนั้น ส่งผลให้พฤติกรรม อารมณ์องค์ความรู้ และการปฏิสัมพันธ์ของนักเรียนนั้น เกิดการเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น พฤติกรรมและอารมณ์ปรับในทางที่ดีขึ้น นักเรียนมีความกระตือรือร้น ตื่นตัวในการเรียนรู้และตอบสนองกับสื่อต่างๆ ที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้ แบบห้องเรียนกลับด้าน กิจกรรมระดมสมอง เช่น การอภิปราย ทบทวนเนื้อหา/ปัญหาคือ ผู้สอนและ ผู้เรียนร่วมกันอภิปรายเนื้อหาและคำถามในชั้นเรียน สร้างผลงานในรายวิชาที่จัดการเรียนการสอนที่เป็น ภาคปฏิบัติโดยใช้หลักการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำหรือแม้กระทั้งการแก้ข้อสงสัยและทำกิจกรรมแลกเปลี่ยน เรียนรู้เพื่อสร้างความกระจ่างในการเรียน ศึกษาข้อมูลจากหนังสือเอกสาร Internet และสิ่งแวดล้อม รอบตัว รวมถึง การสัมภาษณ์สอบถามจากภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อพยายามที่จะหาคำตอบด้วยตนเอง จากหลาย ๆ วิธี ซึ่งขั้นนี้จะเป็นการเชื่อมโยงเครือข่ายในการเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้หรือสถานที่


157 ปฏิบัติงานจริง เพื่อให้เกิดการเรียนรู้จากการทำงานนอกห้องเรียนด้วยอีกทางหนึ่ง ซึ่งความรู้ ความเข้าใจใหม่ที่สร้างขึ้นด้วยตนเองนั้น จะเป็นแนวทางในการปฏิบัติหรือการดำเนินชีวิตเพื่อให้เกิด ทักษะในการทำงานที่ดี ขั้นที่ 4 ขั้นประเมินผล (E = Evaluating) ในขั้นนี้ผู้เรียนได้ทำการประเมิน ผลงานระหว่างดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้โดยการประเมินผลตามสภาพจริง พิจารณาจากผลงานและ กระบวนการทำงานพฤติกรรมของผู้เรียน ความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมายการเข้าร่วมกิจกรรม การแสดงความคิดเห็น การอภิปรายร่วมกัน โดยใช้วิธีการประเมิน Rubric Score รวมถึง สามารถ ประเมินผลตัวเองและเพื่อนร่วมห้องเรียนได้ และขั้นที่ 5 ขั้นแบ่งปันความรู้(S = Sharing) ในขั้นนี้ ผู้เรียนเตรียมผลงานของตนเองมาจัดแสดง โดยเตรียมตัวที่จะพูดนำเสนอผลงาน ทบทวนเนื้อหา องค์ความรู้ลำดับขั้นตอนในการนำเสนอผลงานของตนเองให้ชัดเจน ซักถาม แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับ เพื่อน รวมถึง ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นเมื่อมีข้อเสนอแนะในการปรับปรุงพัฒนาผลงานต่อไป รวบรวม สรุปข้อเสนอแนะที่ได้จากเพื่อน ๆ เพื่อนำไปปรับปรุงพัฒนาผลงาน เพื่อพัฒนาผลงานให้มี ความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น รูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ซึ่งประยุกต์มาจาก“ห้องเรียนกลับด้าน” จึงกลายเป็นนวัตกรรมและมุมมองหนึ่งของตัวอย่างจากประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นในวงการศึกษา เป็นวิธีการใช้ห้องเรียนให้เกิดคุณค่าแก่เด็กโดยใช้ฝึกประยุกต์ความรู้ในสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้เกิด การเรียนรู้แบบ “รู้จริง (Mastery Learning)” และเป็นวิธีจัดการเรียนรู้เพื่อยกระดับและคุณค่าแห่ง วิชาชีพครูที่ปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้อีกรูปแบบหนึ่งให้เกิดขึ้น ผ่านสื่อเทคโนโลยีที่นำมาใช้ (สุรศักดิ์ ปาเฮ, 2556) ผลการจัดการเรียนรู้ผ่านขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ทั้ง 5 ขั้นตอน ทำให้นักเรียน มีทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีหลังเรียนสูงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ นวพัฒน์ เก็มกาแมน (2557: 89-91) ได้ทำการศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้ แบบห้องเรียนกลับด้าน ด้วยบทเรียน อิเล็กทรอนิกส์วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ 2 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 พบว่า บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ 2 เรื่อง การเขียนโปรแกรมแบบทางเลือก มีประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 80.37/81.93 และนักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านด้วยบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ มี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ 2 เรื่อง การเขียนโปรแกรมแบบทางเลือกสูงกว่า นักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สอดคล้องกับ ลัทธพล ด่านสกุล (2558: 95-100) ได้ทำการศึกษาการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน ด้วย พอดคาสต์โดยใช้กลวิธีการกำกับตนเองเป็นการนำจุดเด่นของการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน และการใช้กลวิธีการกำกับตนเอง โดยใช้เว็บไซต์พอดคาสต์มาผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่เรียนห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ ตามแนวทางของ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี (สสวท.) โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2557 ผลการวิจัยสรุปได้ว่า 1) ประสิทธิภาพของเว็บไซต์พอดคาสต์


