176
ตารางท่ี 4.23 ความต้องการโภชนะต่อวันของโคนมระยะให้นม (Lactating dairy cows)
รายละเอยี ด ปริมาณน้ำนม พลงั งานสทุ ธิ โปรตนี แคลเซียม ฟอสฟอรัส
(กิโลกรมั ต่อวนั ) (เมกกะแคลอร่ี) (กรัม) (กรมั ) (กรมั )
พนั ธโ์ุ ฮลสไตนฟ์ รีเชีย่ น 25 27.9 2,870 52.1 44.2
ไขมนั นม 3.5 เปอร์เซ็นต์ 35 34.8 3,589 65.0 56.5
โปรตนี 3.0 เปอร์เซ็นต์ 45 41.8 4,313 76.5 68.8
แลคโตส 4.8 เปอร์เซน็ ต์ 55 48.3 5,036 88.0 80.3
พันธ์ุเจอร์ซ่ี 25 27.7 2,898 50.7 41.4
ไขมันนม 4.2 เปอร์เซน็ ต์ 35 35.6 3,757 65.2 54.1
โปรตนี 3.6 เปอรเ์ ซ็นต์ 40 39.5 4,153 72.4 60.4
แลคโตส 4.8 เปอรเ์ ซน็ ต์
ท่ีมา : ดดั แปลงจาก NRC (2001)
ตารางที่ 4.24 ความตอ้ งการโภชนะตอ่ วันของโคนมสาวทอ้ งวา่ ง (Non-bred heifers)
น้ำหนักตัว น้ำหนักเพิ่ม ME โปรตนี แคลเซียม ฟอสฟอรสั
(กรมั )
(กิโลกรัม) (กิโลกรัมตอ่ วนั ) (เมกกะแคลอรี่) (กรัม) (กรัม) 8
11
0.4 6.4 413 18 13
10
100 0.6 7.0 505 25 12
14
0.8 7.6 593 31 11
13
0.4 8.7 490 19 15
12
150 0.6 9.5 583 25 14
16
0.8 10.3 671 31
0.4 10.7 560 20
200 0.6 11.8 656 26
0.8 12.8 745 32
0.4 12.7 628 21
250 0.6 14.0 727 27
0.8 15.2 837 32
ทม่ี า : ดดั แปลงจาก NRC (2001)
177
แบบทดสอบ
1. หน่วยของพลังงานทางโภชนศาสตร์สัตวม์ อี ะไรบ้าง
2. พลงั งานมีความสำคัญอย่างไรต่อสัตว์เลีย้ ง และโภชนะใดท่ีให้พลงั งาน
3. จงอธิบายลำดับสว่ นของพลงั งานในแต่ละขน้ั วา่ สตั วม์ กี ารสูญเสียพลงั งานในรปู แบบใดบ้าง
4. ค่าสัมประสิทธขิ์ องการใชพ้ ลงั งานท่ีใช้ประโยชนไ์ ด้ทไ่ี มเ่ ทา่ กันเปน็ เหตุมาจากอะไร
5. จงยกตวั อย่างระบบพลังงานทใ่ี ช้ในสุกร สตั ว์ปีก และโคนม มาอยา่ งละชนิด
6. จงอธิบายกลไกการควบคมุ การกนิ ได้ของสตั ว์กระเพาะเดยี่ ว
7. จงอธบิ ายกลไกการควบคมุ การกินได้ของสัตว์เคย้ี งเอ้ือง
8. จงอธบิ ายการแบ่งสว่ นของโภชนะตามการใชป้ ระโยชน์ของสตั ว์
9. ความเข้มข้นของโปรตนี มคี วามสัมพันธอ์ ย่างไรต่อปรมิ าณการกนิ ได้
10. หากสตั วไ์ ดร้ บั พลงั งานไมเ่ พยี งพอจะส่งผลตอ่ การใชป้ ระโยชน์ของโปรตีนอยา่ งไร
178
เอกสารอา้ งองิ
Blaxter, K.L., and Graham, N.M. 1955. Plane of nutrition and starch equivalents. The Journal of
Agricultural Science. 46(3):292-306.
Fuller, H.L., Dale, N.M., and Smith, C.F. 1983. Comparison of heat production of chickens
measured by energy balance and by gaseous exchange. The Journal of nutrition.
113(7): 1403-1408.
Garrett, W.N. 1980. Energy utilization by growing cattle as determined by 72 comparative
slaughter experiments. Energy Metab. Proc. Symp. 26:3–7.
McDonald, P., Edwards, R.A., Greenhalgh, J.F.D., Morgan, C. A., Sinclair, L.A., and Wilkinson, R.G.
2011. Animal Nutrition 7th edition. Pearson, England.
National Research Council. 1994. Nutrient Requirements of Poultry 9th Revised Edition.
National Academy Press, Washington D.C
National Research Council. 1996. Nutrient Requirements of Beef Cattle7th Revised Edition.
National Academy Press, Washington D.C.
National Research Council. 1998. Nutrient Requirements of Swine10th Revised Edition.
National. Academy Press, Washington D.C.
National Research Council. 2001. Nutrient Requirements of Dairy cattle7th Revised Edition.
National. Academy Press, Washington D.C.
179
วธิ สี อนและกจิ กรรม 1. การอภิปรายระหวา่ งกลุ่มนักศกึ ษาและอาจารย์
2. การบรรยาย ยกตัวอย่างประกอบ
สือ่ การสอน 3. ถามคำถามในหอ้ งเรยี น
งานทมี่ อบหมาย หนังสอื อา้ งอิง ลำดบั ที่ 1-8
การวัดผล เอกสารประกอบ หน่วยเรียนท่ี 4
วัสดุโสตโทรทศั น์ ส่ือการนำเสนอและเครอ่ื งฉายภาพน่งิ
ทำแบบฝึกหดั ท้ายบทเรียน
1. สังเกตความสนใจในห้องเรยี น
2. การตอบคำถามระหวา่ งเรียน
3. ตรวจแบบฝกึ หดั ทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย
4. การสอบย่อย
5. การสอบกลางภาค
180
สปั ดาห์ท่ี 16 ใบเตรยี มการสอน รหัสวชิ า
51-408-013-301
เวลา 3 คาบ หน่วยท่ี 5 การวเิ คราะห์คณุ ภาพอาหารสัตวแ์ ละการประกอบสตู รอาหาร
ชือ่ หนว่ ยเรยี น 5.1 การวิเคราะหค์ ณุ ภาพอาหารสตั ว์ 90 นาที
5.1.1 การวเิ คราะห์โดยประมาณ (Proximate analysis)
5.1.2 การวิเคราะหเ์ ย่อื ใยโดยสารฟอก (Detergent Fiber
Analysis)
5.2 การประกอบสูตรอาหาร 90 นาที
5.2.1 การพจิ ารณาเลอื กใชว้ ัตถดุ บิ อาหารสัตว์
5.2.2 รายละเอียดของวตั ถดุ บิ อาหารสัตว์เบื้องต้น
5.2.3 วธิ ีการคำนวณสูตรอาหารสัตวเ์ บอ้ื งต้น
จุดประสงค์การสอน
5.1 รู้หลักการวเิ คราะหค์ ุณภาพอาหารสัตว์
5.1.1 ทราบหลักการวิเคราะห์โดยประมาณ (Proximate analysis)
5.1.2 ทราบหลักการวเิ คราะหเ์ ยื่อใยโดยสารฟอก (Detergent Fiber Analysis)
5.2 เข้าใจวธิ ีการประกอบสูตรอาหาร
5.2.1 อธบิ ายวิธีการพจิ ารณาเลอื กใชว้ ัตถุดบิ อาหารสัตว์
5.2.2 ทราบรายละเอียดของวัตถุดิบอาหารสตั วเ์ บ้ืองต้น
5.2.3 สามารถคำนวณสตู รอาหารสตั วเ์ บ้อื งตน้ ได้
เนื้อหา
5.1 การวเิ คราะหค์ ณุ ภาพอาหารสัตว์
5.1.1 การวิเคราะหโ์ ดยประมาณ (Proximate analysis)
5.1.2 การวิเคราะหเ์ ยอ่ื ใยโดยสารฟอก (Detergent Fiber Analysis)
5.2 การประกอบสตู รอาหาร
5.2.1 การพิจารณาเลอื กใชว้ ัตถุดบิ อาหารสตั ว์
5.2.2 รายละเอยี ดของวัตถุดิบอาหารสตั ว์เบ้อื งตน้
5.2.3 วธิ ีการคำนวณสตู รอาหารสัตว์เบ้ืองตน้
181
หน่วยที่ 5
การวเิ คราะห์คุณภาพอาหารสัตว์และการประกอบสตู รอาหาร
5.1 การวิเคราะห์คณุ ภาพอาหารสตั ว์
5.1.1 การวเิ คราะห์โดยประมาณ (Proximate analysis)
เป็นวิธีการท่ีได้ความนิยมแพร่หลายและเป็นที่ยอมรับในทางวิชาการ เนื่องจากมีความสะดวกและมี
คา่ ใช้จ่ายทถ่ี กู เมอื่ เปรยี บเทียบกบั วิธอี น่ื วธิ ีการนสี้ ามารถแบง่ องคป์ ระกอบทางเคมขี องอาหารไดเ้ ป็น 6 ประเภท
ดงั น้ี
5.1.1.1 วัตถุแหง้ (Dry matter ; DM)
วัตถุแห้งหรอื ความช้ืนเป็นองค์ประกอบทางเคมแี รกของอาหารที่มีความจำเป็นต้องวเิ คราะห์ ซ่ึง
สามารถตรวจหาได้โดยนำอาหารไปอบในตู้อบลมรอ้ นท่ีอุณหภูมิ 100-105 องศาเซลเซียสแล้วทำการช่ังน้ำหนัก
เมื่อน้ำหนักคงที่น้ำหนักส่วนที่หายไปคือความชื้นที่มีอยู่ในอาหาร อย่างไรก็ตามวิธีนี้อาจจะใช้ไม่ได้ผลดีกับ
ตวั อยา่ งอาหารบางประเภท เชน่ ฟางหมัก หญ้าหมัก ทัง้ นี้เนอื่ งจากมีการสญู เสียของสารทร่ี ะเหยได้ที่รวมอยู่กับ
ความชื้น เช่น แอมโมเนีย กรดไขมันระเหยได้ เป็นต้น (ปราโมทย์ และคณะ 2561) สำหรับวัตถุดิบอาหารสัตว์
รวมถึงอาหารสัตว์นัน้ โดยทัว่ ไปแล้วจะตอ้ งมีระดับวามชื้นที่ไม่เกนิ 14 เปอร์เซ็นต์จึงจะสามารถเก็บรักษาไว้ได้
โดยไมม่ ีการขึน้ รา
5.1.1.2 เถ้า (Ash)
การวิเคราะห์เถ้าเป็นการวิเคราะห์หาแร่ธาตุรวมถึงส่วนทีเ่ ป็นทราย การวิเคราะห์เถ้าในอาหาร
สามารถทำได้โดยการนำตัวอย่างอาหารสัตว์ไปเผาท่ีอุณหภูมิ 550 – 600 องศาเซลเซียสในเตาเผา สารอินทรีย์
จะถูกเผาให้เป็นแก๊สส่วนที่เหลือจึงเรยี กว่า เถ้า ซึ่งเป็นตัวแทนของสารอนินทรีย์ที่มีอยู่ในอาหารโดยประมาณ
เนื่องจากอาหารบางชนิดในเถ้ายังมีส่วนประกอบที่เป็นแร่ธาตุ เช่น กำมะถัน ฟอสฟอรัส นอกจากนี้เถ้าของ
อาหารบางชนิดยังสามารถสญู เสียในระหว่างการเผา เช่น โซเดียม ฟอสฟอรัส กำมะถัน และโปแทสเซียม และ
ในเถ้ายังมีส่วนที่ไม่ใช่สารอนินทรีย์ เช่นทราย ดังนั้นเถ้าจึงเป็นเพียงส่วนที่เป็นสารอนินทรีย์ในอาหาร
โดยประมาณเท่านั้น (ปราโมทย์ และคณะ 2561) ซึ่งเมื่อนำเถ้าดังกล่าวมาทำการละลายในกรดสิ่งที่เกิดการ
ละลายจะเป็นพวกแร่ธาตุต่าง ๆ เป็นต้น ส่วนเถ้าที่ไม่สามารถละลายในกรดได้จะไม่มีการใช้ประโยชน์โดยตวั
สตั ว์ โดยสว่ นใหญจ่ ะเปน็ พวกทราย
182
5.1.1.3 โปรตนี หยาบ (Crude protein ; CP)
โดยทั่วไปแล้วหลังจากวิเคราะห์หาปริมาณวัตถุแห้ง และเถ้าแล้ว ก็มักจะวิเคราะห์หาโปรตีน
