สถานการณ์ดินโคลนถล่มในประเทศตา่ ง ๆ ในโลก
การเกิดแผน่ ดนิ โคลนถลม่ ในประเทศไทยและในตา่ งประเทศมีลักษณะคล้ายกัน คือ มักเกิดในพื้นทภ่ี ูเขาทมี่ ี
ความลาดชนั มกี ารปรบั พ้นื ท่ีป่าตั้งเดิมเป็นพนื้ ทเี่ กษตรกรรม สร้างบา้ นพักอาศัย สรา้ งรสี อร์ทบริการนักท่องเท่ียว และ
เมอ่ื มีฝนตกชุกต่อเนือ่ งยาวนานมากกวา่ 24 ชวั่ โมง มกั จะเกดิ แผน่ ดนิ ถลม่ เอาดนิ โคลน เศษหนิ ซากไม้ลงมาพร้อมกบั
สายนำ้ สรา้ งความเสยี หายทงั้ ตอ่ ชวี ิตและทรัพย์สินทกุ ครงั้ และการเกิดเหตุการณ์ดงั กลา่ วนมี้ กั เกิดถีข่ น้ึ และรุนแรงมาก
ขึ้นทุก ๆครงั้ ดว้ ย ตวั อย่างเช่น ประเทศยูกนั ดา ทวปี แอฟริกาไดเ้ กิดดินถล่มในหมู่บา้ นแถบเทอื กเขาทางภาคตะวันออก
ของประเทศ เม่ือเดอื นมีนาคม 2553 เนื่องจากมฝี นตกหนักในพืน้ ทอ่ี ยา่ งต่อเน่ือง และท่ีประเทศจีน วันท่ี 7 กรกฎาคม
2556 เกิดเหตุการณ์ดินโคลนถล่มทบั ร่างของประชาชนกว่า 30-40 คนในมณฑลเสฉวนของประเทศจีน เน่ืองจากฝนที่
ตกหนักจนทำใหเ้ กดิ น้ำท่วมฉับพลันมหี ลายพ้ืนทีซ่ ึง่ ได้รบั กระทบจากฝนทต่ี กหนักตดิ ต่อกันหลายวนั โดยเฉพาะที่มณฑล
เสฉวน
น้ำท่วม ดินโคลนถลม่ เสฉวนประเทศเทศจนี จาก “ซูเปอรไ์ ต้ฝุ่นซลู กิ (Soulik)”หลังจากหลายพื้นที่ของจนี
ประสบกบั พายุฝนที่โหมกระหนำ่ มาตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2556 ทำใหป้ ระชาชนตอ้ งเผชิญกบั อทุ กภยั และดิน
โคลนถล่ม สร้างความเสียหายต่อชีวติ และทรัพยส์ นิ จำนวนมาก จนี ยังเจอเคราะหซ์ ้ ากรรมซัดจากพายุไต้ฝุ่น “ซูลิก”
(Soulik)พดั เขา้ ถล่มอีกระลอก เมือ่ วนั ที่ 7 กรกฎาคม 2556 ทำใหเ้ กิดเหตกุ ารณ์ดนิ โคลนถลม่ ทบั ร่างของประชาชนกวา่
30-40 คนในมณฑลเสฉวนของประเทศจนี เนือ่ งจากฝนท่ีตกหนักจนทำให้เกดิ นำ้ ทว่ มฉับพลัน มหี ลายพืน้ ท่ีซงึ่ ไดร้ ับ
กระทบจากฝนทีต่ กหนักติดต่อกันหลายวนั โดยเฉพาะท่ีมณฑลเสฉวน สะพาน 3 แห่ง ได้พังถล่มลงมา เหตุดินโคลนถล่ม
และนำ้ ทว่ มเกิดข้นึ บ่อยในเขตภูเขาของจนี ทำใหม้ ีผเู้ สยี ชวี ติ หลายร้อยคนทุกปี ซึง่ ภัยธรรมชาติในครัง้ นี้ก่อใหเ้ กิดความ
เสียหายอย่างมาก เทยี บเทา่ กับการเกิดเหตุแผ่นดนิ ไหวครงั้ ใหญ่ 2 ครัง้ ในรอบ 5 ปี ทผี่ า่ นมา ทัง้ นี้ประเทศจนี ต้อง
ประสบกบั ภัยทางธรรมชาติมาโดยตลอดในระยะเวลา 30 ปี
กรกฎาคม 2556 ฝนกระหน่ำมณฑลเสฉวนทำให้เกิดนำ้ ทว่ มฉับพลนั ประชาชนนับหมน่ื เดือดรอ้ น
สถานการณ์ดินถล่ม เมืองตเู จียงเยี่ยน มณฑลเสฉวนทางภาคตะวันตกของจนี
ดนิ โคลนถล่มในอัฟกานิสถาน
เมอ่ื วันที่ 2 พฤษภาคม 2557 เกดิ เหตกุ ารณ์ดนิ โคลนถล่มในเขตชนบททางภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือของ
อฟั กานสิ ถานและคาดว่าอาจจะมผี ู้เสียชวี ติ หรือสญู หายกว่า 2,700 คน สำหรับเหตกุ ารณด์ นิ ถลม่ คร้ังน้ีสร้างความ
เสยี หายอย่างใหญห่ ลวง หมู่บ้านทัง้ หมู่บ้านถูกพดั กลนื หายไป ครอบครัวนับร้อยตอ้ งสูญเสยี ทุกส่ิงอยา่ ง
ภาพประกอบจาก WAKIL KOHSAR / AFP
ดินโคลนถล่มในประเทศยูกันดา ทวีปแอฟริกา
เม่อื เดือนมนี าคม 2553 เกิดภัยพบิ ัติทางธรรมชาตจิ ากดินโคลนถลม่ ทางภาคตะวนั ของประเทศยูกนั ดา
พบผู้เสียชีวิตราว 100 รายและสญู หายอีกกวา่ 300 คน ซง่ึ มีฝนตกลงมาอย่างหนักก่อนดินโคลนถล่มลงมาจากเขา
อานุภาพของมันกวาดทำลายต้นไมแ้ ละพุ่มไมล้ ้มระเนระนาด หมูบ่ ้านต้องจมอยู่ใต้โคลน
ดนิ โคลนถลม่ ทับหมู่บา้ นยูกนั ดา
ท่ีมา http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?News
แนวทางและการป้องกนั และแก้ไขปัญหาผลกระทบที่เกดิ จากดินโคลนถล่ม
ในการป้องกนั ภยั ธรรมชาติจากการเกดิ ดินโคลนถล่มน้ัน นอกเหนอื จากเป็นหนา้ ท่ีของผู้รับผิดชอบโดยตรงคือ
หน่วยงานของรฐั แลว้ ยงั มสี ว่ นของภาคประชาชน ท่ไี ด้เขา้ มามสี ว่ นร่วมในการหาแนวทาง ปอ้ งกนั ภยั แผ่นดนิ ถล่ม หรือ
ดินโคลนถลม่ ดังน้ี
4.1 แนวทางการปอ้ งกนั การเกดิ เหตดุ นิ โคลนถล่ม
4.1.1 แนวทางการป้องกันการเกิดเหตุดนิ โคลนถล่มท่ดี ำเนินการโดยหนว่ ยงานของรัฐ
การปอ้ งกนั ดนิ โคลนถล่มทีด่ ำเนินการโดยหน่วยงานของรฐั บาลในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเป็นการดำเนนิ การป้องกนั ดิน
โคลนถล่มทเ่ี กดิ ข้ึนในพ้นื ที่ที่มนุษย์เป็นผ้สู ร้างขึน้ เช่น การตัดภูเขาเพื่อสรา้ งถนน ทำให้เกิดแนวดนิ ข้างถนนท่ตี ดั ผ่าน
เป็นลักษณะลาดชนั การสร้างแนวปอ้ งกันต้องใช้งบประมาณมาก แตม่ คี วามจำเปน็ เนอ่ื งจากเป็นเส้นทางทีใ่ ช้ในการ
คมนาคม จงึ ต้องมีแนวทางในการป้องกนั ปญั หาดนิ โคลนถลม่ สรปุ ไดด้ ังนี้
1) ลดแรงกระทำซ่ึงเป็นเหตใุ หม้ วลดนิ เกิดการเคลอ่ื นตัวโดยปรับความลาดชัน
ภาพแสดงการปรบั ความลาดชนั
2) เพ่ิมกำลงั ให้มวลดิน เช่น ลดระดบั นำ้ ใต้ดินและลดความชนื้ ของดิน เปน็ ต้น
ภาพแสดงการเพม่ิ กำลงั ให้มวลดินโดยการลดระดับนำ้ ใต้ดินผา่ นทอ่ ระบายน้ำ
ทม่ี า :คดั ลอกจาก The Landslide Handbook-A Guide to Understanding Landslides. By Lynn M.
Highland,United States Geological Survey, andPeterBobrowsky, Geological Survey of Canada.
3) ตดิ ตง้ั อปุ กรณ์ทช่ี ว่ ยเพิ่มความต้านทานการเคลื่อนของมวลดนิ เช่น กำแพงกนั ดนิ หรอื การตอกเสาเขม็
ภาพแสดงโครงสรา้ งกำแพงกันดิน
4) การป้องกันหน้าดนิ โดยการปลกู พืชคลุมดนิ หรือการพ่นคอนกรีต
ภาพแสดงการรักษาหนา้ ดินโดยการปลูกพืชคลมุ ดนิ
4.1.2 แนวทางการป้องกนั การเกิดเหตุแผ่นดนิ ถล่มทีด่ ำเนนิ การโดยภาคประชาชน
การปอ้ งกนั การเกิดดินโคลนถล่มท่ีเกดิ ข้นึ เองตามธรรมชาตินนั้ นอกจากจะเปน็ หนา้ ท่ขี องหนว่ ยงานที่รับผดิ ชอบโดยตรง
แลว้ คนในชมุ ชนควรร่วมมือกันในการกำหนดแนวทางการป้องกันภัยพบิ ัติการเกดิ ดนิ โคลนถลม่ ในพืน้ ทีเ่ ส่ียง สรุปได้
ดงั นี้
1) ร่วมกนั ดูแล รกั ษา และป้องกนั ไม่ใหม้ ีการตดั ต้นไมท้ ำลายป่าในพื้นทป่ี ่าและบรเิ วณลำหว้ ยใหม้ คี วามอุดม
สมบรู ณ์
2) คนในชุมชนควรรว่ มกนั จดั สรรเขตพน้ื ที่ป่าเป็นเขตป่าอนุรักษ์และเขตป่าใช้ประโยชนอ์ อกจากกนั เพ่อื
ป้องกันการโคน่ ล้มต้นไม้
3) สำรวจบริเวณพื้นทท่ี ่ีมีความเสยี่ งในการเกิดดินโคลนถล่มโดยสังเกตลักษณะ
พน้ื ที่ ได้แก่
- เป็นภเู ขาหัวโล้น ทำให้ดินขาดรากไมย้ ึดเหน่ยี วอาจเกดิ การถล่มลงมาไดง้ า่ ย
- มีช้ันดนิ หนาวางตัวอยู่ตามลาดภเู ขาท่มี ีความลาดเอียงสูง หรอื เปน็ หน้าผา
- มชี น้ั หนิ ทีร่ องรับช้นั ดนิ เปน็ หนิ ชนดิ ที่ผงุ า่ ย
4) ทำลายหรือขนยา้ ยเศษกิ่งไม้ ต้นไมแ้ ห้งทถ่ี ูกนำ้ พัดมาสะสมขวางทางน้ำ
5) ควรทำการอพยพประชาชนทตี่ ้ังบา้ นเรอื นกดี ขวางทางน้ำข้นึ ไปอยู่บนเนนิ หรอื ทีส่ ูงช่วั คราว โดยเฉพาะ
อย่างย่งิ เมือ่ มีการเตือนภยั วา่ จะเกดิ ฝนตกหนกั ตดิ ตอ่ กนั
6) จัดตงั้ กลุม่ เครอื ข่ายเฝ้าระวังและแจง้ เหตุแผ่นดนิ ถล่ม
7) จัดทำแผนการอพยพแผนการช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประสบภยั และควรฝึกซอ้ มตามแผนการอพยพใน
โอกาสท่ีเสย่ี งจะเกิดแผ่นดินถล่ม
4.2 การเตรยี มความพร้อมรับสถานการณก์ ารเกิดดนิ โคลนถล่ม
4.2.1 ก่อนเกดิ เหตุการณ์ดนิ โคลนถลม่
ในกรณที ี่ตง้ั บา้ นเรือนหรอื ท่ีพักอาศยั อยู่ในพืน้ ท่ีเสย่ี งผมู้ คี วามเสยี่ งประสบเหตุดนิ โคลนถล่มควรปฏบิ ตั ติ น
ดังน้ี
1) สังเกตลักษณะบริเวณโดยรอบท่ีตงั้ ของชุมชนและบรเิ วณที่เสี่ยงภัยจากการเกดิ ดินโคลนถล่ม
(1) อย่ตู ิดกับภเู ขาและใกล้ลำหว้ ย
(2) มีร่องรอยดินไหล หรือดนิ เล่ือนบนภเู ขา
(3) มรี อยแยกของพ้นื ดนิ บนภูเขา
(4) อย่บู นเนินหน้าหุบเขาและเคยมีโคลนถล่มลงมาบา้ ง
(5) ถูกน้ำปา่ ไหลหลากและน้ำท่วมบอ่ ย
(6) มีกองหนิ เนินทรายปนโคลนและต้นไม้ในหว้ ยหรือใกลห้ ม่บู า้ น
2) สงั เกตและเฝา้ ระวังนำ้ และดิน
(1) มีฝนตกหนักถึงตกหนักมากตลอดท้ังวนั
(2) ปรมิ าณน้ำฝนมากกวา่ 100 มิลลเิ มตรตอ่ วัน
(3) มีเสียงดังผิดปกติบนภูเขาและในลำหว้ ย เน่อื งจากการถล่มและเล่อื นไหล
ของนำ้ ดนิ และตน้ ไม้
(4) ระดับน้ำในลำห้วยสงู ข้ึนอย่างรวดเร็ว และมนี ำ้ ไหลหลากลน้ ตลิ่ง
(5) สีของน้ำขนุ่ ขน้ และเปลีย่ นเปน็ สีดินของภูเขา
(6) มเี ศษของตน้ ไม้ขนาดเลก็ ไหลมากบั นำ้
3) การเตรียมความพรอ้ มรบั สถานการณ์ดินโคลนถลม่
(1) ติดตามสถานการณแ์ ละข่าวการพยากรณ์อากาศทางสถานวี ทิ ยุกระจายเสียงท้องถน่ิ เสียงตามสาย
หอกระจายข่าวประจำหมบู่ า้ นอยา่ งใกลช้ ิด
(2) จดั เตรียมอาหาร นำ้ ดม่ื ยารกั ษาโรค และอุปกรณฉ์ ุกเฉินท่ีจำเปน็ ตอ้ งใชเ้ มื่อประสบเหตุ
(3) ซ้อมแผนการอพยพ แผนการชว่ ยเหลือและฟืน้ ฟูผู้ประสบภัยแผ่นดินถลม่
(4) หากมีการติดตง้ั อปุ กรณ์สำหรับเตอื นภัยไวใ้ นพ้นื ท่ีเสยี่ งภยั ผู้มีส่วน
เกยี่ วข้องหรือผทู้ ี่มีความเสี่ยงประสบเหตุ ควรหมัน่ ตรวจสอบอุปกรณแ์ จง้ เตือนภยั ใหอ้ ยู่ในสภาพทีส่ มบูรณ์พรอ้ มใช้งาน
อยู่เสมอ
(5) หากสงั เกตแล้วพบว่ามีความเสี่ยงในการเกิดดินโคลนถล่ม ควรทำการอพยพออกจากพน้ื ที่ท่ีมีความ
เส่ยี ง หรืออยู่ในบริเวณทปี่ ลอดภัย
(6) แจ้งสถานการณ์ทเี่ กดิ ขึ้นให้กับเจา้ หนา้ ทที่ ่เี กีย่ วข้อง หรอื ผนู้ ำชมุ ขนให้ทราบโดยเรว็ เพอื่ แจ้งเตือน
ภยั ให้ผ้ทู ี่มคี วามเส่ียงประสบเหตรุ ายอ่ืน ๆ ได้ทราบอย่างท่ัวถงึ และเตรยี มความพร้อมได้อยา่ งทนั ทว่ งที
4.2.2 การปฏิบัติขณะเกิดดนิ โคลนถลม่ ผู้ประสบเหตดุ ินโคลนถลม่ ควรปฏิบตั ิตน ดงั นี้
1) ต้งั สติ แลว้ รวบรวมอุปกรณ์ฉุกเฉินท่ีจำเป็นต้องใชเ้ มื่อประสบเหตุ
2) ทำการอพยพออกจากพ้นื ทเ่ี ส่ียง หรอื อยู่ในบรเิ วณที่ปลอดภัย
3) แจง้ สถานการณ์เจ้าหนา้ ท่ีที่เก่ยี วข้อง ผ้นู ำชุมขนให้ทราบเพ่ือแจง้ เหตุ และเตรียมการชว่ ยเหลอื ผ้ปู ระสบภยั
ตามแผนการชว่ ยเหลือและฟ้ืนฟูผปู้ ระสบภัยแผ่นดินถล่ม
4.2.3 การปฏิบตั หิ ลงั เกดิ ดินโคลนถล่มผู้ประสบเหตุดินโคลนถลม่ ควรปฏิบตั ติ น ดงั น้ี
1) ตดิ ตามสถานการณ์และขา่ วการพยากรณ์อากาศออกอากาศสถานวี ิทยุกระจายเสียงท้องถน่ิ เสยี งตามสาย
หอกระจายขา่ วประจำหม่บู า้ นอย่างใกลช้ ดิ เพ่ือป้องกันการเกดิ เหตุซำ้
2) จดั เวรยามเพ่ือเดนิ ตรวจตาดูสถานการณร์ อบ ๆ หมู่บา้ นเพอ่ื สงั เกตสิ่งผิดปกติ
3) ตดิ ตอ่ ขอรบั ความชว่ ยเหลือและฟน้ื ฟจู ากบุคคลหรอื หน่วยงานท่ีเกยี่ วข้อง
ดนิ ถลม่ ทบั หมบู่ ้านทต่ี ง้ั อยใู่ นหบุ เขา ท่ีอำเภอลับแล จงั หวัดอตุ รดติ ถ์วนั ท่ี 22 พฤษภาคม 2549
ใบงาน
เร่อื ง สถานการณด์ นิ โคลนถล่มในประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ ในโลก
1. ให้ผ้เู รยี นอธบิ ายถึงสถานการณ์ดนิ โคลนถลม่ ในประเทศไทย
............................................................................................................................. ...............................................................
