The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการสอนวิชาโภชนศาสตร์สัตว์ โดย อาจารย์ ดร.ชยพล มีพร้อม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by dear_nps, 2022-03-02 23:22:56

โภชนศาสตร์สัตว์

เอกสารประกอบการสอนวิชาโภชนศาสตร์สัตว์ โดย อาจารย์ ดร.ชยพล มีพร้อม

126

ส่งผลให้สกุ รไม่สามารถยนื ได้ ในส่วนของไก่นอกเหนือจากทม่ี ีความผดิ ปกตขิ องการเจรญิ เติบโตแลว้ ยงั พบว่าการ
สรา้ งขนมีความผิดปกตมิ ีการงอกและการเจริญทชี่ ้า ตอ่ มาจะแสดงอาการมีแผลทีร่ ิมฝีปาก มมุ ปากเปลือกตาตก
สะเก็ด ตับถูกทำลายและระบบประสาทส่วนหลังมีการทำงานที่ผิดปกติ หากเป็นในไก่ที่กำลังไข่ผลผลิตไข่จะ
ลดลงอัตราการฝกั ออกต่ำ

3.6.2.5 วติ ามินบี 6
วิตามินบี 6 มีโครงสร้างแบ่งออกเป็น 3 โครงสร้างได้แก่ ไพริดอกซีน (Pyridoxine) ไพริดอกซาล

(Pyridoxal) และไพริดอกซามีน (Pyridoxamine) โดยไพริดอกซีนจะเป็นวิตามินบี 6 ที่พบมากที่สุดและเป็น
โครงสรา้ งท่สี ามารถทำงานในร่างกายของสัตวไ์ ด้ เนอ่ื งจากไพรดิ อกซาลและไพรดิ อกซามนี สามารถถกู ทำลายได้
งา่ ยกวา่ ไพรดิ อกซีนโดยความรอ้ น สำหรับแหลง่ ของวิตามนิ บี 6 ทสี่ ำคัญสามารถพบได้ในพชื สเี ขยี ว รำขา้ ว เมล็ด
ธัญพชื ต่าง ๆ เนื้อปน่ ปลาปน่ และนม เปน็ ตน้ ดังน้ันโดยส่วนใหญใ่ นอาหารจะพบวิตามนิ บี 6 อยแู่ ล้ว

หนา้ ท่ขี องวติ ามินบี 6
วิตามินบี 6 ทำหน้าที่เป็นโคเอนไซมข์ องเอนไซม์ต่าง ๆ ที่เร่งปฏิกริ ยิ าในเมแทบอลิซมึ ของกรดอะมิโน
เช่นปฏิกิริยาดีคาร์บอกซิเลชัน (Decarboxylation) ในปฏิกิริยานำหมู่คาร์บอกซิลออกจากกรดอะมิโน รวมถงึ
การทำงานเอนไซม์แทรนส์แอมเิ นส (Transaminases) ซึ่งเปน็ ปฏิกิริยาย้ายหมู่อะมโิ นจากกรดอะมิโนชนิดหน่งึ
ไปยังกรดคีโท (Keto acid) และได้เป็นกรดอะมิโนชนิดใหม่ นอกเหนือจากนั้นยังมีความสัมพันธ์กับการดูดซมึ
ของกรดอะมิโนทลี่ ำไส้เล็กอกี ดว้ ย พร้อมท้ังการท่ีวิตามินชนิดน้มี ีความสัมพันธ์ตอ่ การสงั เคราะหก์ รดออะมิโนจึง
จำเปน็ ตอ่ ปฏิกริ ยิ าการเปลี่ยนทริปโตเฟนเปน็ วิตามนิ บี 3
อาการเมอ่ื สัตว์ขาดวติ ามินบี 6
เน่อื งจากวิตามนิ บี 6 มีความเกีย่ วข้องกบั เมแทบอลิซึมของโปรตนี ในรา่ งกายสตั วอ์ ยา่ งมากจึงทำให้เม่ือ
สตั ว์ได้รับวิตามินบี 6 ไม่เพียงพอจะสง่ ผลต่อการเจรญิ เติบโตท่ีผิดปกติโดยเฉพาะอย่างยง่ิ การเมแทบอลิซึมของ
กรด กลูตามิกที่ลดลงทำให้มีการสะสมกรดกลูตามิกในร่างกายที่สูงขึ้น นอกเหนือจากนั้นในสุกรจะพบว่ามี
อาการเบื่ออาหารและมกี ารเกิดโรคโลหิตจางได้ดว้ ย สว่ นลกู ไก่จะเดินผดิ ปกติหากเปน็ ไก่ทีอ่ อกไขแ่ ล้วจะมีอัตรา
การฟักและผลผลิตไข่ที่ต่ำ อย่างไรก็ตามเป็นไปได้ยากมากที่สัตว์จะขาดวิตามินบี 6 เพราะส่วนใหญ่จะพบใน
อาหารสตั ว์ปรมิ าณท่มี าก
3.6.2.6 ไบโอตนิ
ไบโอติน หรือวิตามินบี 7 หรือวิตามินเอช สามารถพบมากได้ในอาหารหลายชนิดเช่นตับ น้ำนม ยีสต์
เมล็ดพืชน้ำมันและผัก อย่างไรก็ตามในอาหารบางชนิดโครงสร้างของอาหารสัตวน์ ้ัน ๆ จะกักเก็บวิตามนิ ไว้ไม่
ปลดปลอ่ ยทำใหม้ ีประสิทธิภาพการใชป้ ระโยชนไ์ ดต้ ่ำลงเชน่ ในข้าวบารเ์ ลย์และขา้ วสาลซี งึ่ เปน็ แหล่งของไบโอติน

127

หากนำมาใช้แกไ่ ก่ความสามารถในการใชป้ ระโยชน์จะลดลง เม่อื เปรยี บเทียบกับการใชข้ ้าวโพด ถัว่ เหลือง และ
เมล็ดพชื นำ้ มันอื่น ๆ เป็นต้น

หน้าทขี่ องไบโอติน
ไบโอตินทำหน้าที่ในการขนย้ายคาร์บอนไดออกไซด์จากแหล่งตั้งต้นไปยงั ส่วนต่าง ๆ และยังทำหน้าที่
เกีย่ วข้องกับการสังเคราะห์ 3 กระบวนการหลักไดแ้ ก่ การสังเคราะห์คาร์โบไฮเดรตจากแลคเตต การสังเคราะห์
กรดไขมันในกระบวนการอะซิทิลโคเอ (Acetyl CoA) ซึ่งทำหน้าที่หลักคือ การถ่ายทอดอะตอมคาร์บอนใน
หมู่อะซิทิลไปยังวัฏจักรเครบส์เพื่อให้ถูกออกซิไดซ์ และสร้างพลังงาน และการเมแทบอลิซึมของโพรพิโอเนต
โดยการเปลีย่ นแปลงโพรพิโอเนตเป็นสารซกั ซินิลโคเอในวฏั จักรเครบส์ (Krebs’ cycle) ไบโอตนิ ช่วยปอ้ งกันโรค
เอ็นเคลื่อน และป้องกันโรคผิวหนังตกสะเก็ดในสัตว์ปีก โรคผิวหนังตกสะเก็ดที่เกิดจากการขาดไบโอตินจะ
แตกต่างไปจาก อาการขาดวิตามินบี 5 โดยการขาดไบโอตินจะไม่ส่งผลต่อการแสดงอาการที่มมุ ปากและอตั รา
การผลติ ไข่
อาการเมอ่ื สัตวข์ าดไบโอติน
การแสดงอาการของสุกรที่ขาดไบโอตินจะส่งผลต่อการเกิดแผลที่เท้า หรือที่กีบ ขนร่วง ผิวหนังแห้ง
หยาบกร้าน และมีประสิทธิภาพของการใช้อาหารท่ีลดลง ในสุกรที่มกี ารสืบพนั ธุพ์ บวา่ มีระบบสบื พันธุ์ท่ีเลวลง
ดว้ ย ในณะทส่ี ตั วป์ ีกจะส่งผลต่อการเจริญเตบิ โตท่ีบกพร่อง ผิวหนงั ตกสะเกด็ กระดกู ขามีรปู ร่างผิดปกติ และมี
ความเสี่ยงในการเกิดโรคไขมันพอกตับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ปีกที่มาอายุมากกว่า 2 ถึง 5 สัปดาห์จะมีการ
สะสมไขมันที่ผิดปกติ เป็นต้น สำหรับสัตว์เคี้ยวเอื้องรวมถึงม้าโดยปกติจะมีความต้องการไบโอตินที่น้อยมาก
หรอื ไมต่ ้องการเลยเพราะจุลินทรีย์ภายในกระเพาะหมักสามารถสังเคราะห์ได้ แต่ยังมีการใช้ในการเสริมเพ่ือให้
สตั วม์ คี วามแขง็ แรงของกบี ทแี่ ข็งแรงเพมิ่ มากขนึ้
3.6.2.7 กรดโฟลกิ
กรดโฟลิกหรือวิตามินบี 9 สามารถพบได้ในธรรมชาติในพืชใบเขียว ธัญพืช และเมล็ดพืชน้ำมันทีผ่ ่าน
การสกัดน้ำมันแล้ว โฟลิกที่อยู่ในอาหารจะมีความเสถียรอย่างมากเมื่ออยู่ในรูปของแห้ง แต่จะสามารถโดน
ทำลายไดง้ ่ายเม่อื เจอความชืน้ และถูกแสงจากดวงอาทิตย์
หน้าท่ีของกรดโฟลิก
กรดโฟลิกเมอื่ ถูกดูดซึมไปสู่เซลล์จะถกู เปล่ียนโครงสร้างเปน็ กรดเตตราไฮโดรโฟลิก (Tetrahydrofolic
acid) และทำหน้าที่เป็นโคเอนไซม์ในการสลายหรอื ใชป้ ระโยชนข์ องโครงคารบ์ อนของกรดอะมิโนเช่น ฮิสทีดนี
เมทไธโอนีน ไกลซีน พิวรนี และมีความเก่ยี วขอ้ งกับสังเคราะห์ดเี อน็ เอ (DNA) และอาร์เอนเอ (RNA) ดว้ ย

128

อาการเม่ือสัตวข์ าดกรดโฟลกิ
เมอื่ ไกแ่ ละไก่งวงขาดกรดโฟลกิ จะมกี ารเจริญเติบโตที่ตำ่ โลหติ จาง มีพฒั นาการของกระดูกที่ต่ำ และมี
อตั ราการฟกั ออกที่ต่ำ แต่โดยรวมแล้วในสัตว์จะมีการขาดกรดโฟลกิ ที่น้อยมากเนอื่ งจากสว่ นใหญ่นอกจากมีใน
อาหารแล้ว ยังสามารถสงั เคราะห์ไดโ้ ดยแบคทีเรียที่อยู่ในระบบทางเดินอาหาร การใช้กรดโฟลิกจึงมาอยูใ่ นรูป
ของการเสริมซึ่งพบว่าการเสริมกรดโฟลกิ ในรูปแบบฉีดเข้ากล้ามเนือ้ สามารถเพิ่มขนาดจำนวนลูกตอ่ ครอกของ
แม่สุกรได้ และเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของลูกสุกรเมื่อคลอดได้จากหน้าท่ีของกรดโฟลิกที่ทำหน้าที่เกีย่ วข้องกับ
การสงั เคราะหส์ ารนวิ คลอี กิ เพอ่ื พฒั นาตัวออ่ นและลกู ในครรภ์ให้สมบูรณ์
3.6.2.8 โคลีน
โคลีนจัดเป็นส่วนประกอบของเลซิตินซึ่งเป็นลิพิดในกลุ่มของฟอสโฟลิพิด สามารถพบโคลีนได้ใน
เนื้อเยื่อของเซลล์ และร่างกาย สำหรับแหล่งของโคลีนจะสามารถพบได้จากถั่วเหลือง เมล็ดพืชน้ำมันที่สกัด
น้ำมนั แล้ว ยีสต์ ไข่แดง เปน็ ต้น สำหรับในรปู สงั เคราะห์จะอยใู่ นรูปของโคลีนคลอไรด์ (Choline chloride)
หน้าท่ีของโคลนี
โคลีนมีความแตกต่างจากวิตามินอื่น ๆ อย่างมาก เนื่องจากโคลีนไม่ได้ทำหน้าที่ในการทำปฏิกิรยิ าใน
ร่างกายของสัตว์ แต่โคลีนจะเป็นส่วนประกอบของโครงสร้างในร่างกายสัตว์โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็น
ส่วนประกอบของเลซิติน เลซิตินมีบทบาทหน้าที่อย่างมากในการทำงานของร่างกายสัตว์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ
กระบวนการเมแทบอลิซึมของลิพิดในตับของสัตว์ โดยกรดไขมันส่วนเกินจะถูกเปลี่ยนแปลงเป็นเลซิตินเพ่ือ
ป้องกันไม่ให้ไขมนั ไปพอกที่ตับและเกดิ อาการไขมันพอกตับเกิดขึ้น นอกเหนือจากน้ันโคลีนยงั ทำหน้าที่ในการ
ทำงานของระบบประสาทของร่างกายสัตว์เนื่องจากเปน็ ส่วนประกอบของอะซิทิลโคลีน (Acetylcholine) คอย
ทำหนา้ ทสี่ ง่ สญั ญานของระบบประสาทอกี ด้วย โคลีนจะสามารถสังเคราะหไ์ ด้จากตัวสัตว์เองที่ตับจากสารตั้งต้น
กรดอะมิโนเมทโธโอนีน หากปริมาณของโคลีนขาดจะทำให้สัตว์นำเมทไธโอนีนไปใช้ประโยชน์และเกิดสถานะ
กรดอะมโิ นไม่สมดุลได้
อาการเมอ่ื สตั ว์ขาดโคลีน
ในกรณีที่ไก่ขาดโคลีนจะส่งผลให้เกิดโรคเอ็นเคลื่อนโดยอาการของโรคเริ่มจากข้อขาบวม ขาข้างหน่ึง
เป็นง้อย และเหยียดออกข้างหน้าหรือข้างหลัง อาการดังกล่าวอาจเป็นกับขาข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้
นอกเหนอื จากน้ันยังพบว่าไก่ไม่สามารถกินน้ำหรอื กนิ อาหารได้เต็มท่ี และอาจถกู ลูกไก่อ่ืนเหยียบย่ำตาย โรคเอน็
เคลื่อนอาจเกิดขึ้นจากการให้อาหารที่ขาดแมงกานีส ไบโอติน วิตามินบี 3 และกรดโฟลิคได้เช่นกัน การขาด
โคลีนยงั สง่ ผลต่อการเกดิ ตับจะอักเสบ หรอื มไี ขมันสะสมอยู่ท่ีตับมาก (Fatty livers) เช่นเดียวกันสุกรพร้อมท้ัง
พบวา่ มีประสิทธภิ าพการสืบพนั ธุ์ลดลง

129

3.6.2.9 วติ ามนิ บี 12
วิตามินบี 12 จัดเป็นวิตามินที่มีโครงสร้างซับซ้อนทีส่ ุด โดยตรงกลางของโครงสร้างวติ ามินบี 12 จะมี

เป็นโคบอล์ตเปน็ องค์ประกอบ วิตามินบี 12 สามารถถูกสังเคราะห์ไดโ้ ดยแบคทเี รียแตจ่ ำเป็นต้องมีโคบอลต์ให้
จุลินทรีย์นำไปใช้ในการสังเคราะห์ แต่ในพืชต่าง ๆ ล้วนมีปริมาณน้อย แต่สิ่งที่ติดมายังเป็นข้อสงสัยวา่ มาจาก
แบคทีเรีย อยา่ งไรกต็ ามวตั ถุดบิ จากสัตว์เช่น ปลาปน่ เน้ือปน่ ล้วนแลว้ แต่มีปริมาณวติ ามินบี 12 ในปรมิ าณท่สี งู

หนา้ ทีข่ องวติ ามินบี 12
วิตามนิ บี 12 ทำหน้าทเี่ ป็นโคเอนไซม์ในกระบวนการเมแทบอลิซึมหลายกระบวนการเชน่ ไอโซเมอร์เรส
(Isomerases) ดีไฮเดรส (Dehydrases) และกระบวนการสังเคราะหเ์ มทไธโอนนี เป็นตน้ สำหรบั สตั ว์เคยี้ วเอื้อง
วิตามินบี 12 มีความสำคัญต่อการผลิตกรดโพรพิโอนิกที่เกิดจากการผลิตโดยจุลินทรีย์ที่ใช้ประโยชน์จาก
คารโ์ บไฮเดรตทีไ่ ม่เป็นโครงสร้างในกระเพาะหมกั นอกเหนอื จากนน้ั ยังมีความสำคญั ต่อการสงั เคราะหโ์ ปรตนี อีก
ดว้ ย
อาการเมือ่ สัตว์ขาดวติ ามนิ บี 12
การขาดวติ ามนิ บี 12 มกั เกดิ ขึน้ ในสตั วว์ ยั ออ่ นมากกว่าสัตว์โตเตม็ วยั โดยจะส่งผลตอ่ การเจริญเติบโตท่ี
ชา้ มีอัตราการตายสงู นอกเหนือจากอาการดงั กลา่ วที่เกิดขึ้นยงั พบว่าในสัตว์ปีกจะพบการงอกของขนที่ช้า และ
ยังส่งผลต่ออัตราการฟักที่ลดลงสำหรับลูกไก่ที่ฟักออกมาใหม่จะมีกระดูกผิดปกติคล้าย ๆ กับการเป็นโรคเอ็น
เคลื่อนในส่วนของลูกสุกรพบการเดนิ จะผดิ ปกติ ผิวหนังตกสะเก็ด ขนหยาบกร้าน มีการเจริญเติบโตที่ไม่ดี แต่
อัตราการเกิดมักน้อยกว่าในสัตว์ปีกเนื่องจากระบบทางเดินอาหารมีความสมบูรณ์ไม่เท่ากับสุกรจากจำนวน
แบคทเี รยี ที่ตำ่ กว่า ในสตั ว์เค้ียวเอ้ืองเมอ่ื ขาดวิตามนิ บี 12 จะทำใหไ้ ม่มีความสามารถในการสังเคราะห์พลังงาน
กรดโพรพิโอนกิ และในลูกโคเมอ่ื ขาดวติ ามินนพ้ี บว่าการเจรญิ เติบโตลงลง เบ่อื อาหาร เป็นโรคโลหิตจาง
3.6.2.10 วติ ามินซี
วติ ามินซหี รือกรดแอสคอรบกิ เปน็ สารไม่มีสี มคี ุณสมบัติสามารถละลายน้ำได้ดี และมีคุณสมบัติในการ
ทนต่อกรด ทนต่อความร้อน แต่ไม่ทนต่อความเปน็ ด่าง แต่จะเสื่อมสภาพเมื่อโดนแสงและความเป็นด่าง เป็นท่ี
ทราบกันดีวา่ วติ ามินซีจะได้รบั ในผลไมท้ ่มี รี สเปร้ยี ว
หนา้ ท่ีของวติ ามินซี
วิตามินซีมีความสำคัญต่อกระบวนการออกซิเดชันในร่างกายโดยทำงานร่วมกับวิตามินอีกับซีลีเนียม
และยังมีความเกี่ยวข้องกับกระบวนการเมแทบอลิซึมของคอลลาเจนในร่างกายด้วย วิตามินซีทำหน้าที่ในการ
ขนส่งธาตุเหลก็ ไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเช่น ไขข้อกระดกู ม้าม และตับ วิตามินซีเป็นวิตามินที่ป้องกันโรค
เลอื ดออกตามไรฟัน

130

อาการเม่ือสัตว์ขาดวิตามินซี
เม่อื สตั ว์ขาดวิตามนิ ซีจะสง่ ผลกอ่ นการสร้างคอลาเจนในรา่ งกายสง่ ผลต่อความผิดปกติทางด้านกระดูก
และฟัน พรอ้ มทัง้ มภี มู ติ ้านทานที่ลดลง แต่ดว้ ยการทโ่ี ดยสว่ นใหญ่สตั ว์มักได้รบั วิตามินชนดิ นี้ท่ีเพียงพอเน่ืองจาก
สามารถสังเคราะห์ได้ด้วยตนเอง อย่างไรก็ตามมกี ารใช้วิตามินซใี นรูปของการเสริมเพื่อให้สัตว์มีความเครยี ดที่
ลดลงในสตั ว์ปีกท่เี กิดความเครยี ดจากสภาวะอากาศทไ่ี ม่เหมาะสมเปน็ ต้น

แบบทดสอบ
1. น้ำมคี วามสำคัญอยา่ งไรตอ่ สัตว์เลี้ยงและหากสัตวเ์ ลี้ยงขาดนำ้ จะส่งผลทบต่อรา่ งกายอย่างไร
2. สตั วช์ นดิ ใดมคี วามต้องการน้ำท่ีสงู ที่สดุ เพราะเหตุใด
3. หนา้ ที่สำคญั ของคาร์โบไฮเดรตตอ่ สัตว์เลย้ี งคืออะไร
4. คารโ์ บไฮเดรตถกู แบ่งออกเปน็ กีป่ ระเภท อะไรบา้ ง
5. จงอธบิ ายการย่อยและการดูดซึมคาร์โบไฮเดรตในสตั ว์กระเพาะเดี่ยว
6. จงอธิบายการหมกั ย่อยคารโ์ บไฮเดรตในสัตว์เค้ียวเอื้อง
7. จงอธบิ ายความแตกต่างของการใช้ประโยชนข์ องคารโ์ บไฮเดรตระหว่างสัตวก์ ระเพาะเดีย่ วและสตั วเ์ คี้ยวเอือ้ ง
8. หน้าทีข่ องโปรตนี ต่อการดำรงชพี และให้ผลผลิตของสัตวม์ อี ะไรบา้ ง
9. กรดอะมิโนใดมอี งค์ประกอบของกำมะถัน
10. โปรตนี ทพ่ี บในไขข่ าวคอื โปรตีนชนดิ ใด
11. จงอธบิ ายการย่อยโปรตีนในสตั ว์กระเพาะเดี่ยว
12. จงอธิบายการใช้ประโยชน์ของไนโตรเจนของสตั ว์เคี้ยวเอ้ือง
13. ลิพดิ ทีพ่ บในอาหารสตั วป์ ระกอบด้วยอะไรบ้าง และพบในอาหารสตั วช์ นดิ ใด
14. กรดไขมนั ทจ่ี ำเป็นตอ่ ตัวสัตว์มีอะไรบ้าง
15. จงอธบิ ายการยอ่ ยไขมันในสัตว์กระเพาะเด่ียว
16. จงอธบิ ายการดดู ซึมไขมันและการลำเลียงไขมันในร่างกายสตั ว์
17. จงอธบิ ายการเปล่ียนแปลงกรดไขมนั ในกระเพาะหมักของสตั ว์เคี้ยวเอ้อื ง
18. แร่ธาตุทพ่ี บมากในร่างกายสตั วม์ อี ะไรบา้ ง และทำหน้าที่อะไร
19. จงยกตวั อยา่ งแรธ่ าตุรองมาอยา่ งน้อย 5 ชนิด พร้อมระบหุ น้าท่ี
20. วิตามนิ ทลี่ ะลายในไขมันประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง และทำหนา้ ทอี่ ะไร
21. จงยกตัวอยา่ งวิตามนิ ทล่ี ะลายในนำ้ มาอยา่ งนอ้ ย 5 ชนิด และระบุวา่ ทำหน้าทอี่ ะไร

131

เอกสารอ้างอิง
Ammerman, C.B., P.R., Henry, and R.D., Miles. 1998. Supplemental organically-bound mineral

compounds in livestock nutrition. In: Garnsworthy, P.C, and Wiseman, J., (eds) Recent
Advances in Animal Nutrition, Nottingham, Nottingham University Press, pp. 67–91.
Brooks, M. A. (2010). Ruminal degradation of protein and carbohydrate in the domestic
and wild ruminant. Doctoral dissertation, University of Missouri, Columbia.
https://www.lehvoss-nutritionminerals.de/fileadmin/user_upload/nem/Bilder/Chelat.png
https://pmgbiology.files.wordpress.com/2016/02/slide_32.jpg?w=768
http://www.raw-milk-facts.com/images/FatTrio.gif
https://www.saviotanfeed.com/wp-content/uploads/2018/02/suino-1.png
https://ibslbiology.files.wordpress.com/2018/03/trans-and-cis-fats-molecules.jpg
https://www.78stepshealth.us/skeletal-muscle-2/images/3430_754_481-cholesterol-digestion-
and-absorption.jpg
https://player.slideplayer.com/20/6015365/data/images/img11.jpg
https://mysciencesquad.weebly.com/uploads/1/1/8/3/118361154/ liver-lipoproteins -color2_
orig.png
Lardy, G., C. Stoltenow, and R. Johnson. 2008. Livestock and water [AS-954]. Fargo: North
Dakota State Extension Service.
McDonald, P., Edwards, R.A., Greenhalgh, J.F.D., Morgan, C. A., Sinclair, L.A., and Wilkinson, R.G.
2010. Animal Nutrition 7th edition. Pearson. England.
Millen, D.D., Arrigoni, M.D.B., and Pacheco, R.D.L. 2016. Rumenology (Eds.). Springer. Germany.
Navarrete, D.E.R. (2013). Recovery of normal ruminal biohydrogenation and de novo fatty acid
synthesis following induction of milk fat depression in dairy cows. Doctor of Philosophy
Thesis. The Pennsylvania State University.
Tezara, C., Siregar, J.P., Lim, H.Y., Fauzi, F.A., Yazdi, M.H., Moey, L.K., and Lim, J.W. 2016. Factors
that affect the mechanical properties of kenaf fiber reinforced polymer: A review.
Journal of Mechanical Engineering and Sciences. 10(2):2159-2175.

132

Ward, D., and McKague, K. 2007. Water requirements of livestock. Factsheet Order No. 07-
023. Ontario Ministry of Agriculture. Food and Rural Affairs.

Xin, H., R.S. Gates, M.C. Puma and D.U. Ahn. 2002. Drinking water temperature effects on laying
hens subjected to warm cyclic environments. Poultry Science. 81:608-617.