158 สำหรับการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านโดยใช้กลวิธีการกำกับตนเองเรื่อง โครงสร้างการโปรแกรม มีค่าเท่ากับ 81.07/83.352) นักเรียนห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ที่เรียนรู้ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ ห้องเรียนกลับด้าน โดยใช้กลวิธีการกำกับตนเองมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง โครงสร้างการโปรแกรม หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 3) นักเรียนห้องเรียนพิเศษ วิทยาศาสตร์ที่เรียนรู้ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน โดยใช้กลวิธีการกำกับตนเองมีการกำกับ ตนเองหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และสอดคล้องกับ ปิยะวดี พงษ์สวัสดิ์(2558) ได้ทำการวิจัยเรื่อง“การออกแบบรูปแบบการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน โดยใช้กิจกรรม WebQuest เพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สำหรับนักศึกษาในระดับ อุดมศึกษา” ผลการวิจัย พบว่า 1) ได้รูปแบบการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน โดยใช้กิจกรรม Web Quest เพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่21 สำหรับนักศึกษาในระดับอุดมศึกษาแบ่งเป็น 4 ส่วน ได้แก่ส่วนที่1การวิเคราะห์บริบททางการเรียนการสอนประกอบด้วย4 องค์ประกอบ ส่วนที่2 การเตรียมการก่อนการเรียน ประกอบด้วย3 องค์ประกอบ ส่วนที่3 กระบวนการจัดการเรียนการสอน แบ่งเป็น 2 กระบวนการและส่วนที่4 การประเมินผล มี1 องค์ประกอบ 2)ผลประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน ทำการประเมินรูปแบบการเรียนการสอน แล้วมีความคิดเห็นว่า รูปแบบการเรียนการสอนที่ พัฒนาขึ้นนั้น ในภาพรวม มีความเหมาะสมระดับมากที่สุด ( = 4.70, S.D. = 0.49) 2.2 นักเรียนที่เรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่านักเรียนที่เรียนรู้ตามคู่มือครูเนื่องมาจากรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES เป็น กิจกรรมที่ไม่ได้ส่งเสริมกระบวนการคิดวิเคราะห์เพียงอย่างเดียว แต่คุณประโยชน์ของการสอนแบบ ห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) ที่ Bergmann และ Sams (Bergmann and Sams, 2012)กล่าวไว้ในหนังสือของเขาที่ชื่อ Flip Your Classroom: Reach Every Student in Every Class Every Day ได้สรุปให้เห็นถึงกิจกรรมที่น่าสนใจและสอดรับกับการเรียนการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็น ศูนย์กลาง เพื่อเปลี่ยนวิธีการสอนของครูจากการบรรยายหน้าชั้นเรียนหรือจากครูสอนไปเป็นครูฝึก ฝึกการทำแบบฝึกหัดหรือทำกิจกรรมอื่นในชั้นเรียนให้แก่ศิษย์เป็นรายบุคคลหรืออาจเรียกว่าเป็นครูติวเตอร์ เพื่อใช้เทคโนโลยีการเรียนที่เด็กสมัยใหม่ชอบ โดยใช้สื่อ ICT ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นการนำโลกของโรงเรียน เข้าสู่โลกของนักเรียนซึ่งเป็นโลกยุคดิจิตัล ช่วยเหลือเด็กที่มีงานยุ่ง มีกิจกรรมมาก ทำงานไม่ทันส่งครู ดังนั้นจึงต้องเข้าไปช่วยเหลือในการจัดการเรียนรู้โดยใช้บทสอน ที่สอนด้วยวีดิทัศน์อยู่บนอินเทอร์เน็ต (Internet) ช่วยให้เด็กเรียนไว้ล่วงหน้าหรือเรียนตามชั้นเรียนได้ง่ายขึ้น รวมทั้งเป็นการฝึกเด็กให้รู้ จัดการจัดเวลาของตนเอง ช่วยเหลือเด็กเรียนอ่อนให้ขวนขวายหาความรู้ ในชั้นเรียนปกติ ซึ่งเด็กเหล่านี้ จะถูกทอดทิ้ง แต่ในห้องเรียนกลับด้านเด็กจะได้รับการเอาใจใส่จากครูมากที่สุดโดยอัตโนมัติ ช่วยเหลือ เด็กที่มีความสามารถแตกต่างกันให้ก้าวหน้าในการเรียนตามความสามารถของตนเอง เพราะนักเรียน สามารถฟัง-ดูวีดิทัศน์ได้เองจะหยุดตรงไหนก็ได้ กรอกลับ (Review) ก็ได้ตามที่ตนเองพึงพอใจที่จะเรียน


159 ทำให้นักเรียนสามารถหยุดและกรอกลับของตนเองได้ ทำให้เด็กจัดเวลาเรียนตามที่ตนพอใจ เบื่อก็ หยุดพักได้สามารถแบ่งเวลาในการดูเป็นช่วงได้ ทำให้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับครูเพิ่มขึ้น ตรงกันข้าม กับการที่เรียนแบบออนไลน์การเรียนแบบห้องเรียนกลับด้านยังเป็นรูปแบบการเรียนที่นักเรียนยังคง มาโรงเรียนและนักเรียนพบปะกับครู ห้องเรียนกลับด้านเป็นการประสานการใช้ประโยชน์ระหว่าง การเรียนแบบออนไลน์ และการเรียนระบบพบหน้า ช่วยเปลี่ยนและเพิ่มบทบาทของครูให้เป็นทั้งพี่เลี้ยง (Mentor) เพื่อน เพื่อนบ้าน (Neighbor) และผู้เชี่ยวชาญ (Expert) หน้าที่ของครูไม่ใช่เพียงช่วยให้ศิษย์ ได้ความรู้หรือเนื้อหา แต่ต้องกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจ (Inspire) ให้กำลังใจ รับฟังและช่วยเหลือ ส่งเสริมผู้เรียน ซึ่งเป็นมิติสำคัญที่จะช่วยเสริมพัฒนาการทางการเรียนของเด็ก ช่วยเพิ่มปฏิสัมพันธ์ ระหว่างเพื่อนนักเรียนด้วยกันเอง จากกิจกรรมทางการเรียนที่ครูจัดประสบการณ์ขึ้นมานั้น ผู้เรียน สามารถที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันได้ดี เป็นการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของนักเรียนที่เคยเรียน ตามคำสั่งครูหรือทางานให้เสร็จตามกำหนดเป็นการเรียนเพื่อตนเองไม่ใช่คนอื่น ส่งผลต่อเด็กที่เอาใจใส่ การเรียน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนด้วยกันจะเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ ช่วยให้เห็นคุณค่าของความแตกต่าง ตามปกติแล้วในชั้นเรียนเดียวกันจะมีเด็กที่มีความแตกต่างกันมาก มีความถนัดและความชอบที่แตกต่างกัน ดังนั้น การจัดกิจกรรมการสอนแบบห้องเรียนกลับทางจะช่วยให้ครูเห็นจุดอ่อนจุดแข็งของผู้เรียนแต่ละคน เพื่อนด้วยกันก็เห็นและช่วยเหลือกันด้วยจุดแข็งของแต่ละคน อีกทั้งยังทำให้เกิดความโปร่งใสในการจัด การศึกษา การใช้ห้องเรียนแบบกลับทางโดยนำสาระคำสอนไปไว้ในวีดิทัศน์นำไปเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต เป็นการเปิดเผยเนื้อหาสาระทางการเรียนให้สาธารณชนได้ทราบ สร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพการเรียน การสอนให้ผู้ปกครองทราบ ทั้งหมด นั้นก็คือ เหตุผลที่ทำให้นักเรียนที่ได้รับการเรียนรู้ตามรูปแบบการเรียน การสอนแบบ PIPES มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่า นักเรียนที่เรียนรู้ตามคู่มือครู สอดคล้อง กับ นิชาภา บุรีกาญจน์(2557: 1) ได้ศึกษาเรื่อง ผลการจัดการเรียนรู้วิชาสุขศึกษาโดยใช้แนวคิดแบบ ห้องเรียนกลับด้านที่มีผลต่อความรับผิดชอบและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ผลการวิจัย สามารถกล่าวโดยสรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้วิชาสุขศึกษาโดยใช้แนวคิดแบบห้องเรียน กลับด้านมีผลต่อความรับผิดชอบและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น จากผลการวิจัยดังนี้1)ค่าเฉลี่ยของคะแนนความรับผิดชอบและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสุขศึกษา ของนักเรียนกลุ่มทดลองหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ค่าเฉลี่ยของคะแนนความรับผิดชอบและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสุขศึกษาของนักเรียนกลุ่มทดลอง สูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05


