The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by suwimolsoisan3254, 2023-01-17 04:43:13

ภูมิศาสตร์ ม.4-6

ภูมิศาสตร์ ม.4-6

180 160 140 120 100 80 60 40 20 0 ระดับความสูง (กิโลเมตร) อุณหภูมิของอากาศ ( �c) -120 -60 0 60 120 1 โทรโพสเฟยร์ (troposphere) 2 สแตรโทสเฟยร์ (stratosphere) 3 เมโซสเฟยร์ (mesosphere) 4 เทอร์โมสเฟยร์ (thermosphere) สแตรโทพอส (stratopause) โทรโพพอส (tropopause) เมโซพอส (mesopause) ชั้นโอโซน (O3 ) 2.2 ชั้นบรรยากาศ บรรยากาศเป็นชั้นอากาศที่หุ้มห่อโลกและอยู่ได้ด้วยแรงดึงดูดของโลก มีขอบเขตจาก พื้นผิวโลกขึ้นไปประมาณ 400 กิโลเมตร เนื่องจากอากาศเป็นสสาร ดังนั้น แรงดึงดูดโลกจึงท�าให้ อากาศที่ระดับทะเลปานกลางมีความหนาแน่นของอากาศมากที่สุด การแบ่งชั้นบรรยากาศโดยใช้ลักษณะการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของอากาศเป็นเกณฑ์ มี 4 ชั้น ดังนี้ 40 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร 1. ครูใหนักเรียนดูภาพการแบงชั้นบรรยากาศ จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 จากนั้น ใหนักเรียนลองบอกสิ่งที่เห็นจากสายตา 2. ครูใหนักเรียนดูคลิปวิดีโอที่เกี่ยวของกับ การแบงชั้นบรรยากาศของโลก จากนั้นครูถาม คําถามกระตุนความคิดโดยใหนักเรียนรวมกัน ตอบคําถาม เชน • บรรยากาศของโลกมีลักษณะอยางไร (แนวตอบ บรรยากาศของโลกเปนอากาศ ที่หอหุมโลกซึ่งประกอบดวยแกสตางๆ ไอนํ้า และฝุนละออง) สื่อ Digital ครูใหนักเรียนดูคลิปวิดีโอเรื่องชั้นบรรยากาศของโลก เพื่อใหนักเรียน เกิดความรู ความเขาใจ เกี่ยวกับการแบงชั้นบรรยากาศโดยใชเกณฑลักษณะ การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของอากาศ เชน จาก https://www.youtube.com/ watch?v=fyfN9t_E0w8 ศึกษาคนควาขอมูลเพิ่มเติม เรื่อง โครงสรางชั้นบรรยากาศของโลก ไดที่ https://www.youtube.com/watch?v=WaikvaAw2nk นักเรียนศึกษาขอมูลชั้นบรรยากาศแลวออกแบบ infographic ซึ่งประกอบดวยชั้นบรรยากาศทั้ง 4 ชั้น คือ โทรโพสเฟยร สแตรโทสเฟยร เมโซสเฟยร เทอรโมสเฟยร ระบุความสูงของและ อุณหภูมิของแตละชั้นใหถูกตอง โดยดูรูปแบบจากในหนังสือเรียน เปนตัวอยาง กิจกรรม สรางเสริม นักเรียนฝกอาน วิเคราะห แปลความหมาย infographic การแบงชั้นบรรยากาศจากหนังสือเรียน ในประเด็น ชื่อชั้น บรรยากาศ ระดับความสูง อุณหภูมิ และลักษณะเฉพาะของ แตละชั้นบรรยากาศ นํา สอน สรุป ประเมิน T42


ขอสอบเนน การคิด การพาความรอนบริเวณขั้วโลกมีนอย ลม กระแสอากาศ การพาความรอน บริเวณศูนยสูตรมีมาก จึงเกิดเมฆคิวมูโลนิมบัส และอากาศแปรปรวน การพาความรอน บริเวณศูนยสูตรมีมาก จึงเกิดเมฆคิวมูโลนิมบัส และอากาศแปรปรวน 9 กม. โทรโพพอส โทรโพสเฟยรสแตรโทสเฟยร 17 กม. 15 14 13 12 11 10 9 8 7 6 5 4 3 2 1 ระดับความสูง (กิโลเมตร) อุณหภูมิ (องศาเซลเซียส) ผิวโลก -10-20-30-40-60 -50 0 10 โทรโพสเฟยร โทรโพพอส อตัราเปลย่ีนอณุ หภมูติามสงู 6.4 Cํตอ 1,000 ม. บริเวณที่อากาศ ไมมีเมฆและพายุ บริเวณที่เกิด อากาศแปรปรวน และพายุในเมฆ คิวมูโลนิมบัส อุณหภูมิคงที่และสูงขึ้น เมื่อความสูงเพิ�มขึ้น สแตรโทสเฟยร อัตราเปลี่ยนอุณหภูมิตามความสูงในบรรยากาศ ชั้นโทรโพสเฟียร์ 2.1) โทรโพสเฟยร์ (troposphere) ชั้นบรรยากาศของโลกที่อยู่ติดกับพื้นผิวโลก ขึ้นไป มีระดับความสูงจากพื้นโลก ณ บริเวณเส้นศูนย์สูตรประมาณ 17 กิโลเมตร และบริเวณ ขั้วโลก ประมาณ 9 กิโลเมตร ลักษณะเฉพาะ • อุณหภูมิต�่าลงตามความสูงในอัตราเฉลี่ย 6.4 องศาเซลเซียส ต่อ 1,000 เมตร จนถึงแนวแบ่งเขตบรรยากาศ ที่เรียกว่า โทรโพพอส (tropopause) • อากาศมีการเคลื่อนที่ทั้งในแนวราบและ แนวดิ่ง สภาพอากาศชั้นนี้มีไอน�้า เมฆ หมอก ฝน หิมะ พายุ และอากาศ แปรปรวน ลักษณะเฉพาะ ขอบเขตของบรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์ที่มีความชื้นของอากาศในรูปเมฆ และการเคลื่อนที่ของอากาศในแนวระดับและแนวตั้ง 41 ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร • เมฆ หมอก ฝน หิมะ พายุ หรืออากาศที่ แปรปรวน มักเกิดขึ้นในชั้นบรรยากาศใด (แนวตอบ ชั้นบรรยากาศที่กอใหเกิดเมฆ หมอก ฝน หิมะ พายุ หรืออากาศที่แปรปรวน คือ ชั้นโทรโพสเฟยร เปนชั้นบรรยากาศที่ อยูติดกับพื้นผิวโลก ณ บริเวณเสนศูนยสูตร ประมาณ 17 กิโลเมตร และบริเวณขั้วโลก ประมาณ 9 กิโลเมตร) • การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกมีผลตอการเกิด พายุหมุนหรือไม อยางไร (แนวตอบ นักภูมิศาสตรไดสันนิษฐานวา อุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลง ของปรากฏการณเรือนกระจก มีผลทําให พายุหมุนในบริเวณตางๆ ของโลกเกิดขึ้น บอยครั้งและรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากสงผล ใหความกดอากาศตํ่าที่มีกระแสหมุนเวียน เขาหาศูนยกลางอยางรวดเร็วและรุนแรงขึ้น สงผลใหเกิดพายุหมุนในบริเวณตางๆ ของโลก ทั้งไตฝุนในทะเลจีนใต ไซโคลนในอาวเบงกอล และเฮอรริเคนในทะเลแคริบเบียน) เกร็ดแนะครู ครูใหขอมูลเพิ่มเติมวา บรรยากาศชั้นโทรโพสเฟยรมักปรากฏสภาพอากาศ รุนแรง เนื่องจากมีมวลอากาศหนาแนน การเปลี่ยนสถานะของนํ้า ทําใหเกิด การดูดและคายความรอนแฝง ลักษณะทางภูมิประเทศของพื้นผิวโลก เชน ภูเขา ทะเลทราย มหาสมุทร ยังสงผลกระทบตอตัวแปรตางๆ ของอากาศดวย เชน อุณหภูมิ ความชื้น กระแสลม ความกดอากาศ เพราะเหตุใดบรรยากาศชั้นโทรโพสเฟยรจึงมักเกิดปรากฏการณ ทางธรรมชาติบอยครั้ง (แนวตอบ เพราะชั้นโทรโพสเฟยร เปนชั้นบรรยากาศชั้นลางสุด สูงจากผิวโลก 8-15 กิโลเมตร มีอิทธิพลตอสิ่งแวดลอมมากที่สุด อากาศที่มนุษยหายใจคืออากาศชั้นนี้ รวมถึงเมฆ พายุ ลม และ ลักษณะอากาศตางๆ ก็เกิดขึ้นในบรรยากาศชั้นนี้เชนเดียวกัน อุณหภูมิจะเปลี่ยนแปลงบอยครั้งและเร็วกวาบรรยากาศชั้นอื่นๆ ทําใหเกิดปรากฏการณทางธรรมชาติ) นํา นํา สอน สอ สรุป ประเมิน T43


ขอสอบเนนการคิด แสงออโรราเป็นปรากฏการณ์ทางแสงที่เกิดขึ้นแถบขั้วโลก 2.2) สแตรโทสเฟยร์ (stratosphere) ชั้นบรรยากาศที่อยู่เหนือแนวโทรโพพอส ขึ้นไป มีระดับความสูงจากพื้นโลกประมาณ 17 - 50 กิโลเมตร ลักษณะเฉพาะ • อุณหภูมิมีค่าคงที่ระยะต้นและสูงขึ้นตามความสูง จนถึงแนวแบ่งเขตบรรยากาศ ที่เรียกว่า สแตรโทพอส (stratopause) • อากาศมีการเคลื่อนที่เฉพาะในแนวระดับเพียงอย่างเดียว • บรรยากาศปราศจากเมฆและพายุจึงเป็นประโยชน์ต่อกิจการการบิน • มีแก๊สโอโซน (O3 ) อยู่หนาแน่นที่ระดับความสูง 25 - 30 กิโลเมตร จากพื้นผิวโลก จึงสามารถ ดูดซับคลื่นรังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet: UV) ไว้ ซึ่งเป็นสาเหตุท�าให้อุณหภูมิของ บรรยากาศสูงขึ้น 2.3) เมโซสเฟยร์ (mesosphere) ชั้นบรรยากาศที่อยู่เหนือแนวสแตรโทพอส ขึ้นไป มีระดับความสูงจากพื้นโลกประมาณ 50 - 80 กิโลเมตร ลักษณะเฉพาะ • อุณหภูมิต�่าลงตามความสูงจนถึงแนวแบ่งเขตบรรยากาศ ที่เรียกว่า เมโซพอส (mesopause) • เทหวัตถุในท้องฟ้า เช่น อุกกาบาต ดาวตก จะถูกเสียดสีและเผาไหม้ 2.4) เทอร์โมสเฟยร์ (thermosphere) ชั้นบรรยากาศที่อยู่เหนือแนวเมโซพอส ขึ้นไป มีระดับความสูงจากพื้นโลกประมาณ 480 กิโลเมตร ลักษณะเฉพาะ ลักษณะเฉพาะ ลักษณะเฉพาะ • อุณหภูมิมีค่าคงที่ระยะต้นและสูงขึ้นตาม ความสูง • มีประจุไฟฟ้ามาก จึงสามารถสะท้อน คลื่นวิทยุที่ใช้กับการสื่อสารระยะไกลได้ • เกิดแสงออโรรา (aurora) เป็นแสงสีแดง เขียว และขาว มีลักษณะเป็นวงโค้งเป็น เส้น ๆ มองเห็นในเวลากลางคืนบนท้องฟ้า แถบขั้วโลก 42 สแตรโทพอส (stratopause) (thermosphere) ชั้นบรรยากาศที่อยู่เหนือแนวเมโซพอส แสงออโรราเป็นปรากฏการณ์ทางแสงที่เกิดขึ้นแถบขั้วโลก 1 2 3 ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร • แสงออโรรา หรือแสงที่มีลักษณะเปนวงโคง มองเห็นไดในเวลากลางคืนบนทองฟาแถบ ขั้วโลก จะพบไดในชั้นบรรยากาศใด (แนวตอบ แสงออโรราจะพบไดในชั้นเทอร- โมสเฟยร ที่มีระดับความสูงจากพื้นโลก ประมาณ 80 กิโลเมตรขึ้นไป) 3. ครูกระตุนใหนักเรียนชวยกันตั้งประเด็นคําถาม เชิงภูมิศาสตร เชน • การเปลี่ยนแปลงดานบรรยากาศของโลกเกิด จากปจจัยใดบาง • ชั้นบรรยากาศที่หอหุมโลกมีอะไรบาง และใชสิ่งใดเปนเกณฑในการแบง • การเปลี่ยนแปลงบรรยากาศที่เกิดขึ้นใน ภูมิภาคตางๆ ของโลก มีลักษณะที่เหมือน หรือแตกตางกันหรือไม อยางไร • แนวทางการปฏิบัติตนใหปลอดภัยจากการ เปลี่ยนแปลงของบรรยากาศ สามารถทําได อยางไร นักเรียนควรรู 1 สแตรโทพอส ขอบในชั้นบรรยากาศของโลกที่กั้นระหวางชั้นสแตรโทสเฟยร และเมโซสเฟยร มีความสูงจากพื้นโลกประมาณ 50 กิโลเมตร มีความกดอากาศ ประมาณ 1/1,000 ของความกดอากาศที่ระดับนํ้าทะเล 2 เมโซพอส ขอบในชั้นบรรยากาศของโลกที่กั้นระหวางชั้นเมโซสเฟยร และเทอรโมสเฟยร มีความสูงจากพื้นโลกประมาณ 80-85 กิโลเมตร 3 แสงออโรรา ปรากฏการณแสงเหนือ แสงใต เปนปรากฏการณทาง ธรรมชาติที่เกิดบริเวณขั้วโลกทั้งเหนือและใต เกิดจากการชนกันระหวางแกสใน ชั้นบรรยากาศโลกกับอนุภาคไฟฟาที่ถูกปลอยออกมาจากพลังงานแสงอาทิตย กอใหเกิดการระเบิดเปนลําแสงสีที่แตกตางกันออกไป ชวงเวลาที่ดีที่สุดของการ เกิดแสงเหนือจะอยูในชวงฤดูหนาวของทางขั้วโลก ซึ่งเปนชวงเดือนกันยายน ตุลาคม มีนาคม เมษายน อุกกาบาตจากนอกโลกจะเริ่มลุกไหม ขณะเขาสูแรงดึงดูดของ โลกในชั้นบรรยากาศใด 1. เมโซสเฟยร 2. โทรโพสเฟยร 3. ไอโอโนสเฟยร 4. เทอรโมสเฟยร 5. สแตรโทสเฟยร (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. บรรยากาศชั้นเมโซสเฟยรสูงจาก พื้นดิน 50-80 กิโลเมตร เหนือชั้นโอโซน อุณหภูมิจะลดลงตาม ความสูงที่เพิ่มขึ้น โดยอาจสูงไดถึง 83 องศาเซลเซียส อุกกาบาต หรือชิ้นสวนหินจากอวกาศที่ตกลงมามักถูกเผาไหมในชั้นนี้) นํา สอน สรุป ประเมิน T44


พลังงานความรอนจาก การแผรังสีดวงอาทิตย ลงมาสูตอนบนของ ชั้นบรรยากาศ รอยละ 100 พื้นโลกดูดซับ 50% เมฆ 3% โมเลกุลและ ฝุนละอองตางๆ 15% แพรกระจาย 5% เมฆ 21% แผนดิน 6% การดูดซับ โดยตัวกระทำตางๆการสะทอนกลับ โดยตัวกระทำตางๆ 2.3 การเปลี่ยนแปลงทางบรรยากาศภาค สิ่งมีชีวิตทั้งหลายอาศัยอยู่ภายใต้บรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์ของโลกเท่านั้น มีปรากฏการณ์ ต่าง ๆ เกิดขึ้น ได้แก่ ลมฟ้าอากาศ และภูมิอากาศ ซึ่งมีผลต่อสรรพสิ่งบริเวณพื้นโลก ทั้งสิ่งมีชีวิต และไม่มีชีวิตในทุก ๆ แห่ง ระบบธรรมชาติส�าคัญที่มีเฉพาะในบรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์ ได้แก่ อุณหภูมิ ความกดอากาศ ลมกับทิศทางลม และความชื้นกับหยาดน�้าฟ้า ค่าความสมดุลของพลังงานความร้อนจากการแผ่รังสี ดวงอาทิตย์สู่บรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์ 1) อุณหภูมิ บรรยากาศในชั้น โทรโพสเฟียร์ได้รับพลังงานความร้อนและ แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ที่ผ่านบรรยากาศชั้น ต่าง ๆ ลงมาจนถึงพื้นโลก ซึ่งมีความสมดุล ระหว่างการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ที่ลงมา และสูญเสียพลังงานไปกับการดูดซับพลังงาน ของโลก ปริมาณพลังงานความร้อนจากการ แผ่รังสีดวงอาทิตย์ตอนบนของชั้นบรรยากาศ จ�านวนร้อยละ 100 มีอัตราส่วนรังสีสะท้อนไป ร้อยละ 32 ชั้นบรรยากาศโทรโพสเฟียร์ดูดซับไว้ ร้อยละ 18 และพื้นโลกดูดซับไว้ร้อยละ 50 แสงแนวเฉ�ยง แสงแนวดิ�ง ค่าของมุมที่รังสีดวงอาทิตย์ ตกสู่พื้นโลกในแนวดิ่ง อุณหภูมิในบริเวณส่วนต่าง ๆ ของ โลกมีความแตกต่างกันไปตามการรับพลังงาน ความร้อน และการแผ่รังสีดวงอาทิตย์ ณ ต�าแหน่งของโลกตามลักษณะต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับ ค่าของมุมที่รังสีดวงอาทิตย์ตกสู่พื้นโลก ฤดูกาล ระยะใกล้ไกลระหว่างดวงอาทิตย์กับโลก ความ แตกต่างระหว่างพื้นดินกับพื้นน�้า ปริมาณรังสีดวงอาทิตย์ที่ตกลงบนพื้นที่หนึ่ง ในแนวดิ่ง และแนวเฉียง มีความเข้มต่างกัน โดยแนวเฉียงมีการกระจาย เป็นบริเวณกว้าง แต่ความเข้มของรังสีจะน้อยกว่าแนวดิ่ง 43 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 2 การรวบรวมขอมูล 1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม สืบคนขอมูลเกี่ยวกับ การเปลี่ยนแปลงทางบรรยากาศภาค จาก หนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 หรือจาก แหลงการเรียนรูอื่นๆ เชน หนังสือในหองสมุด เว็บไซตในอินเทอรเน็ต ประกอบการใช เครื่องมือทางภูมิศาสตรในประเด็นตอไปนี้ • อุณหภูมิ • ความกดอากาศ • ลมและทิศทางลม • ความชื้นและหยาดนํ้าฟา 2. ครูแนะนําแหลงขอมูลสารสนเทศที่นาเชื่อถือ ใหกับนักเรียนเพิ่มเติม เกร็ดแนะครู ครูใหนักเรียนสืบคนขอมูลการเปลี่ยนแปลงทางบรรยากาศจากการที่ อุณหภูมิสูงขึ้น เชน การละลายของธารนํ้าแข็งและภูเขานํ้าแข็ง สงผลใหระดับ นํ้าทะเลและมหาสมุทรสูงขึ้น นักวิทยาศาสตรคาดการณวา อีก 100 ปขางหนา ระดับนํ้าในมหาสมุทรจะสูงขึ้นประมาณ 1 เมตร พื้นที่ชายฝงจะจมหายไป เพราะนํ้าทวม โดยเฉพาะประเทศลุมตํ่ามาก เชน บังกลาเทศ มัลดีฟส หมูเกาะ โซโลมอน จากนั้นใหนักเรียนชวยกันบอกพฤติกรรมของมนุษยที่สงผลใหเกิด ภาวะโลกรอน พรอมวิธีการลดภาวะโลกรอนเพิ่มเติม สื่อ Digital ครูใหนักเรียนดูคลิป global warming จากเว็บไซตตางๆ เชน https:// www.nationalgeographic.com/environment/global-warming/ global-warming-overview/ ภาวะโลกรอน https://www.youtube.com/ watch?v=RaAZDfZkf0g ชะตากรรมหมีขั้วโลกเสี่ยงสูญพันธุ ใหนักเรียนเลือกประเทศที่สนใจจากตําแหนงบนลูกโลก แลว วิเคราะหวาประเทศดังกลาวจะมีอุณหภูมิอยางไร จากตําแหนงของ ดวงอาทิตยที่ครูกําหนดขึ้น นําเสนอพรอมแสดงเหตุผลประกอบ และอภิปรายสรุปรวมกัน นํา สอน สรุป ประเมิน T45


ขอสอบเนนการคิด แสงอาทิตยตั้งฉากกับเสน ทรอปกออฟแคนเซอร 23 ํ 30' N แสงอาทิตยตั้งฉากกับเสน ศูนยสูตร 0 ํ ทำใหทั้งโลก มีเวลากลางวันและกลางคืนยาวเทากัน แสงอาทิตยตั้งฉากกับเสน ศูนยสูตร 0 ํ ทำใหทั้งโลก มีเวลากลางวันและกลางคืนยาวเทากัน บริเวณอารกติกเหน�อเสน อารกติกเซอรเคิล 66 ํ 30' N จะเห็นแสงอาทิตยตลอด 24 ชม. บริเวณแอนตารกติกาใตเสน แอนตารกติกเซอรเคิล 66 ํ 30' Sจะมืดไมเห็นแสงอาทิตยตลอด 24 ชม. บริเวณอารกติกเหน�อเสน อารกติกเซอรเคิล 66 ํ 30' Nจะมืดไมเห็นแสงอาทิตยตลอด 24 ชม. บริเวณแอนตารกติกาใตเสน แอนตารกติกเซอรเคิล 66 ํ 30' Sจะเห็นแสงอาทิตยตลอด 24 ชม. แสงอาทิตยตั้งฉากกับเสน ทรอปกออฟแคปริคอรน 23 ํ 30' S ฤดูรอน ฤดูหนาว ฤดูหนาว ฤดูรอน ฤดใบไมผลิ ฤดูใบไมรวง ซีกโลกเหน�อ ซีกโลกใต ฤดใบไมรวง ฤดูใบไมผลิ 21 มิถุนายน 22 ธันวาคม 23 กันยายน 21 มีนาคม กนัยายน เมษายน มกราคม ธันวาคม สงิหาคม พฤษภาคม กมุ ภาพนัธ พฤศจกิายน กรกฎาคม มถินุายน มนีาคม ตลุาคม วสันตวิษุวัต 21 มีนาคม ทักษิณายัน 22 ธันวาคม ศารทวิษุวัต 23 กันยายน อุตตรายัน 21 มิถุนายน โลกอยูใกลดวงอาทิตย โลกอยูไกลดวงอาทิตย 152,000,000 กิโลเมตร 147,000,000 กิโลเมตร ตำแหนงเพอริฮีลีออน3 มกราคม ตำแหนงอะเฟลีออน 4 กรกฎาคม วงโคจรของโลก วงโคจรของโลก ต�าแหน่งรังสีดวงอาทิตย์ส่องแสงและมุมตั้งฉากกับเส้นขนานละติจูดต่าง ๆ ในรอบ 1 ปี ต�าแหน่งของโลกที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ ส่งผลต่อการรับรังสีดวงอาทิตย์ตามระยะใกล้ไกล ฤดูกาล ระยะใกล้ ไกลระหว่างดวงอาทิตย์กับโลก 44 วสันตวิษุวัต 21 มีนาคม อุตตรายัน 21 มิถุนายน ศารทวิษุวัต 23 กันยายน ทักษิณายัน 22 ธันวาคม 1 2 3 4 ขั้นสอน ขั้นที่ 3 การจัดการขอมูล 1. สมาชิกแตละคนในกลุมนําขอมูลที่ตนไดจาก การรวบรวม มาอธิบายแลกเปลี่ยนความรู ระหวางกัน 2. จากนั้นสมาชิกในกลุมชวยกันคัดเลือกขอมูล ที่นําเสนอเพื่อใหไดขอมูลที่ถูกตอง และรวม อภิปรายแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม 3. ครูใหนักเรียนแตละกลุมใชสมารตโฟนคนหา วันและระยะเวลาที่โลกไดรับรังสีดวงอาทิตยที่ แตกตางกัน จนมีชื่อเรียกที่แตกตางกันออกไป เพิ่มเติม เชน วันวสันตวิษุวัต วันอุตตรายัน แลวนําขอมูลมาอภิปรายรวมกันในชั้นเรียน ประกอบการใชคําถาม เชน • ระยะเวลากลางวันและกลางคืนที่เทากันของ พื้นที่ซีกโลกเหนือและซีกโลกใตจะเกิดขึ้น ในวันใด (แนวตอบ เกิดขึ้นในวันวสันตวิษุวัต วันศารทวิษุวัต ไดแก วันที่ 21 มีนาคม และวันที่ 22 กันยายนของทุกป ซึ่งระยะเวลากลางวันและ กลางคืนของพื้นที่ในซีกโลกเหนือและซีกโลก ใตจะเทากัน คือ ชวงละ 12 ชั่วโมง) ในชวงเดือนกรกฎาคม ประเทศญี่ปุนมีฤดูตรงกับขอใด 1. ฤดูรอน 2. ฤดูหนาว 3. ฤดูใบไมผลิ 4. ฤดูใบไมรวง 5. ฤดูใบไมเปลี่ยนสี (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. ในชวงเดือนกรกฎาคม เปนชวงที่ โลกโคจรรอบดวงอาทิตย โดยเอียงไปทางซีกโลกเหนือ จึงไดรับ พลังความรอนจากดวงอาทิตย ทําใหประเทศญี่ปุนซึ่งตั้งอยูแถบ ซีกโลกเหนือตรงกับฤดูรอน) ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 1. ครูใหสมาชิกแตละกลุมวิเคราะหเพิ่มเติมถึง ลักษณะอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกและของไทย รวมถึงตําแหนงที่ใกลและไกลจากดวงอาทิตย มากที่สุด นักเรียนควรรู 1 วสันตวิษุวัต ดวงอาทิตยขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตกพอดี กลางวันเทากับกลางคืนพอดี ซีกโลกเหนือเขาสูฤดูใบไมผลิ ซีกโลกใตเขาสู ฤดูใบไมรวง 2 อุตรายัน หรือครีษมายัน ดวงอาทิตยขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงไปทางเหนือ มากที่สุด และตกทางทิศตะวันตกเฉียงไปทางเหนือมากที่สุด ซีกโลกเหนือ เขาสูฤดูรอน กลางวันยาวที่สุดในรอบป ซีกโลกใต เขาสูฤดูหนาว กลางวันสั้น ที่สุดในรอบป 3 ศารทวิษุวัต ดวงอาทิตยขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตกพอดี กลางวันเทากับกลางคืนพอดี ซีกโลกเหนือเขายางสูฤดูใบไมรวง ซีกโลกใตเขาสู ฤดูใบไมผลิ 4 ทักษิณายัน ดวงอาทิตยขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงไปทางใตมากที่สุด และตกทางทิศตะวันตกเฉียงไปทางใตมากที่สุด ซีกโลกเหนือเขาสูฤดูหนาว กลางวันสั้นที่สุดในรอบป นํา สอน สรุป ประเมิน T46


ขอสอบเนน การคิด ไมถายเทความรอนไปในทางลึก มีความรอนจำเพาะต่ำ มีความรอนจำเพาะสูง พื้นน้ำมีการระเหยสูง มีการถายเท ความรอนตาม ความลึก พื้นดินมีการระเหยนอย พื้นดินคายความรอนไดเร็ว พื้นน้ำคายความรอนไดชา พื้นดิน พื้นน้ำ รังสีดวงอาทิตย รังสีดวงอาทิตย 1 1 2 2 3 3 4 4 พื้นผิวดิน มีอุณหภูมิสูงกวา มีอุณหภูมิต่ำกวา กลางวัน พื้นผิวน้ำ เกิดลมทะเลพัดเขาหาฝง กลางคืน พื้นน้ำคายความรอนชา พื้นดินคายความรอนเร็ว เกิดลมบกพัดออกสูทะเล การรับและคายความร้อนระหว่างพื้นดินและพื้นน�้า ความแตกต่างระหว่างพื้นดินกับพื้นน�้า ตามปกติพื้นดินดูดกลืนความร้อนและ คายความร้อนได้ดีกว่าพื้นน�้า ในเวลากลางวัน อากาศเหนือพื้นดินร้อนเร็วกว่าพื้นน�้า อากาศร้อน เหนือพื้นดินมีความกดอากาศต�่าจึงลอยตัวสูงขึ้น ท�าให้อากาศเหนือพื้นน�้าที่เย็นกว่าจากทะเลพัด เข้ามาแทนที่ จึงเกิดลมพัดจากทะเลสู่ชายฝั่ง เรียกว่า ลมทะเล (sea breeze) ในเวลากลางคืน พื้นน�้าคายความร้อน ได้ช้ากว่าพื้นดิน มีความกดอากาศต�่าจึงลอยตัว สูงขึ้น ท�าให้อากาศที่เย็นกว่าจากพื้นดินพัดเข้า มาแทนที่ เกิดลมพัดจากพื้นดินสู่ทะเล เรียกว่า ลมบก (land breeze) คลื่นความรอน (heat wave) 45 มีความรอนจำเพาะต่ำ 1 ขอใดกลาวถึงการรับและคายความรอนระหวางพื้นดินและ พื้นนํ้าไดถูกตอง 1. ในเวลากลางวันพื้นดินคายความรอนไดดีกวาพื้นนํ้า 2. ในเวลากลางคืนพื้นดินคายความรอนไดดีกวาพื้นนํ้า 3. ในเวลากลางคืนพื้นดินดูดกลืนความรอนไดดีกวาพื้นนํ้า 4. ในเวลากลางวันพื้นดินดูดกลืนความรอนไดนอยกวาพื้นนํ้า 5. ในเวลากลางคืนอากาศเหนือพื้นดินมีความหนาแนนสูงและ ลอยตัวขึ้นสูง (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. การรับและคายความรอนระหวาง พื้นนํ้า ปรากฏวาในเวลากลางคืนพื้นดินคายความรอนไดเร็วกวา พื้นนํ้า ทําใหอากาศเหนือพื้นดินเย็นเร็วกวาพื้นนํ้า) ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 2. จากนั้นใหสมาชิกแตละกลุมวิเคราะหเชื่อมโยง ถึงการรับและคายความรอนระหวางพื้นดิน และพื้นนํ้า ประกอบการดูภาพแสดงความ แตกตางระหวางพื้นดินกับพื้นนํ้าจากหนังสือ เรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 3. ครูใหนักเรียนใชสมารตโฟนสองดู QR Code เกี่ยวกับคลื่นความรอน (heat wave) จาก หนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 ประกอบการ อภิปรายรวมกันเพิ่มเติม นักเรียนควรรู 1 ความรอนจําเพาะ ระดับความรอนที่ทําใหสสาร 1 กรัม มีอุณหภูมิที่ระดับ นํ้าทะเล ประมาณ 13 องศาเซลเซียส เกร็ดแนะครู ครูตั้งประเด็นการสนทนา การรับและคายความรอนของพื้นดินและ พื้นนํ้า โดยใหนักเรียนศึกษาแผนภาพในหนังสือ แลววิเคราะหการคายความ รอนของพื้นนํ้าและพื้นดิน การเกิดลมบก ลมทะเล ครูตั้งประเด็นอภิปราย เชน ชาวประมงใชประโยชนจากลมบก ลมทะเล อยางไร (แนวตอบ เรือประมงขนาดเล็กจะออกสูทองทะเลเพื่อหาปลาในเวลากลางคืน โดยอาศัยลมบกที่พัดจากฝงออกสูทะเลในตอนกลางคืน พอรุงสางเรือเหลานี้ ก็จะอาศัยลมทะเล ที่พัดจากทะเลเขาฝงในเวลากลางวันแลนกลับเขาสูฝง) นํา สอน สรุป ประเมิน T47


ขอสอบเนนการคิด 34 32 30 28 26 24 22 20 18 16 14 12 10 8 6 4 2 0 0 100 200 300 400 500 600 700 800 900 1000 ความสูง (กิโลเมตร) ความกดอากาศ (มิลลิบาร) เอเวอเรสต โทรโพสเฟยร โทรโพพอส สแตรโทสเฟยร 8,848 ม. 2,000 1,500 1,000 500 0 800 850 950 900 1,000 ความสูง (เมตร) ความกดอากาศ (มิลลิบาร) ทะเล 2,000 1,500 1,000 500 0 800 900 1,000 ความสูง (เมตร) ความกดอากาศ (มิลลิบาร) ทะเล แผนดิน แผนดิน ผิวโลกที่มีทะเลและแผ่นดิน มีชั้นอากาศซึ่งวัดค่าความ กดอากาศตามระดับความสูงจากทะเลปานกลาง พบว่า ในแต่ละระดับความสูงมีค่าความกดอากาศเท่ากัน สภาพ เช่นนี้อากาศจะไม่เคลื่อนที่หรือไม่มีลม บริเวณแผ่นดินจะร้อนเร็วกว่าทะเล ค่าความกดอากาศ เดิมลดต�่าลง คือ ที่ระดับความสูง 1,000 เมตร มีความ กดอากาศ 900 mbar เปลี่ยนไปเป็น 820 mbar จึงท�าให้ อากาศจากบริเวณความกดอากาศ 900 mbar เคลื่อนที่ ในแนวระนาบสู่บริเวณความกดอากาศ 820 mbar การลดลงของค่าความกดอากาศตามความสูง 2) ความกดอากาศและลม อากาศเป็นสสารซึ่งอยู่ได้ด้วยแรงดึงดูดของโลก ความกดอากาศโดยเฉลี่ยที่ระดับทะเลปานกลาง เท่ากับ 1,013.2 มิลลิบาร์ โดยค่าความกดอากาศ ลดลงเมื่ออยู่สูงจากระดับทะเลปานกลางขึ้นไป การลดลงของค่าความกดอากาศใน ระดับความสูงชั้นโทรโพสเฟียร์ จากระดับทะเล ปานกลางขึ้นไป และความหนาแน่นของแก๊ส และความกดอากาศที่ลดลงนั้น ส่งผลต่อสุขภาพ ของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ คือ ปริมาณแก๊ส ออกซิเจนส�าหรับการหายใจเบาบางลง และ จุดเดือดของน�้าที่ระดับทะเลปานกลาง คือ 100 องศาเซลเซียส แต่ที่บนดอยอินทนนท์ ระดับ ความสูง 2,565 เมตร น�้าจะเดือดได้ที่อุณหภูมิ 93 องศาเซลเซียสเท่านั้น ลมเกิดจากการเคลื่อนที่ของอากาศตามแนวระนาบ เมื่อมีความต่างกันของค่าความกด อากาศ คือ จากบริเวณความกดอากาศสูงสู่บริเวณความกดอากาศต�่าไปบนพื้นผิวโลกได้ทุกทิศทาง โดยพลังงานความร้อนเป็นตัวการส�าคัญที่ท�าให้บรรยากาศในพื้นที่ส่วนต่าง ๆ เช่น พื้นดินและ พื้นน�้ามีความกดอากาศต่างกันท�าให้เกิดลม ดังภาพ การเกิดลมทะเล เมื่อพื้นดินมีความกดอากาศ ต�่ากว่าความกดอากาศบริเวณพื้นน�้า 46 2) ความกดอากาศและลม 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 4. นักเรียนวิเคราะหและเชื่อมโยงความสัมพันธ ของความกดอากาศกับอุณหภูมิบนพื้นผิวโลก โดยระหวางนั้นครูอาจใหนักเรียนใชสมารตโฟน สืบคน เพื่อขยายความรูเกี่ยวกับความกด อากาศของโลก จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 เพิ่มเติม และรวมกันตรวจสอบความ ถูกตองของขอมูล นักเรียนควรรู 1 ความกดอากาศ (air pressure) นํ้าหนักของอากาศที่กดทับกันลงมาดวย อิทธิพลของแรงโนมถวง มีความแตกตางกับแรงที่เกิดจากนํ้าหนักกดทับของ ของแข็งและของเหลวตรงที่ ความกดอากาศมีแรงดันออกทุกทิศทาง เครื่องมือและเทคโนโลยีทางภูมิศาสตรขอใด มีความจําเปน นอยที่สุดในการพยากรณอากาศ 1. บอลลูน บารอมิเตอร 2. แผนที่รัฐกิจ ซิสโมมิเตอร 3. บาโรกราฟ เทอรโมมิเตอร 4. ภาพจากดาวเทียม เรดาร 5. เครื่องบินตรวจอากาศ แอนนิโมมิเตอร (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. เนื่องจากแผนที่รัฐกิจเปนแผนที่ แสดงอาณาเขตพื้นที่การปกครอง ซิสโมมิเตอร เปนเครื่องมือ ตรวจวัดแผนดินไหว สวนบอลลูน เครื่องบิน ดาวเทียม เรดาร ใชในการสํารวจการเคลื่อนที่ของลมและกลุมเมฆ บารรอมิเตอร บาโรกราฟ ใชวัดความกดอากาศ เทอรโมมิเตอร ใชวัดอุณหภูมิ แอนนิโมมิเตอร ใชวัดความเร็วลม) นํา สอน สรุป ประเมิน T48