133

วธิ สี อนและกิจกรรม 1. การอภิปรายระหวา่ งกลมุ่ นักศกึ ษาและอาจารย์
2. การบรรยาย ยกตัวอยา่ งประกอบ
สื่อการสอน 3. ถามคำถามในห้องเรยี น

งานท่ีมอบหมาย หนังสอื อา้ งอิง ลำดับท่ี 1-17
การวัดผล เอกสารประกอบ หนว่ ยเรียนที่ 3
วสั ดโุ สตโทรทัศน์ สื่อการนำเสนอและเครอ่ื งฉายภาพน่งิ
ทำแบบฝกึ หัดท้ายบทเรยี น
1. สงั เกตความสนใจในห้องเรยี น
2. การตอบคำถามระหว่างเรียน
3. ตรวจแบบฝกึ หดั ทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย
4. การสอบยอ่ ย
5. การสอบกลางภาค

134

สัปดาหท์ ี่ 13-15 ใบเตรียมการสอน รหสั วิชา
51-408-013-301

เวลา 12 คาบ หน่วยที่ 4 พลงั งานและความต้องการโภชนะ

ชื่อหนว่ ยเรียน 4.1 พลงั งาน 180 นาที

4.1.1 หน่วยของพลงั งาน

4.1.2 หน้าทีข่ องพลังงานตอ่ ตัวสตั ว์

4.1.3 ลำดับสว่ นของพลงั งานในอาหารสัตว์

4.1.4 การใช้ประโยชน์ของพลังงานท่ีใช้ประโยชนไ์ ด้ในสัตว์เล้ียง

4.1.5 ระบบพลงั งานในสตั วเ์ ล้ียง

4.2 ปรมิ าณการกินได้ของสัตวเ์ ลยี้ ง 180 นาที

4.2.1 การควบคมุ การกินไดข้ องสตั ว์กระเพาะเดย่ี ว

4.2.2 การควบคุมการกินได้ของสตั วเ์ คย้ี งเอ้ือง

4.3 ความตอ้ งการโภชนะของสัตว์ 180 นาที

4.3.1 การแบง่ ส่วนของโภชนะตามการใช้ประโยชนข์ องสตั ว์

4.3.2 ความต้องการโปรตีนของสตั ว์

4.3.3 ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งโปรตีนตอ่ พลงั งาน

จดุ ประสงค์การสอน

4.1 ร้คู วามสำคัญของพลังงาน

4.1.1 ทราบหน่วยของพลงั งาน

4.1.2 ทราบหน้าทขี่ องพลงั งานต่อตวั สตั ว์

4.1.3 อธบิ ายลำดับส่วนของพลงั งานในอาหารสตั ว์

4.1.4 ทราบถงึ การใชป้ ระโยชน์ของพลังงานท่ีใชป้ ระโยชนไ์ ดใ้ นสตั วเ์ ลย้ี ง

4.1.5 ทราบถงึ ระบบพลังงานในสัตวเ์ ลีย้ ง

4.2 เขา้ ใจอิทธิพลท่ีส่งผลตอ่ ปริมาณการกินไดข้ องสตั ว์เล้ยี ง

4.2.1 อธบิ ายการควบคุมการกินได้ของสตั วก์ ระเพาะเด่ียว

4.2.2 อธบิ ายการควบคมุ การกินได้ของสัตวเ์ ค้ยี งเอ้อื ง

4.3 เขา้ ใจถงึ ความต้องการโภชนะของสัตว์

4.3.1 อธิบายการแบ่งส่วนของโภชนะตามการใชป้ ระโยชน์ของสตั ว์

4.3.2 อธิบายความต้องการโปรตนี ของสัตว์

4.3.3 ทราบความสมั พันธร์ ะหว่างโปรตนี ตอ่ พลังงาน

135

เนอ้ื หา
4.1 พลงั งาน

4.1.1 หนว่ ยของพลงั งาน
4.1.2 หนา้ ท่ีของพลงั งานต่อตัวสตั ว์
4.1.3 ลำดับสว่ นของพลงั งานในอาหารสัตว์
4.1.4 การใช้ประโยชนข์ องพลังงานที่ใชป้ ระโยชน์ไดใ้ นสตั ว์เลย้ี ง
4.1.5 ระบบพลังงานในสตั วเ์ ลี้ยง
4.2 ปรมิ าณการกินไดข้ องสัตว์เลีย้ ง
4.2.1 การควบคุมการกนิ ได้ของสตั วก์ ระเพาะเดี่ยว
4.2.2 การควบคมุ การกนิ ได้ของสตั วเ์ ค้ยี งเออ้ื ง
4.3 ความตอ้ งการโภชนะของสตั ว์
4.3.1 การแบง่ ส่วนของโภชนะตามการใช้ประโยชน์ของสัตว์
4.3.2 ความตอ้ งการโปรตนี ของสตั ว์
4.3.3 ความสัมพันธร์ ะหวา่ งโปรตนี ตอ่ พลงั งาน

136

หนว่ ยที่ 4

พลงั งานและความตอ้ งการโภชนะ

4.1 พลงั งาน
ในรา่ งกายสตั ว์มีความต้องการสารอาหารเพ่อื นำไปใช้ในการสังเคราะห์หรือการสร้างองค์ประกอบของ

ร่างกายและรวมไปถึงการสร้างผลผลิต นอกเหนือจากนั้นร่างกายสัตว์ยังมีความจำเป็นที่จะมีความต้องการ
พลงั งานเพอ่ื ให้ในการทำงานของรา่ งกาย โดยพลงั งานน้นั ไม่จดั เป็นโภชนะแต่เกิดขึ้นได้เมอื่ สตั ว์ได้รับโภชนะเข้า
ไปในรา่ งกายกอ่ นที่ในรา่ งกายสัตว์จะมีกระบวนการเมแทบอลิซมึ โภชนะเหล่านี้ให้กลายเป็นพลงั งานเกิดข้ึน ซ่ึง
โภชนะที่สามารถให้พลังงานจะได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน อย่างไรก็ตามด้วยความแตกต่างของ
โครงสร้างทางเคมีในโภชนะแต่ละโภชนะจะเป็นเหตุให้พลังงานในแต่ละโภชนะมีค่าที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งพบว่า
ไขมันหรือลิพดิ จะสามารถให้พลังงานได้สูงกวา่ โปรตีนและคาร์โบไฮเดรตปรมิ าณ 2.25 เทา่ นอกจากนัน้ ดว้ ยการ
ที่สัตว์มีคุณสมบตั ิในการย่อยอาหารได้แตกต่างกนั ก็จะเป็นสาเหตใุ ห้ในอาหารสัตวห์ นึง่ ๆ เมื่อทำการให้สัตว์ใน
ปริมาณท่ีเทา่ กันสตั ว์จะไดพ้ ลังงานไม่เทา่ เทียมกัน

พลงั งานท่ีพบในรา่ งกายสัตว์จะมีความสามารถในการเปล่ยี นแปลงคุณสมบัติไดเ้ ช่นพลังงานทางเคมีซึ่ง
เกดิ ข้ึนจากกระบวนการเมแทบอลิซมึ ในร่างกายสตั วจ์ ะสามารถเปลี่ยนแปลงพลังงานเหล่านี้เปน็ พลังงานกลหรือ
พลงั งานความร้อนได้เช่นการท่ีสัตวไ์ ด้รับสารอาหารเมือ่ ผ่านกระบวนการเมแทบอลิซมึ พลงั งานจะสามารถใช้เพื่อ
การเคลื่อนไหวของร่างกายหรือการสร้างความอบอุ่นให้ร่างกายเป็นต้น นอกเหนือจากนั้นพลังงานยังสามารถ
เปลี่ยนรูปของโภชนะหนึ่งไปยังโภชนะหนึ่งได้อีกด้วยเช่น การสะสมของไขมันในร่างกายสัตว์เดิมทีสัตว์ใช้
ประโยชน์ของพลังงานจากคารโ์ บไฮเดรตเมื่อพลังงานส่วนนี้มีการใช้ประโยชน์ได้ไม่หมดจะถูกนำไปสังเคราะห์
เปน็ ไขมนั สะสมในรา่ งกายเพ่อื เปน็ แหล่งพลงั งานสำรองเมอื่ สตั ว์ขาดพลังงาน หรอื แมก้ ระท้งั สตั วส์ ลายโปรตีนใน
กลา้ มเน้ือมาใชเ้ ป็นแหล่งพลงั งาน เป็นตน้

ดังนั้นพลังงานจงึ มคี วามสำคัญต่อร่างกายสัตว์อย่างมากและไมม่ ีสัตว์ประเภทใดท่ีสามารถดำรงชีวิตอยู่
ได้เมื่อขาดพลังงานเป็นระยะเวลานาน การเข้าใจต่อองค์ประกอบทางเคมีต่อโภชนะและการนำพลังงานไปใช้
ประโยชน์ในร่างกายเปน็ ส่งิ ท่ีสำคญั อย่างมากต่อการพิจารณาในการใหอ้ าหารสตั ว์ นอกจากน้ันความเข้าใจด้าน
หน่วยของพลังงาน และระบบพลังงาน รวมถึงการแบ่งส่วนพลังงานในสัตว์ จะสามารถทำให้เกิดความเข้าใจ
แหล่งท่ีมาทีไ่ ปของพลังงานจนสามารถนำสารอาหารให้สตั ว์ไดเ้ พียงพอต่อความต้องการ

137

4.1.1 หนว่ ยของพลังงาน
หน่วยของพลังงานที่นิยมใชใ้ นประเทศไทยมีอยู่ 2 หน่วยหลัก ๆ ได้แก่แคลอรี่ (Calorie ; Cal) และ

จูล (Joule ; J) ซึ่งที่มาของการใช้หน่วยของพลังงานที่แตกต่างกันเป็นเหตุจากต้นกำเนิดของประเทศโดย
ประเทศในแถบสหรฐั อเมริกาจักนิยมใชห้ น่วยของแคลอรมี่ ากกว่าจูล ในสว่ นของจูลจะนิยมใชใ้ นประเทศสหราช
อาณาจกั ร โดยคำวา่ จลู เปน็ ช่อื ของผทู้ ่ีคนพบนนั่ คือ เจมส์ เพรสคอต จลู (James Prescott Joule) นน่ั เอง ด้วย
ประการน้ีจึงทำใหม้ กี ารใช้หน่วยของพลังงานทีแ่ ตกต่างกัน ซึ่งโดยปกติแล้วการบ่งบอกถึงค่าพลงั งานในอาหาร
จะมีเพยี งหนว่ ยแคลอรเี่ พยี งเทา่ นั้น เน่อื งจากจูลจะสามารถบง่ บอกถงึ พลงั งานกล พลังงานศกั ย์ และแรงเปน็ ตน้

ท่มี าของการวดั พลังงานในหนว่ ยแคลอร่ีหมายถงึ พลงั งานหรือความร้อนที่ทำให้อุณหภมู ิของนำ้ 1 กรัม
เพิ่มขึ้นจาก 14.5 เป็น 15.5 องศาเซลเซียส ในลักษณะนี้จะหมายถึง 1 แคลอรี่ แต่ความต้องการของสัตว์นัน้ มี
ความต้องการพลังงานที่สงู ในระดบั มากกว่า 1,000,000 แคลอรี่จึงนิยมใช้การเขียนโดยใช้คำนำหน้าเป็นหน่วย
เมตรกิ เชน่ กิโล (Kilo) หรอื เมกะ (Mega) เป็นต้น โดยพลงั งาน 1,000,000 แคลอร่ี จะเท่ากับ 1,000 กิโลแคลอรี่
(Kilocalorie ; Kcal) หรือเท่ากับ 1 เมกกะแคลอรี่ (Megacalorie ; Mcal) แต่หน่วย Mcal จะนิยมใช้ในสัตว์
จำพวกโค กระบือ มากกว่าการใช้ Kcal ซ่ึงจะใชใ้ นสกุ รและสัตว์ปีกเป็นหลัก เนื่องด้วยพลงั งานในหน่วยแคลอร่ี
เป็นพลังงานทวี่ ดั ขนึ้ จากความรอ้ นจงึ สามารถทำใหน้ ำไปเทียบเคียงกบั หนว่ ยจูลได้เช่นกัน โดยพลังงาน 1 แคลอ
รี่เมื่อเปลี่ยนแปลงเป็นหน่วยจูลจะเท่า 4.184 จูล ซึ่งสามารถใช้คำนำหน้าเป็นหน่วยเมตริกได้เช่นกัน 1,000
Kcal จะมีพลังงานเท่ากับ 4,184 กิโลจูล (Kilojoule ; KJ) หรือ 4.184 เมกกะจูล (Megajoule ; MJ) เป็นต้น
หรือ 1 KJ จะเท่ากับ 0.2388 Kcal สำหรับที่มาของพลังงานในหน่วยจูลหมายถึงพลังงานที่สามารถทำให้ออก
แรง 1 นวิ ตันและสามารถเคลอ่ื นท่ไี ปไดใ้ นระยะทาง 1 เมตร

4.1.2 หน้าท่ีของพลงั งานต่อตัวสตั ว์
ความแปรปรวนของความต้องการพลังงานในสัตว์มมี าจากหลายปัจจัยอาทิเช่น พันธุ์ เพศ ช่วงอายุ

ระดับการให้ผลผลิต สำหรับพลังงานที่ใช้ในการดำรงชีพ (Energy for maintenance) หมายถึงพลังงานที่ใช้
สำหรบั ใช้ในการดำรงรา่ งกายให้เปน็ ปกตโิ ดยท่ีจะไม่มกี ารลดหรอื การเพมิ่ ของนำ้ หนักตัวหรอื ผลผลิต พลังงานใน
การดำรงชีพมีความสำคัญต่อการดำรงอยู่ในชีวิตของสัตว์อย่างมากและเป็นส่วนแรกที่สัตว์จะนำพลังงานที่ได้
จากกระบวนการเมแทบบอลิซึมมาจุนเจือใหม้ ีความเพียงพอต่อการใช้ชีวิต นอกเหนือจากนั้นยังทำหน้าในการ
เป็นแหล่งพลังงานเพื่อการทำงานของกล้ามเนื้อนั่นคือ การลุก การนั่ง การนอน และที่นอกเหนือจากการ
เคลื่อนไหวร่างกายเช่น การเต้นของหัวใจ การบีบตัวของกระเพาะอาหารรวมถึงลำไส้ ซึ่งการทำงานในระดับ
ลำไสพ้ ลังงานยงั มคี วามจำเปน็ ตอ่ การใช้เพือ่ การดูดซึมสารอาหารและขนสง่ สารอาหารไปตามรา่ งกาย รวมไปถึง
เป็นแหล่งพลังงานการสร้างชีวโมเลกุลจำพวกฮอร์โมนและเอนไซม์ต่าง ๆ ด้วย เมื่อสัตว์ได้รับพลังงานเพื่อการ

138

ดำรงชีพที่ไม่เพยี งพอต่อการใชช้ ีวิต หากสัตว์ไมไ่ ดร้ บั สารอาหารสัตวจ์ ะสามารถตายได้ดงั นนั้ รา่ งกายของสัตว์จะ
ดึงสารอาหารที่สะสมในร่างกายมาใช้ประโยชน์เพ่ือเป็นแหล่งพลังงานให้สัตว์สามารถอยู่รอดได้โดยจะสลาย
พลังงานจากไกลโคเจนที่สะสมอยู่ในร่างกายมาใช้เป็นอนั ดับแรกซ่ึงหากไม่เพียงพอจะเปน็ การนำไขมนั ที่สะสม
อย่ใู นรา่ งกายมาใช้ และอันดับสุดท้ายคือการนำโปรตีนมาใช้ประโยชน์ แตเ่ มอื่ สัตว์ได้รับพลงั งานท่ีเพียงพอก็จะ
นำไปสร้างผลผลิต (Energy for production) เช่นการเจริญเติบโตโดยการสะสมเป็นรูปของไขมันหรือโปรตีน
แลว้ แตใ่ นชว่ งของอายยุ กตัวอย่างเช่น ในสุกรช่วงวัยทกี่ ำลังเจรญิ เตบิ โตเมอ่ื ไดร้ ับพลงั งานที่เพยี งพอต่อการดำรง
ชีพจะนำพลังงานสว่ นเกินนี้ไปสะสมในรูปของเนื้อเย่ือใหม่ในร่างกายน่ันคือโปรตีน แต่เมื่อสุกรอายุเพิ่มมากขน้ึ
จนถึงระยะโตเตม็ วยั พลังงานสว่ นเกินจากการดำรงชพี จะถูกนำไปสะสมอย่ใู นร่างกายในรูปของไขมันเป็นต้น แต่
ถ้าหากเป็นช่วงที่สัตว์อยู่ในช่วงตั้งท้องหรือให้น้ำนมพลังงานที่เหลือจากการดำรงชีพจะถูกนำไปใช้เพื่อการ
พัฒนาการของลูกสัตว์ในครรภ์ หรือนำไปสร้างน้ำนมตามลำดับ ในส่วนของสัตว์ชนิดอื่น ๆ ที่ให้ผลผลิตเปน็ ขน
หรอื ไข่ แมก้ ระท้ังเพือ่ ใชแ้ รงงานสตั ว์เหล่านีจ้ ะต้องไดร้ ับพลงั งานเพอ่ื การดำรงชีพทเี่ พยี งพอก่อนที่จะนำไปสร้าง
ผลผลิตตา่ ง ๆ

นอกเหนือจากพลงั งานจะใชเ้ พ่ือทำให้สัตว์สามารถดำเนนิ กิจกรรมในการดำรงชพี และการสร้างผลผลิต
แล้ว พลังงานยังสามารถแปรผันกลายเป็นความร้อนเพื่อรักษาคอุณหภูมิในร่างกายให้คงที่ได้ด้วยเช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่นในกรณีที่สัตว์อยู่ในช่วงจำศีลจะสลายพลังงานจากแหล่งที่สะสมในร่างกายเพื่อนำมารักษา
อุณหภมู ใิ นร่างงกายใหเ้ ปน็ ปกติ หรอื ในลกู สัตวท์ ่เี กดิ ใหม่เนื่องจากอวยั วะในการปกคลุมรา่ งกายยังมกี ารเจริญไม่
เต็มที่สัตว์จะต้องการพลังงานส่วนนี้มาใช้เพื่อรักษาความอบอุ่นของร่างกายจากความหนาวเย็นได้เช่นกัน
พลงั งานจงึ เป็นสง่ิ ที่สำคญั ตอ่ การใช้ชวี ิตของสัตว์อย่างมากเช่นในสัตว์ทไ่ี ด้รับโปรตีนท่ีปริมาณเพียงพอต่อความ
ต้องการขนั้ ดำรงชพี แต่ไดร้ ับพลงั งานในขั้นดำรงชีพไมเ่ พียงพอสัตวจ์ ะยงั คงมีการสรา้ งกลา้ มเนอื้ ในรปู ของโปรตีน
อยู่แตจ่ ะสลายพลงั งานจากไขมันมาใช้เพอื่ การดำรงชีพ

4.1.3 ลำดับส่วนของพลังงานในอาหารสัตว์
4.1.3.1 พลงั งงานรวม (Gross energy ; GE)
พลังงานรวมเป็นพลังงานในอาหารที่ได้จากการวิเคราะห์โดยการเผาไหม้ของโปรตีน

คาร์โบไฮเดรต และไขมัน โดยใช้เครื่องบอมบ์แคลอรี่มิเตอร์ (Bomb calorie meter) ความร้อนที่เกิดขึ้นจะมี
ความแตกต่างมากนอ้ ยขึน้ อยู่กบั องค์ประกอบทางเคมี อยา่ งไรก็ตามพลงั งานรวมมักมีคา่ ที่สงู กว่าความเป็นจริง
เพราะไมไ่ ด้พิจารณาถึงคณุ สมบัติทส่ี ามารถนำมาใชไ้ ด้ในตวั สตั ว์เนอื่ งจากพลงั งานในอาหารสัตว์บางส่วนจะเกิด
การสูญเสียทั้งในรูปของส่วนที่ย่อยไม่ได้ ความร้อน หรือการขับออกของพลังงานเหล่านั้นในรูปต่าง ๆ
ยกตัวอย่างเช่นหญ้าแห้งมีพลังงานรวมเท่ากับ 4,517 กิโลแคลอรี่ต่อกิโลกรัมวัตถุแห้ง ซึ่งมากกว่าแป้งและ

139

ข้าวโพดบดซึ่งมีพลังงานรวม 4,230 และ 4,422 กิโลแคลอรี่ต่อกิโลกรัมวัตถุแห้งตามลำดับ (ตารางที่ 4.1) โดย

ความเป็นจริงแล้วหญ้าแห้งมีคุณสมบัติในการยอ่ ยได้ที่ต่ำกว่าอาหารทั้งสองชนิด ดังนั้นแม้ว่าในหญ้าแห้งจะมี

พลังงานรวมสูงกว่าหากนำพลังงานรวมมาใช้ในการพิจารณาพลังงานท่ีสตั ว์ไดร้ ับคา่ ท่ีได้จะสงู กว่าความเป็นจริง

อย่างมาก จึงเปน็ เหตุให้พลังงานรวมจึงไมเ่ ปน็ ท่ีนิยมในการใชเ้ พอื่ ประเมนิ คณุ คา่ ทางพลังงานของอาหารสัตว์

ตารางท่ี 4.1 พลังงานรวม (GE) ในอาหารสตั ว์ สารอาหาร และสว่ นประกอบของรา่ งกายส่วนต่าง ๆ

รายการ พลงั งาน (Kcal/kgDM) รายการ พลังงาน (Kcal/kgDM)

แปง้ 4,230 ข้าวโพดบด 4,422

เซลลโู ลส 4,183 ฟางขา้ วโอ๊ต 4,422

เคซีน 5,856 หญ้าแห้ง 4,517

น้ำมันพืช 9,321 กรดอะซิติก 3,489

ไขมนั สัตว์ 9,393 กรดโพรพโิ อนกิ 4,971

ไขมันนม 9,202 กรดบิวทรี กิ 5,951

ท่ีมา : McDonald et al. (2010)

4.1.3.2 พลงั งานทย่ี อ่ ยได้ (Digestible energy ; DE)

เป็นพลังงานที่ได้จากการนำพลังงานรวมมาหักลบกับพลังงานที่สูญเสียในรูปของมูล (Fecal

energy; FE) หรือเปน็ พลงั งานทีส่ ัตวส์ ามารถยอ่ ยได้และนำมาดดู ซึม

DE = GE - FE

ยกตัวอย่างเช่นการประเมินพลงั งานที่ย่อยไดใ้ นอาหารสุกรชนิดหนึง่ โดยสุกรนำ้ หนักตัว 25 กิโลกรมั

ได้กนิ อาหารเปน็ จำนวน 1 กิโลกรัม โดยพลงั งานรวมในอาหารพบวา่ มพี ลังงานรวมเทา่ กับ 3,200 กโิ ลแคลอรี่ต่อ

กิโลกรัม เมื่อสุกรกินอาหารเข้าไปผ่านกระบวนการย่อยและขบั ถ่ายออกเป็นมูลเป็นปริมาณ 200 กรัมน้ำหนัก

แห้ง และพบว่าพลังงานในมูลมีพลังงานเท่ากับ 3,400 กิโลแคลอรี่ตอ่ กิโลกรมั โดยพลังงานงานที่สุกรกินเข้าไป

จะเท่ากับ 3,200 กิโลแคลอร่ี (1 กิโลกรัม x 3,200 กิโลแคลอรี่) ส่วนพลังงานทีส่ ูญเสียจากมูลเท่ากับ 680 กิโล

แคลอรี่ (0.20 กิโลกรัม x 3,400 กิโลแคลอร่ี) จากนั้นนำมาหาสัมประสิทธิ์การย่อยได้ของพลังงานจะเท่ากับ

0.79 [(3,200-680)/3,200] เมื่อได้สัมประสิทธิการย่อยได้ของพลังงานแล้วจะนำมาคูณกับพลังงานรวมของ

อาหารทท่ี ำการทดสอบ ดงั น้ันอาหารชนิดนีจ้ ะมพี ลังงานท่ียอ่ ยได้เท่ากบั 2,528 กโิ ลแคลอรตี่ ่อกิโลกรัม

ความสามารถในการย่อยได้ของอาหารสัตว์จะส่งผลอย่างมากต่อพลังงานที่ย่อยได้ซึ่งจะรวมถึง

ความสามารถในการย่อยได้โดยตัวสัตว์เองที่สัตว์แต่ละชนิดมีความสามารถในการย่อยไดท้ ี่แตกต่างกันเช่นสัตว์

เคี้ยวเออื้ งมีความสามารถในการย่อยได้ของอาหารได้ดีกวา่ สัตวก์ ระเพาะเด่ยี วพลังงานที่ย่อยได้ในอาหารสัตว์จึง

มีความแตกตา่ งกันจำเพาะไปในแต่ละชนิดสัตว์ ในวตั ถุดบิ อาหารสตั วส์ ว่ นใหญ่มกั จะดำเนนิ การทดสอบพลังงาน

140

ท่ยี อ่ ยได้ทีจ่ ำเพาะต่อชนิดของสัตว์เพือ่ ให้สามารถนำข้อมูลเหล่านมี้ าประกอบสตู รอาหารสัตวไ์ ดด้ ีย่งิ ขึ้น แต่ส่วน
ใหญ่จะสามารถใชไ้ ด้ดใี นสุกร แต่ไม่สามารถใช้ไดใ้ นสัตว์ปีกเนื่องจากสัตว์ปกี จะมีการขับปัสสาวะออกมาพร้อม
มูล การสูญเสียพลังงานในอาหารไม่ได้มาจากมูลเพียงอย่างเดยี วเช่นเดียวกันกับสัตว์เคี้ยวเอื้องที่มีการสูญเสีย
พลังงานในรูปของแก๊สจากการเรอ (Eructation) ดังน้นั การใชค้ า่ พลังงานของสตั วเ์ หล่านจี้ ะใช้ในรปู ของพลงั งาน
ทีใ่ ช้ประโยชน์ได้แทนเนือ่ งจากมคี วามเท่ียงตรงทสี่ งู กว่า

4.1.3.3 พลังงานท่ใี ช้ประโยชนไ์ ด้ (Metabolizable energy ; ME)
การสญู เสียพลังงานในอาหารนอกเหนือจากท่ีจะสูญเสียในรูปของมูลสัตว์ท่ีเกิดข้นึ จากการที่สัตว์

