76
เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ประชากรและการเจริญของจุลินทรีย์ที่ลดลงเป็นผลให้มีการใช้ประโยชน์จาก
คาร์โบไฮเดรตที่ลดลงส่งผลใหม้ กี ารย่อยสลายในกระเพาะหมกั ท่ีลดลงโดยเฉพาะอยา่ งยิ่งกลุม่ ที่ทำการย่อยเยอื่
ใย จึงเป็นผลให้ปรมิ าณของกรดไขมันระเหยง่ายมกี ารผลิตที่ลดลงตามมาด้วย ดังนั้นความสัมพันธ์ของระหว่าง
โภชนะทั้งสองชนิดจึงมีความสอดคลอ้ งต่อการเจริญเติบโตของจุลนิ ทรีย์ด้วย
Protein Carbohydrate
Utilized by microbe
Microbial growth
Produced by microbe
NH3 VFAs
Microbial Protein
แผนภาพท่ี 3.15 ความสมั พันธ์ระหวา่ งโปรตีนและคารโ์ บไฮเดรตตอ่ จลุ ินทรีย์ในกระเพาะหมกั
ความต้องการสารอาหารของจุลนิ ทรยี ์ดงั ที่ทราบจากข้อมูลข้างตน้ ว่าตอ้ งการไนโตรเจนและคาร์บอนซ่ึง
ได้จากคาร์โบไฮเดรตในการเจริญเติบโต นอกเหนือจากนั้นยงั มีความต้องการซัลเฟอร์เพ่ือใช้ในการสังเคราะห์
โปรตีนในตัวของจุลินทรีย์อีกด้วย โดยสัดส่วนของไนโตรเจนต่อซัลเฟอร์อยู่ท่ี 12 ต่อ 1 โดยเฉลี่ยในสัตว์เคี้ยว
เอื้อง
Cellulose & Starch &
Hemicellulose Sugar Sulphur
Slow Rapid Microbial synthesis Microbial Protein
Slow Rapid
RDP NPN
แผนภาพท่ี 3.16 การสงั เคราะห์โปรตนี จลุ ินทรยี ภ์ ายในกระเพาะหมกั
ชนิดของแหล่งคาร์บอน และไนโตรเจนเองเปน็ อีกหนึ่งปัจจัยในการสังเคราะห์โปรตนี จุลินทรียอ์ ันเป็น
ผลจากอัตราการย่อยสลายในกระเพาะหมกั ท่แี ตกตา่ งกัน ยกตวั อย่างเช่นแหล่งของคารบ์ อนทมี่ กี ารยอ่ ยสลายใน
77
กระเพาะหมักท่ชี า้ จะไดแ้ ก่กล่มุ ของเยอ่ื ใย ในส่วนของแป้งและนำ้ ตาลจะมีการย่อยสลายได้รวดเร็วกว่า ในขณะ
ที่โปรตีนแท้ที่ย่อยสลายในกระเพาะหมักมีอัตราการย่อยสลายที่ช้ากว่าการใช้สารประกอบไนโตรเจนที่ไม่ใช่
โปรตีน เช่นยูเรีย การทราบถึงอัตราความเร็วในการย่อยสลายนั้นสามารถที่จะเลือกใช้แหล่งของโภชนะให้
ถกู ตอ้ งและเหมาะสม ซ่งึ หากมกี ารย่อยสลายของโภชนะท้งั สองชนดิ ไม่เหมาะสมจะสง่ ผลให้เกิดการใช้ประโยชน์
ไดท้ ่ีตำ่ และสง่ ผลให้เกิดการสงั เคราะห์โปรตนี จุลนิ ทรีย์ท่ที ำ ยกตัวอย่างเชน่ หากใชไ้ นโตรเจนที่มาจากยูเรียซึ่งมี
อัตราการย่อยสลายทีเ่ ร็ว จำเป็นที่จะต้องใช้แหล่งของคาร์บอนที่ยอ่ ยสลายไดร้ วดเรว็ เช่นกันเพื่อให้สามารถใช้
ประโยชน์ได้ทันกัน โดยแหล่งของคาร์โบไฮเดรตที่ยอ่ ยสลายได้เร็วเช่นกากน้ำตาล เป็นต้น (ตารางที่ 3.4) โดย
ปัจจัยที่ส่งผลในการย่อยสลายของกระเพาะหมักมีหลายประการนอกเหนือจากชนิดของอาหารแล้ว ยังมีอีก
หลายปจั จยั เช่นอตั ราการไหลผ่าน (Rate of passage) หากอาหารมีอัตราการไหลผ่านที่สงู จะมีการย่อยสลายใน
กระเพาะหมักที่ต่ำ และหากอาหารมีคุณสมบัติในการละลายน้ำได้ดีก็จะมีความสามารถในการย่อยสลายใน
กระเพาะหมกั ท่สี งู ขนึ้ อีกดว้ ย
ดังนั้นหากสรุปการย่อยและใช้ประโยชน์ของโปรตีนระหว่างสัตว์กระเพาะเดี่ยวและสัตว์เคี้ยวเอื้องมี
ความแตกตา่ งกันอยา่ งส้นิ เชิง โดยสัตว์กระเพาะเด่ยี วมคี วามจำเปน็ ท่จี ะตอ้ งพิจารณาถงึ องคป์ ระกอบของกรดอะ
มิโนเป็นหลัก แต่ในสัตว์เคี้ยวเอื้องจะพิจารณาถึงอตั ราการย่อยสลายในกระเพาะหมัก รวมถึงการให้อาหารแก่
จุลนิ ทรีย์เพอ่ื ใหจ้ ุลินทรยี ์มกี ารเจริญเตบิ โตอยา่ งสูงทีส่ ดุ เพอ่ื ให้จุลนิ ทรีย์เหลา่ นัน้ กลายเปน็ อาหารแก่สตั ว์ตามมา
ตารางที่ 3.4 อัตราการยอ่ ยสลายในกระเพาะหมกั ของวัตถุดิบโปรตนี และคาร์โบไฮเดรต
อัตราการยอ่ ยสลายในกระเพาะหมกั ประเภท
ระดบั รอ้ ยละ โปรตนี คาร์โบไฮเดรต
สงู มาก >90 ยูเรยี ยีสต์ กากนำ้ ตาล
สงู 60-90 กากถัว่ เหลือง มันสำปะหลงั
ปานกลาง 40-60 กากเมลด็ ทานตะวัน กาก ขา้ วโพด ปลายขา้ ว
เบียร์ กากฝา้ ย กากงา กากมนั สำปะหลงั
ตำ่ <40 ปลาป่น ขนไก่ปน่ อาหารหยาบ
ท่มี า : Brooks (2010)
78
3.4 ไขมนั
ในรา่ งกายสตั วน์ อกเหนอื จากโปรตีนท่ีเป็นสว่ นสำคญั ของร่างกายทีม่ ีสดั ส่วนที่มากท่ีสุดยงั พบว่ามีไขมัน
และสารทีค่ ลา้ ยไขมนั หรอื อาจเรียกไดว้ ่าลิพดิ (Lipid) ซง่ึ เป็นชอื่ ในการเรียกกลา่ วถงึ ไขมนั และสารท่ีคล้ายไขมัน
โดยเป็นหน่วยใหญ่ที่สุดของไขมันเป็นส่วนประกอบรองลงมา ซ่ึงไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายสัตว์นั้น
นอกเหนือจากท่ีสัตว์จะได้รบั โภชนะนี้จากอาหารแล้วยงั มีความสามารถที่สังเคราะหไ์ ขมันขึ้นได้จากโภชนะอืน่
เช่นคาร์โบไฮเดรต หากสัตว์ได้รับคาร์โบไฮเดรตในปริมาณที่มากเกินความต้องการของตัวสัตว์ในการใช้เป็น
พลังงานในการดำรงชีพหรือการสร้างผลผลิต ล้วนแล้วแต่จะสะสมเป็นไขมันในร่างกายทั้งสิ้น โดยหลัก
ความสำคัญของไขมันทส่ี ะสมในรา่ งกายจะถกู สะสมเพอ่ื นำมาใช้เป็นแหล่งพลงั งานสำรอง หากสัตวม์ ีสถานะของ
พลังงานที่ติดลบ (Negative energy balance) หรือสัตว์มีพลังงานในการดำรงชีพที่ไม่เพียงพอจะสลายไขมัน
(Fat mobilization) มาใช้เป็นแหล่งพลังงาน นอกจากนั้นไขมันยังพบว่ามีพลังงานที่สูงกว่าโภชนะอื่น ๆ อยู่
2.25 เทา่ โดยไขมนั 1 กรัม จะสามารถให้พลังงานได้ถงึ 9.33 กโิ ลแคลอรี่ อย่างไรก็ตามนอกเหนอื จากที่ไขมนั จะ
มีหน้าที่ในการเป็นแหลง่ พลังงานสำรองของสัตว์แล้ว ไขมันยังทำหนา้ ที่เกีย่ วข้องกับการทำงานของรา่ งกายอีก
ด้วยเช่นเป็นตัวขนส่งอิเล็กตรอนภายในเซลล์สัตว์ เป็นสารตั้งต้นในการผลิตฮอร์โมน เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาของ
เอนไซม์ เป็นส่วนปกปอ้ งอวัยวะภายในของรา่ งกายสัตว์ เปน็ ตวั ทำละลายให้กบั วิตามนิ ทล่ี ะลายในไขมนั และยัง
ทำหน้าท่ีเป็นฉนวนความร้อนในร่างกายสัตว์ ซ่งึ หากทำการสงั เกตสตั ว์ในเขตหนาวจะมกี ารสะสมของไขมันที่สูง
กวา่ สัตวเ์ ขตรอ้ นเพ่ือที่จะนำไขมนั ทส่ี ะสมในร่างกายน้ันมาใชร้ กั ษาความอบอุ่นให้แก่รา่ งกาย
โครงสร้างของไขมันจะประกอบด้วย คาร์บอน (Carbon ; C) ไฮโดรเจน (Hydrogen ; H) และ
ออกซิเจน (Oxygen ; O) คล้ายคลึงกับคาร์โบไฮเดรต แต่สัดส่วนของคาร์บอน และไฮโดรเจนจะสูงกว่า
ออกซิเจน โดยจะพบคารบ์ อนในโครงสร้างของไขมนั ประมาณ 77 เปอรเ์ ซน็ ต์ ส่วนไฮโดรเจน และออกซิเจนจะ
พบเพยี ง 11 – 12 เปอร์เซ็นต์เทา่ นน้ั โดยคุณสมบัติโดยทว่ั ไปของไขมันมีลักษณะมีข้ัว ดังนั้นไขมันจงึ ไม่สามารถ
ละลายในนำ้ ได้ แต่จะสามารถละลายได้ในสารอินทรีย์เชน่ อเี ทอร์ (Ether) คลอโรฟอรม์ (Chloroform) เบนซีน
(Benzene) และ แอลกอฮอล์ (Alcohol) เป็นต้น คุณสมบัติในการละลายในสารอินทรีย์เช่นนีเ้ ป็นเหตุให้มีการ
วเิ คราะหป์ ริมาณของไขมันโดยใช้อีเทอร์ในการทำละลายและสกัดไขมนั ออกจากอาหารของสัตว์เพ่ือหาปริมาณ
ของไขมัน โดยเรียกวิธกี ารนี้ว่าอีเทอร์เอ็กซแ์ ทร็กซ์ (Ether extract ; EE) ซึ่งหากมีการกล่าวรายงานถึงอีเทอร์
เอก็ ซ์แทร็กซจ์ ะเปน็ การกลา่ วถึงไขมัน แต่จะเปน็ ลกั ษณะของไขมนั รวมเนื่องจากมีสารคล้ายไขมนั รวมตัวอยู่ด้วย
โดยหน่วยที่ใหญ่ที่ของไขมันคือลิพิด (Lipid) หากจะกล่าวว่าไขมันคือลิพดิ ก็สามารถจะกล่าวถึงกันได้ แต่ลิพิด
ไม่ใชไ่ ขมันเพียงอยา่ งเดียวโดยลิพดิ จะสามารถมีองค์ประกอบของธาตุอืน่ ๆ เช่น ไนโตรเจน (Nitrogen ; N) และ
ฟอสฟอรัส (Phosphorus ; P) เป็นองค์ประกอบด้วย ความต่างของโครงสร้างนี้ทำให้มีการแบ่งไขมันและสาร
79
คล้ายไขมันได้เป็นหลายประเภทเช่น ไขมัน (Fats) แวกซ์ (Waxes) ฟอสโฟลิพิด (Phospholipids) ไกลโคลิพดิ
(Glycolipids) และสเตอรอลส์ (Sterols) เป็นต้น
3.4.1 การแบ่งประเภทของไขมันและสารท่คี ลา้ ยไขมนั
ลิพิดทพี่ บในธรรมชาตจิ ะถูกแบ่งออกเปน็ 2 ประเภทหลกั ๆ คอื ลิพดิ ทมี่ อี งค์ประกอบของกลีเซอร์รอล
เป็นองค์ประกอบ (Glycerol-based) และลิพิดที่ไม่มีกลีเซอร์รอลเป็นองค์ประกอบ (Non-glycerol-based)
ตามแผนภาพที่ 3.17 ซง่ึ ลพิ ิดทง้ั สองชนิดจะมีกรดไขมันทจี่ บั ตวั กนั เปน็ โมเลกุลขนาดใหญ่ แตล่ พิ ดิ ท่พี บในอาหาร
ของสตั ว์โดยสว่ นใหญแ่ ล้วจะเปน็ ลพิ ิดทมี่ ีองค์ประกอบของกลีเซอร์รอลเปน็ องคป์ ระกอบเช่น ไขมัน ไกลโคลิพิด
และฟอสโฟลิพิด โดยไกลโคลิพิดและฟอสโฟลิพิดจะถูกจัดอยู่ในลิพิดเชิงประกอบ (Compound lipids)
เนื่องจากมอี งคป์ ระกอบของโภชนะอืน่ เป็นสว่ นประกอบของโครงสรา้ ง ในส่วนของไขมนั จะถกู จัดอยู่ในประเภท
ของลิพดิ อยา่ งง่าย (Simple lipids) โดยไขมนั นั้นเป็นสว่ นทพ่ี บมากในอาหารสัตว์รวมถงึ ในร่างกายของสัตว์ด้วย
และในสว่ นของลิพิดอกี จำพวกท่ีไม่มีกลีเซอรร์ อลเปน็ องค์ประกอบสว่ นใหญจ่ ะไม่พบในอาหารสัตว์หรือพบได้ใน
ปริมาณน้อยเชน่ แวกซ์ และมลี พิ ิดในกล่มุ นี้ท่ีทำหน้าท่ีในรา่ งกายของสตั วเ์ ชน่ สเตอรอลซึ่งเป็นสารประกอบของ
เย่อื ห้มุ เซลล์ในสัตว์ และเปน็ สารฮอรโ์ มนในร่างกายสตั ว์ด้วย
Lipids
Glycerol-based Non-glycerol-based
Simple Compound Waxes
Fats Glycolipids phospholipids
Steroids
Terpenes
Sphingomyelins
แผนภาพที่ 3.17 การจำแนกประเภทของลพิ ิด
3.4.1.1 ลิพดิ ท่ีมีองค์ประกอบของกลเี ซอร์รอล (Glycerol based lipids)
1) ไขมนั (Fats)
ลพิ ิดชนดิ นจี้ ะไม่มีส่วนประกอบของธาตุอืน่ เปน็ สว่ นประกอบของลิพดิ โดยเกิดจากการจบั ตวั ของกรด
ไขมนั (Fatty acids) ร่วมกบั กลีเซอร์รอล (Glycerol) ลพิ ดิ ชนิดจะถูกเรียกว่าไขมนั (Fats) และจะถูกจำแนกไป
ตามจำนวนของกรดไขมันที่จับตัวกับกลีเซอร์รอลลงไปอีก โดยไขมันที่พบมากที่สุดจะเป็นไตรกลีเซอร์ไรด์
80
(Triglycerides) หรือไตรเอซลิ กลเี ซอรร์ อล (Triacylglycerols) โครงสร้างจะพบกรดไขมนั จำนวน 3 ตัวทีจ่ ับกับ
กลีเซอรร์ อล หากมีกรดไขมันเพียงจำนวนเดยี วจะถูกเรยี กว่าโมโนกลีเซอร์ไรด์ (Monoglycerides) และในส่วน
กรดไขมนั หากมีจำนวน 2 ตวั จะถกู เรยี กว่าไดกลเี ซอรไ์ รด์ (Diglycerides) ตามแผนภาพท่ี 3.18 ซ่ึงในธรรมชาติ
จะพบในรปู ของไตรกลีเซอร์ไรด์มากท่สี ดุ
Glycerol + R1. Fatty acid Monoglyceride + H2O
R1. Fatty acid Diglyceride + H2O
Glycerol + R2. Fatty acid
R1. Fatty acid
Glycerol + R2. Fatty acid Triglyceride + H2O
R3. Fatty acid
แผนภาพท่ี 3.18 การรวมตวั ของกลีเซอร์รอลและกรดไขมันทำใหเ้ กิดไขมนั ชนดิ ต่าง ๆ
การเปลีย่ นแปลงของสถานะของลิพิดชนิดน้ีทำให้สามารถเกดิ ช่ือเรียกท่แี ตกต่างกนั โดยหากลพิ ิดนี้อยู่ใน
สถานะของแข็งมักจะถูกเรียกว่าไขมัน แต่หากอยู่ในรูปของของเหลวจะถูกเรียกว่าน้ำมัน อย่างไรก็ตามการ
เรียกว่าไขมนั จะสามารถสือ่ ความหมายได้ถึงท้ังสองสถานะ ไขมันเป็นส่วนสำคญั ของทั้งพืชและสตั ว์ในการเปน็
แหลง่ พลังงานสำรอง และยงั สามารถสร้างความอบอุน่ ให้แก่ร่างกายสัตวไ์ ด้ด้วย ดงั นั้นไขมนั จึงมีความสำคัญใน
ลูกสัตว์อย่างมาก เพราะในลูกสัตว์เกิดใหมล่ ้วนแล้วแต่มีส่วนปกคลุมร่างกาย เช่นขนหรือผมที่น้อย ลูกสัตว์จะ
ต้องการไขมันเป็นอยา่ งมากในการสร้างความอบอุน่ ให้แก่ร่างกายเปน็ ต้น
คุณสมบตั ขิ องไขมัน
- ไฮโดรไลซสิ (Hydrolysis) ไขมันสามารถถูกย่อยสลายได้โดยการต้มร่วมกับด่างและสิ่งท่ีได้หลังจาก
กระบวนการคือสบู่ ในทางโภชนาการสัตว์ได้มีการนำหลกั การนี้มาใช้ในการผลิตไขมันไหลผ่านในการใชใ้ นสัตว์
เคีย้ วเออื้ ง การไฮโดรไลซสิ ยังสามารถเกดิ ขน้ึ ได้ในธรรมชาตขิ องตัวสัตวโ์ ดยเอนไซม์ไลเปส (Lipase) ในการย่อย
ไขมัน (Lipolysis) ซ่งึ จะเกิดขนึ้ ไดบ้ ริเวณลำไส้เล็กของสัตว์ โดยการยอ่ ยสลายของไขมันจะไดก้ ลีเซอร์รอล และ
กรดไขมัน การไฮโดรไลซิสยังสามารถเกิดในกระเพาะหมักของสัตว์เคี้ยวเอื้องโดยจุลินทรีย์ที่ย่อยไขมัน
(Lipolytic bacteria) ไดด้ ว้ ย กระบวนการไฮโดรไลซสิ จะเปน็ กระบวนการแรกเรม่ิ เมอ่ื มกี ารได้รับไขมันโดยสตั ว์
- ออกซเิ ดชนั (Oxidation) การออกซิเดชนั ของไขมนั ไมอ่ ิ่มตวั เปน็ สาเหตุจากความเหม็นหืนท่ีเกิดขึ้น
โดยการที่ไขมันโดยสัมผัสกับออกซิเจน ทำให้มีคาร์บอนอะตอมไปแทนที่ตรงตำแหน่งพันธะคู่ เป็นต้น
นอกเหนอื จากนนั้ การออกซิเดชนั่ ยงั สามารถทำให้เกดิ สารอนุมลู อิสระเกิดขนึ้ ได้โดยการโนม้ นา้ วการเกดิ ปฏกิ ิริยา
81
โดยแสงอาทิตย์ การออกซเิ ดชันจะทำให้กลน่ิ และรสชาติของไขมนั นน้ั ๆ มีการเปลย่ี นแปลงไป และยังส่งผลให้
เกดิ ความน่ากนิ ทล่ี ดลงดว้ ย การเกิดขึน้ ของกระบวนการน้ีในอาหารสัตวม์ ักเกิดขนึ้ กับอาหารสัตว์ที่มีปริมาณของ
ไขมนั ไมอ่ ่ิมตวั อยู่สูงเช่นรำข้าว การใชร้ ำข้าวในอาหารสัตว์จงึ จะต้องมีความสดใหม่เสมอ หากเก็บไว้นานจะเกิด
การหืนเกิดขึ้นและส่งผลต่อความน่ากินของสัตว์ อย่างไรก็ตามได้มีการพัฒนาสารป้องกันการออกซิเดชัน
(Antioxidants) ขึ้นเพื่อการเหม็นหืนของไขมันซึ่งได้แก่การใช้ ฟีนอล (Phenols) โทโคฟีรอล (Tocopherols)
หรือกรดกาลิก (Gallic acid) เปน็ ต้น โดยสารเหล่าน้ีล้วนแต่ได้ถกู นำมาใช้ในการเปน็ สารเสริมในอาหารสัตว์มา
หลายปีแลว้ สำหรบั สารต้านอนุมูลอสิ ระท่ีสามารถพบมาในธรรมชาตเิ ชน่ วิตามนิ อี ซึง่ ทำหน้าท่ีในการปกป้อง
ไขมนั จากสารอนุมลู อสิ ระในการเกดิ การออกซิเดชันของไขมนั ไมอ่ ่ิมตวั ได้ดว้ ยเช่นกัน
- ไฮโดรจีเนชัน (Hydrogenation) เปน็ กระบวนการทเ่ี ปล่ียนแปลงกรดไขมันไม่อิ่มตัวให้อยู่ในรูปของ
ไขมันอิ่มตวั โดยการเติมไฮโดรเจนเข้าไปในบริเวณที่มีพันธะคู่กระบวนการนีส้ ามารถเกิดขึ้นได้ในธรรมชาตโิ ดย
จุลินทรีย์ที่อยู่ในระบบทางเดินอาหารที่ต้องการเปลี่ยนแปลงกรดไขมันไม่อิ่มตัวเป็นกรดไขมันอิ่มตัวเนื่องจาก
กรดไขมนั ไมอ่ ิ่มตัวมีความเป็นพิษต่อจุลินทรยี ์ จุลนิ ทรียจ์ งึ ตอ้ งปกปอ้ งตนเองโดยการเปล่ียนกรดไขมันเหล่านี้ให้
อยู่ในรูปของกรดไขมันอิ่มตัว การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเช่นนี้จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนสภาพของไขมันให้มีมี
สถานะเป็นของแข็งในสภาวะอุณหภูมิห้อง และมีการนำกระบวนการเหล่านี้มาใช้ในการผลิตเนยเทียม
(Margarine) ซ่งึ เป็นการใช้นำ้ มนั พืชมาผลิตเนยเทยี ม เนยเทียมจะมีจดุ หลอมเหลวที่สงู มากซึ่งสามารถสังเกตได้
แม้ว่าเนยเทียมจะอยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนก็จะยงั คงไม่ละลาย ตา่ งจากเนยแท้ทจี่ ำเปน็ ท่ีจะต้องแช่ในความเย็น
อย่เู สมอ อย่างไรก็ตามกระบวนการไฮโดรจเี นชนั ท่ีไม่สมบรู ณ์จะมกี ารเกิดขน้ึ ของไขมันทรานส์ (Trans fats) ซ่ึง
พบว่าจะส่งผลเสียต่อผู้บริโภคเนื่องจากมีความสามารถในการใช้ประโยชน์ได้ต่ำ และหากได้รับในปริมาณทีส่ งู
อาจเกิดโรคหลอดเลือดหวั ใจอุดตันไดด้ ้วย จงึ มีการพยายามตอ่ ต้านการใช้เนยเทยี มข้นึ ถึงแม้วา่ การเกิดขึ้นของ
ไขมันทรานส์จะส่งผลเสียต่อผู้บริโภค แต่การเกิดขึ้นในสัตว์เคี้ยวเอื้องโดยกระบวนการไฮโดรจีเนชัน จะผลิต
ไขมันทรานส์ชนิดหนึ่งคือ กรดแวคเซนิก (Vaccenic acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันที่เป็นสารตั้งตน้ ในการสังเคราะห์
กรดคอนจเู กตลโิ นเลอกิ (Conjugated Linoleic Acid ; CLA) หรอื ทเี่ รยี กว่าซีเอลเอ ซึ่งเปน็ กรดไขมันท่ีพบมาก
ในผลิตภัณฑ์ของสัตว์เค้ียวเอื้อง และไดร้ ับการพิสูจน์แล้วว่าเปน็ กรดไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค สามารถ
ลดการเกดิ ของมะเรง็ และโรคหวั ใจได้
2) ไกลโคลพิ ิด (Glycolipid)
ไกลโคลิพิดเป็นลิพิดที่นอกเหนือจากมีองค์ประกอบของกรดไขมัน และกลีเซอร์รอลแล้ว ยังพบวา่
ส่วนประกอบของนำ้ ตาลและไนโตรเจนอยู่ในโครงสรา้ งอีกดว้ ย ลพิ ดิ ชนิดนเ้ี ป็นลพิ ดิ สำคญั ที่สัตว์เคยี้ วเอื้องได้รับ
82
เนื่องจากเป็นไขมันที่สามารถพบได้ในหญ้าและถ่ัว ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของกาแลคโตลิพิด
(Galactolipid) โดยกาแลคโตลิพิดเป็นลิพิดทมี่ ีส่วนประกอบของกาแลคโตสอยใู่ นโครงสร้าง (ภาพท่ี 3.22)
ภาพท่ี 3.22 โครงสร้างของกาแลคโตลิพิดท่มี อี งค์ประกอบของกาแลคโตสมาจับรว่ ม
ท่ีมา : McDonald et al. (2010)
เมื่อจุลินทรีย์ในกระเพาะหมักของสัตว์เคี้ยวเอื้องทำการหมักย่อยกาแลคโตลิพิดที่เป็นไขมันที่มาจาก
หญ้าและถั่วจะไดผ้ ลผลิตสุดท้ายคือกาแลคโตส กรดไขมัน และกลีเซอรร์ อล โดยเอนไซม์ทีห่ ลัง่ จากแบคทเี รียท่ี
ยอ่ ยไขมนั น่ันคือ กาแลคโตซเิ ดส (Galactosidases) สำหรบั ในรา่ งกายของสตั ว์จะพบไกลโคลิพิดในส่วนบริเวณ
สมอง และระบบประสาท ในรูปของสปิงโกลิพิด (Sphingolipid) โดยลิพิดชนิดนี้จะมีนอกเหนือจากการที่มี
กาแลคโตสเป็นส่วนประกอบแลว้ ยงั มหี ม่อู ะมโิ นเป็นแขนงข้างดว้ ย (ภาพท่ี 3.23)
ภาพที่ 3.23 องค์ประกอบของหมอู ะมิโนทเ่ี พ่ิมเติมเข้ามาในกาแลคโตลพิ ดิ ทำใหเ้ กิดสปิงโกลพิ ิด
ท่มี า : Mcdonald et al. (2010)
3) ฟอสโฟลพิ ิด (Phospholipid)
ลิพิดชนิดนี้จะมีองค์ประกอบของฟอสฟอรัสที่อยู่ในรูปของกรดฟอสฟอริกเป็นองค์ประกอบ ที่