หยาบโดยสามารถคำนวณได้จากจำนวนไนโตรเจนที่วิเคราะห์ได้ ซึ่งวิธีที่นิยมใช้ในการวิเคราะห์หาไนโตรเจน
(nitrogen ; N) ไดแ้ ก่วธิ ี Kjeldahl method เปน็ วิธที ี่อาศยั การย่อยอาหารดว้ ยกรดซลั ฟูรคิ เขม้ ข้น สารประกอบ
โปรตีนรวมทั้งสารประกอบไนโตรเจนที่ไม่ใช่โปรตีนแท้ (non-protein nitrogen ; NPN) จะถูกเปลี่ยนเป็น
แอมโมเนียมซัลเฟต [(NH4)2SO4] แอมโมเนียมซัลเฟตทีเ่ กิดข้ึนจะถูกไล่ออกมาโดยการเติมด่างโซเดียมไฮดรอก
ไซด์ (NaOH) และจะถูกเก็บในกรดมาตรฐานในรูปของแอมโมเนียมไฮดรอกไซด์ (NH-OH) แล้วจึงนำกรด
ดังกล่าวไปไตเตรตด้วยด่างมาตรฐาน เพื่อหาจำนวนกรดทีท่ ำปฏิกิริยากับแอมโมเนีย แล้วคำนวณหาไนโตรเจน
ตอ่ ไป (ปราโมทย์ และคณะ 2561)
%Crude protein = %Nitrogen x 6.25
โดย 6.25 เป็นค่าโดยประมาณของวัตถุดิบอาหารสัตว์ทั่วไปจะมีไนโตรเจนประมาณ 16 เปอร์เซ็นต์
ดังนั้นโปรตีนที่ทำการวิเคราะห์อาจเป็นไนโตรเจนที่มาจากกรดอะมิโนหรือไม่ใช่กรดอะมิโนก็ได้ หากมีการ
ปนเปอ้ื นของงสารประกอบไนโตรเจนที่ไม่ใช่โปรตีนจำพวกยูเรียก็จะสง่ ผลให้ค่าท่ีทำการวิเคราะหม์ ีระดับที่สูงได้
เชน่ กัน
5.1.1.4 ไขมัน (Ether extract ; EE)
ไขมันในอาหารสัตว์สามารถวิเคราะห์หาได้โดยใช้อีเทอร์ (ether) เป็นตัวสกัด สารที่ได้จากการ
สกัด จะถูกนำไประเหยเอาส่วนที่เป็นอีเทอร์ออก สารที่เหลือเรียกว่า อีเทอร์เอกแทรคท์ (ether extract) ซึ่ง
ประกอบไปด้วยไขมันแท้และสารประกอบคล้ายไขมัน เช่น กรดไขมันอิสระ (free fatty acids) อัลกอฮอล์
(alcohol) แวกซ์ (waxes) และพวกเม็ดสีต่าง ๆ (pigments) ดังนั้น ether extract จึงเป็นตัวแทนของไขมัน
อยา่ งหยาบ ๆ
5.1.1.5 เยื่อใยหยาบ (Crude fiber)
การวิเคราะหห์ าเยอ่ื ใยหยาบในอาหาร ซึง่ เปน็ ตวั บง่ บอกถึงคุณภาพและการปลอมปนของวตั ถดุ ิบ
สำหรับอาหารสัตว์กระเพาะเดี่ยว เช่น การมีระดับเยื่อใยหยาบในระดับที่สูง แสดงให้เห็นว่ามีส่วนที่ สัตว์
กระเพาะเด่ียวใชป้ ระโยชน์ไม่ได้สงู แตส่ ำหรับสัตว์เค้ียวเออื้ งระดับเย่ือใยหยาบจะใช้ประโยชนไ์ ม่ได้มากนัก เย่ือ
ใยหยาบในอาหารสัตว์สามารถวิเคราะห์หาได้โดยการนำอาหารที่ได้สกัดไขมันออกแล้วมาต้มกับกรดและด่าง
อยา่ งอ่อน ซึ่งทำให้สารอนิ ทรยี ์ต่าง ๆ เชน่ โปรตนี แป้ง น้ำตาล และ คารโ์ บไฮเดรทบางอยา่ งละลายในกรดและ
ด่าง ส่วนสารอินทรยี ์ท่ีเหลือจากการสกดั เรยี กว่าเยอื่ ใยหยาบ (crude fiber) ซง่ึ ส่วนใหญป่ ระกอบด้วยเซลลูโลส
(cellulose) เฮมเิ ซลลโู ลส (hemicellulose) และ ลิกนิน (lignin) (ปราโมทย์ และคณะ 2561)
183
เมื่อทำการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคทีครบทั้ง 5 รายการแล้วจะสามารถนำค่าที่ได้มาคำนวณหา
ปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยง่าย (Nitrogen free extract, NFE) ซึ่งเป็นส่วนที่หมายถึงแป้งและองค์ประกอบ
ของเซลล์สามารถทำการคำนวณได้จาก
%NFE = 100 – (%ความช้ืน + %เถ้า + %โปรตีนหยาบ + %ไขมัน + %เย่อื ใยหยาบ)
แผนภาพท่ี 5.1 การวิเคราะหอ์ าหารสตั ว์โดยวธิ ีการ Proximate analysis
ทมี่ า : เยาวมาลย์ และสาโรช (2521)
184
5.1.2 การวเิ คราะห์เย่ือใยโดยสารฟอก (Detergent Fiber Analysis)
การวิเคราะห์เยื่อใยหยาบ (crude fiber ; CF) ตามวิธีการวิเคราะห์แบบประมาณ (proximate
analysis) จะให้ผลการวิเคราะห์องคป์ ระกอบของคารโ์ บไฮเดรตหรอื เยอื่ ใยไม่ถูกตอ้ งแนน่ อนเทา่ ท่ีควร เนอื่ งจาก
ในระหว่างขั้นตอนการย่อยเพื่อวิเคราะห์หาเยื่อใยหยาบ เยื่อใยบางส่วนเกิดการละลายออกไป โดยเฉพาะเฮมิ
เซลลูโลส (hemicellulose) และลิกนิน (lignin) ทำให้มีผลการวิเคราะห์เกิดข้อผิดพลาดและสามารถนำข้อมูล
เยอ่ื ใยหยาบนำมาใชใ้ นทางโภชนศาสตร์สตั ว์เค้ียวเออ้ื งได้จำกัด ดังนน้ั ในปี ค.ศ. 1960, Dr. P.J Van Soest แหง่
สถาบันวิจัยและส่งเสริมการเกษตร เมืองเบลท์สวิลล์ มลรัฐแมรี่แลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ทำการพัฒนา
เทคนิคใหม่ในการวิเคราะหห์ าส่วนประกอบต่าง ๆ ของเยื่อใยให้ละเอียดยิ่งขึ้น เรียกระบบการวิเคราะห์เยือ่ ใย
โดยใช้สารฟอก (detergent fiber analysis) การวิเคราะห์โดยใช้สารฟอกสามารถแยกส่วนประกอบของเซลล์
ออกเป็น 2 องคป์ ระกอบ คอื 1) องคป์ ระกอบภายในเซลล์ (cell contents) ซ่งึ เปน็ สว่ นท่สี ามารถย่อยสลายได้
งา่ ยโดยน้ำยอ่ ยในตวั สัตว์ องคป์ ระกอบสว่ นนี้ประกอบด้วย แป้ง น้ำตาล โปรตีนท่ีละลายไดง้ า่ ย ไขมัน และอ่ืน ๆ
2) องคป์ ระกอบส่วนทีเ่ ป็นเยื่อใยหรอื ผนงั เซลล์ (cell wall) เปน็ ส่วนที่ทำหน้าทเี่ ป็นโครงสรา้ งของพืช โดยทั่วไป
มีความสามารถในการย่อยได้ต่ำส่วนประกอบท่ีสำคญั คอื เซลลโู ลส เฮมเิ ซลลโู ลส ลิกนินและโปรตีนท่ีไม่ละลาย
(insoluble protein) ซึ่งถูกยึดอยู่ภายในผนังเซลล์ (บางครั้งเรียก NDF-protein) โดยขั้นตอนการวิเคราะห์
เยื่อใยวิธีนี้อาศัยการต้มตัวอย่างในสารฟอกที่มีฤทธิ์เป็นกลาง ซึ่งส่วนประกอบภายในเซลล์จะถูกย่อยละลาย
ออกมาอยู่ในสารละลาย ขณะที่ส่วนที่เป็นเยื่อใย (ผนังเซลล์หรือ cell wall) จะไม่สามารถละลายได้ ซึ่งเรียก
ส่วนนี้ว่าเยื่อใยที่ไม่ละลายในสารฟอกที่เป็นกลาง (neutral detergent fiber ; NDF) จะสังเกตเห็นได้ว่าการ
วเิ คราะห์เย่อื ใยโดยวิธนี ี้จะให้ผลที่ถกู ต้องแมน่ ยำมากกว่าเม่ือเปรยี บเทียบกับการวเิ คราะห์หาเย่ือใยหยาบ (CF)
ทีเ่ กดิ การยอ่ ยสลายส่วนท่เี ป็นเฮมเิ ซลลูโลสออกมาดว้ ยในระหวา่ งการต้มด้วยกรด (ปราโมทย์ และคณะ 2561)
ตารางท่ี 5.1 องค์ประกอบทางเคมีของเยอื่ ในในผนงั เซลล์พืช
องค์ประกอบ ลกั ษณะ
ลกิ นิน เปน็ องคป์ ระกอบของโครงสร้างทำให้ลำต้นของพืชมีความแข็งแรง มมี ากเมอื่ พชื อายุมาก
เซลลูโลส และ เป็นองค์ประกอบหลักของพืชไม่สามารถย่อยได้ในตัวสัตว์แต่ย่อยได้โดยจุลินทรีย์แต่
เฮมเิ ซลลโู ลส ความสามารถในการย่อยได้จะขึ้นอยู่กบั ลกิ นินทีอ่ ยู่ในพืช
เพคติน เปน็ สารเชอื่ มผนังเซลล์ของพืช สามารถย่อยไดง้ ่ายและเรว็
คิวตนิ ประกอบด้วยขี้ผ้ึงย่อยยากกว่าเซลลโู ลสและเฮมเิ ซลลูโลส
ซลิ กิ า้ ทำหน้าทีใ่ นการยดึ แรธ่ าตุต่าง ๆ ในพชื อาหารสัตวท์ ำให้จุลนิ ทรยี ์ใชป้ ระโยชน์ได้ยาก
ทมี่ า : ดดั แปลงจาก กฤตพล (2543)
185
ดงั นนั้ การวเิ คราะห์ตามวิธกี ารของ Van Soest จึงไดร้ ับความนยิ มอย่างแพรห่ ลาย และไดร้ บั การพัฒนา
เทคนิคในการวิเคราะห์เพิ่มเติมที่เรียกว่า Acid Detergent Fiber (ADF) ซึ่งจะทำให้เกิดการย่อยสลายเยื่อใย
จาก NDF ออกคอื hemicellulose ซงึ่ ละลายในสารฟอกที่เป็นกรด และสว่ นที่ยงั เหลอื ไม่ละลายได้แก่ โปรตีน
เซลลูโลส ลิกนิน และ bound nitrogen หลังจากนั้นเราก็สามารถทราบปริมาณลิกนินใน ADF โดยการใช้
กรดซัลฟูริก (H2SO4) ละลายเซลลูโลสออกจากลิกนินหรือใช้สารประกอบเปอร์แมงกาเนตในการ oxidation
เพื่อสลายลิกนินจาก ADF ปริมาณลิกนินในอาหารมีความสำคัญมากในด้านอาหารสัตว์ ทั้งนี้เนื่องจากเป็น
องคป์ ระกอบในพชื ทมี่ ีอทิ ธหิ ลักต่อการยอ่ ยได้ของพชื อาหารสัตว์ ซ่งึ ลกิ นนิ จะมีการสะสมในพชื เพมิ่ สงู ขึ้นเม่ือพืช
อาหารสตั ว์หรือหญา้ เลย้ี งสตั ว์มีอายสุ ูงขนึ้ (ปราโมทย์ และคณะ 2561)
ตารางท่ี 5.2 การแปลความหมายของการวเิ คราะห์เยอื่ ใยโดยใชส้ ารฟอก
องคป์ ระกอบ ความหมาย
NDF ปริมาณของ cellulose + hemicellulose + lignin
ADF ปริมาณของ cellulose + lignin
ADL ปรมิ าณของ lignin อาจมี cutin ผสมบ้างเล็กน้อย
AIA ค่าประมาณของซิลิก้า
NDF-ADF ปริมาณของ hemicellulose
ADF-ADL ปรมิ าณของ cellulose
ท่ีมา : ดดั แปลงจาก กฤตพล (2543)
5.1.2.1 เยื่อใยทไ่ี มล่ ะลายในสารเป็นกลาง (Neutral detergent fiber ; NDF)
NDF คือส่วนที่เหลือจากการนำตัวอย่างพืชอาหารสัตว์ไปย่อยด้วยสารละลาย neutral detergent
โดยทส่ี ารละลายจะทำปฏิกริ ิยาโดยละลาย pectin และโภชนะในส่วนที่ย่อยได้ง่ายในเซลลอ์ อก ซึ่งได้แก่ โปรตนี
น้ำตาลและไขมัน ส่วนของพืชที่ไม่ละลายในสารละลายนี้ คือ ส่วนของผนังเซลล์พืช (ประกอบด้วย
hemicellulose, cellulose และ lignin) ซึ่งเป็นส่วนที่คนหรือสัตว์กระเพาะเดี่ยวไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้