160 ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ จากผลการวิจัยครั้งนี้มีข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ ดังนี้ 1.1 การนำรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ไปใช้ โดยเฉพาะขั้นเตรียมความพร้อม ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ทำนอกห้องเรียน ครูควรให้ความสำคัญในการกำกับ ติดตาม การศึกษาเนื้อหาล่วงหน้า โดยมีแบบบันทึกให้นักเรียนสรุปความรู้ สาระสำคัญ จากเรื่องที่ได้รับมอบหมาย เพื่อเป็นการติดตามว่า นักเรียนได้ศึกษาเนื้อหา ความรู้ ล่วงหน้าด้วยตนเอง 1.2 การนำรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ไปใช้ ในขั้นจัดหมวดหมู่เนื้อหา ครูควรแนะนำวิธีการจัดหมวดหมู่ให้เป็นไปอย่างถูกต้อง เพื่อให้ได้หมวดหมู่เนื้อหาที่สามารถนำความรู้ ไปใช้ในขั้นจัดการเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสม 1.3 การนำรูปแบบการเรียนการสอนแบบ PIPES ไปใช้ ในขั้นตอนที่อยู่ในเวลาเรียนปกติ ครูควรเป็นผู้สนับสนุน ให้คำแนะนำ ปรึกษา ติดตามการทำงานของนักเรียนแต่ละกลุ่มและให้ความสำคัญ กับกลุ่มที่มีปัญหาในการนำความรู้จากขั้นเตรียมความพร้อมมาใช้ในการทำงานที่ได้รับมอบหมาย 2. ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 2.1 จากผลการวิจัย มีข้อจำกัดในเรื่องเวลาที่ใช้ในการศึกษานอกห้องเรียน ดังนั้น จึงควร มีการศึกษาเปรียบเทียบระหว่าง นักเรียนที่ใช้เวลาในขั้นเตรียมความพร้อม แตกต่างกันว่าจะมีทักษะ ด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แตกต่างกันหรือไม่ 2.2 จากผลการวิจัย มีข้อจำกัดในเรื่องเวลาที่ใช้ในการศึกษานอกห้องเรียน ดังนั้น ควรมี การพัฒนาระบบ การกำกับ ติดตาม ในช่วงที่ศึกษาด้วยตนเอง


เอกสารอ้างอิง กนกรัตน์ จิรสัจจานุกูล และ ณมน จีรังสุวรรณ. (2559). การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ด้วยทฤษฎีการเรียนรู้ แบบการสร้างความรู้นิยมและทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้เพื่อการสร้างนวัตกรรมแบบประสบการณ์ จริง. วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี, 7(2), 54-65. กระทรวงศึกษาธิการ. (2546). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542และที่แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 พร้อมกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง และพระราชบัญญัติบังคับ พ.ศ. 2545. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.). กาญจนา จันทร์ช่วง. (2560). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาสังคมศึกษาเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการวิจัยและพัฒนาหลักสูตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี. กิตติพงษ์ พุ่มพวง. (2558). การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยทฤษฎีเชื่อมโยงความรู้ (Connectivism) ผ่านสื่อ สังคมออนไลน์. วารสารศิลปศาสตร์ปริทัศน์,10(19), 1-13. เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์. (2559). อนาคตใหม่ของการศึกษาไทยในยุค Thailand 4.0. เกษม เมษินทรีย์. (2559). ยุทธศาสตร์และการปฏิรูปสู่การเป็นไทยแลนด์ 4.0. กรุงเทพฯ: กระทรวงศึกษาธิการ. ฉลองชัย สุรวัฒนบูรณ์. (2544). การออกแบบระบบการสอน. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์. (2557). การสอนซ่อมเสริม: เติมเต็มศักยภาพผู้เรียน. พิษณุโลก: มหาวิทยาลัย นเรศวร. ชินภัทร ภูมิรัตน์. (2556). สรุปรายงานห้องเรียนกลับ ชูศรี วงศ์รัตนะ. (2546). เทคนิคการใช้สถิติเพื่อการวิจัย. พิมพ์ครั้งที่ 9. กรุงเทพฯ: เทพเนรมิตการพิมพ์. ถนอมพร เลาหจรัสแสง. (2541). คอมพิวเตอร์ช่วยสอน. กรุงเทพฯ:ศูนย์หนังสือแห่งจุฬาลงกรณ์ ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์. (2559). การศึกษาไทย 4.0 ในบริบทการจัดการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน. กรุงเทพฯ: ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการและคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ. นงลักษณ์ วิรัชชัย และ สุวิมล ว่องวาณิช. (2544). การวิจัยและพัฒนาเพื่อการปฏิรูปทั้งโรงเรียน. กรุงเทพฯ:จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. นวพัฒน์ เก็มกาแมน. (2557). ผลของการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านด้วยบทเรียน อิเล็กทรอนิกส์ วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ 2 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4. วิทยานิพนธ์ปริญญา วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหาร ลาดกระบัง. นันทวัน จันทร์กลิ่น. (2557). การศึกษาปัญหาและแนวทางการบริหารจัดการคุณภาพในการพัฒนาทักษะ ผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 โรงเรียนบ้านเนินมะปราง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา


162 พิษณุโลก เขต 2. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราช ภัฏพิบูลสงคราม. นิชาภา บุรีกาญจน์. (2557). ผลการจัดการเรียนรู้วิชาสุขศึกษาโดยใช้แนวคิดแบบห้องเรียนกลับด้านที่มี ผลต่อความรับผิดชอบและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น.วิทยานิพนธ์ ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักูตรและการสอน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. บุญชม ศรีสะอาด. (2553). การวิจัยเบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น. บุบผา เมฆศรีทองคำ. (2552). รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์สภาพการใช้สื่ออินเทอร์เน็ตของเด็กและ เยาวชนไทยตามช่วงพัฒนาการแห่งวัย. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยกรุงเทพ. บุปผชาติ ทัฬหิกรณ์. (2551). การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการเรียนการสอน. กรุงเทพฯ: โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ. ปิยะวดี พงษ์สวัสดิ์. (2558). การออกแบบรูปแบบการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน โดยใช้กิจกรรม WebQuest เพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สำหรับนักศึกษาในระดับ อุดมศึกษา. วารสารวิชาการครุศาสตร์อุตสาหกรรม พระจอมเกล้าพระนครเหนือ, 6(1), 151-158. พงษ์ ผาวิจิตร. (2555). 30 กึ๋นแห่งศตวรรษใหม่: 21st Century Skills. กรุงเทพฯ: เอ็ดวานซ์อินเตอร์ พริ้นติ้ง. พรทิพย์ เย็นจะบก. (2552). ถอดรหัสลับความคิดเพื่อการรู้เท่าทันสื่อ: คู่มือการเรียนรู้เท่าทันสื่อ. กรุงเทพฯ: ออฟเซ็ทครีเอชั่น. พีรภัทร ฉัตรสุวรรณ. (2555). การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอน กลุ่มสาระสังคมศึกษาศาสนา และวัฒนธรรม ด้วยศูนย์การเรียนเสมือนเพื่อเสริมสร้างความสามารถการเรียนรู้เป็นทีมของ นักเรียนช่วงชั้นที่ 3. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีและ สื่อสารการศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ไพฑูรย์ สินลารัตน์. (2559). การศึกษา 4.0 เป็นยิ่งกว่าการศึกษา ในการศึกษา 4.0 เป็นยิ่งกว่าการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ภัทราทิพย์ ธงวาส และ วิวัฒน์ มีสุวรรณ. (2563). การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนการสอนร่วมกับ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. วารสารวิชาการวิทยาลัยสันตพล, 6(1), 39-47. มาเรียม นิลพันธุ์, ศิริวรรณ วณิชวัฒนวรชัย, อธิกมาส มากจุ้ย และ รุจิราพร รามศิริ. (2555). การพัฒนา นวัตกรรมการจัดการเรียนการสอนที่เน้นความแตกต่างระหว่างบุคคล. นครปฐม: มหาวิทยาลัย ศิลปากร. ยืน ภู่วรวรรณ. (2556). เทคโนโลยีอุบัติใหม่. ใน เอกสารประกอบการบรรยายการประชุมทางวิชาการ นเรศวรวิจัย ครั้งที่ 9. วันที่ 28-29 กรกฎาคม 2556 ณ มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก.