0 ํ 0 ํ 30 ํS 30 ํN 150 ํW 120 ํW 90 ํW 60 ํW 30 ํW 30 ํE 60 ํE 90 ํE 120 ํE 150 ํW 60 ํN 60 ํS N 1 : 260,000,000 H H H H H H H L L L L L 906 906 999 999 1002 1002 1005 1002 999 1005 1005 1005 1008 1008 1008 1005 1023 1008 1008 1008 1011 1011 1011 1011 1011 1011 1011 1011 1011 1011 1014 1014 1014 1014 1014 1014 1014 1014 1014 1017 1017 1017 1017 1017 1017 1017 1020 1020 1020 1020 1020 1023 1026 1029 1032 1023 1026 1020 อะโซรส ไซบีเรีย แปซิฟก แปซิฟก ITCZ อินเดีย แอตแลนติก อะลูเชียน ไอซแลนด 2.1) ทิศทางลม ผลจากการหมุนรอบตัวเองของโลกท�าให้ทิศทางการเคลื่อนที่ ของลมเฉเบี่ยงเบนจากบริเวณความกดอากาศสูงไปสู่บริเวณความกดอากาศต�่า โดยลมที่พัดใน บริเวณซีกโลกเหนือเฉเบี่ยงเบนจากจุดก�าเนิดไปทางขวามือ และในซีกโลกใต้เฉเบี่ยงเบนไปทาง ซ้ายมือ ลักษณะดังกล่าวนี้ปรากฏในแผนที่อากาศเดือนมกราคมและกรกฎาคม ซึ่งแสดงด้วย เส้นความกดอากาศเท่าที่ระดับผิวพื้น หากมีเส้นความกดอากาศชิดติดกันแสดงว่าพื้นที่ ณ จุดนั้น ๆ มีลมแรงกว่าบริเวณที่มีเส้นความกดอากาศห่างกัน แผนที่แสดงบริเวณความกดอากาศและทิศทางการเคลื่อนที่ของลมเดือนมกราคม (ฤดูหนาวในซีกโลกเหนือ) จากแผนที่ อากาศที่พัดจากบริเวณความกดอากาศสูงของซีกโลกเหนือและซีก โลกใต้ คือ ลมค้าตะวันออกเฉียงเหนือ (ของซีกโลกเหนือ) พัดเบียดเข้าหากันกับลมค้าตะวันออก เฉียงใต้ (ของซีกโลกใต้) เป็นบริเวณแคบ ๆ แถบเส้นศูนย์สูตร เรียกว่า แนวร่องความกดอากาศต�่า (Intertropical Convergence Zone: ITCZ) ซึ่งเคลื่อนขึ้นลงตามการเปลี่ยนแปลงของแสงตั้งฉาก ดวงอาทิตย์ แนวร่องความกดอากาศต�่านี้พาดผ่านบริเวณใด มีโอกาสที่จะท�าให้เกิดฝนตก ทิศทางลม เส้นความกดอากาศเท่า 47 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 5. ครูใหนักเรียนศึกษาแผนที่แสดงบริเวณความ กดอากาศและทิศทางการเคลื่อนที่ของลม เดือนมกราคม (ฤดูหนาวในซีกโลกเหนือ) จาก หนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 จากนั้นรวมกัน อภิปรายและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับลม และทิศทางลม รวมถึงยกตัวอยางบริเวณที่มี ความกดอากาศที่แตกตางกัน โดยครูแนะนํา เพิ่มเติม 6. ครูใหนักเรียนรวมกันใชสมารตโฟนสืบคน เพื่อขยายความรูเกี่ยวกับทิศทางการเคลื่อนที่ ของลมจากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 เพิ่มเติม จากนั้นรวมกันตรวจสอบความ ถูกตองของขอมูล เกร็ดแนะครู ครูอธิบายสัญลักษณทางอุตุนิยมวิทยาในแผนที่แสดงความกดอากาศ เชน L ศูนยกลางของหยอมความกดอากาศตํ่า เปนบริเวณที่อากาศรอนยกตัว ทําใหเกิดเมฆ H ศูนยกลางของหยอมความกดอากาศสูง เปนบริเวณที่อากาศเย็นแหงแลว ฟาใส ไมมีเมฆปกคลุม เสนไอโซบาร (Isobar) เสนอุณหภูมิที่เปนเสนโคงที่ลากเชื่อมตอบริเวณ ที่มีความกดอากาศเทากัน มีตัวเลขแสดงคาความกดอากาศ มีหนวยเปน เฮกโตปาสคาล (hPa) กํากับไว ใหอาสาสมัครที่สามารถอานและแปลความแผนที่แสดงบริเวณ ความกดอากาศและทิศทางการเคลื่อนที่ของลมเดือนมกราคม ออกมาอาน แปลความหมาย และอธิบายใหเพื่อนฟง แลวยก ตัวอยางสภาพอากาศของบริเวณตางๆ ของโลกที่โดดเดนในชวง เดือนมกราคม ครูแนะนําขอมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเสนกดอากาศเทาหรือ ไอโซบาร เชน ถาหากเสนไอโซบารอยูใกลชิดกันแสดงวา ความ กดอากาศเหนือบริเวณนั้นมีความแตกตางกันมาก แสดงวามี ลมพัดแรง แตถาเสนไอโซบารอยูหางกันแสดงวา ความกดอากาศ เหนือบริเวณนั้นมีความแตกตางกันไมมาก หรือมีลมพัดออน นํา สอน สรุป ประเมิน T49


ขอสอบเนนการคิด บริเวณดานตนลม อากาศชื้น ทิศทางลม การเคลื่อนที่ของอากาศ พื้นที่อับฝน บริเวณดานปลายลม อากาศรอนและแหง ลมชีนุก ระดับทะเลปานกลาง 2.2) ประเภทของลม การหมุนเวียนของลมในบรรยากาศมีชื่อและช่วงเวลา การพัดแตกต่างกัน ดังนี้ 1. ลมประจ�าเวลา หรือลมเฉื่อยจะพัดในช่วงเวลาสั้น ๆ สลับกันในเวลา กลางวันและกลางคืน เนื่องจากความแตกต่างของอุณหภูมิและความกดอากาศ ได้แก่ ลมบก - ลมทะเล และลมภูเขา - ลมหุบเขา 2. ลมประจ�าถิ่น คือ ลมที่พัดประจ�า ณ ถิ่นใดหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง เช่น • ลมมิสตราล (mistral) ลมเหนือในประเทศฝรั่งเศสที่พัดจากบริเวณ ที่ราบสูงตอนกลางผ่านตามหุบเขาที่มีแม่น�้าโรน (Rhone) ไหลผ่านลงมาทางใต้สู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แถบอ่าวลียง (Lion) ลักษณะเป็นลมเย็นและแห้ง • ลมสลาตัน (selatan) ลมร้อนและแห้งพัดแถบหมู่เกาะภาคตะวันออก ของประเทศอินโดนีเซีย ทิศทางการพัดจากทิศใต้สู่ทิศเหนือ ส�าหรับในประเทศไทยเคยเรียก ลมพายุที่มีความรุนแรงเกิดปลายฤดูฝน เช่น พายุไต้ฝุ่นและพายุไซโคลนว่า “ลมสลาตัน” ด้วย • ลมชีนุก (chinook) ลมตะวันตกเฉียงเหนือที่พัดจากชายฝั่งมหาสมุทร แปซิฟิกเข้าสู่แนวเทือกเขาร็อกกีช่วงเดือนมิถุนายน - กรกฎาคมนั้น ส่งผลท�าให้พื้นที่ของรัฐที่อยู่ บริเวณที่ราบด้านทิศตะวันออกของเทือกเขาร็อกกีซึ่งเป็นภูเขาสูงและตั้งขวางทางลมอยู่มีอากาศ ร้อนและแห้งแล้ง เนื่องจากเป็นพื้นที่อับฝน ลักษณะการเกิดลมชีนุก 48 กลางวันและกลางคืน เนื่องจากความแตกต่างของอุณหภูมิและความกดอากาศ ได้แก่ ลมบก - ลมทะเล และลมภูเขา - ลมหุบเขา 1 2 3 4 นักเรียนควรรู 1 ลมบก (land breeze) หรือลมลอง เปนลมแถบบริเวณชายฝงที่พัดออก จากฝงสูทะเลในเวลากลางคืน เพราะในเวลากลางคืนแผนดินเย็นกวาพื้นนํ้า อากาศเหนือพื้นนํ้าซึ่งรอนกวาจะเบา และลอยตัวสูงขึ้น ลมจึงพัดจากแผนดิน จากฝงไปบริเวณพื้นนํ้าที่รอนกวา ทําใหเกิดลมบกขึ้น 2 ลมทะเล (sea breeze) หรือลมขึ้น เปนลมที่เกิดบริเวณชายฝง พัดจากทะเล เขาสูฝงในเวลากลางวัน เนื่องจากในเวลากลางวันพื้นดินรอนกวาพื้นนํ้า อากาศ เหนือพื้นดินซึ่งรอนกวาจะเบาและลอยตัวสูงขึ้น อากาศซึ่งเย็นกวาจากทะเล จะเคลื่อนเขามาแทนที่ 3 ลมภูเขา (mountain breeze) เกิดในเวลากลางคืน อากาศบริเวณภูเขาจะ ไหลลงมาสูหุบเขา ถาอากาศเย็นและชื้นมากจะกอใหเกิดหมอกหนาทึบปกคลุม หุบเขา หรืออาจเกิดนํ้าคางแข็งไดดวยเชนกัน 4 ลมหุบเขา (valley breeze) เกิดในเวลากลางวัน พัดจากหุบเขาไปสูลาด เขาและยอดเขา อาลีเปนชาวประมงเรือเล็กในจังหวัดทางภาคใตของไทย อาลี ควรออกทะเลในชวงเวลาใด และลมบก ลมทะเลมีความสําคัญ ตอการเดินเรืออยางไร (แนวตอบ ลมบก พัดตามบริเวณชายฝงทะเลในตอนกลางคืน และพัดจากชายฝงลงสูทะเล ตั้งแตเวลา 22.00-10.00 น. ของวันรุงขึ้น ลมทะเล พัดเดนชัดในตอนกลางวันโดยพัดจาก ทะเลเขาสูชายฝง ตั้งแตเวลา 10.00 น. และมีกําลังแรงสุด ในตอนบาย จะสิ้นสุดลงเมื่อดวงอาทิตยตกประมาณเวลา 21.00 น. ดังนั้น อาลี จะออกหาปลาในเวลากลางคืนโดยอาศัยลมบกที่พัด จากฝงออกสูทะเลในตอนกลางคืน พอรุงสางจะกลับเขาฝง โดยอาศัยลมทะเลที่พัดจากทะเลเขาฝง) ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 7. ครูใหนักเรียนรวมกันวิเคราะหถึงประเภทของ ลม จากนั้นครูถามคําถามนักเรียนเพิ่มเติม เชน • ลมประจําเวลาและลมประจําถิ่น มีความ แตกตางกันอยางไร (แนวตอบ ลมประจําเวลา จะเกิดสลับกัน ระหวางกลางวันและกลางคืน เชน ลมบก ลมทะเล แตหากเปนลมประจําถิ่น จะพัด ประจําถิ่นหรือในพื้นที่ประเทศใดประเทศ หนึ่ง สลับชวงเวลายาวนานกวาลมประจํา เวลา) • เพราะเหตุใดจึงเกิดพื้นที่อับฝน และพื้นที่ อับฝนที่สําคัญในประเทศไทยและภูมิภาค อื่นของโลกไดแกที่ใดบาง (แนวตอบ พื้นที่อับฝนเกิดจากการวางตัวของ แนวภูเขาที่กั้นขวางทิศทางของลมฝน พื้นที่ ดานตนลมที่อยูหนาเขาจึงมีปริมาณนํ้าฝน มากกวาพื้นที่ดานปลายลม หรือพื้นที่อับฝน พื้นที่อับฝนที่สําคัญในประเทศไทย เชน จังหวัดกําแพงเพชร พิษณุโลก นครสวรรค อุทัยธานี ซึ่งมีทิวเขาถนนธงชัยและทิวเขา ตะนาวศรี กั้นขวางลมฝนจากอาวเมาะตะมะ สวนบางอําเภอของจังหวัดกาญจนบุรีที่เปน ดานตนลมมีปริมาณนํ้าฝนสูงกวา สวนพื้นที่ อับฝนที่สําคัญของโลก เชน ที่ราบสูง ปาตาโกเนีย ประเทศอารเจนตินา ซึ่งมี เทือกเขาแอนดีสกั้นขวางลมฝนจาก มหาสมุทรแปซิฟก) นํา สอน สรุป ประเมิน T50


H 0 ํ 30 ํN 40 ํN 50 ํN 20 ํN 10 ํN 30 ํE ํE ํE40 ํE50 ํE60 ํE70 ํE80 ํE90 110 ํE100 120 ํE 130 ํE 140 ํE 150 ํE 60 ํN 0 ํ 30 ํN 40 ํN 50 ํN 20 ํN 10 ํN 60 ํN 1026 1029 1032 1020 1020 1023 1011 1011 1014 1014 1014 1017 1017 N 1 : 160,000,000 L 0 ํ 30 ํN 40 ํN 50 ํN 20 ํN 10 ํN 30 ํE ํE ํE40 ํE50 ํE60 ํE70 ํE80 ํE90 110 ํE100 120 ํE 130 ํE 140 ํE 150 ํE 60 ํN 0 ํ 30 ํN 40 ํN 50 ํN 20 ํN 10 ํN 60 ํN 999 1011 1011 1011 1008 1008 1005 1005 1002 1002 N 1 : 160,000,000 3. ลมประจ�าฤดู ลักษณะลมที่พัดเป็นประจ�าฤดูสลับช่วงเวลายาวนานกว่า ลมประจ�าถิ่น ได้แก่ ลมมรสุมที่เกิดเด่นชัดบริเวณภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ เอเชียใต้ เอเชีย ตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลักษณะเฉพาะของลมมรสุม คือ พัดเปลี่ยนทิศทางกลับ ตรงข้ามกันในรอบปี ช่วงฤดูหนาว บริเวณความกดอากาศสูงไซบีเรียมีก�าลังแรงแผ่ความกด อากาศออกโดยรอบ ทิศทางลมที่ผ่านคาบสมุทรเกาหลีและญี่ปุ่น เรียกว่า “มรสุมตะวันตก เฉียงเหนือ” ส่วนลมที่ผ่านคาบสมุทรอินโดจีน คาบสมุทรเดกกัน และคาบสมุทรอาหรับ เรียกว่า “มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ” ช่วงฤดูร้อน บริเวณความกดอากาศสูงจากมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทร แปซิฟิกไหลเวียนเข้าสู่บริเวณความกดอากาศต�่าแถบอัฟกานิสถาน ผ่านทะเลเข้าสู่แผ่นดิน ส่วน ลมที่ผ่านคาบสมุทรเกาหลีและญี่ปุ่น เรียกว่า “มรสุมตะวันออกเฉียงใต้” ลมที่ผ่านคาบสมุทร อินโดจีน คาบสมุทรเดกกัน และคาบสมุทรอาหรับ เรียกว่า “มรสุมตะวันตกเฉียงใต้” แผนที่แสดงการเกิดมรสุมเดือนมกราคม แผนที่แสดงการเกิดมรสุมเดือนกรกฎาคม ทิศทางลม เส้นความกดอากาศเท่า ทิศทางลม เส้นความกดอากาศเท่า 49 3. ลมประจ�าฤดู ลักษณะลมที่พัดเป็นประจ� 1 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล • ลมประจําฤดู สามารถเรียกอีกชื่อหนึ่งไดวา อยางไร และมีลักษณะเฉพาะอยางไร (แนวตอบ ลมประจําฤดู สามารถเรียกอีก อยางหนึ่งวา ลมมรสุม มีลักษณะเฉพาะ คือ พัดเปลี่ยนทิศทางกลับตรงขามกันในรอบป) • หากอาศัยอยูในแถบคาบสมุทรอินโดจีน ในชวงฤดูหนาวจะเผชิญกับลมประจําฤดู ประเภทใด (แนวตอบ ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ) นักเรียนควรรู 1 ลมประจําฤดู หรือลมมรสุม (monsoon) ประเทศไทยอยูภายใตอิทธิพล ของลมมรสุม 2 ชนิด คือ ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต พัดปกคลุมระหวางกลาง เดือนพฤษภาคม-กลางเดือนตุลาคม มีแหลงกําเนิดจากมหาสมุทรอินเดีย นํามวลอากาศชื้นจากมหาสมุทรอินเดียมาสูประเทศไทย ทําใหมีเมฆมาก และฝนตกชุก ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ พัดปกคลุมประมาณกลางเดือน ตุลาคม มีมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมประเทศไทยจนถึงกลางเดือน กุมภาพันธ มีแหลงกําเนิดจากบริเวณความกดอากาศสูงบนซีกโลกเหนือ จาก มองโกเลียและจีน พัดเอามวลอากาศเย็น และแหงเขามาปกคลุมประเทศไทย ทําใหทองฟาโปรง อากาศหนาวเย็นและแหงแลงทั่วไป โดยเฉพาะภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สวนภาคใตจะมีฝนตกชุก เนื่องจากมรสุมนี้ นําความชุมชื้นจากอาวไทยเขามา ครูใหอาสาสมัครที่สามารถอานและแปลความแผนที่แสดงการ เกิดลมมรสุมในเดือนมกราคมและเดือนกรกฎาคมในแถบเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต โดยอธิบายทิศทางลม สภาพอากาศที่ไดรับ อิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงเหนือและลมมรสุมตะวันออก เฉียงใต นํา สอน สรุป ประเมิน T51


ขอสอบเนนการคิด L L L L L L H H H H ลมขั้วโลกฝายตะวันออก ลมฝายตะวันตก ลมคาตะวันออกเฉ�ยงเหน�อ กึ�งเขตรอน “ฮอรสละติจูด” “ดอลดรัมส” แนวรองความกดอากาศต่ำ (ITCZ) ลมคาตะวันออกเฉ�ยงใต 0 ํ 30 ํS 30 ํN 60 ํS 90 ํS 60 ํN 90 ํN แถบกึ�งเขตรอน ที่มีลมแปรปรวน และลมสงบ แถบศูนยสูตรที่มีลมแปรปรวนและลมสงบ การไหลของ มวลอากาศ ขั้วโลก แนวปะทะอากาศขวั้โลก แนวปะทะอากาศขั้วโลก ลมประจำป ลมและกระแสอากาศไมตอเน��องในรอบป การหมุนเวียน แบบแฮดลีย การเคลื่อนทที่างแนวระดับ 4. ลมประจ�าป คือ ระบบลมที่มีทิศทางเบี่ยงเบนคงที่ตลอดปี การเคลื่อนที่ของลมประจ�าปีที่ก�าเนิดจากบริเวณความกดอากาศสูงกึ่งเขตร้อน หรือ “ฮอร์ส ละติจูด” ประมาณละติจูด 30 องศาเหนือและใต้สู่บริเวณความกดอากาศต�่าแถบศูนย์สูตร เรียกว่า “ลมค้า” กับสู่บริเวณความกดอากาศต�่าประมาณละติจูด 60 องศาเหนือและใต้ เรียกว่า “ลมฝ่าย ตะวันตก” เขตลมค้าพัดเข้าหากัน เกิดเป็นบริเวณแคบ ๆ แถบศูนย์สูตรที่มีอากาศแปรปรวน อากาศ ลอยตัวขึ้นสู่เบื้องบน เกิดเมฆคิวมูลัส และเมฆคิวมูโลนิมบัส มีฝนตกที่เกิดจากการพาความร้อน เขตแนวปะทะอากาศขั้วโลก เกิดจากลมฝ่ายตะวันตกพัดเคลื่อนที่เข้าหากันกับลมขั้วโลก ฝ่ายตะวันออกของขั้วโลกทั้งสอง ส่งผลให้เกิดฝนพายุหมุน การหมุนเวียนในบรรยากาศ Question ความกดอากาศกับลมมีความสัมพันธ์กันอย่างไร Geo 50 การเคลื่อนที่ของลมประจ�าปีที่ก�าเนิดจากบริเวณความกดอากาศสูงกึ่งเขตร้อน หรือ “ฮอร์ส 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล • เพราะเหตุใด ลมประจําปในซีกโลกเหนือ จึงเคลื่อนที่จากจุดกําเนิดไปทางขวามือ แตในขณะที่ซีกโลกใตจะเคลื่อนที่ไปทาง ซายมือ (แนวตอบ เปนผลมาจากการหมุนรอบตัวเอง ของโลกที่มีทิศทางจากทิศตะวันตกไปทาง ทิศตะวันออก) • เมฆคิวมูลัสและคิวมูโลนิมบัส เกิดจากการ เคลื่อนที่ของลมในลักษณะใด (แนวตอบ เกิดจากการพัดเขาหากันของลมคา ตะวันออกเฉียงเหนือ จนเกิดเปนรองและ ความกดอากาศตํ่าแถบศูนยสูตร ทําใหเกิด กระแสอากาศลอยขึ้นสูดานบน จึงทําใหเกิด เปนเมฆคิวมูลัสและเมฆคิวมูโลนิมบัส) นักเรียนควรรู 1 บริเวณความกดอากาศสูงกึ่งเขตรอน (subtropical high) ที่ละติจูดที่ 30 ํ หรือละติจูดมา (horse latitudes) เปนเขตแหงแลง เนื่องจากเปนบริเวณที่อากาศ แหงแลง เปนบริเวณติดตอระหวางลมตะวันตกจากโซนอุนกับลมตะวันออกจาก ทางศูนยสูตร จะมีความกดอากาศสูง มีกระแสลมสงบ ในชวงกลางเดือนพฤษภาคม-กลางเดือนตุลาคม ลมมรสุม ตะวันตกเฉียงใต มีแหลงกําเนิดจากมหาสมุทรอินเดีย นํา มวลอากาศชื้นพัดปกคลุมประเทศไทย ทําใหทุกภาคของประเทศ มีลักษณะอากาศตามขอใด 1. อากาศเย็นและแหง 2. ทองฟามีเมฆมาก ฝนตกชุก 3. ทองฟาโปรงใส กลางคืนมีลมกระโชกแรง 4. อากาศเย็น แตยังคงมีฝนตกเปนบริเวณกวาง 5. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ภาคกลางตอนบน อากาศหนาว (วิเคราะหคําตอบ ตอบ ขอ 2. ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต จะนํามวลอากาศชื้นมาสูประเทศไทย ทําใหมีทองฟามีเมฆมาก ฝนตกชุก เปนฤดูฝนของประเทศ) เกร็ดแนะครู แนวการตอบคําถาม Geo Question บริเวณความกดอากาศตํ่า มีปริมาณ อากาศอยูนอย ทําใหนํ้าหนักของอากาศนอยลงตามไปดวย อากาศเบาและ ลอยตัวสูงขึ้น เรียกวา กระแสอากาศเคลื่อนขึ้น จะเกิดการแทนที่ของอากาศ ทําใหรูสึกเย็น คือ เกิดลมขึ้น และลักษณะการพัดหมุนเวียนของลมในบริเวณ ศูนยกลางความกดอากาศตํ่าบริเวณสวนตางๆ ของโลก เชน ในซีกโลกเหนือ จะมีทิศทางการพัดทวนเข็มนาฬกา ซีกโลกใตจะพัดตามเข็มนาฬกา ที่เปน เชนนี้เพราะโลกหมุนทวนเข็มนาฬกา นํา สอน สรุป ประเมิน T52


ขอสอบเนน การคิด 1 2 3 3) ความชื้นในบรรยากาศ ความชื้นในบรรยากาศภาคมีอยู่แต่เฉพาะในบรรยากาศ ชั้นโทรโพสเฟียร์ เกิดจากการระเหยของทะเล มหาสมุทร และแหล่งน�้าอื่น ๆ บนพื้นผิวโลก เป็นหลัก แต่มีบางส่วนที่เกิดจากการคายน�้าของพืช ป่าไม้ และกิจกรรมของมนุษย์ 3.1) สถานะของน�้าในอากาศ ในบรรยากาศมีน�้าอยู่ 3 สถานะ ได้แก่ แก๊ส ของเหลว และของแข็ง น�้าในแต่ละสถานะมีการหมุนเวียนเปลี่ยนสถานะได้ โดยกระบวนการของ พลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์ ได้แก่ กระบวนการเพิ่มอุณหภูมิ และกระบวนการลดอุณหภูมิ ของน�้า ซึ่งมีวิธีการทางธรรมชาติ คือ การระเหย การควบแน่น การหลอมเหลว การเยือกแข็ง และการระเหิด 3.2) เมฆ เป็นกลุ่มก้อนของไอน�้าลอยอยู่ในอากาศ เมฆมีลักษณะแตกต่างกัน ตามระดับความสูง รูปลักษณะของเมฆมี 3 แบบ ได้แก่ การจ�าแนกเมฆตามรูปลักษณะและระดับความสูงที่เมฆลอยปรากฏในท้องฟ้า แบ่งเป็น ดังนี้ เมฆระดับสูง พบที่ระดับความสูง 6 กิโลเมตรขึ้นไป จนใกล้บรรยากาศชั้น โทรโพพอสที่มีอุณหภูมิต�่าและไอน�้ามีน้อย พบเมฆซีร์รัส เมฆซีร์โรคิวมูลัส และเมฆซีร์ โรสเตรตัส มองเห็นได้ชัดเจนในช่วงฤดูหนาวที่ท้องฟ้าโปร่งใสเห็นเป็นเมฆสีขาวเป็นเส้นหรือปุย คล้ายเส้น ใยไหม เนื่องจากเป็นแผ่นน�้าแข็งบาง ๆ เมื่อบังแสงอาทิตย์หรือดวงจันทร์จึงมีแสงส่องตกกระทบ เกิดเป็นวงแสง (halo) เรืองแสงเป็นวงกลม เมฆระดับกลาง พบที่ระดับความสูงตั้งแต่ 3 กิโลเมตร ถึง 6 กิโลเมตร พบ เมฆแอลโตสเตรตัส และเมฆแอลโตคิวมูลัส มีลักษณะเป็นละอองน�้าเล็ก ๆ มีสีขาว บางครั้งแตก เป็นก้อนคล้ายดอกกะหล�่า เมฆระดับต�่า พบอยู่สูงกว่าระดับผิวโลกขึ้นไปไม่เกิน 3 กิโลเมตร ซึ่งเป็น ชั้นบรรยากาศที่มีไอน�้าอยู่ในอากาศมากที่สุด เมฆที่พบ ได้แก่ เมฆสเตรตัส เมฆสแตรโทคิวมูลัส และเมฆนิมโบสเตรตัส เมฆในระดับต�่าเป็นเมฆที่เกิดฝนและหิมะได้ เมฆสเตรตัส ลักษณะเป็นแผ่น แผ่เชื่อมต่อเนื่องกัน เมฆซีร์รัส ลักษณะเป็นเส้นปุย ฝอยต่อเนื่องกัน เมฆคิวมูลัส ลักษณะเป็นก้อน ขนาดต่าง ๆ กัน 51 ซึ่งมีวิธีการทางธรรมชาติ คือ การระเหย การควบแน่น การหลอมเหลว การเยือกแข็ง และการระเหิด 1 2 3 4 5 นักเรียนควรรู 1 การระเหย คือ กระบวนการที่ของเหลว เปลี่ยนสภาพโดยธรรมชาติ เปนแกส โดยไมจําเปนตองมีอุณหภูมิถึงจุดเดือด โดยดูไดจากนํ้าที่คอยๆ หายไปทีละนอยเมื่อกลายเปนไอนํ้า 2 การควบแนน เปนการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสารเชิงกายภาพจาก สถานะแกสเปนของเหลว 3 การหลอมเหลว การที่สสารมีอุณหภูมิสูงจนถึงจุดหลอมเหลวพอดี โดย สสารนั้นจะเปลี่ยนสถานะจากของแข็งกลายเปนของเหลว 4 การเยือกแข็ง กระบวนการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสารจากของเหลว กลายเปนของแข็ง โดยมักเกิดเมื่อของเหลวสูญเสียความรอนหรือพลังงาน ไดแก เปลี่ยนสถานะเปนนํ้าแข็ง 5 การระเหิด ปรากฏการณที่สสารเปลี่ยนสถานะจากของแข็งกลายเปนไอ หรือแกสที่อุณหภูมิตํ่ากวาจุดหลอมเหลว โดยไมผานสถานะของเหลว ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 8. ครูใหนักเรียนศึกษาเมฆชนิดตางๆ จาก หนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 จากนั้น รวมกันอภิปรายและแสดงความคิดเห็น เชื่อมโยงกับความชื้นและหยาดนํ้าฟา รวมถึง สถานะของนํ้าในกาศ 9. ครูใหนักเรียนใชสมารตโฟนสืบคนภาพ ตัวอยางของเมฆ เพื่อขยายความรูเกี่ยวกับ ชนิดของเมฆและการจัดหมวดหมูของเมฆ ตามระดับความสูงและรูปราง จากหนังสือ เรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 จากนั้นสุมนักเรียน เพื่ออธิบายผลการสืบคน และอภิปรายแสดง ความคิดเห็นรวมกัน เมฆกอนสีขาวมีลักษณะเปนเสนปุยฝอยตอเนื่องกันคลาย เสนใยไหม เปนเมฆชนิดใด 1. เมฆซีรรัส 2. เมฆคิวมูลัส 3. เมฆสเตรตัส 4. เมฆคิวมูโลนิมบัส 5. เมฆนิมโบสเตรตัส (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. เมฆซีรรัส เปนเมฆระดับสูง พบที่ระดับความสูง 6 กิโลเมตรขึ้นไป มีลักษณะเปนเสนปุยฝอย ตอเนื่องกันคลายเสนใยไหม เนื่องจากเปนแผนนํ้าแข็งบางๆ เมื่อ บังแสงอาทิตยหรือดวงจันทรจึงมีแสงสวางตกกระทบเกิดเปน วงแสง เรืองแสงเปนวงกลม) นํา สอน สรุป ประเมิน T53


ขอสอบเนนการคิด เมฆก่อตัวตามแนวดิ่ง พบอยู่ใกล้ระดับพื้นโลกและสูงขึ้นไปประมาณ 6 กิโลเมตร ได้แก่ เมฆคิวมูลัส ที่ท�าให้เกิดฝนตกเฉพาะแห่ง หรือ “ฝนซู่” เมฆคิวมูลัสเมื่อมีการ รวมตัวของไอน�้ามากขึ้นจะพัฒนาเป็นเมฆคิวมูโลนิมบัส โดยมีฐานเมฆหนาทึบเป็นสีด�า ตัวเมฆ มีรูปลักษณะหอคอยขนาดใหญ่ ยอดเมฆแผ่ออกด้านข้างมีรูปคล้าย “รูปทั่ง” ซึ่งถือเป็นเมฆฝน ที่อันตราย เนื่องจากภายในก้อนเมฆมีกระแสอากาศแปรปรวน อาจท�าให้เกิดฝนตกหนักและมี ฟ้าคะนอง เกิดฟ้าแลบ ฟ้าร้อง และฟ้าผ่าร่วมด้วย เมฆคิวมูโลนิมบัส เมฆสเตรตัส เมฆนิมโบสเตรตัส เมฆแอลโตคิวมูลัส เมฆแอลโตสเตรตัส เมฆซีร์โรสเตรตัส เมฆซีร์รัส เมฆซีร์โรคิวมูลัส เมฆสแตรโทคิวมูลัส ฝนฟ้าคะนอง ยอดเมฆเป็นรูปทั่งตีเหล็ก ฝน 1.5 กม. 0 กม. 3 กม. 6 กม. ระดับความสูง เมฆชั้นสูง เมฆชั้นกลาง เมฆก่อตัวในแนวตั้ง เมฆคิวมูลัส เมฆชั้นต�่า ชนิดของเมฆและการจัดหมวดหมู่ของเมฆตามระดับความสูงและรูปร่าง Activity นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3 - 4 คน ช่วยกันสังเกตและบันทึกรูปร่างของเมฆแต่ละวันเป็นเวลา 1 สัปดาห์ และหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเมฆที่พบ วิเคราะห์ลักษณะอากาศในแต่ละวัน แล้วรายงานหน้าชั้นเรียน Geo 52 ให้เกิดฝนตกเฉพาะแห่ง หรือ “ฝนซู่” เมฆคิวมูลัสเมื่อมีการ เมฆชั้นสูง เมฆชั้นกลาง เมฆชั้นต�่า 1 2 3 4 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 10. ครูอาจใหนักเรียนศึกษา Geo Activity จาก หนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 เพื่อประกอบ การวิเคราะหและแปลผลขอมูลเพิ่มเติม 11. ครูใหสมาชิกแตละกลุมนําขอมูลมารวบรวม เชื่อมโยง และวิเคราะหรวมกันเพื่ออธิบาย คําตอบ 12. สมาชิกแตละกลุมรวมกันตรวจสอบความ ถูกตองของขอมูล สงตัวแทนนําเสนอผล งานหนาชั้นเรียน สมาชิกกลุมอื่นผลัดกันให ขอคิดเห็นหรือขอเสนอแนะเพิ่มเติม นักเรียนควรรู 1 ฝนซู หมายถึง ฝนเม็ดใหญที่ตกลงมาซูใหญเพียงครูเดียวแลวหยุด หรือ เรียกวา ฝนไลชาง 2 เมฆชั้นสูง ฐานเมฆอยูในระดับความสูงเฉลี่ยตั้งแต 6,000 เมตรขึ้นไป ซึ่งความสูงในระดับนี้สภาพอากาศจะหนาวและแหงแลง องคประกอบภายใน เมฆสวนใหญเปนผลึกนํ้าแข็ง 3 เมฆชั้นกลาง ฐานเมฆอยูในระดับความสูง 2,000-6,000 เมตร ภายในเมฆ จะประกอบไปดวยผลักนํ้าแข็งและละอองนํ้า 4 เมฆชั้นตํ่า ฐานเมฆอยูใกลพื้นดินและอยูในระดับความสูงไมเกิน 2,000 เมตร ภายในเมฆสวนใหญเปนละอองนํ้า เมฆชนิดใดทําใหเกิดฝนฟาตกหนักและมีฟาคะนอง เกิดฟาแลบ 1. เมฆคิวมูลัส 2. เมฆซีรโรคิวมูลัส 3. เมฆซีรโรสเตรตัส 4. เมฆนิมโบสเตรตัส 5. เมฆคิวมูโลนิมบัส (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 5. เมฆคิวมูโลนิมบัส กอตัวในแนวตั้ง มีฐานเมฆหนาทึบเปนสีดํา เปนเมฆฝนที่มีอันตราย เพราะภายใน กอนเมฆมีกระแสอากาศแปรปรวน อาจทําใหเกิดฝนตกหนัก และมีฟาคะนอง) นํา สอน สรุป ประเมิน T54


ขอสอบเนน การคิด 3.3) หยาดน�้าฟ้า (precipitation) เป็นค�ารวมของสถานะต่างๆ ของน�้าใน บรรยากาศที่ตกลงมาสู่ผิวโลกในลักษณะต่างๆ ได้แก่ 1. ฝน (rain) หยาดน�้าฟ้าที่เป็นของเหลว 2. ฝนละออง (drizzle) ฝนที่มีขนาดเล็กมาก แตกต่างจากหมอกตรงที่ ฝนละอองนี้จะตกจากท้องฟ้าลงสู่แผ่นดิน 3. ฝนน�้าแข็ง (sleet) หยดน�้าฝนที่เกิดการเยือกแข็งเป็นก้อนน�้าแข็ง กลมใส ขณะฝนตกอุณหภูมิในบรรยากาศใกล้โลกต�่ากว่าจุดเยือกแข็ง 4. หิมะ (snow) เกิดจากไอน�้าในเมฆรวมตัวกันเป็นผลึกน�้าแข็งอย่างรวดเร็ว โดยไม่ผ่านการเป็นหยดน�้า ผลึกน�้าแข็งตกลงมาในบรรยากาศที่มีอุณหภูมิต�่ามาก จึงไม่ท�าให้เกิด การหลอมละลายตัวก่อนตกสู่พื้นโลก 5. ลูกเห็บ (hail) ก้อนน�้าแข็งกลมตกลงมาจากเมฆคิวมูโลนิมบัส มักเกิด ในขณะมีพายุฝนฟ้าคะนอง นอกจากหยาดน�้าฟ้าแล้ว ในบรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์ยังพบปรากฏการณ์ที่เกิด ขึ้นจากไอน�้าในอากาศ อุณหภูมิ และฝุ่นละออง ดังนี้ 1. หมอก (fog) เกิดจากไอน�้าที่กลั่นตัวเป็นละอองลอยอยู่ในอากาศ มีฐาน ติดกับพื้นดินหรือพื้นน�้า 2. น�้าค้าง (dew) เกิดขึ้นจากอุณหภูมิของอากาศลดต�่าลงจนท�าให้ไอน�้า ในอากาศเกิดการควบแน่นหรือกลั่นตัวเป็นหยดน�้า มักเกิดในช่วงเวลากลางคืนตอนใกล้รุ่ง ซึ่ง อุณหภูมิยอดหญ้าลดลงต�่าสุด จึงพบหยดน�้าเกาะใบไม้ ใบหญ้า หรือตามวัตถุต่าง ๆ ใกล้พื้นดิน 3. น�้าค้างแข็ง (frost) เกิดขึ้นเช่นเดียวกันกับการเกิดน�้าค้าง ต่างกันตรงที่ อุณหภูมิยอดหญ้ามีค่าต�่ากว่า 0 องศาเซลเซียส ซึ่งจะพบในพื้นที่สูงช่วงฤดูหนาวมากที่สุด ปรากฏการณ์นี้ชาวภาคเหนือของไทย เรียกว่า “เหมยขาบ” ชาวภาคตะวันออกเฉียงเหนือแถบ จังหวัดเลย เรียกว่า “แม่คะนิ้ง” 4. ฟ้าหลัว (haze) หรือหมอกแดด เป็นลักษณะอากาศที่เกิดขึ้นจากอนุภาค ของฝุ่น ผงเกลือลอยกระจัดกระจายอยู่ในบรรยากาศ มักเกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาว ท�าให้ทัศนวิสัยลดลง 5. หมอกปนควัน (smog) เป็นลักษณะอากาศที่เกิดขึ้นจากหมอกและ ควันพิษจากแหล่งต่าง ๆ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม ท่อไอเสียจากยานพาหนะ ซึ่งเป็นอากาศที่มี มลพิษต่อระบบทางเดินหายใจ 53 ปรากฏการณในขอใดที่สงผลเสียตอการดําเนินชีวิต 1. หมอก 2. ฟาหลัว 3. นํ้าคาง 4. นํ้าคางแข็ง 5. หมอกปนควัน (วิเคราะหคําตอบ ตอบ 5. การเกิดหมอกปนควัน เปนลักษณะ อากาศที่เกิดขึ้นจากหมอกและควันพิษจากแหลงตางๆ เชน โรงงานอุตสาหกรรม ทอไอเสีย เปนอากาศที่มีมลพิษตอระบบ ทางเดินหายใจ) ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 1. นักเรียนในชั้นเรียนรวมกันสรุปเกี่ยวกับการใช เครื่องมือทางภูมิศาสตร และเครื่องมือดาน เทคโนโลยีในการสืบคนบรรยากาศภาค 2. ครูใหสมาชิกในแตละกลุมชวยกันสรุปสาระ สําคัญเพื่อตอบคําถามเชิงภูมิศาสตร 3. นักเรียนกลุมเดิมรวมกันทําใบงานที่ 2.2 เรื่อง บรรยากาศภาคและการเปลี่ยนแปลงทาง บรรยากาศภาค 4. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกสมรรถนะฯ ภูมิศาสตร ม.4-6 เกี่ยวกับเรื่อง บรรยากาศภาค เพื่อ เปนการบานสงครูในชั่วโมงถัดไป ขั้นสรุป ครูและนักเรียนรวมกันสรุปความรูเกี่ยวกับ บรรยากาศภาค ตลอดจนความสําคัญที่มีอิทธิพล ตอการดําเนินชีวิตของประชากร หรือใช PPT สรุปสาระสําคัญของเนื้อหา ขั้นประเมิน 1. ครูประเมินผลโดยสังเกตจากการตอบคําถาม การรวมกันทํางาน และการนําเสนอผลงาน หนาชั้นเรียน 2. ครูตรวจสอบผลจากการทําใบงานและแบบฝก สมรรถนะฯ ภูมิศาสตร ม.4-6 แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถวัดและประเมินความเขาใจเนื้อหา เรื่อง บรรยากาศภาค ไดจากการตอบคําถาม การรวมกันทํางาน และการนําเสนอผลงาน หนาชั้นเรียน โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมิน การนําเสนอผลงานที่แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรูหนวยที่ 2 เรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางกายของโลก แบบประเมินการน าเสนอผลงาน ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินผลการน าเสนอผลงานของนักเรียนตามรายการ แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/................./................ เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 12 - 15 ดี 8 - 11 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง ล าดับที่ รายการประเมินระดับคะแนน 3 2 1 1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 การล าดับขั้นตอนของเรื่อง 3 วิธีการน าเสนอผลงานอย่างสร้างสรรค์ 4 การใช้เทคโนโลยีในการน าเสนอ 5 การมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม รวม นํา สอน สรุป ประเมิน T55