ส่วนสัตว์เค้ียวเอื้องต้องอาศัยจุลินทรีย์ในกระเพาะหมักย่อย cellulose และ hemicellulose จึงสามารถ
นำไปใช้ประโยชน์ได้ ในการทำปฏิกิริยาสาร detergent จะเป็นตัวละลายโปรตีน ส่วน sodium sulfite ใช้ใน
การขจัดสารประกอบไนโตรเจน และ EDTA ทำหน้าที่จับแคลเซียมให้อยูใ่ นรูปของ chelate และขจัด pectin
ส่วนของเซลล์พชื ทล่ี ะลายในสารละลาย neutral detergent เรียกว่า neutral detergent soluble (NDS) ซงึ่
เปน็ สว่ นท่สี ัตว์ทกุ ชนิดสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
186
5.1.2.2 เย่อื ใยทีไ่ มล่ ะลายในสารเปน็ กรด (Acid detergent fiber ; ADF)
ADF คือ สว่ นทีเ่ หลอื จากการนำตวั อย่างพืชอาหารสัตวไ์ ปยอ่ ยด้วยสารละลาย acid detergent
โดยจะทำหน้าที่สะสายสารในเซลล์ที่ละลายได้ รวมท้ัง hemicellulose และแร่ธาตุ ส่วนของพืชที่ไม่ละลายใน
สารละลายน้ี คือ ส่วนของ cellulose และ lignin
5.1.2.3 ลกิ นนิ (Acid detergent lignin ; ADL)
ADL คือส่วนที่เหลือจากการนำเอา Acid detergent fiber (ADF) ไปย่อยต่อด้วยกรดซัลฟูริก
เข้มข้น 72 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือน้ีประกอบด้วยลิกนิน (lignin) และเถ้าที่ไม่ละลายในกรด (acid insoluble
ash ; AIA) เมื่อนำส่วนนี้ไปเผาที่อุณหภูมิ 550 องศาเซลเซียส นาน 2 ชั่วโมงลิกนินจะถูกเผาหมดไปเหลือแต่
AIA
การวิเคราะห์ NDF จะส่งผลให้สามารถนำค่า NDF มาคำนวณหาปริมาณของคาร์โบไฮเดรตที่ไม่ใช่
เย่อื ในได้ (Non-fiber carbohydrate ; NFC) ได้ดังน้ี
%NFC = 100 – (%ความชื้น + %เถ้า + %โปรตีนหยาบ + %ไขมัน + %เย่อื ใยทไ่ี ม่ละลายในสารเป็นกลาง)
5.2 การประกอบสูตรอาหาร
การประกอบสูตรอาหารสำหรับสัตว์นั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สารอาหารที่อยู่ในอาหารสัตว์นั้น ๆ มี
ความสมดุลของสารอาหารตามความต้องการของสัตว์ไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งที่สัตว์ได้รับมีปริมาณที่ เกินความ
ต้องการของสตั วใ์ นแตล่ ะชนิดและแตล่ ะช่วงของอายสุ ตั วร์ วมถึงระดบั ของประสิทธิภาพการผลติ ยกตัวอย่างเช่น
การประกอบสตู รอาหารสำหรบั สุกรอมุ้ ทอ้ งท่ีมนี ำ้ หนกั ตวั เฉล่ีย 125 กิโลกรมั มปี ริมาณน้ำหนกั ตัวท่ีเพิ่มขึ้น 55
กิโลกรมั จำนวนลูกตอ่ ครอก 11 ตวั โดยประมาณการกินได้ของสตั วอ์ ยู่ที่ 1.96 กโิ ลกรัมต่อวัน การประกอบสูตร
อาหารควรมีความเข้มข้นของโภชนะเท่ากบั 12 เปอร์เซน็ ต์โปรตนี มีพลงั งานทใ่ี ช้ประโยชน์ได้ 3,265 กิโลแคลอ
รตี่ ่อกโิ ลกรมั หากสูตรอาหารทปี่ ระกอบขน้ึ มีระดับความเขม้ ข้นของโปรตีนที่ตำ่ จะสง่ ผลตอ่ ปรมิ าณโปรตีนท่ีสุกร
ได้รับมีปรมิ าณที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ อาจเป็นเหตุให้จำเปน็ ต้องเพิม่ ปริมาณอาหารเพื่อให้สุกรชนดิ นัน้
ได้รับโปรตีนตามความตอ้ งการและเป็นเหตใุ หป้ ริมาณพลังงานทใี่ ช้ประโยชนไ์ ด้ท่สี กุ รได้รบั เกินกว่าความต้องการ
ของรา่ งกาย นอกเหนือจากน้นั ปรมิ าณพลังงานที่ใชป้ ระโยชนไ์ ดท้ ่ีสกุ รได้รบั จะมเี หตโุ น้มน้าวไปสู่การหยดุ กินของ
สตั ว์เน่อื งจากปริมาณพลังงานมรี ะดบั ท่ีเพยี งพอต่อความตอ้ งการ ในทางกลับกันหากมกี ารประกอบสูตรอาหารท่ี
มีความเข้มข้นของโปรตีนในปริมาณที่สูงกว่าสัดส่วนของพลังงานเมื่ออาหารดังกล่าวได้ถูกนำมาให้แก่สุกรใน
ปรมิ าณทก่ี ำหนดจะสง่ ผลใหป้ ริมาณพลังงานที่ใช้ประโยชน์ได้สำหรับสกุ รอ้มุ ท้องมปี รมิ าณที่ไม่เพียงพอต่อความ
ต้องการและเมื่อเพ่ิมปริมาณอาหารให้สุกรเพิ่มขึน้ เพื่อให้สุกรไดร้ ับพลังงานทีใ่ ช้ประโยชนไ์ ดท้ ีเ่ พียงพอจะส่งผล
ต่อระดับของโปรตีนที่เกินความต้องการ โปรตีนที่เกินส่วนนี้จะถูกสลายเป็นพลังงานและไม่มีการสะสมใน
187
ร่างกายของสัตว์ ซ่ึงโปรตีนจดั เปน็ แหลง่ ของโภชนะทีม่ ีราคาแพงหากนำมาใช้ทเี่ กินความต้องการก็ไม่ก่อให้เกิด
ประโยชน์กับสัตว์ที่เพิ่มขึ้นเพียงอย่างใด อีกทั้งทำให้ต้นทุนการเลี้ยงสัตว์มีต้นทุนที่สูงขึ้นได้ ดังนั้นหลักในการ
ประกอบสูตรอาหารที่สำคญั คือจำเป็นจะต้องให้สารอาหารมีความสมดุลของสารอาหารตามความต้องการของ
สตั ว์
5.2.1 การพิจารณาเลอื กใชว้ ตั ถดุ บิ อาหารสตั ว์
นอกเหนือจากการประกอบสูตรอาหารท่ีจะต้องพิจารณาให้สารอาหารมีความสมดุลของสารอาหาร
แล้วในหลักของการผลิตเชงิ อตุ สาหกรรมการประกอบสตู รอาหารจะต้องมีราคาทเ่ี หมาะสมตอ่ การนำไปใชใ้ นการ
เลย้ี งสตั ว์อีกด้วยเน่อื งจากต้นทนุ ค่าอาหารสัตว์เปน็ ตน้ ทนุ หลักในอุตสาหกรรมการผลิตสัตว์ ซ่ึงต้นทุนค่าอาหาร
สัตว์จะแปรผันตามราคาของวัตถุดิบอาหารสัตว์ โดยวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่เลือกใช้ควรหาง่ายและมีปริมาณใน
พนื้ ท่ที ีด่ ำเนนิ การผลิตอาหารและควรเน้นเปน็ วัตถุดิบอาหารให้พลงั งานท่ีมาจากคาร์โบไฮเดรตเน่ืองจากจะต้อง
ใช้ในปริมาณมากในสูตรอาหาร อย่างไรก็ตามหากในพื้นที่ไม่มีวัตถุดิบอาหารให้พิจารณาเลือกใช้วัตถุดิบนอก
พ้ืนที่ที่ราคาไม่สงู เชน่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยมีการเพาะปลูกมนั สำปะหลังและปลูกข้าวเป็น
จำนวนมาก (กรมปศุสัตว์, 2559) หากราคาของข้าวโพดมีราคาที่สูงอาจพิจารณาเลือกใช้วัตถุที่ได้จากมัน
สำปะหลังและข้าวเช่นปลายข้าวได้เป็นต้น ซึ่งวัตถุดิบอาหารสัตว์เองนั้นมีความผันผวนของราคาตามฤดูกาล
ตามสภาวะเศรษฐกิจของโลก และนโยบายของภาครัฐ และอาจใช้วิธีการในการเปรียบเทียบราคาโดยใช้ค่า
โภชนะเป็นหลกั เกณฑใ์ นการเปรยี บเทยี บ
ตัวอยา่ ง หากตอ้ งการเปรียบเทียบราคาตอ่ ค่าโภชนะของวตั ถุดิบแหล่งของโปรตนี 3 ชนิดซง่ึ ได้แก่ ปลาป่น กาก
ถั่วเหลือง และกากข้าวโพดเอทานอล (DDGS) ซึ่งค่าโภชนะของปลาป่นพบว่ามีโปรตีน 60 เปอร์เซ็นต์ กากถ่ัว
เหลืองมีโปรตีน 44 เปอร์เซน็ ต์ และส่าขา้ วโพดเอทานอลมโี ปรตีน 30 เปอร์เซน็ ต์ โดยมีราคาต่อกิโลกรัมอยทู่ ่ี 30
บาท 16 บาท และ 12 บาท ตามลำดบั การเปรยี บเทยี บราคาต่อหนว่ ยโปรตีนจะสามารถบอกได้วา่ วัตถุดิบชนิด
ใดเหมาะสมต่อการนำมาเลอื กใช้เปน็ แหลง่ ของโปรตนี ได้ในเบ้อื งตน้ โดยสามารถคำนวณได้ดังตารางท่ี 5.3
ตารางท่ี 5.3 วธิ กี ารเปรียบเทยี บต้นทุนต่อหนว่ ยโปรตีนของวตั ถุดบิ อาหารสตั ว์
วตั ถดุ ิบอาหาร ราคา (บาท) เปอรเ์ ซ็นต์โปรตีน ราคาตอ่ เปอรเ์ ซ็นตโ์ ปรตนี
ปลาป่น 30 60 30/60 = 0.50 บาทต่อเปอร์เซ็นต์โปรตีน
กากถว่ั เหลือง 16 44 16/44 = 0.36 บาทตอ่ เปอร์เซน็ ต์โปรตนี
กากข้าวโพดเอทานอล 12 30 12/30 = 0.40 บาทตอ่ เปอรเ์ ซน็ ต์โปรตนี
จากตารางดังกล่าวเมื่อพิจารณาราคาต่อหน่วยโปรตีนพบวา่ กากถั่วเหลืองมีราคาต่อหน่วยโปรตีนทีถ่ ูก
ที่สุด รองลงมาคือส่าข้าวโพดเอทานอล และปลาป่นตามลำดับ อย่างไรก็ตามวิธีการพิจารณาอย่างน้ีเป็นเพียง
188
การพจิ ารณาเบ้อื งตน้ เท่าน้ันเพราะยังไดพ้ ิจารณาถึงคณุ ภาพของโปรตีนซึ่งสามารถพจิ ารณาไดจ้ ากกรดอะมิโนใน
วัตถุดบิ อาหารสัตว์ แตก่ เ็ ปน็ หลกั การพิจารณาอยา่ งครา่ ว ๆ หากวตั ถดุ ิบนั้นมีความคล้ายคลึงกนั ของค่าโภชนะ
การพิจารณาเลอื กใช้วตั ถดุ ิบอาหารสัตว์จึงเปน็ เหตุสำคญั ในการประกอบสูตรอาหารด้วย ซงึ่ ผปู้ ระกอบ
สูตรอาหารจำเป็นท่จี ะต้องทราบขีดจำกดั ในวัตถุดิบแต่ละชนิด ยกตวั อยา่ งเชน่ การใชร้ ำขา้ วในอาหารสัตว์หากใช้
ในปริมาณที่สูงจะส่งผลต่อการขับถ่ายของสัตว์ทำให้สัตว์ถ่ายเหลวเนื่องจากรำข้าวมีคุณสมบัติในการเป็นยา
ระบาย หรอื การใชป้ ลาปน่ ในสูตรอาหารของไกเ่ น้ือที่เกนิ ระดับ 5 เปอรเ์ ซ็นตจ์ ะส่งผลตอ่ ความเป็นพษิ ต่อตัวสัตว์
เนื่องจากมีประมาณความเค็มและแคลเซียมทีส่ ูงเป็นต้น อีกทั้งวัตถุดิบที่เลือกใช้ไม่ควรส่งผลต่อประสิทธภิ าพ
การผลิตหรอื เป็นสาเหตุท่ีทำให้กำลงั การผลิตลดลงและส่งผลต่อต้นทนุ คา่ ผลิตอาหารสตั ว์ท่ีสูงขึ้นเช่นในอาหาร
สูตร A เมื่อดำเนินการผลิตจำนวน 6 ชั่วโมงต่อวันสามารถผลิตอาหารสัตว์ได้ในปริมาณ 12 ตันต่อวันแต่เม่ือ
เปล่ียนวัตถุดิบอาหารบางชนิดพบว่ากำลงั การผลติ ลดลงเหลอื เพียง 6 ตนั ต่อวันเป็นต้น