นอกเหนอื จากคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซเิ จน นอกเหนอื จากนั้นยงั พบในลิพดิ หลายชนดิ มีองค์ประกอบของ
ไนโตรเจน ฟอสโฟลิพิดเป็นโครงสร้างหลักของเยื่อหุ้มเซลล์ในร่างกายสัตว์เช่น หัวใจ ไต และเนื้อเยื่อระบบ
ประสาท ส่วนในผลผลิตของสัตว์จะพบว่าในไข่ ในพืชมักพบมากในเมล็ดถั่วเหลืองโดยจะอยู่ในรูปของเลซิติน
(Lecithins) และเซฟาลิน (Cephalins)
83
- เลซิติน (Lecithins) นอกเหนือจากท่ีเลซติ ินจะมีองค์ประกอบของกรดฟอสฟอริกแลว้ ยงั พบว่ามสี าร
ฟอสฟาทีไดโคลีน (Phosphatidylcholines) ซึ่งเป็นสารท่ีให้วิตามินบีประเภทโคลีน (ภาพที่ 3.24) นอกจากนี้
ยงั พบว่าเลซิตินเปน็ ส่วนประกอบของเยอ่ื หุ้มสมอง กล้ามเน้ือ และเซลล์ประสาท เลซติ นิ ยงั มคี ุณสมบัตเิ ป็นสารท่ี
ทำให้น้ำกับนำ้ มนั เข้ากันได้ (Emulsifier) แหล่งของเลซิตินจะพบไดม้ ากในถั่วเหลอื ง ไข่แดง เป็นต้น โดยเลซิน
ตินสว่ นใหญแ่ ลว้ จะพบกรดปาล์มมิติก (Palmitic acid) และกรดโอเลอกิ (Oleic acid) เปน็ กรดไขมันหลัก ๆ ใน
โครงสรา้ ง
ภาพท่ี 3.24 โครงสร้างทางเคมขี องเลซิทตนิ
ทีม่ า : Mcdonald et al. (2010)
- เซฟาลิน (Cephalins) มีความคล้ายคลงึ กบั เลซิตนิ อย่างมากแตกตา่ งกันเพียงแค่มีการแทนท่ีโคลนี
ด้วย เอทนาโนลามีน (Ethanolamine) โดยเซฟาลินจะมีองค์ประกอบของกรดไขมนั ไม่อิ่มตัวเป็นองค์ประกอบ
หลักเช่นกรดลิโนเลอิก (Linoleic acid) กรดดีโคซาเฮกซาโนอิค (Docosahexaenoic acid ; DHA) เป็น
องคป์ ระกอบ
ฟอสโฟลิพดิ จะสามารถถูกยอ่ ยสลายได้โดยธรรมชาติในระบบทางเดินอาหารสัตว์โดยเอนไซมฟ์ อสโฟไล
เปส (Phospholipase) จะได้ผลผลติ คอื กรดไขมนั ฟอสเฟส และกลเี ซอรร์ อล ฟอสโฟลพิ ิดจะความตา่ งจากลิพิด
อื่นดา้ นคณุ สมบัติคือสามารถละลายในน้ำไดบ้ างส่วนอันเนื่องมาจากฟอสโฟลิพิดเกิดจากการรวมตัวของโมเลกุล
ของฟอสเฟตที่มีคุณสมบัติละลายในน้ำได้ (Hydrophilic) และกรดไขมันซึ่งไม่สามารถละลายน้ำได้
(Hydrophobic) ด้วยประการน้ีเองทำใหส้ ามารถทำละลายไขมนั รว่ มกบั ในได้ และทำหนา้ ที่หลักในบริเวณลำไส้
เล็กสว่ นดูโอดนี มั ในการละลายไขมันเข้ากับน้ำก่อนการยอ่ ยโดยเอนไซม์เป็นต้น
3.4.1.2 ลิพดิ ที่ไม่มอี งค์ประกอบของกลเี ซอร์รอล (Non-glycerol-based lipids)
1) แวกซ์ (Waxes)
แวกซ์ หรือไข และอาจสามารถเรียกได้ว่าขี้ผึ้งจัดอยู่ในลิพดิ ที่ไม่มีองค์ประกอบของกลีเซอร์รอล จะมี
องค์ประกอบคล้ายกับลิพิดอย่างง่ายคือไม่มีส่วนประกอบของธาตุอื่น ๆ ในโครงสร้างคล้ายคลึงกับไขมันแต่มี
ความแตกต่างกันคือองค์ประกอบของแวกซ์จะพบกรดไขมันที่ผสมร่วมกับแอลกอฮอล์ ขณะที่ไขมันจะเป็นกรด
ไขมันผสมรว่ มกับกลเี ซอรร์ อล ด้วยประการนเ้ี องทำใหแ้ วกซม์ นี ำ้ หนกั ของโมเลกุลท่ีสูงและมสี ถานะเป็นของแข็ง
84
เม่อื อยูใ่ นอณุ หภูมหิ อ้ ง แวกซ์สามารถพบได้อยา่ งมากในตัวของสัตวเ์ องรวมถึงพืชเน่อื งจากแวกซจ์ ะคอยทำหน้าท่ี
ลดการสญู เสยี น้ำในกระบวนการคายน้ำของพืช โดยแวกซจ์ ะไปเคลือบที่ตวั ผิวของพืช ซง่ึ แวกซ์มีคุณสมบัติบัติท่ี
ไมช่ อบนำ้ อยแู่ ลว้ ในสว่ นของสัตว์แวกซ์จะทำการไปเคลือบขนของสัตวเ์ พ่ือให้มีความสามารถในการป้องกันน้ำ
ได้ โดยในบรรดาแวกซ์ทั้งหมดจะพบว่าลาโนลิน (Lanolin) จะสามารถพบได้มากที่สุดคือที่ขนสัตว์รวมถึง
ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสัตว์ทะเลน้ำลึก อย่างไรก็ตามแวกซ์จะมีความคงทนต่อการย่อยสลายเป็นอย่างมากจึงเปน็
สาเหตุให้มีความสามารถในการใช้ประโยชน์ในสัตว์ได้ที่ต่ำ การที่มีแวกซ์อยู่ในอาหารสัตว์ที่สูงจะทำให้ปริมาณ
ของไขมนั มีค่าทีส่ งู เกนิ ความเป็นจริงจากวิธกี ารวิเคราะหไ์ ขมนั โดยใช้วธิ ีการอีเทอรแ์ อกซ์แทรกซ์ ทำให้ประมาณ
คา่ ของโภชนะท่ีผดิ ไป
2) สเตอรอล (Sterols)
สเตอรอลจัดไดว้ ่าเป็นลพิ ดิ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั การทำงานในร่างกายของสตั วอ์ ยา่ งมากจึงเป็นลพิ ดิ ที่สำคัญ
หากมีความผดิ ปกตจิ ะสง่ ผลต่อการทำงานของรา่ งกายสตั ว์ที่ผดิ เพย้ี นไป โดยสารทอ่ี ยู่ในหมวดหม่ขู องสเตอรอยด์
ท่ีเป็นท่ีรู้จักกนั ได้แก่ คอเลสเตอรอล (Cholesterols) กรดน้ำดี (Bile acid) และ ฮอร์โมนเพศ (Sex hormone)
ซึ่งความต่างของลิพิดชนิดนี้จะเป็นลิพิดที่มีโครงสร้างที่เป็นวงแหวน 5 เหลี่ยม (Cyclopentane ring) เป็นตน้
นอกจากนั้น สเตอรอลเป็นลิพิดที่ไม่มีหมู่คาร์บอกซิล และกลีเซอรรอลแต่จะพบว่ามีแอลกอฮอล์อยู่ใน
องค์ประกอบ และมีแขนงข้างเป็นคาร์บอนอะตอมจำนวน 8 ถึง 10 อะตอม และจะถูกจำแนกออกไปตาม
แหล่งที่มาเช่นหากเป็นสเตอรอลที่พบในพืชจะถูกเรียกว่า ไฟโตสเตอรอล (Phytosterols) หากพบในราจะถกู
เรียกว่า ไมโคสเตอรอล (Mycosterols) และถ้าหากพบในสัตว์จะถูกเรียกว่า ซูสเตอรอล (Zoosterols) โดย
สเตอรอลท่ีพบในพืช และรา จะไม่สามารถดดู ซึมไดใ้ นระบบทางเดินอาหารสตั ว์
- คอเลสเตอรอล (Cholesterol) เป็นสเตอรอลทพ่ี บในสัตว์ในเซลล์เนื้อเยื่อของสัตว์ทกุ ชนิด เป็นส่วน
สำคญั ที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทและยังเปน็ สารต้ังต้นในการสงั เคราะห์สเตยี รอยด์ฮอรโ์ มน รวมถึงเป็นสารตั้ง
ต้นในการสร้างน้ำดีดว้ ย คอสเลสเตอรอลมีความสำคัญต่อการขนส่งของไขมันในร่างกายโดยเป็นสว่ นประกอบ
ของโปรตีนที่มีองค์ประกอบของไขมนั เปน็ องคป์ ระกอบหรอื ไลโพโปรตีน (Lipoprotein) โดยไลโพโปรตีนน้นั มี
ความแตกต่างกันทางด้านขนาด น้ำหนักโมเลกุล องค์ประกอบ ทำให้ไลโพโปรตีนมีความความหนาแน่นท่ี
แตกต่างกัน (ตารางที่ 3.5) จึงเป็นแหตุให้มีการจำแนกไลโพโปรตีนออกเป็น 5 ประเภทตามความหนาแน่น
ปรมิ าณของไลโพโปรตีนดงั กลา่ วจะมผี ลตอ่ ความเสย่ี งในการเกิดโรคหลอดเลอื ดหัวใจอุดตันโดยหากในร่างกายมี
ปริมาณของ LDL ที่สูงจะทำให้เกิดการลดลงของ HDL จะทำให้ระดับของคอเลสเตอรอลในร่างกายสูงซึ่ง
สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้โดยการควบคุมการบริโภคของไขมัน โดยพยายามบริโภคไขมันที่ไม่อิ่มตัวให้
มากกวา่ ไขมนั ท่อี ่มิ ตัวจะสามารถลดปรมิ าณของคอเลสเตอรอลในรา่ งกายได้
85
ตารางท่ี 3.5 องคป์ ระกอบของลพิ ดิ ในไลโพโปรตีนท่ีมคี วามหนาแน่นท่ีแตกตา่ งกัน
Item % of Lipoprotein
Phospholipid Triglyceride Cholesterol Protein
High density lipoproteins (HDL) 30 5 20 45
Low density lipoproteins (LDL) 20 10 45 25
Intermediate density lipoproteins 17 45 25 18
(IDL)
Very low-density lipoproteins (VLDL) 18 60 14 8
Chylomicron 4 90 5 1
ท่ีมา : McDonald et al. (2010)
- 7 ดีไฮโดรคอเลสเตอรอล (7-Dehydrocholesterol) เป็นอนพุ ันธุข์ องคอเลสเตอรอลที่เปน็ สารต้ัง
ตน้ ในการสงั เคราะหว์ ิตามินดี 3 ซ่ึงจะเกดิ ขึ้นเม่ือสเตอรอลถกู สมั ผัสกบั แสงอลุ ตร้าไวโอเลตดงั ภาพที่ 3.25
ภาพท่ี 3.25 การสงั เคราะหว์ ติ ามนิ ดี 3 จากสเตอรอลที่ถกู แสงอุลตรา้ ไวโอเลต
ที่มา: McDonald et al. (2010)
- กรดน้ำดี (Bile acid) กรดน้ำดีจะถูกสังเคราะห์โดยคอเลสเตอรอลจึงมีการพยายามลดการนำกลบั
ของน้ำดีมาใช้ประโยชน์เพื่อให้มีการนำคอเลสเตอรอลมาสังเคราะห์เป็นกรดน้ำดีใหม่เพื่อลดปริมาณ
คอเลสเตอรอลในรา่ งกาย โดยกรดนำ้ ดจี ะถูกสรา้ งขนึ้ ทต่ี บั และกักเก็บไว้ในถงุ นำ้ ดี เพ่อื รอการหลัง่ ไปยังลำไส้เล็ก
ส่วนต้น เพือ่ ทำหนา้ ทใ่ี นการทำให้ไขมนั เกดิ การแตกตวั และละลายไขมนั เขา้ กับนำ้ นอกเหนอื จากน้ันยงั ทำหนา้ ที่
ในการกระตนุ้ การทำงานของเอนไซมไ์ ลเปสและยังชว่ ยในการดดู ซึมของไขมันและวติ ามนิ อีกดว้ ย
- ฮอร์โมนสเตียรอยด์ (Steroid hormones) โดยส่วนใหญ่แล้วจะพบเป็นฮอร์โมนเพศเป็นหลัก
เช่น เอสโตรเจน (Estrogen) แอนโดรเจน (Androgen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) นอกเหนือจาก
นนั้ จะเป็นฮอรโ์ มทีผ่ ลิตจากตอ่ มหมวดไตที่คอยควบคมุ การทำงานในการเมแทบอลิซึมของกลูโคสและไขมัน เป็น
ต้น
86
3) เทอรพ์ ีน (Terpenes)
เป็นลิพิดที่ประกอบขึ้นจากหน่วยไอโซพรีน (Isoprene) ซึ่งมีคาร์บอน 5 อะตอม พบมากในน้ำมนั
หอมระเหย (Essential oils) น้ำมันชนดิ นีไ้ ม่ได้มคี วามจำเป็นต่อตัวสตั ว์ แตภ่ ายหลงั ได้มีการนำมาใช้ปะโยชน์ใน
การเป็นสารเสริมแก่สัตว์เพื่อปรับปรุงระบบทางเดนิ อาหาร แตใ่ นพชื จะมคี วามสำคญั อย่างยง่ิ เนื่องจากกล่นิ ท่แี รง
จะสามารถไลแ่ มลงได้และเป็นฮอรโ์ มนในพืชอกี ด้วย
3.4.2 ชนิดของกรดไขมันและกรดไขมนั ทจี่ ำเปน็
กรดไขมันที่พบในธรรมชาติจะมีจำนวนของคาร์บอนอะตอมเป็นจำนวนเลขคู่ และจะถูกจำแนก
ออกเป็น 2 ประเภทซึ่งได้แก่กรดไขมันอิ่มตัว (Saturated fatty acids ; SFA) และกรดไขมันไม่อิ่มตัว
(Unsaturated fatty acids ; UFA) จากความแตกต่างทางด้านโครงสร้าง โดยกรดไขมันไม่อิ่มตัวจะพบว่ามี
พันธะคเู่ กิดขึน้ ในโครงสรา้ งของกรดไขมัน สว่ นไขมันอ่มิ ตวั จะไม่พบพันธะคู่ในโครงสร้างระหว่างคาร์บอนอะตอม
นอกเหนือจากน้ันยังมกี ารแยกประเภทกรดไขมันไม่อิม่ ตวั ตามจำนวนของพันธะคูด่ ้วย ซ่ึงหากกรดไขมนั ไมอ่ ่มิ ตัว
มีจำนวนของพันธะคู่ 1 ตำแหน่ง จะถูกเรียกว่ากรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว (Monounsaturated fatty
acids ; MUFA) ส่วนถ้าหากมีจำนวนพันธะค่มู ากกว่า 1 ตำแหน่งจะถกู เรยี กว่ากรดไขมันไม่อิม่ ตัวหลายตำแหน่ง
(Polyunsaturated fatty acids ; PUFA) ดงั ภาพที่ 3.26 ความแตกต่างของจำนวนพันธะคู่ รวมถึงจำนวนของ
คารบ์ อนอะตอมจะทำใหเ้ กดิ คุณสมบัตทิ แี่ ตกต่างกนั ของกรดไขมนั แต่ละชนดิ
Saturated fatty acid Monounsaturated fatty acid Polyunsaturated fatty acid
ภาพท่ี 3.26 โครงสรา้ งของกรดไขมันทีแ่ ตกตา่ งกันโดยพนั ธะค่รู ะหว่างคารบ์ อนอะตอม
ทีม่ า: http://www.raw-milk-facts.com/images/FatTrio.gif
การเกดิ พันธะคใู่ นระหวา่ งคาร์บอนอะตอมเป็นเหตุให้สามารถเกดิ ไอโซเมอร์ (Isomer) ของกรดไขมนั ได้
เป็น 2 รปู คอื ซสิ (cis) และ ทรานส์ (trans) โดยสามารถพจิ ารณาไดจ้ ากตำแหนง่ ของไฮโดรเจนบริเวณพันธะคู่
หากไฮโดรเจนบริเวณพันธะคู่อยู่ในลักษณะที่ตรงกันข้ามจะเป็นโครงสร้างแบบทรานส์ แต่ถ้าหากอยู่ในข้าง
เดยี วกนั จะเปน็ โครงสร้างแบบซสิ ดงั ภาพที่ 3.27
ภาพท่ี 3.27 cis และทรานสบ์ ริเวณพนั ธtrะaคn่ขู sองกรดไขมันไม่อ่ิมตัว
การเกดิ โครงสร้างแบบซิส
ท่ีมา: https://ibslbiology.files.wordpress.com/2018/03/trans-and-cis-fats-molecules.jpg
87
3.4.2.1 การเขียนสญั ลกั ษณโ์ ดยย่อของกรดไขมัน
การเขียนสัญลักษณ์โดยย่อของกรดไขมันจะสามารถเขียนโดยระบุจำนวนของคาร์บอนอะตอม
และจำนวนของพนั ธะคู่ เชน่ C18:1 ซ่ึงหมายถึงกรดไขมันท่ีมจี ำนวนคาร์บอนอะตอมจำนวน 18 ตัว และมพี นั ธะ
คู่จำนวน 1 ตัว และอาจให้รายละเอียดมากกว่านน้ั เช่นตรงบริเวณตำแหนง่ ของคาร์บอนอะตอมนับจากหมู่คาร์
บอกซิลนั้นมีการจับตัวระหว่างพันธะคู่แบบซิสหรือทรานส์ เช่น c9,c12-C18:2 ซึ่งนอกเหนือจากที่ระบุว่ากรด
ไขมันน้มี ีจำนวนของคาร์บอนอะตอมจำนวน 18 ตัว และมจี ำนวนพนั ธะคู่ 2 ตวั แลว้ ยงั ระบวุ า่ บพนั ธะคทู่ เี่ กดิ ข้ึน
ตรงตำแหน่งที่ 9 และ 12 เป็นการจัดตัวแบบซิส เป็นต้น อย่างไรก็ตามโดยปกติแล้วหากบริเวณของพันธะคู่มี
การแสดงออกของโครงสรา้ งแบบซสิ มักจะไมเ่ ขียนสัญลักษณน์ ้ลี งในคำยอ่ มกั จะเขียนกรณที ี่มีการแสดงออกของ
โครงสรา้ งแบบทรานส์มากกว่า เช่น t11-C18:1 เปน็ ตน้
ซึ่งนอกเหนือจากการเขียนสัญลักษณ์โดยย่อของกรดไขมันดังที่ได้กล่าวในข้างต้นแล้ว ยังมีการเขียน
สัญลกั ษณ์ของกรดไขมนั ได้เพิม่ เตมิ อกี เช่นการเขียนได้ในระบบเดลต้า (Delta ; ∆) และระบบโอเมก้า (Omega;
ω) โดยระบบเดลต้าจะแสดงสัญลกั ษณ์เพื่อกำกับว่ามพี ันธะคู่ท่ตี ำแหนง่ ใดบา้ งหลังจากท่รี ะบจุ ำนวนของพันธะ
คูย่ กตัวอยา่ งเช่น ดังภาพที่ 3.28 กรดไขมัน α-Linolenic acid มีจำนวนของคารบ์ อนอะตอมทง้ั ส้ิน 18 อะตอม
มจี ำนวนของพันธะคทู่ ้ังส้นิ 3 ตำแหนง่ โดยหากนับจากหมคู่ าร์บอกซิลจะอยูต่ ำแหนง่ ท่ี 9 12 และ 15 ดงั น้ันจะ
สามารถเขียนสญั ลักษณ์ของกรดไขมนั น้ีในระบบเดลต้าไดค้ ือ C18:3∆9,12,15 เป็นต้น Methyl group
Carboxyl group
1 2 3 14 5 6 7 8 9 18
10 11 12 13 14 15 16 17
ภาพท่ี 3.28 โครงสร้างของกรดไขมัน α-Linolenic acid ทีเ่ รยี งลำดับคาร์บอนจากหมู่คารบ์ อกซิล
ในส่วนของการเขียนสัญลักษณ์ในรูปแบบของโอเมก้าจะจัดจำพวกของกรดไขมันไม่อิ่มตัวให้อยู่เป็น
ตระกูล(family) โดยจะพิจารณาการจัดกลุ่มจากลำดับของพันธะคู่ที่ตำแหน่งแรกที่ใกล้หมูเ่ มททิลมากที่สุดโดย
สัญลักษณ์ยกตัวอย่างเช่นกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า 9 (Omega-9) หรืออาจจะเขียนได้ว่า ω-9 หรือ n-9 ก็ได้
ยกตัวอย่างเช่น กรดไขมัน α-Linolenic acid มีตำแหน่งของพันธะคู่ที่ใกล้หมู่เมททิลมากที่สุดคือตำแหน่ง
คาร์บอนอะตอมที่ 3 α-Linolenic acid จึงถูกจัดอยู่ในตระกูลโอเมก้า 3 (Omega-3; ω-3; n-3) ดังภาพที่
3.29
88
Carboxyl group Methyl group
54 3 2 1
ภาพท่ี 3.29 โครงสรา้ งของกรดไขมัน α-Linolenic acid ท่เี รียงลำดบั คารบ์ อนจากหมู่เมทิล
กรดไขมันที่ถูกจัดในตระกูลโดยระบบโอเมก้าที่สำคัญจะได้แก่กรดไขมันในตระกูลโอเมก้า 3 และ 6
ความต่างของลำดับพันธะคู่จะส่งผลตอ่ ปัจจยั ด้านของสุขภาพผู้บรโิ ภคด้วย โดยปัจจุบันได้มีการให้ความสำคญั
ของสัดส่วนโอเมก้า 6 ต่อโอเมก้า 3 อย่างมาก โดยนักโภชนศาสตร์สัตว์พยายามที่จะลดสัดส่วนของกรดไขมนั
เหล่านีล้ งเพื่อให้เปน็ ประโยชน์ต่อผู้บรโิ ภคและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอ้วน ซงึ่ มกี ารพสิ จู นแ์ ลว้ ว่าสัดส่วนดัง
กลาวจะส่งผลต่อระบบการทำงานในร่างกายโดยมีการทำวิจัยเปรียบเทียบระหว่างประชาชนประเทศ
สหรัฐอเมริกาซึ่งนิยมทานอาหารที่ผ่านการทอดซึ่งโดยส่วนใหญ่มีปริมาณของกรดไขมนั โอเมก้า 6 ที่สูง ทำให้
สัดส่วนของกรดไขมันโอเมก้า 6 ต่อ โอเมก้า 3 สูงถึงระดับ 60-80 ต่อ 1 เมื่อเปรียบเทียบกับชาวเอสกิโมท่ี
บริโภคปลาทะเลน้ำลึกซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะมีปริมาณของกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่สูง ทำให้สัดส่วนของ กรด
ไขมนั โอเมกา้ 6 ต่อ โอเมกา้ 3 มรี ะดับทต่ี ่ำ คือ 3-4 ต่อ 1 ซึง่ ประการนี้เองพบวา่ ชาวเอสกีโมมีความเสียงต่อการ
เกิดโรคหลอดเลอื ดหัวใจอุดตันท่ีต่ำกว่า และมีอายุท่ียืนยาวกว่าด้วย โดยสาเหตุทีเ่ กิดข้ึนเน่ืองจากกรดไขมนั ใน
ตระกูลโอเมก้า 3 จะมีความสามารถในการลดปริมาณไตรกลีเซอร์ไรด์ในร่างกายที่สูงกว่ากรดไขมันตระกูลโอ
เมกา้ 6 แตก่ รดไขมันโอเมกา้ 6 จะสามารถลดคอเลสเตอรอลในรา่ งกายได้สงู กว่ากรดไขมันโอเมก้า 3 ซงึ่ ปรมิ าณ
ไตรกลีเซอรไรด์ในกระแสเลือดที่สูงนั้นจะส่งผลทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันด้วย
นอกเหนือจากนั้นยังเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์ฮอร์โมนในร่างกายได้อีกด้วย จึงสรุปได้ว่ากรดไขมันใน
ตระกลู โอเมก้า 3 น้ันมีประโยชนม์ ากกว่ากรดไขมันในตระกูลโอเมก้า 6 อย่างไรก็ตามก็ไม่สามารถขาดกรดไขมัน
ตระกูลโอเมก้า 6 ได้เนือ่ งจากยงั มีความจำเปน็ ในร่างกายอยู่เชน่ การตา้ นการอักเสบ เป็นต้น
3.4.2.2 กรดไขมันทพี่ บมากในธรรมชาติ
กรดไขมันที่พบในธรรมชาติส่วนใหญ่แล้วจะมจี ำนวนของคาร์บอนอะตอมเป็นจำนวนเลขคู่ ซึ่ง
ประการหลกั เกดิ ขึน้ วิถีอะซิทิลโคเอ (Acetyl-CoA) ที่ทำการสังเคราะห์ไขมันเรม่ิ ต้นจากกรดไชมันที่มีจำนวน 2
คาร์บอนอะตอม นน่ั คอื อะซเิ ตต (Acetate; C2) และก็จะเพ่ิมจำนวนคารบ์ อนอะตอม (Elongation) จำนวนทล่ี ะ
2 อะตอมจงึ เป็นสาเหตุให้กรดไขมนั ทีพ่ บในธรรมชาตมิ ักมีจำนวนของคาร์บอนเป็นเลขคู่ อยา่ งไรก็ตามยังพบว่า
มกี รดไขมนั บางชนดิ ทเี่ ป็นเลขคีซ่ งึ่ พบได้ในไขมันน้ำนมได้แก่กรดคาโพรอิก (Caproic acid ; C5:0) เปน็ ต้น โดย
กรดไขมนั ท่ีพบมากในธรรมชาติมดี งั ต่อไปน้ีตามตารางท่ี 3.6
89
ตารางที่ 3.6 รายช่ือกรดไขมันที่พบมากในธรรมชาติและจดุ หลอมเหลว
ชอื่ สามญั จำนวน จดุ แหลง่ ท่พี บ
คาร์บอน หลอมเหลว
(๐C)
กรดไขมนั อมิ่ ตัว
กรดคาไพรลกิ (Caprylic acid) C8:0 16.3 น้ำนม นำ้ มันมะพร้าว
กรดคาพริก (Capric acid) C10:0 31.2 นำ้ มันมะพรา้ ว นำ้ มนั ปาล์ม
กรดลอริก (Lauric acid) C12:0 43.9 กะทิ น้ำมนั มะพรา้ ว นำ้ มนั ปาลม์
กรดมายริสติก (Myristic acid) C14:0 54.1 น้ำมนั มะพร้าว น้ำมนั ปาลม์ เนย
กรดปาลมติ ิก (Palmitic acid) C16:0 62.7 นำ้ มันปาลม์ นำ้ มันมะพรา้ ว นม
กรดสเตยี ริก (Stearic acid) C18:0 69.6 ไขมันสตั ว์ นม