ย่อยไม่ไดแ้ ลว้ ยังมีการสญู เสยี พลังงานในรปู ของปสั สาวะและแก๊ส (ตารางที่ 4.2) โดยแก๊สทเี่ กดิ ข้นึ ในตวั สตั ว์ส่วน
ใหญม่ กั เกิดขน้ึ ในสัตว์เคี้ยวเอ้ืองจากกระบวนการทำงานของจุลินทรยี ์ภายในกระเพาะหมกั แต่ก็สามารถเกิดข้ึน
ได้ในสัตว์ที่มีการหมักย่อยในส่วนท้าย (Hindgut fermenter) พลังงานที่ใช้ประโยชน์ได้จะมีที่มาจากการนำ
พลังงานรวมในอาหาร หักลบกับพลังงานที่สูญเสียในรูปของมูล ปัสสาวะ (Urinary energy ; UE) และแก๊ส
(Gaseous energy) หรอื การนำพลงั งานทย่ี อ่ ยได้มาหกั ลบกบั พลงั งานท่ีสูญเสยี ในรปู ของปสั สาวะและแก๊ส

ME = DE – (UE + Gaseous energy)
สำหรับการสูญเสียพลงั งานจากปสั สาวะนั้นในปัสสาวะมสี ารประกอบไนโตรเจนจำพวกยูเรีย (Urea) ครี
เอตินิน (Creatinine) กรดฮิพพรู ิค (Hippuric acid) และอลั ลานโทอนิ (Allantonin) นอกเหนือจากน้ันยังพบว่า
มีสารประกอบอื่น ๆ ที่ไม่มีไนโตรเจนเป็นสารประกอบจำพวกกรดซิตริก (Citric acid) เป็นต้น สำหรับแก๊สที่
เกิดขึ้นในสัตว์เคี้ยงเอื้องและสัตว์ที่มีการหมักที่ส่วนท้ายโดยส่วนใหญ่เป็นแก๊สมีเทน (Methane; CH4) โดย
ปรมิ าณแก๊สมีเทนทเี่ กดิ ขนึ้ นน้ั จะสัมพันธก์ ับปรมิ าณอาหารท่กี นิ ในระดบั ดำรงชพี ซึง่ คิดเป็น 11 – 13 เปอร์เซ็นต์
ของพลังงานท่ีใช้ประโยชนไ์ ด้ ซึ่งการประเมินพลังงานทีใ่ ช้ประโยชน์ได้มีความยากอยา่ งยิ่งในการท่ีจะประเมนิ
การสูญเสียพลังงานในรูปของแก๊สมีเทนโดยตรง จึงมีการนำวิธีการประเมินโดยใช้การประมาณค่าการสูญเสีย
แก๊สมีเทนและปัสสาวะในสัตวเ์ ค้ียวเอ้ืองเป็นปริมาณ 19 เปอรเ์ ซ็นต์ ดงั นั้นพลังงานท่ใี ชป้ ระโยชน์ได้ของอาหาร
ในสตั วเ์ คยี้ วเอ้ืองจะเทา่ กบั 81 เปอรเ์ ซ็นต์ของพลงั งานทย่ี อ่ ยได้

ME = 0.81DE
สำหรับสัตว์ปีกการประเมินพลังงานที่ใช้ประโยชน์ได้ในอาหารสามารถทำได้ง่ายกว่าการประเมิน
พลงั งานทีย่ ่อยไดเ้ น่อื งจากสัตว์ปีกจะมีการขับถ่ายมูลร่วมกบั ปสั สาวะ แต่จำเปน็ จะต้องทราบปรมิ าณพลังงานใน
ปัสสาวะที่ยังไม่เกี่ยวข้องกับอาหาร โดยในปัสสาวะจะสูญเสียไนโตรเจนในรูปของเนื้อเยื่อของระบบทางเดิน
อาหาร (Endogenous nitrogen) เพิ่มขึ้นมาซึ่งไม่ใช่อิทธิพลจากอาหารการประเมินการสูญเสียพลังงานจาก
ปัสสาวะจึงต้องทำการอดอาหารสัตวก์ อ่ นเพือ่ ทราบการขับออกของไนโตรเจนท่ีไม่เกีย่ วขอ้ งกับการอาหารก่อน

141

นำไปหักลบในภายหลัง ซึ่งการขับออกของไนโตรเจนในปัสสาวะนอกเหนือจากเป็นไนโตรเจนที่พบในเน้ือเย้อื

แล้วยังมาจากการขับออกของไนโตรเจนที่ถูกแยกจากกรดอะมิโนในกระบวนการย่อยกรดอะมิโน

(Deamination) ซึ่งเกดิ ขึ้นเมื่อสตั ว์ได้รบั พลังงานท่ีไม่เพยี งพอสัตว์จำเป็นตอ้ งดึงพลังงานจากเน้ือเยื้อโปรตนี มา

ใช้ประโยชน์ การประเมินแบบวธิ ีน้ีในสัตว์ปกี จึงมีความแมน่ ยำกว่าการใชก้ ารประเมนิ พลงั งานที่ใช้ประโยชน์ได้

คือพลังงานทใี่ ชป้ ระโยชน์ไดอ้ ยา่ งแท้จริง (True metabolizable energy ; TME)

ตารางท่ี 4.2 ความแปรผนั ของพลังงานท่ีใช้ประโยชนไ์ ดใ้ นอาหารของสตั วช์ นดิ ต่าง ๆ

ชนิดสตั ว์ ชนิดอาหาร GE (Mcal/kg) การสูญเสียพลังงาน (Mcal/kg) ME (Mcal/kg)
มลู ปสั สาวะ มีเทน

ข้าวโพด 4.39 0.53 - 3.86

ไก่ ขา้ วสาลี 4.33 0.70 - 3.63

ขา้ วบารเ์ ลย์ 4.35 1.17 - 3.18

ขา้ วโพด 4.39 0.39 0.09 - 3.91

สกุ ร ขา้ วบาร์เลย์ 4.33 0.67 0.12 - 3.54

กากมะพรา้ ว 4.54 1.53 0.62 - 2.39

ข้าวโพด 4.39 0.67 0.19 0.31 3.22

โค ข้าวบาร์เลย์ 4.35 0.98 0.19 0.26 2.92

รำขา้ ว 4.54 1.43 0.24 0.33 2.54

ท่มี า : McDonald et al. (2010)

ปจั จัยท่ีส่งผลตอ่ ความผันแปรของพลงั งานท่ีใช้ประโยชน์ได้

- ชนดิ ของสัตว์

พลังงานทใ่ี ชป้ ระโยชนไ์ ดใ้ นอาหารสัตวจ์ ะมคี วามผันแปรไปตามชนดิ ของสตั ว์ โดยในสัตวเ์ ค้ยี วเอือ้ งจะมี

การสญู เสียพลงั งานในรูปของแก๊สมเี ทนประมาณ 8 - 10 เปอรเ์ ซน็ ต์ แต่ในสัตวก์ ระเพาะเด่ียวจะไมม่ ีการสูญเสีย

พลังงานในรูปแบบนี้ ดังน้ันจึงเป็นเหตใุ หพ้ ลังงานทใี่ ช้ประโยชนไ์ ด้ในอาหารสัตวก์ ระเพาะเดี่ยวมคี ่าท่ีสูงกว่าสัตว์

เคี้ยวเอื้อง และจะยิ่งมีความต่างของพลังงานที่ใช้ประโยชน์ได้เมื่อปริมาณของเยื่อใยที่เพ่ิมขึ้นซึ่งการผลิตแก๊ส

มีเทนในกระเพาะหมกั ของสตั ว์เค้ียวเออ้ื งเกดิ จากการหมักย่อยเย่ือใยเป็นหลกั

- องคป์ ระกอบทางเคมีของอาหาร

ปริมาณของโภชนะทีพ่ บในอาหารสัตว์ลว้ นแลว้ แต่ส่งผลตอ่ ปริมาณพลงั งานทีใ่ ช้ประโยชนไ์ ด้โดยเฉพาะ

อย่างยิ่งวัตถุดิบโปรตีนท่ีมีความไม่สมดลุ ของกรดอะมิโนทำให้ กรดอะมิโนไม่สามารถถูกนำไปใช้ได้จนหมดส้ิน

ร่างกายของสัตว์มีความจำเป็นที่จะต้องย่อยสลายกรดอะมิโน (Deamination) ก่อนจะขับถ่ายในรูปของยูเรีย

142

ออกไปทางปัสสาวะ โดยปริมาณของยูเรีย 1 กรัมที่ขับถ่ายออกไปทางปัสสาวะจะสามารถคิดเป็นพลังงานได้
เทา่ กับ 5.50 กโิ ลแคลอร่ี ดงั น้นั การประเมินพลังงานที่ใช้ประโยชน์ได้จะต้องทำการปรับสมดุลของไนโตรเจนให้
เท่ากบั 0 เพ่อื ใหไ้ ดค้ า่ พลงั งานที่ใชป้ ระโยชนไ์ ดอ้ ย่างแท้จริง ซง่ึ ในสตั ว์เคยี้ วเอ้อื งจะมีค่าปรับสมดุลไนโตรเจนที่

ขับออกปริมาณ 1 กรัมจะเท่ากับ 7.45 กิโลแคลอร่ี ในขณะที่สัตว์ปีกจะมีค่าเท่ากับ 8.22 กิโลแคลอรี่

นอกเหนือจากนั้นหากองค์ประกอบทางเคมีมีปริมาณของเยื่อใยหยาบ (Crude fiber ; CF) ในปริมาณสูงจะ
สง่ ผลใหป้ ริมาณของพลังงานที่ใชป้ ระโยชน์ไดล้ ดลง

- กระบวนการแปรรูปอาหารและปรมิ าณการใหอ้ าหาร
การแปรรูปอาหารทส่ี ามารถเพิ่มการยอ่ ยได้เชน่ การทำให้สุก ขนาดของช้นิ ที่เล็กลง การยอ่ ยโดยเอนไซม์
ล้วนแล้วแต่ทำให้มีการสูญเสียพลังงานในมูลที่ลดลงและยังส่งผลให้มีผลผลิตของแก๊สมีเทนที่ลดลงอีกด้วย
นอกเหนอื จากนั้นหากสัตว์มปี รมิ าณการกนิ ทีส่ ูงจะลดปริมาณของพลงั งานท่ใี ช้ประโยชนไ์ ดใ้ หม้ ีระดับทลี่ ดลง
4.1.3.4 พลังงานสุทธิ (Net energy ; NE)

การสูญเสียพลังงานในอาหารนอกเหนือจากที่จะสูญเสียจากมูล ปัสสาวะ และแก๊สแล้ว จะ
สามารถสูญเสียไดจ้ ากความรอ้ นทีเ่ กดิ ขนึ้ ในร่างกาย (Heat increment ; HI) ซึง่ เปน็ ความรอ้ นจากกระบวนการ
เมแทบอลึซมึ ในร่างกายของสตั ว์ พลังงานสทุ ธจิ ะเป็นพลงั งานที่สัตว์สามารถใช้ไดจ้ ริงโดยสามารถหาได้จากการ
นำพลังงานท่ีใช้ประโยชนไ์ ดม้ าหักลบกับพลงั งานท่ีสูญเสียในรูปของความร้อน

NE = ME - HI
ความร้อนทเ่ี กดิ ขน้ึ ในร่างกายจะมีความสอดคลอ้ งกับการย่อยและเมแทบอลซิ มึ ของอาหารชนิดนั้น ๆ
เสมอ โดยความสามารถในการยอ่ ยจะสง่ ผลต่ออัตราการเคยี้ ว การกลืน รวมถึงการเค้ยี วเอ้ืองของสัตว์เค้ียวเอ้ือง
ซ่ึงสารอาหารนน้ั ๆ จะตอ้ งสรา้ งพลังงานเพอื่ ใช้ในการทำงานของกล้ามเนื้อโดยการออกซิเดชนั ยกตัวอย่างเช่น
การเคี้ยวเอื้องของสัตว์เคี้ยวเอื้องจะเกิดความร้อนอยู่ในช่วง 3 – 6 เปอร์เซ็นต์ของพลังงานที่ใช้ประโยชน์ได้
ขณะที่การหมักย่อยโดยจุลินทรีย์จะสูญเสียพลังงานความร้อนที่เกิดขึ้น 7 ถึง 8 เปอร์เซ็นต์ของพลังงานที่ใช้
ประโยชน์ได้ เมอ่ื หกั พลงั งานที่สญู เสียนี้จะเป็นพลงั งานท่ีสัตว์ได้รับจริงนั้นคอื พลังงานสุทธินั่นเอง และพลังงาน
สุทธิที่สัตว์ได้รับจะถูกนำไปใช้เพื่อการดำรงชีพ (Net energy for maintenance; NEM) ซึ่งได้แกก่ ารใช้ในการ
เคลื่อนไหว การเปลี่ยนแปลงทางชีวโมเลกลุ ในร่างกาย การสร้างความร้อนในรา่ งกายต่อสภาพความหนาวเย็น
เพื่อให้สัตว์สามารถดำรงชีวิตอยู่รอด และเมื่อสัตว์ได้รับพลังงานส่วนนี้ที่เพียงพอจะถูกนำไปใช้ในการสร้าง
ผลผลิต (Net energy for production; NEP) เชน่ การสรา้ งกล้ามเนื้อ สรา้ งนำ้ นมหรอื การสรา้ งไข่ เป็นตน้

143

การประเมินความร้อนทเี่ กดิ ขึ้นและพลังงานทถี่ ูกใช้
การประเมินความร้อนที่เกิดขึ้นในร่างกายเมื่อสัตว์ได้รับอาหารเป็นวิธีการซึ่งใช้เพื่อประเมินพลังงาน
สุทธิที่สัตว์ได้รับจะสามารถวัดได้จาก 2 วิธีคือการวัดโดยทางตรง (Direct calorimetry) และการวัดทางอ้อม
(Indirect calorimetry)
- การวัดความรอ้ นที่เกดิ ขึ้นโดยทางตรง จะพิจารณาจากกกระบวนการหายใจระดับเซลลว์ ่ามกี ารผลิต
ความร้อนขึ้นเป็นปรมิ าณเท่าใด โดยทำการบันทึกปริมาณอาหารที่สัตว์กิน และปริมาณน้ำและออกซิเจนที่ขับ
ออกจากร่างกาย ซึ่งความรอ้ นนี้จะสามารถเกดิ ขึ้นโดยการนำความรอ้ น การแผ่ความรอ้ น การพาความรอ้ น และ
การระเหยความรอ้ นจากผวิ หนังออกไป ความร้อนท่ีเกิดขึน้ ดังกล่าวจะทำให้อณุ หภมู ิของบรรยากาศสูงข้นึ และ
ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของท่อที่มีน้ำเย็นไหลผ่าน และใช้ความต่างของอุณหภูมินี้ในการคำนวณ
ความร้อนที่เกิดขึ้น สว่ นการพจิ ารณาความร้อนท่ีเกดิ ขน้ึ สามารถดำเนนิ การโดยการให้อาหาร 2 ระดับซ่ึงการให้
อาหาร 2 ระดบั จะเกดิ ความรอ้ นข้นึ ท่ีแตกต่างกนั เม่อื เพิ่มปริมาณของอาหารจึงทำให้สามารถทราบปริมาณของ
ความร้อนจากกระบวนการเมแทบอลิซึมในระดับดำรงชีพ ยกตัวอย่างเช่นการให้สัตว์ได้รับพลังงานที่ใช้
ประโยชน์ได้ 2 ระดับ ได้แก่ 1,000 กิโลแคลอรี่ และ 2,000 กิโลแคลอรี่ ซึ่งเกิดความร้อนที่เพิ่มขึ้น 500 กิโล
แคลอรี่ ดังนนั้ ร้อยละของความร้อนท่ีเกิดข้นึ เมอื่ เพมิ่ ปรมิ าณพลังงานท่ีใช้ประโยชน์ได้เป็น 1,000 กิโลแคลอร่ีจะ
สามารถคำนวณได้จากการนำความร้อนที่เกิดขึ้นเมือ่ สัตว์ได้รับพลังงานท่ีใช้ประโยชน์ได้ระดับต่ำมาหารความ
ร้อนที่เกิดขึ้นเมื่อสัตว์ได้รับพลังงานที่ใช้ประโยชน์ได้ระดับสูงและคูณด้วย 100 ดังนั้นร้อยละของความร้อนที่
เพ่มิ ขึน้ เม่อื เพมิ่ ปรมิ าณพลงั งานท่สี ตั วไ์ ด้รับจะเท่ากบั 50 เปอร์เซน็ ต์
- การวดั ความรอ้ นทเี่ กดิ ขนึ้ โดยทางอ้อม จะพจิ ารณาจากการสมดุลระหว่างคาร์บอนกบั ไนโตรเจน ซ่ึง
สมดุลระหวา่ งคารบ์ อนกับไนโตรเจนน้นั จะสามารถพิจารณาได้จากปริมาณระหว่างคาร์บอนกบั ไนโตรเจนที่สัตว์
ไดร้ ับจากอาหาร และปรมิ าณคาร์บอนและไนโตรเจนทขี่ ับถ่ายออก โดยคาร์บอนทขี่ บั ถ่ายออกจากรา่ งกายจะอยู่
ในรูปของมูล ปัสสาวะ มีเทนและคาร์บอนไดออกไซด์ ส่วนไนโตรเจนท่ีขบั ออกจะอยู่ในรูปของมูลและปสั สาวะ
โดยวิธีการในการคำนวณพลังงานที่สัตว์นำไปใช้และความร้อนที่สูญเสียจากสมดุลคาร์บอนกับไนโตรเจนของ
ร่างกายสัตว์จะพิจารณาจากการสะสมของไขมันและโปรตีนในร่างกาย ซึ่งการเกิดการสะสมของไขมันและ
โปรตนี ในรา่ งกายสัตวจ์ ะเป็นกรณที ี่สตั ว์ไดร้ บั คาร์บอนกบั ไนโตรเจนทสี่ ูงกว่าการขบั ออกหรอื ทเ่ี รียกว่าสมดุลเป็น
บวก (Positive balance)
ปริมาณของโปรตีนทีถ่ ูกกสะสมอยู่ในร่างกายสัตว์จะสามารถคำนวณได้จากปริมาณของไนโตรเจนคูณ
ด้วย 6.25 และในโปรตีนจะมีองค์ประกอบของคาร์บอนอยู่ 51.2 เปอร์เซ็นต์ และมีไนโตรเจนอยู่ 16.0
เปอร์เซ็นต์ ส่วนไขมันในรา่ งกายสัตว์จะพบว่ามีองค์ประกอบของคาร์บอนอยู่ 74.6เปอร์เซ็นต์ หากนำปริมาณ

144

ของคารบ์ อนจากไขมนั มาหารดว้ ย 0.746 ก็จะได้ปรมิ าณของไขมนั ที่สะสมในรา่ งกาย ดังน้ันจะสามารถคำนวณ

ปริมาณพลงั งานทใ่ี ช้ในการสะสมของไขมนั และโปรตีนพบว่าจะเกิดความร้อนขึน้ จะเท่ากับ 9.38 เมกกะแคลอรี่

ต่อกิโลกรัม สำหรับการสะสมไขมันและ 5.64 เมกกะแคลอรี่ต่อกิโลกรัมในการสะสมโปรตีนในร่างกายสัตว์

ก่อนที่จะนำพลังงานที่ใช้ประโยชน์ได้ที่สัตว์ได้รับไปหักลบกับพลังงานที่ใช้ในการสะสมไขมันและโปรตีนจะ

เทา่ กบั พลงั งานความร้อนท่เี กดิ ขึ้น จากตวั อยา่ งสมมตุ วิ ่าสตั วไ์ ดร้ ับคารบ์ อนจำนวน 684.50 กรัม และไนโตรเจน

41.67 กรัม คิดเป็นพลังงานทั้งสิ้น 6.79 เมกกะแคอรี่และมีการขับออกของคาร์บอน ไนโตรเจน และพลังงาน

ตามตารางท่ี 4.3 พบวา่ มีสมดุลของคาร์บอนเท่ากับ 73.30 กรมั ไนโตรเจน 2.30 คิดเป็นพลงั งานทใี่ ช้ประโยชน์

ได้ท่ีสัตว์กินปริมาณ 3.44 เมกกะแคลอร่ี จะสามารถคำนวณความร้อนที่เกิดข้นึ ได้ดังน้ี

ตารางที่ 4.3 ตัวอย่างการประเมินพลังงานที่สูญเสียจากความร้อนที่เกิดขึ้นในร่างกายสัตว์เคี้ยวเอื้องโดยการ

พิจารณาจากสมดุลไนโตรเจนและคารบ์ อน

สารอาหาร คาร์บอน (g) ไนโตรเจน (g) พลงั งาน (Mcal)

การกินได้ 684.50 41.67 6.79

ขับออกในรูปมูล 279.30 13.96 2.75

ขบั ออกในรูปปสั สาวะ 33.60 25.41 0.36

ขับออกในรูปมีเทน 20.30 - 0.24

ขบั ออกในรปู คารบ์ อนไดออกไซด์ 278.00 - -

สมดลุ 73.30 2.30 -

พลังงานทใ่ี ชป้ ระโยชน์ไดท้ ไี่ ดร้ บั - - 3.44

การสะสมไขมนั และโปรตีน

โปรตีนที่สะสม (g) (2.3 x 6.25) =14.38

คารบ์ อนทีส่ ะสมในรปู โปรตีน (14.4 x 0.512) = 7.38

คาร์บอนทส่ี ะสมในรปู ไขมัน (73.30 – 7.38) = 65.92

ไขมนั ที่สะสม (g) (65.92/0.746) = 88.37

พลังงานที่ถกู นำมาใช้ (14.38 x 5.64/1000) 0.08
พลงั งานที่ใชใ้ นการสะสมโปรตนี

พลังงานทใ่ี ชใ้ นการสะสมไขมนั (88.37 x 9.38/1000) 0.83

รวมพลงั งานท่ีใช้ 0.91

พลงั งานจากความร้อน (3.44 – 0.91) 2.53

ทีม่ า : ดัดแปลงจาก Blaxter and Graham (1955)

145

อยา่ งไรกต็ ามวิธีการดังกล่าวจำเปน็ ทจ่ี ะต้องใชเ้ ครื่องมอื และวิธีการที่ซบั ซ้อนอยา่ งมากและสามารถทำ

ไดใ้ นสตั ว์ท่ีมีจำนวนนอ้ ยเทา่ น้นั จงึ มกี ารใชว้ ิธกี ารอนื่ ๆ เข้ามาประเมนิ พลังงานที่สตั ว์ใช้ประโยชน์และความร้อน

ท่ีเกิดขึ้นอีกวธิ ีคือการประเมินจากซากสตั ว์ทที่ ำการฆา่ ชำแหละโดยสามารถกระทำได้โดยการแบ่งสัตว์ทใ่ี ช้ในการ

ทดสอบออกเปน็ 2 กลมุ่ โดยกล่มุ แรกจะต้องทำการฆา่ ชำแหละกอ่ นนำตวั อย่างของรา่ งกายมาบดละเอียดให้เข้า

กันก่อนที่จะไปประเมินพลังงานในซากสัตว์โดยใช้เครื่องบอมบ์แคลรอรี่มิเตอร์ (Bomb calorimeter) ในส่วน

สัตว์ที่ดำเนินการทดสอบในกลุ่มที่ 2 จะถูกเลี้ยงโดยอาหารที่ต้องการทดสอบก่อนจะถูกนำไปฆา่ ชำแหละเพอื่

ประเมนิ เป็นพลงั งานของซากดงั เช่นกลมุ่ แรก พร้อมกบั นำปริมาณนำ้ หนักตวั ทเ่ี ปลี่ยนแปลงมาใช้ในการประเมิน

พลังงานทีใ่ ช้เพ่อื การเพ่ิมน้ำหนักตวั ก่อนทีจ่ ะนำพลงั งานท่ีใชใ้ นการเพ่ิมน้ำหนักตวั มาประเมนิ พลังงานท่ีสูญเสีย

จากความร้อนโดยนำไปหาสว่ นต่างของพลังงานในซากสัตว์เรม่ิ ต้นร่วมกับปริมาณพลังงานท่ีใชป้ ระโยชนไ์ ด้ท่ีสัตว์

กิน (ตารางท่ี 4.4)

ตารางที่ 4.4 ตวั อยา่ งการประเมินพลงั งานทสี่ ญู เสียจากความรอ้ นโดยพิจารณาสว่ นตา่ งของพลังงาน

รายละเอยี ด เริม่ ตน้ (กลุ่มแรก) ส้ินสดุ (กลมุ่ สอง) ส่วนตา่ ง

น้ำหนักมชี วี ิต (g) 2,755 2,823 68

พลังงานรวมของซาก (kcal) 6,570.51 6,732.80 162.29

การกินได้ของพลังงานทใี่ ชป้ ระโยชนไ์ ด้ (kcal) 538.96

พลังงานความรอ้ นท่เี กดิ ข้นึ (kcal) 538.96 – 162.29 376.67

ที่มา : ดัดแปลงจาก Fuller et al. (1983)

4.1.4 การใชป้ ระโยชน์ของพลงั งานที่ใช้ประโยชนไ์ ดใ้ นสตั วเ์ ล้ียง

เมอื่ สัตว์อยใู่ นชว่ งของการอดอาหารหรือไม่ไดร้ ับอาหารจะทำใหป้ ริมาณพลังงานทใี่ ชป้ ระโยชน์ได้

ที่สัตว์ได้รับมีค่าเท่ากับ 0 สมดุลของพลังงานที่ร่างกายสัตว์ต้องการจะอยู่ในช่วงติดลบ (Negative energy

balance) สัตว์จะต้องนำพลังงานสำรองในร่างกายมาใช้เพื่อให้สัตว์สามารถดำรงชพี อยู่ได้เช่นการนำไปใช้เปน็

พลังงานในการทำงานของระบบร่างกาย การนำไปใช้สร้างความอบอุ่นในร่างกายเป็นต้น แต่เมื่อสัตว์ได้รับ

พลังงานท่ใี ชป้ ระโยชน์ไดม้ ากขึ้นจนกระทง่ั สถานะของพลังงานเทา่ กับ 0 พลงั งานทีร่ ะดบั นจี้ ะถือวา่ เป็นพลังงาน

ที่ใช้ในระดับดำรงชีพ แต่ถ้าในกรณีที่สัตว์ได้รับพลังงานที่ใช้ประโยชน์ได้จนสถานะของพลังงานมากกว่า 0

พลังงานเหล่านีจ้ ะถูกนำไปใช้ในการสร้างผลผลิตในตัวสัตว์เชน่ การสร้างน้ำนม การสร้างเนือ้ และการสร้างไข่

เปน็ ตน้

ประสิทธิภาพในการใช้พลังงานมีความสำคัญต่อการประเมินปริมาณพลังงานที่สัตว์ต้องการมาใช้