นอกเหนือจากเร่อื งของโภชนะ ราคา และประสทิ ธิภาพการผลิตแล้วการให้ความสำคญั ต่อลักษณะทาง
กายภาพของวตั ถุดิบเปน็ อีกปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อคุณภาพอาหารสัตว์ ซึ่งแมว้ ่าเราจะสามารถประกอบสตู ร
อาหารได้ดีเพียงใดแต่พบว่าสัตว์มีความชอบในอาหารนั้นที่ต่ำทำให้มีการกินได้ของสัตว์ไม่เป็นไปตามความ
คาดหวงั ถอื ว่าเปน็ ความล้มเหลวของการประกอบสูตรอาหารสัตว์อย่างมาก ซ่ึงปัจจัยหลกั ๆ จะมาจากลักษณะ
ทางกายภาพของวัตถุดิบอาหารสัตว์รวมถึงอาหารสัตว์ด้วยเช่น ความน่ากินของวัตถุดิบอาหารสัตว์
ความสามารถในการให้กินของสัตว์ หากผปู้ ระกอบสตู รอาหารมีความเข้าใจต่อความน่ากนิ ต่อสัตว์ในแต่ละชนิด
จะเป็นเรื่องที่ง่ายในการประกอบสูตรอาหารให้สัตว์มีความชอบในตัวอาหารที่ประกอบสูตรขึ้นได้อย่าง มาก
ปจั จยั ของความนา่ กินหลกั จะมาจากกลนิ่ (Flavor) สี (Color) และรสชาติ (Taste) อย่างไรก็ตามหากไม่สามารถ
หาวตั ถดุ บิ ที่โน้มนา้ วต่อการกินของสัตวไ์ ดก้ ารใช้สารแตง่ กลน่ิ ก็สามารถชว่ ยในประการนีไ้ ดแ้ ต่ต้นทุนอาหารสัตว์
ก็สูงขึ้นเช่นกัน ความหนืดความเหนียวของวัตถุดิบอาหารสัตว์เองเช่นกันที่ส่งผลต่อการกินได้ของสัตว์หาก
วัตถดุ บิ อาหารสัตว์มคี วามหนืดและเหนียวมากความยากในการกนิ ของสัตว์ ขนาดช้นิ ของอาหารสัตวต์ อ้ งมีความ
เหมาะสมกับชนิดของสัตว์ ช่วงอายุสัตว์อีกด้วย และยังมีปัจจัยทางด้านความฟ่ามและความหนาแน่น (Bulk
density) ของวัตถุดิบอาหารสัตว์อีกประการที่ส่งผลต่อการกินได้ของสัตว์หากอาหารสัตว์มีความฟ่ามสูงจะมี
ความหนาแน่นต่ำสัตว์จะมีการกินได้ที่ลดลงเพราะสัตว์เกิดความอิ่มเนื่องจากอาหารที่กินเต็มความจุของ
กระเพาะอาหารเป็นตน้
จากรายละเอยี ดในขา้ งต้นจึงสามารถสรปุ ไดว้ า่ ปัจจยั ที่ควรทราบเมือ่ ทำการประกอบสตู รอาหารจะต้อง
ทราบรายละเอียดดังต่อไปน้ี
189
1. ความตอ้ งการโภชนะของสตั ว์แตล่ ะชนิด แตล่ ะชว่ ง และสถานการณ์ใหผ้ ลผลติ ของสัตว์
2. องค์ประกอบทางเคมีและโภชนะของวัตถุดบิ อาหารสัตว์
3. ลักษณะทางกายภาพและทางชวี ภาพของวตั ถุดบิ อาหารสัตว์
4. ราคาของวตั ถดุ บิ อาหารสัตวแ์ ละส่ิงที่จะใชแ้ ทนกันได้
5. ข้อจำกดั ในการใชว้ ัตถดุ ิบอาหารสัตว์แต่ละชนดิ
5.2.2 รายละเอียดของวัตถุดิบอาหารสัตวเ์ บอื้ งต้น
5.2.2.1 วัตถดุ ิบอาหารสัตว์กลุม่ ให้พลังงาน
1) หัวมันสำปะหลงั (Cassava root)
มันสำปะหลังเป็นพืชหวั ทน่ี ิยมปลูกกนั มากนอกจากใช้เลีย้ งสตั ว์ภายในประเทศแล้วยังมีเหลือพอสำหรับ
ส่ง ออกไปขายยงั ต่างประเทศเป็นจำนวนมาก มันสำปะหลังทีน่ ำมาใช้เลี้ยงสัตว์โดยทวั่ ไปจะอยู่ในรปู ของมันเส้น
(Cassava ship) ซงึ่ ทำได้โดยการนำหวั มันสำปะหลังสดมาหนั่ เปน็ ช้ินเล็ก ๆ แลว้ ผ่งึ แดดใหแ้ ห้งประมาณ 3-5 วนั
ส่วนมันสำปะหลังที่ส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศนั้นมักจะอยู่ในรูปของมันอัดเม็ด โดยมันสำปะหลังจะมี
โปรตนี ประมาณ 2 เปอรเ์ ซน็ ต์ อยา่ งไรก็ตามไมส่ ามารถใชม้ ันสำปะหลงั สดเล้ียงสตั วเ์ นื่องจากมีสารพษิ กรดไฮโดร
ไซยานิคต้องนำไปผ่านกระบวนการลดสารพิษลงก่อนโดยการตากแห้งหรือการหมักและต้องต้องเสริมโปรตีน
คุณภาพดีในสูตรอาหารมันเส้นสูงเนื่องจากมันเส้นมีระดับโปรตีนต่ำ ทำให้ราคาอาหารผสมสูงขึ้นด้วยซึ่งเป็น
เหตผุ ลหน่งึ ทีท่ ำให้เกษตรกรไม่ค่อยนิยมใชม้ ันสำปะหลังยกเวน้ ในช่วงทมี่ รี าคาถกู มาก มันเสน้ หรือมันหมักยังคง
มีสารพิษหลงเหลืออยไู่ ม่ควรใช้เกนิ 20 เปอร์เซ็นต์ในสตู รอาหารสุกรเลก็ และลูกไก่เล็ก การใชต้ อ้ งบดให้ละเอียด
ก่อนนำไปผสมอาหารเลี้ยงสัตว์ สูตรอาหารที่ใช้มันเส้นบดจะมีความเป็นฝุ่นมาก ควรเสริมไขมันในระดับ 1-3
เปอร์เซ็นตห์ รืออาจจะใชว้ ิธีการอัดเมด็ อาหารก็เปน็ ได้
2) เมล็ดข้าวโพด (Corn, Maize)
เมลด็ ขา้ วโพดเป็นแหล่งพลงั งานที่สำคญั ในอาหารสัตวป์ ีกและสกุ รใหพ้ ลังงานสูงมพี ลงั งานใช้ประโยชน์
ได้ในสุกรและสัตว์ปีกเท่ากับ 3,168 และ 3,370 กิโลแคลอรี่ต่อกิโลกรัม มีโปรตีนต่ำประมาณ 8-9 เปอร์เซ็นต์
และมีกรดอะมิโนไลซีน ทริฟโตเฟนและเมทไธไอนีนต่ำ มักนิยมใช้ในอาหารไก่เป็นอย่างมากเพราะนอกจะเป็น
แหลง่ ให้พลงั งานแลว้ ในขา้ วโพดเมลด็ สเี หลืองยงั มแี คโรทนี ซง่ึ ช่วยทำใหส้ ขี องเนื้อไกแ่ ละไข่แดงเข้มข้ึนตามความ
นิยมของผบู้ ริโภคอีกดว้ ย โดยทวั่ ไปสามารถใช้ข้าวโพดเลีย้ งสกุ ร หรอื สัตว์ปกี โดยไมม่ ีขอ้ จำกัดแต่ในสุกรขุนการ
ใชข้ า้ วโพดในระดับสงู อาจทำใหส้ ุกรมีลกั ษณะมันเหลวซึ่งไม่เป็นท่ีต้องการของตลาดนอกจากนี้จะต้องระมดั ระวัง
เลอื กใชข้ ้าวโพดทีม่ ีคุณภาพดี ไม่มรี าขนึ้ โดยเฉพาะใช้เป็นอาหารเป็ด เพราะเปด็ มีความทนทานต่อสารพิษอะฟ
190
ลาทอกซินได้ค่อนข้างต่ำ การใช้ควรบดเมล็ดข้าวโพดให้ละเอียดก่อนนำไปผสมเป็นอาหารสัตว์เพราะสัตว์ไม่
สามารถย่อยเมลด็ ข้าวโพดทัง้ เมลด็ ได้
3) ปลายข้าว (Broken rice)
ปลายข้าวเป็นผลพลอยได้จากการสขี ้าวซึ่งจะได้สว่ นของปลายข้าว จัดได้ว่าเป็นวัตถุดิบให้พลังงานทีม่ ี
ความสำคัญและมีอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศไทยให้พลังงานสูงมีพลังงานใช้ประโยชน์ได้ในสุกรและสัตว์ปีก
เท่ากับ 3,596 และ 3,500 กโิ ลแคลอรี่ต่อกโิ ลกรัม ปลายข้าวทัว่ ไปมโี ปรตีนประมาณ 8 เปอรเ์ ซน็ ต์ มีไขมันและ
เยื่อใยต่ำ ส่วนประกอบของปลายข้าวจะประกอบด้วยเศษข้าวที่หักและส่วนของจมูกข้าว ปลายข้าวเหนียวมี
คุณค่าทางอาหารใกล้เคียงกับปลายข้าวเจ้า แต่ถ้าใช้ปลายข้าวเหนยี วต้องใช้ควบคู่กับวัตถุดบิ ที่มีเยื่อใยสูง เชน่
รำละเอยี ดเพ่มิ ลงไปในสตู รอาหารจะช่วยแก้ปญั หาเรื่องท้องผูกไดส้ ำหรับปลายขา้ วน่งึ ซงึ่ มีคุณค่าทางทางอาหาร
เช่นเดียวกับปลายข้าวธรรมดา แต่สัตว์สามารถย่อยได้ดีกว่าเพราะแป้งผ่านการนึ่งให้สุกแล้ว อย่างไรก็ตามใน
การเลือกใชป้ ลายข้าวทุกชนิดควรหลีกเล่ยี งการใช้ปลายขา้ วเก่าทม่ี ีมอดข้นึ และไม่ควรมีแกลบหรือดอกหญ้าปน
มา
4) รำละเอยี ด (Rice bran)
เป็นผลพลอยได้จากการสีข้าวเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ชนิดหนึ่งที่ใช้กันมากในการประกอบสูตรอาหาร
สกุ รหรือสัตวป์ กี มีโปรตีนประมาณ 12 เปอร์เซ็นต์ แตถ่ ้าเปน็ รำที่ไดจ้ ากโรงสีขนาดกลางจะมีโปรตีนต่ำประมาณ
7 เปอรเ์ ซน็ ต์ เน่ืองจากมีส่วนของแกลบปนอยู่มาก แต่เนื่องจากมีไขมันสงู ถึง 12-13 เปอรเ์ ซ็นตท์ ำให้หนื ง่ายเก็บ
ไว้ไม่ได้นานจึงไม่ควรเก็บรำละเอียดไว้นานเกิน 30-40 วัน เพราะรำละเอียดจะเริ่มหืนสัตว์ไม่ชอบกิน
นอกเหนอื จากนน้ั รำมีคุณสมบัติเป็นยาระบายถา้ ใช้เปน็ ส่วนประกอบในสูตรอาหารสัตว์ในปริมาณท่ีสูงจะทำให้
สัตว์ถ่ายอุจจาระเหลวและไม่ควรใช้ในสุกรวัยอ่อนเพราะรำมีเยื่อใยอยู่ปริมาณที่สูงจะส่งผลต่อการย่อยอาหาร
ของสุกรไดเ้ ป็นต้น
5) ข้าวฟ่าง (Sorghum)
เปน็ วัตถุดิบที่สามารถนำมาใช้ทดแทนข้าวโพดหรือปลายข้าวไดใ้ นสูตรอาหารสัตว์ เน่อื งจากมีโภชนะที่
ใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตามเมื่อทำการเปรียบเทียบระหว่างข้าวโพดและข้าวฟ่างจะพบว่าข้าวฟ่างมีปริมาณ
กรดอะมิโนทจ่ี ำเป็นน้อยกว่าข้าวโพดแตม่ โี ปรตีนสงู กว่าข้าวโพดคือ 11 เปอรเ์ ซน็ ต์ ดงั นนั้ การใช้ข้าวฟ่างในสูตร
อาหารสัตว์กระเพาะเดีย่ วจะเหมาะสมกบั การใช้ร่วมกับแหลง่ ของกรดอะมิโนทีด่ ีเช่นปลาป่นหรอื กากถั่วเหลอื ง
เป็นต้น ข้อจำกัดในการใชป้ ระโยชน์จากข้าวฟา่ งคือในข้าวฟ่างมสี ารจำพวกแทนนิน (Tannin) ซึ่งเป็นสารตา้ น
โภชนะชนิดหนึ่ง (Anti nutritional factor) หากได้รับปริมาณมากจะส่งผลให้สัตว์มีปริมาณการกินได้ที่ลดลง
จากการย่อยได้ท่ชี า้ ส่งผลให้สัตวม์ กี ารเจรญิ เติบโตท่ีช้าลงด้วย นอกเหนือจากน้ันยงั พบว่าหากไก่ที่ได้รับสารแทน
191
นินปริมาณทส่ี ูงจะสง่ ผลตอ่ การเจริญเติบโตของขาที่ผิดปกติ สำหรบั ปริมาณของแทนนนิ ในข้าวฟ่างนัน้ จะมคี วาม
แปรผันตามชนิดสายพนั ธข์ุ องตวั ขา้ วฟ่างเอง
5.2.2.2 วัตถดุ ิบอาหารสัตว์กลมุ่ ให้พลังงานทไ่ี ดจ้ ากผลพลอยไดท้ างการเกษตร
1) กากมันสำปะหลงั (Cassava pulp)
กากมันสำปะหลังเป็นวัสดุเศษเหลือจากโรงงานอุตสาหกรรมผลิตแป้งมันสำปะหลัง โดยปกติกากมัน
