The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการสอนวิชาโภชนศาสตร์สัตว์ โดย อาจารย์ ดร.ชยพล มีพร้อม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by dear_nps, 2022-03-02 23:22:56

โภชนศาสตร์สัตว์

เอกสารประกอบการสอนวิชาโภชนศาสตร์สัตว์ โดย อาจารย์ ดร.ชยพล มีพร้อม

เอกสารประกอบการสอน

รายวิชา

51-408-013-301
โภชนศาสตรส์ ตั ว์
(Animal Nutrition)

โดย
อาจารย์ ดร.ชยพล มพี ร้อม

คณะเกษตรศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลอสี าน

วิทยาเขตสุรนิ ทร์
2564

เอกสารประกอบการสอน

รายวิชา

51-408-013-301
โภชนศาสตรส์ ตั ว์
(Animal Nutrition)

โดย
อาจารย์ ดร.ชยพล มพี ร้อม

คณะเกษตรศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลอสี าน

วิทยาเขตสุรนิ ทร์
2564



คำนำ

เอกสารประกอบการสอน รายวิชาโภชนศาสตร์สัตว์ รหัส 51-408-013-301 ฉบับนี้ได้แบ่งเนื้อหาใน
การเรียนออกเปน็ 5 หนว่ ยเรียน เนือ้ หารายวิชามุง่ เน้นให้ผู้เรียนมีความรู้และความเข้าใจในเร่ืองของการศึกษา
ทางโภชนศาสตร์และโภชนะชนดิ ต่าง ๆ ระบบทางเดินอาหารสัตว์ กระบวนการย่อยการดูดซึมและเมแทบอลิซึม
ของโภชนะ พลังงานและความตอ้ งการโภชนะ การวเิ คราะหอ์ าหารสตั วแ์ ละการประกอบสตู รอาหาร

ผู้สอนควรไดศ้ กึ ษารายละเอยี ดแต่ละหนว่ ยเรยี นจากเอกสารประกอบการสอน หรือหนังสอื /ตำรา จาก
แหลง่ อื่นๆ เพิ่มเตมิ อกี รวมถงึ สดั ส่วนในการออกขอ้ สอบของแต่ละหัวข้อในตวั อยา่ งข้อสอบเพ่ือทำการเน้นการ
เรียนการสอนในหน่วยน้ัน ๆ เพื่อสร้างความเข้าใจของนักศึกษามากย่ิงขึ้น ผู้เขียนหวังว่าเอกสารประกอบการ
สอนฉบบั นี้คงอำนวยประโยชนต์ ่อการเรียนการสอนรายวิชาโภชนศาสตร์สตั วไ์ ดต้ ามสมควร หากคณาจารย์ท่าน
ใดท่ีนำไปใช้มขี อ้ เสนอแนะผเู้ ขียนยนิ ดีรับฟงั และขอขอบคุณในความอนเุ คราะห์นัน้ ณ โอกาสน้ีด้วย

อาจารย์ ดร.ชยพล มีพรอ้ ม
21 เดอื น มกราคม พ.ศ. 2564

ข หน้า

สารบัญ ข

คำนำ ซ
สารบญั ญ
สารบัญตาราง ฎ
สารบัญรูปภาพ ฏ
สารบญั แผนภาพ ฐ
ปณิธาน วิสยั ทัศน์ พันธกิจ อัตลกั ษณ์ เอกลักษณ์ เปา้ ประสงค์ของมหาวิทยาลัย ฑ
ปรชั ญา ความสำคญั และวัตถปุ ระสงคข์ องหลกั สูตร ด
ลกั ษณะรายวชิ า ท
การแบง่ หน่วยเรยี น น
จดุ ประสงคก์ ารสอน บ
กำหนดการสอน
การประเมนิ ผลรายวิชา 2
ตารางกำหนดนำ้ หนักคะแนน 2
แผนการสอน 2
2
หน่วยท่ี 1 การศึกษาทางโภชนศาสตรแ์ ละโภชนะชนิดตา่ ง ๆ 3
1.1 พัฒนาการทางดา้ นโภชนศาสตร์ 4
1.1.1 ความสำคญั ของการศึกษาทางด้านโภชนการ 4
1.1.2 นยิ ามและความสำคัญของโภชนะ 5
1.1.3 องคป์ ระกอบของโภชนะทพ่ี บในร่างกายสัตว์ 6
1.2 การแบง่ ประเภทของโภชนะและการรายงานค่าโภชนะ 7
1.2.1 การจำแนกประเภทของโภชนะ 8
1.2.2 ความสำคญั ของวตั ถุแหง้ ต่อค่าโภชนะ 11
1.2.3 การคำนวณค่าโภชนะจากน้ำหนกั สดสู่นำ้ หนกั แหง้ 11
แบบทดสอบ 11
เอกสารอ้างอิง

หน่วยที่ 2 ระบบทางเดินอาหารของสตั ว์
2.1 การจำแนกชนดิ ของสตั วต์ ามสรีรวทิ ยาของระบบทางเดนิ อาหาร
2.1.1 การจำแนกสัตว์ตามอาหารท่ีสัตว์กิน



สารบัญ (ต่อ) หนา้
13
2.1.2 ระบบทางเดินอาหารสตั ว์กระเพาะเด่ยี ว 15
2.1.3 ระบบทางเดนิ อาหารสตั วก์ ระเพาะเดี่ยวทมี่ ีการหมักยอ่ ยท่สี ว่ นทา้ ย 17
2.1.4 ระบบทางเดินอาหารสตั วเ์ ค้ียวเออ้ื ง 22
2.1.5 ความสำคญั ของการเค้ยี วเอ้ือง 23
2.1.6 ความแตกตา่ งของระบบทางเดินอาหารสตั ว์โภชนาการสัตว์ 24
แบบทดสอบ 25
เอกสารอ้างองิ 30
หนว่ ยที่ 3 การย่อยอาหาร ดูดซึมและเมแทบอลซิ มึ ของโภชนะ 30
3.1 นำ้ 30
3.1.1 ความสำคัญของนำ้ ตอ่ สัตวเ์ ล้ยี ง 32
3.1.2 ความตอ้ งการนำ้ เพือ่ การบรโิ ภคในสัตวเ์ ล้ียง 36
3.2 คาร์โบไฮเดรต 36
3.2.1 หน้าท่ีของคาร์โบไฮเดรตต่อสัตว์เลย้ี ง 36
3.2.2 การแบง่ ประเภทคารโ์ บไฮเดรต 48
3.2.3 การยอ่ ยและการดดู ซมึ คาร์โบไฮเดรตในสัตวก์ ระเพาะเดย่ี ว 51
3.2.4 การหมกั ย่อยคารโ์ บไฮเดรตในสัตว์เคย้ี วเออ้ื ง 57
3.2.5 การใช้ประโยชนข์ องคารโ์ บไฮเดรตระหว่างสตั ว์กระเพาะเด่ยี วและสตั ว์
เคี้ยวเอ้ือง 57
3.3 โปรตนี 57
3.3.1 ความสำคัญและหนา้ ทีข่ องโปรตนี 58
3.3.2 โครงสร้างของกรดอะมโิ นและการจำแนก 65
3.3.3 การจำแนกประเภทของโปรตนี 68
3.3.4 การยอ่ ยโปรตีนในสตั วก์ ระเพาะเด่ียว 72
3.3.5 การใชป้ ระโยชนข์ องไนโตรเจนของสัตว์เคย้ี วเอ้อื ง 78
3.4 ไขมนั 79
3.4.1 การแบง่ ประเภทของไขมันและสารที่คล้ายไขมนั 86
3.4.2 ชนิดของกรดไขมนั และกรดไขมันทจ่ี ำเป็น 92
3.4.3 การย่อยไขมันในสตั วก์ ระเพาะเด่ียว

ง หน้า
94
สารบญั (ตอ่ ) 96
99
3.4.4 การดดู ซมึ ไขมันและการลำเลียงไขมันในร่างกายสัตว์ 101
3.4.5 การเปลยี่ นแปลงกรดไขมนั ในกระเพาะหมกั ของสัตวเ์ คี้ยวเออื้ ง 107
3.5 แรธ่ าตุ 113
3.5.1 บทบาทหน้าที่ของแรธ่ าตหุ ลัก 115
3.5.2 บทบาทหน้าท่ีของแรธ่ าตุรองและแร่ธาตุปลีกยอ่ ย 122
3.6 วติ ามิน 130
3.6.1 หนา้ ท่แี ละความสำคัญของวติ ามนิ ละลายในไขมนั 131
3.6.2 หน้าท่ีและความสำคัญของวติ ามนิ ละลายในนำ้ 136
แบบทดสอบ 136
เอกสารอ้างอิง 137
หนว่ ยท่ี 4 พลงั งานและความต้องการโภชนะ 137
4.1 พลงั งาน 138
4.1.1 หนว่ ยของพลงั งาน 145
4.1.2 หนา้ ที่ของพลงั งานตอ่ ตวั สัตว์ 151
4.1.3 ลำดบั ส่วนของพลงั งานในอาหารสตั ว์ 154
4.1.4 การใชป้ ระโยชนข์ องพลงั งานที่ใชป้ ระโยชน์ได้ในสัตวเ์ ลย้ี ง 155
4.1.5 ระบบของพลังงานในสตั ว์เลี้ยง 160
4.2 ปริมาณการกนิ ไดข้ องสัตว์เลยี้ ง 163
4.2.1 การควบคมุ การกินไดข้ องสตั วก์ ระเพาะเดีย่ ว 163
4.2.2 การควบคมุ การกินไดข้ องสตั ว์เคยี้ งเออื้ ง 165
4.3 ความต้องการโภชนะของสัตว์ 168
4.3.1 การแบ่งส่วนของโภชนะตามการใช้ประโยชนข์ องสัตว์ 177
4.3.2 ความตอ้ งการโปรตีนของของสตั ว์ 178
4.3.3 ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งโปรตนี ต่อพลังงาน 181
แบบทดสอบ 181
เอกสารอา้ งอิง
หน่วยที่ 5 การวิเคราะห์คณุ ภาพอาหารสัตวแ์ ละการประกอบสูตรอาหาร
5.1 การวิเคราะห์คณุ ภาพอาหารสัตว์

จ หนา้
181
สารบญั (ต่อ) 184
186
5.1.1 การวิเคราะหโ์ ดยประมาณ (Proximate analysis) 187
5.1.2 การวเิ คราะห์เยอ่ื ใยโดยสารฟอก (Detergent Fiber Analysis) 189
5.2 การประกอบสตู รอาหาร 197
5.2.1 การพิจารณาเลือกใชว้ ตั ถุดิบอาหารสัตว์ 201
5.2.2 รายละเอยี ดของวัตถุดบิ อาหารสัตวเ์ บื้องตน้ 202
5.2.3 วธิ ีการคำนวณสตู รอาหารสตั วเ์ บอ้ื งต้น
แบบทดสอบ
เอกสารอา้ งอิง



สารบญั ตาราง

ตารางท่ี หนา้
1.1 ร้อยละสดั สว่ นของโภชนะที่อยใู่ นร่างกายสัตวช์ นดิ ต่าง ๆ 3
1.2 องค์ประกอบทางโภชนะของอาหารสัตว์และผลิตภณั ฑ์สัตว์เมื่อรายงานในแบบน้ำหนกั สด (As 6

fed) และน้ำหนักแห้ง (Base on dry matter) 7
1.3 ตัวอยา่ งการคำนวณคา่ โภชนะจากการรายงานในนำ้ หนักสดเป็นนำ้ หนักแห้ง 24
2.1 ภาพรวมความสามารถในการใชป้ ระโยชน์ของอาหารของสตั วท์ ม่ี รี ะบบทางเดินอาหารต่างกนั 35
3.1 ความตอ้ งการน้ำตอ่ วนั ของโค สุกร และสัตวป์ ีก ในแตร่ ะยะทแี่ ตกตา่ งกัน 53
3.2 การย่อยสลายคารโ์ บไฮเดรตแต่ละชนิดในกระเพาะหมักของสตั ว์เคย้ี วเออื้ ง 63
3.3 กรดอะมโิ นท่ีจำเปน็ และกรดออะมิโนท่ีไม่จำเปน็ สำหรับสัตว์ 77
3.4 อตั ราการย่อยสลายในกระเพาะหมักของวัตถุดิบโปรตนี และคาร์โบไฮเดรต 85
3.5 องคป์ ระกอบของลิพดิ ในไลโพโปรตีนทีม่ คี วามหนาแน่นท่ีแตกต่างกนั 89
3.6 รายช่อื กรดไขมนั ที่พบมากในธรรมชาตแิ ละจุดหลอมเหลว 100
3.7 ปริมาณแรธ่ าตุหลักและแร่ธาตุปลีกยอ่ ยที่พบในร่างกายของสัตว์ 112
3.8 แหลง่ ของแรธ่ าตแุ ละความสามารถในการใช้ประโยชนไ์ ด้ของสัตวแ์ ตล่ ะชนดิ 114
3.9 ช่อื ของวิตามินทสี่ ำคัญและการจดั หมวดหมู่ 139
4.1 พลงั งานรวม (GE) ในอาหารสตั ว์ สารอาหาร และส่วนประกอบของรา่ งกายสว่ นต่าง ๆ 141
4.2 ความแปรผันของพลงั งานทีใ่ ชป้ ระโยชนไ์ ด้ในอาหารของสตั ว์ชนดิ ต่าง ๆ 144
4.3 ตัวอย่างการประเมินพลงั งานท่ีสูญเสียจากความร้อนท่เี กิดขึ้นในรา่ งกายสัตว์เค้ียวเอ้ืองโดยการ
145
พิจารณาจากสมดลุ ไนโตรเจนและคาร์บอน 146
4.4 ตวั อยา่ งการประเมนิ พลังงานทสี่ ญู เสียจากความร้อนโดยพจิ ารณาส่วนต่างของพลังงาน 147
4.5 ค่าสมั ประสิทธิในการใชป้ ระโยชน์ของพลงั งานท่ีใชป้ ระโยชนไ์ ด้ต่อการใชป้ ระโยชน์ต่าง ๆ 149
4.6 สัมประสทิ ธกิ ารใชพ้ ลงั งานท่ใี ชป้ ระโยชน์ได้เพอื่ การดำรงชพี (km) ในอาหารชนิดต่าง ๆ 150
4.7 สัมประสทิ ธกิ ารใช้พลังงานทใี่ ช้ประโยชนไ์ ด้เพือ่ การเจริญเตบิ โต (kg) ในสุกร 166
4.8 สมั ประสทิ ธิการใช้พลังงานทใี่ ช้ประโยชนไ์ ดเ้ พอื่ การเจริญเตบิ โต (kg) ในสตั ว์เคี้ยวเออื้ ง 166
4.9 ความตอ้ งการโปรตนี และปริมาณความเขม้ ขน้ ของโปรตนี ในอาหารสกุ รรนุ่ (Growing pigs)
4.10 ความต้องการโปรตีนและปริมาณความเข้มข้นของโปรตีนในอาหารผสมครบส่วน (Total 167

mixed ration; TMR) ของโคเนอ้ื ท่มี ีการเจริญเตบิ โตเฉลี่ยต่อวัน วันละ 0.9 กโิ ลกรมั
4.11 ความต้องการโปรตนี และปริมาณความเข้มข้นของโปรตนี ในอาหารไกเ่ น้อื (Broiler) คละเพศ



สารบญั ตาราง (ต่อ)

ตารางท่ี หนา้
4.12 ความต้องการโปรตนี และปริมาณความเข้มข้นของโปรตีนในอาหารไกไ่ ข่ (Laying) 167
4.13 ความต้องการโปรตีนและปริมาณความเข้มข้นของโปรตีนในอาหารผสมครบส่วน (Total 168

mixed ration; TMR) ของโคนมชว่ งตน้ ของการให้นม (จำนวนวันใหน้ ม 11 วนั ) ปรมิ าณนำ้ นม 169
15 กโิ ลกรัมตอ่ วนั 169
4.14 ความตอ้ งการพลงั งานของโคเน้ือทม่ี กี ารเจริญเติบโต 1 กิโลกรมั ตอ่ วัน 170
4.15 ความตอ้ งการพลังงานของสกุ รแม่พนั ธอุ์ ุ้มทอ้ ง (Gestating sows) 171
4.16 ความตอ้ งการพลังงานของไกไ่ ขช่ ่วงอายุ 36 – 52 สปั ดาห์ มนี ้ำหนักไข่ 60 กรัม 172
4.17 ความตอ้ งการโภชนะของไกไ่ ขพ่ นั ธเุ์ ล็กฮอรน์ (Leghorn) 173
4.18 ความตอ้ งการโภชนะของไก่เนื้อ (Broiler) ช่วงอายุ 0 – 8 สัปดาห์ 174
4.19 ความตอ้ งการโภชนะของสกุ รขุน (Fattening pigs) ในช่วงนำ้ หนักตัวต่าง ๆ 175
4.20 ความตอ้ งการโภชนะของสกุ รพอ่ พนั ธุ์ สกุ รอมุ้ ทอ้ ง และสุกรใหน้ ม 175
4.21 ความตอ้ งการโภชนะต่อวนั ของโคที่ตอนแลว้ (Steers) 176
4.22 ความต้องการโภชนะต่อวันของโคสาวทอ้ ง (Pregnant heifers) 176
4.23 ความตอ้ งการโภชนะต่อวนั ของโคนมระยะให้นม (Lactating dairy cows) 182
4.24 ความต้องการโภชนะต่อวันของโคนมสาวท้องว่าง (Non-bred heifers) 185
5.1 องคป์ ระกอบทางเคมขี องเย่ือในในผนังเซลลพ์ ืช 187
5.2 การแปลความหมายของการวิเคราะหเ์ ย่ือใยโดยใช้สารฟอก 199
5.3 วิธีการเปรียบเทียบตน้ ทุนตอ่ หน่วยโปรตนี ของวตั ถุดบิ อาหารสัตว์ 200
5.4 การตรวจสอบความถูกตอ้ งของการคำนวณสูตรอาหารแบบเพียรส์ ันสแควร์ 200
5.5 การตรวจสอบความถูกตอ้ งของการคำนวณสูตรอาหารแบบพชื คณติ 201
5.6 การคำนวนสตู รอาหารโดยทำการลองครงั้ ท่ี 1
5.7 การคำนวนสูตรอาหารโดยทำการลองครั้งท่ี 2