กรดไขมนั ไม่อิ่มตัว
กรดปาลมิโตเลอิก (Palmitoleic acid) C16:1n-7 0 ไขมันสตั ว์ นม
กรดโอเลอกิ (Oleic acid) C18:1n-9 13 น้ำมันมะกอก ไขมนั สตั ว์
กรดลโิ นเลอิก (Linoleic acid) C18:2n-6 -5 น้ำมนั ถว่ั เหลือง น้ำมันข้าวโพด
น้ำมนั ทานตะวนั น้ำมนั งา
กรดแอลฟาลิโนเลนกิ (α-Linolenic C18:3n-3 -14.5 น้ำมนั ลินสีด หญ้าสด
acid) นำ้ มนั คาโนลา่ นำ้ มันทานตะวนั
กรดอะราชิโดนิก (Arachidonic acid) C20:4n-6 -49 น้ำมันตบั ปลา ไขมันสัตว์
กรดอีโคซาเพนตาอโี นอิก C20:5n-3 -54 สาหรา่ ยนำ้ ลึก ปลาทะเลน้ำลกึ
(Eicosapentaenoic acid ; EPA) นำ้ มันปลา นำ้ มนั ตบั ปลา
กรดโดโคซะเฮกซะอีโนอิก C22:6n-3 -44 สาหร่ายน้ำลึก ปลาทะเลน้ำลึก
(Docosahexaenoic acid ; DHA) นำ้ มนั ปลา นำ้ มันตับปลา
ทีม่ า : Mcdonald et al. (2010)
จากตารางที่ 3.6 จะพบวา่ โดยสว่ นใหญ่แลว้ กรดไขมนั อ่มิ ตวั จะมีปรมิ าณของจุดหลอดเหลวท่ีสูงกว่ากรด
ไขมันไมอ่ มิ่ ตวั นอกจากน้ันเมอ่ื จำนวนของคาร์บอนอะตอมยิ่งมีจำนวนท่ีมากขึ้นก็จะยงิ่ มีจุดหลอดเหลวท่ีสูงขึ้น
แต่สำหรับกรดไขมันไม่อิ่มตัวนั้นระดับของความไม่อิ่มตัว (Degree of unsaturated) ซึ่งสามารถพิจารณาได้
จากจำนวนพันธะคู่ของพันธะคู่ โดยหากมีจำนวนของพันธะคู่ที่มากจะแสดงถึงความไม่อิ่มตัวที่มาก ดังนั้นจึง
สังเกตุได้ว่ากรดไขมันไม่อิ่มตัวเช่น อีพีเอและดีเอชเอมีจุดหลอมเหลวที่ต่ำมาก เป็นต้น ในกรดไขมันที่พบใน
ธรรมชาตินั้นกรดไขมันไม่อิ่มตัวบางชนิดสามารถเกิดขึ้นได้จากการสังเคราะห์โดยเอนไซม์ ดีแซตูเรส
90
(Desaturase) ซึ่งจะทำการเพิ่มจำนวนของพันธะคู่เช่น กรดปาลมิโตเลอิก (C16:1) เกิดจากการเปลี่ยนแปลง
ของกรดไขมันปาลมติ ิก (C16:0) เชน่ เดียวกับกรดโอเลอิก (C18:1) กส็ ามารถเกิดขึ้นโดยการเปล่ียนแปลงกรดส
เตียรกิ (C18:0) ไดเ้ ชน่ กนั
หากทำการจำแนกกรดไขมันตามจำนวนของคาร์บอนอะตอม หรือความยาวของสายกรดไขมันจะ
สามารถจำแนกได้เป็น 4 ช่วง คือ กรดไขมันสายสั้น (Short chain fatty acids) โดยกรดไขมันสายสั้นจะเป็น
กรดไขมันท่ีมีจำนวนของคาร์บอนอะตอมตั้งแต่ 2 ถึง 6 อะตอม ดังนั้นกรดไขมันสายส้ันจึงมีการรวมกรดไขมัน
ระเหยได้เขา้ มาดว้ ยซ่งึ ได้แก่ กรดอะซติ กิ (Acetic acid ; C2:0) กรดโพรพิโอนิก (Propionic acid ; C3:0) และ
กรดบิวทรี ิก (Butyric acid ; C4:0) ในสว่ นของกรดไขมันสายกลาง (Medium chain fatty acids) จะเป็นกลุ่ม
ของกรดไขมันที่จำนวนของคาร์บอนอะตอมตั้งแต่ 6 ถึง 14 ตัว กรดไขมันกลุ่มนี้มักจะมีความสามารถในการ
สังเคราะห์โดยตัวสัตว์เอง (Fat de novo synthesis) ได้แม้จะไม่ได้รับจากอาหาร และส่วนใหญ่จะเป็นกรด
ไขมันอิ่มตัว ขณะที่กรดไขมันที่มีจำนวนคาร์บอนอะตอมเพ่ิมขึ้นจากกรดไขมันสายกลางจะเป็นกรดไขมันสาย
ยาว (Long chain fatty acids) กรดไขมันกลมุ่ น้ีจะมีจำนวนของคารบ์ อนอะติมตั้งแต่ 16 ถงึ 18 ตวั กรดไขมัน
ในกลุ่มนจี้ ะเรม่ิ ปรากฎพบกรดไขมนั ไมอ่ ่ิมตวั ซึง่ กรดไขมันในกลุ่มนี้จะเป็นกรดไขมนั ที่เกิดจากการสงั เคราะห์โดย
ตัวสัตว์เองและไดร้ บั จากอาหาร เป็นต้น และประเภทสุดท้ายคือกรดมันสายยาวมาก (Very long chain fatty
acids) กรดไขมนั ในกลุ่มนม้ี กั เปน็ กรดไขมันไมอ่ ่ิมตัวและจำเปน็ ท่จี ะตอ้ งได้รบั จากอาหารเทา่ นั้น
3.4.2.3 กรดไขมันทจ่ี ำเปน็ (Essential fatty acids ; EFA)
กรดไขมนั ที่จำเปน็ หมายถงึ กรดไขมนั ท่รี า่ งกายขาดไม่ไดเ้ นอื่ งจากไมส่ ามารถสังเคราะหไ์ ดเ้ องโดย
ร่างกายของสตั ว์มคี วามจำเปน็ ที่จะต้องได้รับจากอาหารเท่าน้ัน กรดไขมันที่จำเปน็ มีทั้งสนิ้ 3 ชนดิ ได้แก่ กรดลิ
โนเลอิก กรดแอลฟาลิโนเลนิก และกรดอะราชิโดนกิ เป็นตน้ อยา่ งไรก็ตามกรดอะราชิโดนกิ นนั้ สามารถท่ีจะถูก
สงั เคราะหไ์ ดจ้ ากกรดลิโนเลอิกได้ภายในร่างกายของสัตว์ โดยเอนไซม์ ∆6-Desaturase แตก่ ารรบั โดยตรงจะมี
ประสิทธิภาพที่สูงกว่าการได้รับกรดลิโนเลอิกและกรดแอลฟาลิโนเลนิก 1.5 เท่า เนื่องจากความจำกัดของ
เอนไซม์ การขาดกรดไขมันที่จำเปน็ จะส่งผลต่อการเจรญิ เตบิ โตท่ีช้าของสัตว์ รวมถึงมีการแสดงอาการผิวหนังที่
ผิดปกตทิ ำใหเ้ กดิ โรคผวิ หนงั นอกเหนอื จากนนั้ ยังเปน็ ผลทำให้สตั วม์ ีการบรโิ ภคนำ้ ท่เี พิ่มมากขึ้นจนทำใหส้ ตั ว์เกิด
อาการบวมนำ้ ได้ การขาดกรดไขมนั ทจี่ ำเป็นยังทำให้เกดิ ความอ่อนแอของสัตวอ์ ันเนอื่ งจากสัตว์มีความสามารถ
ในการป้องกันโรคที่ต่ำ โดยเฉพาะการป้องกันโรคที่เกิดขึ้นจากจุลชีพเช่นการอักเสบ เป็นต้น และส่งผลต่อ
กระบวนการเมแทบอลิซึมทำให้เกิดการสังเคราะห์พลงั งานทตี่ ับลดลง และมีการใช้ประโยชน์ของไนโตรเจนท่ีต่ำ
ด้วย
91
โดยปกตแิ ลว้ ในสัตว์เล้ยี งลูกด้วยนมจะต้องการกรดไขมันที่จำเป็นอยู่ที่ 3 เปอร์เซ็นต์ของความต้องการ
พลังงาน อย่างไรก็ตามในชนดิ สัตวแ์ ตล่ ะชนิดจะมีความต้องการที่แตกตา่ งกันยกตัวอยา่ งเชน่ ในสกุ รท่ีมีนำ้ หนกั
ตัวต่ำกว่า 30 กิโลกรมั สกุ รจำเป็นทีจ่ ะตอ้ งไดร้ บั กรดไขมันท่ีจำเปน็ หากเสรมิ ในรปู ของกรดลิโนเลอกิ จะต้องให้ท่ี
ปริมาณ 3 เปอรเ์ ซน็ ต์ของความตอ้ งการพลงั งาน แต่หากใชใ้ นรปู กรดอะราชโิ ดนกิ จะใชท้ ่ี 2 เปอรเ์ ซ็นตข์ องความ
ต้องการพลังงาน ในส่วนของสุกรที่มีน้ำหนักตัวอยู่ในช่วง 30 ถึง 90 กิโลกรัม จะมีความต้องการกรดไขมันท่ี
จำเป็นกรณีที่เป็นกรดลิโนเลอกิ จะต้องให้ท่ีปริมาณ 1.5 เปอร์เซ็นต์ของความตอ้ งการพลังงาน แต่หากใช้ในรูป
กรดอะราชิโดนิกจะใช้ที่ 1 เปอร์เซ็นต์ของความต้องการพลังงาน สำหรับแหล่งของกรดไขมันที่จำเป็นมกั มาก
จากเมลด็ พชื นำ้ มันเปน็ สว่ นใหญ่เช่นเมลด็ ถ่วั เหลือง เมลด็ ลนิ สีด เมลด็ ทานตะวนั เป็นต้น
ในส่วนของสัตว์เคี้ยวเอื้องหากได้รับอาหารจำพวกหญ้าอยู่แล้วมักจะไม่ขาดกรดไขมันที่จำเป็นอัน
เนื่องจากหญ้าจะเป็นแหล่งของกรดลิโนเลอิกและแอลฟาลิโนเลนิก ถึงแม้ในกระเพาะหมักจะมีกระบวนการ
เปลี่ยนแปลงกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวให้เป็นกรดไขมันอิ่มตัว (Bio-hydrogenation) ที่เปลี่ยนแปลงกรดไขมันท่ี
จำเป็นให้เปน็ กรดไขมนั ทอี่ ม่ิ ตวั ถงึ 85 เปอรเ์ ซ็นต์ ทำใหก้ รดไขมันท่จี ำเป็นเหล่าน้ีสามารถไหลผ่านไปยงั กระเพาะ
ส่วนล่างเพียง 15 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังถึงไม่เพียงพอต่อความต้องการเพราะสัตว์ชนิดนี้กินหญ้าเป็นหลัก แต่ใน
ภายหลังได้มกี ารปรับปรงุ กรดไขมันให้อยู่ในรปู ไหลผ่านเพ่อื ปกปอ้ งการเปลี่ยนแปลงกรดไขมนั ในกระเพาะหมัก
โดยจุลินทรีย์ ในกรณีที่สัตว์ได้รับกรดไขมันที่จำเป็นในปริมาณที่สูงมากเกินความต้องการ ร่างกายของสัตว์มี
ความจำเป็นที่จะต้องดึงวิตามินอีในรา่ งกายมาใช้เพื่อเปน็ สารต้านอนุมูลอิสระเพื่อปกป้องการออกซเิ ดชั่นกรด
ไขมันเหล่านีซ้ ่งี เปน็ กรดไขมันไมอ่ ่มิ ตัวทงั้ สิ้น จงึ ทำใหร้ ่างกายของสัตว์มีความต้องการวิตามนิ อีท่ีสงู ขน้ึ หากกรณี
รา่ งกายสตั วไ์ ด้รับวิตามินอที ่ไี ม่เพียงพอทำใหเ้ กิดโรคกล้ามเน้อื เสอ่ื ม และโรคที่เก่ียวกับระบบประสาทได้เป็นต้น
โดยส่วนใหญ่แลว้ กรดไขมนั ท่ีจำเป็นมกั ไม่ขาดหรือไม่เพียงพอต่อความต้องการเพราะโดยสว่ นใหญ่อยู่ในอาหาร
สัตวอ์ ยแู่ ล้ว
ไขมันที่สัตว์ได้รับมาจาก 2 แหล่ง หลัก ๆ ได้แก่จากพืช และจากสัตว์ แต่ส่วนใหญแ่ ล้วไขมันที่สตั วจ์ ะ
ได้รับจะมาจากพืชมากกว่าเนือ่ งจากข้อกังวลทางด้านโรคระบาด เป็นต้น แหล่งของไขมนั จากพืชมอี ยู่ 2 แหล่ง
คือส่วนของโครงสร้างของพืชซึ่งได้แก่ใบ ลำต้น หรือส่วนที่ทำหน้าที่ในการค้ำจุนโครงสร้างของพืชซ่ึ ง
นอกเหนือจากไขมันแล้วยังพบว่ามีส่วนประกอบของแวกซ์อยู่ที่ผิวของโครงสรา้ งพืชด้วย ไขมันที่พบหลักในใบ
พชื หรอื โครงสร้างของพืชจะเป็นพวกไกลโคลิพิดเปน็ สว่ นใหญ่ประมาณ 40 ถึง 50 เปอรเ์ ซน็ ต์ รองลงมาจะเป็น
ฟอสโฟลิพิด ในส่วนแหล่งของไขมันในพืชอกี แหล่งคือส่วนของเมล็ดหรอื ผล ในส่วนนีไ้ ขมนั จะอยู่ในรูปของไตร
กลีเซอรไ์ รดเ์ ป็นส่วนใหญ่ เมลด็ พืชน้ำมนั เหลา่ นี้ยังถกู นำไปใช้ในอตุ สาหกรรมการผลิตน้ำมันพืช และสิ่งท่ีเหลือ
จากกระบวนการผลิตจะถูกนำไปใช้เป็นแหลง่ โปรตนี เนื่องจากส่วนใหญ่มรี ะดบั ของโปรตนี ทีส่ ูง ในสว่ นของไขมัน
92
จากสัตว์เป็นแหล่งท่ีใชใ้ นการกกั เก็บเป็นพลังงานสำรองและสามารถสำรองพลังงานได้มากกว่าไกลโคเจนถึง 6
เทา่ อยา่ งไรก็ตามไขมนั ท่ีสะสมในร่างกายสัตว์จะมีส่วนทไี่ ม่สามารถนำมาใช้เปน็ แหลง่ พลังงานได้เน่ืองจากเป็น
ส่วนประกอบของโครงสรา้ งสัตว์ ซงึ่ ไดแ้ ก่ฟอสโฟลิพิดและสเตอรอล สำหรับลกั ษณะของไขมนั นน้ั สัตว์เลือดเย็น
จะมีไขมันท่ีมีลักษะของไขมันท่ีอ่อนนุ่มมากกว่าสัตว์เลือดอุน่ และหากทำการเปรียบเทียบระหว่างสัตวก์ ินเนอ้ื
และสัตวก์ ินพชื สตั ว์กนิ พชื นนั้ จะมีไขมนั ทแ่ี ข็งกวา่ ในสว่ นสัตว์เคีย้ วเอ้อื งกระบวนการสงั เคราะหไ์ ขมันจะเกิดที่ท่ี
เน้ือเยอื่ ไขมนั โดยตรงคดิ เป็น 90 เปอรเ์ ซ็นต์ ส่วนสัตวก์ ระเพาะเด่ียวจะเกิดข้นึ ที่ตับเป็นสว่ นใหญ่
3.4.3 การยอ่ ยไขมันในสัตวก์ ระเพาะเดยี่ ว
เนือ่ งจากไขมนั มโี ครงสร้างทไี่ ม่ละลายน้ำรวมถึงมีขนาดอนภุ าคที่ใหญ่ซ่ึงมาสามารถทำให้อนุภาคของ
ไขมันลดลงจากการเคี้ยวหรอื การยอ่ ยเชิงกลใด ๆ ได้ ดังนัน้ ไขมันจึงมีความจำเป็นท่ีจะตอ้ งทำให้เกิดการแตกตัว
(Emulsification) ซึ่งในร่างกายสัตว์ส่วนใหญ่นั้นจะมีสารที่ทำให้เกิดการแตกตัวนั่นคือน้ำดี (Bile) แต่ในสัตว์
จำพวกกวาง หรอื นกกระจอกเทศน้ันไมพ่ บวา่ มกี ารหล่ังของน้ำดีจงึ เปน็ เหตใุ ห้สัตวท์ ัง้ สองชนดิ มีความสามารถใน
การใช้ประโยชน์ของไขมันทีต่ ่ำ สำหรับน้ำดีนั้นจะถูกสร้างที่ตับและไหลผ่านท่อนำ้ ดี (Bile duct) เพื่อไปหลั่งท่ี
บรเิ วณลำไส้เลก็ ส่วนตน้ (Duodenum) เพื่อทำหนา้ ท่ใี หไ้ ขมันมีการแตกตวั เป็นขนาดทีเ่ ล็กลง ดงั ภาพท่ี 3.30
ภาพที่ 3.30 การแตกตวั ของไขมันขนาดใหญ่เปน็ ไขมนั ขนาดเล็กโดยน้ำดี
ที่มา : https://pmgbiology.files.wordpress.com/2016/02/slide_32.jpg?w=768
องค์ประกอบของน้ำดีจะประกอบดว้ ยกรดน้ำดี ฟอสโฟลิพิด และคอเลสเตอรอล การหลั่งของน้ำดจี ะ
ทำการกระตุ้นการทำงานของการหลั่งเอนไซม์ในการย่อยไขมันจากตับอ่อนนั้นคือแพนครีเอติกไลเปส
(Pancreatic lipase) ทำหน้าที่ในการย่อยสลายไตรกลีเซอร์ไรด์ทีก่ รดไขมันตำแหน่งที่ 1 และ 3 เพื่อให้เป็นโม
โนกลีเซอร์ไรด์และกรดไขมันอิสระจำนวน 2 ตวั (แผนภาพท่ี 3.19) นอกเหนือจากน้ันยังมีการหลังแพนครีเอติก
โคไลเปส (Pancreatic colipase) จากตบั อ่อนมาชว่ ยการทำงานของแพนครีเอตกิ ไลเปสเพื่อให้มกี ารย่อยสลาย
ท่ีดีขน้ึ
93
R1. Fatty acid Pancreatic lipase R1. Fatty acid
H2O R3. Fatty acid
Glycerol + R2. Fatty acid Glycerol+ R2. Fatty acid
R3. Fatty acid
Triglyceride Monoglyceride 2 Free fatty acids
แผนภาพท่ี 3.19 การย่อยไตรกลเี ซอรไ์ รดใ์ นลำไสเ้ ล็กส่วนตน้
ในส่วนของฟอสโฟลิพิดจะถูกย่อยสลายโดยเอนไซม์ฟอสโฟไลเปสเอ 1 (Phospholipase A1) และ
ฟอสโฟไลเปสเอ 2 (Phospholipase A2) และได้ผลผลิตเป็นกรดไขมัน ส่วนคอเลสเตอรอลเอสเทอจะถูกย่อย
สลายโดยเอนไซม์คอเลสเตอรอลเอสเทอเรส (Cholesterol esterase) ทำการยอ่ ยคอเลสเตอรอลเพ่ือให้ได้กรด
ไขมัน (ภาพที่ 3.31) ซึ่งเอนไซม์ท้ังสองชนิดถูกหล่ังออกมาจากตับอ่อน การย่อยทั้งหมดนี้จะเป็นการสิ้นสดุ การ
ยอ่ ยของไขมนั หรอื ลิพิดในระบบลำไสเ้ ล็ก
ภาพที่ 3.31 การยอ่ ยฟอสโฟลิพดิ และคอเลสเตอรอลในลำไส้เลก็ สว่ นตน้
ท่ีมา : https://www.78stepshealth.us/skeletal-muscle-2/images/3430_754_481-
cholesterol-digestion-and-absorption.jpg
หลังจากทำการย่อยแล้วเสร็จแล้วผลผลิตจากการย่อยจะต้องการการรวมตัวกับน้ำดี ฟอสโฟลิพิด
คอเลสเตอรอล ร่วมกับโมโนกลีเซอรไ์ รด์และกรดไขมนั อิสระให้อยู่ในรูปของไมเซลล์ผสม (Mixed micelle) ดัง
ภาพที่ 3.32 ซึ่งอยู่ในรูปที่สามารถละลายน้ำได้ ก่อนที่จะดูดซึมเข้าสู่ผนังลำไส้เล็กเล็ก (Enterocyte) บริเวณ
ลำไส้เล็กส่วนปลาย (Ilium) โดยการแพร่ (Simple diffusion) หลังจากนั้นน้ำดีจะถูกดูดกลับก่อนส่งไปยังตับ
และเกบ็ ไว้ท่ถี งุ น้ำดเี พื่อนำมาใช้ต่อในภายหลัง
94
ภาพท่ี 3.32 การสรา้ งไมเซลล์ผสม (Micelle forming) เพ่อื ขนส่งไขมนั สูภ่ ายในผนังลำไส้เลก็
ทม่ี า : https://player.slideplayer.com/20/6015365/data/images/img11.jpg
3.4.4 การดูดซึมไขมนั และการลำเลยี งไขมนั ในร่างกายสตั ว์
หลังจากที่ไมเซลล์ผสมได้ดูดซมึ เข้าสู่ผนังของลำไส้เล็กเรยี บร้อยแล้ว น้ำดีซึ่งเป็นส่วนผสมหลักของไม
เซลล์จะถูกดูดซึมกลับไปเก็บไว้ที่ถุงน้ำดีเพื่อนำกลับมาใช้อีกครั้งสิ่งทีค่ งเหลือในโครงสร้างของไมเซลล์คือ กรด
ไขมนั สายยาว และโมโนกลีเซอรไ์ รด์ จะรวมตวั กนั ใหอ้ ยใู่ นรูปของไตรกลีเซอร์ไรด์ก่อนรวมตัวกับคอเลสเตอรอล
และฟอสโฟลพิ ดิ ให้ในรูปของไลโพโปรตนี ชนิดหน่งึ นนั่ คือไคโลไมครอน (Chylomicron) และนำไขมันเหล่าน้ีไป
สง่ ยงั ตับผา่ นทางระบบทอ่ นำ้ เหลืองเพอ่ื สังเคราะหเ์ ป็นพลงั งาน แตส่ ำหรบั กรดไขมันสายส้ัน กรดไขมันสายกลาง
และกลเี ซอรร์ อล จะสามารถดูดซมึ ผ่านเสน้ เลือดไดโ้ ดยตรง แตใ่ นสัตวป์ กี เนอื่ งจากทีไ่ ม่มีทอ่ น้ำเหลืองไหลเวียน
ไปยงั ลำไส้เลก็ จะถูกลำเลยี งไขมนั ผา่ นหลอดเลือดเป็นหลัก
95
ภาพที่ 3.33 การฟอรม์ ตวั ของไคโลไมครอนและการดดู ซมึ ไปยังเสน้ เลือดและระบบทอ่ น้ำเหลือง
ที่มา : https://player.slideplayer.com/20/6015365/data/images/img12.jpg
เมื่อไคโลไมครอน (Chylomicron) ถูกฟอร์มตัวขึ้นมาที่เอนโดพลาสมิกเรติคิวลัม (Endoplasmic
reticulum) ท่บี ริเวณลำไส้เลก็ จะถูกขนส่งผ่านทอ่ น้ำเหลืองทีไ่ หลเวยี นไปยงั ลำไสเ้ ล็ก (Lacteal) ในร่างกายของ
สัตวก์ อ่ นที่จะลำเลยี ง ไลโพโปรตนี ดังกลา่ วไปยงั รา่ งกายเพ่ือใช้ประโยชนห์ รือสังเคราะหไ์ ขมันเป็นไขมันที่สะสม
ในรา่ งกาย ในส่วนกรดไขมันอสิ ระ (Non-esterified fatty acids ; NEFA) ทเี่ ปน็ กรดไขมนั สายสน้ั และสายกลาง
จะถูกลำเลยี งไปยังตบั ผา่ นหลอดเลอื ดปอร์ทอลเวน (Portal vein) เพื่อนำไปสังเคราะห์เป็นไตรกลเี ซอร์ไรด์ข้ึนที่
ตับ หลังจากนั้นไขมนั ที่ถูกสังเคราะหข์ ึน้ ที่ตับจะถูกฟอร์มตัวในรูปของไลโพโปรตีนชนิดคือ Very low density
lipoprotein (VLDL) ก่อนจะลำเลียงไปยังร่างกายเพื่อนำไปยังอวัยวะต่าง ๆ และจะมีไขมันบางส่วนที่ไม่
สามารถสลายนำไปใช้งานได้จะถูกเอนไซม์ไลโพโปรตีนไลเปส (Lipoprotein lipase) ทำการย่อยโปรตีนทำให้
ปรมิ าณความเข้มข้นของไลโพโปรตีนน้ลี ดลง จึงมกี ารเปลย่ี นรปู แบบของไลโพโปรตีนให้อย่ใู นรูปของไลโพโปรตีน
ที่มีความหนาแน่นต่ำ (Low density lipoprotein ; LDL) และสะสมอยู่ในรูปของคอเลสเตอรอลในร่างกาย
อย่างไรก็ตามคอเลสเตอรอลส่วนเกินนั้นจะถูกลำเลียงไปขจัดยังตับ (ภาพที่ 3.34) โดยการฟอร์มตัวเป็นไลโพ
โปรตีนที่มีความหนาแน่นสูง (High density lipoprotein ; HDL) ได้หากปริมาณของ HDL ในกระแสเลือดมี
ระดับท่ีสงู จะชว่ ยในการขจัดไขมันส่วนเกินออกจากหลอดเหลอื ดและร่างกายได้ ซงึ่ สวนทางกับ LDL ที่จะขนส่ง
ไขมันในส่วนนี้ไปสะสมอยู่ในร่างกายรวมทั้งในหลอดเลือด ดังนั้นปริมาณของ LDL จึงเป็นมาตรในการวัด
ปริมาณของไขมันในร่างกายหากมีปริมาณที่สูงจะบ่งบอกได้ว่าเกิดภาวะไขมันในร่างกายสูง หรืออาจเรียกว่า
คอเลสเตอรอลสูงได้ เป็นตน้
96
ภาพท่ี 3.34 การลำเลยี งไขมนั ในรูปของไลโพโปรตีนในรา่ งกายสัตว์
ท่ีมา : https://mysciencesquad.weebly.com/uploads/1/1/8/3/118361154/
liver-lipoproteins -color2_orig.png
3.4.5 การเปลย่ี นแปลงกรดไขมันในกระเพาะหมักของสัตวเ์ ค้ยี วเออ้ื ง
ประเภทของลิพิดหรือไขมันที่สัตว์เคีย้ วเออื้ งไดร้ ับจากอาหารอยูใ่ นรูปของไตรกลีเซอรไ์ รด์ท่ีสามารถพบ
มากในธัญพืช ไกลโคลพิ ิดประเภทกาแลคโตลพิ ิดที่สามารถพบมากในหญา้ เมื่อสัตวเ์ ค้ียวเออื้ งไดร้ ับไขมันเหล่าน้ี
จะเกิดการยอ่ ยสลาย (Hydrolysis) โดยจลุ ินทรยี ก์ ลุ่มท่ีใช้ไขมนั จะหล่ังเอนไซมไ์ ลเปส (Lipase) และกาแลคโตซิ
เดส (Galactosidase) เพื่อทำการย่อยสลายไตรกลีเซอร์ไรด์ และกาแลคโตลิพิด จะได้ซึ่งกรดไขมันอิสระ
กลีเซอรอล และการย่อยสลายกาแลคโตลิพิดจะเกิดกาแลคโตสเกิดขึ้นได้ ซึ่งกาแลคโตสเหลา่ นี้จะถูกหมักยอ่ ย
โดยจุลนิ ทรยี แ์ ละผลิตเปน็ กรดไขมันระเหยไดเ้ กิดขึ้น อยา่ งไรกต็ ามไขมันบางส่วนจะไม่ถกู ย่อยสลายในกระเพาะ
หมัก แตจ่ ะไหลผา่ นไปยงั กระเพาะสว่ นล่างซง่ึ อาจเรยี กไขมันเหลา่ นี้วา่ ไขมนั ไหลผ่านหรือบายพาสแฟต (Rumen
protected fat ; Bypass fat) เป็นต้น การย่อยสลายของไขมันทำให้เกิดการแตกตัวและได้ซึ่งกรดไขมันอิสระ