ประโยชน์อยา่ งมากยกตัวอย่างเช่น โครีดนมได้รับพลังงานที่ใชป้ ระโยชน์ไดเ้ ป็นจำนวน 15 เมกกะแคลอรี่ โดย

146

สัตว์สามารถใช้พลังงานทีใ่ ช้ประโยชน์ได้จริงเท่ากบั 10 เมกกะแคลอรี่ท่ีเหลือจะเปน็ การสญู เสียพลังงานในรปู

ของความร้อน จะสามารถคำนวณสัมประสิทธิ์การใช้ประโยชน์ของพลังงานที่ใช้ประโยชน์ได้เท่ากับ 10/15 =

0.67 โดยพลังงานที่ใช้ประโยชน์ได้จะมีสัมประสิทธิในการเปลี่ยนเป็นความร้อนเท่ากับ 5/15 = 0.33 ซึ่งค่า

สัมประสิทธิในการใช้ประโยชนข์ องพลังงานท่ีใช้ประโยชน์ได้จะถูกเรียกว่าค่า k (k factor) และจะถูกแบ่งเปน็

หน่วยย่อยออกได้เป็นตามตารางที่ 4.5 อย่างไรก็ตามการใช้สัมประสิทธิของพลังงานที่ใช้ประโยชน์ได้ต่อการ

สะสมไขมนั (kf) ซึ่งในอดตี จะใชก้ ับสัตว์ที่ทำการขนุ (Fattening) โดยพจิ ารณาว่าสัตว์ไดร้ ับพลังงานท่ีเกินความ

ต้องการและนำมาสะสมไขมัน แต่ปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนให้ใช้สัมประสิทธิของพลังงานที่ใช้ประโยชน์ได้ตอ่ การ

เจรญิ เติบโต (kg) แทน

ตารางที่ 4.5 ค่าสัมประสิทธิในการใชป้ ระโยชนข์ องพลังงานที่ใช้ประโยชนไ์ ดต้ อ่ การใช้ประโยชนต์ า่ ง ๆ

คา่ สมั ประสทิ ธิ (k factor) การใช้ประโยชน์

km การดำรงชีพ (Maintenance)
kp การสะสมโปรตนี (Protein deposition)
kf การสะสมไขมนั (Fat deposition)
kg การเจรญิ เตบิ โต (Growth)
kl การสรา้ งน้ำนม (Lactation)
ทม่ี า : McDonald et al. (2010)

4.1.4.1 พลงั งานทีใ่ ช้ประโยชนไ์ ด้สำหรับการดำรงชีพ

พลังงานทใ่ี ชใ้ นการดำรงชีพของสตั ว์จะถูกนำมาใช้เพ่ือในดูดซึม การย่อย และการเมแทบอลิซึม

ของสารอาหารที่สัตว์กินเข้าไป รวมถึงการทำงานของร่างกาย ซึ่งในกรณีที่สัตว์ได้รับพลังงานจากอาหารที่ไม่

เพียงพอหรืออดอาหาร ไขมันจะเป็นส่วนที่ถูกนำมาออกซิไดซ์เพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงาน (Fat mobilization)

เพอ่ื ใหส้ ตั วส์ ามารถดำรงชพี ได้เปน็ สว่ นแรก พลงั งานสว่ นนี้จะถกู ใช้เพือ่ เป็นแหลง่ พลงั งานระดับเซลล์ในรูปของ

ATP การเปลี่ยนแปลงของสารอาหารเพื่อไปสู่การสร้าง ATP พบว่าจะไม่มีการสร้างความร้อนทำให้เกิดการ

สญู เสียพลังงานทเ่ี พม่ิ มากขน้ึ เนื่องจากความรอ้ นจะถกู สรา้ งในร่างกายเมอ่ื ตวั สตั ว์มีการบดเค้ียวอาหาร การบีบ

ตัวของลำไส้ การดูดซึมสารอาหารและขนส่งไปตามเนื้อเยื้อ โดยสัมประสิทธิในการเปลี่ยนแปลงพลังงานจาก

ไขมนั ท่สี ะสมอยู่ในรา่ งกายเพ่ือสร้าง ATP จะอยู่ที่ 0.67 ในขณะท่ีการสลายกลโู คสจากไกลโคเจนจะอยู่ท่ี 0.70

เปน็ ต้น

ปริมาณพลังงานที่ใช้ประโยชน์ได้ของกลูโคสที่สัตว์เพ่อื นำไปใช้ในการดำรงชีพนั้นมีสัมประสิทธิที่สูงอยู่

มาก โดยหาสตั วไ์ ด้รบั กลูโคสและไม่มีการสญู สียความร้อนจากการหมกั ยอ่ ยจะมีสัมประสิทธิของการใช้พลังงาน

เพื่อการดำรงชีพอยู่ทีส่ ูงมาก คือ 1.00 แต่ซึ่งถ้าหากหักพลังงานที่สูญเสียจากการที่กลูโคสถูกหมักย่อยภายใน

147

กระเพาะหมัก หรือส่วนของลำไส้และเกิดความร้อนขึ้นจะมีสัมประสิทธิในการใช้พลังงานเพื่อการดำรงชีพอยู่

ในช่วง 0.94

ตารางท่ี 4.6 สัมประสิทธิการใชพ้ ลังงานทใี่ ชป้ ระโยชนไ์ ด้เพือ่ การดำรงชพี (km) ในอาหารชนดิ ต่าง ๆ

ชนิดของสารอาหาร สตั ว์เคย้ี วเอ้ือง สุกร สตั วป์ กี

กลโู คส 0.94 0.95 0.89

แปง้ 0.80 0.88 0.97

ไขมนั - 0.97 0.95

โปรตนี 0.70 0.76 0.84

กรดอะซติ ิก 0.59 - -

กรดโพรพิโอนิก 0.86 - -

กรดบวิ ทีรกิ 0.76 - -

ทม่ี า : McDonald et al. (2010)

จากตารางที่ 4.6 จะพบว่าการใช้ประโยชน์ของพลังงานในไขมันสำหรับการดำรงชีพมีความสามารถใน

การใชป้ ระโยชนไ์ ดใ้ นปรมิ าณทส่ี ูงมาก ในขณะท่โี ปรตีนจะมคี วามสามารถในการใชพ้ ลงั งานเพ่ือการดำรงชีพท่ีต่ำ

วา่ เน่อื งจากการนำโปรตีนมาใช้เป็นพลังงานจะเกิดการสญู เสียความร้อนเกิดขึ้น 20 เปอรเ์ ซ็นต์ ของพลังงานที่

ใช้ประโยชน์ได้ทงั้ หมดเพอ่ื นำไปเปลีย่ นแปลงแอมโมเนียเป็นยูเรียจากการสรา้ งสลายกรดอะมโิ นมาใช้เป็นแหล่ง

ของพลังงาน ในสัตว์เคี้ยวเอื้องนอกเหนือจากพลังงานที่จะได้รับจากสารอาหารที่สัตว์ จะยังสามารถได้รับ

พลงั งานจากกรดไขมันระเหยได้ซง่ึ เป็นผลผลิตจากกระบวนการหมักยอ่ ยโดยจุลินทรยี ์ภายในกระเพาะหมัก ล้วน

แล้วมีความสามารถในการใช้ประโยชน์ของพลังงานเพื่อใช้ในการดำรงชีพที่แตกต่างกัน แต่โดยรวมแล้วมี

ประสิทธิภาพของการใช้ประโยชน์ของพลังงานที่ต่ำกว่ากลูโคสโดยเป็นผลจากการสูญเสียจากการหมักย่อยใน

กระเพาะหมักของตัวสตั วเ์ อง ด้วยประการนจี้ ึงมีความพยายามให้สารอาหารในอาหารสัตว์สามารถถูกดูดซึมได้

โดยตรงในสตั ว์เคีย้ วเอ้อื ง

4.1.4.2 พลงั งานทีใ่ ช้ประโยชนไ์ ด้สำหรับการเจรญิ เติบโต

สว่ นหนึ่งของการเจริญเติบโตของสัตวซ์ ่งึ ทำให้สตั วม์ ปี ริมาณของน้ำหนักตัวท่เี พม่ิ ข้นึ การเพิ่มขึน้

ของน้ำหนักตัวเกิดข้ึนจากทั้งกระบวนการสะสมของไขมนั ในรา่ งกายและเพิ่มปริมาณของกล้ามเนื้อซึ่งเกิดจาก

การสังเคราะห์โปรตีน โดยไขมันในร่างกายจะมีส่วนประกอบหลักเป็นไตรกลเี ซอไรด์ซึง่ เกิดจากการสังเคราะห์

จากกลูโคสและกรดอะซิตกิ ตามหลกั แล้วจะมีสัมประสิทธิในการใชพ้ ลงั งานเหล่านี้มาสร้างไขมนั (kf) อยู่ท่ี 0.83

และจะสูงขึน้ เม่ือนำพลงั งานทีใ่ ช้ประโยชน์ได้ของไขมนั มาใชใ้ นการสังเคราะห์ไขมันแต่โดยรวมแล้วจะอยู่ในสัม

148

ประสทิ ธทิ สี่ ูง แตกต่างจากการนำพลงั งานท่ไี ด้จากโปรตนี มาใช้ในการสงั เคราะหไ์ ขมันเนือ่ งจากมีความจะเป็นท่ี
จะต้องนำพลังงานส่วนหนึง่ ไปสังเคราะห์เปน็ ยูเรียเพ่ือขับถา่ ยออกจากร่างกาย ซึ่งแตกต่างจากการนำพลงั งาน
จากโปรตีนมาใช้ในการสังเคราะห์โปรตีนในร่างกายจะมีสัมประสิทธิของการใช้พลังงานเพื่อก ารสังเคราะห์
โปรตีน (kf) อยู่ในชว่ ง 0.85 โดยพลังงานสว่ นท่ีหายไปจะเป็นนำไปใช้ในการเชื่อมต่อกันระหวา่ งกรดอะมิโนเข้า
ด้วยกัน อย่างไรก็ตามหากมีกรดอะมิโนบางชนิดต้องถูกย่อยสลาย (Deamination) สัมประสิทธิของการใช้
ประโยชนข์ องพลังงานก็จะลดลงไป ในสว่ นของการสงั เคราะหแ์ ลคโตสจากกลูโคสมสี ัมประสทิ ธใิ นการสงั เคราะห์
ไดใ้ นระดบั ท่สี ูงมาก แตใ่ นโคสัตว์ไม่ได้รบั ปริมาณของกลโู คสเป็นหลัก แตจ่ ะได้จากกรดโพรพโิ อนิกเป็นส่วนใหญ่
ซ่งึ จะต้องมกี ารสงั เคราะห์กลโู คสจากกรดโพรพโิ อนิกเกิดข้ึนโดยวิถีกลูโคนโี อเจเนซิส (Gluconeogenesis) เป็น
เหตุให้ค่าสัมประสิทธิของการสังเคราะห์แลคโตสมีระดับที่ต่ำ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วสัมประสิทธิชองการใช้
พลังงานนั้นส่วนใหญ่จะมีค่าต่ำกว่าการคำนวณทางทฤษฎีอย่างมาก โดยการเจริญเติบโตจะมีการสังเคราะห์
โปรตีนในระดับที่สูงกว่าการสะสมไขมันอย่างมากและในข้างต้นที่ได้กล่าวว่าสัมประสิทธิการใช้พลังงานจาก
โปรตีนมีค่าสูงถึง 0.85 แต่ในความเป็นจริงแล้วสัมประสิทธิของการใช้พลังงานจะอยู่ที่ 0.50 เนื่องจากโปรตีน
นอกเหนอื จากทจ่ี ะต้องสงั เคราะห์แล้ว ยังมีความจำเป็นที่จะตอ้ งถูกยอ่ ยก่อนท่ีจะสังเคราะห์เป็นโปรตีนอีกคร้ัง
การทำงานหลายข้นั ตอนน้ีเองจึงทำให้ตน้ ทุนของการเปลย่ี นพลังงานจากโปรตนี เพ่ือสร้างกล้ามเน้อื มสี มั ประสิทธิ
ทต่ี ่ำเป็นตน้

โดยสมั ประสิทธิของการใชพ้ ลงั งานในการดำรงชีพเพ่ือการเจรญิ เตบิ โตของสุกร (kg) จะพบวา่ อยู่ในช่วง
0.70 ในกรณีที่ให้อาหารในรูปแบบของการผสมตามสัดส่วน แต่เมื่อแยกตามชนิดของวัตถุดิบจะพบว่ากากถ่ัว
เหลืองจะสามารถใช้เป็นพลังงานเพื่อการเจริญเติบโตได้เพียงร้อยละ 48 ซึ่งต่ำกว่าข้าวโพดและข้าวบาร์เลย์ท่ี
สามารถนำพลงั งานท่ีใช้ประโยชนไ์ ด้มาใช้เพอ่ื การเจรญิ เติบโตได้ถงึ 60 และ 62 เปอร์เซน็ ต์ตามลำดับ (ตารางท่ี
4.7) ในส่วนของพลังงานงานจากอาหารที่สามารถนำไปใช้ในการสะสมของไขมันได้ดีที่สุดในสุกรคือการใช้
พลังงานจากไขมัน ตามด้วยคาร์โบไฮเดรต และโปรตีนตามลำดับ โดยในสัตว์ปีกมีความสามารถในการใช้
ประโยชน์จากพลังงานท่ีใช้ประโยชน์ได้ที่คล้ายคลึงกับสุกรคืออยู่ในช่วง 60 - 80 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 70
เปอรเ์ ซ็นต์ของพลงั งานทีใ่ ช้ประโยชนไ์ ด้

149

ตารางที่ 4.7 สมั ประสิทธกิ ารใช้พลังงานที่ใช้ประโยชนไ์ ด้เพอื่ การเจริญเตบิ โต (kg) ในสุกร

รูปท่พี ลงั งานถูกนำไปสังเคราะห์ แหลง่ ของพลงั งาน สัมประสิทธิการใช้พลงั งาน

ไขมนั 0.86

ไขมัน (kf) คารโ์ บไฮเดรต 0.76
โปรตีน 0.66

กรดไขมันระเหยได้ 0.65 – 0.71

โปรตนี (kp) กรดอะมโิ น 0.45 – 0.55

อาหารผสมทัว่ ไป 0.71

ไขมนั และโปรตีน (kg) ข้าวโพด 0.62

กากถวั่ เหลือง 0.48

ทมี่ า : McDonald et al. (2010)

ในส่วนของสัตว์เคี้ยวเอื้องจะมีสัมประสิทธิของการนำพลังงานที่ใช้ประโยชน์ได้มาใช้เพื่อการ

เจริญเติบโตท่ีตำ่ กว่าสุกรและมีความแปรปรวนสูง โดยกรณีถ้าสัตว์เคี้ยวเอื้องสามารถได้รบั อาหารเช่นเดียวกัน

สุกร (อาหารข้นเพียงอย่างเดียว) จะมีสัมประสิทธิการใช้พลังงานที่ใช้ประโยชน์ได้เพื่อการเจริญเติบโต (kg)
ประมาณ 0.62 ซึ่งจะนอ้ ยกว่าสุกรประมาณ 10 เปอรเ์ ซน็ ต์ แต่เมอื่ สัตว์เคี้ยวเอื้องได้รับอาหารหยาบที่มีคุณภาพ

ดี คา่ kg จะเท่ากับ 0.50 ซึ่งจะต่ำถงึ 0.20 เม่อื สตั ว์เคี้ยวเอือ้ งน้ันได้รับอาหารหยาบคุณภาพตำ่ เชน่ ฟางข้าว เป็น
ต้น (ตารางที่ 4.8) ส่งิ ทเ่ี กดิ ข้นึ ในสัตว์เคย้ี วเอ้ืองที่ทำให้มีสัมประสิทธใิ นการใชพ้ ลังงานที่ต่ำคือการเสยี พลงั งานใน

รปู ของความร้อนในกระบวนการหมกั ยอ่ ยในกระเพาะหมกั ของสตั ว์ อีกทง้ั พลงั งานบางส่วนจะถูกแบ่งส่วนให้อยู่

ในรปู ของพลังงานจากกรดไขมันระเหยได้ซึ่งจะดูดซมึ ผ่านผนังรูเมนเพอื่ ใหพ้ ลังงาน จงึ ทำใหป้ ริมาณพลังงงานท่ี

ได้จากไขมัน กรดอะมิโน (จากอาหารและจุลินทรีย์) และคาร์โบไฮเดรตที่ไหลผ่านไปยังกระเพาะส่วนล่างมี

ปริมาณที่ตำ่ โดยปริมาณของกรดไขมันระเหยไดช้ นิดตา่ ง ๆ จะแปรผันตามสดั ส่วนของอาหารที่สัตว์เค้ียวเอ้อื ง

ได้รับเช่น กรณีที่สัตว์เคี้ยวเอื้องได้รับอาหารหยาบปริมาณที่สูงจะเกิดการผลิตกรดอะซิติกในกระเพาะหมักใน

สัดส่วนที่สูง แต่ถ้าสัตว์เคี้ยวเอื้องได้รับอาหารข้นที่สูงจะทำให้มีสัดส่วนของกรดโพรพิโอนิกที่เพิ่มขึ้นจึงส่งผล

ให้สัมประสิทธิของการใช้พลงั งานเปล่ียนแปลงไป หากสตั วไ์ ด้รบั อาหารหยาบปริมาณสงู จะผลิตกรดอะซิติกข้ึน

ทำให้สัมประสิทธิการใช้พลังงานของกรดไขมนั ระเหยได้ลดลง แต่ถ้าหากสัตว์ได้รับอาหารข้นจะผลิตกรดโพรพิ

โอนิกจะทำใหส้ ัมประสิทธิการใชพ้ ลังงานของกรดไขมนั ระเหยไดเ้ พ่ิมข้ึน

150

ตารางท่ี 4.8 สัมประสิทธิการใช้พลงั งานทใี่ ชป้ ระโยชน์ได้เพ่ือการเจรญิ เติบโต (kg) ในสัตว์เคี้ยวเออ้ื ง

รายการ kg รายการ kg

กลูโคส 0.54 กรดอะซติ กิ 0.33 - 0.66

ซโู ครส 0.58 กรดโพรพโิ อนกิ 0.56

แป้ง 0.64 กรดบิวทีรกิ 0.62

เซลลูโลส 0.61 กรดแลคตกิ 0.75

ขา้ วโพด 0.62 หญา้ ออ่ น 0.52

ข้าวบาร์เลย์ 0.60 หญ้าแห้ง 0.30

ถ่ัวเหลอื ง 0.48 ฟางขา้ ว 0.24

ที่มา : McDonald et al. (2010)

นอกเหนือจากที่จะสูญเสียพลังงานในรูปของความร้อนที่เกิดขึ้นจากการหมกั ย่อย และการเปลี่ยนรูป

ของสารอาหารไปอยู่ในรูปของกรดไขมันระเหยได้แล้ว ยงั มอี กี ปจั จัยท่ีส่งผลให้สมั ประสิทธิของการใช้พลังงานที่

แตกต่างกันคือพลังงานทีใ่ ช้เพื่อการทำงานของร่างกายโดยเฉพาะอยา่ งยิ่งการเคี้ยวเอือ้ ง ในสัตว์ที่ได้รับอาหาร

หยาบปริมาณที่สูงนอกที่ทำให้ค่า kg ที่ต่ำจากปริมาณของกรดไขมันระเหยได้ที่เกิดขึ้นแล้วยังเป็นผลจากการ
เค้ียวเอ้อื งทม่ี ากขนึ้ และการบีบตัวของระบบทางเดินอาหารเพอื่ ให้อาหารเกดิ การไหลผ่านจนถงึ การขับถา่ ย การ

ทำงานเหล่านี้ล้วนแล้วทำให้เกิดความการสูญเสียความร้อนเกิดขึ้นทั้งสิ้นจึงทำให้เมื่อสัตว์ได้รับอาหารหยาบ

คุณภาพไมด่ จี งึ มีสัมประสทิ ธขิ องการใชพ้ ลงั งานท่ตี ำ่ ลง แต่ถ้าอาหารหยาบคุณภาพดีมกี ารย่อยที่เรว็ ข้นึ หรือการ

ลดขนาดชน้ิ ของอาหารหยาบและการอัดเม็ดก็จะสามารถลดการสูญเสียพลังงานจากความร้อนที่เกดิ ขึ้นโดยการ

ทำงานของร่างกายได้ อย่างไรกต็ ามแม้ว่าอาหารหยาบจะสง่ ผลให้ค่าสัมประสิทธิของการใช้พลังงานท่ีลดลงแต่

ตน้ ทุนทางอาหารสัตวม์ คี วามตำ่ จึงทำให้มคี วามคุม้ ทนุ ในการใชอ้ าหารหยาบเล้ยี งสัตว์และกย็ งั มีความพยายามท่ี

จะค้นคว้าหาวิธีในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์จากอาหารหยาบให้มากที่สุด พร้อมกับทำการเสริม

อาหารทอ่ี ยใู่ นรูปของการไหลผา่ นเช่นโปรตนี หรือคาร์โบไฮเดรตเพื่อให้สัตว์ได้รบั พลังงานโดยตรงมากขึ้น

4.1.4.3 พลังงานท่ใี ช้ประโยชนไ์ ดส้ ำหรับการสรา้ งนำ้ นมและไข่

พลงั งานนอกเหนอื จากที่สามารถนำไปใชใ้ นการเจริญเติบโตท่ีทำให้นำ้ หนกั ตัวของสัตว์มีปริมาณ

ทีส่ ูงขึ้นแล้ว ในชว่ งของสตั ว์ในทุกชนิดจะมีช่วงที่เกี่ยวขอ้ งกับการให้ผลผลิตที่เกี่ยวข้องกับการขยายพันธ์ุน่ันคือ

การสรา้ งน้ำนมเพ่ือเลี้ยงลกู หรอื การสร้างไข่ในไก่ไข่ โดยในตวั สัตวจ์ ะให้ความสำคญั กับการนำพลังงานไปใช้ใน

การสร้างนมและสรา้ งไข่เป็นอย่างมากจนอาจดูคล้ายกับว่ารา่ งกายของสัตว์ให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก เช่น

151

การสร้างนำ้ นมและการสรา้ งไข่มักจะมีผลตอ่ การสูญเสยี องค์ประกอบของร่างกายเช่นไขมนั หรือโปรตีนเพื่อนำ
สิ่งที่สะสมเหล่านี้มาใช้ในการเป็นแหล่งพลังงานของร่างกาย จึงส่งผลให้ปริมาณน้ำหนักตัวของสัตว์ลดลงเม่ือ
สถานะพลังงานของสัตว์เป็นลบ สำหรับสัมประสิทธิในการใช้ประโยชน์ของพลังงานที่ใช้ประโยชน์ได้เพื่อการ
สร้างน้ำนม (kl) โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วง 0.55 – 0.65 ในอาหารของสัตวท์ ีม่ ีพลังงานทใ่ี ช้ประโยชนไ์ ด้อยูใ่ นชว่ ง
1.68 -3.10 เมกกะแคลอรี่ต่อกิโลกรัมวัตถแุ หง้ ซึง่ ใกลเ้ คียงกับค่าสัมประสิทธิในการใช้ประโยชน์ของพลังงานท่ี
ใช้ประโยชน์ไดเ้ พื่อการเจริญเติบโตในสัตว์เคี้ยวเอื้อง อีกประการสำคัญในสัตว์ที่ให้นมคือสามารถสลายพลังงาน
ท่ถี ูกสำรองในร่างกายมาใช้ประโยชน์ในการสร้างน้ำนมโดยจะมีสมั ประสิทธใิ นการใช้พลังงานเพื่อสร้างน้ำนมอยู่
ท่ี 0.84 โดยแหลง่ พลังงานสำรองจะเกิดขนึ้ ในช่วงปลายของการใหน้ มของครง้ั ก่อนและจะถกู นำมาใช้ในการเป็น
แหล่งพลังงานสำรองในช่วงต้นของการให้นมครั้งต่อไปซึ่งสามารถสังเกตุจากโครีดนมในช่วงต้นมักจะมีสภ าพ
ร่างกายที่ผอม แต่เมื่อถึงระยะปลายจะมีสภาพร่างกายที่อ้วนขึ้น สำหรับเหตุที่ทำให้สัมประสิทธิของการใช้
พลังงานในสัตว์ที่น้ำนมมากกวา่ การใช้เพือ่ การเจริญเตบิ โตเพราะในสารอาหารที่พบในน้ำนมส่วนใหญ่จะอยู่ใน
รูปอย่างง่ายการใช้พลังงานเพื่อการออกซิไดซ์จะมีต่ำกว่าประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ โดยในน้ำนมจะพบน้ำตาล
แลคโตสเป็นแหลง่ ของคารโ์ บไฮเดรต กรดไขมันสายส้นั สายยาว และโปรตนี ในรูปของเคซีน ซงึ จะต่างจากการ
สังเคราะห์โปรตีนในร่างกายทีม่ ีความซับซอ้ นกว่าอยา่ งมาก ดังน้ันอาจนำค่าสัมประสิทธิในการใช้ประโยชน์ของ
พลังงานทีใ่ ชป้ ระโยชน์ได้เพอื่ การเจรญิ เติบโตสำหรับสกุ รมาใช้ในโคให้นมกไ็ ด้เพราะค่าจะอยู่ในช่วง 0.65 – 0.70
ซงึ่ มีความใกล้เคยี งอย่างมาก

สำหรับสัมประสิทธิในการใช้ประโยชน์ของพลังงานทีใ่ ช้ประโยชน์ได้เพื่อการไขใ่ นไก่ไข่ค่าจะอยู่ในช่วง
0.60 – 0.80 โดยแบ่งเป็นการนำไปสร้างโปรตีนในไข่ (kp) 0.45 – 0.50 และเป็นการสร้างไขมัน (kf) 0.75 –
0.80 สำหรับการเพิ่มน้ำหนักตัวของไก่ไข่จะมีสัมประสิทธิของพลังงานเท่ากับ 0.75 – 0.80 ซึ่งเป็นค่าที่สงู มาก
นอกเหนือจากนั้นสำหรับการประเมินสัมประสิทธิการใช้ประโยชน์ของพลังงานสุทธิในอาหารนั้นสามารถ
พิจารณาจากปริมาณพลังงานทีใ่ ช้ประโยชน์ได้หากมีปริมาณพลังงานที่สงู โดยส่วนใหญ่จะพบว่ามีความสามารถ
ในการย่อยงา่ ยจึงทำให้มกี ารสูญเสียพลังงานท่ีถูกแบง่ สว่ นไปใช้ในการย่อยอาหารท่ีต่ำกว่าอาหารที่ย่อยยากท่ีมี
พลงั งานต่ำ