ซ หนา้
12
สารบญั รูปภาพ 14
15
ภาพที่ 16
2.1 ระบบฟันของสตั ว์กนิ เนือ้ สตั วก์ นิ พืช และสัตวก์ ินท้งั เนื้อและพืช 17
2.2 ระบบทางเดินอาหารของสุกร 18
2.3 ระบบทางเดินอาหารของสตั วป์ ีก 19
2.4 ระบบทางเดนิ อาหารของมา้ 20
2.5 ระบบทางเดนิ อาหารของโค 21
2.6 กระเพาะทงั้ 4 ของสตั วเ์ คยี้ วเอื้อง 22
2.7 ลักษณะภายในของกระเพาะรงั ผึง้ 38
2.8 ลกั ษณะของพาพลิ เล่ที่ตดิ อยู่กับผนงั กระเพาะหมกั 39
2.9 ลกั ษณะภายในของกระเพาะสามสิบกลีบ 39
2.10 ลกั ษณะภายในของกระเพาะแท้ 40
3.1 โครงสรา้ งไอโซเมอร์ของกลูโคสและฟรกุ โตสที่มตี ำแหนง่ ของหมู่ไฮดรอกซิลทแ่ี ตกตา่ งกัน 42
3.2 โครงสร้างแบบแอลฟ่าและเบตา้ ของกลโู คสท่ีมีตำแหนง่ ของหมไู่ ฮดรอกซิลที่แตกต่างกนั 43
3.3 โครงสร้างของกลมุ่ นำ้ ตาลเพนโตสที่พบมากในอาหารสตั ว์ 43
3.4 โครงสรา้ งของกลุ่มน้ำตาลเฮกโซส 44
3.5 การจบั ตวั กนั ของกลโู คสและฟรกุ โตสในซูโครส 44
3.6 การจับตัวกันของกลโู คสร่วมกับกาแลคโตสในแลคโตส 45
3.7 การจับตวั กนั ของกลูโคสรว่ มกบั กลูโคสในมอลโทส 46
3.8 การจับตัวกันของกลโู คสรว่ มกับกลูโคสในเซลโลไบโอส 47
3.9 การจับตัวกันของกาแลคโตส กลโู คส และฟรกุ โตสในราฟโิ นส 58
3.10 ความแตกต่างของโครงสรา้ งระหวา่ งอะไมโลสและอะไมโลเพคติน 59
3.11 การเรียงตัวและโครงสร้างของเซลลูโลส 60
3.12 การเรยี งตัวและโครงสร้างของเฮมเิ ซลลโู ลส 60
3.13 โครงสรา้ งของกรดอะมโิ นทแี่ ละกลมุ่ สารประกอบทจ่ี บั ตวั กนั
3.14 โครงสรา้ งของกรดอะมิโนในกลุ่ม Monoamino-monocarboxylic acids
3.15 โครงสร้างของกรดอะมิโนในกลุม่ Sulphur-containing amino acids
3.16 โครงสร้างกรดอะมโิ นในกลุ่ม Monoamino-dicarboxylic acid and their amines

derivatives

ฌ หนา้
61
สารบัญรูปภาพ (ต่อ) 61
62
ภาพท่ี 62
3.17 โครงสรา้ งของกรดอะมิโนกลุ่ม Basic amino acids 72
3.18 โครงสรา้ งของกรดอะมิโนกล่มุ Aromatic and heterocyclic amino acids 82
3.19 ประจุในโครงสร้างของกรดอะมโิ นท่ีทำให้คุณสมบัติแบบแอมโฟเทริก 82
3.20 ความแตกต่างของหมู่อะมิโนในโครงสร้างของกรดอะมโิ น 83
3.21 การแบ่งสว่ นของไนโตรเจนท่สี ุกรไดร้ ับ 85
3.22 โครงสรา้ งของกาแลคโตลิพดิ ท่ีมอี งค์ประกอบของกาแลคโตสมาจับร่วม 86
3.23 องค์ประกอบของหมอู ะมโิ นทเ่ี พ่ิมเตมิ เข้ามาในกาแลคโตลพิ ดิ ทำใหเ้ กิดสปงิ โกลพิ ดิ 86
3.24 โครงสร้างทางเคมีของเลซิทตนิ 87
3.25 การสังเคราะหว์ ติ ามนิ ดี 3 จากสเตอรอลท่ีถูกแสงอลุ ตร้าไวโอเลต
3.26 โครงสร้างของกรดไขมนั ท่แี ตกต่างกนั โดยพนั ธะค่รู ะหว่างคาร์บอนอะตอม 88
3.27 การเกิดโครงสรา้ งแบบซิส และทรานส์บริเวณพันธะค่ขู องกรดไขมันไม่อมิ่ ตัว
3.28 โครงสรา้ งของกรดไขมนั α-Linolenic acid ท่ีเรยี งลำดับคาร์บอนจากหมู่คารบ์ อกซิล 92
3.29 โครงสร้างของกรดไขมัน α-Linolenic acid ที่เรียงลำดับคาร์บอนจากหมู่เมทิล 93
3.30 การแตกตัวของไขมนั ขนาดใหญเ่ ปน็ ไขมันขนาดเลก็ โดยน้ำดี 94
3.31 การย่อยฟอสโฟลพิ ดิ และคอเลสเตอรอลในลำไสเ้ ลก็ ส่วนตน้ 95
3.32 การสรา้ งไมเซลลผ์ สม (Micelle forming) เพื่อขนส่งไขมนั สู่ภายในผนังลำไส้เลก็ 96
3.33 การฟอร์มตวั ของไคโลไมครอนและการดูดซมึ ไปยังเสน้ เลอื ดและระบบทอ่ น้ำเหลือง 97
3.34 การลำเลยี งไขมนั ในรูปของไลโพโปรตนี ในร่างกายสตั ว์ 113
3.35 การยอ่ ยสลาย (Hydrolysis) ไตรกลเี ซอรไ์ รด์ (TG) กาแลคโตลิพดิ (GL) ในกระเพาะหมัก 116
3.36 การจับตวั ของแร่ธาตุร่วมกบั โปรตนี ของแร่ธาตคุ เี ลต 118
3.37 โครงสร้างของเบต้าแคโรทนี และวิตามนิ เอ 120
3.38 โครงสร้างของวิตามินดี 2 และวิตามนิ ดี 3
3.39 โครงสร้างของวิตามนิ อชี นดิ α-tocopherol 122
3.40 โครงสรา้ งของวิตามินเค 1 หรอื 2-methyl-1,4-naphthoquinone (menadione)

ญ หนา้
5
สารบัญแผนภาพ 37
46
แผนภาพท่ี 48
1.1 การจำแนกประเภทของโภชนะ 49
3.1 การจำแนกประเภทคาร์โบไฮเดรตชนิดตา่ ง ๆ ที่พบมากในอาหารสตั ว์ 50
3.2 ลำดับสว่ นของการย่อยสลายแปง้ และไกลโคเจนให้ไดซ้ ึง่ กลโู คส 54
3.3 การแบ่งชนดิ ของคารโ์ บไฮเดรตในพืชและการใช้ประโยชน์ได้ 55
3.4 ลำดับขนั้ ของการย่อยคารโ์ บไฮเดรตในสตั วก์ ระเพาะเดย่ี ว 56
3.5 ลำดับการดูดซึมน้ำตาลจากลำไสเ้ ลก็ จนถึงกระแสเลอื ด 64
3.6 ประเภทของกรดไขมันระเหยง่ายที่เกิดขน้ึ หลังการหมักยอ่ ยคาร์โบไฮเดรต 68
3.7 ความสมั พันธร์ ะหว่างกรดไขมนั ระเหยงา่ ยต่อความเปน็ กรด-ดา่ งภายในกระเพาะหมกั 69
3.8 ภาพรวมของการหมักย่อยคารโ์ บไฮเดรตในสตั วเ์ คีย้ วเอือ้ ง 70
3.9 การจับตวั ของกรดอะมิโน 2 ตัวเพอ่ื ได้ซึ่งเปปไทด์ 71
3.10 การย่อยโปรตีนภายในกระเพาะอาหารของสัตว์ 75
3.11 ขน้ั ตอนการยอ่ ยโปรตนี และเปปไทด์บรเิ วณลำไส้เล็ก 76
3.12 การดูดซมึ กรดอะมิโนและเปปไทด์ในผนงั ลำไสเ้ ลก็ 76
3.13 การสลายกรดอะมิโนโดยการขจัดหมอู่ ะมโิ นและโครงคาร์บอน 79
3.14 การใชป้ ระโยชนข์ องโปรตีนและไนโตรเจนในกระเพาะหมัก 80
3.15 ความสัมพันธ์ระหว่างโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตต่อจุลินทรีย์ในกระเพาะหมกั 93
3.16 การสงั เคราะหโ์ ปรตนี จลุ ินทรียภ์ ายในกระเพาะหมกั 98
3.17 การจำแนกประเภทของลพิ ิด 183
3.18 การรวมตวั ของกลีเซอร์รอลและกรดไขมันทำให้เกิดไขมันชนิดต่าง ๆ
3.19 การย่อยไตรกลีเซอร์ไรด์ในลำไส้เล็กส่วนตน้
3.20 การเปล่ียนแปลงกรดไขมันในกระเพาะหมักของสตั วเ์ คี้ยวเออ้ื ง
5.1 การวเิ คราะหอ์ าหารสัตว์โดยวธิ กี าร Proximate analysis



ปณธิ าน วิสยั ทัศน์ พันธกิจ อตั ลักษณ์ เอกลักษณ์ เปา้ ประสงคข์ องมหาวทิ ยาลยั

1) ปณิธาน (Determination)
สร้างคนสงู่ าน เชย่ี วชาญเทคโนโลยี

2) วสิ ยั ทัศน์ (Vision)
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน เป็นมหาวทิ ยาลัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยคี ุณภาพชัน้

นำในภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ทมี่ ุ่งเน้นการผลติ นกั ปฏิบัตดิ า้ นวิชาชพี เพือ่ พัฒนาชุมชนและสังคม

3) พันธกจิ (Mission)
1. จดั การศกึ ษาระดบั อุดมศกึ ษาบนพ้ืนฐาน ดา้ นวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีท่ีมีคุณภาพตามมาตรฐาน

สอดคลอ้ งกับความต้องการของผรู้ บั บริการ
2. สรา้ งงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ และนวตั กรรม บนพ้นื ฐานของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสกู่ ารผลิต การ

บริการ และสรา้ งมลู คา่ เพมิ่ ใหป้ ระเทศ
3. มุ่งบรกิ ารวชิ าการและถา่ ยทอดเทคโนโลยีสู่สงั คม
4. ทำนบุ ำรงุ ศาสนา อนุรักษศ์ ลิ ปวัฒนธรรม และรักษาสิง่ แวดลอ้ ม
5. บรหิ ารจดั การดว้ ยระบบธรรมาภบิ าล เพือ่ เพมิ่ ศักยภาพการทำงานขององคก์ ร

4) อตั ลกั ษณ์
มหาวทิ ยาลยั ท่ีผลติ บณั ฑิตทมี่ ที กั ษะพรอ้ มปฏิบัตกิ าร

5) เอกลกั ษณ์
มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยแี ห่งการสร้างอาชีพเฉพาะทาง

6) เป้าประสงค์ (Goals)
1. มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลอสี าน เป็นแหลง่ การศึกษาดา้ นวชิ าชีพทางเทคโนโลยเี ชงิ บูรณาการ

ที่มคี วามเขม้ แข็งดา้ นวชิ าการ เป็นที่พ่ึงของประชาชนในทกุ พนื้ ที่ ใหส้ ามารถเรยี นรูไ้ ด้ตลอดชีวิต
2. ผลิตบัณฑิตทางวชิ าชีพทีม่ คี วามสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี มีคุณธรรม และปฏิบัติงานได้อย่างมือ

อาชีพ
3. ประชาชนมศี กั ยภาพในการสรา้ งงานดา้ นวิชาชพี ด้านเทคโนโลยที ่สี ามารถแข่งขันได้



ปรัชญา ความสำคญั และวตั ถปุ ระสงคข์ องหลกั สูตร

1) ปรัชญา
มุ่งให้การศึกษา และส่งเสริมความรู้เพื่อการประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงสัตว์ ซึ่งเป็น

อุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศ เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่สำคัญของ
ประเทศท่ีสรา้ งรายไดใ้ ห้แก่ประเทศ ทั้งภาคแรงงาน ภาคเกษตรกรรม ภาคอตุ สาหกรรม ท่ีครอบคลมุ ประชากร
จำนวนมาก นอกจากนี้การผลิตสัตว์เป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำที่ตอ้ งผลิตวตั ถุดิบในการผลิตอาหารสำหรับมนุษย์
ความสะอาดและความปลอดภัยจงึ เป็นสิ่งสำคญั การกำหนดโครงสรา้ งหลักสูตรจงึ ได้คำนึงถงึ เนื้อหาความรู้ที่จะ
เกิดประโยชน์สูงสดุ โดยการประยุกตค์ วามรดู้ ้านวิทยาศาสตร์พน้ื ฐานในสาขาต่าง ๆ และความรู้ด้านการบริหาร
จดั การให้สามารถนำไปใชใ้ นการประกอบอาชีพต่อไป
2) วตั ถุประสงค์

1. สามารถนำเทคโนโลยีทางสตั วศาสตร์ ไปปฏิบัติทางวิชาการเกี่ยวกับการผลิตและการดำเนินงานใน
เชงิ ธรุ กิจไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพ

2. ปฏิบัติงานในหน้าที่ของนักวิชาการเกษตร ครูเกษตร หรือนักวิชาการเกษตรตามสาขาและลกั ษณะ
วชิ าทไ่ี ดเ้ ลือกศึกษาอย่างมีประสิทธภิ าพ

3. ปฏิบัติงานอยา่ งมคี ณุ ภาพ ด้วยหลักวชิ าทีไ่ ด้มีการวางแผน และมรี ะบบดว้ ยความรอบคอบ ประหยัด
รวดเร็ว ตรงตอ่ เวลา และมคี วามรับผดิ ชอบต่อหนา้ ท่ี

4. มีคุณธรรม จรยิ ธรรม ระเบยี บวนิ ัย และความคิดริเรม่ิ สร้างสรรค์ ปรับปรงุ ตนเองใหก้ า้ วหนา้ อยเู่ สมอ
ขยันหมั่นเพียร ซื่อสัตว์สุจริต สำนึกในจรรยาของนักวิชาการเกษตรที่ดี และมีความรับผิดชอบต่อการพัฒนา
สงั คม และเสริมสร้างเอกลกั ษณ์ของไทย



ลกั ษณะรายวชิ า

1. รหสั และชอื่ วิชา 51-408-013-301 โภชนศาสตร์สัตว์ (Animal Nutrition)
2. สภาพรายวชิ า วชิ าชีพบังคบั
3. ระดับรายวิชา ชั้นปีท่ี 2 ภาคเรยี นที่ 2
4. วิชาบังคบั กอ่ น
5. เวลาเรยี น -
51 คาบตลอด 17 สปั ดาห์ ทฤษฎี 45 คาบ ปฏิบัติ - คาบตอ่ สัปดาห์ และนกั ศึกษา
จะต้องใช้เวลาศกึ ษาค้นควา้ นอกเวลา 6 ช่ัวโมงต่อสปั ดาห์

6. จำนวนหนว่ ยกิต 3(3-0-6) หนว่ ยกิต

7. จดุ ประสงค์รายวิชา 1. ทราบถึงความสำคัญของการศกึ ษาโภชนศาสตร์สตั ว์
2. สามารถจำแนกประเภทของสัตว์ตามระบบทางเดนิ อาหารสัตวไ์ ด้
3. เขา้ ใจระบบการยอ่ ยอาหาร การดูดซึมและเมแทบอลิซึมของโภชนะชนิดตา่ ง
4. ทราบถึงความต้องการโภชนะในสัตวแ์ ต่ละช่วงอายุ
5. รูห้ ลักการวเิ คราะหค์ ่าโภชนะต่าง ๆ

8. คำอธิบายรายวชิ า พัฒนาการด้านโภชนศาสตร์สัตว์ โภชนะต่าง ๆ การวิเคราะห์คุณภาพอาหารสัตว์
ระบบการย่อยอาหาร การดูดซึมและเมแทบอลิซึมของโภชนะชนิดต่าง ๆ ความ
ตอ้ งการโภชนะของสตั ว์
The development of animal nutrition, animal nutrition and feed analysis,
digestive system, absorption and metabolism of nutrients, nutrient
requirement of the animal



หน่วยท่ี การแบง่ หนว่ ยเรยี น ชวั่ โมงเรียน
1 ทฤษฎี ปฏบิ ัติ
รายการ
2 3-
การศึกษาทางโภชนศาสตร์และโภชนะชนดิ ต่างๆ
3 1.1 พฒั นาการทางดา้ นโภชนศาสตร์ 3-

1.1.1 ความสำคญั ของการศึกษาทางดา้ นโภชนาการ 27 -
1.1.2 นิยามและความสำคญั ของโภชนะ
1.1.3 องคป์ ระกอบของโภชนะที่พบในรา่ งกายสตั ว์
1.2 การแบ่งประเภทของโภชนะและการรายงานค่าโภชนะ
1.2.1 การจำแนกประเภทของโภชนะ
1.2.2 ความสำคญั ของวัตถแุ ห้งตอ่ ค่าโภชนะ
1.2.3 การคำนวณค่าโภชนะจากน้ำหนักสดสู่น้ำหนักแห้ง
ระบบทางเดนิ อาหารของสตั ว์
2.1 การจำแนกชนดิ ของสตั ว์ตามสรีรวิทยาของระบบทางเดนิ อาหาร
2.1.1 การจำแนกสตั วต์ ามอาหารท่สี ตั วก์ ิน
2.1.2 ระบบทางเดินอาหารสตั วก์ ระเพาะเดย่ี ว
2.1.3 ระบบทางเดินอาหารสัตวก์ ระเพาะเด่ยี วท่มี กี ารหมักย่อยท่ีส่วนทา้ ย
2.1.4 ระบบทางเดนิ อาหารสัตว์เคี้ยวเออ้ื ง
2.1.5 ความสำคัญของการเคี้ยวเอ้อื ง
2.1.6 ความแตกตา่ งของระบบทางเดินอาหารสตั วโ์ ภชนาการของสตั ว์
การยอ่ ยอาหาร ดดู ซึมและเมแทบอลิซึมของโภชนะ
3.1 นำ้
3.1.1 ความสำคญั ของน้ำตอ่ สตั ว์เล้ยี ง
3.1.2 ความตอ้ งการนำ้ เพือ่ การบริโภคในสตั ว์เลยี้ ง
3.2 คารโ์ บไฮเดรต
3.2.1 หนา้ ที่ของคาร์โบไฮเดรตตอ่ สัตว์เลย้ี ง
3.2.2 การแบ่งประเภทคารโ์ บไฮเดรต
3.2.3 การยอ่ ยและการดูดซึมคาร์โบไฮเดรตในสัตว์กระเพาะเดยี่ ว
3.2.4 การหมกั ยอ่ ยคาร์โบไฮเดรตในสตั ว์เคี้ยวเอ้ือง