ภายในกระเพาะหมักนัน้ เป็นสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงกรดไขมันในกระเพาะหมักอันเนื่องจากระดับความ
ไม่อิ่มตัวของกรดไขมันซ่ึงสามารถพิจารณาได้จากจำนวนพันธะคู่ที่พบในกรดไขมันมีความเป็นพิษต่อจุลินทรยี ์
เป็นเหตุให้จุลินทรียภ์ ายในกระเพาะหมักจะต้องเปลี่ยนแปลงกรดไขมันที่เป็นพิษนั้นให้อยู่ในรูปของกรดไขมัน
อ่มิ ตัวมากที่สุดเพื่อเป็นการดำรงรักษาซง่ึ ตนเองของจุลินทรยี ไ์ ว้ การเปลีย่ นแปลงกรดไขมันนั้นเกิดจากการเติม
ไฮโดรเจนเข้าไปยังบริเวณของพันธะคู่ในกรดไขมันเพื่อเปลี่ยนแปลงกรดไขมันให้เป็นกรดไขมันอิ่มตัว
กระบวนการนค้ี ือกระบวนการไบโอไฮโดรจเี นชัน (Bio-hydrogenation) ดังแสดงในภาพที่ 3.35
97
ภาพที่ 3.35 การย่อยสลาย (Hydrolysis) ไตรกลีเซอร์ไรด์ (TG) กาแลคโตลพิ ิด (GL) ในกระเพาะหมัก
ท่ีมา : Navarrete, (2013)
การเปล่ยี นแปลงในกรดไขมันไมอ่ มิ่ ตัวในกระเพาะหมกั โดยจลุ นิ ทรยี ์ส่วนใหญ่จะมีการเปลย่ี นแปลงกรด
ไขมันท่มี จี ำนวนของคารบ์ อน 18 อะตอม ซ่งึ ไดแ้ กก่ รดโอเลอิก (C18:1) กรดลโิ นเลอิก (C18:2) และกรดแอลฟา
ลิโลเลนิก (C18:3) และผลผลิตสุดท้ายของกระบวนการไฮโดรจีเนชันทีส่ มบูรณ์ (Complete hydrogenation)
จะได้กรดสเตียริก (C18:0) เกิดขึ้นเป็นต้น และระหว่างกระบวนการยังมีการเปลี่ยนแปลงไอโซเมอร์ของกรด
ไขมันทำให้ให้กรดไขมันเกิดโครงสร้าง ซิสและทรานส์เกิดขึ้นด้วย กระบวนการที่เกิดขึ้นน้ันคือไอโซเมอร์ไรซเ์ ซ
ชัน (Isomerization) ซึ่งการเปล่ียนแปลงโครงสร้างของกรดไขมันโดยส่วนใหญ่จะเป็นการเปลี่ยนโครงสรา้ งใน
รปู ของซิสใหเ้ ปน็ ทรานส์ ซึ่งมีการจำเพาะต่อตำแหน่งของพนั ธะคู่ตำแหนง่ ท่ี 12 มากที่สุด อย่างไรก็ตามยังคงมี
กรดไขมันไมอ่ มิ่ ตวั บางส่วนทสี่ ามารถไหลผ่านไปยงั กระเพาะส่วนล่างและเกดิ การดูดซมึ ท่ีลำไสเ้ ล็กได้เช่นกัน
การเกดิ การเปลีย่ นแปลงของกรดไขมนั ในกระเพาะจะมีการเปล่ียนแปลงอยา่ งมากเมื่อสัตว์ไดร้ ับอาหาร
หยาบเนอ่ื งจากจุลินทรียส์ ่วนใหญ่ท่ีทำหน้าท่ีเกย่ี วขอ้ งกับการไฮโดรจีเนชันน้ันเปน็ กลุม่ ที่ใช้ประโยชน์จากเย่ือใย
ซงึ่ สามารถเจรญิ เติบโตได้ดใี นสภาวะของกระเพาะหมักทเ่ี ปน็ กลางโดยในระหวา่ งกระบวนการเกดิ ไฮโดรจีเนชัน
ที่สมบูรณ์นั้นจะมีกรดไขมันทรานส์ชนดิ หน่ึงเกิดขึ้นคือกรดแวคซีนคิ (Vaccenic acid) ในแผนภาพที่ 3.20 ซึ่ง
เป็นกรดไขมันสำคัญชนิดหนึ่งที่เกิดข้ึนในสัตว์เคี้ยวเอื้องเนื่องจากเป็นกรดไขมันที่ถูกนำไปใช้ในการสังเคราะห์
กรดไขมนั c9,t11-C18:2 (Conjugated linoleic acid ; CLA) ในเนอ้ื เยือ่ โดยเอนไซม์ ∆9 Desaturase เกิดข้ึน
ซึ่งเป็นกรดไขมันทีม่ ีประโยชน์ตอ่ สุขภาพของผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ของสัตว์เค้ียวเอือ้ ง อย่างไรกต็ ามกระบวนการ
เปลย่ี นแปลงกรดไขมันในกระเพาะหมกั เหล่านี้ลว้ นเป็นขอ้ จำกดั ในการที่สตั ว์จะไดไ้ ดร้ ับกรดไขมันท่ีไม่อิ่มตัวอยู่
สูงเชน่ กรดโอเลอกิ กรดลโิ นเลอกิ และกรดแอลฟาลิโนเลนิกเพอื่ นำไปสะสมในผลผลติ ของสตั วเ์ ค้ยี วเอื้องเช่นเน้ือ
98
หรอื นม เนือ่ งจากจะถกู ขัดขวางโดยการเปลย่ี นแปลงกรดไขมนั เหล่านี้ให้ไหลผ่านไปยังกระเพาะส่วนล่างต่ำ ซึ่ง
หากเรยี งลำดับการเปน็ พิษของกรดไขมนั ต่อจุลินทรีย์จะพบว่ากรดแอลฟาลิโนเลนกิ รองลงมาคือกรดลิโนเลอิก
และกรดโอเลอิก ตามลำดบั จงึ ทำใหเ้ มื่อสัตว์ไดร้ บั กรดไขมันแอลฟาลิโนเลนิกจะสามารถไหลผ่านไปยังกระเพาะ
ส่วนล่างไดเ้ พียง 5 ถึง 10 เปอร์เซ็นตเ์ ทา่ นั้น จึงทำให้นักโภชนศาสตร์สัตวเ์ คี้ยวเอื้องพยายามเปลี่ยนแปลงกรด
ไขมันนีใ้ ห้ไม่สามารถถกู เปลย่ี นแปลงในกระเพาะหมักไดเ้ ปน็ ต้น
c9-C18:1 c9,c12-C18:2 c9,c12,c15-C18:3
Isomerization Isomerization Isomerization
t10-C18:1 c9,t11-C18:2 Hydrogenation c9,t11,c15-C18:3
Hydrogenation
t11-C18:1
Hydrogenation
C18:0
แผนภาพที่ 3.20 การเปลี่ยนแปลงกรดไขมันในกระเพาะหมกั ของสตั วเ์ คี้ยวเอ้อื ง
ดังที่กล่าวในข้างต้นว่าไขมันโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรดไขมันไม่อิ่มตัวมีความเป็นพิษต่อจุลินทรีย์ใน
กระเพาะหมักอยา่ งมาก ซง่ึ โดยปกตแิ ลว้ ในอาหารของสตั วเ์ ค้ยี วเอ้อื งจะไมค่ วรท่ใี หส้ ัตวไ์ ด้รบั ไขมนั ที่เกินปริมาณ
6 เปอร์เซ็นต์ของนำ้ หนกั แหง้ อาหารท้งั หมด โดยหากปรมิ าณของไขมันท่สี ูงกว่าระดบั ทีก่ ำหนดไวจ้ ะสง่ ผลต่อการ
ทำงานของจุลินทรีย์ที่ย่อยเยื่อใยทำให้มีการย่อยของเยื่อใยที่ลดลง ในสัตว์ที่ให้นมจะทำให้ผลผลิตของไขมัน
น้ำนมลดลง อย่างไรก็ตามการผลติ แก๊สมเี ทนในกระเพาะหมักจะมีการผลิตที่ลดลงจากการที่ปริมาณประชากร
โปรโตซัวในกระเพาะหมักที่ลดลง เนื่องจากโปรโตซัวจะใช้ชีวิตอาศัยอยู่ร่วมกับแบคทีเรียกลุ่มท่ีผลิตแก๊สมีเทน
(Methanogenic bacteria) แบบพึ่งพาอาศัยกัน แม้กระบวนการเปลี่ยนแปลงกรดไขมันในกระเพาะหมักเป็น
สาเหตุให้เกิดการได้ซึง่ กรดไขมันอิ่มตัวถงึ ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ที่เกดิ ข้ึนในกระเพาะหมัก อย่างไรก็ตามการ
สงั เคราะหไ์ ขมันทเี่ กดิ ข้นึ ท่ีเน้อื เยื่อจะสามารถสังเคราะห์เป็นกรดไขมนั ไมอ่ ่ิมตัวสายยาวได้ โดยเอนไซม์ท่ีทำงาน
เก่ยี วข้องกับการเพอื่ จำนวนของพันธะคู่ (Desaturase) และการเพอ่ื จำนวนของสายคาร์บอน (Elongase) ดงั นนั้
แม้ในกระเพาะหมักของสัตว์เคี้ยวเอื้องจะมีจำนวนของกรดสเตียริก (C18:0) อยู่สูง เมื่อกรดไขมันชนิดนี้ถูก
99
สังเคราะห์ให้เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวโดย ∆9 Desaturase ซึ่งจะเพิ่มจำนวนพันธะคู่ที่บริเวณตำแหน่งที่ 9 นับ
จากหม่คู ารบ์ อกซลิ จะได้ซง่ึ กรดโอเลอคิ (c9-C18:1) เปน็ ตน้ และหลกั การนี้เองที่มกี ารสังเคราะห์ CLA isomer
c9,t11-C18:2 จากกรดแวคซีนกิ (t11-C18:1) โดย ∆9 Desaturase จึงทำให้เกดิ CLA ชนดิ น้ีเกดิ ข้นึ
3.5 แรธ่ าตุ
แร่ธาตุจัดเป็นสารอนินทรีย์ (Inorganic) ซึ่งในร่างกายของสัตว์พบว่ามีองค์ประกอบของแร่ธาตุเป็น
องคป์ ระกอบอยู่มากมายประมาณ 24 ชนิด โดยแร่ธาตุเหลา่ น้ันจะทำหนา้ ทีใ่ นการเป็นองค์ประกอบของร่างกาย
นอกเหนือจากน้ันยังทำหน้าท่ที ี่เกยี่ วข้องกบั การทำงานของร่างกายอีกดว้ ย ส่วนใหญแ่ ล้วแร่ธาตมุ ีความจำเป็นที่
จำต้องไดร้ บั จากอาหารเนือ่ งจากในรา่ งกายสัตว์ไม่สามารถสงั เคราะหแ์ ร่ธาตุขนึ้ เองโดยรา่ งกายได้ แต่ในอาหารท่ี
สัตว์กินเองล้วนแล้วแต่มีองค์ประกอบของแร่ธาตุอยู่ในอาหารด้วยเช่นกันแต่มักมีแรธ่ าตุที่จำเป็นหรือต้องการ
ปริมาณมากทไี่ ม่เพยี งพอเช่นแคลเซยี ม (Calcium) และ ฟอสฟอรสั (Phosphorus) เป็นต้น เนอ่ื งจากร่างกายมี
ความต้องการที่มากเพื่อนำไปสร้างโครงสร้างค้ำจุนของร่างกาย และในแร่ธาตุบางชนิดหากมีปริมาณที่ไม่
เพียงพอต่อความต้องการจะส่งผลต่อการทำงานของระบบร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้นยังส่งผลให้สัตว์แสดงอาการท่ี
ผิดปกติออกมาด้วย แต่ก็มีแร่ธาตุบางชนิดที่เมื่อร่างกายของสัตว์ได้รับไม่เพียงพอก็จะไม่แสดงอาการผิดปกติ
ออกมาให้เห็นนอกจากสัตว์จะอยู่ในช่วงสภาวะที่ไม่ปกติเป็นต้น อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบกับสารอาหาร
ชนดิ อน่ื ปริมาณของแร่ธาตมุ คี วามต้องการท่ีนอ้ ยอยา่ งมากเมื่อเปรียบเทียบกบั โปรตนี คารโ์ บไฮเดรต และไขมัน
ความต้องการแรธ่ าตุของสตั ว์มีความแปรผันไปแตล่ ะประเภท โดยความตอ้ งการแร่ธาตุของรา่ งกายสัตว์
จะนำแร่ธาตเุ พ่ือนำไปทดแทนการสูญเสยี แร่ธาตุจากเน้อื เย่อื ภายในร่างกาย (Endogenous tissue) การสญู เสีย
จากร่างกายเพื่อนำไปสะสมในผลผลิต แร่ธาตุเหล่านี้ส่วนใหญจ่ ะเป็นแร่ธาตุปลีกย่อย (Trace minerals) หาก
สัตว์ขาดแร่ธาตุส่วนนี้มกั จะแสดงอาการผิดปกติในระยะเวลาที่ส้ัน (Short term) ในส่วนของแรธ่ าตุอกี จำพวก
จะใช้เพอื่ การสรา้ งความแข็งแรงของโครงสรา้ งค้ำจุนในร่างกาย การสร้างกระดูก การสรา้ งขน กบี และเขา รวม
ไปถงึ การเปน็ สารสำคญั ในรา่ งกายเชน่ เลอื ด และใช้ในกระบวนการเมแทบอลิซมึ ของร่างกายแรธ่ าตุสว่ นนี้จะเป็น
แร่ธาตุหลัก (Major minerals) หากสัตว์มีการขาดแร่ธาตุประเภทนี้จะแสดงอาการผิดปกติที่แสดงอาการ
ยาวนานกว่าการชาดแรธ่ าตุปลีกย่อย นอกเหนือจากนั้นความต้องการแรธ่ าตุในแต่ละพืชที่มีความแตกต่างกนั
ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของดนิ การพิจารณาความตอ้ งการแร่ธาตโุ ดยแทจ้ ริงจะต้องพิจารณาปรมิ าณแรธ่ าตใุ น
ดินบริเวณน้ัน ๆ ที่ทำการเล้ียงสัตว์ หรือปลูกพืชอาหารสัตว์ด้วย เพราะจะเป็นตัวบง่ บอกว่าในสภาพพืน้ ทีน่ ั้นมี
การขาดแร่ธาตุชนิดใดทีม่ าก ซึ่งในอดีตสัตว์ป่าจะได้รับแร่ธาตุจากดินโป่งซึง่ เป็นแหล่งของแรธ่ าตุทีเ่ กิดขึ้นตาม
ธรรมชาติ
100
หน้าทขี่ องแร่ธาตุในรา่ งกายสตั ว์โดยภาพรวมแล้วนอกเหนือจากเปน็ ส่วนประกอบของรา่ งกายแลว้ ยังทำ
หน้าที่ในการเป็นส่วนประกอบของสารอินทรีย์ได้ด้วยเช่นกรดอะมิโน เป็นส่วนประกอบของลิพิด การเป็น
ส่วนประกอบของน้ำย่อยในร่างกายสัตว์ ทำหน้าที่ในการปรับแรงดันออสโมซิสในร่างกาย การทำงานของ
กลา้ มเน้ือ และการทำงานของระบบประสาท เป็นต้น ดังนัน้ แรธ่ าตแุ ม้ไม่ให้พลงั งานแต่มีความสำคัญต่อร่างกาย
อยา่ งมาก
แรธ่ าตทุ ่พี บในพชื และสตั ว์มีจำนวนท้ังสิ้น 30 ชนิด แตเ่ ปน็ แรธ่ าตุทไ่ี ม่จำเป็นต่อร่างกายด้วย ซึ่งหากจะ
กล่าวถึงแรธ่ าตุที่จำเป็นต่อร่างกายจะสามารถทำการจำแนกประเภทของแรธ่ าตุออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ แร่
ธาตุหลัก (Major minerals) และแร่ธาตุรองหรือแร่ธาตุปลีกย่อย (Minor, Trace minerals) ตามตารางที่ 3.7
ซง่ึ ข้ึนอย่กู ับปริมาณความเข้มขน้ ในอาหารสตั ว์ หรือในตัวสตั ว์ ซึง่ หากปรมิ าณของแร่ธาตนุ ้ัน ๆ ในร่างกายสัตว์มี
ปรมิ าณสงู กว่า 50 มลิ ลิกรมั ตอ่ กโิ ลกรมั และมีปรมิ าณความเข้มข้นในอาหารมากกว่า 100 มลิ ลกิ รัมต่อกิโลกรัม
แร่ธาตุกลมุ่ นี้จะจัดเป็นแร่ธาตุหลัก ซง่ึ ประกอบไปด้วยแร่ธาตุจำนวน 7 ชนิด ได้แก่ แคลเซียม (Calcium ; Ca)
ฟอสฟอรัส (Phosphorus ; P) โพแทสเซียม (Potassium ; K) โซเดียม (Sodium ; Na) คลอรีน (Chlorine ;
Cl) กำมะถัน (Sulphur ; S) และแมกนีเซียม (Magnesium ; Mg) ในส่วนของแร่ธาตุปลีกย่อยจะประกอบไป
ดว้ ย เหล็ก (Iron ; Fe) ไอโอดีน (Iodine ; I) ทองแดง (Copper ; Cu) แมงกานสี (Manganese ; Mn) สงั กะสี
(Zinc ; Zn) โคบอลต์ (Cobalt ; Co) โมลิบดีนัม (Molybdenum ; Mo) และซีลีเนียม (Selenium ; Se) เป็น
ต้น
ตารางที่ 3.7 ปรมิ าณแร่ธาตุหลักและแร่ธาตปุ ลีกยอ่ ยที่พบในร่างกายของสตั ว์
แร่ธาตหุ ลกั ปริมาณ (g/kg) แร่ธาตุปลีกยอ่ ย ปรมิ าณ (mg/kg)
แคลเซียม 15 เหล็ก 20 – 80
ฟอสฟอรสั 10 สังกะสี 10 - 50
โพแทสเซียม 2 ทองแดง 1–5
โซเดียม 1.6 โมลิบดีนมั 1–4
คลอรนี 1.1 ซลี ีเนียม 1–2
กำมะถนั 1.5 ไอโอดนี 0.3 – 0.6
แมกนีเซยี ม 0.4 แมงกานสี 0.2 – 0.5
โคบอลต์ 0.02 – 0.1
ท่ีมา : McDonald et al. (2010)
101
3.5.1 บทบาทหนา้ ทีข่ องแรธ่ าตหุ ลัก
3.5.1.1 แคลเซยี ม
แคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่พบมากในร่างกายของสัตว์เนื่องจากเป็นส่วนประกอบของหลักของ
ร่างกายคือเป็นโครงสร้างของกระดูก และฟัน คิดเป็น 99 เปอร์เซ็นต์ของแคลเซยี มทีพ่ บทัง้ หมดในร่างกายของ
สัตว์ นอกเหนอื จากนั้นยังเป็นองคป์ ระกอบของเซลล์และของเหลวในสิ่งมีชวี ติ อกี ด้วย แคลเซียมมคี วามจำเปน็
ต่อการทำงานของระบบประสาทในการเคล่ือนไหวของกล้ามเนื้อ และยงั ทำหนา้ ท่ีที่เก่ยี วขอ้ งกบั การแข็งตัวของ
เลือดด้วย โดยในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะพบว่ามีปริมาณของแคลเซียมในกระแสเลือดประมาณ 80 – 120
มลิ ลกิ รมั ต่อลติ ร แต่ในไกไ่ ขจ่ ะมปี ระมาณของแคลเซียมท่สี งู กว่าคอื 300 – 400 มิลลกิ รัมตอ่ ลิตร
ในกรณที ี่สตั ว์มีปริมาณของแคลเซยี มไม่เพียงพอในขณะชว่ งท่ใี ห้ผลผลิตเช่น การให้น้ำนม หรือการผลิต
ไขใ่ นไก่ไข่ รา่ งกายของสตั วส์ ามารถดึงปริมาณของแคลเซียมทีอ่ ยู่ในร่างกายมาใชไ้ ด้ ซึ่งการควบคุมปริมาณของ
แคลเซียมในร่างกายของสัตว์จะถูกควบคุมโดยฮอร์โมนพาราไทรอยด์ (Parathyroid hormone) ซึ่งผลิตโดย
ต่อมพาราไทรอยด์ (Parathyroid gland) โดยเมื่อสัตว์ได้รับปริมาณของแคลเซียมในปริมาณต่ำ ต่อมพารา
ไทรอยด์จะหลังฮอรโ์ มนเพอื่ ทำใหร้ า่ งกายมกี ารดูซมึ แคลเซยี มได้สูงขึ้น และการใช้ใชว้ ิตามินดียังสามารถส่งเสริม
การดูดซมึ ของแคลเซียมใหส้ งู ข้นึ เพอ่ื ใหป้ รมิ าณของแคลเซยี มมปี รมิ าณท่เี พียงพอต่อความตอ้ งการของสตั ว์
อาการของสัตว์เมอ่ื แคลเซยี มไมเ่ พยี งพอ
ในกรณีท่สี ตั ว์วยั อ่อนหรือกำลังเจรญิ เตบิ โตได้รับแคลเซียมในระดบั ท่ตี ่ำจะสง่ ผลตอ่ การสรา้ งกระดูกของ
สัตว์ทำให้สตั วเ์ กิดโรคกระดูกอ่อน (Rickets) และจะส่งผลต่อการเกดิ การผดิ รูปของกระดกู (Misshapen bone)
มีการบวมบริเวณข้อต่อของกระดูก (Enlargement joints) อาการเหล่านี้ท่ีเกิดขึ้นจะส่งผลให้สัตว์ไม่สามารถ
เดนิ ไดอ้ ยา่ งปกตหิ รอื เดนิ ไดล้ ำบากมาก หากมีการขาดทเี่ ปน็ ระยะเวลานานจะสง่ ผลให้สัตว์มกี ระดูกทไี่ ม่แข็งแรง
หรือกระดูกพรนุ ได้ (Osteomalacia) การเกดิ กระดกู พรนุ จะทำใหก้ ระดกู มลี ักษณะท่อี อ่ นและหกั ง่ายไม่แข็งแรง
หากเกิดที่ไกไ่ ข่จะทำให้ผลผลิตไข่ที่ลดลงรวมทัง้ เปลือกไขบ่ างอีกด้วย โดยหากไก่ไดร้ บั ไขมันท่ีสูงจะทำให้มกี าร
ดูดซึมของแคลเซียมที่ลดลงดว้ ยจากการฟอร์มตัวของแคลเซยี มรว่ มกับไขมนั ใหอ้ ยู่ในรูปสบกู่ รดไขมนั (Calcium
soap of fatty acid)
การขาดแคลเซียมยังสามารถพบไดท้ ี่โคที่ให้นมหลังคลอดลูกใหม่ แคลเซียมจะถูกนำไปใช้ในการสร้าง
นำ้ นมทำให้ปรมิ าณแคลเซยี มในกระแสเลือดมีระดับทตี่ ่ำและทำให้โคเกิดโรคไขน้ ้ำนม (Milk fever) โดยโคจะมี
อาการกล้ามเนือ้ กระตุกและไม่สามารถขยับตัวได้เนื่องจากเป็นอัมพาต (Paralysis) หากไม่สามารถแก้ไขไดท้ ัน
จะทำให้โคเสียชีวิตได้ ซึ่งการแก้ไขสามารถใช้แคลเซียมกลูโคเนต (Calcium gluconate) ฉีดเข้าที่เส้นเลือด
อย่างไรก็ตามการเกิดไขน้ ำ้ นมสามารถป้องกันได้โดยการลดระดับของแคลเซยี มในอาหารก่อนที่โคจะคลอดลูก
102
หรือในช่วงพักรีดนม (Dry period) เพื่อให้โคมีการดูดซึมปริมาณของแคลเซียมได้ปริมาณที่สูง หรืออาจให้โค
ได้รับวิตามนิ ดีที่เพิ่มขึ้นอกี ด้วย เมื่อโคคลอดลูกจะทำให้สัตว์มีการดูดซึมของแคลเซียมท่ีดีอยู่แล้ว แต่หากสัตว์
ได้รับแคลเซียมปริมาณที่สูงก่อนคลอดลูก ร่างกายจะลดการดูดซึมจึงเปน็ เหตุใหเ้ มื่อสัตว์คลอดลูกจะมีปริมาณ
ของแคลเซียมในรา่ งกายทีไ่ มเ่ พียงพอ การเกิดไข้น้ำนมยงั สามารถเกิดข้นึ ในแพะท่ใี ห้ลกู แผดได้ดว้ ยเชน่ กัน
แหล่งของแคลเซยี ม
แหลง่ ของแคลเซยี มทพ่ี บมากในธรรมชาติได้แกน่ ้ำนมซง่ึ เป็นแหล่งแคลเซยี มสำคญั สำหรับสัตว์เล้ียงลูก
ด้วยนมที่กำลังเจริญเติบโต อีกทั้งยังสามารถพบได้ในใบพืชตระกูลถั่ว (Legumes) อีกด้วย ในส่วนผลผลิตจาก
สัตว์ล้วนแล้วแต่เป็นแหล่งแคลเซียมที่สำคัญในการใช้เป็นอาหารเช่นกระดูกป่น ปลาป่น และหอยป่น โดยใน
ภายหลังความกังวลทางด้านโรคระบาดของสัตว์ในกรณีที่นผลผลิตที่ได้จากสัตว์เหล่านี้มาใช้เป็นแหล่งของ
แคลเซียมจึงมีการพยายามนำแหล่งของแคลเซียมแหล่งอื่น ๆ มาใช้เช่น หินปูน (Limestone) กระดูกป่นนึ่ง
ความดัน (Steamed bone flour) และไดแคลเซียมฟอสเฟต (Dicalcium phosphate) รวมถึงมีการนำหิน
ฟอสเฟตมาใชด้ ว้ ย อยา่ งไรก็ตามต้องพึงระวังปริมาณของฟลูโอรนี ท่อี าจจะส่งผลต่อความเปน็ พิษตอ่ สัตวไ์ ด้
3.5.1.2 ฟอสฟอรัส
ฟอสฟอรัสที่พบในร่างกายของสัตว์นั้นโดยส่วนใหญ่เป็นองค์ประกอบของกระดูกและฟัน
เช่นเดียวกบั แคลเซยี ม แตค่ วามแตกต่างทางด้านหน้าท่ีซง่ึ มีความแตกต่างจากแรธ่ าตุอ่ืน ๆ เช่น ฟอสฟอรัสเป็น
องคป์ ระกอบของโปรตนี ในรูปของฟอสโฟโปรตีน (Phosphoproteins) ซงึ่ ส่วนใหญ่เป็นกรดนวิ คลีอิก (Nucleic
acid) พบมากในสารพันธุกรรมของสตั ว์ และฟอสโฟลิพดิ (Phospholipids) นอกเหนือจากนั้นยังเปน็ สารสำคัญ
ที่ได้จะการเมแทบอลิซึมของพลังงานเช่น ADP (Adenosine diphosphate) และ ATP (Adenosine
triphosphate) เป็นต้น ดังนั้นเนื่องจากฟอสฟอรัสเป็นส่วนประกอบของสารอื่น ๆ ในร่างกายแล้วนั้น ทำให้
ฟอสฟอรัสที่อยู่ในร่างกายจะเปน็ สว่ นประกอบของกระดูก 80 – 85 เปอร์เซ็นต์ ซ่งึ แตกต่างจากแคลเซียมท่ีเป็น
ส่วนประกอบของกระดูกและฟัน 99 เปอร์เซ็นต์ การควบคุมปริมาณของฟอสฟอรัสในร่างกายสัตว์จะมีความ