163 เยาวดี รางชัยกุลวิบูลย์ศรี. (2546). การประเมินโครงการ: แนวคิดและแนวปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ราชบัณฑิตสถาน. (2555). พจนานุกรมศัพท์ศึกษาศาสตร์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน. รุจิร์ ภู่สาระ. (2546). การพัฒนาหลักสูตร: ตามแนวปฏิรูปการศึกษา. กรุงเทพฯ: บุ๊ค พอยท์. ลัทธพล ด่านสกุล. (2558). ผลของการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านด้วยพอดคาสต์ โดยใช้ กลวิธีการกำกับตนเองที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องโครงสร้างการโปรแกรมการกำกับ ตนเองของนักเรียนห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์. วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง. วรปภา อารีราษฎร์, ธรัช อารีราษฎร์ และ วรรณพร สารภักดิ์. (2557). การพัฒนาระบบสารสนเทศการประกัน คุณภาพการศึกษาออนไลน์ด้วยกระบวนการ PDCA คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาสารคาม. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. วรพจน์ วงศ์กิจรุ่งเรือง และ อธิป จิตตฤกษ์. (2554). ทักษะแห่งอนาคตใหม่. กรุงเทพฯ: Openworlds. วรรณธิดา ยลวิลาศ. (2563). ผลการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาสาขาวิชาคณิตศาสตร์ ในรายวิชาคณิต วิเคราะห์. วารสารวิชาการหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร, 12(33), 115- 121. วารินทร์ รัศมีพรหม. (2541). เอกสารประกอบการสอนวิชาการออกแบบและพัฒนาระบบ การสอน. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร. วิจารณ์ พานิช. (2555). วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์. วิชัย ประสิทธิ์วุฒิเวชช์. (2542). การพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น: สานต่อที่ท้องถิ่น. กรุงเทพ: เซ็นเตอร์ ดิสคัฟเวอรี่. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2560). สรุปผลการวิจัย PISA 2015 สมจิต จันทร์ฉาย. (2557). การออกแบบและพัฒนาการเรียนการสอน. นครปฐม: คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม. สมหมาย แก้วกันหา. (2558). การพัฒนารูปแบบกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมมือแบบห้องเรียนกลับด้านโดยใช้ สื่อ อีดีแอลทีวี. ใน การประชุมทางวิชาการระดับชาติ ด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ ครั้งที่ 11, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ กรุงเทพฯ. สัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ และ วิลาวรรณ พันธุ์พฤกษ์. (2542). คู่มือนักวิจัยสาธารณสุขระดับอำเภอ: โครงการ ตำราหลักสูตรสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. ขอนแก่น: ขอนแก่นการพิมพ์. สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ. (2541). แนวทางปฏิบัติ:จรรยาบรรณนักวิจัย. กรุงเทพฯ: สำนักงานฯ.


164 สำนักงานคณะการกรรมการกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ. (2556). ใจความสำคัญและ องค์กรที่เกี่ยวข้องในการควบคุมสื่อของเยอรมนี. สืบค้นเมื่อ 24 พฤษภาคม 2562, จาก http://nbtc.go.th/getattachment/Services/academe/. สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2559). สภาวะการศึกษาไทย ปี 2557/2558 จะปฏิรูปการศึกษาไทย ให้ทันโลกในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างไร. กรุงเทพฯ: พิมพ์ดีการพิมพ์. ______. (2560). แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560-2579. สืบค้นเมื่อ16 เมษายน 2562, จาก http://backoffice.onec.go.th/uploads/Book/1540-file.pdf. สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2561). สรุปผลที่สำคัญ สำรวจการมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในครัวเรือน พ.ศ. 2561. สืบค้นเมื่อ 18 เมษายน 2562, จากhttps:// www. etda.or.th/content/etda-reveals-thailand-internet-user-profile-2018.html. สำนักบริหารงานการมัธยมศึกษาตอนปลาย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2558). แนว ทางการจัดทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ที่เน้นสมรรถนะสาขาวิชาชีพ. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. สำนักมาตรฐานการอาชีวศึกษาและวิชาชีพ. (2555). มาตรฐานการอาชีวศึกษา พ.ศ. 2555 เพื่อ การประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา. กรุงเทพฯ: สํานักงานฯ. สุขุม เฉลยทรัพย์ และคณะ. (2554). เทคโนโลยีสารสนเทศ. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยราช ภัฏสวนดุสิต. สุนันท์ สังข์อ่อง. (2555). หลักสูตรและการสอนสำหรับศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธุรกิจ บัณฑิตย์. สุพัตรา อุตมัง. (2558). แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน: ภาพฝันที่เป็นจริงในวิชาภาษาไทย. วารสาร วิชาการ ศึกษาศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ,16(1), 51-58. สุภาพร สุดบนิด. (2556). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดห้องเรียนกลับทางกับการจัด กิจกรรมการเรียนรู้แบบปกติ. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิจัยและ ประเมินผลการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. สุรศักดิ์ ปาเฮ. (2556). ห้องเรียนกลับทาง: ห้องเรียนมิติใหม่ในศตวรรษที่ 21. สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2563, จาก http://phd.mbuisc.ac.th/academic/flipped%20classroom2.pdf2556. สุวิทย์ เมษินทรีย์. (2560). องค์กรต้นแบบด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วยปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง. เอกสารประกอบการสัมมนาวิชาการ ณ หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ วันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน 2560. อนุชา โสมาบุตร. (2556). แนวคิดการจัดการเรียนรู้สำหรับครูในศตวรรษที่ 21. สืบค้นเมื่อ 14 มีนาคม 2562, จาก https://www.teacherweekly.wordpress.com.