การแบง่ หน่วยเรยี น (ต่อ)

หนว่ ยท่ี รายการ ชั่วโมงเรยี น
ทฤษฎี ปฏบิ ัติ

3.2.5 การใช้ประโยชน์ของคาร์โบไฮเดรตระหว่างสัตว์กระเพาะเดี่ยวและ -

สัตวเ์ คี้ยวเอื้อง

3.3 โปรตนี

3.3.1 ความสำคัญและหน้าทีข่ องโปรตีน

3.3.2 โครงสรา้ งของกรดอะมโิ นและการจำแนก

3.3.3 การจำแนกประเภทของโปรตีน

3.3.4 การยอ่ ยโปรตีนในสตั วก์ ระเพาะเดีย่ ว

3.3.5 การใช้ประโยชน์ของไนโตรเจนของสตั วเ์ ค้ียวเอ้ือง

3.4 ไขมัน

3.4.1 การแบ่งประเภทของไขมันและสารทคี่ ล้ายไขมัน

3.4.2 ชนิดของกรดไขมนั และกรดไขมันท่จี ำเป็น

3.4.3 การยอ่ ยไขมนั ในสัตว์กระเพาะเดีย่ ว

3.4.4 การดูดซึมไขมันและการลำเลยี งไขมนั ในร่างกายสัตว์

3.4.5 การเปลีย่ นแปลงกรดไขมันในกระเพาะหมักของสตั วเ์ คยี้ วเอ้ือง

3.5 แร่ธาตุ

3.5.1 บทบาทหน้าทขี่ องแร่ธาตุหลัก

3.5.2 บทบาทหนา้ ที่ของแรธ่ าตรุ องและแร่ธาตุปลีกยอ่ ย

3.6 วติ ามิน

3.6.1 หน้าท่แี ละความสำคัญของวติ ามนิ ละลายในไขมนั

3.6.2 หน้าทีแ่ ละความสำคัญของวิตามนิ ละลายในนำ้

4 พลงั งานและความต้องการโภชนะ 9-

4.1 พลังงาน

4.1.1 หน่วยของพลังงาน

4.1.2 หนา้ ท่ขี องพลงั งานตอ่ ตวั สัตว์

4.1.3 ลำดับสว่ นของพลังงานในอาหารสตั ว์

4.1.4 การใชป้ ระโยชน์ของพลังงานทใ่ี ชป้ ระโยชน์ไดใ้ นสัตวเ์ ล้ยี ง

4.1.5 ระบบพลงั งานในสตั ว์เล้ยี ง



การแบง่ หน่วยเรยี น (ต่อ)

หนว่ ยท่ี รายการ ช่วั โมงเรียน
ทฤษฎี ปฏบิ ตั ิ
4.2 ปริมาณการกนิ ได้ของสัตว์เลยี้ ง
4.2.1 การควบคมุ การกินไดข้ องสัตวก์ ระเพาะเด่ียว 9-
4.2.2 การควบคมุ การกนิ ได้ของสัตว์เค้ียงเอือ้ ง
3
4.3 ความตอ้ งการโภชนะของสตั ว์
4.3.1 การแบ่งสว่ นของโภชนะตามการใช้ประโยชนข์ องสัตว์ รวมทฤษฎี 45 คาบ
4.3.2 ความตอ้ งการโปรตีนของสตั ว์ ทดสอบ 6 คาบ
4.3.3 ความสมั พันธ์ระหว่างโปรตนี ต่อพลังงาน รวม 51 คาบ

5 การวิเคราะหค์ ุณภาพอาหารสัตว์และการประกอบสูตรอาหาร
5.1 การวิเคราะหค์ ณุ ภาพอาหารสัตว์
5.1.1 การวเิ คราะห์โดยประมาณ (Proximate analysis)
5.1.2 การวเิ คราะห์เยอ่ื ใยโดยสารฟอก (Detergent Fiber Analysis)
5.2 การประกอบสตู รอาหาร
5.2.1 การพจิ ารณาเลือกใช้วัตถุดบิ อาหารสตั ว์
5.2.2 รายละเอียดของวัตถุดิบอาหารสัตว์เบอื้ งตน้
5.2.3 วิธกี ารคำนวณสูตรอาหารสตั วเ์ บอ้ื งต้น



จุดประสงคก์ ารสอน

หน่วยที่ รายการ ชวั่ โมงเรยี น
ทฤษฎี ปฏบิ ตั ิ

1 การศกึ ษาทางโภชนศาสตร์และโภชนะชนดิ ตา่ ง ๆ 3-

1.1 รพู้ ฒั นาการทางด้านโภชนศาสตร์สัตว์

1.1.1 บอกความสำคญั ของการศึกษาทางดา้ นโภชนาการ

1.1.2 บอกนิยามและความสำคญั ของโภชนะ

1.1.3 บอกองคป์ ระกอบของโภชนะท่ีพบในรา่ งกายสตั ว์

1.2 เขา้ ใจการแบง่ ประเภทของโภชนะและการรายงานคา่ โภชนะ

1.2.1 บอกวิธีการจำแนกประเภทของโภชนะ

1.2.2 อธบิ ายความสำคญั ของวตั ถุแหง้ ตอ่ ค่าโภชนะ

1.2.3 อธิบายการคำนวณคา่ โภชนะจากน้ำหนกั สดสนู่ ้ำหนกั แห้ง

2 ระบบทางเดนิ อาหารของสัตว์ 3-

2.1 เข้าใจวิธีการจำแนกชนดิ ของสตั ว์ตามสรรี วทิ ยาของระบบทางเดนิ อาหาร

2.1.1 อธิบายการจำแนกสตั วต์ ามอาหารทสี่ ตั ว์กิน

2.1.2 อธิบายระบบทางเดินอาหารสัตวก์ ระเพาะเดยี่ ว

2.1.3 อธบิ ายระบบทางเดินอาหารสัตวก์ ระเพาะเดยี่ วท่ีมีการหมักย่อยท่ี

ส่วนทา้ ย

2.1.4 อธิบายระบบทางเดนิ อาหารสัตว์เคย้ี วเออ้ื ง

2.1.5 บอกความสำคญั ของการเคี้ยวเออื้ ง

2.1.6 บอกความแตกต่างระหว่างระบบทางเดินอาหารสตั ว์โภชนาการของ

สัตว์

3 การยอ่ ยอาหาร ดูดซมึ และเมแทบอลิซึมของโภชนะ 27 -

3.1 ร้ถู งึ ความสำคัญของน้ำและความตอ้ งการน้ำของสตั วเ์ ล้ยี ง

3.1.1 บอกความสำคัญของน้ำต่อสตั ว์เลย้ี ง

3.1.2 บอกปริมาณความตอ้ งการนำ้ เพื่อการบรโิ ภคในสตั วเ์ ลย้ี ง

3.2 เข้าใจการย่อยและการใช้ประโยชน์ของคารโ์ บไฮเดรตในสัตว์เลี้ยง

3.2.1 บอกหน้าทข่ี องคารโ์ บไฮเดรตต่อสัตว์เลีย้ ง

3.2.2 บอกวธิ ีการแบง่ ประเภทคารโ์ บไฮเดรต

3.2.3 อธบิ ายการย่อยและการดดู ซมึ คาร์โบไฮเดรตในสตั ว์กระเพาะเดย่ี ว



จุดประสงคก์ ารสอน (ตอ่ )

หนว่ ยท่ี รายการ ชัว่ โมงเรียน
ทฤษฎี ปฏบิ ัติ
3.2.4 อธบิ ายการหมกั ยอ่ ยคาร์โบไฮเดรตในสัตว์เค้ียวเออ้ื ง
3.2.5 อธิบายแตกต่างของการใช้ประโยชนข์ องคารโ์ บไฮเดรตระหวา่ งสตั ว์ 9
กระเพาะเดี่ยวและสตั ว์เคี้ยวเอือ้ ง
3.3 เขา้ ใจการย่อยโปรตนี และการใชป้ ระโยชน์ของไนโตรเจนในตวั สตั ว์
3.3.1 บอกความสำคญั และหนา้ ทข่ี องโปรตีน
3.3.2 บอกชนดิ ของกรดอะมโิ นตามโครงสร้าง
3.3.3 บอกวธิ กี ารจำแนกประเภทของโปรตีน
3.3.4 อธิบายการยอ่ ยโปรตนี ในสตั วก์ ระเพาะเดย่ี ว
3.3.5 อธบิ ายการใช้ประโยชนข์ องไนโตรเจนของสัตว์เคยี้ วเอ้อื ง
3.4 เข้าใจถึงการย่อย การดูดซมึ และการเปล่ียนแปลงกรดไขมนั ในร่างกายสัตว์
3.4.1 บอกชนิดของไขมันและสารทค่ี ลา้ ยไขมันตามประเภทต่าง ๆ
3.4.2 บอกชนดิ ของกรดไขมนั และกรดไขมันที่จำเป็น
3.4.3 อธบิ ายการย่อยไขมันในสัตวก์ ระเพาะเด่ยี ว
3.4.4 อธบิ ายการดดู ซึมไขมนั และการลำเลียงไขมนั ในร่างกายสัตว์
3.4.5 อธิบายการเปลยี่ นแปลงกรดไขมันในกระเพาะหมกั ของสัตวเ์ ค้ียว
เออ้ื ง
3.5 ร้บู ทบาทและหนา้ ทข่ี องแรธ่ าตุ
3.5.1 บอกบทบาทหนา้ ทีข่ องแรธ่ าตุหลกั
3.5.2 บอกบทบาทหนา้ ที่ของแร่ธาตุรองและแรธ่ าตุปลกี ยอ่ ย
3.6 รู้บทบาทและหน้าที่ของวติ ามิน
3.6.1 บอกหนา้ ทีแ่ ละความสำคญั ของวิตามินละลายในไขมนั
3.6.2 บอกหนา้ ทีแ่ ละความสำคญั ของวติ ามนิ ละลายในน้ำ
4 พลังงานและความตอ้ งการโภชนะ
4.1 รคู้ วามสำคญั ของพลงั งาน
4.1.1 ทราบหน่วยของพลงั งาน
4.1.2 ทราบหนา้ ทขี่ องพลงั งานตอ่ ตัวสัตว์
4.1.3 อธบิ ายลำดับส่วนของพลังงานในอาหารสตั ว์



จุดประสงคก์ ารสอน (ตอ่ )

หนว่ ยท่ี รายการ ชว่ั โมงเรยี น
ทฤษฎี ปฏบิ ัติ
4.1.4 ทราบถึงการใชป้ ระโยชน์ของพลังงานท่ีใชป้ ระโยชน์ไดใ้ นสัตว์เลี้ยง
4.1.5 ทราบถงึ ระบบพลังงานในสตั วเ์ ลี้ยง 3
4.2 เข้าใจอทิ ธิพลที่สง่ ผลตอ่ ปริมาณการกนิ ไดข้ องสัตวเ์ ลี้ยง
4.2.1 อธิบายการควบคมุ การกนิ ได้ของสตั วก์ ระเพาะเด่ยี ว
4.2.2 อธบิ ายการควบคมุ การกนิ ได้ของสตั วเ์ คีย้ งเอ้อื ง
4.3 เขา้ ใจถึงความตอ้ งการโภชนะของสัตว์
4.3.1 อธบิ ายการแบง่ สว่ นของโภชนะตามการใช้ประโยชนข์ องสตั ว์
4.3.2 อธิบายความตอ้ งการโปรตีนของสัตว์
4.3.3 ทราบความสัมพนั ธ์ระหวา่ งโปรตนี ตอ่ พลงั งาน
5 การวเิ คราะหค์ ณุ ภาพอาหารสตั ว์และการประกอบสูตรอาหาร
5.1 รหู้ ลกั การวเิ คราะห์คุณภาพอาหารสัตว์
5.1.1 ทราบหลักการวิเคราะหโ์ ดยประมาณ (Proximate analysis)
5.1.2 ทราบหลกั การวเิ คราะหเ์ ย่ือใยโดยสารฟอก (Detergent Fiber
Analysis)
5.2 เข้าใจวิธีการประกอบสูตรอาหาร
5.2.1 อธิบายวธิ ีการพจิ ารณาเลือกใช้วตั ถุดบิ อาหารสัตว์
5.2.2 ทราบรายละเอยี ดของวตั ถุดบิ อาหารสตั วเ์ บ้ืองต้น
5.2.3 สามารถคำนวณสูตรอาหารสัตวเ์ บ้ืองต้นได้



กำหนดการสอน

สปั ดาห์ที่ คาบท่ี หน่วยเรียน อาจารยผ์ ู้สอน
อ.ดร.ชยพล มีพรอ้ ม
1 1-3 หน่วยเรียนที่ 1 การศึกษาทางโภชนศาสตร์และโภชนะ
อ.ดร.ชยพล มีพรอ้ ม
ชนดิ ต่าง ๆ อ.ดร.ชยพล มพี รอ้ ม
อ.ดร.ชยพล มีพร้อม
1.1 พัฒนาการทางด้านโภชนศาสตร์สัตว์ อ.ดร.ชยพล มพี รอ้ ม
อ.ดร.ชยพล มีพร้อม
1.2 การแบ่งประเภทของโภชนะและการรายงานค่า อ.ดร.ชยพล มพี ร้อม

โภชนะ

2 1-3 หน่วยเรยี นที่ 2 ระบบทางเดินอาหารของสัตว์

2.1 การจำแนกชนิดของสัตว์ตามสรีรวิทยาของระบบ

ทางเดนิ อาหาร

3 1-3 หนว่ ยเรยี นที่ 3 การยอ่ ยอาหาร ดดู ซมึ และเมแทบอลิซึม

ของโภชนะ

3.1 นำ้

4 1-3 หนว่ ยเรยี นท่ี 3 การยอ่ ยอาหาร ดดู ซึมและเมแทบอลิซึม

ของโภชนะ

3.2 คารโ์ บไฮเดรต

5 1-3 หน่วยเรยี นที่ 3 การยอ่ ยอาหาร ดูดซึมและเมแทบอลิซึม

ของโภชนะ (ต่อ)

3.2 คาร์โบไฮเดรต

6 1-3 หนว่ ยเรียนท่ี 3 การย่อยอาหาร ดูดซึมและเมแทบอลิซึม

ของโภชนะ

3.3 โปรตีน

7 1-3 หน่วยเรยี นที่ 3 การย่อยอาหาร ดดู ซึมและเมแทบอลิซึม

ของโภชนะ (ต่อ)

3.3 โปรตนี

8 สอบกลางภาค



กำหนดการสอน (ต่อ)

สปั ดาห์ท่ี คาบที่ หน่วยเรยี น อาจารย์ผู้สอน
อ.ดร.ชยพล มพี ร้อม
9 1-3 หนว่ ยเรยี นที่ 3 การย่อยอาหาร ดูดซึมและเมแทบอลิซึม
อ.ดร.ชยพล มีพร้อม
ของโภชนะ
อ.ดร.ชยพล มีพรอ้ ม
3.4 ไขมนั
อ.ดร.ชยพล มพี ร้อม
10 1-3 หนว่ ยเรียนที่ 3 การยอ่ ยอาหาร ดดู ซมึ และเมแทบอลิซึม
อ.ดร.ชยพล มีพร้อม
ของโภชนะ (ตอ่ ) อ.ดร.ชยพล มีพร้อม
อ.ดร.ชยพล มพี ร้อม
3.4 ไขมนั อ.ดร.ชยพล มพี ร้อม

11 1-3 หนว่ ยเรียนที่ 3 การยอ่ ยอาหาร ดดู ซึมและเมแทบอลิซึม

ของโภชนะ

3.5 แร่ธาตุ

12 1-3 หนว่ ยเรียนที่ 3 การยอ่ ยอาหาร ดูดซมึ และเมแทบอลิซึม

ของโภชนะ

3.6 วติ ามนิ

13 1-3 หน่วยเรยี นท่ี 4 พลังงานและความต้องการโภชนะ

4.1 พลังงาน

14 1-3 หนว่ ยเรียนท่ี 4 พลังงานและความตอ้ งการโภชนะ

4.2 ปริมาณการกินไดข้ องสตั ว์เลย้ี ง

15 1-3 หนว่ ยเรียนที่ 4 พลงั งานและความตอ้ งการโภชนะ

4.3 ความต้องการโภชนะของสตั ว์

16 1-3 หน่วยเรียนที่ 5 การวิเคราะห์คุณภาพอาหารสัตว์และ

การประกอบสตู รอาหาร

5.1 การวิเคราะห์คณุ ภาพอาหารสตั ว์

5.2 การประกอบสูตรอาหาร

17 สอบปลายภาค



การประเมินผลรายวิชา

1) เกณฑ์การพิจารณา
รายวชิ านี้แบ่งเป็น 5 หน่วยเรียน แยกได้เปน็ 14 บทเรยี น การวัดและประเมนิ ผลรายวชิ าดำเนนิ การ

แยกเป็น 3 สว่ น โดยแบง่ แยกคะแนนแตล่ ะสว่ นจากคะแนนเตม็ ทง้ั รายวชิ า 100 คะแนน ดังนี้
1.1 ผลงานทม่ี อบหมาย 10 คะแนน หรอื ร้อยละ 10
1.2 พิจารณาจิตพสิ ยั (กิจนสิ ยั ความตงั้ ใจ และการรว่ มกิจกรรม) 10 คะแนน หรอื รอ้ ยละ 10
1.3 การทดสอบแตล่ ะหน่วยเรยี น 80 คะแนน หรอื รอ้ ยละ 80 โดยจดั แบ่งน้ำหนกั คะแนนในแต่ละ