แตกตา่ งจากแคลเซียม โดยเม่ือปริมาณของฟอสฟอรัสมีปริมาณท่ีสงู เกนิ ความต้องการของสตั ว์ ร่างกายสัตว์จะ
ขับออกผา่ นทางไปปัสสาวะซึ่งสว่ นใหญ่เป็นสัตวก์ ระเพาะเดี่ยว หากเปน็ สตั ว์เค้ียวเอ้อื งจะขับออกมาทางน้ำลาย
หากสัตว์เคี้ยวเอื้องได้รบั อาหารทีม่ ีขนาดชิ้นที่ใหญ่จะทำให้มีการเคี้ยวเอ้ืองที่มากซ่ึงปริมาณฟอสฟอรสั ที่อยู่ใน
กระเพาะล้วนแล้วแตม่ าจากนำ้ ลายซึ่งหลั่งออกมาจากการเคยี้ วเอือ้ งมากกวา่ ในอาหารอกี ดว้ ย
ปริมาณของฟอสฟอรัสในอาหารของสัตวต์ ้องมคี วามสมั พันธ์กบั ปริมาณของแคลเซียม หากมีสัดส่วนท่ี
ไม่เหมาะสมจะทำให้ปรมิ าณการดูดซึมของธาตุทั้งสองชนดิ มีความสามารถดูดซึมทีล่ ดลง โดยทั่วไปนั้นสัดส่วน
ของแคลเซียมตอ่ ฟอสฟอรัสจะอยใู่ นชว่ ง 1 ถึง 2 ตอ่ 1 จะมคี วามเหมาะสมสำหรบั สตั ว์ แตใ่ นกรณขี องสัตวเ์ ค้ียว
103
เออื้ งนัน้ สัดสว่ นของแคลเซียมตอ่ ฟอสฟอรัสที่สูงซ่งึ ในลกู โคจะใช้สดั สว่ นของแคลเซยี มถงึ 7 ต่อ 1 หากมีปริมาณ
ของฟอสฟอรัสในสัตวเ์ คยี้ วเออื้ งสงู จะไมเ่ ป็นผลดตี อ่ แคลเซียมเพราะจะทำให้มกี ารขบั แคลเซียมออกไปพร้อมกับ
ฟอสฟอรสั ได้
อาการของสัตว์เมอ่ื ฟอสฟอรสั ไมเ่ พยี งพอ
ในดินที่ทำการเพาะปลูกโดยส่วนใหญ่แล้วมักประสบกับปัญหาของฟอสฟอรัสที่ไม่เพียงพอ โดย
ฟอสฟอรัสนั้นถือได้เป็นธาตุอาหารที่สำคัญสำหรับการเจริญเติบโตของพืชเช่นกัน จึงได้มีการผลิตแม่ปุ๋ย
ฟอสฟอรัสมาใชเ้ พือ่ แก้ไขปญั หาการขาดแคลนฟอสฟอรัสในดิน การขาดฟอสฟอรัสในพ้นื ท่เี พาะปลกู จงึ เป็นเหตุ
ใหส้ ง่ ผลตอ่ ปริมาณของฟอสฟอรัสในวตั ถุดบิ อาหารสัตว์อีกด้วย การท่สี ัตว์ไดร้ บั ฟอสฟอรสั ทไี่ ม่เพยี งพอต่อความ
ต้องการนั้นสัตว์จะมีการแสดงออกของร่างกายคล้ายคลึงกับการขาดแคลเซียมคือมีการแสดงออกของการเกดิ
โรคกระดูกออ่ น กระดกู พรนุ นอกเหนือจากนน้ั ยังทำใหส้ ัตว์มีความสมบูรณพ์ นั ธ์ทุ ต่ี ำ่ โดยในโคจะทำใหเ้ กิดความ
ผดิ ปกติทรี่ งั ไข่ ทำใหเ้ กิดการไมเ่ ป็นสัด เปน็ สดั ไมต่ รงวงรอบ หรอื ผสมไมต่ ดิ และยังทำให้ผลผลติ นำ้ นมมีปริมาณ
ทีล่ ดลงด้วย ขณะท่ีในส่วนของไกไ่ ข่จะพบวา่ มีผลผลิตไข่ทต่ี ่ำ เปลือกไขบ่ าง อตั ราการฟักออกตำ่ อกี ด้วย ส่วนใน
ด้านการเจริญเติบโตของสัตว์เมื่อได้รับฟอสฟอรัสที่ไม่เพียงพอต่อร่างกาย ในสัตว์วัยอ่อนจะทำให้มีการ
เจรญิ เติบโตที่ผิดปกติจนถึงเม่ือสัตว์โตเตม็ วัยจะมีน้ำหนักทนี่ ้อยกวา่ เกณฑม์ าตรฐาน แต่จะมีอาการชนิดหนึ่งซ่ึง
แสดงออกเห็นได้ชัดว่าสัตว์ขาดฟอสฟอรัสโดยสัตว์จะกัดเคี้ยวไม้ เคี้ยวกระดูก เคี้ยวฟัน เคี้ยวอย่างอื่น ๆ เล่น
อาหารนเ้ี รยี กว่าพิคา (Pica) เป็นต้น
แหลง่ ของฟอสฟอรสั
ในน้ำนม และปลาป่นเป็นแหล่งของฟอสฟอรัสชั้นดี เช่นเดียวกันกับเมล็ดธัญพืชซึ่งส่วนใหญ่แล้วมี
ปริมาณของฟอสฟอรัสที่สูงทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามการพิจารณาคุณภาพของฟอสฟอรัสจะขึ้นอยู่กับปริมาณของ
ฟอสฟอรัสที่ใช้ประโยชนไ์ ด้ (P-Available) แมว้ ่าธญั พชื จะมปี ริมาณของฟอสฟอรัสท่ีสงู แต่พบว่าฟอสฟอรัสน้ัน
อยู่ในรูปของไฟเตต (Phytates) ซ่งึ ไมส่ ามารถใช้ประโยชนไ์ ด้ ซึ่งเมือ่ เปรียบเทยี บการใชฟ้ อสฟอรัสท่ีมีการจับตัว
ของไฟเตตจะมีการใช้ประโยชน์ได้เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ฟอสฟอรัสจากไดโซเดียมฟอสเฟตเพียง 10
เปอร์เซ็นต์ จึงมีการพยายามนำเอนไซม์ไฟเตส (Phytase) มาใช้เพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ของฟอสฟอรัสที่เพิ่ม
มากข้ึน แตใ่ นสตั ว์เคี้ยวเอื้องจะไมต่ ้องพิจารณาถงึ ปริมาณฟอสฟอรัสที่ใช้ประโยชนไ์ ด้เนอื่ งจากจุลินทรีย์ภายใน
กระเพาะหมกั สามารถย่อยสลายไฟเตตได้
3.5.1.3 โพแทสเซยี ม
โพแทสเซียมเป็นสารอิเล็กโทรไลต์ (Electrolyte) ในร่างกายสัตว์ชนิดหนึ่งรว่ มกับโซเดียม และ
คลอรีน หน้าที่สำคัญของโพแทสเซยี มจะเกี่ยวข้องกับการควบคุมแรงดนั ออสโมติกในรา่ งกายของสัตว์ ควบคุม
สมดลุ ความเปน็ กรด-ดา่ งในร่างกายสัตว์ นอกเหนือจากน้นั โพแทสเซียมยังทำหนา้ ท่ีในการใหป้ ระจุบวกแก่เซลล์
104
ทัง้ ยังทำหน้าท่ีสำคัญเกี่ยวกับระบบประสาทและกล้ามเนอ้ื พรอ้ มทัง้ ยังมีความสำคัญในกระบวนการเมแทบอลิ
ซึมของคาร์โบไฮเดรตอีกด้วย ปริมาณของโพแทสเซยี มในกล้ามเนอื้ สัตว์จะมปี ริมาณสูงกว่าโซเดียม 6 เท่า
อาการของสัตวเ์ มื่อขาดโพแทสเซยี ม
อาการของการขาดโพแทสเซยี มนัน้ ไมแ่ น่ชัด แต่มีการทดลองใหส้ ัตว์ได้รับปริมาณของโพแทสเซียมใน
ระดับต่ำพบว่าในไก่นั้นมีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติ อ่อนแอ และตายภายในเวลาต่อมา ขณะที่ลูกโคจะแสดง
อาการอัมพาตเมื่อได้รับน้ำนมที่มีโพแทสเซียมตำ่ ถ้าหากสัตว์ได้รับโพแทสเซียมในปริมาณที่สูงจะขับถ่ายออก
ทางปสั สาวะ
3.5.1.4 โซเดียม
โดยส่วนใหญ่โซเดียมที่พบในร่างกายของสัตว์จะพบในเนื้อเยื่ออ่อน (Soft tissue) ซึ่งพบใน
เนื้อเยื่อค้ำจุนของร่างกาย และอยู่ในส่วนของของเหลวในร่างกายสัตว์ หน้าที่ของโซเดียมมีความคล้ายคลึงกับ
โพแทสเซียมคือทำหน้าที่ในการควบคุมแรงดันออโมติก การควบคุมสมดุลความเป็นกรด-ด่าง ภายในร่างกาย
และยังทำหน้าท่ีท่ีเกีย่ วขอ้ กับการเคล่ือนไหวของร่างกายด้วย โซเดียมมบี ทบาทสำคัญต่อการดูดซมึ กรดอะมิโน
และน้ำตาลในระบบทางเดินอาหาร โดยปกติเมื่อโซเดียมอยู่ในเซลล์และมีความเข้มข้นลดลงจะถูกแทนที่ด้วย
โพแทสเซียม จงึ เป็นท่มี าของกระบวนการเปลย่ี นถ่ายสารโซเดยี มโพแทสเซียม (Sodium-Potassium pump)
อาการของสัตว์เมื่อขาดโซเดียม
โดยปกติแลว้ ในอาหารสัตวม์ กั มปี รมิ าณของโซเดยี มในระดบั ท่ีต่ำและไม่เพียงพอต่อความต้องการ แต่ใน
พ้นื ดินโดยเฉพาะสภาพพื้นทใี่ นประเทศไทยส่วนใหญ่มปี ริมาณของโซเดียมในระดบั สูง ซึ่งสามารถนำดินบริเวณ
นนั้ มาทำนาเกลอื ได้ แต่จะแตกต่างจากหลายประเทศในยุโรปทีข่ าดแคลนโซเดียมเป็นเปน็ จำนวนมากหลายพ้ืนที่
การขาดโซเดียมมีผลต่อการควบคุมแรงดันออสโมติกในร่างกาย ทำให้ร่างกายอยู่ในสภาวะสูญเสียน้ำจาก
ร่างกาย (Dehydration) และยงั พบวา่ จะสง่ ผลในดา้ นของการเจรญิ เติบโต การย่อยและใชป้ ระโยชนจ์ ากโปรตีน
ทล่ี ดลง ทำใหส้ ัตว์ถงึ ตายได้
3.5.1.5 คลอรนี
คลอรีนจะทำงานร่วมกันกับโซเดียมในรูปของเกลอื แกง (Sodium Chloride ; NaCl) ในการทำ
หน้าที่ควบคุมแรงดันออสโมติกในร่างกาย และควบคุมความเป็นกรด-ด่างรา่ งกาย ดังนั้นแหล่งของคลอรีนและ
โซเดียม สว่ นใหญแ่ ลว้ จะอยู่ในรูปของเกลือ ซง่ึ เกลือจะสามารถกระตนุ้ การกินอาหารของสตั วไ์ ด้ แต่ถ้าหากได้รับ
มากไปสตั วจ์ ะมีการกนิ นำ้ ท่มี ากขึน้ เพ่อื ขับถ่ายเกลือแกง (NaCl) ออกจากรา่ งกายแต่ถ้าหากมีปริมาณน้ำที่จำกัด
จะเกิดความเป็นพิษได้ การนำเกลือมาใช้ประกอบสูตรอาหารสัตว์ซึ่งจะใช้เกลือในอาหารสัตว์ 0.25 ถึง 0.50
เปอร์เซ็นต์ของอาหารทั้งหมด นอกเหนือจากคลอรีนจะเป็นส่วนประกอบของเกลือแล้วยังทำหน้าที่เกี่ยวกับ
กระบวนการย่อยอาหารเน่ืองจากเปน็ องคป์ ระกอบของกรดเกลอื หรือไฮโดรคลอรกิ (Hydrochloric acid ; HCl)
105
แหล่งของคลอรีนนอกจากเกลือแกงแล้วยังพบในปลาป่นอยู่สูงด้วยจึงทำให้เป็นข้อจำกัดในการใช้ปลาป่นใน
อาหารสัตวเ์ พราะมีเกลือสูงอาจส่งผลให้เกิดพิษได้ ความสำคัญของเกลือมีความสำคัญอย่างมากในสตั ว์ปกี หาก
ขาดจะเกิดการขนรว่ งหยาบกร้าน และสง่ ผลใหไ้ กเ่ กิดการจกิ กนั เองเกิดขนึ้ ได้ (Cannibalism)
อาการของสตั วเ์ มื่อขาดคลอรนี
ร่างกายของสตั ว์จะมีอาการผิดปกตคิ ือความเป็นด่างของเลือดสูงจากการขับสารจำพวกไบคาร์บอเนต
เพอื่ นำมาใชใ้ นการทดแทนคลอรีนทีไ่ ม่เพียงพอ โดยสารไบคาร์บอเนตซึ่งทำหน้าทเ่ี ป็นบฟั เฟอร์ในการปรับสมดุล
ความเป็นกรด-ด่าง จงึ ลดลงทำใหส้ ภาวะความเปน็ ดา่ งของเลอื ดสูงข้นึ
3.5.1.6 กำมะถัน
กำมะถันที่พบในร่างกายของสัตว์ส่วนใหญ่เป็นองค์ประกอบของโปรตีนที่มีกรดอะมิโนที่มี
กำมะถันเป็นองค์ประกอบเช่นซีสทีน (Cystine) ซีสเทอีน (Cysteine) เมทไธโอนีน (Methionine) และยังเป็น
สว่ นประกอบของวิตามนิ เช่นไบโอติน (Biotin) ไทอะมนิ (Thiamin) ดว้ ย นอกเหนอื จากน้ันกำมะถนั ยังทำหน้าท่ี
เป็นโครงสรา้ งของสารชวี โมเลกลุ ในรา่ งกายสัตวเ์ ช่นเปน็ สว่ นประกอบของฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) เป็นตน้ ใน
โครงสร้างของร่างกายจะมีกำมะถันเป็นส่วนประกอบของกระดูกอ่อนของสัตว์ด้วยโดย ซึ่งการได้รับกำมะถัน
โดยตรงสำหรับสัตว์กระเพาะเดี่ยวจะสามารถใช้ประโยชน์ได้ยากกว่าการใช้ในรูปของกรดอะมิโนที่มี
องค์ประกอบของกำมะถัน แต่ในสัตว์เคี้ยวเอื้องกำมะถันมีความจำเป็นอย่างยิ่งในกรณีที่ใช้สารประกอบ
ไนโตรเจนทไ่ี ม่ใชโ่ ปรตนี นน่ั คอื ยเู รีย เพ่ือใหจ้ ลุ นิ ทรยี ์สามารถนำกำมะถันเหลา่ น้ีไปสังเคราะห์เปน็ กรดอะมิโนของ
ตัวร่างกายจุลินทรีย์เองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรดอะมิโนที่มีส่วนประกอบของกำมะถัน อย่างไรก็ตามการใช้
กำมะถันในรูปของโซเดียมซลั เฟตจะทำให้มกี ารใช้ประโยชน์ของจุลินทรีย์ได้ดีกว่าการใช้กำมะถันโดยตรง การใช้
กำมะถนั ในสตั ว์เค้ยี วเออ้ื งจะพิจารณาสัดส่วนของกำมะถันต่อไนโตรเจนให้อยู่ในสัดส่วนท่ี 0.07 หรือไนโตรเจน
14 ต่อกำมะถัน 1 ซึง่ เปน็ สดั สว่ นท่ีพบในตัวของจุลินทรียโ์ ปรตนี ความเปน็ พษิ ของกำมะถันหากได้รับปริมาณที่
สงู มากจะเปลีย่ นรูปเป็นไฮโดรเจนซลั ไฟด์ซ่งึ สง่ ผลตอ่ ระบบทางเดนิ อาหาร และยังสง่ ผลไปยงั การเคล่ือนไหวของ
กระเพาะหมักดว้ ย
อาการของสตั วเ์ มอื่ ขาดกำมะถนั
การขาดกำมะถันในสตั วก์ ระเพาะเดีย่ วจะแสดงออกถงึ การขาดกรดอะมโิ นท่ีจำเปน็ ด้วยเน่ืองจากกรดอะ
มิโนท่ีมีองคป์ ระกอบของกำมะถนั ล้วนแล้วแต่เป็นกรดอะมิโนที่จำเปน็ ทงั้ สิ้นจงึ ทำให้สัตว์มีการเจริญเติบโตที่ช้า
มีการเผาพลาญในการทำงานไดไ้ ม่เต็มท่ี ในกรณีสัตว์มีขนการสร้างขนจะช้าเชน่ ในไก่ และเป็ด ในโคขนจะหยาบ
กระดา้ ง ไมม่ ันเงา เป็นตน้
106
3.5.1.7 แมกนเี ซียม
แมกนีเซียมเป็นแรธ่ าตุชนิดหนึ่งที่เป็นส่วนสำคัญของโครงสร้างในร่างกายสัตว์ เช่นเดียวกันกับ
แคลเซียมและฟอสฟอรัส โดยแมกนีเซียม 70 เปอร์เซ็นต์จะเป็นองค์ประกอบของโครงสร้างในรา่ งกาย ในส่วน
อื่น ๆ แมกนเี ซยี มจะกระจายอยูต่ ามเน้ือเยื่อและสว่ นทเี่ ป็นของเหลวในรา่ งกาย แมกนเี ซียมมคี วามสำคญั ตอ่ การ
ทำงานของเอนไซม์ในไพรูเวท (Pyruvate) เช่น กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์คาร์บอกซิเลส (Carboxylase)
ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการเมแทบอลิซึมของคาร์โบไฮเดรตและไขมัน นอกเหนือจากนั้นแมกนีเซียมยั งมี
ความสัมพันธ์ตอ่ การหลังของฮอร์โมนพาราไทยรอยด์ทีม่ ีหน้าท่ีเกี่ยวข้องกับการสลายแคลเซยี มในร่างกายเพื่อ
นำไปใช้ประโยชน์อกี ดว้ ย ในกรณีที่ระดบั ของกระแสเลือดมีปริมาณของแคลเซียมในระดับต่ำอีกด้วย ดังนั้นจงึ
สามารถสรุปได้ว่าแมกนีเซียมเป็นแร่ธาตุสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการทำงานระดับเซลล์ แมกนีเซียมมักเป็น
องค์ประกอบของพืชสีเขียวทกุ ชนิดเนือ่ งจากเป็นองค์ประกอบของคลอโรฟิลล์ นอกเหนอื จากน้ันยังสามารถพบ
ได้ในรำข้าว รำข้าวสาลี ยีสต์แห้ง เป็นต้น หรือจทำการเสริมในรูปของแมกนีเซียมออกไซด์ (Magnesium
oxide) หรือ แมกนีเซียมซัลเฟต (Magnesium sulfate) นอกเหนือจากนั้นมีการนำแมกนีเซียมอะซิเตต
(Magnesium acetate) มาผสมร่วมกับกากน้ำตาล แร่ธาตุอื่น ๆ และทำการอัดเป็นก้อนคล้ายกับแร่ธาตุก้อน
เพือ่ ใหส้ ตั วส์ ามารถเลยี ได้อย่างอิสระ
อาการสตั วเ์ มอ่ื ขาดแมกนีเซียม
การขาดแมกนีเซียมในสัตว์เคี้ยวเอื้องเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากจากการทีแ่ มกนีเซยี มมีการดูดซึมได้ใน
ระดบั ต่ำและโพแทสเซยี มยงั ทำปฏิภาคต่อการดูดซึมของแมกนีเซียมจงึ มีความเส่ียงต่อการขาดแมกนีเซียมและ
ส่งผลต่อการแสดงอาการกล้ามเนื้อกระตุกหรือที่เรียกว่า Grass tetany อย่างไรก็ตามในสัตว์เคี้ยวเอือ้ งที่ไดร้ ับ
หญ้าสดหรือมีการปล่อยแทะเล็มอยู่แล้วจะไม่มีความเสี่ยงต่อการขาดแมกนีเซียมเนื่องจากในหญ้าจะมี
องค์ประกอบของแมกนีเซียมอยู่สูงเนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งในโครงสร้างของคลอโรฟิลล์ โดยปกติแล้วระดับของ
แมกนีเซยี มในกระแสเลอื ดของโคจะอยู่ในช่วง 17 – 40 มิลลิกรัมต่อลติ ร แต่อาการแสดงของการขาดจะแสดง
อาการเมื่อระดับของแมกนีเซียมต่ำกว่า 5 มิลลิกรัมต่อลิตรโดยจะแสดงอาการชักกระตุกและมีอาการทาง
ประสาทเกดิ ขึ้นเปน็ ตน้ อย่างไรกต็ ามตวั ช้วี ัดของการบง่ บอกถึงการขาดแมกนีเซียมที่ดีสามารถพิจารณาได้จาก
ระดับของแมกนีเซียมในปสั สาวะซง่ึ โดยปกติรา่ งกายของสัตว์จะทำการขับออกของแมกนีเซียมทางปัสสาวะโดยมี
ปรมิ าณของแมกนีเซียมประมาณ 20 – 100 มลิ ลิกรัมตอ่ ลิตร หากต่ำกวา่ ระดับน้ีจะเป็นการบ่งบอกว่าสัตว์ขาด
แมกนเี ซียมแต่ในสตั วก์ ระเพาะเดี่ยวมกั ไม่พบการขาดของแมกนเี ซยี ม
107
3.5.2 บทบาทหนา้ ท่ขี องแรธ่ าตุรองและแรธ่ าตุปลกี ยอ่ ย
3.5.2.1 เหล็ก
เหล็กเป็นองค์ประกอบสำคัญของฮีโมโกลบินในเลือดอยู่ในรูปของโปรตีนชนิดหนึ่งคือทรานส์เฟอริน
(Transferrin) ซึ่งมีองค์ประกอบของเหล็กอยู่ที่ 200 กรัมต่อกิโลกรัม ธาตุเหล็กมีบทบาทสำคัญต่อปฏิกิริยาใน
ร่างกายของสัตว์เช่นการขนส่งอิเลตรอนเพื่อนำไปเข้าสู่กระบวนการออกซิเดชันหรือรีดักชัน แต่โดยสรุปแล้ว
เหล็กมีความเกี่ยวข้องกับเลือดมากที่สุดเนื่องจาก 50 เปอร์เซ็นต์ที่พบในร่างกายเป็นส่วนประกอบของ
ฮีโมโกลบิน ดังนั้นการสร้างเม็ดเลือดแดงที่ไขกระดูก (Bone marrow) จะต้องนำเหล็กไปใช้ในการสร้างเพ่ือ
ทดแทนเมด็ เลอื ดแดงทถ่ี ูกทำลายในร่างกายสตั ว์
อาการเมื่อขาดธาตเุ หล็ก
การขาดของธาตเุ หล็กจะส่งผลการต่อการโรคโลหติ จาง (Anemia) โดยส่วนใหญม่ ักมีการขาดในลูกสัตว์
ท่ีอย่ใู นชว่ งกนิ นมแมเ่ ป็นหลัก เน่ืองจากในน้ำนมมปี รมิ าณของธาตุเหล็กท่ีต่ำซึง่ มกั เกิดในลูกสุกร เปน็ ตน้ โดยใน
น้ำนมของแม่สุกรจะพบธาตุเหล็กประมาณ 1 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ลูกสุกรมีความต้องการธาตุเหล็กสูงถึง 15
มิลลกิ รมั ตอ่ วัน จึงเปน็ เหตุให้ลกู สุกรอยใู่ นสภาวะของระดบั ธาตุเหล็กที่ได้รับไมเ่ พียงพอจำเปน็ ท่จี ำตอ้ งได้รับจาก
การเสริมให้ลูกสุกรโดยตรง การเสริมผ่านแม่สุกรจะไม่สามารถเพิ่มประมาณของธาตุเหล็กในน้ำนมได้ ซึ่งการ
เสริมธาตุเหล็กให้ลูกสุกรทนี่ ยิ มปฏบิ ัติคือการฉีดธาตุเหล็ก 200 มิลลกิ รัมเข้ากลา้ มเนือ้ เมื่อลูกสุกรอายุ 3 วัน แต่
เมื่อลูกสกุ รโตขึน้ โอกาสในการขาดธาตุเหลก็ จะลดลงไปแต่จะเปลีย่ นไปมีความต้องการของทองแดงที่เพ่ิมขึ้น แต่
ในลกู แกะ ลูกแพะ หรอื ลกู โค ปริมาณของธาตเุ หล็กในน้ำนมของแมจ่ ะเพยี งพอต่อความตอ้ งการของลกู สัตว์แต่ก็
สามารถเกิดการขาดธาตเุ หลก็ ได้เชน่ กนั จากการทล่ี ูกสตั ว์ไดร้ บั น้ำนมในปรมิ าณทจ่ี ำกัด สำหรบั การเกดิ โรคโลหิต
จางน้นั จะสง่ ผลต่อการเจริญเติบโตท่ตี ำ่ ร่างกายอ่อนแอ ติดโรคได้ง่าย
3.5.2.2 ทองแดง
ดงั ท่ไี ดก้ ล่าวไวว้ ่าเมื่อลูกสัตว์โตมักจะมีความตอ้ งการของทองแดงมากกว่าธาตุเหล็กเพื่อนำไปใช้ในการ
สร้างเมด็ เลอื ดแดงนั้น โดยทองแดงจะทำหน้าท่ีในการช่วยให้มีการดูดซมึ ของธาตุเหล็กให้สงู ขึ้น และยังกระตุ้น
การนำธาตุเหล็กจากเซลล์นำไปสูพ่ ลาสมาอีกดว้ ย สำหรับหน้าที่อื่น ๆ ของทองแดงจะเกีย่ วข้องกบั การทำงาน
เกี่ยวกับระบบเอนไซม์ในร่างกาย เช่นเป็นองค์ประกอบของเอนไซม์ Superoxide dismutase ที่เกี่ยวข้องกับ
การต้านอนุมูลอิสระของร่างกายสัตว์ เปน็ องคป์ ระกอบของสารสใี นผมหรือขนสตั ว์ รวมถึงการสร้างเคราตินเช่น
กีบ เขา หรอื เลบ็ ของสตั ว์อกี ด้วย
อาการเม่ือขาดทองแดง
การขาดทองแดงจะสง่ ผลให้สัตว์มีการเจริญเติบโตท่ีชา้ แคระแกรน สีขนผิดปกติ มีความผิดปกตขิ อง
กระดูก และเกิดอาการโลหิตจาง ในแกะการของแดงยังจะส่งผลถึงระบบประสาทส่วนของขาหลังท่ีเกดิ อาการ
108
อัมพาตไม่สามารถยนื ได้ เวลาเคลือ่ นทีจ่ ะใชไ้ ดเ้ พยี งขาหนา้ เท่าน้นั ดงั นน้ั เวลาแกะเดนิ จึงเดินลากขาหลัง หรือขา
หลงั ออ่ นแรง (Swayback) ซึ่งมกั เกดิ ในลูกแกะทีเ่ กิดใหมเ่ ป็นต้น
3.5.2.3 ไอโอดนี
ในร่างกายของสัตว์พบว่ามีปริมาณของไอโอดีนที่น้อยมาก (ประมาณ 600 ไมโครกรัมต่อกิโลกรัม)
หนา้ ท่ีของไอโอดีนจะมีความเกีย่ วข้องกับการผลิตฮอรโ์ มนไทรอกซนิ (Thyroxine ; T4) ท่ีผลิตขึ้นที่ตอ่ มไทรอยด์
คอยทำหน้าที่เกี่ยวข้องกบั การเมแทบอลิซึมในรา่ งกายสัตว์ ทำให้สัตว์มีการเจริญเติบโตทีเ่ ร็ว และควบคุมการ
เจรญิ เติบโตของลูกสตั วเ์ ม่ืออยใู่ นครรภ์พร้อมท้ังส่งเสริมภมู ติ า้ นทานโรคให้แก่สัตวอ์ กี ด้วย