4.1.5 ระบบของพลงั งานในสัตว์เล้ยี ง
ความสำคัญของการเลี้ยงสัตว์เป็นที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการจัดการด้านอาหารมีความสำคัญอย่างมาก

เนื่องจากเป็นต้นทุนหลักของการผลิตปศุสัตว์เชิงพาณิชย์ ซึ่งหลักการในการให้อาหารสัตว์หรือประกอบสูตร
อาหารสัตว์มีอยู่ 2 ปัจจัยสำคัญซึง่ ไดแ้ กก่ ารเลี้ยงสัตว์ผูเ้ ลี้ยงมีความจำเป็นที่จะต้องเข้าใจความต้องการโภชนะ
ของสัตว์ และสามารถเลือกใช้อาหารสัตว์ได้ตรงความตอ้ งการของสัตว์เลีย้ ง หากมีความเข้าใจต่อปจั จัยสำคญั

152

เหล่านี้จะสามารถจัดการอาหารให้มีความสมดุลทั้งปริมาณและความต้องการได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้
ความสำคญั ตอ่ พลงั งานทสี่ ัตว์ต้องการและสัตวไ์ ดร้ บั โภชนะสำคัญทถ่ี ูกนำมาใชเ้ ป็นแหลง่ พลงั งานในอาหารสัตว์
เป็นหลักจะมาจากคาร์โบไฮเดรตซึง่ จะใชเ้ ปน็ ปริมาณมากในการประกอบสตู รอาหาร หากประกอบสูตรอาหาร
และพบว่ามีพลังงานไม่เพียงพอต่อสัตวจ์ ะส่งผลกระทบต่อสัตว์อยา่ งมากอีกทั้งการแกไ้ ขปัญหาดังกล่าวจะต้อง
พจิ ารณาการเลอื กใช้วตั ถุดบิ ชนดิ ใหม่เพ่อื ให้มีระดบั ของพลังงานในอาหารทีเ่ พยี งพอ ซ่ึงแตกตา่ งจากแร่ธาตุและ
วติ ามินหากปริมาณไมเ่ พียงพอต่อความต้องการจะสามารถเพ่ิมปรมิ าณความเข้มข้นในอาหารเพือ่ ให้เพียงพอต่อ
ความต้องการสัตว์ได้ อีกทงั้ การเปลย่ี นแปลงของพลงั งานจะส่งผลกระทบตอ่ สัตวอ์ ย่างมากยกตวั อย่างเชน่ ในไก่
เนื้อที่มีการเจริญเติบโตเฉลี่ยต่อวัน 40 กรัม หากทำการลดพลังงานในอาหารลงจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตที่
ลดลงอย่างรวดเร็วแต่การใหพ้ ลงั งานที่เกินความต้องการมกั จะส่งผลต่อการเจริญเติบโตเพยี งเล็กน้อย อีกท้ังยัง
ขาดความค้มุ ทนุ ทางเศรษฐศาสตรน์ อกเหนือจากนั้นสัตวย์ ังต้องการปริมาณโปรตนี ในอาหารท่ีสูงข้นึ ด้วย ดังน้ัน
พลังงานจงึ มคี วามสำคัญต่อการเลย้ี งสัตว์อย่างมากจึงเป็นเหตุให้มกี ารพฒั นาระบบพลังงานเพื่อให้ผู้ใช้เล้ียงสัตว์
สามารถนำมาใชป้ ระโยชน์ไดอ้ ย่างงา่ ยไมซ่ ับซ้อน เปน็ ต้น

ระบบของพลังงานมีความสำคัญต่อการนำมาใช้เพื่อการประเมินสมรรถภาพของผลผลิตจากการให้
อาหารที่ระดับต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น โคขุนมีการเจริญเติบโต 1 กิโลกรัมต่อวันจะใช้พลังงานสุทธิ 5.5 เมกกะ
แคลอร่ี หากทำการให้อาหารโดยโคขุนได้รับพลังงานสุทธิเพื่อการเจริญเติบโต 2.75 เมกกะแคลอรี่ โคขุนจะมี
การเจริญเติบโตท่ี 0.5 กิโลกรมั ต่อวนั จากตัวอยา่ งน้รี ะบบของพลงั งานทีใ่ ช้คอื ระบบพลงั งานสุทธิ (Net energy
system) อยา่ งไรก็ตามพลังงานสทุ ธิจะมีความแปรปรวนในสัตวอ์ ย่างมากขน้ึ อยูก่ บั สถานะของชนดิ สัตว์เชน่ เพ่อื
การดำรงชีพ การเจริญเติบโต หรือการใหน้ ้ำนม รวมถึงประเภทของอาหารที่ใช้หากมีความสามารถในการย่อย
และสิ้นเปลืองพลังงานทีเ่ กิดขึ้นจากความรอ้ นล้วนแล้วแต่ทำใหเ้ กิดความแปรปรวนของพลังงานสุทธิ จึงมีการ
พยายามนำระบบพลังงานอืน่ ๆ มาใช้แทนเพื่อสามารถใชป้ ระโยชน์ได้ง่ายขึ้นและมีผลใกล้เคยี งท่ีสุดเช่นการใช้
ในรูปของพลงั งานท่ีใชป้ ระโยชน์ได้ (UK metabolizable energy) หรอื การใชใ้ นรูปของโภชนะท้งั หมดท่ีย่อยได้
(Total digestible nutrient ; TDN) เป็นต้น ซึ่งการใชง้ านระบบพลังงานเหลา่ นจ้ี ะมคี วามเหมาะสมไปในแต่ละ
พน้ื ทอ่ี ีกดว้ ย ดงั น้ันในที่น่จี ะกลา่ วถงึ ระบบพลังงานท่นี ยิ มใชใ้ นประเทศไทย

4.1.5.1 ระบบพลงั งานสำหรบั สตั ว์เคย้ี วเออื้ ง
ระบบพลังงานท่ีนิยมใช้โคเนื้อและโคนมในประเทศไทยคอื โภชนะทั้งหมดที่ย่อยได้ (Total digestible

nutrient ; TDN) ซง่ึ เปน็ ระบบทีพ่ ัฒนาขน้ึ โดยประเทศสหรัฐอเมริกาโดยสถาบัน National research council
(NRC) เป็นระยะเวลาหลายปีมาแล้ว ซึ่งโภชนะทั้งหมดที่ย่อยได้มีที่มาจากการนำปริมาณโภชนะที่ย่อยได้ของ
โภชนะในอาหารสัตวจ์ ำนวน 100 กโิ ลกรัม โดยโภชนะจะประกอบไปดว้ ย โปรตีนหยาบ (Crude protein ; CP)

153

เย่ือใยที่ไมล่ ะลายในสารเปน็ กลาง (Neutral detergent fiber ; NDF) คาร์โบไฮเดรตท่ีไม่ใช่เยอ่ื ใย (Non-fiber
carbohydrate ; NFC) และไขมนั รวม (Ether extract ; EE) โดยไขมันรวมจะต้องนำมาคูณดว้ ย 2.25 เนือ่ งจาก
ไขมันมีพลังงานมากกว่าโภชนะอื่นอยู่ 2.25 เท่า อย่างไรก็ตามโภชนะที่ย่อยได้ไม่ใช่หน่วยของพลังงานแต่
สามารถเปลี่ยนหน่วยให้อยู่ในรูปของพลังงานที่ใช้ประโยชน์ได้ โดยโภชนะทั้งหมดที่ย่อยได้ 1 กิโลกรัม จะมี
พลงั งานท่ยี ่อยได้เท่ากับ 4.408 เมกกะแคลอรี่ กอ่ นที่จะแปลงใหอ้ ยู่ในรูปของพลงั งานทใ่ี ช้ประโยชน์ได้โดยการ
นำพลงั งานท่ยี อ่ ยได้คณู ด้วย 0.82 (NRC, 1996)

1 kgTDN = 4.408 Mcal DE
ME (Mcal/kg) = 0.82 x DE
นอกเหนือจากนั้นยังสามารถนำพลังงานที่ใช้ประโยชนไ์ ดน้ ี้มาประเมนิ เป็นพลงั งานสทุ ธิโดยสามารถแยก
ระดบั พลงั งานสทุ ธิไดต้ ามสถานนะของสตั วเ์ ชน่ พลงั งานสุทธิเพื่อการดำรงชีพ (Net energy for maintenance;
NEM) และพลังงานสุทธิเพื่อการเจริญเติบโต (Net energy for growth ; NEG) ตามสมการของ Garrett,
(1980)
NEM (Mcal/kg) = 1.37ME – 0.138ME2+ 0.0105ME3 - 1.22
NEG (Mcal/kg) = 1.42ME – 0.174ME2+ 0.0122ME3 – 1.65
นอกเหนือจากระบบพลังงานที่พัฒนาโดย NRC ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศไทยยังมีระบบ
พลังงานที่ใช้ประโยชน์ได้ที่พัฒนาโดยประเทศสหราชอาณาจักร (The UK metabolizable energy system)
ซึ่งถูกพัฒนาสถาบัน Agricultural research council (ARC) โดยระบบพลังงานนี้จะรายงานค่าพลังงานในรปู
ของพลังงานทีใ่ ช้ประโยชนไ์ ดแ้ ละสามารถเปลย่ี นแปลงลำดับของพลังงานใหอ้ ยู่ในรปู ของพลงั งานสทุ ธิไดโ้ ดยการ
ใช้สัมประสิทธขิ องการใช้ประโยชน์ของพลังงานที่ใชป้ ระโยชน์ได้ (k) ตามที่ได้กลา่ วในข้างต้นซึ่งจะแบ่งออกไป
ตามสถานะของตัวสัตว์เช่น การดำรงชีพ การเจริญเติบโต การสร้างน้ำนม เป็นต้น และนิยมใช้ร่วมกับหน่วย
พลังงานจูล ยกตัวอยา่ งเช่นในอาหารพบวา่ มพี ลงั งานที่ใช้ประโยชนไ์ ด้ 10 เมกกะจูล ซ่งึ มใี ชส้ มั ประสิทธิของการ
ใช้ประโยชน์ของพลังงานที่ใช้ประโยชน์ไดส้ ำหรับการเจริญเติบโตเท่ากบั 0.60 ดังนั้นจะมพี ลงั งานสุทธิเพ่อื การ
เจริญเติบโตเท่ากับ 6 เมกกะจูลเป็นต้น แต่การใช้ประโยชน์มีความยากกว่าการใช้โภชนะทั้งหมดที่ย่อยได้ที่
สามารถนำองค์ประกอบทางเคมีมาใช้ประเมินได้เลย แต่ไม่จำเป็นต้องหาสัมประสิทธิของการใช้ประโยชน์ของ
พลัง ง าน ที่ใ ช้ ประ โ ย ชน ์ไ ด้ เ ช่น ระ บ บพ ล ัง ง าน ท่ี ใ ช้ ประ โย ชน ์ไ ด้ ท ี่พ ัฒ น าโ ดย ประ เ ท ศ สหร า ชอ า ณ า จ ั ก ร
นอกเหนือจากนี้จะมีระบบพลังงานของประเทศออสเตรเลียซึ่งพัฒนาโดย The Australian Standing
Committee on Agriculture’s feeding standards for ruminant (CSIRO) ซ่งึ พัฒนาตอ่ จาก ARC และยังมี
ระบบพลังงานของประเทศอน่ื ๆ เช่นเนเธอรแ์ ลนด์ เบลเยยี ม ฝร่งั เศส เยอรมัน และอ่นื ๆ อีกมากมายแตไ่ ม่นยิ ม

154

ใชใ้ นประเทศไทย สำหรบั ประเทศไทยเองได้พยายามมกี ารพัฒนาระบบพลังงานมาหลายคร้ังแตย่ งั ไม่ไดร้ ับความ
นิยม

4.1.5.2 ระบบพลงั งานสำหรับสุกรและสตั วป์ ีก
ระบบพลังงานที่ใช้สำหรับสุกรและสัตว์ปีกจะมีความหลากหลายน้อยกว่าสัตว์เคี้ยวเอื้องเป็น

อย่างมากเนื่องจากสัตว์ท้ังสองชนดิ มคี วามสามารถในการใช้เยือ่ ใยในปริมาณที่จำกัดจึงทำให้มคี วามแปรปรวน
ของระดับพลังงานในอาหารท่นี อ้ ยกวา่ สัตวเ์ ค้ียวเอือ้ ง โดยระบบพลังงานทใี่ ชจ้ ะนยิ มรายงานในรูปของพลงั งานท่ี
ใช้ประโยชน์ได้มากกว่าการรายงานพลังงานสุทธิ โดยพลังงานที่ใช้ประโยชน์ได้จะเป็น 96 เปอร์เซ็นต์ของ
พลังงานที่ย่อยได้ (ME = 0.96DE) ซึ่งระบบพลังงานสำหรับสุกรที่ใช้ในประเทศไทยก็มีคงามคล้ายคลึงกับสตั ว์
เคี้ยวเอื้องคือเป็นระบบพลังงานที่ถูกพัฒนาโดย NRC ประเทศสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตามรูปแบบของการใช้
ประโยชน์นั้นมีความใกล้เคียงกับระบบ ARC ซึ่งพัฒนาโดยสหราชอาณาจักรคือการใช้สัมประสิทธิในการใช้
ประโยชน์ของพลงั งานที่ใช้ประโยชน์ได้ แต่ระบบของ ARC จะนิยมใช้ในรูปแบบของพลังงานที่ย่อยได้มากกวา่
อย่างไรกต็ ามสามารถคำนวณกลบั ไปมาสูก่ ันได้เนอ่ื งจากมีความใกล้เคียงกนั อย่างมาก

ส่วนในสัตว์ปีกระบบพลังงานจะถูกพัฒนาโดยประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นส่วนใหญ่ โดยจะรายงานค่า
พลังงานในลำดับพลงั งานที่ใช้ประโยชนไ์ ด้เป็นหลักเนื่องจากสามารถวดั ผลไดง้ ่ายจากที่สตั ว์ปีกมีการขับถ่ายมูล
รว่ มกับปัสสาวะ และมีการพัฒนาระบบพลังงานให้รายงานในแบบพลังงานท่ีใชป้ ระโยชน์ได้ท่ีแท้จริง (TME) ซึ่ง
จะเป็นค่าพลังงานที่ได้หักการสูญเสียไนโตรเจนจาก Endogenous protein ออกไปแล้ว ส่วนการรายงานใน
แบบพลังงานสทุ ธิในสัตวป์ กี เปน็ ทไี่ ม่นิยมในการใชม้ ากนัก

จากที่ได้กล่าวถึงระบบพลังงานซึ่งมีระบบพลังงานที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย NRC และ ARC ซึ่งระบบที่ถูก
พัฒนาโดย NRC เป็นที่นิยมใช้ในประเทศไทยรวมถึงหลายประเทศในโลกเป็นอย่างมาก แต่ก็มีการแย้งโดย
นักวิชาการว่าสัตว์บางชนิดเช่นสุกรได้ถูกนำเข้าจากประเทศในแทบสหราชอาณาจักรจึงควรหันมาใช้ ARC
มากกว่า แต่ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันมากจึงเปน็ เหตุใหไ้ มส่ ามารถใช้ได้แม่นยำไปทั้งหมด จึงเป็น
เหตใุ ห้ยังคงใชร้ ะบบทีพ่ ัฒนาโดย NRC จนกว่าประเทศไทยจะมรี ะบบพลงั งานเป็นของตนเอง

4.2 ปริมาณการกินไดข้ องสัตว์เล้ยี ง
ปริมาณการกินอาหารของสตั วม์ ีความสำคญั อย่างมากตอ่ การเล้ียงสัตว์ เพราะเป็นปัจจัยสำคัญท่ีใช้

ในการพิจารณาความเขม้ ข้นของโภชนะในอาหารสำหรบั สตั ว์ นอกเหนือจากนนั้ การทำให้สตั ว์มคี วามสามารถใน
การกินอาหารท่ีเพิ่มมากขนึ้ ไดก้ ็จะส่งผลให้สตั ว์นั้นมีผลผลติ สงู ขึ้นตามปริมาณอาหารท่ีกนิ ได้ด้วยไม่วา่ จะเป็นการ
ผลิตนำ้ นม การสรา้ งน้ำหนกั ตัว หรือการสร้างไข่ เปน็ ต้น แตใ่ นกรณที ่ีสัตว์ไม่สามารถท่ีจะกนิ อาหารได้ หรือกิน
ได้น้อยผลผลิตก็จะไมเ่ ป็นไปตามที่คาดหวัง และส่งผลให้สัตว์ได้รับสารอาหารไมเ่ พียงพอส่งผลต่อสัตว์ในระยะ

155

ยาวอีกดว้ ย แต่การกินได้ท่ีสูงไมส่ ่งผลดเี สมอไปเชน่ นกั ศกึ ษาไม่เข้าใจความสามารถในการกินอาหารของสุกรขุน
จึงให้อาหารแกส่ ุกรขนุ ท่ีเตม็ ท่จี ึงสง่ ผลให้สกุ รมีการสะสมไขมนั หุ้มซากที่สงู ขึน้ และเปน็ ท่ไี มพ่ งึ ประสงค์ของผู้รับ
ซ้อื ทำให้มีการขายได้ในราคาที่ต่ำกว่ามาตรฐาน

ปริมาณการกินอาหารของสัตว์เลี้ยงมีปัจจัยหลายอย่างที่มีความเกี่ยวข้องอย่างมาก เช่น ความน่ากิน
ของอาหาร (Palatability) ระยะเวลาที่ใช้ในการย่อยอาหาร (Retention time) และความสามารถในการหา
อาหารในสัตวท์ ี่ปลอ่ ยแปลง ปจั จยั เหลา่ นจี้ ะถกู จดั เป็นปัจจยั ที่สง่ ผลตอ่ การกินได้ของสตั ว์ระยะสนั้ (Short term
effects) เน่อื งจากเป็นส่งิ ที่ส่งผลกระทบต่อการกนิ ได้ในระยะเวลาอันสน้ั ๆ เช่น เมอื่ อาหารมีการย่อยที่ยากจะ
ส่งผลใหอ้ าหารเหลา่ นน้ั มรี ะยะเวลาการยอ่ ยท่นี านในระบบทางเดนิ อาหารจงึ สง่ ผลให้สัตว์มีการกินไดข้ องอาหาร
ที่ลดลง หรือความน่ากินของอาหารที่ต่ำสัตว์จึงมีการกินได้ที่ลดลง รวมไปถึงเมื่อสัตว์ทำการปล่อยแปลงในทุ่ง
หญา้ ในช่วงแรก หญ้าจะมีปรมิ าณท่มี ากและหาได้ง่าย สัตวจ์ ะมีความสามารถในการแทะเล็ม (Grazing) ได้มาก
แต่ในระยะเวลาทผ่ี า่ นไปปริมาณของหญ้าในทุ่งหญ้าจะมีปริมาณทีล่ ดลง สัตว์มคี วามสามารถในการหาอาหารได้
ยากขึ้น จึงทำให้มีการกินได้ที่ลดลง แต่เมื่อสัตว์ถูกปล่อยในแปลงหญ้าที่มีปริมาณมากการกินได้ก็จะกลับมา
สูงขึ้น หรือการอาหารที่มีความสามารถในการย่อยได้ง่ายสัตว์ก็จะสามารถกินอาหารได้เพิ่มขึ้น ดังนั้นปัจจัย
เหล่านีจ้ ึงเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการกนิ ได้ในระยะเวลาท่ีสั้น แตข่ ณะท่สี ัตว์บางชนิดเชน่ สัตว์ที่โตเต็มวัยและนำมา
ขุนปริมาณการกนิ ได้ของอาหารจะลดลงซึ่งเปน็ เช่นนี้ตลอดจนชั่วอายุเนื่องจากการทำงานของฮอร์โมนเลปติน
(Leptin) ทถี่ ูกผลติ จากไขมนั ทำให้สัตวม์ ีการกินไดท้ ี่ต่ำลง หรอื ในสตั วท์ ใ่ี ห้ผลผลิตเช่นกำลังต้งั ท้องก็จะมีการกิน
ไดข้ องอาหารท่ีสูงข้ึนจนกว่าสัตว์จะคลอดลูก หรือในสตั วท์ ี่มีสายพนั ธ์ุขนาดใหญ่จะมีปริมาณการกินได้ท่ีสูงกว่า
สัตว์พันธุ์เล็ก ปัจจัยเหล่านี้มักจะส่งผลในระยะยาว (Long term effects) แต่โดยรวมแล้วการกินได้ของสัตว์
เลี้ยงจะมผี ลมาจากปัจจยั หลักซึง่ ไดแ้ ก่ ความตอ้ งการโภชนะ ความเข้มข้นของสารอาหาร และฮอร์โมนหรือการ
เมแทบอไลต์ที่ถูกสงั่ การโดยระบบประสาทเพื่อให้สตั ว์กนิ อาหารและหยดุ กินอาหาร เป็นตน้

4.2.1 การควบคุมการกนิ ได้ของสัตวก์ ระเพาะเดยี่ ว
การกินไดข้ องสัตว์เลีย้ งลกู ด้วยนมและสัตว์ปีกจะถกู ควบคมุ ท่รี ะบบประสาทสว่ นกลางบริเวณไฮโพทา

ลามัส (Hypothalamus) โดยจะทำหน้าที่แบ่งออกเปน็ 2 กิจกรรมหลัก ๆ ได้แก่ ทำให้สัตว์หิวและเกิดการกนิ
อาหาร (Feeding center) ซึ่งจะถูกควบคุมโดยด้านข้างของไฮโพทาลามัส (Lateral hypothalamus) ซึ่งเม่ือ
สัตว์ถูกกระตุ้นจากระบบประสาทส่วนนี้จะเกิดการกินจนกว่าจะถูกยับยั้งโดยกิจกรรมที่ 2 ที่เป็นการทำงาน
เกี่ยวกับศูนย์อิ่ม (Satiety center) ซึ่งจะถูกควบคุมบริเวณส่วนกลางของไฮไพทาลามัส (Ventromedial
hypothalamus) การทำงานของส่วนนจ้ี ะสง่ ผลให้สัตว์เกิดการหยดุ กนิ ดงั น้ันการควบคุมการกนิ อาหารของสัตว์
เลยี้ งจะถกู ทำงานสลับสว่ นกนั 2 กิจกรรม หากมีส่วนใดผิดปกตจิ ะส่งผลให้เกิดการกินได้ท่ีผิดปกตเิ ชน่ หากศูนย์

156

อิ่มผิดปกติจะส่งผลให้สัตว์กินอาหารไม่หยุดจนส่งผลให้สัตว์เกิดโรคอ้วนผิดปกติได้ หรือศูนย์ควบคุมความหิว
หากผิดปกติสตั ว์อาจมกี ารกินไดท้ ่ตี ่ำลง เปน็ ต้น

4.2.1.1 ปจั จยั ควบคมุ การกินได้ระยะสั้น (Short term regulation)
การควบคุมทางเคมีจากการท่ีสตั ว์ได้รับสารอาหารหลังจากทอี่ าหารถกู ยอ่ ยบริเวณระบบทางเดิน

อาหาร กอ่ นทีจ่ ะถกู ดดู ซึมผ่านกระแสเลอื ดกอ่ นที่จะสง่ ไปยงั ตับและส่งไปยังอวัยวะส่งต่าง ๆ ของรา่ งกายรวมถึง
ศูนย์อิ่มที่อยู่บริเวณไฮโพทาลามัส จนกระทั่งความเข้มข้นของสารมีความเข้มข้นเพิ่มขึ้นจนถึงขีดจำกัดจะส่ง
สารเคมีบางชนิดเข้าไปกระตุ้นการทำงานทำให้สัตว์เกิดความอ่ิมและหยุดกินอาหาร แต่ถ้าระบบส่วนนี้มคี วาม
ผิดปกติสัตว์จะไม่เกิดความอิ่มและไม่หยุดกินอาหารจนกวา่ จะมีส่ิงใดมายับยั้ง ซึ่งสารสำคัญในการควบคุมการ
กนิ ได้ของสตั ว์นน่ั คอื กลูโคส โดยระดบั ความเข้มข้นของกลโู คสในกระแสเลือดเม่ือมปี ริมาณที่ต่ำจะส่งผลให้สัตว์
เกิดความหิวและอยากกินอาหาร แต่หลังจากที่สตั ว์กนิ อาหารเข้าไปปริมาณความเขม้ ขน้ ของกลูโคสจะค่อยลด
ระดบั ลงอย่างช้า ๆ นอกเหนือจากนน้ั การกินอาหารของสตั วเ์ มื่ออาหารมีการไหลผา่ นไปยงั ระบบทางเดินอาหาร
ส่วนล่างจะเกดิ การหลั่งของฮอร์โมนคอเลซิสโทไคนิน (Cholecystokinin ; CCK) ซึ่งทำหน้าท่ีเกี่ยวข้องกับการ
หล่งั น้ำดีท่บี รเิ วณลำไสเ้ ลก็ ส่วนตน้ จะส่งผลต่อการทำงานของไฮโพทาลามสั ทำใหส้ ัตวม์ ีปรมิ าณการกนิ ได้ท่ีลดลง
โดยเฉพาะอย่างย่งิ ในสตั ว์ปีก อีกท้ังไปลดการบบี ตัวของก๋นึ ดว้ ย ในส่วนของสุกรจะทำใหม้ กี ารบีบตวั ท่ีจำกัดของ
กระเพาะอาหารบรเิ วณล่าง (Pylorus) จากเหตุดังกล่าวที่เกิดขึ้นทำให้อัตราการไหลผ่านของอาหาร (Rate of
passage) มีการไหลผ่านทต่ี ่ำลงสัตว์จึงมกี ารกนิ ได้ท่ีลดลงดว้ ยเช่นกัน นอกเหนือจากน้นั ยังมฮี อร์โมนท่ีส่งผลต่อ
การกินได้อีกเช่น เกรลิน (Ghrelin) ซึ่งถูกหลั่งออกมาจากเซลล์กระเพาะอาหาร ช่วยกระตุ้นความหิว และ โซ
มาโทสเตสทิน (somatostatin) ซง่ึ จะควบคมุ การหลั่งของอนิ ซูลินทำให้มีความเกี่ยวข้องกับปริมาณของกลูโคส
ในกระแสเลือดและทำใหป้ ริมาณของการกนิ ไดล้ ดลง