หน่วยตามตารางกำหนดนำ้ หนกั คะแนน

2) เกณฑ์ผา่ นรายวิชา
ผู้ที่จะผ่านรายวชิ านจี้ ะต้อง
2.1 มเี วลาเรยี นไม่ต่ำกว่า รอ้ ยละ 80
2.2 คะแนนรวมทง้ั รายวชิ าไม่ต่ำกวา่ ร้อยละ 50 ของคะแนนรวม

3) เกณฑ์คา่ ระดับคะแนน
การประเมินแบง่ ออกเป็น 2 ขนั้ ตอน ดงั น้ี
3.1 พจิ ารณาตามเกณฑ์ผา่ นรายวิชาตามข้อ 2 ผไู้ มผ่ า่ นเกณฑข์ ้อ 2 จะได้รับค่าระดับคะแนน จ หรือF
3.2 ผู้ท่ีสอบผา่ นเกณฑข์ อ้ 2 จะไดร้ บั ค่าระดบั คะแนน ตามเกณฑ์ ดังน้ี

คะแนนร้อยละ 80 ขนึ้ ไป ได้ A
คะแนนร้อยละ 75-79 ได้ B+
คะแนนรอ้ ยละ 70-74 ได้ B
คะแนนร้อยละ 65-69 ได้ C+
คะแนนร้อยละ 60-64 ได้ C
คะแนนร้อยละ 55-59 ได้ D+
คะแนนรอ้ ยละ 50-54 ได้ D
คะแนนร้อยละ 49 F
ลงไป ได้

บ นำ้ หนกั คะแนน
พุทธพิสัย
ตารางกำหนดนำ้ หนักคะแนน
คะแนนรายหนว่ ย
และน้ำหนกั คะแนน

เลข ่ีทหน่วย
คะแนนรายหน่วย
ความรู้
ความเ ้ขาใจ
การนำไปใ ้ช
ูสงกว่า
ัทกษะพิ ัสย
ชื่อหน่วย

1 การศกึ ษาทางโภชนศาสตร์และโภชนะชนิดตา่ ง ๆ 5 3 11- -

2 ระบบทางเดินอาหารของสตั ว์ 5 23-- -

3 การยอ่ ยอาหาร ดดู ซมึ และเมแทบอลิซึมของโภชนะ 48 30 18 - - -

4 พลังงานและความตอ้ งการโภชนะ 17 12 5 - - -

5 การวเิ คราะห์คณุ ภาพอาหารสตั วแ์ ละการประกอบสตู รอาหาร 5 3 1 1 - -

รวมคดิ จาก 5 หน่วยเรยี น 80 50 28 2

ก คะแนนภาควิชาการ 80

ข คะแนนภาคผลงาน 10

ค คะแนนภาคจิตพิสัย 10

รวมทง้ั สิน้ 100

1

สปั ดาหท์ ี่ 1 ใบเตรยี มการสอน รหสั วิชา
51-408-013-301
เวลา 3 คาบ หน่วยท่ี 1 การศกึ ษาทางโภชนศาสตรแ์ ละโภชนะชนดิ ตา่ ง ๆ
ชอื่ หน่วยเรยี น 1.1 พัฒนาการทางด้านโภชนศาสตร์สัตว์ เวลา 90 นาที

1.1.1 ความสำคัญของการศกึ ษาทางดา้ นโภชนาการ เวลา 90 นาที
1.1.2 นยิ ามและความสำคญั ของโภชนะ
1.1.3 องคป์ ระกอบของโภชนะท่พี บในรา่ งกายสัตว์
1.2 การแบ่งประเภทของโภชนะและการรายงานคา่ โภชนะ
1.2.1 การจำแนกประเภทของโภชนะ
1.2.2 ความสำคัญของวตั ถุแหง้ ต่อคา่ โภชนะ
1.2.3 การคำนวณค่าโภชนะจากน้ำหนกั สดสู่นำ้ หนกั แห้ง
จุดประสงค์การสอน
1.1 รู้พฒั นาการทางดา้ นโภชนศาสตร์สัตว์
1.1.1 บอกความสำคญั ของการศึกษาทางด้านโภชนาการ
1.1.2 บอกนยิ ามและความสำคญั ของโภชนะ
1.1.3 บอกองค์ประกอบของโภชนะทพ่ี บในรา่ งกายสตั ว์
1.2 เขา้ ใจการแบง่ ประเภทของโภชนะและการรายงานค่าโภชนะ
1.2.1 บอกวธิ ีการจำแนกประเภทของโภชนะ
1.2.2 อธิบายความสำคัญของวัตถุแห้งตอ่ คา่ โภชนะ
1.2.3 อธิบายการคำนวณค่าโภชนะจากน้ำหนกั สดสู่นำ้ หนักแหง้
เน้ือหา
1.1 พฒั นาการทางด้านโภชนศาสตร์
1.1.1 ความสำคัญของการศึกษาทางด้านโภชนาการ
1.1.2 นิยามและความสำคัญของโภชนะ
1.1.3 องค์ประกอบของโภชนะทีพ่ บในร่างกายสัตว์
1.2 การแบง่ ประเภทของโภชนะและการรายงานค่าโภชนะ
1.2.1 การจำแนกประเภทของโภชนะ
1.2.2 ความสำคัญของวัตถแุ หง้ ตอ่ คา่ โภชนะ
1.2.3 การคำนวณค่าโภชนะจากน้ำหนกั สดสูน่ ำ้ หนักแหง้

2

หน่วยท่ี 1
การศึกษาทางโภชนศาสตรแ์ ละโภชนะชนดิ ตา่ ง ๆ

1.1 พฒั นาการทางดา้ นโภชนศาสตร์
1.1.1 ความสำคัญของการศึกษาทางดา้ นโภชนการ
ความสำคัญของการศกึ ษาทางดา้ นโภชนาการสัตวเ์ ป็นองค์ประกอบในปจั จยั ทีเ่ กี่ยวขอ้ งกบั ความสำเร็จ

ในการผลิตสัตวโ์ ดยเฉพาะอย่างยิง่ บทบาทของการเป็นนกั สัตวบาล ซึง่ เมอ่ื ถอดปจั จัยในการประสบความสำเร็จ
จากการผลิตสัตว์จะมีปัจจัยมาจากการจัดการด้านอาหาร การจัดการด้านสายพันธุ์ และการจัดการด้าน
สุขาภิบาลสัตว์ โดยทุกปัจจัยมีความสำคัญที่เท่าเทียมกัน แต่ในบริบทของนักสัตวบาลมีความจำเป็นที่จะต้อง
เข้าใจหลักของโภชนาการในตัวสัตว์ซึ่งความสำคัญที่สุดในการผลิตปศุสัตว์ กล่าวคือเป็นต้นทุนโดยหลักใน
กระบวนการผลิตสัตว์ โดยการศึกษาทางด้านโภชนการของสัตว์มีการพัฒนาอยู่ต่อเนื่องโดยมีปัจจัยจากการ
พัฒนาของสายพันธุ์ที่มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการบริโภคของมนุษย์ที่เพิ่มข้ึน
ยกตวั อยา่ งเช่น ในอดีตเมอ่ื ปี ค.ศ. 1957 นำ้ หนกั ตัวไกเ่ น้ือ (Boiler) มนี ้ำหนกั เมอื่ ไกอ่ ายุ 28 วัน ประมาณ 320
กรัมต่อตวั แตเ่ มื่อถงึ ปี ค.ศ. 2005 ปรากฎวา่ น้ำหนักตวั ของไก่เน้อื เม่ืออายุ 28 วันมนี ำ้ หนกั ตัวสูงกว่าในอดีตโดย
มีน้ำหนักตัวประมาณ 1,400 กรัมต่อตัว (Zuidhof et al., 2014) พัฒนาการของสายพันธุ์ไก่ดังที่ปรากฎนี้เป็น
เหตุให้มีการศึกษาข้อมูลทางโภชนาการของสัตว์อยู่เสมอเพื่อรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงของสายพันธุ์ รวมถึง
ความต้องการในการบริโภคด้วยเป็นตน้ ดังนั้นก่อนที่จะมีความเข้าใจในด้านโภชนการของสัตว์มีความจำเป็นท่ี
จะต้องเข้าใจถึงระบบทางเดินอาหารเบือ้ งต้น เพื่อที่สามารถจำแนกประเภทของสัตวไ์ ด้อย่างถูกต้องเนื่องจาก
ความแตกตา่ งของระบบทางเดินอาหารและยังส่งผลตอ่ สารอาหารท่สี ัตว์ต้องการไดร้ บั ดว้ ย

1.1.2 นิยามและความสำคญั ของโภชนะ
โภชนะ (Nutrients) หรือสารอาหารหมายถึงสารเคมีหรอื กลมุ่ ของสารเคมีที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกัน

เมื่อสัตว์กินเข้าไปจะช่วยให้มีการดำรงชีวิตได้อย่างเป็นปกติ ซึ่งสัตว์นั้นมีความจำเป็นที่จะต้องนำสารอาหาร
เหลา่ นี้มาใชใ้ นชวี ิตประจำวันเพื่อให้เกิดการคงอยู่ การเพม่ิ ผลผลิต หรอื แมก้ ระท่งั การฟนื้ ฟูร่างกายจากสภาวะท่ี
รา่ งกายสตั วม์ ีความผิดปกติ อยา่ งไรก็ตามในแต่ละชว่ งอายุของสตั ว์นนั้ มคี วามผันแปรของการเจริญเติบโตเช่นใน
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเมื่อเกิดใหม่จะได้รับโภชนะจากนำ้ นมแม่เปน็ หลักแต่ลกู สตั ว์ไม่สามารถที่จะดำรงอยู่โดยใช้
น้ำนมแมไ่ ด้เพียงอยา่ งเดียวเมอ่ื โตข้นึ จำเปน็ จะต้องไดร้ บั โภชนะจากแหล่งอ่นื ๆ ซึ่งเปน็ หน้าทข่ี องมนุษย์ท่จี ำเป็น
ที่จะต้องมีความเข้าใจในโภชนะ ในส่วนของสัตว์ปีกเป็นที่ทราบกันดีว่าสัตว์ปีกไม่ได้ใช้น้ำนมในการเลี้ยงลูก
แต่เมื่อลูกสัตว์ปีกฟักออกมาจะสามารถดำรงอยู่ได้ในชั่วระยะหนึ่งจากโภชนะในไข่แดงและเมื่อลูกสัตว์โตขึ้น

3

โภชนะที่ได้รบั กม็ คี วามเปลย่ี นแปลงไป โดยโภชนะเปน็ ส่ิงทจ่ี ำเป็นในตวั สตั ว์แต่โภชนะบางชนดิ มีความจำเป็นแต่

ต้องการน้อยแต่มีความสำคัญ เพราะโภชนะบางอย่างสัตว์สามารถสังเคราะห์เองได้ บางอย่างไม่สามารถ

สังเคราะห์เองได้ ดังนั้นหน้าที่ของโภชนะต่าง ๆ มีความแตกต่างกัน โภชนะที่สัตว์ได้รับมีความเกี่ยวข้องกับ

กิจกรรมทางเคมีและสรรี วทิ ยาหลายอย่างในร่างกาย โดยร่างกายของสัตว์จะทำการเปลีย่ นแปลงสารอาหารไป

เป็นส่วนประกอบต่าง ๆ ในร่างกายเช่น น้ำ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน แร่ธาตุ และวิตามิน เป็นต้น ด้วย

ประการดังกล่าวจึงเป็นเหตุให้สัตว์แต่ละชนิดที่โภชนะที่อยูใ่ นร่างกายที่แตกต่างกัน รวมไปถึงแม้เป็นสัตว์ชนดิ

เดียวกันแต่คนละช่วงอายุก็สามารถให้ความต่างของโภชนะที่อยู่ในร่างกายด้วยเช่นดังในตารางที่ 1.1 แม่ไก่มี

ร้อยละสัดส่วนโปรตีนของร่างกายสัตว์สูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับโค และสุกรที่ตอนแล้ว แต่เม่ือพิจารณาถึง

สดั ส่วนของไขมันพบว่าโคและสุกรที่ผา่ นการตอนแลว้ มีสัดส่วนของไขมันในร่างกายสูงกว่าแมไ่ ก่ และแมม่ ้า เป็น

ตน้ ดงั น้ันความตา่ งของสดั ส่วนโภชนะของร่างกายสัตว์จะเป็นเหตุให้สัตวม์ คี วามตอ้ งการโภชนะนัน้ ๆ ที่แตกต่าง

กันไปดว้ ย

ตารางที่ 1.1 ร้อยละสดั ส่วนของโภชนะท่อี ยใู่ นร่างกายสตั วช์ นดิ ตา่ ง ๆ

ชนดิ ของสตั ว์ น้ำ โปรตนี ไขมัน แร่ธาตุ

โคท่ตี อนแล้ว 54 15 26 4.6

สุกรที่ตอนแลว้ 58 15 24 2.8

แม่ไก่ 56 21 19 3.2

แม่ม้า 60 17 17 4.5

ท่ีมา: Maynard and Loosli (1969)

1.1.3 องค์ประกอบของโภชนะท่ีพบในรา่ งกายสตั ว์

ในร่างกายของสัตว์พบวา่ น้ำมสี ดั สว่ นทส่ี ูงทีส่ ุดเม่อื เปรียบเทยี บกับโภชนะอ่นื ๆ โดยปริมาณของน้ำใน

ร่างกายสตั ว์มคี วามผนั แปรไปตามของอายุสัตวด์ ้วย เช่นในสัตวเ์ กดิ ใหม่จะมีน้ำเปน็ องค์ประกอบของร่างกายอยู่

ประมาณ 75 ถงึ 80 เปอรเ์ ซ็นตข์ องน้ำหนกั ตวั แต่เม่ือสัตวม์ ีอายุเพ่ิมมากข้นึ เปน็ สัตว์โตเต็มวัยปรมิ าณของน้ำใน

รา่ งกายจะลดลงเหลอื อยูป่ ระมาณ 50 เปอรเ์ ซน็ ต์ของน้ำหนักตวั อย่างไรก็ตามนำ้ มีความจำเปน็ ต่อการดำรงชีวิต

ในสัตว์มากที่สุด กล่าวคือสัตว์สามารถดำรงชีวิตได้อยู่หลายวันหากไม่ได้รับสารอาหาร แต่จะตายเมื่อขาดน้ำ

แมว้ ่าน้ำจะไมใ่ หพ้ ลงั งานกต็ าม ในสว่ นของโปรตีนจะพบในกล้ามเนอ้ื ขน กีบ เขา และอวัยวะภายในเปน็ ตน้ ซ่ึง

ในสัตว์ที่อยู่ในสภาวะที่กำลังเจริญเติบโตมีมีสัดส่วนของโปรตีนในร่างกายสัตว์สูงกว่าสัตว์ที่โตเต็มวัยแล้ว

เนื่องจากสัตว์โตเต็มวัยจะมีการพัฒนาการของกล้ามเน้ือทีต่ ่ำว่าสัตว์ท่ีกำลังเจริญเตบิ โต ส่วนในสัตว์ท่ีโตเตม็ วัย

แล้วจะมีการสะสมของไขมนั ในรา่ งกายที่สูงเม่อื เปรยี บเทียบเปน็ สัดส่วนแล้วจะมีสดั ส่วนมากกว่าโปรตีนท่ีอยู่ใน

4

ร่างกาย อันเป็นสาเหตุจากพัฒนาการของสัตว์เลี้ยงน้ำเซลล์กล้ามเนื้อเมื่อสัตว์เกิดออกมาจะไม่สามารถเพ่ิม
จำนวนเซลลก์ ลา้ มเนอ้ื ได้ (Hyperplasia) แตจ่ ะมีกระบวนการเพ่มิ ขนาดของเซลล์กล้ามเนอื้ ให้มขี นาดที่ใหญ่ขึ้น
ได้ (Hypertrophy) จงึ ทำให้ใหส้ ตั วเ์ มือ่ มีอายุเยอะจะมีขนาดของเซลล์กล้ามเนื้อที่ขนาดใหญ่ แตกตา่ งจากไขมัน
ทีเ่ ม่ือสัตว์เกิดจะสามารถเพิ่มจำนวนเซลลไ์ ขมันสลบั กับการขยายเซลล์ไขมัน (Jo et al., 2009) ด้วยเหตุอนั นี้เอง
จึงทำให้เมื่อสัตว์โตเต็มวัยขึ้นสัดส่วนของไขมันมากกว่าโปรตีน อย่างไรก็ตามไขมันมีความสำคัญต่อสัตว์มาก
นอกเหนือจากใช้เพื่อเป็นแหล่งพลังงานสำรองแล้ว ยังช่วยในการปกป้องอวัยวะจากโดนกระแทก รวมถึงมี
คณุ สมบัติในการเป็นฉนวนป้องกันความร้อนในร่างกายสตั ว์ด้วย แต่ในสตั วบ์ างชนิดมีความตอ้ งการไขมันสะสม
ในเนื้อเป็นปริมาณมากหรือที่เรียกวา่ ไขมนั แทรก (Marbling) เนื่องจากไขมันส่วนนี้จะสามารถเพิ่มความน่ากนิ
และความช่มุ ชำ่ ของเน้ือได้ (Drey et al., 2019)

ในส่วนของโภชนะที่มีสัดส่วนรองจากโปรตีนและไขมันจะเป็นส่วนของแร่ธาตุที่มีสัดส่วนรองลงมา
เพราะเป็นส่วนสำคัญในการค้ำจุนร่างกายนั้นคือกระดูกนั่นเป็นต้น กระดูกจะประกอบด้วยแคลเซียมและ
ฟอสฟอรัสเป็นหลกั ในส่วนของคาร์โบไฮเดรตในรา่ งกายจะพบได้จำนวนท่ีน้อยมากซ่งึ โดยสว่ นใหญ่จะอยู่ในรูป
ของไกลโคเจน (Glycogen) ที่ใช้เป็นแหล่งพลังงานสำรองแต่มักไม่เพียงพอ การสะสมของคาร์โบไฮเดรตใน
ร่างกายสัตว์จะมกี ารสะสมที่นอ้ ยมากเนื่องจากเป็นโภชนะท่ีจะใช้เป็นแหล่งพลังงานลำดับแรกซึ่งจะถูกใชห้ มด
มากกวา่ การสะสม ดังนน้ั การทีส่ ตั ว์มีความต่างของสัดส่วนโภชนะในรา่ งกายสตั ว์จึงเปน็ เหตใุ หจ้ ะตอ้ งมีการศึกษา
ความตอ้ งการของโภชนะในสัตว์แต่ละระยะเพื่อให้ตรงกบั ความต้องการในสัตว์ นอกเหนือจากน้ันโภชนะแต่ละ
ชนิดมีความสามารถในการทดแทนกันและกันได้ในร่างกายสัตว์หากสัตว์มีความต้องการที่ไม่เพียงพอจาก
กระบวนการในร่างกายสัตว์ แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเพื่อทดแทนได้ 100 เปอร์เซ็นต์
นอกเหนือจากนั้นโภชนะยังมีความสัมพนั ธ์กันในแต่ละชนิดด้วยเช่นการทำงานรวมกันในการขนส่งสารอาหาร
ต่าง ๆ ไปตามรา่ งกาย
1.2 การแบง่ ประเภทของโภชนะและการรายงานคา่ โภชนะ