165 อพัชชา ช้างขวัญยืน และ ทิพรัตน์ สิทธิวงศ์. (2559). การจัดการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน ร่วมกับการเรียนรู้แบบโครงงานหมวดวิชาศึกษาทั่วไป สำหรับนิสิตปริญญาตรี. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, 14(2), 99-102. อมรา เล็กเริงสินธุ์. (2540). หลักสูตรและการจัดการมัธยมศึกษา. กรุงเทพฯ: ฝ่ายเอกสารและตำรา สถาบัน ราชภัฏสวนดุสิต. Anderson, M., et al. (2011). Techniques & principles in language teaching. 3 rd ed. Oxford: Oxford University Press. Baggaley, J. (2012). Harmonizing global education. New York: Routledge. Bergmann, J., & Sams, A. (2012). Flip your classroom reach every student in every class every day. U.S.A.: United States of America. International Society for Technology in Education. Bopelo, B. (2011). Proposing an integrated research framework for connectivism: Utilising theoretical synergies. The International Review of Research in Open and Distance Learning, 12(3), 161-173. Brown, S. (2002). Humanistic mathematics: Personal evolution and excavations. New York: Jewish Theological Seminary of America. Center for Media Literacy. (2008). Literacy for the 21st century: An overview & orientation guide to media literacy education. 2 nd ed. Malibu, CA: Center for Media Literacy. Cronbach, L. J. (1970). Essentials of psychological test. 5 th ed. New York: Harper Collins. Dick, W., & Carey, L. (1985). The system design of Instruction. IL: Foresman. Dixon, M. D. (2010). Creating effective student engagement in online courses: What do students find engaging. Journal of the Scholarship of Teaching and Learning, 10(2), 1-13. Downes, S. (2005). E-learning 2.0. ______. (2008). Connectivism & connective knowledge innovate. France, B. (2011). Dialogue and connectivism: A new approach to understanding and promoting dialogue-rich networked learning. The International review of research in Open and Distance Learning, 12(3), 139-160. Gagné, R. M., Briggs, L. J., & Wager, W. W. (1992). Principles of instructional design. 4 th ed. New York: Holt, Rinehart and Winston. Gagné, R. M., Wager, W. W., Golas, K. C., & Keller, J. M. (2005). Principles of instructional design. 5 th ed. Connecticut: Thomson Wadsworth.


166 Gagnon, G. W., & Collay, M. (2001). Designing for learning: Six Elenmentsin Constructivist Classroms. Thousands Oaks: Corwin. Gerstein, J. (2011). The flipped classroom model: A full picture. Grenadier, S. (2005). An Equilibrium Analysis of Real Estate Leases. The Journal of Business, 78(4), 1173-1214. Gurr, T. R. (1970). Why men rebel. Princeton, N.J: Princeton University. Gustafson, K. L., & Branch, R. M. (2002). Survey of instructional development models. 4 th ed. NewYork: ERIC Clearinghouse on Information and Technology, Syracuse. Hardy, B. (2007). Linking trust, change, leadership and innovation: Ingredients of a knowledge leadership support framework. Knowledge Management Review, 10(5), 18-23. Hunsaker, K. (2006). Teacher standards and practices commission (TSPC) explains special education teacher certifications. Internet World Stats. (2015). The internet big picture world internet users and 2016 population stats.


169 ภาคผนวก


169 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบประเมินเครื่องมือการวิจัย


169 รายชื่อผู้เชี่ยวชาญในการตรวจประเมินเครื่องมือวิจัย ผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ ที่ประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ มีรายนามดังต่อไปนี้ 1.นายจักรกฤษ วงษ์ชาลี ตำแหน่งครู วิทยาฐานะ ครูชำนาญการ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ โรงเรียนสตรีราชินูทิศ 2.นางกนกศศิวรรณ บุญก้านตง ตำแหน่ง ครู วิทยาฐานะ ครูชำนาญการ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ โรงเรียนสตรีราชินูทิศ 3.นายบัญชา สานะสี ตำแหน่ง ครูวิทยาฐานะ ครูชำนาญการ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ โรงเรียนสตรีราชินูทิศ


171 ภาคผนวก ข ตัวอย่างแผนการสอน รูปห้องเรียนกลับด้าน


171 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 รหัสวิชา ง 32102 รายวิชา การงานอาชีพ 4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หน่วยการเรียนรู้ที่ 4(งานเขียนแบบเบื้องต้น) ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 เรื่อง การเขียนแบบ (ภาพ Isometric) เวลาเรียน 1 ชั่วโมง 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ง ๑.๑ เข้าใจการทำงาน มีความคิดสร้างสรรค์ มีทักษะกระบวนการทำงาน ทักษะ การจัดการ ทักษะกระบวนการปัญหา ทักษะการทำงานร่วมกัน และทักษะการแสวงหาความรู้ มี คุณธรรม และลักษณะนิสัยในการทำงาน มีจิตสำนึกในการใช้พลังงาน ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อมเพื่อ การดำรงชีวิตและครอบครัว ตัวชี้วัด ง ๑.๑ ม. ๔-๖/๑ อธิบายวิธีการทำงานเพื่อการดำรงชีวิต ง ๑.๑ ม. ๔-๖/๒ สร้างผลงานอย่างมีความคิด สร้างสรรค์ และมีทักษะ การทำงาน ร่วมกัน ง ๑.๑ ม. ๔-๖/๓ มีทักษะการจัดการในการทำงาน ง ๑.๑ ม. ๔-๖/๔ มีทักษะกระบวนการแก้ปัญหาในการทำงาน ง ๑.๑ ม. ๔-๖/๕ มีทักษะในการแสวงหาความรู้เพื่อการดำรงชีวิต ง ๑.๑ ม. ๔-๖/๖ มีคุณธรรมและลักษณะนิสัยในการทำงาน ง ๑.๑ ม. ๔-๖/๗ ใช้พลังงาน ทรัพยากรในการทำงานอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน เพื่อการ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม 2. จุดประสงค์การเรียน 2.1 ด้านความรู้ (K) - อธิบายความหมายของภาพ ISOMETRIC ได้ 2.2 ด้านทักษะกระบวนการ (P) - สามารถเขียนภาพ ISOMETRIC ได้ตามขั้นตอน 2.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์(A) - มีเจตคติที่ดีในการทำงาน มีความละเอียด รอบคอบ มีความรับผิดชอบต่อการทำงาน ด้วยความปลอดภัย