อาการเมอ่ื ไอโอดีน
เมื่อสัตว์ขาดไอโอดีนจะทำให้มีปริมาณการผลิตฮอร์โมนไทรอกซินที่ลดลง ร่างกายจึงพยายามปรบั ตวั
เพื่อให้มีการผลิตฮอร์โมนชนิดนี้ที่เพิ่มขึ้นเพือ่ เพียงพอต่อการทำงานของร่างกายให้เป็นปกติ จะทำให้เกิดการ
ขยายตวั ของต่อมไทรอยด์เพ่ือใหม้ กี ารผลิตของฮอร์โมนไทรอกซนิ ท่เี พ่ิมขน้ึ การขยายตัวหรอื เพิม่ ขนาดของต่อม
ไทรอยด์เป็นเกิดของอาการแสดงออกของคอพอก (Goiter) และส่งผลต่อการกินอาหารของสัตว์ในอนาคต
นอกเหนอื จากนั้นการขาดไอโอดนี ยังพบว่ามคี วามเกี่ยวขอ้ งกบั การเกิดความผดิ ปกตขิ องระบบสืบพันธ์ุในสัตว์อีก
ด้วยจากการทำงานของต่อมไทรอยด์ที่ผิดปกติ สำหรับแม่สัตว์ที่พึ่งให้กำเนิดลูกสัตว์จะพบว่าลูกสัตว์จะมีการ
เจริญของขนและสมองที่ช้า ภายในเวลาต่อมาจะเกิดความอ่อนแอและเสียชีวิตได้อย่างง่าย สำหรับการขาด
ไอโอดีนในสัตวว์ ยั เจรญิ พนั ธ์ใุ นเพศเมีย สตั ว์จะไมแ่ สดงอาการเป็นสตั ว์ ส่วนเพศผูน้ ำ้ เชือ้ จะไม่แข็งแรงมีการผสม
ติดที่ตำ่
การเกิดคอพอกไม่ได้มีสาเหตุจากการขาดไอโอดีนเพียงอย่างเดียว แต่สามารถเกิดได้จากที่สัตว์ได้รับ
อาหารที่มีองค์ประกอบของไธโอไซยาเนต (Thiocyanate) ซึ่งสามารถพบได้ในถั่วลิสง ถั่วเหลือง เรปสีด
นอกเหนือจากนั้นในอาหารที่พบมปี ริมาณของไนเตรตทีร่ ะดับสูงจะลดการดูดซึมของไอโอดีนได้ สำหรับแหล่ง
ของไอโอดนี ส่วนใหญจ่ ะเปน็ ผลผลติ จากทะเลเช่นปลาป่น สาหรา่ ยทะเลน้ำลึก หรือเกลอื ที่เติมไอโอดีน เป็นต้น
3.5.2.4 แมงกานสี
ปริมาณของแมงกานีสทพี่ บในรา่ งกายของสัตวม์ ปี รมิ าณทนี่ ้อยมาก โดยจะพบในส่วนของกระดูก ตบั ไต
ตับออ่ น และต่อมใต้สมองเป็นส่วนใหญ่ แมงกานีสมีความสำคญั ต่อรา่ งกายในการกระตนุ้ การทำงานของเอนไซม์
เชน่ ไฮโดรเลส (Hydrolases) และไคเนส (Kinases) ซงึ่ มีความเก่ียวขอ้ งกับการสังเคราะห์กรดอะมิโน และการ
สังเคราะห์พลังงานเปน็ หลกั แหล่งของแมงกานีสที่สัตว์เคี้ยวเอื้องได้รับตามธรรมชาติจะมาจากพชื อาหารสตั ว์
เป็นส่วนมาก โดยพบปริมาณ 500 – 600 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ในส่วนของสตั ว์กระเพาะเดี่ยวจะมาจากรำขา้ ว
เปน็ สว่ นใหญ่ แตก่ ย็ ังสามารถพบไดใ้ นข้าวโพดในปริมาณทเี่ ล็กนอ้ ย
109
อาการเมือ่ ขาดแมงกานสี
ความสำคัญของแมงกานีสที่มีความเกี่ยวข้องกับการทำงานของเอนไซม์ในร่างกายและเมื่อสัตว์ได้รบั
ปริมาณของแมงกานีสที่ไม่เพียงพอจะส่งผลให้สัตว์มีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติ มีพัฒนาการของโครงสร้าง
ร่างกายของสัตว์เกิดใหม่ที่ผิดแปลกไปจากเดิมทำให้สัตว์เดินคล้ายคลึงกับการเดินเซจากการทำงานที่ไม่
ประสานกัน (Ataxia) และยังส่งผลตอ่ ระบบสืบพันธุท์ ี่ไม่เป็นปกตอิ ีกด้วย การขาดแมงกานีสจะส่งผลอย่างมาก
ต่อระบบสืบพันธุ์ของสัตว์โดยทำให้สัตว์แสดงอาการเป็นสัดที่ไม่ชัดเจน มีการเป็นสัดไม่ตรงกับวงรอบ และมี
อัตราการผสมติดที่ต่ำ สำหรับสัตว์ปีกจะพบว่ามีอัตราการฟักที่ต่ำ มีเปลือกไข่ที่บาง และมีอาการเอ็นเคลื่อน
(Slipped tendon) เกิดขึ้นซึ่งหากไม่พิจารณาอย่างถี่ถ้วนอาการจะคล้ายคลึงกับการขาดแคลเซียมและ
ฟอสฟอรัสอย่างมาก ในส่วนของสุกรจะแสดงอาการเจ็บขา (Lameness) เกิดขึ้น นอกเหนือจากนั้นการขาด
แมงกานีสยังพบว่าสามารถทำให้มีการใช้ประโยชน์จากกลูโคสได้น้อยลงและมีการตอบสนองของวิตามินเคใน
การทำงานของเกลด็ เลือดท่ตี ่ำอกี ด้วย
3.5.2.5 สงั กะสี
สังกะสีที่พบในร่างกายสัตว์สามารถพบได้ทุกส่วนของร่างกาย แต่จะพบปริมาณที่สูงที่บริเวณผิวหนัง
ผม และขนของสัตว์ นอกเหนือจากนน้ั ยงั เปน็ องค์ประกอบของเอนไซม์หลายชนดิ ในกระบวนการเมแทบอลิซึม
ของโปรตีนอกี ดว้ ย สงั กะสมี คี วามสำคัญต่อกระบวนการในการผลัดเปล่ียนเนอื้ เยื้อของเซลล์และการแบ่งตัวของ
เซลล์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเซลล์ผิวหนังของสัตว์ นอกเหนือจากนั้นสังกะสียังทำหน้าที่ในการผลิต สะสม และ
หลง่ั ฮอร์โมนในรา่ งกายของสัตว์ อีกท้งั ยงั ทำหนา้ ทีใ่ นการควบคุมสมดุลของอิเลคโตรไลต์ในร่างกายของสัตว์ด้วย
แหลง่ ของสังกะสที ่ีสัตว์ไดร้ ับจะได้จากธญั พืช รำขา้ ว เซลลย์ ีสต์ และปลาปน่ โดยวตั ถุดิบจากสัตว์จะพบสังกะสี
มากกวา่ จากพืช แต่การได้รับสังกะสีในปรมิ าณทีม่ ากเกนิ กว่าความตอ้ งการของร่างายจะส่งผลให้สตั ว์มกี ารกินได้
ของอาหารท่ีลดลง
อาการเม่อื สงั กะสี
การขาดสงั กะสมี กั จะพบมากในสกุ รโดยจะแสดงอาการท่กี ารเจริญเติบโตท่ีผิดปกติ มคี วามอยากอาหาร
ที่ลดลง แต่ประเด็นสำคัญคือการเกิดสภาวะผิวหนงั แห้ง หยาบกร้าน คล้ายกับการเป็นขี้เรือ้ น จากที่มีเคราติน
สะสมอยเู่ ป็นจำนวนมาก (Parakeratosis) ในรายท่เี ป็นรนุ แรงจะมีการเจรญิ เติบโตช้า แคระแกรน กระดูกส่วน
ต่าง ๆ มีพัฒนาการผิดปกติ โครงสร้างกระดกู ไม่แข็งแรง สมรรถนะการสร้างเยื่อบผุ ิวหนังและเซลล์ลำไสล้ ดลง
ต่อมไทมัสเล็กลง อัณฑะฝ่อ ระบบสืบพันธุ์ทั้งสองเพศทำงานไม่ปกติ จนถึงขั้นแม่สุกรอาจแท้งลูกได้ สำหรับ
อาการที่เกิดขนึ้ ในสัตว์ปีกพบว่าจะมีการเจริญเติบโตและพฒั นาการของร่างกายทชี่ ้า มีการผดิ ปกตขิ องเท้าไก่ มี
ลักษณะของผิวหนังที่หยาบกร้าน ขนไก่ฟู (Frizzled feathers) สำหรับในลูกโคที่ได้รับสังกะสีไม่เพียงพอต่อ
ความตอ้ งการจะพบการอักเสบท่หี นังกำพรา้ เชน่ จมกู ริมฝปี าก และผวิ หนังหยาบ ขนรว่ ง นอกเหนอื จากนน้ั การ
110
ขาดสังกะสีในแม่โครีดนมยังส่งผลให้น้ำนมโคมีโซมาติกเซลล์ (Somatic cell) ในปริมาณที่สูง ซึ่งเป็นปัจจัย
สำคัญในการบง่ ชคี้ ณุ ภาพน้ำนมและความเสย่ี งในการเกิดเตา้ นมอกั เสบ
3.5.2.6 โคบอลต์
โคบอลต์เป็นแร่ธาตทุ ส่ี ำคญั สำหรับสตั ว์เคี้ยวเอื้องเน่อื งจากเปน็ โคเอนไซม์ในการสงั เคราะห์วิตามนิ บี 12
โดยจุลินทรีย์ภายในกระเพาะหมัก หากปริมาณของโคบอลต์ไม่เพียงพอต่อความต้องการก็จะส่งผลให้มีการ
สังเคราะหว์ ิตามินบี 12 ที่ลดลงและสง่ ผลต่อเนือ่ งถึงการได้รบั ปริมาณวิตามินบี 12 ไม่เพยี งพออกี ดว้ ยและส่งผล
ตอ่ การดดู ซมึ ของกรดโพรพิโอนิกอกี ดว้ ย ความตอ้ งการแรธ่ าตุในสัตวเ์ คีย้ วเอื้องมปี ริมาณความตอ้ งการที่สูงกว่า
สตั วก์ ระเพาะเด่ียวอย่างมากเพ่ือใช้ในการสังเคราะห์หรอื ใช้ประโยชนโ์ ดยจุลินทรีย์ ดงั นัน้ ในสัตว์กระเพาะเดี่ยว
จึงพบการขาดโคบอลต์ไดย้ ากกว่ามาก หากปริมาณของโคบอลต์ที่พบในพืชอาหารของสัตวเ์ คี้ยวเอ้ืองมีปริมาณ
นอ้ ยกว่า 0.1 มิลลิกรมั ต่อกิโลกรมั วัตถุแหง้ จะพบความเสีย่ งตอ่ การขาดโคบอลต์อยา่ งมาก
สำหรับการสงั เคราะห์วิตามนิ บี 12 ในสัตว์กระเพาะเดีย่ วเองก็สามารถสงั เคราะห์ได้โดยจุลินทรีย์ท่อี ยู่
ในลำไส้ใหญแ่ ตม่ ปี รมิ าณไมเ่ พยี งพอตอ่ ความต้องการ ซ่งึ ปริมาณของวติ ามินบี 12 จะตอ้ งได้รบั จากอาหารท่ีอุดม
ไปด้วยวิตามินบี 12 เท่านั้น อย่างไรก็ตามโคบอลต์มีความอันตรายต่อสุขภาพของมนษุ ย์อย่างมากเนื่องจากมี
ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเรง็ ผิวหนังเม่ือเกิดการสัมผัส ดังนั้นจึงมีการจำกัดปริมาณการใช้โคบอลต์ในหลาย
ประเทศเชน่ กล่มุ ประเทศสหภาพยุโรปโดยกำหนดปริมาณท่ีใชไ้ มเ่ กิน 3 มลิ ลิกรัมตอ่ กโิ ลกรมั
3.5.2.7 โมดิบดีนัม
ในสัตว์ปีกจะมีความสำคัญของโมลิบดีนัมอย่างมากเพื่อใช้ในกระบวนการเมแทบอลิซึมของพีวรีน
นอกเหนอื จากนั้นยังเปน็ องค์ประกอบของเอนไซม์โดยทำงานรว่ มกบั ทองแดง อยา่ งไรกต็ ามหากได้รับโมลิบดีนัม
ท่ีปริมาณสงู จะส่งผลเสยี ต่อกากรดูดซมึ ของทองแดง น้ำหนักตวั ลดลง และมีขนทหี่ ยาบกรา้ น โดยจะสามารถพบ
อาการเหล่านีไ้ ดใ้ นโคให้นมและสตั ว์อายุนอ้ ย
อาการขาดโมลิบดนี มั
ในกรณีที่สัตว์ปีกที่อายุน้อยได้รับปริมาณของโมลิบดีนัมที่ไม่เพียงพอจะส่งผลต่อการผลิต Xanthine
oxidase ซึง่ เปน็ สาระสำคัญของกระบวนการเมแทบอลซิ มึ ของพิวรนี ซึ่งจะผลติ กรดยรู ิก (Uric acid) เป็นผลผลิต
สดุ ทา้ ยของกระบวนการ อย่างไรก็ตามไมพ่ บวา่ สง่ ผลตอ่ การเจริญเติบโตของสัตว์ แต่กข็ าดไม่ได้โดยมีการนำสาร
ต้านโมลบิ ดีนัมให้สัตว์กนิ พบว่าการเจรญิ เติบโตมีการลดลง นอกเหนือจากนน้ั มยี งั พบว่าโมลิบดีนัมส่งผลต่อการ
กระตุ้นการย่อยสลายเซลลโู ลสโดยแบคทเี รียในกระเพาะหมกั อกั ด้วย
3.5.2.8 ซีลีเนยี ม
ซลี ีเนยี มมคี วามสำคัญต่อรา่ งกายสตั วอ์ ย่างมากเน่อื งจากเปน็ องค์ประกอบของเอนไซม์กลตู าไธโอนเปอร์
ออกซิเดส (Glutathione peroxidase) ซ่งึ ทำหนา้ ทใ่ี นการขจัดไฮโดรเจนเปอรอ์ อกไซด์ (Hydrogen peroxide)
ซึ่งเป็นสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจากกระบวนการออกซิเดชันในร่างกายของสัตว์ไม่ให้เกิดความอันตรายต่อ
111
ร่างกาย โดยกลูตาโอนเปอร์ออกซิเดสจะมีองค์ประกอบของซีลเี นียมอยู่ 4 อะตอมและมคี วามเกี่ยวขอ้ งต่อการ
ดดู ซมึ วติ ามินออี ีกด้วย ซลี เี นยี มและวติ ามนิ อีจะทำหน้าที่สำคญั ท่ีเกย่ี วข้องกับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันใน
ร่างกาย และการต้านความเป็นพิษของโลหะ อย่างไรก็ตามหากได้รับปริมาณของซีลีเนียมในปริมาณที่สูงเกิน
ความต้องการของร่างกายหรือปริมาณ 5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม จะส่งผลกระทบต่อร่างกายด้วยความเป็นพิษ
อย่างมากจนทำให้สตั ว์ตายได้ โดยอาการแรกเรม่ิ คือขนร่วง ตกสะเก็ด บริเวณแผงคอรวมถงึ หาง และอาจจะตาย
โดยระบบทางเดินหายใจล้มเหลว นอกเหนือจากนั้นยังพบว่ามีการเจ็บป่วยของสัตว์ที่แบบเรื้อรัง (Chronic
disease) เกิดขน้ึ อีกด้วย
อาการเมอื่ ขาดซีลีเนียม
การที่สัตว์ขาดซีลีเนียมจะส่งผลเช่นเดียวกันกับการขาดวิตามินอีคือ มีการทำงานของกล้ามเนื้อที่
ผิดปกติหรือมีลักษณะของกล้ามเนือ้ พกิ าร สัตว์ยืนจะมีลักษณะสั่นไปทั้งบริเวณขา ในลูกสัตว์อาจมีการทำงาน
ของหัวใจทผ่ี ดิ ปกตจิ นเปน็ สาเหตุทำให้ตายได้ นอกจากนน้ั ยงั สง่ ผลให้สตั ว์มคี วามสมบรู ณพ์ นั ธตุ์ ่ำ โดยในสัตว์ปีก
พบวา่ จะมอี ัตราการฟกั ออกและผลผลิตไขท่ ่ลี ดลง การไดร้ ับซีลีเนียมทไ่ี มเ่ พยี งพอยงั ส่งผลให้เกดิ การแสดงอาการ
ที่ผิดปกติคล้ายคลึงกับการขาดไอโอดีนอีกด้วยซี่งส่งผลกระทบต่อต่อมไทรอยด์ เป็นต้นแหล่งของซีลีเนียมที่
สำคญั จะได้มาจากรูปโซเดยี มซีลีไนท์ (Sodium selenite) เป็นส่วนใหญ่
ความแปรผันและการเสริมแรธ่ าตแุ ก่สตั ว์
ปริมาณของพืชทีใ่ ช้ในอาหารสัตว์เพื่อเป็นแหลง่ ของสารอาหารมีผลต่อปริมาณการไดร้ บั ของแร่ธาตใุ น
สัตวเ์ ป็นอยา่ งมาก เน่ืองจากพชื มคี วามแปรปรวนของแรธ่ าตุจากสาเหตุหลายประการ ไดแ้ ก่ สายพันธ์ุ อายุของ
พชื ประเภทของดิน รวมถึงฤดูกาล ล้วนแล้วแตเ่ ป็นปัจจัยท่ีสง่ ผลใหม้ ีความแปรปรวนของแร่ธาตุในอาหารสัตว์
ทัง้ สิ้น ยกตัวอย่างเชน่ ในพชื ตระกลู ถัว่ พบวา่ มีแรธ่ าตุหลักและแรธ่ าตรุ องมากกวา่ หญ้า ในส่วนของดนิ โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งสภาวะความเป็นกรด-ด่างของดินมีความสัมพันธ์ต่อการดูดซึมของแร่ธาตุซึ่งมาจากปุ๋ยเข้าสู่ต้นพืชท่ี
แตกต่างกัน ทำให้ปริมาณของแรธ่ าตุในพืช ต้นพืช หรือเมล็ดมีปริมาณที่แตกต่างกนั ได้ เช่นในสภาวะเม่ือดนิ มี
สภาวะเปน็ ด่างทเี่ พ่ิมขึน้ ตน้ พืชจะสามารถดูดซึมโมลิบดนี ัมได้สูงข้ึนแต่ขณะท่โี คบอลต์และแมงกานีสมีปริมาณ
การดูดซึมท่ีลดลง จึงทำให้พืชแมส้ ายพันธุ์เดียวกัน แม้จะปลูกในช่วงเวลาเดียวกันก็สามารถให้ผลของแร่ธาตุท่ี
แตกต่างกันได้ ในสว่ นของวตั ถุดิบอาหารสตั ว์ทีเ่ ปน็ ผลผลิตจากสัตว์เชน่ ปลาป่น เนอ้ื ปน่ หางนม ลว้ นแลว้ แต่เป็น
แหลง่ ของแร่ธาตหุ ลักชนั้ ดีสำหรับสตั ว์
โดยปกติแล้วในอาหารสัตว์จะมกี ารใช้แร่ธาตุผสมรวมกับอาหารเพือ่ ให้มแี ร่ธาตุตามความต้องการของ
สัตว์อยู่เสมอ แต่ยังคงมีการใช้แร่ธาตุบางชนิดเพื่อเสริมเป็นพิเศษให้แก่สัตว์ที่ให้ผลผลิตสูง หรือเพื่อปรับปรุง
คณุ ภาพผลผลิตเช่น ในไกไ่ ข่นยิ มทจี่ ะเสรมิ แคลเซยี มเพมิ่ เติมในอาหารในรูปของหนิ ปูน เปน็ ตน้ แหล่งของแร่ธาตุ
ที่นิยมใช้ในการเสริมสำหรับสัตว์โดยทั่วไปมีหลายชนิดเช่น ไดแคลเซียมฟอสเฟต (Dicalcium phosphate)
นิยมใชเ้ ปน็ แหล่งของฟอสฟอรัส เกลอื ทใี่ ช้เป็นแหลง่ ของโซเดียม ในส่วนของแรธ่ าตุรองจะนยิ มใชใ้ นรูปของเกลือ
112
เช่น โซเดยี มซลี ไี นตท์ ใ่ี ช้เปน็ แหลง่ ของซีลเี นียม เปน็ ตน้ แต่รูปแบบของสารประกอบแต่ละรูปท่ใี ช้เป็นแหล่งของ
แร่ธาตุมีความหลากหลายทางด้านของราคา รูปร่าง รวมถึงองค์ประกอบทางเคมี จึงเป็นผลให้ความสามารถใน
การใช้ประโยชนข์ องแร่ธาตใุ นรูปสารประกอบแต่ละชนดิ มีความสามารถในการใช้ประโยชน์ไดแ้ ตกตา่ งกัน เช่น
ประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ของฟอสฟอรัสในหินฟอสเฟตอยูท่ ี่ในระดบั ต่ำ แต่หากใช้ในรูปของ ortho- และ
meta- phosphate จะมีประสทิ ธภิ าคการใช้ประโยชนส์ งู ถงึ 80 ถงึ 100 เปอรเ์ ซน็ ต์ ในสว่ นของการใช้แคลไซน์
แมกนไี ซต์ (calcined magnesite) เพ่อื เป็นแหล่งของแมกนเี ซยี มจะมคี วามสามารถในการใช้ประโยชน์ที่ระดับ
50 – 60 เปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อใช้ในรปู ของแมกนีเซยี มซัลเฟต (Magnesium sulfate) จะเพิ่มการใช้ประโยชน์ได้
ถึง 70 เปอรเ์ ซน็ ต์ (ตารางท่ี 3.8)
ตารางท่ี 3.8 แหล่งของแร่ธาตุและความสามารถในการใชป้ ระโยชน์ไดข้ องสตั ว์แต่ละชนิด
Mineral compound Poultry Availability (%) Cattle
Swine
Cupric sulphate 100 100 100
Cupric carbonate 65 85 -
Cupric chloride 110 - 115
Ferrous sulphate 100 100 100
Ferric oxide 10 10 5
Manganese sulphate 100 100 100
Manganese 55 - 30
carbonate
Sodium selenite 100 100 100
Zinc sulphate 100 100 100
ท่ีมา : Ammerman et al. (1998)
สำหรับสัตว์เคี้ยวเอือ้ งท่ีทำการปล่อยแปลงการเสริมแรธ่ าตุในลักษณะผงมีความยากในการดำเนินการ
อย่างมาก จึงนิยมใช้วิธีการอัดเป็นก้อนเพื่อให้สัตว์ได้เลียกินอย่างอิสระ โดยอาจมีการเสริมไนโตรเจนหรือ
พลังงานเข้าไปเพ่ือทดแทนโภชนะที่ขาดหายในช่วงนั้นดว้ ย หรืออาจมีการใช้กากน้ำตาลเป็นส่วนผสมให้สัตวม์ ี
ความชอบทเ่ี พมิ่ มากขึน้ ดว้ ย อยา่ งไรก็ตามวธิ กี ารให้สัตว์เลียกินตามใจชอบอาจส่งผลให้สัตว์บางตัวไม่ได้รับจาก
ปัจจัยอื่น ๆ ที่ไม่สามารถควบคุมได้ จึงได้มีการพัฒนาการเสริมแร่ธาตุในลักษณะเป็นก้อนเท่ากับขนาดของ
อาหารที่โคขยอกออกมาขณะเคี้ยวเอื้อง (Bolus) การเสริมจะใช้วิธีการกรอกให้โคกลืนลงไปสู่กระเพาะหมัก
ก่อนที่แรธ่ าตุดังกล่าวจะคอ่ ย ๆ แตกตัวออกมาอย่างช้า ๆ เพื่อเป็นแหล่งของแร่ธาตุในสัตว์เคี้ยวเอื้องที่ทำการ
113
ปล่อยแปลงแทะเล็ม แต่ก็ยังไม่ได้รับการนิยมเท่ากับแบบก้อนเนื่องจากประสบปัญหาที่สัตว์ขยอกแร่ธาตุนี้
ออกมาคืน
โดยส่วนใหญแ่ ล้วสารประกอบแร่ธาตุอยู่ในรูปของสารอนินทรีย์ (Inorganic) ซึ่งมีขอ้ จำกัดในด้านการ
ดดู ซมึ ทีต่ ่ำเปน็ ผลใหม้ กี ารใช้ประโยชนไ์ ด้ท่นี ้อยในสัตว์ จึงมกี ารพยายามปรับเปล่ียนแร่ธาตุให้อยู่รูปของอินทรีย์
(Organic) หรือโดยทั่วไปเรียกว่าแร่ธาตุคีเลต (Chelated) โดยการนำแร่ธาตุไปจับกับสารอินทรีย์เช่นโปรตีน
(ภาพที่ 3.36) จะสามารถทำให้แรธ่ าตมุ กี ารดูดซึมและการใช้ประโยชน์ไดส้ ูงข้ึนกวา่ การใช้ในรปู ของอนินทรีย์
ภาพท่ี 3.36 การจับตวั ของแร่ธาตุร่วมกบั โปรตนี ของแรธ่ าตุคีเลต
ที่มา : https://www.lehvoss-nutritionminerals.de/fileadmin/user_upload
/nem/Bilder/Chelat.png
สาเหตุที่แรธ่ าตุคีเลตนิยมใช้การจับรว่ มกบั โปรตีนหรอื กรดอะมิโนนน้ั เนื่องจากมปี ระสทิ ธิภาพในการดูด
ซึมที่สูงมาก โดยการดูดซึมของโปรตีนที่บริเวณลำไส้เล็กจะใช้ตัวพาซึ่งแตกต่างจากการดูดซึมแร่ธาตุโดยปกตทิ ี่
จะใชแ้ อคทีฟทรานสปอร์ตในการดูดซึมท่ีลำไส้ อยา่ งไรกต็ ามแร่ธาตุคีเลตน้ันมรี าคาท่ีสงู มาก การใช้จึงต้องดูถึง
ความเหมาะสมด้วยวา่ มีจุดประสงคเ์ พือ่ สิ่งใด ปัจจุบันแร่ธาตุคีเลตจะใช้เป็นแร่ธาตุเสริมมากกว่าการใช้เปน็ แร่
ธาตุหลักในอาหารสัตว์ แต่ก็มีการรณรงค์ให้มีการใช้อย่างแพรห่ ลายโดยการชูประเดน็ ด้านของการลดมลภาวะ
ทางส่งิ แวดล้อมจากการขับถา่ ยแรธ่ าตทุ ดี่ ูดซมึ ไมไ่ ดอ้ อกมา
3.6 วิตามนิ
วิตามนิ จัดเป็นอินทรยี ว์ ตั ถุชนิดหน่ึงท่ีรา่ งกายของสัตว์มีความต้องการแตป่ รมิ าณเล็กน้อยเพื่อนำมาใช้ใน
การทำงานของรา่ งกายให้เปน็ ปกติเชน่ ใชใ้ นการเจริญเติบโต การดำรงชีพ และการสร้างผลผลิต เป็นตน้ วติ ามิน
เป็นโภชนะทไ่ี มใ่ หพ้ ลงั งานดงั น้นั หน้าที่หลกั ทสี่ ำคัญของวิตามินจะมีความเกย่ี วข้องกับกระบวนการเมแทบอลิซึม
ในร่างกายของสัตว์ การที่สัตว์ไดร้ ับวิตามินที่ไม่เพยี งพออาจจะส่งผลตอ่ การแสดงออกในการให้ผลผลิตที่ลดลง