1.2.1 การจำแนกประเภทของโภชนะ
หากทำการจัดกลุ่มของโภชนะจะสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่อนินทรีย์วัตถุ

(Inorganic matter) และอินทรีย์วัตถุ (Organic matter) การกล่าวถึงชื่อวัตถุทั้งสองชนิดอาจยังไม่สามารถมี
ความเข้าใจได้ง่าย หากจะอธิบายเพอื่ ให้เกิดความเข้าใจง่ายอนนิ ทรีย์วัตถุคือวัตถุใด ๆ ก็ตามเมื่อทำการเผาไหม้
แล้วจะไม่หายจากไปแต่จะกลายเป็นในรูปของเถ้า (Ash) เช่นเมื่อนำร่างกายของสัตว์ไปเผาสิ่งที่หลงเหลือจาก
การเผาไหม้น้ันคือเถ้าซึ่งส่วนที่พบในเถ้าเป็นอันมากนั้นคือส่วนของกระดูกซึ่งอุดมไปด้วยแร่ธาตุเช่นแคลเซยี ม
และฟอสฟอรสั ดังน้ันโภชนะที่จดั อยใู่ นสว่ นของอนินทรียว์ ัตถุคอื แร่ธาตุ ในส่วนของโภชนะทีเ่ ปน็ อนิ ทรีย์วตั ถหุ รือ

5

วตั ถุทน่ี ำมาเผาแลว้ หายไปจะไดแ้ ก่ โปรตนี คารโ์ บไฮเดรต และวิตามิน เปน็ ต้น (แผนภาพที่ 1.1) นอกเหนอื จาก
นั้นยงั มีส่งิ ทีเ่ ป็นสว่ นประกอบสำคัญของสงิ่ มีชีวติ นน่ั คือน้ำเปน็ อีกโภชนะที่สำคัญต่อสตั ว์อยา่ งมาก กล่าวคือเป็น
โภชนะทไี่ มใ่ ห้สารอาหารแต่สตั วไ์ ม่สามารถขาดได้ และหากจำแนกโภชนะโดยใช้ความสามารถในการให้พลงั งาน
ก็จะสามารถจัดหมวดหมูข่ องโภชนะออกเป็น 2 หมวดเช่นกนั โดยโภชนะที่ให้พลังงานจะได้แก่ คาร์โบไฮเดรต
โปรตีน และไขมนั ซ่ึงพลงั งานเหลา่ น้ีเมือ่ สัตวไ์ ด้รับจะถกู นำมาใช้ในการดำรงชีพ การเจรญิ เตบิ โต และการให้ผล
ผลิตเป็นต้น ในส่วนของโภชนะที่ไม่ให้พลังงานจะใช้โภชนะส่วนนี้ในการรักษาสมดุลของร่างกาย หรือช่วยใน
กระบวนการเคมีทเี่ กดิ ข้นึ ในร่างกาย ซง่ึ โภชนะในสว่ นท่ไี มใ่ ห้พลงั งานจะได้แก่ น้ำ แร่ธาตุ และวิตามิน

โภชนะ (Nutrients)

ความช้นื (Moisture)

วัตถแุ ห้ง (Dry matter)

อนิ ทรยี ์วตั ถุ อนนิ ทรีย์วตั ถุ
(Organic Matter) (Inorganic Matter)

คารโ์ บไฮเดรต โปรตีน ไขมนั วิตามนิ แรธ่ าตุ น้ำ

(Carbohydrate) (Protein) (Fat) (Minerals) (Minerals) (Water)

ให้พลังงาน ไม่ใหพ้ ลังงาน

แผนภาพที่ 1.1 การจำแนกประเภทของโภชนะ

1.2.2 ความสำคญั ของวตั ถุแหง้ ต่อค่าโภชนะ

ในทางโภชนศาสตรส์ ัตว์โดยสว่ นใหญแ่ ล้วการรายงานค่าโภชนะนิยมใช้วิธกี ารรายงานผลโดยปราศจาก

ความช้นื หรอื รายงานบนพ้นื ฐานของวตั ถุแหง้ (Base on dry matter) ซงึ่ มีความจำเป็นมากในกรณีที่ต้องการที่

จะเปรียบเทียบคา่ โภชนะ นอกเหนอื จากน้นั ยังเปน็ วธิ กี ารทีท่ ำใหก้ ารพจิ ารณาค่าโภชนะมคี วามแมน่ ยำที่มากข้ึน

ปจั จยั ของความชื้นหรือน้ำท่ีอยู่ในอาหารมีความแปรปรวน โดยจากแผนภาพที่ 1.1 ซงึ่ เปน็ แผนผังการจำแนกค่า

โภชนะ ในกรณที ่อี าหารน้นั ๆ มีความชื้นอย่สู งู จะสง่ ผลต่อปรมิ าณของวัตถุแหง้ ท่ีลดลง และสง่ ผลใหอ้ นิ ทรีย์วัตถุ

รวมถึงอนนิ ทรยี ์วัตถุมกี ารลดลงดว้ ย การรายงานผลแบบรวมความช้นื อยู่จึงเป็นทีไ่ มแ่ ม่นยำมากนัก ยกตัวอย่าง

6

เช่นสัตว์กินพืชที่มีความหลากหลายของปริมาณความชื้น การใช้ผลการรายงานค่าโภชนะที่รวมความชื้นหรือ

น้ำหนักสดจะส่งผลให้การเปรยี บเทียบค่าโภชนะไม่แม่นยำ ซึ่งโดยปกติแล้วในกรณีของพืชอาหารสัตว์ที่มอี ายุ

น้อยส่วนใหญ่แลว้ จะมปี รมิ าณความชื้นทส่ี ูง แตม่ ีโปรตนี ทีต่ ำ่ ตา่ งจากพชื อาหารสัตวท์ ่มี ีอายมุ ากจะมคี วามช้ืนต่ำ

และโปรตนี ต่ำหากใช้การพจิ ารณาปรมิ าณของโภชนะโดยใชน้ ้ำหนกั สด (As fed) จะกลายเป็นวา่ พืชอาหารสัตว์

ที่มีอายุมากมีโปรตีนที่สูง อันเป็นสาเหตุจากปริมาณของวัตถุแห้งที่สูงด้วยเช่นกัน โดยให้เป็นหลักคิดเสมอว่า

ความชน้ื กับนำ้ มีความสัมพนั ธ์กัน และวัตถแุ ห้งสามารถคำนวณได้จากการนำความชืน้ มาลบออกจาก 100 โดย

ตัวอย่างการปรบั การรายงานค่าโภชนะบนพื้นฐานของวัตถุแหง้ จะหกั สัดส่วนของนำ้ ออก จึงเป็นเหตุให้โภชนะ

อื่น ๆ มีปรมิ าณสูงขน้ึ ดังตารางที่ 1.2 อย่างไรกต็ ามการรายงานบนพน้ื ฐานของวตั ถุแหง้ ไม่ใช่เป็นการเพ่ิมคุณค่า

ของโภชนะเพียงแตเ่ ป็นการรายงานท่ีลดความแปรปรวนของความช้ืนเพอ่ื ให้เกิดความแม่นยำเมื่อต้องการนำค่า

โภชนะน้นั ๆ มาใชป้ ระโยชน์

ตารางที่ 1.2 องค์ประกอบทางโภชนะของอาหารสัตว์และผลิตภัณฑ์สัตว์เมื่อรายงานในแบบน้ำหนักสด (As

fed) และนำ้ หนักแหง้ (Base on dry matter)

รายการ ความชื้น คารโ์ บไฮเดรต ไขมนั โปรตีน เถา้

ค่าโภชนะแบบน้ำหนกั สด (เปอร์เซน็ ต์)

หญ้าสด 80.0 13.7 0.8 3.5 2.0

ข้าวบาร์เลย์ 14.0 73.0 1.5 9.3 2.2

เนือ้ สัตว์ 72.0 0.6 4.4 21.5 1.5

น้ำนมโค 87.6 4.7 3.6 3.3 0.8

ค่าโภชนะแบบนำ้ หนักแหง้ (เปอรเ์ ซ็นต์)

หญา้ สด 0.0 68.5 4.0 17.5 10.0

ข้าวบารเ์ ลย์ 0.0 84.9 1.7 10.8 2.6

เน้ือสัตว์ 0.0 2.1 15.7 76.8 5.4

นำ้ นมโค 0.0 37.9 29.0 26.6 6.5

ที่มา: ดัดแปลงจาก McDonald et al. (2011)

1.2.3 การคำนวณคา่ โภชนะจากนำ้ หนักสดส่นู ้ำหนกั แห้ง

ความแตกต่างของการรายงานค่าโภชนะนั้นส่งผลต่อค่าโภชนะที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นหญ้าสดเมื่อ

รายงานในรูปแบบของนำ้ หนักสดพบวา่ มคี วามชนื้ อยู่ 80.0 เปอร์เซน็ ต์ และมีโปรตนี อยทู่ ี่ 3.5 เปอร์เซ็นต์ แตเ่ ม่ือ

นำมารายงานบนพนื้ ฐานของวตั ถุแหง้ จะมีโปรตนี เท่ากบั 17.5 เปอรเ์ ซน็ ต์ โดยการเพิม่ ขึน้ นี้ดังท่กี ล่าวไวไ้ มไ่ ดเ้ กดิ

จากการเพิ่มประสิทธิภาพของโภชนะ แต่เป็นการหักความชื้นออกจากการรายงานทำให้สัดส่วนของวัตถุแห้ง

7

เท่ากับ 100 เปอร์เซ็นต์ อินทรีย์วัตถุและอนินทรีย์วัตถุจึงเพิ่มขึ้นมา นอกเหนือจากนั้นหากทำการสังเกตค่า

โภชนะท่รี ายงานเมื่อนำความชนื้ คารโ์ บไฮเดรต ไขมนั โปรตีน มารวมกนั จะตอ้ งมีผลรวมของค่าโภชนะท้งั หมดนี้

เท่ากับ 100 ตามแผนผังที่แสดงในแผนภาพที่ 1.1 ที่แสดงให้เห็นว่าค่าโภชนะมาจาก น้ำ อินทรีย์วัตถุ และ

อนนิ ทรยี ว์ ัตถุ เปน็ ตน้

การประเมินวัตถุแห้งจากค่าโภชนะที่รายงานในน้ำหนักสดสามารถประเมินได้จากการคำนวณด้วย

เช่นเดียวกันเมื่อนำผลรวมของค่าโภชนะที่รายงานในน้ำหนักสดมารวมกันโดยไม่รวมความชื้นจะมคี ่าเท่าวัตถุ

แหง้ ยกตวั อยา่ งเชน่ หญ้าสดมคี ารโ์ บไฮเดรต ไขมนั โปรตนี และเถ้า เทา่ กับ 13.7 0.8 3.5 และ 2.0 เปอรเ์ ซ็นต์

เม่อื นำคา่ โภชนะนม้ี ารวมกนั จะได้เท่ากับ 20.0 เปอร์เซน็ ต์ ท่เี ป็นปริมาณของวัตถุแห้ง และทำการตรวจสอบวตั ถุ

แห้งจากการนำ 100 ลบกับเปอร์เซ็นต์ความชื้นก็จะเท่ากับ 20.0 เปอร์เซ็นต์ จากข้อมูลข้างต้นก็สามารถ

พิจารณาได้ว่าผลการรายงานค่าโภชนะมีความถูกต้องหรือไม่ ในส่วนของการเปลี่ยนแปลงการรายงานผลจาก

นำ้ หนักสดเป็นนำ้ หนกั แหง้ สามารถดำเนนิ การไดโ้ ดยการปรับสดั ส่วนของความชื้นใหเ้ ท่ากับศนู ย์ โดยการนำค่า

โภชนะทต่ี อ้ งการเปลี่ยนแปลงเปน็ น้ำหนักสดหารด้วยเปอร์เซน็ ต์วตั ถุแหง้ กอ่ นท่ีจะนำไปคูณดว้ ย 100 ก็จะได้ค่า

โภชนะท่ีรายงานในรูปแบบวัตถุแห้ง ยกตัวอย่างเช่นต้องการเปลี่ยนแปลงการรายงานค่าโภชนะที่อยู่ในการ

รายงานบนฐานน้ำหนักสดเปน็ น้ำหนักแห้งของข้าวบาร์เลย์จะสามารถดำเนินการได้ดังนี้ โดยข้าวบาร์เลย์มีวัตถุ

แหง้ เท่ากับ 86.0 เปอรเ์ ซ็นต์ (ตารางท่ี 1.3)

ตารางที่ 1.3 ตวั อยา่ งการคำนวณค่าโภชนะจากการรายงานในนำ้ หนักสดเปน็ น้ำหนักแห้ง

รายการ การคำนวณ ผลที่ได้ (เปอรเ์ ซน็ ตข์ องวัตถแุ ห้ง)

คารโ์ บไฮเดรต 73.0/86.0 x 100 84.9

ไขมนั 1.5/86.0 x 100 1.7

โปรตนี 9.3/86.0 x 100 10.8

เถา้ 2.2/86.0 x 100 2.6

ผลรวม 100.0

จากตารางที่ 1.3 ตัวอย่างของการคำนวณเมื่อดำเนินการคำนวณการรายงานผลในหน่วยของวัตถุแหง้

เมื่อนำค่าโภชนะทั้งหมดรวมกันจะต้องมีค่าเท่ากับ 100 จึงจะเป็นการรายงานที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตามความ

แม่นยำของการวิเคราะหผ์ ลของคา่ โภชนะทางเคมีเป็นอีกปัจจัยสำคญั ที่จะสง่ ผลให้มีการใช้ประโยชน์จากโภชนะ

ทีแ่ มน่ ยำขน้ึ เพื่อการพฒั นาส่โู ภชนาการในสัตวท์ ีแ่ ม่นยำ (Precision animal nutrition)

8

แบบทดสอบ
1. เหตใุ ดนกั ศึกษาจะต้องทำการศึกษาทางด้านโภชนาการของสตั ว์เลี้ยง
2. โภชนะคอื อะไรและมคี วามสำคญั อย่างไรตอ่ สัตว์
3. โภชนะท่ีเปน็ องคป์ ระกอบของร่างกายสัตวโ์ ดยหลกั ประกอบด้วยโภชนะใดบา้ ง
4. โภชนะที่ใหพ้ ลงั งานและไมใ่ ห้พลงั งานประกอบดว้ ยโภชนะใดบ้าง
5. เหตุใดการรายงานผลค่าโภชนะทางด้านโภชนศาสตร์สัตวจ์ ึงนยิ มใช้การรายงานผลแบบวัตถุแห้ง (Base on
Dry matter)
6. วัตถุดิบอาหารสัตว์ชนดิ หนง่ึ มคี า่ โภชนะทีร่ ายงานโดยน้ำหนักสด (As fed) พบว่ามีความชน้ื 70 เปอร์เซน็ ต์ มี
โปรตีน 2 เปอร์เซ็นต์ มีคาร์โบไฮเดรต 15 เปอร์เซ็นต์ ให้นักศึกษาทำการคำนวณการรายงานผลค่าโภชนะเปน็
แบบวัตถแุ ห้ง

เอกสารอ้างอิง

Drey, L. N., Prill, L.L., Olson, B.A., Rice, E.A., Gonzalez, J. M., Vipham, J.L., Terry, A.H., Alizabeth
A.E.B., and O’Quinn, T.G. 2019. Evaluation of marbling and enhancement’s abilities to
compensate for reduced beef palatability at elevated degrees of doneness. Journal of
animal science. 97(2):669-686.

Jo, J., Gavrilova, O., Pack, S., Jou, W., Mullen, S., Sumner, A.E., Cushman, S.W. and Periwal, V.
2009. Hypertrophy and/or hyperplasia: dynamics of adipose tissue growth. PLoS
Comput Biol. 5(3):e1000324.

Maynard, L.A., and J.K., Loosli. 1969. Animal Nutrition 6th edition. McGraw - Hill Book Company,
New York.

McDonald, P., Edwards, R.A., Greenhalgh, J.F.D., Morgan, C. A., Sinclair, L.A., and Wilkinson, R.G.
2011. Animal Nutrition 7th edition. Pearson. England.

Zuidhof, M.J., Schneider, B.L., Carney, V.L., Korver, D.R., and Robinson, F.E. 2014. Growth,
efficiency, and yield of commercial broilers from 1957, 1978, and 2005. Poultry science.
93(12): 2970-2982.