............................................................................................................................................ ................................................
............................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................... ...................................................................
............................................................................................................................. ...............................................................
........................................................................................................................................................... .................................
............................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...............................................................
............................................................................................................................. ...............................................................
......................................................................................................................................................................... ...................
............................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...............................................................
............................................................................................................................. ...............................................................
2 ใหผ้ เู้ รยี นอธบิ ายวธิ เี ตรียมความพรอ้ มรับสถานการณ์การเกิดดินโคลนถลม่ และวิธปี ฏิบตั ติ นขณะเกดิ ดินโคลนถล่ม
............................................................................................................................. ...............................................................
.................................................................................................................................................... ........................................
............................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...............................................................
............................................................................................................................. ...............................................................
................................................................................................................................................................... .........................
............................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...............................................................
............................................................................................................................. ...............................................................
.................................................................................................................................................................................. ..........
............................................................................................ ................................................................................................
............................................................................................................................. ...............................................................
แบบทดสอบหลังเรียน
คำชีแ้ จง เลือกคำตอบท่ถี ูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว
1. ข้อใดไม่ใช่ธรณีพบิ ัตภิ ยั
ก. ดนิ ถลม่ แผน่ ดินไหว
ข. หลุมยบุ สนึ ามิ
ค. ภูเขาไฟระเบดิ ดินถล่ม
ง. ไฟป่า วาตภัย
2. ข้อใดมีความเสีย่ งทีจ่ ะประสบภัยดินโคลนถล่ม
ก. บา้ นนายซอี ยู่รมิ หาด
ข. บา้ นนางนอ้ ยอย่ทู ีร่ าบลุ่ม
ค. บ้านนายสูงอย่ทู ีล่ าดเชิงเขา
ง. บา้ นนางหนูดอี ย่ทู ีร่ าบสูง
3.ถา้ มเี หตุจำเปน็ ต้องเดินทางไปในท่ีทม่ี ีโอกาสเกิดดนิ โคลนถล่ม ขอ้ ใดเป็นการเฝ้าระวังอันตรายทด่ี ีที่สดุ
ก. ติดตามรบั ฟังข่าวสารจากหนว่ ยงานราชการ
ข. ถา้ ไดย้ ินเสยี งดงั และนำ้ ในลำหว้ ยเพ่มิ ข้นึ อยา่ งรวดเรว็ และมสี ีของดนิ ใหร้ บี หลบให้พ้นทางนำ้
ค. โทรศัพท์สอบถามเจ้าหนา้ ท่ีของกรมปา่ ไม้
ง. พิจารณาจากปริมาณนำ้ ฝน
4.ขอ้ ใดมกั เกิดพร้อมดินถล่ม
ก. นำ้ ปา่
ข. แผน่ ดินไหว
ค. ลมแรง
ง. อุทกภยั
5. หลุมยุบมักจะเกดิ ในหนิ ชนิดใด
ก. หนิ ปูน
ข. หนิ แกรนิต
ค. หนิ ทราย
ง. หินกรวดมน
6. ขอ้ ใดเป็นสญั ญาณเตือนการเกิดสนึ ามิ
ก. นำ้ ทะเลมีคลืน่ ลมสงบ
ข. นำ้ ทะเลมีคล่นื ลมแรง
ค. น้ำทะเลลดระดับลงอย่างรวดเร็ว
ง. นำ้ ทะเลมสี ีผดิ ปกติ
7. ขอ้ ใดคือวิธีการเอาตวั รอดท่ดี ที ี่สุดจากแผน่ ดินไหว
ก. ถ้าอยนู่ อกอาคารใหพ้ ยายามออกให้ห่างจากอาคารให้มากทส่ี ดุ
ข. ถา้ อยภู่ ายในอาคารใหห้ ลบอย่ใู ตโ้ ต๊ะ
ค. ไม่ใชล้ ิฟต์
ง. ถกู ทกุ ขอ้
8. ภูเขาไฟที่ยังมีพลงั ส่วนใหญ่ตง้ั อยู่ท่ีใด
ก.ทวีปอเมริกา
ข. ประเทศญี่ปนุ่
ค. วงแหวนแห่งไฟ
ง.รอบคาบสมทุ รแอตแลนติก
9. ข้อใดต่อไปน้ีไม่ใช่สาเหตุการเกดิ สนึ ามิ
ก. การทดลองระเบิดปรมาณใู ตน้ ้ำ
ข. แผน่ ดนิ ไหว
ค. ภเู ขาไฟใตน้ ำ้ ระเบิด
ง. ลมพายุ
10. ขอ้ ใดเปน็ การปฏิบตั ติ วั ท่ีไม่ถกู ต้องในภาวะการเกิดแผ่นดนิ ไหว
ก. ต้งั สติและหลบอยู่ใตโ้ ต๊ะจนกวา่ การสน่ั สะเทือนหยดุ ลง
ข. ใช้ลิฟตแ์ ละออกมาจากตัวอาคารอย่างรวดเรว็
ค. ถา้ อย่ภู ายนอกให้รีบออกหา่ งจากอาคารสูง
ง. ถา้ ขบั รถอยู่ ให้พยายามจอดในทีร่ าบและรอจนกวา่ การส่นั สะเทือนจะหยดุ
เฉลยแบบทดสอบหลังเรียน
1.ง 2.ค 3.ก 4.ก 5.ง 6.ง 7.ง 8.ข 9.ก 10.ข
บนั ทกึ หลังการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้
ครงั้ ท…ี่ ………..วันท่ี…………..…………………..เดือน………………………..พ.ศ. …………………………………..
สถานท…ี่ …………………………………………………………………………………………………………………………..
กจิ กรรมการเรียนรู้
................................................................................................. ................................................... ........................................
............................................................................................................................. ...............................................................
......................................................................................................................................................... ...................................
............................................................................................................................................................................................
................................................................................................................. ...........................................................................
............................................................................................................................. ........................................................ .......
......................................................................................................................................................................... ...................
...........................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...............................................................
............................................................................................................................. ...............................................................
สภาพปัญหาทพี่ บ
......................................................................................................................................................................... ...................
............................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..............................................................
............................................................................................................................. ...............................................................
วธิ ีแกป้ ัญหา
........................................................................................................................................................................... .................
............................................................................................................................................................................................
........................................................................................................................... .................................................................
............................................................................................................................. ...............................................................
ลงชอ่ื ..................................................ผบู้ นั ทึกหลงั การจดั กิจกรรมการเรียนรู้
(..................................................)
ขอ้ เสนอแนะของผู้บรหิ าร
............................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...............................................................
..................................................................................................................................... .......................................................
ลงชอื่ .......................................................
(………………………………….)
ผู้อำนวยการศูนย์การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอำเภอยางชุมน้อย
แผนการเรียนรรู้ ายวชิ าการเรียนรู้สภู้
ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย ภ
ชื่อหน่วยการเรยี นร้ทู ่ี……5…… เรือ่ ง…ความหมาย
รายวชิ า/ ตัวชวี้ ดั เนือ้ หา
หัวเร่อื ง
ความหมาย - บอกความหมายของไฟป่า - ความหมายของไฟป่า
และลกั ษณะ - บอกสาเหตุและปจั จัยการเกดิ - สาเหตแุ ละปจั จัยการเดนิ ไฟป่า
การเกิดไฟ ไฟปา่ - ชนิดของไฟป่า
ป่า - บอกชนดิ ของไฟป่า - ผลกระทบที่เกิดจากไฟป่า
- บอกผลกระทบทเ่ี กิดจากไฟป่า - ฤดกู าลเกิดไฟป่าในประเทศไทย
- บอกฤดูกาลการเกดิ ไฟปา่ ในแต่ และประเทศต่างๆ ในโลก
ละพน้ื ที่ของประเทศไทย
ประเทศต่าง ๆ ในโลก
ภัยธรรมชาติ 3 รหัสวชิ า สค 32032
ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2563
ยและลักษณะการเกิดไฟปา่ …สปั ดาหท์ ่ี…10………
การจดั กระบวนการเรยี นรู้ สอื่ และแหล่ง การวดั และ
เรยี นรู้ ประเมนิ ผล
ขนั้ ที่ 1 กำหนดสภาพ ปัญหา ความต้องการใน
การเรยี นรู้ (O: Orientation) - หนังสือ - ใบงาน
เรยี น - แบบสอบ
1.1 ผเู้ รียนรว่ มกนั แสดงความคิดเหน็
เกี่ยวกับ รปู ภาพภัยธรรมชาติ ทเ่ี กิดขน้ึ ในปจั จุบนั - ใบความรู้ สอบก่อน
และครูวัดความรู้พ้นื ฐานและกระตุ้นให้ผเู้ รียนเกดิ - ห้องสมดุ / เรยี น
การเรียนรู้โดยใชค้ ำถาม อินเตอร์เน็ต -
ขัน้ ที่ 2 แสวงหาขอ้ มลู และจดั การเรยี นรู้
(N: New ways of learning) แบบทดสอบ
2.1ใหน้ กั ศึกษาศกึ ษาความรู้ เร่อื งแนวทางการ หลงั เรียน
ปองกันและการแกไขปญหาผลกระทบทเี่ กดิ จาก
ไฟปา ตามท่ีครูแบง่ หัวข้อใหศ้ ึกษา
2.2 ครแู บง่ กลุม่ ใหน้ ักศึกษา 5-6 คน ออกมาสรปุ
เน้อื หาท่ีได้รับมอบหมาย
2.3 ใหน้ ักศึกษาทำใบงานที่ครูแจกให้
ขน้ั ที่ 3 ปฏิบตั ิและนำไปประยกุ ต์ใช้
(I: Implementation)
3.1 นักศึกษาและครรู ่วมกนั สรปุ หรือวิเคราะห์
เนือ้ หาอีกครง้ั หนึ่ง
ขนั้ ที่ 4 ประเมนิ ผลการเรียนรู้ (E: Evaluation)
4.1 สังเกตพฤติกรรมการเรียนรรู้ ายบุคคล
(ตามสภาพจรงิ )
4.2 แบบประเมินใบงาน
แบบทดสอบก่อนเรยี น
คำชีแ้ จง เลอื กคำตอบท่ีถกู ต้องทสี่ ุดเพยี งคำตอบเดียว
1. การลดลงของพน้ื ทป่ี ่าไม้มีผลกระทบต่อข้อใดมากท่ีสุด
ก. การสร้างท่ีอยู่อาศัย
ข. พื้นท่ีการเกษตร
ค. ผลติ ผลจากป่า
ง. จำนวนสตั วป์ า่
2. ข้อใดเป็นพลงั งานหมุนเวียน
ก. พลงั งานจากถ่านหิน
ข. พลงั งานจากปิโตรเลียม