172 3. สาระสำคัญ ภาพไอโซเมตริก (Isometric) เป็นภาพสามมิติ (Pictorial) ที่มีความสำคัญที่ใช้เป็นพื้นฐาน ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ของชิ้นงาน เป็นภาพที่มองเห็นสัดส่วนใกล้ และไกลที่มีขนาดชัดเจน สามารถวัดขนาดของด้านต่าง ๆ เช่น ด้านกว้าง ด้านยาว และสูง ภาพไอโซเมตริก (Isometric) ประกอบด้วยมุม และเส้นต่าง ๆ ดังนี้ เส้นแกนราบ (180 องศา) เส้นแกนตั้งฉาก (90 องศา) เส้นเอียงมุม (30 องศา) ซึ่งทำมุมกับแกนราบทั้งสองข้าง 4. สาระการเรียนรู้ การเขียนภาพไอโซเมตริก (Isometric) 5. ใช้รูปแบบการเรียนการสอน PIPES (โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้และแนวคิด ห้องเรียนกลับด้าน) ขั้นตอนที่ 1 P&A ขั้นเตรียมความพร้อม (5 นาที) 1. ครูบอกจุดประสงค์การเรียนรู้ให้นักเรียนทราบ เพื่อให้นักเรียนได้ทำความเข้าใจ จุดมุ่งหมายในการเรียนรู้ในเรื่องการเขียนภาพไอโซเมตริก (Isometric) เบื้องต้น ขั้นตอนที่ 2 I&R ขั้นจัดหมวดหมู่เนื้อหา(10 นาที) 2. ครูแบ่งกลุ่มนักเรียน กลุ่มละประมาณ 5 – 6 คน พร้อมครูฉายภาพเคลื่อนไหว ที่มีลักษณะ 2 มิติ และ 3 มิติ บนจอโปรเจ็กเตอร์ แล้วให้นักเรียนช่วยกันบอกว่าภาพลักษณะ แบบใดเป็นภาพที่เหมาะสมในการเขียนภาพไอโซเมตริก (Isometric) เพราะนักเรียนแต่ละกลุ่ม ได้ศึกษาจากเว็บไซต์ https://sites.google.com/site/krujakgritclassroom/ที่ครูสร้างไว้ ในการศึกษาเป็นการบ้านมาก่อน ขั้นตอนที่ 3 P&R ขั้นจัดการเรียนการสอน (30 นาที) 3. ครูมอบหมายงานให้แต่ละกลุ่มช่วยกันศึกษา และลงมือทำการสร้าง การเขียนภาพไอโซเมตริก (Isometric) จากใบงานที่ได้รับมอบหมายของแต่ละกลุ่ม ขั้นตอนที่ 4 E ขั้นประเมินผล(5 นาที) 4. ครูประเมินผลนักเรียนเป็นรายกลุ่ม โดยประเมินในระหว่างการดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ พร้อม แนะนำในส่วนที่นักเรียนไม่เข้าใจ และเพิ่มเติมเทคนิคในการเขียนภาพไอโซเมตริก (Isometric) 5. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความรู้ความเข้าใจ โดยครูสุ่มถามเพื่อตรวจสอบความเข้าใจ ขั้นตอนที่ 5S=Sharing ขั้นนำเสนอผลงาน (10 นาที) 6. ครูให้แต่ละกลุ่มนำเสนอผลงาน พร้อมระดมสมองในการวิเคราะห์ถึงความเหมาะสม และความเป็นไปได้ในการสร้างผลงานในครั้งนี้ พร้อมเสนอเทคนิคเพิ่มเติมในการสร้างผลงาน


173 ที่แต่ละกลุ่มที่ได้รับมอบหมายร่วมกัน 7. ครูมอบหมายให้นักเรียนศึกษาเนื้อหาเรื่อง งานเขียนแบบภาพออบลิค OBLIQUE จาก เว็บไซต์ (https://sites.google.com/site/krujakgritclassroom/unit1/unit1_2) และมอบหมาย การเตรียมตัวทำกิจกรรมมาล่วงหน้าก่อนเข้าชั้นเรียนในชั่วโมงหน้า 6. สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ 6.1 บทเรียนออนไลน์ครูจักรกฤษ เรื่อง การเขียนแบบ (ภาพ Isometric) (https://shorturl.asia/ATnr5) 6.2 Google Form แบบสอบถามการดูวีดิโอ เรื่อง การเขียนแบบ (ภาพ Isometric)https://forms.gle/LvSsmsapGJQbNqLA9 6.3 แบบทดสอบก่อน-หลังเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 4 งานเขียนแบบเบื้องต้น เรื่อง การเขียนแบบ (ภาพ Isometric) https://forms.gle/GiA7YC1VDW8sWC559 6.4แบบบันทึกการวัดและประเมินผลแบบทดสอบก่อนเรียน เรื่อง การเขียนแบบ (ภาพ Isometric) 6.5 กระทู้บนเครือข่ายสังคมออนไลน์ (social media) เรื่อง การเขียนแบบ (ภาพ Isometric) บนบทเรียนออนไลน์ครูจักรกฤษ https://shorturl.asia/xt0cU 6.6 หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน งานช่าง ม. 4-6 บริษัท สำนักพิมพ์เอมพันธ์ จำกัด 6.7 หนังสือเสริมประสบการณ์ รายวิชาพื้นฐาน งานช่าง ม. 4-6 บริษัท สำนักพิมพ์เอมพันธ์ จำกัด


174 7. การวัดและประเมินผล เป้าหมายการ เรียนรู้ ภาระงาน/ชิ้นงาน เครื่องมือวัดและ ประเมิน วิธีวัดผล เกณฑ์การประเมิน ความรู้/ความ เข้าใจ (K) 1. การอภิปราย และแสดงความ คิดเห็นเกี่ยวกับ การเขียนแบบ (ภาพ Isometric) 1. แบบประเมิน การอภิปรายแสดง คามคิดเห็น 2. แบบสอบถาม Google Form 3. แบบประเมิน ชิ้นงาน 1. ตรวจแบบ ประเมินการ อภิปรายแสดงคาม คิดเห็น 2. ตรวจแบบ ประเมินชิ้นงาน 1. ผ่านเกณฑ์การ ประเมินที่ระดับ คะแนน (12) ขึ้นไป 2. ผ่านเกณฑ์การ ประเมินที่ระดับ คุณภาพปานกลาง ทักษะ/ กระบวนการ (P) การเขียนภาพ ISOMETRIC ได้ ตามขั้นตอน แบบประเมินการ นำเสนอผลงาน ตรวจแบบประเมิน การนำเสนอผลงาน ผ่านเกณฑ์การ ประเมินที่ระดับ คะแนน (8) ขึ้นไป เจตคติ (A) การตอบคำถาม ในชั้นเรียน แบบประเมินการ ตอบคำถามในชั้น เรียน วิเคราะห์การตอบ คำถามในชั้นเรียน ผ่านเกณฑ์การ ประเมินที่ระดับ คุณภาพปานกลาง ขึ้นไป