ในส่วนของปัจจัยจากสภาพอากาศและความร้อนเองก็เป็นปัจจัยที่สำคัญในการควบคุม การกินได้ของ
สตั ว์ในระยะเวลาส้ันเนอ่ื งจากกลไกของรา่ งกายจำเปน็ ท่ีจะต้องป้องกนั รา่ งกายตนเองไม่ให้เกิดสภาวะอุณภูมิใน
รา่ งกายสูงกว่าปกติ (Hyperthermia) โดยความร้อนทเ่ี กิดขึ้นในร่างกายเกดิ จากกระบวนการเมแทบอลิซึม และ
การยอ่ ยอาหารของสตั ว์ ความรอ้ นทเี่ กดิ ขึน้ น้ี (Heat increment) จะสง่ สญั ญาไปยังการควบคมุ การกินได้ระยะ
สั้นเพื่อไม่ให้มีความร้อนในร่างกายสูงมากเกินไป ซึ่งในสภาพอุณภูมิของสภาพอากาศที่ร้อนจะยิ่ง ทำให้สัตว์
พยายามลดความรอ้ นทเ่ี กดิ ขึ้นในรา่ งกายจงึ ทำให้สัตวม์ ีปรมิ าณการกินไดท้ ่ลี ดลง

4.2.1.2 ปัจจยั ควบคมุ การกนิ ไดร้ ะยะยาว (Long term regulation)
น้ำหนักตัวจะมีผลต่อปริมาณการกินได้ในระยะยาว และมีปริมาณการกินได้ค่อนข้างคงที่

ปริมาณอาหารที่กินจะถูกนำมาสร้างเป็นน้ำหนักตัวแกส่ ัตว์ แต่เมื่อสัตว์อยู่ในสภาวะจำศีลลหรือการให้อาหาร

157

โดยการบงั คบั (Force feeding) จะสง่ ผลให้สัตว์สร้างแหลง่ พลังงานสำรองเพื่อนำมาใช้ในระยะจำศีล สัตว์จะมี
ปริมาณการสะสมของไขมนั ในร่างกายที่สูง เมื่อปรมิ าณของไขมนั ท่ีสะสมที่สูงขึ้นจะทำใหเ้ กดิ การกินได้ที่ต่ำและ
สลายพลังงานเหล่านี้ออกมาใช้ในการเป็นแหลง่ พลังงานระยะยาว ยกตวั อย่างเชน่ ในหา่ นท่ีทำการให้อาหารโดย
การบงั คบั เปน็ เวลาวนั ละ 2 มอ้ื พบวา่ จะมกี ารสะสมของไขมันในช่องท้อง (Abdominal fat) และ ตับในปริมาณ
ที่สูงต่อมาทำการหยุดการให้อาหารแบบบังคับและให้สัตว์อดอาหารเป็นระยะเวลา 6 – 10 วัน หลังจากน้ัน
พบวา่ สัตวม์ ีการกนิ ได้ท่ีลดลง โดยในช่วงอดอาหารนนั้ พบว่าสตั วม์ ีน้ำหนักตัวทีล่ ดลงจากปริมาณของไขมันท่ีถูก
นำมาใช้เพอ่ื เป็นพลังงานแก่ร่างกาย อย่างไรก็ตามในสกุ รพบว่าไขมันท่ีอย่ใู นร่างกายสง่ ผลต่อการกินได้น้อยกว่า
ในสัตว์ปีกอย่างมาก แต่พบว่าพนั ธุกรรมเป็นปัจจยั ที่ส่งผลอย่างมากตอ่ ปริมาณของไขมันต่อการกินได้ของสัตว์
เลย้ี ง โดยในอดีตความนิยมในสุกรที่มกี ารเพิม่ ปรมิ าณน้ำหนักตัวในช่วงต้นมากเปน็ ท่นี ิยมอย่างมาก แต่ปัจจุบัน
กลับกลายเป็นผลเสียต่อคุณภาพซากของสุกรที่จะมีการสะสมของไขมันเป็นอย่างมากจนเป็ นลักษณะที่ไม่พึง
ประสงค์ทางเศรษฐกจิ ความสัมพันธร์ ะหวา่ งไขมนั ต่อการกนิ ได้ของสุกรนนั้ จากท่ีไดก้ ล่าวในข้างต้นว่าส่งผลน้อย
กว่าสัตว์ปกี จงึ เป็นเหตใุ ห้การให้อาหารของสุกรขุนในระยะปลายจำเป็นท่ีจะต้องจำกัดการกนิ เพื่อให้มีการสะสม
ของไขมันในซากที่ลดลง อีกทั้งมีความพยายามคดั เลอื กสุกรที่มีการอยากอาหารทีล่ ดลงเพื่อมกี ารกินได้ที่ลดลง
เพือ่ มีการสะสมของไขมันในร่างกายที่ต่ำลงดว้ ย

4.2.1.3 การควบคุมจากประสาทสมั ผัส (Sensory regulation)
ปจั จยั จากประสาทสัมผัสท่ีส่งผลต่อการกินได้ของสัตว์เป็นส่งิ ทเ่ี กดิ ข้ึนจากปัจจัยของอาหารสัตว์

โดยตรงเช่น ลักษณะของอาหาร กลิ่น และรสชาติของอาหาร ปัจจัยเหล่านี้มคี วามสำคัญอย่างมากต่อความน่า
กินของอาหารสตั วแ์ ละส่งผลโดยตรงตอ่ ปริมาณการกนิ ได้ของสัตว์เลี้ยง ซ่ึงความน่ากินของอาหารสัตวแ์ ตล่ ะชนิด
จะส่งผลใหส้ ตั ว์เลือกกนิ ในสง่ิ ที่ตัวสัตว์เองชอบได้ โดยความชอบของสัตวต์ อ่ วัตถุดิบอาหารสตั ว์ในแต่ละชนิดมักมี
ความต่างกันโดยธรรมชาติเสมอ แต่ในระบบฟาร์มมนุษย์ได้พยายามใช้การแปรรูปของอาหารเพื่อให้สัตว์ไม่
สามารถเลือกกนิ อาหารที่ตนเองชอบได้เช่นการบดละเอยี ด การผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน หรือแม้กระทั่งการอัด
เปน็ เม็ดเปน็ ตน้ ความน่ากนิ ของอาหารเป็นปจั จยั ท่ีสามารถวัดโดยตรงไดย้ ากเน่อื งจากเป็นความรสู้ กึ ท่เี กิดขึ้นกับ
สตั วจ์ ากการทีส่ ัตว์ดมกลิ่น หรือแม้กระทง่ั การกนิ อาหารเพ่ือรบั รสชาติ และเน้อื สัมผสั ที่เกิดขึน้ ลว้ นแล้วเกิดจาก
ความรสู้ กึ ของสัตว์ การสังเกตพฤตกิ รรมเหล่านจ้ี ะช่วยให้มนษุ ยส์ ามารถประเมนิ ความชอบทเี่ กิดขน้ึ ในตัวสัตว์ต่อ
อาหารที่สตั วไ์ ด้รับได้

การเพิ่มความน่ากินของอาหารสัตว์สามารถสามารถทำได้หลายประการ แต่ประการที่เป็นพื้นฐานใน
ฐานะนกั โภชนศาสตร์จะใช้วิธีการเพิ่มความหลากหลายของวัตถดุ ิบอาหารทนี่ ำมาใช้ในการประกอบสูตรอาหาร
นอกเหนอื จากนน้ั การแต่งกลิ่นอาหารสัตว์โดยใชว้ ัตถุดิบที่มกี ล่นิ ท่ีสัตวช์ อบหรอื การใช้กลิน่ สังเคราะห์เป็นอีกวิธี

158

หนึ่งที่สามารถเพิม่ ความน่ากนิ ของอาหารได้ อย่างไรกต็ ามสัตว์จะมีความติดในกลิ่นเป็นระยะเวลานานซึ่งหาก
กลนิ่ ในอาหารสตั วม์ กี ารเปลย่ี นแปลงกจ็ ะสง่ ผลให้สัตวม์ ปี ริมาณการกนิ ได้ทลี่ ดลง นอกเหนอื จากกลิน่ แลว้ รสชาติ
เป็นอีกปจั จยั สำคญั อย่างมากท่ีทำมีผลกระทบต่อการกนิ ได้ของสตั ว์ อยา่ งไรก็ตามรสชาติท่ีสตั ว์ชอบมีความแปร
ผันเปน็ อย่างมากซึ่งจะแปรผันตามชนิดของสัตว์และระดับของรสชาติ ยกตัวอยา่ งเช่นสุกรชอบรสชาติท่ีมีความ
หวานจากน้ำตาลซูโครสอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับน้ำ แต่เมื่อนำขัณฑสกรซึ่งมีความหวานสูงกว่าน้ำตาล
ซโู ครสมาใช้กลับพบวา่ สุกรมีความชอบที่ลดลง สำหรับสัตวป์ กี ความหวานไม่ส่งผลตอ่ ความน่ากินของอาหารและ
ไม่สามารถโน้มน้าวให้สัตว์ปีกสามารถกินอาหารที่เพิ่มขึ้นได้เนื่องจากปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับรสชาติของ
อาหารไกอ่ ยู่ท่ีระดับความเคม็ เปน็ หลกั และสง่ ผลตอ่ การขับถา่ ยของสตั วอ์ ีกด้วย

4.2.1.4 ปจั จยั ทางสรีระวิทยา (Physiological factor)
ปรมิ าณความเขม้ ขน้ ของพลังงานในอาหารสตั ว์เป็นปัจจัยสำคญั ท่ีสง่ ผลกระทบต่อการกินได้ของ

สัตว์เลี้ยงจากพลังงานที่สัตว์ได้รับ เมื่อปริมาณความเข้มข้นของพลังงานในอาหารมีระดับที่ลดลงสัตว์จะมี
ปรมิ าณการกินได้ทส่ี งู ขึน้ ยกตวั อยา่ งเชน่ เมื่อทำการเพ่มิ ความเข้มขน้ ของพลังงานในอาหารของสุกรโดยใช้ไขมัน
ผลกระพบว่าปริมาณการกินได้ของสุกรมีปริมาณที่ลดลงโดยสาเหตุสำคัญของการกินได้ที่ลดลงนั่นคือระดับ
พลงั งานทเี่ พียงพอตอ่ ความตอ้ งการของสกุ รเอง อยา่ งไรกต็ ามหากทำการลดปรมิ าณความเข้มขน้ ของพลงั งานใน
อาหารโดยการใช้วัตถุดิบที่มีความสามารถในการย่อ ยได้ที่ต่ำผลที่ได้จะไม่เป็นไปตามที่กล่าวไว้ในข้าง ต้น
เนื่องจากอาหารจะส่งผลให้ระยะเวลาที่ใช้ในการย่อยใช้เวลาที่นานมากขึ้นส่งผลต่อความจุของกระเพาะที่มี
อาหารอยู่ในกระเพาะที่มากจึงมีผลให้ปริมาณการกินได้ที่ลดลง นอกจากประเด็นการย่อยได้ของอาหารที่จะ
ส่งผลต่อการกินไดข้ องสตั ว์แลว้ คณุ สมบัตขิ องอาหารเชน่ ความหนืดก็ยังทำให้สัตวม์ กี ารกนิ ได้ทเ่ี ปลี่ยนแปลง โดย
พบว่าการใช้ไขมันในอาหารสัตว์โดยเฉพาะอย่างยิ่งไขมันอ่ิมตัวซึ่งจะมีความหนืดสูงกว่าไขมันไม่อิ่มตัวจะทำให้
การไหลผ่านของอาหารมีการไหลผ่านที่ลดลงอาหารจะคงค้างอยู่ในระบบทางเดินอาหารที่นานมากขึ้น และ
ส่งผลให้เกิดการแน่นท้องก่อนส่งผลไปยังไฮโพทาลามัสทำให้เกิดความรู้สึกอิ่ม สำหรับปริมาณความต้องการ
พลงั งานของสตั ว์จะไม่ได้แปรผันตอ่ น้ำหนักตัวของสัตว์โดยตรงแต่จะมีความสัมพันธ์ต่อน้ำหนักเมแทบอลิกมาก
กว่า โดยการประเมินน้ำหนักเมแทบอลิกจะสามารถประเมินได้โดยการนำน้ำหนักมีชีวิต (Live weight ; LW)
มายกกำลังดว้ ย 0.75 (LW0.75)

4.2.1.5 การขาดสารอาหาร (Nutritional deficiencies)
เป็นทีท่ ราบกนั ดแี ล้วว่าความสามารถในการย่อยอาหารจะส่งผลต่อปริมาณการกินได้ของสัตว์แต่

นอกเหนือจากนั้นผลสุดท้ายของกระบวนการย่อยอาหารคือการดูดซึมสารอาหารเป็นอีกปัจจัยที่มีความ
เก่ียวเนอ่ื งตอ่ การกนิ ไดข้ องสตั ว์ โดยการดดู ซึมของสารอาหารมีปจั จยั ที่หลากหลายอย่างมากและมีการทำงานที่

159

ซับซ้อนของเอนไซมแ์ ละโคเอนไซม์ การทำงานของเอนไซมแ์ ละโคเอนไซม์น้นั จะข้ึนอยู่กับสตั ว์ที่ว่าจะได้รับสาร
ตั้งต้นในการทำงานของครบถ้วนหรือไม่ ซึ่งสารตั้งต้นสำคัญในการทำงานของระบบทำงานในรา่ งกายจะไดแ้ ก่
กรดอะมิโน แร่ธาตุ และวิตามิน เป็นต้น ยกตัวอย่างเช่นเมื่อสตั ว์ปีกที่ไม่ไดร้ บั กรดอะมิโนตามที่สัตว์ตอ้ งการใน
ปรมิ าณท่ตี ่ำจะสง่ ผลให้สตั วป์ ีกมีความสามารถในการกินไดท้ ี่ลดลง แตเ่ มอื่ มปี รมิ าณกรดอะมิโนที่ได้รับเพียงพอ
จะมีปริมาณการกินได้ทีส่ ูงขึ้นเม่ือเปรียบเทียบกับช่วงที่สัตว์ขาด ในส่วนของไก่ไข่เมื่อทำการเสริมแคลเซียมใน
อาหารที่ปริมาณ 30 กรัมต่อกิโลกรัมจะเพมิ่ ปริมาณการกนิ ได้ 25 เปอรเ์ ซ็นต์ของการกินไดท้ ัง้ หมด ซึง่ จากหนว่ ย
เรียนที่ 3 ได้กล่าวถึงบทบาทหน้าที่ความสำคัญของแร่ธาตุและวิตามินจะพบว่าโดยส่วนใหญ่เมื่อสัตว์ขาด
สารอาหารเหล่านี้จะส่งผลให้สัตว์มีปริมาณการกนิ ได้ที่ลดลง แต่ให้นักศึกษาจำไวว้ ่าแร่ธาตุและวิตามินเหล่านี้
ไมไ่ ดส้ ่งเสริมใหเ้ กิดความน่ากินของอาหารทีเ่ พ่ิมมากขนึ้ เพียงแต่ไปดำเนินการทำให้สัตว์มกี ารทำงานของร่างกาย
ทีเ่ ปน็ ปกติ

4.2.1.6 วิธีการให้อาหาร (Feeding methods)
ประเดน็ ทสี่ ำคญั อีกประเด็นทน่ี ักสัตวบาลจำเปน็ ต้องทราบถึงการจัดการใหอ้ าหารสัตว์ท่ีส่งผลต่อ

การกนิ ได้ของสตั ว์ โดยความชอบของสัตว์จะสามารถถกู กระตนุ้ โดยการทำให้สัตวร์ ู้สึกว่าอาหารนัน้ ๆ มคี วามสด
ใหม่เสมอ ยกตัวอย่างเช่น ความถี่ของการให้อาหาร (Feeding frequency) การเพิ่มความถี่ของการให้อาหาร
โดยการให้ปริมาณที่น้อยแต่มากครั้งจะสามารถกระตุ้นให้สัตว์มีความอยากในการกินได้สูงกว่าการให้อาหาร
จำนวนน้อยครั้ง นอกเหนือจากนั้นหากพิจารณาความชอบของอาหารในสัตว์แต่ละชนิดมีความแตกต่างกัน
ทางด้านกายภาพเสมอเช่นสกุ รมักมีความชอบในอาหารทีม่ ีความช้ืนอยู่สูง การให้อาหารและเติมน้ำจะสามารถ
กระตนุ้ ใหส้ ัตวม์ คี วามอยากกินได้ หรอื ในสัตว์ปีกการให้อาหารแบบเม็ดบีจ้ ะสามารถทำให้สตั ว์สามารถกนิ อาหาร
ได้มากกว่าแบบผง เป็นตน้ และอีกวธิ ีการให้อาหารคือการให้สัตวไ์ ด้เลอื กกินตามใจชอบ (Choice feeding) จะ
พบวา่ สตั วม์ คี วามสามารถในการกนิ อาหารไดด้ ีข้นึ กวา่ เดิม โดยการจดั สดั สว่ นของระดับความเขม้ ข้นของโปรตีน
และพลังงานที่แตกต่างกันในอาหาร ในช่วงเวลาหนึ่ง สัตว์อาจจะมีการกินได้ของอาหารที่สูงจากการเลือกกนิ
อาหารความเข้มข้นของโปรตีนตำ่ แตใ่ นช่วงต่อมา สัตว์อาจมกี ารกนิ ได้ของอาหารทม่ี ีความเข้มข้นของโปรตีนที่
สูงมากกวา่ ก็เป็นได้ ขึ้นอยกู่ บั สถานะของสัตวใ์ นช่วงเวลาน้ัน การใหอ้ าหารแบบตามใจชอบน้ีสัตว์จึงจะเลือกสิ่งท่ี
เป็นสมดุลต่อตวั สตั วแ์ ละสอดคลอ้ งกับปรมิ าณของอาหารทีก่ ิน เป็นต้น แตใ่ นความเปน็ จรงิ แลว้ เพือ่ การท่ีง่ายต่อ
การจดั การจึงใช้การกำหนดสัดส่วนให้ได้ตามปริมาณที่สัตว์ต้องการเพือ่ ก่อนท่ีจะทำการผสมให้เข้ากันให้ง่ายต่อ
การใหอ้ าหาร

160

4.2.2 การควบคุมการกินไดข้ องสัตว์เคีย้ งเออ้ื ง
ปัจจัยที่ควบคุมการกินได้ของสัตว์เคี้ยวเอื้องมีความแตกต่างจากสัตว์กระเพาะเดี่ยวอย่างมาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัญญาที่บ่งบอกต่อการได้รับสารอาหารซึ่งในสัตว์กระเพาะเดี่ยวสัญญาณที่ส่งจะเป็นระดับ
ของกลูโคสแต่ในสัตว์เคี้ยวเอื้องปริมาณความเขม้ ข้นของกลโู คสจะส่งผลต่อการควบคุมการกินไดเ้ พียงเลก็ นอ้ ย
เนื่องจากกลูโคสที่ดูดซึมในระบบทางเดินอาหารสัตว์เคี้ยวเอื้องมีปริมาณที่ต่ำ เนื่องจากสิ่งที่สัตว์เคี้ย วเอื้อง
นำมาใช้โดยส่วนใหญ่ 80 เปอร์เซ็นต์จะเป็นกรดไขมันระเหยได้ (Volatile fatty acids; VFAs) ซึ่งถูกผลิตโดย
จุลนิ ทรีย์ภายในกระเพาะหมักและดูดซึมผา่ นผนงั รูเมน โดยพบวา่ บรมิ าณของอะซิเตตและโพรพิโอเนตที่ถูกดูด
ซึมเข้าสู่กระแสเลือดก่อนทีจ่ ะส่งไปยังตับหากมีปริมาณที่เพิม่ ขึ้นจะส่งผลให้สัตว์มีการกินได้ที่ลดลง โดยความ
เขม้ ขน้ ของอะซเิ ตตและโพรพิโอเนตท่ตี ับทีส่ งู ข้ึนจะโน้มน้าวใหเ้ กดิ การสง่ สญั ญาณไปยงั ไฮโพทาลามัส แตส่ ำหรับ
บิวทเี รตพบว่าส่งผลต่อการกินไดใ้ นสัตว์เคี้ยวเอื้องท่เี ล็กน้อยเนื่องจากเมื่อบิวทีเรตถกู ดูดซมึ ผ่านผนังรูเมนจะถูก
เปลี่ยนแปลงให้อยู่ในรูปของ Acetoacetate และ β-hydroxybutyrate นอกเหนือจากนั้นคุณสมบัติในการ
ย่อยในระบบทางเดินอาหาร รวมถึงคุณสมบัติโดยทั่วไปของอาหารก็สามารถส่งผลต่อการกินได้ของสัตว์ได้
เช่นกนั

4.2.2.1 ลักษณะของอาหารทสี่ ่งผลตอ่ การกินได้ (Feed characteristic on intake)
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อระยะเวลาในการกินอาหารในสัตว์เคี้ยวเอื้องคือระยะเวลาในการเคี้ยว

เอ้ืองและระยะเวลาในการหมกั ยอ่ ยของอาหาร ซง่ึ จะเกิดข้นึ มากในอาหารทม่ี ีปรมิ าณของเย่ือใยทีส่ ูงจะส่งผลให้
สัตว์มีการกินได้ที่ลดลง เนื่องจากอาหารจะคงค้างอยู่ในระบบทางเดินอาหารที่น านมากขึ้นสัตว์จึงมี
ความสามารถในการนำอาหารใหม่เข้าสู่ระบบทางเดินอาหารได้ในปริมาณที่น้อยซึง่ สมั พันธก์ ันกับความจุของรู
เมน เมือ่ อาหารท่อี ยู่ภายในรูเมนเต็มความจุผนังของรเู มนจะมกี ารตงึ ตวั เกิดขนึ้ การตึงตัวของผนังรูเมนน้ีเองจะ
ส่งสัญญาณไปยังสมองเพื่อสั่งการให้สัตว์กินหรือสัตวอ์ ิ่มเมื่อมีการตึงตัวที่ลดลง ดังนั้นอัตราการย่อยสลายของ
อาหารในกระเพาะหมกั จะเปน็ ปัจจัยทส่ี ่งผลต่อการกนิ ได้ของสตั ว์เคย้ี วเอื้อง ซ่ึงสามารถพิจารณาได้จากปริมาณ
ของเยื่อใยที่ไม่ละลายในสารเป็นกลาง (Neutral detergent fiber ; NDF) ที่อยู่ในอาหารสัตว์เน่ืองจากจะบ่ง
บอกถึงปริมาณของผนังเซลล์พืชจำพวกเซลลูโลส เฮมิเซลลูโลส และลิกนิน หากมีปริมาณที่สูงอัตราการย่อย
สลายในกระเพาะหมักจะอยู่ระดับที่ต่ำ นอกเหนือจากนั้นอาหารที่สัตว์เคี้ยวเอื้องกินส่วนใหญ่จะมีความฟ่าม
(Bulk density) ท่ีสูงเช่น ฟางข้าว หรอื หญ้าแห้ง มากกว่าอาหารข้น ดังนั้นเมื่อสัตว์ได้รบั อาหารหยาบในปริมาณ
ทส่ี งู จะส่งผลใหม้ ีการกินได้ที่ลดลง นอกเหนือจากนั้นการพิจารณาปรมิ าณอาหารท่สี ตั ว์เค้ยี วเอ้อื งกินจะพิจารณา
ด้วยปริมาณของนำ้ หนักแห้ง (Dry matter ; DM) ซึ่งสัตว์เคี้ยวเอ้ืองสว่ นใหญจ่ ะมีการกินได้ของวัตถแุ ห้งท่คี งท่ี
ยกตัวอย่างเช่น หากทำการให้อาหารหยาบในรูปของหญ้าสด หรือหญ้าหมักซึ่งถ้าพิจารณาจากน้ำหนักสดจะ

161

พบว่าสัตว์มีการกินได้ทีส่ ูงขึ้น แต่หากพิจารณาเป็นปริมาณน้ำหนักแห้งการกินได้เหล่านี้จะมีความแตกต่างกัน
เพยี งเลก็ นอ้ ย จากข้อมูลน้เี องจะสามารถพิจารณาได้ว่าปรมิ าณความชื้นในอาหารจะไม่สง่ ผลต่อปริมาณการกิน
ได้ของวัตถุแห้งในสัตว์เคี้ยวเอื้อง อย่างไรก็ตามหากปริมาณความชื้นในอาหารสัตว์มีปริมาณที่มากกว่า 90
เปอรเ์ ซ็นต์ ซึ่งมีปรมิ าณของน้ำในอาหารที่สงู จะส่งผลต่อความจุในกระเพาะหมักท่ีลดลงสัตว์จะมีการกินได้วัตถุ
แหง้ ทลี่ ดลงตามไปดว้ ย

ขนาดชิ้นของอาหารเองก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของปริมาณอาหารที่สัตว์กิน
เนื่องจากหากชิ้นของอาหารมีขนาดใหญ่การถูกย่อยโดยจุลินทรีย์จะมีความยากกว่าอาหารที่มีขนาดชิ้นเล็ก
เนอื่ งจากพนื้ ทส่ี ัมผัสทแ่ี ตกต่างกันจงึ ทำให้ความสามารถในการย่อยอาหารโดยจุลินทรีย์มีประสิทธภิ าพทแี่ ตกต่าง
กันส่งผลถึงอัตราการยอ่ ยสลายภายในกระเพาะหมกั อีกดว้ ย อย่างไรก็ตามหากขนาดชิ้นของอาหารมีขนาดเลก็
จนเกนิ ไปจะส่งผลต่ออตั ราการเค้ียวเอื้องท่ลี ดลงและสง่ ผลให้กระเพาะหมกั มรี ะดับความเป็นกรด-ด่างที่ลดลง มี
แนวโนม้ ท่ีทำให้สตั วเ์ กิดสภาวะความเป็นกรดในกระเพาะหมักได้ (Rumen acidosis)

4.2.2.2 ปัจจยั จากตวั สัตว์ (Animal factor)
จากที่ได้กล่าวในขา้ งต้นที่ปรมิ าณความจุของกระเพาะหมักมีความเช่อื มโยงตอ่ การกนิ ได้ของสัตว์