9

วิธสี อนและกจิ กรรม 1. จับกลมุ่ เพ่อื อภิปรายผลในลกั ษณะ Cooperative leaning

สอ่ื การสอน 2. การบรรยาย การสาธติ

งานที่มอบหมาย 3. ถามคำถามในหอ้ งเรียน
การวดั ผล
เอกสารอ้างองิ ลำดับที่ 1-5

เอกสารประกอบ หนว่ ยเรยี นท่ี 1

วสั ดโุ สตโทรทัศน์ สื่อการนำเสนอและเคร่อื งฉายภาพน่งิ

ทำแบบฝกึ หดั ทา้ ยบทเรียน

1. สังเกตความสนใจในหอ้ งเรยี น

2. การตอบคำถามระหว่างเรยี น

3. ตรวจแบบฝึกหดั ทไี่ ดร้ ับมอบหมาย

4. การสอบยอ่ ย

5. การสอบกลางภาค

10

สปั ดาหท์ ่ี 2 ใบเตรียมการสอน รหสั วิชา
51-408-013-301

เวลา 3 คาบ หนว่ ยที่ 2 ระบบทางเดินอาหารของสตั ว์

ชอ่ื หนว่ ยเรยี น 2.1 การจำแนกชนดิ ของสตั ว์ตามสรีรวิทยาของระบบทางเดนิ อาหาร 180 นาที

2.1.1 การจำแนกสัตว์ตามอาหารท่ีสัตว์กิน

2.1.2 ระบบทางเดินอาหารสัตว์กระเพาะเดี่ยว

2.1.3 ระบบทางเดินอาหารสัตว์กระเพาะเด่ียวท่ีมีการหมักยอ่ ยที่

สว่ นท้าย

2.1.4 ระบบทางเดนิ อาหารสัตวเ์ คยี้ วเออื้ ง

2.1.5 ความสำคัญของการเคีย้ วเออ้ื ง

2.1.6 ความแตกตา่ งของระบบทางเดินอาหารสัตว์โภชนาการ

ของสัตว์

จดุ ประสงค์การสอน

2.1 เข้าใจวิธีการจำแนกชนดิ ของสตั วต์ ามสรรี วิทยาของระบบทางเดนิ อาหาร

2.1.1 อธบิ ายการจำแนกสัตวต์ ามอาหารท่ีสัตว์กิน

2.1.2 อธบิ ายระบบทางเดินอาหารสัตวก์ ระเพาะเดย่ี ว

2.1.3 อธิบายระบบทางเดนิ อาหารสัตวก์ ระเพาะเด่ียวท่ีมกี ารหมกั ย่อยทส่ี ว่ นทา้ ย

2.1.4 อธิบายระบบทางเดนิ อาหารสัตวเ์ คย้ี วเออ้ื ง

2.1.5 บอกความสำคัญของการเค้ยี วเอื้อง

2.1.6 บอกความแตกต่างระหว่างระบบทางเดนิ อาหารสตั ว์โภชนาการของสัตว์

เน้อื หา

2.1 การจำแนกชนิดของสตั วต์ ามสรรี วิทยาของระบบทางเดนิ อาหาร

2.1.1 การจำแนกสัตวต์ ามอาหารท่ีสัตวก์ ิน

2.1.2 ระบบทางเดินอาหารสตั ว์กระเพาะเดยี่ ว

2.1.3 ระบบทางเดินอาหารสัตวก์ ระเพาะเดยี่ วทีม่ ีการหมกั ยอ่ ยท่ีส่วนท้าย

2.1.4 ระบบทางเดนิ อาหารสตั วเ์ คย้ี วเออ้ื ง

2.1.5 ความสำคัญของการเคีย้ วเอ้อื ง

2.1.6 ความแตกตา่ งของระบบทางเดนิ อาหารสตั ว์โภชนาการของสัตว์

11

หนว่ ยที่ 2
ระบบทางเดนิ อาหารของสัตว์

2.1 การจำแนกชนดิ ของสตั ว์ตามสรีรวทิ ยาของระบบทางเดินอาหาร
2.1.1 การจำแนกสตั ว์ตามอาหารท่ีสตั ว์กนิ
เมอ่ื ทำการจำแนกตามอาหารท่ีสตั ว์กินจะสามารถแบ่งชนิดของสตั วอ์ อกได้เป็น 3 ชนดิ ได้แก่ สัตว์กิน

เนื้อ (Carnivore) สัตว์กินพืช (Herbivore) และสัตว์กินทั้งเนื้อและพืช (Omnivore) โดยอาหารที่สัตว์กินนั้นมี
ความแตกต่างกันทางโภชนาการ หรืออาจกล่าวได้ง่าย ๆ คือมีความต่างกันทางด้านองค์ประกอบทางเคมีหรอื
พนั ธะเคมี ดงั นั้นรูปแบบของระบบทางเดนิ อาหารของสัตวจ์ ึงเออ้ื ต่อการใช้ประโยชน์ของสารเคมีเหล่าน้ีโดยตัว
ของสตั ว์ เชน่ ลักษณะของฟันในสัตวก์ ินเนื้อ แสดงดังภาพที่ 2.1(ก) สตั ว์กินเนื้อจะมีความแตกต่างจากสตั ว์กินพืช
โดยมีลกั ษณะของฟนั เขยี้ ว (Canine) ท่ีไวใ้ ช้ในการกดั เพื่อทำให้เหยือ่ ทีส่ ัตว์ดำเนินการล่าบาดเจบ็ เพือ่ เปน็ อาหาร
แก่สัตว์ นอกเหนือจากนัน้ ยังมฟี นั ตดั (Incisors) ที่มหี นา้ ทใ่ี นการใชส้ ำหรับการเลาะเน้อื ออกจากกระดูก และทำ
ให้สัตว์ที่ล่าเกดิ ความบาดเจ็บ นอกเหนือจากน้ันยังมีฟันกรามน้อย (Premolar) ที่แหลมคม มีความแข็งแรงสูง
ซึ่งแตกต่างจากสัตว์กินพืชที่มีขนาดใหญม่ ากกว่าและเรียบ เนื่องจากสัตว์กินเน้ือจะใช้ฟันกรามในการบดย่อย
อาหารที่น้อยโดยส่วนใหญ่จะใช้ฟันตัดย่อยและกลืนเป็นส่วนใหญ่ โดยสัตว์กินเนื้อที่เป็นที่ทราบกันได้แก่ เสือ
สิงโต และแมวเป็นต้น ในสว่ นของลักษณะฟนั ของสัตว์กินพืชน้ันไม่พบลักษณะของฟันทเ่ี ป็นฟันเขย้ี ว แต่ยังคงมี
ลักษณะของฟันตัดอยูซ่ ่ึงมีขนาดที่เล็กเมื่อเปรยี บเทียบกับสตั ว์กนิ เน้ือ แสดงดังภาพที่ 2.1(ข) หากสังเกตรุ ะบบ
ฟนั ในสัตว์กนิ พชื เชน่ โค กระบือ แพะ และแกะ สัตว์เหล่าน้จี ะมีฟนั ตดั เฉพาะฟนั ล่าง และมกี ารใชง้ านของฟนั ตัด
ทน่ี อ้ ยเมอ่ื เปรียบเทียบกันสตั ว์ที่กนิ เน้อื อยา่ งไรกต็ ามดว้ ยท่ีสัตวก์ นิ พืชจำเป็นต้องมีการบดเคยี้ วอาหารจากพืชซ่ึง
มีเยื่อใยสูง ความเหนียวของเยื่อใยจะทำให้สัตว์กินพืชจำเป็นที่จะต้องมีระบบฟันกราม (Molar) และฟันกราม
น้อยที่มีขนาดใหญ่และแข็งแรงเพื่อใช้ในการบดเคี้ยวอาหาร ซึ่งในสัตว์กินพืชเช่น โค กระบือ แพะ แกะ และ
กวาง จะมีระบบการบดยอ่ ยอาหารทเ่ี รียกว่าการเค้ยี วเอ้อื ง (Rumination) โดยการสำรอกอาหารที่ได้กินออกมา
บดเคี้ยวอกี ครั้งเพื่อให้ขนาดชิน้ ของอาหารมีขนาดลดลง แต่ในส่วนของสตั ว์กินพืชจำพวกช้าง ม้า และกระตา่ ย
จะไม่มกี ารนำอาหารท่ีกินเข้าไปแลว้ สำรอกมาเคี้ยวอกี ครั้ง ในสว่ นของสัตวก์ ินทั้งเน้ือและพืช จะปรากฎพบว่ามี
ฟนั ตดั มนั เข้ียว และฟนั กรามขนาดใหญ่ รว่ มกันท้ังหมด ทำหน้าทป่ี ระสานงานกันโดยจะขน้ึ อยู่กับว่าทำการให้
อาหารเป็นชนิดรูปแบบใด โดยสัตว์ที่อยู่ในกลุ่มนี้จะได้แก่สุกรหรือสุนัข นอกเหนือจากนั้นมนุษย์เองก็จัดว่ามี
ระบบฟันแบบสัตว์กินท้ังเนื้อและพืชด้วย ซึ่งสัตว์ที่กินทัง้ เนื้อและพชื จะมพี ัฒนาการของระบบทางเดินอาหารท่ี
สูงกว่าสตั ว์กินเนือ้ ทมี่ ีขอ้ จำกดั ในการใช้ประโยชน์จากอาหารท่มี ีเยื่อใยสูงเชน่ กัน ดงั ภาพท่ี 2.1(ค)

12

(ก) ระบบฟันของสัตวก์ นิ เน้ือ (ข) ระบบฟนั ของสตั ว์กินพืช

(ค) ระบบฟนั ของสัตวก์ นิ ทัง้ เนอ้ื และพชื
ภาพท่ี 2.1 ระบบฟันของสัตว์กินเนือ้ สัตวก์ นิ พืช และสตั ว์กินทั้งเนอื้ และพืช
ทีม่ า : https://rps4st2018.wordpress.com/2018/09/17/are-you-a-herbivore-

carnivore-or-omnivore/
จากความแตกต่างของอาหารที่กินนอกเหนือจะมีระบบฟันที่แตกต่างกันแล้วนอกเหนือจากนั้นยังมี
ความสามารถในการย่อยอาหารท่ีแตกต่างกนั หากเรยี งลำดบั ความสามารถในการยอ่ ยอาหารแล้วสัตว์ที่กินเน้ือ
จะมรี ะบบทางเดนิ อาหารทไ่ี ม่สมบูรณ์เมือ่ เปรียบเทยี บกับสตั วท์ กี่ ินทง้ั เน้อื และพืช โดยขนาดของกระเพาะอาหาร
ในสัตว์กินเนื้อจะมีขนาดที่ใหญ่แต่ระบบของลำไส้จะสั้นกว่าสัตว์กินพืช ซึ่งการย่อยของเนื้อจะทำการย่อยที่
กระเพาะอาหารเป็นหลัก แต่ในส่วนของสัตว์กินพืชบางชนิดมีขนาดของกระเพาะที่ใหญ่จากการแบ่งส่วนของ
กระเพาะอาหารทีเ่ พม่ิ ข้ึนทพี่ บในสตั ว์สีก่ ระเพาะหรอื สัตวเ์ ค้ียวเอือ้ ง (Ruminant) เช่น โค กระบือ แพะ และแกะ
แต่ถ้าพิจารณาถึงกระเพาะที่เป็นกระเพาะจริง (True stomach) ยังคงมีขนาดที่เล็กกว่าสัตว์กินเนื้อเม่ือ
เปรียบเทียบเปน็ สัดสว่ นต่อน้ำหนักตัว อย่างไรก็ตามสัตว์จำพวกทีก่ นิ พืชจะมรี ะบบลำไส้ทีย่ าวและมีขนาดใหญ่
เช่นในสัตว์จำพวกมา้ และกระต่ายเป็นต้น อย่างไรก็ตามสัตว์ที่ได้กล่าวมาท้ังสองชนิดมรี ะบบทางเดินอาหารท่ี
แตกตา่ งกนั กบั สัตวก์ นิ พชื ทเ่ี ปน็ สัตวเค้ียวเออื้ ง ดงั น้นั นอกเหนือจากการจำแนกประเภทสตั วต์ ามอาหารทสี่ ัตว์กิน
แล้ว ยังสามารถจำแนกตามระบบทางเดินอาหารได้ด้วย และเป็นที่นิยมสำหรับนักโภชนศาสตร์สัตว์มากกว่า

13

เพราะสามารถลงรายละเอียดได้ถึงผลผลิตขั้นสุดท้ายในการย่อยอาหารทีม่ คี วามแตกตา่ งกันตามระบบทางเดิน
อาหารของสัตว์

2.1.2 ระบบทางเดินอาหารสตั วก์ ระเพาะเด่ยี ว
สัตว์กระเพาะเด่ียว (Monogastric) หรืออาจเรียกอกี ชอื่ ได้ว่าสัตว์ไม่เคี้ยวเอ้ือง (Non-ruminant) จัด

ได้ว่าเป็นสัตว์ที่มีระบบของกระเพาะอาหารอย่างง่าย (Simple stomach) หรือมีกระเพาะที่ใช้ในการย่อย
อาหารเพยี งกระเพาะเดียว ซึ่งในการเรยี นการสอนน้ีจะใช้แบบจำลองของสกุ รเป็นสตั วก์ ระเพาะเด่ียวท่ีเลี้ยงลูก
ด้วยนม และไกใ่ นการเปน็ แบบจำลองของไม่ได้เลยี้ งลูกด้วยนมซ่งึ มคี วามแตกต่างของระบบการย่อยอาหารตั้งแต่
ปากจนถึงส่วนบริเวณกระเพาะอาหาร โดยระบบทางเดนิ อาหารของสกุ รถือวา่ เปน็ ระบบทางเดนิ อาหารของสัตว์
กระเพาะเดีย่ วเป็นหลกั โดยการเรียงลำดบั ของอาหารเมอื่ สุกรกนิ อาหารจากทางปาก (Mouth) อาหารส่วนที่กิน
(Ingestion) จะไหลผ่านสู่กระเพาะอาหาร (Stomach) ตามภาพท่ี 2.2 โดยมีหลอดอาหาร (Esophagus) เป็น
จุดเชื่อมต่อระหวา่ งปากและกระเพาะอาหาร ลักษณะภายในกระเพาะอาหารจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับเมด็ ถ่วั
ดำ ภายในจะมีกรดเกลอื (Hydrochloric acid ; HCl) ที่คอยทำหน้าที่ในการทำให้โปรตนี ทส่ี ัตวก์ ินเสยี สภาพ ซ่ึง
มีสภาวะความเป็นกรด-ด่าง (pH) ภายในกระเพาะอาหารจะอยู่ในช่วง 2 ถึง 3 โดยจัดว่ามีความเป็นกรดอยู่ใน
ระดับสูง จึงเป็นเหตใุ ห้กระเพาะอาหารและเซลล์ที่ทำการผลติ กรดเกลือต้องมกี ระบวนการในการหล่ังกรดเกลือ
เมื่อถูกกระตุน้ จากระบบประสาท โดยกรดเกลือจะผสมกันภายนอกเซลล์ระหว่าง H และ Cl เพื่อป้องกันไม่ให้
เซลลผ์ ลิตกรดเกลือถกู ทำลายและนอกเหนอื จากน้นั ยงั พบวา่ ผนงั ของกระเพาะอาหารยังมคี วามหนาและมีระบบ
กล้ามเนอื้ ที่แข็งแรงเพอ่ื ใช้ในการบบี ตัวของตัวกระเพาะเพื่อบดย่อย และขับเคล่อื นอาหารท่อี ยู่ในระบบทางเดิน
อาหาร (Digesta) ใหเ้ คลื่อนตอ่ ไปยังลำไส้เล็ก (Small intestine) โดยบริเวณนี้จะมีการหลัง่ นำ้ ย่อยออกจากตับ
อ่อน (Pancreas) เพื่อทำการย่อยอาหารในบริเวณลำไส้เล็กส่วนต้น (Duodenum) และจะมีการดูดซึมมาก
บริเวณลำไส้เล็กส่วนกลาง (Jejunum) ซงึ่ หากพิจารณาทางกายภาพจะสามารถจำแนกส่วนของลำไส้เล็กได้โดย
ส่วนของกลางจะมีเส้นเลือดมาหล่อเลี้ยงเป็นจำนวนมากเพื่อใช้ในการลำเลียงสารอาหารที่ได้ถูกดูดซึมก่อนจะ
ไหลผ่านไปยงั ลำไส้เล็กส่วนปลาย (Ileum) ที่มีการดูดซึมสารอาหารได้เล็กนอ้ ย ก่อนส่งไปยังลำไสใ้ หญ่ (Large
intestine) ซึ่งถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนคล้ายคลึงกับลำไส้เล็ก ได้แก่ลำไส้ใหญ่ส่วนต้น (Cecum) ส่วนกลาง
(Colon) และสว่ นปลาย (Rectum) โดยบริเวณของลำไส้ใหญ่จะเปน็ ที่อยู่ของจุลินทรีย์หลายชนิดจึงเป็นเหตุให้
ในสัตวก์ ระเพาะเด่ยี วมีความสามารถในการใช้ประโยชน์ของเยอ่ื ใยได้เล็กน้อย อยา่ งไรกต็ ามหากมีสารอาหารที่
ย่อยง่ายไหลผ่านมายังลำไส้ใหญ่มีโอกาสที่จุลินทรียจ์ ะมีการใช้ประโยชน์ของอาหารที่สูงและอาจส่งผลต่อการ
เกิดท้องเสยี จากการผันแปรของจุลชีพในระบบทางเดินอาหารรวมถึงความเข้มขน้ ของสารอนิ ทรีย์ในระบบลำไส้
ใหญ่ท่ีเข้มข้นจงึ มกี ารออสโมซสิ น้ำเข้าส่ลู ำไสใ้ หญเ่ ปน็ จำนวนมากและทำให้เกดิ การถา่ ยเหลว และนอกเหนอื จาก

14

ลำไส้ใหญ่ที่เป็นที่อยู่ของจุลินทรีย์แล้วยังมีหน้าที่ในการดูดซึมน้ำเข้าสู่ระบบร่างกาย และดูดซึมแร่ธาตุต่าง ๆ
ด้วย ทง้ั สุกรและสตั ว์ปีก