ค. พลงั งานแสงอาทิตย์
ง. พลังงานจากการใช้ฟืนและถา่ น
3. การท่บี ริเวณพ้นื ที่ฝ่ังธนบุรกี ลายเป็นเมืองที่มตี ึกสงู ใหญท่ ั่วไปน้นั สอดคล้อง
กับวิกฤตการณ์เก่ียวกบั ทีด่ นิ ในขอ้ ใด
ก. การเพ่ิมธรุ กิจดา้ นการค้ามากขึน้
ข. การใชท้ ่ดี ินมีการเปลยี่ นแปลงอยตู่ ลอดเวลา
ค. ชุมชนเมืองขยายตวั เขา้ ไปในพ้ืนทเ่ี กษตรกรรม
ง. การพัฒนาเศรษฐกจิ ของประเทศไทยอย่างรวดเร็ว
4. การจัดต้งั นิคมอุตสาหกรรมมาตาพุด จังหวัดระยอง สอดคลอ้ งกบั วิกฤตการณ์
เก่ียวกบั ท่ีดนิ และทรัพยากรดินในขอ้ ใด
ก. การยึดครองทีด่ นิ เป็นไปตามความต้องการของนักธรุ กจิ
ข. การบุกรกุ ที่ดินทางการเกษตรเพื่อการอุตสาหกรรม
ค. การขยายตวั ทางดา้ นอุตสาหกรรมอยา่ งรวดเร็ว
ง. การบกุ รกุ ที่ดนิ ปา่ ไม้ ป่าสงวน
5. พ้ืนทีท่ ี่เส่ียงต่อการเกดิ การทรดุ ตัว หรือแผน่ ดนิ ถล่มระดบั สงู มีอยใู่ นภาคใด
ของประเทศไทย
ก. ภาคตะวนั ตก
ข. ภาคตะวนั ออก
ค. ภาคเหนอื ภาคใต้
ง. ทกุ ภาคของประเทศไทย
6. การสรา้ งถนนขนึ้ สเู่ ขาใหญ่มผี ลเสียอยา่ งไร
ก. เม่ือทางสะดวกทาใหม้ ีการบุกรุกทด่ี ินมากข้นึ
ข. กดี ขวางทางด้านการเพาะปลูก
ค. ทางลาดชันก่อให้เกดิ อนั ตราย
ง. ตน้ ไม้ถกู ทาลาย
7. การเกดิ ไฟปา่ มีผลเสียตอ่ ขอ้ ใดมากที่สดุ
ก. ตน้ ไม้ไดร้ ับความร้อน
ข. สตั ว์ป่าหนีออกนอกป่าสงวน
ค. สญู พันธไุ์ ม้ พนั ธสุ์ ตั วป์ ่า
ง. บ้านเรอื น ทรพั ย์สินของชาวบา้ นเสยี หาย
8. แหลง่ นา้ มันส่วนใหญ่ของโลกอยู่บรเิ วณใด
ก. ตะวนั ออกกลาง
ข. ตะวันออก
ค. แอฟริกา
ง. เอเชยี
9. การนา พลังงานปรมาณูมาใช้มขี ดี จา กัดในเร่ืองใด
ก. คา่ ใช้จา่ ยในการลงทุนค่อนขา้ งสงู
ข. ต้องใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการผลิต
ค. การใช้อยใู่ นขอบเขตเฉพาะทางการแพทย์
ง. สารกัมมันตภาพรงั สีเปน็ อันตรายต่อมนุษยแ์ ละสงิ่ แวดลอ้ ม
10. การเกิดภาวะโลกร้อนมีสาเหตุสา คัญในข้อใด
ก. มนุษย์เปน็ ตวั การสา คญั ในการปล่อยแกส๊ เรอื นกระจกออกสู่บรรยากาศ
ข. เกิดโรคระบาดอยา่ งรุนแรงทา ความเสยี หายต่อชวี ติ มนษุ ย์
ค. ป่าไม้ลดนอ้ ยสง่ ผลกระทบต่อสง่ิ มีชีวติ ในปา่
ง. เกิดไฟป่าอย่างตอ่ เน่ือง
เฉลยขอ้ สอบก่อนเรียน
1. ง 2. ค 3. ก 4. ง 5. ก 6. ง 7. ค 8. ค 9. ก 10. ข
ใบความรู้
เรอื่ ง ความหมายและลกั ษณะการเกิดไฟปา่
ความรู้เก่ยี วกบั ไฟป่า
ความหมายของไฟปา่ "ไฟป่า" คอื ไฟทเี่ กิดขนึ้ จากสาเหตุอนั ใดก็ตามแลว้ ลกุ ลามไปไดโ้ ดยอสิ ระปราศจากการ
ควบคมุ ท้งั น้ีไม่ว่าไฟนน้ั จะลุกลามเขา้ ปา่ ธรรมชาติหรอื สวนป่า
องคป์ ระกอบของไฟ (สามเหลยี่ มไฟ)
ไฟเปน็ ผลลพั ธท์ ี่เกิดจากขบวนการทางเคมี เม่ือมีองคป์ ระกอบทง้ั 3 ประการมารวมตัวกนั ในสัดสว่ นท่เี หมาะสมและเกิด
การสนั ดาปใหเ้ กิดไฟข้นึ คือ
1. เชือ้ เพลงิ ได้แก่ อนิ ทรียส์ ารทุกชนิดทตี่ ดิ ไฟได้ เชน่ ตน้ ไม้ ไมพ้ ุ่ม กงิ่ ไม้ ก้านไม้
ตอไม้ กอไผ่ รวมไปถงึ ดนิ อนิ ทรีย์ และชน้ั ถา่ นหินท่ีอยใู่ ตผ้ ิวดนิ
2. ความรอ้ น ซ่งึ จะมาจาก 2 แหลง่ คือแหล่งความร้อนตามธรรมชาติ เช่น ฟ้าผา่
การเสียดสขี องก่ิงไมแ้ ละแหล่งความรอ้ นจากการกระทำของมนษุ ย์ เชน่ การจดุ ไฟในป่าด้วยสาเหตุตา่ งๆ
3. ออกซเิ จน เป็นกา๊ ซทีม่ ีโดยท่วั ไปในปา่ ซง่ึ จะมกี ารแปรผนั ตามทิศทางของลม
ชนิดของไฟปา่
ไฟป่า แบ่งเป็น 3 ชนดิ ซ่ึงตามลกั ษณะของเชอื้ เพลิงทีถ่ ูกเผาไหม้ ได้แก่ ไฟใต้ดิน ไฟผิวดิน และไฟเรือนยอด
1. ไฟใต้ดนิ เป็นไฟท่ีไหม้อินทรยี ์ วัตถุทส่ี ะสมอยู่ในดนิ โดยลุกลามไปช้าๆใต้ผวิ ดนิ ซ่ึงยากทจี่ ะสงั เกตเหน็ ได้ เนือ่ งจาก
เปลวไฟหรอื แสงสวา่ งไมโ่ ผล่พ้นข้ึนมาบนดนิ เลย ทั้งควันก็มีนอ้ ยยากต่อการดำเนินการดบั ไฟ ในประเทศไทยพบไฟใตด้ ินในป่า
พรุแถบภาคใตข้ องประเทศ ซึ่งไฟใตด้ นิ ยังสามารถแบง่ ออกได้ 2 ชนิด คือ
- ไฟใต้ดินสมบรู ณ์แบบ คือไฟท่ีไหม้อยใู่ ตผ้ ดิ พ้ืนป่าจรงิ ๆ ต้องใชเ้ ครื่องมอื พิเศษในการตรวจจับความรอ้ นจงึ จะพบไฟ
ชนิดน้ี
- ไฟกงึ่ ผวิ ดนิ ก่ึงใตด้ ิน ไดแ้ ก่ไฟท่ีไหม้ไปในแนวระนาบตามพน้ื ป่าเชน่ เดยี วกบั ไฟผิวดนิ ขณะเดียวกันส่วนหน่งึ ก็ไหม้ใน
แนวด่ิงลกึ ลงไปในช้ันใต้ผวิ พ้ืนป่า
2. ไฟผวิ ดิน เป็นไฟทเี่ ผาไหม้เช้ือเพลิงบนผวิ ดิน ไฟชนดิ น้ีจะเผาไหมล้ ุกลามไปตามผืนปา่ ซ่งึ เช้ือเพลงิ ส่วนใหญไ่ ด้แก่ หญ้า
ใบไม้แห้ง ก่งิ ไม้ที่ร่วงหลน่ ลกู ไม้ รวมทัง้ ไม้พุ่มตา่ งๆ ไฟชนิดนมี้ ีการลุกลามอยา่ งรวดเรว็ ซึง่ ความรนุ แรงจะขึน้ อยู่กับความ
หนาแนน่ ของเช้ือเพลิง ไฟปา่ ที่เกดิ ขึ้นในประเทศไทยสว่ นใหญเ่ ปน็ ไฟชนิดนี้
ลักษณะการไหม้ของไฟผวิ ดิน
3. ไฟเรอื นยอด เปน็ ไฟทีลุกลามไปตามเรือนยอดของต้นไม้ โดยเฉพาะในป่าสน ซึง่ ไมช้ นดิ นี้มยี างซ่งึ ชว่ ยให้เกิดการ
ลกุ ลามได้ดี โดยมี 2 ลกั ษณะคอื ลักษณะท่ีอาศยั ไฟผิวดนิ เป็นส่อื ในการลุกไหม้ก่อนไหมล้ ุกลามไปตามเรือนยอด และไปสู่
เรอื นยอดต้นอืน่ ต่อไป และท่ีไม่อาศัยไฟผวิ ดนิ เปน็ ส่ือ เกดิ ในปา่ ทม่ี เี รือนยอดแน่นทึบตดิ กันและมีไมย้ ืนตน้ ชนดิ ทต่ี ดิ ไฟไดง้ ่าย
ซ่งึ รนุ แรงและยากต่อการควบคุม เราสามารถแบ่งไฟเรือนยอดออกเป็น 2 ชนดิ ดังนี้
3.1 ไฟเรอื นยอดท่ตี ้องอาศยั ไฟผวิ ดนิ เปน็ ส่ือ คือไฟทต่ี ้องอาศัยไฟที่ลกุ ลามไฟตามผวิ ดินเป็นตวั นำเปลวไฟข้ึนไฟสู่
เรือนยอดของตน้ ไม้ ลักษณะของไฟชนิดนจ้ี ะเห็นไฟผิวดินลกุ ลามไปก่อนแลว้ ตามดว้ ยไฟเรอื นยอด
3.2 ไฟเรือนยอดท่ีไม่ตอ้ งอาศัยไฟผวิ ดนิ เกิดในผา่ ทีม่ ตี ้นไม้ท่ีติดไฟไดง้ า่ ยและมีเรอื นยอดแนน่ ทบึ ต่อตดิ กนั การลกุ ลาม
จะเปน็ ไปอยา่ งรวดเร็วและรุนแรงจากเรือนยอดหนึ่งไปสู่อีกเรือนยอดหนงึ่ และเม่อื ลูกไฟตกลงบนพ้ืนป่า ก็จะทำให้เกิดไฟผวิ
ดนิ ไฟพร้อมๆ กนั ด้วย
สว่ นตา่ งๆ ของไฟ
รปู ร่างของไฟ ประกอบด้วย
1. หวั ไฟ คอื สว่ นของไฟทล่ี ุกลามไปตามทิศทางลม หรือลกุ ลามข้นึ ไปตามความ
ลาดชันของภูเขา เป็นส่วนของไฟที่มีอตั ราการลุกลามรวดเร็วทส่ี ุด มเี ปลวไฟยาวท่ีสดุ มีความรุนแรงของไฟมากท่สี ุด จึงเป็น
สว่ นของไฟท่มี ีอนั ตรายมากท่ีสดุ ด้วยกนั เชน่ กัน
2. หางไฟ คอื ส่วนของไฟท่ีไหม้ไปในทิศทางตรงกนั ขา้ มกับหวั ไฟ คือไหม้สวนทางลม
หรือไหม้ลงมาตามลาดเขา ไฟจงึ ลุกลามไปอยา่ งชา้ ๆ เปน็ สว่ นของไฟท่ีเข้าควบคุมได้งา่ ยที่สุด
3. ปกี ไฟ คอื สว่ นของไฟท่ีไหม้ตั้งฉากหรือขนานไปกับทิศทางหลกั ของหัวไฟ ปีกไฟแบ่งเปน็ ปกี ซา้ ยและปีกขวา โดย
กำหนดปีกซ้ายปกี ขวาจากการยืนที่หางไฟแลว้ หนั หนา้ ไปทางหัวไฟ ปีกไฟโดยทัว่ ไปจะมีอตั ราการลุกลามและความรนุ แรง
นอ้ ยกวา่ หัวไฟ แต่มากกวา่ หางไฟ
4. นว้ิ ไฟ คือส่วนของไฟท่ีเป็นแนวยาวแคบๆ ย่นื ออกไปจากตวั ไฟหลัก นิ้วไฟแต่ละน้ิวจะมีหัวไฟและปีกไฟของมันเอง นวิ้
ไฟเกิดจากเง่ือนไขของลักษณะเช้อื เพลิง และลักษณะความลาดชนั ของพ้นื ที่
5. ขอบไฟ คือขอบเขตของไฟป่านั้นๆ ในชว่ งเวลาหนงึ่ ๆ ซึ่งอาจจะเปน็ ช่วงท่ีไฟกำลังไหม้ลกุ ลามอยู่หรือเปน็ ช่วงที่ไฟนนั้
ได้ดบั ลงแลว้ โดยส้ินเชิง
6. งา่ มไฟ คอื ส่วนของขอบไฟท่อี ย่รู ะหว่างน้วิ ไฟ ซ่ึงจะมีอตั ราการลกุ ลามช้ากว่านิ้วไฟ ท้งั น้ีเนื่องจากเง่ือนไขของลักษณะ
เชอื้ เพลงิ และลักษณะความลาดชนั ของพ้นื ท่ี
7. ลกู ไฟ คือส่วนของไฟที่ไหม้นำหน้าตวั ไฟหลกั โดยเกิดจากการท่สี ะเก็ดไฟจากตัวไฟหลกั ถูกลมพันใหป้ ลิวไปตกหนา้ แนว
ไฟหลกั และเกดิ การลุกไหม้กลายเปน็ ไฟป่าขึ้นอีกหนึ่งไฟ
สาเหตขุ องการเกดิ ไฟปา่
ไฟป่าจะเกดิ ขึน้ ไดห้ รือไม่ต้องอาศยั ปจั จัย 3 สงิ่ คือ เชอ้ื เพลงิ ออกซเิ จน และความร้อน ซง่ึ เป็น"องคป์ ระกอบของไฟ" โดย
ปกตนิ น้ั ในปา่ มีทง้ั เช้อื เพลงิ เช่น ก่ิงไม้ใบไมแ้ หง้ ต่างๆและออกซิเจนหรอื อากาศอยแู่ ลว้ หากมีความร้อนขึ้นย่อมทำให้เกิดไฟปา่
ข้นึ ฉะน้ัน"ความร้อน"จึงเปน็ สาเหตุท่ที ำให้เกดิ ไฟปา่ ข้ึน
ตน้ เหตทุ ่ีทำให้เกดิ ความรอ้ นข้ึนจนกระท่ังกลายเปน็ ไฟป่าอาจเกิดจากธรรมชาติเอง เช่น ตน้ ไมเ้ สียดสกี ัน ฟา้ ผา่ เปน็ ต้น หรอื
จากคนทจ่ี ุดไฟข้นึ ด้วยวัตถปุ ระสงคต์ ่างๆ ในประเทศไทยไม่พบไฟป่าที่เกดิ โดยความร้อนตามธรรมชาติ สว่ นใหญ่เกดิ จากฝมี อื
ของคนทง้ั สน้ิ มนุษย์จงึ เปน็ ต้นเหตุของไฟปา่ ทีส่ ำคญั ยิ่ง
"สาเหตุ" ทท่ี ำใหเ้ กิดไฟปา่ โดยฝีมือของมนุษย์ทั้งต้ังใจหรอื โดยประมาทในประเทศไทยแบ่งตามลกั ษณะของ
กิจกรรมและวัตถุประสงค์ท่เี กิดขนึ้ ดังนี้
-ล่าสัตว์ จุดไฟเพ่ือใหส้ ตั ว์หนีออกจากท่ีซ่อน เพ่ือสะดวกในการลา่
- เผาไร่- เผากำจดั วัชพืช เตรียมพื้นท่ีเพาะปลกู โดยปราศจากการควบคมุ ทำให้ไฟลกุ ลามเขา้ ไปในปา่
- หาของปา่ ตีผ้ึง เก็บไข่มดแดง ผักหวาน หนอ่ ไม้ เหด็ ใบตองตึง เก็บฟืน
- เล้ยี งสตั ว์ เพ่อื ใหห้ ญา้ แตกใบออ่ นเปน็ อาหารสตั ว์ในบรเิ วณใกลพ้ ้ืนท่ปี า่ แลว้ เกดิ ลกุ ลามเข้าไปในปา่
- นกั ทอ่ งเทีย่ ว หงุ ต้มอาหาร ใหแ้ สงสว่าง ให้ความอบอุ่น แลว้ ดบั ไม่สนทิ เกดิ เป็นไฟป่าในท่ีสดุ
- ความขดั แย้ง ชาวบา้ นอาจเกดิ ความขดั แย้งกับหน่วยราชการในพน้ื ที่แลว้ แกล้งโดยจุดไฟเผาป่า
- ลกั ลอบทำไม้ เผาทางใหโ้ ลง่ เตียนเพื่อสะดวกในการลากไม้ ไล่ยงุ หุงตม้ อาหารในปา่ เปน็ ตน้
ผลกระทบจากไฟป่า
ผลกระทบจากไฟป่าตอ่ สังคมพชื
- ขาดชว่ งการสบื พันธท์ุ ดแทนตามธรรมชาติ
- เปลีย่ นแปลงโครงสร้างปา่
- ลดการเจรญิ เตบิ โตและคุณภาพของเนื้อไม้
ทันทที ่ีเกิด"ไฟปา่ "ขึ้นความร้อนและเปลวไฟจากไฟปา่ จะทำลายลูกไม้ กลา้ ไม้เล็กๆในปา่ หมดโอกาสเตบิ โตเป็นไม้ใหญ่
ส่วนตน้ ไม้ใหญห่ ยุดการเจริญเติบโต เน้ือไมเ้ ส่ือมคณุ ภาพลง เป็นแผลเกิดเชือ้ โรคและแมลงเขา้ กดั ทำลายเนื้อไม้ สภาพป่าท่ี
อุดมสมบูรณเ์ ปล่ียนสภาพเป็นทงุ่ หญา้ ไปในที่สดุ
ผลกระทบจากไฟปา่ ต่อสัตว์ป่าและส่ิงมีชีวติ เล็กๆ ในปา่
- ทำอนั ตรายต่อชีวิตของสัตว์ป่า
- ทำลายแหลง่ อาหารและท่ีอยอู่ าศัยของสตั ว์ป่า
- ทำอันครายตอ่ ชวี ิตของสัตวเ์ ลก็ ๆ และจุลนิ ทรียใ์ นดนิ
"ไฟปา่ " ส่งผลใหส้ ตั วป์ ่าได้รบั บาดเจ็บ ลม้ ตาย เพราะหนไี ฟไมท่ นั โดยเฉพาะอย่างยิง่ ลูกอ่อนและสัตวท์ ่เี คล่ือนไหวช้า ที่หนี
รอดก็ขาดท่ีอย่อู าศัยรวมไปถึงแหลง่ อาหาร ในท่สี ดุ ก็อาจตอ้ งตายเช่นเดยี วกนั
ผลกระทบจากไฟป่าตอ่ สภาวะอากาศโลก
- การเปลยี่ นแปลงสภาพภมู ิอากาศ เน่อื งจากอณุ หภมู ิของโลกทีส่ งู ข้นึ
- การเกดิ ปรากฏการณเ์ รอื นกระจก
หมอกควันทีเ่ กดิ จาก"ไฟป่า" ก่อใหเ้ กิดผลกระทบมากมายท้งั สภาวะอากาศเปน็ พิษทำลายสุขภาพของคน เกิดทศั นว์ ิสยั ไม่
ดีต่อการบินเครื่องบนิ บางครั้งไม่สามารถข้นึ บินหรือลงจอดได้ส่งผลใหเ้ กิดผลเสียหายทางเศรษฐกิจ รวมไปถึงสูญเสียสภาพ
ความสวยงามตามธรรมชาติ ทำใหส้ ภาพไมเ่ หมาะในการท่องเที่ยวอีกต่อไป
ผลกระทบจากไฟป่าตอ่ ดนิ ป่าไม้
- เกดิ การสูญเสยี หน้าดินโดยการกดั ชะและการพังทลาย
- เปลี่ยนแปลงคณุ สมบตั ขิ องดนิ
Y คณุ สมบตั ทิ างกายภาพ
Y คุณสมบัติทางเคมี
"ไฟป่า" เผาทำลายสิง่ ปกคลมุ ดนิ หนา้ ดนิ จึงเปิดโล่ง เมื่อฝนตกลงมาเม็ดฝนกจ็ ะตกกระแทกกับหน้าดินโดยตรง เกิดการ
ชะล้างพังทลายของดินได้งา่ ย ทำให้น้ำทไ่ี หลบา่ ไปตามหนา้ ดิน พัดพาหน้าดินอันอุดมสมบูรณ์ไปด้วย และดินอดั ตวั แน่นทึบขึ้น
การซึมน้ำไม่ดี ทำให้การอุ้มน้ำหรือดูดซับความชน้ื ของดนิ ลดลงไม่สามารถเกบ็ กกั น้ำและธาตอุ าหารท่จี ำเป็นต่อพชื ได้
ผลกระทบจากไฟป่าตอ่ นำ้
- สมดลุ ของนำ้ เปลยี่ นแปลงทำใหเ้ กดิ อุทกภัยและภยั แลง้
- เปล่ียนแปลงคณุ สมบัตขิ องน้ำ
นำ้ ท่ีเตม็ ไปด้วยตะกอนและข้เี ถา้ จากผลของ"ไฟปา่ "จะไหลสู่ลำห้วยลำธาร ทำให้ลำห้วยข่นุ ขน้ มสี ภาพไมเ่ หมาะต่อการใช้
อีกต่อไป เมื่อดินตะกอนไปถับถมในแมน่ ้ำมากข้นึ ลำน้ำกจ็ ะตื้นเขนิ จุนำ้ ไดน้ ้อยลง เมื่อฝนตกลงมานำ้ ก็จะเอ่อล้นท่วมสองฝ่ัง
เกดิ เป็นอุทกภัย ที่สรา้ งความเสียหายในดา้ นการเกษตรการเพาะปลูก การเล้ยี งสัตว์ และสร้างความเสยี หายเมื่อน้ำทะลักเข้า
ท่วมบา้ นเรอื นทำใหท้ รัพยส์ ินไดร้ บั ความเสียหาย
หน้าแลง้ พื้นดินที่มีแต่กรวดทรายและชน้ั ดินแน่นทึบจากผลของ"ไฟป่า" ไม่สามารถเกบ็ กักน้ำในชว่ งฤดูฝนเอาไว้ได้ ทำใหล้ ำน้ำ
แห้งขอดเกดิ สภาวะแห้งแลง้ ขาดแคลนนำ้ เพื่อการอุปโภคและบรโิ ภคและเพื่อการเกษตร
ผลกระทบจากไฟปา่ ตอ่ การนันทนาการ
ผลกระทบตา่ งๆ ทีเ่ กิดขน้ึ จากไฟป่านนั้ มีส่วนในการทำลายธรรมชาติ ซ่งึ เปน็ สถานที่ และแหล่งท่องเที่ยวอนั เป็นรายได้
สำคญั ของประเทศ รวมทง้ั จะทำให้ขาดแหล่งพักผอ่ นหย่อนใจตามธรรมชาติ
ผลกระทบจากไฟปา่ ต่อทรัพย์สิน สขุ ภาพ และชวี ติ ของมนุษย์
ในพนื้ ท่ีท่เี กดิ ไฟป่า สว่ นใหญ่จะทำความเสียหายให้กบั บา้ นเรือนของราษฎรท่ีอาศยั อยบู่ ริเวณชายปา่ ท้งั บ้านเรอื นทถี่ ูกไฟไหม้
พืชผลทางการเกษตร หรือแม้แต่ชีวิต
หมอกควันทีเ่ กิดจากไฟป่า มผี ลกระทบโดยตรงทจ่ี ะสร้างความเสียหายใหก้ บั การเดินอากาศ รวมทง้ั มผี ลทำให้ประชาชนใน
บริเวณดับกล่าวจำนวนมาก ป่วยเป็นโรคระบบทางเดนิ หายใจ
แนวคิดเกย่ี วกบั ไฟป่า
ชาวบา้ น ขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องไฟป่า ความประมาทรู้เทา่ ไม่ถงึ การณ์ ขาดความร้สู กึ หวงแหนปา่ ทำให้ไม่ได้ร่วมมอื
กันปอ้ งกนั ไฟปา่ อยา่ งจรงิ จงั และสาเหตใุ หญค่ ือคนทข่ี าดจิตสำนึกบางคนเผาปา่ โดยเหน็ แกป่ ระโยชน์สว่ นตวั เปน็ สำคัญ
เจ้าหน้าที่ จดั การป่าไม้ไดไ้ มท่ ั่วถึงมีวชั พชื ทเี่ ป็นเช้ือเพลิงมากในหนา้ แล้ง การป้องกนั และควบคุมไฟป่าปฏบิ ตั ิครอบคลมุ ไม่ได้
ทัว่ ถงึ ขาดงบประมาณและเจ้าหน้าที่อีกจำนวนมาก รวมท้ังยังไม่ไดร้ บั ความรว่ มมือจากชาวบ้านเทา่ ท่คี วรดว้ ย
ดบั ไฟปา่ การแกไ้ ข้ปัญหาท่ีปลายเหตุ
ใบงาน
เร่ือง ความหมายและลักษณะการเกดิ ไฟปา่