175 เป้าหมายการ เรียนรู้ ภาระงาน/ชิ้นงาน เครื่องมือวัดและ ประเมิน วิธีวัดผล เกณฑ์การประเมิน สมรรถนะ สำคัญ พฤติกรรมในชั้นเรียน 1. แบบประเมิน สมรรถนะที่สำคัญ ด้านความสามารถ ในการคิด 2. แบบประเมิน สมรรถนะที่สำคัญ ด้านความสามารถ ในการแก้ปัญหา 3. แบบประเมิน สมรรถนะที่สำคัญ ด้านความสามารถ ในการใช้ทักษะชีวิต สังเกตพฤติกรรมใน ชั้นเรียน ผ่านเกณฑ์การ ประเมินที่ระดับ คะแนนผ่าน (1) ขึ้นไป คุณลักษณะอัน พึงประสงค์ พฤติกรรมในชั้นเรียน 1. แบบประเมิน คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ด้าน ใฝ่เรียนรู้ 2. แบบประเมิน คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ด้านมุ่งมั่น ในการทำงาน สังเกตพฤติกรรมใน ชั้นเรียน ผ่านเกณฑ์การ ประเมินที่ระดับ คะแนนผ่าน (1) ขึ้นไป


176 8. ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของผู้ที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าสถานศึกษา 8.1 ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ 1. ได้ทำการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้แล้ว เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 2. การจัดกิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใช้ ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ นำไปใช้ได้จริง ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ลงชื่อ…………………………………………………… (นายจักรกฤษ วงษ์ชาลี) หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ 8.2 ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของหัวหน้าสถานศึกษา/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย 1. ได้ทำการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้แล้ว เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 2. การจัดกิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป 3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ นำไปใช้ได้จริง ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ลงชื่อ........................................................ (นางมณีรัตน์ ศรีจันทร์) ตำแหน่งรองผู้อำนวยการกลุ่มบริหารวิชาการ


177 9. บันทึกผลหลังการสอน 9.1 สรุปผลการเรียนรู้ 1. นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจ (K) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. นักเรียนมีความรู้เกิดทักษะ (P) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. นักเรียนมีเจตคติ/คุณลักษณะอันพึงประสงค์(A) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 9.2 ปัญหา/อุปสรรค/แนวทางแก้ไข ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 9.3 ข้อเสนอแนะ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ........................................................ (นางสาวสุวิมล เภาวนะ) นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู


178 ภาคผนวกหลังแผน


179 ใบความรู้ที่ 8 เรื่อง การเขียนแบบ (ภาพ Isometric) กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ วิชา การงานอาชีพ3 (งานไม้) ง32101 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ------------------------------------------------------------ การเขียนภาพ Isometric ภาพไอโซเมตริกเป็นภาพที่นิยมเขียนมาก เพราะเป็นภาพที่เขียนง่าย ด้านความสูงอยู่ใน เส้นแนวดิ่ง ความกว้างและความยาวจะอยู่ในเส้นแนวเอียงทำมุม 30 องศากับแนวระดับ (ดังรูป) การเขียนภาพสามมิติไอโซเมตริก ภาพ ISOMETRIC เป็นภาพที่มองเห็นสัดส่วนใกล้และไกลออกไป มีขนาดเท่ากัน ลักษณะภาพเป็นภาพจริง สามารถวัดขนาดต่างๆของด้านความยาว ความกว้าง และความสูงได้ ภาพ ISOMETRIC ประกอบด้วย เส้นต่าง ๆ ดังนี้ เส้นแกนนอน เส้นแกนตั้งฉาก เส้นแกนเอียงซ้าย และแกนเอียงขวายกขึ้น ทำมุม 30 องศาทั้งสองข้างกับเส้นแกนนอน การเขียนภาพ ISOMETRIC ประกอบด้วยแกนสามแกนทำมุมกัน 120 องศา แกนแรก เขียนในแนวดิ่ง และแกนที่เหลือสองแกนเขียนไปทางซ้ายและขวา โดยทำมุม 30 องศากับเส้นแนว นอน งานเขียนแบบภาพสามมิติ โดยทั่วไปแล้วนิยมให้แกนด้านซ้ายมือเป็นภาพด้านหน้า แกนด้าน


180 ขวามือเป็นภาพด้านข้าง และให้พิจารณาส่วนที่จัดให้เป็นภาพด้านหน้านั้นจะต้องไม่มีเส้นประแสดง เป็นด้านที่ดูแล้วสวยงาม สะดวกในการอ่านแบบ การเขียนภาพ ISOMETRIC แบ่งขั้นตอนการเขียนได้ 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ภาพ ISOMETRIC คือภาพที่เขียนขึ้นจากส่วนประกอบทั้งสามของวัตถุ คือ ส่วนกว้าง ส่วน ยาว และส่วนสูงตามรูปลักษณะที่ปรากฏ ในภาพที่ (1) คือมีเส้นแกนตั้งฉาก เส้นแกนเอียง จะทำมุม ยกขึ้นเป็น ๓๐ องศาทั้งสองด้าน 2. ถ้าเราต้องการจะเขียนกล่องรูปสี่เหลี่ยม ให้วัดความยาว ความกว้างของภาพกล่องสี่เหลี่ยม การ เขียนควรเขียนเส้นเบาๆทุกเส้น


181 3. ให้ลากเส้นจากจุดที่วางวัดไว้ให้ตั้งฉากทั้งสามเส้น ขั้นต่อมาก็วัดขนาดส่วนสูง ของกล่อง หมายความว่า เส้นที่เป็นความสูงของกล่อง 4. ให้ลากเส้นจากจุดที่เป็นส่วนสูงของกล่องทั้งสองด้าน ให้ขนานกันกับเส้นแกนเอียงซ้ายและเส้น แกนเอียงขวา คือจะต้องมีมุมเป็น ๓๐ องศา เช่นเดียวกัน


182 5. ลากเส้นทั้งสองด้านตัดกัน โดยใช้ฉากสามเหลี่ยมที่มีมุม 30องศา ด้วยเส้นเบาๆก่อน แล้วจึงลงเส้นหนักทีหลัง ส่วนเส้นที่ประนั้นก็ควรเขียนเช่นกัน แต่เส้นที่เราไม่สามารถมองเห็นนั้นก็ ควรใช้เส้นประ การประเส้นควรประให้เส้นมีความห่างเท่ากัน เส้นเสมอกันโดยตลอด และควรต้อง เป็นเส้นที่เบาบาง และเส้นคมที่สุด


183 ภาคผนวก ค การหาคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย


184 แบบประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการเรียนการสอน ส่วนที่ 1 การประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการเรียนการสอน คำชี้แจง ให้ผู้ประเมินทำเครื่องหมาย / ลงในช่องที่ตรงกับความคิดเห็นของท่านมากที่สุด 5 หมายถึง มีความเหมาะสมมากที่สุด 4 หมายถึง มีความเหมาะสมมาก 3 หมายถึง มีความเหมาะสมปานกลาง 2 หมายถึง มีความเหมาะสมน้อย 1 หมายถึง มีความเหมาะสมน้อยที่สุด ตารางที่ 14 สรุปค่าเฉลี่ยคะแนนของแบบประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการเรียนการสอน โดยผู้เชี่ยวชาญ ที่ รายการประเมิน คะแนนความเหมาะสม ของผู้เชี่ยวชาญ (คนที่) แปล ความหมาย 1 2 3 4 5 1 ความเป็นมาและความสำคัญของรูปแบบ การเรียนการสอน 1.1 สอดคล้องกับ เป้าหมายและทฤษฎี ที่รองรับรูปแบบการเรียนการสอน 4 5 4 4 5 4.40 มาก 2 วัตถุประสงค์ของรูปแบบการเรียนการสอน 2.1 แสดงถึงสิ่งที่มุ่งหวังให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน 2.2 ชัดเจน และสามารถดำเนินการให้ บรรลุผลได้ 5 4 4 5 5 5 5 5 5 5 4.80 4.60 มากที่สุด มากที่สุด 3 แนวคิด ทฤษฎีและหลักการของรูปแบบ การเรียนการสอน 3.1 แสดงความเชื่อมโยงของแนวคิด ทฤษฎี ที่ใช้เป็นฐานในการพัฒนารูปแบบ การสอนอย่างชัดเจน 3.2 คำอธิบายแนวคิดหรือทฤษฎีที่ใช้เป็นฐาน ในการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน มี ความครบถ้วน สมบูรณ์ และชัดเจนเพียงพอ 4 5 4 4 5 4 4 4 5 4 4.40 4.20 มาก มาก