ภาพท่ี 2.2 ระบบทางเดินอาหารของสุกร
ที่มา : Moran (1982)
ในส่วนของระบบทางเดินอาหารของสัตวป์ ีกจะมีความแตกต่างของระบบทางเดินอาหารที่แตกต่าง
จากสุกรและหน้าที่ที่แตกต่างกัน โดยในสัตว์ปีกเมื่อสัตว์กินอาหารเข้าไปอาหารจะไหลผ่านหลอดอาหาร
(Esophagus) ไปยังถุงพกั อาหาร (Crop) เพื่อกักเก็บอาหารไวแ้ สดงดงั ภาพที่ 2.3 ซึ่งหากสังเกตการกนิ อาหาร
ของสตั ว์ปกี เมือ่ กนิ อาหารในปริมาณท่มี ากกระเพาะพกั ซ่งึ อยู่บรเิ วณรอยต่อระหวา่ งลำคอและอกจะมีขนาดใหญ่
ข้นึ กอ่ นจะสง่ ไปยังกระเพาะจรงิ (Proventriculus) ซึ่งทำหนา้ ทค่ี ลา้ ยคลึงกับกระเพาะในตวั ของสุกรมีการหลั่ง
ของน้ำย่อยที่คล้ายคลงึ กัน แต่มีลักษณะที่แตกต่างกันคือมลี ักษณะเป็นปล่องทรงกระบอก อย่างไรก็ตามการท่ี
สัตว์ปีกนั้นไม่มีฟันในบดเคีย้ วอาหารสัตวป์ ีกจึงมีอวัยวะที่ทำหน้าที่ในการบดอาหารน่ันคือกระเพาะบดหรอื กนึ๋
(Gizzard) คอยบดอาหารให้แหลกละเอียด หากพิจารณาผนังด้านในของกระเพาะบดจะมีความหนา
นอกเหนือจากนั้นสัตว์ปกี ยังมีความชอบในการกินเม็ดหินกรวดหรือเม็ดทรายเพื่อใหเ้ ม็ดกรวดเม็ดทรายเหล่านี้
อยู่ภายในกระเพาะบดเพ่ือใหม้ ีการบดย่อยท่ีดีข้ึน อย่างไรก็ตามในกระเพาะบดจะไม่มีการหลั่งของน้ำย่อยเมื่อ
อาหารมีขนาดที่เล็กลงก็จะไหลผ่านไปยังลำไส้เล็กและมีการหลั่งน้ำย่อยออกจากตับอ่อน คล้ายคลึงกับระบบ
ทางเดินอาหารในสกุ ร แต่จะไมม่ กี ารหลงั น้ำย่อยที่ใช้ในการย่อยน้ำตาลแลคโตสที่พบในน้ำนมเน่ืองจากสัตว์ปีก
ไมใ่ ช่สัตว์เล้ยี งลูกด้วยนม แต่เมอ่ื ทำการพจิ ารณาถึงลำไส้ใหญข่ องสตั ว์ปกี บรเิ วณของลำไสใ้ หญส่ ว่ นต้นหรือไส้ติ่ง
(Cecum) จะมีการแตกแขนงออกเป็น 2 ข้างซึ่งเป็นที่อยู่ของจุลินทรีย์เช่นเดียวกับลำไส้ใหญ่ส่วนต้นของสุกร
เพียงแต่มีจำนวนมากกว่าจึงมีการเรียกชื่อของลำไส้ใหญ่ส่วนนี้ว่าซีก้า (Ceca) ส่วนลำไส้ใหญ่ส่วนอื่น ๆ จะมี
ขนาดทสี่ ้นั กว่าสกุ รเป็นเหตุให้สตั ว์ปกี มีความสามารถในการใช้ประโยชน์ของเยอื่ ใยได้ต่ำกว่าสกุ ร อย่างไรก็ตาม

15

ยังมสี ตั ว์กระเพาะเดียวบางชนดิ ทม่ี ีความสามารถในการใช้ประโยชน์ของเยอ่ื ใยได้สงู เชน่ มา้ หรอื กระตา่ ย ซึง่ เป็น
สตั ว์กระเพาะเดีย่ วแต่มีความพเิ ศษของระบบทางเดินอาหารท่ีแตกต่างจากสกุ รและสัตว์ปกี คือมีความสามารถ
ในการหมกั ยอ่ ยได้ในระบบทางเดนิ อาหารส่วนท้าย (Hindgut fermenter) ซ่ึงพบในสตั วก์ ระเพาะเด่ียวท่ีกินพืช
เป็นหลัก

ภาพท่ี 2.3 ระบบทางเดนิ อาหารของสตั ว์ปกี
ที่มา : Moran (1982)
2.1.3 ระบบทางเดนิ อาหารสัตว์กระเพาะเด่ียวที่มีการหมักยอ่ ยทสี่ ่วนท้าย
ในสตั วก์ ระเพาะเด่ยี วบางชนิดมคี วามสามารถในการใช้ประโยชน์ของอาหารท่ีมีเยือ่ ใยสูงได้จากการท่ี
มรี ะบบการหมักยอ่ ยในระบบทางเดินอาหารสัตว์ส่วนท้าย (Hindgut fermenter) โดยสัตว์ประเภทนีไ้ ดแ้ ก่ ช้าง
ม้า กระต่าย และนกกระจอกเทศ เป็นต้น โดยความแตกต่างทางระบบทางเดินอาหารเมื่อเปรยี บเทยี บกับสัตว์
กระเพาะเดี่ยวชนิดอื่น ๆ คือมีขนาดลำไส้ใหญ่ในส่วนต้น (Cecum) ที่มีขนาดใหญ่ แสดงดังภาพที่ 2.4 โดย
ภายในของลำไส้ใหญส่ ว่ นต้น จะมีจุลินทรยี ท์ ่ีคอยใช้ประโยชนจ์ ากเยือ่ ใยที่ในร่างกายสัตวไ์ มส่ ามารถผลิตเอนไซม์
ในการย่อยอาหารจำพวกนีไ้ ด้ แต่การย่อยอาหารจำพวกเย่อื ใยสงู จะถูกย่อยโดยจุลนิ ทรยี ์ที่ใช้ประโยชน์จากเย่ือ
ใยซึ่งผลผลิตจากการใช้ประโยชน์ของเย่ือใยในการหมกั ย่อยจะเกิดกรดไขมันระเหยได้ (Volatile Fatty acids ;
VFAs) ซึ่งสามารถดูดซึมผ่านผนังลำไส้และนำมาใช้เป็นแหล่งพลังงานของร่างกาย ดังนั้นสัตว์กระเพาะเดี่ยว
จำพวกนี้จงึ สามารถดำรงชวี ิตอยู่ไดห้ ากไดร้ บั อาหารจำพวกเยอื่ ใยสงู หรอื หญา้ เป็นต้น

16

ภาพที่ 2.4 ระบบทางเดนิ อาหารของม้า
ที่มา : McDonald et al. (2010)
อยา่ งไรก็ตามความสามารถในการไดร้ ับโปรตนี จากจุลินทรยี ์ทีอ่ ยู่ในระบบทางเดินอาหารยงั เป็นปัจจัยที่
มีข้อจำกัดทแี่ ตกตา่ งจากสตั วเ์ คีย้ วเอื้อง เนื่องจากสว่ นทห่ี มกั ยอ่ ยมตี ำแหน่งอยู่สว่ นหลังของกระเพาะอาหาร เมือ่
จลุ ินทรยี เ์ จรญิ เติบโตตายลงไปจงึ ไม่สามารถถูกย่อยเป็นกรดอะมิโน (Amino acid) และดดู ซมึ เพื่อใช้ประโยชน์
ในร่างกายได้ อีกประการที่สอดคล้องกันคือการใช้สารประกอบไนโตรเจนที่ไม่ใช่โปรตีน (Non-protein
nitrogen ; NPN) ไม่สามารถใช้ได้ในสัตว์กระเพาะเดี่ยวทุกชนิด ดังนั้นสัตว์ประเภทนี้จึงยังคงจะต้องได้รับ
โปรตนี คณุ ภาพดอี ยดู่ ้วย แต่ขอ้ จำกดั สำหรับม้าถึงแมว้ ่าจะสามารถใช้ประโยชนจ์ ากอาหารเยื่อใยสูงจำพวกหญ้า
ได้ แต่จำเป็นที่จะต้องมีความระมัดระวังในการให้อาหาร โดยหญ้าที่ใช้ควรเป็นหญ้าที่มีคุณภาพดีกล่าวคือมี
ปริมาณของลิกนิน (Lignin) ทีร่ ะดบั ตำ่ หรือหลกี เลยี่ งการให้หญา้ ที่มีความแขง็ สูงเพราะจะลดความเส่ียงต่อการ
เกดิ สภาวะเสียดทอ้ ง (Colic) ซ่ึงเปน็ โรคสำคัญทเี่ กดิ จากการให้อาหารในมา้ แต่ยังมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับ
อาหารหยาบอยู่เสมอในปรมิ าณ 1.5 ถึง 2 เปอร์เซ็นต์วัตถุแห้งต่อน้ำหนักตวั เพื่อให้มา้ มกี ารเคี้ยวเพ่ือให้มีการ
หลั่งของน้ำลายเพ่ือลดความเป็นกรดในกระเพาะอาหารยกเวน้ พืชอาหารสัตว์ตระกลู ถั่วที่มีปรมิ าณของโปรตนี
และพลงั งานสงู หากได้รับปริมาณมากจะส่งผลเสียต่อม้าเช่นกัน นอกเหนอื จากน้ันวิธกี ารให้อาหารข้นยังคงต้อง

17

ให้ในปริมาณน้อย ๆ แต่มีความถี่ในการให้ที่จำนวนหลายครั้งเพื่อให้มีปริมาณมากเพื่อลดความเสี่ยงที่ระบบ
ทางเดินอาหารของม้าไม่สามารถปรับกับการให้อาหารในปริมาณมากได้ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดสภาวะเสียดท้อง
เช่นกัน แต่คุณสมบัติบางประการก็มีความคล้ายคลึงกับสัตว์เคี้ยวเอื้อง เช่นความสามารถในการสังเคราะห์
วติ ามินเองไดจ้ ากแบคทเี รีย (Vitamin synthesizing bacteria) ท่อี ย่ใู นลำไส้ใหญ่ เช่นวติ ามินบี วิตามินเค

2.1.4 ระบบทางเดินอาหารสัตว์เคยี้ วเอือ้ ง
สัตว์เคี้ยวเอื้อง (Ruminant) ซึ่งบางทีอาจเรียกว่าสัตวก์ ระเพาะรวมหรือสตั ว์สี่กระเพาะจัดได้ว่าเปน็

สัตว์ที่มีระบบทางเดินอาหารที่สมบูรณท์ ี่สุดเมื่อเปรยี บเทยี บกับสัตวก์ ระเพาะเดี่ยว และสัตว์กระเพาะเด่ียวทีม่ ี
การหมักย่อยที่ระบบทางเดินอาหารส่วนท้าย โดยสัตว์ที่จัดอยู่ในระบบทางเดินอาหารประเภทน้ี ได้แก่ โค
กระบือ แพะ แกะ กวาง และอูฐ เปน็ ต้น ซงึ่ สัตวจ์ ำพวกนี้โดยหลกั แลว้ จัดว่าเป็นสัตวก์ ินพืช และมคี วามสามารถ
ในการใช้ประโยชน์จากพชื อาหารสัตว์สงู ที่สุด จึงเป็นเหตุให้สัตว์จำพวกน้ีสามารถดำรงชีพได้แม้วา่ จะกินแตพ่ ชื
อาหารสตั ว์เพียงอย่างเดยี ว นอกเหนือจากนน้ั ยังมีการเคีย้ วเอื้องซง่ี หมายถงึ การทสี่ ตั วก์ ินอาหารเข้าไปจนเสร็จ
สนิ้ เมอ่ื ระยะเวลาผา่ นเลยไประยะหน่งึ ประมาณ 30 นาที สัตวจ์ ะทำการสำรอกอาหาร (Regurgitation) ออกมา
เพื่อทำการเคี้ยวอีกครั้งเพื่อให้อาหารมีขนาดที่เล็กลง ซึ่งการทำงานของการเคี้ยวเอื้องจัดได้ว่าเป็นการสั่งการ
นอกเหนือจากอำนาจจิตใจโดยการควบคุมที่ระบบประสาทส่วนกลาง (Central nervous system) ความผิด
แปลกของการเค้ยี วเอ้ืองจึงสามารถนำมาพจิ ารณาสถานะของร่างกายได้ดว้ ยเป็นตน้

ระบบการแบ่งการทำงานของกระเพาะของสัตว์เคี้ยวเอื้องจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก ๆ ได้แก่
กระเพาะส่วนหน้า (Fore stomach) ซึ่งประกอบไปด้วย กระเพาะรังผึ้ง (Reticulum) กระเพาะผ้าขี้ริ้วหรือ
กระเพาะหมัก (Rumen) และกระเพาะสามสบิ กลบี (Omasum) กระเพาะทงั้ สามตำแหนง่ น้ีจะทำหน้าที่ในการ
หมักย่อยอาหารเป็นหลักโดยจุลินทรีย์ และอีกส่วนจะเรียกว่ากระเพาะส่วนล่าง (Lower gut) ซึ่งประกอบไป
ดว้ ยกระเพาะแท้ (Abomasum) จนถงึ ระบบลำไสซ้ ง่ึ มหี นา้ ทค่ี ลา้ ยคลงึ กับกระเพาะในสัตวก์ ระเพาะเด่ยี ว ความ
ต่างนี้จึงเป็นเหตุให้สัตวเ์ คี้ยวเอื้องมีความสมบูรณ์ของระบบทางเดินอาหารมากกว่าสัตว์กระเพาะเดี่ยว (ภาพที่
2.5 และ 2.6)

ภาพที่ 2.5 ระบบทางเดนิ อาหารของโค
ท่มี า : Rounds and Herd (1987)

18

ภาพที่ 2.6 กระเพาะทง้ั 4 ของสัตวเ์ คีย้ วเอื้อง
ทมี่ า : Annison and Lewis (1959)
จำนวนกระเพาะทั้งสี่กระเพาะของสัตวเ์ คี้ยวเอื้องจากที่ดำเนินการแบ่งออกเป็นสองส่วนทัง้ กระเพาะ
ส่วนหนา้ และกระเพาะส่วนลา่ งน้นั ปัจจยั ที่ส่งผลทำให้สตั วท์ มี่ ีระบบทางเดนิ อาหารชนดิ นมี้ คี วามสามารถในการ
ใชป้ ระโยชนข์ องอาหารหยาบได้สงู กว่าสัตว์กระเพาะเดย่ี วอันเปน็ ผลมาจากกระเพาะสว่ นหนา้ ของสตั วเ์ ค้ียวเอื้อง
เปน็ ส่วนที่มีประชากรจุลินทรีย์อาศัยอยู่ จากสภาพลกั ษณะของกระเพาะรวมถงึ การทำงานหนา้ ทีข่ องสว่ นตา่ ง ๆ
ท่ีส่งเสรมิ กันเปน็ เหตุให้สภาวะแวดล้อมของกระเพาะมคี วามเหมาะสมต่อการเจริญของจุลินทรีย์ โดยกระเพาะ
แต่ละสว่ นมหี น้าที่ ขนาด และลักษณะทแ่ี ตกต่างกันดังนี้
1) กระเพาะรังผึ้ง (Reticulum) เป็นกระเพาะที่อยู่ส่วนหนา้ สุดของระบบทางเดินอาหาร มีลักษณะ
ของผนังกระเพาะคล้ายคลึงกบั รงั ผึ้งทั้งนีเ้ พราะเน้ือเยื่อมีการเจริญและขยายตัวขึ้นด้านบน ทำให้เกิดเป็นชั้นมี
ลักษณะ 4-6 เหลี่ยม (ภาพที่ 2.7) จึงถูกเรียกว่ากระเพาะรังผึ้ง ความจุของกระเพาะส่วนน้ีเมื่อคิดเป็นสัดส่วน
ของกระเพาะทั้งหมดจะมีสัดส่วนอยู่ 5 เปอร์เซน็ ต์ของกระเพาะท้ังหมด โดยพื้นที่ของกระเพาะรังผึ้งจะมีความ
เชื่อมต่อกับกระเพาะหมักซึ่งบางทีจะถูกเรียกได้ว่า เรติคิวโลรูเมน (Reticulorumen) และอาหารที่อยู่ใน
กระเพาะส่วนนี้จะสามารถเข้าถึงกันระหว่างสองกระเพาะได้อย่างอิสระ มีหน้าที่ในการปั้นอาหารให้อยู่ใน
ลักษณะของการเป็นก้อนก่อนที่จะขยอกออกมาทางปากเพื่อทำการเคี้ยวเอื้องหรือที่เรียกได้ว่าโบลัส (Bolus)
โดยการคลุกเคล้าน้ำลายหรือน้ำยอ่ ยเข้าด้วยกนั นอกเหนือจากนั้นกระเพาะส่วนนี้ยังทำหน้าที่ในการดักจบั ส่ิง
แปลกปลอมที่เขา้ มาส่รู ะบบทางเดินอาหารจากการกิน ซง่ึ โดยสว่ นใหญแ่ ล้วจะพบเปน็ เศษลวด เหลก็ ตะปู เป็น

19

ตน้ ซ่งึ ในบางคร้ังในกระเพาะส่วนนจ้ี ะมกี ารใช้แม่เหลก็ ในการดกั จับเศษลวด เหล็ก จากการกรอกแม่เหล็กผ่าน
ทางปาก เป็นตน้

ภาพที่ 2.7 ลกั ษณะภายในของกระเพาะรังผึง้
ที่มา : Parish et al. (2009)
2) กระเพาะผ้าข้ีรวิ้ หรือกระเพาะหมัก (Rumen) กระเพาะหมักเป็นส่วนกระเพาะท่ีทำการหมักย่อย
หลักของสัตว์เคี้ยวเอื้องซึ่งลักษณะของผนังกระเพาะจะมีปุ่มเล็ก ๆ ลักษณะคล้ายนิ้วยื่นออกมาจากผนังของ
กระเพาะเป็นจำนวนมากหรือทีเ่ รียกว่าพาพิลเล่ (Papillae) อยู่ครอบคลุมพ้ืนทใ่ี นส่วนของกระเพาะหมกั (ภาพท่ี
2.8) คอยทำหน้าที่เพิ่มเนื้อที่สัมผสั เพื่อการยอ่ ย การคลุกเคล้าอาหาร การเคลื่อนบีบตัวของกระเพาะหมักและ
การดูดซึมผ่านของกรดไขมันระเหยได้ ขนาดของกระเพาะหมักมีความจุของกระเพาะทั้งหมดคิดเป็น 80
เปอร์เซน็ ต์ อยา่ งไรก็ตามในสตั ว์เค้ียวเอ้ืองเกิดใหม่จะมีส่วนของกระเพาะหมกั ที่มขี นาดเลก็ กว่ากระเพาะแท้ อัน
เป็นสาเหตุจากสตั ว์เคย้ี วเอือ้ งที่เกิดใหม่จะได้รบั อาหารผ่านทางนำ้ นมแม่เป็นหลักซง่ึ ไหลผ่านของนำ้ นมจะไม่ไหล
เข้าสกู่ ระเพาะหมกั แต่น้ำนมจะไหลผ่านทอ่ นำอาหารเหลว (Esophageal groove) เพ่อื ให้นำ้ นมไหลผ่านไปยัง
ส่วนของกระเพาะแท้ แต่เมื่อสัตว์มีอายุที่มากขึ้นท่อนำอาหารส่วนนี้จะเริ่มมีขนาดเล็กลง ลูกสัตว์จะเริ่มมีการ
ปรบั เปล่ยี นอาหารจากอาหารเหลว (Liquid feed) ไปส่อู าหารแขง็ (Solid feed) และในชว่ งนเ้ี องกระเพาะหมกั
จะเริ่มมีการพัฒนาให้มีขนาดใหญ่ขึ้นและมีความยาวของพาพิลเล่ที่ยาวขึ้น สภาพนิเวศวิทยาในกระเพาะจึงมี
ความเหมาะสมต่อการเจริญของจุลินทรีย์ท่ีตดิ เขา้ มาพร้อมกับอาหาร ซึ่งในกระเพาะหมักจะมีจุลนิ ทรยี ์จำพวก
แบคทเี รีย (Bacteria) ทม่ี ากที่สดุ ประมาณ 1012 ถงึ 1013 เซลลต์ ่อมลิ ลลิ ิตรของเหลวในกระเพาะหมกั รองลงมา
จะเป็นโปรโตซัว (Protozoa) มีจำนวนประมาณ 106 ถึง 107 เซลล์ต่อมิลลิลิตรของเหลวในกระเพาะหมัก และ
น้อยที่สุดจะเป็นรา (Fungi) มีจำนวนประมาณ 104 เซลล์ต่อมิลลิลิตรของเหลวในกระเพาะหมัก ด้วยจำนวน