1. ให้ผเู้ รียนอธบิ ายความหมายของคำวา่ “ไฟปา่ ” มาพอสังเขป
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ให้บอกชนดิ ของไฟป่า ฤดูกาลเกิดไฟปา่ ในประเทศไทยและประเทศตา่ ง ๆ ในโลก
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ใหผ้ ู้เรยี นชมวดี ีทัศนเ์ ก่ียวกบั สาเหตุการเกิดไฟป่าผลกระทบท่ีเกิดจากไฟปา่ จากเว็บไซต์
https://www.youtube.com/watch?v=8oFvEvD2fLA (การป้องกันไฟปา่ 1/1) และ
https://www.youtube.com/watch?v=zCCPjBnXLPw (การป้องกนั ไฟปา่ 2/2) แล้ว สรุปส่ง
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แบบทดสอบหลังเรียน
คำช้แี จง เลอื กคำตอบที่ถกู ต้องทส่ี ุดเพียงคำตอบเดยี ว
1. การลดลงของพน้ื ทีป่ ่าไม้มีผลกระทบต่อข้อใดมากท่ีสุด
ก. การสร้างที่อยู่อาศัย
ข. พื้นทก่ี ารเกษตร
ค. ผลิตผลจากปา่
ง. จำนวนสัตวป์ า่
2. ข้อใดเป็นพลังงานหมุนเวียน
ก. พลังงานจากถา่ นหนิ
ข. พลงั งานจากปโิ ตรเลยี ม
ค. พลังงานแสงอาทิตย์
ง. พลังงานจากการใช้ฟนื และถ่าน
3. การทีบ่ ริเวณพน้ื ที่ฝัง่ ธนบุรกี ลายเป็นเมอื งท่ีมีตึกสงู ใหญท่ ว่ั ไปน้ันสอดคล้อง
กับวิกฤตการณเ์ ก่ียวกบั ทด่ี นิ ในข้อใด
ก. การเพิ่มธุรกิจด้านการค้ามากขน้ึ
ข. การใชท้ ี่ดนิ มีการเปล่ียนแปลงอยูต่ ลอดเวลา
ค. ชมุ ชนเมอื งขยายตวั เขา้ ไปในพนื้ ทีเ่ กษตรกรรม
ง. การพัฒนาเศรษฐกจิ ของประเทศไทยอยา่ งรวดเร็ว
4. การจัดต้ังนคิ มอุตสาหกรรมมาตาพุด จังหวัดระยอง สอดคลอ้ งกับวิกฤตการณ์
เกย่ี วกับท่ีดนิ และทรัพยากรดินในขอ้ ใด
ก. การยดึ ครองท่ีดนิ เปน็ ไปตามความต้องการของนักธุรกิจ
ข. การบกุ รกุ ทดี่ นิ ทางการเกษตรเพอื่ การอุตสาหกรรม
ค. การขยายตวั ทางด้านอุตสาหกรรมอย่างรวดเรว็
ง. การบกุ รุกท่ีดนิ ป่าไม้ ปา่ สงวน
5. พน้ื ท่ีทเี่ สี่ยงต่อการเกดิ การทรุดตวั หรือแผ่นดินถลม่ ระดับสงู มอี ย่ใู นภาคใด
ของประเทศไทย
ก. ภาคตะวันตก
ข. ภาคตะวนั ออก
ค. ภาคเหนือ ภาคใต้
ง. ทกุ ภาคของประเทศไทย
6. การสรา้ งถนนขึน้ สเู่ ขาใหญม่ ผี ลเสียอย่างไร
ก. เมื่อทางสะดวกทาให้มีการบกุ รกุ ทดี่ ินมากข้นึ
ข. กีดขวางทางด้านการเพาะปลูก
ค. ทางลาดชนั ก่อใหเ้ กดิ อันตราย
ง. ต้นไม้ถูกทาลาย
7. การเกดิ ไฟปา่ มีผลเสียตอ่ ข้อใดมากทีส่ ดุ
ก. ต้นไมไ้ ด้รบั ความร้อน
ข. สัตวป์ า่ หนอี อกนอกป่าสงวน
ค. สูญพันธ์ไุ ม้ พนั ธ์ุสัตว์ป่า
ง. บา้ นเรอื น ทรัพย์สนิ ของชาวบ้านเสียหาย
8. แหล่งน้า มนั ส่วนใหญ่ของโลกอยู่บริเวณใด
ก. ตะวนั ออกกลาง
ข. ตะวนั ออก
ค. แอฟริกา
ง. เอเชีย
9. การนา พลังงานปรมาณมู าใช้มขี ดี จา กัดในเรื่องใด
ก. ค่าใชจ้ า่ ยในการลงทนุ ค่อนขา้ งสงู
ข. ตอ้ งใช้เทคโนโลยีมาชว่ ยในการผลิต
ค. การใช้อย่ใู นขอบเขตเฉพาะทางการแพทย์
ง. สารกัมมนั ตภาพรงั สเี ปน็ อันตรายตอ่ มนุษย์และส่งิ แวดลอ้ ม
10. การเกดิ ภาวะโลกร้อนมีสาเหตุสา คัญในข้อใด
ก. มนุษย์เป็นตวั การสา คัญในการปลอ่ ยแกส๊ เรือนกระจกออกสู่บรรยากาศ
ข. เกิดโรคระบาดอย่างรุนแรงทา ความเสียหายต่อชวี ติ มนษุ ย์
ค. ป่าไมล้ ดนอ้ ยส่งผลกระทบต่อสงิ่ มชี วี ิตในป่า
ง. เกดิ ไฟป่าอยา่ งตอ่ เนื่อง
เฉลยขอ้ สอบหลงั เรียน
1. ง 2. ค 3. ก 4. ง 5. ก 6. ง 7. ค 8. ค 9. ก 10. ข
บันทกึ หลังการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้
ครัง้ ท…่ี ………..วันท่ี…………..…………………..เดือน………………………..พ.ศ. …………………………………..
สถานท…ี่ …………………………………………………………………………………………………………………………..
กจิ กรรมการเรยี นรู้
................................................................................................................................ .....................................................................
........................................................... ................................................................................................................................ ..........
...................................................................................................................... ...............................................................................
.................................................................................................................................................................. ...................................
............................................................................................................................. ........................................................................
....................................................................................................................................................................... ..............................
.................................................................................................. ...................................................................................................
............................................................................................................................ ........................................................................
............................................................................................................................. ........................................................................
สภาพปญั หาท่ีพบ
................................................................................................................................... ..................................................................
.............................................................................................................................................................................................. .......
........................................................................................................................ ............................................................. ...............
............................................................................................................................. .......................................................................
วธิ ีแก้ปัญหา
............................................................................................................................. .......................................................................
........................................................................................................................................................................... ..........................
....................................................................................... ..............................................................................................................
............................................................................................................................. .......................................................................
ลงชอ่ื ..................................................ผบู้ ันทึกหลังการจดั กิจกรรมการเรียนรู้
(..................................................)
ข้อเสนอแนะของผู้บรหิ าร
......................................................................................................................................................... ............................................
.....................................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .............................................
ลงชือ่ .......................................................
(…………………………………………….)
ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอำเภอยางชมุ น้อย
แผนการเรียนรู้รายวชิ าการเรียนร้สู ู้ภ
ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย ภ
ชือ่ หน่วยการเรยี นรู้ท่ี……5……เรอื่ ง………แนวทางการปองกันและก
รายวิชา/ ตัวช้ีวัด เนอื้ หา
หวั เร่อื ง
- การเตรยี มความพรอมรบสถานกา
แนวทางการ - บอกวธิ ีการเตรียมความพร้อม รณการเกิดไฟปา
ปองกนั และ รบั สถานการณการเกิดไฟป่า - การปฏิบัติขณะเกดิ ไฟปา
- การปฏบิ ัตติ นหลงั เกิดไฟปา
การแกไข - บอกวธิ ีการปฏิบตั ิขณะเกดิ ไฟ
ปญหา ป่า
ผลกระทบที่ - บอกวิธีการปฏบิ ตั ติ นหลงเกิด
เกดิ จากไฟปา ไฟป่า
- เสนอแนวทางการปองกันและ
การแก้ไขปัญหาผลกระทบทีเ่ กิด
จากไฟปา่
ภยั ธรรมชาติ 3 รหัสวิชา สค 32032
ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2563
การแกไขปญหาผลกระทบทเี่ กิดจากไฟปา……..สปั ดาห์ท…่ี 11………
การจัดกระบวนการเรียนรู้ สอ่ื และแหล่ง การวัดและ
เรยี นรู้ ประเมนิ ผล
ขั้นท่ี 1 กำหนดสภาพ ปญั หา ความต้องการใน
การเรยี นรู้ (O: Orientation) - หนงั สอื - ใบงาน
เรยี น - แบบสอบ
1.1 ผูเ้ รยี นร่วมกนั แสดงความคดิ เห็น สอบก่อน
เก่ยี วกบั รปู ภาพภยั ธรรมชาติ ท่เี กดิ ขึ้นในปจั จุบนั - ใบความรู้ เรียน
และครูวัดความรู้พน้ื ฐานและกระต้นุ ใหผ้ เู้ รยี นเกิด - ห้องสมดุ / -
การเรยี นรู้โดยใชค้ ำถาม อนิ เตอรเ์ น็ต แบบทดสอบ
ขน้ั ท่ี 2 แสวงหาขอ้ มูลและจดั การเรียนรู้ หลังเรียน
(N: New ways of learning)
2.1ใหน้ กั ศึกษาศึกษาความรู้ เร่ืองแนวทางการ
ปองกนั และการแกไขปญหาผลกระทบทเี่ กิดจาก
ไฟปา ตามทค่ี รูแบ่งหวั ข้อให้ศึกษา
2.2 ครูแบ่งกลมุ่ ให้นักศึกษา 5-6 คน ออกมาสรุป
เนอ้ื หาที่ได้รบั มอบหมาย
2.3 ให้นักศึกษาทำใบงานที่ครแู จกให้
ขน้ั ที่ 3 ปฏิบตั แิ ละนำไปประยุกต์ใช้
(I: Implementation)
3.1 นกั ศึกษาและครรู ว่ มกันสรุปหรือวิเคราะห์
เน้อื หาอีกคร้งั หน่ึง
ขน้ั ท่ี 4 ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ (E: Evaluation)
4.1 สังเกตพฤติกรรมการเรียนรรู้ ายบคุ คล
(ตามสภาพจรงิ )
4.2 แบบประเมินใบงาน
แบบทดสอบก่อนเรียน
คำช้ีแจง เลอื กคำตอบท่ีถกู ต้องทีส่ ดุ เพียงคำตอบเดียว
1. ข้อใดคือความหมายของไฟปา่
ก. ไฟทีเ่ กดิ จากสาเหตุอันใดก็ตาม แลว้ เกิดการลุกลามไปได้โดยอสิ ระ ปราศจากการควบคมุ
ข. ไฟท่เี กิดจากการลกุ ลามไปได้โดยอสิ ระ ปราศจากการควบคุม ทัง้ นี้ ไม่ว่าไฟนัน้ จะเกดิ ขนึ้ ปา่ ธรรมชาติ
หรือสวนปา่ ก็ตาม
ค. ไฟที่เกดิ จากสาเหตุอันใดก็ตาม แลว้ เกดิ การลุกลามไปได้โดยไมอ่ สิ ระมกี ารควบคมุ ทั้งน้ี ไม่วา่ ไฟนนั้ จะ
เกิดขึ้นในป่าธรรมชาตหิ รอื สวนป่ากต็ าม
ง. ไฟทีเ่ กิดจากสาเหตุอันใดก็ตาม แล้วเกิดการลุกลามไปได้โดยอสิ ระปราศจาก การควบคมุ ท้งั น้ี ไมว่ า่ ไปนั้น
จะเกดิ ขึ้นปา่ ธรรมชาตหิ รอื สวนปา่ ก็ตาม
2.ข้อใดไมใ่ ชช่ นดิ ของไฟปา่
ก. ไฟใต้ดนิ
ข. ไฟผวิ ดิน
ค. ไฟปา่ สน
ง. ไฟเรอื นยอด
3. ข้อใดคือชว่ งฤดูกาลเกดิ ไฟป่าในเขตภาคเหนือ
ก. ระหวา่ งเดือน ธันวาคม - มนี าคม ของทกุ ปี
ข. ระหวา่ งเดอื น เมษายน - พฤษภาคม ของทุกปี
ค. ระหว่างเดอื น มกราคม - กุมภาพนั ธ์ ของทุกปี
ง. ระหว่างเดือน มีนาคม - พฤษภาคม ของทกุ ปี
4. ภาคใดของประเทศไทยท่ีเกิดไฟไหม้ปา่ มากท่ีสดุ
ก. ภาคใต้
ข. ภาคเหนือ
ค. ภาคกลาง
ง. ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ
5. ขอ้ ใดกลา่ วถึงความหมายของ ไฟปา่ ได้ถกู ต้อง
ก. ไฟที่เกิดจากสาเหตุอนั ใดก็ตาม แล้วเกิดการลุกลามไปได้โดยอิสระปราศจากการ ควบคมุ
ข. ไฟทีเ่ กดิ จากการลกุ ลามไปได้โดยอสิ ระมีการควบคมุ ท้ังน้ีไมว่ ่าไฟนั้นจะเกดิ ขน้ึ ตามปา่ ธรรมชำติหรือสวน
ป่ากต็ าม
ค. ไฟท่เี กิดจากสำเหตุอันใดก็ตามแลว้ เกิดการลุกลามไปไดโ้ ดยอิสระปราศจากการควบคุม ท้ังนไ้ี มว่ ่าไฟนั้นจะ
เกิดขนึ้ ตามปา่ ธรรมชำตหิ รือสวนปา่ กต็ าม
ง. ไฟที่เกดิ จากสำเหตุอนั ใดก็ตาม แลว้ เกดิ การลุกลามไปได้โดยไม่อสิ ระมกี ารควบคมุ ท้งั น้ี ไมว่ า่ ไฟน้ันจะ
เกดิ ขึน้ ตามป่าธรรมชำติหรือสวนป่าก็ตาม
6. ไฟป่าแบ่งออกเปน็ กีช่ นดิ
ก. 2 ชนดิ
ข. 3 ชนิด
ค. 4 ชนดิ
ง. 5 ชนดิ
7. ขอ้ ใดคือสำเหตุของการเกิดไฟปา่ มากทส่ี ดุ
ก.ฟา้ ผ่า
ข. กง่ิ ไม้เสียดสี
ค. การระเบิดหิน
ง. การหาของป่า
8. พฤตกิ รรมในข้อใดทีแ่ สดงถงึ การไม่มจี ิตสำนึกในการป้องกนั ไฟปา่
ก. รบั ผดิ ชอบตอ่ ทรัพยากรส่วนรว่ ม
ข. ศกึ ษาหาวธิ ีป้องกันไม้ใหเ้ กิดไฟป่า
ค. เขา้ ใจดวี า่ ไฟป่าเป็นมหตั ภัยร้ายแรง
ง. เกบ็ หาของปา่ ตามวิถีความเช่อื ด้งั เดิมเพอื่ เปน็ รายได้เสริม
9. ขอ้ ใดไมใ่ ช่แนวทำงานในการแก้ปญั หาไฟป่าตามพระราชดำริปา่ เปียก
ก. ใชค้ ลองส่งน้ำเป็นแนวกนั ไฟ
ข. การสรา้ งฝายชะลอความช่มุ ชืน่
ค. การปลูกตน้ ไมโ้ ตเรว็ คลมุ แนวรอ่ งนำ้
ง. ปลูกตน้ กล้วยในพน้ื ท่ีทก่ี ำหนดให้เปน็ ชอ่ งว่างของป่า ประมาณ 2 เมตร
10. สาเหตุของการเกดิ ไฟป่า จงเรยี งลำดับท่ีเป็นปัจจบุ นั ท่ีสดุ
1.ฟ้าผ่า 2.คนหาของปา่ 3.ก่ิงไม้เสยี ดสี 4.การระเบิดหนิ
ก.1,2,4
ข.2,3,4
ง.1,2,3
ค.1,2,3,4
เฉลยขอ้ สอบก่อนเรียน
1. ค 2. ง 3. ข 4. ข 5. ค 6. ข 7. ก 8. ง 9. ก 10. ค.