ขอสอบเนนการคิด ปริมาณน้ำทั้งโลก มหาสมุทร 97.5% น้ำจืด 2.5% น้ำผิวดิน น้ำจืด น้ำผิวดินและ อื่นๆ 1.2% น้ำใตดิน 30.1% ธารน้ำแข็ง และหิมะ 68.7% ทะเลสาบ เขื่อน อางเก็บน้ำ 87% แมน้ำลำธาร 2% หนอง บึง 11% วัฏจักรของน�้า น�้าในอากาศ และเกิดการกลั่นตัว การระเหยการระเหย การคายน�้าของพืช หยาดน�้าฟ้า การไหลซึมลงในดิน มหาสมุทร น�้าผิวดิน น�้าใต้ดิน สัดส่วนปริมาณน�้าในแหล่งต่าง ๆ 3 อุทกภาค (hydrosphere) อุทกภาคเป็นส่วนของน�้าทั้งหมดบนผิว โลก น�้าเป็นทรัพยากรหมุนเวียน แต่ร้อยละ 97.5 ของปริมาณน�้าทั้งหมดบนโลกเป็นน�้าเค็ม มีส่วน ที่เป็นน�้าจืดเพียงร้อยละ 2.5 เท่านั้น ซึ่งน�้าจืด ประมาณร้อยละ 68.7 เป็นธารน�้าแข็ง หิมะ ร้อยละ 30.1 เป็นน�้าใต้ดิน และร้อยละ 1.2 เป็น น�้าผิวดินและอื่น ๆ ซึ่งมีเพียงร้อยละ 0.3 เป็น น�้าผิวดินที่มนุษย์น�ามาใช้ประโยชน์ได้ 3.1 วัฏจักรของน�้า วัฏจักรของน�้า คือ การหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงสภาวะของน�้าในธรรมชาติ ที่ผ่านขั้นตอน และกระบวนการทางธรรมชาติต่าง ๆ เช่น การระเหย การกลั่น โดยพลังงานแสงอาทิตย์เป็นปัจจัย ส�าคัญที่ท�าให้เกิดการระเหยของน�้าจากแหล่งน�้าต่าง ๆ เช่น ทะเล มหาสมุทร อ่างเก็บน�้า บึง แม่น�้า ฯลฯ กลายเป็นไอน�้าขึ้นสู่บรรยากาศ ถ้าหากมีไอน�้ามากขึ้นจนถึงจุดอิ่มตัวจะกลั่นตัวเป็นละอองน�้า รวมตัวเป็นก้อนเมฆ และตกลงมาสู่พื้นผิวโลกในรูปหยาดน�้าฟ้าต่าง ๆ เช่น ฝน หิมะ ลูกเห็บ และ ไหลลงสู่แหล่งน�้าต่าง ๆ หมุนเวียนไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด น�้าที่อยู่ตามแหล่งน�้า เช่น อ่างเก็บน�้า บึง แม่น�้า ฯลฯ เรียกว่า “น�้าผิวดิน” ส่วนน�้าที่ไหลซึม ลงในดินถูกเก็บสะสมไว้ตามโพรง ชั้นดิน และชั้นหินต่าง ๆ เรียกว่า “น�้าใต้ดิน” 54 เกร็ดแนะครู ครูใหนักเรียนศึกษาแผนภาพวัฏจักรของนํ้า อภิปรายการเกิด และ เพิ่มเติมขอมูลไอนํ้าที่ระเหยออกจากนํ้าในมหาสมุทร ทิ้งประจุแรธาตุตางๆ ทําใหมหาสมุทรมีความเค็ม ไอนํ้าที่ระเหยขึ้นไปเปนนํ้าจืดบริสุทธิ์ แตเมื่อไอนํ้า ควบแนนเปนหยดนํ้าและตกลงมาเปนฝน นํ้าฝนละลายแกสคารบอนไดออกไซด ในบรรยากาศ จึงมีสภาพเปนกรดคารบอนิกออนๆ เมื่อตกลงสูพื้นผิวโลกจะทํา ปฏิกิริยากับหินปูนซึ่งมีองคประกอบเปนแคลเซียมคารบอเนต ทําใหเกิด หนาผาแหลม โพรงถํ้า และนํ้ากระดาง ขั้นนํา (Geographic Inquiry Process) 1. ครูแจงชื่อเรื่อง จุดประสงค และผลการเรียนรู 2. ครูใหนักเรียนดูภาพหรือคลิปวิดีโอเกี่ยวกับ การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของโลกดาน อุทกภาค และแสดงความคิดเห็นรวมกัน เชน • โกรกธาร เขตอุทยานแหงชาติออบหลวง จังหวัดเชียงใหม • ดินดอนสามเหลี่ยมบริเวณปากแมนํ้าไนล ประเทศอียิปต 3. ครูใหนักเรียนดูแผนผังแสดงวัฏจักรทาง อุทกวิทยา จากนั้นใหนักเรียนลองบอกสิ่งที่เห็น 4. ครูถามคําถามกระตุนความคิด เชน • ปจจัยที่ทําใหเกิดการไหลเวียนของกระแส นํ้าในมหาสมุทรคืออะไร (แนวตอบ เชน ความแตกตางของระดับนํ้า อุณหภูมิและความหนาแนนของนํ้า รวมถึง ลมประจําฤดูและลมประจําถิ่น นอกจากนี้ ยังเกิดจากการลดและเพิ่มของระดับนํ้า จากปรากฏการณนํ้าขึ้น-นํ้าลง แผนดินไหว หรือภูเขาไฟปะทุไดอีกดวย) • การไหลเวียนของกระแสนํ้าในมหาสมุทรมี อิทธิพลตอทรัพยากรธรรมชาติที่มีประโยชน ทางเศรษฐกิจอยางไร (แนวตอบ เชน กอใหเกิดแหลงทําการ ประมงที่สําคัญของโลก เนื่องจากบริเวณ ที่กระแสนํ้าอุนและกระแสนํ้าเย็นไหลมา ปะทะกันจะมีอุณหภูมิเหมาะสมสําหรับการ เจริญเติบโตของแพลงกตอนซึ่งเปนอาหาร ของปลา ทําใหบริเวณนี้มีปลาชุกชุมมาก เรียกวา แบงส เชน คูริลแบงส ของประเทศ ญี่ปุน) หากในแตละปปริมาณฝนตกนอย สงผลกระทบตอวัฏจักรนํ้า ของพื้นที่นั้นอยางไร (แนวตอบ ฝนที่ตกลงสูพื้นดิน นํ้าบางสวนจะคางอยูตามใบ และลําตนของพืช บางสวนจะขังอยูตามแองนํ้าหรือที่ลุม นํ้าเหลานี้ จะระเหยจากแหลงนํ้าหรือการคายนํ้าของพืชกลับสูบรรยากาศ และนํ้าบางสวนอาจซึมลึกลงไปในดิน ไปรวมกันเปนแหลงนํ้าใตดิน สวนที่เหลือจะไหลอยูบนผิวดินในรูปของนํ้าทา กลายเปนแหลงนํ้า ผิวดิน เชน แมนํ้าลําคลอง และไหลลงสูทะเลและมหาสมุทร แลวระเหยกลับขึ้นไปสูบรรยากาศอีก หากพื้นที่นั้นมีฝนตกนอย สงผลกระทบตอวัฏจักรนํ้า ทําใหมีนํ้านอย เกิดภาวะแหงแลง) นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T56


ขอสอบเนน การคิด 3.2 ระบบน�้าจืด น�้าจืดเป็นน�้าที่เกิดจากการหมุนเวียนตามวัฏจักรของน�้า มีเกลือโซเดียมและคลอไรด์เพียงเล็ก น้อยละลายอยู่ในน�้าไม่เกิน 0.5 ส่วน ในน�้า 1,000 ส่วน ปริมาณน�้าจืดในส่วนต่าง ๆ ของโลกมีอยู่ เกือบร้อยละ 3 เท่านั้น อยู่ตามแหล่งต่าง ๆ ดังนี้ 1) น�้าผิวดิน แหล่งน�้าผิวดินเฉพาะที่เป็นน�้าจืด ได้แก่ แม่น�้า ล�าธาร ห้วย คลอง หนอง บึง ทะเลสาบ และอ่างเก็บน�้า รวมทั้งพื้นที่ชุ่มน�้า น�้าผิวดินมีเพียงร้อยละ 0.01 จากปริมาณ น�้าจืดทั้งหมด แต่มีความส�าคัญมาก เนื่องจากสามารถน�ามาใช้ประโยชน์ในกิจกรรมต่างๆ เพื่อการ ด�ารงชีวิตของมนุษย์ สัตว์ และพืช 2) น�้าใต้ดิน เป็นน�้าที่อยู่ตามแหล่งน�้าใต้ดิน ทั้งบนบกและใต้พื้นดินในทะเล เป็น น�้าในธรณีภาคที่เกิดจากน�้าจืดของวัฏจักรน�้าไหลตามช่องว่างที่ต่อเนื่องกันใต้พื้นดิน เช่น ช่องว่าง ของเม็ดกรวด ทราย โพรงดิน โพรงถ�้า ตลอดจนถึงชั้นใต้ดินที่มีน�้าบรรจุเต็มช่องว่างต่างๆ ใน เขตอิ่มน�้า หรือระดับน�้าใต้ดิน น�้าใต้ดินมีประมาณร้อยละ 0.62 จากปริมาณน�้าจืดทั้งหมด น�้าใต้ดิน บางส่วนจะไหลซึมอยู่ในชั้นใต้ดินตามความลาดและเป็นส่วนส�าคัญในการช่วยรักษาระดับน�้าใน แม่น�้าไม่ให้ลดระดับลงอย่างรวดเร็ว 3) ธารน�้าแข็ง พบในทวีปแอนตาร์กติกา เกาะกรีนแลนด์ เกาะไอซ์แลนด์ ยอดเขาสูง และที่ราบสูงที่มีหิมะปกคลุมพื้นที่ในเวลายาวนาน เช่น ทิวเขาเชอเลน ในประเทศนอร์เวย์และ สวีเดน ยอดเขามงบล็องของเทือกเขาแอลป์ ยอดเขาคีโบของเทือกเขาคิลิมันจาโร ในประเทศ แทนซาเนีย ที่ราบสูงทิเบตและเทือกเขาเซาเทิร์นแอลป์ ในประเทศนิวซีแลนด์ จากปริมาณน�้าจืด ทั้งหมดเป็นน�้าจืดจากธารน�้าแข็งประมาณร้อยละ 2.20 4) ไอน�้าและเมฆ เป็นส่วนของไอน�้าที่เกิดจากการระเหยของน�้าในวัฏจักรน�้า แล้ว ลอยขึ้นไปอยู่ในบรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์ เป็นความชื้นในอากาศ ละอองน�้า บางส่วนรวมตัวกัน เป็นกลุ่มก้อน ซึ่งจะกลั่นตัวเป็นน�้าจืดได้อีก ซึ่งโดยรวมมีปริมาณร้อยละ 0.01 ของน�้าจืดที่สะสมไว้ ในอากาศ Geo Tip เกรตอาร์ทีเชียนเบซิน เกรตอาร์ทีเชียนเบซิน (Great Artesian Basin) เป็นแหล่งน�้าบาดาลขนาดใหญ่ของประเทศ ออสเตรเลีย มีพื้นที่ประมาณ 1,544,000 ตารางกิโลเมตร ส่วนใหญ่อยู่ในรัฐควีนส์แลนด์ มีปริมาณน�้า อยู่ประมาณ 64,900 ลูกบาศก์กิโลเมตร แหล่งน�้ามาจากเทือกเขาเกรตดิไวดิงซึ่งอยู่ทางตะวันออกของ ประเทศ น�้าฝนจะไหลลงมาตามชั้นหินซึมเป็นระยะทางไกลกว่า 1,000 กิโลเมตร มาสู่บริเวณแหล่งน�้า บาดาลนี้ แต่บ่อบาดาลบางแห่งอาจมีเกลือปนอยู่ รัฐบาลออสเตรเลียมีโครงการพัฒนาแหล่งน�้านี้ เพื่อใช้ประโยชน์ทางด้านต่าง ๆ 55 2) น�้าใต้ดิน เป็นน�้ 1 เกร็ดแนะครู ครูใหนักเรียนชวยกันวิเคราะหความแตกตางของแหลงนํ้าจืดที่ปรากฏบน ผิวโลก เชน นํ้าผิวดิน นํ้าใตดิน ธารนํ้าแข็ง ในดานแหลงกําเนิด ความสัมพันธ กับการดําเนินชีวิตของประชากร แลววิเคราะหสถานการณการใชนํ้าจืดใน ประเทศไทย ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร 1. ครูใหนักเรียนรวมกันศึกษา Geo Tip เกี่ยวกับ เกรตอารทีเชียนเบซิน จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 และแสดงความคิดเห็น รวมกัน 2. ครูกระตุนใหนักเรียนชวยกันตั้งประเด็นคําถาม เชิงภูมิศาสตร เชน • ปจจัยทางภูมิศาสตรมีอิทธิพลตอวัฏจักรทาง อุทกวิทยาอยางไร • การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพดานอุทกภาค ทําใหนํ้าจืดและนํ้าเค็มเกิดปญหาอยางไร • ผลกระทบจากปญหาของนํ้าจืดและนํ้าเค็ม คืออะไรบาง • การไหลเวียนของกระแสนํ้าในมหาสมุทรใน ภูมิภาคตางๆ ของโลก มีลักษณะใดบาง ประเทศไทยตองเผชิญกับสถานการณดานนํ้าจืดอยางไรบาง มีแนวทางปองกันแกไขปญหาอยางไร (แนวตอบ ประเทศไทยตองเผชิญกับปญหานํ้าจืด เชน เกิดภัยแลง สงผลใหปริมาณนํ้าสํารองในเขื่อนหรืออางเก็บนํ้าขนาดใหญ ไมเพียงพอ ปญหาแหลงนํ้าเสื่อมโทรม และปนเปอนสารพิษจาก การปลอยของเสียลงแหลงนํ้าของชุมชนเมือง ภาคอุตสาหกรรม และภาคเกษตรกรรม เกิดอุทกภัยรุนแรงทําใหนํ้าทวม แนวทาง ปองกันแกไข เชน ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคนํ้าใหรูจัก ประหยัด รักษาแหลงตนนํ้า เชน ปาไม ภาครัฐตองมีการบริหาร จัดการนํ้าอยางยั่งยืน เพื่อปองกันปญหานํ้าแลงและนํ้าทวม) นักเรียนควรรู 1 นํ้าใตดิน หากมีการสูบนํ้าใตดินมาใชมากเกินไปจนขาดความสมดุลของ นํ้าใตดิน จะทําใหเกิดผลเสียตามมา เชน เกิดการทรุดตัวของดิน เนื่องจาก ชั้นลางของหินปูนที่มีนํ้าแทรกอยูชวยใหหนุนชั้นดินดานบนไวหากสูบมาใน ปริมาณมากจะทําใหนํ้าในชั้นหินลดลงอยางรวดเร็วทําใหแผนดินยุบตัวลง นํา สอน สรุป ประเมิน T57


0 ํ 0 ํ 40 ํE 40 ํW 80 ํE 80 ํW 120 ํE 120 ํW 160 ํE 160 ํW 20 ํE20 ํW 60 ํE 60 ํW 100 ํE 100 ํW 140 ํE 180 ํ140 ํW 20 ํN 20 ํS 40 ํN 40 ํS 60 ํN 60 ํS 80 ํN 80 ํS 0 ํ 20 ํN 20 ํS 40 ํN 40 ํS 60 ํN 60 ํS 80 ํN 80 ํS ม ห า ส มุ ท ร แ ป ซิ ฟ ก ม ห า ส มุ ท ร แ ป ซิ ฟ ก ม ห า ส มุ ท ร อ า ร ก ติ กม ห า ส มุ ท ร อ า ร ก ติ ก ม ห า ส มุ ท ร แ อ ต แ ล น ติ ก ม ห า ส มุ ท ร แ อ ต แ ล น ติ ก ม ห า ส มุ ท ร อิ น เ ดี ย ทะเลแคริบเบียน ทะเล เหน�อ ทะเลคาราทะเลแลปทิฟทะเลไซบีเรียตะวันออก ทะเลดำ ทะเลเบริง เมดิเตอรเรเน�ยน ทะเล ทะเล นอรวีเจียนทะเล กรีนแลนดทะเล แลบราดอร ทะเลเวดเดลลทะเลเบลลิงสเฮาเซน ทะเลสโกเทีย ทะเลแบเร็นตส ทะเลแดง อาว เม็กซิโก อาวอะแลสกา อาว ฮัดสัน อาว บิสเคย อาว แบฟฟนทะเลโบฟอรต อาว เบงกอล อาวกิน� ทะเล ฟลิปปน ทะเลคอรัล ทะเลแทสมัน ทะเล จีนใต ทะเลจีน ตะวันออก ทะเล โอค็อตสค ทะเล โซโลมอน ทะเลติมอร ทะเลอาหรับ ทะเล แคสเปยน เกรตออสเตรเลียนไบต ส.ออนเทรีโอม. ส ิแิชนก สส.พุเีรยีส.ฮูรอน ส.อิรี ส.วินนิเพก ส.เกรตแบร ส.เกรตสเลฟ ส.แทนกันยีกา ส.วิกตอเรีย ส.โอเนกา ส.ลาโดกา ส.มาลาวี ทะเลอารัลสบ.ลัคชัส.ไบคาล นย.ูคอนน.แมกเคนซีน.เนลสัน น.ซเนตลอวเรนซ อโ.นรนีโโก น.ไรน นไ.น ล น.ยูเฟรทีส น.ไทกรสิ น.ออ็ น บ .เยนเ�ซย น.ลนีา น.อามรู น.โขง ส. นธินุ ินวะลาส. น น.คงคา น.พรหมบุตร นฉ.างเจียง น.ห ว งาหเอ น.มเอรรยีน.ดารลิง น.ดานูบ น.ไนเจอร . นคองโก น.ออเรนจ น.แซมบีซ น ี .วอลกา นแ.อมะซอน านาราป. น าซ. น ร ฟซังสีกู น.รีโอกรนัเด ม. นซิส ซสิปปิ น.โคลมัเบยีโ.น คลโราโด แมน้ำ แมน้ำสำคัญ ทะเลสาบ ทะเลสาบสำคัญ N 1 : 160,000,000 0 2,000 4,000 กม. แผนที่แสดงแหลงน้ำผิวดิน แผนที่แสดงน�้าผิวดินที่ส�าคัญของโลก 56 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 2 การรวบรวมขอมูล 1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม สืบคนเกี่ยวกับอุทกภาค จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 หรือจาก แหลงการเรียนรูอื่นๆ ประกอบการใชเครื่องมือ ทางภูมิศาสตร เชน แผนที่แสดงนํ้าผิวดิน ที่สําคัญของโลก ในประเด็นตอไปนี้ • วัฏจักรของนํ้า • ระบบนํ้าจืด • ระบบนํ้าเค็ม 2. ครูอาจถามคําถามประกอบการสืบคนของ นักเรียนเพิ่มเติม เชน • แหลงนํ้าจืดมีประโยชนตอมนุษยชาติอยางไร (แนวตอบ นํ้ามีประโยชนตอการดํารงชีวิต ของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง รวมถึงมนุษย ตั้งแตยุค โบราณมนุษยมักตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่มีนํ้า อุดมสมบูรณ เชน ที่ราบลุมแมนํ้า ทะเลสาบ เนื่องจากมีความสะดวกในการอุปโภคบริโภค รวมถึงการคมนาคมติดตอกับชุมชนอื่นและ ประโยชนทางการคา กระทั่งพัฒนาชุมชน ของตนขึ้นเปนแหลงอารยธรรมโบราณที่ สําคัญของโลกในหลายบริเวณ ในปจจุบันนํ้า ยังคงมีความสําคัญทั้งในดานเศรษฐกิจและ สิ่งแวดลอม การบริหารจัดการเพื่อปองกัน ภัยแลงและนํ้าทวม ตลอดจนการใชพลังงาน นํ้าในการผลิตกระแสไฟฟา) 3. ครูแนะนําแหลงขอมูลสารสนเทศที่นาเชื่อถือ ใหกับนักเรียนเพิ่มเติม ครูใหนักเรียนดูแผนที่แสดงแหลงนํ้าผิวดินที่สําคัญของโลก ใหวิเคราะหแหลงนํ้าสําคัญของโลก เปรียบเทียบความไดเปรียบ เสียเปรียบของปริมาณแหลงนํ้าในแตละพื้นที่ของโลก และวิเคราะห แนวโนมสถานการณการใชนํ้า ปญหาแหลงนํ้าของโลก และเสนอ แนะแนวทางการบริหารจัดการนํ้าอยางยั่งยืน บันทึกสาระสําคัญ เกร็ดแนะครู ครูใหนักเรียนดูแผนที่แสดงแหลงนํ้าผิวดินที่สําคัญของโลก ตั้งประเด็น คําถามเพื่อใหนักเรียนไดใชทักษะทางภูมิศาสตรในการอานและแปลความแผนที่ เชน • ทวีปใดมีแหลงนํ้าอุปโภคบริโภคมากที่สุด เพราะเหตุใด • ทวีปใดมีโอกาสเสี่ยงตอการเกิดภาวะขาดแคลนนํ้าจืดมากที่สุด เพราะ เหตุใด • พื้นที่ใดของโลกที่มีแหลงนํ้าอุดมสมบูรณเหมาะแกการเพาะปลูก • หากไมมีแมนํ้าแอมะซอนจะสงผลกระทบตอหลายประเทศในอเมริกาใต อยางไร • หากไมมีแมนํ้าเจาพระยาจะสงผลกระทบตอภาคกลางของไทยอยางไร • หากนักเรียนจะเลือกทําการเกษตรขนาดใหญจะเลือกบริเวณใดของโลก เพราะเหตุใด นอกจากนั้น ครูกระตุนใหนักเรียนฝกตั้งคําถาม โดยใชแผนที่ประกอบ นํา สอน สรุป ประเมิน T58


ขอสอบเนน การคิด 0 ํ 0 ํ 40 ํE 40 ํW 80 ํE 80 ํW 120 ํE 120 ํW 160 ํE 160 ํW 20 ํE20 ํW 60 ํE 60 ํW 100 ํE 100 ํW 140 ํE 180 ํ140 ํW 20 ํN 20 ํS 40 ํN 40 ํS 60 ํN 60 ํS 80 ํN 80 ํS 0 ํ 20 ํN 20 ํS 40 ํN 40 ํS 60 ํN 60 ํS 80 ํN 80 ํS ม ห า ส มุ ท ร แ ป ซิ ฟ ก ม ห า ส มุ ท ร แ ป ซิ ฟ ก ม ห า ส มุ ท ร อ า ร ก ติ กม ห า ส มุ ท ร อ า ร ก ติ ก ม ห า ส มุ ท ร แ อ ต แ ล น ติ ก ม ห า ส มุ ท ร แ อ ต แ ล น ติ ก ม ห า ส มุ ท ร อิ น เ ดี ย ทะเลแคริบเบียน ทะเล เหน�อ ทะเลคาราทะเลแลปทิฟทะเลไซบีเรียตะวันออก ทะเลดำ ทะเลเบริง เมดิเตอรเรเน�ยน ทะเล ทะเล นอรวีเจียนทะเล กรีนแลนดทะเล แลบราดอร ทะเลเวดเดลลทะเลเบลลิงสเฮาเซน ทะเลสโกเทีย ทะเลแบเร็นตส ทะเลแดง อาว เม็กซิโก อาวอะแลสกา อาว ฮัดสัน อาว บิสเคย อาว แบฟฟนทะเลโบฟอรต อาว เบงกอล อาวกิน� ทะเล ฟลิปปน ทะเลคอรัล ทะเลแทสมัน ทะเล จีนใต ทะเลจีน ตะวันออก ทะเล โอค็อตสค ทะเล โซโลมอน ทะเลติมอร ทะเลอาหรับ ทะเล แคสเปยน เกรตออสเตรเลียนไบต ส.ออนเทรีโอม. ส ิแิชนก สส.พุเีรยีส.ฮูรอน ส.อิรี ส.วินนิเพก ส.เกรตแบร ส.เกรตสเลฟ ส.แทนกันยีกา ส.วิกตอเรีย ส.โอเนกา ส.ลาโดกา ส.มาลาวี ทะเลอารัลสบ.ลัคชัส.ไบคาล นย.ูคอนน.แมกเคนซีน.เนลสัน น.ซเนตลอวเรนซ อโ.นรนีโโก น.ไรน นไ.น ล น.ยูเฟรทีส น.ไทกรสิ น.ออ็ น บ .เยนเ�ซย น.ลนีา น.อามรู น.โขง ส. นธินุ ินวะลาส. น น.คงคา น.พรหมบุตร นฉ.างเจียง น.ห ว งาหเอ น.มเอรรยีน.ดารลิง น.ดานูบ น.ไนเจอร . นคองโก น.ออเรนจ น.แซมบีซ น ี .วอลกา นแ.อมะซอน านาราป. น าซ. น ร ฟซังสีกู น.รีโอกรนัเด ม. นซิส ซสิปปิ น.โคลมัเบยีโ.น คลโราโด แมน้ำ แมน้ำสำคัญ ทะเลสาบ ทะเลสาบสำคัญ N 1 : 160,000,000 0 2,000 4,000 กม. แผนที่แสดงแหลงน้ำผิวดิน 3.3 ระบบน�้าเค็ม น�้าเค็มเป็นน�้าที่มีปริมาณมากที่สุดถึงร้อยละ 97 ของปริมาณน�้าทั้งโลกและกระจายตามแหล่ง น�้าต่าง ๆ ได้แก่ อ่าว ทะเล และมหาสมุทร จึงเป็นแหล่งน�้าในวัฏจักรน�้าที่มีการระเหยเป็นไอน�้าใน อากาศมากที่สุดด้วย 1) ความเค็มและความหนาแน่น ความเค็มของน�้าทะเลเกิดจากการมีเกลือโซเดียม และคลอไรด์ละลายอยู่ ในปริมาณเฉลี่ย 35 กรัมต่อน�้า 1,000 กรัม หรือร้อยละ 3.5 น�้าทะเลแต่ละ บริเวณมีความเค็มแตกต่างกันตามอัตราการระเหยของน�้า ปริมาณน�้าฝน น�้าจากแม่น�้าหรือน�้าแข็ง ที่ละลายลงไป และอุณหภูมิของน�้า 2) กระแสน�้าพื้นผิวและการลอยตัวของมวลน�้าในมหาสมุทร การไหลเวียนของ กระแสน�้าพื้นผิวในมหาสมุทรมีความต่อเนื่องและสม�่าเสมอ เกิดจากความหนาแน่นและอุณหภูมิที่ แตกต่างกันของน�้าทะเลในแต่ละแห่ง และลมประจ�าของโลก 2.1) กระแสน�้าพื้นผิวในมหาสมุทร เป็นระบบหมุนเวียนของน�้าพื้นผิวในแนวนอน ประจ�าอยู่ในมหาสมุทรต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ การไหลของกระแสน�้าพื้นผิวเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ ดังนี้ 1. การหมุนรอบตัวเองของโลก ท�าให้กระแสน�้าพื้นผิวบริเวณเส้นศูนย์สูตร ไหลจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก เมื่อถึงทวีปและแผ่นดิน กระแสน�้าพื้นผิวจะไหลเบนขวาใน ซีกโลกเหนือและเบนซ้ายในซีกโลกใต้ตามลักษณะรูปร่างของแผ่นดิน 2. ลมที่พัดประจ�า ได้แก่ • ลมค้าตะวันออกเฉียงเหนือและลมค้าตะวันออกเฉียงใต้ ลมที่พัด ประมาณละติจูด 30 - 5 องศาเหนือและใต้ ท�าให้กระแสน�้าแถบเส้นศูนย์สูตรไหลจากทิศตะวันออก ไปทิศตะวันตก • ลมตะวันตก เป็นลมที่พัดประมาณละติจูด 30 - 60 องศาเหนือและใต้ พัดจากแนวความกดอากาศสูงกึ่งเขตร้อนไปยังบริเวณแนวความกดอากาศต�่ากึ่งขั้วโลกในซีกโลก เหนือ ลมจะพัดรุนแรงมากในฤดูหนาว ส�าหรับซีกโลกใต้ลมจะพัดรุนแรงในฤดูร้อนและฤดูหนาว ซึ่งในสมัยโบราณใช้ประโยชน์ในการเดินเรือจากตอนใต้ของมหาสมุทรแอตแลนติกไปทางตะวันออก ผ่านมหาสมุทรอินเดีย 57 ขั้นสอน ขั้นที่ 3 การจดการขอมูล 1. สมาชิกแตละคนในกลุมนําขอมูลที่ตนไดจาก การรวบรวม มาอธิบายแลกเปลี่ยนความรู ระหวางกัน 2. จากนั้นสมาชิกในกลุมชวยกันคัดเลือกขอมูลที่ นําเสนอเพื่อใหไดขอมูลที่ถูกตอง และรวมกัน อภิปรายแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เกร็ดแนะครู ครูเพิ่มเติมขอมูลเกี่ยวกับอิทธิพลของกระแสนํ้าในมหาสมุทรสงผลตอการ ดําเนินชีวิตของมนุษย เชน 1. มีอิทธิพลตออุณหภูมิบนพื้นโลก กระแสนํ้าอุน ชวยเพิ่มระดับอุณหภูมิ บริเวณชายฝงในเขตละติจูดสูงใหสูงขึ้น เชน ทําใหชายฝงสหราชอาณาจักรมี อุณหภูมิไมลดลงตํ่ามาก กระแสนํ้าเย็น ชวยลดระดับอุณหภูมิบริเวณชายฝงใน เขตละติจูดตํ่าใหเย็นลง เชน ทําใหบริเวณชายฝงแคลิฟอรเนีย สหรัฐอเมริกา มีอุณหภูมิไมสูงมากนัก ทั้งๆ ที่เปนฤดูรอน 2. บริเวณที่มีกระแสนํ้าเย็นและกระแสนํ้าอุนไหลมาปะทะกัน จะมี แพลงกตอนซึ่งเปนอาหารของปลาอยูเปนจํานวนมาก จึงเปนแหลงปลาชุกชุม มีประโยชนทางดานการประมง เชน บริเวณคูริลแบงก ประเทศญี่ปุนเปน บริเวณที่กระแสนํ้าอุนคุโระชิโอะและกระแสนํ้าเย็นโอะยะชิโอะไหลมาปะทะกัน การไหลเวียนของกระแสนํ้าในมหาสมุทรเกิดจากสาเหตุ ดังตอไปนี้ ยกเวนขอใด 1. เกิดจากลมประจําที่พัดผาน 2. เกิดจากการหมุนรอบตัวของโลก 3. เกิดจากความแตกตางของภูมิประเทศ 4. เกิดจากการลดระดับนํ้าทะเลจากปรากฏการณนํ้าขึ้น-นํ้าลง 5. เกิดจากความหนาแนนและอุณหภูมิที่แตกตางกันของ นํ้าทะเลในแตละแหง (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เพราะการไหลเวียนของนํ้าใน มหาสมุทรเกิดจากความแตกตางของระดับนํ้าทะเลที่สูง-ตํ่าไม เทากัน โดยนํ้าที่ลอยตัวสูงขึ้นจะไหลไปแทนที่นํ้าที่จมตัวลง สวนนํ้าที่จมตัวลงก็จะไหลในระดับลึกไปแทนที่นํ้าที่ลอยตัวสูงขึ้น ซึ่งไมไดเกิดจากความแตกตางของภูมิประเทศ) นํา สอน สรุป ประเมิน T59


180 ํ 0 ํเสนศูนยสูตร 20 ํE 20 ํE20 ํW 60 ํE 60 ํW 100 ํE 100 ํW 140 ํE 140 ํW 40 ํE 0 ํ40 ํW 80 ํE 80 ํW 120 ํE 120 ํW 160 ํE 160 ํW 20 ํN 20 ํS 40 ํN 40 ํS 60 ํN 60 ํS 80 ํN 80 ํS 0 ํ 20 ํN 20 ํS 40 ํN 60 ํN 80 ํN 40 ํS 60 ํS 80 ํS ศูนยสูตรเหน�อ ศูนยสูตรใต ศูนยสูตรสวนกลับ อโะยะชิโอะ แคลฟิอรเน�ย ปเูร ขั้วโลกแอนตารกตกิา ขั้วโลกแอนตารกตกิา ขั้วโลกแอนตารกตกิา แปซฟิกหเน�อ สออ ตเเรลียตะวนัออก คุโระชิโอะ เบงเกวลา ศูนยสูตร บร ซา ลิ กลัฟสตรีม แคริบเบียน ค แะ รน ี รก ีนแลน ด แลบราดอร แ ตนลแตอ ิก �อนหเ ละกะอ ัส ศูนยสูตรใตอนิเดยีสวนกลบัศนูยสตูรเหนอ�รมุมส ตะวันตกฉเ �ยงใต ออสเตรเลียตะวนัตกมหาสมุทรแปซิฟก อาว อะแลสกา อาว เม็กซิโก มหาสมุทร อินเดีย มหาสมุทรอารกติก มหาสมุทรแปซิฟก มหาสมุทร แอตแลนติก มหาสมุทร แอตแลนติก อชแงคบบเรงิ อเมริกาเหน�อ ทะเลทราย โมฮาวี แ อ น ต า ร ก ติ ก า อเมริกาใต แอฟริกา แอฟริกา ยุโรป ออสเตรเลีย เอเชีย ทะเลทรายอาตากามา ทะเลทรายสะฮารา ะ ท ทลเ บิมานยารทะเลทราย กิบสัน แกรนด แบงสคูริล แบงก ดอกเกอร แบงก N 1 : 160,000,000 0 2,000 4,000 กม. แผนที่แสดงกระแสน้ำในมหาสมุทร กระแสน้ำอุนกระแสน้ำเย็น แผนที่แสดงกระแสน�้าในมหาสมุทร 58 1 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 1. ครูใหนักเรียนดูแผนที่แสดงกระแสนํ้าใน มหาสมุทร จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 จากนั้นรวมกันวิเคราะหและเชื่อมโยงการ ไหลเวียนของกระแสนํ้าในมหาสมุทรเพิ่มเติม ประกอบการใชคําถาม เชน • แหลงที่มาของกระแสนํ้าอุนและกระแส นํ้าเย็นที่ไหลเวียนในมหาสมุทรของโลกคือ ที่ใด (แนวตอบ เขตศูนยสูตรและเขตขั้วโลกเปน แหลงที่มาของกระแสนํ้าอุนและกระแส นํ้าเย็นที่ไหลเวียนอยูในมหาสมุทรทั่วโลก โดยกระแสนํ้าอุน เชน กระแสนํ้าอุนคุโระชิโอะ ไดรับความรอนจากดวงอาทิตยในเขต ศูนยสูตร และไหลเวียนขึ้นทางเหนือ สวน กระแสนํ้าเย็นโอะยะชิโอะ เปนกระแสนํ้า เย็นที่ไหลลงมาจากทางขั้วโลกเหนือนั่นเอง) 2. ครูใหสมาชิกแตละกลุมนําขอมูลที่รวบรวมมา ไดทําการวิเคราะหรวมกันเพื่ออธิบายคําตอบ 3. สมาชิกแตละกลุมรวมกันตรวจสอบความ ถูกตองของขอมูล 4. ตัวแทนกลุมนําเสนอผลงานหนาชั้นเรียน สมาชิกกลุมอื่นผลัดกันใหขอคิดเห็น หรือ ขอเสนอแนะ 5. สมาชิกแตละกลุมรวมกันทําใบงานที่ 2.3 เรื่อง ปรากฏการณทางอุทกภาค และรวมกัน เฉลยคําตอบ โดยครูแนะนําเพิ่มเติม นักเรียนควรรู 1 กระแสนํ้าในมหาสมุทร คือ การเคลื่อนที่ของนํ้าในมหาสมุทรอยางสมํ่าเสมอ ซึ่งจะไหลอยูตลอดเวลา และไหลเวียนไปทั่วโลกอยางชาๆ ในทิศทางเดียวกัน และการที่โลกเปนทรงกลมจึงทําใหอุณหภูมิของนํ้าในมหาสมุทรมีความ แตกตางกัน พลังงานจากดวงอาทิตยจะตกกระทบบริเวณเสนศูนยสูตร มากกวาบริเวณอื่นๆ ทําใหนํ้าบริเวณนั้นมีอุณหภูมิสูงขึ้นจึงเบาและลอยตัวขึ้น เกิดเปนกระแสนํ้าอุน ในขณะที่นํ้าบริเวณขั้วโลกจะไดรับความรอนนอยมาก ทําใหนํ้ามีอุณหภูมิตํ่า จะเย็นและจมตัวลงเกิดเปนกระแสนํ้าเย็น ใหนักเรียนดูแผนที่แสดงกระแสนํ้าในมหาสมุทร วิเคราะห ทิศทางการไหลของกระแสนํ้าอุน และกระแสนํ้าเย็นของโลก ผลกระทบจากการมีกระแสนํ้าดังกลาว ยกตัวอยางกระแสนํ้าอุน และนํ้าเย็นของโลก วิเคราะหอิทธิพลของกระแสนํ้าดังกลาว นํา สอน สรุป ประเมิน T60