อย่างมาก ซ่งึ ความจขุ องกระเพาะหมกั จะมคี วามสมั พันธก์ บั ขนาดของร่างกายสัตว์ จงึ นยิ มใช้การประเมนิ การกิน
ได้จากปริมาณของน้ำหนักตัวซึ่งมีความเหมาะสมในการใช้ในสัตว์ที่อยู่ในชว่ งกำลงั เจริญเตบิ โตเพราะสัตว์จะมี
การกินไดท้ ี่เพ่ิมขึน้ ต่อน้ำหนักตัว อย่างไรก็ตามเม่ือสัตว์โตเต็มวัยและนำมาขุนร่างกายของสัตวม์ ีการสะสมของ
ไขมันที่สูงขึ้นโดยเฉพาะในสัตว์ที่ทำการขุนการประเมินโดยใช้น้ำหนักตัวมักจะไม่เหมาะสม โดยปริมาณของ
น้ำหนกั ตัวทเี่ พ่มิ ขน้ึ ไม่ไดท้ ำให้สัตว์มกี ารกินได้ที่สงู ข้นึ ตามกลับกลายเป็นการกนิ ได้ต่อน้ำหนักตัวมีอัตราท่ีลดลง
นอกเหนือจากนัน้ ไขมันที่สะสมในช่องท้องยงั ทำให้เกิดการเบียดยังความจุของกระเพาะหมักทำให้ความจุของ
กระเพาะหมักมปี ริมาณที่ลดลง อีกท้ังการหล่ังฮอร์โมนเลปตินทีผ่ ลิตจากไขมนั ทำให้สตั ว์มกี ารกินไดท้ ่ลี ดลง

สำหรบั ในชว่ งสัตว์ทกี่ ำลังตั้งครรภน์ น้ั ตัวสัตว์ในช่วงแรกสัตว์จะมีความสามารถในการกินอาหารได้มาก
ขึ้นเพื่อจะนำสารอาหารเหล่านั้นมาใช้ในการพัฒนาของลูกที่อยู่ในครรภ์ แต่เมื่อลูกในครรภ์มีการพัฒนาทีเ่ พม่ิ
มากข้นึ จะมกี ารเพมิ่ ขนาดของลกู ในครรภใ์ หม้ ีขนาดใหญ่ข้ึนตามและส่งผลกระทบต่อปริมาณความจุในช่องท้อง
ทำให้สตั วม์ กี ารกินได้ที่ลดลงตามไปด้วยโดยเฉพาะอย่างยง่ิ เมือ่ สัตว์ได้รับอาหารหยาบ และเม่ือสัตว์คลอดลูกใน
ช่วงแรกที่สัตว์ให้น้ำนมจะเป็นช่วงที่สัตว์มีปริมาณการกินได้ที่ต่ำแต่จะเริ่มสูงขึ้นเมื่อจำนวนวันให้นมผ่ านไป
เพราะความจุของช่องทอ้ งมีปริมาณที่เพมิ่ มากข้ึน ในชว่ งแรกของการใหน้ ้ำนมของสัตว์จงึ มักเป็นช่วงท่ีสัตว์ขาด
พลังงานเนื่องจากมีปริมาณการกินได้ของอาหารที่ต่ำแต่ในขณะที่ตวั สัตว์มีความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นกวา่
50 เปอรเ์ ซน็ ต์

162

4.2.2.3 อทิ ธิจากสภาวะแวดล้อม (Environment influence)
เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าสัตว์เคี้ยวเอื้องเป็นสัตว์ที่กินพืชเป็นหลักและมีการสร้างระบบการเลี้ยง

สัตว์เคีย้ วเออื้ งออกเป็น 2 ระบบ คอื การเลี้ยงขงั คอก และการปลอ่ ยแปลงแทะเล็ม ด้วยประการน้ีอิทธพิ ลที่สง่ ผล
ต่อการกินได้ของสัตว์เคี้ยวเอื้องที่เพิ่มเติมนอกเหนือจากองค์ประกอบทางเคมีและอัตราการหมักย่อยแล้ว
ความสามารถในการแทะเล็มเปน็ ปัจจัยสำคัญอย่างมากในสัตว์เคี้ยวเอ้ืองท่ีเลี้ยงด้วยระบบปล่อยแปลงแทะเล็ม
ซง่ึ ความสามารถของการแทะเล็มนน้ั จะประกอบไปดว้ ยปัจจัย 3 ประการซ่งึ ไดแ้ ก่ ปรมิ าณอาหารตอ่ การกัดหน่ึง
คำ (Bite size) จำนวนคร้ังในการกดั หรอื จำนวนคำต่อนาที (Bite rate) และระยะเวลาในการแทะเล็ม (Grazing
time) ยกตวั อยา่ งเชน่ แมโ่ ครีดนมน้ำหนักตัวเฉลยี่ 600 กโิ ลกรัม สามารถกินหญ้าต่อคำไดป้ ริมาณ 0.6 กรัมวัตถุ
แห้ง มีอตั ราการกดั ต่อนาทเี ทา่ กับ 60 คร้งั ตอ่ นาที ดงั นั้นแม่โคดงั กล่าวจะสามารถแทะเลม็ หญา้ ได้ในปริมาณ 36
กรัมวัตถุแห้งต่อนาที หรือคิดเป็นต่อชั่วโมงที่ 2.16 กิโลกรัมวัตถุแห้ง หากประเมินการกินได้วัตถุแห้งของโคท่ี
จะต้องกนิ วนั ละ 16 กิโลกรัมวัตถแุ ห้ง โคจะตอ้ งทำการแทะเลม็ เปน็ ระยะเวลา 7.4 ชั่วโมง ซึ่งโดยปกติแล้วโคจะ
มีการแทะเล็มอยู่ที่วันละ 8 ชั่วโมง หรือ อาจจะเพิ่มขึ้นถึง 10 ชั่วโมงต่อวันก็เป็นได้ ดังนั้นความสำคัญของ
ปริมาณอาหารที่สัตว์ได้รับจากการแทะเล็มนั่นคือปริมาณอาหารต่อการกัดหนึ่งคำหากมีปริมาณมากสัตว์ จะ
สามารถกินได้ที่เพิ่มมากขึ้น โดยปริมาณของหญ้าที่สัตว์กินต่อคำนั้นจะมีผลมาจากความยาวของหญ้าอีกด้วย
โดยปกติหญา้ ทีท่ ำเพาะปลกู เพอ่ื ใช้ในการแทะเลม็ สำหรบั จะมีความสงู ประมาณ 12 - 15 เซนตเิ มตร ในส่วนของ
ความหนาแน่นของหญ้าเองก็มผี ลเช่นกันหากมีความหนาแน่นต่ำก็จะมีการกินได้ต่อคำที่ต่ำตามไปด้วย ปัจจัย
ด้านการเลือกกนิ ของสตั วเ์ องกส็ ่งผลใหเ้ กิดการกนิ ไดท้ เ่ี ปล่ยี นแปลงไปได้เช่นกนั ความน่ากินของหญา้ เกิดข้ึนจาก
ปจั จัยดา้ นอายุของหญ้าเป็นหลักเพราะเป็นเหตุใหป้ ริมาณของใบ สดั ส่วนของน้ำหนกั ใบต่อน้ำหนักของลำต้นท่ี
เปลี่ยนแปลงไปและส่งผลถึงอัตราการย่อยสลายในกระเพาะหมักของสัตว์ด้วย เช่นในหญ้าที่มีอายุน้อยใบจะมี
มากกวา่ ลำตน้ สัตว์จะมคี วามชอบท่ีมากกว่า และมีการยอ่ ยสลายในกระเพาะหมกั ทเ่ี รว็ กวา่ การยอ่ ยลำต้น

อิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมอืน่ ๆ ที่พบว่ามีผลต่อการกินได้ของสัตว์นัน่ คืออุณหภูมิ โดยพิจารณาจากช่วง
ของอุณหภูมิที่สัตว์อยู่สบาย (Thermoneutral zone) ซึ่งมีอุณหภูมิอยู่ในช่วง 25 - 30 องศาเซลเซียส หาก
สภาพแวดล้อมที่สัตว์อยู่มีอุณหภูมิน้อยกว่าอุณหภูมิที่สัตว์อยู่สบายสัตว์จะมีปริมาณการกินได้ที่สูงขึ้นเพื่อนำ
สารอาหารต่าง ๆ มาสร้างความอบอุ่นของร่างกายให้เพ่ิมมากขึน้ แต่ในกรณเี ม่ืออณุ หภูมิสูงกว่าอุณหภูมิทีส่ ัตว์
อยู่สบายสัตว์จะมีการกินได้ที่ลดลงเพื่อไม่ให้เกิดความร้อนจากกระบวนการเมแทบอลิซึมที่สูงเกินไป
นอกเหนือจากนั้นความเจ็บป่วยและสุขภาพสัตว์จะส่งผลต่อการกินได้ของสัตว์ไม่ว่าจะเป็นสัตว์กระเพาะเดี่ยว
หรือสัตว์เคี้ยวเอื้องเพราะจะไปขัดขวางการดูดซึมสารอาหารและการย่อยอาหาร และยังพบว่าพยาธิเองกเ็ ป็น
ปัจจยั ในการกินได้ของสตั วท์ ี่ลดลงเชน่ กนั

163

4.3 ความต้องการโภชนะของสัตว์
4.3.1 การแบ่งสว่ นของโภชนะตามการใช้ประโยชน์ของสตั ว์
หลักสำคญั ของการพิจารณาการประกอบสตู รอาหารสัตว์คอื ความเขา้ ใจความตอ้ งการโภชนะของสัตว์

ชนิดที่ต้องการประกอบสูตรอาหารรวมถงึ ปริมาณการกินได้ของสัตว์เพือ่ กำหนดระดบั ความเขม้ ข้นของโภชนะใน
อาหารสัตว์นั้น ๆ ซึ่งความต้องการโภชนะสำหรับสัตว์จะหมายถึงปริมาณสารอาหารขัน้ ต่ำที่ทำให้สัตว์สามารถ
ดำรงชีพหรือสร้างผลผลิตเช่นการสืบพนั ธ์ุ การตั้งทอ้ ง การให้น้ำนม การเพิ่มน้ำหนักตัว การให้ไข่ การสร้างขน
รวมไปถึงการใชเ้ ป็นแรงงานอกี ด้วย ดงั น้นั ความแตกต่างของชนิดสัตว์ สายพันธ์ุ สถานะของตัวสัตว์ในชว่ งนั้น ๆ
ระดบั ผลผลิตจะเปน็ ตวั กำหนดใหม้ คี วามตอ้ งการโภชนะท่แี ตกต่างกันในสัตว์ได้ หากการนำอาหารท่ไี ม่เหมาะสม
กับสตั วใ์ นช่วงความตอ้ งการในแต่ละระยะนอกจากจะส่งผลให้สัตวไ์ ด้รับสารอาหารไม่เพียงพอซึ่งจะทำให้สัตว์มี
การเจรญิ เติบโตท่ีช้ากว่าปกติ แคระแกรน หรือผลผลติ ทไี่ ด้น้อยกวา่ ปกติ ยังสามารถทำให้สัตว์ได้รับสารอาหาร
เกนิ ความจำเป็นได้เช่นกนั ส่งผลต่อตน้ ทนุ ค่าอาหารสตั ว์ท่เี พ่มิ ขนึ้ ไดโ้ ดยไม่จำเป็น โดยตน้ ทุนในการเลย้ี งสตั ว์ส่วน
ใหญม่ ากกว่า 50 เปอร์เซ็นตเ์ ป็นต้นทุนท่ีเกิดขน้ึ จากค่าอาหารของสัตว์ การเลี้ยงสัตวใ์ หไ้ ดผ้ ลตอบแทนท่ีสูงท่ีสุด
คือการควบคุมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากค่าอาหารสัตว์ให้มีการใช้ได้อย่างคุ้มทุนที่สุดจึงเป็นเหตุของการพัฒนา
ระบบการผลิตอาหารสัตว์แบบแม่นยำเพื่อให้มีโภชนะตรงตามความต้องการของสัตว์มากที่สุด เพื่อให้สัตว์
สามารถนำสารอาหารที่ได้รับมาใช้ในการเจริญเติบโตหรือสร้างผลผลิตให้มากที่สุด โดยตัวสัตว์จะมีความ
ตอ้ งการโภชนะหรือสารอาหารเพือ่ นำไปใชใ้ นกจิ กรรมของร่างกายดงั นี้

4.3.1.1 ความต้องการโภชนะเพอื่ การดำรงชีพ (Nutrients requirement for maintenance)
สารอาหารเพอ่ื การดำรงชพี ของสัตว์เปน็ สารอาหารสำคัญท่ีสัตว์จะตอ้ งนำมาใช้ในการดำรงชีพให้

เป็นปกติซึ่งโดยปกติแล้วสารอาหารที่สัตว์กินจะต้องถกู นำมาใช้ในส่วนนี้ก่อนถงึ จะนำไปใช้ในการสร้างผลผลิต
โดยเปน็ ความตอ้ งการระดับต่ำท่ีสุดทีย่ งั สามารถทำให้สัตวม์ ีชีวติ รอดอยไู่ ด้ โดยสารอาหารเหล่านี้จะถูกนำไปใช้
ในการสรา้ งความร้อนของร่างกาย การทำงานของระบบร่างกาย การเคลื่อนไหว การซ่อมแซมอวัยวะท่สี ึกหรอ่
หรือเน้อื เยื่อทห่ี ลดุ ลอกของเนือ้ เยื่อบุผิวของอวัยวะรวมถงึ ผิวหนงั เปน็ ตน้ นอกเหนือจากนนั้ เปน็ สารต้ังต้นสำคัญ
ของสารชีวโมเลกุลในร่างกายเช่นฮอร์โมน เอนไซม์ รวมถึงโคเอนไซม์ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามการให้อาหาร
เพ่อื ใหส้ ตั ว์ไดร้ ับโภชนะเพอ่ื การดำรงชพี นนั้ สัตว์จะไมม่ ีการเพิม่ ขนึ้ หรอื ลดลงของนำ้ หนักตวั หรอื ไม่สามารถสร้าง
ผลผลติ ได้ หากสตั ว์ไดร้ ับโภชนะท่ีตำ่ กว่าระดบั ดำรงชีพเปน็ ระยะเวลาติดตอ่ กันจะสง่ ผลกระทบอาจเปน็ อันตราย
ตอ่ สตั ว์

164

4.3.1.2 ความตอ้ งการโภชนะเพอ่ื การเจริญเติบโต (Nutrients requirement for growth)
หลังจากชว่ งที่สตั ว์เกิดขึ้นมาจะมีอัตราการเจริญเติบโตทสี่ งู ขึ้นจนกว่าสัตวจ์ ะมกี ารเจริญโตเต็มท่ี

หรือทเ่ี รยี กวา่ สัตว์โตเต็มวัย ซงึ่ การเจรญิ เติบโตในระยะน้จี ะเปน็ การสร้างกล้ามเนื้อ กระดกู และอวัยวะของตัว
สัตว์เปน็ หลัก ดังนนั้ ในระยะนี้สัตว์จะมีความต้องการโปรตนี และแรธ่ าตุเปน็ จำนวนมากเพอ่ื นำมาสรา้ งกล้ามเนื้อ
กระดูก และอวัยวะในร่างกายสัตว์ แต่เมื่อสัตว์มีอายุที่เพิ่มมากข้ึนจนใกล้ถงึ ระยะโตเต็มวัยของสัตว์แต่ละชนดิ
ความต้องการโปรตีนของสัตว์จะค่อย ๆ ลดลงไปตามลำดับ เช่นเดียวกับแร่ธาตุบางชนิด แต่จะมีความต้องการ
พลังงานทีเ่ พิ่มมากข้ึนเพื่อใช้เป็นพลังงานในการดำรงชีพของตวั สัตว์เพราะสัตว์ระยะนีจ้ ะมนี ำ้ หนกั ตัวท่มี ากขนึ้
ในช่วงการเจริญเติบโตระยะนี้เป็นระยะที่มีความสำคัญอย่างมากต่อการผลิตสัตว์หากสัตว์ระยะนี้มี การ
เจริญเติบโตที่ดีจะส่งผลให้มีการเจริญเติบโตในอนาคตที่ดีด้วย นอกเหนือจากนั้นพัฒนาการของอวัยวะที่ดีจะ
สง่ ผลต่อความสมบรู ณ์พันธุ์ทส่ี งู สตั ว์สามารถสืบพนั ธไ์ุ ด้เร็วข้นึ หรือมีพฒั นาการของเต้านมที่ดี อยา่ งไรกต็ ามหาก
ในระยะนีส้ ัตว์ได้รบั สารอาหารท่ีไม่เพียงพอต่อความต้องการจะสง่ ผลให้สตั ว์มกี ารเจรญิ เตบิ โตท่ีชะงัก เป็นหนุ่ม
เป็นสาวช้า และส่งผลตอ่ การใหผ้ ลผลิตในอนาคต

4.3.1.3 ความตอ้ งการโภชนะเพื่อการสืบพนั ธ์ุ (Nutrients requirement for reproduction)
ระบบการสืบพันธุใ์ นสัตว์จะมีพัฒนาการไปพรอ้ มกบั การเจรญิ เติบโตของร่างกายสัตว์ ซึ่งเมื่อถึง

วยั ท่สี ตั ว์สามารถสืบพันธ์ไุ ด้ การเจรญิ ของระบบสืบพนั ธุจ์ ะมพี ฒั นาการท่ีรวดเรว็ อย่างมาก ซง่ึ ในระบบการเล้ียง
สัตว์ที่ต้องใช้ผลผลิตจากการสืบพันธุ์เช่น การผลิตลูกสัตว์ การให้อาหารเพื่อให้สัตว์ได้รับโภชนะทีเ่ พียงพอต่อ
การสืบพันธุ์จงึ มคี วามจำเป็นอย่างมากเพ่อื ให้สัตวม์ ีความสมบรู ณ์พนั ธุ์สงู สุด แต่ถ้าหากสตั ว์ไดร้ บั โภชนะเพื่อการ
สบื พันธุท์ ี่ไม่เพยี งพอจะทำให้ความสมบูรณ์พันธช์ุ ้าลงสัตว์มีการแสดงออกในการเปน็ สัดที่ช้า ไมแ่ สดงอาการเป็น
สดั หรือผสมไมต่ ิด โดยมีสาเหตุจากไข่หรอื อสจุ ทิ ่ีสรา้ งขึน้ ในอวยั วะสบื พันธุ์ไมส่ มบูรณ์ แขง็ แรง หรือในช่วงท่ีสัตว์
อุ้มท้องก็จำเป็นที่สัตว์จะต้องได้รับโภชนะที่เพียงพอเช่นกันเพื่อให้สารอาหารมาสร้างพัฒนาการของลูกสัตวใ์ น
ครรภ์หากสัตวไ์ ด้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพออาจทำให้สตั ว์แท้งลกู หรอื ลูกที่เกิดข้นึ มามคี วามออ่ นแอ หรือพิการ
ได้ เป็นตน้

4.3.1.4 ความตอ้ งการโภชนะเพือ่ การสร้างผลผลิต (Nutrients requirement for production)
โภชนะที่นำมาใช้เพื่อการสร้างผลผลิตจะหมายถึงการนำสารอาหารมาใช้เพื่อการสร้างน้ำนม

น้ำหนักตัว ไข่ และขน ดังนั้นปริมาณความต้องการโภชนะจึงขึ้นอยู่กับระดับผลผลิต เช่นปริมาณน้ำนม
องค์ประกอบน้ำนม น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นความสำคัญของโปรตีน และพลังงานจะมีความจำเปน็ ท่ีจะต้อง
นำมาใช้เพื่อการสร้างน้ำ สร้างองค์ประกอบน้ำนม รวมถึงการสร้างน้ำหนักตัว สำหรับไก่ไข่จำเป็นอย่างมากท่ี
จะต้องได้รับโปรตีนที่อุดมไปด้วยกรดอะมิโนเมทไธโอนีน และซีสทีน เพื่อนำมาสร้างไข่ นอกเหนือจากโปรตีน

165

และพลงั งานแล้ว แร่ธาตแุ ละวิตามนิ กเ็ ปน็ สว่ นสำคญั ในสตั วท์ ใี่ หผ้ ลผลิตอกี ด้วย หากปรมิ าณสารอาหารในส่วนนี้
สตั ว์ไดร้ ับไม่เพยี งพอจะส่งผลตอ่ ระดับผลผลิตทลี่ ดลงเช่น ปรมิ าณไขล่ ดลง นำ้ นมลดลง อกี ท้งั ยงั สง่ ผลกระทบต่อ
สตั วอ์ กี เช่นสัตว์มีร่างกายทซี่ ูบผอมเพราะต้องดงึ สารอาหารที่สะสมในร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ มากกว่าน้ันยัง
ส่งผลต่อการแสดงอาการที่ผิดปกติของร่างกายสัตว์ได้ด้วยเช่นกันเช่น การเกิดโรคไข้น้ำนม (Milk fever)
เนอื่ งจากปริมาณแคลเซยี มที่โครดี นมไดร้ ับไม่เพียงพอ หรืออาการขาออ่ นท่ีสัตวท์ เ่ี ลี้ยงขงั ไม่ได้รับแสงแดดจึงเป็น
เหตขุ องการขาดวติ ามนิ ดี

สำหรับการสรา้ งนำ้ หนกั ตัวทเ่ี พ่ิมข้ึนจะเรยี กไดอ้ ีกว่าการขุน (Fattening) ปรมิ าณของสารอาหารท่ีสัตว์
ไดร้ ับจะมปี ริมาณท่ีสงู จนทำให้มกี ารสะสมของไขมนั ในรา่ งกายทเ่ี พม่ิ ขนึ้ ทำให้สัตวม์ ีรสชาตทิ ี่ดขี ้ึนเชน่ การเกิดข้ึน
ของไขมนั แทรก (Marbling) ซ่ึงเปน็ ลายเสน้ สีขาวคล้ายกับหนิ อ่อน จะเกิดขึน้ เมอ่ื นำสัตว์ท่ีมีอายุน้อยมาทำการ
ขุนเป็นระยะเวลานาน แต่ก็ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมของสัตว์ด้วยว่าจะมีการสะสมของไขมันแทรกมากหรือน้อย
เพียงใด แต่หากนำสัตว์ที่มีอายุมากมาขุนเช่นโคแม่พันธุ์ โคปลดระวาง การสะสมของไขมันจะเกิดขึ้นที่ชั้น
เน้อื เย่อื ใต้ผิวหนังและอวยั วะภายในซงึ่ ไมส่ ง่ ผลดีต่อคุณภาพของซากสัตว์ อีกทัง้ ประสิทธภิ าพยงั มีในการสะสมท่ี
ตำ่ ทำใหส้ ิ้นเปลอื งสารอาหารที่นำมาใช้ในการสะสมไขมนั ดว้ ย แต่การขุนจะมีข้อจำกดั คือ ไม่ควรใช้สตั ว์ท่มี ีขนาด
ใหญม่ ากเกินไปเพราะจะตอ้ งใช้อาหารในปรมิ าณมากเพอ่ื ให้เกดิ การสะสมของไขมนั ในเน้อื

4.3.2 ความต้องการโปรตีนของของสัตว์
โปรตนี มีความสำคญั ต่อการดำรงชีพของสัตวอ์ ย่างมากเพราะเป็นองค์ประกอบหลักของร่างกายสัตว์

แต่เมื่อสัตว์ได้รับโปรตีนที่เกินความต้องการ โปรตีนที่เกินส่วนนี้จะถูกสลายเป็นพลังงานและไมม่ ีการสะสมใน
ร่างกายของสัตว์ ซึ่งโปรตีนจัดเป็นแหล่งของโภชนะท่ีมีราคาแพงหากนำมาใช้ท่ีเกินความตอ้ งการก็ไมก่ ่อให้เกดิ
ประโยชน์กบั สตั ว์ท่ีเพิ่มขน้ึ เพยี งอยา่ งใด อกี ทั้งทำให้ตน้ ทุนการเล้ยี งสัตวม์ ีตน้ ทนุ ท่ีสงู ขึ้น ดังนั้นจงึ ควรให้ปริมาณ
ของโปรตีนท่สี ัตวไ์ ด้รบั ใกล้เคียงกับความต้องการมากทีส่ ุด

การกำหนดความเขม้ ข้นของโปรตนี ในอาหารสตั วจ์ ึงมีความสำคัญอยา่ งมากเชน่ ในสัตว์อายุน้อยเป็นช่วง
ทสี่ ัตวม์ กี ารเจริญเติบโตที่สูงจงึ มีความตอ้ งการโปรตีนที่สงู ประกอบกับสัตว์มีความสามารถในการกินได้ที่น้อยจึง
เปน็ เหตใุ หจ้ ะต้องมีการกำหนดความเขม้ ขน้ ของโปรตนี ท่ีสงู แตเ่ มอ่ื สัตวโ์ ตเต็มวยั สัตว์มีความสามารถในการกิน
ไดท้ เ่ี พ่ิมมากขน้ึ จงึ สามารถลดระดับความเข้มข้นของโปรตีนในอาหารใหเ้ จือจางลงได้ ยกตัวอย่างเชน่ ความต้อง
โปรตนี ในสกุ รระยะตา่ ง ๆ ความตอ้ งการโปรตีนต่อวันจะมีปรมิ าณเพ่มิ ขึ้นตามน้ำหนกั ตัวของสุกร แตเ่ มอ่ื กำหนด
เป็นความเขม้ ข้นของโปรตนี จะพบวา่ ในชว่ งสุกรอายุน้อยจะใช้อาหารทีม่ คี วามเข้มขน้ ของโปรตีนทีส่ งู กว่า ซึง่ เปน็
ปัจจัยที่เกิดขึ้นจากปริมาณอาหารท่ีสัตว์กินในชว่ งสตั ว์อายุน้อยมีการกินได้ในปริมาณที่ตำ่ แต่เมื่ออายุสัตว์มาก
ขึ้นมีการกินได้ที่มากขึ้นก็จะสามารถลดระดับความเข้มข้นของโปรตีนลงได้ ดังนั้นในขั้นต้นก่อนที่จะกำหนด

166

ความเข้มข้นของระดับโปรตีนได้จำเป็นที่จะต้องเข้าใจปริมาณการกินได้ของสัตว์ในแต่ละระยะ เพราะหาก

ประเมินการกินไดข้ องสัตว์ในระดับท่ีสูงเกินความจริงอาจส่งผลให้สัตวไ์ ม่สามารถกินอาหารได้หมดได้ สุดท้าย

ปริมาณของโปรตีนที่ได้รับจะไม่เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งการกำหนดปริมาณความเข้มข้นของโปรตีนใน

อาหารสัตว์สามารถทำได้โดย การนำ (ปริมาณความต้องการโปรตีนต่อวัน/ปริมาณการกินได้ของสัตว์) x 100