ใบความรู้
เรือ่ ง แนวทางการป้องกันและการแก้ไขปัญหาผลกระทบทเ่ี กดิ จากไฟปา่
แนวทางแก้ปญั หาไฟป่า
แนวดำเนนิ การตามพระราชดำรปิ ่าเปยี กมี 6 วิธีด้วยกนั คอื
1. ทำระบบปอ้ งกนั ไฟไหม้ป่า โดยใช้แนวคลองสง่ นา้ และแนวพืชชนิดตา่ งๆ ปลูกตามแนวคลองน้ัน
2. สรา้ งระบบการควบคุมไฟป่าด้วยแนวปอ้ งกนั ไฟ ป่าเปยี ก โดยอาศยั น้าชลประทานและน้าฝน
3. การปลูกต้นไม้โตเร็วคลุมแนวรอ่ งนา้ เพื่อให้ความชมุ่ ชน้ื คอ่ ยๆ ทวีขนึ้ และแผ่ขยายออกไปทัง้ สองข้างของร่องน้ำ
ซ่งึ จะทำใหต้ ้นไม้งอกงามและมีสว่ นช่วยปอ้ งกนั ไฟป่าเพราะไฟป่า จะเกดิ ขึ้นง่ายหากปา่ ขาดความชมุ่ ชื้น
4. การสรา้ งฝายชะลอความชมุ่ ชืน้ หรือทีเ่ รยี กวา่ "Check Dam" ข้ึน เพอื่ ปดิ ก้นั ร่องนา้ หรอื ล าธารขนาดเล็กเปน็
ระยะๆ เพื่อใช้เก็บกักน้าและตะกอนดนิ ไว้บางส่วน โดยนำ้ ที่เก็บไวจ้ ะซึมเขา้ ไปสะสมในดิน ทำใหค้ วามชมุ่ ชืน้ แผข่ ยายเข้า
ไปท้ังสองดา้ นกลายเป็น "ปา่ เปียก"
5. การสูบน้าเขา้ ไปในระดับทีส่ งู ทสี่ ุดเทา่ ท่จี ะทาได้ แล้วปลอ่ ยน้าลงมาทลี ะน้อยให้ค่อยๆ ไหลซึมลงดิน เพื่อช่วย
เสริมการปลูกป่าบนพืน้ ทส่ี งู ในรปู "ภูเขาป่า" ใหก้ ลายเป็น "ปา่ เปยี ก" ซึ่งสามารถป้องกันไฟป่าได้อกี ดว้ ย
6. ปลูกต้นกลว้ ยในพืน้ ท่ที ี่กาหนดให้เปน็ ช่องว่างของป่า ประมาณ 2 เมตร หากเกดิ ไฟไหม้ป่ากจ็ ะปะทะต้นกลว้ ยซ่ึง
อมุ้ น้าไว้ไดม้ ากกว่าพชื อนื่ ทำใหล้ ดการสญู เสียน้าลงไปได้มาก
ส่วนการแกป้ ญั หาที่ประชาชนโดยท่วั ไปกส็ ามารถทำได้ คือ ไม่เผาขยะ กิ่งไม้ ใบไม้ ต่าง ๆ ในที่โลง่ แจ้ง ลดการใชย้ วดยาน
พาหนะ เพือ่ ลดการเผาไหมข้ องเชอ้ื เพลงิ และในแตล่ ะพ้นื ทคี่ วรมกี ารจัดการและควบคุมปรมิ าณฝุ่นที่เกดิ จากการก่อสร้าง
ควนั เสยี จากโรงงานอตุ สาหกรรมให้จรงิ จงั กว่าทีผ่ ่านมา
การควบคุมไฟปา่ (Forest fire control)
การควบคุมไฟปา่ หมายถึง การแกไ้ ขปญั หาเกย่ี วกบั ไฟปา่ อยา่ งครบวงจร กลา่ วว่าคอื เร่ิมต้นจากการป้องกนั ไมใ่ ห้
เกดิ ไฟปา่ โดยศึกษาถึงสาเหตุของการเกิดของไฟปา่ ในแต่ละท้องท่ีแล้ววางแผนป้องกัน
1. การป้องกนั ไฟปา่ (forest fire prevention) คือ ความพยายามในทุกวถิ ีทางทไ่ี ม่ใหเ้ กดิ ไฟป่าข้นึ ในทางทฤษฎี คอื
การแยกองค์ประกอบของการเกิดไฟปา่ ออกจากกันในทางปฏิบตั ิได้ดำเนินการดังนี้
1.1 การให้การศกึ ษา เปน็ การให้ความรู้เกีย่ วกบั ปา่ ไมแ้ ละไฟป่า แก่ประชาชนทุกช้นั อายุ ทัง้ คนที่อาศัยอยู่ในเมือง
และชนบท โดยใชส้ อ่ื ตา่ ง ๆ เช่น สิ่งตีพิมพ์ วทิ ยุ โทรทศั น์การสาธติ และการตดิ ต่อสว่ นตวั (Brown and Davis, 1973)
เป็นต้น
1.2 การออกกฎหมาย เนอื่ งจากกิจกรรมหลายอย่างของมนษุ ย์ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยการใหก้ ารศกึ ษา จึงต้อง
ออกกฎหมายเพอ่ื เป็นเคร่ืองมือในการป้องกันไฟปา่
1.3 การจัดการป่าไม้ ในการทำไม้โดยพจิ ารณาความตอ้ งการทางด้านเศรษฐกิจ ควบคกู่ นั การปฏิบตั ิงานตาม
แผนการจัดการที่เหมาะสมควรประกอบดว้ ย
2. การเตรียมการดับไฟป่า คือ การเตรียมความพร้อมเพ่ือดบั ไฟปา่ ก่อนหนา้ ทจี่ ะถงึ ฤดูไฟป่า ซึ่งตอ้ งเตรยี มการใน 3
ทาง ดว้ ยกัน คือ
2.1 เตรยี มคน จัดองคก์ รดับไฟป่า เตรยี มความพร้อมของพนักงานดับไฟปา่ ด้วยการจดั กาลงั คนเตรยี มพรอ้ ม ใน
การดบั ไฟป่า
2.2 เตรียมเครือ่ งมือ ไดแ้ ก่ เครอ่ื งมือดับไฟป่าทุกชนิด รวมทง้ั อุปกรณส์ ่ือสารและยานพาหนะ ให้สามารถใชก้ าร
ได้ตลอดเวลา
2.3 การฝกึ อบรม คือ การเตรียมพนักงานดับไฟป่าให้มคี วามรู้ และทักษะในการใชอ้ ุปกรณ์ดับไฟป่า
ตลอดจนยุทธวิธีในการดับไฟป่า เพ่ือเพ่ิมขดี ความสามารถและประสทิ ธิภาพในการปฏิบัตงิ านดับไฟปา่
3. การตรวจหาไฟ เป็นระบบการตรวจหาไฟ ในชว่ งฤดไู ฟปา่ เพ่ือให้ทราบว่ามไี ฟไหม้ป่าข้ึนทใี่ ด โดยการลาดตระเวน
ด้วยการเดิน การใชร้ ถจักรยานยนต์หรือรถยนต์ การสงั เกตการณ์จากหอดูไฟ และการตรวจหาไฟทางอากาศโดยใช้
เครื่องบนิ หรือเฮลิคอปเตอร์
4. การดับไฟปา่ เปน็ การดบั ไฟป่าทีเ่ กิดขน้ึ ซงึ่ ทา ได้ 3 วธิ ี คือ
4.1 วธิ สี ไู้ ฟและควบคุมไฟโดยวธิ สี รา้ งแนวควบคมุ ไฟ (control linemethod) ประกอบด้วย
- วธิ สี ูไ้ ฟโดยตรง เมื่อไฟมีความรุนแรงน้อย และมกี ารลุกลามชา้ โดยพนักงานสามารถดับไฟท่ีขอบไฟสว่ นหนา้
- วิธสี ไู้ ฟขนาน เมือ่ การสไู้ ฟโดยตรงไม่ไดผ้ ลแตอ่ ตั ราการลุกลามยังชา้ โดยการทำแนวควบคมุ ไฟจากสว่ นหลัง
ไฟ ขนานกับขอบไฟส่วนข้าง จนกระทงั่ ไฟอย่ใู นวงล้อม และเผาโต้กลบั ก่อนท่ีไฟจะลกุ ลามถงึ
- วธิ ีสู้ไฟโดยทางอ้อม เม่ือไฟมกี ารลุกลามเร็วและขนาดใหญ่ โดยการทำแนวควบคมุ ไฟป่าจากส่วนหลังไฟ
ขนานไปกับขอบไฟส่วนหลงั พร้อมกับจุดไฟโตก้ ลบั จากแนวควบคุมไฟป่า และต้องทำแนวกันไฟอยา่ งดีไวเ้ บ้ืองหนา้ ไฟ
แล้วเผากลับ เพ่อื กาจัดเชอื้ เพลงิ
4.2 วธิ กี ารดบั ไฟทวั่ พืน้ ท่ี เปน็ การดับไฟด้วยนา้ หรือสารเคมีด้วยการพน่ จากเครอื่ งบนิ ใหท้ ่ัวพ้ืนท่ี
4.3 วธิ กี ารสู้ไฟแบบเผากลบั เปน็ การดบั ไฟท่ีใช้ควบคู่กบั วิธดี บั ไฟทางอ้อมและใช้ในทีร่ าบ เป็นวธิ ีการจดั เชือ้ เพลิง
ก่อนท่ีไฟจะลกุ ลามมาถงึ โดยเปน็ หลกั การส้ไู ฟ
กระบวนการปฏบิ ตั ิงานควบคุมไฟปา่ กระบวนการปฏิบตั ิงานควบคุมไฟปา่ มีข้ันตอนดังนี้
1. การรวบรวมข้อมลู ไฟป่า ได้แก่ ข้อมูลเกีย่ วกบั สภาพพื้นท่ปี ฏิบัติ สถติ ิไฟป่า สภาพปญั หาไฟป่า และพฤติกรรมของ
ไฟปา่ ซ่ึงข้อมูลดังกลา่ วได้มาจากการสารวจในพนื้ ที่ และจากการศึกษาวจิ ัย ข้อมูลไฟป่าเหลา่ นจ้ี ะนามาใชใ้ นการวางแผน
งานควบคมุ ไฟป่า
2. การจดั ทำแผนงานควบคุมไฟป่า โดยครอบคลุมกิจกรรมหลัก 2 กิจกรรม คือ การปอ้ งกันไฟป่า และการดับไฟปา่
พรอ้ มทั้งกจิ กรรมอื่น ๆ ทส่ี ่งเสรมิ ใหก้ ารปฏบิ ัติงานกิจกรรมหลักทั้งสองเปน็ ไปอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ
3. การปฏบิ ตั ติ ามแผน เป็นการดาเนินการไปพรอ้ ม ๆ กันทง้ั แผนป้องกนั ไฟป่าและแผนดับไฟป่า ซงึ่ หากแผนและการ
ปฏบิ ัติงานตามแผนป้องกนั ไฟป่ามีประสิทธภิ าพ 100เปอร์เซน็ ตก์ จ็ ะไมเ่ กดิ ไฟป่า จงึ ไม่ต้องดบั ไฟป่า แต่ในความเป็นจรงิ
ไม่ว่าแผนงานและการปฏบิ ตั งิ านตามแผนป้องกนั ไฟป่าจะมีประสิทธภิ าพมากเพียงใดกย็ ังมโี อกาสเกิดไฟป่าขึน้ ได้ ดังนั้น
จงึ ตอ้ งเข้าปฏบิ ตั งิ านตามแผนดบั ไฟทนั ที
4. การประเมนิ ผล เปน็ การประเมินผลงานการปฏบิ ตั งิ านทกุ ขน้ั ตอน เพอ่ื วิเคราะหป์ ระสทิ ธิภาพของการปฏิบตั งิ าน
และประสิทธิผลที่เกิดจากการปฏบิ ตั งิ าน แล้วนามาเปน็ ข้อมลู เพือ่ ใช้ในการปรบั ปรุงแผนงาน ควบคมุ ไฟปา่ ให้มี
ประสิทธภิ าพยิ่งขนึ้
ใบงาน
เร่อื ง เรอื่ ง แนวทางการป้องกนั และการแกไ้ ขปญั หาผลกระทบทีเ่ กดิ จากไฟป่า
1. ใหผ้ ู้เรยี นอธบิ ายขั้นตอนการเตรยี มความพร้อมเพ่ือป้องกันการเกิดไฟป่า มาพอสงั เขป
..........................................................................................................................................................................................
..................................................................................................................... .....................................................................
............................................................................................................................... ...........................................................
..........................................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .............................................................
....................................................................................................................................................... ...................................
......................................................................................................................................................................................
.................................................................................................. ....................................................................... .................
2. ใหเ้ สนอแนวทางการป้องกันและการแก้ไขปัญหาผลกระทบท่เี กดิ จากไฟปา่
.................................................................................................... ....................................................................... ...............