กิจกรรม Geo - Literacy 180 ํ 0 ํเสนศูนยสูตร 20 ํE 20 ํE20 ํW 60 ํE 60 ํW 100 ํE 100 ํW 140 ํE 140 ํW 40 ํE 0 ํ40 ํW 80 ํE 80 ํW 120 ํE 120 ํW 160 ํE 160 ํW 20 ํN 20 ํS 40 ํN 40 ํS 60 ํN 60 ํS 80 ํN 80 ํS 0 ํ 20 ํN 20 ํS 40 ํN 60 ํN 80 ํN 40 ํS 60 ํS 80 ํS ศูนยสูตรเหน�อ ศูนยสูตรใต ศูนยสูตรสวนกลับ อโะยะชิโอะ แคลฟิอรเน�ย ปเูร ขั้วโลกแอนตารกตกิา ขั้วโลกแอนตารกตกิา ขั้วโลกแอนตารกตกิา แปซฟิกหเน�อ สออ ตเเรลียตะวนัออก คุโระชิโอะ เบงเกวลา ศูนยสูตร บร ซา ลิ กลัฟสตรีม แคริบเบียน ค แะ รน ี รก ีนแลน ด แลบราดอร แ ตนลแตอ ิก �อนหเ ละกะอ ัส ศูนยสูตรใตอนิเดยีสวนกลบัศนูยสตูรเหนอ�รมุมส ตะวันตกฉเ �ยงใต ออสเตรเลียตะวนัตกมหาสมุทรแปซิฟก อาว อะแลสกา อาว เม็กซิโก มหาสมุทร อินเดีย มหาสมุทรอารกติก มหาสมุทรแปซิฟก มหาสมุทร แอตแลนติก มหาสมุทร แอตแลนติก อชแงคบบเรงิ อเมริกาเหน�อ ทะเลทราย โมฮาวี แ อ น ต า ร ก ติ ก า อเมริกาใต แอฟริกา แอฟริกา ยุโรป ออสเตรเลีย เอเชีย ทะเลทรายอาตากามา ทะเลทรายสะฮารา ะ ท ทลเ บิมานยารทะเลทราย กิบสัน แกรนด แบงสคูริล แบงก ดอกเกอร แบงก N 1 : 160,000,000 0 2,000 4,000 กม. แผนที่แสดงกระแสน้ำในมหาสมุทร กระแสน้ำอุน กระแสน้ำเย็น 2.2) การลอยตัวของมวลน�้า เป็นปรากฏการณ์เฉพาะพื้นที่ เนื่องจากน�้าใน ระดับลึกจากทะเลหรือมหาสมุทรมีอุณหภูมิต�่าและมีความหนาแน่นสูงลอยตัวขึ้นสู่ระดับผิวน�้า เกิดจากลมประจ�าก�าลังแรงท�าให้กระแสน�้าเย็นพื้นผิวที่ขนานกับชายฝั่งเคลื่อนที่เฉออกจากชายฝั่ง ตามแรงคอริออลิส ท�าให้น�้าเย็นในระดับลึกเคลื่อนขึ้นมาแทนที่เกิดเป็นการลอยตัวของมวลน�้า เช่น การลอยตัวของมวลน�้าบริเวณชายฝั่งรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา Geo Tip หมอกทะเล (sea fog) หมอกทะเลเป็นหมอกที่เกิดจากการพาความร้อนในแนวนอน (advection fog) หมอกที่เกิดขึ้น ในชั้นต�่า ๆ ของมวลอากาศชื้น ซึ่งเคลื่อนที่ไปบนผิวพื้นที่เย็นกว่า จนท�าให้อุณหภูมิของอากาศ ข้างล่างลดลงต�่ากว่าอุณหภูมิจุดน�้าค้าง หมอกชนิดนี้มักเกิดจากอากาศชื้นเคลื่อนที่ไปบนผิวพื้นน�้า ทะเลที่เย็นกว่า ที่มา : https://www2.aeromet.tmd.go.th 59 ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 1. นักเรียนแตละกลุมศึกษา Geo Tip เรื่อง หมอก ทะเล จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 เพื่อ วิเคราะหเพิ่มเติมปรากฏการณทางอุทกภาค จากนั้นรวมกันตรวจสอบความถูกตองของ ขอมูล 2. นักเรียนในชั้นเรียนรวมกันสรุปเกี่ยวกับการใช เครื่องมือทางภูมิศาสตร และเครื่องมือดาน เทคโนโลยีในการสืบคนอุทกภาค 3. ครูใหสมาชิกในแตละกลุมชวยกันสรุปสาระ สําคัญเพื่อตอบคําถามเชิงภูมิศาสตร 4. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกสมรรถนะฯ ภูมิศาสตร ม.4-6 เกี่ยวกับเรื่อง อุทกภาค โดยครูแนะนํา เพิ่มเติม ขั้นสรุป ครูและนักเรียนรวมกันสรุปความรูเกี่ยวกับ อุทกภาค ตลอดจนความสําคัญที่มีอิทธิพล ตอการดําเนินชีวิตของประชากร หรือใช PPT สรุปสาระสําคัญของเนื้อหา ขั้นประเมิน 1. ครูประเมินผลโดยสังเกตจากการตอบคําถาม การรวมกันทํางาน และการนําเสนอผลงาน หนาชั้นเรียน 2. ครูตรวจสอบผลจากการทําใบงาน และแบบฝก สมรรถนะฯ ภูมิศาสตร ม.4-6 แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถวัดและประเมินความเขาใจเนื้อหา เรื่อง อุทกภาค ไดจากการ ตอบคําถาม การรวมกันทํางาน และการนําเสนอผลงานหนาชั้นเรียน โดยศึกษา เกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินการนําเสนอผลงานที่แนบมา ทายแผนการจัดการเรียนรูหนวยที่ 2 เรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางกายของโลก นักเรียนศึกษาแผนที่แสดงกระแสนํ้าในมหาสมุทรจากหนังสือเรียน หนา 57 วิเคราะหทิศทางการไหลของกระแสนํ้าอุน กระแสนํ้าเย็น ตางๆ และผลจากกระแสนํ้าดังกลาว ใหนักเรียนรวมกลุมศึกษา วิเคราะหความรูจากเรื่องกระแสนํ้าในมหาสมุทร โดยใชกระบวนการ ทางภูมิศาสตร 5 ขั้นตอน ไดแก การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร การรวบรวมขอมูล การจัดการขอมูล การวิเคราะหขอมูล และ การสรุปเพื่อตอบคําถาม แบบประเมินการน าเสนอผลงาน ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินผลการน าเสนอผลงานของนักเรียนตามรายการ แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/................./................ เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 12 - 15 ดี 8 - 11 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง ล าดับที่ รายการประเมินระดับคะแนน 3 2 1 1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 การล าดับขั้นตอนของเรื่อง 3 วิธีการน าเสนอผลงานอย่างสร้างสรรค์ 4 การใช้เทคโนโลยีในการน าเสนอ 5 การมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม รวม นํา สอน สรุป ประเมิน T61


0 ํ 30 ํN 30 ํS 60 ํN 60 ํS 0 ํ 150 ํW 120 ํW 90 ํW 60 ํW 30 ํW 0 ํ 30 ํE 60 ํE 90 ํE 120 ํE 150 ํE 180 ํ 150 ํW 120 ํW 90 ํW 60 ํW 30 ํW 0 ํ 30 ํE 60 ํE 90 ํE 120 ํE 150 ํE 180 ํ 30 ํN 30 ํS 60 ํN 60 ํS เสนศูนยสูตร เสนทรอปกออฟแคนเซอร เสนอารกติกเซอรเคิล เสนทรอปกออฟแคปริคอรน เสนแอนตารกติกเซอรเคิล ปาฝนเขตรอน ปาไมผลัดใบ ทุงหญาเขตอบอุน ทุงหญาเขตรอน เมดิเตอรเรเน�ยน เขตชีวนิเวศของโลก เทือกเขาสูง ทะเลทราย ปาสน (ไทกา) ทุนดรา แผนที่แสดงเขตชีวนิเวศของโลก 4 ชีวภาค (biosphere) 4.1 ระบบชีวนิเวศ ระบบนิเวศบนโลกมีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศของแต่ละท้องถิ่น ซึ่งมีผลต่อสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น ๆ ระบบนิเวศของสิ่งมีชีวิตในแต่ละพื้นที่ เรียกว่า ชีวนิเวศ หรือไบโอม (biomes) จากแผนที่แสดงเขตชีวนิเวศแบ่งเป็น 9 กลุ่มใหญ่ ๆ ซึ่งความแตกต่างของสภาพอากาศ และลักษณะพื้นที่ในแต่ละภูมิภาคของโลก ท�าให้เกิดระบบนิเวศหรือถิ่นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต ที่แตกต่างกัน สิ่งมีชีวิตแต่ละพื้นที่ได้ผ่านการคัดสรรตามธรรมชาติในกระบวนการวิวัฒนาการของ สิ่งมีชีวิต เช่น เขตร้อนชื้นแถบศูนย์สูตรหรือเขตร้อนซึ่งเป็นเขตที่มีความส�าคัญอย่างยิ่งในเรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาค เช่น ป่าแอมะซอน ประเทศบราซิล เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลาย ของพันธุ์พืชและสัตว์สูงมาก 60 กิจกรรม ทาทาย 4.1 ระบบชีวนิเวศ 1 ขั้นนํา (Geographic Inquiry Process) 1. ครูแจงชื่อเรื่อง จุดประสงค และผลการเรียนรู 2. ครูใหนักเรียนดูภาพชีวนิเวศแตละพื้นที่ เชน ทุนดรา ปาฝนเขตรอน ทะเลทราย เทือกเขาสูง ปาสน ทุงหญาเขตรอน ฯลฯ จากนั้นสุม นักเรียนเพื่อตอบคําถามวาแตละภาพเปน ชีวนิเวศในพื้นที่แบบใด ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร 1. ครูใหนักเรียนศึกษาแผนที่แสดงเขตชีวนิเวศ ของโลก จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 แลวอภิปรายแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแผนที่ ดังกลาวรวมกัน พรอมทั้งเชื่อมโยงกับภาพ ชีวนิเวศตัวอยาง และแสดงความคิดเห็น เพิ่มเติม 2. ครูกระตุนใหนักเรียนชวยกันตั้งประเด็นคําถาม เชิงภูมิศาสตร เชน • ปจจัยทางภูมิศาสตรทําใหเกิดความ หลากหลายของระบบชีวนิเวศอยางไร • ระบบชีวนิเวศในภูมิภาคตางๆ ของโลกมี ลักษณะอยางไร • การเปลี่ยนแปลงทางชีวภาคในภูมิภาค ตางๆ ของโลก มีผลกระทบตอวิถีการ ดําเนินชีวิตอยางไร นักเรียนควรรู 1 ระบบชีวนิเวศ (biome) ชุมชนของพืชและสัตวที่อาศัยอยูรวมกันในบริเวณ ที่มีภูมิอากาศมีลักษณะเฉพาะ ชีวนิเวศแบบตางๆ ถูกควบคุมโดยลักษณะ ภูมิอากาศ พื้นที่ทางภูมิศาสตร เปนสิ่งที่กําหนดชนิดของพืชและสัตวที่จะ เจริญเติบโตและดํารงชีวิตอยูในพื้นที่นั้นๆ เชน ชีวนิเวศปาเขตรอน ปาผลัดใบ เขตอบอุน ทุงหญาเขตอบอุน ทะเลทราย ใหนักเรียนจับคู อานแผนที่แสดงเขตชีวนิเวศของโลก ศึกษา เขตชีวนิเวศทั้ง 9 เขต วิเคราะหลักษะเฉพาะของแตละเขต เกี่ยวกับลักษะพืชพรรณ ปาไม สัตว สรุปสาระสําคัญ นําเสนอ ในชั้นเรียน กิจกรรม สรางเสริม ใหนักเรียนจับคู อานแผนที่แสดงเขตชีวนิเวศของโลก เลือก ศึกษาเขตชีวนิเวศ 1 เขต วิเคราะหลักษะเฉพาะของลักษะพืชพรรณ ปาไม สัตว สรุปสาระสําคัญในรูปแบบแผนผังความคิด นําเสนอ ในชั้นเรียน นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T62


ขอสอบเนน การคิด ระบบนิเวศของแต่ละพื้นที่มีลักษณะส�าคัญ ดังนี้ 1) ป่าฝนเขตร้อน หรือป่าดิบชื้น เป็นป่าไม่ผลัดใบ เขียวชอุ่มตลอดปี ปริมาณฝน และความชื้นสูง อุณหภูมิเฉลี่ย 20 - 25 องศา เซลเซียส มีฝนตกชุกเฉลี่ย 2,400 มม./ปี พบ มากในเขตร้อนใกล้เส้นศูนย์สูตร เช่น ป่าในเกาะ บอร์เนียว ประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย และ ภาคใต้ของประเทศไทย ป่าเซลวาส (selvas) บริเวณลุ่มแม่น�้าแอมะซอนในทวีปอเมริกาใต้ และบริเวณลุ่มแม่น�้าคองโกในทวีปแอฟริกา ป่ามีความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตสูง ทั้งพันธุ์พืช สัตว์ป่า นก และแมลง 2) ป่าไม้ผลัดใบ บริเวณป่าไม้ผลัดใบเขตร้อนจะผลัดใบในฤดูแล้งและผลิใบใหม่ใน ฤดูฝน ส่วนบริเวณเขตอบอุ่นจะผลัดใบในฤดูใบไม้ร่วงและผลิใบใหม่ในฤดูใบไม้ผลิ มีปริมาณฝน เฉลี่ย 760 - 1,500 มม./ปี อุณหภูมิเฉลี่ย 15 - 30 องศาเซลเซียส ในเขตร้อนพบป่าเบญจพรรณ หรือป่าเต็งรัง ซึ่งเป็นป่าโปร่งที่มีต้นไม้ขึ้นกระจัดกระจายหลายชนิด ในเขตอบอุ่นพบมากในทวีปยุโรป ออสเตรเลีย และประเทศญี่ปุ่น พันธุ์ไม้ที่พบ เช่น โอ๊ก เชสต์นัต สัตว์ที่พบ เช่น สุนัขจิ้งจอก กวาง 3) ทุ่งหญ้าเขตอบอุ่น เป็นบริเวณที่มีทุ่งหญ้าปกคลุมทั่วไปในเขตละติจูด 10 - 30 องศาเหนือและใต้ ฝนตกเฉลี่ย 250 - 760 มม./ปี ฤดูร้อนอากาศร้อนมาก พบต้นไม้น้อยชนิด ส่วนใหญ่เป็นพืชตระกูลหญ้า สูงตั้งแต่ 50 - 200 ซม. ในทวีปอเมริกาเหนือ เรียกว่า ทุ่งหญ้าแพรรี ทวีปอเมริกาใต้ เรียกว่า ทุ่งหญ้าปัมปัส และทวีปเอเชียบริเวณแมนจูเรีย ตอนใต้ของไซบีเรีย ประเทศ รัสเซีย เรียกว่า ทุ่งหญ้าสเตปป์ มีธัญพืชต่าง ๆ และมีทุ่งหญ้าที่สมบูรณ์ 4) ทุ่งหญ้าเขตร้อน มีฝนตกเฉลี่ย 700 - 1,500 มม./ปี อุณหภูมิเฉลี่ย 20 - 30 องศาเซลเซียส มีฤดูแล้งยาวนาน พบเป็น บริเวณกว้างในทวีปแอฟริกา อเมริกาใต้ และ ทางเหนือของประเทศออสเตรเลีย มีต้นหญ้ายาว และมีไม้ต้น ไม้พุ่ม กระจัดกระจายหรือเป็นกลุ่ม ๆ บางแห่งมีลักษณะเป็นทุ่งหญ้าปนป่าโปร่ง ในทวีป แอฟริกา เรียกว่า ทุ่งหญ้าสะวันนา สัตว์ที่พบ เช่น สิงโต ม้าลาย ควายป่า ป่าฝนเขตร้อนเป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์และมีความ หลากหลายทางชีวภาพสูง ทุ่งหญ้าเขตร้อนหรือทุ่งหญ้าสะวันนาในทวีปแอฟริกา 61 ภาคใต้ของประเทศไทย ป่าเซลวาส (selvas) 1 ทวีปอเมริกาใต้ เรียกว่า ทุ่งหญ้าปัมปัส และทวีปเอเชียบริเวณแมนจูเรีย ตอนใต้ของไซบีเรีย ประเทศ รัสเซีย เรียกว่า ทุ่งหญ้าสเตปป์ มีธัญพืชต่าง ๆ 2 3 ขั้นสอน ขั้นที่ 2 การรวบรวมขอมูล 1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน สืบคน ขอมูลเกี่ยวกับระบบนิเวศของแตละพื้นที่ จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 หรือ จากแหลงการเรียนรูอื่นๆ เชน หนังสือใน หองสมุด เว็บไซตในอินเทอรเน็ต ประกอบ การใชเครื่องมือทางภูมิศาสตร ในประเด็น ตอไปนี้ • ปาฝนเขตรอน • เทือกเขาสูง • ปาไมผลัดใบ • ทะเลทราย • ทุงหญาเขตอบอุน • ปาสน • ทุงหญาเขตรอน • ทุนดรา • เมดิเตอรเรเนียน 2. ครูแนะนําแหลงขอมูลสารสนเทศที่นาเชื่อถือ ใหกับนักเรียนเพิ่มเติม นักเรียนควรรู 1 ปาเซลวาส ปาในเขตรอนชื้น ไมลําตนสูงใหญ ปกคลุมพื้นที่หนาแนน ในบริเวณลุมนํ้าแอมะซอน เปนแหลงปาไมเนื้อแข็งที่มีความอุดมสมบูรณและ กวางขวาง ปจจุบันถูกทําลายลงไปมาก เพื่อใชพื้นที่ทําการเกษตร 2 ทุงหญาปมปส ทุงหญาเขตอบอุน อยูบริเวณที่ราบตํ่าอุดมสมบูรณใน ทวีปอเมริกาใต ในเขตประเทศอารเจนตินา อุรุกวัย บราซิล มีหยาดนํ้าฟา 600-1,200 มิลลิเมตร กระจายเกือบเทากันตลอดทั้งป ทําใหดินเหมาะสมแก เกษตรกรรมและเลี้ยงสัตว 3 ทุงหญาสเตปป ทุงหญาที่มีหญาสูง 1-5.8 ฟุต ขึ้นในเขตภูมิอากาศแบบ ภาคพื้นทวีป ภูมิอากาศกึ่งแหงแลง อุณภูมิสูงสุดในฤูดูรอนอาจสูงถึง 40 ํ°C และ ตํ่าสุดในฤดูหนาวอาจลดลงถึง -40 ํC อุณหภูมิระหวางกลางวันและกลางคืน แตกตางกันมาก เชน ทางบริเวณที่สูงของมองโกเลีย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสงผลกระทบตอระบบชีวนิเวศ ของโลกอยางไร (แนวตอบ การที่อุณหภูมิโลกเปลี่ยนแปลงทําใหเกิดภาวะโลกรอน สงผลกระทบตอระบบชีวนิเวศ เชน ภัยธรรมชาติตางๆ มีแนวโนม วาจะเกิดบอยครั้งและรุนแรงมากยิ่งขึ้น เชน ภัยแลง ไฟปา พายุไตฝุน โซนรอน นํ้าทวม การพังทลายของชั้นดิน เกิดภาวะ คลื่นความรอน ทําลายพืชผลการเกษตร การลดลงของพืชอาหาร สัตวปาสูญพันธุ) นํา สอน สรุป ประเมิน T63


ขอสอบเนนการคิด ป่าแบบเมดิเตอร์เรเนียน พบไม้พุ่ม เปลือกหนา ใบเล็ก 5) เมดิเตอร์เรเนียน มีไม้พุ่มเตี้ยที่ทนอากาศแห้งแล้งในฤดูร้อนได้ ในฤดูหนาว มีอากาศอบอุ่น และได้รับความชื้นจากทะเล ปริมาณฝนฉลี่ย 650 มม./ปี พบโดยรอบทะเล เมดิเตอร์เรเนียน และทางตะวันตกเฉียงใต้ของ สหรัฐอเมริกา บริเวณทางตะวันตกเฉียงเหนือ ของเม็กซิโก เรียกว่า ป่าชาปาร์รัล พบไม้พุ่ม เปลือกหนา ใบเล็ก ผิวมัน เขียวชอุ่มตลอดปี เช่น โอ๊ก มะกอก ซีดาร์ สัตว์ที่พบ เช่น แพะป่า แกะป่า อาศัยอยู่ในป่าใกล้เชิงเขา นอกจากนี้ ยังพบ สัตว์เลื้อยคลานหลายชนิด เช่น งู เต่า เพราะมี แหล่งอาหารจ�าพวกแมลงมากในบริเวณนี้ 6) เทือกเขาสูง มีพื้นที่สูงกว่า 3,000 เมตร อุณหภูมิลดลงตามความสูงของ พื้นที่ มีอากาศเบาบางแต่มีลมแรง บางครั้งมีหิมะปกคลุม เทือกเขาที่ส�าคัญของโลก เช่น เทือกเขา หิมาลัยในทวีปเอเชีย เทือกเขาแอลป์ในทวีปยุโรป เทือกเขาร็อกกีในทวีปอเมริกาเหนือ เทือกเขา แอนดีสในทวีปอเมริกาใต้ สัตว์ที่พบ ได้แก่ สัตว์เท้ากีบสายพันธุ์ต่างๆ เช่น แพะภูเขา จามรี พบพืชระดับล่างเป็นส่วนใหญ่ เพราะทนกับสภาพอากาศหนาวเย็นได้ และพบไม้พุ่มขนาดเล็ก 7) ทะเลทราย มีปริมาณฝนน้อยมาก เฉลี่ยน้อยกว่า 250 มม./ปี กลางวันมีอุณหภูมิ เฉลี่ยสูงกว่า 35 องศาเซลเซียส ส่วนกลางคืนมีอากาศหนาวเย็น ทะเลทรายที่ส�าคัญ เช่น ทะเล ทรายสะฮาราในทวีปแอฟริกา ทะเลทรายอาหรับในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ทะเลทรายโกบีบริเวณ ประเทศจีนและมองโกเลีย พืชพรรณที่พบ เช่น พืชใบเล็ก รากแตกกระจาย ขึ้นห่าง ๆ กัน สัตว์ที่ พบต้องทนความแห้งแล้งได้ เช่น อูฐ จิ้งจอกทะเลทราย บางบริเวณเป็นพื้นที่โอเอซิส ที่มีน�้าใต้ดิน อยู่ตื้น จึงมีน�้าเพียงพอต่อการปลูกพืชบางชนิด เช่น ปาล์ม อินทผลัม 8) ป่าสน หรือไทกา เป็นป่าในแถบซีกโลกเหนือที่มีสภาพอากาศหนาวเย็น อุณหภูมิ เย็นจัดถึง -40 องศาเซลเซียส ปริมาณฝนเฉลี่ย 1,000 มม./ปีมีฤดูหนาวยาวนานและอากาศอบอุ่น ในช่วงเวลาสั้น ๆ พบมากในทวีปเอเชียบริเวณที่ราบไซบีเรีย ประเทศรัสเซีย ทวีปยุโรปตอนเหนือ ทวีปอเมริกาเหนือในประเทศแคนาดา พบพืชตระกูลสน สัตว์ที่พบมีขนหรือชั้นไขมันหนา เพื่ออยู่ ในสภาพอากาศเย็น เช่น กวางมูส กวางเรนเดียร์ 9) ทุนดรา เป็นทุ่งหิมะอยู่เหนือเส้นละติจูดที่ 60 องศาเหนือ ไปจนถึงบริเวณขั้วโลก มีอากาศหนาวเย็นตลอดปี อุณหภูมิเฉลี่ย -5 ถึง -40 องศาเซลเซียส ปริมาณฝนเฉลี่ย 250 มม./ปี พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยน�้าแข็ง ช่วงฤดูร้อนฝนตกน้อย ในฤดูหนาวมีช่วงเวลากลางคืนที่ยาวนาน พบสิ่งมีชีวิตไม่กี่ชนิด เช่น แมวน�้าลายพิณ หมีขั้วโลก หมาป่าหิมะ นกฮูกหิมะ กวางเรนเดียร์ กวางคาริบู พืชที่พบ เช่น ไลเคน มอสส์ หญ้าเซดจ์ 62 ๆ เช่น แพะภูเขา จามรี 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 3 การจัดการขอมูล 1. สมาชิกแตละคนในกลุมนําขอมูลที่ตนไดจาก การรวบรวม มาอธิบายแลกเปลี่ยนความรู ระหวางกัน 2. สมาชิกในกลุมชวยกันคัดเลือกขอมูลที่นําเสนอ เพื่อใหไดขอมูลที่ถูกตอง และรวมอภิปราย แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับระบบนิเวศของ แตละพื้นที่เพิ่มเติม ระบบนิเวศของแตละพื้นที่ขอใดมีความสัมพันธแตกตางจากขออื่น 1. ทะเลทราย-อูฐ 2. ปาสน-กวางมูส 3. ทุนดรา-หมีขั้วโลก 4. เทือกเขาสูง-แพะภูเขา จามรี 5. เมดิเตอรเรเนียน-แกะปา กวางเรนเดียร (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 5. บริเวณที่มีอากาศแบบเมดิเตอรเรเนียน พบแกะปา แพะปา อาศัยอยูในปาใกลเชิงเขา สวนกวางเรนเดียร เปนสัตวที่พบในเขตปาสนและทุนดรา) เกร็ดแนะครู ครูควรนําคลิปสารคดีสิ่งมีชีวิตและสัตวของระบบนิเวศในแตละพื้นที่ เชน สารคดีหมีขั้วโลก มาใหนักเรียนชมแลววิเคราะหการดําเนินชีวิตในสภาพ ภูมิประเทศ และภูมิอากาศดังกลาว นักเรียนควรรู 1 จามรี ลักษณะรูปรางคลายวัวกระทิง แตมีขนยาวดกหนาเปนเสนละเอียด ปกคลุมทั่วลําตัว มีหางเปนพูยาวคลายกับหางมา เขายาวโคง อาศัยอยูในเขต หนาวเย็นตั้งแตเทือกเขาหิมาลัยถึงที่ราบสูงทิเบต เนื้อและนมนํามาเปนอาหาร ขนทําเปนเครื่องนุงหม มูลใชทําปุย นํา สอน สรุป ประเมิน T64


พื้นที่ B พื้นที่ A กระต่าย หนู นก กระต่าย หนู กระต่าย นก นก กระต่าย แมว หนู หมา ไก่ หนู กระต่าย นก หนู หมา 4.2 ความหลากหลายทางชีวภาพ (biological diversity) ความหลากหลายทางชีวภาค คือ การมีชนิดพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดมาอยู่ร่วมกัน ณ สถานที่หนึ่ง หรือระบบนิเวศใดนิเวศหนึ่ง ซึ่งมีมากมายและแตกต่างกันทั่วโลก ความหลากหลาย ทางชีวภาพเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการของทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม โดยการ เปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตนี้เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ อาศัยระยะเวลาที่ ยาวนานจึงเห็นผลของการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนได้ 1) ความหลากหลายในชนิดของสิ่งมีชีวิต ชนิดของสิ่งมีชีวิต (species) คือ กลุ่ม ของสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะของโครโมโซมใกล้เคียงกัน สามารถผสมพันธุ์กันแล้วให้ก�าเนิดลูกได้ แต่ สิ่งมีชีวิตต่างสปีชีส์กันไม่สามารถผสมพันธุ์และให้ก�าเนิดลูกได้ หรือถ้าให้ก�าเนิดลูกได้ก็จะเป็นหมัน ระบบนิเวศในธรรมชาติแต่ละแห่งประกอบด้วยสิ่งมีชีวิตต่างๆ มากมายอาศัยอยู่ร่วมกัน และมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน โดยสามารถพิจารณาความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ได้ 2 ลักษณะ คือ 1.1) จ�านวนชนิดของสิ่งมีชีวิต ในพื้นที่ หมายถึง จ�านวนชนิดของสิ่งมีชีวิตที่ อาศัยอยู่ต่อหน่วยพื้นที่ สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดอาจ มีจ�านวนที่แตกต่างกันได้ 1.2) สัดส่วนของสิ่งมีชีวิตใน พื้นที่ หมายถึง สัดส่วนของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด ที่พบและเป็นตัวแทนในระบบนิเวศ เป็นดัชนี ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ บ่งบอกถึงคุณภาพของสภาพแวดล้อมที่มีความ แตกต่างกันไปตามกลไกของการเกิดระบบนิเวศ ในบางระบบนิเวศมีสัดส่วนของสิ่งมีชีวิตที่ไม่สมดุล และมีความแตกต่างกันมาก เช่น ในป่ามีสัตว์นักล่าจ�านวนมากส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตที่ถูกล่า และเมื่อสิ่งมีชีวิตที่ถูกล่ามีจ�านวนน้อยลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อจ�านวนสิ่งมีชีวิตที่เป็นผู้ล่า ผลที่เกิดขึ้น ในช่วงเวลาที่มีความไม่สมดุลของสิ่งมีชีวิตนี้ เรียกว่า สัดส่วนไม่สมดุลของสิ่งมีชีวิต ระบบนิเวศที่ มีสัดส่วนไม่สมดุลมีความพร้อมหรือความไวที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อเข้าสู่ระบบนิเวศสมดุล หรือระบบนิเวศที่มีความยั่งยืนต่อไปได้ การเพิ่มขึ้นหรือลดลงของจ�านวนและชนิดของสิ่งมีชีวิตขึ้นอยู่กับการแก่งแย่ง แข่งขันกันในการใช้ทรัพยากรชนิดเดียวกัน เช่น อาหาร ที่อยู่อาศัย หรือคู่สืบพันธุ์ ซึ่งผลของ การแก่งแย่งกันอาจท�าให้สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอกว่าต้องตายหรือต้องอพยพย้ายถิ่นออกไปจากระบบ นิเวศนั้น พื้นที่ B มีจ�านวนชนิดหลากหลายมากกว่าพื้นที่ A 63 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 1. สมาชิกแตละกลุมนําขอมูลที่ไดจากการศึกษา มาทําการวิเคราะห และรวมกันตรวจสอบ ความถูกตองของขอมูล ครูชวยชี้แนะเพิ่มเติม 2. ครูใหนักเรียนกลุมเดิมนําขอมูลของตนเอง ที่เกี่ยวกับชีวนิเวศของแตละพื้นที่ที่กลุมตน รับผิดชอบมาเชื่อมโยงกับความหลากหลาย ทางชีวภาพ จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 หรือจากเว็บไซตในอินเทอรเน็ต ประกอบ การนําเสนอเพิ่มเติมตามประเด็น ดังนี้ • ความหลากหลายในชนิดของสิ่งมีชีวิต • ความหลากหลายทางชีวนิเวศวิทยา เกร็ดแนะครู ครูเปดคลิปสารคดีพื้นที่ตางๆ ของโลก เชน สัตวปาแอมะซอนใน ทวีปอเมริกาใต ปาบอรเนียวในประเทศอินโดนีเซีย ใหนักเรียนวิเคราะหความ หลากหลายของพืชพรรณธรรมชาติ และสัตวปา ใหนักเรียนจับคูเลือกศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพของ ปาไมในประเทศไทย 1 แหง และของโลก 1 แหง วิเคราะหในประเด็น ดังนี้ • ลักษณะของปา • ความอุดมสมบูรณของพืชพรรณธรรมชาติ • ความอุดมสมบูรณของสัตวปา • สถานการณปจจุบันและแนวโนมการลดลงของความ หลากหลายทางชีวนิเวศ สรุปสาระสําคัญเปนแผนผังความคิด ตกแตงใหสวยงาม นําเสนอในชั้นเรียน นํา สอน สรุป ประเมิน T65


ขอสอบเนนการคิด 2) ความหลากหลายทางชีวนิเวศวิทยา โลกประกอบด้วยระบบนิเวศแบบต่าง ๆ มากมาย กลุ่มสิ่งมีชีวิตและสภาพแวดล้อมมีความสัมพันธ์และมีอิทธิพลต่อกัน ท�าให้สิ่งมีชีวิตต้อง มีการปรับตัวทั้งทางกายภาพและทางชีวภาพ เพื่อให้สามารถด�ารงชีวิตอยู่ในระบบนิเวศนั้นได้อย่าง เหมาะสม ลักษณะความหลากหลายทางชีวนิเวศวิทยาสามารถจ�าแนกได้ ดังนี้ 2.1) ความหลากหลายของถิ่นที่อยู่ คือ ความแตกต่างของถิ่นก�าเนิดที่เกิดขึ้นเอง ตามธรรมชาติ เช่น ในพื้นที่ภาคใต้ของไทย มีทั้งทิวเขา ที่ราบชายฝั่งทะเล เกาะแก่งต่าง ๆ ท�าให้ เกิดถิ่นก�าเนิดตามธรรมชาติหลายรูปแบบ เช่น ล�าธาร ป่าชายเลน แนวปะการัง ถ�้า ซึ่งในถิ่น ก�าเนิดลักษณะต่าง ๆ มีสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกันไป เช่น ปลา สัตว์สะเทินน�้าสะเทินบกในล�าธาร ปู ปลา ลิง ในป่าชายเลน กุ้ง หอย ปู ปลา ตามแนวปะการัง หรือค้างคาวในถ�้าลึก พื้นที่ใดมีความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งน�้าและอาหารมาก ย่อมเป็นพื้นที่ที่มีความ หลากหลายของสิ่งมีชีวิตมากกว่าพื้นที่ที่ไม่มีแหล่งน�้าและอาหาร เช่น ในป่าดิบชื้น เป็นป่าใน เขตร้อนมีพืชขึ้นหลายชนิดและมีความชุ่มชื้นสูง พบความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตมากกว่าป่าสน ซึ่งเป็นป่าในเขตหนาวที่มีความชื้นต�่าและมีพืชหลัก คือ ต้นสน เท่านั้น ถิ่นก�าเนิดลักษณะต่างๆ มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่แตกต่างกันไปและจะปรับตัวให้เข้ากับ ลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ เพื่อให้สามารถด�ารงชีวิตอยู่ได้ เช่น • ปลาตีน อาศัยอยู่บริเวณป่าชายเลน ซึ่งเป็นบริเวณที่มีน�้าขึ้นน�้าลง ปลาตีนจึงมี การปรับตัวให้อาศัยอยู่ได้ที่เวลาน�้าขึ้นและน�้าลง โดยมีผิวหนังและเหงือกเพื่อเก็บความชุ่มชื้น และ มีกล้ามเนื้อบริเวณครีบที่แข็งแรงเพื่อใช้ในการเคลื่อนที่บนพื้นโคลนคล้ายลักษณะการเดิน เพื่อ หากินในช่วงเวลาน�้าลด • อูฐ อาศัยอยู่ตามภูมิประเทศแบบทะเลทราย จึงมีขนตายาวและเปลือกตา ปิดสนิทเมื่อหลับตาเพื่อป้องกันทราย โหนกของอูฐเป็นที่เก็บไขมันเพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงานและ ระบายความร้อน อูฐสามารถทนทานต่อการสูญเสียน�้าในร่างกายได้ดี เนื่องจากมีไตที่ยาวกว่าสัตว์ ชนิดอื่น นอกจากนี้ ปากอูฐยังมีความหนา จึงสามารถกินต้นกระบองเพชรได้ ปลาตีนเป็นปลาขนาดเล็ก อาศัยอยู่ตามดินโคลนแถบ ป่าชายเลน อูฐเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แห้งแล้งแบบทะเลทราย สามารถอดอาหารและน�้าได้นานถึง 10 - 20 วัน 64 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 3. ครูใหนักเรียนแตละกลุมนําเสนอขอมูล จากนั้น วิเคราะหในเรื่องราวที่นําเสนอ และอภิปราย เสนอแนะขอคิดเห็นรวมกัน ประกอบการใช คําถาม เชน • สัตวปาในแตละบริเวณของโลก มีความ สําคัญอยางไร (แนวตอบ สัตวปาในแตละบริเวณของโลก ลวนมีความสําคัญตอความสมดุลของระบบ นิเวศ ทั้งในดานการควบคุมจํานวนซึ่งกัน และกันจากหวงโซอาหาร ดานการแพรพันธุ ของพืช ดานการอาศัยซึ่งกันและกันใน ลักษณะคลายกาฝาก และลักษณะอื่นๆ รวมถึงการเปนอาหาร แรงงาน และสัตวเลี้ยง ของมนุษยมาตั้งแตโบราณ) 4. นักเรียนกลุมเดิมรวมกันทําใบงานที่ 2.4 เรื่อง ระบบชีวนิเวศ โดยครูแนะนําเพิ่มเติม เกร็ดแนะครู ครูยกตัวอยางความหลากหลายของระบบชีวนิเวศของผืนปาในประเทศไทย เชน ปาทุงใหญนเรศวร เปนผืนปาที่ยังคงความอุดมสมบูรณมากที่สุดของไทย มีความหลากหลายของพันธุพืชและพันธุสัตว ตลอดจนแมลงปาอีกหลายชนิด เปนบานของสัตวเลี้ยงลูกดวยนมขนาดใหญ มีนกและสัตวทองถิ่นจํานวนมาก ผืนปามีทั้งทุงหญา ปาเบญจพรรณ ปาเต็งรัง ปาดิบชื้น และปาดิบเขา ครูตั้งประเด็นอภิปราย เชน • ทุงใหญนเรศวรมีความสําคัญตอประเทศไทยอยางไร • สถานการณปจจุบันเปนอยางไร • ทําอยางไรจะคงความอุดมสมบูรณและความหลากหลายทางชีวนิเวศ ไดตลอดไป เพราะเหตุใดปาดิบชื้นจึงเปนปาที่มีพืชขึ้นหลายชนิด 1. มีความชุมชื้นสูง 2. มีความชุมชื้นตํ่า 3. เปนปาในเขตหนาว 4. มีแหลงนํ้าและอาหารมาก 5. เปนปาในเขตอบอุนมีความชื้นสูง (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1.ปาดิบชื้นเปนปาในเขตรอน มีความชื้นสูง ทําใหพืชพรรณอุดมสมบูรณและหลากหลาย เปน แหลงอาหารที่สมบูรณของสัตวปา) นํา สอน สรุป ประเมิน T66


แพะภูเขาอาศัยอยู่ตามเทือกเขาสูงแถบทวีปอเมริกาเหนือ และทวีปยุโรป เหตุการณ์สึนามิพัดถล่มเกาะซีเมอลูเอ (Simeulue) ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อ พ.ศ. 2547 ท�าให้ป่าชายเลนและแนวปะการัง ถูกท�าลาย เกิดปะการังและความหลากหลายของถิ่นก�าเนิดใหม่ขึ้นแทน นอกจากนี้ ภูมิประเทศที่มีลักษณะ เฉพาะตัวสูง เช่น หมู่เกาะ มีขนาดเล็กกว่าท�าให้ มีความหลากหลายทางชีวภาพน้อยกว่าแผ่นดิน ใหญ่ แต่มีแนวโน้มที่จะพบสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่น มากกว่า เช่น มังกรโคโมโด ในประเทศอินโดนีเซีย อิกัวนาทะเล บนหมู่เกาะกาลาปาโกส ประเทศ เอกวาดอร์ นกกีวี ในประเทศนิวซีแลนด์ ตุ่นปาก เป็ด ในทวีปออสเตรเลีย 2.2) ความหลากหลายของการ แทนที่ คือ การเปลี่ยนแปลงทางความหลาก หลายที่เกิดจากระบบนิเวศเดิมถูกท�าลายลงด้วย วิธีการต่าง ๆ เช่น การเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ไฟป่า น�้าท่วม แผ่นดินไหว หรือการบุกรุก โดยมนุษย์เพื่อแผ้วถางป่า ท�าเกษตรกรรม เมื่อระบบนิเวศหนึ่งถูกท�าลายจะท�าให้เกิดเป็นพื้นที่ว่าง และหากปล่อยพื้นที่ว่างนี้ทิ้งไว้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงแทนที่โดยสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ ท�าให้เกิดเป็น ระบบนิเวศใหม่ ซึ่งสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่เข้ามาอาศัยอยู่ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปจนกลายเป็นระบบนิเวศ ที่สมดุลเช่นเดิมได้ หรือเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพบริเวณชายฝั่ง เช่น เกิดสึนามิซัด ชายฝั่งทะเล พื้นที่ป่าชายเลนเสียหายบางส่วน ท�าให้ความหลากหลายของถิ่นก�าเนิดเดิมถูก ท�าลายลง • แพะภูเขา อาศัยอยู่ตามเทือกเขาสูง มีกีบเท้าที่ใหญ่และกล้ามเนื้อที่แข็งแรง ท�าให้สามารถยึดเกาะกับหน้าผาที่สูงและชันมากได้เป็นอย่างดี 65 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 1. นักเรียนในชั้นเรียนรวมกันสรุปเกี่ยวกับการใช เครื่องมือทางภูมิศาสตร และเครื่องมือดาน เทคโนโลยีในการสืบคนชีวนิเวศ 2. ครูใหสมาชิกในแตละกลุมชวยกันสรุปสาระ สําคัญเพื่อตอบคําถามเชิงภูมิศาสตร 3. ใหนักเรียนทําแบบฝกสมรรถนะฯ ภูมิศาสตร ม.4-6 เรื่อง ชีวภาค เพื่อทดสอบความรูที่ได ศึกษามา เฉลย และอภิปรายสรุปรวมกัน ขั้นสรุป ครูและนักเรียนรวมกันสรุปความรูเกี่ยวกับ ชีวนิเวศ ตลอดจนความสําคัญที่มีอิทธิพลตอ การดําเนินชีวิตของประชากร หรือใช PPT สรุปสาระสําคัญของเนื้อหา ขั้นประเมิน 1. ครูประเมินผลโดยสังเกตจากการตอบคําถาม การรวมกันทํางาน และการนําเสนอผลงาน หนาชั้นเรียน 2. ครูตรวจสอบผลจากการทําใบงาน และแบบฝก สมรรถนะฯ ภูมิศาสตร ม.4-6 แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถวัดและประเมินความเขาใจเนื้อหา เรื่อง ชีวภาค ไดจาก การตอบคําถาม การรวมกันทํางาน และการนําเสนอผลงานหนาชั้นเรียน โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินการนําเสนอผลงานที่ แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรูหนวยที่ 2 เรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ของโลก ใหนักเรียนจับสลากเลือกปรากฏการณทางธรรมชาติ เชน ไฟปา นํ้าทวม แผนดินไหว จากพื้นที่บริเวณชุมชนของนักเรียน แลวใหวิเคราะหระบบนิเวศในพื้นที่ดังกลาว วามีการเปลี่ยนแปลง ทางความหลากหลายของการแทนที่อยางไร แบบประเมินการน าเสนอผลงาน ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินผลการน าเสนอผลงานของนักเรียนตามรายการ แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/................./................ เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 12 - 15 ดี 8 - 11 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง ล าดับที่ รายการประเมินระดับคะแนน 3 2 1 1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 การล าดับขั้นตอนของเรื่อง 3 วิธีการน าเสนอผลงานอย่างสร้างสรรค์ 4 การใช้เทคโนโลยีในการน าเสนอ 5 การมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม รวม นํา สอน สรุป ประเมิน T67


5 การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่ส่งผลต่อ ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และทรัพยากรธรรมชาติ เปลือกโลกประกอบด้วย ธรณีภาค บรรยากาศภาค อุทกภาค และชีวภาค ต่างมีปฏิสัมพันธ์ ซึ่งกันและกัน การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพส่งผลให้ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และทรัพยากรธรรมชาติ ในแต่ละพื้นที่บนโลกแตกต่างกัน 5.1 การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่ส่งผลต่อภูมิประเทศ ภูมิประเทศที่เกิดจากการปรับระดับพื้นผิวโลกจากตัวกระท�า ได้แก่ ธารน�้าไหล ธารน�้าแข็ง ลม น�้าใต้ดิน คลื่น และกระแสน�้าชายฝั่ง ท�าให้หินที่แตกหักหรือผุพังอยู่กับที่เกิดการกร่อน การพัดพา และการทับถม ดังนี้ 1) ภูมิประเทศที่เกิดจากการกระท�าของน�้าและแม่น�้า ตะกอนที่เกิดจากการผุพัง อยู่กับที่และการกร่อนจะถูกธารน�้าไหลพัดพาไปทับถมบนพื้นที่ต่างๆ ส่งผลให้เกิดภูมิประเทศได้ หลายลักษณะ ดังนี้ 1.1) ภูมิประเทศจากการกร่อนโดยน�้าและแม่น�้า เป็นการกระท�าของแม่น�้าบริเวณ ท้องน�้าและตลิ่งทั้งสองฝั่งของแม่น�้า ด้วยการครูด การกระแทกเสียดสี แรงกระท�าทางชลศาสตร์ และการละลาย ลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกร่อนของแม่น�้า เช่น • ร่องธาร(gully) เป็นร่องลึกบนที่ลาดพื้นดินที่เกิดจากการกัดเซาะของน�้าฝน ที่ไหลรวมตัวกันอยู่เป็นธารน�้า มีความลึกและความกว้างเป็นเมตร หากมีขนาดเล็กจะเรียกว่า ริ้วธาร (rill) • แก่ง (rapids) เป็นส่วนหนึ่งของทางไหลของแม่น�้าที่มีหินโผล่ หรือมีหิน มนใหญ่ขวางทางน�้า ท�าให้ทางน�้าแคบและระดับของท้องน�้าเปลี่ยนแปลง ด้านเหนือแก่งมีน�้าสะสม มาก แต่เมื่อไหลลงสู่ที่ต�่ากว่ากระแสน�้าไหลเชี่ยวและมีความเร็วสูงขึ้น • น�้าตก (waterfall) เป็นสายน�้าของล�าธารที่ไหลตกลงตั้งฉากหรือชันมาก ณ ที่ซึ่งน�้าไหลผ่านชั้นหินโผล่ที่มีความทนทานมาก และอยู่บนชั้นหินที่มีความทนทานน้อยที่ถูก กร่อนออกไป หรือน�้าที่ไหลตกจากขอบที่ราบสูง หรือหน้าผาชายฝั่งทะเล • โกรกธาร (gorge) เป็นหุบเขาลึกและแคบมากมีหน้าผาชัน 2 ข้าง มักมี ธารน�้าอยู่เบื้องล่าง Geo Tip กุมภลักษณ์ เกิดขึ้นเพราะน�้าในธารพัดเอากรวดทรายมาหมุนวนอยู่ในแอ่งเล็กๆ บนหน้าหิน กรวดทรายจะเป็นตัวการครูดถู ขัดสี ท�าให้แอ่งลึกลงและกว้างมากขึ้น นานปีเข้ากรวดเก่าหมดไปกรวด ใหม่เข้ามาแทนที่และหมุนกลิ้งอยู่ตอนล่างของแอ่ง ท�าให้แอ่งเดิมโตขึ้นและลึกเว้าจนเป็นรูปคล้ายหม้อ 66 กิจกรรม ทาทาย ขั้นนํา (Geographic Inquiry Process) 1. ครูแจงชื่อเรื่อง จุดประสงค และผลการเรียนรู 2. ครูใหนักเรียนดูภาพตัวอยางการเปลี่ยนแปลง ทางกายภาพที่สงผลตอภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และทรัพยากรธรรมชาติ เชน ถํ้า หาดทราย พื้นที่แหงแลง นํ้าเนาเสีย ธารนํ้าแข็ง คราบ นํ้ามันในแหลงนํ้า จากนั้นสุมนักเรียนเพื่อ ตอบคําถามวาแตละภาพเปนการเปลี่ยนแปลง ในลักษณะใด และมีสาเหตุมาจากสิ่งใด 3. ครูใหนักเรียนศึกษา Geo Tip เกี่ยวกับ กุมภลักษณ จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 เชื่อมโยงกับภาพตัวอยางการเปลี่ยนแปลงทาง กายภาพที่สงผลตอภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และ ทรัพยากรธรรมชาติ และแสดงความคิดเห็น รวมกัน เกร็ดแนะครู ครูยกตัวอยางลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกระทําของนํ้า พรอมให นักเรียนใชสมารตโฟนสืบคนหาภาพประกอบ เชน แกงตะนะ ในอุทยานแหง ชาติแกงตะนะ จังหวัดอุบลราชธานี เปนโขดหินทรายขนาดนอยใหญ สีนิลดํา ที่โผลขึ้นมาเปนเกาะกลางลํานํ้ามูล และมีโบก หลุม ซอก หลืบ ที่เกิดจากกระแสนํ้า อันเชี่ยวกรากของลํานํ้ามูลไหลกัดเซาะลงไปตามรองหิน กระจายใหเห็นอยู เต็มพื้นที่ นักเรียนสืบคนขอมูลลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกระทํา ของนํ้าที่เปนที่รูจักและเปนสถานที่ทองเที่ยวสําคัญของโลก 1 แหง สรุปสาระสําคัญในประเด็น เชน ลักษณะการเกิด ความสําคัญ ในปจจุบัน พรอมภาพประกอบ กิจกรรม สรางเสริม นักเรียนสืบคนขอมูลลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกระทํา ของนํ้าที่เปนที่รูจักและเปนสถานที่ทองเที่ยวสําคัญของไทย 1 แหง สรุปสาระสําคัญในประเด็น เชน ลักษณะการเกิด ความสําคัญ ในปจจุบัน พรอมภาพประกอบ นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T68


ขอสอบเนน การคิด 1.2) ภูมิประเทศจากการทับถมโดยน�้าและแม่น�้า การทับถมของตะกอนเกิด ขึ้นเมื่อกระแสน�้าลดความเร็ว วัตถุหรือตะกอนต่าง ๆ ที่มีขนาดหนักเกินกว่าความเร็วของกระแส น�้าจะพัดพาไปได้จึงตกทับถมกัน บริเวณต้นน�้าตะกอนขนาดใหญ่เริ่มตกทับถมก่อนและเมื่อ ความเร็วของกระแสน�้าลดลงเรื่อย ๆ ตะกอนขนาดเล็กจะเริ่มตกทับภายหลัง ตะกอนที่กระแสน�้า พัดมาทับถมกัน ณ บริเวณใดบริเวณหนึ่ง เรียกว่า “ตะกอนน�้าพา” (alluvium) ลักษณะภูมิประเทศ ที่เกิดจากการทับถม เช่น • ที่ราบน�้าท่วมถึง (floodplain) เป็นที่ราบสองฝั่งแม่น�้ามักถูกน�้าท่วมในช่วง ฤดูฝน เมื่อน�้าลดจะทิ้งตะกอนเล็กละเอียดทับถมท�าให้พื้นที่นั้นอุดมสมบูรณ์ ลักษณะภูมิประเทศที่ พบบนที่ราบน�้าท่วมถึง คือ แม่น�้าสายใหญ่และสาขา ถ้าเป็นที่ราบกว้างแม่น�้าจะไหลคดเคี้ยวและ เปลี่ยนทางเดินทิ้งส่วนที่โค้งตวัดไว้เป็นทะเลสาบรูปแอกวัว (oxbow) • คันดินธรรมชาติ (levee) เกิดขึ้นเพราะแม่น�้าล�าธารพาตะกอนค่อนข้าง หยาบมาทับถมริมฝั่งในระหว่างหน้าน�้าหลาก เมื่อน�้าลดตะกอนที่ทับถมกันนั้นจะมีลักษณะเป็น คันดินยาวขนานไปริมฝั่งน�้า ภาพจ�าลองแสดงการไหลของน�้าที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศ ที่มา : http://clarkscience8.weebly.com/weathering-erosion-deposition.html หาด ดินดอนสามเหลี่ยม ทะเลสาบรูปแอก ที่ราบน�้าท่วมถึง น�้าตกและแก่ง หุบเขารูปตัววี ทางน�้าโค้งตวัด ล�าน�้าสาขา 67 1 ขั้นนํา 4. ครูใหนักเรียนแบงกลุม ใชสมารตโฟนสืบคน ภาพลักษณะภูมิประเทศแตละประเภทที่เกิด จากการกระทําของธารนํ้าไหล จากภาพจําลอง แสดงการไหลของนํ้าที่สงผลตอการเปลี่ยนแปลง ภูมิประเทศ ในหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 ดังนี้ • นํ้าตกและแกง • ทางนํ้าโคงตวัด • หุบเขารูปตัววี • ลํานํ้าสาขา • ที่ราบนํ้าทวมถึง • ทะเลสาบรูปแอก • หาด • ดินดอนสามเหลี่ยม นักเรียนควรรู 1 หุบเขารูปตัววี หรือโกรกธาร (gorge) เกิดจากการกัดเซาะอยางรวดเร็ว ของรองนํ้าบริเวณหุบผาชันที่ลึกและแคบ ลักษณะคลายรูปตัววี มักเกิดในกรณี ที่ธารนํ้าเดิมที่มีอยูกอน ตอมาเกิดการยกตัวของแผนดิน ธารนํ้าจะยังคงรักษา แนวรองนํ้าเดิมไวได เนื่องจากมีพลังแรงในการกัดเซาะแผนดินที่ยกตัวสูงขึ้น ไดอยางรวดเร็วและรุนแรง เชน โกรกธารที่อุทยานแหงชาติออบหลวง จังหวัด เชียงใหม ลักษณะภูมิประเทศที่ราบนํ้าทวมถึงเหมาะในการใชประโยชน อยางไร (แนวตอบ ที่ราบนํ้าทวมถึง เกิดจากการทับถมของตะกอน ลํานํ้าใหญในฤดูนํ้าหลากทําใหเกิดมีสภาพเปนที่ราบชันเล็กนอย ใกลกับแมนํ้ามีความลาดเท เหมาะในการเพาะปลูก) นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T69


ดินดอนสามเหลี่ยมรูปเขี้ยว ปากแม่น�้าเอโบร สเปน ปากแม่น�้ามิสซิสซิปป สหรัฐอเมริกา ดินดอนสามเหลี่ยมรูปตีนนก ลักษณะดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น�้า • ดินดอนสามเหลี่ยม (delta) คือ ดินดอนบริเวณปากแม่น�้า เกิดขึ้นเพราะ การที่แม่น�้าและสาขาใหญ่น้อยที่กระจายออกใกล้ปากแม่น�้าพาตะกอนเล็กละเอียดมาทับถมอยู่ ตลอดเวลา ท�าให้พื้นท้องน�้ามีระดับเพิ่มสูงขึ้น น�้าไหลช้าลง เมื่อการตกตะกอนสูงมากขึ้นจนพ้น ระดับน�้ากลายเป็นพื้นแผ่นดินแผ่กระจายออกตรงปากน�้า หุบเขา ที่ราบตะกอนน�้าพา กุด ลานตะพักน�้า แแหล่งตะกอนน�้าพารูปพัด • เนินตะกอนรูปพัด (alluvial fan) เป็นเนินตะกอนที่เกิดจากการสะสมตัว ของตะกอน ในบริเวณที่มีการเปลี่ยนระดับทางน�้าจากหุบเขาชันลงสู่ที่ราบ ซึ่งจะท�าให้ความเร็วของ กระแสน�้าลดลงจนไม่สามารถน�าพาตะกอนบางส่วนต่อไปได้ ตะกอนดังกล่าวจึงตกสะสมในลักษณะ ที่แยกกระจายออกไปเป็นรูปพัด 68 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร 1. ครูนํารูปถายทางอากาศหรือภาพจากดาวเทียม ที่เกี่ยวของกับการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ที่สงผลตอภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และ ทรัพยากรธรรมชาติ มาใหนักเรียนดู จากนั้น ใหนักเรียนลองบอกสิ่งที่เห็นจากสายตาและ เปรียบเทียบกับภาพที่นักเรียนสืบคนมา 2. ครูตั้งคําถาม เชน • ปจจัยใดบางที่กอใหเกิดภูมิประเทศ แบบเนินตะกอนรูปพัด (แนวตอบ เชน กระแสนํ้า กระแสลม ตะกอนดิน ลักษณะภูมิประเทศ ฯลฯ) • ดินดอนสามเหลี่ยมที่สําคัญของไทยและ ของโลก ไดแกพื้นที่บริเวณใด (แนวตอบ ในประเทศไทย เชน บริเวณแมนํ้า ตาป จังหวัดสุราษฎรธานี บริเวณอื่นๆ ของ โลก เชน บริเวณแมนํ้าโขง ประเทศเวียดนาม บริเวณปากแมนํ้าอิรวดี ประเทศเมียนมา บริเวณปากแมนํ้าไนล ประเทศอียิปต ฯลฯ) เกร็ดแนะครู ครูยกตัวอยางลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการพัดพาและทับถมโดยนํ้า และแมนํ้า เชน ดินดอนสามเหลี่ยมปากแมนํ้าเจาพระยา ในภาคกลางของไทย ที่เปนแหลงปลูกขาวที่สําคัญของประเทศ ดินดอนสามเหลี่ยมปากแมนํ้าโขง โดยใหนักเรียนใชสมารตโฟนสืบคนภาพประกอบ และใช Google Earth สืบคน ตําแหนงและภาพประกอบ รวมกันอภิปรายถึงความสําคัญในทางเศรษฐกิจ และขอระมัดระวัง เชน เกิดปญหานํ้าทวม นักเรียนใช Google Earth สืบคนลักษณะภูมิประเทศที่เกิด จากการกระทําของนํ้า แมนํ้าที่สําคัญของโลก วิเคราะหลักษณะ การเกิด ความสําคัญทางเศรษฐกิจ เชน ดินดอนสามเหลี่ยม ปากแมนํ้าคงคา ดินดอนสามเหลี่ยมปากแมนํ้าไนล นํา สอน สรุป ประเมิน T70


2) ภูมิประเทศที่เกิดจากการกระท�าของธารน�้าแข็ง ธารน�้าแข็งเกิดจากการสะสม ของหิมะจนเป็นชั้นหนาและอัดแข็ง ซึ่งจะไหลไปตามความลาดชันของหุบเขา ท�าให้เกิดการกร่อน บนพื้นที่ภูเขากลายเป็นเศษตะกอนถูกพัดพาโดยธารน�้าแข็ง และตกตะกอนทับถมเมื่อน�้าแข็งละลาย ตะกอนที่ทับถมจากธารน�้าแข็งมีหลายขนาดปะปนกัน ท�าให้เกิดภูมิประเทศต่าง ๆ ดังนี้ 2.1) ภูมิประเทศที่เกิดจากการกร่อนโดยธารน�้าแข็ง การที่หินกร่อนเนื่องจากการ เคลื่อนตัวของธารน�้าแข็ง ท�าให้เกิดการบด การขูด การกระแทก การเซาะ การขุดลึก การขีดข่วน การขัดสีกับหินระหว่างที่ธารน�้าแข็งเคลื่อนผ่านไป และรวมถึงการกร่อนโดยธารน�้าที่เกิดจากการ ละลายของธารน�้าแข็งอีกด้วย ลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกร่อนของธารน�้าแข็ง เช่น • เซิร์ก (cirque) เป็นลักษณะภูมิประเทศบนไหล่เขาชันที่เป็นรูปอัฒจันทร์โค้ง • อาแร็ต (arete) เป็นสันเขาแคบ ๆ มีลักษณะหยักแหลมคล้ายฟันเลื่อย • หุบเขาลอย (hanging valley) เป็นหุบเขาสาขาที่อยู่สูงต่างระดับกับหุบเขา ใหญ่ ซึ่งตอนที่เชื่อมต่อกับหุบเขาใหญ่เป็นที่ตั้งชันมาก ถ้ามีธารน�้าไหลผ่านหุบเขาสาขามาสู่หุบเขา ใหญ่ จะเกิดโกรกธารหรือน�้าตกขึ้น หุบเขาลอยมักพบอยู่บริเวณที่เคยมีธารน�้าแข็งปกคลุมมาก่อน • ยอดเขารูปพีระมิด (horn) เป็นยอดเขาที่มีสันสูงชันหลายด้านคล้ายพีระมิด ส่วนมากเกิดจากน�้าหนักของน�้าแข็งจ�านวนมากที่ไหลจากภูเขาขูดครูดกัดลาดเขาให้เกิดเป็น แอ่งลึก เหลือบริเวณตรงกลางสันเขาโดยรอบสูงชัน ^ ตะกอนธารน�้าแข็งกลางล�าธาร สันเขา ตะกอนธารน�้าแข็ง ธารน�้า หุบเขาถูกครูดถู หุบเขารูปตัวยู อาแร็ต หุบเขาลอย จมูกเขาปลายตัด เหวน�้าแข็ง เซิร์ก ยอดเขารูปพีระมิด หินฐาน หินฐาน มวลธารน�้าแข็งขนาดใหญ่ ภูมิประเทศที่เกิดจากการกร่อนโดยธารน�้าแข็ง 69 2) ภูมิประเทศที่เกิดจากการกระท�าของธารน�้าแข็ง ธารน�้าแข็งเกิดจากการสะสม 1 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร • ปจจัยใดบางที่กอใหเกิดความแตกตางของ ภูมิประเทศที่เกิดจากการกรอนโดยธาร นํ้าแข็ง (แนวตอบ เชน กระแสนํ้า กระแสลม อุณหภูมิ ความรอน ภูมิอากาศ ลักษณะภูมิประเทศ ฯลฯ) • ภูมิประเทศที่เกิดจากการกรอนโดยธารนํ้าแข็ง แตละประเภท มีสิ่งใดบางที่แตกตางกัน (แนวตอบ เชน สาเหตุการเกิด ลักษณะ ภูมิประเทศ ฯลฯ) นักเรียนควรรู 1 ธารนํ้าแข็ง (glacier) มี 2 ประเภท ไดแก ธารนํ้าแข็งหุบเขา เปนธารนํ้าแข็ง บนภูเขาซึ่งอาจแผกวางลงมาถึงตีนเขากลายเปนธารแข็งเชิงเขา และธารนํ้าแข็ง ทวีปหรือพืดนํ้าแข็ง เปนธารนํ้าแข็งชนิดเปนพืดปกคลุมพื้นที่บริเวณกวางขวาง แถบขั้วโลก โดยเฉพาะที่กรีนแลนดและทวีปแอนตารกติก นักเรียนสืบคนภาพลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกรอน โดยธารนํ้าแข็งบริเวณตางๆ ของโลกตอไปนี้ • เซิรก • อาแร็ต • หุบเขาลอย • ยอดเขารูปพีระมิด จากนั้นอธิบายวิธีการเกิด นําเสนอในชั้นเรียน กิจกรรม สรางเสริม นักเรียนยกตัวอยางลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกรอน โดยธารนํ้าแข็ง พรอมภาพประกอบ 1 ตัวอยาง นํา สอน สรุป ประเมิน T71


ขอสอบเนนการคิด ฟีออร์ดหรือฟยอร์ด (fiord, fjord) เกิดจากการกร่อนของธารน�้าแข็งให้เป็นร่องลึกขนาดใหญ่ ชายฝั่งทะเล มีลักษณะเป็นอ่าวขนาดเล็ก เป็นร่องลึกลงสู่ทะเล เช่น ทรอนด์ไฮม์สฟยอร์ด ทรอนด์ ไฮม์ฟยอร์ด ประเทศนอร์เวย์ (Trondheims Fjord) ประเทศนอร์เวย์ อูมมันนัก ฟยอร์ด (Uummannag Fjord) เกาะกรีนแลนด์ 2.2) ภูมิประเทศที่เกิดจากการ ทับถมโดยธารน�้าแข็ง การทับถมของกรวด หิน ดิน ทรายในบริเวณที่ราบถัดจากธารน�้าแข็ง โดย การกระท�าของน�้าที่ละลายและพัดพาเอา กรวด หิน ดิน ทรายไปด้วย ลักษณะภูมิประเทศที่เกิด จากการทับถมโดยธารน�้าแข็ง เช่น • กองตะกอนธารน�้าแข็ง (moraine) เป็นเนินหรือสันของตะกอนธาร น�้าแข็ง ไม่แสดงชั้นตะกอน ซึ่งเป็นตะกอนที่ตกสะสมตัวจากธารน�้าแข็งโดยตรง • เนินเคม (kame) เป็นเนินหรือสันรูปร่างไม่สม�่าเสมอ ประกอบด้วย ชั้นกรวด ชั้นทรายที่ตกสะสมตัวโดยล�าธารที่ละลายจากธารน�้าแข็ง เกิดบริเวณขอบธารน�้าแข็ง ละลายหรือขอบธารน�้าแข็งคงตัว • หลุมธารน�้าแข็ง (kettle) เป็นแอ่งในตะกอนธารน�้าแข็ง โดยเฉพาะส่วน ที่ตะกอนถูกชะล้างออก และบริเวณเนินเคมตอนปลายน�้าแข็ง เกิดจากการละลายของก้อนน�้าแข็ง ที่ถูกฝังตัวอยู่ในตะกอนธารน�้าแข็ง • ที่ราบเศษหินธารน�้าแข็ง (outwash plain) เป็นที่ราบซึ่งประกอบไปด้วย เศษหินธารน�้าแข็ง พบเป็นดาดเศษหินอยู่ตอนปลายธารน�้าแข็ง กองตะกอนธารน�้าแข็ง ที่ราบเศษหินธารน�้าแข็ง หลุมธารน�้าแข็ง ธารน�้าแข็ง หินฐาน เนินเคม 70 ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร 3. ครูกระตุนใหนักเรียนชวยกันตั้งประเด็นคําถาม เชิงภูมิศาสตร เชน • การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่สงผลตอ ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และทรัพยากร ธรรมชาติ ที่เปนผลมาจากการกระทํา ของมนุษยที่มีอิทธิพลมากที่สุดคือการ เปลี่ยนแปลงในดานใด และสงผลกระทบ อยางไร • หากในอนาคตมีการเปลี่ยนแปลงทาง กายภาพที่สงผลตอภูมิอากาศเพิ่มมากขึ้น มนุษยควรมีแนวทางปองกัน หรือรับมือ อยางไร • การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่สงผลตอ ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และทรัพยากร ธรรมชาติ มีอิทธิพลตอวิถีชีวิตของมนุษย อยางไรบาง 4. ครูใหนักเรียนศึกษาทรอนดไฮมฟยอรด ประเทศ นอรเวย และภาพจําลองแสดงภูมิประเทศที่ เกิดจากการทับถมโดยธารนํ้าแข็ง จากหนังสือ เรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 ประกอบการตั้งคําถาม เชิงภูมิศาสตรเพิ่มเติม เกร็ดแนะครู ครูยกตัวอยางลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกระทําของธารนํ้าแข็ง เชน ฟออรดในประเทศนอรเวย มีลักษณะเปนอาวเล็กๆ แคบและยาว ลักษณะ เปนชายฝงเวาแหวง เกิดจากการกัดเซาะของธารนํ้าแข็งเขาไปในหุบเขาสูงชัน ในระดับลึกบริเวณตอนในของแผนดิน โดยใหนักเรียนใชสมารตโฟนสืบคนภาพประกอบ และยกตัวอยางลักษณะ ภูมิประเทศที่เกิดจากการกระทําของธารนํ้าแข็งในบริเวณอื่นของโลก การที่นํ้าแข็งขั้วโลกละลายอยางตอเนื่อง เกิดจากสาเหตุอะไร และในอนาคตจะสงผลกระทบอยางไร (แนวตอบ นํ้าแข็งขั้วโลกละลายมีสาเหตุสําคัญมาจากภาวะ โลกรอน ที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้น เปนตัวเรงใหเกิดนํ้าแข็ง ละลาย ผลกระทบ เชน ระดับนํ้าทะเลสูงขึ้น บางประเทศที่เปน เกาะถูกนํ้าทวมหรืออาจจมหาย สัตวบางชนิดลดจํานวนลงและ อาจสูญพันธุในที่สุด เชน หมีขั้วโลก และคาดวาประชากรโลก หลายรอยลานคนไมมีที่อยูอาศัย) นํา สอน สรุป ประเมิน T72


ขอสอบเนน การคิด 3) ภูมิประเทศที่เกิดจากการกระท�าของลม สภาพอากาศที่แห้ง และร้อนจัด จะมีกระแสลมแรงและอาจเกิดพายุทะเลทรายขึ้น การกระท�าของ ลมเป็นการกร่อน การพัดพา และการทับถม ภูมิประเทศที่เกิดจากลม มีดังนี้ 3.1) ภูมิประเทศที่เกิดจากการกร่อนโดยลม การที่ลมพัดกร่อนหินให้ผุพังลงแล้วพัดพาเอาเศษหิน ดิน ทราย ให้กระจัดกระจายไปจากที่เดิมและไปตก สะสมในที่อื่น ลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกร่อน โดยลม เช่น • เขารูปหงอนไก่ (yardang) คือ ภูเขาหินที่ประกอบด้วยสันสลับร่อง หลาย ๆ ช่วง จนดูคล้ายรูปหงอนไก่ ตั้งเด่นเหนือภูมิประเทศที่ขนานราบ เป็นผลจากการสึกกร่อน ผุพังที่ไม่เท่ากันในทะเลทรายโดยการกระท�าของลม สันอาจสูงถึง 6 เมตร กว้าง 36 เมตร • ลาดเชิงเขา (pediment) คือ บริเวณที่ราบหินแข็งติดเชิงเขาที่มีความ ลาดชันน้อย หรือเป็นที่ราบลูกคลื่นน้อย มีพื้นผิวกว้างเกิดจากการกร่อนโดยลมหรือน�้าไหล ชะล้าง เศษหิน ทรายออกไป • ดาดหินทะเลทราย (desert pavement) เป็นดาดที่เกิดจากการที่ลมพัด พาเอาทรายออกไปจากพื้นที่ทรายปนกรวดในทะเลทราย จนเหลือแต่กรวดเรียงรายกันอยู่ และ ช่วยกันทรายข้างใต้ ไม่ให้ลมพัดไปอีก • แอ่งลมหอบ (blowout) เป็นแอ่งต�่าที่เกิดจากการกร่อนโดยลมพัดพา เม็ดทรายออกไป มักเกิดกับเนินทรายและแหล่งทรายอื่น ๆ อุทยานธรณีวิทยาเขารูปหงอนไก่ เมืองตุนหวง มณฑลกานซู ประเทศจีน ภูมิประเทศที่เกิดจากการกร่อนโดยลม ภูเขา ด้านหน้าภูเขา ลาดเชิงเขาสึกกร่อน ลาดเชิงเขาสะสมตัว ตะกอนน�้าพา เขาโดดทะเลทรายลม เชิงเขา ชั้นหิน 71 โดยลม เช่น • ดาดหินทะเลทราย (desert pavement) สะสมในที่อื่น ลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกร่อน 1 2 ขั้นสอน ขั้นที่ 2 การรวบรวมขอมูล 1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 6-8 คน สืบคนขอมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทาง กายภาพที่สงผลตอภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และทรัพยากรธรรมชาติ จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 หรือจากแหลงการเรียนรู อื่นๆ เชน หนังสือในหองสมุด เว็บไซตใน อินเทอรเน็ต ประกอบการใชเครื่องมือทาง ภูมิศาสตร ในประเด็นตอไปนี้ • การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่สงผลตอ ภูมิประเทศ • การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่สงผลตอ ภูมิอากาศ • การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่สงผลตอ ทรัพยากรธรรมชาติ 2. ครูแนะนําแหลงขอมูลสารสนเทศที่นาเชื่อถือ ใหกับนักเรียนเพิ่มเติม นักเรียนควรรู 1 การกรอนโดยลม การที่ลมกัดกรอนหินใหผุพังลงแลวพัดพาเศษหินดินทราย นั้นใหกระจัดกระจายไปจากที่เดิม และไปตกสะสมในที่อื่น การกรอนโดยลม และการสะสมใหมอีกนั้นอาจเกิดเปนบริเวณกวางตอเนื่องกันหรือเกิดเฉพาะ แหงก็ได เชน เปนแองลม หรือเนินทราย 2 ดาดหิน หินซึ่งมีผิวหนาราบ เกิดจากการผุพังหรือการสึกกรอน โดยการ กระทําของนํ้า ลม หรือธารนํ้าแข็ง ลักษณะภูมิประเทศเขารูปหงอนไกเกิดการกรอนจากสาเหตุใด มากที่สุด 1. อุณหภูมิ 2. กระแสลม 3. แรงโนมถวง 4. ปฏิกิริยาเคมี 5. แสงอาทิตย (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. เขารูปหงอนไก เปนลักษณะ ภูมิประเทศที่เปนผลจาการสึกกรอนผุพังที่ไมเทากันในทะเลทราย โดยการกระทําของลม) นํา สอน สรุป ประเมิน T73


ขอสอบเนนการคิด เนินทรายรูปพระจันทร์เสี้ยว 3.2) ภูมิประเทศที่เกิดจากการทับถมโดยลมการที่ลมพัดพาตะกอนต่างๆ ไปตก ทับถมกันในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างไกลแหล่งก�าเนิดออกไป ลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจาก การทับถมโดยลม เช่น • พลายา(playa) คือ พื้นที่ปลายลาดเชิงเขา เกิดจากการทับถมของตะกอน ที่น�้าและลมทับถมกัน ไม่มีทางให้น�้าไหลออก จึงมีน�้าขังซึมลงใต้ดินและระเหยจึงมีคราบเกลือสะสม 4) ภูมิประเทศที่เกิดจากการกระท�าของน�้าใต้ดิน น�้าใต้ดินเป็นตัวท�าละลาย ของหินและแร่ที่ละลายน�้าได้ดี เช่น หินปูน หินโดโลไมต์ หรือหินอื่นที่มีสารเชื่อมที่ละลายน�้า ได้ง่าย ส่วนการกร่อน การพัดพา และการทับถมจะเกิดขึ้นในบางพื้นที่ที่เป็นโพรงใต้ดิน แต่มีความ รุนแรงน้อยภูมิประเทศที่เกิดจากน�้าใต้ดิน มีดังนี้ 4.1) ภูมิประเทศที่เกิดจากการกร่อนโดยน�้าใต้ดิน เป็นการละลายของหินปูนหรือ เกลือหินโดยน�้าใต้ดิน ซึ่งส่งผลให้เกิดลักษณะภูมิประเทศ เช่น • หลุมยุบ (sinkhole) คือ หลุมหรือแอ่งบนแผ่นดินที่ปากหลุมเกือบกลม เกิดจากน�้าละลายเอาหินเกลือ หินยิปซัม หรือหินปูนที่อยู่ข้างใต้ออกไป ท�าให้ดินตอนบนยุบลงเป็น หลุมใหญ่ • ถ�้า (cave) คือ ช่องที่เป็นโพรงลึกเข้าไปในพื้นดินหรือภูเขา เกิดขึ้น ตามธรรมชาติ โดยทั่วไปถ�้าเกิดในหินปูนที่มีน�้าใต้ดินไหลผ่านกัดเซาะ พบตามภูเขาหินปูนหรือตาม ชายฝั่งทะเล • ป่าช้าหินปูนหรือสุสานหิน (lapies) คือ ที่ราบดินสีแดงที่มีหินปูนโผล่พ้น ผิวดินขึ้นมาเป็นหย่อมๆ แต่สูงไม่มาก มีรูปร่างต่างกัน สันนิษฐานว่าเป็นส่วนที่เหลืออยู่ของหินปูน ที่เกิดโดยการผุกร่อนของน�้าใต้ดิน • เขาลอมฟาง (karst tower, haystack) คือ ยอดเขาหินปูนที่ถูกน�้ากร่อน ละลายจนเหลือเป็นเขาโดดที่มียอดเขาห่างกันคล้ายกองฟางข้าว ใต้ดินอาจมีธารน�้าไหลหรือถ�้า หากมีน�้าใต้ดินไหลซึมมาสะสม เรียกว่า โอเอซิส หรือทะเลสาบที่มีน�้าขัง • เนินทราย(sanddune) คือ เนินที่เกิดขึ้นโดยลมพัดพาตะกอนทราย มากองรวมกัน พบมากในที่ราบทะเลทราย แต่ อาจพบตามแนวชายฝั่งทะเลลาดต�่าเหนือระดับ น�้าทะเลสูงสุด ตามชายฝั่งทะเลสาบขนาดใหญ่ ริมฝั่งแม่น�้าหรือบริเวณที่เป็นทะเลทราย เนิน ทรายบางแห่งอาจสูงจนมีลักษณะเป็นภูเขา 72 เนินทรายรูปพระจันทร์เสี้ยว 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 3 การจัดการทําขอมูล 1. สมาชิกแตละคนในกลุมนําขอมูลที่ตนไดจาก การรวบรวม มาอธิบายแลกเปลี่ยนความรู ระหวางกัน 2. จากนั้นสมาชิกในกลุมชวยกันคัดเลือกขอมูลที่ นําเสนอเพื่อใหไดขอมูลที่ถูกตอง และรวมกัน อภิปรายแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม นักเรียนควรรู 1 เนินทรายรูปพระจันทรเสี้ยว เนินทรายมีลักษณะคลายรูปพระจันทรเสี้ยว โดยดานตนลมจะคอยๆ ลาดเอียงไปยังยอดของเนินทราย จึงทําใหเม็ดทราย เคลื่อนที่ผานเนินทรายแบบนี้ไดสะดวก สวนปลายลมจะมีลักษณะเวาโคง คลายพระจันทรเสี้ยวตามแนวดานหนาของรอยโคงเวา มีความชันมาก เรียกวา ดานหนาลาด การเกิดเนินทรายเปนผลมาจากลมพัดเอาทรายมารวมกันและ คอยๆ ขยายความยาวออกไปตามทิศทางลม จนกระทั่งไปติดกับสิ่งกีดขวาง จึงทําใหเนินทรายหยุดการเคลื่อนที่ ลักษณะภูมิประเทศในขอใดเปนแองบนแผนดินที่เกิดจากนํ้า ละลายเอาหินเกลือ หินยิปซัม หรือหินปูนที่อยูขางใตออกไป 1. หลุมยุบ 2. ลานตะพัก 3. กุมภลักษณ 4. สามพันโบก 5. ทะเลสาบรูปแอก (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. หลุมยุบ คือ หลุมแองแผนดินที่ ปากหลุมเกือบกลม เกิดจากนํ้าละลายเอาหินเกลือหรือยิปซัม หรือหินปูนที่อยูขางใตออกไป ทําใหดินตอนบนยุบลงเปนหลุม) ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 1. สมาชิกแตละกลุมนําขอมูลที่ไดจากการศึกษา มาทําการวิเคราะห และรวมกันตรวจสอบ ความถูกตองของขอมูล โดยครูชวยชี้แนะ เพิ่มเติมผานการใชคําถาม เชน • เนินทราย เปนภูมิประเทศที่เกิดจากการ ทับถมโดยลม โดยเฉพาะเนินทรายรูป พระจันทรเสี้ยว จะทําใหเราสามารถ วิเคราะหไดถึงสิ่งใดไดบาง (แนวตอบ เชน ลักษณะภูมิประเทศ ความเร็ว ลม ทิศทางการพัดพาของลม ตะกอนทราย ความสูงของพื้นที่ ฯลฯ) นํา สอน สรุป ประเมิน T74


หลุบยุบ เศษวัสดุธรณี (ดิน หิน และ อื่น ๆ) แม่น�้า ล�าน�้าหายใต้ดิน ล�าน�้าหาย ปากถ�้า สุสานหิน ระดับน�้าใต้ดิน หินย้อย ถ�้า เสาหิน หินงอก ล�าน�้าโผล่จากใต้ดิน หินปูน ภูมิประเทศคาสต์ 4.2) ภูมิประเทศที่เกิดจากการทับถมของน�้าใต้ดิน เกิดขึ้นในถ�้าเมื่อน�้าปูนที่ละลาย หยอดผ่านเพดานถ�้า เมื่อตกตะกอนเป็นเกล็ดแร่แคลไซต์ ซึ่งส่งผลให้เกิดลักษณะภูมิประเทศ เช่น • ที่ราบคาสต์ (karst plain) เป็นหินปูนที่ถูกน�้าละลายจนเกือบเป็นที่ราบ • หินงอก (stalagmite) เป็นคราบหินปูนที่งอกจากพื้นถ�้าหินปูนขึ้นไปหา เพดานถ�้า น�้าที่หยดจากเพดานหรือปลายล่างของหินย้อยมีสารประกอบที่ได้จากการละลาย อยู่ในตัว เมื่อตกถึงพื้นแล้วน�้าระเหยออกจะทิ้งสารประกอบไว้ สารประกอบนั้นจะสะสมตัวสูงขึ้น จากพื้นถ�้า 5) ภูมิประเทศที่เกิดจากการกระท�าของคลื่นและกระแสน�้าชายฝง เป็นพื้นที่ ระหว่างแผ่นดินกับระดับน�้าทะเลที่ขึ้นสูงสุดและลดลงต�่าสุด ท�าให้เกิดภูมิประเทศจากการกร่อนและ การทับถมหลายรูปแบบ เช่น 5.1) ภูมิประเทศที่เกิดจากการกร่อนโดยคลื่นและกระแสน�้าชายฝง การกร่อนโดย คลื่นทะเลท�าให้เกิดภูมิประเทศ เช่น • หน้าผาชันชายฝง (sea cliff) เกิดจากการกร่อนโดยคลื่น คลื่นจะกัดกร่อน บริเวณฐานของหินให้พังทลาย เกิดเป็นลักษณะหน้าผาสูงชันหันหน้าออกไปทางทะเล • เกาะหินโด่ง (stack) คือ เกาะขนาดเล็กใกล้ฝั่งทะเลที่หินยอดเกาะมีลักษณะ โด่งหรือชะลูด เกิดจากแหลมหินที่ยื่นไปในทะเลแต่เดิมถูกคลื่นเซาะทั้ง 2 ข้าง จนส่วนปลายถูก ตัดออก • ซุ้มหินชายฝง (sea arch) คือ ช่องกร่อนทะลุส่วนที่เป็นแหลมยื่นออกไป ในทะเล เกิดจากการกัดเซาะของคลื่น ท�าให้โพรงที่เกิดขึ้นด้านใดด้านหนึ่งขยายกว้างจนทะลุฝั่ง ตรงข้าม หรือเกิดจากการกัดเซาะของคลื่นทั้ง 2 ฝั่ง จนโพรงทั้ง 2 ด้านทะลุถึงกัน • แหลม (cape) คือ ส่วนของแผ่นดินที่ยื่นออกจากทวีปหรือเกาะขนาดใหญ่ เข้าไปในทะเลหรือมหาสมุทร 73 เพดานถ�้า น�้าที่หยดจากเพดานหรือปลายล่างของหินย้อยมีสารประกอบที่ได้จากการละลาย 1 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล • หินงอกและหินยอย มีความแตกตางกัน อยางไร (แนวตอบ หินงอก เปนคราบหินปูนที่งอกจาก พื้นถํ้าขึ้นสูเพดานถํ้า แตหินยอยจะเกิดจาก นํ้าที่หยดจากเพดานถํ้าลงสูพื้นถํ้า เมื่อตกถึง พื้นถํ้า นํ้าจะระเหยและทิ้งสารประกอบไว ทําใหสารประกอบสะสมตัวสูงขึ้นจากพื้นถํ้า) • ภูมิภาคใดของประเทศไทยที่สามารถพบ ภูมิประเทศที่เกิดจากการกรอนโดยคลื่น และกระแสนํ้าชายฝงประเภทตางๆ ไดเปน จํานวนมาก (แนวตอบ ภาคตะวันออก ภาคใต เนื่องจาก ภูมิประเทศสวนใหญอยูติดกับทะเล จึงมักพบคลื่นและกระแสนํ้าชายฝงเปน จํานวนมาก ทําใหเกิดภูมิประเทศที่เกิดจาก การกรอนโดยคลื่นและกระแสนํ้าชายฝง ทั้งประเภทหนาผาชันชายฝง เกาะหินโดง ซุมหินชายฝง แหลม เชน แหลมพรหมเทพ จังหวัดภูเก็ต เขาตาปู จังหวัดพังงา ฯลฯ) 2. ครูใหนักเรียนแตละกลุมนําขอมูลที่ไดจากการ ศึกษาและตอบคําถามมาวิเคราะหรวมกัน นักเรียนควรรู 1 หินยอย คราบหินปูนที่ยอยลงมาจากเพดานถํ้าหินปูน มีลักษณะเปนทอน เปนกรวย หรือเปนแผงมานลงมา ปกติแวววาวเมื่อตองแสง การเกิดหินยอย เนื่องจากนํ้าที่มีคารบอนไดออกไซดละลายอยู ไดละลายเอาสารประกอบใน หินปูนออกมา แลวหยาดหยดจากรอยราวในเพดานถํ้า เมื่อนํ้าระเหยไปจึงปลอย ใหสารประกอบที่ละลายมานั้นสลายตัว แลวพอกพูนจับตัวกันเปนหินยอย นักเรียนสืบคนลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกรอน โดยนํ้าใตดินที่สําคัญของโลก ที่ปจจุบันเปนสถานที่ทองเที่ยวทาง ธรรมชาติ สรุปประเด็นสําคัญ เชน กระบวนการเกิด ความสําคัญ ตอการทองเที่ยว พรอมภาพประกอบสวยงาม นําเสนอขอมูล ในชั้นเรียน กิจกรรม สรางเสริม นักเรียนสืบคนขอมูลและภาพถํ้าในประเทศไทยที่ปจจุบัน เปนสถานที่ทองเที่ยวทางธรรมชาติ สรุปประเด็นสําคัญ เชน กระบวนการเกิด ความสําคัญตอการทองเที่ยว การอนุรักษ ดูแลรักษา นําเสนอขอมูลในชั้นเรียน นํา สอน สรุป ประเมิน T75


ชองลม ซุมหินชายฝง เกาะหินโดง กอนหินชายฝง หัวแหลมผาชัน พื้นที่ของซุมหินชายฝงที่พังทลาย แนวรอยแตก โพรงหินชายฝง การกัดเซาะ ลานคลื่นเซาะ ในชวงเวลานํ้าลง 5.2) ภูมิประเทศที่เกิดจากการทับถมโดยคลื่นและกระแสนํ้าชายฝง การทับถม โดยคลื่นและกระแสนํ้าชายฝงทําใหเกิดภูมิประเทศ เชน • สันดอน (bar) คือ เนินที่เกิดจากกระแสนํ้าพัดพาตะกอนมาตกทับถม จนเกิดเปนสันหรือพืดสัน ในบริเวณลําแมนํ้า ปากแมนํ้า หรือนอกชายฝงทะเล • หาด (beach) เปนพื้นที่ระหวางแนวนํ้าขึ้นกับนํ้าลง มีลักษณะเปนแถบ ยาวไปตามริมฝง เกิดขึ้นเนื่องจากการกระทําของคลื่นและกระแสนํ้าในทะเล ทะเลสาบ หรือแมนํ้า • ลากูน (lagoon) หรือทะเลสาบนํ้าเค็มชายฝง เปนแองนํ้าเค็มที่มีลักษณะ แคบ ตื้น เกิดอยูระหวางแผนดินใหญกับสันดอนชายฝง หรือเทือกปะการัง หรือเกิดอยูในเกาะ ปะการังวงแหวน ทะเลสาบนํ้าเค็มชายฝงอาจมีสันดอนปดกั้นทั้งหมดหรือบางสวนก็ได ภูมิประเทศจากการกรอนของคลื่นชายฝง Geo Tip สันดอนจะงอย เปนสันดอนที่ปลายดาน หนึ่งติดอยูกับชายฝง ปลายอีกดานหนึ่งยื่นไป ในทะเล และมีตอนปลายงอโคงเปนจะงอยตาม อิทธิพลของคลื่นและกระแสนํ้า ถาสันดอน จะงอยประกอบดวยทรายลวน เรียกวา สันดอน จะงอยทราย ถาสันดอนงอกออกไปเชื่อมเกาะ เรียกวา สันดอนเชื่อมเกาะ • ชะวากทะเล (estuary) เปนฝงทะเลที่เวาเปนชองเขาไปยังปากแมนํ้า และนํ้าจืดไหลลงมาปะทะแลวผสมกลมกลืนกับ นํ้าเค็ม มักหมายถึงตอนลางของปากแมนํ้าที่ นํ้าจืดและนํ้าเค็มเขามาผสมกัน หรือบริเวณ กนอาวตาง ๆ ที่แมนํ้าหลายสายไหลลง และ อิทธิพลของนํ้าทะเลทําใหนํ้าเค็มเขาไปผสมกับ นํ้าจืดในอาวนั้นได 74 • ชะวากทะเล (estuary) 1 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 3. ครูใหนักเรียนศึกษา Geo Tip เกี่ยวกับสันดอน จะงอย ซึ่งเปนลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจาก การทับถมโดยคลื่นและกระแสนํ้าชายฝง จาก หนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 เพื่อวิเคราะห ขอมูลเพิ่มเติม ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 1. ครูใหนักเรียนกลุมที่ 1 ที่ทําการศึกษาและ สืบคนขอมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทาง กายภาพที่สงผลตอภูมิอากาศ ออกมานําเสนอ ผลการศึกษาคนควาที่หนาชั้นเรียน โดยมี แผนที่ หรือเครื่องมือทางภูมิศาสตรอื่นๆ ประกอบการนําเสนอ 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเพิ่มเติม เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่สงผล ตอภูมิอากาศ แลวครูตั้งคําถามใหนักเรียน ชวยกันตอบ เชน • มนุษยมีความเกี่ยวของกับภูมิประเทศที่เปน ทะเลและมหาสมุทรอยางไร (แนวตอบ มนุษยใชประโยชนจากภูมิประเทศ ที่เปนทะเลและมหาสมุทรในการดํารงชีวิต มาตั้งแตสมัยโบราณ เห็นไดจากชุมชน โบราณที่มีทําเลที่ตั้งและมีพื้นที่ชายฝง เหมาะสมไดพัฒนาขึ้นเปนเมืองทาสําคัญ ของโลก เชน มะละกา สิงคโปร ชางไห ฯลฯ) นักเรียนควรรู 1 ชะวากทะเล เปนพื้นที่บริเวณชายฝงทะเลที่มีแมนํ้าหรือลําธารไหลผาน เชื่อมตอลงสูทะเล ไดรับทั้งอิทธิพลจากทะเล คือ นํ้าขึ้น-นํ้าลง คลื่น และการ ไหลเวียนของนํ้าเกลือ ตะกอนจากแมนํ้า และการไหลเวียนของนํ้าจืด ทําใหพื้นที่ มีธาตุอาหารสําคัญจํานวนมาก จึงเหมาะสมตอการเปนแหลงอาศัยของสิ่งมีชีวิต ตัวอยางของชะวากทะเลในประเทศไทย เชน บริเวณปากแมนํ้ากระบุรี จังหวัด ระนอง ปากแมนํ้าชุมพร จังหวัดชุมพร นักเรียนสืบคนลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกระทํา ของคลื่นและกระแสนํ้าที่สําคัญของโลก ที่ปจจุบันเปนสถานที่ ทองเที่ยวทางธรรมชาติ สรุปประเด็นสําคัญ เชน กระบวนการเกิด ความสําคัญตอการทองเที่ยว พรอมภาพประกอบสวยงาม นําเสนอ ขอมูลในชั้นเรียน กิจกรรม สรางเสริม นักเรียนสืบคนขอมูลลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการ กระทําของคลื่นและกระแสนํ้าชายฝงในประเทศไทย เชน ซุมหิน ชายฝงเกาะไข จังหวัดสตูล สรุปประเด็นสําคัญ เชน กระบวนการเกิด ความสําคัญตอการทองเที่ยว การอนุรักษดูแลรักษา พรอมภาพ ประกอบ นําเสนอขอมูลในชั้นเรียน นํา สอน สรุป ประเมิน T76


ขอสอบเนน การคิด 1 วงโคจรของโลกรอบ ดวงอาทิตย์จะมีความรีลดลง เกิดในวัฏจักรประมาณ 1 แสนปี 2 แกนเอียงของโลกจะมี การแปรปรวนอยู่ระหว่าง 22.5 - 24.5 องศา เกิดในวัฏจักรประมาณ 41,000 ปี 3 แกนหมุนของโลกจะส่าย เป็นวงคล้ายลูกข่างจากการ ที่โลกหมุนช้าลง มีวัฏจักร ประมาณ 21,000 ปี โลก โลก ดวงอาทิตย แสงอาทิตย 0 ํ22.5 ํ 23.5 ํ 24.5 ํ N S S N 5.2 การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่ส่งผลต่อภูมิอากาศ 1) สาเหตุการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่ส่งผลต่อภูมิอากาศ ที่ส�าคัญเกิดจาก 1.1) การผันแปรวงโคจรของโลก ตามวัฏจักรมิลานโควิทช์จะเกิดการผันแปร วงโคจรของโลกใน 3 ลักษณะ ดังนี้ การผันแปรวงโคจรทั้ง 3 ลักษณะดังกล่าว จะส่งผลต่อพลังงานความร้อน ที่โลกได้รับจากดวงอาทิตย์ท�าให้ส่งผลต่อภูมิอากาศของโลก 1.2) การผันแปรของรังสีจากดวงอาทิตย์ จากการเกิดจุดดับบนดวงอาทิตย์ ท�าให้มีอุณหภูมิต�่ากว่าบริเวณโดยรอบ ส่งผลต่อการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์มายังโลก ท�าให้อุณหภูมิ บนโลกลดลง เกิดขึ้นในวัฏจักรประมาณ 11 ปี ส่งผลต่อภูมิอากาศบนโลก 1.3) การเปลี่ยนแปลงของแก๊สเรือนกระจก จากการปะทุของภูเขาไฟที่รุนแรง ท�าให้เกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน ไนตรัสออกไซด์ ส่งผลท�าให้เกิดยุคน�้าแข็งและยุค น�้าแข็งละลาย หรือการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ 75 ตามวัฏจักรมิลานโควิทช์จะเกิดการผันแปร 1 นักเรียนควรรู 1 วัฏจักรมิลานโควิทช นักวิทยาศาสตร ชื่อ มิลูติน มิลานโควิทช (Milutin Milankovitch) เสนอทฤษฎีความเชื่อมโยงระหวางการเกิดยุคนํ้าแข็งกับวัฏจักร ทางดาราศาสตรเกี่ยวกับวงโคจรและแกนหมุนของโลก 3 อยาง ไดแก วง โคจรรอบดวงอาทิตยของโลกมีการเปลี่ยนแปลงรูปราง การเอียงของแกนโลก การสายของแกนหมุนของโลก แสดงใหเห็นอิทธิพลของปจจัยทั้งสาม ทําให ภูมิอากาศโลกมีอุณหภูมิสูงและตํ่าสลับกันไปเปนวัฏจักร โดยแตละคาบนั้น มีระยะเวลาและความรุนแรงไมเทากัน ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 1. ครูใหนักเรียนกลุมที่ 2 ที่ทําการศึกษาและ สืบคนขอมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทาง กายภาพที่สงผลตอภูมิอากาศ ออกมานําเสนอ ผลการศึกษาคนควาที่หนาชั้นเรียน โดยมี แผนที่ หรือเครื่องมือทางภูมิศาสตรอื่นๆ ประกอบการนําเสนอ 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเพิ่มเติม เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่สงผล ตอภูมิอากาศ แลวครูตั้งคําถามใหนักเรียน ชวยกันตอบ เชน • ปรากฏการณอุณหภูมิผกผันในเมืองใหญ หรือพื้นที่อุตสาหกรรมมีลักษณะเปนอยางไร (แนวตอบ ปรากฏการณอุณหภูมิผกผันใน เมืองใหญ หรือพื้นที่อุตสาหกรรมจะสงผล กระทบตอการดําเนินชีวิตของมนุษยและ สิ่งมีชีวิตโดยทั่วไป เนื่องจากหมอกควัน พิษจากการเผาไหมเชื้อเพลิงตางๆ เชน ไอเสียของรถยนต ควันพิษจากโรงงาน อุตสาหกรรม และอื่นๆ ไมสามารถลอยขึ้นไป ในชั้นบรรยากาศได เพราะอุณหภูมิของ อากาศโดยรอบสูงกวา เปนแนวผกผันกั้น หมอกควันที่มีอุณหภูมิตํ่ากวาไว) การที่แกนโลกเอียง ตําแหนงบนโลกที่ไดรับแสงอาทิตยทํามุม ตั้งฉากจะมีลักษณะอยางไร 1. มีอุณหภูมิสูง 2. มีอุณหภูมิตํ่า 3. แกนโลกหมุนสายชาๆ 4. แกนโลกหมุนควงสายอยางเร็ว 5. ไดรับพลังงานแผรังสีจากดวงอาทิตยไกลมาก (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. มีอุณหภูมิสูง เพราะไดรับพลังงาน แผรังสีจากดวงอาทิตยสูงกวาตําแหนงบนโลกที่ไดรับแสงอาทิตย เปนมุมเฉียง) นํา สอน สรุป ประเมิน T77


ขอสอบเนนการคิด เสนอุณหภูมิเทาของเดือนที่เย็นที่สุด เสนอณุ หภมูิเทาของเดือนที่เย็นที่สดุ เสนอณุ หภูมิเทาของเดอืนทอี่นุทสี่ดุ เสนอณุ หภูมิเทาของเดอืนที่อุนทสีุ่ด 10 ํC 10 ํC 18 ํC 18 ํC เขตภูมิอากาศที่มีฤดูรอนสั้น เขตภูมิอากาศที่มีฤดูรอนสั้น เขตภูมิอากาศแบบละติจูดกลาง:อบอุน เขตภูมิอากาศที่มีฤดูหนาวสั้น เขตภูมิอากาศแบบละติจูดกลาง:อบอุน 0 ํ 0 ํ 30 ํN 15 ํN 15 ํS 45 ํN 45 ํS 30 ํS 60 ํN 60 ํN 60 ํS 60 ํS 75 ํN 75 ํS 30 ํN 15 ํN 15 ํS 45 ํN 45 ํS 30 ํS 75 ํN 75 ํS เสนศูนยสูตร เสนทรอปกออฟแคปริคอรน เสนอารกติกเซอรเคิล เสนแอนตารกติกเซอรเคิล เสนทรอปกออฟแคนเซอร N 0 2,000 4,000 กม. 1 : 250,000,000 2) ประเภทของภูมิอากาศ การจ�าแนกประเภทของลักษณะภูมิอากาศนิยมใช้ข้อมูล ลมฟ้าอากาศประจ�าวันน�าไปเฉลี่ยเป็นรายเดือนและรายปี มีระยะเวลาต่อเนื่องกันตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ข้อมูลหลัก คือ ลักษณะอุณหภูมิของอากาศและปริมาณหยาดน�้าฟ้า ซึ่งเป็นฐานข้อมูลส�าคัญใน การจ�าแนกลักษณะประเภทของภูมิอากาศ ดังนี้ 2.1) เขตภูมิอากาศตามค่าเฉลี่ยอุณหภูมิของอากาศ การแบ่งตามขั้นพื้นฐานจาก ลักษณะอุณหภูมิของอากาศ แบ่งได้ 5 พื้นที่ 3 เขตภูมิอากาศ ดังนี้ 1. เขตภูมิอากาศที่มีฤดูหนาวสั้น หรือเขตร้อน (torrid zone) อยู่ระหว่าง เส้นทรอปิกออฟแคนเซอร์กับเส้นทรอปิกออฟแคปริคอร์น อุณหภูมิเฉลี่ยไม่มีเดือนใดต�่ากว่า 18 องศาเซลเซียส 2. ลักษณะภูมิอากาศแบบละติจูดกลาง หรือเขตอบอุ่น (temperate zone) อยู่ระหว่างเส้นทรอปิกออฟแคนเซอร์กับเส้นอาร์กติกเซอร์เคิล และอยู่ระหว่างเส้นเส้นทรอปิกออฟ แคปริคอร์นกับเส้นอาร์กติกเซอร์เคิล 3. เขตภูมิอากาศที่มีฤดูร้อนสั้น หรือเขตขั้วโลก (polar zone) อยู่ระหว่าง เส้นอาร์กติกเซอร์เคิลกับขั้วโลกเหนือ และอยู่ระหว่างเส้นแอนตาร์กติกเซอร์เคิลกับขั้วโลกใต้ อุณหภูมิเฉลี่ยไม่มีเดือนใดสูงกว่า 10 องศาเซลเซียส 2.2) เขตภูมิอากาศตามค่าเฉลี่ยปริมาณฝน การแบ่งตามขั้นพื้นฐานจากปริมาณ ฝน แบ่งได้ 7 ภูมิภาค จากค่าปริมาณฝนรายปี โดยมีเส้นน�้าฝนเท่า (isohyet) แสดงในแผนที่ ซึ่งมีค่าช่วงปริมาณฝน ดังนี้ แผนที่แสดงเขตภูมิอากาศตามลักษณะอุณหภูมิจากเส้นอุณหภูมิเท่า (isotherm) 76 ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม • ประเทศไทยจัดอยูในเขตภูมิอากาศตาม คาเฉลี่ยอุณหภูมิของอากาศในเขตใด (แนวตอบ จากตําแหนงที่ตั้งของประเทศไทย จัดอยูในเขตภูมิอากาศที่มีฤดูหนาวสั้น หรือ เขตรอน โดยอยูระหวางเสนทรอปกออฟแคนเซอรกับเสนทรอปกออฟแคปริคอรน ซึ่ง อุณหภูมิเฉลี่ยของประเทศไทยในแตละเดือน จะไมมีเดือนใดตํ่ากวา 18 องศาเซลเซียส) เกร็ดแนะครู ครูใหนักเรียนอานและตีความแผนที่เขตภูมิอากาศตามลักษณะอุณหภูมิ จากเสนอุณหภูมิเทา แลวสรุปสาระสําคัญ • เขตรอน แสงอาทิตยตกกระทบพื้นโลกเปนมุมชัน และมีโอกาสที่ดวง อาทิตยจะอยูเหนือศีรษะได พื้นที่เขตนี้จึงรับพลังงานจากดวงอาทิตยไดมากกวา สวนอื่นๆ ของโลก • เขตอบอุน แสงอาทิตยตกกระทบพื้นโลกเปนมุมเฉียง แมวาไมมีโอกาส ที่ดวงอาทิตยจะอยูเหนือศีรษะ แตก็ยังไดรับแสงอาทิตยตลอดป • เขตหนาว แสงอาทิตยตกกระทบพื้นโลกเปนมุมลาด จนในฤดูหนาว บางวันไมมีดวงอาทิตยขึ้นเลย จากการที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใตตั้งอยูในเขตรอน สงผลตอวิถีชีวิตและกิจกรรมทางเศรษฐกิจของคนในภูมิภาคนี้ อยางไร (แนวตอบ จากทําเลที่ตั้งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต อยูในเขตภูมิอากาศแบบรอนชื้น มีฝนตกชุกเกือบทั้งป สงผลใหมี พืชพรรณธรรมชาติอุดมสมบูรณ ทําใหคนในภูมิภาคนี้สวนใหญ ประกอบอาชีพเกษตรกรรม) นํา สอน สรุป ประเมิน T78


0 ํ 0 ํ 30 ํN 15 ํN 15 ํS 45 ํN 45 ํS 30 ํS 60 ํN 60 ํN 60 ํS 60 ํS 75 ํN 75 ํS 30 ํN 15 ํN 15 ํS 45 ํN 45 ํS 30 ํS 75 ํN 75 ํS เสนศูนยสูตร เสนทรอปกออฟแคปริคอรน เสนอารกติกเซอรเคิล เสนแอนตารกติกเซอรเคิล เสนทรอปกออฟแคนเซอร N 0 2,000 4,000 กม. 1 : 250,000,000 ปริมาณฝนเฉลี่ยรายป (มิลลิเมตร) 0 250 500 1,000 2,000 3,000 เขตภูมิอากาศแถบเส้นศูนย์สูตร ปริมาณฝนมากกว่า 2,000 มม./ ปี เขตภูมิอากาศ ชายฝั่งที่ได้รับลมค้า ปริมาณฝนมากกว่า 1,500 มม./ปีเขตภูมิอากาศทะเลทราย ปริมาณฝน ต�่ากว่า 250 มม./ปีเขตภูมิอากาศกึ่งทะเลทราย ปริมาณฝนระหว่าง 250 - 500 มม./ ปี เขตภูมิอากาศแถบชื้นกึ่งร้อน ปริมาณฝนระหว่าง 1,000 - 1,500 มม./ปีเขตภูมิอากาศชายฝั่ง ตะวันตกเขตละติจูดกลาง ปริมาณฝนมากกว่า 1,000 มม./ปี และเขตภูมิอากาศแถบอาร์กติก และแอนตาร์กติกา ปริมาณฝนต�่ากว่า 300 มม./ ปี 2.3) การจ�าแนกประเภทภูมิอากาศแบบเคิปเปนดร.วลาดิมีร์ เคิปเปน นักอุตุนิยม วิทยาชาวเยอรมัน ได้จ�าแนกภูมิอากาศจากการรวมกันของลักษณะและค่าเฉลี่ยของอุณหภูมิของ อากาศกับหยาดน�้าฟ้าที่ปรากฏตามพื้นที่ โดยใช้อักษรโรมันตัวใหญ่อธิบายอุณหภูมิเป็น 5 เขตหลัก A หมายถึง ภูมิอากาศเขตร้อน B หมายถึง ภูมิอากาศเขตแห้งแล้ง C หมายถึง ภูมิอากาศเขตอบอุ่น D หมายถึง ภูมิอากาศเขตหนาว E หมายถึง ภูมิอากาศเขตขั้วโลก นอกจากนี้ ยังมีการแสดงรายละเอียดของลักษณะอุณหภูมิของอากาศและปริมาณ ฝน โดยใช้อักษรโรมันตัวเล็กและตัวใหญ่ต่อท้าย และเพิ่มตัวอักษร H แทนเขตภูมิอากาศแถบภูเขา เนื่องจากมีลักษณะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงตามความสูง แผนที่แสดงเขตภูมิอากาศตามลักษณะปริมาณฝนจากเส้นน�้าฝนเท่า 77 กิจกรรม ทาทาย เกร็ดแนะครู นักเรียนดูแผนที่แสดงเขตภูมิอากาศตามลักษณะปริมาณฝนจากเสน นํ้าฝนเทา ฝกวิเคราะหและแปลความ ครูตั้งประเด็น เชน • บริเวณใดของโลกมีฝนตกเฉลี่ยมากที่สุด และนอยที่สุด • การมีฝนตกนอยหรือตกมากที่สุดมีผลดี-ผลเสียอยางไร • บริเวณใดมีทรัพยากรปาไม และสัตวปาอุดมสมบูรณมากที่สุด เพราะเหตุใด ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 3. ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เขตภูมิอากาศตามลักษณะปริมาณฝน จาก แผนที่แสดงเขตภูมิอากาศตามลักษณะ ปริมาณฝนจากเสนนํ้าฝนเทา รวมถึงการ จําแนกภูมิอากาศแบบเคิปเปน จากหนังสือ เรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 เพิ่มเติม 4. ครูใหนักเรียนใชสมารตโฟนสืบคนเกณฑ การจําแนกประเภทภูมิอากาศประเภทอื่นๆ เพิ่มเติมจากอินเทอรเน็ต จากนั้นนําขอมูล มาสรุปรวมกัน นักเรียนสืบคนประวัติ ดร.วลาดิมีร เคิปเปน นักอุตุนิยมวิทยา โดยใชขอมูลอุณหภูมิของอากาศและปริมาณนํ้าฝนเฉลี่ยในรอบป หรือรายเดือนเปนเกณฑในการจําแนก โดยแบงเขตภูมิอากาศของ โลกออกเปน 5 กลุม โดยใชตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวใหญ ไดแก A B C D และ E แทนกลุมภูมิอากาศ โดยใหนักเรียนสืบคนลักษณะภูมิอากาศในแตละเขต และ เขตอากาศยอย แลวนําเสนอในชั้นเรียน เชน E กลุมภูมิอากาศ เขตขั้วโลก ไมมีฤดูรอน อุณหภูมิเฉลี่ยของเดือนที่อบอุนที่สุด ตํ่ากวา 10 องศาเซลเซียส ET อุณหภูมิเฉลี่ยของเดือนที่อบอุนที่สุดสูงกวา 0 องศาเซลเซียส แตตํ่ากวา 10 องศาเซลเซียส EF อุณหภูมิของเดือนที่อบอุนเทากับ 0 องศาเซลเซียสหรือ ตํ่ากวา นํา สอน สรุป ประเมิน T79


กิจกรรม Geo-Literacy 0 ํ 0 ํ 40 ํE 40 ํW 80 ํE 80 ํW 120 ํE 120 ํW 160 ํE 160 ํW 20 ํE20 ํW 60 ํE 60 ํW 100 ํE 100 ํW 140 ํE 180 ํ140 ํW 20 ํN 20 ํS 40 ํN 40 ํS 60 ํN 60 ํS 80 ํN 80 ํS 0 ํ 20 ํN 20 ํS 40 ํN 40 ํS 60 ํN 60 ํS 80 ํN 80 ํS เสนศูนยสูตร เสนทรอปกออฟแคปริคอรน เสนทรอปกออฟแคนเซอร เสนอารกติกเซอรเคิล เสนแอนตารกติกเซอรเคิล ม ห า ส มุ ท ร แ ป ซิ ฟ ก ม ห า ส มุ ท ร แ ป ซิ ฟ ก ม ห า ส มุ ท ร อ า ร ก ติ ก ม ห า ส มุ ท ร แ อ ต แ ล น ติ ก ม ห า ส มุ ท ร แ อ ต แ ล น ติ ก ม ห า ส มุ ท ร อิ น เ ดี ย Af Cf Cf Cf Cf Cf Cf Cs Cs Cs Cs Cs Cs Cs Cs Cs Aw Dw Cw Aw Aw Cf Cf EF ET ET ET ET Df ET ET ET ET EF EF EF Cf Cf Cf Cf Af Aw Aw Aw Aw BW BS BS BS BS BS BS BS BS BS BS BS BS BS BS BS Df Df Df Df Dw Dw Dw Df Df Df Df BS BS BS BS BS BS BS BW BW BW BW BW BW H H H H H H H H H H H H BW BW BW BW BW Aw Aw Aw Am Am Am Am Af Af Am Am Am Am Am Am Am Aw Aw Aw Af Af Af Am Af Af Af Am Aw แบบรอนชื้น แบบมรสุม แบบสะวันนา แบบทะเลทราย แบบกึ�งทะเลทราย แบบชื้นกึ�งรอน แบบเมดิเตอรเรเน�ยน แบบที่สูงแบบชื้นภาคพื้นทวีป แบบแหงภาคพื้นทวีป แบบทุนดรา แบบพืดน้ำแข็ง BW BS Cf Cs Df Dw ET EF H N 1 : 160,000,000 0 2,000 4,000 กม. แผนที่แสดงเขตภูมิอากาศ แผนที่แสดงเขตภูมิอากาศ 78 ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 5. ครูใหนักเรียนรวมกันศึกษาและอภิปราย เพิ่มเติมเกี่ยวกับเขตภูมิอากาศของโลกจาก แผนที่แสดงเขตภูมิอากาศในแตละภูมิภาค ตางๆ ของโลก จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 เพิ่มเติม 6. ครูกําหนดตําแหนงในแตละภูมิภาคตางๆ ของโลกที่มีเขตภูมิอากาศแตกตางกัน จากนั้น สุมนักเรียนออกมาชี้ตําแหนงในแตละภูมิภาค ตางๆ ของโลกตามเขตภูมิอากาศใหถูกตอง เพื่อเปนการสรุปความรูเพิ่มเติม เชน • ทวีปแอฟริกา (แนวตอบ มีทั้งเขตภูมิอากาศแบบทะเลทราย แบบกึ่งทะเลทราย แบบสะวันนา แบบมรสุม แบบฝนตกชุกถาวรตลอดป แบบชื้นกึ่ง เขตรอน แบบเมดิเตอรเรเนียน) • ทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย (แนวตอบ มีทั้งเขตภูมิอากาศแบบทะเลทราย แบบกึ่งทะเลทราย แบบสะวันนา แบบชื้นกึ่ง เขตรอน แบบเมดิเตอรเรเนียน) เกร็ดแนะครู ครูใหนักเรียนฝกอาน วิเคราะหและแปลความแผนที่แสดงเขตภูมิอากาศ ของโลก ครูตั้งประเด็นคําถาม เชน • ประเทศไทยมีลักษณะภูมิอากาศแบบใด ลักษณะภูมิอากาศเปนอยางไร • หากนักเรียนตองการสัมผัสอากาศหนาว และหิมะตก ควรไปที่ใด และ ชวงเวลาใด นักเรียนแบงกลุมศึกษาเขตภูมิอากาศของโลก โดยใชแผนที่ แสดงเขตภูมิอากาศประกอบ จากนั้นแตละกลุมเลือกประกอบอาชีพ 1 อาชีพ ในประเทศตางๆ ของโลก • ทําฟารมโคเปนปศุสัตวขนาดใหญ เพื่อสงเนื้อและนมขาย ทั่วโลก • ทําไรชาขนาดใหญ • ทําเกษตรอินทรีย มีทั้งปลูกพืช เลี้ยงสัตว มีอาหารกินตลอดป • เลี้ยงแกะเพื่อสงออกขนและเนื้อ โดยเลือกประเทศที่จะไปประกอบอาชีพ เลือกทําเล วิเคราะห ปจจัยในการเลือกประเทศ โดยใชกระบวนการทางภูมิศาสตร นํา สอน สรุป ประเมิน T80


ขอสอบเนน การคิด 1. ภูมิอากาศเขตร้อน (A) มีอุณหภูมิของอากาศสูงตลอดปี เฉลี่ยเกินกว่า 18 องศาเซลเซียส และมีฝนตกชุก จ�าแนกลักษณะเฉพาะพื้นที่ได้ 3 แบบ ดังนี้ ภูมิอากาศแบบร้อนชื้น บริเวณละติจูด 10 องศาเหนือถึง 10 องศาใต้ มีอุณหภูมิเฉลี่ยเกิน 27 องศาเซลเซียส ทุกเดือน ได้รับอิทธิพลจากลมค้าที่พัดเข้าหาแถบเส้นศูนย์สูตร ฝนตกชุกทุกเดือนเนื่องจากฝนพาความร้อน ปริมาณ ฝนเฉลี่ยเกิน 62 มิลลิเมตร เฉลี่ยรายปีเกิน 2,000 มิลลิเมตร มีเมฆคิวมูลัสและคิวมูโลนิมบัสเป็นหลัก และพิสัยอุณหภูมิไม่แตกต่างกันมาก บริเวณที่มีภูมิอากาศแบบนี้ ได้แก่ ลุ่มน�้า แอมะซอน ทวีปอเมริกาใต้ ลุ่มน�้าคองโก ทวีป แอฟริกา และหมู่เกาะประเทศอินโดนีเซีย ทวีปเอเชีย ภูมิอากาศแบบมรสุม บริเวณละติจูด 5 - 20 องศาเหนือและใต้ มี มวลอากาศฝ่ายทะเลพัดเข้าสู่ชายฝั่ง ได้รับอิทธิพล จากลมค้าตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนตกเกือบตลอดปี มี 1 - 2 เดือนที่ปริมาณฝนต�่ากว่า 62 มิลลิเมตร ปริมาณฝนเฉลี่ยรายปีเกิน 2,500 มิลลิเมตร อุณหภูมิ เฉลี่ยทุกเดือนระหว่าง 25 - 27 องศาเซลเซียส และ ฝนที่ตกเกิดจากการยกตัวของเมฆเมื่อเคลื่อนตัวผ่าน บริเวณชายฝั่งทะเลด้านรับลม ซึ่งมีภูเขากีดขวาง เรียกว่า ฝนภูเขา บริเวณที่มีภูมิอากาศแบบนี้อยู่ใกล้เคียงกันกับ เขตภูมิอากาศ Af ภูมิอากาศแบบสะวันนา บริเวณละติจูด 10 - 25 องศาเหนือและใต้ มีอุณหภูมิเฉลี่ย ทุกเดือนระหว่าง 20 - 30 องศาเซลเซียส มีช่วงฤดูฝนและฤดูแล้ง แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด คือ ในช่วงฤดูฝนอิทธิพลจากลมมรสุม ท�าให้มีฝนตกชุก ส่วนช่วงฤดูร้อนและฤดูแล้ง (หนาว) ปริมาณฝน มีเพียงเล็กน้อย บริเวณที่มีภูมิอากาศแบบนี้ ใกล้กับเขต Af และ Am และที่น่าสังเกต คือ ใกล้กับเขตกึ่งทะเลทราย (BS) ปรากฏในทวีป อเมริกาเหนือ ทวีปอเมริกาใต้ ทวีปแอฟริกา ทวีปเอเชีย และทวีป ออสเตรเลีย Af Am Aw 79 ฝนตกชุกทุกเดือนเนื่องจากฝนพาความร้อน ปริมาณ 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 7. ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ภูมิอากาศเขตรอน จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 เพิ่มเติม 8. ครูใหนักเรียนใชสมารตโฟนสืบคนภาพ หรือ คลิปวิดีโอเกี่ยวกับพื้นที่ในบริเวณตางๆ ของโลก เพิ่มเติมจากอินเทอรเน็ตที่แสดงถึงภูมิอากาศ เขตรอน ที่จําแนกเฉพาะได 3 แบบ ไดแก • ภูมิอากาศแบบรอนชื้น • ภูมิอากาศแบบมรสุม • ภูมิอากาศแบบสะวันนา จากนั้นนําขอมูลมาสรุปรวมกัน นักเรียนควรรู 1 ฝนพาความรอน เปนฝนที่เกิดจากกลุมอากาศรอนลอยตัวสูงขึ้นจนถึง จุดไอนํ้ากลั่นตัวลงมาเปนฝนในตอนเย็นและกลางคืน ลักษณะฝนที่ตกเปนแบบ ฝนโปรย หรือเกิดฝนตกหนักมากเปนระยะเวลาสั้นๆ อาจจะมีพายุพัดรุนแรง มีลูกเห็บตก และฟาคะนองรุนแรง ในประเทศไทยมักเกิดเดือนมีนาคมและเดือน เมษายน หากมีนักสํารวจตองการสํารวจปาดิบหรือปาดิบชื้นที่มีความ สมบูรณ นักเรียนจะแนะนําที่ใด เพราะเหตุใด (แนวตอบ ปาแอมะซอนอยูในทวีปอเมริกาใต ครอบคลุมพื้นที่ 9 ประเทศ เชน บราซิล มีพื้นที่กวา 5 ลานตารางกิโลเมตร เปนปา ที่มีความอุดมสมบูรณอยางมาก มีแมนํ้าสายสําคัญไหลผาน คือ แมนํ้าแอมะซอน ซึ่งเปนแมนํ้าที่ยาวเปนอันดับ 2 ของโลก มีปาไม คอนขางหนาทึบมาก มีหลากหลายสายพันธุ มีสัตวนานาชนิด กวา 70 % บนโลกอาศัยอยู มีความหลากหลายของสัตวบก สัตวนํ้า สัตวเลื้อยคลาน สัตวที่ขึ้นชื่อวาดุราย เชน ปลาปรันยา งูอนาคอนดา ปลาไหลไฟฟา นอกจากนี้ ยังมีชนเผาอาศัยหลายเผา) นํา สอน สรุป ประเมิน T81


ขอสอบเนนการคิด 2. ภูมิอากาศเขตแห้งแล้ง (B) มีค่าการระเหยเกินกว่าค่าเฉลี่ยของ หยาดน�้าฟ้าที่ตกลงในพื้นที่ จึงไม่มีแหล่งน�้าถาวร พิสัยอุณหภูมิของอากาศเฉลี่ยกลางวันกับกลาง คืนแตกต่างกันมาก แนวความกดอากาศสูงกึ่งโซนร้อน (subtropical high pressure belt) มีอิทธิพล ท�าให้บรรยากาศไร้เมฆ พบบริเวณด้านทิศตะวันตกของทวีปต่าง ๆ บริเวณภูมิภาคกึ่งโซนร้อน ละติจูด 15 - 35 องศาเหนือและใต้ แบ่งเขตภูมิอากาศแห้งแล้งได้ 2 แบบ คือ ภูมิอากาศแบบทะเลทราย BW มีปริมาณฝนเฉลี่ยรายปีต�่ากว่า 250 มิลลิเมตร อุณหภูมิสูงสุดเวลากลางวันเท่ากับ 48 องศา เซลเซียส กลางคืนอุณหภูมิต�่ากว่า 0.6 องศา เซลเซียส พิสัยอุณหภูมิเฉลี่ยรายเดือนต่างกัน 15 - 20 องศาเซลเซียส และบริเวณชายฝั่งทะเลด้าน ทิศตะวันตกมีกระแสน�้าเย็นไหลผ่าน ภูมิอากาศแบบทะเลทรายแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ภูมิอากาศแบบทะเลทรายเขตร้อน (BWh) มีอุณหภูมิเฉลี่ยรายปีสูงกว่า 18 องศา เซลเซียส และภูมิอากาศแบบทะเลทรายเขตอบอุ่น (BWk) มีอุณหภูมิเฉลี่ยรายปีต�่ากว่า 18 องศา เซลเซียส บริเวณที่มีภูมิอากาศแบบนี้ คือ ทะเลทราย สะฮารา ทวีปแอฟริกา ทะเลทรายอันนาฟูดและ รุบัลคอลี ประเทศซาอุดีอาระเบีย ทะเลทรายอาตา กามา ประเทศชิลี ทะเลทรายยูมา สหรัฐอเมริกา และทะเลทรายเกรตวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย ภูมิอากาศแบบกึ่งทะเลทราย มีปริมาณฝนเฉลี่ยรายปีตั้งแต่ 250 มิลลิเมตร ขึ้นไป ฝนที่ได้รับจากอิทธิพลของลมค้าพัดเข้าหากัน ในช่วงที่เป็นฤดูร้อนของพื้นที่ อิทธิพลของแนวความ กดอากาศสูงกึ่งโซนร้อนในช่วงฤดูหนาวส่งผลต่อ การเกิดความแห้งแล้งในพื้นที่ และพิสัยอุณหภูมิเฉลี่ย รายเดือนต่างกัน 8 - 12 องศาเซลเซียส ภูมิอากาศแบบกึ่งทะเลทรายแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ภูมิอากาศแบบกึ่งทะเลทรายเขตร้อน (BSh) มีอุณหภูมิเฉลี่ยรายปีสูงกว่า 18 องศาเซลเซียส และภูมิอากาศแบบกึ่งทะเลทรายเขตอบอุ่น (BSk) มีอุณหภูมิเฉลี่ยรายปีต�่ากว่า 18 องศาเซลเซียส บริเวณที่มีภูมิอากาศแบบนี้ คือ พื้นที่โดยรอบ หรืออยู่ใกล้เคียงกับเขตภูมิอากาศแบบทะเลทราย BS 80 คืนแตกต่างกันมาก แนวความกดอากาศสูงกึ่งโซนร้อน (subtropical high pressure belt) มีอิทธิพล 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 9. ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเพิ่มเติม เกี่ยวกับภูมิอากาศเขตแหงแลง จากหนังสือ เรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 เพิ่มเติม 10. ครูใหนักเรียนใชสมารตโฟนสืบคนภาพ หรือ คลิปวิดีโอเกี่ยวกับพื้นที่ในบริเวณตางๆ ของโลกเพิ่มเติมจากอินเทอรเน็ตที่แสดงถึง ภูมิอากาศเขตแหงแลง ที่สามารถแบงเขต ภูมิอากาศแหงแลงได 2 แบบ คือ • ภูมิอากาศแบบกึ่งทะเลทราย • ภูมิอากาศแบบทะเลทราย จากนั้นนําขอมูลมาสรุปรวมกัน นักเรียนควรรู 1 แนวความกดอากาศสูงกึ่งโซนรอน ที่บริเวณละติจูดที่ 30° ํ หรือบริเวณ เสนรุงมา เปนเขตแหงแลงเปนทะเลทราย พื้นนํ้ามีกระแสลมออนมาก เนื่องจาก เปนบริเวณที่กระแสลมสงบ อากาศเหนือผิวพื้นบริเวณเสนรุงมาเคลื่อนตัวไปยัง แถบความกดอากาศตํ่าบริเวณเสนศูนยสูตร ทําใหเกิดลมคา เมื่อลมคาทาง ซีกโลกเหนือเคลื่อนที่มาจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และลมคาทางซีกโลกใต เคลื่อนที่มาจากทิศตะวันออกเฉียงใต เกิดการปะทะกันและยกตัวขึ้นบริเวณ เสนศูนยสูตร เขตภูมิอากาศแบบทะเลทรายและกึ่งทะเลทรายในทวีปเอเชีย มีลักษณะอากาศและพืชพรรณธรรมชาติอยางไร และปรากฏใน บริเวณใดบาง (แนวตอบ ภูมิอากาศแบบทะเลทรายเขตอบอุน (BWk) และกึ่ง ทะเลทรายเขตอบอุน (BSk) อากาศอบอุนและแหง พบในพื้นที่อยู หางไกลจากทะเล มีเทือกเขาขวางทิศทางลม พืชพรรณธรรมชาติ มีลักษณะเปนทุงหญาสั้น เชน มองโกเลีย และทางทิศตะวันตกของ จีน ภูมิอากาศแบบทะเลทรายเขตรอน (BWh) และกึ่งทะเลทราย เขตรอน (BSh) มีความแหงแลง ฝนตกนอยมาก เนื่องจากอิทธิพล ของมวลความกดอากาศสูงแผลงมาปกคลุม ไมมีลมที่พัดจากทะเล เขาสูแผนดิน พืชพรรณธรรมชาติมีนอย เชน กระบองเพชร ไมพุม ตางๆ บริเวณโอเอซิสมีพืชจําพวกปาลม อินทผลัม สวนใหญอยูใน เอเชียตะวันตกเฉียงใต เชน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส ซาอุดีอาระเบีย จอรแดน) ศูนยสูตร 0° ํ ลมคา ลมคา รุงมา 30° ํ รุงมา 30° ํ N S แนวความกดอากาศสูงกึ่งโซนรอน นํา สอน สรุป ประเมิน T82


3. ภูมิอากาศเขตอบอุ่น (C) มีอุณหภูมิของอากาศเดือนที่หนาวที่สุดเฉลี่ย ต�่ากว่า 18 องศาเซลเซียส แต่ไม่ต�่ากว่า -3 องศาเซลเซียส พบบริเวณด้านทิศตะวันออกของทวีป ต่าง ๆ ที่มีกระแสน�้าอุ่นไหลผ่าน ด้านทิศตะวันตกของทวีปยุโรปและทวีปอเมริกาเหนือพบเช่นกัน เนื่องจากมีอิทธิพลของกระแสน�้าอุ่นไหลไปถึงชายฝั่ง แบ่งภูมิอากาศเขตอบอุ่นได้ 2 เขต คือ ภูมิอากาศชื้นกึ่งเขตร้อนชายฝงตะวันออก (Cfa) มีฝนตกทุกเดือน ปริมาณฝนประจ�าปีระหว่าง 1,200 - 3,600 มิลลิเมตร อุณหภูมิเฉลี่ยเดือนที่ร้อน ที่สุดเกิน 22 องศาเซลเซียส บริเวณที่มีภูมิอากาศแบบนี้ คือ บริเวณชายฝั่ง ตะวันออกของทวีป บริเวณละติจูด 23 - 40 เหนือ และใต้ มีกระแสน�้าอุ่นไหลเลียบชายฝั่ง มีความชื้นใน อากาศสูง ได้แก่ ชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกา ชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศบราซิล ชายฝั่ง ตะวันออกของประเทศแอฟริกาใต้ ชายฝั่งตะวันออก ของประเทศจีนและญี่ปุ่น ชายฝั่งตะวันออกของ ประเทศออสเตรเลีย ภูมิอากาศชื้นกึ่งร้อน Cf ไม่มีฤดูแห้งแล้งและฝนตกชุกทุกเดือน ปริมาณฝนมากช่วงฤดูร้อนเนื่องจากได้รับ อิทธิพลจากพายุหมุนเขตร้อน กระแสน�้าอุ่นมีอิทธิพลท�าให้ชายฝั่งมีความชื้นในอากาศสูง และมีพิสัยอุณหภูมิ เฉลี่ยรายเดือนต่างกัน 15 - 20 องศาเซลเซียส ภูมิอากาศชื้นกึ่งร้อน แบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ ภูมิอากาศชื้นกึ่งเขตร้อนชายฝงตะวันตก (Cfb) มีปริมาณความชื้นสูงจากมวลอากาศที่ลมตะวันตก พัดเข้าหาฝั่งแผ่นดิน แนวปะทะอากาศและพายุหมุน ปริมาณฝนประจ�าปีระหว่าง 1,000 - 2,000 มิลลิเมตร อุณหภูมิเฉลี่ยเดือนที่ร้อนที่สุดต�่ากว่า 22 องศา เซลเซียส บริเวณที่มีภูมิอากาศแบบนี้ คือ บริเวณชายฝั่ง ตะวันตกของทวีปบริเวณละติจูด 40 - 60 เหนือ ได้แก่ ชายฝั่งตะวันตกประเทศแคนาดา ที่มีกระแสน�้าอุ่น แปซิฟิกเหนือไหลผ่าน ชายฝั่งตะวันตกของทวีปยุโรป มีกระแสน�้าอุ่นแอตแลนติกเหนือไหลผ่าน ชายฝั่ง ตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศออสเตรเลีย และ ประเทศนิวซีแลนด์ ภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน Cs มีช่วงฤดูร้อนอากาศแห้ง มีฝนตกเพียงเล็กน้อยเนื่องจากอิทธิพลของ แนวความกดอากาศสูงกึ่งโซนร้อนพัดจากภายในแผ่นดิน ช่วงฤดูหนาวมีมวลอากาศพัดจากทะเลสู่ฝั่ง มีฝนจาก อิทธิพลของพายุหมุน และพิสัยอุณหภูมิเฉลี่ยรายเดือนต่างกัน 12 - 18 องศาเซลเซียส บริเวณที่มีภูมิอากาศแบบนี้ คือ โดยรอบของชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และบางพื้นที่ด้านตะวันตก ของทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปอเมริกาใต้ และตอนใต้ของทวีปแอฟริกากับทวีปออสเตรเลีย 81 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 11. ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเพิ่มเติม เกี่ยวกับภูมิอากาศเขตอบอุน จากหนังสือ เรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 เพิ่มเติม 12. ครูใหนักเรียนใชสมารตโฟนสืบคนภาพ หรือคลิปวิดีโอเกี่ยวกับพื้นที่ในบริเวณตางๆ ของโลกเพิ่มเติมจากอินเทอรเน็ตที่แสดงถึง ภูมิอากาศเขตอบอุนที่สามารถแบงภูมิอากาศ เขตอบอุนได 2 เขต คือ • ภูมิอากาศชื้นกึ่งเขตรอน • ภูมิอากาศแบบเมดิเตอรเรเนียน จากนั้นนําขอมูลมาสรุปรวมกัน นักเรียนสืบคนขอมูลเขตภูมิอากาศอบอุนของโลก ในประเด็น ลักษณะภูมิอากาศ บริเวณที่พบ ลักษณะพืชพรรณธรรมชาติ ให เลือกสถานที่ที่นักเรียนอยากไปทองเที่ยว 1 ประเทศ พรอมบอก เหตุผล วางแผนการเดินทาง โปรแกรมการทองเที่ยว สถานที่ ทองเที่ยวพรอมภาพประกอบ บรรยากาศที่คาดวาจะไปสัมผัส ประโยชนที่จะไดรับ นําเสนอในชั้นเรียน กิจกรรม สรางเสริม นักเรียนสืบคนขอมูลบริเวณที่มีเขตภูมิอากาศอบอุนของโลก 1 ชื่อ ในประเด็น ลักษณะภูมิอากาศ บริเวณที่พบ ลักษณะพืชพรรณ ธรรมชาติ เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแบงเขตภูมิอากาศทําไดหลายวิธีโดยอาศัย องคประกอบของอากาศทางดานตางๆ เชน • การแบงเขตภูมิอากาศโดยอาศัยอุณหภูมิ แบงออกเปน 3 เขต ไดแก เขตรอน เขตอบอุน และเขตหนาว • การแบงเขตภูมิอากาศโดยอาศัยหยาดนํ้าฟา แบงตามปริมาณฝน ตอป ออกเปน 5 เขต ไดแก เขตภูมิอากาศแหงแลง เขตภูมิอากาศกึ่งแหงแลง เขตภูมิอากาศกึ่งชื้น เขตภูมิอากาศชื้น และเขตภูมิอากาศชุมชื้นมาก • การแบงเขตภูมิอากาศโดยใชพืชพรรณธรรมชาติ แบงออกเปน 11 เขต เชน เขตภูมิอากาศแบบปาศูนยสูตร เขตภูมิอากาศแบบปามรสุม เขตภูมิอากาศ แบบปาละเมาะ เขตภูมิอากาศแบบปาเมดิเตอรเรเนียน • การแบงเขตภูมิอากาศโดยใชมวลอากาศและแนวปะทะมวลอากาศ แบงออกเปน 3 เขตใหญ ไดแก ภูมิอากาศในเขตละติจูดตํ่า ภูมิอากาศในเขต ละติจูดกลาง และภูมิอากาศในเขตละติจูดสูง นํา สอน สรุป ประเมิน T83


5. ภูมิอากาศเขตขั้วโลก (E) มีอุณหภูมิเฉลี่ยเดือนที่ร้อนที่สุดต�่ากว่า 10 องศาเซลเซียส ไม่มีฤดูร้อน การแบ่งภูมิอากาศเขตขั้วโลกพิจารณาจากอุณหภูมิเดือนที่หนาวที่สุด หรือเดือนที่ร้อนที่สุด ดังนี้ ภูมิอากาศแบบทุนดรา ET ช่วงเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม ซึ่งขั้วโลกเหนือ มีเวลารับแสงอาทิตย์ยาวนานที่สุด มีอุณหภูมิสูงกว่า 0 องศาเซลเซียส พิสัยอุณหภูมิเฉลี่ยรายเดือน ต่างกัน 25 - 30 องศาเซลเซียส หยาดน�้าฟ้าที่เป็นฝน มีเพียงระยะสั้น ๆ ช่วงเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม นอกนั้นเป็นหิมะ ความหนาวเย็นของอากาศแถบ ภูมิอากาศแบบทุนดรา ผิวดินและใต้ผิวดินจะเกิดเป็น ชั้นดินเยือกแข็งคงตัว (permafrost) จึงมีพืชอายุสั้น เจริญเติบโตภายหลังน�้าแข็งละลาย ได้แก่ ต้นหญ้า ต้นกก และไลเคน บริเวณที่มีภูมิอากาศแบบนี้ ได้แก่ ทางตอนเหนือ ของทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปยุโรป และทวีปเอเชีย ภูมิอากาศแบบพืดน�้าแข็ง EF ได้แก่ เกาะกรีนแลนด์ และทวีปแอนตาร์กติกา อุณหภูมิเฉลี่ยที่เกาะกรีนแลนด์ -30 ถึง -35 องศา เซลเซียส อุณหภูมิเฉลี่ยต�่าที่สุดในเดือนกุมภาพันธ์ และสูงสุดในเดือนกรกฎาคม หยาดน�้าฟ้าอยู่ในรูป ของพายุหิมะมากที่สุด หิมะที่ตกทับถมบนแผ่นดิน และอัดตัวเป็นมวลน�้าจืดแข็งขนาดใหญ่ เรียกว่า ธาร น�้าแข็ง (glacier) มีการเคลื่อนที่อย่างช้า ๆ ลงมาตาม ไหล่เขาธารน�้าแข็งที่แตกแยกเป็นก้อนน�้าแข็งใหญ่ ลงสู่ทะเล เรียกว่า ภูเขาน�้าแข็ง (iceberg) หรือเกาะ น�้าแข็ง (ice island) พบลอยอยู่ในมหาสมุทรอาร์กติก น�้าในทะเล มหาสมุทรที่น�้าแข็งตัวเป็นก้อน เรียกว่า น�้าแข็งทะเล (sea ice: field ice) 4. ภูมิอากาศเขตหนาว (D) มีอุณหภูมิของอากาศเดือนที่หนาวที่สุดเฉลี่ย ต�่ากว่า -3 องศาเซลเซียส และเดือนที่อุ่นที่สุดอุณหภูมิสูงกว่า 10 องศาเซลเซียส พบเฉพาะใน ทวีปอเมริกาเหนือและดินแดนยูเรเชีย แถบละติจูด 50 - 70 องศาเหนือ แบ่งภูมิอากาศเขตหนาว ได้ 2 แบบ คือ ภูมิอากาศชื้นภาคพื้นทวีป Df มีหยาดน�้าฟ้าตลอดทุกเดือน เนื่องจากอิทธิพล ของแนวปะทะอากาศขั้วโลก และพิสัยอุณหภูมิเฉลี่ย รายเดือนต่างกัน 25 - 30 องศาเซลเซียส บริเวณที่มีภูมิอากาศแบบนี้ ได้แก่ ตอนเหนือ ของสหรัฐอเมริกา กลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย และ ประเทศรัสเซีย ภูมิอากาศแห้งภาคพื้นทวีป ในช่วงฤดูหนาวปริมาณฝนจะลดลง เนื่องจาก มวลอากาศเย็นและแห้งพัดออกจากแผ่นดิน ในช่วง ฤดูร้อนมีฝนตกเนื่องจากอิทธิพลของลมมรสุมตะวันออก เฉียงใต้และพายุหมุนเขตร้อน บริเวณที่มีภูมิอากาศแบบนี้ ได้แก่ ตอนเหนือของ ประเทศจีน ตอนเหนือของคาบสมุทรเกาหลี และตอนใต้ ของประเทศรัสเซียในทวีปเอเชีย Dw 82 ของสหรัฐอเมริกา กลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย และ ชั้นดินเยือกแข็งคงตัว (permafrost) จึงมีพืชอายุสั้น 1 2 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 13. ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ภูมิอากาศเขตหนาว จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 เพิ่มเติม 14. ครูใหนักเรียนใชสมารตโฟนสืบคนภาพ หรือคลิปวิดีโอเกี่ยวกับพื้นที่ในบริเวณตางๆ ของโลกเพิ่มเติมจากอินเทอรเน็ตที่แสดงถึง ภูมิอากาศเขตหนาวที่สามารถแบงภูมิอากาศ เขตหนาวได 2 แบบ คือ • ภูมิอากาศชื้นภาคพื้นทวีป • ภูมิอากาศแหงภาคพื้นทวีป จากนั้นนําขอมูลมาสรุปรวมกัน 15. ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเพิ่มเติม เกี่ยวกับภูมิอากาศเขตขั้วโลก จากหนังสือ เรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 เพิ่มเติม 16. ครูใหนักเรียนใชสมารตโฟนสืบคนภาพ หรือ คลิปวิดีโอเกี่ยวกับพื้นที่ในบริเวณตางๆ ของโลกเพิ่มเติมจากอินเทอรเน็ตที่แสดงถึง ภูมิอากาศเขตเขตขั้วโลกที่สามารถแบงได 2 แบบ คือ • ภูมิอากาศแบบพืดนํ้าแข็ง • ภูมิอากาศแบบทุนดรา จากนั้นนําขอมูลมาสรุปรวมกัน นักเรียนควรรู 1 กลุมประเทศสแกนดิเนเวีย อยูยุโรปตอนเหนือ ประกอบดวย เดนมารก สวีเดน นอรเวย ฟนแลนด และไอซแลนด เปนประเทศที่มีสภาพภูมิอากาศ ที่หนาวจัด 2 permafrost พื้นดินที่มีอุณหภูมิตํ่ากวาจุดเยือกแข็งติดตอกันเปนเวลานาน พบมากบริเวณใกลกับขั้วโลกเหนือและใต ความหนาวเย็นจัดของพื้นดินทําให พื้นดินแข็งมาก เมื่อถึงฤดูรอนดินชั้นบนของพื้นที่แบบนี้พืชจะเติบโตได นักเรียนเลือกสืบคนขอมูลเขตภูมิอากาศคนละ 1 เขต ในประเด็น • ชื่อเขตอากาศ บริเวณที่ปรากกฏลักษณะภูมิอากาศแบบนี้ • ลักษณะภูมิอากาศเดน • ลักษณะพืชพรรณธรรมชาติ • สัตวปา • วิถีการดําเนินชีวิตของประชากร สรุปสาระสําคัญ นําเสนอในชั้นเรียนโดยการใชแผนที่ เชน จาก AKSORN WORLD GEOGRAPHY และภาพประกอบสวยงาม ประกอบการนําเสนอ นํา สอน สรุป ประเมิน T84


ขอสอบเนน การคิด พื้นที่สูงหรือบนภูเขามีความกดอากาศที่เบาบาง และ มีอุณหภูมิลดลงตามระดับความสูง 6. ภูมิอากาศแบบที่สูง (H) เป็นลักษณะอากาศบนพื้นที่สูงหรือบนภูเขา เนื่องจากบนที่สูงมีความกดอากาศที่เบาบางลง และมีการลดอุณหภูมิของอากาศตามความสูง ส�าหรับบรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์ สิ่งเปลี่ยนแปลงส�าคัญ คือ การลดอุณหภูมิของอากาศ และ การลดความกดอากาศ ในอัตราการลดของ อุณหภูมิ 6.4 องศาเซลเซียสต่อความสูง 1,000 เมตร เมื่อสูงขึ้นจากระดับทะเลปานกลางอุณหภูมิ ของอากาศจะลดต�่าลง บนเขาสูงจึงมีอากาศเย็น ภูเขาที่สูงมากบนยอดเขามีหิมะปกคลุม การลด ความกดอากาศ ความกดอากาศ ณ ระดับทะเล ปานกลาง 760 มิลลิเมตรปรอท หรือ 1,013.25 มิลลิบาร์ เมื่อสูงขึ้นไปจะมีระดับความกดอากาศ ดังนี้ ตารางแสดงความกดอากาศตามความสูง ความสูง (เมตร) ความกดอากาศ (มิลลิเมตรปรอท) ที่ระดับทะเลปานกลาง 760 300 730 900 680 1,500 630 3,000 530 Geo Tip ความสัมพันธ์ระหว่างภูมิอากาศกับมนุษย์ ภูมิอากาศมีผลโดยตรงกับการด�ารงชีวิตของมนุษย์ หลายประการ เช่น มีผลต่อที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ประชากรที่อาศัยในเขตร้อนชื้นแถบศูนย์สูตรจะใช้ ผ้าเนื้อโปร่งกว่าประชากรที่อยู่ในเขตอากาศหนาวเย็น การสร้างบ้านในเขตร้อนต้องสร้างในลักษณะที่ ให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ขณะเดียวกันต้องใช้กันแสงแดดได้ด้วย ส่วนการสร้างบ้านในเขตหนาวต้อง สร้างในลักษณะที่ให้แสงอาทิตย์ลอดผ่านเข้าได้ และสามารถเก็บความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์ได้ด้วย ในเขตที่สูงความกดอากาศจะต�่า ออกซิเจนน้อย ท�าให้หายใจไม่สะดวก เช่น นักไต่เขาต้อง มีถังออกซิเจนติดตัวขึ้นไปด้วยเสมอเพื่อช่วยในการหายใจ หรือมีใบพืชที่มีคุณสมบัติเป็นยาติดตัว เพื่อใช้เคี้ยวให้มีก�าลัง หรือต้องไต่เขาอย่างช้า ๆ เพราะถ้าไต่เร็วจะหายใจไม่ทัน 83 ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 15. ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเพิ่มเติม เกี่ยวกับภูมิอากาศแบบที่สูง จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 เพิ่มเติม 16. ครูใหนักเรียนใชสมารตโฟนสืบคนภาพ หรือ คลิปวิดีโอเกี่ยวกับพื้นที่ในบริเวณตางๆ ของ โลกที่แสดงถึงภูมิอากาศแบบที่สูงเพิ่มเติมจาก อินเทอรเน็ต จากนั้นนําขอมูลมาสรุปรวมกัน 17. ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเพิ่มเติม เกี่ยวกับ Geo Tip ที่แสดงความสัมพันธ ระหวางภูมิอากาศกับมนุษย จากหนังสือ เรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 ประกอบการสรุป ขอมูลเพิ่มเติม เพราะเหตุใดอุณหภูมิของเขตภูมิอากาศแบบที่สูงจึงแตกตาง กันมาก 1. มีรองความกดอากาศตํ่าพาดผาน 2. บนที่สูงมีศูนยกลางความกดอากาศสูง 3. พื้นที่เปนภูเขาสูง มีอุณหภูมิสูงกวาที่ราบ 4. อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงไปตามระดับความสูง 5. อิทธิพลจากความสูงของพื้นที่ตามระยะละติจูด (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. อุณหภูมิเปลี่ยนไปตามระดับความสูง โดยระดับอุณหภูมิจะลดลงตามระดับความสูง โดยทั่วไปประมาณ 1 องศาเซลเซียส ตอความสูง 180 เมตร หรืออุณหภูมิจะลดลง ประมาณ 6.4 องศาเซลเซียส ตอความสูง 1 กิโลเมตร) เกร็ดแนะครู ครูนําทบทวนเพื่อสรุปความรู การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่สงผลตอ ภูมิอากาศทุกเขต เชน เขตภูมิอากาศเขตรอน มีปาดิบที่อุดมสมบูรณ เชน ปาแอมะซอน ปาดิบลุมแมนํ้าคองโก ปาดิบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต ปจจุบันปาไมลดปริมาณลง ถูกแผวถางเพื่อทําการเกษตร ตัดถนน สงผลให ระบบนิเวศเปลี่ยนแปลง ความอุดมสมบูรณลดลง นํา สอน สรุป ประเมิน T85


5.3 การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่ส่งผลต่อทรัพยากรธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิผิวโลกเป็นปัญหาส�าคัญ และมีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้นในแต่ละพื้นที่ รวมถึงส่งผลกระทบไปทั่วโลก เช่น เกิดคลื่นความ ร้อนเพิ่มขึ้นในพื้นที่ส่วนใหญ่ของทวีปยุโรป เอเชีย และออสเตรเลีย เกิดฝนหรือหิมะตกหนักถี่และ รุนแรงยิ่งขึ้นในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรป การแปรปรวนของฤดูกาลยังก่อให้เกิดภัยพิบัติทาง ธรรมชาติที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ ผลผลิตทางการ เกษตร กระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและเศรษฐกิจโดยรวม 1) การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่ส่งผลต่อทรัพยากรน�้า อุณหภูมิผิวโลกที่สูง ขึ้นท�าให้แผ่นน�้าแข็งและธารน�้าแข็งทั่วโลกละลายลงอย่างรวดเร็ว มีการคาดการณ์ว่าระดับน�้าทะเล จะเพิ่มสูงขึ้นถึง 90 เซนติเมตรในอีกไม่ถึงร้อยปี และหากอุณหภูมิยังคงเพิ่มสูงขึ้น แผ่นน�้าแข็ง ที่กรีนแลนด์และแอนตาร์กติกาจะละลายจนหมด และจะท�าให้ระดับน�้าทะเลเพิ่มสูงขึ้นหลายเมตร การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ มีผลกระทบที่รุนแรงมากต่อทรัพยากรน�้าทั่วโลก เนื่องจากความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ระหว่างภูมิอากาศและวัฏจักรของน�้า การเพิ่มอุณหภูมิของโลกจะ เพิ่มอัตราการระเหยและน�าไปสู่การเพิ่มปริมาณฝนและหิมะ มีผลท�าให้ปริมาณน�้าจืดเพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันความแห้งแล้งเกิดขึ้นบ่อยครั้ง หรือการตกของหิมะมากขึ้นในพื้นที่เขตหนาว รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของกระแสน�้าในมหาสมุทรแปซิฟิก หากลมค้าตะวันออกพัดแรงขึ้นก็จะ ท�าให้ทวีปเอเชียมีฝนตกมากขึ้น เรียกว่า “ลานีญา” แต่ถ้าลมค้าตะวันออกพัดอ่อนลงท�าให้กระแส น�้าอุ่นไหลใกล้ชายฝั่งทวีปอเมริกาใต้มากขึ้นท�าให้ทวีปเอเชียเกิดความแห้งแล้ง เรียกว่า “เอลนีโญ” อากาศเคลื่อนลงมา และความกดอากาศ ท�าให้อากาศแห้ง ลมค้าตะวันออก เฉียงใต้อ่อนก�าลังลง กระแสน�้าอุ่นไหลไป ทางทิศตะวันออก ไปสะสมที่อเมริกาใต้ ความกดอากาศต�่า เคลื่อนออกห่างฝั่ง ตะวันตกมากกว่าปกติ ลมค้าตะวันออกเฉียงใต้ มีก�าลังแรงกว่าปกติ การลอยตัวของมวลน�้าเย็น ท�าให้ลมค้าอ่อนก�าลังลง การลอยตัวของมวลน�้าเย็น ท�าให้ลมค้าอ่อนก�าลังลง พื้นผิวและทาง ชายฝั่งของแปซิฟิก เย็นกว่าปกติ กระแสน�้าอุ่นเคลื่อนตัว ออกจากฝั่งตะวันตก มากกว่าปกติ ความกดอากาศต�่าและ อากาศชื้น ท�าให้เกิด ฝนตกหนัก 84 ท�าให้ทวีปเอเชียมีฝนตกมากขึ้น เรียกว่า “ลานีญา” แต่ถ้าลมค้าตะวันออกพัดอ่อนลงท�าให้กระแส น�้าอุ่นไหลใกล้ชายฝั่งทวีปอเมริกาใต้มากขึ้นท�าให้ทวีปเอเชียเกิดความแห้งแล้ง เรียกว่า “เอลนีโญ” 1 2 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 18. ครูใหนักเรียนกลุมที่ื 3 ที่ทําการศึกษาและ สืบคนขอมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทาง กายภาพที่สงผลตอทรัพยากรธรรมชาติ ออกมานําเสนอผลการศึกษาคนควาที่หนา ชั้นเรียน โดยมีแผนที่ หรือเครื่องมือทาง ภูมิศาสตรอื่นๆ ประกอบการนําเสนอ 19. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเพิ่มเติม เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่สงผล ตอทรัพยากรธรรมชาติ แลวครูตั้งคําถามให นักเรียนชวยกันตอบ เชน • ผลกระทบของปรากฏการณลานีญา แตกตางจากเอลนีโญอยางไร (แนวตอบ ทําใหสภาพภูมิอากาศในบริเวณ โดยรอบมหาสมุทรแปซิฟกรุนแรง หรือ ยาวนานขึ้น กลาวคือ มีฝนตกหนัก หรือ ตกอยางยาวนาน สวนฤดูรอนมีอากาศ รอนและแหงแลงมากขึ้น เชน ในประเทศ ฟลิปปนส อินโดนีเซีย มีฝนตกหนักและ ยาวนาน อาจกอใหเกิดนํ้าทวมฉับพลัน สวนทางตะวันตกของสหรัฐอเมริกามีความ แหงแลงยาวนานกวาปกติ อยางไรก็ตาม ผลของปรากฏการณลานีญาสงผลตอ บริเวณที่หางไกลอยางทวีปแอฟริกา เชนเดียวกับปรากฏการณเอลนีโญ) นักเรียนควรรู 1 ลานีญา เปนปรากฏการณตรงขามกับเอลนีโญ คือ กระแสลมคา ตะวันออกเฉียงใตที่พัดไปทางทิศตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟกมีกําลังแรง ทําใหระดับนํ้าทะเลทางซีกตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟกสูงกวาสภาวะปกติ ลมคายกตัวเหนือประเทศอินโดนีเซีย ทําใหเกิดฝนตกหนัก แตบริเวณชายฝง ประเทศเปรู นํ้าเย็นใตมหาสมุทรยกตัวขึ้นแทนที่กระแสนํ้าอุนบริเวณชายฝง มหาสมุทรแปซิฟกทางซีกตะวันออก ทําใหเกิดธาตุอาหารและฝูงปลาชุกชุม 2 เอลนีโญ เมื่อเกิดปรากฏการณเอลนีโญ ทําใหฝนตกหนักในตอนเหนือ ของทวีปอเมริกาใตแตก็ทําใหเกิดความแหงแลงในเอเชียตะวันออกเฉียงใตและ ออสเตรเลียตอนเหนือ ทําใหเกิดไฟไหมปาอยางรุนแรงในประเทศอินโดนีเซีย ในบางป ครูตั้งประเด็นคําถามใหนักเรียน รวมกันอภิปรายวา การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพสงผลตอทรัพยากรธรามชาติใน ดานใดบาง และสงผลตอการดําเนินชีวิตประจําวันของเราอยางไร รวมถึงมีแนวทางปองกันหรือรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทาง กายภาพที่สงผลตอทรัพยากรธรรมชาติอยางไร นํา สอน สรุป ประเมิน T86


2) การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่ส่งผลต่อทรัพยากรดิน ดินเกิดขึ้นตาม ธรรมชาติจากการสลายตัวของหินและแร่ และการสลายตัวของสารอินทรีย์ วัตถุต้นก�าเนิดดินสลาย ตัวจากหินและแร่ ส่วนสารอินทรีย์สลายตัวได้ฮิวมัส จากนั้นวัตถุต้นก�าเนิดดินผสมกับฮิวมัส โดยมีพืชและสัตว์ช่วยให้กลายเป็นดิน ขั้นตอนของกระบวนการสร้างดินมี 2 ขั้นตอน คือ กระบวนการ สลายตัว คือ กระบวนการสลายตัวผุพังของหิน แร่ ซากพืช ซากสัตว์ ได้วัตถุต้นก�าเนิดดิน และ ฮิวมัส ตามล�าดับ และกระบวนการสร้างดิน คือ กระบวนการผสมคลุกเคล้าระหว่างวัตถุต้นก�าเนิดดิน กับฮิวมัส โดยมีพืชและสัตว์ต่าง ๆ ช่วย และบางครั้งเหตุการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ลม ฝน ก็ช่วย ท�าให้เกิดดินได้ ดินมีองค์ประกอบหลายประการที่ท�าให้วัตถุต้นก�าเนิดดินพัฒนากลายเป็นดิน ขึ้นมา ดินบางชนิดจะมีกระบวนการเกิดอยู่กับที่แต่บางชนิดจะเกิดจากกระบวนการเคลื่อนที่จาก ที่หนึ่งไปตกตะกอนทับถมอยู่อีกที่หนึ่ง ดินเกิดขึ้นได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยส�าคัญที่มีอิทธิพลต่อการก�าเนิด ดังนี้ 2.1) วัตถุต้นก�าเนิดดิน (parent material) ดินมีต้นก�าเนิดหลัก คือ หิน เมื่อหิน ชนิดต่าง ๆ แตกออกมาแร่ธาตุที่อยู่ในเนื้อหินก็จะมีการเปลี่ยนแปลง ท�าให้คอลลอยด์ของแร่ธาตุ ต่าง ๆ มีขนาดเล็ก ดินที่เกิดขึ้นใหม่เนื้อของดินจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับหินดานหรือวัตถุก�าเนิด ดินมากที่สุด แต่เมื่อระยะเวลาในการพัฒนาดินยาวนานขึ้น ดินอาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพ ของภูมิอากาศหรือปัจจัยด้านอื่น ๆ ได้ 2.2) ลักษณะภูมิประเทศ (landform) ลักษณะภูมิประเทศที่มีความลาดชันชั้นของ ดินที่ปรากฏอยู่จะบางมาก เพราะการชะพาของน�้าไหลกระท�าได้สะดวก ในบริเวณที่ราบการไหล ของน�้าจะช้าเป็นผลให้การชะพาของดินท�าได้ยาก ชั้นของดินจึงหนา บริเวณที่เป็นแอ่งหรือที่ลุ่ม ต�่าชั้นดินจะหนา เนื่องจากน�้าได้พัดพาเอาตะกอนจากบริเวณมาทับถมไว้ 2.3) เวลา (time) เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการก�าเนิดและพัฒนาดินอย่างหนึ่ง นับตั้งแต่การสลายตัวผุพังมาจากวัตถุต้นก�าเนิดดิน กว่าจะพัฒนาถึงขั้นสมบูรณ์ต้องใช้เวลา ยาวนาน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะด�าเนินไปอย่างต่อเนื่อง ดินที่เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ จะ เป็นดินใหม่ อย่างไรก็ตาม การก�าหนดระยะเวลาที่แน่นอนในการพัฒนาของดินถึงขั้นสมบูรณ์แบบ (maturity) เป็นเรื่องยากเพราะยังมีองค์ประกอบอื่นอีกหลายอย่างที่มาเกี่ยวข้อง ดินในเขต ภูมิอากาศชุ่มชื้นและพื้นที่เป็นทรายกว่าจะพัฒนาถึงขั้นสมบูรณ์แบบ ต้องใช้เวลาประมาณ 100 - 200 ปี 85 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม • ลักษณะและคุณสมบัติของดินในบริเวณ ตางๆ ของโลกแตกตางกันจากปจจัยใดบาง (แนวตอบ ปจจัยที่มีผลตอลักษณะและ คุณสมบัติของดินในบริเวณตางๆ ของโลก ไดแก ชนิดของวัตถุตนกําเนิด ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ สิ่งมีชีวิตในดิน รวมถึงระยะเวลา การเกิดของดิน) • โดยปกติทรัพยากรดินที่มีสวนประกอบที่ เหมาะสม จะประกอบดวยสิ่งใดบาง (แนวตอบ ประกอบดวยอนินทรียวัตถุ รอยละ 45 อินทรียวัตถุ รอยละ 5 นํ้า รอยละ 25 และอากาศ รอยละ 25) เกร็ดแนะครู ครูนําสนทนาเกี่ยวกับการใชดินในประเทศไทย แหลงเพาะปลูกสําคัญของ ประเทศ พืชเศรษฐกิจสําคัญ เชน ขาว ยางพารา ปาลมนํ้ามัน ผลไม มันสําปะหลัง แหลงเพาะปลูกกระจายทุกภาคของประเทศ ครูตั้งประเด็นอภิปราย เชน • สถานการณการใชดินในประเทศไทยเหมาะสมหรือไม อยางไร • เพื่อใหดินคงความอุดมสมบูรณ เกษตรกรควรมีหลักในการใชพื้นที่ อยางไร • การเกิดภัยธรรมชาติ เชน แผนดินถลม นํ้าทวม สงผลกระทบตอความ อุดมสมบูรณของดินอยางไร และควรฟนฟูอยางไรเพื่อใหดินมีความอุดมสมบูรณ นักเรียนเลือกศึกษาลักษณะของดินจากสถานที่ 1 แหง แลวอธิบายวาดินที่ศึกษามาจากพื้นดินที่ใด มีลักษณะเดนหรือ คุณสมบัติอยางไร และมีปจจัยใดบางที่สงผลตอลักษณะของดิน ที่ทําการศึกษา นํา สอน สรุป ประเมิน T87


2.4) ลักษณะภูมิอากาศ (climate) มีความส�าคัญต่อการก�าเนิดและพัฒนาของ ดินมากที่สุด องค์ประกอบทางภูมิอากาศที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับดิน ได้แก่ 1. ปริมาณฝน ความชื้นที่ได้รับจากน�้าฝนท�าให้เกิดกระบวนการทางเคมี ซึ่ง กระบวนการดังกล่าวท�าให้หินและแร่ธาตุสลายตัวกลายเป็นดินได้ โดยง่าย ส่วนดินที่เกิดแล้วจะ เปลี่ยนแปลงต่อไป 2. อุณหภูมิ เป็นองค์ประกอบทางภูมิอากาศที่มีอิทธิพลต่อการเกิดและพัฒนา ดิน 2 ประการ คือ การเกิดปฏิกิริยาทางเคมีของดิน กล่าวคือ ในเขตภูมิอากาศร้อนการกระท�าทาง เคมีของดินจะมากกว่าในเขตภูมิอากาศอบอุ่นหรือเขตเย็น แต่จะไม่เกิดขึ้นเลยในเขตภูมิอากาศ หนาวจัดที่พื้นดินปกคลุมด้วยน�้าแข็ง การกระท�าของแบคทีเรียจะอยู่ในอัตราที่สูงในดินที่มีอุณหภูมิ สูงในเขตภูมิอากาศร้อนชื้น แบคทีเรียจะบริโภคซากพืช ซากสัตว์ ที่เน่าเป่อยผุพังอยู่ในดิน เกือบหมด จึงท�าให้เหลือปริมาณขุยอินทรีย์ในดินอยู่ในเกณฑ์ต�่า ส่วนเขตภูมิอากาศอบอุ่นแบคทีเรีย จะลดน้อยลงจึงท�าให้ซากพืช ซากสัตว์มีโอกาสสะสมอยู่ในดินมากขึ้น ดินจึงค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ มากกว่าในเขตร้อน 3. ลม เป็นตัวการช่วยท�าให้อัตราการระเหยของน�้าและความชื้นในดินเพิ่มขึ้น และขณะเดียวกันก็จะพัดพาเอาหน้าดินไป นอกจากนี้ ลมยังช่วยท�าให้วัตถุต้นก�าเนิดดินแตกออก และพัฒนาเป็นดินในล�าดับต่อไป 2.5) ปจจัยด้านชีววิทยา ทั้งพืชและสัตว์จะมีอิทธิพลต่อการพัฒนาดินอย่างมาก พืชที่ขึ้นปกคลุมพื้นดินเมื่อตายไปช่วยเพิ่มขุยอินทรีย์ในดิน อินทรีย์ในดินช่วยดักจับประจุไฟฟ้า เช่นเดียวกับแร่ธาตุชนิดอื่น ๆ การพัฒนาขุยอินทรีย์เกิดจากกระบวนการออกซิเดชันขึ้นกับซากพืช และซากสัตว์อย่างช้า ๆ เมื่อความชื้นเข้าเกี่ยวข้องกลายเป็นกรดอย่างอ่อน ๆ เรียกว่า “กรดอินทรีย์” กรดดังกล่าวช่วยในการสลายวัตถุต้นก�าเนิดดินให้กลายเป็นดินต่อไป ส�าหรับอิทธิพลของสัตว์ และพืชที่มีต่อการพัฒนาดิน มีผลท�าให้โครงสร้างของดินเปลี่ยนแปลงไป เช่น ไส้เดือนช่วยท�าให้ ดินร่วนซุย ดินร่วนซุยที่มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเจริญเติบโตของพืช 86 กิจกรรม ทาทาย และขณะเดียวกันก็จะพัดพาเอาหน้าดินไป นอกจากนี้ ลมยังช่วยท�าให้วัตถุต้นก�าเนิดดินแตกออก 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม • อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นสงผลใหเกิดการ เปลี่ยนแปลงของดินอยางไร (แนวตอบ เมื่ออุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น จะทําให แบคทีเรียที่อาศัยอยูในดินเจริญเติบโตไดดี เนื่องจากสามารถบริโภคซากพืช ซากสัตว ที่เนาเปอยผุพังอยูในดินเกือบหมด ทําให ดินมีปริมาณขุยอินทรียอยูในเกณฑตํ่า เชน ดินในเขตภูมิอากาศรอนชื้น สงผลใหดิน มีความอุดมสมบูรณนอยกวาในบริเวณ เขตภูมิอากาศอบอุนซึ่งมีจํานวนแบคทีเรีย ในดินนอยกวา) นักเรียนสืบคนขอมูลเกี่ยวกับการอนุรักษและฟนฟูสภาพดิน จากแหลงเรียนรูตางๆ จากนั้นใหนักเรียนเขียนสรุปความรู แลวนํามาอภิปรายหนาชั้นเรียน เกร็ดแนะครู ครูควรนําตัวอยางดินลักษณะตางๆ เชน ดินรวน ดินเหนียว ดินทราย มาแสดงใหนักเรียนเห็น พรอมอธิบายเชื่อมโยงกับปจจัยดานตางๆ ที่ทําใหดิน มีความแตกตางกัน และอธิบายเพิ่มเติมถึงคุณสมบัติและการนําดินแตละชนิด ไปใชใหเกิดประโยชน นักเรียนควรรู 1 วัตถุตนกําเนิดดิน ไดแก หินพื้น (parent rock) อินทรียวัตถุ ผิวดินดั้งเดิม หรือชั้นหินตะกอนที่เกิดจากการพัดของนํ้า ลม ธารนํ้าแข็ง ภูเขาไฟ หรือวัตถุที่ เคลื่อนที่ลงมาจากพื้นที่ลาดชัน นํา สอน สรุป ประเมิน T88


ลานหิน และมอสส และไลเคน วัชพืช ลมลุก และหญา ไมยืนตน ไมโตเร็ว ตนไมใหญ ปาสมบูรณ ไมพุม ขั้นแรก ขั้นสอง ขั้นสาม ขั้นสุดทาย ระยะเวลา 3) การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่ส่งผลต่อทรัพยากรพืชพรรณ มีสาเหตุ ส�าคัญพอสรุปได้ 4 ประการ ได้แก่ 1. ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา อาจท�าให้เกิดธารน�้าแข็ง ภูเขาไฟปะทุ แผ่นดินไหว และสึนามิ ล้วนเป็นสาเหตุให้ดุลธรรมชาติในกลุ่มสิ่งมีชีวิตเสียไป 2. ปัจจัยจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศอย่างรุนแรง ท�าให้เกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ท�าให้สภาพแวดล้อมแปรเปลี่ยนไป สิ่งมีชีวิตถูกท�าลายไปแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงแทนที่ขึ้นใหม่ 3. ปัจจัยจากการกระท�าของมนุษย์ ได้แก่ การตัดไม้ท�าลายป่า การท�าไร่เลื่อนลอย ภาวะมลพิษที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม การสร้างเขื่อนหรือฝายกั้นน�้า และอื่น ๆ มีผลท�าให้ สภาพแวดล้อมแปรเปลี่ยนไป ดุลธรรมชาติถูกท�าลาย เกิดโรคระบาด แมลงศัตรูพืชระบาด ท�าให้ สิ่งมีชีวิตล้มตาย จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงแทนที่ของกลุ่มสิ่งมีชีวิตขึ้นใหม่อีก 4. ปฏิกิริยาของสิ่งมีชีวิตที่มีต่อแหล่งที่อยู่อาศัย เพราะกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ ท�าให้สิ่งแวดล้อมบริเวณนั้น เช่น อุณหภูมิ ความเข้มข้นของแสง ความชื้น ความเป็นกรด ด่าง ของพื้นดินหรือแหล่งน�้า และอื่น ๆ เปลี่ยนไปทีละเล็กละน้อย จนในที่สุดไม่เหมาะสมต่อสิ่งมีชีวิต กลุ่มเดิม เกิดการเปลี่ยนแปลงแทนที่โดยกลุ่มสิ่งมีชีวิตใหม่ที่เหมาะสมกว่า การแทนที่ของสิ่งมีชีวิต เป็นการเปลี่ยนแปลงของชนิดหรือชุมชนในระบบนิเวศ ตามกาลเวลา การเปลี่ยนแปลงแทนที่แบ่งได้ 2 ประเภท ดังนี้ 1. การเปลี่ยนแปลงแทนที่ขั้นปฐมภูมิ (primary succession) คือ การ เปลี่ยนแปลงแทนที่ในพื้นที่ที่ไม่เคยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่มาก่อนเลย ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ การแทนที่บนพื้นที่ว่างเปล่าบนบก มี 2 ลักษณะ คือ การเกิดแทนที่บนก้อนหินที่ว่างเปล่า เริ่มจาก ขั้นแรก เกิดสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว เช่น สาหร่ายสีเขียวหรือไลเคนบนก้อนหินนั้น ต่อมาหินเริ่ม สึกกร่อน เนื่องจากความชื้นและสิ่งมีชีวิตบนก้อนหินนั้น จากการสึกกร่อนท�าให้เกิดอนุภาคเล็ก ๆ ของดิน ทราย และเจือปนด้วยสารอินทรีย์ของซากสิ่งมีชีวิตที่สะสมเพิ่มขึ้น จากนั้นจึงเกิดพืช จ�าพวกมอสส์ตามมา ขั้นที่สอง พืชที่เกิดต่อมาเป็นพวกหญ้าและพืชล้มลุก มอสส์จะหายไป ขั้นที่สาม เกิดไม้พุ่มและต้นไม้เข้ามาแทนที่ ไม้ยืนต้นในระยะแรกเป็นไม้โตเร็ว ชอบแสงแดด พืชเล็ก ๆ ค่อย ๆ หายไปเนื่องจากถูกบดบังแสงแดดจากต้นไม้ที่โตกว่า และขั้นสุดท้าย เป็นขั้นชุมชนสมบูรณ์ เป็นชุมชนของกลุ่มมีชีวิต ที่เติบโตสมบูรณ์แบบ มีลักษณะคงที่ มีความสมดุลในระบบ คือ ต้นไม้ได้วิวัฒนาการไปเป็นไม้ ใหญ่ และมีสภาพเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ ภาพแสดงการเปลี่ยนแปลงแทนที่ขั้นปฐมภูมิ 87 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 20. สมาชิกแตละกลุมรวมกันทําใบงานที่ 2.5 เรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่สงผล ตอภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และทรัพยากร ธรรมชาติ เฉลยและอภิปรายสรุปรวมกัน 21. นักเรียนทําแบบฝกสมรรถนะฯ ภูมิศาสตร ม.4-6 เรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ที่สงผลตอภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และ ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อทดสอบความรู เพิ่มเติม 22. นักเรียนในชั้นเรียนรวมกันสรุปเกี่ยวกับการใช เครื่องมือทางภูมิศาสตร และเครื่องมือดาน เทคโนโลยีในการสืบคนการเปลี่ยนแปลงทาง กายภาพที่สงผลตอภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และทรัพยากรธรรมชาติ และรวมกันสรุป สาระสําคัญเพื่อตอบคําถามเชิงภูมิศาสตร นักเรียนสืบคนพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงจากสาเหตุตางๆ เชน ภัยพิบัติ การบุกรุกพื้นที่เพื่อทําการเกษตร การตัดถนน การสรางเขื่อน 1 แหง แลววิเคราะหในประเด็น • สภาพพื้นที่ปจจุบัน • สาเหตุการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ • ผลกระทบตอมนุษยและสิ่งแวดลอม • การฟนฟูและแกไขปญหา เกร็ดแนะครู ครูอาจจัดกิจกรรมใหนักเรียนแบงกลุม จับสลาก เลือกสาเหตุที่กอใหเกิด การเปลี่ยนแปลงที่สงผลตอทรัพยากรพืชพรรณ แลวรวมกันสรางแบบจําลอง ที่แสดงใหเห็นถึงสาเหตุและผลกระทบที่จะเกิดขึ้น โดยคนควาขอมูลจาก แหลงการเรียนรูอื่นประกอบกับขอมูลในหนังสือเรียน นํา สอน สรุป ประเมิน T89


ขั้นแรก 1-4 ป พื้นที่รกราง จากไฟปา วัชพืช เมล็ดพันธุ หญา พืชลมลุก ไมพุมและ ไมยืนตนโตเร็ว ขั้นสอง 5-150 ป ขั้นสุดทาย 150 ปขึ้นไป ระยะเวลา ไมยืนตนขนาดใหญ พืชดั้งเดิม พืชทองถิ�น แพลงกตอน สาหรายเซลลเดียว สาหราย ปลากินพืช หอย อินทรียสารทับถม ตนกก ออ กบ กุง อินทรียสารทับถมมาก สระตื้นเขินในหนาแลง สระตื้นจนกลายสภาพ เปนพื้นดินและปา ขั้นแรก ขั้นสอง ขั้นสาม ขั้นสี่ ขั้นสุดทาย ระยะเวลา การเปลี่ยนแปลงแทนที่ในแหล่งน�้า ขั้นแรก บริเวณพื้นก้นสระ สิ่งมีชีวิต ที่เกิดขึ้นระยะแรก เช่น แพลงก์ตอน สาหร่ายเซลล์เดียว ขั้นที่สอง เกิดการสะสมสารอินทรีย์ขึ้น จากนั้นเริ่มเกิดพืชใต้น�้าประเภทสาหร่าย และสัตว์เล็ก ๆ เช่น ปลากินพืช หอย ตัวอ่อนของแมลง ขั้นที่สาม มีอินทรียสารทับถมเพิ่มมากขึ้น เกิดพืชมีใบโผล่พ้นน�้า เช่น กก พง อ้อ จากนั้นเกิดสัตว์ จ�าพวกหอยโข่ง กบ เขียด กุ้ง และวิวัฒนาการมาจนถึงที่มีสัตว์มากชนิดขึ้น ปริมาณออกซิเจน ถูกใช้มากขึ้น ขั้นที่สี่ อินทรียสารที่สะสมอยู่ที่บริเวณก้นสระจะเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่สระตื้นเขินใน หน้าแล้ง เกิดต้นหญ้า ขั้นสุดท้าย เป็นชั้นชุมชนสมบูรณ์ สระน�้านั้นจะตื้นเขินจนกลายสภาพเป็น พื้นดิน ท�าให้เกิดการแทนที่พืชบกและสัตว์บก และวิวัฒนาการจนกลายเป็นป่าไปได้ในที่สุด 2. การเปลี่ยนแปลงแทนที่ขั้นทุติยภูมิ (secondary succession) เป็นการ เปลี่ยนแปลงในพื้นที่ที่เคยมีสิ่งมีชีวิตอยู่ก่อนแล้ว แต่ถูกท�าลายหรือรบกวนถิ่นที่อยู่ เช่น ในพื้นที่ ที่พืชถูกก�าจัดและการถูกท�าลายโดยภัยธรรมชาติ เช่น ไฟป่า การเปลี่ยนแปลงขั้นทุติยภูมิมัก ฟนตัวได้รวดเร็วกว่าการเปลี่ยนแปลงขั้นปฐมภูมิ เนื่องจากเมล็ดพันธุ์ยังคงหลงเหลือสะสมอยู่ในดิน รากในดินไม่ถูกท�าลาย ตอไม้และส่วนอื่น ๆ ที่ถูกท�าลายสามารถฟนตัวได้รวดเร็ว โครงสร้างดิน สามารถเปลี่ยนแปลงและฟนตัวจากการโดนท�าลายได้ ท�าให้พืชพันธุ์เจริญเติบโตได้ดีขึ้น ภาพแสดงการเปลี่ยนแปลงแทนที่ขั้นทุติยภูมิ ภาพแสดงการเปลี่ยนแปลงแทนที่ในแหล่งน�้า 88 ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 23. ใหนักเรียนทําชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) การจัดปายนิเทศแสดงผลการสืบคนขอมูล เรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของโลก 24. นักเรียนทําแบบวัดฯ ภูมิศาสตร ม.4-6 เรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่สงผล ตอภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และทรัพยากร ธรรมชาติ เพื่อทดสอบความรูที่ไดศึกษามา ขั้นสรุป ครูและนักเรียนรวมกันสรุปความรู หรือใช PPT สรุปสาระสําคัญ ขั้นประเมิน 1. ครูประเมินผลโดยสังเกตจากการตอบคําถาม การรวมกันทํางาน และการนําเสนอผลงาน หนาชั้นเรียน 2. ครูตรวจสอบผลจากการทําใบงาน แบบวัดฯ และแบบฝกสมรรถนะฯ ภูมิศาสตร ม.4-6 3. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียน หนวยการเรียนรูที่ 2 เรื่อง การเปลี่ยนแปลง ทางกายภาพของโลก คําชี้แจง อานขอความ แลวเขียนแสดงการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพลงในแผนที่ โดยใชกระบวนการภูมิศาสตรใหถูกตอง Activity Geo- Literacy กิจกรรมที่ 2 Pskn. ในอนาคตอันใกลเกิดภาวะโลกรอนรุนแรงมาก สงผลใหระดับนํ้าทะเลเพิ่มสูงขึ้น 100 เมตร ลักษณะ ทางภายภาพของผิวโลกเปลี่ยนแปลงไปมาก นักภูมิศาสตรตองทําการศึกษาภูมิศาสตรของโลกใหมอีกครั้ง สวน ในประเทศไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพโดยหลายพื้นที่ถูกนํ้าทะเลทวม นักเรียนคิดวาภูมิประเทศของ ประเทศไทยจะเปนเชนไร พื้นที่ใดจะเหมาะสมตอการตั้งถิ่นฐาน Geo Skill • การแปลความขอมูลทางภูมิศาสตร • การคิดเชิงพื้นที่ ส 5.1 ม.4-6/1 ฉบับ เฉลย Pskn. ไดรับความชุมชื้นมากขึ้น เน��องจากอยูติดทะเล ถูกน้ำทะเล ทวมทั้งหมด ที่ราบชายฝงทะเล เกาะคาดามอน เกาะมลายู เกาะนครศรีธรรมราช เกาะสุราษฎรธาน� ทิวเขา แนวเหน�อใต ที่ราบอีสานใหญ กรุงโคราช ผาริมทะเล ºÃÔàdzÀÒ¤µÐÇѹÍÍ¡- à©Õ§à˹×Í ÀÒ¤à˹×Í ÀÒ¤µÐÇѹµ¡ ·ÕèÃÒºÃÐËNjҧ ËØºà¢Ò ·ÕèÃÒºã¹á¼‹¹´Ô¹à´ÔÁ ¡ÅÒÂ໚¹¾×é¹·Õè »ÅÍ´ÀÑ ÁÕ·ÕèÃÒºÁÕÅØ‹Á¹íéÒ ä´ŒÃѺ¤ÇÒÁª×鹨ҡ·ÐàÅÁÒ¡¢Öé¹ ¾×é¹·ÕèºÃÔàdzÀÒ¤¡ÅÒ§µÍ¹º¹¨¹¶Ö§ÀҤ㵌 ÃÇÁ¶Ö§ºÃÔàdzÀÒ¤µÐÇѹÍÍ¡¨ÐËÒÂä»à¾ÃÒж١ ¹íéÒ·‹ÇÁ ฉบับ เฉลย (แนวตอบ) 28 แบบวัดฯ พื้นที่เหมาะสมต่อการตั้งถิ่นฐาน ไดแก ........................................................... ............................................................................ ............................................................................ ............................................................................ เพราะ ......................................................... ............................................................................ ............................................................................ การเปลี่ยนแปลงทางภูมิประเทศ ....................................................................................................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................................................................................................... อาวไทย แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถวัดและประเมินความเขาใจเนื้อหา เรื่อง การเปลี่ยนแปลงทาง กายภาพที่สงผลตอภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และทรัพยากรธรรมชาติ ไดจาก การตอบคําถาม การรวมกันทํางาน และการนําเสนอผลงานหนาชั้นเรียน โดยศึกษา เกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินการนําเสนอผลงานที่แนบมาทาย แผนการจัดการเรียนรูหนวยที่ 2 เรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของโลก แบบประเมินการน าเสนอผลงาน ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินผลการน าเสนอผลงานของนักเรียนตามรายการ แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/................./................ เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 12 - 15 ดี 8 - 11 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง ล าดับที่ รายการประเมินระดับคะแนน 3 2 1 1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 การล าดับขั้นตอนของเรื่อง 3 วิธีการน าเสนอผลงานอย่างสร้างสรรค์ 4 การใช้เทคโนโลยีในการน าเสนอ 5 การมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม รวม กิจกรรม 21st Century Skills นักเรียนสืบคนขาวที่เกี่ยวของกับการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ของโลก จากนั้นวิเคราะหถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากขาว ผาน การตั้งคําถาม หรือสถานการณ แลวอภิปรายคําตอบ พรอมทั้งเสนอ แนะขอคิดเห็นรวมกัน เชน “เรามักไดยินขาวการเกิดไฟปาทางตะวันตกของสหรัฐอเมริกา แถบรัฐแคลิฟอรเนียอยูบอยๆ ที่พื้นที่ไดรับความเสียหายจาก ไฟไหม” นักเรียนคาดวาจะมีการเปลี่ยนแปลงแทนที่ของพืช ชนิดใดเกิดขึ้นบาง (แนวตอบ เมื่อเกิดไฟไหม ปาที่ถูกทําลายไมมากหรือเพิ่งถูก ทําลายจะเหลือกลาไมและเมล็ดอยูในดินจํานวนหนึ่งไวเปนตนทุน ในการฟนฟู เมื่อเวลาผานไป จะเกิดการฟนฟูตัวเองโดยผาน กระบวนการเปลี่ยนแปลงแทนที่ จากขั้นแรก จะมีพืชจําพวก มอสส หญา วัชพืช ขั้นที่สอง มีพืชตระกูลไมพุม ไมลมลุก ขั้นที่สาม มีพืชยืนตนขนาดเล็ก และขั้นสุดทาย พืชดั้งเดิม ไมยืนตน) นํา สอน สรุป ประเมิน T90


ค�าถามเนนการคิด กิจกรรมพัฒนาทักษะ 1. กระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลก ท�าให้ลักษณะทางกายภาพเปลี่ยนแปลงอย่างไร อธิบาย พร้อมยกตัวอย่างประกอบ 2. บรรยากาศมีความส�าคัญต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกอย่างไร 3. ปรากฏการณ์เรือนกระจกมีผลอย่างไรต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก แก้ไขได้อย่างไร 4. การไหลเวียนของกระแสน�้าพื้นผิวในมหาสมุทรมีความส�าคัญต่อมนุษย์อย่างไร 5. การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพมีผลต่อทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างไรบ้าง อธิบายพร้อมยก ตัวอย่างประกอบ 1. กระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลก ท�าให้ลักษณะทางกายภาพเปลี่ยนแปลงอย่างไร อธิบาย 2. บรรยากาศมีความส�าคัญต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกอย่างไร 3. ปรากฏการณ์เรือนกระจกมีผลอย่างไรต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก แก้ไขได้อย่างไร 4. การไหลเวียนของกระแสน�้าพื้นผิวในมหาสมุทรมีความส�าคัญต่อมนุษย์อย่างไร 5. การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพมีผลต่อทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างไรบ้าง อธิบายพร้อมยก 1. ศึกษาปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สนใจของประเทศไทยและต่างประเทศ เช่น แผ่นดินไหว ของประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่น ในประเด็นต่อไปนี้ • ความเหมือนและความแตกต่างของปรากฏการณ์ • สาเหตุของความแตกต่างของปรากฏการณ์ 2. เลือกสืบค้นข้อมูลปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงทางด้านธรณีภาค บรรยากาศภาค อุทกภาค และชีวภาคของโลกหรือของประเทศไทย 1 ปรากฏการณ์ ในประเด็นต่อไปนี้ • สาเหตุและปัจจัยการเปลี่ยนแปลง • ผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม • ผลกระทบต่อมนุษย์ 3. ร่วมกันอภิปรายและวิเคราะห์ถึงการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในปัจจุบันว่ามีสาเหตุมาจากอะไร มีผลกระทบอย่างไร และมีวิธีการป้องกันอย่างไร 1. ศึกษาปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สนใจของประเทศไทยและต่างประเทศ เช่น แผ่นดินไหว 2. เลือกสืบค้นข้อมูลปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงทางด้านธรณีภาค บรรยากาศภาค อุทกภาค 3. ร่วมกันอภิปรายและวิเคราะห์ถึงการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในปัจจุบันว่ามีสาเหตุมาจากอะไร 89 เฉลย คําถามเนนการคิด 1. กระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลกทําให เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เชน ทําให เกิดแผนดินไหว ซึ่งเปนการสั่นสะเทือนของ เปลือกโลกที่เกิดจากการปรับตัวใหสมดุล ของแผนเปลือกโลก เปนการปลอยพลังงาน ความเครียดที่สะสมออกมาอยางรวดเร็วจาก การเคลื่อนที่ของรอยเลื่อนใตเปลือกโลก 2. ความสําคัญของบรรยากาศ เชน ทําให เกิดปรากฏการณทางลมฟาอากาศ อากาศ ใกลผิวโลกชั้นโทรโพสเฟยร มีไอนํ้ามาก ทําใหเกิดปรากฏการณทางลม ฟา อากาศ เชน ลมพายุ เมฆ ฝน มีความสําคัญตอ เกษตรกรรม ธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ทําให มีแกสออกซิเจนเพียงพอตอการหายใจ มีแกส คารบอนไดออกไซดซึ่งมีมากในบรรยากาศ ชั้นลางสุดใชในการสังเคราะหดวยแสงของพืช ซึ่งเปนแหลงอาหารสําคัญของมนุษยและสัตว 3. ผลกระทบจากปรากฏการณเรือนกระจก เชน เกิดภาวะโลกรอนสงผลกระทบตอปริมาณ ฝนมาก และแลง อุณหภูมิสูงขึ้น ทําใหแหลง อาหารลดลง สงผลตอสุขภาพมนุษยจาก อากาศที่รอนขึ้น เกิดการแพรของโรคระบาด 4. การไหลเวียนของกระแสนํ้าในมหาสมุทรมี ความสําคัญ เชน สงผลตออุณหภูมิของอากาศ บนผืนดิน เนื่องจากอากาศเหนือกระแสนํ้าอุน จะอุน อากาศเหนือกระแสนํ้าเย็นจะเย็น ทําให อุณหภูมิของอากาศบนผืนดินเปลี่ยนแปลงไป ตามอุณหภูมิของกระแสนํ้า เชน กระแสนํ้า อุนแอตแลนติกเหนือที่ไหลเลียบฝงตะวันตก ของทวีปยุโรปจะทําใหในฤดูหนาวอากาศจะ ไมหนาวจัด 5. การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่สงผลตอ ทรัพยากรธรรมชาติ เชน การที่อุณหภูมิผิวโลก สูงขึ้น ทําใหนํ้าแข็งขั้วโลกละลายเร็วขึ้น สงผลใหระดับนํ้าทะเลสูงขึ้น เฉลย แนวทางประเมินกิจกรรมพัฒนาทักษะ ประเมินความรอบรู • ใชในการประเมินความรอบรูในหลักการพื้นฐาน กระบวนการความสัมพันธของขั้นตอนการปฏิบัติงาน รวมถึงทักษะการคิดในเรื่องตางๆ โดยทั่วไป งานหรือชิ้นงานใชเวลาไมนาน งานสําหรับประเมินรูปแบบนี้อาจเปนคําถามปลายเปดหรือผังมโนทัศน นิยมสําหรับประเมินผูเรียนรายบุคคล ประเมินความสามารถ • เชน ความคลองแคลวในการใชเครื่องมือทางภูมิศาสตร การแปลความหมายขอมูล ทักษะการตัดสินใจ ทักษะการแกปญหา งานหรือชิ้นงานจะสะทอนถึง ทักษะและระดับความสามารถในการนําความรูไปใช อาจเปนการประเมินการเขียน ประเมินกระบวนการทํางานทางภูมิศาสตรตางๆ หรือการวิเคราะห และการแกปญหา ประเมินทักษะ • มีเปาหมายหลายประการ ผูเรียนไดแสดงทักษะ ความสามารถทางภูมิศาสตรตางๆ ที่ซับซอนขึ้น งานหรือชิ้นงานมักเปนโครงงานระยะยาว ซึ่งผูเรียน ตองมีการนําเสนอผลการปฏิบัติงานตอผูเกี่ยวของหรือตอสาธารณะ สิ่งที่ตองคํานึงถึงในการประเมิน คือ จํานวนงานหรือกิจกรรมที่ผูเรียนปฏิบัติ และผูประเมินควรกําหนดรายการประเมิน และทักษะที่ตองการประเมินให ชัดเจน นํา สอน สรุป ประเมิน T91


Click to View FlipBook Version