180 160 140 120 100 80 60 40 20 0 ระดับความสูง (กิโลเมตร) อุณหภูมิของอากาศ ( �c) -120 -60 0 60 120 1 โทรโพสเฟยร์ (troposphere) 2 สแตรโทสเฟยร์ (stratosphere) 3 เมโซสเฟยร์ (mesosphere) 4 เทอร์โมสเฟยร์ (thermosphere) สแตรโทพอส (stratopause) โทรโพพอส (tropopause) เมโซพอส (mesopause) ชั้นโอโซน (O3 ) 2.2 ชั้นบรรยากาศ บรรยากาศเป็นชั้นอากาศที่หุ้มห่อโลกและอยู่ได้ด้วยแรงดึงดูดของโลก มีขอบเขตจาก พื้นผิวโลกขึ้นไปประมาณ 400 กิโลเมตร เนื่องจากอากาศเป็นสสาร ดังนั้น แรงดึงดูดโลกจึงท�าให้ อากาศที่ระดับทะเลปานกลางมีความหนาแน่นของอากาศมากที่สุด การแบ่งชั้นบรรยากาศโดยใช้ลักษณะการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของอากาศเป็นเกณฑ์ มี 4 ชั้น ดังนี้ 40 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร 1. ครูใหนักเรียนดูภาพการแบงชั้นบรรยากาศ จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 จากนั้น ใหนักเรียนลองบอกสิ่งที่เห็นจากสายตา 2. ครูใหนักเรียนดูคลิปวิดีโอที่เกี่ยวของกับ การแบงชั้นบรรยากาศของโลก จากนั้นครูถาม คําถามกระตุนความคิดโดยใหนักเรียนรวมกัน ตอบคําถาม เชน • บรรยากาศของโลกมีลักษณะอยางไร (แนวตอบ บรรยากาศของโลกเปนอากาศ ที่หอหุมโลกซึ่งประกอบดวยแกสตางๆ ไอนํ้า และฝุนละออง) สื่อ Digital ครูใหนักเรียนดูคลิปวิดีโอเรื่องชั้นบรรยากาศของโลก เพื่อใหนักเรียน เกิดความรู ความเขาใจ เกี่ยวกับการแบงชั้นบรรยากาศโดยใชเกณฑลักษณะ การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของอากาศ เชน จาก https://www.youtube.com/ watch?v=fyfN9t_E0w8 ศึกษาคนควาขอมูลเพิ่มเติม เรื่อง โครงสรางชั้นบรรยากาศของโลก ไดที่ https://www.youtube.com/watch?v=WaikvaAw2nk นักเรียนศึกษาขอมูลชั้นบรรยากาศแลวออกแบบ infographic ซึ่งประกอบดวยชั้นบรรยากาศทั้ง 4 ชั้น คือ โทรโพสเฟยร สแตรโทสเฟยร เมโซสเฟยร เทอรโมสเฟยร ระบุความสูงของและ อุณหภูมิของแตละชั้นใหถูกตอง โดยดูรูปแบบจากในหนังสือเรียน เปนตัวอยาง กิจกรรม สรางเสริม นักเรียนฝกอาน วิเคราะห แปลความหมาย infographic การแบงชั้นบรรยากาศจากหนังสือเรียน ในประเด็น ชื่อชั้น บรรยากาศ ระดับความสูง อุณหภูมิ และลักษณะเฉพาะของ แตละชั้นบรรยากาศ นํา สอน สรุป ประเมิน T42
ขอสอบเนน การคิด การพาความรอนบริเวณขั้วโลกมีนอย ลม กระแสอากาศ การพาความรอน บริเวณศูนยสูตรมีมาก จึงเกิดเมฆคิวมูโลนิมบัส และอากาศแปรปรวน การพาความรอน บริเวณศูนยสูตรมีมาก จึงเกิดเมฆคิวมูโลนิมบัส และอากาศแปรปรวน 9 กม. โทรโพพอส โทรโพสเฟยรสแตรโทสเฟยร 17 กม. 15 14 13 12 11 10 9 8 7 6 5 4 3 2 1 ระดับความสูง (กิโลเมตร) อุณหภูมิ (องศาเซลเซียส) ผิวโลก -10-20-30-40-60 -50 0 10 โทรโพสเฟยร โทรโพพอส อตัราเปลย่ีนอณุ หภมูติามสงู 6.4 Cํตอ 1,000 ม. บริเวณที่อากาศ ไมมีเมฆและพายุ บริเวณที่เกิด อากาศแปรปรวน และพายุในเมฆ คิวมูโลนิมบัส อุณหภูมิคงที่และสูงขึ้น เมื่อความสูงเพิ�มขึ้น สแตรโทสเฟยร อัตราเปลี่ยนอุณหภูมิตามความสูงในบรรยากาศ ชั้นโทรโพสเฟียร์ 2.1) โทรโพสเฟยร์ (troposphere) ชั้นบรรยากาศของโลกที่อยู่ติดกับพื้นผิวโลก ขึ้นไป มีระดับความสูงจากพื้นโลก ณ บริเวณเส้นศูนย์สูตรประมาณ 17 กิโลเมตร และบริเวณ ขั้วโลก ประมาณ 9 กิโลเมตร ลักษณะเฉพาะ • อุณหภูมิต�่าลงตามความสูงในอัตราเฉลี่ย 6.4 องศาเซลเซียส ต่อ 1,000 เมตร จนถึงแนวแบ่งเขตบรรยากาศ ที่เรียกว่า โทรโพพอส (tropopause) • อากาศมีการเคลื่อนที่ทั้งในแนวราบและ แนวดิ่ง สภาพอากาศชั้นนี้มีไอน�้า เมฆ หมอก ฝน หิมะ พายุ และอากาศ แปรปรวน ลักษณะเฉพาะ ขอบเขตของบรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์ที่มีความชื้นของอากาศในรูปเมฆ และการเคลื่อนที่ของอากาศในแนวระดับและแนวตั้ง 41 ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร • เมฆ หมอก ฝน หิมะ พายุ หรืออากาศที่ แปรปรวน มักเกิดขึ้นในชั้นบรรยากาศใด (แนวตอบ ชั้นบรรยากาศที่กอใหเกิดเมฆ หมอก ฝน หิมะ พายุ หรืออากาศที่แปรปรวน คือ ชั้นโทรโพสเฟยร เปนชั้นบรรยากาศที่ อยูติดกับพื้นผิวโลก ณ บริเวณเสนศูนยสูตร ประมาณ 17 กิโลเมตร และบริเวณขั้วโลก ประมาณ 9 กิโลเมตร) • การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกมีผลตอการเกิด พายุหมุนหรือไม อยางไร (แนวตอบ นักภูมิศาสตรไดสันนิษฐานวา อุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลง ของปรากฏการณเรือนกระจก มีผลทําให พายุหมุนในบริเวณตางๆ ของโลกเกิดขึ้น บอยครั้งและรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากสงผล ใหความกดอากาศตํ่าที่มีกระแสหมุนเวียน เขาหาศูนยกลางอยางรวดเร็วและรุนแรงขึ้น สงผลใหเกิดพายุหมุนในบริเวณตางๆ ของโลก ทั้งไตฝุนในทะเลจีนใต ไซโคลนในอาวเบงกอล และเฮอรริเคนในทะเลแคริบเบียน) เกร็ดแนะครู ครูใหขอมูลเพิ่มเติมวา บรรยากาศชั้นโทรโพสเฟยรมักปรากฏสภาพอากาศ รุนแรง เนื่องจากมีมวลอากาศหนาแนน การเปลี่ยนสถานะของนํ้า ทําใหเกิด การดูดและคายความรอนแฝง ลักษณะทางภูมิประเทศของพื้นผิวโลก เชน ภูเขา ทะเลทราย มหาสมุทร ยังสงผลกระทบตอตัวแปรตางๆ ของอากาศดวย เชน อุณหภูมิ ความชื้น กระแสลม ความกดอากาศ เพราะเหตุใดบรรยากาศชั้นโทรโพสเฟยรจึงมักเกิดปรากฏการณ ทางธรรมชาติบอยครั้ง (แนวตอบ เพราะชั้นโทรโพสเฟยร เปนชั้นบรรยากาศชั้นลางสุด สูงจากผิวโลก 8-15 กิโลเมตร มีอิทธิพลตอสิ่งแวดลอมมากที่สุด อากาศที่มนุษยหายใจคืออากาศชั้นนี้ รวมถึงเมฆ พายุ ลม และ ลักษณะอากาศตางๆ ก็เกิดขึ้นในบรรยากาศชั้นนี้เชนเดียวกัน อุณหภูมิจะเปลี่ยนแปลงบอยครั้งและเร็วกวาบรรยากาศชั้นอื่นๆ ทําใหเกิดปรากฏการณทางธรรมชาติ) นํา นํา สอน สอ สรุป ประเมิน T43
ขอสอบเนนการคิด แสงออโรราเป็นปรากฏการณ์ทางแสงที่เกิดขึ้นแถบขั้วโลก 2.2) สแตรโทสเฟยร์ (stratosphere) ชั้นบรรยากาศที่อยู่เหนือแนวโทรโพพอส ขึ้นไป มีระดับความสูงจากพื้นโลกประมาณ 17 - 50 กิโลเมตร ลักษณะเฉพาะ • อุณหภูมิมีค่าคงที่ระยะต้นและสูงขึ้นตามความสูง จนถึงแนวแบ่งเขตบรรยากาศ ที่เรียกว่า สแตรโทพอส (stratopause) • อากาศมีการเคลื่อนที่เฉพาะในแนวระดับเพียงอย่างเดียว • บรรยากาศปราศจากเมฆและพายุจึงเป็นประโยชน์ต่อกิจการการบิน • มีแก๊สโอโซน (O3 ) อยู่หนาแน่นที่ระดับความสูง 25 - 30 กิโลเมตร จากพื้นผิวโลก จึงสามารถ ดูดซับคลื่นรังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet: UV) ไว้ ซึ่งเป็นสาเหตุท�าให้อุณหภูมิของ บรรยากาศสูงขึ้น 2.3) เมโซสเฟยร์ (mesosphere) ชั้นบรรยากาศที่อยู่เหนือแนวสแตรโทพอส ขึ้นไป มีระดับความสูงจากพื้นโลกประมาณ 50 - 80 กิโลเมตร ลักษณะเฉพาะ • อุณหภูมิต�่าลงตามความสูงจนถึงแนวแบ่งเขตบรรยากาศ ที่เรียกว่า เมโซพอส (mesopause) • เทหวัตถุในท้องฟ้า เช่น อุกกาบาต ดาวตก จะถูกเสียดสีและเผาไหม้ 2.4) เทอร์โมสเฟยร์ (thermosphere) ชั้นบรรยากาศที่อยู่เหนือแนวเมโซพอส ขึ้นไป มีระดับความสูงจากพื้นโลกประมาณ 480 กิโลเมตร ลักษณะเฉพาะ ลักษณะเฉพาะ ลักษณะเฉพาะ • อุณหภูมิมีค่าคงที่ระยะต้นและสูงขึ้นตาม ความสูง • มีประจุไฟฟ้ามาก จึงสามารถสะท้อน คลื่นวิทยุที่ใช้กับการสื่อสารระยะไกลได้ • เกิดแสงออโรรา (aurora) เป็นแสงสีแดง เขียว และขาว มีลักษณะเป็นวงโค้งเป็น เส้น ๆ มองเห็นในเวลากลางคืนบนท้องฟ้า แถบขั้วโลก 42 สแตรโทพอส (stratopause) (thermosphere) ชั้นบรรยากาศที่อยู่เหนือแนวเมโซพอส แสงออโรราเป็นปรากฏการณ์ทางแสงที่เกิดขึ้นแถบขั้วโลก 1 2 3 ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร • แสงออโรรา หรือแสงที่มีลักษณะเปนวงโคง มองเห็นไดในเวลากลางคืนบนทองฟาแถบ ขั้วโลก จะพบไดในชั้นบรรยากาศใด (แนวตอบ แสงออโรราจะพบไดในชั้นเทอร- โมสเฟยร ที่มีระดับความสูงจากพื้นโลก ประมาณ 80 กิโลเมตรขึ้นไป) 3. ครูกระตุนใหนักเรียนชวยกันตั้งประเด็นคําถาม เชิงภูมิศาสตร เชน • การเปลี่ยนแปลงดานบรรยากาศของโลกเกิด จากปจจัยใดบาง • ชั้นบรรยากาศที่หอหุมโลกมีอะไรบาง และใชสิ่งใดเปนเกณฑในการแบง • การเปลี่ยนแปลงบรรยากาศที่เกิดขึ้นใน ภูมิภาคตางๆ ของโลก มีลักษณะที่เหมือน หรือแตกตางกันหรือไม อยางไร • แนวทางการปฏิบัติตนใหปลอดภัยจากการ เปลี่ยนแปลงของบรรยากาศ สามารถทําได อยางไร นักเรียนควรรู 1 สแตรโทพอส ขอบในชั้นบรรยากาศของโลกที่กั้นระหวางชั้นสแตรโทสเฟยร และเมโซสเฟยร มีความสูงจากพื้นโลกประมาณ 50 กิโลเมตร มีความกดอากาศ ประมาณ 1/1,000 ของความกดอากาศที่ระดับนํ้าทะเล 2 เมโซพอส ขอบในชั้นบรรยากาศของโลกที่กั้นระหวางชั้นเมโซสเฟยร และเทอรโมสเฟยร มีความสูงจากพื้นโลกประมาณ 80-85 กิโลเมตร 3 แสงออโรรา ปรากฏการณแสงเหนือ แสงใต เปนปรากฏการณทาง ธรรมชาติที่เกิดบริเวณขั้วโลกทั้งเหนือและใต เกิดจากการชนกันระหวางแกสใน ชั้นบรรยากาศโลกกับอนุภาคไฟฟาที่ถูกปลอยออกมาจากพลังงานแสงอาทิตย กอใหเกิดการระเบิดเปนลําแสงสีที่แตกตางกันออกไป ชวงเวลาที่ดีที่สุดของการ เกิดแสงเหนือจะอยูในชวงฤดูหนาวของทางขั้วโลก ซึ่งเปนชวงเดือนกันยายน ตุลาคม มีนาคม เมษายน อุกกาบาตจากนอกโลกจะเริ่มลุกไหม ขณะเขาสูแรงดึงดูดของ โลกในชั้นบรรยากาศใด 1. เมโซสเฟยร 2. โทรโพสเฟยร 3. ไอโอโนสเฟยร 4. เทอรโมสเฟยร 5. สแตรโทสเฟยร (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. บรรยากาศชั้นเมโซสเฟยรสูงจาก พื้นดิน 50-80 กิโลเมตร เหนือชั้นโอโซน อุณหภูมิจะลดลงตาม ความสูงที่เพิ่มขึ้น โดยอาจสูงไดถึง 83 องศาเซลเซียส อุกกาบาต หรือชิ้นสวนหินจากอวกาศที่ตกลงมามักถูกเผาไหมในชั้นนี้) นํา สอน สรุป ประเมิน T44
พลังงานความรอนจาก การแผรังสีดวงอาทิตย ลงมาสูตอนบนของ ชั้นบรรยากาศ รอยละ 100 พื้นโลกดูดซับ 50% เมฆ 3% โมเลกุลและ ฝุนละอองตางๆ 15% แพรกระจาย 5% เมฆ 21% แผนดิน 6% การดูดซับ โดยตัวกระทำตางๆการสะทอนกลับ โดยตัวกระทำตางๆ 2.3 การเปลี่ยนแปลงทางบรรยากาศภาค สิ่งมีชีวิตทั้งหลายอาศัยอยู่ภายใต้บรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์ของโลกเท่านั้น มีปรากฏการณ์ ต่าง ๆ เกิดขึ้น ได้แก่ ลมฟ้าอากาศ และภูมิอากาศ ซึ่งมีผลต่อสรรพสิ่งบริเวณพื้นโลก ทั้งสิ่งมีชีวิต และไม่มีชีวิตในทุก ๆ แห่ง ระบบธรรมชาติส�าคัญที่มีเฉพาะในบรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์ ได้แก่ อุณหภูมิ ความกดอากาศ ลมกับทิศทางลม และความชื้นกับหยาดน�้าฟ้า ค่าความสมดุลของพลังงานความร้อนจากการแผ่รังสี ดวงอาทิตย์สู่บรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์ 1) อุณหภูมิ บรรยากาศในชั้น โทรโพสเฟียร์ได้รับพลังงานความร้อนและ แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ที่ผ่านบรรยากาศชั้น ต่าง ๆ ลงมาจนถึงพื้นโลก ซึ่งมีความสมดุล ระหว่างการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ที่ลงมา และสูญเสียพลังงานไปกับการดูดซับพลังงาน ของโลก ปริมาณพลังงานความร้อนจากการ แผ่รังสีดวงอาทิตย์ตอนบนของชั้นบรรยากาศ จ�านวนร้อยละ 100 มีอัตราส่วนรังสีสะท้อนไป ร้อยละ 32 ชั้นบรรยากาศโทรโพสเฟียร์ดูดซับไว้ ร้อยละ 18 และพื้นโลกดูดซับไว้ร้อยละ 50 แสงแนวเฉ�ยง แสงแนวดิ�ง ค่าของมุมที่รังสีดวงอาทิตย์ ตกสู่พื้นโลกในแนวดิ่ง อุณหภูมิในบริเวณส่วนต่าง ๆ ของ โลกมีความแตกต่างกันไปตามการรับพลังงาน ความร้อน และการแผ่รังสีดวงอาทิตย์ ณ ต�าแหน่งของโลกตามลักษณะต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับ ค่าของมุมที่รังสีดวงอาทิตย์ตกสู่พื้นโลก ฤดูกาล ระยะใกล้ไกลระหว่างดวงอาทิตย์กับโลก ความ แตกต่างระหว่างพื้นดินกับพื้นน�้า ปริมาณรังสีดวงอาทิตย์ที่ตกลงบนพื้นที่หนึ่ง ในแนวดิ่ง และแนวเฉียง มีความเข้มต่างกัน โดยแนวเฉียงมีการกระจาย เป็นบริเวณกว้าง แต่ความเข้มของรังสีจะน้อยกว่าแนวดิ่ง 43 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 2 การรวบรวมขอมูล 1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม สืบคนขอมูลเกี่ยวกับ การเปลี่ยนแปลงทางบรรยากาศภาค จาก หนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 หรือจาก แหลงการเรียนรูอื่นๆ เชน หนังสือในหองสมุด เว็บไซตในอินเทอรเน็ต ประกอบการใช เครื่องมือทางภูมิศาสตรในประเด็นตอไปนี้ • อุณหภูมิ • ความกดอากาศ • ลมและทิศทางลม • ความชื้นและหยาดนํ้าฟา 2. ครูแนะนําแหลงขอมูลสารสนเทศที่นาเชื่อถือ ใหกับนักเรียนเพิ่มเติม เกร็ดแนะครู ครูใหนักเรียนสืบคนขอมูลการเปลี่ยนแปลงทางบรรยากาศจากการที่ อุณหภูมิสูงขึ้น เชน การละลายของธารนํ้าแข็งและภูเขานํ้าแข็ง สงผลใหระดับ นํ้าทะเลและมหาสมุทรสูงขึ้น นักวิทยาศาสตรคาดการณวา อีก 100 ปขางหนา ระดับนํ้าในมหาสมุทรจะสูงขึ้นประมาณ 1 เมตร พื้นที่ชายฝงจะจมหายไป เพราะนํ้าทวม โดยเฉพาะประเทศลุมตํ่ามาก เชน บังกลาเทศ มัลดีฟส หมูเกาะ โซโลมอน จากนั้นใหนักเรียนชวยกันบอกพฤติกรรมของมนุษยที่สงผลใหเกิด ภาวะโลกรอน พรอมวิธีการลดภาวะโลกรอนเพิ่มเติม สื่อ Digital ครูใหนักเรียนดูคลิป global warming จากเว็บไซตตางๆ เชน https:// www.nationalgeographic.com/environment/global-warming/ global-warming-overview/ ภาวะโลกรอน https://www.youtube.com/ watch?v=RaAZDfZkf0g ชะตากรรมหมีขั้วโลกเสี่ยงสูญพันธุ ใหนักเรียนเลือกประเทศที่สนใจจากตําแหนงบนลูกโลก แลว วิเคราะหวาประเทศดังกลาวจะมีอุณหภูมิอยางไร จากตําแหนงของ ดวงอาทิตยที่ครูกําหนดขึ้น นําเสนอพรอมแสดงเหตุผลประกอบ และอภิปรายสรุปรวมกัน นํา สอน สรุป ประเมิน T45
ขอสอบเนนการคิด แสงอาทิตยตั้งฉากกับเสน ทรอปกออฟแคนเซอร 23 ํ 30' N แสงอาทิตยตั้งฉากกับเสน ศูนยสูตร 0 ํ ทำใหทั้งโลก มีเวลากลางวันและกลางคืนยาวเทากัน แสงอาทิตยตั้งฉากกับเสน ศูนยสูตร 0 ํ ทำใหทั้งโลก มีเวลากลางวันและกลางคืนยาวเทากัน บริเวณอารกติกเหน�อเสน อารกติกเซอรเคิล 66 ํ 30' N จะเห็นแสงอาทิตยตลอด 24 ชม. บริเวณแอนตารกติกาใตเสน แอนตารกติกเซอรเคิล 66 ํ 30' Sจะมืดไมเห็นแสงอาทิตยตลอด 24 ชม. บริเวณอารกติกเหน�อเสน อารกติกเซอรเคิล 66 ํ 30' Nจะมืดไมเห็นแสงอาทิตยตลอด 24 ชม. บริเวณแอนตารกติกาใตเสน แอนตารกติกเซอรเคิล 66 ํ 30' Sจะเห็นแสงอาทิตยตลอด 24 ชม. แสงอาทิตยตั้งฉากกับเสน ทรอปกออฟแคปริคอรน 23 ํ 30' S ฤดูรอน ฤดูหนาว ฤดูหนาว ฤดูรอน ฤดใบไมผลิ ฤดูใบไมรวง ซีกโลกเหน�อ ซีกโลกใต ฤดใบไมรวง ฤดูใบไมผลิ 21 มิถุนายน 22 ธันวาคม 23 กันยายน 21 มีนาคม กนัยายน เมษายน มกราคม ธันวาคม สงิหาคม พฤษภาคม กมุ ภาพนัธ พฤศจกิายน กรกฎาคม มถินุายน มนีาคม ตลุาคม วสันตวิษุวัต 21 มีนาคม ทักษิณายัน 22 ธันวาคม ศารทวิษุวัต 23 กันยายน อุตตรายัน 21 มิถุนายน โลกอยูใกลดวงอาทิตย โลกอยูไกลดวงอาทิตย 152,000,000 กิโลเมตร 147,000,000 กิโลเมตร ตำแหนงเพอริฮีลีออน3 มกราคม ตำแหนงอะเฟลีออน 4 กรกฎาคม วงโคจรของโลก วงโคจรของโลก ต�าแหน่งรังสีดวงอาทิตย์ส่องแสงและมุมตั้งฉากกับเส้นขนานละติจูดต่าง ๆ ในรอบ 1 ปี ต�าแหน่งของโลกที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ ส่งผลต่อการรับรังสีดวงอาทิตย์ตามระยะใกล้ไกล ฤดูกาล ระยะใกล้ ไกลระหว่างดวงอาทิตย์กับโลก 44 วสันตวิษุวัต 21 มีนาคม อุตตรายัน 21 มิถุนายน ศารทวิษุวัต 23 กันยายน ทักษิณายัน 22 ธันวาคม 1 2 3 4 ขั้นสอน ขั้นที่ 3 การจัดการขอมูล 1. สมาชิกแตละคนในกลุมนําขอมูลที่ตนไดจาก การรวบรวม มาอธิบายแลกเปลี่ยนความรู ระหวางกัน 2. จากนั้นสมาชิกในกลุมชวยกันคัดเลือกขอมูล ที่นําเสนอเพื่อใหไดขอมูลที่ถูกตอง และรวม อภิปรายแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม 3. ครูใหนักเรียนแตละกลุมใชสมารตโฟนคนหา วันและระยะเวลาที่โลกไดรับรังสีดวงอาทิตยที่ แตกตางกัน จนมีชื่อเรียกที่แตกตางกันออกไป เพิ่มเติม เชน วันวสันตวิษุวัต วันอุตตรายัน แลวนําขอมูลมาอภิปรายรวมกันในชั้นเรียน ประกอบการใชคําถาม เชน • ระยะเวลากลางวันและกลางคืนที่เทากันของ พื้นที่ซีกโลกเหนือและซีกโลกใตจะเกิดขึ้น ในวันใด (แนวตอบ เกิดขึ้นในวันวสันตวิษุวัต วันศารทวิษุวัต ไดแก วันที่ 21 มีนาคม และวันที่ 22 กันยายนของทุกป ซึ่งระยะเวลากลางวันและ กลางคืนของพื้นที่ในซีกโลกเหนือและซีกโลก ใตจะเทากัน คือ ชวงละ 12 ชั่วโมง) ในชวงเดือนกรกฎาคม ประเทศญี่ปุนมีฤดูตรงกับขอใด 1. ฤดูรอน 2. ฤดูหนาว 3. ฤดูใบไมผลิ 4. ฤดูใบไมรวง 5. ฤดูใบไมเปลี่ยนสี (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. ในชวงเดือนกรกฎาคม เปนชวงที่ โลกโคจรรอบดวงอาทิตย โดยเอียงไปทางซีกโลกเหนือ จึงไดรับ พลังความรอนจากดวงอาทิตย ทําใหประเทศญี่ปุนซึ่งตั้งอยูแถบ ซีกโลกเหนือตรงกับฤดูรอน) ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 1. ครูใหสมาชิกแตละกลุมวิเคราะหเพิ่มเติมถึง ลักษณะอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกและของไทย รวมถึงตําแหนงที่ใกลและไกลจากดวงอาทิตย มากที่สุด นักเรียนควรรู 1 วสันตวิษุวัต ดวงอาทิตยขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตกพอดี กลางวันเทากับกลางคืนพอดี ซีกโลกเหนือเขาสูฤดูใบไมผลิ ซีกโลกใตเขาสู ฤดูใบไมรวง 2 อุตรายัน หรือครีษมายัน ดวงอาทิตยขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงไปทางเหนือ มากที่สุด และตกทางทิศตะวันตกเฉียงไปทางเหนือมากที่สุด ซีกโลกเหนือ เขาสูฤดูรอน กลางวันยาวที่สุดในรอบป ซีกโลกใต เขาสูฤดูหนาว กลางวันสั้น ที่สุดในรอบป 3 ศารทวิษุวัต ดวงอาทิตยขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตกพอดี กลางวันเทากับกลางคืนพอดี ซีกโลกเหนือเขายางสูฤดูใบไมรวง ซีกโลกใตเขาสู ฤดูใบไมผลิ 4 ทักษิณายัน ดวงอาทิตยขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงไปทางใตมากที่สุด และตกทางทิศตะวันตกเฉียงไปทางใตมากที่สุด ซีกโลกเหนือเขาสูฤดูหนาว กลางวันสั้นที่สุดในรอบป นํา สอน สรุป ประเมิน T46
ขอสอบเนน การคิด ไมถายเทความรอนไปในทางลึก มีความรอนจำเพาะต่ำ มีความรอนจำเพาะสูง พื้นน้ำมีการระเหยสูง มีการถายเท ความรอนตาม ความลึก พื้นดินมีการระเหยนอย พื้นดินคายความรอนไดเร็ว พื้นน้ำคายความรอนไดชา พื้นดิน พื้นน้ำ รังสีดวงอาทิตย รังสีดวงอาทิตย 1 1 2 2 3 3 4 4 พื้นผิวดิน มีอุณหภูมิสูงกวา มีอุณหภูมิต่ำกวา กลางวัน พื้นผิวน้ำ เกิดลมทะเลพัดเขาหาฝง กลางคืน พื้นน้ำคายความรอนชา พื้นดินคายความรอนเร็ว เกิดลมบกพัดออกสูทะเล การรับและคายความร้อนระหว่างพื้นดินและพื้นน�้า ความแตกต่างระหว่างพื้นดินกับพื้นน�้า ตามปกติพื้นดินดูดกลืนความร้อนและ คายความร้อนได้ดีกว่าพื้นน�้า ในเวลากลางวัน อากาศเหนือพื้นดินร้อนเร็วกว่าพื้นน�้า อากาศร้อน เหนือพื้นดินมีความกดอากาศต�่าจึงลอยตัวสูงขึ้น ท�าให้อากาศเหนือพื้นน�้าที่เย็นกว่าจากทะเลพัด เข้ามาแทนที่ จึงเกิดลมพัดจากทะเลสู่ชายฝั่ง เรียกว่า ลมทะเล (sea breeze) ในเวลากลางคืน พื้นน�้าคายความร้อน ได้ช้ากว่าพื้นดิน มีความกดอากาศต�่าจึงลอยตัว สูงขึ้น ท�าให้อากาศที่เย็นกว่าจากพื้นดินพัดเข้า มาแทนที่ เกิดลมพัดจากพื้นดินสู่ทะเล เรียกว่า ลมบก (land breeze) คลื่นความรอน (heat wave) 45 มีความรอนจำเพาะต่ำ 1 ขอใดกลาวถึงการรับและคายความรอนระหวางพื้นดินและ พื้นนํ้าไดถูกตอง 1. ในเวลากลางวันพื้นดินคายความรอนไดดีกวาพื้นนํ้า 2. ในเวลากลางคืนพื้นดินคายความรอนไดดีกวาพื้นนํ้า 3. ในเวลากลางคืนพื้นดินดูดกลืนความรอนไดดีกวาพื้นนํ้า 4. ในเวลากลางวันพื้นดินดูดกลืนความรอนไดนอยกวาพื้นนํ้า 5. ในเวลากลางคืนอากาศเหนือพื้นดินมีความหนาแนนสูงและ ลอยตัวขึ้นสูง (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. การรับและคายความรอนระหวาง พื้นนํ้า ปรากฏวาในเวลากลางคืนพื้นดินคายความรอนไดเร็วกวา พื้นนํ้า ทําใหอากาศเหนือพื้นดินเย็นเร็วกวาพื้นนํ้า) ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 2. จากนั้นใหสมาชิกแตละกลุมวิเคราะหเชื่อมโยง ถึงการรับและคายความรอนระหวางพื้นดิน และพื้นนํ้า ประกอบการดูภาพแสดงความ แตกตางระหวางพื้นดินกับพื้นนํ้าจากหนังสือ เรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 3. ครูใหนักเรียนใชสมารตโฟนสองดู QR Code เกี่ยวกับคลื่นความรอน (heat wave) จาก หนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 ประกอบการ อภิปรายรวมกันเพิ่มเติม นักเรียนควรรู 1 ความรอนจําเพาะ ระดับความรอนที่ทําใหสสาร 1 กรัม มีอุณหภูมิที่ระดับ นํ้าทะเล ประมาณ 13 องศาเซลเซียส เกร็ดแนะครู ครูตั้งประเด็นการสนทนา การรับและคายความรอนของพื้นดินและ พื้นนํ้า โดยใหนักเรียนศึกษาแผนภาพในหนังสือ แลววิเคราะหการคายความ รอนของพื้นนํ้าและพื้นดิน การเกิดลมบก ลมทะเล ครูตั้งประเด็นอภิปราย เชน ชาวประมงใชประโยชนจากลมบก ลมทะเล อยางไร (แนวตอบ เรือประมงขนาดเล็กจะออกสูทองทะเลเพื่อหาปลาในเวลากลางคืน โดยอาศัยลมบกที่พัดจากฝงออกสูทะเลในตอนกลางคืน พอรุงสางเรือเหลานี้ ก็จะอาศัยลมทะเล ที่พัดจากทะเลเขาฝงในเวลากลางวันแลนกลับเขาสูฝง) นํา สอน สรุป ประเมิน T47
ขอสอบเนนการคิด 34 32 30 28 26 24 22 20 18 16 14 12 10 8 6 4 2 0 0 100 200 300 400 500 600 700 800 900 1000 ความสูง (กิโลเมตร) ความกดอากาศ (มิลลิบาร) เอเวอเรสต โทรโพสเฟยร โทรโพพอส สแตรโทสเฟยร 8,848 ม. 2,000 1,500 1,000 500 0 800 850 950 900 1,000 ความสูง (เมตร) ความกดอากาศ (มิลลิบาร) ทะเล 2,000 1,500 1,000 500 0 800 900 1,000 ความสูง (เมตร) ความกดอากาศ (มิลลิบาร) ทะเล แผนดิน แผนดิน ผิวโลกที่มีทะเลและแผ่นดิน มีชั้นอากาศซึ่งวัดค่าความ กดอากาศตามระดับความสูงจากทะเลปานกลาง พบว่า ในแต่ละระดับความสูงมีค่าความกดอากาศเท่ากัน สภาพ เช่นนี้อากาศจะไม่เคลื่อนที่หรือไม่มีลม บริเวณแผ่นดินจะร้อนเร็วกว่าทะเล ค่าความกดอากาศ เดิมลดต�่าลง คือ ที่ระดับความสูง 1,000 เมตร มีความ กดอากาศ 900 mbar เปลี่ยนไปเป็น 820 mbar จึงท�าให้ อากาศจากบริเวณความกดอากาศ 900 mbar เคลื่อนที่ ในแนวระนาบสู่บริเวณความกดอากาศ 820 mbar การลดลงของค่าความกดอากาศตามความสูง 2) ความกดอากาศและลม อากาศเป็นสสารซึ่งอยู่ได้ด้วยแรงดึงดูดของโลก ความกดอากาศโดยเฉลี่ยที่ระดับทะเลปานกลาง เท่ากับ 1,013.2 มิลลิบาร์ โดยค่าความกดอากาศ ลดลงเมื่ออยู่สูงจากระดับทะเลปานกลางขึ้นไป การลดลงของค่าความกดอากาศใน ระดับความสูงชั้นโทรโพสเฟียร์ จากระดับทะเล ปานกลางขึ้นไป และความหนาแน่นของแก๊ส และความกดอากาศที่ลดลงนั้น ส่งผลต่อสุขภาพ ของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ คือ ปริมาณแก๊ส ออกซิเจนส�าหรับการหายใจเบาบางลง และ จุดเดือดของน�้าที่ระดับทะเลปานกลาง คือ 100 องศาเซลเซียส แต่ที่บนดอยอินทนนท์ ระดับ ความสูง 2,565 เมตร น�้าจะเดือดได้ที่อุณหภูมิ 93 องศาเซลเซียสเท่านั้น ลมเกิดจากการเคลื่อนที่ของอากาศตามแนวระนาบ เมื่อมีความต่างกันของค่าความกด อากาศ คือ จากบริเวณความกดอากาศสูงสู่บริเวณความกดอากาศต�่าไปบนพื้นผิวโลกได้ทุกทิศทาง โดยพลังงานความร้อนเป็นตัวการส�าคัญที่ท�าให้บรรยากาศในพื้นที่ส่วนต่าง ๆ เช่น พื้นดินและ พื้นน�้ามีความกดอากาศต่างกันท�าให้เกิดลม ดังภาพ การเกิดลมทะเล เมื่อพื้นดินมีความกดอากาศ ต�่ากว่าความกดอากาศบริเวณพื้นน�้า 46 2) ความกดอากาศและลม 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 4. นักเรียนวิเคราะหและเชื่อมโยงความสัมพันธ ของความกดอากาศกับอุณหภูมิบนพื้นผิวโลก โดยระหวางนั้นครูอาจใหนักเรียนใชสมารตโฟน สืบคน เพื่อขยายความรูเกี่ยวกับความกด อากาศของโลก จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 เพิ่มเติม และรวมกันตรวจสอบความ ถูกตองของขอมูล นักเรียนควรรู 1 ความกดอากาศ (air pressure) นํ้าหนักของอากาศที่กดทับกันลงมาดวย อิทธิพลของแรงโนมถวง มีความแตกตางกับแรงที่เกิดจากนํ้าหนักกดทับของ ของแข็งและของเหลวตรงที่ ความกดอากาศมีแรงดันออกทุกทิศทาง เครื่องมือและเทคโนโลยีทางภูมิศาสตรขอใด มีความจําเปน นอยที่สุดในการพยากรณอากาศ 1. บอลลูน บารอมิเตอร 2. แผนที่รัฐกิจ ซิสโมมิเตอร 3. บาโรกราฟ เทอรโมมิเตอร 4. ภาพจากดาวเทียม เรดาร 5. เครื่องบินตรวจอากาศ แอนนิโมมิเตอร (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. เนื่องจากแผนที่รัฐกิจเปนแผนที่ แสดงอาณาเขตพื้นที่การปกครอง ซิสโมมิเตอร เปนเครื่องมือ ตรวจวัดแผนดินไหว สวนบอลลูน เครื่องบิน ดาวเทียม เรดาร ใชในการสํารวจการเคลื่อนที่ของลมและกลุมเมฆ บารรอมิเตอร บาโรกราฟ ใชวัดความกดอากาศ เทอรโมมิเตอร ใชวัดอุณหภูมิ แอนนิโมมิเตอร ใชวัดความเร็วลม) นํา สอน สรุป ประเมิน T48