หรือมีอาการผิดปกติของร่างกาย การได้รับวติ ามินที่เพียงพอหรือมากกวา่ ความตอ้ งการของสัตว์เลี้ยงยังส่งผล
ให้ผลผลติ สัตว์เปน็ ไปตามจุดประสงค์ของผทู้ ี่ตอ้ งการใช้อกี ด้วย เชน่ หากต้องการเพม่ิ ความแข็งแรงของเปลือกไข่
จะต้องทำการเสรมิ วติ ามนิ ดีใหแ้ ก่ไก่ไข่ หรอื ความตอ้ งการปรบั ปรุงสุขภาพของเต้านมโคกส็ ามารถใช้วิตามนิ เอใน
การปรับปรุงได้ หรือความต้องการให้ซากของสัตว์มีการเก็บรักษาได้นานขึ้นโดยปราศจากการออกซิเดชันก็
สามารถใชว้ ติ ามินอีในการเสริมใหก้ บั สตั วไ์ ด้
114
ตารางท่ี 3.9 ชื่อของวิตามินท่ีสำคัญและการจดั หมวดหมู่
ช่ือวิตามิน ชื่อทางเคมี
วิตามินที่ละลายในไขมัน (Fat-soluble vitamins)
วิตามินเอ (Vitamin A) เรตนิ อล (Retinol)
วติ ามนิ ดี 2 (Vitamin D2) เออร์โกแคลซิเฟอรอล (Ergocalciferol)
วิตามินดี 3 (Vitamin D3) คอเลแคลซิเฟอรอล (Cholecalciferol)
วิตามนิ อี (Vitamin E) โทโคฟรี อล (Tocopherol)
วติ ามินเค (Vitamin K) ฟลิ โลควิ โนน (Phylloquinone)
วติ ามนิ ทีล่ ะลายในน้ำ (Water-soluble vitamins)
วติ ามนิ บี 1 (Vitamin B1) ไทอามนี (Thiamin)
วิตามนิ บี 2 (Vitamin B2) ไรโบฟลาวนิ (Riboflavin)
วติ ามนิ บี 3 (Vitamin B3) นโิ คตนิ าไมด์ (Nicotinamide)
วิตามินบี 5 (Vitamin B5) กรดเพนโทเทนกิ (Pantothenic acid)
วติ ามินบี 6 (Vitamin B6) ไพรดิ อกซนี (Pyridoxine)
วติ ามนิ บี 7 หรอื เอช (Vitamin B7 ,H) ไบโอตนิ (Biotin)
วติ ามินบี 9 (Vitamin B9) กรดโฟลกิ (Folic acid)
โคลนี (Choline)
วิตามินบี 12 (Vitamin B12) ไซยาโนโคบาลามนิ (Cyanocobalamin)
วิตามินซี (Vitamin C) กรดแอสคอรบ์ ิก (Ascorbic acid)
แต่ปริมาณความต้องการวิตามินในสัตว์นั้นมีความต้องการทีน่ ้อยอยา่ งมากเมื่อเปรยี บเทยี บกับโภชนะ
อน่ื ๆ ยกตวั อยา่ งเช่นความต้องการวิตามินบี 12 สำหรบั สกุ รท่ีมนี ้ำหนักตวั เฉล่ีย 50 กโิ ลกรัมจะอยู่ที่ปริมาณ 3
มิลลกิ รัมต่อวัน ซ่ึงหากสุกรได้รบั วิตามินบี 12 ไมเ่ พยี งพอต่อความตอ้ งการระดับน้ีจะเกิดความผิดปกติของการ
ทำงานของร่างกาย และในสารบางชนิดมีคุณสมบัติคล้ายกับวิตามินเนื่องจากเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์
วิตามินยกตัวอยา่ งเชน่ เบต้าแคโรทนี (β-carotene) ซึง่ เปน็ สารคล้ายวิตามิน (Provitamin) ของวติ ามินเอโดย
จะพบมากในพืชเปน็ หลักโดยเบตา้ แคโรทีนจะสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นวิตามนิ เอได้ อยา่ งไรก็ตามวิตามนิ มีความ
อ่อนไหวตอ่ การถกู ทำลายอย่างมากหรือเกดิ การเส่ือมสภาพโดยการออกซเิ ดชัน การโดนความรอ้ น และการเจอ
แสงลว้ นแลว้ แต่สามารถทำให้วิตามินเกิดการเส่ือมสภาพได้ทั้งสิน้ รวมไปถึงการเกบ็ รักษา หากวิตามินได้สัมผัส
กับโลหะก็สามารถทำให้เกิดความเสียหายของวิตามินเกิดขึ้น จึงเป็นเหตุให้วิตามินที่นำมาใช้จำหน่ายเป็น
115
ผลติ ภณั ฑท์ างการค้าจะต้องเกบ็ รักษาวติ ามินใหอ้ ยู่ในรปู สารประกอบอื่น ๆ เพ่ือใหส้ ามารถเกบ็ รักษาได้ยาวนาน
ข้ึนเช่นการเก็บรกั ษาในรปู ของแวกซ์ (Waxes) หรือเจลาติน (Gelatin) เพอื่ ปอ้ งกนั ไมใ่ ห้วติ ามินเสื่อมสภาพจาก
การออกซเิ ดชนั
สำหรับชื่อของวิตามินนัน้ มกั ใชว้ ิธีการเรียกตามลำดับพยัญชนะตัวอักษรของภาษาอังกฤษมากกวา่ การ
เรียกโดยใช้ชื่อทางเคมี แต่สำหรับวิตามินบางชนิดจะใช้เป็นการเรียกโดยพยัญชนะแทนโดนเฉพาะอย่างย่ิง
วิตามินในกลุ่มของวิตามินบี สำหรับประโยชน์ของวิตามินนั้นพบว่ามีวิตามนิ อย่างน้อย 14 ชนิดที่มีความสำคัญ
ต่อการทำงานในร่างกายของสัตว์ ซึ่งจะถูกแบ่งออกเปน็ 2 กลุ่ม โดยใช้คุณสมบัติในการละลายได้ในน้ำหรือใน
ไขมัน
3.6.1 หนา้ ทแ่ี ละความสำคัญของวติ ามนิ ละลายในไขมัน
3.6.1.1 วิตามนิ เอ
วิตามินเอหรือชื่อทางเคมีว่าเรตินอลเป็นวิตามินที่ละลายในไขมันที่มีองค์ประกอบของ
แอลกอฮอล์ มีคณุ ลกั ษณะเปน็ ของแข็งสีเหลอื ง สามารถถกู ทำลายได้โดยกระบวนการออกซิเดชนั โดยการสัมผัส
กบั อากาศและการโดนแสง วิตามินเอในร่างกายของสัตวน์ ้นั จะมีการสะสมอยู่มากท่ีตบั เป็นปรมิ าณที่มาก แต่ใน
สัตว์แต่ละชนิดจะมีปริมาณของวิตามินเอที่ตับที่แตกต่างกัน โดยในสุกรจะพบว่ามีปริมาณของวิตามินเออยู่
ปริมาณ 30 ไมโคกรัมต่อกรัม ในส่วนโคจะพบที่ 45 ไมโครกรัมต่อกรัม ขณะที่ในไก่ไข่จะพบสูงถึง 270
ไมโครกรัมต่อกรมั แต่ปริมาณของวติ ามนิ เอท่ีมีการสะสมในสัตว์สงู จะเป็นสัตว์จำพวกปลา ดังน้ันน้ำมันตับปลา
จึงเปน็ แหลง่ ของวิตามินเอท่ีมีปริมาณมากทส่ี ดุ แต่มรี าคาสงู อย่างมาก การใช้วติ ามินเอจากแหลง่ อน่ื ๆ กส็ ามารถ
ใชไ้ ดเ้ ช่นในนำ้ นม ในไขแ่ ดง ก็เป็นแหลง่ ของวติ ามินเอทม่ี ปี ริมาณสูงเช่นกนั แตก่ ข็ ้นึ อยู่กับอาหารที่สตั วก์ ินอีกด้วย
แต่ในพืชนั้นวิตามินเอไม่พบว่ามีการสะสมอยู่ในพืช แต่จะอยู่ในรูปของสารชนิดหนึ่งที่สามารถ
สังเคราะห์เป็นวิตามินหรืออาจเรียกว่าเป็นสารโปรวิตามินนั้นคือสารเคโรทีนอยด์ (Carotenoids) ซึ่งพบใน
ธรรมชาติไมต่ ่ำกว่า 600 ชนดิ แต่มเี พียงไมก่ ีช่ นิดที่สามารถสงั เคราะห์เปน็ วิตามินได้ สำหรับสารเคโรทีนอยด์ท่ี
พบในพืชพบว่ามลี กั ษณะเปน็ สีเหลอื ง สสี ้ม หรือสแี ดง ดังนนั้ หากพืชมสี ่วนประกอบของสเี หลา่ นี้อยกู่ ็มักจะมีสาร
แคโรทีนอยด์เป็นองค์ประกอบอยู่ สำหรับแคโรทีนอยด์สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่แคโรทีน
(Carotenes) และแซนโทฟีล (Xanthophylls) แต่แหล่งสำคญั ของวติ ามินเอท่ีสัตวไ์ ดร้ บั จะมาจากเบต้าแคโรทีน
เปน็ หลัก
116
เบต้าแคโรทีน
วิตามนิ เอ
ภาพที่ 3.37 โครงสร้างของเบตา้ แคโรทีนและวิตามินเอ
ที่มา : McDonald et al. (2010)
เนอื่ งดว้ ยโครงสรา้ งของเบตา้ แคโรทีนและวิตามนิ เอดงั ภาพที่ 3.37 นัน้ เป็นรูปแบบของไฮโดรคาร์บอนท่ี
ไม่อิ่มตัวสายยาวจึงเป็นเหตุให้มีความง่ายต่อการดูกออกซิเดชันจากการโดนความร้อน สัมผัสต่อแสง ได้รับ
ความชื้น รวมถึงการสัมผัสต่อโลหะหนักลว้ นแล้วแต่สามารถทำให้วิตามนิ เอมีความเส่ือมสภาพได้ท้ังสิ้น ดังน้นั
กระบวนการในการแปรรูปอาหารสัตว์ การถนอมพชื อาหารสัตว์ล้วนแล้วแต่สามารถทำให้เกิดการลดลงของแค
โรทีนหรือวิตามนิ เอไดด้ ้วย
สำหรับการเปล่ียนแปลงแคโรทนี เป็นวิตามินเอนัน้ สามารถเกิดขึน้ ได้ทีต่ ับและบริเวณลำไส้ของสัตว์แต่
มักเกิดข้ึนที่ลำไส้มากกว่าโดยปริมาณของแคโรทนี ทีใ่ ช้ในการสังเคราะห์เป็นวิตามนิ เอในสัตว์แต่ละชนิดมีความ
แตกต่างกัน โดยในสัตว์เคี้ยวเอื้องพบว่าจะต้องใช้แคโรทีนจำนวน 6 มิลลิกรัมเพื่อสังเคราะห์เป็นวิตามินเอ 1
กรัม ขณะที่สัตว์ปีกจะต้องใช้แคโรทีนจำนวน 3 มิลลิกรัมในการสังเคราะห์วิตามินเอ แต่สุกรจะต้องใช้ถึง 11
มิลลิกรัมในการสังเคราะห์วิตามินเอ เป็นต้น สำหรับหน่วยปริมาณของวิตามินเอใช้ใช้หน่วยเป็นหน่วยสากล
(International unit ; IU) โดยวิตามินเอ 1 หน่วยสากลพบว่าจะมีปริมาณวิตามินเอประมาณ 0.3 ไมโครกรัม
หรือแคโรทีน 6 ไมโครกรัม
หน้าที่ของวติ ามินเอ
วิตามินเอทำหน้าที่หลัก ๆ ในร่างกายอยู่ 2 ประการ โดยประการแรกจะทำงานเกี่ยวข้องกับระบบ
สายตา และการแบ่งตัวของเซลล์ภายในร่างกายเพื่อให้เซลล์เนื้อเยื่อมีความใหม่อยู่เสมอ นอกเหนือจากนั้น
วติ ามินเอยังมคี วามสำคัญต่อการเจรญิ เติบโต ระบบสืบพันธุ์ และการตอบสนองต่อภมู ิคุ้มกันโรคในสัตว์อีกด้วย
นอกเหนือจากน้ันในสัตว์ปว่ ยวิตามินเอยังช่วยส่งเสริมให้มีการฟ้ืนคืนของสภาพร่างกายในช่วงสตั ว์ป่วนให้เป็น
ปกตไิ ดร้ วดเรว็ ขน้ึ
117
อาการเมือ่ สตั วข์ าดวติ ามินเอ
การที่สัตว์ขาดวิตามนิ เอจะทำให้สตั ว์มีอาการเบือ่ อาหาร มกี ารเจริญเติบโตท่ีชา้ มีการเจริญของเปลือก
ตาที่มากทำให้เปลือกตาหนาและคลุมบางส่วนของลูกตาและส่งผลให้สัตวไ์ ม่สามารถมองเห็นได้ในชว่ งพลบคำ่
หรือที่เรียกว่าโรคตาบอดกลางคืน (Night blindness) ซึ่งการแสดงอาการนี้เป็นตัวบ่งบอกว่าสัตว์มีการขาด
วิตามินเอในระยะแรกเริ่ม นอกเหนือจากนั้นวิตามินเอซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันยังพบว่าหาก
ปริมาณของวติ ามนิ เอไม่เพียงพอต่อความตอ้ งการจะทำให้ระดบั ภมู ิคุ้มกนั ในสตั วม์ ีระดบั ทีต่ ำ่ อีกดว้ ย
การขาดวติ ามนิ เอในโคโตเตม็ วัยจะส่งผลทำให้มลี ักษณะของผิวหนงั ทห่ี ยาบกรา้ นตกสะเก็ด และมีขนท่ี
หยาบ การเกิดตาอกั เสบมีความรนุ แรงมากขึน้ โคจะมีการหลง่ั ของนำ้ ตาออกตลอดเวลา จนระยะเวลาหนึ่งน้ำตา
ของโคจะผลิตไมเ่ พียงพอส่งผลให้ดวงตาแห้ง และอาจพัฒนาเป็นตาบอดได้ ในส่วนของโคที่อยู่ในช่วงผสมพันธุ์
การขาดวิตามินเอจะส่งผลต่อการผสมติดยากเกิดขึน้ และในแม่โคที่อุ้มทอ้ งจะมีพัฒนาการของลูกในครรภ์ทต่ี ่ำ
กว่าปกติ มีการเจริญของอวัยวะทผี่ ดิ รปู มีการแทง้ ลูกเกิดข้นึ หากเป็นแม่โคท่ีคลอดลูกจะมกี ารเกดิ รกค้างเกิดขึ้น
นอกเหนือจากนั้นลูกสัตว์จะมีความอ่อนและแมโ่ คจะมีอาการมดลูกอักเสบเกิดขึ้น แต่หากลูกโคที่เกิดขึ้นไดร้ บั
น้ำนมเหลืองจะสามารถมีพัฒนาการกลับมาเป็นปกติเนื่องจากน้ำนมเหลืองจะอุดมไปด้วยแหล่งของวิตามินเอ
แต่การขาดของวิตามินเอสำหรับโคที่โตเต็มวัยที่ได้รับพืชอาหารหยาบคุณภาพดีจะไม่มีความเสี่ยงต่อการขาด
วิตามินเอเนื่องจากอาหารหยาบคุณภาพดีเป็นแหล่งของแคโรทีน อย่างไรก็ตามการที่เสริมวิตามินเอที่สูงกว่า
ความต้องการแต่ไมถ่ ึงระดับท่ีเปน็ พิษจะสามารถลดอาการอักเสบของเต้านมและมดลูกได้
ในส่วนของการขาดวิตามินเอในสุกรนอกเหนือจะส่งผลไปยังดวงตาที่ทำให้เกิดสภาพดวงตาแห้ง
(Xerophthalmia) และตาบอดเกิดขนึ้ ก็จะสง่ ผลต่อระบบสืบพันธข์ุ องสัตวโ์ ดยตรงโดยในสกุ รท่ตี ง้ั ท้องเมื่อคลอด
ลกู จะมขี นาดครอกที่ต่ำ (Little size) การผสมพันธตุ์ กต่ำ และลูกสัตวท์ ่ีเกิดขึน้ มคี วามออ่ นแอ ซงึ่ เปน็ ส่ิงทส่ี ำคัญ
อยา่ งมากจึงมกี ารนำวิตามนิ เอมาใช้เสริมใหแ้ ก่สุกรเพ่ือป้องกันการเกิดโรคท่ีเกิดขึน้ จากความผิดปกติของระบบ
สืบพันธุ์ ขณะที่การได้รบั วติ ามนิ เอไม่เพียงพอตอ่ ความตอ้ งการของไก่จะส่งผลต่ออตั ราการตายมอี ัตราทสี่ ูงข้ึน มี
อาการอ่อนแอ ในไก่ที่อยู่ในระยะไข่จะมีผลผลิตไข่ที่ลดลงและมีอัตราการฟักออกที่ต่ำลงด้วย ในไก่หากได้รบั
อาหารทีเ่ ปน็ สารสเี หลืองท่ีจำกัดเชน่ ข้าวโพดควรพิจารณาถงึ การขาดวิตามินเออาจจะต้องทำการเสริมให้แก่ตัว
สัตวเ์ พ่อื มปี ริมาณท่เี พยี งพอตอ่ ความตอ้ งการ
3.6.1.2 วติ ามนิ ดี
วติ ามนิ ดีท่ีพบในธรรมชาติทีส่ ำคัญตอ่ ร่างกายของสัตว์มีอยู่ 2 รูปคอื ใน วติ ามินดี 2 (เออร์โกแคล
ซิเฟอรอล) และวิตามนิ ดี 3 (คอเลแคลซิเฟอรอล) แสดงดังภาพท่ี 3.38 แตว่ ิตามินดที ง้ั 2 รูปมีคุณสมบัติในการ
ละลายในไขมนั แตค่ วามเสถียรเม่อื เปรยี บเทียบกันแลว้ วิตามินดี 3 จะมคี วามเสถยี รมากกว่าวิตามินดี 2 ปริมาณ
118
ของวิตามินในอาหารสตั ว์โดยสว่ นมากมีความจำกดั โดยพชื อาหารสัตวท์ ี่ถกู กระบวนการถนอมอาหารลว้ นแล้วแต่
มีปริมาณของวิตามนิ ดใี นระดับท่ตี ่ำ ในส่วนของรา่ งกายสัตวเ์ องกม็ ปี ริมาณของวิตามินดี 3 ท่สี ะสมอย่ใู นร่างกาย
ที่น้อยมากยกเว้นในน้ำนันตับปลาซึ่งมีปริมาณของวิตามินดี 3 ในประมาณที่สูง เช่นเดียวกับไข่แดงเองก็มี
ปรมิ าณทสี่ งู เช่นกัน ขณะทนี่ ้ำนมถือว่าเปน็ แหล่งของวิตามนิ ดี 3 ที่ต่ำมาก โดยมปี ริมาณน้อยกว่านำ้ นมเหลืองถึง
6 เท่า ในบางครั้งแหล่งของวิตามินดี 3 สำหรับสัตว์อาจมาจากการฉีดให้แก่สัตว์โดยตรง เนื่องจากวิตามินดีมี
ความสามารถในการเสือ่ มสภาพได้ง่ายจากการออกซิเดชันที่สูงกว่าวิตามินเอทำให้ปริมาณคงเหลือน้อยมากใน
อาหารสตั ว์
ภาพท่ี 3.38 โครงสรา้ งของวติ ามนิ ดี 2 และวติ ามินดี 3
ท่ีมา : McDonald et al. (2010)
แมว้ า่ ในอาหารสัตว์โดยสว่ นใหญจ่ ะมีปรมิ าณของวิตามินดีที่จำกัดแต่ในรา่ งกายสตั ว์สามารถสังเคราะห์
วิตามินดีได้หากได้รับลิพิดจำพวกสเตอรอล 2 ชนิดได้แก่เออร์โกสเตอรอล (Ergosterol) และ7-ดีไฮโดรคลอ
เลสเตอรอล (7-Dehydrocholesterol) ในการสังเคราะห์วิตามนิ ดี 2 และวติ ามนิ ดี 3 ตามลำดบั อยา่ งไรก็ตาม
แม้จะมีสารต้ังต้นในการสังเคราะห์วิตามนิ ดีเหลา่ น้แี ลว้ ยงั คงมีความจำเปน็ ทส่ี ตั วจ์ ะตอ้ งไดร้ บั แสงอัลตราไวโอเลต
(Ultraviolet; UV) จากแสงแดดเพื่อใช้ในกระบวนการสังเคราะห์วิตามิน โดยในร่างกายของสัตว์จะทำการ
สังเคราะห์โดย 7-Dehydrocholesterol ที่อยู่ในร่างกายของสัตว์จะเคลื่อนย้ายไปยังผิวหนังชั้นนอกและทำ
ปฏิกิริยากับแสงอัลตราไวโอเลตและได้ซึ่งวิตามินดี 3 ในขณะที่พืชนั้น Ergosterol เมื่อทำปฏิกิริยากับแสง
อลั ตราไวโอเลตจะเกดิ วติ ามินดี 2 เกดิ ขน้ึ แตม่ กั จะเสือ่ มสภาพง่ายเม่อื พืชนน้ั ไดต้ ายไป แต่การทีไ่ ดร้ บั แสงอุลตรา
ไวโอเลตท่ีนานเกนิ ไปอาจส่งผลกระทบตอ่ ผิวหนงั ได้เชน่ กนั ดว้ ยเหตนุ ี้จึงพยายามเลอื กแสงแดดในยามเช้า หรือ
เย็นที่มีความรุนแรงไม่มาก สำหรับหน่วยของวิตามินดีนั้นจะใช้อยู่ในรูปของหน่วยสากลเช่นเดียวกบั วติ ามินเอ
โดย 1 หน่วยสากลจะเท่ากับวิตามินดี 3 ประมาณ 0.025 ไมโครกรัม ซึ่งในไก่จะมีหนว่ ยของวิตามินดีจำเพาะ
โดยจะใช้เป็นหน่วยสากลสำหรับไก่ (International chicken unit; ICU) เพราะไก่นั้นมีความสามารถใช้ได้
เฉพาะวติ ามนิ ดี 3 เทา่ น้ัน แต่ความเขม้ ข้นของ 1 ICU จะเท่ากบั วิตามินดี 3 ปรมิ าณ 0.0.25 ไมโครกรมั เชน่ กัน
119
หนา้ ทข่ี องวิตามนิ ดี
เมื่อสัตว์ได้รับวิตามินดีจากอาหารหรือจากการสังเคราะห์ที่ผิวหนังวิตามินเหล่านี้จะอยู่ในรูปที่ยังไม่
ทำงาน (Inactive form) ซง่ึ จำเป็นต้องมกี ารเปลย่ี นรปู เพ่ือใหอ้ ยใู่ นรปู ที่ทำงาน ข้ันตอนแรกจะต้องเปลี่ยนให้อยู่
ในรูปของ 25-hydroxycholecalciferol โดยทำการเปลี่ยนทต่ี บั ก่อนทีจ่ ะสง่ ไปยงั ไตเพอื่ เปล่ยี นโครงสร้างใหอ้ ยู่
ในรูปของ 1,25-dihydroxycholecalciferol ซึ่งเป็นรูปแบบท่ีทำงานได้ ก่อนจะขนสง่ ลำเลียงโดยกระแสเลือด
เพื่อไปสู่อวัยวะเป้าหมายเพื่อนำไปสร้างกระดูก หรือเปลือกไข่เป็นต้น แต่ในช่วงที่ร่างกายมีปริมาณของ
แคลเซียมที่ปริมาณต่ำพาราไทรอยด์ฮอร์โมนจะกระตุ้นการทำงานให้เกิดการสร้าง 1,25-dihydroxy
cholecalciferol ที่บริเวณไตใหเ้ พิม่ มากขึ้นเนือ่ งจาก 1,25-dihydroxycholecalciferol มีความจำเป็นต่อการ
ดูดซึมแร่ธาตุแคลเซียมเพื่อนำไปใช่ในการสร้างกระดูกเป็นอย่างมาก นอกเหนือท่ี 1,25-dihy
droxycholecalciferol จะช่วยในการดูดซึมแคลเซียมแล้วยังมีผลต่อการดูดซึมฟอสฟอรัสเป็นอยา่ งมาก และ
ภายหลงั มีการศกึ ษาพบว่ามคี วามสัมพันธ์ระหวา่ ง 1,25-dihydroxycholecalciferol ตอ่ การแสดงออกของยีนส์
ท่เี ก่ียวขอ้ งกับภมู คิ มุ้ กนั ให้สามารถป้องกนั โรคไดด้ ขี ้ึนด้วย
อาการเมอ่ื สัตว์ขาดวิตามนิ ดี
การขาดวติ ามนิ ดีในสัตวม์ ักสง่ ผลต่อการเกิดโรคกระดูกอ่อนซง่ึ มักเกิดในสัตว์อายนุ ้อย และมีการเจริญ
ของกระดูกที่ผดิ ปกตจิ ากร่างกายมีการสะสมของแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่ต่ำกวา่ ปกติ ทำให้กระดูกนอกจาก
จะอ่อนแล้วยงั มีลักษณะเป็นกระดูกพรนุ และหกั ง่ายอีกด้วยสำหรับสัตว์ที่โตเต็มวัย การขาดวติ ามินดีในลูกโคจะ
ส่งผลต่อการแสดงอาการข้อขาและข้อเข่าบวม ขณะที่สุกรจะพบว่าบริเวณข้อต่อของกระดูกจะมีขนาดใหญ่
ผิดปกติ กระดูกหกั มีการเคลื่อนไหวบริเวณข้อตอ่ ทีย่ ากจนพัฒนาสู่การเกิดอัมพาต อย่างไรก็ตามจากอาการท่ี
กล่าวมานัน้ อาจมสี าเหตุที่เกิดขึ้นจากการท่ีสัตว์ได้รับแคลเซียมและฟอสฟอรัสทีไ่ ม่เพยี งพอได้ สำหรับการขาด
วิตามินดีในสัตว์ปีกทำให้กระดูกรวมถึงจะงอยปากมีความไม่แข็งแรง นอกเหนือจากนั้นยังพบว่ามีการ
เจริญเติบโตที่ชา้ ลง สำหรบั สัตวป์ ีกท่ใี หผ้ ลผลติ ไข่อยูผ่ ลผลติ ไขจ่ ะลดลงพร้อมท้งั มีเปลอื กไข่ที่บางผิดปกติ
โดยส่วนใหญก่ ารขาดวิตามินดีในสตั ว์มักเกดิ ขนึ้ ในสกุ ร และสตั ว์ปีกเปน็ อย่างมากเนื่องจากสัตว์เหล่านี้
นิยมเลี้ยงในโรงเรือนระบบปิดจนเปน็ สาเหตุให้มีการไดร้ บั แสงเพื่อใชใ้ นการสังเคราะห์วิตามินดใี นปริมาณท่ตี ่ำ
จึงควรได้รับการเสริมในอาหารอาจเปน็ วิตามินสังเคราะห์หรอื วิตามินทีไ่ ด้จากอาหารสัตว์จำพวกนำ้ มันตับปลา
เป็นต้น แต่สำหรับสัตว์เคี้ยวเอื้องแล้วมักจะสามารถเกิดการขาดวิตามินดีได้ยากกว่าสุกร และสัตว์ปีก เพราะ
สามารถได้รับจากการสังเคราะห์ด้วยแสงที่ผิวหนัง อีกทั้งในสัตว์เคี้ยวเอื้องที่ได้รับหญ้าแห้งจะมีปริมาณของ
วิตามินดี 2 ที่สูง อีกประการสำคัญสำหรับสัตว์ปีกที่อาจส่งผลให้มีการขาดวิตามินดีนั้นคือ สัตว์ปีกมี
120
ความสามารถในการใช้ประโยชน์จากวิตามนิ ดี 2 ที่จำกัด โดยจะสามารถใช้วติ ามินดี 2 ได้แค่ 10 เปอร์เซน็ ต์เมื่อ