สำปะหลังท่ีออกจากโรงงานจะมีลกั ษณะเปยี ก ความช้นื ประมาณ 80 เปอรเ์ ซน็ ต์ โปรตีนประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์
และมีการใชก้ ากแป้งมันสำปะหลงั เปยี กนเ้ี ป็นอาหารสัตว์ อาทิ อาหารโคและกระบือ แต่กากแป้งมนั สำปะหลังที่
ตากแหง้ และใช้เป็นวัสดุเจือปนผสมกับมันเสน้ บดหรอื มันอัดเม็ด ทำให้มันเสน้ บดและมันอดั เม็ดมีคุณภาพต่ำลง
อย่างไรก็ตามกากมันสำปะหลงั ก็ยังคงมีคุณค่าทางอาหารเหลืออยู่โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นคารโ์ บไฮเดรตที่ยอ่ ย
ง่าย (Nitrogen free extract ; NFE) ประมาณ 65-70 เปอรเ์ ซน็ ต์ สามารถนำมาใช้ในเชิงอาหารสัตวไ์ ด้โดยตรง
แมว้ ่ากากมันสำปะหลังมีระดบั เย่อื ใยสูง แต่ยงั คงมีปรมิ าณแปง้ หลงเหลืออยู่คอ่ นขา้ งมาก กากแป้งมันสำปะหลัง
แห้งจึงเหมาะกบั สูตรอาหารสัตวท์ ี่ต้องการเยื่อใยสูง เช่น อาหารโค-กระบือ อาหารสุกรแม่อุ้มท้อง และสุกรขุน
อย่างไรก็ตามกากมันสำปะหลังยังคงมีปริมาณของกรดไฮโดรไซยานิคอยู่ตอ้ งลดปรมิ าณของสารดงั กลา่ วโดยใช้
การตากแห้งหรอื การหมกั
2) เปลือกมันสำปะหลงั (Cassava peel)
เปลือกมันสำปะหลังเป็นผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมเกษตรที่ได้จากโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลัง
เช่นเดียวกันกับกากมนั สำปะหลงั ซึ่งมีกระบวนการผลิตเริ่มตั้งแต่การนำหัวมันสำปะหลังสดมาทำความสะอาด
โดยการแยกดนิ ออกกอ่ นนำมาล้างทำความสะอาดอกี คร้ังกอ่ นเข้าสู่เครือ่ งเคร่ืองสับและขูดเปลอื ก เพ่ือให้หัวมัน
สำปะหลังมีขนาดที่เล็กลง ส่วนที่ขูดออกนั้นคือเปลือกมันสำปะหลังหรือเรียกกันโดยทัว่ ไปว่าเปลือกล้างเพราะ
ผ่านการล้างมาแล้ว แต่เปลือกมันสำปะหลังส่วนนี้จะมีชิ้นส่วนของเนื้อมันสำปะหลังติดมาด้วยขึ้นอยู่กับ
เทคโนโลยีของโรงงานแป้งมันสำปะหลังนั้น ๆ ดังนั้นเปลือกมันสำปะหลังยังคงมีคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยง่ายอยู่
ประมาณ 63-71 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการเลีย้ งสตั ว์ได้ แต่จะมีเยื่อใยอยูท่ ี่สูงจึงเหมาะแก่การเล้ยี ง
โค-กระบือ เป็นหลักกระบวนการเก็บรักษาโดยการหมักจะทำให้สารไฮโดรไซยานิคถูกกำจัดออกไปทำให้
สามารถนำไปเลี้ยงสัตว์ได้อยา่ งปลอดภยั
3) กากน้ำตาล (Molasses)
กากน้ำตาลเปน็ ของเหลวทม่ี ีลักษณะหนืดข้น มสี ดี ำอมนำ้ ตาล ซง่ึ เป็นผลผลิตอย่างหน่ึงในกระบวนการ
ผลิตน้ำตาลทราย โดยมีออ้ ยเปน็ วตั ถุดบิ กากนำ้ ตาลน้ี จะแยกออกจากกระบวนการผลิตนำ้ ตาลทรายในขั้นตอน
สุดทา้ ย ดว้ ยการแยกออกจากเกล็ดนำ้ ตาลโดยวธิ กี ารปัน่ (Centrifuge) ซึง่ ไมส่ ามารถตกผลึกเป็นเกล็ดน้ำตาลได้
192
ด้วยวิธที ั่วไป และไม่นำกลับมาใช้ผลติ น้ำตาลทรายอกี กากน้ำตาลจึงเป็นส่วนประกอบท่ีเป็นเนือ้ ของสิ่งท่ีไมใ่ ช่
น้ำตาลท่ลี ะลายปนอยใู่ นนำ้ ออ้ ย ซงึ่ ประกอบดว้ ยน้ำตาลซโู ครส และสารเคมี เชน่ ปูนขาว ท่ีใช้ในการตกตะกอน
ให้น้ำอ้อยใส กากน้ำตาลมีระดับพลังงานระดับตำ่ ถึงปานกลางขึ้นอยู่กับปริมาณของน้ำที่มีอยู่ในกากน้ำตาล มี
โปแทสเซยี ม และมปี รมิ าณนำ้ ในระดับสูง ทำใหเ้ กดิ เชอ้ื ราไดง้ า่ ย กากน้ำตาลจะมขี ้อจำกัดในการใช้คือมีปริมาณ
ของเถ้าอยู่ในปริมาณที่สงู กากนำ้ ตาลมีโปรตนี 4 เปอรเ์ ซ็นต์ มีพลังงานใชป้ ระโยชน์ได้ในสกุ รเพยี ง 2,100 กิโล
แคลอรีต่อกิโลกรัม ซึ่งต่ำกว่าปลายข้าวและข้าวโพดจึงไม่เหมาะที่จะใช้เป็นแหล่งพลังงาน การใช้ในอาหารจึง
เพ่ือเพ่มิ ความน่ากินในกรณที ี่สูตรอาหารประกอบด้วยวัตถดุ ิบท่ีมีความน่ากินตำ่ อยู่สูง และลดการเป็นฝุ่น ทำให้
อัดเมด็ ไดง้ ่าย แต่อาหารจะเก็บไว้ไดไ้ มน่ านเพราะจะเกดิ เชื้อราและเหม็นเปร้ยี ว ในอาหารสุกรสามารถใช้ได้ 5-7
เปอรเ์ ซ็นต์ของสูตรอาหาร
4) กากมนั สำปะหลงั จากการผลิตเอทานอล (Cassava pulp from ethanol production)
กากมนั สำปะหลังจากการผลิตเอทานอลเปน็ ผลพลอยได้จากอตุ สาหกรรมการผลติ เอทานอลท่นี ำหัวมัน
สำปะหลังมาบดละเอยี ด กอ่ นยอ่ ยดว้ ยเอนไซมอ์ ะไมเลส (Amylase) เพอื่ เปลยี่ นแปง้ เปน็ นำ้ ตาล ก่อนที่นำยีสต์
มาหมกั เพือ่ ใช้ประโยชน์จากน้ำตาลในสภาวะไร้อากาศจะได้เปน็ แอลกอฮอล์ ดังนนั้ แป้งที่อย่ใู นหัวมันสำปะหลัง
จะถูกใช้ประโยชน์เพื่อการผลิตเป็นแอลกอฮอล์เป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามก็จะยังคงมีแป้งจำนวนหนึ่งท่ี
หลงเหลืออยู่ประมาณ 40 เปอรเ์ ซน็ ต์ และมีเยอ่ื ใยอยู่ในปริมาณท่ีสูง (30-35 เปอรเ์ ซน็ ต์) กากมนั สำปะหลังจึงมี
พลังงานทั้งหมดที่ย่อยได้เหลืออยู่ประมาณ 60-65 เปอร์เซ็นต์ แต่เนื่องจากในกระบวนการมีการหมักด้วยยีสต์
ทำให้เซลล์ยีสต์ที่หลงเหลืออยู่จะทำให้มีปริมาณของโปรตีนในกากมันสำปะหลังเพิ่มขึ้นอยู่ในช่วง 8-10
เปอร์เซ็นต์ ด้วยข้อจำกัดทางดา้ นเยอื่ ใยจึงเปน็ เหตุให้สามารถใชป้ ระโยชนใ์ นสตั วก์ ระเพาะเด่ยี วได้ยากจึงมีความ
เหมาะสมในการใช้ประกอบสตู รอาหารของสตั ว์เค้ียวเอือ้ งมากกว่า สำหรับการใช้ควรใช้ในลกั ษณะที่ผ่านการทำ
ใหแ้ หง้ เน่อื งจากเกบ็ รักษาไดใ้ นระยะเวลาอันส้ัน
5.2.2.3 วัตถดุ ิบอาหารสตั ว์กลุ่มให้โปรตีนสงู
1) เมล็ดถัว่ เหลอื งและกากถัว่ เหลือง (Soybean และ Soybean meal)
เมล็ดถัว่ เหลอื งจัดเป็นวตั ถุดิบแหล่งโปรตีนสำคญั ในการประกอบสตู รอาหารสัตว์ เนอ่ื งจากเป็นโปรตีนที่
อดุ มไปดว้ ยกรดอะมโิ นทจี่ ำเปน็ อยูม่ ากและมโี ปรตนี อยู่ท่รี ะดับ 38 เปอร์เซ็นต์ อยา่ งไรกต็ ามเมล็ดถั่วเหลืองที่จะ
นำมาใชป้ ระโยชนจ์ ะต้องผ่านการแปรรปู โดยการทำให้สกุ กอ่ นนำมาใชป้ ระโยชน์ เพราะวา่ ในถ่ัวเหลืองที่ดิบจะมี
สารยบั ย้งั นำ้ ย่อยทริปซินอยู่ (Trypsin inhibitor) โดยนำ้ ย่อยทริปซนิ มีความสำคัญอย่างมากต่อการย่อยโปรตีน
แต่หากเมล็ดถั่วเหลืองมีความสุกมากเกินไปจนถึงไหม้จะทำให้โปรตีนไม่สามารถถูกนำมาใช้ประโยชน์ได้จาก
ปฏิกิริยาเมลลาร์ด (Maillard reaction) ในส่วนของกากถั่วเหลืองเป็นวัตถุดิบที่ได้จากการบีบอัดน้ำมัน
193
(Expelled soybean meal) และสกัดน้ำมัน (Solvent extracted soybean meal) เพื่อผลิตเป็นน้ำมันพืช
ทำให้กากถ่วั เหลืองมีปรมิ าณไขมนั ในตัวต่ำ ซ่งึ กากใชก้ ากถวั่ เหลืองที่ผ่านการอัดน้ำมันเองจำเป็นที่จะต้องทำให้
อยูใ่ นรูปสุกเชน่ เดียวกันกับการใช้เมล็ดถ่ัวเหลอื ง เพราะความรอ้ นที่เกิดข้นึ ของกระบวนการไม่เพียงพอท่ีจะทำ
ใหส้ ารยับยั้งนำ้ ยอ่ ยทรปิ ซนิ น้นั หมดไป ส่วนกากถ่ัวเหลืองทีผ่ ่านการสกัดจะถูกแบ่งออกเปน็ กากถ่วั เหลืองหากไม่
กะเทาะเปลือกจะมโี ปรตีนอยู่ในช่วง 44-46 เปอรเ์ ซน็ ต์ แตห่ ากมกี ารกะเทาะเปลือกออกโปรตนี ในการถว่ั เหลือง
จะสูงถึง 50-55 เปอร์เซ็นต์ สำหรับกระบวนการสกัดด้วยสารเคมีนัน้ จะมีความรอ้ นที่เพียงพอที่สามารถกำจัด
สารยบั ย้ังนำ้ ยอ่ ยทริปซินได้
2) กากถว่ั ลิสง (Peanut meal)
กากถ่วั เหลอื งมีโปรตีนสูงอยู่ในช่วง 45-55 เปอร์เซน็ ต์ ขึ้นอยกู่ ับปริมาณของเปลือกทปี่ ะปนมา กากถั่ว
ลิสงเป็นผลผลิตที่เหลือจากกระบวนการผลิตน้ำมันถั่วลิสง อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบคุณภาพของโปรตีน
ระหวา่ งกากถ่ัวเหลืองและกากถั่วลิสงจะพบวา่ กากถ่ัวลิสงมีคณุ ภาพของโปรตีนท่ีตำ่ กว่ากากถ่วั เหลอื งเนื่องจากมี
ปรมิ าณกรดอะมโิ นเช่นไลซนี และเมทไธโอนีนท่ีต่ำกวา่ อกี ท้งั ยงั พบวา่ มีปัญหาทางด้านเช้ือราที่ผลิตสารพิษอะฟ
ลาทอกซิน ส่งผลเสียต่อสัตว์ทำให้สัตว์มีการเจริญเตบิ โตที่ต่ำลงหรือมีการเจรญิ เติบโตที่ชะงักและอาจสามารถ
ส่งผลต่อการตายของตัวอ่อนในแม่สัตว์ที่ตั้งครรภ์ได้ด้วย ถั่วลิส่งนั้นมีปริมาณของสารยับยั้งน้ำย่อยทริปซิน
เช่นเดียวกับเมล็ดถั่วเหลือง กากถั่วลิสงที่ผ่านกระบวนการบีบอัดจะมีความร้อนที่ไม่สามารถขจัดสารยับย้ัง
น้ำย่อยทริปซินได้หมด แต่หากเป็นกรรมวิธีการสกัดจะมีความร้อนเพียงพอที่ทำให้สารยับยั้งทริปซินหมดไปได้
สำหรบั การพิจารณาเลอื กใช้กากถ่วั ลิงสงจะเหมาะสมเม่อื มีราคาถกู กวา่ กากถัว่ เหลอื งมาก ๆ (ทองเลยี น, 2551)
3) กากมะพรา้ ว (Coconut meal, Copra meal)
กากมะพร้าวท่ีเปน็ ผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมอัดหรือสกัดน้ำมนั มะพร้าว มีโปรตีนอยูใ่ นช่วง 20-25
เปอรเ์ ซน็ ต์ มไี ขมันอยู่สงู ถงึ 6 เปอรเ์ ซน็ ต์ จึงทำให้มีความหืนง่าย และองคป์ ระกอบของกรดไขมันส่วนใหญ่เป็น
กรดไขมันอิ่มตัว (Saturated fatty acid) ซึ่งจะส่งผลต่อการทำให้กรดไขมันในซากสัตว์มีปริมาณทีส่ ูงขึ้นส่งผล
ตอ่ คุณภาพซากสัตว์ที่ทำใหม้ ีไขมันทมี่ ีความแข็งขึ้น ข้อจำกดั อีกประการของการนำกากมะพรา้ วมาใช้ประโยชน์
คือในกากมะพรา้ วมปี ริมาณของเยือ่ ใยในปรมิ าณท่ีสงู ในสุกรสามารถใชไ้ ด้ไม่เกิน 20 เปอร์เซน็ ต์ ในส่วนของสัตว์
ปกี จะสามารถใชไ้ ดไ้ ม่เกินร้อยละ 15 ในส่วนของกากมะพรา้ วทีไ่ ด้จากการคั้นเอาน้ำกะทิจะมโี ปรตนี ในชว่ ง 18-
20 เปอรเ์ ซ็นต์ มไี ขมนั สูงถงึ 34 เปอรเ์ ซ็นต์ (ทองเลียน, 2551)
4) กากปาลม์ (Palm meal)
กากปาลม์ เปน็ ผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมผลติ นำ้ มนั ปาล์ม มีสองชนดิ หลัก ๆ คอื กากปาลม์ ไม่กะเทาะ
เปลือก (Palm meal with hull) และกากปาล์มกะเทาะเปลือก (Palm kernel meal) กากปาล์มที่ไม่กะเทาะ
194
เปลือกจะมีโภชนะท่คี ่อนข้างตำ่ เนอื่ งจากมีสว่ นของเปลือกปาล์มติดมาจำนวนมาก กากปาล์มชนิดน้ีจะมีโปรตีน
เพียง 8-10 เปอร์เซ็นต์และมีความฟ่ามสูงสัตว์ไม่ชอบกินหากใช้ในปริมาณที่มากจะส่งผลให้สัตว์มีการกินได้ที่
ต่ำลง ในสว่ นของกากปาล์มท่กี ะเทาะเปลือกกอ่ นอัดหรือสกัดน้ำมันอาจเรยี กไดว้ ่ากากปาลม์ เน้อื ในจะมีโปรตีนที่
สูงถึง 16-18 เปอร์เซ็นต์ ส่วนปริมาณของไขมันจะผกผันตามกรรมวิธีของการอัดน้ำมันและการสกัดน้ำมัน แต่
ยงั คงมีเยอื่ ใยอยู่ในปรมิ าณท่ีสูงจงึ ไมค่ วรใช้เกิน 30 เปอร์เซ็นต์ในสูตรอาหารคิดจากน้ำหนักแหง้
5) กากเมลด็ ยางพารา (Para rubber seed meal)
เป็นผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมทำน้ำมันหล่อลื่น ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามกรรมวิธีการผลิต
ไดแ้ ก่ กากเมลด็ ยางพาราทไ่ี ม่กะเทาะเปลอื กและกะเทาะเปลอื ก กากเมลด็ ยางพาราท่ีกะเทาะเปลอื กจะมโี ปรตีน
ประมาณ 28-30 เปอร์เซ็นต์ ในส่วนกากเมลด็ ยางพาราที่ไม่กะเทาะเปลือกจะมีโปรตนี ประมาณ 16 เปอร์เซ็นต์
ซึ่งพบว่ามปี ริมาณกรดอะมโิ นไลซนี จำนวนสูง อยา่ งไรกต็ ามกากเมล็ดยางพาราจะมีสารพษิ คือกรดไฮโดรไซยานิ
กอยู่ ดงั นัน้ การนำกากเมลด็ ยางพารามาใชจ้ ะต้องทำใหม้ ปี รมิ าณของกรดไฮโดรไซยานกิ ลดลงโดยวิธกี ารใหค้ วาม
ร้อนเช่นการอบและการตากแหง้ เป็นต้น กากเมลด็ ยางพาราในประเทศไทยสว่ นใหญ่เปน็ ชนิดไม่กะเทาะเปลือก
จงึ มีไขมันและเยื่อใยอยู่สงู จงึ เป็นขอ้ จำกัดในการใช้ในสูตรอาหารโดยในสกุ รไม่ควรใชเ้ กนิ 30 เปอร์เซ็นต์ในสูตร
อาหาร ส่วนในลูกไก่ ไก่รุ่น และไก่ไข่ ไม่ควรใช้เกิน 10 15 และ 25 เปอร์เซ็นต์ในสูตรอาหารตามลำดับ
นอกเหนือจากน้ันคุณสมบัติของกากเมล็ดยางพาราที่มีลักษณะความฟ่ามสูงจะส่งผลให้สัตว์มคี วามสามารถใน
การกินอาหารได้ในปริมาณที่ต่ำส่งและมีการเจริญเติบโตที่ต่ำลง นอกเหนือจากนั้นยังส่งผลให้ซากสัตว์มีกลน่ิ
ยางพาราในไขมันท่ีอย่ใู นซากอกี ดว้ ย
6) กากเมล็ดฝา้ ย (Cotton seed meal)
กากเมล็ดฝ้ายที่ใช้ในการเลี้ยงสัตว์ส่วนใหญ่เป็นชนิดที่กะเทาะเปลือกมีโปรตีนอยู่ในช่วง 41-43
เปอร์เซน็ ต์ แต่เป็นโปรตีนทีม่ คี ุณภาพตำ่ เน่ืองจากมกี รดอะมโิ นท่จี ำเป็นอยู่นอ้ ย นอกเหนือจากน้กี ากเมลด็ ฝ้ายยัง
มีสารพิษอยู่คอื กอสซิปอล (Gossypol) หากสัตว์ได้รับปริมาณของสารพิษนี้เป็นระยะเวลานานจะสง่ ผลต่อสัตว์
ทำให้สัตวเ์ บ่ืออาหารและมกี ารเจรญิ เตบิ โตท่ีลดลง ซมึ และตายไปในที่สดุ อยา่ งไรก็ตามความทนทานต่อสารพิษ
น้มี ีความแปรผันตามอายขุ องสตั ว์ด้วย โดยในสัตว์ทมี่ ีอายุมากจะมคี วามทนทานต่อสารพษิ ชนิดน้ีได้มากกว่าสัตว์
อายุน้อย รวมถึงประเภทของสัตว์เองด้วยเช่นกันในสัตว์ปีกจะทนต่อพิษได้ดีกว่าสุกร แต่ในสัตว์เคี้ยวเอื้องจะ
สามารถทนสารพิษได้ดที ี่สุด โดยระดบั ของกอสซิปอลทพี่ บในอาหารสัตว์ไม่ควรเกิน 0.03 เปอรเ์ ซ็นต์ โดยโภชนะ
ของกากเมลด็ ฝ้ายจะมีปริมาณท่แี ตกตา่ งกันตามกระบวนการ โดยในกากเมลด็ ฝ้ายอัดนำ้ มัน (Expelled cotton
seed meal) การเสียดสีจะทำให้เกิดความร้อนทำให้กรดอะมิโนไลซีนมีปริมาณที่ลดลง สำหรับข้อจำกัดในการ
ใช้ในสุกรระยะขนุ สามารถใช้กากเมล็ดฝ้ายอัดน้ำมันไดใ้ นสูตรอาหารไม่เกิน 20 เปอร์เซ็นต์ และควรใช้ร่วมกบั
195
วัตถุดิบอาหารที่เป็นแหลง่ ของกรดอะมิโนไลซีนสูงจำพวกปลาป่น หรือกากถั่วเหลืองเป็นต้น สำหรับกากเมล็ด
ฝา้ ยสกดั น้ำมนั (Solvent extracted cotton seed meal) นนั้ พบวา่ มคี ุณภาพของโภชนะท่ีดกี วา่ เนอ่ื งจากเกิด
ความร้อนในกระบวนการที่ต่ำกว่า อย่างไรก็ตามยังคงพบว่ามีปริมาณของกอสซิปอลอยู่สูงเช่นกัน (0.1-0.4
เปอร์เซ็นต์) จงึ เป็นสาเหตุใหไ้ มส่ ามารถใช้ไดเ้ กนิ 5 เปอรเ์ ซ็นต์ในสูตรอาหาร นอกจากนน้ั การใช้กากเมล็ดฝ้ายใน
อาหารไกไ่ ขจ่ ะส่งผลสไี ขแ่ ดงเปลย่ี นเป็นสีเขียวปนน้ำตาลและสไี ข่ขาวมสี ีชมพู (ทองเลียน, 2551)
7) กากเบียร์ (Brewer’s grain)
เปน็ ผลพลอยได้จากกระบวนผลิตเคร่ืองดื่มทมี่ ีแอลกอฮอล์ โดยข้ันตอนซ่ึงไดม้ าของกากเบียร์น้ันจะอยู่
ในช่วงกระบวนการท่นี ำขา้ วบารเ์ ลย์ ข้าวเจ้า หรือข้าวเหนียว ท่เี ป็นวตั ถุดบิ ในการผลิตเบยี รน์ ้ัน ๆ มาสกดั นำแปง้
ออกโดยใชน้ ้ำรอ้ น ก่อนทีจ่ ะแยกส่วนที่เปน็ น้ำออกไปหมกั ดว้ ยยีสต์และรา ส่งิ ทเี่ หลอื จากการแยกน้ำออกนี้จึงถูก
เรยี กวา่ กากเบยี ร์ กากเบียรม์ โี ปรตีนอยู่ในชว่ ง 20-25 เปอร์เซน็ ต์ แต่มีคณุ ภาพของโปรตีนตำ่ อีกทั้งยังมีเยื่อใยอยู่
ในปริมาณที่สูง การใช้กากเบียร์จึงใช้ได้ในสุกรและสัตว์ปีกได้ไม่เกิน 15 และ 20 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ
นอกเหนือจากนั้นยังต้องใช้ร่วมกับแหล่งของวัตถุดิบโปรตีนคุณภาพดีอีกด้วย กากเบียร์ที่จำหน่ายอยู่ใน
ทอ้ งตลาดมที ัง้ แบบเปียกซงึ่ มีความชื้นสูงอยู่ในชว่ ง 80 เปอร์เซน็ ต์ และกากเบียรแ์ บบแห้งที่ผ่านการตากลานมา
และนิยมอัดเปน็ เมด็ (Pellet) เพ่อื ลดความฟ่ามของกากเบียร์ การใช้กากเบยี รเ์ ปยี กจำเป็นตอ้ งมกี ารระมัดระวัง
ในการใชเ้ ป็นอย่างมากเนอื่ งจากราสามารถเกดิ ได้งา่ ย
8) กากข้าวโพดจากการผลิตเอทานอล (Corn distiller dried grain with solubles; DDGS)
ในปัจจุบันกากข้าวโพดจากการผลิตเอทานอลจัดเป็นผลผลิตร่วม (Co-product) ในอุตสาหกรรมการ
ผลิตเอทานอลที่ใช้ขา้ วโพดเปน็ แหล่งของแปง้ กอ่ นนำมายอ่ ยแปง้ เพ่ือให้เปน็ น้ำตาลโดยใช้เอนไซม์ α-amylase
ก่อนจะถูกเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นแอลกอฮอล์โดยใช้ยีสต์ในสภาวะไร้อาการ สิ่งที่เหลือจากกระบวนการคือกาก
ข้าวโพดและยีสต์จงึ เปน็ เหตใุ ห้กากข้าวโพดเอทานอลมีระดับของโปรตีนท่ีสูงขึน้ จากข้าวโพดแบบปกติ แต่มีแป้ง
ทีล่ ดลงเน่ืองจากถกู นำไปใชเ้ พอ่ื ผลิตแอลกอฮอล์ กากข้าวโพดจากกระบวนการผลิตเอทานอลจะมีการผลิตมากท่ี
ประเทศสหรฐั อเมริกาและถกู นำเข้ามาใช้ในประเทศไทยเพ่ือใชเ้ ปน็ แหลง่ ของโปรตีนทดแทนการใช้กากถว่ั เหลือง
กากข้าวโพดเอทานอลจัดว่าเป็นวัตถุดิบที่มีความน่ากินสูงมากเนื่องจากมีกลิ่นที่หอม นอกเหนือจากนั้นกาก
ข้าวโพดเอทานอลยงั มีสารสีเช่น Xanthophyll สูงสามารถเป็นสารสีแกไ่ ขแ่ ดงในอุตสาหกรรมการเล้ียงไกไ่ ข่ได้
9) ใบกระถนิ ปน่ (Leucaena leaf meal)
ระดบั ของโภชนะในใบกระถินป่นจะแปรผนั ตามปริมาณก่งิ หรือกา้ นกระถนิ ท่ีปลอมปนมา หากพจิ ารณา
ถึงใบกระถินเพียงอย่างเดียวจะมีโปรตีนในช่วง 30-33 เปอร์เซ็นต์ และเป็นแหล่งของสารสี Xanthophyll อีก
ดว้ ย อยา่ งไรก็ตามในใบกระถนิ จะมีสารพิษชนดิ หน่ึงเรียกว่าไมโมซีน (Mimosine) หากสัตว์ได้รับปริมาณจะทำ
196
ให้ขนร่วง ระบบสืบพันธุ์ผิดปกติ สมรรรถนะการให้ผลผลิตลดลง เป็นต้น แต่ไมโมซีนสามารถถูกทำลายได้โดย
ความร้อนแตไ่ ม่สามารถทำลายได้หมดส้ิน ประเด็นดังกล่าวจึงทำใหใ้ บกระถินป่นมขี ้อจำกัดในการใช้ประโยชน์
ในการประกอบสูตรอาหาร โดยในอาหารสุกรและสัตว์ปีกจะสามารถนำใบกระถิ่นป่นมาใช้ได้ไม่เกินร้อยละ 4
เปอร์เซ็นต์ แต่หากใช้ร่วมกับเฟอรัสซัลเฟต (Ferrous sulfate; FeSO4) จะใช้ได้มากถึง 15 เปอร์เซ็นต์ในสูตร
อาหาร ปรมิ าณของไมโมซีนในกระถนิ ป่นทไ่ี ด้จากกระถนิ ยักษ์จะมีปริมาณไมโมซีนต่ำกวา่ กระถินพื้นเมอื ง
10) ปลาปน่ (Fish meal)
ปลาปน่ เป็นการนำเศษปลาทไ่ี ม่ถูกนำมาใช้เปน็ อาหารของมนษุ ย์มาบดและทำการตากแหง้ ปลาป่นจัด
ได้ว่าเปน็ แหลง่ ของโปรตนี ที่มีความเขม้ ข้นของโปรตีนสูงมากและโปรตีนมีคุณภาพดเี พราะมีปริมาณกรดเมทไธ
โอนนี และไลซีนสูง โดยทวั่ ไปแล้วปลาปน่ มโี ปรตนี ระหว่าง 50-65 เปอรเ์ ซ็นต์ ข้นึ อยกู่ ับปริมาณของกระดูกและ
ก้างที่ปนเข้ามา เนื่องจากปลาป่นมีราคาที่สูงจึงมีความพยายามที่จะนำยูเรีย เปลือกหอย และแกลบกุ้งมา
ปลอมปน จึงจำเป็นต้องมีการตรวจสอบการปลอมปนของสิ่งเหล่าน้ีในปลาป่นอีกด้วย นอกหนือจากนั้นปลาที่
นำมาใช้ในกระบวนการหากไม่สามารถใช้ปลาสดได้จะมีการใส่เกลือเพื่อลดการเน่าเสียของปลาจึงเป็นเหตุให้
ปลาป่นมคี ณุ สมบตั ทิ ่ีเคม็ หากใชใ้ นสูตรอาหารปรมิ าณท่ีสงู จะส่งผลให้สัตวเ์ กิดอาการท้องเสียได้เป็นต้น ขอ้ จำกดั
ในการใช้ปลาป่นในสุกรหยา่ นมไมค่ วรเกินทร่ี อ้ ยละ 7 ในสูตรอาหาร สว่ นสุกรขนุ ไม่ควรเกินท่รี ะดับ 5 เปอร์เซ็นต์
ในสตู รอาหาร สำหรับสุกรอุ้มท้องและเล้ยี งลูกจะใช้ไมเ่ กนิ ร้อยละ 3 เปอร์เซน็ ตใ์ นสูตรอาหาร ส่วนในไก่อายุไม่
เกิน 4 สัปดาห์สามารถใช้ได้ถงึ ระดับ 10 เปอร์เซ็นต์ ในไก่ไข่สาวและกำลงั ไขจ่ ะใช้ไม่เกนิ 5 เปอร์เซ็นต์ในสูตร
อาหาร สำหรับโคนมการใช้ปลาป่นในสูตรอาหารจะส่งผลต่อกลิ่นคาวปลาในน้ำนม ปลาป่นเมื่อพิจารณาจาก
ระดับของเปอร์เซ็นต์โปรตีนจะถูกแบ่งชั้นคุณภาพออกเป็น 3 ระดับ โดยปลาป่นที่มีโปรตีนไม่น้อยกว่า 60
เปอร์เซน็ ตจ์ ะถูกจัดเป็นปลาป่นคุณภาพชั้น 1 ส่วนปลาปน่ คุณภาพชัน้ 2 จะมเี ปอรเ์ ซ็นตโ์ ปรตนี อย่ใู นช่วง 55-60
เปอรเ์ ซน็ ต์ และหากเปอรเ์ ซ็นต์โปรตนี ในปลาปน่ ต่ำว่า 55 เปอร์เซน็ ต์จะถกู จัดเปน็ ปลาป่นคุณภาพชั้น 3
11) เนอื้ และกระดูกป่น (Meat and bone meal)
เนื้อและกระดูกปน่ เปน็ ผลพลอยไดจ้ ากโรงฆ่าสัตว์และแปรรปู เน้ือสัตวท์ ่ีได้จากสัตวเลยี้ งลกู ดว้ ยนม โดย
ไม่รวมเลือด ขน เขา กีบ หนัง และมูล มีโปรตีนสงู กว่า 50 เปอร์เซ็นต์ แต่หากมีกระดูกปนมามากจะโปรตีนตำ่
กว่า 50 เปอร์เซน็ ต์ เนื่องจากเน้ือปน่ มีปรมิ าณของแคลเซียมและฟอสฟอรัสสงู จะสง่ ผลต่อการดูดซึมของแร่ธาตุ
ชนิดอน่ื ๆ จงึ ไม่ควรใชเ้ กิน 10 เปอร์เซ็นต์ เนือ่ งจากข้อกังวลทางด้านโรคระบาดในสัตว์จึงทำให้การใช้เน้ือและ
กระดูกป่นเป็นขอ้ จำกัดในการใชเ้ พ่ือประกอบสูตรอาหารอีกดว้ ย ดังนัน้ หากตอ้ งการนำเน้ือและกระดูกป่นมาใช้
ในการประกอบสูตรอาหารจะตอ้ งเลือกซือ้ จากแหล่งทเ่ี ชอ่ื ถือได้ โดยแหล่งของผผู้ ลิตเน้อื และกระดกู ป่นโดยส่วน
ใหญ่มาจากประเทศแถบยโุ รปและอเมริกาซง่ึ จะมีการควบคุมคณุ ภาพดา้ นเช่ืออยู่แลว้
197
12) เลอื ดปน่ (Blood meal)
เปน็ ผลพลอยได้จากโรงงานฆา่ สัตว์ โดยเลือดจำถกู นำมานง่ึ ดว้ ยความร้อน 100 องศาเซลเซียส เพ่ือให้
เลือดตกตะกอนจากนั้นนำมาอบและทำให้แห้ง เลือดป่นมีโปรตีนสูงระหว่าง 85-90 เปอร์เซ็นต์ แต่โปรตีนมี
คณุ ภาพเลวเนอ่ื งจากมีปริมาณกรดอะมเิ มทไธโอนีนต่ำแตม่ ีไลซนี สงู จึงไมค่ วรใชใ้ นสูตรอาหารเกิน 5 เปอรเ์ ซ็นต์
สตั วเ์ ล็กและร่นุ กไ็ มค่ วรใช้ เพราะจะเกิดการทอ้ งเสยี ได้
13) ขนไกป่ น่ (Feather meal)
ขนไก่ดิบจะมีเปอร์เซ็นต์โปรตีนทีส่ ูงมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์แต่มีคุณภาพค่อนข้างตำ่ และมีการย่อยได้
เพยี ง 7 เปอร์เซ็นต์เทา่ นน้ั การใช้ขนไกป่ ่นใหม้ ีประสิทธภิ าพสงู ขึ้นจะตอ้ งนำมาย่อยสลายโปรตนี ก่อนโดยการน่ึง
ที่อุณภูมิสูง 130-145 องศาเซลเซียส ที่ความดัน 50 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว จะทำให้มีคุณสมบัติในการย่อยได้
เพิ่มขึ้นประมาณ 75-80 เปอร์เซ็นต์ ขนไก่ที่ผ่านการย่อยโปรตีนแล้วจะถูกเรียกว่าขนไก่ป่นไฮโดรไลซ์
(Hydrolyzed feather meal) แตย่ งั คงเป็นมีปรมิ าณของกรดอะมิโนที่จำเป็นในปริมาณที่ต่ำ จงึ ไมค่ วรใช้เกนิ 5
เปอรเ์ ซ็นตใ์ นสูตรอาหาร เนือ่ งจากขนไก่ปน่ มรี าคาถูกจึงมคี วามพยายามในการนำไปปลอมปนในปลาป่นเป็นต้น
การใช้ขนไกป่ ่นไฮโดรไลซท์ ด่ี ีขนไก่จะต้องมลี กั ษณะยุ่ย มีสนี ำ้ ตาลออ่ น ไมม่ กี ลน่ิ เหมน็ เนา่
14) หางนมผง (Skim milk)
เปน็ สว่ นทแี่ ยกจากนำ้ นมดบิ โดยการปนั่ เอาไขมันนำ้ นมออก หางนมผงเปน็ โปรตีนที่มีคุณภาพทดี่ ียอ่ ยได้
สงู มีกรดอะมโิ นท่ีสมดุล อกี ทง้ั เป็นแหลง่ ของแคลเซยี มและฟอสฟอรัส หางนมผงนิยมใชใ้ นการผสมในอาหารลูก
สัตว์และใช้เป็นอาหารแทนนมสำหรับลูกโค อย่างไรก็ตามในหางนมผงจะยังคงมีน้ำตาลแลคโตสอยู่ซึ่งเป็น
ข้อจำกดั ในการใชใ้ นสตั วป์ ีกเนื่องจากสัตวป์ กี ไมม่ นี ้ำย่อยนำ้ ตาลแลคโตส
5.2.3 วธิ กี ารคำนวณสูตรอาหารสตั ว์เบื้องต้น
การคำนวณสตู รอาหารสตั ว์เป็นการนำเอาวัตถดุ บิ อาหารสตั ว์ชนดิ ต่าง ๆ ซง่ึ มีสารอาหาร เชน่ โปรตีน
พลังงาน แคลเซยี ม ฟอสฟอรัส มาคำนวณเพือ่ ให้มีความเข้มข้นของสารอาหารเพียงพอตามมาตรฐานที่กำหนด
เพื่อการเจริญเติบโต การสร้างผลผลิตและการสืบพันธุ์ ตามความต้องการของสัตว์แต่ละชนิด ซึ่งการประกอบ
สูตรอาหารมีวิธีคำนวณหาสัดส่วนการใช้วัตถุดิบหลายแบบ ตั้งแต่มีวัตถุดิบเพียง 1 – 2 ชนิด ไปจนถึงการใช้
วตั ถดุ ิบหลายอย่างสำหรับใชป้ ระกอบสูตรอาหารท่ีคำนวณขึน้ เอง หรือดัดแปลงใหเ้ หมาะกับวัตถดุ ิบทม่ี ีอยู่
ในการคำนวณทำให้สะดวกและรวดเร็ว ในการปรับแต่งสูตรให้เหมาะกับความต้องการของสัตว์
สูตรอาหารนอกจากจะมสี ารอาหารครบตามต้องการแล้วยังต้องมีความน่ากินและราคาเหมาะสมด้วย ส่วนการ
ประกอบสูตรสารผสมล่วงหน้าหรือพรีมิกซ์ซึ่งได้แก่ กรดอะมิโนและยาปฏิชีวนะ แร่ธาตุปลีกย่อยและวิตามิน
198
จำเป็นต้องรู้ลกั ษณะทางกายภาพ ความคงทนตอ่ การเสอ่ื มสลาย ความเข้มข้นท่แี ทจ้ รงิ ของเนอ้ื สาร ข้อจำกัดใน
การใช้ต่าง ๆ อย่างระมดั ระวัง โดยวธิ กี ารคำนวณสตู รอาหารโดยหลักแลว้ มีอยู่ 3 วธิ กี ารหลกั ดังตอ่ ไปน้ี
5.2.3.1 วิธกี ารเพียร์สนั สแควร์ (Person square)
เป็นการคำนวณสูตรอาหารอย่างง่ายโดยจะใช้แหล่งของวตั ถุดิบเพียง 2 ชนิด โดยใช้วัตถุดิบที่ใช้เสริม
โปรตีนและวตั ถุดบิ ท่เี ป็นอาหารพน้ื ฐาน ซึ่งผู้ทีจ่ ะดำเนินการคำนวณสตู รมีความจำเปน็ จะตอ้ งทราบถึงค่าโภชนะ
ท่ีตอ้ งการคำนวณด้วยเชน่ โปรตีนหรือพลังงานท่ีใช้ประโยชนไ์ ด้เปน็ ต้น การคำนวณสูตรอาหารแบบเพียร์สันจะ
นิยมมากในกรณีที่ใช้เพื่อเป็นการเจือจางความเข้มข้นของโปรตีนในหัวอาหารร่วมกับอาหารพื้นฐานอื่น ๆ ที่
สามารถหาได้ตามท้องถน่ิ โดยมีวิธกี ารคำนวณดงั ตอ่ ไปน้ี
1. กำหนดวัตถุดิบอาหารที่ต้องการใช้เปอร์เซ็นต์โปรตีนของวัตถุดิบและเปอร์เซ็นต์โปรตีนที่ต้องการ
ยกตัวอย่างเช่นใช้หัวอาหาร (35 เปอร์เซ็นต์โปรตีน) และข้าวโพด (8 เปอร์เซ็นต์โปรตีน) โดยจะคำนวณสูตร
อาหารให้มโี ปรตีน 16 เปอร์เซ็นต์
หวั อาหาร 35%CP
16 %CP
ข้าวโพด 8%CP
2. คำนวณหาปริมาณสัดส่วนของข้าวโพดและหัวอาหารที่ใช้โดยในปริมาณสัดส่วนของข้าวโพดให้นำ
เปอร์เซ็นต์โปรตนี ของหัวอาหารมาลบกบั เปอรเ์ ซน็ ต์โปรตนี ที่ตอ้ งการ (35-16 =19 ส่วน) สัดส่วนของหัวอาหาร
จะนำเปอร์เซ็นต์โปรตีนที่ตอ้ งการมาลบกับเปอร์เซ็นต์โปรตีนของข้าวโพด (16–8 = 8 ส่วน) รวมอาหารทั้งส้นิ
(19+8 = 27 ส่วน) สดั ส่วนหวั อาหาร 16-8 = 8 สว่ น
หวั อาหาร 35%CP
16 %CP
ข้าวโพด 8%CP สดั ส่วนข้าวโพด 35-16 = 19 สว่ น
รวมอาหารทง้ั สนิ้ 19+8 = 27 ส่วน
ส่วน
199
3. ปรับสดั สว่ นใหอ้ ยใู่ นรูปของเปอร์เซ็นตเ์ พ่ือการใชป้ ระโยชน์ทงี่ ่ายข้ึนดังน้นั สดั ส่วนหวั อาหารจะ
เท่ากบั (8/27 x 100) 29.63 เปอร์เซน็ ตแ์ ละสัดส่วนของข้าวโพดจะเทา่ กบั (19/27 x 100) 70.37 เปอร์เซ็นต์
4. ตรวจสอบความถกู ต้องโดยการคำนวณดังน้ี