185 ตารางที่ 14 สรุปค่าเฉลี่ยคะแนนของแบบประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการเรียนการสอน โดยผู้เชี่ยวชาญ (ต่อ) ที่ รายการประเมิน คะแนนความเหมาะสม ของผู้เชี่ยวชาญ (คนที่) แปล ความหมาย 1 2 3 4 5 4 ขั้นตอนการจัดการเรียนการสอนตามรูปแบบ การเรียนการสอน 4.1 จัดลำดับขั้นตอนการเรียนการสอน สอดคล้อง สัมพันธ์และส่งเสริมซึ่งกัน และกัน 4.2 คำอธิบายแต่ละขั้นตอนมีความชัดเจน สอดคล้องและส่งเสริมซึ่งกันและกัน 4.3 คำอธิบายแนวทางการจัดกิจกรรม การเรียนการสอนแต่ละขั้นตอน สามารถนำไปปฏิบัติได้ 4 5 5 4 5 4 5 4 5 5 4 4 5 5 5 4.80 4.60 4.60 มากที่สุด มากที่สุด มากที่สุด 5 การประเมินผล 5.1 เครื่องมือวัด สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ของรูปแบบการเรียนการสอน 5.2 คำอธิบายเครื่องมือวัดแต่ละชนิด ชัดเจน สามารถนำไปประเมินผู้เรียนได้ 4 5 5 4 4 5 5 5 4 5 4.40 4.80 มาก มากที่สุด 6 ระบบสังคม (Social system) 6.1 สอดคล้องกับแนวคิดและทฤษฎีที่นำมาใช้ ในการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน 6.2 อธิบายได้ชัดเจน สอดคล้อง สัมพันธ์ ส่งเสริมซึ่งกันและสามารถนำไปปฏิบัติ ได้จริง 5 4 5 5 5 4 5 5 4 5 4.80 4.60 มากที่สุด มากที่สุด


186 ตารางที่ 14 สรุปค่าเฉลี่ยคะแนนของแบบประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการเรียนการสอน โดยผู้เชี่ยวชาญ (ต่อ) ที่ รายการประเมิน คะแนนความเหมาะสม ของผู้เชี่ยวชาญ (คนที่) แปล ความหมาย 1 2 3 4 5 7 หลักการตอบสนอง (Principles of Reaction) 7.1 สอดคล้องกับแนวคิดและทฤษฎีที่นำมาใช้ ในการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน 7.2 อธิบายได้ชัดเจน สอดคล้อง เหมาะสม และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง 5 5 5 5 5 5 5 5 5 4 4.80 4.80 มากที่สุด มากที่สุด 8 ระบบสนับสนุน (Support System) 8.1 สอดคล้องกับแนวคิดและทฤษฎีที่นำมาใช้ ในการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน 8.2 อธิบายได้ชัดเจน สอดคล้อง เหมาะสม และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง 5 5 5 5 5 5 5 5 5 5 5.00 5.00 มากที่สุด มากที่สุด 9 ผลที่จะเกิดขึ้นจากรูปแบบการเรียนการสอน 9.1 ผลที่เกิดขึ้นทางตรง (Instructional Effects) 9.1.1 สอดคล้องกับแนวคิด ทฤษฎี และ วัตถุประสงค์ของรูปแบบการเรียน การสอน 9.1.2 คำอธิบายชัดเจน และแสดงให้เห็น ถึงสิ่งที่ต้องการให้เกิดกับผู้เรียน 9.2 ผลที่เกิดทางอ้อม (Nurturant Effects) 9.2.1 คำอธิบายชัดเจน และแสดงให้เห็น ถึงสิ่งที่คาดหวังจะให้เกิดกับผู้เรียน ที่นอกเหนือจากวัตถุประสงค์ของ รูปแบบการเรียนการสอน 5 3 5 5 5 5 5 4 5 5 5 5 5 5 3 5.00 4.40 4.60 มากที่สุด มาก มากที่สุด


187 ตารางที่ 15 สรุปค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบวัดทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และ เทคโนโลยีโดยผู้เชี่ยวชาญ ข้อที่ ระดับความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ (คนที่) รวม IOC แปลผล 1 2 3 4 5 1 1 1 1 1 1 5.00 1.00 สอดคล้อง 2 1 0 1 1 1 4.00 0.80 สอดคล้อง 3 1 1 1 1 1 5.00 1.00 สอดคล้อง 4 1 1 1 1 1 5.00 1.00 สอดคล้อง 5 1 1 1 1 1 5.00 1.00 สอดคล้อง 6 1 1 0 1 1 4.00 0.80 สอดคล้อง 7 1 1 1 1 1 5.00 1.00 สอดคล้อง 8 1 1 1 1 1 5.00 1.00 สอดคล้อง 9 1 1 1 1 1 5.00 1.00 สอดคล้อง 10 1 1 1 0 1 4.00 0.80 สอดคล้อง 11 1 1 1 1 1 5.00 1.00 สอดคล้อง 12 1 1 1 1 1 5.00 1.00 สอดคล้อง 13 1 0 1 1 1 4.00 0.80 สอดคล้อง 14 1 1 1 1 1 5.00 1.00 สอดคล้อง 15 1 1 1 1 1 5.00 1.00 สอดคล้อง 16 1 1 1 0 1 4.00 0.80 สอดคล้อง 17 1 1 1 1 1 5.00 1.00 สอดคล้อง 18 1 1 1 1 1 5.00 1.00 สอดคล้อง 19 1 1 1 1 1 5.00 1.00 สอดคล้อง 20 1 1 1 1 1 5.00 1.00 สอดคล้อง 21 1 1 1 1 1 5.00 1.00 สอดคล้อง 22 1 1 1 1 1 5.00 1.00 สอดคล้อง 23 1 0 1 1 1 4.00 0.80 สอดคล้อง 24 1 1 1 1 1 5.00 1.00 สอดคล้อง 25 1 1 1 0 1 4.00 0.80 สอดคล้อง


Click to View FlipBook Version