เปรยี บเทยี บกับวติ ามินดี 3
3.6.1.3 วติ ามินอี
วิตามินอีเปน็ วติ ามนิ ท่ลี ะลายไขมันทม่ี โี ครงคารบ์ อนแบบอ่ิมตวั และมโี ครงสรา้ งหลากหลายแบบ
มากได้แก่ โครงสรา้ งแบบ แอลฟา่ เบต้า แกมม่า และเดลตา้ เปน็ ต้น แตโ่ ครงสรา้ งทีเ่ ป็นประโยชน์ต่อร่างกายคือ
แบบ แอลฟ่า (α-tocopherol) สำหรับแหลง่ ในร่างกายสัตวน์ ั้นจะไม่มีการสะสมวติ ามนิ อีในร่างกายในปริมาณ
มากดงั เช่น วติ ามนิ เอหรอื วติ ามินดี แต่สำหรบั แหล่งของวติ ามินอีในอาหารสามารถพบได้ในพืชอาหารสัตว์ โดย
ในสว่ นใบจะมีความเขม้ ข้นมากกว่าสว่ นของลำต้นถงึ 20-30 เทา่ แต่หากนำหญา้ มาถนอมอาหารโดยการทำหญ้า
แห้งปริมาณของวิตามินอจี ะสูญเสียไปถึง 90 เปอร์เซ็นต์ แต่หากทำการหมักจะมีการสูญเสียที่เล็กนอ้ ย แหล่ง
ของวิตามินอีสามารถได้จากเมล็ดธัญพืชได้เช่นกันแต่มีความแปรปรวนแตกต่างกันไปในแต่ละชนิด โดยจะพบ
มากในเมล็ดข้าวเช่นขา้ วจา้ ว ข้าวสาลี ขา้ วบาร์เลย์ เป็นปริมาณมาก ในขณะท่ีข้าวโพดเองกม็ ปี ริมาณของวิตามิน
อีที่สูงเช่นกันแต่ส่วนใหญ่มีในรูปของเดลต้าเป็นองค์ประกอบด้วย อย่างไรก็ตามระยะเวลาในการเก็บรักษา
วัตถุดิบจะส่งผลให้ปริมาณของวิตามินอีลดลงได้เช่นกัน สำหรับหน่วยของวิตามินอีจะใช้ในรูปของหน่วยสากล
เช่นเดียวกันกับวิตามินเอและวิตามินดี โดย 1 หน่วยสากลวิตามินอีจะเท่ากับ 0.67 มิลลิกรัมวิตามินอีในรูป
RRR-α-tocopherol และเท่ากับ 0.74 มิลลิกรัมวิตามินอีในรูปของ RRR-α-tocopherol acetate โดย RRR-
α-tocopherol เป็นวิตามินอี 1 ใน 3 ไอโซเมอร์ของ α-tocopherol ในรูปของ D form ส่วน RRR-α-
tocopherol acetate จะอยใู่ นรูป DL form
ภาพท่ี 3.39 โครงสรา้ งของวติ ามนิ อีชนดิ α-tocopherol
ท่ีมา : McDonald et al. (2010)
หนา้ ทข่ี องวติ ามนิ อี
การทำงานของวิตามินอีต่อร่างกายสัตว์โดยหลักจะมีความเกี่ยวข้องกับการต้านอนุมูลอิสระ โดยจะ
ทำงานร่วมกบั ซีลีเนยี มและเอนไซม์กลูตาไธโอนเปอร์ออกซิเดส (Glutathione peroxidase) เพื่อปกป้องเซลล์
ในร่างกายของสัตว์จากอนั ตรายของอนุมูลอสิ ระทีเ่ กดิ ขึน้ จากกระบวนการออกซิเดชัน หากอนุมูลอิสระเหล่านี้
ไม่ได้ถูกปรับเปลี่ยนใหอ้ ยู่ในรปู ที่มีความอันตรายน้อยลงจะส่งผลเสียต่อรา่ งกายอย่างมากและสามารถพัฒนาสู่
121
การเกิดโรคได้ในอนาคต นอกเหนือจากน้ันวิตามินอียังทำหนา้ ท่ีในการป้องกันการออกซิเดชันของกรดไขมนั ไม่
อิ่มตัวที่เป็นองค์ประกอบของเซลล์ในร่างกายสัตว์และยังเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์ฮอร์โมนที่สำคัญเช่น
พรอสตาแกลนดิน (Prostaglandin) เป็นต้น การออกซิเดชันของกรดไขมันไม่อิ่มตัวนั้นจะเกิดไฮโดรเปอร์
ออกไซด์ (Hydroperoxide) เกิดข้ึนซึง่ จะสง่ ผลต่อการทำลายเซลลเ์ นื้อเยื่อและเกิดสารอนมุ ูลอสิ ระที่เพิม่ มากข้ึน
จากข้อมูลที่กล่าวในข้างต้นผลผลิตจากการออกซิเดชันมีความอันตรายต่อสุขภาพสัตว์เป็นอย่างมาก ร่างกาย
สตั ว์จึงมกี ารทำงานเพอ่ื ปกปอ้ งเซลลใ์ นร่างกายตนเองโดยการนำวิตามินอีมาใชใ้ นการกำจดั อนุมูลอิสระร่วมกับ
การทำงานของกลูตาไธโอนเปอร์ออกซิเดสเพอ่ื ทำลายเปอร์ออกไซด์ที่เกิดขน้ึ
หน้าที่ของวิตามินอียังมีความสำคัญต่อการพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสัตว์ให้สามารถมีการ
ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังพบว่าการใช้วิตามินอียงั สามารถลดการเกิดปัญหาเต้านมอักเสบในแม่โค
รดี นมไดอ้ กี ด้วย นอกเหนือจากนั้นวติ ามนิ อยี งั มีความสำคัญตอ่ การส่งสญั ญาณระดบั เซลลแ์ ละการแสดงออกของ
ยีนส์ด้วย ในส่วนการเสรมิ วิตามินอีในสัตวท์ ี่กำลังตั้งครรภ์ยังสามารถช่วยให้ลูกสัตว์มีน้ำหนักแรกคลอดที่สูงข้ึน
อกี ดว้ ย
อาการเมือ่ สัตวข์ าดวิตามินอี
โดยสว่ นใหญป่ ัญหาเมื่อสตั ว์ไดร้ ับวติ ามนิ อีทไ่ี มเ่ พยี งพอตอ่ ความต้องการของร่างกายสัตว์มกั จะส่งผลต่อ
การทำงานของกล้ามเนอื้ และทำให้เกดิ อาการกลา้ มเน้ือออ่ นแรง (Myopathy) สัตว์จะไม่สามารถยืนได้เปน็ ปกติ
หรือมกี ารเดนิ เซล้มไม่สามารถลุกดว้ ยตนเองได้ รวมถงึ อาจมอี าการอื่น ๆ เชน่ คอตกไม่สามารถเงยคอได้ซึ่งอาจ
เรียกได้ว่าเป็นโรคกล้ามเนื้อขาว (White muscle disease) โดยส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นมากในโคและสกุ ร เป็น
ต้น การแสดงอาการเมอ่ื สัตวข์ าดวิตามินอีในสุกรยังสง่ ผลตอ่ การผิดปกตขิ องกล้ามเน้ือหวั ใจท่ีจะมกี ารสะสมของ
ของเหลวรอบหวั ใจรวมถึงบริเวณปอดทำให้อวัยวะเหล่านี้มีขนาดที่ผิดปกตไิ ปจากเดมิ ขณะทไ่ี กจ่ ะแสดงอาการ
ทางประสาทท่ีผิดปกตโิ ดยส่วนใหญโ่ ดยจะแสดงอาการเมื่อไก่ยนื หรอื เดนิ จะมุดไปบริเวณอกซึง่ สามารถเรียกว่า
โรคนไี้ ด้ว่าโรคประสาทในไก่ (Crazy chick disease)
ปรมิ าณความต้องการของวติ ามนิ อจี ะสอดคล้องกบั ปริมาณกรดไขมนั ไม่อ่มิ ตวั ในอาหารท่ีสัตว์ได้รับด้วย
เช่นกัน เมื่อสัตว์ได้รับปริมาณของกรดไขมันไม่อิ่มตัวในปริมาณที่สูงจะต้องการวิตามินอีที่สูงขึ้นเพื่อใช้ในการ
ยับยั้งการออกซิเดชัน
3.6.1.4 วติ ามนิ เค
วิตามินเคหรอื ชอ่ื ทางเคมวี า่ ฟิลโลควิ โนน (Phylloquinone) ซึง่ อยู่ในสารประกอบท่ีหลายประเภทเช่น
วติ ามนิ เค 1 วิตามนิ เค 2 หรอื วติ ามนิ เค 3 เปน็ ตน้ แตโ่ ครงสร้างของวิตามนิ เค 1 จะเปน็ วติ ามนิ เคตัวหลักโดยมี
สูตรโครงสร้างทางเคมีคือ 2-methyl-1,4-naphthoquinone (menadione) ซึ่งจะสามารถสังเคราะห์ได้โดย
122
แบคทเี รยี และพืช แต่ไมส่ ามารถสงั เคราะห์ไดใ้ นสตั ว์ วิตามนิ เคสามารถพบมากในพชื ตระกูลถว่ั ไข่แดง และปลา
ป่น ซึ่งสว่ นใหญ่วิตามนิ เคท่ีสตั วไ์ ดร้ ับจะมาจากอาหารและการสงั เคราะห์โดยแบคทีเรียในระบบทางเดินอาหาร
ของสัตว์
ภาพท่ี 3.40 โครงสร้างของวติ ามนิ เค 1 หรือ 2-methyl-1,4-naphthoquinone (menadione)
ท่ีมา : McDonald et al. (2010)
หนา้ ท่ีของวติ ามนิ เค
หน้าที่โดยหลักของวิตามินเคจะมีความเกี่ยวข้องกับการแข็งตวั ของเลือดเนื่องจากวิตามินเคจะช่วยใน
การสร้างโปรตีนโปรทรอมบนิ (Prothrombin) ทีต่ บั โปรทรอมบนิ เปน็ โปรตนี ท่อี ยู่ในรูปทีไ่ ม่ทำงาน (Inactive)
ซงึ่ ต้องอาศยั แคลเซยี มในการชว่ ยเปล่ยี นโปรทรอมบนิ ให้เป็นทรอมบนิ และทำหน้าท่ใี นการแขง็ ตวั ของเลือด
อาการเมือ่ สตั ว์ขาดวิตามินเค
โดยปกติแลว้ สัตวม์ โี อกาสนอ้ ยมากท่ีจะเกิดการได้รับวิตามนิ เคทไ่ี ม่เพียงพอเนื่องจากสัตว์สามารถได้รับ
วิตามินเคจากการสังเคราะห์ของแบคทีเรยี ในระบบทางเดินอาหาร เวน้ แตใ่ นสตั วป์ กี ทีม่ ีอายุนอ้ ยเช่น ลูกไก่ ลูก
เปด็ ท่ีการสังเคราะห์ของแบคทีเรยี มกั ไม่เพียงพอตอ่ ความต้องการจำเป็นท่จี ะตอ้ งได้รับจากอาหารที่เพ่มิ ขึน้ โดย
การแสดงออกของอาการเม่ือสัตว์มีปรมิ าณวิตามินเคไม่เพียงพอต่อความต้องการจะส่งผลต่อระบบการแข็งตวั
ของเลือด ซ่ึงเมื่อสตั วเ์ กิดบาดแผลจะมอี าการเลอื ดไหลไมห่ ยุด อย่างไรก็ตามอาการเลือกไหลไม่หยุดอาจเกิดข้ึน
จากสาเหตุอื่นได้เชน่ กันเช่นเม่ือสัตว์ไปกนิ ใบถั่วทีม่ ีช่ือว่า Sweet clover ที่เน่าเสียจะทำใหร้ ะดับโปรทรอมบนิ
ในกระแสเลือดมีปรมิ าณที่ต่ำจากสาร Dicumarol ที่พบใน Sweet clover เน่า ดังนั้นโรคนีจ้ ึงไดช้ ื่อวา่ Sweet
clover disease
3.6.2 หน้าทีแ่ ละความสำคญั ของวิตามินละลายในน้ำ
3.6.2.1 วิตามินบี 1
วิตามินบี 1 หรือไทอามีน เป็นวิตามินที่สามารถละลายได้ง่ายในน้ำ สามารถพบมากในอาหาร
สัตว์จำพวกพืชเช่นมันสำปะหลัง หรือในเมลด็ ขา้ วโพด อีกทั้งยังพบในลำต้น ใบ และรากของพืช ทั้งยังสามารถ
พบในวัตถุดิบอาหารที่ผ่านการหมักมาแล้วเช่นกากเบยี ร์ ยีสต์เบียร์ หรือเซลล์ยีสต์ เป็นต้น ในส่วนของผลผลิต
สัตวน์ น้ั พบว่า ไข่แดง ตบั ไต และเนอ้ื หมู จัดเปน็ แหล่งของวิตามินบี 1
123
หนา้ ทขี่ องวิตามนิ บี 1
วิตามินบี 1 เป็นโคเอนไซม์ในการเปลี่ยนแปลงของไพรูเวต (Pyruvate) เพื่อให้ได้ซึ่ง อะซิเตต
(Acetate) โดยเอนไซม์ Pyruvate dehydrogenase ซึ่งเกี่ยวข้องกับสังเคราะห์พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต
รวมถึงวิถี succinyl CoA และยังมีความเก่ียวข้องกับการสังเคราะห์แขนงข้างของกรดอะมิโนวาลีนอีกในเซลล์
แบคทีเรียและยีสต์อีกด้วย นอกเหนือจากนั้นวติ ามินบี 1 ยังมีความสำคัญต่อการป้องกนั การเป็นเหนบ็ ชาของ
กล้ามเนื้อของสัตว์
อาการเมือ่ สัตวข์ าดวติ ามนิ บี 1
โดยส่วนใหญ่สัตว์ที่ขาดวิตามินบี 1 จะแสดงอาการไม่อยากอาหาร กล้ามเนื้ออ่อนแรงและมีความ
ผิดปกตขิ องระบบประสาทเกิดข้นึ โดยในสุกรจะพบวา่ มอี าการเพมิ่ เติมข้ึนมาคือมีการอาเจียนและส่งผลกระทบ
ต่อระบบทางเดนิ หายใจ ในสว่ นของไก่พบว่านอกจากไกจ่ ะแสดงอาการเบอื่ อาหาร ร่างกายซูบผอม และยังมกี าร
แสดงอาการแหงนหน้ามองไปบนฟ้า ร่างกายเป็นอัมพาต ไม่สามารถยืนได้ อาการเหล่านี้คืออาการของโรค
สันนิบาต (Polyneuritis) อย่างไรก็ตามการขาดวิตามินบี 1 มีความเป็นไปได้ยากมากเพราะส่วนใหญ่จะพบใน
อาหารโดยเฉพาะธัญพืช ในส่วนสัตวเ์ คีย้ วเอ้ืองปกติจะได้รับวิตามนิ บี 1 ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการ
เนื่องจากมีแบคทเี รียในกระเพาะหมักสามารถสังเคราะห์ได้ (Vitamin synthesizing bacteria) แต่ในสภาวะที่
กระเพาะหมักมคี วามเปน็ กรดที่สงู จะมีการผลิตเอนไซม์ไทอามีเนส (Thiaminase) เพือ่ ไปทำลายวติ ามนิ บี 1 ให้
เสยี หายในกระเพาะหมกั ได้และส่งผลใหส้ ัตวไ์ ด้รบั วิตามินบี 1 ที่ไมเ่ พยี งพอ โดยอาการแสดงออกของโคนอกจาก
เบ่ืออาหาร ผอม ยังมีอาการทางประสาทเชน่ เดนิ เป็นวงกลมไม่มีทสี่ ิ้นสดุ ตาบอด กลา้ มเน้อื ส่นั เป็นตน้
3.6.2.2 วิตามนิ บี 2
วติ ามนิ บี 2 หรอื ไรโบฟลาวิน มีคณุ สมบตั ิในการละลายน้ำได้เลก็ น้อย แต่ทนความร้อน ทนต่อกรด แต่
ไม่ทนตอ่ ด่าง และสามารถเส่ือมสภาพเมอ่ื โดนแสงอุลตราไวโอเลต ส่วนใหญ่แล้ววิตามนิ บี 2 สามารถพบได้ในพืช
สเี ขยี วทกุ ชนิด นอกจากนัน้ แบคทเี รยี รา และยีสต์สว่ นใหญจ่ ะสามารถสังเคราะหว์ ิตามนิ บี 2 ได้ แต่พบได้น้อย
ในเมล็ดธญั พชื
หนา้ ท่ีของวิตามินบี 2
วิตามินบี 2 มีความสำคัญต่อการสังเคราะห์ฟลาโวโปรตีน (Flavoprotein) หรืออาจรวมจับตัวกันกบั
สารฟอสเฟตและเป็นส่วนประกอบในกจิ กรรมในร่างกายของสัตว์ เช่น ฟลาวินอะดนี นี ไดนิวคลีโอไทด์ (Flavin
adenine dinucleotide ; FAD) ซึ่งเป็นโคแฟกเตอร์ของเอนไซม์ที่เร่งปฏิกิริยาออกซิเดชัน-รีดักชัน และการ
ขนส่งไฮโดรเจนในปฏิกิริยาทางชวี เคมีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเมแทบอลิซึม โมเลกุลของฟลาวนิ อะดนี ีนไดนิวคลีโอ
ไทด์ ประกอบดว้ ยนิวคลโี อไทด์ 2 โมเลกลุ มารวมกนั และโมเลกลุ เป็นอนุพนั ธข์ องวติ ามินบีสองกับแอดีโนซีนได
124
ฟอสเฟต ดังนั้นวิตามินบี 2 จึงมีบทบาทในเมแทบอลิซึมหรือกระบวนการเปลี่ยนแปลงคาร์โบไฮเดรตและ
กรดอะมโิ นเพ่อื ให้ได้พลังงานและสารต้นท่จี ะใช้ในการสงั เคราะห์ชวี โมเลกลุ อ่ืน ๆ ที่จำเปน็ สำหรับเซลล์
อาการเม่อื สตั ว์ขาดวิตามินบี 2
ความเสี่ยงตอ่ การได้รับวติ ามินบี 2 ท่ไี ม่เพยี งพอต่อความตอ้ งการในสัตวเ์ คี้ยวเอ้อื งมีความเป็นไปได้ยาก
อย่างมาก เนื่องจากวิตามินบี 2 สามารถทำการสังเคราะห์ได้โดยจุลินทรีย์ภายในกระเพาะหมกั แต่ยังสามารถ
พบการขาดวิตามินบี 2 ได้ในสัตว์เคี้ยวเอื้องที่เกิดใหม่เนื่องจากการทำงานของกระเพาะหมักยังมีการเจริญไม่
เต็มที่ซ่งึ สง่ ผลต่อจำนวนประชากรจุลนิ ทรีย์ท่มี ีจำนวนน้อยและเม่ือสัตวไ์ ดร้ ับวิตามนิ บี 2 ที่ไม่เพียงพอต่อความ
ต้องการจะส่งผลใหม้ ีความอยากอาหารที่ลดลง เบื่ออาหาร พบอาการท้องร่วงเกิดขึ้น และมีการเจริญเตบิ โตท่ี
ผิดปกติ นอกเหนือจากนั้นยังพบว่าผิวหนงั ของสุกรที่ได้รับวิตามินบี 2 ที่ไม่เพียงพอจะมีลักษณะของผิวหนังที่
หยาบกรา้ นและมคี วามผิดปกติทางระบบสายตา ในส่วนแมส่ ุกรจะมีการเป็นสัดที่ผิดปกติหรือทำให้เกิดการแท้ง
ลูกได้ การขาดวิตามินบี 2 ยงั ส่งผลกระทบตอ่ ระบบประสาทดว้ ยโดยสามารถโนม้ น้าวสูก่ ารเปน็ อัมพาตในไก่จาก
เส้นประสาทส่วนปลายเสื่อม ซึง่ จะทำใหข้ าของไกห่ งกิ งอเดินไมเ่ ป็นปกติ ส่วนไก่ทใี่ หไ้ ข่จะมอี ตั ราการฟักท่ีลดลง
และมีการผดิ ปกตขิ องตวั ออ่ นเกดิ ขึน้ เม่ือไกฟ่ กั ออกมาจะเสยี ชวี ิตตามมา
3.6.2.3 วิตามินบี 3
นโิ คตินาไมดห์ รอื วติ ามนิ บี 3 เปน็ อนพุ ันธเ์ อไมดข์ องกรดนิโคตินิก (Nicotinic acid) ท่ีสามารถละลายได้
ในน้ำและแอลกอฮอล์ ซึ่งโดยปกติแล้ววิตามินบี 3 จะสามารถสังเคราะห์ได้จากกรดอะมิโมทริปโตเฟน
(Tryptophan) ไดเ้ มื่อไดร้ ับวติ ามินบี 2 และวิตามนิ บี 6 ท่เี พียงพอ นิโคตนิ าไมด์เปน็ วิตามินท่ีมีความเสถียรอย่าง
มากโดยจะไม่ถูกทำลายหรือทำลายได้ยากจากความร้อน ความเป็นกรด ความเป็นด่าง รวมถึงกระบวนการ
ออกซิเดชนั เป็นตน้ แหล่งของวติ ามนิ บี 3 ท่สี ามารถพบไดใ้ นธรรมชาติคอื ปลาปน่ เนอื้ ป่น เมล็ดถั่วลิสง เมล็ด
ทานตะวนั เซลล์ยสี ต์ เปน็ ตน้ ขณะทนี่ ้ำนมรวมถงึ ไข่แดงเองกม็ ีปรมิ าณของวิตามนิ บี 3 ในปรมิ าณทสี่ ูงเช่นกัน
หนา้ ทข่ี องวิตามินบี 3
นิโคตินาไมด์เป็นองค์ประกอบสำคัญต่อร่างกายอย่างมากเน่ืองจากเป็นองค์ประกอบของโคเอนไซม์ท่ี
สำคัญต่อร่างกายสัตว์ได้แก่นิโคตินาไมด์อะดีนีนไดนิวคลีโอไทด์ (Nicotinamide adenine dinucleotide;
NAD) และนิโคตนิ าไมดอ์ ะดีนีนไดนวิ คลโี อไทดฟ์ อสเฟต (Nicotinamide adenine dinucleotide phosphate;
NADP) โดยโคเอนไซม์ท้ังสองชนิดจะทำหน้าท่ีร่วมกับเอนไซมด์ ีไฮโดรจีเนส เพือ่ เร่งปฏิกริ ิยาออกซเิ ดชนั -รีดักชัน
ในเมแทบอลซิ ึมของเซลลแ์ ละการขนสง่ ไฮโดรเจน โดย NAD จะทำหน้าทใ่ี นการออกซเิ ดชนั ในกระบวนการออก
ซิเดทฟี ฟอสโฟรีเลชัน (Oxidative phosphorylation) และ วัฏจักรกรดไตรไซคลกิ (Tricyclic acid ; TCA) ใน
125
การเมแทบอลซิ ึมไพรูเวต กรดไขมนั กลีเซอรอล อะซีเตต และบวิ ทเี รต สว่ น NADP จะทำการขนสง่ ไฮโดรเจน
ในวถิ เี พนโตสฟอสเฟต (Pentose phosphate pathway) ในการออกซิเดชนั ของกลโู คส
อาการเม่อื สัตว์ขาดวติ ามนิ บี 3
การขาดวติ ามินบี 3 ในสัตว์มผี ลกระทบอย่างรุนแรงมากโดยในสุกรที่ไดร้ ับวิตามินบี 3 ทีไ่ ม่เพียงพอต่อ
ความต้องการนอกเหนือทีจ่ ะทำให้สัตว์มีการเจริญเติบโตที่ชา้ และมีอาการเบ่ืออาหารแล้วยังพบว่าสามารถพบ
อาการลำไสอ้ กั เสบในสกุ ร มกี ารอาเจยี นเกิดขน้ึ และมีการแสดงออกของการเกดิ โรคผวิ หนงั เป็นตน้ ในส่วนของ
สตั วป์ กี นอกเหนอื ที่จะพบอาการท่ีเกิดข้นึ คล้ายคลึงกับสุกรแล้วยงั มกี ารแสดงออกทางขน และกระดูกท่ีผิดปกติ
หากมกี ารเป็นท่รี นุ แรงจะแสดงการติดเชอ้ื ท่ีจะงอยปากรวมถึงหลอดอาหารด้วย การขาดหรือไดร้ บั วิตามินบี 3
ท่ีไม่เพียงพอยังสง่ ผลต่อการขาดกรดอะมิโนทรปิ โตเฟนได้อีกดว้ ย
สำหรับสัตว์เคี้ยวเอื้องซึ่งสามารถสังเคราะห์วิตามินชนิดนี้ได้โดยจุลินทรีย์ในกระเพาะหมักยังพบว่า
วิตามินบี 3 จะส่งผลต่อการเจรญิ ของจุลนิ ทรีย์ภายในกระเพาะหมกั โดยเฉพาะกลมุ่ ที่ใช้ประโยชน์จากแป้งทำให้
ในกระเพาะหมักมีการผลิตกรดโพรพินิกที่เพิ่มมากขึ้น นอกเหนือจากนั้นวิตามินบี 3 ยังไปช่วยให้มีการใช้
พลังงานจากแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่เพิ่มมากขึ้นในร่างกายของโคและลดการสลายพลังง านจากไขมันมาใช้จึง
สามารถใช้เพือ่ ป้องกันการเกดิ โรคคโี ตซิส (Ketosis) ในโครีดนมได้และเป็นผลให้ปรมิ าณน้ำนมมีปริมาณที่สูงเพ่ิม
มากขึ้น
3.6.2.4 วิตามินบี 5
วิตามินบี 5 หรือกรดเพนพาโทอิกในชื่อทางเคมีเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ มีลักษณะข้นหนดื สีเหลือง
ไมม่ คี วามคงตัวขณะอยใู่ นรปู อิสระ และไม่ทนตอ่ กรดและดา่ ง กรดแพนโททินกิ เกดิ จากการรวมตวั ของกรดแพน
โทอกิ (Pantoic acid) กบั กรดอะมิโนแอลานีนด้วยพันธะเอไมด์ วติ ามนิ บี 5 สามารถพบไดม้ ากในตบั ไข่แดง ถั่ว
ลสิ ง ยสี ต์ และกากนำ้ ตาล เปน็ ต้น นอกเหนือจากน้ันยังสามารถพบได้ในมนั ฝรง่ั และธัญพชื ในหลายชนิดอีกดว้ ย
หนา้ ทขี่ องวติ ามินบี 5
วิตามินบี 5 ทำหนา้ ที่เปน็ สว่ นประกอบในโมเลกลุ ของโคเอนไซมเ์ อ และมคี วามสำคัญต่อกระบวนการเม
แทบอลิซึมของอะซิเตตในสัตว์เคี้ยวเอื้อง การออกซิเดชันกรดไขมัน การสังเคราะห์คอเลสเตอรอล หรือโดย
ภาพรวมเป็นการทำงานเกี่ยวกับกระบวนการเมแทบออลิซึมของไขมัน นอกจากนี้ยังมีความสำคัญต่อการ
เจรญิ เติบโตของเซลลผ์ ิวอีกดว้ ย
อาการเม่ือสตั วข์ าดวิตามนิ บี 5
การขาดวติ ามนิ บี 5 ในสกุ รจะสง่ ผลใหเ้ จริญเติบโตช้า ขนร่วง ผวิ หนังตกสะเก็ด มีน้ำสเี หลอื ง ๆ สะสม
อยู่รอบบริเวณดวงตา และมีลักษณะของการเดินคล้ายกับห่าน (Goose stepping) ซึ่งหากมีอาการท่รี ุนแรงจะ