20

จุลินทรีย์เหล่านี้เองที่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มีการหมักยอ่ ยอาหารทีส่ ัตว์กินแล้วผลิตเป็นกรดไขมันระเหยได้
รวมถึงความสามารถในการผลิตจุลินทรีย์โปรตีนให้แกส่ ัตว์ โดยสภาพแวดล้อมภายในกระเพาะหมักจะมคี วาม
เป็นกรด-ด่าง อยู่ในช่วง 5.8 ถึง 6.8 ซึ่งเป็นสภาวะที่เหมาะสมแก่การเจริญของจุลินทรีย์ และมีปริมาณของ
ออกซิเจนที่ต่ำและคาร์บอนไดออกไซด์สูง เหมาะสมแก่จุลินทรีย์ที่ไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic bacteria)
อยา่ งไรก็ตามตวั สตั ว์เค้ียวเอือ้ งจำเป็นต้องมีกระบวนการในการรกั ษาสมดุลของสภาพแวดลอ้ มในกระเพาะหมัก
ไว้ให้เหมาะสมตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของแบคทเี รียอยเู่ สมอ

ภาพท่ี 2.8 ลกั ษณะของพาพิลเล่ที่ตดิ อยกู่ ับผนังกระเพาะหมัก
ทมี่ า : https://www.seymourtelegraph.com.au/2017/11/16/61393/long-

term-rumen-health-through-probiotic-feed
3) กระเพาะสามสิบกลีบ (Omasum) กระเพาะสามสิบกลีบ มีความจุ 7-8 เปอร์เซ็นต์ของความจุ
กระเพาะทั้งหมด อยู่ระหว่างรูเปิดกระเพาะรังผึ้งและกระเพาะสามสิบกลีบ และทางเปิดเข้าสู่กระเพาะจริง มี
ลกั ษณะกลม ผนังดา้ นในมลี ักษณะเป็นแถบเรียกว่าลามิเน่ (Laminae) บนผิวของลามเิ น่มีปุม่ จำนวนมาก (ภาพ
ที่ 2.9) หนา้ ที่หลกั ของกระเพาะสามสิบกลีบยังไมเ่ ปน็ ท่ีทราบแนช่ ัด แตบ่ ทบาทสำคญั ของกระเพาะสามสิบกลีบ
คือทำหน้าที่ดูดซับนำ้ และสารละลายต่าง ๆ ไว้ เนื่องจากผนงั ของกระเพาะมีลักษณะเป็นริว้ ๆ ซึ่งสามารถเพม่ิ
พื้นที่สัมผัสในการดูดน้ำและสารละลายได้ดี ก่อนจะปล่อยอาหารใหผ้ ่านเข้าสู่กระเพาะแท้ผ่านรอยต่อระหว่าง
กระเพาะสามสิบกลบี และกระเพาะแท้ (Omasal orifice)

21

ภาพท่ี 2.9 ลักษณะภายในของกระเพาะสามสบิ กลบี
ทมี่ า : Parish et al. (2009)
4) กระเพาะแท้ (Abomasum) กระเพาะแท้ มีความจุประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์ของความจุกระเพาะ
ทั้งหมด มีตำแหนง่ อยู่ดา้ นขวาของกระเพาะหมัก และติดกับพื้นลา่ งของชอ่ งทอ้ ง มีลักษณะเหมือนลูกแพร์หรอื
เมล็ดถั่ว เป็นกระเพาะสว่ นแรกที่มีการหลั่งของน้ำย่อยในตัวสัตว์เอง ในช่วงลูกสัตว์เกิดใหม่มีขนาดท่ีใหญ่ที่สดุ
และเป็นกระเพาะที่ทำงานเป็นหลักในการย่อยน้ำนมกระเพาะแท้นี้สามารถแบ่งได้ 2 ส่วน คือส่วนฟันดัส
(Fundus) มีหน้าที่ขับกรดเกลือ และเอนไซม์ต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่เป็นกรด ส่วนที่สองคือ ส่วนไพ
โรรสั (Pylorus) เป็นท่ีรวมของอาหารก่อนท่ีจะถูกบีบให้เปน็ ก้อน โดยการบีบตวั ของกล้ามเนอ้ื ให้ผ่านกล้ามเน้ือ
หรู ดู เข้าสูล่ ำไส้เล็กสว่ นต้น ซึ่งระบบการทำงานของกระเพาะส่วนนท้ี ีเ่ รียกวา่ กระเพาะสว่ นล่างน้นั มีการทำงานที่
คล้ายคลึงกับการทำงานในกระเพาะสัตว์ของสัตว์กระเพาะเดี่ยว อย่างไรก็ตามเมื่อสัตว์ได้เจริญเติบโตมากขึน้
สดั ส่วนของกระเพาะส่วนนี้จะลดลงและเรม่ิ มกี ารทำงานท่ีลดลง เพราะเปน็ การยากทีอ่ าหารทไ่ี หลผ่านมาส่วนนี้
จะมสี ารอาหารอยู่ เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วจุลินทรีย์จะทำการใช้ประโยชน์ของอาหารที่สัตว์กินจนหมดสิ้น เว้น
แต่อาหารนั้น ๆ มีคุณสมบัติในการไม่ย่อยสลายในกระเพาะหมัก (Undegradable) ทางธรรมชาติ หรือการ
ดดั แปลงทางเคมี เพื่อใหส้ ตั ว์ไดร้ ับโภชนะทีต่ ้องการโดยตรงไมผ่ ่านการใชป้ ระโยชน์ของจุลินทรยี เ์ ปน็ ตน้

22

ภาพที่ 2.10 ลักษณะภายในของกระเพาะแท้
ที่มา : Parish et al. (2009)
2.1.5 ความสำคญั ของการเค้ยี วเอื้อง
จากที่ได้กล่าวไว้ในขา้ งต้นว่าสัตว์เคีย้ วเอ้อื งจำเป็นที่จะต้องมกี ารปรับสภาพแวดล้อมภายในกระเพาะ
หมักให้มีความเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ในกระเพาะอาหาร ซึ่งปัจจัยสำคัญในการเจริญของ
จลุ ินทรียใ์ นกระเพาะหมกั มาจากระดับความเป็นกรด-ด่างโดยหลกั ซ่ึงกระบวนการเคี้ยวเอ้อื งน้เี องนอกเหนือจะ
ทำให้ขนาดชิ้นของอาหารมีขนาดที่เล็กลงแล้ว น้ำลายที่หลั่งออกมาเมื่อสัตว์ทำการเคี้ยวเอื้องจัดว่ามีคุณสมบตั ิ
เปน็ บัฟเฟอร์ (Buffer) เมือ่ ลงสกู่ ระเพาะหมกั นอกเหนอื จากนนั้ น้ำลายที่หล่งั ออกมายงั มาสารท่ีช่วยลดการเกิด
ฟองในกระเพาะหมกั ซึง่ เป็นสาเหตุสำคัญในการเกิดโรคท้องอดื (Bloat) โดยกระบวนการเคี้ยวเอื้องนั้นมีลำดบั
ข้ันตอนหลงั จากการที่สัตวก์ นิ อาหารเสร็จส้นิ แลว้ ดังน้ี
1) การกลืนอาหาร (Swallowing) เมื่อสัตว์กินอาหารจะบดเคี้ยว (Mastication) และทำการกลืน
อาหารเข้าสูก่ ระเพาะหมักจนกระท่ังกนิ อาหารหมดหรอื กนิ อ่มิ
2) การขยอกอาหาร (Regurgitation) หลังจากสัตวก์ นิ อาหารและกลืนเข้าไปเปน็ ระยะเวลาประมาณ
30 นาที กระเพาะหมักจะเกิดการบีบตัวทำให้ความดันของของเหลวบริเวณช่องเปิดคาร์เดียเพิ่มขึ้น ใน
ขณะเดียวกันกระบงั ลม จะบีบตัวอย่างรวดเร็วทำใหค้ วามดนั ภายในหลอดลมลดลงอย่างรวดเรว็ ส่วนหลอดคอ
จะยุบตัวลง ยกเวน้ บริเวณสว่ นปลายซง่ึ ติดตอ่ ช่องเปดิ คาร์เดียนนั้ จะขยายพองตัวออกคล้ายลูกโปง่ ทำใหอ้ าหาร
ทส่ี ตั วก์ ินเขา้ ไปไหลกลับเข้าสหู่ ลอดคอเกิดขบวนการขยอกกลบั ของอาหาร
3) การเคี้ยวเอื้อง (Rumination) สัตว์จะทำการเคี้ยวอาหารอีกครั้งหน่ึง เพื่อให้ละเอียดย่ิงขึ้น (Re-
mastication) และในขณะทส่ี ตั ว์ทำการเคย้ี วอาหารอีกครัง้ หน่ึง น้ำลายจะถูกขับออกมาเพิ่ม (Re-insalivation)
และผสมคลุกเคล้ากบั อาหารอกี

23

4) การกลืนอาหารอีกครั้ง (Re-swallowing) หลังจากที่สัตว์ดำเนินการเคี้ยวเอื้องเพื่อให้ขนาดช้ิน
อาหารมขี นาดเล็กลงแล้ว สว่ นของของเหลวจะถูกบบี รัดและกลืนกลบั ลงส่เู รตคิ ูโลรูเมน

การเคี้ยวเอื้องจะดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งช้ินส่วนอาหารมีขนาดเลก็ และสามารถท่ีจะผ่านไปยงั
กระเพาะจรงิ เพื่อการยอ่ ยตอ่ ไป ในโคทไี่ ดร้ ับหญา้ แหง้ เปน็ อาหารอาจใช้เวลาในการเคย้ี วเออื้ งวันละ 8-10 ชัว่ โมง
ในขณะที่โคที่ได้รับอาหารจำพวกเมล็ดธัญพืช อาหารที่ถูกบด หรืออาหารอัดเมด็ อาจใช้เวลาในการเคี้ยวเอ้อื ง
เพยี งวันละ 30 นาที ซึ่งโดยเฉล่ยี แล้วระยะเวลาในการเคย้ี วเออื้ ง 15-18 ครั้งต่อวัน ส่วนในโคจะเค้ยี วเออื้ ง 9-18
ครั้งต่อวัน โดยการเคี้ยวเอื้องจะเกิดในชว่ งกลางคนื มากกวา่ กลางวนั (Millen et al., 2016) ดังนั้นจงึ สรุปไดว้ ่า
การเค้ยี วเอ้ืองเป็นผลต่อการหลั่งน้ำลายเพอ่ื ปรับสมดุลในกระเพาะใหเ้ หมาะสมต่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์
และเพิ่มประสิทธิภาพของการย่อยโดยจุลินทรีย์ให้สูงดังนั้นหากเข้าใจถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อการเคี้ยวเอื้องจะ
สามารถที่จะจดั การการเคี้ยวเอือ้ งให้เป็นประโยชนต์ ่อการใช้อาหารไดใ้ หม้ ีประสิทธภิ าพสูงสุด

2.1.6 ความแตกตา่ งของระบบทางเดนิ อาหารสัตว์โภชนาการของสตั ว์
เมื่อพิจารณาความแตกต่างของระบบทางเดินอาหารของประเภทของสัตว์ทั้งสามชนิดนั้นส่งผลต่อ

การใช้ประโยชน์ของอาหาร ซึ่งได้สรุปออกมาพอสังเขปได้คือสัตว์กระเพาะเดี่ยวมีความสามารถในการใช้
ประโยชน์จากเยื่อใยที่ต่ำที่สุดจากการที่ตัวสัตว์ไม่มีเอนไซมใ์ นการย่อยเยื่อใย ซึ่งแตกต่างจากสัตว์มีระบบการ
หมักย่อยทม่ี ีจลุ นิ ทรยี ์ทส่ี ามารถใชป้ ระโยชนจ์ ากเยอื่ ใยได้ อยา่ งไรกต็ ามในสัตว์เคย้ี วเออ้ื งมสี ่วนของการหมักย่อย
อยู่ที่ส่วนหน้าของระบบทางเดินอาหาร ซึ่งแตกต่างจากสัตว์กระเพาะเดี่ยวที่มีการหมักย่อยที่ส่วนท้าย ด้วย
ประการนีเ้ องจึงเป็นเหตใุ หม้ ีความสามารถในการใช้ประโยชน์จากสารอาหารโดยตรงไดจ้ ำกัด เนื่องจากอาหาร
จะถูกใช้โดยจลุ ินทรยี ก์ อ่ นทีส่ ตั ว์จะใชป้ ระโยชน์ แต่การใช้ประโยชนโ์ ดยจุลินทรีย์สตั ว์จะได้รับสารในรูปแบบชนิด
อื่น ๆ เช่น การใช้น้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรตการหมักย่อยจำพวกนี้จะได้ผลผลิตจากการหมักย่อยคือกรดไขมัน
ระเหยได้ (Volatile fatty acids; VFAs) ซึ่งจะนำมาใช้เปน็ แหล่งพลังงาน ในส่วนของโปรตีนสตั วก์ ระเพาะเดี่ยว
จะได้รับโปรตีนจากอาหารโดยตรง แต่ในสัตว์เคี้ยวเอื้องจะได้รับโปรตีนจากจุลนิ ทรีย์คิดเปน็ ร้อยละ 60 ถึง 80
ของโปรตนี ที่ไดร้ ับท้ังหมด แตใ่ นสัตว์กระเพาะเดยี่ วส่วนหมักย่อยจะอยู่สว่ นหลังจงึ เปน็ เหตุให้ไมม่ ีความสามารถ
ในการใชป้ ระโยชนจ์ ากจุลินทรีย์โปรตีน อย่างไรก็ตามในสตั วท์ ่ีมีการหมกั ยอ่ ยโดยจุลินทรยี ์จะมีความสามารถใน
การได้รบั วิตามินทไ่ี ด้จากการสังเคราะหโ์ ดยจุลินทรยี ์ (ตารางที่ 2.1)

24

ตารางท่ี 2.1 ภาพรวมความสามารถในการใชป้ ระโยชนข์ องอาหารของสัตวท์ ่ีมรี ะบบทางเดนิ อาหารตา่ งกนั

รายการ ประเภทระบบทางเดนิ อาหาร
กระเพาะเด่ยี ว หมักยอ่ ยสว่ นทา้ ย สัตวเ์ คี้ยวเอื้อง

ความสามารถในการใชเ้ ยือ่ ใย จำกัด ปานกลาง สูง

ความสามารถใช้ประโยชน์จากนำ้ ตาลโดยตรง สูง สงู จำกดั

ความสามารถใช้ประโยชน์จากโปรตีนโดยตรง สูง สงู จำกดั

ความสามารถใช้ประโยชน์จากไขมนั โดยตรง สงู สงู จำกัด

การไดร้ ับโปรตีนจากจลุ นิ ทรีย์ ไม่ ไม่ สงู

ความสามารถในการสังเคราะหว์ ติ ามนิ บี จำกัด สงู สงู

แบบทดสอบ
1. ใหน้ ักศึกษาอธบิ ายระบบฟันระหวา่ งสัตว์กนิ พชื สัตวก์ ินเน้ือ และสัตวก์ นิ พืชและกนิ เนอ้ื ว่ามีความแตกต่างกัน
อยา่ งไร
2. จงอธิบายและเขยี นแผนภาพของระบบทางเดนิ อาหารของสกุ รและสตั ว์ปีก
3. จงอธิบายระบบทางเดินอาหารของสัตว์กระเพาะเดี่ยวที่มีการหมักย่อยที่ส่วนท้ายและยกตัวอย่างสัตว์
ประเภทน้ี
4. จงอธิบายและเขยี นแผนภาพของอธิบายระบบทางเดนิ อาหารสัตว์เคี้ยวเอือ้ ง
5. ให้นักศึกษาบอกความสำคญั ของการเค้ยี วเอ้อื งและประกอบด้วยกระบวนการใดบา้ ง
6. ให้นักศึกษาบอกความแตกต่างระหวา่ งระบบทางเดินอาหารสัตว์โภชนาการของสัตว์

25

เอกสารอา้ งองิ

Annison, E.F., and Lewis, D. 1959. Metabolism in the Rumen. Methuen & Co. Ltd. London,
England.

https://rps4st2018.wordpress.com/2018/09/17/are-you-a-herbivore-carnivore-or-omnivore/
https://www.seymourtelegraph.com.au/2017/11/16/61393/long-term-rumen-health-through-

probiotic-feed
Maynard, L.A., and J.K., Loosli. 1969. Animal Nutrition 6th edition. McGraw - Hill Book Company,

New York.
McDonald, P., Edwards, R.A., Greenhalgh, J.F.D., Morgan, C. A., Sinclair, L.A., and Wilkinson, R.G.

2010. Animal Nutrition 7th edition. Pearson, England.
Millen D.D., Arrigoni M.D.B., and Pacheco, R.D.L. 2016. Rumenology. Springer, Switzerland.
Moran E.T., Jr. 1982. The Comparative Nutrition of Fowl and Swine: The Gastrointestinal

Systems, University of Guelph, Ontario.
Parish, J.A., Rivera, J.D., and Boland, H.T. 2009. Understanding the ruminant animal digestive

system. Mississippi State University Extension Service, Mississippi State.
Rounds, W., and Herd, D.B. 1987. The Cow's Digestive System. Texas Agricultural Extension

Service, Texas.


Click to View FlipBook Version