............................................................................................................................. .............................................................
.................................................................................................................................................................................... ......
..........................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................ ..............................................................
...................................................................................................................................... ....................................................
..........................................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................. .............................
..........................................................................................................................................................................................
..................................................................................................... ....................................................................... ..........
แบบทดสอบหลังเรยี น
คำช้ีแจง เลอื กคำตอบท่ีถกู ต้องที่สดุ เพียงคำตอบเดียว
1. ข้อใดคือความหมายของไฟปา่
ก. ไฟทีเ่ กดิ จากสาเหตุอนั ใดก็ตาม แล้วเกดิ การลุกลามไปได้โดยอสิ ระ ปราศจากการควบคมุ
ข. ไฟท่เี กิดจากการลกุ ลามไปไดโ้ ดยอสิ ระ ปราศจากการควบคุม ทัง้ นี้ ไม่วา่ ไฟนั้นจะเกิดขนึ้ ป่า ธรรมชาติ
หรือสวนปา่ ก็ตาม
ค. ไฟที่เกดิ จากสาเหตุอันใดก็ตาม แลว้ เกดิ การลุกลามไปได้โดยไมอ่ สิ ระมกี ารควบคมุ ทั้งนี้ ไม่วา่ ไฟนนั้ จะ
เกิดขึ้นในป่าธรรมชาตหิ รอื สวนป่ากต็ าม
ง. ไฟทีเ่ กิดจากสาเหตุอันใดก็ตาม แล้วเกดิ การลุกลามไปได้โดยอสิ ระปราศจาก การควบคมุ ท้งั น้ี ไมว่ า่ ไปนั้น
จะเกดิ ขึ้นปา่ ธรรมชาตหิ รอื สวนป่ากต็ าม
2.ข้อใดไมใ่ ช่ชนดิ ของไฟปา่
ก. ไฟใต้ดนิ
ข. ไฟผวิ ดิน
ค. ไฟปา่ สน
ง. ไฟเรอื นยอด
3. ข้อใดคือชว่ งฤดูกาลเกิดไฟป่าในเขตภาคเหนือ
ก. ระหวา่ งเดือน ธันวาคม - มนี าคม ของทุกปี
ข. ระหวา่ งเดอื น เมษายน - พฤษภาคม ของทุกปี
ค. ระหว่างเดอื น มกราคม - กุมภาพนั ธ์ ของทุกปี
ง. ระหว่างเดือน มีนาคม - พฤษภาคม ของทุกปี
4. ภาคใดของประเทศไทยท่ีเกิดไฟไหม้ปา่ มากที่สดุ
ก. ภาคใต้
ข. ภาคเหนือ
ค. ภาคกลาง
ง. ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื
5. ขอ้ ใดกลา่ วถึงความหมายของ ไฟปา่ ได้ถกู ต้อง
ก. ไฟที่เกิดจากสาเหตุอนั ใดก็ตาม แลว้ เกิดการลุกลามไปได้โดยอิสระปราศจากการ ควบคมุ
ข. ไฟทีเ่ กดิ จากการลกุ ลามไปได้โดยอิสระมีการควบคมุ ทั้งนี้ไมว่ า่ ไฟนั้นจะเกิดข้ึนตามป่า ธรรมชำติหรือสวน
ปา่ กต็ าม
ค. ไฟท่เี กิดจากสำเหตุอนั ใดก็ตามแลว้ เกดิ การลุกลามไปไดโ้ ดยอิสระปราศจากการควบคุม ทง้ั นไ้ี มว่ ่าไฟนั้นจะ
เกิดขนึ้ ตามปา่ ธรรมชำตหิ รือสวนป่ากต็ าม
ง. ไฟที่เกดิ จากสำเหตุอนั ใดก็ตาม แลว้ เกิดการลุกลามไปได้โดยไม่อสิ ระมกี ารควบคุมทงั้ น้ี ไมว่ า่ ไฟน้ันจะ
เกดิ ขึน้ ตามป่าธรรมชำติหรือสวนป่าก็ตาม
6. ไฟปา่ แบ่งออกเปน็ กชี่ นิด
ก. 2 ชนดิ
ข. 3 ชนดิ
ค. 4 ชนิด
ง. 5 ชนดิ
7. ขอ้ ใดคือสำเหตุของการเกิดไฟปา่ มากท่สี ุด
ก.ฟา้ ผา่
ข. กิ่งไม้เสยี ดสี
ค. การระเบิดหนิ
ง. การหาของป่า
8. พฤตกิ รรมในข้อใดทีแ่ สดงถึงการไมม่ จี ิตสำนึกในการป้องกนั ไฟปา่
ก. รับผิดชอบต่อทรัพยากรส่วนรว่ ม
ข. ศึกษาหาวิธปี ้องกันไม้ใหเ้ กิดไฟป่า
ค. เข้าใจดวี ่าไฟป่าเป็นมหัตภัยร้ายแรง
ง. เกบ็ หาของป่าตามวิถีความเชอ่ื ดงั้ เดิมเพื่อเป็นรายได้เสริม
9. ขอ้ ใดไม่ใช่แนวทำงานในการแก้ปญั หาไฟป่าตามพระราชดำรปิ ่าเปยี ก
ก. ใชค้ ลองส่งน้ำเปน็ แนวกนั ไฟ
ข. การสร้างฝายชะลอความชมุ่ ชืน่
ค. การปลูกต้นไม้โตเรว็ คลมุ แนวรอ่ งนำ้
ง. ปลูกต้นกล้วยในพ้ืนท่ีท่กี ำหนดใหเ้ ป็นชอ่ งวา่ งของป่า ประมาณ 2 เมตร
10. สาเหตุของการเกิดไฟป่า จงเรียงลำดบั ทเ่ี ปน็ ปัจจุบนั ที่สุด
1.ฟา้ ผา่ 2.คนหาของปา่ 3.กง่ิ ไมเ้ สียดสี 4.การระเบิดหนิ
ก.1,2,4
ข.2,3,4
ง.1,2,3
ค.1,2,3,4
เฉลยแบบทดสอบหลังเรียน
1. ค 2. ง 3. ข 4. ข 5. ค 6. ข 7. ก 8. ง 9. ก 10. ค.
บันทกึ หลังการจดั กิจกรรมการเรียนรู้
คร้ังท…่ี ………..วนั ที่…………..…………………..เดอื น………………………..พ.ศ. …………………………………..
สถานท่ี……………………………………………………………………………………………………………………………..
กิจกรรมการเรยี นรู้
.................................................................................................................... ......................................................................
.............................................................................................................................. ............................................................
..........................................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .............................................................
...................................................................................................................................................... ....................................
..........................................................................................................................................................................................
.............................................................................................. ....................................................................... .....................
............................................................................................................................. .............................................................
............................................................................................................................................................................. .............
สภาพปญั หาที่พบ
..........................................................................................................................................................................................
..................................................................................................... ....................................................................... ..............
............................................................................................................................. .............................................................
.................................................................................................................................................................................... ......
วิธีแกป้ ัญหา
..........................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................. ....................................................................... .....
............................................................................................................................. .............................................................
..........................................................................................................................................................................................
ลงชอื่ ..................................................ผ้บู ันทกึ หลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
(........................................................)
ขอ้ เสนอแนะของผบู้ รหิ าร
.................................................................................................................. ....................................................................... .
............................................................................................................................. .............................................................
..........................................................................................................................................................................................
ลงช่ือ.......................................................
(.………………………………………….)
ผูอ้ ำนวยการศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอำเภอยางชมุ นอ้ ย
แผนการเรียนรู้ท่ี 1 รายวชิ าการเรียน
ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนปลาย
ช่อื หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 6 เร่อื ง ความหมายแล
รายวชิ า/ ตวั ชวี้ ดั เนื้อหา ขั้นที่ 1
หวั เรอ่ื ง เรียนรู้
1. บอกความหมายของหมอก 1. ความหมายของหมอกควัน 1. ครทู
ความหมาย ควัน 2. ลักษณะการเกิดหมอกควัน หมอกค
และลกั ษณะ 2. บอกสาเหตุและปัจจยั การเกดิ 2. ครูส
การเกิดหมอก หมอกควัน 2.1 สาเหตุการเกิดหมอก ผู้เรียน
ควัน 3. บอกผลกระทบท่ีเกิดจาก ควนั ควนั ป
หมอกควนั ได้ ควนั ม
2.2 ปจั จยั การเกดิ หมอก 3. ครูแ
ควัน การเกดิ
เกดิ จาก
2.3 ผลกระทบท่ีเกดิ จาก 4. ใหผ้
หมอกควัน ประเม
ขั้นท่ี 2
(N: Ne
1 ครูอธ
เกดิ หม
2. ครใู
https:
/north
นร้สู ้ภู ัยธรรมชาติ 3 รหสั วชิ า สค 32032
ย ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2563
ละลกั ษณะการเกิดหมอกควนั สปั ดาห์ท…ี่ …12……
การจัดกระบวนการเรยี นรู้ สอื่ และแหล่ง การวดั และ
เรียนรู้ ประเมนิ ผล
1 กำหนดสภาพ ปัญหา ความต้องการในการ 1. หนังสอื 1. บันทึก
(O: Orientation) เรยี นการ การเรียนรู้
ทกั ทายผู้เรยี นและชวนคุยเรือ่ งความหมายของ เรียนรู้สู้ภยั 2. การตอบ
ควนั และลักษณะการเกิดหมอกควัน ธรรมชาติ 3 คำถาม
สอบถามผูเ้ รยี น และเชอ่ื มโยงประสบการณ์ของ 2. สมดุ บันทกึ 3. การมสี ว่ น
น โดยการใหผ้ ู้เรยี นยกตัวอยา่ งสาเหตกุ ารเกิดหมอก กจิ กรรมการ รว่ มในการ
ปัจจัยการเกิดหมอกควัน ผลกระทบทเ่ี กดิ จากหมอก เรยี นรู้สู้ภัย แลกเปลี่ยน
มาคนละ 1 อย่าง ธรรมชาติ เรยี นรูข้ อง
และผูเ้ รยี นรว่ มกันแสดงความคิดเหน็ เกย่ี วกบั สาเหตุ 3. เวบ็ ไซตท์ ่ี ผเู้ รียน
ดหมอกควัน ปจั จยั การเกดิ หมอกควนั ผลกระทบที่ เกย่ี วกับภยั ได้แก่ ความ
กหมอกควัน ธรรมชาติ ตง้ั ใจความ
ผูเ้ รียนทำแบบทดสอบก่อนเรยี นเพ่ือเป็นการ 4. สนใจ การ
มินความรู้ แบบทดสอบ แสดงความ
5. ใบความรู้ คดิ เห็น
2 แสวงหาข้อมลู และจัดการเรียนรู้
ew ways of learning)
ธบิ ายความหมายของหมอกควนั และลักษณะการ
มอกควัน
ให้ผ้เู รียนดูคลปิ วดิ โี อ จาก
://www.greenpeace.org/thailand/story/4769
h-pm25/
รายวิชา/ ตวั ช้วี ัด เน้อื หา
หวั เรอ่ื ง
ขน้ั ที่ 3
(I: Imp
1.ครใู ห
ความห
ควนั
2.ครสู ุม่
อธบิ าย
ขนั้ ที่ 4
1. ให้ผ
2. ครูเฉ
ผูเ้ รียน
เรียนรขู้
3. ให้ผ
หมอกค
4. ครูแ
การจัดกระบวนการเรยี นรู้ ส่อื และแหล่ง การวัดและ
เรยี นรู้ ประเมินผล
3 ปฏบิ ตั แิ ละนำไปประยกุ ตใ์ ช้
plementation)
หผ้ เู้ รยี นศกึ ษาใบความรู้หน่วยการเรียนรู้ท่ี 6 เรอื่ ง
หมายของหมอกควันและ ลกั ษณะการเกิดหมอก
มผู้เรียนตอบคำถามจากใบความรู้ดังกล่าว และ
ยเพิ่มเตมิ ในส่วนที่ผู้เรียนยังไมเ่ ขา้ ใจ
4 ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ (E: Evaluation)
ผ้เู รียนทำแบบฝกึ หดั
ฉลยแบบฝึกหดั และสรุปสงิ่ ทีไ่ ด้เรยี นรู้ร่วมกับ
น โดยผเู้ รียนบนั ทกึ สิง่ ที่ได้เรยี นรลู้ งในบันทกึ การ
ของผเู้ รียน
ผู้เรยี นตอบคำถามในประเดน็ ผลกระทบท่เี กิดจาก
ควนั ท่ีมตี ่อตนเอง และใหย้ กตวั อยา่ ง
และผู้เรียนสรุปสิ่งท่ีได้เรียนร้รู ว่ มกนั
แบบทดสอบก่อนเรยี น
คำชี้แจง เลือกคำตอบท่ีถกู ต้องทีส่ ุดเพยี งคำตอบเดียว
1. มลพิษทางอากาศ หมายถึงข้อใด
ก. สภาพอากาศที่มสี ารเจือปน และถ้าสารเจือปน สะสมอยู่ในอากาศเป็นเวลานาน จะส่งผลกระทบต่อ