ตารางท่ี 5.4 การตรวจสอบความถกู ต้องของการคำนวณสตู รอาหารแบบเพียรส์ ันสแควร์
วัตถดุ ิบ สัดสว่ น (เปอร์เซน็ ต์) เปอร์เซน็ ต์โปรตนี การคำนวณ เปอร์เซน็ ต์โปรตีนทไ่ี ด้
หวั อาหาร 29.63 35 (29.63 x 10.37
35/100)
ขา้ วโพด 70.37 8 (70.37 x 8/100) 5.63
รวม 100 16
5.2.3.2 วธิ ีการพชี คณติ (Algebraic equation)
เป็นการคำนวณที่คล้ายคลึงกับวิธีการเพยี รส์ ันสแควร์ท่ีทำได้ครั้งละ 2 วัตถุดิบ แต่มีความแตกต่างกัน
โดยการใชส้ มการตัวแปรแทนเพื่อถอดคา่ สมการให้ไดซ้ งึ่ คำตอบ โดยข้ันตอนการคำนวณจะดำเนนิ การดังต่อไปนี้
1. กำหนดตวั แปรยกตัวอยา่ งเชน่ หากตอ้ งการนำกากถ่วั เหลอื ง (44 เปอรเ์ ซน็ ต์โปรตีน) และข้าวโพด (8
เปอรเ์ ซ็นต์โปรตีน) มาผสมกนั เพ่อื ใหไ้ ด้โปรตีน 21 เปอรเ์ ซน็ ต์ และผลรวมของกากถั่วเหลอื งและขา้ วโพดเท่ากับ
100 ส่วน หากกำหนดให้ X คอื กากถัว่ เหลอื ง Y คอื ขา้ วโพด จะสามารถกำหนดตัวแปรได้ดังคือ
ผลรวมของวัตถุดิบอาหาร 2 ชนิด X+Y=100 (กำหนดเปน็ สมการท่ี 1)
2. กำหนดเปอรเ์ ซน็ ต์โปรตีนท่ีต้องการคำนวณวา่ ให้ได้เปอรเ์ ซ็นตโ์ ปรตีนเปน็ เท่าไร โดยนำคา่ เปอรเ์ ซ็นต์
โปรตีนคูณกับคา่ ตัวแปรด้วยเชน่ กากถ่ัวเหลอื ง คอื 0.44X ในสว่ นของข้าวโพดจะเทา่ กับ 0.08Y
ผลรวมของโปรตีนทีต่ ้องการ 0.44X+0.08Y= 21 (กำหนดเปน็ สมการที่ 2)
3. เนื่องจากตัวแปรในสมการมีจำนวน 2 ตัวจะไม่สามารถถอดสมการได้จงึ ต้องขจัดตัวแปรโดยการนำ
เปอร์เซ็นตโ์ ปรตีนของตัวแปรทต่ี ้องการขจัดตัวแปรนนั้ ออกมาคูณเข้ากบั สมการท่ี 1 ยกตัวอยา่ งเชน่ ตอ้ งการขจัด
ตัวแปร X (กากถวั่ เหลือง) ออกจะนำ 0.44 มาคณู กับสมการท่ี 1
นำเปอร์เซ็นต์โปรตีนมาคูณสมการที่ 1 0.44x+0.44Y=44 (กำหนดเป็นสมการที่ 3)
ขจดั ตวั แปร X โดยนำสมการท่ี 3 ลบ สมการที่ 2 จะได้ [0.44X+0.44Y= 44] – [0.44X+0.08Y= 21]
จะเท่ากับ 0.36Y = 23 และสามารถแก้สมการได้คือ Y= 23/0.36 ดังนั้นตัวแปรจะมีค่าเท่ากับ Y=
63.89
4. นำคา่ ตัวแปร Y ไปแทนคา่ ในสมการท่ี 1 จะเทา่ กับ X+63.89= 100 และทำการหาค่าตัวแปร X โดย
การแก้สมการ X=100-63.89 ดังนนั้ ตวั แปร X= 36.11
200
4. ตรวจสอบความถูกต้องโดยการคำนวณดังนี้
ตารางที่ 5.5 การตรวจสอบความถกู ต้องของการคำนวณสตู รอาหารแบบพชื คณิต
วัตถุดบิ สัดส่วน (เปอร์เซ็นต์) เปอรเ์ ซ็นตโ์ ปรตนี การคำนวณ เปอร์เซ็นต์โปรตนี ที่ได้
กากถ่วั เหลอื ง 36.11 44 (36.11 x 15.89
44/100)
ขา้ วโพด 63.89 8 (63.89 x 8/100) 5.11
รวม 100 21
5.2.3.3 วธิ ีการลองผดิ ลองถกู (Trial and error)
เป็นการคำนวณสูตรอาหารท่ีสามารถดำเนนิ การได้หลายวัตถดุ บิ ใน 1 ครั้งทดี่ ำเนนิ การคำนวณอยา่ งไรก็
ตามผู้ที่ทำการคำนวณจะต้องมีดำเนินการคำนวณในลักษณะน้ีบ่อยครั้ง จะทำให้มีความชำนาญทีส่ ูงใช้เวลาไม่
มากก็สามารถคำนวณสูตรอาหารใหแ้ ลว้ เสร็จได้ ตามตัวอยา่ งตอ่ ไปน้ี
ตัวอย่าง จงประกอบสูตรอาหารข้นสำหรับโคนมที่มีโปรตีน 18 เปอร์เซ็นต์ โดยใช้วัตถุดิบดังต่อไปน้ี
กากถั่วเหลือง (44 เปอร์เซ็นต์โปรตีน) กากปาล์มเนื้อในสกัดน้ำมัน (16 เปอร์เซ็นต์โปรตีน) มันเส้น (2
เปอร์เซน็ ตโ์ ปรตีน) โดยกำหนดให้ใสแ่ ร่ธาตุ 3 เปอรเ์ ซ็นต์ และพรมี กิ ซ์ 0.5 เปอรเ์ ซ็นต์
ตารางที่ 5.6 การคำนวณสตู รอาหารโดยทำการลองครง้ั ท่ี 1
วตั ถดุ บิ สัดสว่ น (เปอรเ์ ซน็ ต์) เปอรเ์ ซ็นต์โปรตนี การคำนวณ เปอร์เซน็ ตโ์ ปรตนี ที่ได้
กากถ่วั เหลอื ง 33 44 (33 x 44/100) 14.52
กากปาลม์ เนื้อ 30 16 (30 x 16/100) 4.8
ในสกัดนำ้ มนั
มันเส้น 33.5 2 (33.5 x 2/100) 0.67
แร่ธาตุ 3.0 -- -
พรีมิกซ์ 0.5 -- -
รวม 100 19.99
หมายเหตุ ขอ้ จำกัดการใช้ กากปาล์มเนอื้ ในสกดั นำ้ มนั อยู่ท่ี 30 เปอร์เซ็นต์ในสตู รอาหาร
จากการคำนวณสูตรอาหารแบบลองถกู ลองผิดครั้งที่ 1 พบว่าเปอร์เซ็นต์โปรตนี เทา่ กบั 19.99 ซึ่งเกิน
กวา่ ทก่ี ำหนดไว้ 18 เปอร์เซน็ ต์ มา 1.99 เปอรเ์ ซ็นต์ ดงั นนั้ จึงต้องลดแหลง่ โปรตีนลงเพื่อเพิ่มแหล่งคารโ์ บไฮเดรต
โดยการลดกากถัว่ เหลืองลง 100 สว่ น และเพิม่ มันเสน้ 100 ส่วน โปรตนี จะลดลง 44-2 เทา่ กับ 42 เปอรเ์ ซ็นต์
ถา้ ตอ้ งการให้โปรตีนลดลง 42 เปอร์เซน็ ต์ จะตอ้ งนำมันเสน้ แทนกากถัว่ เหลือง 100 สว่ น
201
ถา้ ตอ้ งการใหโ้ ปรตนี ลดลง 1.99 เปอรเ์ ซ็นต์จะตอ้ งแทนกัน (100x1.99/42)= 4.74 ส่วน
จากเดิมใชก้ ากถว่ั เหลอื ง 33 เปอร์เซน็ ต์ ลดออก 4.74 เปอร์เซน็ ตจ์ ะเท่ากบั 28.26 เปอร์เซ็นต์
จากเดมิ ใชม้ นั เสน้ 33.5 เปอรเ์ ซ็นต์ เพิม่ ข้ึน 4.74 เปอรเ์ ซ็นตจ์ ะเท่ากับ 38.24 เปอรเ์ ซ็นต์
ตารางที่ 5.7 การคำนวณสูตรอาหารโดยทำการลองครัง้ ท่ี 2
วัตถุดิบ สดั ส่วน (เปอรเ์ ซน็ ต์) เปอรเ์ ซน็ ตโ์ ปรตีน การคำนวณ เปอร์เซน็ ตโ์ ปรตีนที่ได้
กากถั่วเหลือง 28.26 44 (28.26 x 12.43
44/100)
กากปาลม์ เนอ้ื 30 16 (30 x 16/100) 4.81
ในสกัดนำ้ มนั
มันเส้น 38.24 2 (38.24 x 2/100) 0.76
แรธ่ าตุ 3.0 - - -
พรีมิกซ์ 0.5 - - -
รวม 100 18
หมายเหตุ ขอ้ จำกัดการใช้ กากปาล์มเนือ้ ในสกดั นำ้ มันอย่ทู ี่ 30 เปอรเ์ ซ็นต์ในสตู รอาหาร
จากการลองคร้ังที่ 2 พบวา่ ปรมิ าณเปอร์เซน็ ตโ์ ปรตนี ในสูตรอาหารเป็นไปตามที่กำหนดไว้ ด้วยวิธีการ
ลักษณะนี้เองจึงเรียกการประกอบสูตรอาหารลักษณะนี้ว่าการลองผิดลองถูก อย่างไรก็ตามในปัจจุบันท่ี
เทคโนโลยีได้ก้าวหน้าไปอย่างมากได้มีการใช้ซอฟแวร์เข้ามาช่วยในการคำนวณไม่ว่าจะเป็น Microsoft excel
โดยการเซต็ คา่ สูตรลงไป รวมถงึ การใช้ซอฟแวรส์ ำเร็จรปู ในการประกอบสูตรอาหารสัตว์เพื่อใหไ้ ด้ต้นทุนต่ำที่สุด
แต่นักศึกษาจำเป็นต้องมีความเข้าใจเบื้องต้นในการคำนวณสูตรอาหารจะทำให้สามารถประยุกต์ใช้และนำไป
ปฏบิ ตั ไิ ดอ้ ย่างถกู ต้อง
แบบทดสอบ
1. การวิเคราะห์โดยประมาณ (Proximate analysis) ประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง
2. เหตใุ ดในสัตว์เค้ียวเอือ้ งจงึ มคี วามเหมาะสมในการวิเคราะห์เยอ่ื ใยโดยสารฟอก (Detergent Fiber Analysis)
3. จงอธบิ ายวธิ ีการพิจารณาเลอื กใชว้ ตั ถุดิบอาหารสัตว์ตอ่ หน่วยโปรตนี ว่าควรทำอยา่ งไร
4. จงยกตวั อยา่ งวัตถุดบิ อาหารสตั ว์แหลง่ โปรตีนสูง และพลังงานสูงมาอยา่ งละ 3 ชนิด
5. หากตอ้ งการใชเ้ มลด็ ขา้ วโพดบดผสมกับหัวอาหารที่มโี ปรตีน 28 เปอร์เซ็นต์ ให้ไดอ้ าหารสำหรบั ไกท่ ม่ี โี ปรตนี
16 เปอรเ์ ซ็นต์ จะต้องใชส้ ัดส่วนอยา่ งไรจงคำนวณ
202
เอกสารอา้ งองิ
กรมปศุสัตว์. 2559. การรวบรวมและจัดทำข้อมูลด้านคุณค่าทางโภชนะของวัตถุดิบอาหารสัตว์. สำนักพัฒนา
อาหารสตั ว,์ กรมปศสุ ัตว์, กระทรวงเกษตรและสหกรณ,์ กรงุ เทพมหานคร.
กฤตพล สมมาตย์. 2543. คู่มือวิเคราะห์อาหารสัตว์เคี้ยวเอื้อง. ภาควิชาสัตวศาสตร์, คณะเกษตรศาสตร์,
มหาวิทยาลยั ขอนแก่น, ขอนแก่น.
ทองเลียน บัวจูม. 2551. เอกสารประกอบการสอนวิชาโภชนศาสตร์สัตวเ์ บื้องต้น. ภาควิชาเทคโนโลยีทางสัตว์,
คณะผลติ กรรมการเกษตร, มหาวทิ ยาลัยแมโ่ จ,้ เชียงใหม.่
ปราโมทย์ แพงคำ วิทธวัช โมฬี สุทิศา เข็มผกา และพิพัฒน์ เหลืองลาวัณย์. 2561. เอกสารประกอบการสอน
ปฏิบัติการโภชนศาสตร์สัตว์ 2. สาขาวิชาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางสัตว์, สำนักวิชา
เทคโนโลยกี ารเกษตร, มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีสรุ นารี, นครราชสมี า.
เยาวมาลย์ ค้าเจริญ และสาโรช ค้าเจริญ. 2521. คู่มือการวิเคราะห์อาหารสัตว์. คณะเกษตรศาสตร์,
มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น, ขอนแก่น.
203
วธิ สี อนและกจิ กรรม 1. การอภิปรายระหวา่ งกลุ่มนักศกึ ษาและอาจารย์
2. การบรรยาย ยกตัวอย่างประกอบ
สือ่ การสอน 3. ถามคำถามในหอ้ งเรยี น
งานทมี่ อบหมาย หนังสอื อา้ งอิง ลำดบั ที่ 1-5
การวัดผล เอกสารประกอบ หน่วยเรียนท่ี 5
วัสดุโสตโทรทศั น์ ส่ือการนำเสนอและเครอ่ื งฉายภาพน่งิ
ทำแบบฝึกหดั ท้ายบทเรียน
1. สังเกตความสนใจในห้องเรยี น
2. การตอบคำถามระหวา่ งเรียน
3. ตรวจแบบฝกึ หดั ทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย
4. การสอบย่อย
5. การสอบกลางภาค