ดังตัวอยา่ งเช่น สุกรขนุ น้ำหนกั ตัว 80 กิโลกรัม มคี วามต้องการโปรตีน 400 กรัมต่อวนั ซ่งึ ประเมินว่าสกุ รชนิดน้ี

สามารถกินอาหารได้ 2,000 กรัมต่อวนั ควรจะกำหนดระดับความเข้มข้นของโปรตีนในอาหารเป็นกี่เปอร์เซ็นต์

จะคำนวณโดยการนำ (400/2,000) x 100 = 20 เปอร์เซ็นต์ แต่หากสุกรมีความสามารถกินได้ถึง 3,000 กรมั

ต่อวนั จะกำหนดความเขม้ ขน้ ของโปรตีนได้เท่ากบั (400/3,000) x 100 = 13 เปอร์เซ็นต์ ตามตารางที่ 4.9

ตารางท่ี 4.9 ความตอ้ งการโปรตนี และปริมาณความเข้มขน้ ของโปรตีนในอาหารสกุ รรนุ่ (Growing pigs)

นำ้ หนักตัว ความตอ้ งการโปรตีน ปรมิ าณการกนิ ได้ ความเข้มข้นของโปรตนี

(กโิ ลกรมั ) (กรมั ตอ่ วนั ) (กรัมตอ่ วนั ) (เปอรเ์ ซน็ ต์)

3 - 5 65.0 250 26.0

5 – 10 188.5 500 23.7

10 - 20 209.0 1,000 20.9

20 – 50 333.9 1,855 18.0

50 – 80 399.1 2,575 15.5

80 – 120 405.9 3,075 13.2

ทม่ี า : ดดั แปลงจาก NRC (1998)

ตารางท่ี 4.10 ความตอ้ งการโปรตนี และปริมาณความเข้มขน้ ของโปรตีนในอาหารผสมครบสว่ น (Total mixed

ration; TMR) ของโคเนื้อที่มีการเจรญิ เติบโตเฉลีย่ ตอ่ วนั วนั ละ 0.9 กโิ ลกรัม

น้ำหนักตัว ความตอ้ งการโปรตนี ปริมาณการกนิ ได้วตั ถแุ หง้ ความเข้มข้นของโปรตนี

(กโิ ลกรมั ) (กรัมต่อวนั ) (กโิ ลกรมั ตอ่ วนั ) (เปอรเ์ ซน็ ต์)

300 840 8.4 10.0

325 890 8.9 10.0

350 940 9.4 10.0

375 990 9.9 10.0

400 1,040 10.4 10.0

425 1,090 10.9 10.0

ท่ีมา : ดัดแปลงจาก NRC (1996)

167

ตารางท่ี 4.11 ความต้องการโปรตนี และปรมิ าณความเข้มขน้ ของโปรตีนในอาหารไก่เน้ือ (Broiler) คละเพศ

อายุ (สปั ดาห์) ความตอ้ งการโปรตนี ปริมาณการกินได้ ความเขม้ ข้นของโปรตีน
(เปอรเ์ ซ็นต์)
(กรมั ต่อวัน) (กรัมตอ่ วัน)

0 - 1 4.4 19.0 23.0

1 - 2 9.2 40.2 23.0

2 - 3 15.3 66.5 23.0

3 - 4 19.2 96.1 20.0

4 - 5 24.3 121.3 20.0

5 - 6 30.6 153.0 20.0

6 - 7 30.4 168.7 18.0

7 - 8 33.4 185.5 18.0

ท่ีมา : ดัดแปลงจาก NRC (1994)

ตารางท่ี 4.12 ความต้องการโปรตนี และปรมิ าณความเขม้ ขน้ ของโปรตีนในอาหารไกไ่ ข่ (Laying)

อายุ (สปั ดาห์) ความต้องการโปรตนี ปรมิ าณการกินได้ ความเขม้ ข้นของโปรตนี
(เปอร์เซ็นต์)
(กรัมตอ่ วนั ) (กรมั ตอ่ วัน)

0 – 2 3.9 22.9 17.0

2 – 4 6.8 40.0 17.0
4 – 6 8.5 50.0 17.0

6 – 8 8.1 54.3 15.0

8 – 10 8.6 57.1 15.0

10 – 12 9.0 60.0 15.0

12 – 14 9.0 64.3 14.0
14 – 16 9.4 67.1 14.0

16 – 18 10.0 71.4 14.0

มากกวา่ 18 12.6 78.6 16.0

ท่มี า : ดัดแปลงจาก NRC (1994)

168

ตารางท่ี 4.13 ความต้องการโปรตนี และปรมิ าณความเข้มขน้ ของโปรตนี ในอาหารผสมครบส่วน (Total mixed

ration; TMR) ของโคนมชว่ งตน้ ของการใหน้ ม (จำนวนวันให้นม 11 วัน) ปริมาณน้ำนม 15 กโิ ลกรัมต่อวนั

องคป์ ระกอบนำ้ นม นำ้ หนักตวั ท่ี ความต้องการ การกินได้ ความเขม้ ข้น

(เปอรเ์ ซน็ ต์) เปลย่ี นแปลง โปรตีน วตั ถแุ ห้ง ของโปรตีน

ไขมนั โปรตนี (กรมั ต่อวนั ) (กรัมต่อวัน) (กิโลกรมั ต่อวนั ) (เปอรเ์ ซน็ ต์)

4.0 3.0 - 300 1,560 9.4 16.6

4.0 3.5 - 300 1,690 9.4 18.0

4.0 4.0 - 400 1,820 9.4 19.4

4.5 3.0 - 300 1,580 9.7 16.3

4.5 3.5 - 400 1,710 9.7 17.6
4.5 4.0 - 500 1,840 9.7 18.9

5.0 3.0 - 400 1,590 9.9 16.0

5.0 3.5 - 500 1,720 9.9 17.4

5.0 4.0 - 500 1,850 9.9 18.7

ทม่ี า : ดดั แปลงจาก NRC (2001)

4.3.3 ความสมั พนั ธ์ระหว่างโปรตีนตอ่ พลังงาน

ความสำคญั ของสารอาหารนอกเหนือจากโปรตีนแล้วพลังงานเป็นอกี ปจั จัยที่มีความสำคัญต่อการให้

อาหารสัตว์อย่างมากเนื่องจากปริมาณพลังงานในอาหารมีความสัมพันธ์กับปริมาณการกินได้ของสัตว์ดังที่ได้

กล่าวไวใ้ นขัน้ ต้น ดังนั้นการพิจารณาปริมาณพลังงานในอาหารจึงจำเป็นต้องมีความสอดคล้องกับความเข้มขน้

ของโปรตีนเช่น ในกรณีที่ปริมาณพลังงานในอาหารมีระดับที่สูงจะส่งผลให้สัตว์มีการกินได้ที่ต่ำลงจากที่สัตว์

ได้รับพลังงานท่ีเพียงพอต่อความต้องการซ่ึงถ้าหากมีการกำหนดระดับความเข้มขน้ ของโปรตนี ท่ีตำ่ จะส่งผลให้

สตั วไ์ ด้รับโปรตนี ทไี่ มเ่ พียงพอตอ่ ความต้องการ แต่หากกำหนดปรมิ าณพลังงานในอาหารที่ต่ำและมีความเข้มข้น

ของโปรตีนที่สูงสัตว์จะมีการกินได้ที่สูงจนเป็นเหตุให้สัตว์นั้นได้รับโปรตีนที่เกินกว่าความต้องการของสัตว์ใน

ระยะนั้น ประสิทธิภาพของการนำโปรตีนไปใช้ประโยชน์จะต่ำลงไปด้วย ดังนั้นปริมาณของพลังงานในอาหาร

จำเป็นทจ่ี ะตอ้ งมีความสอดคล้องกนั สำหรบั ความตอ้ งการพลังงานในสัตว์จะแปรผนั ไปตามระดบั ของการให้ผล

ผลิต เช่นหากโครีดนมที่ให้น้ำนม 20 กิโลกรัม นอกจากจะมีความต้องการโปรตีนที่สูงแล้วยังคงต้องได้รับ

พลังงานที่สูงเช่นเดียวกันจึงทำให้อาหารโคนมระยะนี้มีราคาสูงขึ้นเนื่อ งจากมีความเข้มข้นของโปรตีนและ

ปริมาณพลงั งานในอาหารท่ีสงู หรือในไกเ่ น้อื เม่ือเปรยี บเทยี บกบั ไก่พืน้ เมอื งจะมคี วามตอ้ งการพลงั งานทแ่ี ตกต่าง

กนั เน่ืองจากไก่เนอ้ื มีความสามารถในการเจรญิ เตบิ โตต่อวันสงู กว่าไกพ่ ืน้ เมือง จงึ ทำให้ปรมิ าณพลังงานในอาหาร

169

ไก่พื้นเมอื งมพี ลังงานเทา่ กับ 2,650 กโิ ลแคลอร่ตี ่อกโิ ลกรมั ขณะที่ปริมาณพลังงานในอาหารไก่เนือ้ จะมีพลังงาน

สูงถงึ 3,200 กโิ ลแคลอรีต่ ่อกิโลกรมั

ตารางท่ี 4.14 ความต้องการพลังงานของโคเน้ือทม่ี ีการเจริญเติบโต 1 กโิ ลกรมั ต่อวนั

น้ำหนักตัว NEM NEG NE การกนิ ได้วัตถุแหง้ NE ในอาหาร (Mcal/kg)
(กิโลกรมั ) (Mcal/d) (Mcal/d) (Mcal/d) (กิโลกรมั ตอ่ วนั )

200 4.10 1.27 5.37 5.40 (5.37/5.40) = 0.99

250 4.84 1.50 6.34 6.75 (6.34/6.75) = 0.94

300 5.55 1.72 7.27 8.10 (7.27/8.10) = 0.90

350 6.23 1.93 8.16 9.45 (8.16/9.45) = 0.86

400 6.89 2.14 9.03 10.80 (9.03/10.08) = 0.84

450 7.52 2.33 9.85 12.15 (9.85/12.15) = 0.81

หมายเหตุ กรณีเปน็ ให้อาหารแบบอาหารผสมครบส่วน (Total mixed ration; TMR)

ทม่ี า : ดัดแปลงจาก NRC (1996)

ตารางที่ 4.15 ความตอ้ งการพลงั งานของสุกรแมพ่ นั ธุ์อมุ้ ทอ้ ง (Gestating sows)

นำ้ หนักตัว น้ำหนักท่เี พิม่ คาดการ ME การกินได้ ME ในอาหาร
(kcal/kg)
(กโิ ลกรัม) (กิโลกรัม) จำนวนลูกต่อ (kcal/d) (กโิ ลกรมั ต่อวนั )
(6,395/1.96) = 3,265
ครอก (6,015/1.84) = 3,265
(6,150/1.88) = 3,265
125 55 11 6,395 1.96 (6,275/1.92) = 3,265
(5,870/1.80) = 3,265
150 45 12 6,015 1.84 (6,025/1.85) = 3,265

175 40 12 6,150 1.88

200 35 12 6,275 1.92

200 30 12 5,870 1.80

200 35 14 6,025 1.85

ที่มา : ดดั แปลงจาก NRC (1998)

170

ตารางที่ 4.16 ความตอ้ งการพลังงานของไก่ไข่ช่วงอายุ 36 – 52 สปั ดาห์ มีน้ำหนักไข่ 60 กรัม

นำ้ หนักตวั ผลผลติ ไข่ ความต้องการ ME การกินได้ ME ในอาหาร

(กโิ ลกรมั ) (เปอร์เซน็ ต์) (kcal/d) (กรมั ตอ่ วัน) (kcal/kg)

70 264 100 (264/0.10) = 2,640

1.5 80 276 100 (276/0.10) = 2,760

90 289 100 (289/0.10) = 2,890

70 305 110 (305/0.11) = 2,772

2.0 80 317 110 (317/0.11) = 2,881

90 330 110 (330/0.11) = 3,000

70 346 120 (346/0.12) = 2,883

2.5 80 358 120 (358/0.12) = 2,983

90 371 120 (371/0.12) = 3,091

*โดยปกติอาหารไก่ไขจ่ ะมพี ลงั งานทใี่ ชป้ ระโยชน์ได้ 2,900 กิโลแคลอรีต่ ่อกิโลกรัม

ทม่ี า : ดดั แปลงจาก NRC (1994)

แหล่งพลังงานท่ีสำคัญส่วนใหญ่เป็นการนำคาร์โบไฮเดรตมาใช้เปน็ แหล่งพลังงานเพราะมีราคาถูก แต่
หากจำเป็นที่จะต้องเพิ่มปริมาณความเข้มข้นของพลังงานให้สงู มากอาจจะต้องพิจารณาการนำไขมันมาใช้เพ่อื
เพ่มิ พลังงานในอาหาร ซง่ึ สามารถใช้ไดท้ ่ปี รมิ าณ 3 – 5 เปอรเ์ ซ็นต์ในสตู รอาหาร จะเพิ่มความนา่ กินและลดการ
เกิดฝนุ่ ของอาหารได้ แต่หากใชใ้ นปริมาณสงู จะสง่ ผลให้อาหารสัตว์มีความเหม็นหนื ไดง้ ่าย อกี ทง้ั การใช้ไขมันใน
ระดับสูงจะสง่ ผลกระทบตอ่ การกินได้ของสตั วท์ ี่จะมกี ารกินได้ทล่ี ดลง

นอกเหนือจากความต้องการโปรตีนและพลังงานที่ใช้ในการพิจารณาการประกอบสูตรอาหารและการ
ให้อาหารแล้วการให้สัตวไ์ ด้รับวิตามนิ และแร่ธาตุให้เพียงพอต่อความตอ้ งการเป็นอีกปัจจยั ที่จะส่งเสริมใหส้ ัตว์
สามารถดำเนนิ ชีวติ ไดอ้ ยา่ งเปน็ ปกติ แต่หากไดร้ บั มากเกนิ ความต้องการจะส่งผลให้เกิดความเปน็ พิษต่อร่างกาย
สตั วไ์ ดอ้ ีกดว้ ย อยา่ งไรก็ตามในสัตว์กระเพาะเด่ียวการพิจารณาปริมาณของโปรตีนทีไ่ ดร้ ับเป็นการพิจารณาอย่าง
หยาบเพราะคุณภาพของโปรตนี จะพิจารณาจากกรดอะมิโนรว่ มอยู่ด้วย หากกรดอะมิโนท่มี กั ขาดตัวแรก (First
limiting amino acid) และกรดอะมิโนที่จำเป็น (Essential amino acids) สำหรับสัตว์นั้น ๆ มีปริมาณท่ี
เพยี งพอต่อความตอ้ งการหรอื ไม่ เพราะจะส่งผลตอ่ ปริมาณการเจริญเติบโต และประสิทธิภาพของการใช้โปรตีน
ได้ หากกรดอะมโิ นมีเพียงพอต่อความต้องการจะส่งผลใหป้ ระสิทธิภาพของการใชโ้ ปรตีนดีข้ึน

171

ตารางที่ 4.17 ความต้องการโภชนะของไกไ่ ข่พันธ์ุเลก็ ฮอร์น (Leghorn)

รายการ (ต่อกิโลกรมั อาหาร) ชว่ งอายุ (สัปดาห์) ระยะไข่
0 - 6 6 - 12 12 - 18 18 – ไขฟ่ องแรก 18.80
2,900
โปรตีน (เปอรเ์ ซน็ ต์) 18.00 16.00 15.00 17.00
0.88
พลังงานทีใ่ ชป้ ระโยชน์ได้ (กโิ ลแคลอรี่) 2,850 2,850 2,900 2,900 0.21
0.81
กรดอะมโิ นทีจ่ ำเปน็ (เปอรเ์ ซน็ ต์) 1.03
0.86
อาร์จินีน 1.00 0.83 0.67 0.75 0.73
1.04
ฮสี ทิดนี 0.26 0.22 0.17 0.20 0.59
0.20
ไอโซลวิ ซีน 0.60 0.50 0.40 0.45 0.88

ลิวซีน 1.10 0.85 0.70 0.80 4.06
0.31
ไลซีน 0.85 0.60 0.45 0.52 0.19
0.19
เมทไธโอนีน + ซสี ทนี 0.62 0.52 0.42 0.47 0.16
625
ฟีนิลลานีน + ไทโรซนี 1.00 0.83 0.67 0.75 3,750
375
ทรีโอนนี 0.68 0.57 0.37 0.47 6
2.5
ทรปิ โตเฟน 0.17 0.14 0.11 0.12 1,310
13
วาลีน 0.62 0.52 0.41 0.46

แร่ธาตแุ ละวิตามนิ

แคลเซยี ม (เปอร์เซน็ ต์) 0.90 0.80 0.80 2.00

ฟอสฟอรัสทใ่ี ช้ประโยชน์ได้ (เปอร์เซ็นต์) 0.40 0.35 0.30 0.32

โพแทสเซียม (เปอร์เซ็นต์) 0.25 0.25 0.25 0.25

โซเดียม (เปอรเ์ ซน็ ต์) 0.15 0.15 0.15 0.15

คลอรีน (เปอร์เซ็นต์) 0.15 0.12 0.12 0.15

แมกนเี ซียม (มิลลกิ รมั ) 600 500 400 400

วติ ามินเอ (IU) 1,500 1,500 1,500 1,500

วิตามินดี 3 (ICU) 200 200 200 300

วิตามนิ อี (IU) 10 5 5 5

วติ ามินบี 5 (มลิ ลกิ รัม) 10 10 10 10

โคลีน (มิลลิกรมั ) 1,300 900 500 500

ไนอะซนี (มิลลกิ รมั ) 27 11 11 11

ทีม่ า : ดดั แปลงจาก NRC (1994)

172

ตารางที่ 4.18 ความต้องการโภชนะของไก่เน้ือ (Broiler) ช่วงอายุ 0 – 8 สัปดาห์

รายการ (ต่อกโิ ลกรมั อาหาร) ช่วงอายุ (สัปดาห์)
0-3 3-6 6-8

โปรตีน (เปอร์เซน็ ต์) 23.00 20.00 18.00

พลังงานทใ่ี ชป้ ระโยชนไ์ ด้ (กิโลแคลอร่ี) 3,200 3,200 3,200

กรดอะมิโนท่ีจำเป็น (เปอรเ์ ซ็นต์)

อาร์จินีน 1.25 1.10 1.00

ไกลซนี + ซีรีน 1.25 1.14 0.97

ฮีสทดิ นี 0.35 0.32 0.27

ไอโซลวิ ซนี 0.80 0.73 0.62

ลิวซนี 1.20 1.09 0.93

ไลซีน 1.10 1.00 0.85

เมทไธโอนีน + ซสี ทีน 0.90 0.72 0.60

ฟนี ลิ ลานนี + ไทโรซนี 1.34 1.22 1.04

ทรีโอนนี 0.80 0.74 0.68

ทริปโตเฟน 0.20 0.18 0.16

วาลีน 0.90 0.82 0.70

แรธ่ าตแุ ละวติ ามนิ

แคลเซยี ม (เปอรเ์ ซน็ ต์) 1.00 0.90 0.80

ฟอสฟอรัสทใี่ ช้ประโยชน์ได้ (เปอร์เซน็ ต์) 0.45 0.35 0.30

โพแทสเซยี ม (เปอร์เซน็ ต์) 0.30 0.30 0.30

โซเดยี ม (เปอรเ์ ซ็นต์) 0.20 0.15 0.12

คลอรีน (เปอรเ์ ซ็นต์) 0.20 0.15 0.12

แมกนเี ซยี ม (มลิ ลกิ รัม) 600 600 600

วติ ามินเอ (IU) 1,500 1,500 1,500

วติ ามนิ ดี 3 (ICU) 200 200 200

วติ ามินอี (IU) 10 10 10

วติ ามนิ บี 5 (มลิ ลิกรมั ) 10 10 10

โคลนี (มลิ ลกิ รัม) 1,300 1,000 750

ท่ีมา : ดัดแปลงจาก NRC (1994)

173

ตารางท่ี 4.19 ความต้องการโภชนะของสุกรขนุ (Fattening pigs) ในช่วงนำ้ หนกั ตัวต่าง ๆ

รายการ (ต่อกโิ ลกรมั อาหาร) น้ำหนกั ตัว (กิโลกรัม) 80 - 120
10 – 20 20 – 50 50 – 80 13.2
3,265
โปรตนี (เปอร์เซ็นต์) 20.9 18.0 15.5
0.14
พลงั งานทใ่ี ชป้ ระโยชนไ์ ด้ (กโิ ลแคลอรี่) 3,265 3,265 3,265 0.16
0.29
กรดอะมิโนทจี่ ำเปน็ (เปอร์เซ็นต์) 0.51
0.52
อารจ์ นิ นี 0.39 0.31 0.22 0.31
0.49
ฮสี ทิดีน 0.32 0.26 0.21 0.34
0.10
ไอโซลิวซีน 0.55 0.45 0.37 0.35

ลวิ ซนี 1.02 0.83 0.67 0.45
0.15
ไลซนี 1.01 0.83 0.66 0.17
0.10
เมทไธโอนนี + ซสี ทนี 0.58 0.47 0.39 0.10
0.04
ฟีนลิ ลานีน + ไทโรซีน 0.95 0.78 0.63 1,300
150
ทรโี อนนี 0.63 0.52 0.43 11
7
ทริปโตเฟน 0.18 0.15 0.12 300
7
วาลีน 0.69 0.56 0.45

แร่ธาตแุ ละวติ ามนิ

แคลเซียม (เปอร์เซ็นต์) 0.70 0.60 0.50

ฟอสฟอรัสทใี่ ช้ประโยชนไ์ ด้ (เปอรเ์ ซน็ ต์) 0.32 0.23 0.19

โพแทสเซียม (เปอรเ์ ซน็ ต์) 0.26 0.23 0.19

โซเดียม (เปอร์เซ็นต์) 0.15 0.10 0.10

คลอรนี (เปอร์เซน็ ต์) 0.15 0.10 0.10

แมกนเี ซยี ม (มิลลิกรมั ) 0.04 0.04 0.04

วติ ามินเอ (IU) 1,750 1,300 1,300

วติ ามนิ ดี 3 (IU) 200 150 150

วติ ามนิ อี (IU) 11 11 11

วิตามนิ บี 5 (มลิ ลกิ รัม) 98 7

โคลีน (มิลลกิ รมั ) 400 300 300

ไนอาซนี (มิลลิกรัม) 13 10 7

ทม่ี า : ดดั แปลงจาก NRC (1998)

ตารางที่ 4.20 ความต้องการโภชนะของสกุ รพ่อพันธ์ุ สุกรอ้มุ ท้อง และสกุ รให้นม 174

รายการ (ตอ่ กโิ ลกรัมอาหาร) ชนิดของสุกร สกุ รใหน้ ม
สกุ รพ่อพนั ธ์ุ สกุ รอุ้มทอ้ ง 17.50
3,265
โปรตีน (เปอรเ์ ซน็ ต์) 13.00 12.4
0.48
พลงั งานท่ีใชป้ ระโยชนไ์ ด้ (กโิ ลแคลอรี่) 3,265 3,265 0.36
0.50
กรดอะมโิ นท่จี ำเป็น (เปอร์เซน็ ต์) 0.97
0.91
อารจ์ นิ ีน -- 0.44
1.00
ฮีสทิดนี 0.19 0.17 0.58
0.16
ไอโซลิวซนี 0.35 0.31 0.76

ลิวซนี 0.51 0.45 0.75
0.35
ไลซีน 0.60 0.54 0.20
0.20
เมทไธโอนีน + ซสี ทีน 0.42 0.37 0.16
0.04
ฟนี ลิ ลานนี + ไทโรซนี 0.57 0.51 2,000
200
ทรโี อนีน 0.50 0.45 44
12
ทรปิ โตเฟน 0.12 0.11 1,000
10
วาลีน 0.40 0.36

แร่ธาตแุ ละวิตามิน

แคลเซียม (เปอรเ์ ซน็ ต์) 0.75 0.75

ฟอสฟอรสั ทใี่ ชป้ ระโยชนไ์ ด้ (เปอร์เซน็ ต์) 0.35 0.35

โพแทสเซียม (เปอรเ์ ซ็นต์) 0.20 0.20

โซเดียม (เปอร์เซ็นต์) 0.15 0.15

คลอรนี (เปอรเ์ ซน็ ต์) 0.12 0.12

แมกนเี ซียม (มลิ ลกิ รมั ) 800 0.04

วติ ามนิ เอ (IU) 4,000 4,000

วติ ามินดี 3 (IU) 200 200

วิตามนิ อี (IU) 44 44

วิตามินบี 5 (มิลลกิ รมั ) 3.75 12

โคลีน (มลิ ลิกรมั ) 1,250 1,250

ไนอาซีน (มิลลกิ รัม) 10 10

ท่ีมา : ดดั แปลงจาก NRC (1998)

175

ตารางท่ี 4.21 ความตอ้ งการโภชนะตอ่ วนั ของโคทตี่ อนแล้ว (Steers) แคลเซยี ม ฟอสฟอรัส
(กรัม) (กรัม)
นำ้ หนักตัว นำ้ หนกั เพ่ิม พลงั งานสทุ ธิ โปรตนี 22 14
(กโิ ลกรัม) (กิโลกรมั ตอ่ วัน) (เมกกะแคลอร่ี) (กรมั ) 25 15
29 16
0.6 7.84 646 22 17
300 0.8 8.69 704 25 17
27 18
1.0 9.57 755 22 18
0.6 9.73 728 24 19
400 0.8 10.79 780 26 19
1.0 11.87 821
0.6 10.63 767
450 0.8 11.78 815
1.0 12.96 852
ที่มา : ดัดแปลงจาก NRC (1998)

ตารางที่ 4.22 ความตอ้ งการโภชนะตอ่ วันของโคสาวท้อง (Pregnant heifers)

อายุครรภ์ นำ้ หนกั เพม่ิ พลงั งานสทุ ธิ โปรตนี แคลเซียม ฟอสฟอรัส
(กรมั )
(เดอื น) (กโิ ลกรัมต่อวนั ) (เมกกะแคลอร่ี) (กรมั ) (กรัม) 12
12
1 0.42 8.31 415 19 12
12
2 0.44 8.57 425 19 12
13
3 0.47 8.87 437 20 20
20
4 0.51 9.26 457 20 20

5 0.58 9.79 472 20

6 0.67 10.55 501 20

7 0.79 11.65 545 33

8 0.96 13.23 613 33

9 1.16 15.37 718 33

ทมี่ า : ดัดแปลงจาก NRC (1998)


Click to View FlipBook Version