สุขภาพของมนุษย์ สตั ว์ และพชื ผลต่าง ๆ รวมทงั้ ส่ิงแวดล้อมรอบ ๆ ตวั
ข. เมฆทีเ่ กดิ ในระดบั ใกล้พื้นดิน ซ่งึ ทำให้ทัศนว์ ิสยั หรือการมองเห็น เลวลง เปน็ อนั ตรายทัง้ ทางบกและทาง
อากาศ
ค. ปรากฏการณท์ ี่ฝุ่น ควนั และอนภุ าคแขวนลอยในอากาศ รวมตวั กนั ในสภาวะทอ่ี ากาศปิด
ง. ถกู ทุกข้อที่กล่าวมา
2. ข้อใดอธบิ ายความหมายของหมอกควนั ได้ถูกต้องท่ีสดุ
ก. สภาพอากาศที่มีสารพิษเจือปน
ข. หมอกซึ่งมคี วนั ผสมอย่เู ป็นจำนวนมากในอากาศ
ค. เมฆที่เกิดในระดบั ใกล้พื้นดิน ทา้ ให้การมองเห็นเลวลง
ง. ฝนุ่ ควนั และอนุภาคแขวนลอยในอากาศรวมตวั กนั ในสภาวะท่ีอากาศปิด
3. ขอ้ ใดไม่ใชส่ าเหตุการเกิดหมอกควนั
ก. ไฟปา่
ข. การเผาขยะมลู ฝอย
ค. โรงงานอตุ สาหกรรม
ง. การประกอบอาหาร
4. ขอ้ ใดไม่ใช่ผลกระทบทเี่ กิดจากปัญหาหมอกควนั
ก. ประชาชนปว่ ยเปน็ โรคท้องร่วง
ข. จำนวนนักท่องเทีย่ วลดลง
ค. เคร่อื งบนิ ขนึ้ -ลงไม่ได้
ง. ถกู ทกุ ข้อ
5. หากจำเปน็ ตอ้ งอยใู่ นพ้ืนที่ทีม่ หี มอกควันควรปฏบิ ัตติ นอย่างไร
ก. ด่มื น้ำใหน้ ้อยลงและงดสูบบหุ ร่ี
ข. เปิดประตหู นา้ ต่างเพื่อใหล้ มพดั ผา่ น
ค. ออกกำลังกายกลางแจง้ เพ่ือให้ร่างกายแข็งแรง
ง. สวมแว่น และใช้หนา้ กากอนามยั ปดิ ปากและจมูก
6. หมอกควนั หมายถงึ ข้อใด
ก. ฝุ่นควนั และอนุภาคแขวนลอยในอากาศรวมตวั กนั ในสภาวะทอี่ ากาศปิด
ข. เมฆทเ่ี กิดในระดบั ใกล้พน้ื ดิน ทา้ ใหก้ ารมองเหน็ เลวลง
ค. หมอกซ่ึงมคี วันผสมอยู่เปน็ จ้านวนมากในอากาศ
ง. สภาพอากาศทม่ี สี ารพษิ เจือปน
7. หมอกควันเกิดจากสาเหตุใดนอ้ ยทส่ี ุด
ก. เกดิ จากการเผาเศษพชื และเศษวสั ดุการเกษตร
ข. เกดิ จากไฟป่า และการเผาขยะมลู ฝอยจากชุมชน
ค. เกิดจากการเดนิ ทางของนักท่องเทีย่ ว
ง. เกดิ จากควันจากท่อไอเสียรถยนต์
8. ข้อใดคือผลกระทบท่ีเกดิ จากปญั หาหมอกควัน
ก. ประชาชนป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจ
ข. จำนวนนกั ท่องเทย่ี วลดลง
ค. สภาพทิวทัศน์สวยงามข้นึ
ง. สภาพอากาศเยน็ ลง
9. ขอ้ ใดเปน็ การเตรียมความพร้อมรบั สถานการณ์การเกดิ หมอกควัน
ก. หลกี เลยี่ งการเผาหรอื กจิ กรรมทีท่ ำให้เกดิ ฝนุ่ ควนั
ข. เก็บใบไม้ เศษวัชพชื เพ่ือท้าปุ๋ยหมักแทนการเผา
ค. ลดจำนวนขยะในครัวเรือนใหน้ ้อยลง
ง. ถูกทุกขอ้
10. หนว่ ยงานสว่ นภมู ิภาคทม่ี หี น้าท่ีโดยตรงในการใหค้ วามช่วยเหลอื ประชาชนเมื่อเกิดภัย
ธรรมชาตคิ อื ข้อใด
ก. ศนู ยป์ ้องกนั และบรรเทาสาธารณภยั
ข. สำนกั งานเตือนภัยพบิ ตั ิประจำภมู ภิ าค
ค. ศูนย์อุตนุ ยิ มวทิ ยาประจ้าจงั หวัด
ง. มูลนิธเิ ฝ้าระวังและเตอื นภยั เขต
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี น
1.ก 2.ง 3.ง 4.ก 5.ง 6.ก 7.ข 8.ก 9.ง 10.ก
ใบความรู้
เรื่อง ความหมายของหมอกควันและลกั ษณะการเกิดหมอกควนั
ความหมายของหมอกควนั
มลพิษทางอากาศ (Air Pollution) คือสภาพอากาศที่มีสารเจือปน และถ้าสารเจือปน สะสมอยู่ในอากาศ
เปน็ เวลานาน จะสง่ ผลกระทบตอ่ สขุ ภาพของมนุษย์ สัตว์ และพชื ผลต่าง ๆ รวมท้งั ส่ิงแวดลอ้ มรอบ ๆ ตวั
หมอก (Fog, Mist) คือเมฆทเี่ กิดในระดบั ใกลพ้ นื้ ดิน ซงึ่ ทำใหท้ ศั น์วสิ ัยหรอื การมองเห็น เลวลง เปน็
อันตรายทั้งทางบกและทางอากาศ ในวันที่มีอากาศชื้นและท้องฟ้าใส เมื่อถึงเวลา กลางคืนพื้นดินจะเย็นตัวลงอย่าง
รวดเร็ว ทำให้ไอน้ำในอากาศเหนือพืน้ ดนิ ควบแนน่ เป็นหยดน้ำ เกิดเป็นหมอกข้ึน หมอกซึ่งเกิดขึ้นโดยวิธนี ี้จะมีอณุ หภูมิ
ต่ำและมีความหนาแนน่ สงู เคลื่อนตวั ลงสทู่ ่ี ตำ่ และมอี ยอู่ ยา่ งหนาแน่นในบรเิ วณหบุ เหว
หมอกควัน (Haze, Smog) คือปรากฏการณท์ ่ฝี ่นุ ควนั และอนภุ าคแขวนลอยในอากาศ รวมตวั กันในสภาวะ
ท่อี ากาศปิด
หมอกควันเกิดได้ง่ายในสภาพอากาศแห้ง
แตกตา่ งจากหมอกทส่ี ภาพอากาศต้องมี ความช้ืนสูงหมอกควัน
จัดเปน็ มลพิษทางอากาศอยา่ งหนงึ่
สภาพบรรยากาศท่ีปกคลุมไปด้วยหมอกควนั หลายพน้ื ท่ใี นประเทศไทย
ภาพจาก http://news.sanook.com/1965658/
ลักษณะการเกดิ หมอกควัน
ฝุ่นละอองที่มีอยู่ในบรรยากาศโดยทั่วไปมีขนาดตั้งแต่ 0.002 ไมครอน ซึ่งมองด้วยตา เปล่าไม่เห็น ไปจนถึง
ขนาดใหญ่กว่า 500 ไมครอน ซึ่งเป็นฝุ่นทรายขนาดใหญ่มองเห็นได้ด้วยตา เปล่าฝุ่นละอองท่ีแขวนลอยอยู่ในอากาศได้
นานมกั จะเปน็ ฝนุ่ ละอองขนาดเลก็ ซ่งึ มีขนาด เสน้ ผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 10 ไมครอน หากมีการไหลเวียนของอากาศและ
กระแสลม ก็จะทำให้ แขวนลอยอย่ใู นอากาศได้นานมากขึ้น ฝนุ่ ละอองท่ีมีขนาดใหญ่ คือขนาดเส้นผา่ ศนู ยก์ ลางใหญ่กว่า
100 ไมครอนอาจแขวนลอยอยู่ในบรรยากาศได้เพียง 2-3 นาที แต่ฝุ่นละอองทีม่ ีขนาดเล็กกว่า 0.5 ไมครอน อาจแขวน
อยูใ่ นอากาศได้นานเปน็ ปี
ชั้นบรรยากาศที่มีอุณหภูมิผกผนั และเตม็ ไปดว้ ยหมอกควันเปรยี บเสมือนกำแพงท่ีกั้นไม่ให้ ฝุ่น ควันลอยขึ้น
ไปยงั บรรยากาศช้นั บนได้ มกั เกดิ ในชว่ งฤดูหนาวกอ่ นเข้าสูฤ่ ดูร้อน เพราะเป็นชว่ ง ที่อากาศนงิ่ ชน้ั ของอากาศเยน็ มีความ
หนาแนน่ สูงกวา่ และมีความชืน้ นอ้ ยกว่า จากสภาพความกด อากาศสงู ดังกล่าวทำให้ฝนุ่ ละอองขนาดเล็กไม่ถกู พัดพาข้ึน
สูช่ ั้นบรรยากาศระดับสูง แตจ่ ะวนเวียน อย่ใู นระดบั ท่ีประชาชนอยู่อาศัย จึงกลายเป็นลักษณะโดมอากาศ ดังนั้นฝุ่นควัน
จึงถกู กักไว้ และ สง่ ผลกระทบทางสขุ ภาพอยา่ งหลกี เลยี่ งไม่ได้
หมอกควันประกอบด้วยฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (PM10) ซึ่งเกิดจาก กระบวนการเผาไหม้หรอื
สันดาปที่ไม่สมบูรณ์ ฝุ่นละอองขนาดเล็กเหล่านี้สามารถเข้าสู่ระบบ ทางเดินหายใจของมนุษย์และจะเกาะตัวหรือ
ตกตะกอนไดใ้ นส่วนตา่ ง ๆ ของระบบทางเดนิ หายใจ ก่อใหเ้ กดิ การระคายเคืองและทำลายเน้ือเย่ือของอวยั วะนน้ั ๆ เชน่
เน้ือเยอื่ ปอด ซึ่งหากไดร้ ับใน ปรมิ าณมากหรือในช่วงเวลานาน จะสามารถสะสมในเนื้อเยื่อปอด เกิดเป็นพังผืดหรือแผล
ขึ้นได้ ทำให้การ ทำงานของปอดเสื่อมประสิทธิภาพลงทำให้หลอดลมอักเสบ เกิดหอบหืดถุงลมโป่งพอง และ มีโอกาส
เกิดโรคระบบทางเดินหายใจเนอื่ งจากตดิ เชื้อเพม่ิ ข้ึนได้
2.1 สาเหตแุ ละปจั จัยการเกิดหมอกควนั
2.1.1 สาเหตุของการเกิดหมอกควนั ประกอบด้วย
1) ไฟป่า ไฟป่าเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดหมอกควัน การเผาไหม้เชื้อเพลิง จำพวกเศษไม้
เศษใบไม้ เศษวัชพืช ปริมาณมาก ทำให้เกิดเป็นหมอกควันปกคลุมอยู่ในบริเวณท่ี เกิดไฟป่าและพื้นที่ใกล้เคียง
เม่ือมีการพดั พาของกระแสลมจะทำใหห้ มอกควันกระจายตัวไปยงั พน้ื ทอ่ี ื่น ๆ
โดยท่ัวไปไฟปา่ จะเกิดจาก 2 สาเหตุ คอื
1) เกดิ จากธรรมชาติ เช่น ฟา้ ผ่า ก่งิ ไมเ้ สยี ดสี ภูเขาไฟระเบดิ กอ้ นหิน กระทบกนั แสงแดดตกกระทบผลึกหิน
แสงแดดส่องผ่านหยดน้ำ ปฏิกิริยาเคมีในดินป่าพรุ การลุก ไหม้ในตัวเองของสิ่งมีชีวิต - เกิดจากมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็น
ความประมาท ความคึกคะนอง หรือตั้งใจ ก่อให้เกิดไฟป่า โดยมีสาเหตุต่าง ๆ กันไป เช่น การจุดไฟเผาเพื่อให้พื้นที่ป่า
โล่งเดินสะดวก การจุด ไฟเพ่ือล่าสัตว์ เกบ็ หาของป่า การจุดไฟเผาป่าเพ่ือบุกรุกครอบครองพื้นท่ีป่า การจุดไฟเผาป่าให้
โล่ง มสี ภาพเปน็ ทุ่งหญ้าเพือ่ เป็นแหล่งอาหารสตั ว์ สาเหตขุ องการเกดิ ไฟป่าในประเทศไทยพบว่าส่วนใหญเ่ กิดจากมนุษย์
2) การเผาเศษวัชพืช วัสดุทางการเกษตร และวัชพืชริมทาง เช่น ตอซัง ข้าวซังข้าวโพดการเผาเศษหญ้าริม
ทางฯลฯ โดยเกษตรกรมีความเช่ือว่าการเผาเป็นการกำจัดเศษ วัชพชื และเชอ้ื โรคในดนิ ได้ ซึ่งในการเตรยี มดินเพาะปลูก
จำเป็นที่ต้องมีการถางพื้นที่เพื่อกำจัดเศษ วัชพืช โดยการเผาเศษวัชพืชเป็นวิธกี ารที่เกษตรกรนิยมใช้กันมาก เนื่องจาก
เปน็ วธิ ีการท่งี ่าย สะดวก และประหยดั จากการตดิ ตามคุณภาพอากาศของกรมควบคุมมลพิษ พบวา่ ในจงั หวัดทมี่ ี การท
าการเกษตรมาก เช่น ปทุมธานี อยุธยา อ่างทอง ราชบุรี สระบุรี กาญจนบุรี นครสวรรค์ เชียงใหม่ ขอนแก่น จะมี
ปริมาณของฝุ่นละอองในอากาศสูงในช่วงฤดูแล้ง เนื่องจากสภาวะอากาศที่ แห้งและนิ่ง ทำให้ฝุ่นสามารถแขวนลอยอยู่
ในบรรยากาศได้นาน และในช่วงดังกล่าวเกษตรกรจะมี การเผาเศษวัสดุทางการเกษตรเพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับทำ
การเกษตรในชว่ งฤดูฝน
การเผาเศษวชั พชื วสั ดทุ างการเกษตร และวชั พืชรมิ ทาง
3) การเผาขยะจากชุมชน การเผาขยะจากชมุ ชนถือว่าเปน็ แหลง่ ปลดปลอ่ ย มลพษิ ทางอากาศเข้าไปใน
บรรยากาศโดย พบว่า ปริมาณขยะมูลฝอยที่เกิดข้ึนจากชมุ ชนมีเพียง ร้อยละ 70-80 ที่ได้รับการเก็บขนไปกำจัด และมี
เพียงร้อยละ 30 ที่ได้รับการกำจัดถูกต้องตามหลัก สุขาภิบาล ส่วนขยะที่ไม่ได้รับการกำจัดจะถูกกองทิ้งกลางแจ้งและ
เผา ซ่ึงก่อให้เกิดปญั หามลพษิ ทางอากาศ เชน่ ฝ่นุ ละออง เขมา่ ควนั ก๊าซ และไอระเหย ซ่งึ มผี ลกระทบตอ่ สุขภาพท้ังใน
ระยะสั้น และระยะยาวการเผาขยะ 1 กิโลกรัม ทำให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มีอันตรายต่อสุขภาพ 19 กรัม หรือ
เท่ากับ 45.7 กรัม ต่อครัวเรือนต่อวัน นอกจากนี้ในขยะที่มีพลาสติกปนอยู่หากมีการเผา ในที่โล่งจะก่อให้เกิด
สารอินทรีย์ระเหยประมาณ 14 กรัมต่อขยะมูลฝอย 1 กิโลกรัม หรือประมาณ 35 กรัม ต่อครัวเรือนต่อวันโดยพบ
สารพษิ ทเี่ กิดจากการเผาขยะ ได้แก่
- ไดออกซนิ สารกอ่ มะเรง็ เกิดจากการเผาไหม้พลาสตกิ
- ฟวิ แรน สารกอ่ มะเร็ง เกิดจากการเผาไหม้พลาสตกิ ทม่ี สี ว่ นผสมของ คลอรีน
- สไตรนี สารก่อมะเรง็ เกิดจากการเผาไหม้โฟม
- คารบ์ อนมอนนอกไซด์ เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลงิ ทมี่ คี ารบ์ อนอย่างไม่ สมบูรณ์
- ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่มีกำมะถันหรือซัลเฟอร์ เป็นสาเหตุของฝนกรด
- ไนโตรเจนออกไซด์ ทำให้ระคายเคอื งต่อตาและเยือ่ บุต่าง ๆ ในรา่ งกาย
- ไฮโดรเจนซัลไฟด์ กา๊ ซไขเ่ น่าท่มี ีกลิ่นเหม็น
- นอกจากนีห้ ากมกี ารทงิ้ โลหะหนักในกองขยะ เชน่ ตะกัว่ ปรอท จะทำให้ เกิดการฟ้งุ กระจายสู่
สงิ่ แวดลอ้ มดว้ ย
ควันจากการเผาขยะประกอบดว้ ยสารกอ่ มะเรง็ หลายชนิด
4)การคมนาคมขนส่ง เป็นสาเหตุหน่ึงที่ทำให้เกิดปญั หามลพษิ ทางอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมือง
ที่มีการใช้ยานพาหนะในการคมนาคมและขนส่งมากสารมลพิษมาจาก การเผาไหม้ที่เกิดขึ้นภายในเครื่องยนต์ ได้แก่
สารประกอบไฮโดรคาร์บอน เช่น ออกซิแดนท์ สารอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน เขม่า ก๊าซไนตริกออกไซด์ก๊าซไนโตรเจน
ไดออกไซด์รวมทง้ั ก๊าซ คารบ์ อนมอนอกไซด์ ซึ่งปริมาณของสารมลพิษที่ออกมาจากระบบท่อไอเสยี นน้ั จะมคี วามสัมพันธ์
กับความสมบูรณ์ในการเผาไหม้เชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ โดยพบว่าเครื่องยนต์ดีเซลจะปล่อยก๊าซ คาร์บอนมอนอกไซด์
ออกมานอ้ ยกว่าเคร่ืองยนต์เบนซิน แตใ่ นขณะเดียวกันกลบั ปล่อยกา๊ ซ ไนโตรเจนออกไซด์และอนุภาคต่าง ๆ ออกมาสูงกวา่
5) มลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม โรงงานอุตสาหกรรมเช่นโรงถลุงและ หลอมโลหะอุตสาหกรรม
กลั่นน้ำมนั อุตสาหกรรมเคมี อุตสาหกรรมผลิตอาหาร ฯลฯ ก่อให้เกิด สิ่งเจือปนในอากาศได้แตกต่างกนั ทั้งปริมาณและ
คุณภาพโดยทั่วไปโรงงานอุตสาหกรรมนับว่าเป็น แหล่งกำเนิดของมลพิษทางอากาศที่สำคัญและเป็นแหล่งที่ถูก
กล่าวโทษเป็นอย่างมาก เนื่องจาก สามารถมองเห็นควนั ทีป่ ล่อยออกมาจากปล่องควันได้อยา่ งชัดเจน สาร
มลพิษทางอากาศที่เกิดจาก โรงงานอุตสาหกรรมส่วนมาก ได้แก่ ฝุ่นละออง เขม่า ควันก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ก๊าซ
คารบ์ อนมอนอกไซด์ กา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ และก๊าซพิษอืน่ ๆ
หมอกควนั จากทอ่ ไอเสยี รถยนต์ หมอกควนั จากทอ่ ไอเสยี รถยนตแ์ ละโรงงาน
อตุ สาหกรรม
2.1.2 ปัจจัยท่ีมผี ลต่อการเกิดหมอกควนั ประกอบด้วย
ปจั จัยท่ี 1 การเผาทเี่ กิดข้ึนภายในประเทศทง้ั ในกรณีของไฟปา่ และการเผา เพ่ือการเกษตร การเผา
วัชพชื รมิ ทาง และการเผาขยะมูลฝอยในชมุ ชน
ปัจจยั ท่ี 2 การเผาท่ีเกดิ ขน้ึ บริเวณรอบ ๆ ประเทศซ่ึงทำให้เกดิ ปัญหาหมอก ควนั ขา้ มแดนนับเป็น
ปญั หารว่ มของภูมภิ าคลุม่ นำ้ โขง และภูมิภาคอาเซยี น
ปัจจยั ที่ 3 สภาพภมู อิ ากาศเชน่ อุณหภูมิ ความช้ืนความกดอากาศทิศทางลม ในวนั ทม่ี คี วามกดอากาศ
สูงหรือไม่มีการพัดผ่านของลม จะทำให้หมอกควันลอยปกคลุมในพื้นที่ ยาวนานกว่าวันที่มีอากาศแจ่มใสหรือมีลมพัด
ผ่านโดยเฉพาะในช่วงปลายฤดูหนาวก่อนเข้าฤดูแล้ง ของประเทศไทย จะมีมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนปกคลุมอยู่
บรเิ วณภาคเหนือเรียกว่า “ความ กดอากาศสงู ” ทำใหอ้ ากาศไม่สามารถลอยตวั สูงข้นึ ได้