0 ํ 0 ํ 30 ํS 30 ํN 150 ํW 120 ํW 90 ํW 60 ํW 30 ํW 30 ํE 60 ํE 90 ํE 120 ํE 150 ํW 60 ํN 60 ํS N 1 : 260,000,000 H H H H H H H L L L L L 906 906 999 999 1002 1002 1005 1002 999 1005 1005 1005 1008 1008 1008 1005 1023 1008 1008 1008 1011 1011 1011 1011 1011 1011 1011 1011 1011 1011 1014 1014 1014 1014 1014 1014 1014 1014 1014 1017 1017 1017 1017 1017 1017 1017 1020 1020 1020 1020 1020 1023 1026 1029 1032 1023 1026 1020 อะโซรส ไซบีเรีย แปซิฟก แปซิฟก ITCZ อินเดีย แอตแลนติก อะลูเชียน ไอซแลนด 2.1) ทิศทางลม ผลจากการหมุนรอบตัวเองของโลกท�าให้ทิศทางการเคลื่อนที่ ของลมเฉเบี่ยงเบนจากบริเวณความกดอากาศสูงไปสู่บริเวณความกดอากาศต�่า โดยลมที่พัดใน บริเวณซีกโลกเหนือเฉเบี่ยงเบนจากจุดก�าเนิดไปทางขวามือ และในซีกโลกใต้เฉเบี่ยงเบนไปทาง ซ้ายมือ ลักษณะดังกล่าวนี้ปรากฏในแผนที่อากาศเดือนมกราคมและกรกฎาคม ซึ่งแสดงด้วย เส้นความกดอากาศเท่าที่ระดับผิวพื้น หากมีเส้นความกดอากาศชิดติดกันแสดงว่าพื้นที่ ณ จุดนั้น ๆ มีลมแรงกว่าบริเวณที่มีเส้นความกดอากาศห่างกัน แผนที่แสดงบริเวณความกดอากาศและทิศทางการเคลื่อนที่ของลมเดือนมกราคม (ฤดูหนาวในซีกโลกเหนือ) จากแผนที่ อากาศที่พัดจากบริเวณความกดอากาศสูงของซีกโลกเหนือและซีก โลกใต้ คือ ลมค้าตะวันออกเฉียงเหนือ (ของซีกโลกเหนือ) พัดเบียดเข้าหากันกับลมค้าตะวันออก เฉียงใต้ (ของซีกโลกใต้) เป็นบริเวณแคบ ๆ แถบเส้นศูนย์สูตร เรียกว่า แนวร่องความกดอากาศต�่า (Intertropical Convergence Zone: ITCZ) ซึ่งเคลื่อนขึ้นลงตามการเปลี่ยนแปลงของแสงตั้งฉาก ดวงอาทิตย์ แนวร่องความกดอากาศต�่านี้พาดผ่านบริเวณใด มีโอกาสที่จะท�าให้เกิดฝนตก ทิศทางลม เส้นความกดอากาศเท่า 47 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 5. ครูใหนักเรียนศึกษาแผนที่แสดงบริเวณความ กดอากาศและทิศทางการเคลื่อนที่ของลม เดือนมกราคม (ฤดูหนาวในซีกโลกเหนือ) จาก หนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 จากนั้นรวมกัน อภิปรายและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับลม และทิศทางลม รวมถึงยกตัวอยางบริเวณที่มี ความกดอากาศที่แตกตางกัน โดยครูแนะนํา เพิ่มเติม 6. ครูใหนักเรียนรวมกันใชสมารตโฟนสืบคน เพื่อขยายความรูเกี่ยวกับทิศทางการเคลื่อนที่ ของลมจากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 เพิ่มเติม จากนั้นรวมกันตรวจสอบความ ถูกตองของขอมูล เกร็ดแนะครู ครูอธิบายสัญลักษณทางอุตุนิยมวิทยาในแผนที่แสดงความกดอากาศ เชน L ศูนยกลางของหยอมความกดอากาศตํ่า เปนบริเวณที่อากาศรอนยกตัว ทําใหเกิดเมฆ H ศูนยกลางของหยอมความกดอากาศสูง เปนบริเวณที่อากาศเย็นแหงแลว ฟาใส ไมมีเมฆปกคลุม เสนไอโซบาร (Isobar) เสนอุณหภูมิที่เปนเสนโคงที่ลากเชื่อมตอบริเวณ ที่มีความกดอากาศเทากัน มีตัวเลขแสดงคาความกดอากาศ มีหนวยเปน เฮกโตปาสคาล (hPa) กํากับไว ใหอาสาสมัครที่สามารถอานและแปลความแผนที่แสดงบริเวณ ความกดอากาศและทิศทางการเคลื่อนที่ของลมเดือนมกราคม ออกมาอาน แปลความหมาย และอธิบายใหเพื่อนฟง แลวยก ตัวอยางสภาพอากาศของบริเวณตางๆ ของโลกที่โดดเดนในชวง เดือนมกราคม ครูแนะนําขอมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเสนกดอากาศเทาหรือ ไอโซบาร เชน ถาหากเสนไอโซบารอยูใกลชิดกันแสดงวา ความ กดอากาศเหนือบริเวณนั้นมีความแตกตางกันมาก แสดงวามี ลมพัดแรง แตถาเสนไอโซบารอยูหางกันแสดงวา ความกดอากาศ เหนือบริเวณนั้นมีความแตกตางกันไมมาก หรือมีลมพัดออน นํา สอน สรุป ประเมิน T49
ขอสอบเนนการคิด บริเวณดานตนลม อากาศชื้น ทิศทางลม การเคลื่อนที่ของอากาศ พื้นที่อับฝน บริเวณดานปลายลม อากาศรอนและแหง ลมชีนุก ระดับทะเลปานกลาง 2.2) ประเภทของลม การหมุนเวียนของลมในบรรยากาศมีชื่อและช่วงเวลา การพัดแตกต่างกัน ดังนี้ 1. ลมประจ�าเวลา หรือลมเฉื่อยจะพัดในช่วงเวลาสั้น ๆ สลับกันในเวลา กลางวันและกลางคืน เนื่องจากความแตกต่างของอุณหภูมิและความกดอากาศ ได้แก่ ลมบก - ลมทะเล และลมภูเขา - ลมหุบเขา 2. ลมประจ�าถิ่น คือ ลมที่พัดประจ�า ณ ถิ่นใดหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง เช่น • ลมมิสตราล (mistral) ลมเหนือในประเทศฝรั่งเศสที่พัดจากบริเวณ ที่ราบสูงตอนกลางผ่านตามหุบเขาที่มีแม่น�้าโรน (Rhone) ไหลผ่านลงมาทางใต้สู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แถบอ่าวลียง (Lion) ลักษณะเป็นลมเย็นและแห้ง • ลมสลาตัน (selatan) ลมร้อนและแห้งพัดแถบหมู่เกาะภาคตะวันออก ของประเทศอินโดนีเซีย ทิศทางการพัดจากทิศใต้สู่ทิศเหนือ ส�าหรับในประเทศไทยเคยเรียก ลมพายุที่มีความรุนแรงเกิดปลายฤดูฝน เช่น พายุไต้ฝุ่นและพายุไซโคลนว่า “ลมสลาตัน” ด้วย • ลมชีนุก (chinook) ลมตะวันตกเฉียงเหนือที่พัดจากชายฝั่งมหาสมุทร แปซิฟิกเข้าสู่แนวเทือกเขาร็อกกีช่วงเดือนมิถุนายน - กรกฎาคมนั้น ส่งผลท�าให้พื้นที่ของรัฐที่อยู่ บริเวณที่ราบด้านทิศตะวันออกของเทือกเขาร็อกกีซึ่งเป็นภูเขาสูงและตั้งขวางทางลมอยู่มีอากาศ ร้อนและแห้งแล้ง เนื่องจากเป็นพื้นที่อับฝน ลักษณะการเกิดลมชีนุก 48 กลางวันและกลางคืน เนื่องจากความแตกต่างของอุณหภูมิและความกดอากาศ ได้แก่ ลมบก - ลมทะเล และลมภูเขา - ลมหุบเขา 1 2 3 4 นักเรียนควรรู 1 ลมบก (land breeze) หรือลมลอง เปนลมแถบบริเวณชายฝงที่พัดออก จากฝงสูทะเลในเวลากลางคืน เพราะในเวลากลางคืนแผนดินเย็นกวาพื้นนํ้า อากาศเหนือพื้นนํ้าซึ่งรอนกวาจะเบา และลอยตัวสูงขึ้น ลมจึงพัดจากแผนดิน จากฝงไปบริเวณพื้นนํ้าที่รอนกวา ทําใหเกิดลมบกขึ้น 2 ลมทะเล (sea breeze) หรือลมขึ้น เปนลมที่เกิดบริเวณชายฝง พัดจากทะเล เขาสูฝงในเวลากลางวัน เนื่องจากในเวลากลางวันพื้นดินรอนกวาพื้นนํ้า อากาศ เหนือพื้นดินซึ่งรอนกวาจะเบาและลอยตัวสูงขึ้น อากาศซึ่งเย็นกวาจากทะเล จะเคลื่อนเขามาแทนที่ 3 ลมภูเขา (mountain breeze) เกิดในเวลากลางคืน อากาศบริเวณภูเขาจะ ไหลลงมาสูหุบเขา ถาอากาศเย็นและชื้นมากจะกอใหเกิดหมอกหนาทึบปกคลุม หุบเขา หรืออาจเกิดนํ้าคางแข็งไดดวยเชนกัน 4 ลมหุบเขา (valley breeze) เกิดในเวลากลางวัน พัดจากหุบเขาไปสูลาด เขาและยอดเขา อาลีเปนชาวประมงเรือเล็กในจังหวัดทางภาคใตของไทย อาลี ควรออกทะเลในชวงเวลาใด และลมบก ลมทะเลมีความสําคัญ ตอการเดินเรืออยางไร (แนวตอบ ลมบก พัดตามบริเวณชายฝงทะเลในตอนกลางคืน และพัดจากชายฝงลงสูทะเล ตั้งแตเวลา 22.00-10.00 น. ของวันรุงขึ้น ลมทะเล พัดเดนชัดในตอนกลางวันโดยพัดจาก ทะเลเขาสูชายฝง ตั้งแตเวลา 10.00 น. และมีกําลังแรงสุด ในตอนบาย จะสิ้นสุดลงเมื่อดวงอาทิตยตกประมาณเวลา 21.00 น. ดังนั้น อาลี จะออกหาปลาในเวลากลางคืนโดยอาศัยลมบกที่พัด จากฝงออกสูทะเลในตอนกลางคืน พอรุงสางจะกลับเขาฝง โดยอาศัยลมทะเลที่พัดจากทะเลเขาฝง) ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 7. ครูใหนักเรียนรวมกันวิเคราะหถึงประเภทของ ลม จากนั้นครูถามคําถามนักเรียนเพิ่มเติม เชน • ลมประจําเวลาและลมประจําถิ่น มีความ แตกตางกันอยางไร (แนวตอบ ลมประจําเวลา จะเกิดสลับกัน ระหวางกลางวันและกลางคืน เชน ลมบก ลมทะเล แตหากเปนลมประจําถิ่น จะพัด ประจําถิ่นหรือในพื้นที่ประเทศใดประเทศ หนึ่ง สลับชวงเวลายาวนานกวาลมประจํา เวลา) • เพราะเหตุใดจึงเกิดพื้นที่อับฝน และพื้นที่ อับฝนที่สําคัญในประเทศไทยและภูมิภาค อื่นของโลกไดแกที่ใดบาง (แนวตอบ พื้นที่อับฝนเกิดจากการวางตัวของ แนวภูเขาที่กั้นขวางทิศทางของลมฝน พื้นที่ ดานตนลมที่อยูหนาเขาจึงมีปริมาณนํ้าฝน มากกวาพื้นที่ดานปลายลม หรือพื้นที่อับฝน พื้นที่อับฝนที่สําคัญในประเทศไทย เชน จังหวัดกําแพงเพชร พิษณุโลก นครสวรรค อุทัยธานี ซึ่งมีทิวเขาถนนธงชัยและทิวเขา ตะนาวศรี กั้นขวางลมฝนจากอาวเมาะตะมะ สวนบางอําเภอของจังหวัดกาญจนบุรีที่เปน ดานตนลมมีปริมาณนํ้าฝนสูงกวา สวนพื้นที่ อับฝนที่สําคัญของโลก เชน ที่ราบสูง ปาตาโกเนีย ประเทศอารเจนตินา ซึ่งมี เทือกเขาแอนดีสกั้นขวางลมฝนจาก มหาสมุทรแปซิฟก) นํา สอน สรุป ประเมิน T50
H 0 ํ 30 ํN 40 ํN 50 ํN 20 ํN 10 ํN 30 ํE ํE ํE40 ํE50 ํE60 ํE70 ํE80 ํE90 110 ํE100 120 ํE 130 ํE 140 ํE 150 ํE 60 ํN 0 ํ 30 ํN 40 ํN 50 ํN 20 ํN 10 ํN 60 ํN 1026 1029 1032 1020 1020 1023 1011 1011 1014 1014 1014 1017 1017 N 1 : 160,000,000 L 0 ํ 30 ํN 40 ํN 50 ํN 20 ํN 10 ํN 30 ํE ํE ํE40 ํE50 ํE60 ํE70 ํE80 ํE90 110 ํE100 120 ํE 130 ํE 140 ํE 150 ํE 60 ํN 0 ํ 30 ํN 40 ํN 50 ํN 20 ํN 10 ํN 60 ํN 999 1011 1011 1011 1008 1008 1005 1005 1002 1002 N 1 : 160,000,000 3. ลมประจ�าฤดู ลักษณะลมที่พัดเป็นประจ�าฤดูสลับช่วงเวลายาวนานกว่า ลมประจ�าถิ่น ได้แก่ ลมมรสุมที่เกิดเด่นชัดบริเวณภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ เอเชียใต้ เอเชีย ตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลักษณะเฉพาะของลมมรสุม คือ พัดเปลี่ยนทิศทางกลับ ตรงข้ามกันในรอบปี ช่วงฤดูหนาว บริเวณความกดอากาศสูงไซบีเรียมีก�าลังแรงแผ่ความกด อากาศออกโดยรอบ ทิศทางลมที่ผ่านคาบสมุทรเกาหลีและญี่ปุ่น เรียกว่า “มรสุมตะวันตก เฉียงเหนือ” ส่วนลมที่ผ่านคาบสมุทรอินโดจีน คาบสมุทรเดกกัน และคาบสมุทรอาหรับ เรียกว่า “มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ” ช่วงฤดูร้อน บริเวณความกดอากาศสูงจากมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทร แปซิฟิกไหลเวียนเข้าสู่บริเวณความกดอากาศต�่าแถบอัฟกานิสถาน ผ่านทะเลเข้าสู่แผ่นดิน ส่วน ลมที่ผ่านคาบสมุทรเกาหลีและญี่ปุ่น เรียกว่า “มรสุมตะวันออกเฉียงใต้” ลมที่ผ่านคาบสมุทร อินโดจีน คาบสมุทรเดกกัน และคาบสมุทรอาหรับ เรียกว่า “มรสุมตะวันตกเฉียงใต้” แผนที่แสดงการเกิดมรสุมเดือนมกราคม แผนที่แสดงการเกิดมรสุมเดือนกรกฎาคม ทิศทางลม เส้นความกดอากาศเท่า ทิศทางลม เส้นความกดอากาศเท่า 49 3. ลมประจ�าฤดู ลักษณะลมที่พัดเป็นประจ� 1 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล • ลมประจําฤดู สามารถเรียกอีกชื่อหนึ่งไดวา อยางไร และมีลักษณะเฉพาะอยางไร (แนวตอบ ลมประจําฤดู สามารถเรียกอีก อยางหนึ่งวา ลมมรสุม มีลักษณะเฉพาะ คือ พัดเปลี่ยนทิศทางกลับตรงขามกันในรอบป) • หากอาศัยอยูในแถบคาบสมุทรอินโดจีน ในชวงฤดูหนาวจะเผชิญกับลมประจําฤดู ประเภทใด (แนวตอบ ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ) นักเรียนควรรู 1 ลมประจําฤดู หรือลมมรสุม (monsoon) ประเทศไทยอยูภายใตอิทธิพล ของลมมรสุม 2 ชนิด คือ ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต พัดปกคลุมระหวางกลาง เดือนพฤษภาคม-กลางเดือนตุลาคม มีแหลงกําเนิดจากมหาสมุทรอินเดีย นํามวลอากาศชื้นจากมหาสมุทรอินเดียมาสูประเทศไทย ทําใหมีเมฆมาก และฝนตกชุก ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ พัดปกคลุมประมาณกลางเดือน ตุลาคม มีมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมประเทศไทยจนถึงกลางเดือน กุมภาพันธ มีแหลงกําเนิดจากบริเวณความกดอากาศสูงบนซีกโลกเหนือ จาก มองโกเลียและจีน พัดเอามวลอากาศเย็น และแหงเขามาปกคลุมประเทศไทย ทําใหทองฟาโปรง อากาศหนาวเย็นและแหงแลงทั่วไป โดยเฉพาะภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สวนภาคใตจะมีฝนตกชุก เนื่องจากมรสุมนี้ นําความชุมชื้นจากอาวไทยเขามา ครูใหอาสาสมัครที่สามารถอานและแปลความแผนที่แสดงการ เกิดลมมรสุมในเดือนมกราคมและเดือนกรกฎาคมในแถบเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต โดยอธิบายทิศทางลม สภาพอากาศที่ไดรับ อิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงเหนือและลมมรสุมตะวันออก เฉียงใต นํา สอน สรุป ประเมิน T51
ขอสอบเนนการคิด L L L L L L H H H H ลมขั้วโลกฝายตะวันออก ลมฝายตะวันตก ลมคาตะวันออกเฉ�ยงเหน�อ กึ�งเขตรอน “ฮอรสละติจูด” “ดอลดรัมส” แนวรองความกดอากาศต่ำ (ITCZ) ลมคาตะวันออกเฉ�ยงใต 0 ํ 30 ํS 30 ํN 60 ํS 90 ํS 60 ํN 90 ํN แถบกึ�งเขตรอน ที่มีลมแปรปรวน และลมสงบ แถบศูนยสูตรที่มีลมแปรปรวนและลมสงบ การไหลของ มวลอากาศ ขั้วโลก แนวปะทะอากาศขวั้โลก แนวปะทะอากาศขั้วโลก ลมประจำป ลมและกระแสอากาศไมตอเน��องในรอบป การหมุนเวียน แบบแฮดลีย การเคลื่อนทที่างแนวระดับ 4. ลมประจ�าป คือ ระบบลมที่มีทิศทางเบี่ยงเบนคงที่ตลอดปี การเคลื่อนที่ของลมประจ�าปีที่ก�าเนิดจากบริเวณความกดอากาศสูงกึ่งเขตร้อน หรือ “ฮอร์ส ละติจูด” ประมาณละติจูด 30 องศาเหนือและใต้สู่บริเวณความกดอากาศต�่าแถบศูนย์สูตร เรียกว่า “ลมค้า” กับสู่บริเวณความกดอากาศต�่าประมาณละติจูด 60 องศาเหนือและใต้ เรียกว่า “ลมฝ่าย ตะวันตก” เขตลมค้าพัดเข้าหากัน เกิดเป็นบริเวณแคบ ๆ แถบศูนย์สูตรที่มีอากาศแปรปรวน อากาศ ลอยตัวขึ้นสู่เบื้องบน เกิดเมฆคิวมูลัส และเมฆคิวมูโลนิมบัส มีฝนตกที่เกิดจากการพาความร้อน เขตแนวปะทะอากาศขั้วโลก เกิดจากลมฝ่ายตะวันตกพัดเคลื่อนที่เข้าหากันกับลมขั้วโลก ฝ่ายตะวันออกของขั้วโลกทั้งสอง ส่งผลให้เกิดฝนพายุหมุน การหมุนเวียนในบรรยากาศ Question ความกดอากาศกับลมมีความสัมพันธ์กันอย่างไร Geo 50 การเคลื่อนที่ของลมประจ�าปีที่ก�าเนิดจากบริเวณความกดอากาศสูงกึ่งเขตร้อน หรือ “ฮอร์ส 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล • เพราะเหตุใด ลมประจําปในซีกโลกเหนือ จึงเคลื่อนที่จากจุดกําเนิดไปทางขวามือ แตในขณะที่ซีกโลกใตจะเคลื่อนที่ไปทาง ซายมือ (แนวตอบ เปนผลมาจากการหมุนรอบตัวเอง ของโลกที่มีทิศทางจากทิศตะวันตกไปทาง ทิศตะวันออก) • เมฆคิวมูลัสและคิวมูโลนิมบัส เกิดจากการ เคลื่อนที่ของลมในลักษณะใด (แนวตอบ เกิดจากการพัดเขาหากันของลมคา ตะวันออกเฉียงเหนือ จนเกิดเปนรองและ ความกดอากาศตํ่าแถบศูนยสูตร ทําใหเกิด กระแสอากาศลอยขึ้นสูดานบน จึงทําใหเกิด เปนเมฆคิวมูลัสและเมฆคิวมูโลนิมบัส) นักเรียนควรรู 1 บริเวณความกดอากาศสูงกึ่งเขตรอน (subtropical high) ที่ละติจูดที่ 30 ํ หรือละติจูดมา (horse latitudes) เปนเขตแหงแลง เนื่องจากเปนบริเวณที่อากาศ แหงแลง เปนบริเวณติดตอระหวางลมตะวันตกจากโซนอุนกับลมตะวันออกจาก ทางศูนยสูตร จะมีความกดอากาศสูง มีกระแสลมสงบ ในชวงกลางเดือนพฤษภาคม-กลางเดือนตุลาคม ลมมรสุม ตะวันตกเฉียงใต มีแหลงกําเนิดจากมหาสมุทรอินเดีย นํา มวลอากาศชื้นพัดปกคลุมประเทศไทย ทําใหทุกภาคของประเทศ มีลักษณะอากาศตามขอใด 1. อากาศเย็นและแหง 2. ทองฟามีเมฆมาก ฝนตกชุก 3. ทองฟาโปรงใส กลางคืนมีลมกระโชกแรง 4. อากาศเย็น แตยังคงมีฝนตกเปนบริเวณกวาง 5. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ภาคกลางตอนบน อากาศหนาว (วิเคราะหคําตอบ ตอบ ขอ 2. ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต จะนํามวลอากาศชื้นมาสูประเทศไทย ทําใหมีทองฟามีเมฆมาก ฝนตกชุก เปนฤดูฝนของประเทศ) เกร็ดแนะครู แนวการตอบคําถาม Geo Question บริเวณความกดอากาศตํ่า มีปริมาณ อากาศอยูนอย ทําใหนํ้าหนักของอากาศนอยลงตามไปดวย อากาศเบาและ ลอยตัวสูงขึ้น เรียกวา กระแสอากาศเคลื่อนขึ้น จะเกิดการแทนที่ของอากาศ ทําใหรูสึกเย็น คือ เกิดลมขึ้น และลักษณะการพัดหมุนเวียนของลมในบริเวณ ศูนยกลางความกดอากาศตํ่าบริเวณสวนตางๆ ของโลก เชน ในซีกโลกเหนือ จะมีทิศทางการพัดทวนเข็มนาฬกา ซีกโลกใตจะพัดตามเข็มนาฬกา ที่เปน เชนนี้เพราะโลกหมุนทวนเข็มนาฬกา นํา สอน สรุป ประเมิน T52
ขอสอบเนน การคิด 1 2 3 3) ความชื้นในบรรยากาศ ความชื้นในบรรยากาศภาคมีอยู่แต่เฉพาะในบรรยากาศ ชั้นโทรโพสเฟียร์ เกิดจากการระเหยของทะเล มหาสมุทร และแหล่งน�้าอื่น ๆ บนพื้นผิวโลก เป็นหลัก แต่มีบางส่วนที่เกิดจากการคายน�้าของพืช ป่าไม้ และกิจกรรมของมนุษย์ 3.1) สถานะของน�้าในอากาศ ในบรรยากาศมีน�้าอยู่ 3 สถานะ ได้แก่ แก๊ส ของเหลว และของแข็ง น�้าในแต่ละสถานะมีการหมุนเวียนเปลี่ยนสถานะได้ โดยกระบวนการของ พลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์ ได้แก่ กระบวนการเพิ่มอุณหภูมิ และกระบวนการลดอุณหภูมิ ของน�้า ซึ่งมีวิธีการทางธรรมชาติ คือ การระเหย การควบแน่น การหลอมเหลว การเยือกแข็ง และการระเหิด 3.2) เมฆ เป็นกลุ่มก้อนของไอน�้าลอยอยู่ในอากาศ เมฆมีลักษณะแตกต่างกัน ตามระดับความสูง รูปลักษณะของเมฆมี 3 แบบ ได้แก่ การจ�าแนกเมฆตามรูปลักษณะและระดับความสูงที่เมฆลอยปรากฏในท้องฟ้า แบ่งเป็น ดังนี้ เมฆระดับสูง พบที่ระดับความสูง 6 กิโลเมตรขึ้นไป จนใกล้บรรยากาศชั้น โทรโพพอสที่มีอุณหภูมิต�่าและไอน�้ามีน้อย พบเมฆซีร์รัส เมฆซีร์โรคิวมูลัส และเมฆซีร์ โรสเตรตัส มองเห็นได้ชัดเจนในช่วงฤดูหนาวที่ท้องฟ้าโปร่งใสเห็นเป็นเมฆสีขาวเป็นเส้นหรือปุย คล้ายเส้น ใยไหม เนื่องจากเป็นแผ่นน�้าแข็งบาง ๆ เมื่อบังแสงอาทิตย์หรือดวงจันทร์จึงมีแสงส่องตกกระทบ เกิดเป็นวงแสง (halo) เรืองแสงเป็นวงกลม เมฆระดับกลาง พบที่ระดับความสูงตั้งแต่ 3 กิโลเมตร ถึง 6 กิโลเมตร พบ เมฆแอลโตสเตรตัส และเมฆแอลโตคิวมูลัส มีลักษณะเป็นละอองน�้าเล็ก ๆ มีสีขาว บางครั้งแตก เป็นก้อนคล้ายดอกกะหล�่า เมฆระดับต�่า พบอยู่สูงกว่าระดับผิวโลกขึ้นไปไม่เกิน 3 กิโลเมตร ซึ่งเป็น ชั้นบรรยากาศที่มีไอน�้าอยู่ในอากาศมากที่สุด เมฆที่พบ ได้แก่ เมฆสเตรตัส เมฆสแตรโทคิวมูลัส และเมฆนิมโบสเตรตัส เมฆในระดับต�่าเป็นเมฆที่เกิดฝนและหิมะได้ เมฆสเตรตัส ลักษณะเป็นแผ่น แผ่เชื่อมต่อเนื่องกัน เมฆซีร์รัส ลักษณะเป็นเส้นปุย ฝอยต่อเนื่องกัน เมฆคิวมูลัส ลักษณะเป็นก้อน ขนาดต่าง ๆ กัน 51 ซึ่งมีวิธีการทางธรรมชาติ คือ การระเหย การควบแน่น การหลอมเหลว การเยือกแข็ง และการระเหิด 1 2 3 4 5 นักเรียนควรรู 1 การระเหย คือ กระบวนการที่ของเหลว เปลี่ยนสภาพโดยธรรมชาติ เปนแกส โดยไมจําเปนตองมีอุณหภูมิถึงจุดเดือด โดยดูไดจากนํ้าที่คอยๆ หายไปทีละนอยเมื่อกลายเปนไอนํ้า 2 การควบแนน เปนการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสารเชิงกายภาพจาก สถานะแกสเปนของเหลว 3 การหลอมเหลว การที่สสารมีอุณหภูมิสูงจนถึงจุดหลอมเหลวพอดี โดย สสารนั้นจะเปลี่ยนสถานะจากของแข็งกลายเปนของเหลว 4 การเยือกแข็ง กระบวนการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสารจากของเหลว กลายเปนของแข็ง โดยมักเกิดเมื่อของเหลวสูญเสียความรอนหรือพลังงาน ไดแก เปลี่ยนสถานะเปนนํ้าแข็ง 5 การระเหิด ปรากฏการณที่สสารเปลี่ยนสถานะจากของแข็งกลายเปนไอ หรือแกสที่อุณหภูมิตํ่ากวาจุดหลอมเหลว โดยไมผานสถานะของเหลว ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 8. ครูใหนักเรียนศึกษาเมฆชนิดตางๆ จาก หนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 จากนั้น รวมกันอภิปรายและแสดงความคิดเห็น เชื่อมโยงกับความชื้นและหยาดนํ้าฟา รวมถึง สถานะของนํ้าในกาศ 9. ครูใหนักเรียนใชสมารตโฟนสืบคนภาพ ตัวอยางของเมฆ เพื่อขยายความรูเกี่ยวกับ ชนิดของเมฆและการจัดหมวดหมูของเมฆ ตามระดับความสูงและรูปราง จากหนังสือ เรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 จากนั้นสุมนักเรียน เพื่ออธิบายผลการสืบคน และอภิปรายแสดง ความคิดเห็นรวมกัน เมฆกอนสีขาวมีลักษณะเปนเสนปุยฝอยตอเนื่องกันคลาย เสนใยไหม เปนเมฆชนิดใด 1. เมฆซีรรัส 2. เมฆคิวมูลัส 3. เมฆสเตรตัส 4. เมฆคิวมูโลนิมบัส 5. เมฆนิมโบสเตรตัส (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. เมฆซีรรัส เปนเมฆระดับสูง พบที่ระดับความสูง 6 กิโลเมตรขึ้นไป มีลักษณะเปนเสนปุยฝอย ตอเนื่องกันคลายเสนใยไหม เนื่องจากเปนแผนนํ้าแข็งบางๆ เมื่อ บังแสงอาทิตยหรือดวงจันทรจึงมีแสงสวางตกกระทบเกิดเปน วงแสง เรืองแสงเปนวงกลม) นํา สอน สรุป ประเมิน T53
ขอสอบเนนการคิด เมฆก่อตัวตามแนวดิ่ง พบอยู่ใกล้ระดับพื้นโลกและสูงขึ้นไปประมาณ 6 กิโลเมตร ได้แก่ เมฆคิวมูลัส ที่ท�าให้เกิดฝนตกเฉพาะแห่ง หรือ “ฝนซู่” เมฆคิวมูลัสเมื่อมีการ รวมตัวของไอน�้ามากขึ้นจะพัฒนาเป็นเมฆคิวมูโลนิมบัส โดยมีฐานเมฆหนาทึบเป็นสีด�า ตัวเมฆ มีรูปลักษณะหอคอยขนาดใหญ่ ยอดเมฆแผ่ออกด้านข้างมีรูปคล้าย “รูปทั่ง” ซึ่งถือเป็นเมฆฝน ที่อันตราย เนื่องจากภายในก้อนเมฆมีกระแสอากาศแปรปรวน อาจท�าให้เกิดฝนตกหนักและมี ฟ้าคะนอง เกิดฟ้าแลบ ฟ้าร้อง และฟ้าผ่าร่วมด้วย เมฆคิวมูโลนิมบัส เมฆสเตรตัส เมฆนิมโบสเตรตัส เมฆแอลโตคิวมูลัส เมฆแอลโตสเตรตัส เมฆซีร์โรสเตรตัส เมฆซีร์รัส เมฆซีร์โรคิวมูลัส เมฆสแตรโทคิวมูลัส ฝนฟ้าคะนอง ยอดเมฆเป็นรูปทั่งตีเหล็ก ฝน 1.5 กม. 0 กม. 3 กม. 6 กม. ระดับความสูง เมฆชั้นสูง เมฆชั้นกลาง เมฆก่อตัวในแนวตั้ง เมฆคิวมูลัส เมฆชั้นต�่า ชนิดของเมฆและการจัดหมวดหมู่ของเมฆตามระดับความสูงและรูปร่าง Activity นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3 - 4 คน ช่วยกันสังเกตและบันทึกรูปร่างของเมฆแต่ละวันเป็นเวลา 1 สัปดาห์ และหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเมฆที่พบ วิเคราะห์ลักษณะอากาศในแต่ละวัน แล้วรายงานหน้าชั้นเรียน Geo 52 ให้เกิดฝนตกเฉพาะแห่ง หรือ “ฝนซู่” เมฆคิวมูลัสเมื่อมีการ เมฆชั้นสูง เมฆชั้นกลาง เมฆชั้นต�่า 1 2 3 4 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 10. ครูอาจใหนักเรียนศึกษา Geo Activity จาก หนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 เพื่อประกอบ การวิเคราะหและแปลผลขอมูลเพิ่มเติม 11. ครูใหสมาชิกแตละกลุมนําขอมูลมารวบรวม เชื่อมโยง และวิเคราะหรวมกันเพื่ออธิบาย คําตอบ 12. สมาชิกแตละกลุมรวมกันตรวจสอบความ ถูกตองของขอมูล สงตัวแทนนําเสนอผล งานหนาชั้นเรียน สมาชิกกลุมอื่นผลัดกันให ขอคิดเห็นหรือขอเสนอแนะเพิ่มเติม นักเรียนควรรู 1 ฝนซู หมายถึง ฝนเม็ดใหญที่ตกลงมาซูใหญเพียงครูเดียวแลวหยุด หรือ เรียกวา ฝนไลชาง 2 เมฆชั้นสูง ฐานเมฆอยูในระดับความสูงเฉลี่ยตั้งแต 6,000 เมตรขึ้นไป ซึ่งความสูงในระดับนี้สภาพอากาศจะหนาวและแหงแลง องคประกอบภายใน เมฆสวนใหญเปนผลึกนํ้าแข็ง 3 เมฆชั้นกลาง ฐานเมฆอยูในระดับความสูง 2,000-6,000 เมตร ภายในเมฆ จะประกอบไปดวยผลักนํ้าแข็งและละอองนํ้า 4 เมฆชั้นตํ่า ฐานเมฆอยูใกลพื้นดินและอยูในระดับความสูงไมเกิน 2,000 เมตร ภายในเมฆสวนใหญเปนละอองนํ้า เมฆชนิดใดทําใหเกิดฝนฟาตกหนักและมีฟาคะนอง เกิดฟาแลบ 1. เมฆคิวมูลัส 2. เมฆซีรโรคิวมูลัส 3. เมฆซีรโรสเตรตัส 4. เมฆนิมโบสเตรตัส 5. เมฆคิวมูโลนิมบัส (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 5. เมฆคิวมูโลนิมบัส กอตัวในแนวตั้ง มีฐานเมฆหนาทึบเปนสีดํา เปนเมฆฝนที่มีอันตราย เพราะภายใน กอนเมฆมีกระแสอากาศแปรปรวน อาจทําใหเกิดฝนตกหนัก และมีฟาคะนอง) นํา สอน สรุป ประเมิน T54
ขอสอบเนน การคิด 3.3) หยาดน�้าฟ้า (precipitation) เป็นค�ารวมของสถานะต่างๆ ของน�้าใน บรรยากาศที่ตกลงมาสู่ผิวโลกในลักษณะต่างๆ ได้แก่ 1. ฝน (rain) หยาดน�้าฟ้าที่เป็นของเหลว 2. ฝนละออง (drizzle) ฝนที่มีขนาดเล็กมาก แตกต่างจากหมอกตรงที่ ฝนละอองนี้จะตกจากท้องฟ้าลงสู่แผ่นดิน 3. ฝนน�้าแข็ง (sleet) หยดน�้าฝนที่เกิดการเยือกแข็งเป็นก้อนน�้าแข็ง กลมใส ขณะฝนตกอุณหภูมิในบรรยากาศใกล้โลกต�่ากว่าจุดเยือกแข็ง 4. หิมะ (snow) เกิดจากไอน�้าในเมฆรวมตัวกันเป็นผลึกน�้าแข็งอย่างรวดเร็ว โดยไม่ผ่านการเป็นหยดน�้า ผลึกน�้าแข็งตกลงมาในบรรยากาศที่มีอุณหภูมิต�่ามาก จึงไม่ท�าให้เกิด การหลอมละลายตัวก่อนตกสู่พื้นโลก 5. ลูกเห็บ (hail) ก้อนน�้าแข็งกลมตกลงมาจากเมฆคิวมูโลนิมบัส มักเกิด ในขณะมีพายุฝนฟ้าคะนอง นอกจากหยาดน�้าฟ้าแล้ว ในบรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์ยังพบปรากฏการณ์ที่เกิด ขึ้นจากไอน�้าในอากาศ อุณหภูมิ และฝุ่นละออง ดังนี้ 1. หมอก (fog) เกิดจากไอน�้าที่กลั่นตัวเป็นละอองลอยอยู่ในอากาศ มีฐาน ติดกับพื้นดินหรือพื้นน�้า 2. น�้าค้าง (dew) เกิดขึ้นจากอุณหภูมิของอากาศลดต�่าลงจนท�าให้ไอน�้า ในอากาศเกิดการควบแน่นหรือกลั่นตัวเป็นหยดน�้า มักเกิดในช่วงเวลากลางคืนตอนใกล้รุ่ง ซึ่ง อุณหภูมิยอดหญ้าลดลงต�่าสุด จึงพบหยดน�้าเกาะใบไม้ ใบหญ้า หรือตามวัตถุต่าง ๆ ใกล้พื้นดิน 3. น�้าค้างแข็ง (frost) เกิดขึ้นเช่นเดียวกันกับการเกิดน�้าค้าง ต่างกันตรงที่ อุณหภูมิยอดหญ้ามีค่าต�่ากว่า 0 องศาเซลเซียส ซึ่งจะพบในพื้นที่สูงช่วงฤดูหนาวมากที่สุด ปรากฏการณ์นี้ชาวภาคเหนือของไทย เรียกว่า “เหมยขาบ” ชาวภาคตะวันออกเฉียงเหนือแถบ จังหวัดเลย เรียกว่า “แม่คะนิ้ง” 4. ฟ้าหลัว (haze) หรือหมอกแดด เป็นลักษณะอากาศที่เกิดขึ้นจากอนุภาค ของฝุ่น ผงเกลือลอยกระจัดกระจายอยู่ในบรรยากาศ มักเกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาว ท�าให้ทัศนวิสัยลดลง 5. หมอกปนควัน (smog) เป็นลักษณะอากาศที่เกิดขึ้นจากหมอกและ ควันพิษจากแหล่งต่าง ๆ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม ท่อไอเสียจากยานพาหนะ ซึ่งเป็นอากาศที่มี มลพิษต่อระบบทางเดินหายใจ 53 ปรากฏการณในขอใดที่สงผลเสียตอการดําเนินชีวิต 1. หมอก 2. ฟาหลัว 3. นํ้าคาง 4. นํ้าคางแข็ง 5. หมอกปนควัน (วิเคราะหคําตอบ ตอบ 5. การเกิดหมอกปนควัน เปนลักษณะ อากาศที่เกิดขึ้นจากหมอกและควันพิษจากแหลงตางๆ เชน โรงงานอุตสาหกรรม ทอไอเสีย เปนอากาศที่มีมลพิษตอระบบ ทางเดินหายใจ) ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 1. นักเรียนในชั้นเรียนรวมกันสรุปเกี่ยวกับการใช เครื่องมือทางภูมิศาสตร และเครื่องมือดาน เทคโนโลยีในการสืบคนบรรยากาศภาค 2. ครูใหสมาชิกในแตละกลุมชวยกันสรุปสาระ สําคัญเพื่อตอบคําถามเชิงภูมิศาสตร 3. นักเรียนกลุมเดิมรวมกันทําใบงานที่ 2.2 เรื่อง บรรยากาศภาคและการเปลี่ยนแปลงทาง บรรยากาศภาค 4. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกสมรรถนะฯ ภูมิศาสตร ม.4-6 เกี่ยวกับเรื่อง บรรยากาศภาค เพื่อ เปนการบานสงครูในชั่วโมงถัดไป ขั้นสรุป ครูและนักเรียนรวมกันสรุปความรูเกี่ยวกับ บรรยากาศภาค ตลอดจนความสําคัญที่มีอิทธิพล ตอการดําเนินชีวิตของประชากร หรือใช PPT สรุปสาระสําคัญของเนื้อหา ขั้นประเมิน 1. ครูประเมินผลโดยสังเกตจากการตอบคําถาม การรวมกันทํางาน และการนําเสนอผลงาน หนาชั้นเรียน 2. ครูตรวจสอบผลจากการทําใบงานและแบบฝก สมรรถนะฯ ภูมิศาสตร ม.4-6 แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถวัดและประเมินความเขาใจเนื้อหา เรื่อง บรรยากาศภาค ไดจากการตอบคําถาม การรวมกันทํางาน และการนําเสนอผลงาน หนาชั้นเรียน โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมิน การนําเสนอผลงานที่แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรูหนวยที่ 2 เรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางกายของโลก แบบประเมินการน าเสนอผลงาน ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินผลการน าเสนอผลงานของนักเรียนตามรายการ แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/................./................ เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 12 - 15 ดี 8 - 11 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง ล าดับที่ รายการประเมินระดับคะแนน 3 2 1 1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 การล าดับขั้นตอนของเรื่อง 3 วิธีการน าเสนอผลงานอย่างสร้างสรรค์ 4 การใช้เทคโนโลยีในการน าเสนอ 5 การมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม รวม นํา สอน สรุป ประเมิน T55
ขอสอบเนนการคิด ปริมาณน้ำทั้งโลก มหาสมุทร 97.5% น้ำจืด 2.5% น้ำผิวดิน น้ำจืด น้ำผิวดินและ อื่นๆ 1.2% น้ำใตดิน 30.1% ธารน้ำแข็ง และหิมะ 68.7% ทะเลสาบ เขื่อน อางเก็บน้ำ 87% แมน้ำลำธาร 2% หนอง บึง 11% วัฏจักรของน�้า น�้าในอากาศ และเกิดการกลั่นตัว การระเหยการระเหย การคายน�้าของพืช หยาดน�้าฟ้า การไหลซึมลงในดิน มหาสมุทร น�้าผิวดิน น�้าใต้ดิน สัดส่วนปริมาณน�้าในแหล่งต่าง ๆ 3 อุทกภาค (hydrosphere) อุทกภาคเป็นส่วนของน�้าทั้งหมดบนผิว โลก น�้าเป็นทรัพยากรหมุนเวียน แต่ร้อยละ 97.5 ของปริมาณน�้าทั้งหมดบนโลกเป็นน�้าเค็ม มีส่วน ที่เป็นน�้าจืดเพียงร้อยละ 2.5 เท่านั้น ซึ่งน�้าจืด ประมาณร้อยละ 68.7 เป็นธารน�้าแข็ง หิมะ ร้อยละ 30.1 เป็นน�้าใต้ดิน และร้อยละ 1.2 เป็น น�้าผิวดินและอื่น ๆ ซึ่งมีเพียงร้อยละ 0.3 เป็น น�้าผิวดินที่มนุษย์น�ามาใช้ประโยชน์ได้ 3.1 วัฏจักรของน�้า วัฏจักรของน�้า คือ การหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงสภาวะของน�้าในธรรมชาติ ที่ผ่านขั้นตอน และกระบวนการทางธรรมชาติต่าง ๆ เช่น การระเหย การกลั่น โดยพลังงานแสงอาทิตย์เป็นปัจจัย ส�าคัญที่ท�าให้เกิดการระเหยของน�้าจากแหล่งน�้าต่าง ๆ เช่น ทะเล มหาสมุทร อ่างเก็บน�้า บึง แม่น�้า ฯลฯ กลายเป็นไอน�้าขึ้นสู่บรรยากาศ ถ้าหากมีไอน�้ามากขึ้นจนถึงจุดอิ่มตัวจะกลั่นตัวเป็นละอองน�้า รวมตัวเป็นก้อนเมฆ และตกลงมาสู่พื้นผิวโลกในรูปหยาดน�้าฟ้าต่าง ๆ เช่น ฝน หิมะ ลูกเห็บ และ ไหลลงสู่แหล่งน�้าต่าง ๆ หมุนเวียนไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด น�้าที่อยู่ตามแหล่งน�้า เช่น อ่างเก็บน�้า บึง แม่น�้า ฯลฯ เรียกว่า “น�้าผิวดิน” ส่วนน�้าที่ไหลซึม ลงในดินถูกเก็บสะสมไว้ตามโพรง ชั้นดิน และชั้นหินต่าง ๆ เรียกว่า “น�้าใต้ดิน” 54 เกร็ดแนะครู ครูใหนักเรียนศึกษาแผนภาพวัฏจักรของนํ้า อภิปรายการเกิด และ เพิ่มเติมขอมูลไอนํ้าที่ระเหยออกจากนํ้าในมหาสมุทร ทิ้งประจุแรธาตุตางๆ ทําใหมหาสมุทรมีความเค็ม ไอนํ้าที่ระเหยขึ้นไปเปนนํ้าจืดบริสุทธิ์ แตเมื่อไอนํ้า ควบแนนเปนหยดนํ้าและตกลงมาเปนฝน นํ้าฝนละลายแกสคารบอนไดออกไซด ในบรรยากาศ จึงมีสภาพเปนกรดคารบอนิกออนๆ เมื่อตกลงสูพื้นผิวโลกจะทํา ปฏิกิริยากับหินปูนซึ่งมีองคประกอบเปนแคลเซียมคารบอเนต ทําใหเกิด หนาผาแหลม โพรงถํ้า และนํ้ากระดาง ขั้นนํา (Geographic Inquiry Process) 1. ครูแจงชื่อเรื่อง จุดประสงค และผลการเรียนรู 2. ครูใหนักเรียนดูภาพหรือคลิปวิดีโอเกี่ยวกับ การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของโลกดาน อุทกภาค และแสดงความคิดเห็นรวมกัน เชน • โกรกธาร เขตอุทยานแหงชาติออบหลวง จังหวัดเชียงใหม • ดินดอนสามเหลี่ยมบริเวณปากแมนํ้าไนล ประเทศอียิปต 3. ครูใหนักเรียนดูแผนผังแสดงวัฏจักรทาง อุทกวิทยา จากนั้นใหนักเรียนลองบอกสิ่งที่เห็น 4. ครูถามคําถามกระตุนความคิด เชน • ปจจัยที่ทําใหเกิดการไหลเวียนของกระแส นํ้าในมหาสมุทรคืออะไร (แนวตอบ เชน ความแตกตางของระดับนํ้า อุณหภูมิและความหนาแนนของนํ้า รวมถึง ลมประจําฤดูและลมประจําถิ่น นอกจากนี้ ยังเกิดจากการลดและเพิ่มของระดับนํ้า จากปรากฏการณนํ้าขึ้น-นํ้าลง แผนดินไหว หรือภูเขาไฟปะทุไดอีกดวย) • การไหลเวียนของกระแสนํ้าในมหาสมุทรมี อิทธิพลตอทรัพยากรธรรมชาติที่มีประโยชน ทางเศรษฐกิจอยางไร (แนวตอบ เชน กอใหเกิดแหลงทําการ ประมงที่สําคัญของโลก เนื่องจากบริเวณ ที่กระแสนํ้าอุนและกระแสนํ้าเย็นไหลมา ปะทะกันจะมีอุณหภูมิเหมาะสมสําหรับการ เจริญเติบโตของแพลงกตอนซึ่งเปนอาหาร ของปลา ทําใหบริเวณนี้มีปลาชุกชุมมาก เรียกวา แบงส เชน คูริลแบงส ของประเทศ ญี่ปุน) หากในแตละปปริมาณฝนตกนอย สงผลกระทบตอวัฏจักรนํ้า ของพื้นที่นั้นอยางไร (แนวตอบ ฝนที่ตกลงสูพื้นดิน นํ้าบางสวนจะคางอยูตามใบ และลําตนของพืช บางสวนจะขังอยูตามแองนํ้าหรือที่ลุม นํ้าเหลานี้ จะระเหยจากแหลงนํ้าหรือการคายนํ้าของพืชกลับสูบรรยากาศ และนํ้าบางสวนอาจซึมลึกลงไปในดิน ไปรวมกันเปนแหลงนํ้าใตดิน สวนที่เหลือจะไหลอยูบนผิวดินในรูปของนํ้าทา กลายเปนแหลงนํ้า ผิวดิน เชน แมนํ้าลําคลอง และไหลลงสูทะเลและมหาสมุทร แลวระเหยกลับขึ้นไปสูบรรยากาศอีก หากพื้นที่นั้นมีฝนตกนอย สงผลกระทบตอวัฏจักรนํ้า ทําใหมีนํ้านอย เกิดภาวะแหงแลง) นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T56
ขอสอบเนน การคิด 3.2 ระบบน�้าจืด น�้าจืดเป็นน�้าที่เกิดจากการหมุนเวียนตามวัฏจักรของน�้า มีเกลือโซเดียมและคลอไรด์เพียงเล็ก น้อยละลายอยู่ในน�้าไม่เกิน 0.5 ส่วน ในน�้า 1,000 ส่วน ปริมาณน�้าจืดในส่วนต่าง ๆ ของโลกมีอยู่ เกือบร้อยละ 3 เท่านั้น อยู่ตามแหล่งต่าง ๆ ดังนี้ 1) น�้าผิวดิน แหล่งน�้าผิวดินเฉพาะที่เป็นน�้าจืด ได้แก่ แม่น�้า ล�าธาร ห้วย คลอง หนอง บึง ทะเลสาบ และอ่างเก็บน�้า รวมทั้งพื้นที่ชุ่มน�้า น�้าผิวดินมีเพียงร้อยละ 0.01 จากปริมาณ น�้าจืดทั้งหมด แต่มีความส�าคัญมาก เนื่องจากสามารถน�ามาใช้ประโยชน์ในกิจกรรมต่างๆ เพื่อการ ด�ารงชีวิตของมนุษย์ สัตว์ และพืช 2) น�้าใต้ดิน เป็นน�้าที่อยู่ตามแหล่งน�้าใต้ดิน ทั้งบนบกและใต้พื้นดินในทะเล เป็น น�้าในธรณีภาคที่เกิดจากน�้าจืดของวัฏจักรน�้าไหลตามช่องว่างที่ต่อเนื่องกันใต้พื้นดิน เช่น ช่องว่าง ของเม็ดกรวด ทราย โพรงดิน โพรงถ�้า ตลอดจนถึงชั้นใต้ดินที่มีน�้าบรรจุเต็มช่องว่างต่างๆ ใน เขตอิ่มน�้า หรือระดับน�้าใต้ดิน น�้าใต้ดินมีประมาณร้อยละ 0.62 จากปริมาณน�้าจืดทั้งหมด น�้าใต้ดิน บางส่วนจะไหลซึมอยู่ในชั้นใต้ดินตามความลาดและเป็นส่วนส�าคัญในการช่วยรักษาระดับน�้าใน แม่น�้าไม่ให้ลดระดับลงอย่างรวดเร็ว 3) ธารน�้าแข็ง พบในทวีปแอนตาร์กติกา เกาะกรีนแลนด์ เกาะไอซ์แลนด์ ยอดเขาสูง และที่ราบสูงที่มีหิมะปกคลุมพื้นที่ในเวลายาวนาน เช่น ทิวเขาเชอเลน ในประเทศนอร์เวย์และ สวีเดน ยอดเขามงบล็องของเทือกเขาแอลป์ ยอดเขาคีโบของเทือกเขาคิลิมันจาโร ในประเทศ แทนซาเนีย ที่ราบสูงทิเบตและเทือกเขาเซาเทิร์นแอลป์ ในประเทศนิวซีแลนด์ จากปริมาณน�้าจืด ทั้งหมดเป็นน�้าจืดจากธารน�้าแข็งประมาณร้อยละ 2.20 4) ไอน�้าและเมฆ เป็นส่วนของไอน�้าที่เกิดจากการระเหยของน�้าในวัฏจักรน�้า แล้ว ลอยขึ้นไปอยู่ในบรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์ เป็นความชื้นในอากาศ ละอองน�้า บางส่วนรวมตัวกัน เป็นกลุ่มก้อน ซึ่งจะกลั่นตัวเป็นน�้าจืดได้อีก ซึ่งโดยรวมมีปริมาณร้อยละ 0.01 ของน�้าจืดที่สะสมไว้ ในอากาศ Geo Tip เกรตอาร์ทีเชียนเบซิน เกรตอาร์ทีเชียนเบซิน (Great Artesian Basin) เป็นแหล่งน�้าบาดาลขนาดใหญ่ของประเทศ ออสเตรเลีย มีพื้นที่ประมาณ 1,544,000 ตารางกิโลเมตร ส่วนใหญ่อยู่ในรัฐควีนส์แลนด์ มีปริมาณน�้า อยู่ประมาณ 64,900 ลูกบาศก์กิโลเมตร แหล่งน�้ามาจากเทือกเขาเกรตดิไวดิงซึ่งอยู่ทางตะวันออกของ ประเทศ น�้าฝนจะไหลลงมาตามชั้นหินซึมเป็นระยะทางไกลกว่า 1,000 กิโลเมตร มาสู่บริเวณแหล่งน�้า บาดาลนี้ แต่บ่อบาดาลบางแห่งอาจมีเกลือปนอยู่ รัฐบาลออสเตรเลียมีโครงการพัฒนาแหล่งน�้านี้ เพื่อใช้ประโยชน์ทางด้านต่าง ๆ 55 2) น�้าใต้ดิน เป็นน�้ 1 เกร็ดแนะครู ครูใหนักเรียนชวยกันวิเคราะหความแตกตางของแหลงนํ้าจืดที่ปรากฏบน ผิวโลก เชน นํ้าผิวดิน นํ้าใตดิน ธารนํ้าแข็ง ในดานแหลงกําเนิด ความสัมพันธ กับการดําเนินชีวิตของประชากร แลววิเคราะหสถานการณการใชนํ้าจืดใน ประเทศไทย ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร 1. ครูใหนักเรียนรวมกันศึกษา Geo Tip เกี่ยวกับ เกรตอารทีเชียนเบซิน จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 และแสดงความคิดเห็น รวมกัน 2. ครูกระตุนใหนักเรียนชวยกันตั้งประเด็นคําถาม เชิงภูมิศาสตร เชน • ปจจัยทางภูมิศาสตรมีอิทธิพลตอวัฏจักรทาง อุทกวิทยาอยางไร • การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพดานอุทกภาค ทําใหนํ้าจืดและนํ้าเค็มเกิดปญหาอยางไร • ผลกระทบจากปญหาของนํ้าจืดและนํ้าเค็ม คืออะไรบาง • การไหลเวียนของกระแสนํ้าในมหาสมุทรใน ภูมิภาคตางๆ ของโลก มีลักษณะใดบาง ประเทศไทยตองเผชิญกับสถานการณดานนํ้าจืดอยางไรบาง มีแนวทางปองกันแกไขปญหาอยางไร (แนวตอบ ประเทศไทยตองเผชิญกับปญหานํ้าจืด เชน เกิดภัยแลง สงผลใหปริมาณนํ้าสํารองในเขื่อนหรืออางเก็บนํ้าขนาดใหญ ไมเพียงพอ ปญหาแหลงนํ้าเสื่อมโทรม และปนเปอนสารพิษจาก การปลอยของเสียลงแหลงนํ้าของชุมชนเมือง ภาคอุตสาหกรรม และภาคเกษตรกรรม เกิดอุทกภัยรุนแรงทําใหนํ้าทวม แนวทาง ปองกันแกไข เชน ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคนํ้าใหรูจัก ประหยัด รักษาแหลงตนนํ้า เชน ปาไม ภาครัฐตองมีการบริหาร จัดการนํ้าอยางยั่งยืน เพื่อปองกันปญหานํ้าแลงและนํ้าทวม) นักเรียนควรรู 1 นํ้าใตดิน หากมีการสูบนํ้าใตดินมาใชมากเกินไปจนขาดความสมดุลของ นํ้าใตดิน จะทําใหเกิดผลเสียตามมา เชน เกิดการทรุดตัวของดิน เนื่องจาก ชั้นลางของหินปูนที่มีนํ้าแทรกอยูชวยใหหนุนชั้นดินดานบนไวหากสูบมาใน ปริมาณมากจะทําใหนํ้าในชั้นหินลดลงอยางรวดเร็วทําใหแผนดินยุบตัวลง นํา สอน สรุป ประเมิน T57
0 ํ 0 ํ 40 ํE 40 ํW 80 ํE 80 ํW 120 ํE 120 ํW 160 ํE 160 ํW 20 ํE20 ํW 60 ํE 60 ํW 100 ํE 100 ํW 140 ํE 180 ํ140 ํW 20 ํN 20 ํS 40 ํN 40 ํS 60 ํN 60 ํS 80 ํN 80 ํS 0 ํ 20 ํN 20 ํS 40 ํN 40 ํS 60 ํN 60 ํS 80 ํN 80 ํS ม ห า ส มุ ท ร แ ป ซิ ฟ ก ม ห า ส มุ ท ร แ ป ซิ ฟ ก ม ห า ส มุ ท ร อ า ร ก ติ กม ห า ส มุ ท ร อ า ร ก ติ ก ม ห า ส มุ ท ร แ อ ต แ ล น ติ ก ม ห า ส มุ ท ร แ อ ต แ ล น ติ ก ม ห า ส มุ ท ร อิ น เ ดี ย ทะเลแคริบเบียน ทะเล เหน�อ ทะเลคาราทะเลแลปทิฟทะเลไซบีเรียตะวันออก ทะเลดำ ทะเลเบริง เมดิเตอรเรเน�ยน ทะเล ทะเล นอรวีเจียนทะเล กรีนแลนดทะเล แลบราดอร ทะเลเวดเดลลทะเลเบลลิงสเฮาเซน ทะเลสโกเทีย ทะเลแบเร็นตส ทะเลแดง อาว เม็กซิโก อาวอะแลสกา อาว ฮัดสัน อาว บิสเคย อาว แบฟฟนทะเลโบฟอรต อาว เบงกอล อาวกิน� ทะเล ฟลิปปน ทะเลคอรัล ทะเลแทสมัน ทะเล จีนใต ทะเลจีน ตะวันออก ทะเล โอค็อตสค ทะเล โซโลมอน ทะเลติมอร ทะเลอาหรับ ทะเล แคสเปยน เกรตออสเตรเลียนไบต ส.ออนเทรีโอม. ส ิแิชนก สส.พุเีรยีส.ฮูรอน ส.อิรี ส.วินนิเพก ส.เกรตแบร ส.เกรตสเลฟ ส.แทนกันยีกา ส.วิกตอเรีย ส.โอเนกา ส.ลาโดกา ส.มาลาวี ทะเลอารัลสบ.ลัคชัส.ไบคาล นย.ูคอนน.แมกเคนซีน.เนลสัน น.ซเนตลอวเรนซ อโ.นรนีโโก น.ไรน นไ.น ล น.ยูเฟรทีส น.ไทกรสิ น.ออ็ น บ .เยนเ�ซย น.ลนีา น.อามรู น.โขง ส. นธินุ ินวะลาส. น น.คงคา น.พรหมบุตร นฉ.างเจียง น.ห ว งาหเอ น.มเอรรยีน.ดารลิง น.ดานูบ น.ไนเจอร . นคองโก น.ออเรนจ น.แซมบีซ น ี .วอลกา นแ.อมะซอน านาราป. น าซ. น ร ฟซังสีกู น.รีโอกรนัเด ม. นซิส ซสิปปิ น.โคลมัเบยีโ.น คลโราโด แมน้ำ แมน้ำสำคัญ ทะเลสาบ ทะเลสาบสำคัญ N 1 : 160,000,000 0 2,000 4,000 กม. แผนที่แสดงแหลงน้ำผิวดิน แผนที่แสดงน�้าผิวดินที่ส�าคัญของโลก 56 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 2 การรวบรวมขอมูล 1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม สืบคนเกี่ยวกับอุทกภาค จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 หรือจาก แหลงการเรียนรูอื่นๆ ประกอบการใชเครื่องมือ ทางภูมิศาสตร เชน แผนที่แสดงนํ้าผิวดิน ที่สําคัญของโลก ในประเด็นตอไปนี้ • วัฏจักรของนํ้า • ระบบนํ้าจืด • ระบบนํ้าเค็ม 2. ครูอาจถามคําถามประกอบการสืบคนของ นักเรียนเพิ่มเติม เชน • แหลงนํ้าจืดมีประโยชนตอมนุษยชาติอยางไร (แนวตอบ นํ้ามีประโยชนตอการดํารงชีวิต ของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง รวมถึงมนุษย ตั้งแตยุค โบราณมนุษยมักตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่มีนํ้า อุดมสมบูรณ เชน ที่ราบลุมแมนํ้า ทะเลสาบ เนื่องจากมีความสะดวกในการอุปโภคบริโภค รวมถึงการคมนาคมติดตอกับชุมชนอื่นและ ประโยชนทางการคา กระทั่งพัฒนาชุมชน ของตนขึ้นเปนแหลงอารยธรรมโบราณที่ สําคัญของโลกในหลายบริเวณ ในปจจุบันนํ้า ยังคงมีความสําคัญทั้งในดานเศรษฐกิจและ สิ่งแวดลอม การบริหารจัดการเพื่อปองกัน ภัยแลงและนํ้าทวม ตลอดจนการใชพลังงาน นํ้าในการผลิตกระแสไฟฟา) 3. ครูแนะนําแหลงขอมูลสารสนเทศที่นาเชื่อถือ ใหกับนักเรียนเพิ่มเติม ครูใหนักเรียนดูแผนที่แสดงแหลงนํ้าผิวดินที่สําคัญของโลก ใหวิเคราะหแหลงนํ้าสําคัญของโลก เปรียบเทียบความไดเปรียบ เสียเปรียบของปริมาณแหลงนํ้าในแตละพื้นที่ของโลก และวิเคราะห แนวโนมสถานการณการใชนํ้า ปญหาแหลงนํ้าของโลก และเสนอ แนะแนวทางการบริหารจัดการนํ้าอยางยั่งยืน บันทึกสาระสําคัญ เกร็ดแนะครู ครูใหนักเรียนดูแผนที่แสดงแหลงนํ้าผิวดินที่สําคัญของโลก ตั้งประเด็น คําถามเพื่อใหนักเรียนไดใชทักษะทางภูมิศาสตรในการอานและแปลความแผนที่ เชน • ทวีปใดมีแหลงนํ้าอุปโภคบริโภคมากที่สุด เพราะเหตุใด • ทวีปใดมีโอกาสเสี่ยงตอการเกิดภาวะขาดแคลนนํ้าจืดมากที่สุด เพราะ เหตุใด • พื้นที่ใดของโลกที่มีแหลงนํ้าอุดมสมบูรณเหมาะแกการเพาะปลูก • หากไมมีแมนํ้าแอมะซอนจะสงผลกระทบตอหลายประเทศในอเมริกาใต อยางไร • หากไมมีแมนํ้าเจาพระยาจะสงผลกระทบตอภาคกลางของไทยอยางไร • หากนักเรียนจะเลือกทําการเกษตรขนาดใหญจะเลือกบริเวณใดของโลก เพราะเหตุใด นอกจากนั้น ครูกระตุนใหนักเรียนฝกตั้งคําถาม โดยใชแผนที่ประกอบ นํา สอน สรุป ประเมิน T58
ขอสอบเนน การคิด 0 ํ 0 ํ 40 ํE 40 ํW 80 ํE 80 ํW 120 ํE 120 ํW 160 ํE 160 ํW 20 ํE20 ํW 60 ํE 60 ํW 100 ํE 100 ํW 140 ํE 180 ํ140 ํW 20 ํN 20 ํS 40 ํN 40 ํS 60 ํN 60 ํS 80 ํN 80 ํS 0 ํ 20 ํN 20 ํS 40 ํN 40 ํS 60 ํN 60 ํS 80 ํN 80 ํS ม ห า ส มุ ท ร แ ป ซิ ฟ ก ม ห า ส มุ ท ร แ ป ซิ ฟ ก ม ห า ส มุ ท ร อ า ร ก ติ กม ห า ส มุ ท ร อ า ร ก ติ ก ม ห า ส มุ ท ร แ อ ต แ ล น ติ ก ม ห า ส มุ ท ร แ อ ต แ ล น ติ ก ม ห า ส มุ ท ร อิ น เ ดี ย ทะเลแคริบเบียน ทะเล เหน�อ ทะเลคาราทะเลแลปทิฟทะเลไซบีเรียตะวันออก ทะเลดำ ทะเลเบริง เมดิเตอรเรเน�ยน ทะเล ทะเล นอรวีเจียนทะเล กรีนแลนดทะเล แลบราดอร ทะเลเวดเดลลทะเลเบลลิงสเฮาเซน ทะเลสโกเทีย ทะเลแบเร็นตส ทะเลแดง อาว เม็กซิโก อาวอะแลสกา อาว ฮัดสัน อาว บิสเคย อาว แบฟฟนทะเลโบฟอรต อาว เบงกอล อาวกิน� ทะเล ฟลิปปน ทะเลคอรัล ทะเลแทสมัน ทะเล จีนใต ทะเลจีน ตะวันออก ทะเล โอค็อตสค ทะเล โซโลมอน ทะเลติมอร ทะเลอาหรับ ทะเล แคสเปยน เกรตออสเตรเลียนไบต ส.ออนเทรีโอม. ส ิแิชนก สส.พุเีรยีส.ฮูรอน ส.อิรี ส.วินนิเพก ส.เกรตแบร ส.เกรตสเลฟ ส.แทนกันยีกา ส.วิกตอเรีย ส.โอเนกา ส.ลาโดกา ส.มาลาวี ทะเลอารัลสบ.ลัคชัส.ไบคาล นย.ูคอนน.แมกเคนซีน.เนลสัน น.ซเนตลอวเรนซ อโ.นรนีโโก น.ไรน นไ.น ล น.ยูเฟรทีส น.ไทกรสิ น.ออ็ น บ .เยนเ�ซย น.ลนีา น.อามรู น.โขง ส. นธินุ ินวะลาส. น น.คงคา น.พรหมบุตร นฉ.างเจียง น.ห ว งาหเอ น.มเอรรยีน.ดารลิง น.ดานูบ น.ไนเจอร . นคองโก น.ออเรนจ น.แซมบีซ น ี .วอลกา นแ.อมะซอน านาราป. น าซ. น ร ฟซังสีกู น.รีโอกรนัเด ม. นซิส ซสิปปิ น.โคลมัเบยีโ.น คลโราโด แมน้ำ แมน้ำสำคัญ ทะเลสาบ ทะเลสาบสำคัญ N 1 : 160,000,000 0 2,000 4,000 กม. แผนที่แสดงแหลงน้ำผิวดิน 3.3 ระบบน�้าเค็ม น�้าเค็มเป็นน�้าที่มีปริมาณมากที่สุดถึงร้อยละ 97 ของปริมาณน�้าทั้งโลกและกระจายตามแหล่ง น�้าต่าง ๆ ได้แก่ อ่าว ทะเล และมหาสมุทร จึงเป็นแหล่งน�้าในวัฏจักรน�้าที่มีการระเหยเป็นไอน�้าใน อากาศมากที่สุดด้วย 1) ความเค็มและความหนาแน่น ความเค็มของน�้าทะเลเกิดจากการมีเกลือโซเดียม และคลอไรด์ละลายอยู่ ในปริมาณเฉลี่ย 35 กรัมต่อน�้า 1,000 กรัม หรือร้อยละ 3.5 น�้าทะเลแต่ละ บริเวณมีความเค็มแตกต่างกันตามอัตราการระเหยของน�้า ปริมาณน�้าฝน น�้าจากแม่น�้าหรือน�้าแข็ง ที่ละลายลงไป และอุณหภูมิของน�้า 2) กระแสน�้าพื้นผิวและการลอยตัวของมวลน�้าในมหาสมุทร การไหลเวียนของ กระแสน�้าพื้นผิวในมหาสมุทรมีความต่อเนื่องและสม�่าเสมอ เกิดจากความหนาแน่นและอุณหภูมิที่ แตกต่างกันของน�้าทะเลในแต่ละแห่ง และลมประจ�าของโลก 2.1) กระแสน�้าพื้นผิวในมหาสมุทร เป็นระบบหมุนเวียนของน�้าพื้นผิวในแนวนอน ประจ�าอยู่ในมหาสมุทรต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ การไหลของกระแสน�้าพื้นผิวเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ ดังนี้ 1. การหมุนรอบตัวเองของโลก ท�าให้กระแสน�้าพื้นผิวบริเวณเส้นศูนย์สูตร ไหลจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก เมื่อถึงทวีปและแผ่นดิน กระแสน�้าพื้นผิวจะไหลเบนขวาใน ซีกโลกเหนือและเบนซ้ายในซีกโลกใต้ตามลักษณะรูปร่างของแผ่นดิน 2. ลมที่พัดประจ�า ได้แก่ • ลมค้าตะวันออกเฉียงเหนือและลมค้าตะวันออกเฉียงใต้ ลมที่พัด ประมาณละติจูด 30 - 5 องศาเหนือและใต้ ท�าให้กระแสน�้าแถบเส้นศูนย์สูตรไหลจากทิศตะวันออก ไปทิศตะวันตก • ลมตะวันตก เป็นลมที่พัดประมาณละติจูด 30 - 60 องศาเหนือและใต้ พัดจากแนวความกดอากาศสูงกึ่งเขตร้อนไปยังบริเวณแนวความกดอากาศต�่ากึ่งขั้วโลกในซีกโลก เหนือ ลมจะพัดรุนแรงมากในฤดูหนาว ส�าหรับซีกโลกใต้ลมจะพัดรุนแรงในฤดูร้อนและฤดูหนาว ซึ่งในสมัยโบราณใช้ประโยชน์ในการเดินเรือจากตอนใต้ของมหาสมุทรแอตแลนติกไปทางตะวันออก ผ่านมหาสมุทรอินเดีย 57 ขั้นสอน ขั้นที่ 3 การจดการขอมูล 1. สมาชิกแตละคนในกลุมนําขอมูลที่ตนไดจาก การรวบรวม มาอธิบายแลกเปลี่ยนความรู ระหวางกัน 2. จากนั้นสมาชิกในกลุมชวยกันคัดเลือกขอมูลที่ นําเสนอเพื่อใหไดขอมูลที่ถูกตอง และรวมกัน อภิปรายแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เกร็ดแนะครู ครูเพิ่มเติมขอมูลเกี่ยวกับอิทธิพลของกระแสนํ้าในมหาสมุทรสงผลตอการ ดําเนินชีวิตของมนุษย เชน 1. มีอิทธิพลตออุณหภูมิบนพื้นโลก กระแสนํ้าอุน ชวยเพิ่มระดับอุณหภูมิ บริเวณชายฝงในเขตละติจูดสูงใหสูงขึ้น เชน ทําใหชายฝงสหราชอาณาจักรมี อุณหภูมิไมลดลงตํ่ามาก กระแสนํ้าเย็น ชวยลดระดับอุณหภูมิบริเวณชายฝงใน เขตละติจูดตํ่าใหเย็นลง เชน ทําใหบริเวณชายฝงแคลิฟอรเนีย สหรัฐอเมริกา มีอุณหภูมิไมสูงมากนัก ทั้งๆ ที่เปนฤดูรอน 2. บริเวณที่มีกระแสนํ้าเย็นและกระแสนํ้าอุนไหลมาปะทะกัน จะมี แพลงกตอนซึ่งเปนอาหารของปลาอยูเปนจํานวนมาก จึงเปนแหลงปลาชุกชุม มีประโยชนทางดานการประมง เชน บริเวณคูริลแบงก ประเทศญี่ปุนเปน บริเวณที่กระแสนํ้าอุนคุโระชิโอะและกระแสนํ้าเย็นโอะยะชิโอะไหลมาปะทะกัน การไหลเวียนของกระแสนํ้าในมหาสมุทรเกิดจากสาเหตุ ดังตอไปนี้ ยกเวนขอใด 1. เกิดจากลมประจําที่พัดผาน 2. เกิดจากการหมุนรอบตัวของโลก 3. เกิดจากความแตกตางของภูมิประเทศ 4. เกิดจากการลดระดับนํ้าทะเลจากปรากฏการณนํ้าขึ้น-นํ้าลง 5. เกิดจากความหนาแนนและอุณหภูมิที่แตกตางกันของ นํ้าทะเลในแตละแหง (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เพราะการไหลเวียนของนํ้าใน มหาสมุทรเกิดจากความแตกตางของระดับนํ้าทะเลที่สูง-ตํ่าไม เทากัน โดยนํ้าที่ลอยตัวสูงขึ้นจะไหลไปแทนที่นํ้าที่จมตัวลง สวนนํ้าที่จมตัวลงก็จะไหลในระดับลึกไปแทนที่นํ้าที่ลอยตัวสูงขึ้น ซึ่งไมไดเกิดจากความแตกตางของภูมิประเทศ) นํา สอน สรุป ประเมิน T59
180 ํ 0 ํเสนศูนยสูตร 20 ํE 20 ํE20 ํW 60 ํE 60 ํW 100 ํE 100 ํW 140 ํE 140 ํW 40 ํE 0 ํ40 ํW 80 ํE 80 ํW 120 ํE 120 ํW 160 ํE 160 ํW 20 ํN 20 ํS 40 ํN 40 ํS 60 ํN 60 ํS 80 ํN 80 ํS 0 ํ 20 ํN 20 ํS 40 ํN 60 ํN 80 ํN 40 ํS 60 ํS 80 ํS ศูนยสูตรเหน�อ ศูนยสูตรใต ศูนยสูตรสวนกลับ อโะยะชิโอะ แคลฟิอรเน�ย ปเูร ขั้วโลกแอนตารกตกิา ขั้วโลกแอนตารกตกิา ขั้วโลกแอนตารกตกิา แปซฟิกหเน�อ สออ ตเเรลียตะวนัออก คุโระชิโอะ เบงเกวลา ศูนยสูตร บร ซา ลิ กลัฟสตรีม แคริบเบียน ค แะ รน ี รก ีนแลน ด แลบราดอร แ ตนลแตอ ิก �อนหเ ละกะอ ัส ศูนยสูตรใตอนิเดยีสวนกลบัศนูยสตูรเหนอ�รมุมส ตะวันตกฉเ �ยงใต ออสเตรเลียตะวนัตกมหาสมุทรแปซิฟก อาว อะแลสกา อาว เม็กซิโก มหาสมุทร อินเดีย มหาสมุทรอารกติก มหาสมุทรแปซิฟก มหาสมุทร แอตแลนติก มหาสมุทร แอตแลนติก อชแงคบบเรงิ อเมริกาเหน�อ ทะเลทราย โมฮาวี แ อ น ต า ร ก ติ ก า อเมริกาใต แอฟริกา แอฟริกา ยุโรป ออสเตรเลีย เอเชีย ทะเลทรายอาตากามา ทะเลทรายสะฮารา ะ ท ทลเ บิมานยารทะเลทราย กิบสัน แกรนด แบงสคูริล แบงก ดอกเกอร แบงก N 1 : 160,000,000 0 2,000 4,000 กม. แผนที่แสดงกระแสน้ำในมหาสมุทร กระแสน้ำอุนกระแสน้ำเย็น แผนที่แสดงกระแสน�้าในมหาสมุทร 58 1 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 1. ครูใหนักเรียนดูแผนที่แสดงกระแสนํ้าใน มหาสมุทร จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 จากนั้นรวมกันวิเคราะหและเชื่อมโยงการ ไหลเวียนของกระแสนํ้าในมหาสมุทรเพิ่มเติม ประกอบการใชคําถาม เชน • แหลงที่มาของกระแสนํ้าอุนและกระแส นํ้าเย็นที่ไหลเวียนในมหาสมุทรของโลกคือ ที่ใด (แนวตอบ เขตศูนยสูตรและเขตขั้วโลกเปน แหลงที่มาของกระแสนํ้าอุนและกระแส นํ้าเย็นที่ไหลเวียนอยูในมหาสมุทรทั่วโลก โดยกระแสนํ้าอุน เชน กระแสนํ้าอุนคุโระชิโอะ ไดรับความรอนจากดวงอาทิตยในเขต ศูนยสูตร และไหลเวียนขึ้นทางเหนือ สวน กระแสนํ้าเย็นโอะยะชิโอะ เปนกระแสนํ้า เย็นที่ไหลลงมาจากทางขั้วโลกเหนือนั่นเอง) 2. ครูใหสมาชิกแตละกลุมนําขอมูลที่รวบรวมมา ไดทําการวิเคราะหรวมกันเพื่ออธิบายคําตอบ 3. สมาชิกแตละกลุมรวมกันตรวจสอบความ ถูกตองของขอมูล 4. ตัวแทนกลุมนําเสนอผลงานหนาชั้นเรียน สมาชิกกลุมอื่นผลัดกันใหขอคิดเห็น หรือ ขอเสนอแนะ 5. สมาชิกแตละกลุมรวมกันทําใบงานที่ 2.3 เรื่อง ปรากฏการณทางอุทกภาค และรวมกัน เฉลยคําตอบ โดยครูแนะนําเพิ่มเติม นักเรียนควรรู 1 กระแสนํ้าในมหาสมุทร คือ การเคลื่อนที่ของนํ้าในมหาสมุทรอยางสมํ่าเสมอ ซึ่งจะไหลอยูตลอดเวลา และไหลเวียนไปทั่วโลกอยางชาๆ ในทิศทางเดียวกัน และการที่โลกเปนทรงกลมจึงทําใหอุณหภูมิของนํ้าในมหาสมุทรมีความ แตกตางกัน พลังงานจากดวงอาทิตยจะตกกระทบบริเวณเสนศูนยสูตร มากกวาบริเวณอื่นๆ ทําใหนํ้าบริเวณนั้นมีอุณหภูมิสูงขึ้นจึงเบาและลอยตัวขึ้น เกิดเปนกระแสนํ้าอุน ในขณะที่นํ้าบริเวณขั้วโลกจะไดรับความรอนนอยมาก ทําใหนํ้ามีอุณหภูมิตํ่า จะเย็นและจมตัวลงเกิดเปนกระแสนํ้าเย็น ใหนักเรียนดูแผนที่แสดงกระแสนํ้าในมหาสมุทร วิเคราะห ทิศทางการไหลของกระแสนํ้าอุน และกระแสนํ้าเย็นของโลก ผลกระทบจากการมีกระแสนํ้าดังกลาว ยกตัวอยางกระแสนํ้าอุน และนํ้าเย็นของโลก วิเคราะหอิทธิพลของกระแสนํ้าดังกลาว นํา สอน สรุป ประเมิน T60
กิจกรรม Geo - Literacy 180 ํ 0 ํเสนศูนยสูตร 20 ํE 20 ํE20 ํW 60 ํE 60 ํW 100 ํE 100 ํW 140 ํE 140 ํW 40 ํE 0 ํ40 ํW 80 ํE 80 ํW 120 ํE 120 ํW 160 ํE 160 ํW 20 ํN 20 ํS 40 ํN 40 ํS 60 ํN 60 ํS 80 ํN 80 ํS 0 ํ 20 ํN 20 ํS 40 ํN 60 ํN 80 ํN 40 ํS 60 ํS 80 ํS ศูนยสูตรเหน�อ ศูนยสูตรใต ศูนยสูตรสวนกลับ อโะยะชิโอะ แคลฟิอรเน�ย ปเูร ขั้วโลกแอนตารกตกิา ขั้วโลกแอนตารกตกิา ขั้วโลกแอนตารกตกิา แปซฟิกหเน�อ สออ ตเเรลียตะวนัออก คุโระชิโอะ เบงเกวลา ศูนยสูตร บร ซา ลิ กลัฟสตรีม แคริบเบียน ค แะ รน ี รก ีนแลน ด แลบราดอร แ ตนลแตอ ิก �อนหเ ละกะอ ัส ศูนยสูตรใตอนิเดยีสวนกลบัศนูยสตูรเหนอ�รมุมส ตะวันตกฉเ �ยงใต ออสเตรเลียตะวนัตกมหาสมุทรแปซิฟก อาว อะแลสกา อาว เม็กซิโก มหาสมุทร อินเดีย มหาสมุทรอารกติก มหาสมุทรแปซิฟก มหาสมุทร แอตแลนติก มหาสมุทร แอตแลนติก อชแงคบบเรงิ อเมริกาเหน�อ ทะเลทราย โมฮาวี แ อ น ต า ร ก ติ ก า อเมริกาใต แอฟริกา แอฟริกา ยุโรป ออสเตรเลีย เอเชีย ทะเลทรายอาตากามา ทะเลทรายสะฮารา ะ ท ทลเ บิมานยารทะเลทราย กิบสัน แกรนด แบงสคูริล แบงก ดอกเกอร แบงก N 1 : 160,000,000 0 2,000 4,000 กม. แผนที่แสดงกระแสน้ำในมหาสมุทร กระแสน้ำอุน กระแสน้ำเย็น 2.2) การลอยตัวของมวลน�้า เป็นปรากฏการณ์เฉพาะพื้นที่ เนื่องจากน�้าใน ระดับลึกจากทะเลหรือมหาสมุทรมีอุณหภูมิต�่าและมีความหนาแน่นสูงลอยตัวขึ้นสู่ระดับผิวน�้า เกิดจากลมประจ�าก�าลังแรงท�าให้กระแสน�้าเย็นพื้นผิวที่ขนานกับชายฝั่งเคลื่อนที่เฉออกจากชายฝั่ง ตามแรงคอริออลิส ท�าให้น�้าเย็นในระดับลึกเคลื่อนขึ้นมาแทนที่เกิดเป็นการลอยตัวของมวลน�้า เช่น การลอยตัวของมวลน�้าบริเวณชายฝั่งรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา Geo Tip หมอกทะเล (sea fog) หมอกทะเลเป็นหมอกที่เกิดจากการพาความร้อนในแนวนอน (advection fog) หมอกที่เกิดขึ้น ในชั้นต�่า ๆ ของมวลอากาศชื้น ซึ่งเคลื่อนที่ไปบนผิวพื้นที่เย็นกว่า จนท�าให้อุณหภูมิของอากาศ ข้างล่างลดลงต�่ากว่าอุณหภูมิจุดน�้าค้าง หมอกชนิดนี้มักเกิดจากอากาศชื้นเคลื่อนที่ไปบนผิวพื้นน�้า ทะเลที่เย็นกว่า ที่มา : https://www2.aeromet.tmd.go.th 59 ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 1. นักเรียนแตละกลุมศึกษา Geo Tip เรื่อง หมอก ทะเล จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 เพื่อ วิเคราะหเพิ่มเติมปรากฏการณทางอุทกภาค จากนั้นรวมกันตรวจสอบความถูกตองของ ขอมูล 2. นักเรียนในชั้นเรียนรวมกันสรุปเกี่ยวกับการใช เครื่องมือทางภูมิศาสตร และเครื่องมือดาน เทคโนโลยีในการสืบคนอุทกภาค 3. ครูใหสมาชิกในแตละกลุมชวยกันสรุปสาระ สําคัญเพื่อตอบคําถามเชิงภูมิศาสตร 4. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกสมรรถนะฯ ภูมิศาสตร ม.4-6 เกี่ยวกับเรื่อง อุทกภาค โดยครูแนะนํา เพิ่มเติม ขั้นสรุป ครูและนักเรียนรวมกันสรุปความรูเกี่ยวกับ อุทกภาค ตลอดจนความสําคัญที่มีอิทธิพล ตอการดําเนินชีวิตของประชากร หรือใช PPT สรุปสาระสําคัญของเนื้อหา ขั้นประเมิน 1. ครูประเมินผลโดยสังเกตจากการตอบคําถาม การรวมกันทํางาน และการนําเสนอผลงาน หนาชั้นเรียน 2. ครูตรวจสอบผลจากการทําใบงาน และแบบฝก สมรรถนะฯ ภูมิศาสตร ม.4-6 แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถวัดและประเมินความเขาใจเนื้อหา เรื่อง อุทกภาค ไดจากการ ตอบคําถาม การรวมกันทํางาน และการนําเสนอผลงานหนาชั้นเรียน โดยศึกษา เกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินการนําเสนอผลงานที่แนบมา ทายแผนการจัดการเรียนรูหนวยที่ 2 เรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางกายของโลก นักเรียนศึกษาแผนที่แสดงกระแสนํ้าในมหาสมุทรจากหนังสือเรียน หนา 57 วิเคราะหทิศทางการไหลของกระแสนํ้าอุน กระแสนํ้าเย็น ตางๆ และผลจากกระแสนํ้าดังกลาว ใหนักเรียนรวมกลุมศึกษา วิเคราะหความรูจากเรื่องกระแสนํ้าในมหาสมุทร โดยใชกระบวนการ ทางภูมิศาสตร 5 ขั้นตอน ไดแก การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร การรวบรวมขอมูล การจัดการขอมูล การวิเคราะหขอมูล และ การสรุปเพื่อตอบคําถาม แบบประเมินการน าเสนอผลงาน ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินผลการน าเสนอผลงานของนักเรียนตามรายการ แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/................./................ เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 12 - 15 ดี 8 - 11 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง ล าดับที่ รายการประเมินระดับคะแนน 3 2 1 1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 การล าดับขั้นตอนของเรื่อง 3 วิธีการน าเสนอผลงานอย่างสร้างสรรค์ 4 การใช้เทคโนโลยีในการน าเสนอ 5 การมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม รวม นํา สอน สรุป ประเมิน T61
0 ํ 30 ํN 30 ํS 60 ํN 60 ํS 0 ํ 150 ํW 120 ํW 90 ํW 60 ํW 30 ํW 0 ํ 30 ํE 60 ํE 90 ํE 120 ํE 150 ํE 180 ํ 150 ํW 120 ํW 90 ํW 60 ํW 30 ํW 0 ํ 30 ํE 60 ํE 90 ํE 120 ํE 150 ํE 180 ํ 30 ํN 30 ํS 60 ํN 60 ํS เสนศูนยสูตร เสนทรอปกออฟแคนเซอร เสนอารกติกเซอรเคิล เสนทรอปกออฟแคปริคอรน เสนแอนตารกติกเซอรเคิล ปาฝนเขตรอน ปาไมผลัดใบ ทุงหญาเขตอบอุน ทุงหญาเขตรอน เมดิเตอรเรเน�ยน เขตชีวนิเวศของโลก เทือกเขาสูง ทะเลทราย ปาสน (ไทกา) ทุนดรา แผนที่แสดงเขตชีวนิเวศของโลก 4 ชีวภาค (biosphere) 4.1 ระบบชีวนิเวศ ระบบนิเวศบนโลกมีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศของแต่ละท้องถิ่น ซึ่งมีผลต่อสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น ๆ ระบบนิเวศของสิ่งมีชีวิตในแต่ละพื้นที่ เรียกว่า ชีวนิเวศ หรือไบโอม (biomes) จากแผนที่แสดงเขตชีวนิเวศแบ่งเป็น 9 กลุ่มใหญ่ ๆ ซึ่งความแตกต่างของสภาพอากาศ และลักษณะพื้นที่ในแต่ละภูมิภาคของโลก ท�าให้เกิดระบบนิเวศหรือถิ่นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต ที่แตกต่างกัน สิ่งมีชีวิตแต่ละพื้นที่ได้ผ่านการคัดสรรตามธรรมชาติในกระบวนการวิวัฒนาการของ สิ่งมีชีวิต เช่น เขตร้อนชื้นแถบศูนย์สูตรหรือเขตร้อนซึ่งเป็นเขตที่มีความส�าคัญอย่างยิ่งในเรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาค เช่น ป่าแอมะซอน ประเทศบราซิล เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลาย ของพันธุ์พืชและสัตว์สูงมาก 60 กิจกรรม ทาทาย 4.1 ระบบชีวนิเวศ 1 ขั้นนํา (Geographic Inquiry Process) 1. ครูแจงชื่อเรื่อง จุดประสงค และผลการเรียนรู 2. ครูใหนักเรียนดูภาพชีวนิเวศแตละพื้นที่ เชน ทุนดรา ปาฝนเขตรอน ทะเลทราย เทือกเขาสูง ปาสน ทุงหญาเขตรอน ฯลฯ จากนั้นสุม นักเรียนเพื่อตอบคําถามวาแตละภาพเปน ชีวนิเวศในพื้นที่แบบใด ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร 1. ครูใหนักเรียนศึกษาแผนที่แสดงเขตชีวนิเวศ ของโลก จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 แลวอภิปรายแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแผนที่ ดังกลาวรวมกัน พรอมทั้งเชื่อมโยงกับภาพ ชีวนิเวศตัวอยาง และแสดงความคิดเห็น เพิ่มเติม 2. ครูกระตุนใหนักเรียนชวยกันตั้งประเด็นคําถาม เชิงภูมิศาสตร เชน • ปจจัยทางภูมิศาสตรทําใหเกิดความ หลากหลายของระบบชีวนิเวศอยางไร • ระบบชีวนิเวศในภูมิภาคตางๆ ของโลกมี ลักษณะอยางไร • การเปลี่ยนแปลงทางชีวภาคในภูมิภาค ตางๆ ของโลก มีผลกระทบตอวิถีการ ดําเนินชีวิตอยางไร นักเรียนควรรู 1 ระบบชีวนิเวศ (biome) ชุมชนของพืชและสัตวที่อาศัยอยูรวมกันในบริเวณ ที่มีภูมิอากาศมีลักษณะเฉพาะ ชีวนิเวศแบบตางๆ ถูกควบคุมโดยลักษณะ ภูมิอากาศ พื้นที่ทางภูมิศาสตร เปนสิ่งที่กําหนดชนิดของพืชและสัตวที่จะ เจริญเติบโตและดํารงชีวิตอยูในพื้นที่นั้นๆ เชน ชีวนิเวศปาเขตรอน ปาผลัดใบ เขตอบอุน ทุงหญาเขตอบอุน ทะเลทราย ใหนักเรียนจับคู อานแผนที่แสดงเขตชีวนิเวศของโลก ศึกษา เขตชีวนิเวศทั้ง 9 เขต วิเคราะหลักษะเฉพาะของแตละเขต เกี่ยวกับลักษะพืชพรรณ ปาไม สัตว สรุปสาระสําคัญ นําเสนอ ในชั้นเรียน กิจกรรม สรางเสริม ใหนักเรียนจับคู อานแผนที่แสดงเขตชีวนิเวศของโลก เลือก ศึกษาเขตชีวนิเวศ 1 เขต วิเคราะหลักษะเฉพาะของลักษะพืชพรรณ ปาไม สัตว สรุปสาระสําคัญในรูปแบบแผนผังความคิด นําเสนอ ในชั้นเรียน นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T62
ขอสอบเนน การคิด ระบบนิเวศของแต่ละพื้นที่มีลักษณะส�าคัญ ดังนี้ 1) ป่าฝนเขตร้อน หรือป่าดิบชื้น เป็นป่าไม่ผลัดใบ เขียวชอุ่มตลอดปี ปริมาณฝน และความชื้นสูง อุณหภูมิเฉลี่ย 20 - 25 องศา เซลเซียส มีฝนตกชุกเฉลี่ย 2,400 มม./ปี พบ มากในเขตร้อนใกล้เส้นศูนย์สูตร เช่น ป่าในเกาะ บอร์เนียว ประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย และ ภาคใต้ของประเทศไทย ป่าเซลวาส (selvas) บริเวณลุ่มแม่น�้าแอมะซอนในทวีปอเมริกาใต้ และบริเวณลุ่มแม่น�้าคองโกในทวีปแอฟริกา ป่ามีความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตสูง ทั้งพันธุ์พืช สัตว์ป่า นก และแมลง 2) ป่าไม้ผลัดใบ บริเวณป่าไม้ผลัดใบเขตร้อนจะผลัดใบในฤดูแล้งและผลิใบใหม่ใน ฤดูฝน ส่วนบริเวณเขตอบอุ่นจะผลัดใบในฤดูใบไม้ร่วงและผลิใบใหม่ในฤดูใบไม้ผลิ มีปริมาณฝน เฉลี่ย 760 - 1,500 มม./ปี อุณหภูมิเฉลี่ย 15 - 30 องศาเซลเซียส ในเขตร้อนพบป่าเบญจพรรณ หรือป่าเต็งรัง ซึ่งเป็นป่าโปร่งที่มีต้นไม้ขึ้นกระจัดกระจายหลายชนิด ในเขตอบอุ่นพบมากในทวีปยุโรป ออสเตรเลีย และประเทศญี่ปุ่น พันธุ์ไม้ที่พบ เช่น โอ๊ก เชสต์นัต สัตว์ที่พบ เช่น สุนัขจิ้งจอก กวาง 3) ทุ่งหญ้าเขตอบอุ่น เป็นบริเวณที่มีทุ่งหญ้าปกคลุมทั่วไปในเขตละติจูด 10 - 30 องศาเหนือและใต้ ฝนตกเฉลี่ย 250 - 760 มม./ปี ฤดูร้อนอากาศร้อนมาก พบต้นไม้น้อยชนิด ส่วนใหญ่เป็นพืชตระกูลหญ้า สูงตั้งแต่ 50 - 200 ซม. ในทวีปอเมริกาเหนือ เรียกว่า ทุ่งหญ้าแพรรี ทวีปอเมริกาใต้ เรียกว่า ทุ่งหญ้าปัมปัส และทวีปเอเชียบริเวณแมนจูเรีย ตอนใต้ของไซบีเรีย ประเทศ รัสเซีย เรียกว่า ทุ่งหญ้าสเตปป์ มีธัญพืชต่าง ๆ และมีทุ่งหญ้าที่สมบูรณ์ 4) ทุ่งหญ้าเขตร้อน มีฝนตกเฉลี่ย 700 - 1,500 มม./ปี อุณหภูมิเฉลี่ย 20 - 30 องศาเซลเซียส มีฤดูแล้งยาวนาน พบเป็น บริเวณกว้างในทวีปแอฟริกา อเมริกาใต้ และ ทางเหนือของประเทศออสเตรเลีย มีต้นหญ้ายาว และมีไม้ต้น ไม้พุ่ม กระจัดกระจายหรือเป็นกลุ่ม ๆ บางแห่งมีลักษณะเป็นทุ่งหญ้าปนป่าโปร่ง ในทวีป แอฟริกา เรียกว่า ทุ่งหญ้าสะวันนา สัตว์ที่พบ เช่น สิงโต ม้าลาย ควายป่า ป่าฝนเขตร้อนเป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์และมีความ หลากหลายทางชีวภาพสูง ทุ่งหญ้าเขตร้อนหรือทุ่งหญ้าสะวันนาในทวีปแอฟริกา 61 ภาคใต้ของประเทศไทย ป่าเซลวาส (selvas) 1 ทวีปอเมริกาใต้ เรียกว่า ทุ่งหญ้าปัมปัส และทวีปเอเชียบริเวณแมนจูเรีย ตอนใต้ของไซบีเรีย ประเทศ รัสเซีย เรียกว่า ทุ่งหญ้าสเตปป์ มีธัญพืชต่าง ๆ 2 3 ขั้นสอน ขั้นที่ 2 การรวบรวมขอมูล 1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน สืบคน ขอมูลเกี่ยวกับระบบนิเวศของแตละพื้นที่ จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 หรือ จากแหลงการเรียนรูอื่นๆ เชน หนังสือใน หองสมุด เว็บไซตในอินเทอรเน็ต ประกอบ การใชเครื่องมือทางภูมิศาสตร ในประเด็น ตอไปนี้ • ปาฝนเขตรอน • เทือกเขาสูง • ปาไมผลัดใบ • ทะเลทราย • ทุงหญาเขตอบอุน • ปาสน • ทุงหญาเขตรอน • ทุนดรา • เมดิเตอรเรเนียน 2. ครูแนะนําแหลงขอมูลสารสนเทศที่นาเชื่อถือ ใหกับนักเรียนเพิ่มเติม นักเรียนควรรู 1 ปาเซลวาส ปาในเขตรอนชื้น ไมลําตนสูงใหญ ปกคลุมพื้นที่หนาแนน ในบริเวณลุมนํ้าแอมะซอน เปนแหลงปาไมเนื้อแข็งที่มีความอุดมสมบูรณและ กวางขวาง ปจจุบันถูกทําลายลงไปมาก เพื่อใชพื้นที่ทําการเกษตร 2 ทุงหญาปมปส ทุงหญาเขตอบอุน อยูบริเวณที่ราบตํ่าอุดมสมบูรณใน ทวีปอเมริกาใต ในเขตประเทศอารเจนตินา อุรุกวัย บราซิล มีหยาดนํ้าฟา 600-1,200 มิลลิเมตร กระจายเกือบเทากันตลอดทั้งป ทําใหดินเหมาะสมแก เกษตรกรรมและเลี้ยงสัตว 3 ทุงหญาสเตปป ทุงหญาที่มีหญาสูง 1-5.8 ฟุต ขึ้นในเขตภูมิอากาศแบบ ภาคพื้นทวีป ภูมิอากาศกึ่งแหงแลง อุณภูมิสูงสุดในฤูดูรอนอาจสูงถึง 40 ํ°C และ ตํ่าสุดในฤดูหนาวอาจลดลงถึง -40 ํC อุณหภูมิระหวางกลางวันและกลางคืน แตกตางกันมาก เชน ทางบริเวณที่สูงของมองโกเลีย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสงผลกระทบตอระบบชีวนิเวศ ของโลกอยางไร (แนวตอบ การที่อุณหภูมิโลกเปลี่ยนแปลงทําใหเกิดภาวะโลกรอน สงผลกระทบตอระบบชีวนิเวศ เชน ภัยธรรมชาติตางๆ มีแนวโนม วาจะเกิดบอยครั้งและรุนแรงมากยิ่งขึ้น เชน ภัยแลง ไฟปา พายุไตฝุน โซนรอน นํ้าทวม การพังทลายของชั้นดิน เกิดภาวะ คลื่นความรอน ทําลายพืชผลการเกษตร การลดลงของพืชอาหาร สัตวปาสูญพันธุ) นํา สอน สรุป ประเมิน T63
ขอสอบเนนการคิด ป่าแบบเมดิเตอร์เรเนียน พบไม้พุ่ม เปลือกหนา ใบเล็ก 5) เมดิเตอร์เรเนียน มีไม้พุ่มเตี้ยที่ทนอากาศแห้งแล้งในฤดูร้อนได้ ในฤดูหนาว มีอากาศอบอุ่น และได้รับความชื้นจากทะเล ปริมาณฝนฉลี่ย 650 มม./ปี พบโดยรอบทะเล เมดิเตอร์เรเนียน และทางตะวันตกเฉียงใต้ของ สหรัฐอเมริกา บริเวณทางตะวันตกเฉียงเหนือ ของเม็กซิโก เรียกว่า ป่าชาปาร์รัล พบไม้พุ่ม เปลือกหนา ใบเล็ก ผิวมัน เขียวชอุ่มตลอดปี เช่น โอ๊ก มะกอก ซีดาร์ สัตว์ที่พบ เช่น แพะป่า แกะป่า อาศัยอยู่ในป่าใกล้เชิงเขา นอกจากนี้ ยังพบ สัตว์เลื้อยคลานหลายชนิด เช่น งู เต่า เพราะมี แหล่งอาหารจ�าพวกแมลงมากในบริเวณนี้ 6) เทือกเขาสูง มีพื้นที่สูงกว่า 3,000 เมตร อุณหภูมิลดลงตามความสูงของ พื้นที่ มีอากาศเบาบางแต่มีลมแรง บางครั้งมีหิมะปกคลุม เทือกเขาที่ส�าคัญของโลก เช่น เทือกเขา หิมาลัยในทวีปเอเชีย เทือกเขาแอลป์ในทวีปยุโรป เทือกเขาร็อกกีในทวีปอเมริกาเหนือ เทือกเขา แอนดีสในทวีปอเมริกาใต้ สัตว์ที่พบ ได้แก่ สัตว์เท้ากีบสายพันธุ์ต่างๆ เช่น แพะภูเขา จามรี พบพืชระดับล่างเป็นส่วนใหญ่ เพราะทนกับสภาพอากาศหนาวเย็นได้ และพบไม้พุ่มขนาดเล็ก 7) ทะเลทราย มีปริมาณฝนน้อยมาก เฉลี่ยน้อยกว่า 250 มม./ปี กลางวันมีอุณหภูมิ เฉลี่ยสูงกว่า 35 องศาเซลเซียส ส่วนกลางคืนมีอากาศหนาวเย็น ทะเลทรายที่ส�าคัญ เช่น ทะเล ทรายสะฮาราในทวีปแอฟริกา ทะเลทรายอาหรับในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ทะเลทรายโกบีบริเวณ ประเทศจีนและมองโกเลีย พืชพรรณที่พบ เช่น พืชใบเล็ก รากแตกกระจาย ขึ้นห่าง ๆ กัน สัตว์ที่ พบต้องทนความแห้งแล้งได้ เช่น อูฐ จิ้งจอกทะเลทราย บางบริเวณเป็นพื้นที่โอเอซิส ที่มีน�้าใต้ดิน อยู่ตื้น จึงมีน�้าเพียงพอต่อการปลูกพืชบางชนิด เช่น ปาล์ม อินทผลัม 8) ป่าสน หรือไทกา เป็นป่าในแถบซีกโลกเหนือที่มีสภาพอากาศหนาวเย็น อุณหภูมิ เย็นจัดถึง -40 องศาเซลเซียส ปริมาณฝนเฉลี่ย 1,000 มม./ปีมีฤดูหนาวยาวนานและอากาศอบอุ่น ในช่วงเวลาสั้น ๆ พบมากในทวีปเอเชียบริเวณที่ราบไซบีเรีย ประเทศรัสเซีย ทวีปยุโรปตอนเหนือ ทวีปอเมริกาเหนือในประเทศแคนาดา พบพืชตระกูลสน สัตว์ที่พบมีขนหรือชั้นไขมันหนา เพื่ออยู่ ในสภาพอากาศเย็น เช่น กวางมูส กวางเรนเดียร์ 9) ทุนดรา เป็นทุ่งหิมะอยู่เหนือเส้นละติจูดที่ 60 องศาเหนือ ไปจนถึงบริเวณขั้วโลก มีอากาศหนาวเย็นตลอดปี อุณหภูมิเฉลี่ย -5 ถึง -40 องศาเซลเซียส ปริมาณฝนเฉลี่ย 250 มม./ปี พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยน�้าแข็ง ช่วงฤดูร้อนฝนตกน้อย ในฤดูหนาวมีช่วงเวลากลางคืนที่ยาวนาน พบสิ่งมีชีวิตไม่กี่ชนิด เช่น แมวน�้าลายพิณ หมีขั้วโลก หมาป่าหิมะ นกฮูกหิมะ กวางเรนเดียร์ กวางคาริบู พืชที่พบ เช่น ไลเคน มอสส์ หญ้าเซดจ์ 62 ๆ เช่น แพะภูเขา จามรี 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 3 การจัดการขอมูล 1. สมาชิกแตละคนในกลุมนําขอมูลที่ตนไดจาก การรวบรวม มาอธิบายแลกเปลี่ยนความรู ระหวางกัน 2. สมาชิกในกลุมชวยกันคัดเลือกขอมูลที่นําเสนอ เพื่อใหไดขอมูลที่ถูกตอง และรวมอภิปราย แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับระบบนิเวศของ แตละพื้นที่เพิ่มเติม ระบบนิเวศของแตละพื้นที่ขอใดมีความสัมพันธแตกตางจากขออื่น 1. ทะเลทราย-อูฐ 2. ปาสน-กวางมูส 3. ทุนดรา-หมีขั้วโลก 4. เทือกเขาสูง-แพะภูเขา จามรี 5. เมดิเตอรเรเนียน-แกะปา กวางเรนเดียร (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 5. บริเวณที่มีอากาศแบบเมดิเตอรเรเนียน พบแกะปา แพะปา อาศัยอยูในปาใกลเชิงเขา สวนกวางเรนเดียร เปนสัตวที่พบในเขตปาสนและทุนดรา) เกร็ดแนะครู ครูควรนําคลิปสารคดีสิ่งมีชีวิตและสัตวของระบบนิเวศในแตละพื้นที่ เชน สารคดีหมีขั้วโลก มาใหนักเรียนชมแลววิเคราะหการดําเนินชีวิตในสภาพ ภูมิประเทศ และภูมิอากาศดังกลาว นักเรียนควรรู 1 จามรี ลักษณะรูปรางคลายวัวกระทิง แตมีขนยาวดกหนาเปนเสนละเอียด ปกคลุมทั่วลําตัว มีหางเปนพูยาวคลายกับหางมา เขายาวโคง อาศัยอยูในเขต หนาวเย็นตั้งแตเทือกเขาหิมาลัยถึงที่ราบสูงทิเบต เนื้อและนมนํามาเปนอาหาร ขนทําเปนเครื่องนุงหม มูลใชทําปุย นํา สอน สรุป ประเมิน T64
พื้นที่ B พื้นที่ A กระต่าย หนู นก กระต่าย หนู กระต่าย นก นก กระต่าย แมว หนู หมา ไก่ หนู กระต่าย นก หนู หมา 4.2 ความหลากหลายทางชีวภาพ (biological diversity) ความหลากหลายทางชีวภาค คือ การมีชนิดพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดมาอยู่ร่วมกัน ณ สถานที่หนึ่ง หรือระบบนิเวศใดนิเวศหนึ่ง ซึ่งมีมากมายและแตกต่างกันทั่วโลก ความหลากหลาย ทางชีวภาพเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการของทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม โดยการ เปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตนี้เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ อาศัยระยะเวลาที่ ยาวนานจึงเห็นผลของการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนได้ 1) ความหลากหลายในชนิดของสิ่งมีชีวิต ชนิดของสิ่งมีชีวิต (species) คือ กลุ่ม ของสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะของโครโมโซมใกล้เคียงกัน สามารถผสมพันธุ์กันแล้วให้ก�าเนิดลูกได้ แต่ สิ่งมีชีวิตต่างสปีชีส์กันไม่สามารถผสมพันธุ์และให้ก�าเนิดลูกได้ หรือถ้าให้ก�าเนิดลูกได้ก็จะเป็นหมัน ระบบนิเวศในธรรมชาติแต่ละแห่งประกอบด้วยสิ่งมีชีวิตต่างๆ มากมายอาศัยอยู่ร่วมกัน และมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน โดยสามารถพิจารณาความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ได้ 2 ลักษณะ คือ 1.1) จ�านวนชนิดของสิ่งมีชีวิต ในพื้นที่ หมายถึง จ�านวนชนิดของสิ่งมีชีวิตที่ อาศัยอยู่ต่อหน่วยพื้นที่ สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดอาจ มีจ�านวนที่แตกต่างกันได้ 1.2) สัดส่วนของสิ่งมีชีวิตใน พื้นที่ หมายถึง สัดส่วนของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด ที่พบและเป็นตัวแทนในระบบนิเวศ เป็นดัชนี ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ บ่งบอกถึงคุณภาพของสภาพแวดล้อมที่มีความ แตกต่างกันไปตามกลไกของการเกิดระบบนิเวศ ในบางระบบนิเวศมีสัดส่วนของสิ่งมีชีวิตที่ไม่สมดุล และมีความแตกต่างกันมาก เช่น ในป่ามีสัตว์นักล่าจ�านวนมากส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตที่ถูกล่า และเมื่อสิ่งมีชีวิตที่ถูกล่ามีจ�านวนน้อยลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อจ�านวนสิ่งมีชีวิตที่เป็นผู้ล่า ผลที่เกิดขึ้น ในช่วงเวลาที่มีความไม่สมดุลของสิ่งมีชีวิตนี้ เรียกว่า สัดส่วนไม่สมดุลของสิ่งมีชีวิต ระบบนิเวศที่ มีสัดส่วนไม่สมดุลมีความพร้อมหรือความไวที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อเข้าสู่ระบบนิเวศสมดุล หรือระบบนิเวศที่มีความยั่งยืนต่อไปได้ การเพิ่มขึ้นหรือลดลงของจ�านวนและชนิดของสิ่งมีชีวิตขึ้นอยู่กับการแก่งแย่ง แข่งขันกันในการใช้ทรัพยากรชนิดเดียวกัน เช่น อาหาร ที่อยู่อาศัย หรือคู่สืบพันธุ์ ซึ่งผลของ การแก่งแย่งกันอาจท�าให้สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอกว่าต้องตายหรือต้องอพยพย้ายถิ่นออกไปจากระบบ นิเวศนั้น พื้นที่ B มีจ�านวนชนิดหลากหลายมากกว่าพื้นที่ A 63 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 1. สมาชิกแตละกลุมนําขอมูลที่ไดจากการศึกษา มาทําการวิเคราะห และรวมกันตรวจสอบ ความถูกตองของขอมูล ครูชวยชี้แนะเพิ่มเติม 2. ครูใหนักเรียนกลุมเดิมนําขอมูลของตนเอง ที่เกี่ยวกับชีวนิเวศของแตละพื้นที่ที่กลุมตน รับผิดชอบมาเชื่อมโยงกับความหลากหลาย ทางชีวภาพ จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 หรือจากเว็บไซตในอินเทอรเน็ต ประกอบ การนําเสนอเพิ่มเติมตามประเด็น ดังนี้ • ความหลากหลายในชนิดของสิ่งมีชีวิต • ความหลากหลายทางชีวนิเวศวิทยา เกร็ดแนะครู ครูเปดคลิปสารคดีพื้นที่ตางๆ ของโลก เชน สัตวปาแอมะซอนใน ทวีปอเมริกาใต ปาบอรเนียวในประเทศอินโดนีเซีย ใหนักเรียนวิเคราะหความ หลากหลายของพืชพรรณธรรมชาติ และสัตวปา ใหนักเรียนจับคูเลือกศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพของ ปาไมในประเทศไทย 1 แหง และของโลก 1 แหง วิเคราะหในประเด็น ดังนี้ • ลักษณะของปา • ความอุดมสมบูรณของพืชพรรณธรรมชาติ • ความอุดมสมบูรณของสัตวปา • สถานการณปจจุบันและแนวโนมการลดลงของความ หลากหลายทางชีวนิเวศ สรุปสาระสําคัญเปนแผนผังความคิด ตกแตงใหสวยงาม นําเสนอในชั้นเรียน นํา สอน สรุป ประเมิน T65
ขอสอบเนนการคิด 2) ความหลากหลายทางชีวนิเวศวิทยา โลกประกอบด้วยระบบนิเวศแบบต่าง ๆ มากมาย กลุ่มสิ่งมีชีวิตและสภาพแวดล้อมมีความสัมพันธ์และมีอิทธิพลต่อกัน ท�าให้สิ่งมีชีวิตต้อง มีการปรับตัวทั้งทางกายภาพและทางชีวภาพ เพื่อให้สามารถด�ารงชีวิตอยู่ในระบบนิเวศนั้นได้อย่าง เหมาะสม ลักษณะความหลากหลายทางชีวนิเวศวิทยาสามารถจ�าแนกได้ ดังนี้ 2.1) ความหลากหลายของถิ่นที่อยู่ คือ ความแตกต่างของถิ่นก�าเนิดที่เกิดขึ้นเอง ตามธรรมชาติ เช่น ในพื้นที่ภาคใต้ของไทย มีทั้งทิวเขา ที่ราบชายฝั่งทะเล เกาะแก่งต่าง ๆ ท�าให้ เกิดถิ่นก�าเนิดตามธรรมชาติหลายรูปแบบ เช่น ล�าธาร ป่าชายเลน แนวปะการัง ถ�้า ซึ่งในถิ่น ก�าเนิดลักษณะต่าง ๆ มีสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกันไป เช่น ปลา สัตว์สะเทินน�้าสะเทินบกในล�าธาร ปู ปลา ลิง ในป่าชายเลน กุ้ง หอย ปู ปลา ตามแนวปะการัง หรือค้างคาวในถ�้าลึก พื้นที่ใดมีความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งน�้าและอาหารมาก ย่อมเป็นพื้นที่ที่มีความ หลากหลายของสิ่งมีชีวิตมากกว่าพื้นที่ที่ไม่มีแหล่งน�้าและอาหาร เช่น ในป่าดิบชื้น เป็นป่าใน เขตร้อนมีพืชขึ้นหลายชนิดและมีความชุ่มชื้นสูง พบความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตมากกว่าป่าสน ซึ่งเป็นป่าในเขตหนาวที่มีความชื้นต�่าและมีพืชหลัก คือ ต้นสน เท่านั้น ถิ่นก�าเนิดลักษณะต่างๆ มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่แตกต่างกันไปและจะปรับตัวให้เข้ากับ ลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ เพื่อให้สามารถด�ารงชีวิตอยู่ได้ เช่น • ปลาตีน อาศัยอยู่บริเวณป่าชายเลน ซึ่งเป็นบริเวณที่มีน�้าขึ้นน�้าลง ปลาตีนจึงมี การปรับตัวให้อาศัยอยู่ได้ที่เวลาน�้าขึ้นและน�้าลง โดยมีผิวหนังและเหงือกเพื่อเก็บความชุ่มชื้น และ มีกล้ามเนื้อบริเวณครีบที่แข็งแรงเพื่อใช้ในการเคลื่อนที่บนพื้นโคลนคล้ายลักษณะการเดิน เพื่อ หากินในช่วงเวลาน�้าลด • อูฐ อาศัยอยู่ตามภูมิประเทศแบบทะเลทราย จึงมีขนตายาวและเปลือกตา ปิดสนิทเมื่อหลับตาเพื่อป้องกันทราย โหนกของอูฐเป็นที่เก็บไขมันเพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงานและ ระบายความร้อน อูฐสามารถทนทานต่อการสูญเสียน�้าในร่างกายได้ดี เนื่องจากมีไตที่ยาวกว่าสัตว์ ชนิดอื่น นอกจากนี้ ปากอูฐยังมีความหนา จึงสามารถกินต้นกระบองเพชรได้ ปลาตีนเป็นปลาขนาดเล็ก อาศัยอยู่ตามดินโคลนแถบ ป่าชายเลน อูฐเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แห้งแล้งแบบทะเลทราย สามารถอดอาหารและน�้าได้นานถึง 10 - 20 วัน 64 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 3. ครูใหนักเรียนแตละกลุมนําเสนอขอมูล จากนั้น วิเคราะหในเรื่องราวที่นําเสนอ และอภิปราย เสนอแนะขอคิดเห็นรวมกัน ประกอบการใช คําถาม เชน • สัตวปาในแตละบริเวณของโลก มีความ สําคัญอยางไร (แนวตอบ สัตวปาในแตละบริเวณของโลก ลวนมีความสําคัญตอความสมดุลของระบบ นิเวศ ทั้งในดานการควบคุมจํานวนซึ่งกัน และกันจากหวงโซอาหาร ดานการแพรพันธุ ของพืช ดานการอาศัยซึ่งกันและกันใน ลักษณะคลายกาฝาก และลักษณะอื่นๆ รวมถึงการเปนอาหาร แรงงาน และสัตวเลี้ยง ของมนุษยมาตั้งแตโบราณ) 4. นักเรียนกลุมเดิมรวมกันทําใบงานที่ 2.4 เรื่อง ระบบชีวนิเวศ โดยครูแนะนําเพิ่มเติม เกร็ดแนะครู ครูยกตัวอยางความหลากหลายของระบบชีวนิเวศของผืนปาในประเทศไทย เชน ปาทุงใหญนเรศวร เปนผืนปาที่ยังคงความอุดมสมบูรณมากที่สุดของไทย มีความหลากหลายของพันธุพืชและพันธุสัตว ตลอดจนแมลงปาอีกหลายชนิด เปนบานของสัตวเลี้ยงลูกดวยนมขนาดใหญ มีนกและสัตวทองถิ่นจํานวนมาก ผืนปามีทั้งทุงหญา ปาเบญจพรรณ ปาเต็งรัง ปาดิบชื้น และปาดิบเขา ครูตั้งประเด็นอภิปราย เชน • ทุงใหญนเรศวรมีความสําคัญตอประเทศไทยอยางไร • สถานการณปจจุบันเปนอยางไร • ทําอยางไรจะคงความอุดมสมบูรณและความหลากหลายทางชีวนิเวศ ไดตลอดไป เพราะเหตุใดปาดิบชื้นจึงเปนปาที่มีพืชขึ้นหลายชนิด 1. มีความชุมชื้นสูง 2. มีความชุมชื้นตํ่า 3. เปนปาในเขตหนาว 4. มีแหลงนํ้าและอาหารมาก 5. เปนปาในเขตอบอุนมีความชื้นสูง (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1.ปาดิบชื้นเปนปาในเขตรอน มีความชื้นสูง ทําใหพืชพรรณอุดมสมบูรณและหลากหลาย เปน แหลงอาหารที่สมบูรณของสัตวปา) นํา สอน สรุป ประเมิน T66
แพะภูเขาอาศัยอยู่ตามเทือกเขาสูงแถบทวีปอเมริกาเหนือ และทวีปยุโรป เหตุการณ์สึนามิพัดถล่มเกาะซีเมอลูเอ (Simeulue) ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อ พ.ศ. 2547 ท�าให้ป่าชายเลนและแนวปะการัง ถูกท�าลาย เกิดปะการังและความหลากหลายของถิ่นก�าเนิดใหม่ขึ้นแทน นอกจากนี้ ภูมิประเทศที่มีลักษณะ เฉพาะตัวสูง เช่น หมู่เกาะ มีขนาดเล็กกว่าท�าให้ มีความหลากหลายทางชีวภาพน้อยกว่าแผ่นดิน ใหญ่ แต่มีแนวโน้มที่จะพบสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่น มากกว่า เช่น มังกรโคโมโด ในประเทศอินโดนีเซีย อิกัวนาทะเล บนหมู่เกาะกาลาปาโกส ประเทศ เอกวาดอร์ นกกีวี ในประเทศนิวซีแลนด์ ตุ่นปาก เป็ด ในทวีปออสเตรเลีย 2.2) ความหลากหลายของการ แทนที่ คือ การเปลี่ยนแปลงทางความหลาก หลายที่เกิดจากระบบนิเวศเดิมถูกท�าลายลงด้วย วิธีการต่าง ๆ เช่น การเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ไฟป่า น�้าท่วม แผ่นดินไหว หรือการบุกรุก โดยมนุษย์เพื่อแผ้วถางป่า ท�าเกษตรกรรม เมื่อระบบนิเวศหนึ่งถูกท�าลายจะท�าให้เกิดเป็นพื้นที่ว่าง และหากปล่อยพื้นที่ว่างนี้ทิ้งไว้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงแทนที่โดยสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ ท�าให้เกิดเป็น ระบบนิเวศใหม่ ซึ่งสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่เข้ามาอาศัยอยู่ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปจนกลายเป็นระบบนิเวศ ที่สมดุลเช่นเดิมได้ หรือเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพบริเวณชายฝั่ง เช่น เกิดสึนามิซัด ชายฝั่งทะเล พื้นที่ป่าชายเลนเสียหายบางส่วน ท�าให้ความหลากหลายของถิ่นก�าเนิดเดิมถูก ท�าลายลง • แพะภูเขา อาศัยอยู่ตามเทือกเขาสูง มีกีบเท้าที่ใหญ่และกล้ามเนื้อที่แข็งแรง ท�าให้สามารถยึดเกาะกับหน้าผาที่สูงและชันมากได้เป็นอย่างดี 65 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 1. นักเรียนในชั้นเรียนรวมกันสรุปเกี่ยวกับการใช เครื่องมือทางภูมิศาสตร และเครื่องมือดาน เทคโนโลยีในการสืบคนชีวนิเวศ 2. ครูใหสมาชิกในแตละกลุมชวยกันสรุปสาระ สําคัญเพื่อตอบคําถามเชิงภูมิศาสตร 3. ใหนักเรียนทําแบบฝกสมรรถนะฯ ภูมิศาสตร ม.4-6 เรื่อง ชีวภาค เพื่อทดสอบความรูที่ได ศึกษามา เฉลย และอภิปรายสรุปรวมกัน ขั้นสรุป ครูและนักเรียนรวมกันสรุปความรูเกี่ยวกับ ชีวนิเวศ ตลอดจนความสําคัญที่มีอิทธิพลตอ การดําเนินชีวิตของประชากร หรือใช PPT สรุปสาระสําคัญของเนื้อหา ขั้นประเมิน 1. ครูประเมินผลโดยสังเกตจากการตอบคําถาม การรวมกันทํางาน และการนําเสนอผลงาน หนาชั้นเรียน 2. ครูตรวจสอบผลจากการทําใบงาน และแบบฝก สมรรถนะฯ ภูมิศาสตร ม.4-6 แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถวัดและประเมินความเขาใจเนื้อหา เรื่อง ชีวภาค ไดจาก การตอบคําถาม การรวมกันทํางาน และการนําเสนอผลงานหนาชั้นเรียน โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินการนําเสนอผลงานที่ แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรูหนวยที่ 2 เรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ของโลก ใหนักเรียนจับสลากเลือกปรากฏการณทางธรรมชาติ เชน ไฟปา นํ้าทวม แผนดินไหว จากพื้นที่บริเวณชุมชนของนักเรียน แลวใหวิเคราะหระบบนิเวศในพื้นที่ดังกลาว วามีการเปลี่ยนแปลง ทางความหลากหลายของการแทนที่อยางไร แบบประเมินการน าเสนอผลงาน ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินผลการน าเสนอผลงานของนักเรียนตามรายการ แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/................./................ เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 12 - 15 ดี 8 - 11 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง ล าดับที่ รายการประเมินระดับคะแนน 3 2 1 1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 การล าดับขั้นตอนของเรื่อง 3 วิธีการน าเสนอผลงานอย่างสร้างสรรค์ 4 การใช้เทคโนโลยีในการน าเสนอ 5 การมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม รวม นํา สอน สรุป ประเมิน T67
5 การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่ส่งผลต่อ ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และทรัพยากรธรรมชาติ เปลือกโลกประกอบด้วย ธรณีภาค บรรยากาศภาค อุทกภาค และชีวภาค ต่างมีปฏิสัมพันธ์ ซึ่งกันและกัน การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพส่งผลให้ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และทรัพยากรธรรมชาติ ในแต่ละพื้นที่บนโลกแตกต่างกัน 5.1 การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่ส่งผลต่อภูมิประเทศ ภูมิประเทศที่เกิดจากการปรับระดับพื้นผิวโลกจากตัวกระท�า ได้แก่ ธารน�้าไหล ธารน�้าแข็ง ลม น�้าใต้ดิน คลื่น และกระแสน�้าชายฝั่ง ท�าให้หินที่แตกหักหรือผุพังอยู่กับที่เกิดการกร่อน การพัดพา และการทับถม ดังนี้ 1) ภูมิประเทศที่เกิดจากการกระท�าของน�้าและแม่น�้า ตะกอนที่เกิดจากการผุพัง อยู่กับที่และการกร่อนจะถูกธารน�้าไหลพัดพาไปทับถมบนพื้นที่ต่างๆ ส่งผลให้เกิดภูมิประเทศได้ หลายลักษณะ ดังนี้ 1.1) ภูมิประเทศจากการกร่อนโดยน�้าและแม่น�้า เป็นการกระท�าของแม่น�้าบริเวณ ท้องน�้าและตลิ่งทั้งสองฝั่งของแม่น�้า ด้วยการครูด การกระแทกเสียดสี แรงกระท�าทางชลศาสตร์ และการละลาย ลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกร่อนของแม่น�้า เช่น • ร่องธาร(gully) เป็นร่องลึกบนที่ลาดพื้นดินที่เกิดจากการกัดเซาะของน�้าฝน ที่ไหลรวมตัวกันอยู่เป็นธารน�้า มีความลึกและความกว้างเป็นเมตร หากมีขนาดเล็กจะเรียกว่า ริ้วธาร (rill) • แก่ง (rapids) เป็นส่วนหนึ่งของทางไหลของแม่น�้าที่มีหินโผล่ หรือมีหิน มนใหญ่ขวางทางน�้า ท�าให้ทางน�้าแคบและระดับของท้องน�้าเปลี่ยนแปลง ด้านเหนือแก่งมีน�้าสะสม มาก แต่เมื่อไหลลงสู่ที่ต�่ากว่ากระแสน�้าไหลเชี่ยวและมีความเร็วสูงขึ้น • น�้าตก (waterfall) เป็นสายน�้าของล�าธารที่ไหลตกลงตั้งฉากหรือชันมาก ณ ที่ซึ่งน�้าไหลผ่านชั้นหินโผล่ที่มีความทนทานมาก และอยู่บนชั้นหินที่มีความทนทานน้อยที่ถูก กร่อนออกไป หรือน�้าที่ไหลตกจากขอบที่ราบสูง หรือหน้าผาชายฝั่งทะเล • โกรกธาร (gorge) เป็นหุบเขาลึกและแคบมากมีหน้าผาชัน 2 ข้าง มักมี ธารน�้าอยู่เบื้องล่าง Geo Tip กุมภลักษณ์ เกิดขึ้นเพราะน�้าในธารพัดเอากรวดทรายมาหมุนวนอยู่ในแอ่งเล็กๆ บนหน้าหิน กรวดทรายจะเป็นตัวการครูดถู ขัดสี ท�าให้แอ่งลึกลงและกว้างมากขึ้น นานปีเข้ากรวดเก่าหมดไปกรวด ใหม่เข้ามาแทนที่และหมุนกลิ้งอยู่ตอนล่างของแอ่ง ท�าให้แอ่งเดิมโตขึ้นและลึกเว้าจนเป็นรูปคล้ายหม้อ 66 กิจกรรม ทาทาย ขั้นนํา (Geographic Inquiry Process) 1. ครูแจงชื่อเรื่อง จุดประสงค และผลการเรียนรู 2. ครูใหนักเรียนดูภาพตัวอยางการเปลี่ยนแปลง ทางกายภาพที่สงผลตอภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และทรัพยากรธรรมชาติ เชน ถํ้า หาดทราย พื้นที่แหงแลง นํ้าเนาเสีย ธารนํ้าแข็ง คราบ นํ้ามันในแหลงนํ้า จากนั้นสุมนักเรียนเพื่อ ตอบคําถามวาแตละภาพเปนการเปลี่ยนแปลง ในลักษณะใด และมีสาเหตุมาจากสิ่งใด 3. ครูใหนักเรียนศึกษา Geo Tip เกี่ยวกับ กุมภลักษณ จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 เชื่อมโยงกับภาพตัวอยางการเปลี่ยนแปลงทาง กายภาพที่สงผลตอภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และ ทรัพยากรธรรมชาติ และแสดงความคิดเห็น รวมกัน เกร็ดแนะครู ครูยกตัวอยางลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกระทําของนํ้า พรอมให นักเรียนใชสมารตโฟนสืบคนหาภาพประกอบ เชน แกงตะนะ ในอุทยานแหง ชาติแกงตะนะ จังหวัดอุบลราชธานี เปนโขดหินทรายขนาดนอยใหญ สีนิลดํา ที่โผลขึ้นมาเปนเกาะกลางลํานํ้ามูล และมีโบก หลุม ซอก หลืบ ที่เกิดจากกระแสนํ้า อันเชี่ยวกรากของลํานํ้ามูลไหลกัดเซาะลงไปตามรองหิน กระจายใหเห็นอยู เต็มพื้นที่ นักเรียนสืบคนขอมูลลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกระทํา ของนํ้าที่เปนที่รูจักและเปนสถานที่ทองเที่ยวสําคัญของโลก 1 แหง สรุปสาระสําคัญในประเด็น เชน ลักษณะการเกิด ความสําคัญ ในปจจุบัน พรอมภาพประกอบ กิจกรรม สรางเสริม นักเรียนสืบคนขอมูลลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกระทํา ของนํ้าที่เปนที่รูจักและเปนสถานที่ทองเที่ยวสําคัญของไทย 1 แหง สรุปสาระสําคัญในประเด็น เชน ลักษณะการเกิด ความสําคัญ ในปจจุบัน พรอมภาพประกอบ นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T68
ขอสอบเนน การคิด 1.2) ภูมิประเทศจากการทับถมโดยน�้าและแม่น�้า การทับถมของตะกอนเกิด ขึ้นเมื่อกระแสน�้าลดความเร็ว วัตถุหรือตะกอนต่าง ๆ ที่มีขนาดหนักเกินกว่าความเร็วของกระแส น�้าจะพัดพาไปได้จึงตกทับถมกัน บริเวณต้นน�้าตะกอนขนาดใหญ่เริ่มตกทับถมก่อนและเมื่อ ความเร็วของกระแสน�้าลดลงเรื่อย ๆ ตะกอนขนาดเล็กจะเริ่มตกทับภายหลัง ตะกอนที่กระแสน�้า พัดมาทับถมกัน ณ บริเวณใดบริเวณหนึ่ง เรียกว่า “ตะกอนน�้าพา” (alluvium) ลักษณะภูมิประเทศ ที่เกิดจากการทับถม เช่น • ที่ราบน�้าท่วมถึง (floodplain) เป็นที่ราบสองฝั่งแม่น�้ามักถูกน�้าท่วมในช่วง ฤดูฝน เมื่อน�้าลดจะทิ้งตะกอนเล็กละเอียดทับถมท�าให้พื้นที่นั้นอุดมสมบูรณ์ ลักษณะภูมิประเทศที่ พบบนที่ราบน�้าท่วมถึง คือ แม่น�้าสายใหญ่และสาขา ถ้าเป็นที่ราบกว้างแม่น�้าจะไหลคดเคี้ยวและ เปลี่ยนทางเดินทิ้งส่วนที่โค้งตวัดไว้เป็นทะเลสาบรูปแอกวัว (oxbow) • คันดินธรรมชาติ (levee) เกิดขึ้นเพราะแม่น�้าล�าธารพาตะกอนค่อนข้าง หยาบมาทับถมริมฝั่งในระหว่างหน้าน�้าหลาก เมื่อน�้าลดตะกอนที่ทับถมกันนั้นจะมีลักษณะเป็น คันดินยาวขนานไปริมฝั่งน�้า ภาพจ�าลองแสดงการไหลของน�้าที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศ ที่มา : http://clarkscience8.weebly.com/weathering-erosion-deposition.html หาด ดินดอนสามเหลี่ยม ทะเลสาบรูปแอก ที่ราบน�้าท่วมถึง น�้าตกและแก่ง หุบเขารูปตัววี ทางน�้าโค้งตวัด ล�าน�้าสาขา 67 1 ขั้นนํา 4. ครูใหนักเรียนแบงกลุม ใชสมารตโฟนสืบคน ภาพลักษณะภูมิประเทศแตละประเภทที่เกิด จากการกระทําของธารนํ้าไหล จากภาพจําลอง แสดงการไหลของนํ้าที่สงผลตอการเปลี่ยนแปลง ภูมิประเทศ ในหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 ดังนี้ • นํ้าตกและแกง • ทางนํ้าโคงตวัด • หุบเขารูปตัววี • ลํานํ้าสาขา • ที่ราบนํ้าทวมถึง • ทะเลสาบรูปแอก • หาด • ดินดอนสามเหลี่ยม นักเรียนควรรู 1 หุบเขารูปตัววี หรือโกรกธาร (gorge) เกิดจากการกัดเซาะอยางรวดเร็ว ของรองนํ้าบริเวณหุบผาชันที่ลึกและแคบ ลักษณะคลายรูปตัววี มักเกิดในกรณี ที่ธารนํ้าเดิมที่มีอยูกอน ตอมาเกิดการยกตัวของแผนดิน ธารนํ้าจะยังคงรักษา แนวรองนํ้าเดิมไวได เนื่องจากมีพลังแรงในการกัดเซาะแผนดินที่ยกตัวสูงขึ้น ไดอยางรวดเร็วและรุนแรง เชน โกรกธารที่อุทยานแหงชาติออบหลวง จังหวัด เชียงใหม ลักษณะภูมิประเทศที่ราบนํ้าทวมถึงเหมาะในการใชประโยชน อยางไร (แนวตอบ ที่ราบนํ้าทวมถึง เกิดจากการทับถมของตะกอน ลํานํ้าใหญในฤดูนํ้าหลากทําใหเกิดมีสภาพเปนที่ราบชันเล็กนอย ใกลกับแมนํ้ามีความลาดเท เหมาะในการเพาะปลูก) นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T69
ดินดอนสามเหลี่ยมรูปเขี้ยว ปากแม่น�้าเอโบร สเปน ปากแม่น�้ามิสซิสซิปป สหรัฐอเมริกา ดินดอนสามเหลี่ยมรูปตีนนก ลักษณะดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น�้า • ดินดอนสามเหลี่ยม (delta) คือ ดินดอนบริเวณปากแม่น�้า เกิดขึ้นเพราะ การที่แม่น�้าและสาขาใหญ่น้อยที่กระจายออกใกล้ปากแม่น�้าพาตะกอนเล็กละเอียดมาทับถมอยู่ ตลอดเวลา ท�าให้พื้นท้องน�้ามีระดับเพิ่มสูงขึ้น น�้าไหลช้าลง เมื่อการตกตะกอนสูงมากขึ้นจนพ้น ระดับน�้ากลายเป็นพื้นแผ่นดินแผ่กระจายออกตรงปากน�้า หุบเขา ที่ราบตะกอนน�้าพา กุด ลานตะพักน�้า แแหล่งตะกอนน�้าพารูปพัด • เนินตะกอนรูปพัด (alluvial fan) เป็นเนินตะกอนที่เกิดจากการสะสมตัว ของตะกอน ในบริเวณที่มีการเปลี่ยนระดับทางน�้าจากหุบเขาชันลงสู่ที่ราบ ซึ่งจะท�าให้ความเร็วของ กระแสน�้าลดลงจนไม่สามารถน�าพาตะกอนบางส่วนต่อไปได้ ตะกอนดังกล่าวจึงตกสะสมในลักษณะ ที่แยกกระจายออกไปเป็นรูปพัด 68 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร 1. ครูนํารูปถายทางอากาศหรือภาพจากดาวเทียม ที่เกี่ยวของกับการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ที่สงผลตอภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และ ทรัพยากรธรรมชาติ มาใหนักเรียนดู จากนั้น ใหนักเรียนลองบอกสิ่งที่เห็นจากสายตาและ เปรียบเทียบกับภาพที่นักเรียนสืบคนมา 2. ครูตั้งคําถาม เชน • ปจจัยใดบางที่กอใหเกิดภูมิประเทศ แบบเนินตะกอนรูปพัด (แนวตอบ เชน กระแสนํ้า กระแสลม ตะกอนดิน ลักษณะภูมิประเทศ ฯลฯ) • ดินดอนสามเหลี่ยมที่สําคัญของไทยและ ของโลก ไดแกพื้นที่บริเวณใด (แนวตอบ ในประเทศไทย เชน บริเวณแมนํ้า ตาป จังหวัดสุราษฎรธานี บริเวณอื่นๆ ของ โลก เชน บริเวณแมนํ้าโขง ประเทศเวียดนาม บริเวณปากแมนํ้าอิรวดี ประเทศเมียนมา บริเวณปากแมนํ้าไนล ประเทศอียิปต ฯลฯ) เกร็ดแนะครู ครูยกตัวอยางลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการพัดพาและทับถมโดยนํ้า และแมนํ้า เชน ดินดอนสามเหลี่ยมปากแมนํ้าเจาพระยา ในภาคกลางของไทย ที่เปนแหลงปลูกขาวที่สําคัญของประเทศ ดินดอนสามเหลี่ยมปากแมนํ้าโขง โดยใหนักเรียนใชสมารตโฟนสืบคนภาพประกอบ และใช Google Earth สืบคน ตําแหนงและภาพประกอบ รวมกันอภิปรายถึงความสําคัญในทางเศรษฐกิจ และขอระมัดระวัง เชน เกิดปญหานํ้าทวม นักเรียนใช Google Earth สืบคนลักษณะภูมิประเทศที่เกิด จากการกระทําของนํ้า แมนํ้าที่สําคัญของโลก วิเคราะหลักษณะ การเกิด ความสําคัญทางเศรษฐกิจ เชน ดินดอนสามเหลี่ยม ปากแมนํ้าคงคา ดินดอนสามเหลี่ยมปากแมนํ้าไนล นํา สอน สรุป ประเมิน T70
2) ภูมิประเทศที่เกิดจากการกระท�าของธารน�้าแข็ง ธารน�้าแข็งเกิดจากการสะสม ของหิมะจนเป็นชั้นหนาและอัดแข็ง ซึ่งจะไหลไปตามความลาดชันของหุบเขา ท�าให้เกิดการกร่อน บนพื้นที่ภูเขากลายเป็นเศษตะกอนถูกพัดพาโดยธารน�้าแข็ง และตกตะกอนทับถมเมื่อน�้าแข็งละลาย ตะกอนที่ทับถมจากธารน�้าแข็งมีหลายขนาดปะปนกัน ท�าให้เกิดภูมิประเทศต่าง ๆ ดังนี้ 2.1) ภูมิประเทศที่เกิดจากการกร่อนโดยธารน�้าแข็ง การที่หินกร่อนเนื่องจากการ เคลื่อนตัวของธารน�้าแข็ง ท�าให้เกิดการบด การขูด การกระแทก การเซาะ การขุดลึก การขีดข่วน การขัดสีกับหินระหว่างที่ธารน�้าแข็งเคลื่อนผ่านไป และรวมถึงการกร่อนโดยธารน�้าที่เกิดจากการ ละลายของธารน�้าแข็งอีกด้วย ลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกร่อนของธารน�้าแข็ง เช่น • เซิร์ก (cirque) เป็นลักษณะภูมิประเทศบนไหล่เขาชันที่เป็นรูปอัฒจันทร์โค้ง • อาแร็ต (arete) เป็นสันเขาแคบ ๆ มีลักษณะหยักแหลมคล้ายฟันเลื่อย • หุบเขาลอย (hanging valley) เป็นหุบเขาสาขาที่อยู่สูงต่างระดับกับหุบเขา ใหญ่ ซึ่งตอนที่เชื่อมต่อกับหุบเขาใหญ่เป็นที่ตั้งชันมาก ถ้ามีธารน�้าไหลผ่านหุบเขาสาขามาสู่หุบเขา ใหญ่ จะเกิดโกรกธารหรือน�้าตกขึ้น หุบเขาลอยมักพบอยู่บริเวณที่เคยมีธารน�้าแข็งปกคลุมมาก่อน • ยอดเขารูปพีระมิด (horn) เป็นยอดเขาที่มีสันสูงชันหลายด้านคล้ายพีระมิด ส่วนมากเกิดจากน�้าหนักของน�้าแข็งจ�านวนมากที่ไหลจากภูเขาขูดครูดกัดลาดเขาให้เกิดเป็น แอ่งลึก เหลือบริเวณตรงกลางสันเขาโดยรอบสูงชัน ^ ตะกอนธารน�้าแข็งกลางล�าธาร สันเขา ตะกอนธารน�้าแข็ง ธารน�้า หุบเขาถูกครูดถู หุบเขารูปตัวยู อาแร็ต หุบเขาลอย จมูกเขาปลายตัด เหวน�้าแข็ง เซิร์ก ยอดเขารูปพีระมิด หินฐาน หินฐาน มวลธารน�้าแข็งขนาดใหญ่ ภูมิประเทศที่เกิดจากการกร่อนโดยธารน�้าแข็ง 69 2) ภูมิประเทศที่เกิดจากการกระท�าของธารน�้าแข็ง ธารน�้าแข็งเกิดจากการสะสม 1 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร • ปจจัยใดบางที่กอใหเกิดความแตกตางของ ภูมิประเทศที่เกิดจากการกรอนโดยธาร นํ้าแข็ง (แนวตอบ เชน กระแสนํ้า กระแสลม อุณหภูมิ ความรอน ภูมิอากาศ ลักษณะภูมิประเทศ ฯลฯ) • ภูมิประเทศที่เกิดจากการกรอนโดยธารนํ้าแข็ง แตละประเภท มีสิ่งใดบางที่แตกตางกัน (แนวตอบ เชน สาเหตุการเกิด ลักษณะ ภูมิประเทศ ฯลฯ) นักเรียนควรรู 1 ธารนํ้าแข็ง (glacier) มี 2 ประเภท ไดแก ธารนํ้าแข็งหุบเขา เปนธารนํ้าแข็ง บนภูเขาซึ่งอาจแผกวางลงมาถึงตีนเขากลายเปนธารแข็งเชิงเขา และธารนํ้าแข็ง ทวีปหรือพืดนํ้าแข็ง เปนธารนํ้าแข็งชนิดเปนพืดปกคลุมพื้นที่บริเวณกวางขวาง แถบขั้วโลก โดยเฉพาะที่กรีนแลนดและทวีปแอนตารกติก นักเรียนสืบคนภาพลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกรอน โดยธารนํ้าแข็งบริเวณตางๆ ของโลกตอไปนี้ • เซิรก • อาแร็ต • หุบเขาลอย • ยอดเขารูปพีระมิด จากนั้นอธิบายวิธีการเกิด นําเสนอในชั้นเรียน กิจกรรม สรางเสริม นักเรียนยกตัวอยางลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกรอน โดยธารนํ้าแข็ง พรอมภาพประกอบ 1 ตัวอยาง นํา สอน สรุป ประเมิน T71
ขอสอบเนนการคิด ฟีออร์ดหรือฟยอร์ด (fiord, fjord) เกิดจากการกร่อนของธารน�้าแข็งให้เป็นร่องลึกขนาดใหญ่ ชายฝั่งทะเล มีลักษณะเป็นอ่าวขนาดเล็ก เป็นร่องลึกลงสู่ทะเล เช่น ทรอนด์ไฮม์สฟยอร์ด ทรอนด์ ไฮม์ฟยอร์ด ประเทศนอร์เวย์ (Trondheims Fjord) ประเทศนอร์เวย์ อูมมันนัก ฟยอร์ด (Uummannag Fjord) เกาะกรีนแลนด์ 2.2) ภูมิประเทศที่เกิดจากการ ทับถมโดยธารน�้าแข็ง การทับถมของกรวด หิน ดิน ทรายในบริเวณที่ราบถัดจากธารน�้าแข็ง โดย การกระท�าของน�้าที่ละลายและพัดพาเอา กรวด หิน ดิน ทรายไปด้วย ลักษณะภูมิประเทศที่เกิด จากการทับถมโดยธารน�้าแข็ง เช่น • กองตะกอนธารน�้าแข็ง (moraine) เป็นเนินหรือสันของตะกอนธาร น�้าแข็ง ไม่แสดงชั้นตะกอน ซึ่งเป็นตะกอนที่ตกสะสมตัวจากธารน�้าแข็งโดยตรง • เนินเคม (kame) เป็นเนินหรือสันรูปร่างไม่สม�่าเสมอ ประกอบด้วย ชั้นกรวด ชั้นทรายที่ตกสะสมตัวโดยล�าธารที่ละลายจากธารน�้าแข็ง เกิดบริเวณขอบธารน�้าแข็ง ละลายหรือขอบธารน�้าแข็งคงตัว • หลุมธารน�้าแข็ง (kettle) เป็นแอ่งในตะกอนธารน�้าแข็ง โดยเฉพาะส่วน ที่ตะกอนถูกชะล้างออก และบริเวณเนินเคมตอนปลายน�้าแข็ง เกิดจากการละลายของก้อนน�้าแข็ง ที่ถูกฝังตัวอยู่ในตะกอนธารน�้าแข็ง • ที่ราบเศษหินธารน�้าแข็ง (outwash plain) เป็นที่ราบซึ่งประกอบไปด้วย เศษหินธารน�้าแข็ง พบเป็นดาดเศษหินอยู่ตอนปลายธารน�้าแข็ง กองตะกอนธารน�้าแข็ง ที่ราบเศษหินธารน�้าแข็ง หลุมธารน�้าแข็ง ธารน�้าแข็ง หินฐาน เนินเคม 70 ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร 3. ครูกระตุนใหนักเรียนชวยกันตั้งประเด็นคําถาม เชิงภูมิศาสตร เชน • การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่สงผลตอ ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และทรัพยากร ธรรมชาติ ที่เปนผลมาจากการกระทํา ของมนุษยที่มีอิทธิพลมากที่สุดคือการ เปลี่ยนแปลงในดานใด และสงผลกระทบ อยางไร • หากในอนาคตมีการเปลี่ยนแปลงทาง กายภาพที่สงผลตอภูมิอากาศเพิ่มมากขึ้น มนุษยควรมีแนวทางปองกัน หรือรับมือ อยางไร • การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่สงผลตอ ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และทรัพยากร ธรรมชาติ มีอิทธิพลตอวิถีชีวิตของมนุษย อยางไรบาง 4. ครูใหนักเรียนศึกษาทรอนดไฮมฟยอรด ประเทศ นอรเวย และภาพจําลองแสดงภูมิประเทศที่ เกิดจากการทับถมโดยธารนํ้าแข็ง จากหนังสือ เรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 ประกอบการตั้งคําถาม เชิงภูมิศาสตรเพิ่มเติม เกร็ดแนะครู ครูยกตัวอยางลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกระทําของธารนํ้าแข็ง เชน ฟออรดในประเทศนอรเวย มีลักษณะเปนอาวเล็กๆ แคบและยาว ลักษณะ เปนชายฝงเวาแหวง เกิดจากการกัดเซาะของธารนํ้าแข็งเขาไปในหุบเขาสูงชัน ในระดับลึกบริเวณตอนในของแผนดิน โดยใหนักเรียนใชสมารตโฟนสืบคนภาพประกอบ และยกตัวอยางลักษณะ ภูมิประเทศที่เกิดจากการกระทําของธารนํ้าแข็งในบริเวณอื่นของโลก การที่นํ้าแข็งขั้วโลกละลายอยางตอเนื่อง เกิดจากสาเหตุอะไร และในอนาคตจะสงผลกระทบอยางไร (แนวตอบ นํ้าแข็งขั้วโลกละลายมีสาเหตุสําคัญมาจากภาวะ โลกรอน ที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้น เปนตัวเรงใหเกิดนํ้าแข็ง ละลาย ผลกระทบ เชน ระดับนํ้าทะเลสูงขึ้น บางประเทศที่เปน เกาะถูกนํ้าทวมหรืออาจจมหาย สัตวบางชนิดลดจํานวนลงและ อาจสูญพันธุในที่สุด เชน หมีขั้วโลก และคาดวาประชากรโลก หลายรอยลานคนไมมีที่อยูอาศัย) นํา สอน สรุป ประเมิน T72
ขอสอบเนน การคิด 3) ภูมิประเทศที่เกิดจากการกระท�าของลม สภาพอากาศที่แห้ง และร้อนจัด จะมีกระแสลมแรงและอาจเกิดพายุทะเลทรายขึ้น การกระท�าของ ลมเป็นการกร่อน การพัดพา และการทับถม ภูมิประเทศที่เกิดจากลม มีดังนี้ 3.1) ภูมิประเทศที่เกิดจากการกร่อนโดยลม การที่ลมพัดกร่อนหินให้ผุพังลงแล้วพัดพาเอาเศษหิน ดิน ทราย ให้กระจัดกระจายไปจากที่เดิมและไปตก สะสมในที่อื่น ลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกร่อน โดยลม เช่น • เขารูปหงอนไก่ (yardang) คือ ภูเขาหินที่ประกอบด้วยสันสลับร่อง หลาย ๆ ช่วง จนดูคล้ายรูปหงอนไก่ ตั้งเด่นเหนือภูมิประเทศที่ขนานราบ เป็นผลจากการสึกกร่อน ผุพังที่ไม่เท่ากันในทะเลทรายโดยการกระท�าของลม สันอาจสูงถึง 6 เมตร กว้าง 36 เมตร • ลาดเชิงเขา (pediment) คือ บริเวณที่ราบหินแข็งติดเชิงเขาที่มีความ ลาดชันน้อย หรือเป็นที่ราบลูกคลื่นน้อย มีพื้นผิวกว้างเกิดจากการกร่อนโดยลมหรือน�้าไหล ชะล้าง เศษหิน ทรายออกไป • ดาดหินทะเลทราย (desert pavement) เป็นดาดที่เกิดจากการที่ลมพัด พาเอาทรายออกไปจากพื้นที่ทรายปนกรวดในทะเลทราย จนเหลือแต่กรวดเรียงรายกันอยู่ และ ช่วยกันทรายข้างใต้ ไม่ให้ลมพัดไปอีก • แอ่งลมหอบ (blowout) เป็นแอ่งต�่าที่เกิดจากการกร่อนโดยลมพัดพา เม็ดทรายออกไป มักเกิดกับเนินทรายและแหล่งทรายอื่น ๆ อุทยานธรณีวิทยาเขารูปหงอนไก่ เมืองตุนหวง มณฑลกานซู ประเทศจีน ภูมิประเทศที่เกิดจากการกร่อนโดยลม ภูเขา ด้านหน้าภูเขา ลาดเชิงเขาสึกกร่อน ลาดเชิงเขาสะสมตัว ตะกอนน�้าพา เขาโดดทะเลทรายลม เชิงเขา ชั้นหิน 71 โดยลม เช่น • ดาดหินทะเลทราย (desert pavement) สะสมในที่อื่น ลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกร่อน 1 2 ขั้นสอน ขั้นที่ 2 การรวบรวมขอมูล 1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 6-8 คน สืบคนขอมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทาง กายภาพที่สงผลตอภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และทรัพยากรธรรมชาติ จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 หรือจากแหลงการเรียนรู อื่นๆ เชน หนังสือในหองสมุด เว็บไซตใน อินเทอรเน็ต ประกอบการใชเครื่องมือทาง ภูมิศาสตร ในประเด็นตอไปนี้ • การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่สงผลตอ ภูมิประเทศ • การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่สงผลตอ ภูมิอากาศ • การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่สงผลตอ ทรัพยากรธรรมชาติ 2. ครูแนะนําแหลงขอมูลสารสนเทศที่นาเชื่อถือ ใหกับนักเรียนเพิ่มเติม นักเรียนควรรู 1 การกรอนโดยลม การที่ลมกัดกรอนหินใหผุพังลงแลวพัดพาเศษหินดินทราย นั้นใหกระจัดกระจายไปจากที่เดิม และไปตกสะสมในที่อื่น การกรอนโดยลม และการสะสมใหมอีกนั้นอาจเกิดเปนบริเวณกวางตอเนื่องกันหรือเกิดเฉพาะ แหงก็ได เชน เปนแองลม หรือเนินทราย 2 ดาดหิน หินซึ่งมีผิวหนาราบ เกิดจากการผุพังหรือการสึกกรอน โดยการ กระทําของนํ้า ลม หรือธารนํ้าแข็ง ลักษณะภูมิประเทศเขารูปหงอนไกเกิดการกรอนจากสาเหตุใด มากที่สุด 1. อุณหภูมิ 2. กระแสลม 3. แรงโนมถวง 4. ปฏิกิริยาเคมี 5. แสงอาทิตย (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. เขารูปหงอนไก เปนลักษณะ ภูมิประเทศที่เปนผลจาการสึกกรอนผุพังที่ไมเทากันในทะเลทราย โดยการกระทําของลม) นํา สอน สรุป ประเมิน T73
ขอสอบเนนการคิด เนินทรายรูปพระจันทร์เสี้ยว 3.2) ภูมิประเทศที่เกิดจากการทับถมโดยลมการที่ลมพัดพาตะกอนต่างๆ ไปตก ทับถมกันในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างไกลแหล่งก�าเนิดออกไป ลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจาก การทับถมโดยลม เช่น • พลายา(playa) คือ พื้นที่ปลายลาดเชิงเขา เกิดจากการทับถมของตะกอน ที่น�้าและลมทับถมกัน ไม่มีทางให้น�้าไหลออก จึงมีน�้าขังซึมลงใต้ดินและระเหยจึงมีคราบเกลือสะสม 4) ภูมิประเทศที่เกิดจากการกระท�าของน�้าใต้ดิน น�้าใต้ดินเป็นตัวท�าละลาย ของหินและแร่ที่ละลายน�้าได้ดี เช่น หินปูน หินโดโลไมต์ หรือหินอื่นที่มีสารเชื่อมที่ละลายน�้า ได้ง่าย ส่วนการกร่อน การพัดพา และการทับถมจะเกิดขึ้นในบางพื้นที่ที่เป็นโพรงใต้ดิน แต่มีความ รุนแรงน้อยภูมิประเทศที่เกิดจากน�้าใต้ดิน มีดังนี้ 4.1) ภูมิประเทศที่เกิดจากการกร่อนโดยน�้าใต้ดิน เป็นการละลายของหินปูนหรือ เกลือหินโดยน�้าใต้ดิน ซึ่งส่งผลให้เกิดลักษณะภูมิประเทศ เช่น • หลุมยุบ (sinkhole) คือ หลุมหรือแอ่งบนแผ่นดินที่ปากหลุมเกือบกลม เกิดจากน�้าละลายเอาหินเกลือ หินยิปซัม หรือหินปูนที่อยู่ข้างใต้ออกไป ท�าให้ดินตอนบนยุบลงเป็น หลุมใหญ่ • ถ�้า (cave) คือ ช่องที่เป็นโพรงลึกเข้าไปในพื้นดินหรือภูเขา เกิดขึ้น ตามธรรมชาติ โดยทั่วไปถ�้าเกิดในหินปูนที่มีน�้าใต้ดินไหลผ่านกัดเซาะ พบตามภูเขาหินปูนหรือตาม ชายฝั่งทะเล • ป่าช้าหินปูนหรือสุสานหิน (lapies) คือ ที่ราบดินสีแดงที่มีหินปูนโผล่พ้น ผิวดินขึ้นมาเป็นหย่อมๆ แต่สูงไม่มาก มีรูปร่างต่างกัน สันนิษฐานว่าเป็นส่วนที่เหลืออยู่ของหินปูน ที่เกิดโดยการผุกร่อนของน�้าใต้ดิน • เขาลอมฟาง (karst tower, haystack) คือ ยอดเขาหินปูนที่ถูกน�้ากร่อน ละลายจนเหลือเป็นเขาโดดที่มียอดเขาห่างกันคล้ายกองฟางข้าว ใต้ดินอาจมีธารน�้าไหลหรือถ�้า หากมีน�้าใต้ดินไหลซึมมาสะสม เรียกว่า โอเอซิส หรือทะเลสาบที่มีน�้าขัง • เนินทราย(sanddune) คือ เนินที่เกิดขึ้นโดยลมพัดพาตะกอนทราย มากองรวมกัน พบมากในที่ราบทะเลทราย แต่ อาจพบตามแนวชายฝั่งทะเลลาดต�่าเหนือระดับ น�้าทะเลสูงสุด ตามชายฝั่งทะเลสาบขนาดใหญ่ ริมฝั่งแม่น�้าหรือบริเวณที่เป็นทะเลทราย เนิน ทรายบางแห่งอาจสูงจนมีลักษณะเป็นภูเขา 72 เนินทรายรูปพระจันทร์เสี้ยว 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 3 การจัดการทําขอมูล 1. สมาชิกแตละคนในกลุมนําขอมูลที่ตนไดจาก การรวบรวม มาอธิบายแลกเปลี่ยนความรู ระหวางกัน 2. จากนั้นสมาชิกในกลุมชวยกันคัดเลือกขอมูลที่ นําเสนอเพื่อใหไดขอมูลที่ถูกตอง และรวมกัน อภิปรายแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม นักเรียนควรรู 1 เนินทรายรูปพระจันทรเสี้ยว เนินทรายมีลักษณะคลายรูปพระจันทรเสี้ยว โดยดานตนลมจะคอยๆ ลาดเอียงไปยังยอดของเนินทราย จึงทําใหเม็ดทราย เคลื่อนที่ผานเนินทรายแบบนี้ไดสะดวก สวนปลายลมจะมีลักษณะเวาโคง คลายพระจันทรเสี้ยวตามแนวดานหนาของรอยโคงเวา มีความชันมาก เรียกวา ดานหนาลาด การเกิดเนินทรายเปนผลมาจากลมพัดเอาทรายมารวมกันและ คอยๆ ขยายความยาวออกไปตามทิศทางลม จนกระทั่งไปติดกับสิ่งกีดขวาง จึงทําใหเนินทรายหยุดการเคลื่อนที่ ลักษณะภูมิประเทศในขอใดเปนแองบนแผนดินที่เกิดจากนํ้า ละลายเอาหินเกลือ หินยิปซัม หรือหินปูนที่อยูขางใตออกไป 1. หลุมยุบ 2. ลานตะพัก 3. กุมภลักษณ 4. สามพันโบก 5. ทะเลสาบรูปแอก (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. หลุมยุบ คือ หลุมแองแผนดินที่ ปากหลุมเกือบกลม เกิดจากนํ้าละลายเอาหินเกลือหรือยิปซัม หรือหินปูนที่อยูขางใตออกไป ทําใหดินตอนบนยุบลงเปนหลุม) ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 1. สมาชิกแตละกลุมนําขอมูลที่ไดจากการศึกษา มาทําการวิเคราะห และรวมกันตรวจสอบ ความถูกตองของขอมูล โดยครูชวยชี้แนะ เพิ่มเติมผานการใชคําถาม เชน • เนินทราย เปนภูมิประเทศที่เกิดจากการ ทับถมโดยลม โดยเฉพาะเนินทรายรูป พระจันทรเสี้ยว จะทําใหเราสามารถ วิเคราะหไดถึงสิ่งใดไดบาง (แนวตอบ เชน ลักษณะภูมิประเทศ ความเร็ว ลม ทิศทางการพัดพาของลม ตะกอนทราย ความสูงของพื้นที่ ฯลฯ) นํา สอน สรุป ประเมิน T74
หลุบยุบ เศษวัสดุธรณี (ดิน หิน และ อื่น ๆ) แม่น�้า ล�าน�้าหายใต้ดิน ล�าน�้าหาย ปากถ�้า สุสานหิน ระดับน�้าใต้ดิน หินย้อย ถ�้า เสาหิน หินงอก ล�าน�้าโผล่จากใต้ดิน หินปูน ภูมิประเทศคาสต์ 4.2) ภูมิประเทศที่เกิดจากการทับถมของน�้าใต้ดิน เกิดขึ้นในถ�้าเมื่อน�้าปูนที่ละลาย หยอดผ่านเพดานถ�้า เมื่อตกตะกอนเป็นเกล็ดแร่แคลไซต์ ซึ่งส่งผลให้เกิดลักษณะภูมิประเทศ เช่น • ที่ราบคาสต์ (karst plain) เป็นหินปูนที่ถูกน�้าละลายจนเกือบเป็นที่ราบ • หินงอก (stalagmite) เป็นคราบหินปูนที่งอกจากพื้นถ�้าหินปูนขึ้นไปหา เพดานถ�้า น�้าที่หยดจากเพดานหรือปลายล่างของหินย้อยมีสารประกอบที่ได้จากการละลาย อยู่ในตัว เมื่อตกถึงพื้นแล้วน�้าระเหยออกจะทิ้งสารประกอบไว้ สารประกอบนั้นจะสะสมตัวสูงขึ้น จากพื้นถ�้า 5) ภูมิประเทศที่เกิดจากการกระท�าของคลื่นและกระแสน�้าชายฝง เป็นพื้นที่ ระหว่างแผ่นดินกับระดับน�้าทะเลที่ขึ้นสูงสุดและลดลงต�่าสุด ท�าให้เกิดภูมิประเทศจากการกร่อนและ การทับถมหลายรูปแบบ เช่น 5.1) ภูมิประเทศที่เกิดจากการกร่อนโดยคลื่นและกระแสน�้าชายฝง การกร่อนโดย คลื่นทะเลท�าให้เกิดภูมิประเทศ เช่น • หน้าผาชันชายฝง (sea cliff) เกิดจากการกร่อนโดยคลื่น คลื่นจะกัดกร่อน บริเวณฐานของหินให้พังทลาย เกิดเป็นลักษณะหน้าผาสูงชันหันหน้าออกไปทางทะเล • เกาะหินโด่ง (stack) คือ เกาะขนาดเล็กใกล้ฝั่งทะเลที่หินยอดเกาะมีลักษณะ โด่งหรือชะลูด เกิดจากแหลมหินที่ยื่นไปในทะเลแต่เดิมถูกคลื่นเซาะทั้ง 2 ข้าง จนส่วนปลายถูก ตัดออก • ซุ้มหินชายฝง (sea arch) คือ ช่องกร่อนทะลุส่วนที่เป็นแหลมยื่นออกไป ในทะเล เกิดจากการกัดเซาะของคลื่น ท�าให้โพรงที่เกิดขึ้นด้านใดด้านหนึ่งขยายกว้างจนทะลุฝั่ง ตรงข้าม หรือเกิดจากการกัดเซาะของคลื่นทั้ง 2 ฝั่ง จนโพรงทั้ง 2 ด้านทะลุถึงกัน • แหลม (cape) คือ ส่วนของแผ่นดินที่ยื่นออกจากทวีปหรือเกาะขนาดใหญ่ เข้าไปในทะเลหรือมหาสมุทร 73 เพดานถ�้า น�้าที่หยดจากเพดานหรือปลายล่างของหินย้อยมีสารประกอบที่ได้จากการละลาย 1 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล • หินงอกและหินยอย มีความแตกตางกัน อยางไร (แนวตอบ หินงอก เปนคราบหินปูนที่งอกจาก พื้นถํ้าขึ้นสูเพดานถํ้า แตหินยอยจะเกิดจาก นํ้าที่หยดจากเพดานถํ้าลงสูพื้นถํ้า เมื่อตกถึง พื้นถํ้า นํ้าจะระเหยและทิ้งสารประกอบไว ทําใหสารประกอบสะสมตัวสูงขึ้นจากพื้นถํ้า) • ภูมิภาคใดของประเทศไทยที่สามารถพบ ภูมิประเทศที่เกิดจากการกรอนโดยคลื่น และกระแสนํ้าชายฝงประเภทตางๆ ไดเปน จํานวนมาก (แนวตอบ ภาคตะวันออก ภาคใต เนื่องจาก ภูมิประเทศสวนใหญอยูติดกับทะเล จึงมักพบคลื่นและกระแสนํ้าชายฝงเปน จํานวนมาก ทําใหเกิดภูมิประเทศที่เกิดจาก การกรอนโดยคลื่นและกระแสนํ้าชายฝง ทั้งประเภทหนาผาชันชายฝง เกาะหินโดง ซุมหินชายฝง แหลม เชน แหลมพรหมเทพ จังหวัดภูเก็ต เขาตาปู จังหวัดพังงา ฯลฯ) 2. ครูใหนักเรียนแตละกลุมนําขอมูลที่ไดจากการ ศึกษาและตอบคําถามมาวิเคราะหรวมกัน นักเรียนควรรู 1 หินยอย คราบหินปูนที่ยอยลงมาจากเพดานถํ้าหินปูน มีลักษณะเปนทอน เปนกรวย หรือเปนแผงมานลงมา ปกติแวววาวเมื่อตองแสง การเกิดหินยอย เนื่องจากนํ้าที่มีคารบอนไดออกไซดละลายอยู ไดละลายเอาสารประกอบใน หินปูนออกมา แลวหยาดหยดจากรอยราวในเพดานถํ้า เมื่อนํ้าระเหยไปจึงปลอย ใหสารประกอบที่ละลายมานั้นสลายตัว แลวพอกพูนจับตัวกันเปนหินยอย นักเรียนสืบคนลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกรอน โดยนํ้าใตดินที่สําคัญของโลก ที่ปจจุบันเปนสถานที่ทองเที่ยวทาง ธรรมชาติ สรุปประเด็นสําคัญ เชน กระบวนการเกิด ความสําคัญ ตอการทองเที่ยว พรอมภาพประกอบสวยงาม นําเสนอขอมูล ในชั้นเรียน กิจกรรม สรางเสริม นักเรียนสืบคนขอมูลและภาพถํ้าในประเทศไทยที่ปจจุบัน เปนสถานที่ทองเที่ยวทางธรรมชาติ สรุปประเด็นสําคัญ เชน กระบวนการเกิด ความสําคัญตอการทองเที่ยว การอนุรักษ ดูแลรักษา นําเสนอขอมูลในชั้นเรียน นํา สอน สรุป ประเมิน T75
ชองลม ซุมหินชายฝง เกาะหินโดง กอนหินชายฝง หัวแหลมผาชัน พื้นที่ของซุมหินชายฝงที่พังทลาย แนวรอยแตก โพรงหินชายฝง การกัดเซาะ ลานคลื่นเซาะ ในชวงเวลานํ้าลง 5.2) ภูมิประเทศที่เกิดจากการทับถมโดยคลื่นและกระแสนํ้าชายฝง การทับถม โดยคลื่นและกระแสนํ้าชายฝงทําใหเกิดภูมิประเทศ เชน • สันดอน (bar) คือ เนินที่เกิดจากกระแสนํ้าพัดพาตะกอนมาตกทับถม จนเกิดเปนสันหรือพืดสัน ในบริเวณลําแมนํ้า ปากแมนํ้า หรือนอกชายฝงทะเล • หาด (beach) เปนพื้นที่ระหวางแนวนํ้าขึ้นกับนํ้าลง มีลักษณะเปนแถบ ยาวไปตามริมฝง เกิดขึ้นเนื่องจากการกระทําของคลื่นและกระแสนํ้าในทะเล ทะเลสาบ หรือแมนํ้า • ลากูน (lagoon) หรือทะเลสาบนํ้าเค็มชายฝง เปนแองนํ้าเค็มที่มีลักษณะ แคบ ตื้น เกิดอยูระหวางแผนดินใหญกับสันดอนชายฝง หรือเทือกปะการัง หรือเกิดอยูในเกาะ ปะการังวงแหวน ทะเลสาบนํ้าเค็มชายฝงอาจมีสันดอนปดกั้นทั้งหมดหรือบางสวนก็ได ภูมิประเทศจากการกรอนของคลื่นชายฝง Geo Tip สันดอนจะงอย เปนสันดอนที่ปลายดาน หนึ่งติดอยูกับชายฝง ปลายอีกดานหนึ่งยื่นไป ในทะเล และมีตอนปลายงอโคงเปนจะงอยตาม อิทธิพลของคลื่นและกระแสนํ้า ถาสันดอน จะงอยประกอบดวยทรายลวน เรียกวา สันดอน จะงอยทราย ถาสันดอนงอกออกไปเชื่อมเกาะ เรียกวา สันดอนเชื่อมเกาะ • ชะวากทะเล (estuary) เปนฝงทะเลที่เวาเปนชองเขาไปยังปากแมนํ้า และนํ้าจืดไหลลงมาปะทะแลวผสมกลมกลืนกับ นํ้าเค็ม มักหมายถึงตอนลางของปากแมนํ้าที่ นํ้าจืดและนํ้าเค็มเขามาผสมกัน หรือบริเวณ กนอาวตาง ๆ ที่แมนํ้าหลายสายไหลลง และ อิทธิพลของนํ้าทะเลทําใหนํ้าเค็มเขาไปผสมกับ นํ้าจืดในอาวนั้นได 74 • ชะวากทะเล (estuary) 1 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 3. ครูใหนักเรียนศึกษา Geo Tip เกี่ยวกับสันดอน จะงอย ซึ่งเปนลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจาก การทับถมโดยคลื่นและกระแสนํ้าชายฝง จาก หนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 เพื่อวิเคราะห ขอมูลเพิ่มเติม ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 1. ครูใหนักเรียนกลุมที่ 1 ที่ทําการศึกษาและ สืบคนขอมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทาง กายภาพที่สงผลตอภูมิอากาศ ออกมานําเสนอ ผลการศึกษาคนควาที่หนาชั้นเรียน โดยมี แผนที่ หรือเครื่องมือทางภูมิศาสตรอื่นๆ ประกอบการนําเสนอ 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเพิ่มเติม เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่สงผล ตอภูมิอากาศ แลวครูตั้งคําถามใหนักเรียน ชวยกันตอบ เชน • มนุษยมีความเกี่ยวของกับภูมิประเทศที่เปน ทะเลและมหาสมุทรอยางไร (แนวตอบ มนุษยใชประโยชนจากภูมิประเทศ ที่เปนทะเลและมหาสมุทรในการดํารงชีวิต มาตั้งแตสมัยโบราณ เห็นไดจากชุมชน โบราณที่มีทําเลที่ตั้งและมีพื้นที่ชายฝง เหมาะสมไดพัฒนาขึ้นเปนเมืองทาสําคัญ ของโลก เชน มะละกา สิงคโปร ชางไห ฯลฯ) นักเรียนควรรู 1 ชะวากทะเล เปนพื้นที่บริเวณชายฝงทะเลที่มีแมนํ้าหรือลําธารไหลผาน เชื่อมตอลงสูทะเล ไดรับทั้งอิทธิพลจากทะเล คือ นํ้าขึ้น-นํ้าลง คลื่น และการ ไหลเวียนของนํ้าเกลือ ตะกอนจากแมนํ้า และการไหลเวียนของนํ้าจืด ทําใหพื้นที่ มีธาตุอาหารสําคัญจํานวนมาก จึงเหมาะสมตอการเปนแหลงอาศัยของสิ่งมีชีวิต ตัวอยางของชะวากทะเลในประเทศไทย เชน บริเวณปากแมนํ้ากระบุรี จังหวัด ระนอง ปากแมนํ้าชุมพร จังหวัดชุมพร นักเรียนสืบคนลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกระทํา ของคลื่นและกระแสนํ้าที่สําคัญของโลก ที่ปจจุบันเปนสถานที่ ทองเที่ยวทางธรรมชาติ สรุปประเด็นสําคัญ เชน กระบวนการเกิด ความสําคัญตอการทองเที่ยว พรอมภาพประกอบสวยงาม นําเสนอ ขอมูลในชั้นเรียน กิจกรรม สรางเสริม นักเรียนสืบคนขอมูลลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการ กระทําของคลื่นและกระแสนํ้าชายฝงในประเทศไทย เชน ซุมหิน ชายฝงเกาะไข จังหวัดสตูล สรุปประเด็นสําคัญ เชน กระบวนการเกิด ความสําคัญตอการทองเที่ยว การอนุรักษดูแลรักษา พรอมภาพ ประกอบ นําเสนอขอมูลในชั้นเรียน นํา สอน สรุป ประเมิน T76
ขอสอบเนน การคิด 1 วงโคจรของโลกรอบ ดวงอาทิตย์จะมีความรีลดลง เกิดในวัฏจักรประมาณ 1 แสนปี 2 แกนเอียงของโลกจะมี การแปรปรวนอยู่ระหว่าง 22.5 - 24.5 องศา เกิดในวัฏจักรประมาณ 41,000 ปี 3 แกนหมุนของโลกจะส่าย เป็นวงคล้ายลูกข่างจากการ ที่โลกหมุนช้าลง มีวัฏจักร ประมาณ 21,000 ปี โลก โลก ดวงอาทิตย แสงอาทิตย 0 ํ22.5 ํ 23.5 ํ 24.5 ํ N S S N 5.2 การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่ส่งผลต่อภูมิอากาศ 1) สาเหตุการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่ส่งผลต่อภูมิอากาศ ที่ส�าคัญเกิดจาก 1.1) การผันแปรวงโคจรของโลก ตามวัฏจักรมิลานโควิทช์จะเกิดการผันแปร วงโคจรของโลกใน 3 ลักษณะ ดังนี้ การผันแปรวงโคจรทั้ง 3 ลักษณะดังกล่าว จะส่งผลต่อพลังงานความร้อน ที่โลกได้รับจากดวงอาทิตย์ท�าให้ส่งผลต่อภูมิอากาศของโลก 1.2) การผันแปรของรังสีจากดวงอาทิตย์ จากการเกิดจุดดับบนดวงอาทิตย์ ท�าให้มีอุณหภูมิต�่ากว่าบริเวณโดยรอบ ส่งผลต่อการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์มายังโลก ท�าให้อุณหภูมิ บนโลกลดลง เกิดขึ้นในวัฏจักรประมาณ 11 ปี ส่งผลต่อภูมิอากาศบนโลก 1.3) การเปลี่ยนแปลงของแก๊สเรือนกระจก จากการปะทุของภูเขาไฟที่รุนแรง ท�าให้เกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน ไนตรัสออกไซด์ ส่งผลท�าให้เกิดยุคน�้าแข็งและยุค น�้าแข็งละลาย หรือการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ 75 ตามวัฏจักรมิลานโควิทช์จะเกิดการผันแปร 1 นักเรียนควรรู 1 วัฏจักรมิลานโควิทช นักวิทยาศาสตร ชื่อ มิลูติน มิลานโควิทช (Milutin Milankovitch) เสนอทฤษฎีความเชื่อมโยงระหวางการเกิดยุคนํ้าแข็งกับวัฏจักร ทางดาราศาสตรเกี่ยวกับวงโคจรและแกนหมุนของโลก 3 อยาง ไดแก วง โคจรรอบดวงอาทิตยของโลกมีการเปลี่ยนแปลงรูปราง การเอียงของแกนโลก การสายของแกนหมุนของโลก แสดงใหเห็นอิทธิพลของปจจัยทั้งสาม ทําให ภูมิอากาศโลกมีอุณหภูมิสูงและตํ่าสลับกันไปเปนวัฏจักร โดยแตละคาบนั้น มีระยะเวลาและความรุนแรงไมเทากัน ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 1. ครูใหนักเรียนกลุมที่ 2 ที่ทําการศึกษาและ สืบคนขอมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทาง กายภาพที่สงผลตอภูมิอากาศ ออกมานําเสนอ ผลการศึกษาคนควาที่หนาชั้นเรียน โดยมี แผนที่ หรือเครื่องมือทางภูมิศาสตรอื่นๆ ประกอบการนําเสนอ 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเพิ่มเติม เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่สงผล ตอภูมิอากาศ แลวครูตั้งคําถามใหนักเรียน ชวยกันตอบ เชน • ปรากฏการณอุณหภูมิผกผันในเมืองใหญ หรือพื้นที่อุตสาหกรรมมีลักษณะเปนอยางไร (แนวตอบ ปรากฏการณอุณหภูมิผกผันใน เมืองใหญ หรือพื้นที่อุตสาหกรรมจะสงผล กระทบตอการดําเนินชีวิตของมนุษยและ สิ่งมีชีวิตโดยทั่วไป เนื่องจากหมอกควัน พิษจากการเผาไหมเชื้อเพลิงตางๆ เชน ไอเสียของรถยนต ควันพิษจากโรงงาน อุตสาหกรรม และอื่นๆ ไมสามารถลอยขึ้นไป ในชั้นบรรยากาศได เพราะอุณหภูมิของ อากาศโดยรอบสูงกวา เปนแนวผกผันกั้น หมอกควันที่มีอุณหภูมิตํ่ากวาไว) การที่แกนโลกเอียง ตําแหนงบนโลกที่ไดรับแสงอาทิตยทํามุม ตั้งฉากจะมีลักษณะอยางไร 1. มีอุณหภูมิสูง 2. มีอุณหภูมิตํ่า 3. แกนโลกหมุนสายชาๆ 4. แกนโลกหมุนควงสายอยางเร็ว 5. ไดรับพลังงานแผรังสีจากดวงอาทิตยไกลมาก (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. มีอุณหภูมิสูง เพราะไดรับพลังงาน แผรังสีจากดวงอาทิตยสูงกวาตําแหนงบนโลกที่ไดรับแสงอาทิตย เปนมุมเฉียง) นํา สอน สรุป ประเมิน T77
ขอสอบเนนการคิด เสนอุณหภูมิเทาของเดือนที่เย็นที่สุด เสนอณุ หภมูิเทาของเดือนที่เย็นที่สดุ เสนอณุ หภูมิเทาของเดอืนทอี่นุทสี่ดุ เสนอณุ หภูมิเทาของเดอืนที่อุนทสีุ่ด 10 ํC 10 ํC 18 ํC 18 ํC เขตภูมิอากาศที่มีฤดูรอนสั้น เขตภูมิอากาศที่มีฤดูรอนสั้น เขตภูมิอากาศแบบละติจูดกลาง:อบอุน เขตภูมิอากาศที่มีฤดูหนาวสั้น เขตภูมิอากาศแบบละติจูดกลาง:อบอุน 0 ํ 0 ํ 30 ํN 15 ํN 15 ํS 45 ํN 45 ํS 30 ํS 60 ํN 60 ํN 60 ํS 60 ํS 75 ํN 75 ํS 30 ํN 15 ํN 15 ํS 45 ํN 45 ํS 30 ํS 75 ํN 75 ํS เสนศูนยสูตร เสนทรอปกออฟแคปริคอรน เสนอารกติกเซอรเคิล เสนแอนตารกติกเซอรเคิล เสนทรอปกออฟแคนเซอร N 0 2,000 4,000 กม. 1 : 250,000,000 2) ประเภทของภูมิอากาศ การจ�าแนกประเภทของลักษณะภูมิอากาศนิยมใช้ข้อมูล ลมฟ้าอากาศประจ�าวันน�าไปเฉลี่ยเป็นรายเดือนและรายปี มีระยะเวลาต่อเนื่องกันตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ข้อมูลหลัก คือ ลักษณะอุณหภูมิของอากาศและปริมาณหยาดน�้าฟ้า ซึ่งเป็นฐานข้อมูลส�าคัญใน การจ�าแนกลักษณะประเภทของภูมิอากาศ ดังนี้ 2.1) เขตภูมิอากาศตามค่าเฉลี่ยอุณหภูมิของอากาศ การแบ่งตามขั้นพื้นฐานจาก ลักษณะอุณหภูมิของอากาศ แบ่งได้ 5 พื้นที่ 3 เขตภูมิอากาศ ดังนี้ 1. เขตภูมิอากาศที่มีฤดูหนาวสั้น หรือเขตร้อน (torrid zone) อยู่ระหว่าง เส้นทรอปิกออฟแคนเซอร์กับเส้นทรอปิกออฟแคปริคอร์น อุณหภูมิเฉลี่ยไม่มีเดือนใดต�่ากว่า 18 องศาเซลเซียส 2. ลักษณะภูมิอากาศแบบละติจูดกลาง หรือเขตอบอุ่น (temperate zone) อยู่ระหว่างเส้นทรอปิกออฟแคนเซอร์กับเส้นอาร์กติกเซอร์เคิล และอยู่ระหว่างเส้นเส้นทรอปิกออฟ แคปริคอร์นกับเส้นอาร์กติกเซอร์เคิล 3. เขตภูมิอากาศที่มีฤดูร้อนสั้น หรือเขตขั้วโลก (polar zone) อยู่ระหว่าง เส้นอาร์กติกเซอร์เคิลกับขั้วโลกเหนือ และอยู่ระหว่างเส้นแอนตาร์กติกเซอร์เคิลกับขั้วโลกใต้ อุณหภูมิเฉลี่ยไม่มีเดือนใดสูงกว่า 10 องศาเซลเซียส 2.2) เขตภูมิอากาศตามค่าเฉลี่ยปริมาณฝน การแบ่งตามขั้นพื้นฐานจากปริมาณ ฝน แบ่งได้ 7 ภูมิภาค จากค่าปริมาณฝนรายปี โดยมีเส้นน�้าฝนเท่า (isohyet) แสดงในแผนที่ ซึ่งมีค่าช่วงปริมาณฝน ดังนี้ แผนที่แสดงเขตภูมิอากาศตามลักษณะอุณหภูมิจากเส้นอุณหภูมิเท่า (isotherm) 76 ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม • ประเทศไทยจัดอยูในเขตภูมิอากาศตาม คาเฉลี่ยอุณหภูมิของอากาศในเขตใด (แนวตอบ จากตําแหนงที่ตั้งของประเทศไทย จัดอยูในเขตภูมิอากาศที่มีฤดูหนาวสั้น หรือ เขตรอน โดยอยูระหวางเสนทรอปกออฟแคนเซอรกับเสนทรอปกออฟแคปริคอรน ซึ่ง อุณหภูมิเฉลี่ยของประเทศไทยในแตละเดือน จะไมมีเดือนใดตํ่ากวา 18 องศาเซลเซียส) เกร็ดแนะครู ครูใหนักเรียนอานและตีความแผนที่เขตภูมิอากาศตามลักษณะอุณหภูมิ จากเสนอุณหภูมิเทา แลวสรุปสาระสําคัญ • เขตรอน แสงอาทิตยตกกระทบพื้นโลกเปนมุมชัน และมีโอกาสที่ดวง อาทิตยจะอยูเหนือศีรษะได พื้นที่เขตนี้จึงรับพลังงานจากดวงอาทิตยไดมากกวา สวนอื่นๆ ของโลก • เขตอบอุน แสงอาทิตยตกกระทบพื้นโลกเปนมุมเฉียง แมวาไมมีโอกาส ที่ดวงอาทิตยจะอยูเหนือศีรษะ แตก็ยังไดรับแสงอาทิตยตลอดป • เขตหนาว แสงอาทิตยตกกระทบพื้นโลกเปนมุมลาด จนในฤดูหนาว บางวันไมมีดวงอาทิตยขึ้นเลย จากการที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใตตั้งอยูในเขตรอน สงผลตอวิถีชีวิตและกิจกรรมทางเศรษฐกิจของคนในภูมิภาคนี้ อยางไร (แนวตอบ จากทําเลที่ตั้งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต อยูในเขตภูมิอากาศแบบรอนชื้น มีฝนตกชุกเกือบทั้งป สงผลใหมี พืชพรรณธรรมชาติอุดมสมบูรณ ทําใหคนในภูมิภาคนี้สวนใหญ ประกอบอาชีพเกษตรกรรม) นํา สอน สรุป ประเมิน T78
0 ํ 0 ํ 30 ํN 15 ํN 15 ํS 45 ํN 45 ํS 30 ํS 60 ํN 60 ํN 60 ํS 60 ํS 75 ํN 75 ํS 30 ํN 15 ํN 15 ํS 45 ํN 45 ํS 30 ํS 75 ํN 75 ํS เสนศูนยสูตร เสนทรอปกออฟแคปริคอรน เสนอารกติกเซอรเคิล เสนแอนตารกติกเซอรเคิล เสนทรอปกออฟแคนเซอร N 0 2,000 4,000 กม. 1 : 250,000,000 ปริมาณฝนเฉลี่ยรายป (มิลลิเมตร) 0 250 500 1,000 2,000 3,000 เขตภูมิอากาศแถบเส้นศูนย์สูตร ปริมาณฝนมากกว่า 2,000 มม./ ปี เขตภูมิอากาศ ชายฝั่งที่ได้รับลมค้า ปริมาณฝนมากกว่า 1,500 มม./ปีเขตภูมิอากาศทะเลทราย ปริมาณฝน ต�่ากว่า 250 มม./ปีเขตภูมิอากาศกึ่งทะเลทราย ปริมาณฝนระหว่าง 250 - 500 มม./ ปี เขตภูมิอากาศแถบชื้นกึ่งร้อน ปริมาณฝนระหว่าง 1,000 - 1,500 มม./ปีเขตภูมิอากาศชายฝั่ง ตะวันตกเขตละติจูดกลาง ปริมาณฝนมากกว่า 1,000 มม./ปี และเขตภูมิอากาศแถบอาร์กติก และแอนตาร์กติกา ปริมาณฝนต�่ากว่า 300 มม./ ปี 2.3) การจ�าแนกประเภทภูมิอากาศแบบเคิปเปนดร.วลาดิมีร์ เคิปเปน นักอุตุนิยม วิทยาชาวเยอรมัน ได้จ�าแนกภูมิอากาศจากการรวมกันของลักษณะและค่าเฉลี่ยของอุณหภูมิของ อากาศกับหยาดน�้าฟ้าที่ปรากฏตามพื้นที่ โดยใช้อักษรโรมันตัวใหญ่อธิบายอุณหภูมิเป็น 5 เขตหลัก A หมายถึง ภูมิอากาศเขตร้อน B หมายถึง ภูมิอากาศเขตแห้งแล้ง C หมายถึง ภูมิอากาศเขตอบอุ่น D หมายถึง ภูมิอากาศเขตหนาว E หมายถึง ภูมิอากาศเขตขั้วโลก นอกจากนี้ ยังมีการแสดงรายละเอียดของลักษณะอุณหภูมิของอากาศและปริมาณ ฝน โดยใช้อักษรโรมันตัวเล็กและตัวใหญ่ต่อท้าย และเพิ่มตัวอักษร H แทนเขตภูมิอากาศแถบภูเขา เนื่องจากมีลักษณะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงตามความสูง แผนที่แสดงเขตภูมิอากาศตามลักษณะปริมาณฝนจากเส้นน�้าฝนเท่า 77 กิจกรรม ทาทาย เกร็ดแนะครู นักเรียนดูแผนที่แสดงเขตภูมิอากาศตามลักษณะปริมาณฝนจากเสน นํ้าฝนเทา ฝกวิเคราะหและแปลความ ครูตั้งประเด็น เชน • บริเวณใดของโลกมีฝนตกเฉลี่ยมากที่สุด และนอยที่สุด • การมีฝนตกนอยหรือตกมากที่สุดมีผลดี-ผลเสียอยางไร • บริเวณใดมีทรัพยากรปาไม และสัตวปาอุดมสมบูรณมากที่สุด เพราะเหตุใด ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 3. ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เขตภูมิอากาศตามลักษณะปริมาณฝน จาก แผนที่แสดงเขตภูมิอากาศตามลักษณะ ปริมาณฝนจากเสนนํ้าฝนเทา รวมถึงการ จําแนกภูมิอากาศแบบเคิปเปน จากหนังสือ เรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 เพิ่มเติม 4. ครูใหนักเรียนใชสมารตโฟนสืบคนเกณฑ การจําแนกประเภทภูมิอากาศประเภทอื่นๆ เพิ่มเติมจากอินเทอรเน็ต จากนั้นนําขอมูล มาสรุปรวมกัน นักเรียนสืบคนประวัติ ดร.วลาดิมีร เคิปเปน นักอุตุนิยมวิทยา โดยใชขอมูลอุณหภูมิของอากาศและปริมาณนํ้าฝนเฉลี่ยในรอบป หรือรายเดือนเปนเกณฑในการจําแนก โดยแบงเขตภูมิอากาศของ โลกออกเปน 5 กลุม โดยใชตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวใหญ ไดแก A B C D และ E แทนกลุมภูมิอากาศ โดยใหนักเรียนสืบคนลักษณะภูมิอากาศในแตละเขต และ เขตอากาศยอย แลวนําเสนอในชั้นเรียน เชน E กลุมภูมิอากาศ เขตขั้วโลก ไมมีฤดูรอน อุณหภูมิเฉลี่ยของเดือนที่อบอุนที่สุด ตํ่ากวา 10 องศาเซลเซียส ET อุณหภูมิเฉลี่ยของเดือนที่อบอุนที่สุดสูงกวา 0 องศาเซลเซียส แตตํ่ากวา 10 องศาเซลเซียส EF อุณหภูมิของเดือนที่อบอุนเทากับ 0 องศาเซลเซียสหรือ ตํ่ากวา นํา สอน สรุป ประเมิน T79
กิจกรรม Geo-Literacy 0 ํ 0 ํ 40 ํE 40 ํW 80 ํE 80 ํW 120 ํE 120 ํW 160 ํE 160 ํW 20 ํE20 ํW 60 ํE 60 ํW 100 ํE 100 ํW 140 ํE 180 ํ140 ํW 20 ํN 20 ํS 40 ํN 40 ํS 60 ํN 60 ํS 80 ํN 80 ํS 0 ํ 20 ํN 20 ํS 40 ํN 40 ํS 60 ํN 60 ํS 80 ํN 80 ํS เสนศูนยสูตร เสนทรอปกออฟแคปริคอรน เสนทรอปกออฟแคนเซอร เสนอารกติกเซอรเคิล เสนแอนตารกติกเซอรเคิล ม ห า ส มุ ท ร แ ป ซิ ฟ ก ม ห า ส มุ ท ร แ ป ซิ ฟ ก ม ห า ส มุ ท ร อ า ร ก ติ ก ม ห า ส มุ ท ร แ อ ต แ ล น ติ ก ม ห า ส มุ ท ร แ อ ต แ ล น ติ ก ม ห า ส มุ ท ร อิ น เ ดี ย Af Cf Cf Cf Cf Cf Cf Cs Cs Cs Cs Cs Cs Cs Cs Cs Aw Dw Cw Aw Aw Cf Cf EF ET ET ET ET Df ET ET ET ET EF EF EF Cf Cf Cf Cf Af Aw Aw Aw Aw BW BS BS BS BS BS BS BS BS BS BS BS BS BS BS BS Df Df Df Df Dw Dw Dw Df Df Df Df BS BS BS BS BS BS BS BW BW BW BW BW BW H H H H H H H H H H H H BW BW BW BW BW Aw Aw Aw Am Am Am Am Af Af Am Am Am Am Am Am Am Aw Aw Aw Af Af Af Am Af Af Af Am Aw แบบรอนชื้น แบบมรสุม แบบสะวันนา แบบทะเลทราย แบบกึ�งทะเลทราย แบบชื้นกึ�งรอน แบบเมดิเตอรเรเน�ยน แบบที่สูงแบบชื้นภาคพื้นทวีป แบบแหงภาคพื้นทวีป แบบทุนดรา แบบพืดน้ำแข็ง BW BS Cf Cs Df Dw ET EF H N 1 : 160,000,000 0 2,000 4,000 กม. แผนที่แสดงเขตภูมิอากาศ แผนที่แสดงเขตภูมิอากาศ 78 ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 5. ครูใหนักเรียนรวมกันศึกษาและอภิปราย เพิ่มเติมเกี่ยวกับเขตภูมิอากาศของโลกจาก แผนที่แสดงเขตภูมิอากาศในแตละภูมิภาค ตางๆ ของโลก จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 เพิ่มเติม 6. ครูกําหนดตําแหนงในแตละภูมิภาคตางๆ ของโลกที่มีเขตภูมิอากาศแตกตางกัน จากนั้น สุมนักเรียนออกมาชี้ตําแหนงในแตละภูมิภาค ตางๆ ของโลกตามเขตภูมิอากาศใหถูกตอง เพื่อเปนการสรุปความรูเพิ่มเติม เชน • ทวีปแอฟริกา (แนวตอบ มีทั้งเขตภูมิอากาศแบบทะเลทราย แบบกึ่งทะเลทราย แบบสะวันนา แบบมรสุม แบบฝนตกชุกถาวรตลอดป แบบชื้นกึ่ง เขตรอน แบบเมดิเตอรเรเนียน) • ทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย (แนวตอบ มีทั้งเขตภูมิอากาศแบบทะเลทราย แบบกึ่งทะเลทราย แบบสะวันนา แบบชื้นกึ่ง เขตรอน แบบเมดิเตอรเรเนียน) เกร็ดแนะครู ครูใหนักเรียนฝกอาน วิเคราะหและแปลความแผนที่แสดงเขตภูมิอากาศ ของโลก ครูตั้งประเด็นคําถาม เชน • ประเทศไทยมีลักษณะภูมิอากาศแบบใด ลักษณะภูมิอากาศเปนอยางไร • หากนักเรียนตองการสัมผัสอากาศหนาว และหิมะตก ควรไปที่ใด และ ชวงเวลาใด นักเรียนแบงกลุมศึกษาเขตภูมิอากาศของโลก โดยใชแผนที่ แสดงเขตภูมิอากาศประกอบ จากนั้นแตละกลุมเลือกประกอบอาชีพ 1 อาชีพ ในประเทศตางๆ ของโลก • ทําฟารมโคเปนปศุสัตวขนาดใหญ เพื่อสงเนื้อและนมขาย ทั่วโลก • ทําไรชาขนาดใหญ • ทําเกษตรอินทรีย มีทั้งปลูกพืช เลี้ยงสัตว มีอาหารกินตลอดป • เลี้ยงแกะเพื่อสงออกขนและเนื้อ โดยเลือกประเทศที่จะไปประกอบอาชีพ เลือกทําเล วิเคราะห ปจจัยในการเลือกประเทศ โดยใชกระบวนการทางภูมิศาสตร นํา สอน สรุป ประเมิน T80
ขอสอบเนน การคิด 1. ภูมิอากาศเขตร้อน (A) มีอุณหภูมิของอากาศสูงตลอดปี เฉลี่ยเกินกว่า 18 องศาเซลเซียส และมีฝนตกชุก จ�าแนกลักษณะเฉพาะพื้นที่ได้ 3 แบบ ดังนี้ ภูมิอากาศแบบร้อนชื้น บริเวณละติจูด 10 องศาเหนือถึง 10 องศาใต้ มีอุณหภูมิเฉลี่ยเกิน 27 องศาเซลเซียส ทุกเดือน ได้รับอิทธิพลจากลมค้าที่พัดเข้าหาแถบเส้นศูนย์สูตร ฝนตกชุกทุกเดือนเนื่องจากฝนพาความร้อน ปริมาณ ฝนเฉลี่ยเกิน 62 มิลลิเมตร เฉลี่ยรายปีเกิน 2,000 มิลลิเมตร มีเมฆคิวมูลัสและคิวมูโลนิมบัสเป็นหลัก และพิสัยอุณหภูมิไม่แตกต่างกันมาก บริเวณที่มีภูมิอากาศแบบนี้ ได้แก่ ลุ่มน�้า แอมะซอน ทวีปอเมริกาใต้ ลุ่มน�้าคองโก ทวีป แอฟริกา และหมู่เกาะประเทศอินโดนีเซีย ทวีปเอเชีย ภูมิอากาศแบบมรสุม บริเวณละติจูด 5 - 20 องศาเหนือและใต้ มี มวลอากาศฝ่ายทะเลพัดเข้าสู่ชายฝั่ง ได้รับอิทธิพล จากลมค้าตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนตกเกือบตลอดปี มี 1 - 2 เดือนที่ปริมาณฝนต�่ากว่า 62 มิลลิเมตร ปริมาณฝนเฉลี่ยรายปีเกิน 2,500 มิลลิเมตร อุณหภูมิ เฉลี่ยทุกเดือนระหว่าง 25 - 27 องศาเซลเซียส และ ฝนที่ตกเกิดจากการยกตัวของเมฆเมื่อเคลื่อนตัวผ่าน บริเวณชายฝั่งทะเลด้านรับลม ซึ่งมีภูเขากีดขวาง เรียกว่า ฝนภูเขา บริเวณที่มีภูมิอากาศแบบนี้อยู่ใกล้เคียงกันกับ เขตภูมิอากาศ Af ภูมิอากาศแบบสะวันนา บริเวณละติจูด 10 - 25 องศาเหนือและใต้ มีอุณหภูมิเฉลี่ย ทุกเดือนระหว่าง 20 - 30 องศาเซลเซียส มีช่วงฤดูฝนและฤดูแล้ง แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด คือ ในช่วงฤดูฝนอิทธิพลจากลมมรสุม ท�าให้มีฝนตกชุก ส่วนช่วงฤดูร้อนและฤดูแล้ง (หนาว) ปริมาณฝน มีเพียงเล็กน้อย บริเวณที่มีภูมิอากาศแบบนี้ ใกล้กับเขต Af และ Am และที่น่าสังเกต คือ ใกล้กับเขตกึ่งทะเลทราย (BS) ปรากฏในทวีป อเมริกาเหนือ ทวีปอเมริกาใต้ ทวีปแอฟริกา ทวีปเอเชีย และทวีป ออสเตรเลีย Af Am Aw 79 ฝนตกชุกทุกเดือนเนื่องจากฝนพาความร้อน ปริมาณ 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 7. ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ภูมิอากาศเขตรอน จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 เพิ่มเติม 8. ครูใหนักเรียนใชสมารตโฟนสืบคนภาพ หรือ คลิปวิดีโอเกี่ยวกับพื้นที่ในบริเวณตางๆ ของโลก เพิ่มเติมจากอินเทอรเน็ตที่แสดงถึงภูมิอากาศ เขตรอน ที่จําแนกเฉพาะได 3 แบบ ไดแก • ภูมิอากาศแบบรอนชื้น • ภูมิอากาศแบบมรสุม • ภูมิอากาศแบบสะวันนา จากนั้นนําขอมูลมาสรุปรวมกัน นักเรียนควรรู 1 ฝนพาความรอน เปนฝนที่เกิดจากกลุมอากาศรอนลอยตัวสูงขึ้นจนถึง จุดไอนํ้ากลั่นตัวลงมาเปนฝนในตอนเย็นและกลางคืน ลักษณะฝนที่ตกเปนแบบ ฝนโปรย หรือเกิดฝนตกหนักมากเปนระยะเวลาสั้นๆ อาจจะมีพายุพัดรุนแรง มีลูกเห็บตก และฟาคะนองรุนแรง ในประเทศไทยมักเกิดเดือนมีนาคมและเดือน เมษายน หากมีนักสํารวจตองการสํารวจปาดิบหรือปาดิบชื้นที่มีความ สมบูรณ นักเรียนจะแนะนําที่ใด เพราะเหตุใด (แนวตอบ ปาแอมะซอนอยูในทวีปอเมริกาใต ครอบคลุมพื้นที่ 9 ประเทศ เชน บราซิล มีพื้นที่กวา 5 ลานตารางกิโลเมตร เปนปา ที่มีความอุดมสมบูรณอยางมาก มีแมนํ้าสายสําคัญไหลผาน คือ แมนํ้าแอมะซอน ซึ่งเปนแมนํ้าที่ยาวเปนอันดับ 2 ของโลก มีปาไม คอนขางหนาทึบมาก มีหลากหลายสายพันธุ มีสัตวนานาชนิด กวา 70 % บนโลกอาศัยอยู มีความหลากหลายของสัตวบก สัตวนํ้า สัตวเลื้อยคลาน สัตวที่ขึ้นชื่อวาดุราย เชน ปลาปรันยา งูอนาคอนดา ปลาไหลไฟฟา นอกจากนี้ ยังมีชนเผาอาศัยหลายเผา) นํา สอน สรุป ประเมิน T81
ขอสอบเนนการคิด 2. ภูมิอากาศเขตแห้งแล้ง (B) มีค่าการระเหยเกินกว่าค่าเฉลี่ยของ หยาดน�้าฟ้าที่ตกลงในพื้นที่ จึงไม่มีแหล่งน�้าถาวร พิสัยอุณหภูมิของอากาศเฉลี่ยกลางวันกับกลาง คืนแตกต่างกันมาก แนวความกดอากาศสูงกึ่งโซนร้อน (subtropical high pressure belt) มีอิทธิพล ท�าให้บรรยากาศไร้เมฆ พบบริเวณด้านทิศตะวันตกของทวีปต่าง ๆ บริเวณภูมิภาคกึ่งโซนร้อน ละติจูด 15 - 35 องศาเหนือและใต้ แบ่งเขตภูมิอากาศแห้งแล้งได้ 2 แบบ คือ ภูมิอากาศแบบทะเลทราย BW มีปริมาณฝนเฉลี่ยรายปีต�่ากว่า 250 มิลลิเมตร อุณหภูมิสูงสุดเวลากลางวันเท่ากับ 48 องศา เซลเซียส กลางคืนอุณหภูมิต�่ากว่า 0.6 องศา เซลเซียส พิสัยอุณหภูมิเฉลี่ยรายเดือนต่างกัน 15 - 20 องศาเซลเซียส และบริเวณชายฝั่งทะเลด้าน ทิศตะวันตกมีกระแสน�้าเย็นไหลผ่าน ภูมิอากาศแบบทะเลทรายแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ภูมิอากาศแบบทะเลทรายเขตร้อน (BWh) มีอุณหภูมิเฉลี่ยรายปีสูงกว่า 18 องศา เซลเซียส และภูมิอากาศแบบทะเลทรายเขตอบอุ่น (BWk) มีอุณหภูมิเฉลี่ยรายปีต�่ากว่า 18 องศา เซลเซียส บริเวณที่มีภูมิอากาศแบบนี้ คือ ทะเลทราย สะฮารา ทวีปแอฟริกา ทะเลทรายอันนาฟูดและ รุบัลคอลี ประเทศซาอุดีอาระเบีย ทะเลทรายอาตา กามา ประเทศชิลี ทะเลทรายยูมา สหรัฐอเมริกา และทะเลทรายเกรตวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย ภูมิอากาศแบบกึ่งทะเลทราย มีปริมาณฝนเฉลี่ยรายปีตั้งแต่ 250 มิลลิเมตร ขึ้นไป ฝนที่ได้รับจากอิทธิพลของลมค้าพัดเข้าหากัน ในช่วงที่เป็นฤดูร้อนของพื้นที่ อิทธิพลของแนวความ กดอากาศสูงกึ่งโซนร้อนในช่วงฤดูหนาวส่งผลต่อ การเกิดความแห้งแล้งในพื้นที่ และพิสัยอุณหภูมิเฉลี่ย รายเดือนต่างกัน 8 - 12 องศาเซลเซียส ภูมิอากาศแบบกึ่งทะเลทรายแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ภูมิอากาศแบบกึ่งทะเลทรายเขตร้อน (BSh) มีอุณหภูมิเฉลี่ยรายปีสูงกว่า 18 องศาเซลเซียส และภูมิอากาศแบบกึ่งทะเลทรายเขตอบอุ่น (BSk) มีอุณหภูมิเฉลี่ยรายปีต�่ากว่า 18 องศาเซลเซียส บริเวณที่มีภูมิอากาศแบบนี้ คือ พื้นที่โดยรอบ หรืออยู่ใกล้เคียงกับเขตภูมิอากาศแบบทะเลทราย BS 80 คืนแตกต่างกันมาก แนวความกดอากาศสูงกึ่งโซนร้อน (subtropical high pressure belt) มีอิทธิพล 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 9. ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเพิ่มเติม เกี่ยวกับภูมิอากาศเขตแหงแลง จากหนังสือ เรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 เพิ่มเติม 10. ครูใหนักเรียนใชสมารตโฟนสืบคนภาพ หรือ คลิปวิดีโอเกี่ยวกับพื้นที่ในบริเวณตางๆ ของโลกเพิ่มเติมจากอินเทอรเน็ตที่แสดงถึง ภูมิอากาศเขตแหงแลง ที่สามารถแบงเขต ภูมิอากาศแหงแลงได 2 แบบ คือ • ภูมิอากาศแบบกึ่งทะเลทราย • ภูมิอากาศแบบทะเลทราย จากนั้นนําขอมูลมาสรุปรวมกัน นักเรียนควรรู 1 แนวความกดอากาศสูงกึ่งโซนรอน ที่บริเวณละติจูดที่ 30° ํ หรือบริเวณ เสนรุงมา เปนเขตแหงแลงเปนทะเลทราย พื้นนํ้ามีกระแสลมออนมาก เนื่องจาก เปนบริเวณที่กระแสลมสงบ อากาศเหนือผิวพื้นบริเวณเสนรุงมาเคลื่อนตัวไปยัง แถบความกดอากาศตํ่าบริเวณเสนศูนยสูตร ทําใหเกิดลมคา เมื่อลมคาทาง ซีกโลกเหนือเคลื่อนที่มาจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และลมคาทางซีกโลกใต เคลื่อนที่มาจากทิศตะวันออกเฉียงใต เกิดการปะทะกันและยกตัวขึ้นบริเวณ เสนศูนยสูตร เขตภูมิอากาศแบบทะเลทรายและกึ่งทะเลทรายในทวีปเอเชีย มีลักษณะอากาศและพืชพรรณธรรมชาติอยางไร และปรากฏใน บริเวณใดบาง (แนวตอบ ภูมิอากาศแบบทะเลทรายเขตอบอุน (BWk) และกึ่ง ทะเลทรายเขตอบอุน (BSk) อากาศอบอุนและแหง พบในพื้นที่อยู หางไกลจากทะเล มีเทือกเขาขวางทิศทางลม พืชพรรณธรรมชาติ มีลักษณะเปนทุงหญาสั้น เชน มองโกเลีย และทางทิศตะวันตกของ จีน ภูมิอากาศแบบทะเลทรายเขตรอน (BWh) และกึ่งทะเลทราย เขตรอน (BSh) มีความแหงแลง ฝนตกนอยมาก เนื่องจากอิทธิพล ของมวลความกดอากาศสูงแผลงมาปกคลุม ไมมีลมที่พัดจากทะเล เขาสูแผนดิน พืชพรรณธรรมชาติมีนอย เชน กระบองเพชร ไมพุม ตางๆ บริเวณโอเอซิสมีพืชจําพวกปาลม อินทผลัม สวนใหญอยูใน เอเชียตะวันตกเฉียงใต เชน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส ซาอุดีอาระเบีย จอรแดน) ศูนยสูตร 0° ํ ลมคา ลมคา รุงมา 30° ํ รุงมา 30° ํ N S แนวความกดอากาศสูงกึ่งโซนรอน นํา สอน สรุป ประเมิน T82
3. ภูมิอากาศเขตอบอุ่น (C) มีอุณหภูมิของอากาศเดือนที่หนาวที่สุดเฉลี่ย ต�่ากว่า 18 องศาเซลเซียส แต่ไม่ต�่ากว่า -3 องศาเซลเซียส พบบริเวณด้านทิศตะวันออกของทวีป ต่าง ๆ ที่มีกระแสน�้าอุ่นไหลผ่าน ด้านทิศตะวันตกของทวีปยุโรปและทวีปอเมริกาเหนือพบเช่นกัน เนื่องจากมีอิทธิพลของกระแสน�้าอุ่นไหลไปถึงชายฝั่ง แบ่งภูมิอากาศเขตอบอุ่นได้ 2 เขต คือ ภูมิอากาศชื้นกึ่งเขตร้อนชายฝงตะวันออก (Cfa) มีฝนตกทุกเดือน ปริมาณฝนประจ�าปีระหว่าง 1,200 - 3,600 มิลลิเมตร อุณหภูมิเฉลี่ยเดือนที่ร้อน ที่สุดเกิน 22 องศาเซลเซียส บริเวณที่มีภูมิอากาศแบบนี้ คือ บริเวณชายฝั่ง ตะวันออกของทวีป บริเวณละติจูด 23 - 40 เหนือ และใต้ มีกระแสน�้าอุ่นไหลเลียบชายฝั่ง มีความชื้นใน อากาศสูง ได้แก่ ชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกา ชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศบราซิล ชายฝั่ง ตะวันออกของประเทศแอฟริกาใต้ ชายฝั่งตะวันออก ของประเทศจีนและญี่ปุ่น ชายฝั่งตะวันออกของ ประเทศออสเตรเลีย ภูมิอากาศชื้นกึ่งร้อน Cf ไม่มีฤดูแห้งแล้งและฝนตกชุกทุกเดือน ปริมาณฝนมากช่วงฤดูร้อนเนื่องจากได้รับ อิทธิพลจากพายุหมุนเขตร้อน กระแสน�้าอุ่นมีอิทธิพลท�าให้ชายฝั่งมีความชื้นในอากาศสูง และมีพิสัยอุณหภูมิ เฉลี่ยรายเดือนต่างกัน 15 - 20 องศาเซลเซียส ภูมิอากาศชื้นกึ่งร้อน แบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ ภูมิอากาศชื้นกึ่งเขตร้อนชายฝงตะวันตก (Cfb) มีปริมาณความชื้นสูงจากมวลอากาศที่ลมตะวันตก พัดเข้าหาฝั่งแผ่นดิน แนวปะทะอากาศและพายุหมุน ปริมาณฝนประจ�าปีระหว่าง 1,000 - 2,000 มิลลิเมตร อุณหภูมิเฉลี่ยเดือนที่ร้อนที่สุดต�่ากว่า 22 องศา เซลเซียส บริเวณที่มีภูมิอากาศแบบนี้ คือ บริเวณชายฝั่ง ตะวันตกของทวีปบริเวณละติจูด 40 - 60 เหนือ ได้แก่ ชายฝั่งตะวันตกประเทศแคนาดา ที่มีกระแสน�้าอุ่น แปซิฟิกเหนือไหลผ่าน ชายฝั่งตะวันตกของทวีปยุโรป มีกระแสน�้าอุ่นแอตแลนติกเหนือไหลผ่าน ชายฝั่ง ตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศออสเตรเลีย และ ประเทศนิวซีแลนด์ ภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน Cs มีช่วงฤดูร้อนอากาศแห้ง มีฝนตกเพียงเล็กน้อยเนื่องจากอิทธิพลของ แนวความกดอากาศสูงกึ่งโซนร้อนพัดจากภายในแผ่นดิน ช่วงฤดูหนาวมีมวลอากาศพัดจากทะเลสู่ฝั่ง มีฝนจาก อิทธิพลของพายุหมุน และพิสัยอุณหภูมิเฉลี่ยรายเดือนต่างกัน 12 - 18 องศาเซลเซียส บริเวณที่มีภูมิอากาศแบบนี้ คือ โดยรอบของชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และบางพื้นที่ด้านตะวันตก ของทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปอเมริกาใต้ และตอนใต้ของทวีปแอฟริกากับทวีปออสเตรเลีย 81 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 11. ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเพิ่มเติม เกี่ยวกับภูมิอากาศเขตอบอุน จากหนังสือ เรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 เพิ่มเติม 12. ครูใหนักเรียนใชสมารตโฟนสืบคนภาพ หรือคลิปวิดีโอเกี่ยวกับพื้นที่ในบริเวณตางๆ ของโลกเพิ่มเติมจากอินเทอรเน็ตที่แสดงถึง ภูมิอากาศเขตอบอุนที่สามารถแบงภูมิอากาศ เขตอบอุนได 2 เขต คือ • ภูมิอากาศชื้นกึ่งเขตรอน • ภูมิอากาศแบบเมดิเตอรเรเนียน จากนั้นนําขอมูลมาสรุปรวมกัน นักเรียนสืบคนขอมูลเขตภูมิอากาศอบอุนของโลก ในประเด็น ลักษณะภูมิอากาศ บริเวณที่พบ ลักษณะพืชพรรณธรรมชาติ ให เลือกสถานที่ที่นักเรียนอยากไปทองเที่ยว 1 ประเทศ พรอมบอก เหตุผล วางแผนการเดินทาง โปรแกรมการทองเที่ยว สถานที่ ทองเที่ยวพรอมภาพประกอบ บรรยากาศที่คาดวาจะไปสัมผัส ประโยชนที่จะไดรับ นําเสนอในชั้นเรียน กิจกรรม สรางเสริม นักเรียนสืบคนขอมูลบริเวณที่มีเขตภูมิอากาศอบอุนของโลก 1 ชื่อ ในประเด็น ลักษณะภูมิอากาศ บริเวณที่พบ ลักษณะพืชพรรณ ธรรมชาติ เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแบงเขตภูมิอากาศทําไดหลายวิธีโดยอาศัย องคประกอบของอากาศทางดานตางๆ เชน • การแบงเขตภูมิอากาศโดยอาศัยอุณหภูมิ แบงออกเปน 3 เขต ไดแก เขตรอน เขตอบอุน และเขตหนาว • การแบงเขตภูมิอากาศโดยอาศัยหยาดนํ้าฟา แบงตามปริมาณฝน ตอป ออกเปน 5 เขต ไดแก เขตภูมิอากาศแหงแลง เขตภูมิอากาศกึ่งแหงแลง เขตภูมิอากาศกึ่งชื้น เขตภูมิอากาศชื้น และเขตภูมิอากาศชุมชื้นมาก • การแบงเขตภูมิอากาศโดยใชพืชพรรณธรรมชาติ แบงออกเปน 11 เขต เชน เขตภูมิอากาศแบบปาศูนยสูตร เขตภูมิอากาศแบบปามรสุม เขตภูมิอากาศ แบบปาละเมาะ เขตภูมิอากาศแบบปาเมดิเตอรเรเนียน • การแบงเขตภูมิอากาศโดยใชมวลอากาศและแนวปะทะมวลอากาศ แบงออกเปน 3 เขตใหญ ไดแก ภูมิอากาศในเขตละติจูดตํ่า ภูมิอากาศในเขต ละติจูดกลาง และภูมิอากาศในเขตละติจูดสูง นํา สอน สรุป ประเมิน T83
5. ภูมิอากาศเขตขั้วโลก (E) มีอุณหภูมิเฉลี่ยเดือนที่ร้อนที่สุดต�่ากว่า 10 องศาเซลเซียส ไม่มีฤดูร้อน การแบ่งภูมิอากาศเขตขั้วโลกพิจารณาจากอุณหภูมิเดือนที่หนาวที่สุด หรือเดือนที่ร้อนที่สุด ดังนี้ ภูมิอากาศแบบทุนดรา ET ช่วงเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม ซึ่งขั้วโลกเหนือ มีเวลารับแสงอาทิตย์ยาวนานที่สุด มีอุณหภูมิสูงกว่า 0 องศาเซลเซียส พิสัยอุณหภูมิเฉลี่ยรายเดือน ต่างกัน 25 - 30 องศาเซลเซียส หยาดน�้าฟ้าที่เป็นฝน มีเพียงระยะสั้น ๆ ช่วงเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม นอกนั้นเป็นหิมะ ความหนาวเย็นของอากาศแถบ ภูมิอากาศแบบทุนดรา ผิวดินและใต้ผิวดินจะเกิดเป็น ชั้นดินเยือกแข็งคงตัว (permafrost) จึงมีพืชอายุสั้น เจริญเติบโตภายหลังน�้าแข็งละลาย ได้แก่ ต้นหญ้า ต้นกก และไลเคน บริเวณที่มีภูมิอากาศแบบนี้ ได้แก่ ทางตอนเหนือ ของทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปยุโรป และทวีปเอเชีย ภูมิอากาศแบบพืดน�้าแข็ง EF ได้แก่ เกาะกรีนแลนด์ และทวีปแอนตาร์กติกา อุณหภูมิเฉลี่ยที่เกาะกรีนแลนด์ -30 ถึง -35 องศา เซลเซียส อุณหภูมิเฉลี่ยต�่าที่สุดในเดือนกุมภาพันธ์ และสูงสุดในเดือนกรกฎาคม หยาดน�้าฟ้าอยู่ในรูป ของพายุหิมะมากที่สุด หิมะที่ตกทับถมบนแผ่นดิน และอัดตัวเป็นมวลน�้าจืดแข็งขนาดใหญ่ เรียกว่า ธาร น�้าแข็ง (glacier) มีการเคลื่อนที่อย่างช้า ๆ ลงมาตาม ไหล่เขาธารน�้าแข็งที่แตกแยกเป็นก้อนน�้าแข็งใหญ่ ลงสู่ทะเล เรียกว่า ภูเขาน�้าแข็ง (iceberg) หรือเกาะ น�้าแข็ง (ice island) พบลอยอยู่ในมหาสมุทรอาร์กติก น�้าในทะเล มหาสมุทรที่น�้าแข็งตัวเป็นก้อน เรียกว่า น�้าแข็งทะเล (sea ice: field ice) 4. ภูมิอากาศเขตหนาว (D) มีอุณหภูมิของอากาศเดือนที่หนาวที่สุดเฉลี่ย ต�่ากว่า -3 องศาเซลเซียส และเดือนที่อุ่นที่สุดอุณหภูมิสูงกว่า 10 องศาเซลเซียส พบเฉพาะใน ทวีปอเมริกาเหนือและดินแดนยูเรเชีย แถบละติจูด 50 - 70 องศาเหนือ แบ่งภูมิอากาศเขตหนาว ได้ 2 แบบ คือ ภูมิอากาศชื้นภาคพื้นทวีป Df มีหยาดน�้าฟ้าตลอดทุกเดือน เนื่องจากอิทธิพล ของแนวปะทะอากาศขั้วโลก และพิสัยอุณหภูมิเฉลี่ย รายเดือนต่างกัน 25 - 30 องศาเซลเซียส บริเวณที่มีภูมิอากาศแบบนี้ ได้แก่ ตอนเหนือ ของสหรัฐอเมริกา กลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย และ ประเทศรัสเซีย ภูมิอากาศแห้งภาคพื้นทวีป ในช่วงฤดูหนาวปริมาณฝนจะลดลง เนื่องจาก มวลอากาศเย็นและแห้งพัดออกจากแผ่นดิน ในช่วง ฤดูร้อนมีฝนตกเนื่องจากอิทธิพลของลมมรสุมตะวันออก เฉียงใต้และพายุหมุนเขตร้อน บริเวณที่มีภูมิอากาศแบบนี้ ได้แก่ ตอนเหนือของ ประเทศจีน ตอนเหนือของคาบสมุทรเกาหลี และตอนใต้ ของประเทศรัสเซียในทวีปเอเชีย Dw 82 ของสหรัฐอเมริกา กลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย และ ชั้นดินเยือกแข็งคงตัว (permafrost) จึงมีพืชอายุสั้น 1 2 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 13. ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ภูมิอากาศเขตหนาว จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 เพิ่มเติม 14. ครูใหนักเรียนใชสมารตโฟนสืบคนภาพ หรือคลิปวิดีโอเกี่ยวกับพื้นที่ในบริเวณตางๆ ของโลกเพิ่มเติมจากอินเทอรเน็ตที่แสดงถึง ภูมิอากาศเขตหนาวที่สามารถแบงภูมิอากาศ เขตหนาวได 2 แบบ คือ • ภูมิอากาศชื้นภาคพื้นทวีป • ภูมิอากาศแหงภาคพื้นทวีป จากนั้นนําขอมูลมาสรุปรวมกัน 15. ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเพิ่มเติม เกี่ยวกับภูมิอากาศเขตขั้วโลก จากหนังสือ เรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 เพิ่มเติม 16. ครูใหนักเรียนใชสมารตโฟนสืบคนภาพ หรือ คลิปวิดีโอเกี่ยวกับพื้นที่ในบริเวณตางๆ ของโลกเพิ่มเติมจากอินเทอรเน็ตที่แสดงถึง ภูมิอากาศเขตเขตขั้วโลกที่สามารถแบงได 2 แบบ คือ • ภูมิอากาศแบบพืดนํ้าแข็ง • ภูมิอากาศแบบทุนดรา จากนั้นนําขอมูลมาสรุปรวมกัน นักเรียนควรรู 1 กลุมประเทศสแกนดิเนเวีย อยูยุโรปตอนเหนือ ประกอบดวย เดนมารก สวีเดน นอรเวย ฟนแลนด และไอซแลนด เปนประเทศที่มีสภาพภูมิอากาศ ที่หนาวจัด 2 permafrost พื้นดินที่มีอุณหภูมิตํ่ากวาจุดเยือกแข็งติดตอกันเปนเวลานาน พบมากบริเวณใกลกับขั้วโลกเหนือและใต ความหนาวเย็นจัดของพื้นดินทําให พื้นดินแข็งมาก เมื่อถึงฤดูรอนดินชั้นบนของพื้นที่แบบนี้พืชจะเติบโตได นักเรียนเลือกสืบคนขอมูลเขตภูมิอากาศคนละ 1 เขต ในประเด็น • ชื่อเขตอากาศ บริเวณที่ปรากกฏลักษณะภูมิอากาศแบบนี้ • ลักษณะภูมิอากาศเดน • ลักษณะพืชพรรณธรรมชาติ • สัตวปา • วิถีการดําเนินชีวิตของประชากร สรุปสาระสําคัญ นําเสนอในชั้นเรียนโดยการใชแผนที่ เชน จาก AKSORN WORLD GEOGRAPHY และภาพประกอบสวยงาม ประกอบการนําเสนอ นํา สอน สรุป ประเมิน T84
ขอสอบเนน การคิด พื้นที่สูงหรือบนภูเขามีความกดอากาศที่เบาบาง และ มีอุณหภูมิลดลงตามระดับความสูง 6. ภูมิอากาศแบบที่สูง (H) เป็นลักษณะอากาศบนพื้นที่สูงหรือบนภูเขา เนื่องจากบนที่สูงมีความกดอากาศที่เบาบางลง และมีการลดอุณหภูมิของอากาศตามความสูง ส�าหรับบรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์ สิ่งเปลี่ยนแปลงส�าคัญ คือ การลดอุณหภูมิของอากาศ และ การลดความกดอากาศ ในอัตราการลดของ อุณหภูมิ 6.4 องศาเซลเซียสต่อความสูง 1,000 เมตร เมื่อสูงขึ้นจากระดับทะเลปานกลางอุณหภูมิ ของอากาศจะลดต�่าลง บนเขาสูงจึงมีอากาศเย็น ภูเขาที่สูงมากบนยอดเขามีหิมะปกคลุม การลด ความกดอากาศ ความกดอากาศ ณ ระดับทะเล ปานกลาง 760 มิลลิเมตรปรอท หรือ 1,013.25 มิลลิบาร์ เมื่อสูงขึ้นไปจะมีระดับความกดอากาศ ดังนี้ ตารางแสดงความกดอากาศตามความสูง ความสูง (เมตร) ความกดอากาศ (มิลลิเมตรปรอท) ที่ระดับทะเลปานกลาง 760 300 730 900 680 1,500 630 3,000 530 Geo Tip ความสัมพันธ์ระหว่างภูมิอากาศกับมนุษย์ ภูมิอากาศมีผลโดยตรงกับการด�ารงชีวิตของมนุษย์ หลายประการ เช่น มีผลต่อที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ประชากรที่อาศัยในเขตร้อนชื้นแถบศูนย์สูตรจะใช้ ผ้าเนื้อโปร่งกว่าประชากรที่อยู่ในเขตอากาศหนาวเย็น การสร้างบ้านในเขตร้อนต้องสร้างในลักษณะที่ ให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ขณะเดียวกันต้องใช้กันแสงแดดได้ด้วย ส่วนการสร้างบ้านในเขตหนาวต้อง สร้างในลักษณะที่ให้แสงอาทิตย์ลอดผ่านเข้าได้ และสามารถเก็บความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์ได้ด้วย ในเขตที่สูงความกดอากาศจะต�่า ออกซิเจนน้อย ท�าให้หายใจไม่สะดวก เช่น นักไต่เขาต้อง มีถังออกซิเจนติดตัวขึ้นไปด้วยเสมอเพื่อช่วยในการหายใจ หรือมีใบพืชที่มีคุณสมบัติเป็นยาติดตัว เพื่อใช้เคี้ยวให้มีก�าลัง หรือต้องไต่เขาอย่างช้า ๆ เพราะถ้าไต่เร็วจะหายใจไม่ทัน 83 ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 15. ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเพิ่มเติม เกี่ยวกับภูมิอากาศแบบที่สูง จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 เพิ่มเติม 16. ครูใหนักเรียนใชสมารตโฟนสืบคนภาพ หรือ คลิปวิดีโอเกี่ยวกับพื้นที่ในบริเวณตางๆ ของ โลกที่แสดงถึงภูมิอากาศแบบที่สูงเพิ่มเติมจาก อินเทอรเน็ต จากนั้นนําขอมูลมาสรุปรวมกัน 17. ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเพิ่มเติม เกี่ยวกับ Geo Tip ที่แสดงความสัมพันธ ระหวางภูมิอากาศกับมนุษย จากหนังสือ เรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 ประกอบการสรุป ขอมูลเพิ่มเติม เพราะเหตุใดอุณหภูมิของเขตภูมิอากาศแบบที่สูงจึงแตกตาง กันมาก 1. มีรองความกดอากาศตํ่าพาดผาน 2. บนที่สูงมีศูนยกลางความกดอากาศสูง 3. พื้นที่เปนภูเขาสูง มีอุณหภูมิสูงกวาที่ราบ 4. อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงไปตามระดับความสูง 5. อิทธิพลจากความสูงของพื้นที่ตามระยะละติจูด (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. อุณหภูมิเปลี่ยนไปตามระดับความสูง โดยระดับอุณหภูมิจะลดลงตามระดับความสูง โดยทั่วไปประมาณ 1 องศาเซลเซียส ตอความสูง 180 เมตร หรืออุณหภูมิจะลดลง ประมาณ 6.4 องศาเซลเซียส ตอความสูง 1 กิโลเมตร) เกร็ดแนะครู ครูนําทบทวนเพื่อสรุปความรู การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่สงผลตอ ภูมิอากาศทุกเขต เชน เขตภูมิอากาศเขตรอน มีปาดิบที่อุดมสมบูรณ เชน ปาแอมะซอน ปาดิบลุมแมนํ้าคองโก ปาดิบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต ปจจุบันปาไมลดปริมาณลง ถูกแผวถางเพื่อทําการเกษตร ตัดถนน สงผลให ระบบนิเวศเปลี่ยนแปลง ความอุดมสมบูรณลดลง นํา สอน สรุป ประเมิน T85
5.3 การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่ส่งผลต่อทรัพยากรธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิผิวโลกเป็นปัญหาส�าคัญ และมีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้นในแต่ละพื้นที่ รวมถึงส่งผลกระทบไปทั่วโลก เช่น เกิดคลื่นความ ร้อนเพิ่มขึ้นในพื้นที่ส่วนใหญ่ของทวีปยุโรป เอเชีย และออสเตรเลีย เกิดฝนหรือหิมะตกหนักถี่และ รุนแรงยิ่งขึ้นในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรป การแปรปรวนของฤดูกาลยังก่อให้เกิดภัยพิบัติทาง ธรรมชาติที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ ผลผลิตทางการ เกษตร กระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและเศรษฐกิจโดยรวม 1) การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่ส่งผลต่อทรัพยากรน�้า อุณหภูมิผิวโลกที่สูง ขึ้นท�าให้แผ่นน�้าแข็งและธารน�้าแข็งทั่วโลกละลายลงอย่างรวดเร็ว มีการคาดการณ์ว่าระดับน�้าทะเล จะเพิ่มสูงขึ้นถึง 90 เซนติเมตรในอีกไม่ถึงร้อยปี และหากอุณหภูมิยังคงเพิ่มสูงขึ้น แผ่นน�้าแข็ง ที่กรีนแลนด์และแอนตาร์กติกาจะละลายจนหมด และจะท�าให้ระดับน�้าทะเลเพิ่มสูงขึ้นหลายเมตร การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ มีผลกระทบที่รุนแรงมากต่อทรัพยากรน�้าทั่วโลก เนื่องจากความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ระหว่างภูมิอากาศและวัฏจักรของน�้า การเพิ่มอุณหภูมิของโลกจะ เพิ่มอัตราการระเหยและน�าไปสู่การเพิ่มปริมาณฝนและหิมะ มีผลท�าให้ปริมาณน�้าจืดเพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันความแห้งแล้งเกิดขึ้นบ่อยครั้ง หรือการตกของหิมะมากขึ้นในพื้นที่เขตหนาว รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของกระแสน�้าในมหาสมุทรแปซิฟิก หากลมค้าตะวันออกพัดแรงขึ้นก็จะ ท�าให้ทวีปเอเชียมีฝนตกมากขึ้น เรียกว่า “ลานีญา” แต่ถ้าลมค้าตะวันออกพัดอ่อนลงท�าให้กระแส น�้าอุ่นไหลใกล้ชายฝั่งทวีปอเมริกาใต้มากขึ้นท�าให้ทวีปเอเชียเกิดความแห้งแล้ง เรียกว่า “เอลนีโญ” อากาศเคลื่อนลงมา และความกดอากาศ ท�าให้อากาศแห้ง ลมค้าตะวันออก เฉียงใต้อ่อนก�าลังลง กระแสน�้าอุ่นไหลไป ทางทิศตะวันออก ไปสะสมที่อเมริกาใต้ ความกดอากาศต�่า เคลื่อนออกห่างฝั่ง ตะวันตกมากกว่าปกติ ลมค้าตะวันออกเฉียงใต้ มีก�าลังแรงกว่าปกติ การลอยตัวของมวลน�้าเย็น ท�าให้ลมค้าอ่อนก�าลังลง การลอยตัวของมวลน�้าเย็น ท�าให้ลมค้าอ่อนก�าลังลง พื้นผิวและทาง ชายฝั่งของแปซิฟิก เย็นกว่าปกติ กระแสน�้าอุ่นเคลื่อนตัว ออกจากฝั่งตะวันตก มากกว่าปกติ ความกดอากาศต�่าและ อากาศชื้น ท�าให้เกิด ฝนตกหนัก 84 ท�าให้ทวีปเอเชียมีฝนตกมากขึ้น เรียกว่า “ลานีญา” แต่ถ้าลมค้าตะวันออกพัดอ่อนลงท�าให้กระแส น�้าอุ่นไหลใกล้ชายฝั่งทวีปอเมริกาใต้มากขึ้นท�าให้ทวีปเอเชียเกิดความแห้งแล้ง เรียกว่า “เอลนีโญ” 1 2 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 18. ครูใหนักเรียนกลุมที่ื 3 ที่ทําการศึกษาและ สืบคนขอมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทาง กายภาพที่สงผลตอทรัพยากรธรรมชาติ ออกมานําเสนอผลการศึกษาคนควาที่หนา ชั้นเรียน โดยมีแผนที่ หรือเครื่องมือทาง ภูมิศาสตรอื่นๆ ประกอบการนําเสนอ 19. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเพิ่มเติม เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่สงผล ตอทรัพยากรธรรมชาติ แลวครูตั้งคําถามให นักเรียนชวยกันตอบ เชน • ผลกระทบของปรากฏการณลานีญา แตกตางจากเอลนีโญอยางไร (แนวตอบ ทําใหสภาพภูมิอากาศในบริเวณ โดยรอบมหาสมุทรแปซิฟกรุนแรง หรือ ยาวนานขึ้น กลาวคือ มีฝนตกหนัก หรือ ตกอยางยาวนาน สวนฤดูรอนมีอากาศ รอนและแหงแลงมากขึ้น เชน ในประเทศ ฟลิปปนส อินโดนีเซีย มีฝนตกหนักและ ยาวนาน อาจกอใหเกิดนํ้าทวมฉับพลัน สวนทางตะวันตกของสหรัฐอเมริกามีความ แหงแลงยาวนานกวาปกติ อยางไรก็ตาม ผลของปรากฏการณลานีญาสงผลตอ บริเวณที่หางไกลอยางทวีปแอฟริกา เชนเดียวกับปรากฏการณเอลนีโญ) นักเรียนควรรู 1 ลานีญา เปนปรากฏการณตรงขามกับเอลนีโญ คือ กระแสลมคา ตะวันออกเฉียงใตที่พัดไปทางทิศตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟกมีกําลังแรง ทําใหระดับนํ้าทะเลทางซีกตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟกสูงกวาสภาวะปกติ ลมคายกตัวเหนือประเทศอินโดนีเซีย ทําใหเกิดฝนตกหนัก แตบริเวณชายฝง ประเทศเปรู นํ้าเย็นใตมหาสมุทรยกตัวขึ้นแทนที่กระแสนํ้าอุนบริเวณชายฝง มหาสมุทรแปซิฟกทางซีกตะวันออก ทําใหเกิดธาตุอาหารและฝูงปลาชุกชุม 2 เอลนีโญ เมื่อเกิดปรากฏการณเอลนีโญ ทําใหฝนตกหนักในตอนเหนือ ของทวีปอเมริกาใตแตก็ทําใหเกิดความแหงแลงในเอเชียตะวันออกเฉียงใตและ ออสเตรเลียตอนเหนือ ทําใหเกิดไฟไหมปาอยางรุนแรงในประเทศอินโดนีเซีย ในบางป ครูตั้งประเด็นคําถามใหนักเรียน รวมกันอภิปรายวา การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพสงผลตอทรัพยากรธรามชาติใน ดานใดบาง และสงผลตอการดําเนินชีวิตประจําวันของเราอยางไร รวมถึงมีแนวทางปองกันหรือรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทาง กายภาพที่สงผลตอทรัพยากรธรรมชาติอยางไร นํา สอน สรุป ประเมิน T86
2) การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่ส่งผลต่อทรัพยากรดิน ดินเกิดขึ้นตาม ธรรมชาติจากการสลายตัวของหินและแร่ และการสลายตัวของสารอินทรีย์ วัตถุต้นก�าเนิดดินสลาย ตัวจากหินและแร่ ส่วนสารอินทรีย์สลายตัวได้ฮิวมัส จากนั้นวัตถุต้นก�าเนิดดินผสมกับฮิวมัส โดยมีพืชและสัตว์ช่วยให้กลายเป็นดิน ขั้นตอนของกระบวนการสร้างดินมี 2 ขั้นตอน คือ กระบวนการ สลายตัว คือ กระบวนการสลายตัวผุพังของหิน แร่ ซากพืช ซากสัตว์ ได้วัตถุต้นก�าเนิดดิน และ ฮิวมัส ตามล�าดับ และกระบวนการสร้างดิน คือ กระบวนการผสมคลุกเคล้าระหว่างวัตถุต้นก�าเนิดดิน กับฮิวมัส โดยมีพืชและสัตว์ต่าง ๆ ช่วย และบางครั้งเหตุการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ลม ฝน ก็ช่วย ท�าให้เกิดดินได้ ดินมีองค์ประกอบหลายประการที่ท�าให้วัตถุต้นก�าเนิดดินพัฒนากลายเป็นดิน ขึ้นมา ดินบางชนิดจะมีกระบวนการเกิดอยู่กับที่แต่บางชนิดจะเกิดจากกระบวนการเคลื่อนที่จาก ที่หนึ่งไปตกตะกอนทับถมอยู่อีกที่หนึ่ง ดินเกิดขึ้นได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยส�าคัญที่มีอิทธิพลต่อการก�าเนิด ดังนี้ 2.1) วัตถุต้นก�าเนิดดิน (parent material) ดินมีต้นก�าเนิดหลัก คือ หิน เมื่อหิน ชนิดต่าง ๆ แตกออกมาแร่ธาตุที่อยู่ในเนื้อหินก็จะมีการเปลี่ยนแปลง ท�าให้คอลลอยด์ของแร่ธาตุ ต่าง ๆ มีขนาดเล็ก ดินที่เกิดขึ้นใหม่เนื้อของดินจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับหินดานหรือวัตถุก�าเนิด ดินมากที่สุด แต่เมื่อระยะเวลาในการพัฒนาดินยาวนานขึ้น ดินอาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพ ของภูมิอากาศหรือปัจจัยด้านอื่น ๆ ได้ 2.2) ลักษณะภูมิประเทศ (landform) ลักษณะภูมิประเทศที่มีความลาดชันชั้นของ ดินที่ปรากฏอยู่จะบางมาก เพราะการชะพาของน�้าไหลกระท�าได้สะดวก ในบริเวณที่ราบการไหล ของน�้าจะช้าเป็นผลให้การชะพาของดินท�าได้ยาก ชั้นของดินจึงหนา บริเวณที่เป็นแอ่งหรือที่ลุ่ม ต�่าชั้นดินจะหนา เนื่องจากน�้าได้พัดพาเอาตะกอนจากบริเวณมาทับถมไว้ 2.3) เวลา (time) เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการก�าเนิดและพัฒนาดินอย่างหนึ่ง นับตั้งแต่การสลายตัวผุพังมาจากวัตถุต้นก�าเนิดดิน กว่าจะพัฒนาถึงขั้นสมบูรณ์ต้องใช้เวลา ยาวนาน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะด�าเนินไปอย่างต่อเนื่อง ดินที่เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ จะ เป็นดินใหม่ อย่างไรก็ตาม การก�าหนดระยะเวลาที่แน่นอนในการพัฒนาของดินถึงขั้นสมบูรณ์แบบ (maturity) เป็นเรื่องยากเพราะยังมีองค์ประกอบอื่นอีกหลายอย่างที่มาเกี่ยวข้อง ดินในเขต ภูมิอากาศชุ่มชื้นและพื้นที่เป็นทรายกว่าจะพัฒนาถึงขั้นสมบูรณ์แบบ ต้องใช้เวลาประมาณ 100 - 200 ปี 85 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม • ลักษณะและคุณสมบัติของดินในบริเวณ ตางๆ ของโลกแตกตางกันจากปจจัยใดบาง (แนวตอบ ปจจัยที่มีผลตอลักษณะและ คุณสมบัติของดินในบริเวณตางๆ ของโลก ไดแก ชนิดของวัตถุตนกําเนิด ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ สิ่งมีชีวิตในดิน รวมถึงระยะเวลา การเกิดของดิน) • โดยปกติทรัพยากรดินที่มีสวนประกอบที่ เหมาะสม จะประกอบดวยสิ่งใดบาง (แนวตอบ ประกอบดวยอนินทรียวัตถุ รอยละ 45 อินทรียวัตถุ รอยละ 5 นํ้า รอยละ 25 และอากาศ รอยละ 25) เกร็ดแนะครู ครูนําสนทนาเกี่ยวกับการใชดินในประเทศไทย แหลงเพาะปลูกสําคัญของ ประเทศ พืชเศรษฐกิจสําคัญ เชน ขาว ยางพารา ปาลมนํ้ามัน ผลไม มันสําปะหลัง แหลงเพาะปลูกกระจายทุกภาคของประเทศ ครูตั้งประเด็นอภิปราย เชน • สถานการณการใชดินในประเทศไทยเหมาะสมหรือไม อยางไร • เพื่อใหดินคงความอุดมสมบูรณ เกษตรกรควรมีหลักในการใชพื้นที่ อยางไร • การเกิดภัยธรรมชาติ เชน แผนดินถลม นํ้าทวม สงผลกระทบตอความ อุดมสมบูรณของดินอยางไร และควรฟนฟูอยางไรเพื่อใหดินมีความอุดมสมบูรณ นักเรียนเลือกศึกษาลักษณะของดินจากสถานที่ 1 แหง แลวอธิบายวาดินที่ศึกษามาจากพื้นดินที่ใด มีลักษณะเดนหรือ คุณสมบัติอยางไร และมีปจจัยใดบางที่สงผลตอลักษณะของดิน ที่ทําการศึกษา นํา สอน สรุป ประเมิน T87
2.4) ลักษณะภูมิอากาศ (climate) มีความส�าคัญต่อการก�าเนิดและพัฒนาของ ดินมากที่สุด องค์ประกอบทางภูมิอากาศที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับดิน ได้แก่ 1. ปริมาณฝน ความชื้นที่ได้รับจากน�้าฝนท�าให้เกิดกระบวนการทางเคมี ซึ่ง กระบวนการดังกล่าวท�าให้หินและแร่ธาตุสลายตัวกลายเป็นดินได้ โดยง่าย ส่วนดินที่เกิดแล้วจะ เปลี่ยนแปลงต่อไป 2. อุณหภูมิ เป็นองค์ประกอบทางภูมิอากาศที่มีอิทธิพลต่อการเกิดและพัฒนา ดิน 2 ประการ คือ การเกิดปฏิกิริยาทางเคมีของดิน กล่าวคือ ในเขตภูมิอากาศร้อนการกระท�าทาง เคมีของดินจะมากกว่าในเขตภูมิอากาศอบอุ่นหรือเขตเย็น แต่จะไม่เกิดขึ้นเลยในเขตภูมิอากาศ หนาวจัดที่พื้นดินปกคลุมด้วยน�้าแข็ง การกระท�าของแบคทีเรียจะอยู่ในอัตราที่สูงในดินที่มีอุณหภูมิ สูงในเขตภูมิอากาศร้อนชื้น แบคทีเรียจะบริโภคซากพืช ซากสัตว์ ที่เน่าเป่อยผุพังอยู่ในดิน เกือบหมด จึงท�าให้เหลือปริมาณขุยอินทรีย์ในดินอยู่ในเกณฑ์ต�่า ส่วนเขตภูมิอากาศอบอุ่นแบคทีเรีย จะลดน้อยลงจึงท�าให้ซากพืช ซากสัตว์มีโอกาสสะสมอยู่ในดินมากขึ้น ดินจึงค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ มากกว่าในเขตร้อน 3. ลม เป็นตัวการช่วยท�าให้อัตราการระเหยของน�้าและความชื้นในดินเพิ่มขึ้น และขณะเดียวกันก็จะพัดพาเอาหน้าดินไป นอกจากนี้ ลมยังช่วยท�าให้วัตถุต้นก�าเนิดดินแตกออก และพัฒนาเป็นดินในล�าดับต่อไป 2.5) ปจจัยด้านชีววิทยา ทั้งพืชและสัตว์จะมีอิทธิพลต่อการพัฒนาดินอย่างมาก พืชที่ขึ้นปกคลุมพื้นดินเมื่อตายไปช่วยเพิ่มขุยอินทรีย์ในดิน อินทรีย์ในดินช่วยดักจับประจุไฟฟ้า เช่นเดียวกับแร่ธาตุชนิดอื่น ๆ การพัฒนาขุยอินทรีย์เกิดจากกระบวนการออกซิเดชันขึ้นกับซากพืช และซากสัตว์อย่างช้า ๆ เมื่อความชื้นเข้าเกี่ยวข้องกลายเป็นกรดอย่างอ่อน ๆ เรียกว่า “กรดอินทรีย์” กรดดังกล่าวช่วยในการสลายวัตถุต้นก�าเนิดดินให้กลายเป็นดินต่อไป ส�าหรับอิทธิพลของสัตว์ และพืชที่มีต่อการพัฒนาดิน มีผลท�าให้โครงสร้างของดินเปลี่ยนแปลงไป เช่น ไส้เดือนช่วยท�าให้ ดินร่วนซุย ดินร่วนซุยที่มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเจริญเติบโตของพืช 86 กิจกรรม ทาทาย และขณะเดียวกันก็จะพัดพาเอาหน้าดินไป นอกจากนี้ ลมยังช่วยท�าให้วัตถุต้นก�าเนิดดินแตกออก 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม • อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นสงผลใหเกิดการ เปลี่ยนแปลงของดินอยางไร (แนวตอบ เมื่ออุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น จะทําให แบคทีเรียที่อาศัยอยูในดินเจริญเติบโตไดดี เนื่องจากสามารถบริโภคซากพืช ซากสัตว ที่เนาเปอยผุพังอยูในดินเกือบหมด ทําให ดินมีปริมาณขุยอินทรียอยูในเกณฑตํ่า เชน ดินในเขตภูมิอากาศรอนชื้น สงผลใหดิน มีความอุดมสมบูรณนอยกวาในบริเวณ เขตภูมิอากาศอบอุนซึ่งมีจํานวนแบคทีเรีย ในดินนอยกวา) นักเรียนสืบคนขอมูลเกี่ยวกับการอนุรักษและฟนฟูสภาพดิน จากแหลงเรียนรูตางๆ จากนั้นใหนักเรียนเขียนสรุปความรู แลวนํามาอภิปรายหนาชั้นเรียน เกร็ดแนะครู ครูควรนําตัวอยางดินลักษณะตางๆ เชน ดินรวน ดินเหนียว ดินทราย มาแสดงใหนักเรียนเห็น พรอมอธิบายเชื่อมโยงกับปจจัยดานตางๆ ที่ทําใหดิน มีความแตกตางกัน และอธิบายเพิ่มเติมถึงคุณสมบัติและการนําดินแตละชนิด ไปใชใหเกิดประโยชน นักเรียนควรรู 1 วัตถุตนกําเนิดดิน ไดแก หินพื้น (parent rock) อินทรียวัตถุ ผิวดินดั้งเดิม หรือชั้นหินตะกอนที่เกิดจากการพัดของนํ้า ลม ธารนํ้าแข็ง ภูเขาไฟ หรือวัตถุที่ เคลื่อนที่ลงมาจากพื้นที่ลาดชัน นํา สอน สรุป ประเมิน T88
ลานหิน และมอสส และไลเคน วัชพืช ลมลุก และหญา ไมยืนตน ไมโตเร็ว ตนไมใหญ ปาสมบูรณ ไมพุม ขั้นแรก ขั้นสอง ขั้นสาม ขั้นสุดทาย ระยะเวลา 3) การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่ส่งผลต่อทรัพยากรพืชพรรณ มีสาเหตุ ส�าคัญพอสรุปได้ 4 ประการ ได้แก่ 1. ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา อาจท�าให้เกิดธารน�้าแข็ง ภูเขาไฟปะทุ แผ่นดินไหว และสึนามิ ล้วนเป็นสาเหตุให้ดุลธรรมชาติในกลุ่มสิ่งมีชีวิตเสียไป 2. ปัจจัยจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศอย่างรุนแรง ท�าให้เกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ท�าให้สภาพแวดล้อมแปรเปลี่ยนไป สิ่งมีชีวิตถูกท�าลายไปแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงแทนที่ขึ้นใหม่ 3. ปัจจัยจากการกระท�าของมนุษย์ ได้แก่ การตัดไม้ท�าลายป่า การท�าไร่เลื่อนลอย ภาวะมลพิษที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม การสร้างเขื่อนหรือฝายกั้นน�้า และอื่น ๆ มีผลท�าให้ สภาพแวดล้อมแปรเปลี่ยนไป ดุลธรรมชาติถูกท�าลาย เกิดโรคระบาด แมลงศัตรูพืชระบาด ท�าให้ สิ่งมีชีวิตล้มตาย จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงแทนที่ของกลุ่มสิ่งมีชีวิตขึ้นใหม่อีก 4. ปฏิกิริยาของสิ่งมีชีวิตที่มีต่อแหล่งที่อยู่อาศัย เพราะกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ ท�าให้สิ่งแวดล้อมบริเวณนั้น เช่น อุณหภูมิ ความเข้มข้นของแสง ความชื้น ความเป็นกรด ด่าง ของพื้นดินหรือแหล่งน�้า และอื่น ๆ เปลี่ยนไปทีละเล็กละน้อย จนในที่สุดไม่เหมาะสมต่อสิ่งมีชีวิต กลุ่มเดิม เกิดการเปลี่ยนแปลงแทนที่โดยกลุ่มสิ่งมีชีวิตใหม่ที่เหมาะสมกว่า การแทนที่ของสิ่งมีชีวิต เป็นการเปลี่ยนแปลงของชนิดหรือชุมชนในระบบนิเวศ ตามกาลเวลา การเปลี่ยนแปลงแทนที่แบ่งได้ 2 ประเภท ดังนี้ 1. การเปลี่ยนแปลงแทนที่ขั้นปฐมภูมิ (primary succession) คือ การ เปลี่ยนแปลงแทนที่ในพื้นที่ที่ไม่เคยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่มาก่อนเลย ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ การแทนที่บนพื้นที่ว่างเปล่าบนบก มี 2 ลักษณะ คือ การเกิดแทนที่บนก้อนหินที่ว่างเปล่า เริ่มจาก ขั้นแรก เกิดสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว เช่น สาหร่ายสีเขียวหรือไลเคนบนก้อนหินนั้น ต่อมาหินเริ่ม สึกกร่อน เนื่องจากความชื้นและสิ่งมีชีวิตบนก้อนหินนั้น จากการสึกกร่อนท�าให้เกิดอนุภาคเล็ก ๆ ของดิน ทราย และเจือปนด้วยสารอินทรีย์ของซากสิ่งมีชีวิตที่สะสมเพิ่มขึ้น จากนั้นจึงเกิดพืช จ�าพวกมอสส์ตามมา ขั้นที่สอง พืชที่เกิดต่อมาเป็นพวกหญ้าและพืชล้มลุก มอสส์จะหายไป ขั้นที่สาม เกิดไม้พุ่มและต้นไม้เข้ามาแทนที่ ไม้ยืนต้นในระยะแรกเป็นไม้โตเร็ว ชอบแสงแดด พืชเล็ก ๆ ค่อย ๆ หายไปเนื่องจากถูกบดบังแสงแดดจากต้นไม้ที่โตกว่า และขั้นสุดท้าย เป็นขั้นชุมชนสมบูรณ์ เป็นชุมชนของกลุ่มมีชีวิต ที่เติบโตสมบูรณ์แบบ มีลักษณะคงที่ มีความสมดุลในระบบ คือ ต้นไม้ได้วิวัฒนาการไปเป็นไม้ ใหญ่ และมีสภาพเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ ภาพแสดงการเปลี่ยนแปลงแทนที่ขั้นปฐมภูมิ 87 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 20. สมาชิกแตละกลุมรวมกันทําใบงานที่ 2.5 เรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่สงผล ตอภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และทรัพยากร ธรรมชาติ เฉลยและอภิปรายสรุปรวมกัน 21. นักเรียนทําแบบฝกสมรรถนะฯ ภูมิศาสตร ม.4-6 เรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ที่สงผลตอภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และ ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อทดสอบความรู เพิ่มเติม 22. นักเรียนในชั้นเรียนรวมกันสรุปเกี่ยวกับการใช เครื่องมือทางภูมิศาสตร และเครื่องมือดาน เทคโนโลยีในการสืบคนการเปลี่ยนแปลงทาง กายภาพที่สงผลตอภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และทรัพยากรธรรมชาติ และรวมกันสรุป สาระสําคัญเพื่อตอบคําถามเชิงภูมิศาสตร นักเรียนสืบคนพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงจากสาเหตุตางๆ เชน ภัยพิบัติ การบุกรุกพื้นที่เพื่อทําการเกษตร การตัดถนน การสรางเขื่อน 1 แหง แลววิเคราะหในประเด็น • สภาพพื้นที่ปจจุบัน • สาเหตุการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ • ผลกระทบตอมนุษยและสิ่งแวดลอม • การฟนฟูและแกไขปญหา เกร็ดแนะครู ครูอาจจัดกิจกรรมใหนักเรียนแบงกลุม จับสลาก เลือกสาเหตุที่กอใหเกิด การเปลี่ยนแปลงที่สงผลตอทรัพยากรพืชพรรณ แลวรวมกันสรางแบบจําลอง ที่แสดงใหเห็นถึงสาเหตุและผลกระทบที่จะเกิดขึ้น โดยคนควาขอมูลจาก แหลงการเรียนรูอื่นประกอบกับขอมูลในหนังสือเรียน นํา สอน สรุป ประเมิน T89
ขั้นแรก 1-4 ป พื้นที่รกราง จากไฟปา วัชพืช เมล็ดพันธุ หญา พืชลมลุก ไมพุมและ ไมยืนตนโตเร็ว ขั้นสอง 5-150 ป ขั้นสุดทาย 150 ปขึ้นไป ระยะเวลา ไมยืนตนขนาดใหญ พืชดั้งเดิม พืชทองถิ�น แพลงกตอน สาหรายเซลลเดียว สาหราย ปลากินพืช หอย อินทรียสารทับถม ตนกก ออ กบ กุง อินทรียสารทับถมมาก สระตื้นเขินในหนาแลง สระตื้นจนกลายสภาพ เปนพื้นดินและปา ขั้นแรก ขั้นสอง ขั้นสาม ขั้นสี่ ขั้นสุดทาย ระยะเวลา การเปลี่ยนแปลงแทนที่ในแหล่งน�้า ขั้นแรก บริเวณพื้นก้นสระ สิ่งมีชีวิต ที่เกิดขึ้นระยะแรก เช่น แพลงก์ตอน สาหร่ายเซลล์เดียว ขั้นที่สอง เกิดการสะสมสารอินทรีย์ขึ้น จากนั้นเริ่มเกิดพืชใต้น�้าประเภทสาหร่าย และสัตว์เล็ก ๆ เช่น ปลากินพืช หอย ตัวอ่อนของแมลง ขั้นที่สาม มีอินทรียสารทับถมเพิ่มมากขึ้น เกิดพืชมีใบโผล่พ้นน�้า เช่น กก พง อ้อ จากนั้นเกิดสัตว์ จ�าพวกหอยโข่ง กบ เขียด กุ้ง และวิวัฒนาการมาจนถึงที่มีสัตว์มากชนิดขึ้น ปริมาณออกซิเจน ถูกใช้มากขึ้น ขั้นที่สี่ อินทรียสารที่สะสมอยู่ที่บริเวณก้นสระจะเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่สระตื้นเขินใน หน้าแล้ง เกิดต้นหญ้า ขั้นสุดท้าย เป็นชั้นชุมชนสมบูรณ์ สระน�้านั้นจะตื้นเขินจนกลายสภาพเป็น พื้นดิน ท�าให้เกิดการแทนที่พืชบกและสัตว์บก และวิวัฒนาการจนกลายเป็นป่าไปได้ในที่สุด 2. การเปลี่ยนแปลงแทนที่ขั้นทุติยภูมิ (secondary succession) เป็นการ เปลี่ยนแปลงในพื้นที่ที่เคยมีสิ่งมีชีวิตอยู่ก่อนแล้ว แต่ถูกท�าลายหรือรบกวนถิ่นที่อยู่ เช่น ในพื้นที่ ที่พืชถูกก�าจัดและการถูกท�าลายโดยภัยธรรมชาติ เช่น ไฟป่า การเปลี่ยนแปลงขั้นทุติยภูมิมัก ฟนตัวได้รวดเร็วกว่าการเปลี่ยนแปลงขั้นปฐมภูมิ เนื่องจากเมล็ดพันธุ์ยังคงหลงเหลือสะสมอยู่ในดิน รากในดินไม่ถูกท�าลาย ตอไม้และส่วนอื่น ๆ ที่ถูกท�าลายสามารถฟนตัวได้รวดเร็ว โครงสร้างดิน สามารถเปลี่ยนแปลงและฟนตัวจากการโดนท�าลายได้ ท�าให้พืชพันธุ์เจริญเติบโตได้ดีขึ้น ภาพแสดงการเปลี่ยนแปลงแทนที่ขั้นทุติยภูมิ ภาพแสดงการเปลี่ยนแปลงแทนที่ในแหล่งน�้า 88 ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 23. ใหนักเรียนทําชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) การจัดปายนิเทศแสดงผลการสืบคนขอมูล เรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของโลก 24. นักเรียนทําแบบวัดฯ ภูมิศาสตร ม.4-6 เรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่สงผล ตอภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และทรัพยากร ธรรมชาติ เพื่อทดสอบความรูที่ไดศึกษามา ขั้นสรุป ครูและนักเรียนรวมกันสรุปความรู หรือใช PPT สรุปสาระสําคัญ ขั้นประเมิน 1. ครูประเมินผลโดยสังเกตจากการตอบคําถาม การรวมกันทํางาน และการนําเสนอผลงาน หนาชั้นเรียน 2. ครูตรวจสอบผลจากการทําใบงาน แบบวัดฯ และแบบฝกสมรรถนะฯ ภูมิศาสตร ม.4-6 3. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียน หนวยการเรียนรูที่ 2 เรื่อง การเปลี่ยนแปลง ทางกายภาพของโลก คําชี้แจง อานขอความ แลวเขียนแสดงการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพลงในแผนที่ โดยใชกระบวนการภูมิศาสตรใหถูกตอง Activity Geo- Literacy กิจกรรมที่ 2 Pskn. ในอนาคตอันใกลเกิดภาวะโลกรอนรุนแรงมาก สงผลใหระดับนํ้าทะเลเพิ่มสูงขึ้น 100 เมตร ลักษณะ ทางภายภาพของผิวโลกเปลี่ยนแปลงไปมาก นักภูมิศาสตรตองทําการศึกษาภูมิศาสตรของโลกใหมอีกครั้ง สวน ในประเทศไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพโดยหลายพื้นที่ถูกนํ้าทะเลทวม นักเรียนคิดวาภูมิประเทศของ ประเทศไทยจะเปนเชนไร พื้นที่ใดจะเหมาะสมตอการตั้งถิ่นฐาน Geo Skill • การแปลความขอมูลทางภูมิศาสตร • การคิดเชิงพื้นที่ ส 5.1 ม.4-6/1 ฉบับ เฉลย Pskn. ไดรับความชุมชื้นมากขึ้น เน��องจากอยูติดทะเล ถูกน้ำทะเล ทวมทั้งหมด ที่ราบชายฝงทะเล เกาะคาดามอน เกาะมลายู เกาะนครศรีธรรมราช เกาะสุราษฎรธาน� ทิวเขา แนวเหน�อใต ที่ราบอีสานใหญ กรุงโคราช ผาริมทะเล ºÃÔàdzÀÒ¤µÐÇѹÍÍ¡- à©Õ§à˹×Í ÀÒ¤à˹×Í ÀÒ¤µÐÇѹµ¡ ·ÕèÃÒºÃÐËNjҧ ËØºà¢Ò ·ÕèÃÒºã¹á¼‹¹´Ô¹à´ÔÁ ¡ÅÒÂ໚¹¾×é¹·Õè »ÅÍ´ÀÑ ÁÕ·ÕèÃÒºÁÕÅØ‹Á¹íéÒ ä´ŒÃѺ¤ÇÒÁª×鹨ҡ·ÐàÅÁÒ¡¢Öé¹ ¾×é¹·ÕèºÃÔàdzÀÒ¤¡ÅÒ§µÍ¹º¹¨¹¶Ö§ÀҤ㵌 ÃÇÁ¶Ö§ºÃÔàdzÀÒ¤µÐÇѹÍÍ¡¨ÐËÒÂä»à¾ÃÒж١ ¹íéÒ·‹ÇÁ ฉบับ เฉลย (แนวตอบ) 28 แบบวัดฯ พื้นที่เหมาะสมต่อการตั้งถิ่นฐาน ไดแก ........................................................... ............................................................................ ............................................................................ ............................................................................ เพราะ ......................................................... ............................................................................ ............................................................................ การเปลี่ยนแปลงทางภูมิประเทศ ....................................................................................................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................................................................................................... อาวไทย แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถวัดและประเมินความเขาใจเนื้อหา เรื่อง การเปลี่ยนแปลงทาง กายภาพที่สงผลตอภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และทรัพยากรธรรมชาติ ไดจาก การตอบคําถาม การรวมกันทํางาน และการนําเสนอผลงานหนาชั้นเรียน โดยศึกษา เกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินการนําเสนอผลงานที่แนบมาทาย แผนการจัดการเรียนรูหนวยที่ 2 เรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของโลก แบบประเมินการน าเสนอผลงาน ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินผลการน าเสนอผลงานของนักเรียนตามรายการ แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/................./................ เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 12 - 15 ดี 8 - 11 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง ล าดับที่ รายการประเมินระดับคะแนน 3 2 1 1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 การล าดับขั้นตอนของเรื่อง 3 วิธีการน าเสนอผลงานอย่างสร้างสรรค์ 4 การใช้เทคโนโลยีในการน าเสนอ 5 การมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม รวม กิจกรรม 21st Century Skills นักเรียนสืบคนขาวที่เกี่ยวของกับการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ของโลก จากนั้นวิเคราะหถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากขาว ผาน การตั้งคําถาม หรือสถานการณ แลวอภิปรายคําตอบ พรอมทั้งเสนอ แนะขอคิดเห็นรวมกัน เชน “เรามักไดยินขาวการเกิดไฟปาทางตะวันตกของสหรัฐอเมริกา แถบรัฐแคลิฟอรเนียอยูบอยๆ ที่พื้นที่ไดรับความเสียหายจาก ไฟไหม” นักเรียนคาดวาจะมีการเปลี่ยนแปลงแทนที่ของพืช ชนิดใดเกิดขึ้นบาง (แนวตอบ เมื่อเกิดไฟไหม ปาที่ถูกทําลายไมมากหรือเพิ่งถูก ทําลายจะเหลือกลาไมและเมล็ดอยูในดินจํานวนหนึ่งไวเปนตนทุน ในการฟนฟู เมื่อเวลาผานไป จะเกิดการฟนฟูตัวเองโดยผาน กระบวนการเปลี่ยนแปลงแทนที่ จากขั้นแรก จะมีพืชจําพวก มอสส หญา วัชพืช ขั้นที่สอง มีพืชตระกูลไมพุม ไมลมลุก ขั้นที่สาม มีพืชยืนตนขนาดเล็ก และขั้นสุดทาย พืชดั้งเดิม ไมยืนตน) นํา สอน สรุป ประเมิน T90
ค�าถามเนนการคิด กิจกรรมพัฒนาทักษะ 1. กระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลก ท�าให้ลักษณะทางกายภาพเปลี่ยนแปลงอย่างไร อธิบาย พร้อมยกตัวอย่างประกอบ 2. บรรยากาศมีความส�าคัญต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกอย่างไร 3. ปรากฏการณ์เรือนกระจกมีผลอย่างไรต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก แก้ไขได้อย่างไร 4. การไหลเวียนของกระแสน�้าพื้นผิวในมหาสมุทรมีความส�าคัญต่อมนุษย์อย่างไร 5. การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพมีผลต่อทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างไรบ้าง อธิบายพร้อมยก ตัวอย่างประกอบ 1. กระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลก ท�าให้ลักษณะทางกายภาพเปลี่ยนแปลงอย่างไร อธิบาย 2. บรรยากาศมีความส�าคัญต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกอย่างไร 3. ปรากฏการณ์เรือนกระจกมีผลอย่างไรต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก แก้ไขได้อย่างไร 4. การไหลเวียนของกระแสน�้าพื้นผิวในมหาสมุทรมีความส�าคัญต่อมนุษย์อย่างไร 5. การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพมีผลต่อทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างไรบ้าง อธิบายพร้อมยก 1. ศึกษาปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สนใจของประเทศไทยและต่างประเทศ เช่น แผ่นดินไหว ของประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่น ในประเด็นต่อไปนี้ • ความเหมือนและความแตกต่างของปรากฏการณ์ • สาเหตุของความแตกต่างของปรากฏการณ์ 2. เลือกสืบค้นข้อมูลปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงทางด้านธรณีภาค บรรยากาศภาค อุทกภาค และชีวภาคของโลกหรือของประเทศไทย 1 ปรากฏการณ์ ในประเด็นต่อไปนี้ • สาเหตุและปัจจัยการเปลี่ยนแปลง • ผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม • ผลกระทบต่อมนุษย์ 3. ร่วมกันอภิปรายและวิเคราะห์ถึงการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในปัจจุบันว่ามีสาเหตุมาจากอะไร มีผลกระทบอย่างไร และมีวิธีการป้องกันอย่างไร 1. ศึกษาปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สนใจของประเทศไทยและต่างประเทศ เช่น แผ่นดินไหว 2. เลือกสืบค้นข้อมูลปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงทางด้านธรณีภาค บรรยากาศภาค อุทกภาค 3. ร่วมกันอภิปรายและวิเคราะห์ถึงการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในปัจจุบันว่ามีสาเหตุมาจากอะไร 89 เฉลย คําถามเนนการคิด 1. กระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลกทําให เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เชน ทําให เกิดแผนดินไหว ซึ่งเปนการสั่นสะเทือนของ เปลือกโลกที่เกิดจากการปรับตัวใหสมดุล ของแผนเปลือกโลก เปนการปลอยพลังงาน ความเครียดที่สะสมออกมาอยางรวดเร็วจาก การเคลื่อนที่ของรอยเลื่อนใตเปลือกโลก 2. ความสําคัญของบรรยากาศ เชน ทําให เกิดปรากฏการณทางลมฟาอากาศ อากาศ ใกลผิวโลกชั้นโทรโพสเฟยร มีไอนํ้ามาก ทําใหเกิดปรากฏการณทางลม ฟา อากาศ เชน ลมพายุ เมฆ ฝน มีความสําคัญตอ เกษตรกรรม ธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ทําให มีแกสออกซิเจนเพียงพอตอการหายใจ มีแกส คารบอนไดออกไซดซึ่งมีมากในบรรยากาศ ชั้นลางสุดใชในการสังเคราะหดวยแสงของพืช ซึ่งเปนแหลงอาหารสําคัญของมนุษยและสัตว 3. ผลกระทบจากปรากฏการณเรือนกระจก เชน เกิดภาวะโลกรอนสงผลกระทบตอปริมาณ ฝนมาก และแลง อุณหภูมิสูงขึ้น ทําใหแหลง อาหารลดลง สงผลตอสุขภาพมนุษยจาก อากาศที่รอนขึ้น เกิดการแพรของโรคระบาด 4. การไหลเวียนของกระแสนํ้าในมหาสมุทรมี ความสําคัญ เชน สงผลตออุณหภูมิของอากาศ บนผืนดิน เนื่องจากอากาศเหนือกระแสนํ้าอุน จะอุน อากาศเหนือกระแสนํ้าเย็นจะเย็น ทําให อุณหภูมิของอากาศบนผืนดินเปลี่ยนแปลงไป ตามอุณหภูมิของกระแสนํ้า เชน กระแสนํ้า อุนแอตแลนติกเหนือที่ไหลเลียบฝงตะวันตก ของทวีปยุโรปจะทําใหในฤดูหนาวอากาศจะ ไมหนาวจัด 5. การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่สงผลตอ ทรัพยากรธรรมชาติ เชน การที่อุณหภูมิผิวโลก สูงขึ้น ทําใหนํ้าแข็งขั้วโลกละลายเร็วขึ้น สงผลใหระดับนํ้าทะเลสูงขึ้น เฉลย แนวทางประเมินกิจกรรมพัฒนาทักษะ ประเมินความรอบรู • ใชในการประเมินความรอบรูในหลักการพื้นฐาน กระบวนการความสัมพันธของขั้นตอนการปฏิบัติงาน รวมถึงทักษะการคิดในเรื่องตางๆ โดยทั่วไป งานหรือชิ้นงานใชเวลาไมนาน งานสําหรับประเมินรูปแบบนี้อาจเปนคําถามปลายเปดหรือผังมโนทัศน นิยมสําหรับประเมินผูเรียนรายบุคคล ประเมินความสามารถ • เชน ความคลองแคลวในการใชเครื่องมือทางภูมิศาสตร การแปลความหมายขอมูล ทักษะการตัดสินใจ ทักษะการแกปญหา งานหรือชิ้นงานจะสะทอนถึง ทักษะและระดับความสามารถในการนําความรูไปใช อาจเปนการประเมินการเขียน ประเมินกระบวนการทํางานทางภูมิศาสตรตางๆ หรือการวิเคราะห และการแกปญหา ประเมินทักษะ • มีเปาหมายหลายประการ ผูเรียนไดแสดงทักษะ ความสามารถทางภูมิศาสตรตางๆ ที่ซับซอนขึ้น งานหรือชิ้นงานมักเปนโครงงานระยะยาว ซึ่งผูเรียน ตองมีการนําเสนอผลการปฏิบัติงานตอผูเกี่ยวของหรือตอสาธารณะ สิ่งที่ตองคํานึงถึงในการประเมิน คือ จํานวนงานหรือกิจกรรมที่ผูเรียนปฏิบัติ และผูประเมินควรกําหนดรายการประเมิน และทักษะที่ตองการประเมินให ชัดเจน นํา สอน สรุป ประเมิน T91