ปัจจัยที่ 4 สภาพภูมิประเทศ ภูมิประเทศที่เอื้อให้เกิดหมอกควันปกคลุม ได้แก่ พื้นที่เขตเมืองที่มี
อาคารสูงพ้นื ที่แอ่งกระทะที่มีภเู ขาล้อมรอบหรือพ้นื ทปี่ ิดระหวา่ งหุบเขา จะมโี อกาสทีจ่ ะเกดิ ปัญหาหมอกควันรุนแรงกว่า
พื้นที่อื่น ๆ เน่ืองจากมภี ูเขาล้อมรอบอยูท่ ำให้ หมอกควันไม่สามารถแพรก่ ระจายไปแหล่งอน่ื ได้
2.2 ผลกระทบที่เกิดจากหมอกควนั
2.2.1 ผลกระทบด้านสุขภาพ พ้ืนท่ที ป่ี ระสบปัญหาหมอกควนั เปน็ ระยะเวลานาน จะส่งผลกระทบต่อ
สุขภาพของคนในพื้นที่เป็นอย่างมากผู้ที่สูดหายใจเอาอากาศที่มีฝุ่นละอองขนาด เล็กกว่า 10 ไมครอนหรือที่เรียกว่า
PM10 ในความเข้มข้นต่ออากาศที่สูงเกินระดับมาตรฐาน 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรอากาศ จะเกิดอาการตั้งแต่
ระดับน้อย ๆ ไปจนถึงเป็นอันตรายต่อชีวิต ได้ และเกิดผลกระทบต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาวได้ โดยฝุ่น
ละอองเมื่อเข้าไปถึงส่วนท่ี อยู่ลึกที่สุดของทางเดินหายใจ ซึ่งก็คือ ถุงลม ปอด อาจเกิดการสะสมเป็นปริมาณมากจะทำ
ให้เกิด การบาดเจ็บของเนื้อเยื่อปอดจนเกิดเป็นโรคปอดอักเสบได้ ซึ่งจะมีผลต่อร่างกายรุนแรงแค่ไหน ขึ้นอยู่กับเวลาที่
สัมผสั อายุ ภมู ติ ้านทานของแต่ละคน และปรมิ าณฝุ่นละอองท่ไี ด้รบั
ผลกระทบดา้ นสุขภาพท่เี กดิ กับระบบตา่ ง ๆ ของร่างกาย ได้แก่
1) ระบบตา เกิดอาการระคายเคอื งตา ตาแดง แสบตา ตาอักแสบ
2) ระบบผิวหนงั ระคายเคืองผวิ หนัง เกิดผ่ืนคันผิวหนงั
3) ระบบทางเดินหายใจเกิดอาการระคายเคอื งเยื่อบุจมูก แสบจมูก ไอ มี เสมหะ แน่นหน้าอก หายใจ
มเี สียงหวีด หายใจถี่ และทำให้เกิดโรคหอบหืด หลอดลมอกั เสบทั้ง แบบเฉยี บพลันและเรื้อรัง ปอดอกั เสบ ถุงลมโป่งพอง
4) ระบบหลอดเลือดและหัวใจ เกิดอาการแน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก หายใจถ่ี เมื่อยล้า สั่นผิดปกติ ทำ
ให้เกดิ โรคหัวใจเต้นผดิ จังหวะ หวั ใจลม้ เหลว กล้ามเนอื้ หวั ใจตาย เสน้ เลือด ในสมองตีบ
โดยท่ัวไปแล้วเม่ือร่างกายสูดดมหมอกควันเข้าส่รู า่ งกายในระยะเวลาส้นั ๆ จะทำให้เกดิ ผลกระทบต่อสุขภาพ
คอื มอี าการแสบจมูก จาม ไอ ฯลฯ ซงึ่ ประชาชนทว่ั ไปทม่ี ี สุขภาพแขง็ แรงจะสามารถปรบั ตวั และฟน้ื ฟสู ภาพร่างกายได้
อย่างรวดเร็ว และไม่เกิดผลกระทบต่อ สุขภาพในระยะยาว แต่ในประชากรกลุ่มเสี่ยงนั้นเมื่อสูดดมหมอกควันเข้าสู่
ร่างกายอาจเกิดปัญหา ต่อสุขภาพรุนแรงกว่า เช่น หายใจลำบาก มีอาการหอบหืด หัวใจเต้นแรง แน่นหน้าอก หน้ามดื
เป็นลมหมดสติ ชัก และอาจหัวใจวายเฉียบพลัน โดยประชาชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการได้รับ ผลกระทบจากหมอกควัน
รนุ แรง มี 4 กลุม่ คือ
ประชาชนกลมุ่ เสยี่ งต่อการได้รบั ผลกระทบจากหมอกควนั รุนแรง
1)กลุ่มเด็กเล็ก ในกลุ่มเด็กเล็กถึงแม้จะไม่มีปัญหาการเจ็บป่วยหรือโรคเรื้อรัง ก็ยังถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง
เนอื่ งจากปอดของเด็กยังอยู่ในภาวะกำลังพัฒนา ทำให้มีความเสยี่ งต่อ มลพษิ ทางอากาศมากว่าผู้ใหญท่ ่มี ีสุขภาพรา่ งกาย
สมบูรณ์ ปัจจัยที่ส่งผลให้เด็กมีความเส่ียงมากกวา่ ผู้ใหญ่ เนื่องจากเด็กส่วนใหญ่มักใช้เวลาทำกิจกรรมอยู่นอกบ้านเช่น
สนามเด็กเล่น สนามกีฬา ลาน กิจกรรม ฯลฯ และมีการเคลื่อนไหวเช่น การวิ่งเล่น การกระโดด ปีนป่าย ฯลฯ มากกวา่
ผใู้ หญ่ เดก็ จงึ มีการหายใจเอาปรมิ าตรอากาศเขา้ สรู่ ่างกาย (ปรมิ าตรอากาศต่อน้ำหนักตวั ) สงู กวา่ ผู้ใหญ่ 2) ผ ู ้ ส ู ง อ า ยุ
มักจะมีปัญหาเรือ่ งประสิทธิภาพของปอดและปญั หาโรคหัวใจทำ ให้มีความเสี่ยงตอ่ สุขภาพจากการได้รับฝุ่นหรือหมอก
ควนั มากกว่ากลุ่มอืน่ ๆ ทัง้ นเี้ นือ่ งจาก ประสทิ ธิภาพการทำงานของระบบปอ้ งกันของปอดจะลดลงเม่ืออายุเพ่ิมข้ึน
3) หญิงต้ังครรภ์ จากการศกึ ษาพบว่าหญงิ ตง้ั ครรภ์ได้รับผลกระทบต่อ สขุ ภาพจากการรบั ควันบุหรซี่ ้ำ ๆ ท้ัง
การรับโดยตรงและโดยอ้อม และควนั ไฟป่ามีองค์ประกอบ หลายชนิด ท่คี ล้ายกบั องค์ประกอบของควนั บุหร่ี นอกจากนี้
การรับสัมผสั กบั มลพิษทางอากาศใน เมอื งใหญ่ ๆ มีผลต่อนำ้ หนักตวั ของเด็กทารกและมกั มีการคลอดก่อนกำหนด
4) ผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจระบบหัวใจและหลอดเลือด เป็นกลุ่มเสีย่ งต่อการ
ได้รับอันตรายจากหมอกควัน ซึ่งควรไดร้ บั การดูแลสุขภาพอยา่ ง ใกลช้ ิด ผู้ปว่ ยโรคหวั ใจและหลอดเลือดจะเป็นกลุ่มโรค
เรื้อรังที่ส่งผลกระทบทำให้เกิดการเจ็บ หน้าอก ชั่วคราว หัวใจวาย หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ หรือหัวใจ
ลม้ เหลวได้
2.2.2 ผลกระทบดา้ นเศรษฐกจิ ผลกระทบของหมอกควนั และมลพิษทางอากาศ มีสว่ นทำให้รายไดเ้ ข้าสู่ภาค
ธุรกิจท่องเที่ยวลดลงอย่างกะทันหัน หมอกควันที่ปกคลุมในเขต ภาคเหนือซึ่งมักจะเกิดในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือน
เมษายนในแต่ละปี ซึ่งเป็นช่วงที่มีวันหยุดยาว รวมทั้งยังเป็นช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนและเป็นช่วงเทศกาลท่องเที่ยวที่
สำคญั ของภาคเหนือ โดยเฉพาะเทศกาลสงกรานต์ คาดว่าปัญหาหมอกควนั จะสร้างความเสียหายต่อธุรกิจการท่องเที่ยว
โดยเฉพาะในจงั หวดั ท่ีเปน็ แหล่งท่องเทย่ี วทสี่ ำคญั คือ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และเชียงราย ทำให้ จำนวนนกั ท่องเที่ยวใน
พนื้ ที่ 3 จังหวดั นล้ี ดลงประมาณร้อยละ 25 ส่งผลให้สญู เสยี รายไดจ้ ากการ ใชจ้ า่ ยของนกั ท่องเทย่ี วไปสู่ธุรกิจบริการต่าง
ๆ และส่งผลถึงสภาวะการว่างงานของประชาชน จำนวนมากได้ นอกจากนี้ประชาชนในพื้นที่ที่มีปัญหาหมอกควันท่ี
ได้รับผลกระทบด้านสุขภาพ จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเพิ่มมากขึ้น และทำให้ขาดรายได้จากการหยุด
งานอีกด้วย
2.2.3 ผลกระทบทางด้านคมนาคม ฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน แม้ไม่ สามารถมองเห็นได้ด้วยตา
เปล่า แต่หากมีการสะสมรวมกันในปริมาณมาก ๆ ก็สามารถปกคลุมให้ ท้องฟ้ากลายเป็นสีขาวขุ่นได้ และ
ทำให้ทัศน์วิสัยของการมองเห็นต่ำลง ส่งผลกระทบต่อการจราจร ทั้งทางบกและทางอากาศ ในช่วงที่เกิดปัญหาหมอก
ควันนั้น สายการบินจำเป็นต้องมีการงดเที่ยวบินบางเที่ยว ด้วยเหตุผลเพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร นอกจากนี้ยัง
ส่งผลกระทบต่อการ สัญจรทง้ั ในทอ้ งถนิ่ และบนเสน้ ทางหลวงระหว่างจังหวัดด้วย
หมอกควนั ทำใหท้ ัศนว์ ิสัยเลวลงเปน็ อปุ สรรคต่อการจราจรท้ังทางบกและทางอากาศ
ใบงาน
เร่อื ง ความหมายของหมอกควนั และลกั ษณะการเกดิ หมอกควนั
1 บอกสาเหตุของการเกดิ หมอกควนั
............................................................................................................................. ...............................................................
............................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................... .....................................................
............................................................................................................... .............................................................................
........................................................................................................................................... .................................................
.................................................................................. ..........................................................................................................
.......................................................... ............................................................................................ ......................................
............................................................................................................................. ...............................................................
..
2 บอกผลกระทบท่ีเกดิ จากหมอกควัน
............................................................................................................................. ...............................................................
............................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................... .........................................................
........................................................................................................... .................................................................................
....................................................................................................................................... .....................................................
............................................................................................................................................................................................
..................................................... ............................................................................................ ...........................................
......................................................................................................................... ...................................................................
แบบทดสอบก่อนเรียน
คำชแี้ จง เลอื กคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพยี งคำตอบเดยี ว
1. มลพษิ ทางอากาศ หมายถึงข้อใด
ก. สภาพอากาศท่มี ีสารเจือปน และถา้ สารเจือปน สะสมอยใู่ นอากาศเป็นเวลานาน จะส่งผลกระทบต่อ
สขุ ภาพของมนุษย์ สัตว์ และพืชผลตา่ ง ๆ รวมทง้ั ส่งิ แวดล้อมรอบ ๆ ตวั
ข. เมฆท่เี กดิ ในระดบั ใกล้พ้นื ดิน ซง่ึ ทำให้ทศั นว์ ิสยั หรือการมองเห็น เลวลง เปน็ อันตรายทั้งทางบกและทาง
อากาศ
ค. ปรากฏการณ์ทีฝ่ ่นุ ควัน และอนุภาคแขวนลอยในอากาศ รวมตัวกันในสภาวะทอี่ ากาศปดิ
ง. ถกู ทุกข้อที่กล่าวมา
2. ข้อใดอธบิ ายความหมายของหมอกควันได้ถูกต้องทส่ี ุด
ก. สภาพอากาศที่มสี ารพิษเจือปน
ข. หมอกซ่ึงมีควนั ผสมอยู่เปน็ จำนวนมากในอากาศ
ค. เมฆท่ีเกิดในระดบั ใกล้พนื้ ดิน ท้าให้การมองเหน็ เลวลง
ง. ฝ่นุ ควันและอนุภาคแขวนลอยในอากาศรวมตวั กนั ในสภาวะท่ีอากาศปิด
3. ข้อใดไมใ่ ช่สาเหตุการเกิดหมอกควนั
ก. ไฟปา่
ข. การเผาขยะมลู ฝอย
ค. โรงงานอุตสาหกรรม
ง. การประกอบอาหาร
4. ข้อใดไมใ่ ช่ผลกระทบท่เี กิดจากปญั หาหมอกควนั
ก. ประชาชนป่วยเป็นโรคท้องรว่ ง
ข. จำนวนนกั ทอ่ งเทยี่ วลดลง
ค. เครื่องบินขึ้น-ลงไม่ได้
ง. ถูกทุกข้อ
5. หากจำเป็นตอ้ งอยู่ในพ้ืนท่ีทมี่ หี มอกควันควรปฏิบัตติ นอยา่ งไร
ก. ด่ืมน้ำให้น้อยลงและงดสูบบุหร่ี
ข. เปดิ ประตูหนา้ ตา่ งเพ่ือใหล้ มพดั ผ่าน
ค. ออกกำลงั กายกลางแจ้ง เพ่ือใหร้ ่างกายแข็งแรง
ง. สวมแว่น และใช้หนา้ กากอนามัยปิดปากและจมูก
6. หมอกควัน หมายถงึ ข้อใด
ก. ฝุ่นควนั และอนภุ าคแขวนลอยในอากาศรวมตัวกันในสภาวะทอ่ี ากาศปิด
ข. เมฆท่ีเกิดในระดบั ใกล้พื้นดิน ทา้ ให้การมองเหน็ เลวลง
ค. หมอกซึ่งมคี วนั ผสมอยเู่ ปน็ จา้ นวนมากในอากาศ
ง. สภาพอากาศที่มีสารพิษเจือปน
7. หมอกควันเกิดจากสาเหตใุ ดนอ้ ยทส่ี ุด
ก. เกดิ จากการเผาเศษพืชและเศษวสั ดุการเกษตร
ข. เกดิ จากไฟปา่ และการเผาขยะมูลฝอยจากชมุ ชน
ค. เกิดจากการเดนิ ทางของนักทอ่ งเทยี่ ว
ง. เกดิ จากควนั จากท่อไอเสยี รถยนต์
8. ขอ้ ใดคือผลกระทบท่เี กดิ จากปญั หาหมอกควนั
ก. ประชาชนป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจ
ข. จำนวนนกั ท่องเท่ยี วลดลง
ค. สภาพทิวทัศน์สวยงามขน้ึ
ง. สภาพอากาศเยน็ ลง
9. ขอ้ ใดเปน็ การเตรยี มความพร้อมรับสถานการณ์การเกดิ หมอกควัน
ก. หลกี เลี่ยงการเผาหรอื กิจกรรมทีท่ ำให้เกดิ ฝนุ่ ควนั
ข. เก็บใบไม้ เศษวัชพชื เพ่ือท้าปุย๋ หมักแทนการเผา
ค. ลดจำนวนขยะในครวั เรือนให้น้อยลง
ง. ถกู ทุกข้อ
10. หนว่ ยงานสว่ นภูมิภาคท่ีมีหนา้ ท่โี ดยตรงในการให้ความชว่ ยเหลือประชาชนเมื่อเกดิ ภัย
ธรรมชาติคือข้อใด
ก. ศนู ย์ปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภัย
ข. สำนักงานเตอื นภยั พบิ ตั ิประจำภมู ภิ าค
ค. ศนู ย์อตุ ุนิยมวทิ ยาประจ้าจังหวดั
ง. มลู นิธเิ ฝ้าระวงั และเตอื นภัยเขต
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี น