The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by suwimolsoisan3254, 2023-01-17 04:43:13

ภูมิศาสตร์ ม.4-6

ภูมิศาสตร์ ม.4-6

Geo Tip 3) ภัยต่าง ๆ ที่เกิดจากพายุฝนฟ้าคะนองรุนแรง ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและ สิ่งก่อสร้าง เช่น 1. ลมกระโชกแรง ท�าความเสียหายต ่ออาคารบ้านเรือน สิ่งก ่อสร้าง ต้นไม้  ป้ายขนาดใหญ่จนพังทลายได้ 2. ฟ้าแลบ ฟ้าผ่า เมื่อเกิดฟ้าแลบและฟ้าร้อง ถ้าขณะนั้นมีประจุไฟฟ้าออกมา จากก้อนเมฆลงไปสู่พื้นดินจะท�าให้เกิดฟ้าผ่า ถ้าถูกสิ่งมีชีวิตก็อาจน�าไปสู่ความตายได้ 3. ลูกเห็บหรือพายุลูกเห็บ จะเกิดขึ้นในช ่วงที่มีพายุฝนฟ้าคะนองในฤดูร้อน  หากลูกเห็บที่ตกลงมามีจ�านวนมาก และมีขนาดใหญ่ก็สามารถท�าอันตรายให้แก่ผู้คน  หรือท�าให้ อาคารบ้านเรือนเสียหายได้ 4. ฝนตกหนัก พายุฝนฟ้าคะนองอาจท�าให้ฝนตกหนัก เกิดน�้าท่วมฉับพลันได้  บริเวณพื้นที่สูงชันอาจเกิดดินถล่มได้ การระวังฟ้าผ่าจากการค�านวณระยะห่าง   เมื่อเกิดฝนฟ้าคะนองอย่างรุนแรง  สิ่งหนึ่งที่ต้องระมัดระวัง  คือ  ภัยจากฟ้าผ่า  ซึ่งเกิดขึ้นได้ทุกที่ และอาจสร้างความเสียหายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน เมื่อเกิดฟ้าร้อง ฟ้าแลบ เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เราอยู่ห่าง  หรืออยู่ใกล้บริเวณที่เกิดฟ้าร้อง ฟ้าแลบ วิธีง่าย ๆ คือ ใช้ “กฎ 30/30” ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติ ทางทหารที่ใช้กันมานานแล้ว เลข 30 ตัวแรก  คือ  หน่วยวินาที  หมายถึง  เมื่อเราเห็นแสงฟ้าแลบ  แล้วได้ยินเสียงฟ้าร้อง ตามมาภายในเวลาไม ่เกิน 30 วินาที แสดงว ่าเราอยู ่ใกล้บริเวณฝนฟ้าคะนองมาก และมีความ เสี่ยงสูงต ่อการถูกฟ้าผ ่า  ให้พยายามหาที่หลบที่ ปลอดภัย (ตัวเลขนี้ได้มาจากการค�านวณ โดยเสียง จะเดินทางด้วยความเร็ว 346/วินาที  ที่อุณหภูมิ  25 องศาเซลเซียส) เลข 30 ตัวหลัง  มีหน่วยเป็นนาที  หมายถึง  เมื่อฝนหยุดตกและไม่มีเสียงฟ้าร้องแล้ว  เราควร หลบอยู ่ในที่ปลอดภัยอย ่างน้อย 30  นาที  เพื่อ ความมั่นใจว ่าฝนฟ้าคะนองได้เคลื่อนตัวผ ่านไป  จนปลอดภัยจากฟ้าผ่าแล้ว ที่มา : www.nstda.or.th ส�านักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ  ความรุนแรงและความเสียหายจากการเกิดฟ้าผ่า 184 3. ลูกเห็บหรือพายุลูกเห็บ 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร • เพราะเหตุใดขณะเกิดพายุฝนฟาคะนอง จึงไมควรใชโทรศัพท (แนวตอบ เนื่องจากโทรศัพทเคลื่อนที่มีวัสดุ ที่ทําจากโลหะ และโลหะจะเปนตัวรวมคลื่น ฟาผาใหพุงตรงมายังตัวโทรศัพท รวมถึง สัญญาณอินเทอรเน็ตจากโทรศัพทเคลื่อนที่ ก็จัดเปนคลื่นสัญญาณที่เปนสายลอฟาที่ ทําใหเกิดฟาผาไดเปนอยางดี ดังนั้น ในขณะ เกิดพายุฝนฟาคะนองจึงไมควรใชโทรศัพท เพื่อเปนการปองกันการเกิดฟาผาจนเปน อันตรายตอรางกายและทรัพยสินไดนั่นเอง) นักเรียนควรรู 1 ลูกเห็บ ประกอบดวยนํ้าแข็งกอนกลมเล็ก ปกติกอนนํ้าแข็งที่ตกลงมา เปนลูกเห็บนั้นจะไมใสแตจะเห็นเปนฝาสีขาว ลูกเห็บที่ตกลงมาสูพื้นดิน เกิดจากเมฆคิวมูโลนิมบัสเทานั้น เพราะภายในกอนเมฆจะมีอากาศลอยพุงขึ้น อยางรุนแรง ทําใหหยดนํ้าภายในกอนเมฆถูกพัดขึ้นขางบนในระดับสูงจน หยดนํ้าเย็นจัดกลายเปนนํ้าแข็งแลวตกลงมาสูขางลาง การวัดปริมาณการตก ของลูกเห็บทําไดยาก เพราะลูกเห็บตกมากับฝนและละลายเปนของเหลวไป ในเวลาอันรวดเร็ว กิจกรรม สรางเสริม นักเรียนจับสลากภัยตางๆ ที่เกิดจากพายุฝนฟาคะนอง เชน พายุลูกเห็บ ฟาแลบ ฟารอง ฟาผา ภาวะนํ้าทวมจาก ฝนตกหนัก จากนั้นสืบคนขอมูลในประเด็นดังตอไปนี้ • อันตรายจากภัยดังกลาว • การปฏิบัติตนเมื่อเกิดภัย • การปองกันภัย แลวนําขอมูลที่ไดสรุปใสกระดาษรายงาน สงครูผูสอน นํา สอน สรุป ประเมิน T192


ขอสอบเนน การคิด สาเหตุ : เกิดพายุฝนฟ้าคะนองขึ้นระหว่างวันที่ 7 - 8  กรกฎาคม พ.ศ. 2561 มีฝนตกกระหน�่าลงมาอย่าง หนัก 200 - 400 มิลลิเมตร ใน 8  จังหวัด ได้แก่  ฟุกุโอกะ  ซากะ  นะงะซะกิ  โอกะยะมะ  ฮิโระชิมะ  ทตโตริ เฮียวโงะ และเกียวโต โดยเฉพาะพื้นที่ภาค ตะวันตกและตอนกลางของประเทศญี่ปุ่น ผลกระทบ : ส่งผลให้เกิดน�้าท่วมและดินโคลน ถล่มในหลายพื้นที่ พบผู้เสียชีวิตมากกว่า 50 คน  และสูญหายอีกเป็นจ�านวนมาก  อาคารบ้านเรือน 4) เหตุการณ์พายุฝนฟ้าคะนองที่รุนแรง ครั้งส�าคัญ เช่น สภาพความเสียหายจากอิทธิพลของพายุ เหตุการณ์ พายุฝนฟ้าคะนองในประเทศญี่ปุ่น พ.ศ. 2561 พายุฤดูร้อนพัดถล่มในพื้นที่ต�าบลโพธิไพศาล อ�าเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร สาเหตุ : พายุฤดูร้อนเกิดจากมวลอากาศเย็น จากประเทศจีนแผ ่ลงมาปกคลุมประเทศไทย  ปะทะกับอากาศร้อนชื้นของไทย  จนท�าให้เกิดการ แปรปรวนของอากาศอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ก่อให้ เกิดลมกระโชกแรงและฝนตกหนักกว่า 1 ชั่วโมง ในช่วงบ่ายของวันที่ 12  เมษายน  พ.ศ. 2560  ในจังหวัดสกลนคร ผลกระทบ :ส่งผลให้เสาไฟฟ้าล้ม 4 ต้น บ้านเรือน ที่อยู่อาศัยของประชาชนได้รับความเสียหาย จ�านวน 7 หมู่บ้าน รวม 106 หลัง ในจ�านวนนี้มีบ้านเรือน เสียหายรุนแรงทั้งหมด 33 หลัง ที่เหลืออีกจ�านวน 73 หลัง ได้รับความเสียหายเล็กน้อยถึงปานกลาง เหตุการณ์ พายุฤดูร้อนในประเทศไทย พ.ศ. 2560 Activity   นักเรียนสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์การเกิดพายุฝนฟ้าคะนองที่รุนแรงของไทยและประเทศอื่น อภิปรายถึงการเกิด ผลกระทบ ความเสียหาย และวิธีป้องกันระวังภัยจากภัยดังกล่าว Geo ถูกท�าลายกว่า 2,000 หลัง เที่ยวบินถูกยกเลิก นับเป็นการสูญเสียทางชีวิตและเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่น อย่างหนัก 185 แปรปรวนของอากาศอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ก่อให้ ปะทะกับอากาศร้อนชื้นของไทย  จนท�าให้เกิดการ 1 นักเรียนควรรู 1 การแปรปรวนของอากาศ สาเหตุที่ทําใหเกิดความแปรปรวนของสภาพ อากาศมีหลายปจจัย เชน การปะทุของภูเขาไฟ การเกิดจุดดับบนดวงอาทิตย แตปจจัยที่เห็นไดชัดในปจจุบัน คือ ปรากฏการณเอลนีโญ ซึ่งเปนปรากฏการณ ที่เกิดขึ้นเปนครั้งคราว เมื่อกระแสนํ้าเย็นเปรูบริเวณชายฝงตะวันตกของทวีป อเมริกาใต ถูกกระแสนํ้าอุนจากศูนยสูตรไหลเขามาแทนที่ ทําใหอุณหภูมิที่ผิวนํ้า สูงขึ้น อันเปนผลจากการออนกําลังลงของลมคาตะวันออกเฉียงใตในมหาสมุทร แปซิฟก และปรากฏการณลานีญา ซึ่งเปนปรากฏการณที่ผิวนํ้าของมหาสมุทร แปซิฟกแถบเสนศูนยสูตรเย็นลง สงผลใหเกิดปรากฏการณที่ตรงกันขามกับ ปรากฏการณเอลนิโญ ทําใหประเทศออสเตรเลีย อินโดนีเซีย และฟลิปปนส มีฝนตกหนักมาก ขณะที่บริเวณแปซิฟกตะวันออกชวงฤดูฝนกลับมีฝนนอย และเกิดความแหงแลงยาวนาน ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร 3. ครูกระตุนใหนักเรียนชวยกันตั้งประเด็นคําถาม เชิงภูมิศาสตร เชน • ลักษณะทางกายภาพสงผลใหเกิดปญหา หรือภัยพิบัติธรรมชาติทางบรรยากาศภาค ในประเทศไทยและภูมิภาคตางๆ ของโลก อยางไรบาง • ภัยพิบัติธรรมชาติทางบรรยากาศภาคที่เกิดขึ้น ในภูมิภาคตางๆ ของโลก มีความเหมือน หรือความแตกตางกัน อยางไร • ผลกระทบสําคัญจากภัยพิบัติธรรมชาติทาง บรรยากาศภาคคืออะไร อธิบายเหตุผล • แนวทาง หรือวิธีการปองกันภัยพิบัติ ธรรมชาติทางบรรยากาศภาคสามารถทําได อยางไร 4. ครูอาจกระตุนใหนักเรียนทํากิจกรรมตาม Geo Activity จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 ประกอบการตั้งประเด็นคําถามเชิงภูมิศาสตร เพิ่มเติม อันตรายที่เกิดจากพายุฝนฟาคะนองมีอะไรบาง (แนวตอบ ขณะเกิดพายุฝนฟาคะนองจะมีลมกระโชกแรงและ อาจมีลูกเห็บตกลงมาดวย ซึ่งอาจทําใหตนไมหักโคน บานเรือน ที่ไมแข็งแรงพังเสียหาย เสาไฟฟาลมอาจทําใหไฟฟาลัดวงจรและ เกิดเพลิงไหม หรือเปนอันตรายตอผูสัญจรไปมา หากเกิดฟาผา อาจทําใหมีผูเสียชีวิตได รวมถึงการเกิดนํ้าทวมฉับพลันจากฝน ที่ตกหนัก) นํา สอน สรุป ประเมิน T193


ขอสอบเนนการคิด ก่อนเกิดภัย ขณะเกิดภัย หลังเกิดภัย 1.  เข้าไปหลบในที่ก�าบังที่ปลอดภัย ปิดประตู หน้าต่างให้มิดชิด ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้า และงดใช้โทรศัพท์บ้านหรือเล่นอินเทอร์เน็ต ขณะเกิดพายุ รวมถึงติดตามสภาพอากาศ 2.  ถ้าอยู่ที่โล่งแจ้ง ให้อยู่ห่างต้นไม้ใหญ่ เสาไฟ รวมถึงงดใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือถ้าอยู ่ ในป่า หรือทุ่งราบ ควรคุกเข่าและโน้มตัวไป ข้างหน้า แต ่ไม ่ควรนอนราบกับพื้นเพราะ พื้นเปียกเป็นสื่อน�าไฟฟ้า 3.  ให้ออกห ่างจากชายหาดเมื่อเกิดพายุ  เพื่อ หลีกเลี่ยงอันตรายจากน�้าท่วมและฟ้าผ่า 4.  ไม่ควรใส่เครื่องประดับโลหะ เช่น ทองแดง ทองเหลือง หรือใช้ร ่มที่มียอดเป็นโลหะใน บริเวณที่โล่งแจ้งขณะเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง 1.  หลังพายุสงบ ไม่ควรออกไปในที่โล่งแจ้งทันทีให้คอยติดตามรับฟังข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพื่อปฏิบัติตาม หรือรับแจ้งว่าพายุได้สงบลงแล้ว 2.  หากพบต้นไม้ในบริเวณบ้านโค ่นล้ม ให้รีบตัดทิ้งทันที หรือหากพบเห็นเสาไฟฟ้าล้ม มีสายไฟขาด ควรแจ้งเจ้าหน้าที่มาด�าเนินการแก้ไขโดยเร็ว 3.  หากมีผู้บาดเจ็บจากการถูกฟ้าผ่า ให้สังเกตก่อนว่าในบริเวณที่เกิดเหตุยังมีความเสี่ยงต่อ การถูกฟ้าผ่าหรือไม่ ถ้ามีให้เคลื่อนย้ายผู้ถูกฟ้าผ่าไปยังต�าแหน่งที่ปลอดภัย เพื่อป้องกัน ตัวเราเองจากฟ้าผ่า และท�าการปฐมพยาบาลก่อนรีบน�าส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด 1.  ส�ารวจที่อยู่อาศัยและซ่อมแซมวัสดุที่ไม่มั่นคง ให้มีความแข็งแรง ทนทานต่อพายุ ลูกเห็บได้  รวมถึงเตรียมป้องกันภัยให้แก่สัตว์เลี้ยง  และ พืชผลทางการเกษตร 2.  ติดตามพยากรณ์อากาศและปฏิบัติตามประกาศ เตือนภัยอย่างเคร่งครัด 3.  จัดเก็บสิ่งของที่อาจปลิวไปกับลมให้อยู่ในที่ มิดชิด 5) การจัดการภัยพิบัติพายุฝนฟ้าคะนอง มีดังนี้ 5.1) มาตรการ เช่น มีระบบเตือนภัยตามฤดูกาลที่มีการเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ส�ารวจที่อยู่อาศัยซ่อมแซมให้มีความแข็งแรง โดยเฉพาะหลังคาบ้านตัดแต่งกิ่งไม้หรือโค่นต้นไม้ ที่ไม่แข็งแรงลง 5.2) วิธีป้องกัน เช่น ตรวจสอบเสาไฟฟ้าแรงสูง ควรติดตั้งสายล่อฟ้า รวมทั้ง บนอาคารสูง เพื่อป้องกันอันตรายจากฟ้าแลบ ฟ้าผ่า เตรียมความพร้อมระบบป้องกันน�้าท่วม หากอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย ไม่ควรอยู่ในที่โล่งแจ้ง 5.3) การปฏิบัติตน สามารถท�าได้ ดังนี้ 186 ขั้นสอน ขั้นที่ 2 การรวบรวมขอมูล 1. ครูใหนักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับการปฏิบัติตนในกรณีประสบภัยพิบัติ ทั้งในชวงกอนเกิดภัย ขณะเกิดภัย และหลัง เกิดภัย 2. ครูใหนักเรียนแบงกลุม จํานวน 3 กลุม สืบคนขอมูลเกี่ยวกับภัยพิบัติธรรมชาติทาง บรรยากาศภาค จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 หรือจากแหลงการเรียนรูอื่นๆ เชน หนังสือในหองสมุด เว็บไซตในอินเทอรเน็ต ในประเด็นตอไปนี้ • พายุฝนฟาคะนอง • พายุหมุนเขตรอน • พายุทอรนาโด 3. นักเรียนแตละกลุมรวมกันศึกษาขอมูลในหัวขอ ที่รับผิดชอบ โดยนําความรูเกี่ยวกับเครื่องมือ ทางภูมิศาสตรมาใชประกอบในการศึกษาดวย 4. ครูแนะนําแหลงขอมูลสารสนเทศที่เชื่อถือได ใหกับนักเรียนแตละกลุมเพิ่มเติม นักเรียนจะมีวิธีการหลีกเลี่ยงและปองกันอันตรายจากพายุ ฝนฟาคะนองไดอยางไร (แนวตอบ วิธีในการปฏิบัติตน เชน ถาอยูในบานใหงดใชอุปกรณ ไฟฟา เพราะฟาอาจผาลงสายไฟได ไมอยูใกลสิ่งที่เปนตัวนําไฟฟา ตางๆ งดใชโทรศัพทเคลื่อนที่ ยกเวนในกรณีฉุกเฉิน หากอยู นอกบานควรหาที่หลบในอาคารที่มั่นคงแข็งแรง หากอยูบริเวณ ทุงโลงหามนอนราบกับพื้น เพราะพื้นที่เปยกนั้นสามารถเปน สื่อนําไฟฟาได หามอยูใตตนไมซึ่งขึ้นอยูโดดเดี่ยว หากอยูในทะเล ควรขึ้นจากนํ้าและออกใหไกลจากชายหาด) ขั้นที่ 3 การจัดการขอมูล 1. สมาชิกแตละคนในกลุมนําขอมูลที่ตนไดจาก การรวบรวมมาอธิบายแลกเปลี่ยนความรูกัน 2. จากนั้นสมาชิกในกลุมชวยกันคัดเลือกขอมูล ที่นําเสนอเพื่อใหไดขอมูลที่ถูกตอง และรวม อภิปรายแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเกี่ยวกับพายุฝนฟาคะนองเพิ่มเติมวา จะเกิดขึ้นในพื้นที่เล็กๆ ในภูมิประเทศที่มีอากาศรอนอบอาวจัด อันตรายและความเสียหายมีพอประมาณ ไมรุนแรงมากนัก แตถารูลวงหนาอาจทําใหความเสียหายและอันตรายลดลงได โดยการติดตามสภาพอากาศหรือฟงพยากรณอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยา ซึ่งมีทั้งการพยากรณอากาศประจําวัน และการคาดการณอากาศลวงหนา ซึ่งจะ ทําใหเราสามารถปฏิบัติตนเพื่อเตรียมรับมือไดทันทวงที นํา สอน สรุป ประเมิน T194


2.2 พายุหมุนเขตร้อน (tropical cyclone)   พายุหมุนเขตร้อนเกิดขึ้นในมหาสมุทรเขตร้อน ซึ่งมีอากาศร้อนและมีความชื้นสูง ส่วนใหญ่ มักเกิดบริเวณละติจูด 8 - 15 องศาเหนือและใต้ พายุนี้ก�าเนิดขึ้นเหนือพื้นมหาสมุทรที่มีอุณหภูมิ พื้นผิวน�้าทะเล 27 องศาเซลเซียสขึ้นไป 1) สาเหตุและกระบวนการเกิดพายุหมุนเขตร้อน  โดยทั่วไปพายุหมุนเขตร้อน มีแนวเกิดอยู่ระหว่างละติจูด 8 - 15 องศาเหนือและใต้ เมื่อน�้าทะเลได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์  จนมีอุณหภูมิที่พื้นผิวน�้าทะเลสูงกว่า 27  องศาเซลเซียส  ท�าให้การระเหยเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว  โดยเฉพาะในฤดูร้อนทั้งซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้ เมื่ออากาศเหนือพื้นน�้าบริเวณดังกล่าวไม่เสถียร  จะเกิดการลอยตัวสูงขึ้นพัฒนาเป็นหย่อมความกดอากาศต�่าเหนือพื้นทะเล  และเมื่อรวมกับแรง ที่เกิดจากการหมุนรอบตัวเองของโลก  หรือแรงคอริออลิสที่เหมาะสมจะท�าให้เกิดลมเฉือนใน แนวดิ่งทั้งทิศทางและความเร็ว ก่อตัวเป็นพายุหมุนเขตร้อน การเกิดพายุหมุนเขตร้อน กระแสอากาศไหลออก ลมผิวพื้น ตาพายุ (ลบสงบ และเป็น ศูนย์กลางความกดอากาศต�่า) การไหลของกระแส อากาศร้อนชื้นในแนวดิ่ง ก�าแพงตาพายุ แถบฝนหมุนเป็นวงกว้าง (10 - 100 กม.) 187 ที่เกิดจากการหมุนรอบตัวเองของโลก  หรือแรงคอริออลิสที่เหมาะสมจะท�าให้เกิดลมเฉือนใน 1 2 ตาพายุ (ลบสงบ และเป็น ศูนย์กลางความกดอากาศต�่า) 3 ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ขอใดกลาวถูกตองเกี่ยวกับพายุหมุนเขตรอนที่เคลื่อนเขาสู ประเทศไทย 1. ไมเคยกอตัวขึ้นในอาวไทย 2. ไมเคยกอตัวขึ้นในอาวเบงกอล 3. หากกอตัวในอาวเบงกอลจะไมมาถึงประเทศไทย 4. มีแหลงกําเนิดในทะเลจีนใตมากกวาในทะเลอันดามัน 5. หากกอตัวในอาวตังเกี๋ยจะสงผลกระทบตอประเทศไทย มากที่สุด ( วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. พายุหมุนเขตรอนที่สงผลกระทบ ตอสภาพอากาศของประเทศไทยมีแหลงกําเนิดสําคัญทาง ตะวันออก ไดแก ในทะเลจีนใต และทางตะวันตกของมหาสมุทร แปซิฟก และทางตะวันตก ไดแก อาวเบงกอล มหาสมุทรอินเดีย) ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 1. ครูใหนักเรียนดูแผนภาพการเกิดพายุหมุน เขตรอน จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 แลวสุมนักเรียนจํานวน 2-3 คน แสดงความ คิดเห็นเกี่ยวกับแผนภาพดังกลาว 2. ครูใหนักเรียนแตละกลุมนําเสนอขอมูลจาก การศึกษา พรอมทั้งอภิปรายแสดงความ คิดเห็นรวมกัน สมาชิกกลุมอื่นผลัดกันให ขอคิดเห็น หรือขอเสนอแนะ โดยครูแนะนําเพื่อ ใหเกิดความเขาใจที่ตรงกันเพิ่มเติม นักเรียนควรรู 1 แรงคอลิออลิส (coriolis) เปนแรงบายเบนเนื่องจากการหมุนของโลก แนวโนมของลมทุกลมในซีกโลกเหนือจะพัดเฉียงไปทางขวา และในซีกโลกใต ลมจะพัดไปทางซาย 2 กําแพงตาพายุ บริเวณรอบๆ ตาพายุมีรัศมีประมาณ 10-15 กิโลเมตร เปนบริเวณที่มีพายุพัดรุนแรง และฝนตกหนัก 3 ตาพายุ ตําแหนงศูนยกลางของพายุ มีเสนผานศูนยกลางประมาณ 3.2-8 กิโลเมตร เมื่อพายุเจริญตัวเต็มที่ตาพายุอาจมีเสนผานศูนยกลางถึง 64-128 กิโลเมตร พายุพัดแรงจัดที่สุดรอบศูนยกลาง นํา สอน สรุป ประเมิน T195


กิจกรรม ทาทาย พายุหมุนเขตรอนเมื่อเติบโตเต็มที่จะมีเสนผานศูนยกลางตั้งแต 100 กิโลเมตรขึ้นไป บริเวณที่อยูใกลจุดศูนยกลางพายุมากจะเปนบริเวณที่มีความเร็วลมสูง ในขณะที่จุดศูนยกลาง ของพายุ เรียกวา ตาพายุ จะเปนบริเวณที่ลมสงบที่สุด ไมมีฝน แตเมื่อพายุเคลื่อนเขาสูแผนดิน พายุจะออนกําลังลง 2) ประเภทของพายุหมุนเขตรอน แบงตามความเร็วลมใกลจุดศูนยกลางเปน 3 ประเภท ไดแก 2.1) พายุดีเปรสชัน (tropical depression) เปนพายุหมุนเขตรอนกําลังออน มีความเร็วลมสูงสุดใกลศูนยกลางไมเกิน 61 กิโลเมตร/ชั่วโมง 2.2) พายุโซนรอน (tropical storm) เปนพายุหมุนเขตรอนกําลังปานกลาง มีความเร็วลมใกลจุดศูนยกลาง 62 - 117 กิโลเมตร/ชั่วโมง 2.3) พายุไตฝุน (typhoon) เปนพายุหมุนเขตรอนกําลังแรงมากที่สุด มีความเร็ว ลมใกลจุดศูนยกลางมากกวา 118 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป มีชื่อเรียกแตกตางกันไปตามสถานที่เกิด เชน พายุไซโคลน เกิดในบริเวณมหาสมุทรอินเดียดานทะเลอันดามัน อาวเบงกอล และชายฝง ทวีปออสเตรเลีย พายุเฮอรริเคน เกิดในมหาสมุทรแอตแลนติก ทางตะวันออกของสหรัฐอเมริกา รวมถึงมหาสมุทรแปซิฟกบริเวณชายฝงประเทศเม็กซิโก ความรุนแรงของพายุหมุนเขตรอน พายุโซนรอน 62 - 117 กิโลเมตร/ชั่วโมง พายุไตฝุน 118 กิโลเมตร/ ชั่วโมงขึ้นไป พายุดีเปรสชัน ไมเกิน 61 กิโลเมตร/ชั่วโมง มหาสมุทรอินเดีย ไตฝุน มหาสมุทรแปซิฟก มหาสมุทรแปซิฟก มหาสมุทร แอตแลนติก ไซโคลน ไซโคลน เฮอรริเคน เฮอรริเคน 188 พายุเฮอรริเคน 1 กิจกรรม สรางเสริม ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 3. ครูใหนักเรียนดูแผนที่แสดงแหลงเกิดพายุหมุน เขตรอนของโลก จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 แลวรวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น เพิ่มเติมเชื่อมโยงกับแผนภาพการเกิดพายุ หมุนเขตรอนถึงความเกี่ยวของสัมพันธกัน ในประเด็นตางๆ 4. ครูสนทนากับนักเรียนถึงความหมาย สาเหตุ การเกิด และประเภทของพายุหมุนเขตรอน เพิ่มเติม แลวใหนักเรียนรวมกันวิเคราะหและ อภิปรายความรูโดยการตอบคําถามเกี่ยวกับ พายุหมุนเขตรอน ตัวอยางขอคําถาม เชน • แหลงกําเนิดพายุหมุนเขตรอนที่กอใหเกิด วาตภัยไดแกแหลงใดบาง (แนวตอบ พายุหมุนเขตรอนเกิดขึ้นเหนือ ทะเล หรือมหาสมุทรในเขตรอนตางๆ จําแนกตามระดับความเร็วของลมไดเปน 3 ระดับ ไดแก พายุดีเปรสชัน พายุโซนรอน และพายุไตฝุน ทั้งนี้ มีชื่อเรียกที่แตกตาง กันตามแหลงกําเนิด เชน พายุที่เกิดใน อาวเบงกอล หรือมหาสมุทรอินเดีย เรียกวา ไซโคลน พายุที่เกิดทางตะวันตก หรือทางใต ของมหาสมุทรแปซิฟกและทะเลจีนใต เรียกวา ไตฝุน และพายุที่เกิดในมหาสมุทร แอตแลนติก ทะเลแคริบเบียน อาวเม็กซิโก เรียกวา เฮอรริเคน) นักเรียนควรรู 1 พายุเฮอรริเคน พายุหมุนเขตรอนที่มักสรางความเสียหายใหแกประเทศ ในภูมิภาคอเมริกาเหนือ อเมริกากลาง รวมถึงทะเลแคริบเบียน โดยเฉพาะ สหรัฐอเมริกา ซึ่งบางครั้งพายุเฮอรริเคนพัดเคลื่อนตัวสูงขึ้นจากแนวเสนศูนยสูตร มากและกอใหเกิดความเสียหายบริเวณเมืองใหญทางชายฝงตะวันออกของ ประเทศอยางรุนแรง ครูอาจใหนักเรียนจัดทําตารางหรือผังกราฟกที่แสดง รายละเอียดเกี่ยวกับประเภทและความรุนแรงของพายุหมุน เขตรอนที่พบในประเทศไทยหรือในภูมิภาคอื่นของโลก โดยศึกษา คนควาขอมูลเพิ่มเติมจากแหลงการเรียนรูที่ครูเสนอแนะ แลว ตกแตงใหสวยงามสงครูผูสอน ครูอาจใหนักเรียนจัดทําตารางหรือผังกราฟกที่แสดงราย ละเอียดเกี่ยวกับประเภทและความรุนแรงของพายุหมุนเขตรอนใน ดานปจจัย สาเหตุ สถานการณการเกิด คนละ 1 ดาน แลวตกแตง ใหสวยงามสงครูผูสอน นํา สอน สรุป ประเมิน T196


ระดับความรุนแรงตามมาตราแซฟเฟอร-ซิมปสัน 0 ํ 60 ํ N 30 ํ N 30 ํ S 60 ํ S 0 ํ 60 ํ N 30 ํ N 30 ํ S 60 ํ S TD TS 1 2 3 4 5 3) การกระจายการเกิดพายุหมุนเขตร้อนของโลก   จากแผนที่จะเห็นได้ว่า มีพายุหมุนเขตร้อนกระจายระหว่างละติจูด 5 - 30 องศา เหนือและใต้ ได้แก่ บริเวณตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก ตะวันออกและตะวันตก  บริเวณตอนเหนือและตอนใต้มหาสมุทรอินเดีย  และบริเวณตะวันตกเฉียงเหนือ  และตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศออสเตรเลีย  โดยแหล่งเกิดพายุหมุนเขตร้อน ที่มีความถี่มากที่สุด  พบในบริเวณด้านตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิกรวมถึงภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ เป็นบริเวณที่มีพายุหมุนเขตร้อนเกิดถี่มากที่สุด ประมาณ 30 ลูกต่อปี ในขณะที่ บริเวณมหาสมุทรแอตแลนติกในซีกโลกใต้ ไม่พบการเกิดพายุหมุนเขตร้อน     ส�าหรับประเทศไทยมีพายุหมุนเขตร้อนพัดเข้าสู่ประเทศทั้งจากด้านตะวันออก และตะวันตกของประเทศ โดยด้านตะวันออกมีพายุหมุนเขตร้อนที่เกิดจากบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก ตะวันตก รวมทั้งจากทะเลจีนใต้และอ่าวไทยมีพายุหมุนเขตร้อนที่มีความรุนแรงถึงระดับพายุไต้ฝุ่น ในบางปี  ส่วนด้านตะวันตกในทะเลอันดามันมีพายุไซโคลน  บางครั้งเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทย ด้านตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งจ�านวนพายุหมุนเขตร้อนที่เข้าสู่ประเทศไทยมีความส�าคัญ ต่อการกักเก็บน�้าในแหล่งเก็บน�้าขนาดใหญ่ของประเทศเป็นอย่างยิ่ง แผนที่แสดงแหล่งเกิดพายุหมุนเขตร้อนของโลก ที่มา : https://earthobservatory.nasa.gov 189 กิจกรรม ทาทาย เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเกี่ยวกับการกระจายการเกิดพายุหมุนเขตรอนของโลกเพิ่มเติมวา ในแตละปจะมีพายุหมุนเขตรอนเกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งกอใหเกิดความเสียหายตอชีวิต และทรัพยสิน เนื่องจากเมื่อเกิดพายุจะมีลมแรง ทําใหคลื่นใหญซัดเขาฝงและ เกิดฝนตกเปนบริเวณกวาง โดยเฉพาะบริเวณที่เปนศูนยกลางของพายุเคลื่อนผาน จะไดรับผลกระทบมากที่สุด ความเสียหายจะขึ้นอยูกับความรุนแรงของพายุ เชน หากพายุมีกําลังอยูในขั้นดีเปรสชัน ความเสียหายจะเกิดขึ้นเนื่องจากฝนตกหนัก และอุทกภัย หากมีกําลังแรงขึ้นเปนโซนรอนหรือไตฝุน ความเสียหายจากฝนตก และอุทกภัยจะรุนแรงมากขึ้นอีก ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล • การเกิดพายุหมุนเขตรอนบริเวณทะเล อาวไทยและทะเลอันดามัน มีความเหมือน หรือแตกตางกัน อยางไร (แนวตอบ แตกตางกันตามฤดูกาลของการ เกิดพายุหมุนเขตรอน โดยบริเวณอาวไทย หรือทะเลจีนใต จะพบการเกิดพายุหมุน เขตรอนตั้งแตเดือนพฤษภาคมถึงเดือน พฤศจิกายน สวนพายุหมุนเขตรอนใน ทะเลอันดามันจะเกิดใน 2 ชวงเวลาของป คือ ชวงแรก ตั้งแตเดือนเมษายนถึงเดือน พฤษภาคม และชวงหลังตั้งแตกลางเดือน ตุลาคมถึงเดือนธันวาคม) นักเรียนสืบคนและศึกษาขอมูลเกี่ยวกับพายุหมุนเขตรอน ของโลกประเภทตางๆ จากนั้นรวมกันอภิปรายถึงพายุหมุนเขตรอน ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยวาเปนพายุประเภทใด กอตัวขึ้นบริเวณใด โดยระบุลงในแผนที่ประเทศไทย แลวนําความรูที่ไดมานําเสนอ หนาชั้นเรียน นํา สอน สรุป ประเมิน T197


Geo Tip 4) ภัยต่าง ๆ ที่เกิดจากพายุหมุนเขตร้อนรุนแรง เช่น 1. พายุเคลื่อนที่ขึ้นฝั่ง ก่อให้เกิดคลื่นพายุซัดฝั่ง  ท�าให้ต้นไม้ถอนรากถอนโคน อาคารบ้านเรือนที่ไม่แข็งแรงพังทลาย ชิ้นส่วนของบ้านเรือนถูกพัดปลิวเป็นอันตรายต่อผู้ที่อยู่ใน ที่โล่งแจ้ง เรือกสวนไร่นาเสียหาย สายไฟฟ้าขาด เสาไฟฟ้าล้ม ท�าให้เกิดไฟไหม้หรือไฟดูด 2. พายุเคลื่อนอยู่ในทะเล ท�าให้เกิดลมแรงจัดเกิดคลื่นขนาดใหญ่ซึ่งเป็นอันตราย ต่อการเดินเรือ โดยเฉพาะเรือขนาดเล็ก 3. เกิดฝนตกหนัก ท�าให้เกิดน�้าท่วม ทั้งน�้าป่าไหลหลาก น�้าเอ่อล้นจากแม่น�้า ล�าคลองเข้าท่วมพื้นที่ริมฝั่งน�้า  และน�้าฝนที่ท่วมขังอยู่พื้นที่ลุ่มต�่า  เมื่อระบายออกไม่ทันจะสร้าง ความเสียหายต่อพืชผลทางการเกษตร เส้นทางคมนาคมรวมทั้งการกัดเซาะตลิ่งและชายฝั่ง ท�าให้ พื้นที่ชายหาดบางส่วนหายไป นอกจากนี้ ฝนที่ตกหนักบริเวณภูเขาก็อาจท�าให้เกิดดินถล่มได้ การตั้งชื่อพายุหมุนเขตร้อน พายุหมุนเขตร้อนเป็นพายุที่ก่อตัวขึ้นในทะเลเขตร้อนทางทะเลจีนใต้และทางด้านตะวันตกตอนบน ของทะเลแปซิฟิกดังนั้นประเทศที่อยู่ในบริเวณที่ได้รับอิทธิพลจากพายุหมุนเขตร้อน14ประเทศได้แก่ กัมพูชา จีน เกาหลีเหนือ ฮ่องกง ญี่ปุ่น ลาว มาเก๊า มาเลเซีย ไมโครนีเซีย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ไทย  สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม ได้มีการประชุมร่วมกันเพื่อตั้งชื่อใช้เรียกพายุที่จะเกิดขึ้นแต่ละลูก โดย แต่ละประเทศจะเสนอชื่อพายุในภาษาของตนประเทศละ 10  ชื่อ  จัดท�าเป็นบัญชีรายชื่อ รวมทั้งหมด 140 ชื่อ (ซึ่งพายุลูกนั้นต้องมีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางพายุมากกว่า 34 นอต หรือ 63 กม./ชม. ถึงจะมีชื่อเป็นของตนเอง) และจะใช้ชื่อเรียงล�าดับตามชื่อประเทศของล�าดับตัวอักษรภาษาอังกฤษ โดยชื่อพายุที่ไทยเสนอ 10 ชื่อ ได้แก่ พระพิรุณ ทุเรียน วิภา รามสูร เมขลา นิดา มรกต ชบา กุหลาบ  และขนุน   นอกจากนี้ หากพายุลูกใดที่มีความรุนแรงและ สร้างความเสียหายอย่างมาก ก็จะมีการพิจารณา ถอดถอนชื่อพายุลูกนั้นไป แล้วท�าการเลือกชื่อใหม่ ใส่แทนลงในบัญชีรายชื่อ เช่น พายุไต้ฝุ่นทุเรียน ที่เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2549 ประเทศที่ได้รับความ เสียหายอย่างหนัก คือ ฟิลิปปินส์ มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,000 คน ในภายหลังจึงได้มีการพิจารณาถอดถอน ชื่อพายุทุเรียนออกจากบัญชีรายชื่อ และหาชื่อใหม่ เข้ามาแทน คือ พายุมังคุด  ความเสียหายจากพายุไต้ฝุ่นทุเรียนใน พ.ศ. 2549 190 ก่อให้เกิดคลื่นพายุซัดฝั่ง1 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล • พายุหมุนเขตรอนมีที่มาของการตั้งชื่อ อยางไร (แนวตอบ พายุหมุนเขตรอนเกิดขึ้นในบริเวณ เสนศูนยสูตร บริเวณกอตัวของพายุมักจะมี อุณหภูมิของนํ้าสูงกวา 26 องศาเซลเซียส และลมสงบเงียบเปนเวลานาน การตั้งชื่อ พายุในสมัยเริ่มแรกจะใชหมายเลขกํากับ แตตอมาเกิดความสับสนไดงาย องคการ อุตุนิยมวิทยาโลกและสมาชิกจึงตั้งชื่อโดยใช อักษรโรมันตั้งแต A-Z และตั้งแต พ.ศ. 2543 ไดมีระบบการตั้งชื่อพายุใหมโดยใชภาษา พื้นเมืองของแตละประเทศ ซึ่งประเทศใน มหาสมุทรแปซิฟกตอนบนกับทะเลจีนใต รวม 14 ประเทศ ไดตกลงกับองคการ อุตุนิยมวิทยาโลกในการตั้งชื่อพายุของ ตนเอง โดยแตละประเทศจะเสนอชื่อมา ประเทศละ 10 ชื่อ รวม 140 ชื่อ แลวแบง เปน 5 กลุม กลุมละ 28 ชื่อ เมื่อเกิดพายุ ก็จะใชชื่อกลุมแรกเรียงลําดับไปจนหมด จึงใชชื่อในกลุมที่ 2 ตอไป) กิจกรรม สรางเสริม นักเรียนสืบคนขอมูลพายุหมุนเขตรอนครั้งรายแรงที่เคย เกิดขึ้นในประเทศไทย ระบุสาเหตุการเกิด ผลกระทบและความ เสียหายที่ไดรับ สรุปความรูที่ไดลงกระดาษรายงานนําสงครูผูสอน นักเรียนควรรู 1 คลื่นพายุซัดฝง คือ คลื่นซัดชายฝงขนาดใหญอันเนื่องมาจากความแรง ของลมที่เกิดจากพายุหมุนเขตรอนที่เคลื่อนตัวเขาหาฝง โดยปกติมีรัศมี รุนแรงมากประมาณ 100 กิโลเมตร แตบางครั้งอาจเกิดเมื่อศูนยกลางพายุ อยูหางมากกวา 100 กิโลเมตรได ขึ้นอยูกับความรุนแรงของพายุ และสภาพ ภูมิศาสตรของพื้นที่ชายทะเล บางครั้งอาจไดรับอิทธิพลเสริมความรุนแรง จากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ทําใหเกิดอันตรายมากขึ้น นํา สอน สรุป ประเมิน T198


5) เหตุการณ์พายุหมุนเขตร้อนที่รุนแรง ครั้งส�าคัญ เช่น ความเสียหายของเมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนาจาก พายุแคทรีนา สาเหตุ : พายุเฮอร์ริเคนแคทรีนาเป็นพายุหมุน เขตร้อน ก ่อตัวในมหาสมุทรแอตแลนติกและ กลายเป็นพายุโซนร้อน มีความเร็วถึง 74 ไมล์ต่อ ชั่วโมง เกิดเป็นพายุเฮอร์ริเคนระดับ 1 ในวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2548 เมื่อพัดเข้าสู่บาฮามาสและ ฟลอริดา ได้เพิ่มความรุนแรงเป็นพายุระดับ 5 ใน อ่าวเม็กซิโก มีความเร็วลมสูงสุด 280 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง ก่อนที่จะอ่อนก�าลังแรงเป็นระดับ 3 เมื่อ เคลื่อนเข้าสู่รัฐลุยเซียนาและสลายตัวในวันที่ 31 สิงหาคม เหตุการณ์ พายุเฮอร์ริเคนแคทรีนาในสหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2548 ความเสียหายของพื้นที่ประสบภัยในประเทศเมียนมา จากพายุไซโคลนนากีส สาเหตุ: พายุไซโคลนนากีสก่อตัวขึ้นในอ่าวเบงกอล ตอนกลาง มีความเร็วลม 215 กิโลเมตรต่อชั่วโมง  ได้พัดขึ้นฝั่งประเทศเมียนมาแถบสามเหลี่ยมปากน�้า อิรวดีและนครย่างกุ้ง  ซึ่งสร้างความเสียหายให้แก่ พื้นที่รอบมหาสมุทรอินเดีย โดยเฉพาะอย ่างยิ่ง ประเทศเมียนมา ผลกระทบ : ท�าให้มีผู้เสียชีวิตในประเทศเมียนมา กว่า 50,000 คน ผู้สูญหายอีกกว่า 40,000 คน และเป็นผู้ไร้บ้านอีกจ�านวนมาก อาคารถูกท�าลาย หลายแสนหลังในเขตอิรวดีนอกจากนี้ยังส่งผลต่อ เหตุการณ์ พายุไซโคลนนากีสในประเทศเมียนมา พ.ศ. 2551 ผลกระทบ : ท�าให้เมืองนิวออร์ลีนส์ถูกน�้าท่วมอย่างหนักเป็นเวลานานหลายสัปดาห์ คิดเป็นพื้นที่กว่า ร้อยละ 80 ของเมือง มีพื้นที่ความเสียหายประมาณ 233,000 ตารางกิโลเมตร มีผู้เสียชีวิตจ�านวน 1,833 คน ผู้สูญหาย 705 คน และมีผู้อพยพออกนอกพื้นที่กว่า 1 ล้านคน ความเสียหายคิดเป็นมูลค่า  81 พันล้านเหรียญสหรัฐ อ่าวเบงกอลตะวันตก โดยประเทศศรีลังกาเกิดภาวะฝนตกหนัก น�้าท่วม และแผ่นดินถล่มในหลายพื้นที่ โดยต�าบลรัตนปุระและต�าบลเคกัลเลได้รับผลกระทบมากที่สุด ประชาชนกว่า 3,000 ครัวเรือน ได้รับ ความเดือดร้อนจากน�้าท่วมหรือถูกท�าลายจากแรงพายุ 191 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 5. ครูใหนักเรียนจับกลุมผลัดกันจับสลากชื่อพายุ ที่ทําใหเกิดวาตภัยครั้งรายแรงทั้งในบริเวณ ตางๆ ของโลกและในประเทศไทย เชน นารกีส เอลลี กิสนา เกย ลินดา เซินกา แลวใหนักเรียน ใชสมารตโฟนสืบคนภาพขาว หรือคลิปวิดีโอ ที่เกี่ยวของกับเหตุการณที่จับสลากได พรอมทั้งเขียนสรุปที่กระดานหนาชั้นเรียน จากนั้นครูและนักเรียนอภิปรายรวมกัน เกี่ยวกับเหตุการณดังกลาว 6. ครูใหนักเรียนแตละกลุมวิเคราะหและอภิปราย กลุมยอยถึงผลกระทบที่เกิดจากเหตุการณ พายุหมุนเขตรอน โดยแบงออกเปนผลกระทบ ที่เกิดขึ้นบนบก และผลกระทบที่เกิดขึ้นในทะเล แลวชวยกันออกแบบและจัดทําการนําเสนอ ผลการอภิปรายในรูปแบบตางๆ ตามความ สามารถและความสนใจ จากนั้นสงตัวแทน ออกมานําเสนอผลการอภิปรายกลุมยอยที่หนา ชั้นเรียน ครูสนทนารวมกันกับนักเรียนเพื่อให เกิดความรูความเขาใจที่ถูกตองตรงกัน เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับพายุหมุนเขตรอนครั้งรายแรงที่เกิดขึ้นในโลก เชน พายุไซโคลนโบลา พายุไซโคลนกอรกี ซึ่งเกิดในประเทศบังกลาเทศใน พ.ศ. 2513 และ พ.ศ. 2534 สงผลใหมีผูเสียชีวิตนับแสนราย พายุไซโคลนโอดิชา ซึ่งเกิดในประเทศอินเดียในพ.ศ. 2542 มีผูเสียชีวิตประมาณ 15,000 ราย พายุเฮอรริเคนแคทรีนา ในสหรัฐอเมริกาเมื่อ พ.ศ. 2548 มีผูเสียชีวิตประมาณ 2,000 ราย และพายุไตฝุนไหเยี่ยนพัดผานประเทศฟลิปปนสใน พ.ศ. 2556 ทําใหมีผูเสียชีวิตประมาณ 6,000 ราย นักเรียนรวมกลุมคนควาแนวทางการระวังภัยจากพายุหมุน เขตรอนของประเทศตางๆ เพิ่มเติมจากแหลงการเรียนรูอื่น จากนั้น รวบรวมภาพและขอมูลจัดทําปายแสดงแนวทางการระวังภัย จากพายุหมุนเขตรอนลงในกระดาษโปสเตอร ตกแตงใหสวยงาม เพื่อสงเสริมใหนักเรียนนําความรูความเขาใจเรื่องการระวังภัยจาก พายุไปปรับใชในชีวิตประจําวัน นํา สอน สรุป ประเมิน T199


ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET 6) การจัดการภัยพิบัติพายุหมุนเขตร้อน มีดังนี้ 6.1) มาตรการ เช่น มีระบบเตือนภัยลมแรงและพายุ มีการวางแผนในระยะยาว เพื่อป้องกันภัยจากพายุ มีการก�าหนดพื้นที่เสี่ยงภัยและมีเครื่องหมายเตือนภัย ควรมีการฝึกซ้อม ป้องกันภัยพิบัติ เตรียมพร้อมรับมือ และวางแผนการอพยพหากจ�าเป็น มีมาตรการกระจายข่าวสาร และการแจ้งเตือนประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ 6.2) วิธีป้องกัน  เช่น  ซ่อมแซมประตู  หน้าต่างให้มั่นคงแข็งแรง  ตัดต้นไม้ที่มี โอกาสหักลงมาทับบ้านเรือน หรือเสาไฟฟ้า เตรียมชุดอุปกรณ์ฉุกเฉินให้พร้อม และเตรียมพร้อม รับมือกับน�้าท่วมฉับพลัน 6.3) การปฏิบัติตน ท�าได้ ดังนี้ ก่อนเกิดภัย ขณะเกิดภัย หลังเกิดภัย 1.  ติดตามข่าวพยากรณ์อากาศอยู่เสมอ และเตรียม ตัวอพยพเมื่อได้รับแจ้งให้อพยพ 2.  หมั่นตรวจตรา  ซ่อมแซมประตู  หน้าต่างให้ มั่นคงแข็งแรง ตัดต้นไม้ที่มีโอกาสหักลงมาทับ บ้านเรือน หรือเสาไฟฟ้า รวมถึงเตรียมชุดอุปกรณ์ ฉุกเฉินให้พร้อม 3.  จัดเก็บสิ่งของที่อาจปลิวไปกับลมให้มิดชิด เพื่อ ป้องกันพายุพัดเสียหาย และได้รับอันตรายจาก สิ่งของกระแทกใส่ 1.  ให้หลบอยู่ในอาคารบ้านเรือนที่มั่นคงแข็งแรง  ปิดประตู หน้าต่างให้มิดชิด 2.  ไม่อยู่ใกล้เสาไฟฟ้า ต้นไม้ สิ่งปลูกสร้าง หรือ ป้ายที่ไม่มั่นคงแข็งแรง  เพราะอาจถูกล้มทับ  หรือถูกไฟฟ้าดูดได้  และไม ่ควรใช้อุปกรณ์ ไฟฟ้า รวมถึงงดใช้ โทรศัพท์เคลื่อนที่ชั่วคราว 3.  ไม่อยู่ใกล้บริเวณชายฝั่งทะเล และเรือทุกชนิด ควรงดออกจากฝั่ง  4.  หากจ�าเป็นต้องอพยพออกจากพื้นที่  ให้ ไป ตามเส้นทางที่ปลอดภัย และปฏิบัติตามประกาศ เตือนภัยอย่างเคร่งครัด 1.  หลังพายุสงบ  ไม่ควรออกไปในที่โล่งแจ้งทันที  ควรอยู่ในที่ปลอดภัยอย่างน้อย 1 - 2  ชั่วโมง และคอยติดตามรับฟังข่าวสารอย่างใกล้ชิดเพื่อปฏิบัติตามค�าสั่ง หรือรับแจ้งว่า พายุได้สงบลงแล้ว 2.  ช่วยเหลือท�าการปฐมพยาบาลเบื้องต้นแก่ผู้บาดเจ็บ แล้วรีบน�าตัวส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว 3. ถ้ามีเสาไฟฟ้าล้ม สายไฟขาด อย่าเข้าใกล้หรือแตะต้อง เพื่อความปลอดภัย 192 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 7. ครูใหนักเรียนรวมกันวิเคราะหเกี่ยวกับการ จัดการภัยพิบัติพายุหมุนเขตรอนทั้งในดานของ มาตรการ วิธีปองกัน และการปฏิบัติตนทั้งใน ชวงกอนเกิดภัย ขณะเกิดภัย และหลังเกิดภัย 8. ครูสุมนักเรียนเพื่อนําเสนอแนวทางการปฏิบัติ ตนตอการจัดการภัยพิบัติพายุหมุนเขตรอน เพิ่มเติม เกร็ดแนะครู ครูนําวีดิทัศนหรือภาพขาวแสดงสถานการณวาตภัยในประเทศไทยหรือ ประเทศเพื่อนบานมาใหนักเรียนพิจารณารวมกัน เพื่อกระตุนความสนใจของ นักเรียน และสงเสริมใหเกิดความรูความเขาใจเกี่ยวกับสถานการณการเกิด และผลกระทบของวาตภัย จากนั้นครูและนักเรียนวิเคราะหรวมกันถึงแนวทาง การระวังภัยจากวาตภัยที่เหมาะสมกับทองถิ่นของตน เพื่อใหนักเรียนนําความรู ไปใชในการดํารงชีวิต แนวทางในการปองกันผลกระทบจากวาตภัยตออาคารบานเรือน คือขอใด 1. ดูแลรักษาบานเรือนใหมั่นคงแข็งแรง 2. สรางบานดวยวัสดุคุณภาพดีราคาแพง 3. สรางบานอยูหลังเขาเพื่อปองกันลมปะทะ 4. เลือกทําเลพื้นที่สูงชันในการสรางบานเรือน 5. ปองกันชองลมทุกทางทั้งประตูและหนาตาง ( วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. การดูแลรักษาบานเรือนใหมั่นคง แข็งแรงเปนแนวทางปองกันผลกระทบจากวาตภัยที่เหมาะสม เพราะขณะเกิดภัยเราอาจไมสามารถเตรียมการเพื่อปองกันบาน เรือนใหมั่นคงไดทันเวลา สวนตัวเลือกอื่นเปนการปองกันที่ไม เหมาะสม เชน การปองกันชองลมเปนการปฏิบัติเมื่อประสบภัย ไมใชการปองกันผลกระทบที่จะไดรับจากวาตภัย) นํา สอน สรุป ประเมิน T200


ขอสอบเนน การคิด การเกิดพายุฝนฟ้าคะนองแบบซูเปอร์เซลล์ ซูเปอร์เซลล์ (Supercell) เมฆคิวมูโลนิมบัส เมโซไซโคลน ลูกเห็บ ผนังเมฆ ทอร์นาโด ฝน หยาดนํ้าฟ้าที่ตกจาก ใต้ฐานเมฆระเหย ก่อนตกลงถึงพื้นดิน ทิศทางของพายุ กระแสอากาศไหลลง กระแสอากาศไหลขึ้น กระแสอากาศไหลลง 2.3 พายุทอร์นาโด (tornado) พายุทอร์นาโดหรือพายุงวงช้างเป็นพายุหมุนขนาดเล็กที่มีพลังทําลายรุนแรง ศูนย์กลางพายุ นี้จะมีความกดอากาศตํ่ามาก ความรุนแรงและอํานาจการทําลายของพายุขึ้นอยู่กับความเร็วที่จุดศูนย์กลาง ความเร็วของ การเคลื่อนที่ ทิศทางของการเคลื่อนที่ และความกว้างของวงพายุ พายุทอร์นาโดที่รุนแรงมาก อาจมีความเร็วการหมุนที่จุดศูนย์กลางมากกว่า 322 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเคลื่อนที่ด้วยความ เร็วกว่า 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งความเร็วของการหมุนนี้หากผ่านไปบนแผ่นดิน สามารถจะ หอบรถยนต์ขึ้นไปได้ มีอํานาจทําลายอาคารบ้านเรือนและสิ่งมีชีวิต หากเกิดในแม่นํ้าหรือมหาสมุทร จะเกิดคลื่นลมแรง หอบเอานํ้าขึ้นเป็นลําในอากาศ หรือยกเรือขนาดใหญ่ไปได้ ไกล พายุทอร์นาโด เป็นพายุประจําถิ่นตอนกลางของสหรัฐอเมริกา เกิดในช่วงฤดูร้อนไปจนถึงปลายฤดูใบไม้ร่วง 1) สาเหตุและกระบวนการเกิดพายุทอร์นาโด พายุทอร์นาโดมีกระบวนการเกิด 2 ลักษณะ ได้แก่ 1.1) พายุทอร์นาโดที่เกิดจากพายุฝนฟ้าคะนองแบบซูเปอร์เซลล์ (supercell tornado) เป็นพายุที่เกิดขึ้นจากพายุฝนฟ้าคะนองแบบซูเปอร์เซลล์ที่มีระบบอากาศหมุนวน ที่เรียกว่า เมโซไซโคลน (มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว 2 - 10 กิโลเมตร) ไหลวนอยู่ภายในเมฆพายุ ความเร็วการหมุนของเมโซไซโคลนทําให้เกิดกรวยเมฆหมุนออกจากผนังเมฆและฐานเมฆ คิวมูโลนิมบัสลงมาแตะพื้นดิน 193 2.3 พายุทอร์นาโด1 นักเรียนควรรู 1 พายุทอรนาโด เปนพายุหมุนที่มีอาณาบริเวณเกิดแคบที่สุด แตมีอัตรา พัดของลมเร็วที่สุด พายุนี้เกิดไดทุกทวีปแตเกิดบอยที่สุดในสหรัฐอเมริกา ลักษณะพิเศษของพายุนี้ คือ มีเมฆคลายงวงชางยื่นปลายงวงลงมาจากฐานเมฆ คิวมูโลนิมบัส ถาพายุนี้เกิดเหนือพื้นนํ้าจะเรียก นาคเลนนํ้า เมื่อมีพายุทอรนาโด เกิดขึ้นจะมีฝนฟาคะนองอยางแรงและฝนตกหนักเกิดขึ้นพรอมกันดวย พายุทอรนาโดเกิดขึ้นไดอยางไร (แนวตอบ พายุทอรนาโดกอตัวจากอากาศรอนจัดปะทะกับ อากาศเย็นจัด บางครั้งกระแสลมกรดก็มีบทบาทสําคัญตอการ เกิดหรือการกอตัวของพายุนี้ แมพายุทอรนาโดจะเกิดในบริเวณ แคบๆ และเสนทางพายุผานจะไมกวางมากแตสรางความ เสียหายไดมากและรุนแรง อํานาจการทําลายของพายุทอรนาโด มีอยู 2 ประการ คือ ความกดอากาศที่ขอบพายุ และที่จุดดูด ตรงจุดศูนยกลางหรือตาพายุ) ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 9. ครูนําวีดิทัศน หรือภาพขาวแสดงสถานการณ การเกิดพายุทอรนาโดในบริเวณพื้นที่ตางๆ ของโลกมาใหนักเรียนดูและรวมกันวิเคราะห เกี่ยวกับสาเหตุและกระบวนการเกิดพายุ ทอรนาโด ตลอดจนความแตกตางของพายุ ทอรนาโดแตละรูปแบบ 10. ครูสุมนักเรียนจํานวน 2-3 คน นําเสนอ ผลการวิเคราะหสาเหตุและกระบวนการเกิด พายุทอรนาโด ตลอดจนความแตกตางของ พายุทอรนาโด จากนั้นครูสนทนารวมกัน กับนักเรียนเพื่อใหเกิดความรูความเขาใจที่ ถูกตองตรงกัน นํา สอน สรุป ประเมิน T201


ขอสอบเนนการคิด Geo Tip   ในการก�าหนดระดับความรุนแรงของพายุทอร์นาโดมีมาตรวัดเป็นฟุจิตะ (Fujita)  ต่อมาได้มีการ ปรับปรุงเป็นหน่วย EF หรือ Enhanced Fujita แบ่งออกเป็น 6 ระดับตามความเร็วของกระแสลม ดังนี้  พายุทอร์นาโดผืนน�้าที่รัฐฟลอริดา เมื่อ พ.ศ. 2512    เป็นพายุทอร์นาโดที่ไม่ได้เกิดจากซูเปอร์เซลล์  พายุทอร์นาโดที่เกิดจากซูเปอร์เซลล์ ที่รัฐไวโอมิง ทางตอน   กลางของสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2561 1.2) พายุทอร์นาโดที่ไม่ได้เกิดจากพายุฝนฟ้าคะนองแบบซูเปอร์เซลล์ (nonsupercell tornado) พายุกลุ่มนี้เริ่มจากลมเฉือนในแนวระดับที่ผิวพื้น ท�าให้เกิดกระแสอากาศไหลวน ที่เรียกว่า ไมโครไซโคลนขึ้นในแนวดิ่ง ไมโครไซโคลนนี้หากหมุนเร็วขึ้นก็จะแคบเข้าและยืดยาวออกไปด้านบน เคลื่อนเข้าสู่ฐานเมฆ  ส่งผลให้เมฆเติบโตมีขนาดใหญ่ขึ้น  ส่วนไมโครไซโคลนที่มีรัศมีแคบลง และหมุนอย่างรวดเร็วก็กลายเป็นพายุทอร์นาโดมีความรุนแรงน้อยกว่าที่เกิดจากพายุฝนฝ้าคะนอง แบบซูเปอร์เซลล์ 2) ประเภทของพายุทอร์นาโด จ�าแนกตามความรุนแรงและองค์ประกอบของกรวย ได้ 2 ประเภท ได้แก่ 2.1) พายุทอร์นาโดที่เกิดจากพายุฝนฟ้าคะนองแบบซูเปอร์เซลล์ (supercell  tornado)  จะมีความรุนแรงสูงสุดถึงระดับ EF4 ถึง EF5  ตามสเกลฟุจิตะปรับปรุง (Enhanced  Fujita) เช่น พายุทอร์นาโดที่มักเกิดในสหรัฐอเมริกา 2.2) พายุทอร์นาโดที่ไม่ได้เกิดจากพายุฝนฟ้าคะนองแบบซูเปอร์เซลล์ (nonsupercell tornado) ส่วนใหญ่จะมีความรุนแรงในระดับ EF0 ถึง EF2 ซึ่งมีความรุนแรงน้อยกว่าพายุทอร์นาโด ที่เกิดจากพายุฝนฟ้าคะนองแบบซูเปอร์เซลล์ เช่น พายุงวงช้างที่เกิดขึ้นในประเทศไทย EF0 105 - 137 กิโลเมตร/ชั่วโมง เสียหายน้อย EF2 178 - 217 กิโลเมตร/ชั่วโมง เสียหายหนัก EF1 138 - 177 กิโลเมตร/ชั่วโมง เสียหายปานกลาง EF4 267 - 322 กิโลเมตร/ชั่วโมง เสียหายรุนแรงมาก EF3 218 - 266 กิโลเมตร/ชั่วโมง เสียหายรุนแรง EF5 มากกว่า 322 กิโลเมตร/ชั่วโมง เสียหายรุนแรงมากที่สุด 194  พายุทอร์นาโดผืนน�้าที่รัฐฟลอริดา เมื่อ พ.ศ. 2512  1 นักเรียนควรรู 1 พายุทอรนาโดผืนนํ้า พายุหมุนซึ่งเกิดจากการหมุนเวียนของอากาศจาก พื้นนํ้าขยายขึ้นไปสูเมฆ เชน พวยนํ้าหรือนาคเลนนํ้า (water spout) มีลักษณะ คลายกับทอรนาโดแตมีกําลังแรงนอยกวา ซึ่งเกิดจากมวลอากาศเย็นเคลื่อนผาน ผิวนํ้าบริเวณที่อุนกวา ทําใหอากาศบริเวณผิวนํ้ายกตัวขึ้นอยางรวดเร็ว โดยมัก เกิดในภูมิภาคกึ่งเขตรอน ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 11. ครูใหนักเรียนรวมกันวิเคราะห Geo Tip เกี่ยวกับการกําหนดระดับความรุนแรงของ พายุทอรนาโด จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 เพิ่มเติม 12. ครูใหนักเรียนใชสมารตโฟนสืบคนตัวอยาง สถานการณพายุทอรนาโดที่เคยเกิดขึ้นตาม ระดับความรุนแรง จากนั้นครูสนทนารวมกัน กับนักเรียนเพื่อใหเกิดความรูความเขาใจที่ ถูกตองตรงกัน เพราะเหตุใดพายุทอรนาโดสวนใหญจึงเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา (แนวตอบ เนื่องจากสหรัฐอเมริกามีพื้นที่ราบขนาดใหญจึงเอื้อ ตอการปะทะของลมรอนและลมเย็นในบริเวณที่ราบ ทําใหพายุที่ กอตัวสวนมากมีขนาดใหญและเกิดไดบอยครั้ง โดยพายุทอรนาโด ในสหรัฐอเมริกาเกิดจากลมหนาวที่พัดมาจากทิศตะวันตกเฉียงใต ของประเทศแคนาดาพัดพาเอาความหนาวและความแหงแลงลงมา ประกอบกับลมรอนจากอาวเม็กซิโกที่พัดมาจากดานใตของทวีป ซึ่งลมทั้งสองนี้มักปะทะกันที่บริเวณตอนกลางของสหรัฐอเมริกา) นํา สอน สรุป ประเมิน T202


ขอสอบเนน การคิด 0 ํ 0 ํ 20 ํN 20 ํN 20 ํS 20 ํS 40 ํN 40 ํN 40 ํS 40 ํS 60 ํN 60 ํN 60 ํS 60 ํS 80 ํN 80 ํN 160 ํW 120 ํW 80 ํW 40 ํW 40 ํE 0 ํ 80 ํE 120 ํE 160 ํE 160 ํW 120 ํW 80 ํW 40 ํW 40 ํE 0 ํ 80 ํE 120 ํE 160 ํE 80 ํS 80 ํS สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก อารเจนตินา อุรุกวัย แอฟริกาใต ทวีปยุโรป รัสเซีย อินเดียเนปาลจีน ญี่ปุน ฟลิปปนส เกาหลีใต ออสเตรเลีย แคนาดา N 0 2,000 4,000 กม. 1 : 250,000,000 พื้นที่เสี่ยงภัยพายุทอรนาโด พื้นที่ที่มีโอกาสเกิดพายุทอรนาโด 3) การกระจายการเกิดพายุทอร์นาโดของโลก จากแผนที่ บริเวณที่เสี่ยงต่อการเกิดพายุทอร์นาโดเป็นพื้นที่ราบขนาดใหญ่ และ เกิดในเขตละติจูดสูง เนื่องจากการปะทะกันของมวลอากาศร้อนจากเขตร้อนกับมวลอากาศเย็นจาก ขั้วโลก  ซึ่งเกิดได้มากในทวีปอเมริกาเหนือ  ทวีปยุโรป  และตอนใต้ของประเทศออสเตรเลีย ส่วนพื้นที่ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า เช่น ทวีปอเมริกาใต้ ทวีปแอฟริกาตอนใต้  เนื่องจากในพื้นที่ดังกล่าวมีพื้นที่ราบขนาดเล็กและมีเทือกเขาสูงปิดกั้นทิศทางการพัดของลม  ท�าให้การเคลื่อนต�่าของลมพายุเกิดขึ้นในระยะสั้น ๆ เท่านั้น     ส�าหรับประเทศไทยยังไม่เคยเกิดพายุทอร์นาโดที่รุนแรง นอกจากเป็นพายุขนาดเล็ก ที่มีลักษณะแบบเดียวกับพายุทอร์นาโดผืนน�้าและพายุทอร์นาโดแผ่นดิน 4) ภัยต่าง ๆ ที่เกิดจากพายุทอร์นาโดรุนแรง เช่น 1. ความเสียหายขึ้นกับความรุนแรงของพายุ ตั้งแต่เสียหายน้อย เช่น กิ่งไม้หัก  ป้ายต่าง ๆ เสียหาย ไปจนถึงเสียหายมากที่สุด เช่น อาคารบ้านเรือนถูกพายุฉีกจนหลุดเป็นชิ้น ๆ  ของชิ้นใหญ่และหนักถูกพายุพัดไปไกลกว่า 100 เมตร ต้นไม้ ใหญ่หักโค่น ผู้คนและสัตว์บาดเจ็บ ล้มตาย 2. เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างหนัก ภาครัฐต้องเสียเงินจ�านวนมาก ในการท�าความสะอาด ฟื้นฟู ซ่อมแซม ประชาชนสูญเสียรายได้ กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ  ต้องหยุดชะงัก แผนที่แสดงแหล่งเกิดพายุทอร์นาโดของโลก ที่มา : www.vstornadoes.com 195 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 13. ครูใหนักเรียนแตละกลุมนําขอมูลที่ไดจาก การศึกษาทั้ง 3 ประเด็น อันไดแก พายุฝนฟา คะนอง พายุหมุนเขตรอน และพายุทอรนาโด มาวิเคราะหเชื่อมโยงความสัมพันธระหวาง ลักษณะทางกายภาพกับภัยพิบัติธรรมชาติ ทางบรรยากาศภาค ตลอดจนผลกระทบและ แนวทางการจัดการภัยพิบัติธรรมชาติทาง บรรยากาศภาคดังกลาว แลวอภิปรายรวมกัน ภายในชั้นเรียน 14. ครูใหนักเรียนนําขอมูลที่ไดจากการอภิปราย มาทําการวิเคราะหรวมกันเพื่ออธิบายคําตอบ ทวีปแอฟริกาตอนใตมีโอกาสเกิดพายุทอรนาโดไดหรือไม เพราะเหตุใด (แนวตอบ มีโอกาสเกิดขึ้นได แตความรุนแรงนอยกวาทวีป อเมริกาเหนือ เนื่องจากในพื้นที่ดังกลาวมีพื้นที่ราบขนาดเล็ก และมีเทือกเขาสูงปดกั้นทิศทางการพัดของลม ทําใหการเคลื่อนตํ่า ของลมพายุเกิดขึ้นในระยะสั้นๆ) เกร็ดแนะครู ครูควรนําแผนที่แสดงแหลงเกิดพายุทอรนาโดในโลกมาใหนักเรียนดู แลว ตั้งคําถาม จากนั้นใหนักเรียนชวยกันวิเคราะหจากแผนที่นั้นถึงบริเวณที่เสี่ยงตอ การเกิดพายุทอรนาโดที่มีระดับความรุนแรงมากถึงระดับนอยวา ตองมีลักษณะ พื้นที่อยางไร และเพราะเหตุใดประเทศไทยจึงไมเปนบริเวณที่เสี่ยงตอการเกิด พายุทอรนาโด นํา สอน สรุป ประเมิน T203


ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET 5) เหตุการณ์พายุทอร์นาโดที่รุนแรง ครั้งส�าคัญ เช่น ความเสียหายของรัฐโอคลาโฮมาภายหลังพายุสงบ สาเหตุ : พายุทอร์นาโดระดับความแรง EF5  พัดเข้ารัฐโอคลาโฮมาทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา  ด้วยความเร็วลมกว ่า 322  กิโลเมตรต ่อชั่วโมง  เป็นระยะเวลานาน 50 นาที ผลกระทบ :ส่งผลให้บ้านเรือนพังเสียหายประมาณ 13,000  หลังคาเรือน  ประชาชนได้รับผลกระทบ ประมาณ 33,000 คน มีผู้เสียชีวิต 24 คน ผู้บาดเจ็บ  320  คน  นอกจากนี้  กรมอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติ สหรัฐได้ประกาศให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือ กับพายุลูกใหม่ที่ก�าลังจะเกิดตามมา มีการประเมิน ความเสียหายจากพายุในครั้งนี้เป็นมูลค ่ากว ่า  2,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ เหตุการณ์ พายุทอร์นาโดในสหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2556 ความเสียหายภายหลังพายุทอร์นาโดพัดถล่มรัฐมิสซูรี ในช่วงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2554 เหตุการณ์ พายุทอร์นาโดในสหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2554 สาเหตุ: ตั้งแต่วันที่ 26 - 29 เมษายน พ.ศ. 2554 สหรัฐอเมริกาต้องเผชิญกับพายุทอร์นาโดพัดเข้า ใน  6  รัฐ  ได้แก ่  รัฐแอละแบมา  อาร์คันซอ เคนทักกี มิสซิสซิปปี มิสซูรี และเทนเนสซี ศูนย์ พยากรณ์อากาศระบุว ่า  พายุทอร์นาโดครั้งนี้มี ความรุนแรงอยู่ในระดับ EF4 มีความเร็วลม 318  กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีรัศมีกว้าง 1,200 เมตร  พายุที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากอากาศร้อนชื้นเคลื่อนตัว จากรัฐเทกซัส อาร์คันซอ และลุยเซียนา พัดขึ้นเหนือ ปะทะกับอากาศเย็น ผลกระทบ : ท�าให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 305 คน  โดยรัฐแอละแบมาได้รับความเสียหายมากที่สุด มีผู้เสียชีวิตมากถึง 204 คน และบาดเจ็บกว่า 1,700 คน อาคารบ้านเรือนพังเสียหาย ส่งผลให้ผู้คน ไร้ที่อยู่อาศัยจ�านวนมาก  และมีการสั่งปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ในพื้นที่ 3  แห่ง  เพื่อความปลอดภัยของ ประชาชน 196 ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 1. นักเรียนรวมกันสรุปความรูเกี่ยวกับภัยพิบัติ ธรรมชาติทางบรรยากาศภาคเพิ่มเติม 2. ครูใหสมาชิกในแตละกลุมชวยกันสรุปสาระ สําคัญเพื่อตอบคําถามเชิงภูมิศาสตร 3. นักเรียนรวมกันทําใบงานที่ 5.2 เรื่อง ภัยพิบัติ ธรรมชาติทางบรรยากาศภาค และรวมกัน เฉลยคําตอบ 4. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกสมรรถนะฯ ภูมิศาสตร ม.4-6 เกี่ยวกับเรื่อง ภัยพิบัติธรรมชาติทาง บรรยากาศภาค โดยครูแนะนําเพิ่มเติม เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับพายุทอรนาโดในสหรัฐอเมริกาวา บริเวณที่เกิด พายุบอยที่สุด ไดแก รัฐตางๆ แถบลุมแมนํ้ามิสซิสซิปป มีรัฐอารคันซอ เทนเนสซี แอละแบมา เคนทักกี มิสซิสซิปป และมิสซูรี ในเดือนมิถุนายนอากาศรอนชื้น จากอาวเม็กซิโกพัดขึ้นไปทางเหนือ พบกับอากาศเย็นจากมหาสมุทรแปซิฟกที่ พัดผานเทือกเขาทําใหพายุทอรนาโดกอตัวขึ้น สภาพภูมิประเทศแบบใดเอื้อตอการกอใหเกิดพายุทอรนาโด ในสหรัฐอเมริกา 1. เทือกเขาสูง 2. เนินเขาเตี้ย 3. ที่ราบกวางใหญ 4. ที่ราบชายฝงทะเล 5. ที่ราบสูงระหวางหุบเขา ( วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. ที่ราบขนาดใหญ เนื่องจาก บริเวณนี้จะมีการปะทะกันของมวลอากาศรอนจากแนวศูนยสูตร และมวลอากาศเย็นจากขั้วโลก ทําใหเกิดการรวมตัวกลายเปน เกลียวของอากาศ) นํา สอน สรุป ประเมิน T204


ก่อนเกิดภัย ขณะเกิดภัย หลังเกิดภัย 1.  ช ่วยเหลือท�าการปฐมพยาบาลเบื้องต้นแก ่ ผู้บาดเจ็บ แล้วน�าตัวส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว 2.  ส�ารวจความเสียหายภายหลังพายุสงบลง โดย เก็บกวาดซากปรักหักพัง รวมถึงจัดการต้นไม้ ที่ล้มบริเวณใกล้เคียงเพื่อป้องกันการโค่นล้ม ภายหลัง หรือถ้าอาคารบ้านเรือนพังเสียหายมาก ก็ ให้อพยพไปยังสถานที่พักพิงที่ทางหน่วยงาน ราชการจัดไว้ให้ 3.  ตรวจสอบสายไฟและเสาไฟ  ถ้าเสียหายมาก ควรแจ้งเจ้าหน้าที่ และท�าเครื่องหมายบริเวณนั้น ให้เป็นพื้นที่อันตรายห้ามเข้าใกล้ 1. ติดตามข่าวสภาวะอากาศอยู่เสมอ 2.  ตรวจตรา  และซ่อมแซมประตู  หน้าต่างให้ มั่นคงแข็งแรง  ควรมีไม้แผ่นปิดทับกระจก  ประตู หน้าต่าง 3.  ท�าหลุมหลบภัยไว้ ในบ้าน  หรือนอกบ้าน เตรียมสิ่งของเครื่องใช้ที่จ�าเป็นไว้ ให้พร้อม 1.  ให้อพยพไปยังที่ก�าบังที่มั่นคงแข็งแรง เช่น หลุมหลบภัยใต้ดิน และให้หลบจนกว่าพายุจะยุติ รวมถึง ติดตามรับฟังข่าวสารทางวิทยุ 2.  ปิดประตู  หน้าต่าง  อยู่ให้ห่างจากหน้าต่าง  โดยเฉพาะหน้าต่างกระจกบานใหญ่  และหลบอยู่ ใต้ โต๊ะที่แข็งแรง ตู้เสื้อผ้า หรืออ่างอาบน�้า 3. ไม่เข้าไปหลบในโกดัง โรงรถ หรือสิ่งปลูกสร้างส�าเร็จรูปที่ไม่แข็งแรง 4. ปิดสวิตช์ ไฟฟ้า และงดใช้อุปกรณ์ ไฟฟ้า รวมถึงโทรศัพท์เคลื่อนที่ 5. หากขับรถยนต์บนเส้นทางใกล้กับจุดที่พายุทอร์นาโดก�าลังเคลื่อนผ่านให้รีบขับหนีอย่างรวดเร็วที่สุด 6) การจัดการภัยพิบัติพายุทอร์นาโด มีดังนี้ 6.1) มาตรการ เช่น มีแผนเตือนภัยในช่วงที่เกิดพายุทอร์นาโดเสมอ ประกาศ เตือนให้ประชาชนติดตามข่าวการเกิดพายุทอร์นาโดและแนวทางการเคลื่อนที่ของพายุโดยตลอด  พร้อมทั้งมีแผนการอพยพและซักซ้อมการหลบภัยเสมอ 6.2) วิธีป้องกัน เช่น ในพื้นที่เสี่ยงภัย ควรมีการสร้างที่หลบภัยไว้ ในบ้าน หรือ จัดสถานที่ปลอดภัยรวม หรือเสริมสร้างอาคารบ้านเรือนให้มั่นคงแข็งแรง 6.3) การปฏิบัติตน ท�าได้ ดังนี้ Question   เพราะเหตุใดพายุทอร์นาโดจึงมักเกิดที่สหรัฐอเมริกาบ่อยครั้ง  และมีบริเวณใดอีกบ้างที่เกิดพายุ ทอร์นาโด หากนักเรียนอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยจากพายุทอร์นาโด จะมีวิธีเอาตัวรอดอย่างไร Geo 197 ขั้นสรุป ครูและนักเรียนรวมกันสรุปความรูเกี่ยวกับ ภัยพิบัติธรรมชาติทางบรรยากาศภาค ไดแก พายุ ฝนฟาคะนอง พายุหมุนเขตรอน พายุทอรนาโด ทั้งในดานของสาเหตุและกระบวนการเกิด ประเภท การกระจายการเกิดภัยตางๆ ตัวอยางเหตุการณ ที่เคยเกิดขึ้น การจัดการภัยพิบัติธรรมชาติทาง บรรยากาศภาค ตลอดจนความสําคัญที่มีอิทธิพล ตอการดําเนินชีวิตของผูคนในปจจุบัน หรืออาจใช PPT สรุปสาระสําคัญของเนื้อหา ขั้นประเมิน 1. ครูประเมินผลโดยสังเกตจากการตอบคําถาม การรวมกันทํางาน และการนําเสนอผลงาน หนาชั้นเรียน 2. ครูตรวจสอบผลจากการทําใบงาน และแบบฝก สมรรถนะฯ ภูมิศาสตร ม.4-6 แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถวัดและประเมินความเขาใจเนื้อหา เรื่อง ภัยพิบัติธรรมชาติทาง บรรยากาศภาค ไดจากการใชเครื่องมือทางภูมิศาสตรในการสืบคนและนําเสนอ ผลงานหนาชั้นเรียน โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมิน การนําเสนอผลงานที่แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรูหนวยที่ 5 เรื่อง ภัยพิบัติ ทางธรรมชาติ แบบประเมินการน าเสนอผลงาน ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินผลการน าเสนอผลงานของนักเรียนตามรายการ แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/................./................ เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 12 - 15 ดี 8 - 11 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง ล าดับที่ รายการประเมินระดับคะแนน 3 2 1 1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 การล าดับขั้นตอนของเรื่อง 3 วิธีการน าเสนอผลงานอย่างสร้างสรรค์ 4 การใช้เทคโนโลยีในการน าเสนอ 5 การมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม รวม ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET เพราะเหตุใดเมื่อพายุสงบแลวจึงไมควรออกเดินทางทันที 1. เพราะจะเกิดฟาแลบ ฟารอง และฟาผาตามมาเสมอ 2. รอหนวยงานที่เกี่ยวของเขามาชวยเหลือผูประสบภัย 3. ตองเผื่อเวลาวางแผนการเดินทางเพื่อความปลอดภัย 4. มักมีลมแรงและฝนตกหนักอีกเมื่อศูนยกลางพายุพัดผาน 5. รอระดับนํ้าลดลงและความเร็วลมคงที่เพื่อใหสามารถเดินทาง ไดอยางปลอดภัย ( วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. เพราะการเกิดฝนตกหนักและแรง ลมในครั้งแรกเปนกระแสอากาศที่รุนแรงโดยรอบศูนยกลางของ พายุ เมื่ออากาศสงบลงแสดงวาเปนบริเวณของศูนยกลางของพายุ ซึ่งมีสภาพอากาศคอนขางปกติ จึงคลายกับพายุพัดผานไปแลว อยางไรก็ตาม เมื่อพายุเคลื่อนตัวกระแสอากาศที่รุนแรงโดยรอบ ศูนยกลางของพายุอีกดานจะกอใหเกิดลมแรงและฝนตกหนักอีกได) นํา สอน สรุป ประเมิน T205


ขอสอบเนนการคิด 3 ภัยพิบัติธรรมชาติทางอุทกภาค อุทกภัย (flood) 1) ค�าจ�ากัดความ อุทกภัยเป็นภัยที่เกิดจากน�้าในล�าน�้า แอ่งน�้า ทะเลสาบ ไหลล้น ตลิ่ง  หรือน�้าท่วมฉับพลันในพื้นที่หนึ่งเป็นระยะเวลาสั้นหรือเป็นครั้งคราว  เนื่องจากมีฝนตกหนัก หรือหิมะละลาย ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อพื้นที่เกษตร ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน 2) ประเภทของอุทกภัย แบ่งได้ ดังนี้ 2.1) น�้าท่วมฉับพลันหรือน�้าป่าไหลหลาก เกิดขึ้นเนื่องจากฝนตกหนักในบริเวณ ต้นน�้าที่มีความลาดชัน หรือในที่ลาดเชิงเขาที่มีเทือกเขาสูงชัน เมื่อฝนตกหนักบนภูเขา ดิน และ ต้นไม้ไม่สามารถดูดซับน�้าได้หมด ปริมาณน�้าจ�านวนมากจึงไหลอย่างรวดเร็วลงสู่พื้นที่ต�่ากว่า ความรุนแรงและความเร็วของกระแสน�้าท�าให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน 2.2) น�้าท่วมขัง เกิดขึ้นจากปริมาณน�้าสะสมจ�านวนมากที่ไหลบ่าในแนวระนาบ จากที่สูงไปยังที่ต�่าเข้าท่วมบ้านเรือน พื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหาย หรือเกิดน�้าท่วมขัง เนื่องจากฝนตกหนักต่อเนื่อง มวลน�้าไม่สามารถระบายออกได้ทัน หรือมีสิ่งกีดขวางทางน�้าไหล เช่น น�้าท่วมขังในเขตเมือง หรือเกิดน�้าทะเลหนุนสูงในพื้นที่ใกล้ชายฝั่ง 2.3) น�้าล้นตลิ่ง เกิดจากปริมาณน�้าจ�านวนมากที่เกิดจากฝนตกหนักต่อเนื่อง ที่ไหลลงสู่ล�าน�้า หรือแม่น�้ามีปริมาณมากจนระบายสู่ลุ่มน�้าด้านล่าง หรือออกสู่ทะเลไม่ทัน ท�าให้ เกิดสภาวะน�้าล้นตลิ่ง อุทกภัยจากเขื่อนเซเปียน - เซน�้าน้อยแตกในประเทศลาว เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2561 เนื่องจากเขื่อนทรุดและมีฝนตก   หนักต่อเนื่อง 198 เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับนํ้าไหลบาวาเปนนํ้าจากฝนที่ตกลงมาหรือ การชลประทาน และไมไดคงอยูในพื้นที่นั้นแตไหลออกไปที่อื่น มีทั้งสวนที่ไหล ออกไปบนพื้นผิวดิน เรียกวา นํ้าไหลบาผิวดิน และสวนที่ไหลซึมออกไปใตดิน เรียกวา นํ้าไหลผานใตดิน ในกรณีนํ้าไหลบาผิวดินหากไหลไปเปนแมนํ้าลําคลอง เรียกอีกอยางหนึ่งวา นํ้าทา ลักษณะภูมิประเทศที่เสี่ยงตอการเกิดอุทกภัยเปนอยางไร (แนวตอบ ลักษณะภูมิประเทศที่เสี่ยงตอการเกิดอุทกภัย เชน บริเวณที่ราบเนินเขา มักเกิดอุทกภัยแบบฉับพลัน นํ้าไหลบาอยาง รวดเร็วและมีพลังทําลายสูง ลักษณะเชนนี้ เรียกวา “นํ้าปา” เกิด ขึ้นเพราะมีนํ้าหลากจากภูเขา พื้นที่ราบลุมริมแมนํ้าและชายฝง เปนภัยที่เกิดขึ้นชาๆ จากนํ้าลนตลิ่ง เมื่อเกิดขึ้นจะกินพื้นที่เปน บริเวณกวางและทวมเปนเวลานาน บริเวณปากแมนํ้า เปนอุทกภัย ที่เกิดจากนํ้าไหลมาจากที่สูงกวาและอาจมีนํ้าทะเลหนุน) ขั้นนํา (Geographic Inquiry Process) 1. ครูแจงใหนักเรียนทราบถึงชื่อเรื่อง จุดประสงค และผลการเรียนรู 2. ครูใหนักเรียนดูภาพ หรือคลิปวิดีโอที่ เกี่ยวของกับภัยพิบัติธรรมชาติทางอุทกภาค ในประเทศไทยและประเทศตางๆ ทั่วโลก 3. ครูสอบถามนักเรียนเกี่ยวกับสาเหตุ ความ รุนแรง และผลกระทบของภัยพิบัติธรรมชาติ ทางอุทกภาคจากการดูภาพ หรือคลิปวิดีโอ เพิ่มเติม นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T206


0 ํ 0 ํ 20 ํN 20 ํN 20 ํS 20 ํS 40 ํN 40 ํN 40 ํS 40 ํS 60 ํN 60 ํN 60 ํS 60 ํS 80 ํN 80 ํN 160 ํW 120 ํW 80 ํW 40 ํW 40 ํE 0 ํ 80 ํE 120 ํE 160 ํE 160 ํW 120 ํW 80 ํW 40 ํW 40 ํE 0 ํ 80 ํE 120 ํE 160 ํE 80 ํS 80 ํS N 0 2,000 4,000 กม. 1 : 250,000,000 พื้นที่ประสบอุทกภัยบอย บอยมาก บอยที่สุด 3) สาเหตุการเกิดอุทกภัย มีทั้งสาเหตุจากธรรมชาติและจากมนุษย์ ดังนี้ 3.1) สาเหตุจากธรรมชาติ ที่ส�าคัญ ได้แก่ 1. ฝนตกหนักจากพายุฝนฟ้าคะนอง  เป็นพายุที่เกิดติดต่อกันหลายชั่วโมง  มีปริมาณฝนตกหนัก ท�าให้เกิดน�้าท่วมในพื้นที่ต�่า มักเกิดในช่วงต้นฤดูฝนหรือฤดูร้อน 2. ฝนตกหนักจากพายุหมุนเขตร้อน  เมื่อพายุเคลื่อนขึ้นฝั่งจะเกิดน�้าท่วม เป็นบริเวณกว้าง รวมถึงท�าให้เกิดคลื่นพายุซัดฝั่ง 3. อิทธิพลจากลมมรสุม เป็นการหมุนเวียนของลมที่พัดมาตามฤดู พัดเอา ความชื้นจากมหาสมุทรขึ้นสู่ชายฝั่ง 4. น�้าทะเลหนุน เมื่อน�้าที่ไหลลงมาตามแม่น�้ามีปริมาณมาก หรือช่วงเวลา ที่ระดับน�้าทะเลหนุนสูงเกินกว่าปกติ ท�าให้น�้าไม่อาจไหลลงสู่ทะเล ท�าให้เกิดน�้าล้นตลิ่งหรือน�้าท่วมได้ 3.2) สาเหตุจากมนุษย์ ที่ส�าคัญ ได้แก่ 1. การตัดไม้ท�าลายป่า  เมื่อฝนตกหนักจะท�าให้น�้าไหลเร็วและแรงจน ก่อให้เกิดน�้าท่วมฉับพลัน หรือน�้าท่วมเฉพาะพื้นที่ และเป็นสาเหตุของดินถล่มด้วย 2. การขยายเขตเมืองรุกล�้าพื้นที่ลุ่มต�่า ท�าให้ไม่มีพื้นที่รับน�้า  3. การสร้างสิ่งก่อสร้างกีดขวางทางน�้าและมีระบบการระบายน�้าไม่เพียงพอ ท�าให้น�้าระบายได้ช้า เอ่อล้น และเกิดปัญหาน�้าท่วม 4. การจัดการน�้าที่ขาดประสิทธิภาพ โดยเฉพาะพื้นที่ท้ายเขื่อนหรืออ่างเก็บน�้า 4) การกระจายการเกิดอุทกภัยของโลก แผนที่แสดงพื้นที่เสี่ยงการเกิดอุทกภัยของโลก ที่มา : www.wri.org 199 3. อิทธิพลจากลมมรสุม เป็นการหมุนเวียนของลมที่พัดมาตามฤดู พัดเอา 1 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร 1. ครูใหนักเรียนดูแผนที่แสดงพื้นที่เสี่ยงการเกิด อุทกภัยของโลก จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 แลวรวมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ แผนที่ดังกลาว 2. ครูสุมนักเรียนใหแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ สาเหตุการเกิดอุทกภัยในความคิดของนักเรียน พรอมทั้งจดประเด็นที่นําเสนอไวเพื่อการ วิเคราะหเพิ่มเติม นักเรียนควรรู 1 ลมมรสุม คือ ลมประจําฤดู เกิดขึ้นเนื่องจากความแตกตางระหวาง อุณหภูมิของพื้นดินและพื้นนํ้าในฤดูหนาวและฤดูรอน ในฤดูหนาวอุณหภูมิของ อากาศเหนือพื้นทวีปเย็นกวาอากาศเหนือพื้นมหาสมุทรที่อยูใกลเคียง อากาศ เหนือพื้นนํ้าจึงมีอุณหภูมิสูงกวาและลอยตัวขึ้นสูเบื้องบน อากาศเหนือพื้นทวีป ซึ่งเย็นกวาจึงไหลเขาไปแทนที่ ทําใหเกิดลมพัดออกจากทวีป พอถึงฤดูรอน อุณหภูมิของดินภาคพื้นทวีปสูงกวานํ้าในมหาสมุทร เปนเหตุใหเกิดลมพัดไป ในทิศทางตรงกันขาม ประเทศไทยอยูในเขตอิทธิพลของลมมรสุม 2 ฤดู คือ มรสุมตะวันตกเฉียงใต และมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งพัดประมาณ ฤดูกาลละ 6 เดือน นักเรียนสืบคนขาวหรือบทความเกี่ยวกับอุทกภัยที่เคยเกิดขึ้น ในประเทศไทย หรือตางประเทศที่นักเรียนสนใจ พรอมติดภาพ ประกอบ แลวตอบตามประเด็นที่กําหนด ดังนี้ • พื้นที่ที่ประสบอุทกภัย • สภาพโดยทั่วไปของพื้นที่ดังกลาว • สาเหตุและผลกระทบจากอุทกภัย • แนวทางการปองกันภัยของชุมชน นํา สอน สรุป ประเมิน T207


98 ํE 100 ํE 102 ํE 104 ํE 106 ํE16 ํN 98 ํE 100 ํE 102 ํE 104 ํE 20 ํN 18 ํN 14 ํN 12 ํN 10 ํN 8 ํN 6 ํN 20 ํN 18 ํN 16 ํN 14 ํN 12 ํN 10 ํN 8 ํN 6 ํN แผนที่แสดงพื้นที่อุทกภัย พ.ศ. 2554 มาตราสวน 1 : 14,000,000 พื้นที่ประสบอุทกภัย พื้นที่อุทกภัย แหลงน้ำ 0 50 100 150 กม. N ขอมูล : สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ และภูมิสารสนเทศ - GISTDA       จากแผนที่ อุทกภัยมักเกิดขึ้นในพื้นที่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น�้าและที่ราบใกล้ชายฝั่ง ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดอุทกภัยมากที่สุด แต่ในพื้นที่อื่น ๆ ก็มีโอกาสเกิดอุทกภัยได้เช่นกัน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพื้นที่ดังกล่าวฝนตกหนักต่อเนื่องเป็นเวลานาน ประเทศบังกลาเทศมีแนวโน้ม ที่มีความเสี่ยงต่อการถูกน�้าท่วมมากที่สุดในโลก เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศเป็นที่ราบลุ่ม แม่น�้า ทั้งยังตั้งอยู่ระหว่างเชิงเขาหิมาลัยและมหาสมุทรอินเดีย และเผชิญกับฤดูมรสุมที่ยาวนาน  เป็นสาเหตุส�าคัญของการเกิดฝนตกหนัก       นอกจากนี้ บริเวณพื้นที่ชายฝั่งด้านตะวันออกทั้งหมดของภาคพื้นทวีปจะเสี่ยงต่อการ เกิดอุทกภัยมากกว ่าพื้นที่ชายฝั ่งด้านตะวันตก เพราะพายุหมุนเขตร้อนทั้งหมดจะเคลื่อนตัว ในมหาสมุทรจากทางตะวันออกไปทางตะวันตก ท�าให้พื้นที่ฝั่งตะวันออกได้รับแรงปะทะมากกว่า  บริเวณเชิงเขาของเทือกเขาใหญ่ทุกแห่งเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดอุทกภัยเช่นกัน     ประเทศไทยมีพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยเกือบ ทั่วประเทศ ระดับความรุนแรงและความเสียหาย แตกต่างกันไปตามสภาพทางภูมิศาสตร์ เช่น  ภาคเหนือตอนบนมีสภาพภูมิประเทศเป็นภูเขา สูงสลับที่ราบ ท�าให้ประสบภัยน�้าท่วมฉับพลัน  ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลางเป็นที่ราบลุ่ม อุทกภัยจะเกิดจากน�้าท ่วมขังและน�้าล้นตลิ่ง ภาคกลางพื้นที่ส ่วนใหญ ่เป็นที่ราบลุ ่มแม ่น�้า อุทกภัยที่เกิดขึ้นเกิดจากน�้าท่วมขัง น�้าเหนือ ไหลบ่า น�้าทะเลหนุน ส่วนภาคใต้มีทะเลขนาบ ทั้งสองฝั่ง ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมและพายุ หมุนเขตร้อน ทั้งยังมีภูเขาสูงวางตัวแนวเหนือ -  ใต้ ท�าให้ภาคใต้ประสบอุทกภัยจากฝนตกหนัก  น�้าทะเลหนุนสูง และน�้าท ่วมฉับพลันจากฝน ที่ตกบริเวณที่ลาดเชิงเขาและที่ลุ่มชายฝั่ง แผนที่แสดงพื้นที่ประสบอุทกภัยในประเทศไทย พ.ศ. 2554 200 ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร 3. ครูใหนักเรียนดูแผนที่แสดงพื้นที่ประสบ อุทกภัยในประเทศไทย พ.ศ. 2554 จากหนังสือ เรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 แลวรวมกันอภิปราย แสดงความคิดเห็นเชื่อมโยงกับแผนที่แสดง พื้นที่เสี่ยงการเกิดอุทกภัยของโลก ถึงความ เกี่ยวของสัมพันธกันในประเด็นตางๆ 4. ครูกระตุนใหนักเรียนชวยกันตั้งประเด็นคําถาม เชิงภูมิศาสตร เชน • ลักษณะทางกายภาพสงผลใหเกิดปญหา หรือภัยพิบัติธรรมชาติทางอุทกภาคใน ประเทศไทยและภูมิภาคตางๆ ของโลก อยางไรบาง • ภัยพิบัติธรรมชาติทางอุทกภาคที่เกิดขึ้น ในภูมิภาคตางๆ ของโลก มีความเหมือน หรือความแตกตางกัน อยางไร • ผลกระทบสําคัญจากภัยพิบัติธรรมชาติ ทางอุทกภาคคืออะไร • แนวทางหรือวิธีการปองกันภัยพิบัติ ธรรมชาติทางอุทกภาคสามารถทําได อยางไร เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณการเกิดอุทกภัยในประเทศไทยวา ปจจุบันการเกิดอุทกภัยของประเทศไทยมีแนวโนมรุนแรงมากขึ้น อยางไรก็ตาม มีการเก็บขอมูลพื้นที่ซึ่งมักประสบอุทกภัย โดยเรียกวา พื้นที่นํ้าทวมซํ้าซาก ซึ่งหมายถึง พื้นที่ที่มีการทวมขังของนํ้าบนผิวดินสูงและยาวนานกวาปกติอยู เปนประจํา จนสรางความเสียหายตอทรัพยสินและชีวิตของประชาชน โดยพื้นที่ ประสบภัยนํ้าทวมซํ้าซากรุนแรง คือ มีนํ้าทวม 8-10 ครั้งในรอบ 10 ป ไดแก ที่ราบลุมนํ้าในจังหวัดสุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร และนครสวรรค รวมถึงบางจังหวัด ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คิดเปนเนื้อที่ประมาณ 870,000 ไร กิจกรรม เสริมสรางคุณลักษณะอันพึงประสงค นักเรียนรวมกันทํากิจกรรมในหัวขอ “การคาดการณ” โดย ใหนักเรียนแบงกลุมวิเคราะหและคาดการณปริมาณพื้นที่ประสบ อุทกภัยในประเทศไทยในอีก 20 ปขางหนา บันทึกขอมูลลงบนแผนที่ โครงรางประเทศไทย พรอมทั้งอธิบายถึงเหตุผล ผลกระทบ และ การจัดการกับอุทกภัยของประชากรในพื้นที่ นําเสนอและอภิปราย รวมกันในชั้นเรียน นํา สอน สรุป ประเมิน T208


กิจกรรม ทาทาย 5) ภัยต่าง ๆ ที่เกิดจากอุทกภัยรุนแรง มีดังนี้ 1. น�้าป่าไหลหลาก ท�าให้บ้านเรือน สิ่งปลูกสร้างถูกน�้าท�าลาย รวมทั้งเกิดการ สูญเสียชีวิตและผู้คนได้รับบาดเจ็บ 2. เกิดแผ ่นดินถล ่ม ในพื้นที่ที่มีความลาดชันมาก เมื่อฝนตกหนักดินที่มี ความชื้นสูงจะเลื่อนไหลไปตามความลาดชันต้นไม้เศษหินจะเลื่อนตามไปด้วย หมู่บ้านสิ่งก่อสร้าง ต่าง ๆ และพื้นที่ทางการเกษตรได้รับความเสียหาย 3. ภัยจากไฟฟ้าดูดหรือไฟฟ้ารั่ว ภัยจากไฟฟ้าดูดในช่วงน�้าท่วมเป็นอันตราย ใกล้ตัว มักเกิดขึ้นในที่พักอาศัยของประชาชน โดยเฉพาะอาคารชั้นเดียวมีความเสี่ยงน�้าท่วม ปลั๊กไฟได้ง่าย ท�าให้ไฟฟ้ารั่วไหลเป็นอันตรายต่อชีวิต 4. ภัยจากสัตว์ร้าย เมื่อเกิดภาวะน�้าท่วม สัตว์จะหนีน�้าเข้ามาอยู ่อาศัยตาม บ้านเรือน รวมถึงสัตว์มีพิษที่เป็นอันตรายต่อชีวิตมนุษย์ เช่น จระเข้ งู ตะขาบ แมงป่อง 5. มลพิษทางน�้า จากน�้าเน่าเสียที่เกิดจากการขังของน�้าในบ้านเรือนหรือชุมชน เป็นเวลานาน อาจท�าให้เกิดการระบาดของโรคที่มากับน�้า เช่น น�้ากัดเท้า อหิวาตกโรค 6. ความเสียหายทางเศรษฐกิจ เนื่องจากระหว่างเกิดอุทกภัย ระบบการสื่อสาร และสาธารณูปโภคต่าง ๆ ได้รับความเสียหาย เส้นทางคมนาคมถูกตัดขาด อาคารบ้านเรือนและ สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ถูกน�้าพัดท�าลาย   อุทกภัยนอกจากจะสร้างความเสียหายให้แก่อาคารบ้านเรือนและเรือกสวนไร่นาแล้ว ยังส่งผลให้เกิดมลพิษทางน�้า    และอาจก่อให้เกิดการกัดเซาะพังทลายของดินตามมา 201 กิจกรรม สรางเสริม ขั้นสอน ขั้นที่ 2 การรวบรวมขอมูล 1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม สืบคนขอมูลเกี่ยวกับ ตัวอยางเหตุการณภัยพิบัติธรรมชาติทาง อุทกภาค จากแหลงการเรียนรูอื่นๆ เชน หนังสือในหองสมุด เว็บไซตในอินเทอรเน็ต ในประเด็นตอไปนี้ • ประเภทของอุทกภัย • สาเหตุการเกิดอุทกภัย • ภัยที่เกิดจากอุทกภัย • การจัดการภัยพิบัติอุทกภัย 2. นักเรียนแตละกลุมรวมกันศึกษาขอมูลในหัวขอ ที่รับผิดชอบ โดยนําความรูเกี่ยวกับเครื่องมือ ทางภูมิศาสตรมาใชประกอบในการศึกษา 3. ครูแนะนําแหลงขอมูลสารสนเทศที่เชื่อถือได ใหกับนักเรียนแตละกลุมเพิ่มเติม เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปองกันตนเองจากสัตวรายที่มากับภาวะ นํ้าทวม เชน จระเข ใหระมัดระวังเมื่ออยูในบริเวณที่มีกอหญาหรือพงไมเปน จํานวนมาก เพราะจระเขจะใชเปนที่กําบังตัว หากจําเปนตองลงนํ้าใหใชไมตี นํ้าหรือทําใหเกิดเสียงดังกอน แตถาเลี่ยงไดก็ควรเลี่ยงและไมประมาท งู จะ หนีนํ้าเขามาอาศัยตามซอกตางๆ ของบานเรือน ซึ่งอาจมีทั้งงูพิษและไมมีพิษ เมื่อนํ้าลดควรหลีกเลี่ยงการเขาไปในที่รก หรือไมโยกยายสิ่งของในที่มืดทึบ เพราะงูอาจเขาไปหลบอาศัยอยู ขั้นที่ 3 การจัดการขอมูล 1. สมาชิกแตละคนในกลุมนําขอมูลที่ตนไดจาก การรวบรวมมาอธิบายแลกเปลี่ยนความรูกัน 2. จากนั้นสมาชิกในกลุมชวยกันคัดเลือกขอมูล ที่นําเสนอเพื่อใหไดขอมูลที่ถูกตอง และรวม อภิปรายแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม ครูอาจใหนักเรียนจัดทําตารางหรือผังกราฟกที่แสดง รายละเอียดเกี่ยวกับภัยจากอุทกภัย และตัวอยางสถานการณการ เกิดอุทกภัยในประเทศไทยหรือในภูมิภาคอื่นของโลก โดยศึกษา คนควาขอมูลเพิ่มเติมจากแหลงการเรียนรูที่ครูเสนอแนะ แลว ตกแตงใหสวยงามสงครูผูสอน ครูอาจใหนักเรียนจัดทําตารางหรือผังกราฟกที่แสดงราย ละเอียดเกี่ยวกับผลกระทบของอุทกภัย รวมถึงการระวังภัยจาก อุทกภัย แลวตกแตงใหสวยงามสงครูผูสอน นํา สอน สรุป ประเมิน T209


ขอสอบเนนการคิด 6) เหตุการณ์อุทกภัยที่รุนแรง ครั้งส�าคัญ เช่น สาเหตุ : เนื่องจากเกิดฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ ทางภาคตะวันตกของประเทศญี่ปุ่น  ท�าให้แม่น�้า หลายสายเอ่อล้นตลิ่ง ส่งผลให้เกิดน�้าท่วมฉับพลัน และดินโคลนถล่มในหลายพื้นที่ ผลกระทบ : ท�าให้มีผู้เสียชีวิตจ�านวน 217 คน  (ข้อมูลวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2561) ในจ�านวนนี้ เป็นผู้มีอายุมากกว ่า 60  ปีขึ้นไปถึง 118  คน  เนื่องจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบส ่วนใหญ ่เป็น ที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุ  ท�าให้ไม่สามารถอพยพ น�้าท่วมจังหวัดโอะกะยะมะ ทางตะวันตกของประเทศ ญี่ปุ่น หนีน�้าขึ้นที่สูงได้ทัน ประชาชนกว่า 2 ล้านคนต้องอพยพออกจากพื้นที่ อาคารบ้านเรือนถูกท�าลายและ ได้รับความเสียหายกว่า 100 หลังคาเรือน นับเป็นอุทกภัยที่รุนแรงที่สุดในรอบ 36 ปี เหตุการณ์ อุทกภัยในประเทศญี่ปุ่น พ.ศ. 2561 เหตุการณ์มหาอุทกภัยในประเทศไทย พ.ศ. 2554 สาเหตุ : 1.  อิทธิพลจากพายุ 5 ลูก ได้แก่ พายุเนสาด พายุ ไหหม่า พายุนกเตน พายุนาลแก และพายุไห่ถาง 2.  ปรากฏการณ์ลานีญา ที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรก ของ พ.ศ. 2554 ส ่งผลให้ฝนมาเร็วกว ่าปกติ ตั้งแต่เดือนมีนาคม 3.  ปริมาณฝนในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน  มากกว่าร้อยละ 70 ของปริมาณฝนสะสมรายปี 4.  ร่องความกดอากาศต�่าเคลื่อนขึ้นลงที่ไม่ปกติ ผลกระทบ : ท�าให้มีผู้เสียชีวิต 813 คน สูญหาย 3 คน ในพื้นที่ 65 จังหวัด ประชาชนได้รับความ เดือดร้อน 4,086,138 ครัวเรือน จ�านวน 13,595,192 คน บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 2,329 หลัง เสียหายบางส่วน 96,833 หลัง พื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหาย 11.2 ล้านไร่ นิคมอุตสาหกรรม 7 แห่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและปทุมธานี ได้รับความเสียหาย ประเมินความเสียหายทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.44 ล้านล้านบาท เหตุการณ์ มหาอุทกภัยในประเทศไทย พ.ศ. 2554 202 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 1. ครูใหนักเรียนแตละกลุมนําเสนอขอมูลจากการ ศึกษา พรอมทั้งอภิปรายแสดงความคิดเห็น รวมกัน 2. ครูใหนักเรียนรวมกันยกตัวอยางเหตุการณ การเกิดอุทกภัยครั้งรุนแรงในประเทศไทย จากแหลงการเรียนรูอื่นๆ เชน เว็บไซตใน อินเทอรเน็ตเพิ่มเติม 3. ครูนําโครงการในพระราชดําริในรัชกาลที่ 9 เชน โครงการแกมลิง ที่เกี่ยวของกับการแก ปญหาอุทกภัยมาใหนักเรียนรวมกันวิเคราะห และอภิปรายแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม 4. ครูตั้งคําถามเพื่อวิเคราะหความรู เชน • ลักษณะของการเกิดอุทกภัยในพื้นที่ตางๆ ของโลกเปนอยางไร (แนวตอบ การเกิดอุทกภัยในพื้นที่ตางๆ ของโลก รวมถึงประเทศไทยมีลักษณะแบบ ฉับพลันและมีความรุนแรงมากกวาในอดีต เนื่องจากฝนที่ตกตอเนื่องเปนเวลานาน จากพายุหมุนเขตรอนตางๆ) • แนวทางปองกันและบรรเทาอุทกภัยสามารถ ทําไดอยางไร จงยกตัวอยาง (แนวตอบ เชน การปลูกหญาแฝกริมตลิ่ง เพื่อปองกันการกัดเซาะของนํ้า การกําหนด พื้นที่ที่ไมไดใชประโยชนใหเปนแหลงกักเก็บ นํ้าหรือแกมลิง การขุดลอกคูคลองเพื่อให ระบายนํ้าไดอยางเต็มประสิทธิภาพ รวมถึง การไมตัดไมทําลายปา ซึ่งเปนพื้นที่ดูดซับ และชะลอการไหลของนํ้า) บูรณาการอาเซียน กลุมประเทศสมาชิกอาเซียนไดเล็งเห็นถึงปญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่เกิดขึ้น จึงรวมมือกันตั้งคณะกรรมการจัดการภัยพิบัติกับอาเซียนขึ้น โดยมี เปาหมายหลัก คือ รวมกันจัดทําโครงการจัดการภัยพิบัติในภูมิภาค เชน จาก เหตุการณมหาอุทกภัย พ.ศ. 2554 ทําใหประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต ไดรับผลกระทบมากถึง 6 ประเทศ และมีความรุนแรงมากที่สุดในรอบ 50 ปของประเทศไทย เหตุการณครั้งนี้ไดแสดงใหเห็นถึงความรวมมือและ การชวยเหลือซึ่งกันและกันของประเทศสมาชิกอาเซียน นอกจากนี้ อาเซียนยังมี บทบาทในการบรรเทาสถานการณ โดยสงทีมประเมินสถานการณเคลื่อนที่เร็ว ฉุกเฉินอาเซียนลงพื้นที่สถานการณภัยพิบัตินํ้าทวมในประเทศไทย ประกอบ ดวยสมาชิกจากประเทศบรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร ทํางาน รวมกับเจาหนาที่ฝายไทย สาเหตุและลักษณะการเกิดอุทกภัยในประเทศไทยเปนอยางไร (แนวตอบ อุทกภัยในประเทศไทยมีสาเหตุหลักมาจากการ ตัดไมทําลายปา โดยเฉพาะบริเวณปาตนนํ้าบนทิวเขาตางๆ สงผลให ขาดแหลงดูดซับและชะลอความแรงของนํ้าฝน อุทกภัยที่เกิดขึ้น มีลักษณะฉับพลัน หรือเรียกวา นํ้าปาไหลหลาก ประกอบกับ บริเวณที่ราบลุมแมนํ้ามีการกอสรางสิ่งกีดขวางลํานํ้า การระบายนํ้า จึงทําไดยาก สถานการณอุทกภัยในประเทศไทยโดยภาพรวม จึงรุนแรงยิ่งขึ้นทั้งในลุมแมนํ้าเจาพระยา แมนํ้าชี แมนํ้ามูล และแมนํ้าสายอื่นๆ) นํา สอน สรุป ประเมิน T210


7) การจัดการภัยพิบัติอุทกภัย มีดังนี้ 7.1) มาตรการ การจัดการภัยน�้าท่วมแบ่งเป็น 2 มาตรการ ได้แก่ 1. มาตรการใช้สิ่งก่อสร้าง เช่น การสร้างเขื่อนและพนังกั้นน�้า เพื่อจ�ากัด การไหลของน�้าขณะเกิดน�้าท่วม และป้องกันพื้นที่บางส่วนในลุ่มน�้าไม่ ให้เกิดความเสียหาย เขื่อน และพนังกั้นน�้าจะป้องกันพื้นที่เฉพาะบริเวณหลังคันกั้นน�้าและในระดับความสูงที่ได้ออกแบบไว้ เท่านั้น ข้อดีของการสร้างเขื่อนและพนังกั้นน�้า คือ สามารถเลือกพื้นที่ในการป้องกันได้โดยอาจ ป้องกันเฉพาะที่ เช่น การสร้างพนังกั้นบริเวณที่แม่น�้าไหลผ่านตัวเมือง หรือการสร้างเขื่อนในการ ควบคุมการไหลของน�้าในพื้นที่ขนาดใหญ่ การก่อสร้างดังกล่าวต้องค�านึงถึงความปลอดภัยเป็น ส�าคัญ การปรับปรุงสภาพล�าน�้า เช่น การปรับสภาพล�าน�้าให้มีลักษณะตรงและกว้าง การขุดลอก คูคลองและก�าจัดวัชพืช เพื่อช่วยลดระดับของน�้าหากเกิดน�้าท่วม สร้างเส้นทางน�้าอ้อมเมือง เช่น  การสร้างอ่างเก็บน�้าที่มีลักษณะกว้างและตื้น ส�าหรับผันน�้ามาเก็บไว้เมื่อเกิดน�้าท่วมในเขตชุมชน เป็นการลดปริมาณการไหลของน�้าสายหลักและเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน�้า 2. มาตรการไม่ใช่สิ่งก่อสร้าง เช่น การปรับปรุงการใช้ที่ดิน เป็นการปรับ รูปแบบการใช้ที่ดินให้รองรับเหตุการณ์น�้าท่วมที่จะเกิดขึ้น การจัดการการใช้ที่ดินประกอบไปด้วย การควบคุมผังเมืองและการควบคุมสิ่งปลูกสร้าง การเวนคืนที่ดิน จะส ่งผลดีในระยะยาวกับ สภาพเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม การปรับปรุงพื้นที่เพื่อใช้เป็นแหล่งกักเก็บน�้า 7.2) วิธีป้องกัน ที่ส�าคัญ เช่น 1. การพยากรณ์และเตือนภัยน�้าท่วม เป็นการประมาณล�าดับขั้นตอนการ เกิดน�้าท่วม ปริมาณน�้า ช่วงเวลาการเกิดและไหลสูงสุด ส่วนการเตือนภัยน�้าท่วมเป็นการประกาศ เตือนภัยล่วงหน้า เพื่อให้มีเวลาในการเตรียมตัวรับมือน�้าท่วมได้แผนปฏิบัติหลังการเตือนภัย จะเกี่ยวข้องกับการวางแผนอพยพ การเตือนภัยที่ดีต้องมีระยะเวลาเพียงพอให้ประชาชนสามารถ รับมือได้ทัน และระบบเตือนภัยต้องมีความน่าเชื่อถือ 2. ให้ความรู้และข้อมูลแก่ประชาชนการให้ความรู้แก่ประชาชนเป็นสิ่งจ�าเป็น ข้อมูลต้องเข้าใจง่าย เข้าถึงง่าย รวดเร็ว และมีคุณภาพ ข้อมูลส�าคัญที่เกี่ยวข้องกับน�้าท่วม เช่น ข้อมูลน�้าท่วมทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ที่เคยเกิดในพื้นที่ ข้อมูลน�้าท่วมประจ�าปีและข้อมูล ทรัพยากรต่าง ๆ ในพื้นที่ลุ่มน�้าและภูมิภาคใกล้เคียงที่ส่งผลกระทบถึงกันได้จากข้อมูลดังกล่าว สามารถน�ามาจัดท�าเอกสารเผยแพร่ให้กับประชาชนได้เช่น การจัดท�าหนังสือคู่มือเตรียมรับ สถานการณ์น�้าท่วมแก่ประชาชน ซึ่งจะเป็นอีกวิธีการหนึ่งในการช่วยบรรเทาความเสียหายจาก น�้าท่วมได้ดี 3. ไม่บุกรุกท�าลายป่าไม้เพราะเมื่อไม่มีป่าไม้ท�าให้ขาดพื้นที่ดูดซับและ ชะลอการไหลของน�้า น�้าจึงไหลลงสู่แม่น�้าล�าห้วยได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งอนุรักษ์พื้นที่ต้นน�้า  โดยการใช้ ดูแลรักษา และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติในบริเวณพื้นที่ต้นน�้าอย่างเหมาะสม 203 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 5. ครูใหนักเรียนรวมกันวิเคราะหแนวทางการ ปองกันและแกไขปญหาทรัพยากรนํ้าใน ประเทศไทย โดยอาจยกกรณีศึกษาการเกิด อุทกภัยในแตละครั้งของประเทศไทย แลว อธิบายใหนักเรียนเขาใจถึงปญหาทรัพยากรนํ้า ที่สงผลกระทบตอการดําเนินชีวิต การประกอบ อาชีพ รวมถึงสภาพเศรษฐกิจและสังคมของ ประเทศ แลวใหชวยกันสรุปผลการวิเคราะห แนวทางการปองกันและแกไขปญหาทรัพยากร นํ้าในประเทศไทยเปนตาราง หรือผังความคิด บนกระดานหนาชั้นเรียน ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ขอใดคือแนวทางการปองกันนํ้าปาไหลหลากอยางยั่งยืน 1. การอนุรักษปาตนนํ้า 2. การสรางเขื่อนขาดใหญ 3. การจัดการสิ่งกีดขวางลํานํ้า 4. การพยากรณเตือนภัยลวงหนา 5. การสรางฝายขนาดเล็กจํานวนมาก ( วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. การอนุรักษปาตนนํ้า เนื่องจาก นํ้าปาไหลหลากเกิดขึ้นจากการขาดพื้นที่ปาคอยดูดซับและ ชะลอแรงนํ้า เมื่อมีฝนตกหนักนํ้าจึงไหลบาอยางรวดเร็วลงสู พื้นที่ตํ่าดานลาง ทั้งนี้ การอนุรักษพื้นที่ปาตนนํ้ายังชวยใหเกิด ความสมบูรณของระบบนิเวศโดยรวมอยางยั่งยืนดวย) สื่อ Digital ศึกษาคนควาขอมูลเกี่ยวกับการพยากรณและเตือนภัยนํ้าทวม ไดที่ http://ews.dwr.go.th/ews/index.php หองปฏิบัติการเฝาระวังและเตือนภัย นํ้าหลาก-ดินถลม สํานักวิจัย พัฒนา และอุทกวิทยา กรมทรัพยากรนํ้า เกร็ดแนะครู ครูควรอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการแกมลิง ซึ่งเปนโครงการอันเนื่องมา จากพระราชดําริของรัชกาลที่ 9 เพื่อแกปญหานํ้าทวมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑลมีหลักการขุดคลองเพื่อชักนํ้ามารวมกัน แลวเก็บไวเปนบอพักนํ้า เปรียบไดกับแกมลิง แลวจึงระบายนํ้าลงทะเลเมื่อปริมาณนํ้าทะเลลดลง นํา สอน สรุป ประเมิน T211


ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ก่อนเกิดภัย ขณะเกิดภัย หลังเกิดภัย 1.  ท�าความสะอาดบ้านเรือนเก็บกวาดซากปรักหักพังถ้าเสียหายมากจนไม่อาจซ่อมแซมได้ ควรรื้อถอน 2.  ซ่อมแซมอาคารบ้านเรือน สาธารณูปโภคต่าง ๆ เช่น ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ถนน ที่ช�ารุด เสียหายให้กลับสู่สภาพเดิม 3.  หากมีซากสัตว์ตายตามที่ต่าง ๆ ให้รีบจัดการเก็บฝังโดยเร็ว 4. สงเคราะห์ผู้ประสบภัยอื่นที่เดือดร้อน เช่น บริจาคเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม อาหาร 7.3) การปฏิบัติตน ท�าได้ ดังนี้ 1.  ติดตามรายงานสภาวะอากาศจากทางราชการ เตรียมอุปกรณ์ที่จ�าเป็นกระสอบทรายรวมทั้ง เคลื่อนย้ายสัตว์เลี้ยง  สิ่งของไปอยู่ที่สูง  หรือ สถานที่ปลอดภัย 2.  เตรียมวางแผนอพยพไปยังสถานที่ปลอดภัย รวมถึงพิจารณาท�าประกันภัยน�้าท่วม 3.  ส�ารวจช่องเปิดในบริเวณบ้านที่คาดว่าอาจมี สัตว์ที่มีอันตรายต่าง ๆ เล็ดลอดเข้ามา แล้ว ท�าการปิดช่องเปิดนั้นเพื่อป้องกันอันตราย 4.  ขุดลอกแหล่งน�้าที่ตื้นเขินเพื่อให้น�้าไหลได้ดี Activity สืบค้นข่าวเกี่ยวกับอุทกภัยในทวีปต่าง ๆ ของโลกจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ในประเด็นบริเวณที่เกิด อุทกภัย สาเหตุการเกิดอุทกภัย ผลกระทบจากอุทกภัย แนวทางการจัดการภัยพิบัติ แล้วน�าข้อมูลที่ได้มา จัดท�าโปสเตอร์ ตกแต่งให้สวยงาม จากนั้นน�าเสนอหน้าชั้นเรียน Geo 1.  ติดตามข่าวสารจากทางราชการ และเตรียม พร้อมที่จะอพยพไปในที่ปลอดภัย 2.  อยู่ในอาคารบ้านเรือนที่แข็งแรงและอยู่ที่สูง พ้นจากน�้า  ตัดสะพานไฟ และปิดแก๊สหุงต้ม ให้เรียบร้อย 3. ไม่เข้าใกล้อุปกรณ์ไฟฟ้า เสาไฟฟ้า สายไฟ 4.  ไม่ควรขับขี่ยานพาหนะฝ่าลงไปในกระแสน�้า 5.  ไม่ควรเล่นน�้า หรือว่ายน�้าบริเวณที่มีน�้าท่วม และระวังสัตว์มีพิษที่หนีน�้าท่วมขึ้นมากัดต่อย 204 ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 1. ครูใหสมาชิกในแตละกลุมชวยกันสรุปสาระ สําคัญเพื่อตอบคําถามเชิงภูมิศาสตร 2. ครูใหนักเรียนรวมกันทําใบงานที่ 5.3 เรื่อง ภัยพิบัติธรรมชาติทางอุทกภาค 3. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกสมรรถนะฯ ภูมิศาสตร ม.4-6 เกี่ยวกับภัยพิบัติธรรมชาติทางอุทกภาค โดยครูแนะนําเพิ่มเติม ขั้นสรุป ครูและนักเรียนรวมกันสรุปความรูเกี่ยวกับ ภัยพิบัติธรรมชาติทางอุทกภาค ทั้งในดานของ สาเหตุและกระบวนการเกิด ประเภทการกระจาย การเกิดภัยตางๆ ตัวอยางเหตุการณที่เคยเกิดขึ้น การจัดการภัยพิบัติธรรมชาติทาง อุทกภาค ตลอดจนความสําคัญที่มีอิทธิพลตอการดําเนินชีวิต ของประชากร หรือใช PPT สรุปสาระสําคัญของ เนื้อหา ขั้นประเมิน 1. ครูประเมินผลโดยสังเกตจากการตอบคําถาม การรวมกันทํางาน และการนําเสนอผลงาน หนาชั้นเรียน 2. ครูตรวจสอบผลจากการทําใบงาน และแบบฝก สมรรถนะฯ ภูมิศาสตร ม.4-6 แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถวัดและประเมินความเขาใจเนื้อหา เรื่อง ภัยพิบัติธรรมชาติทาง อุทกภาค ไดจากการใชเครื่องมือทางภูมิศาสตรในการสืบคนและนําเสนอผลงาน หนาชั้นเรียน โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินการ นําเสนอผลงานที่แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรูหนวยที่ 5 เรื่อง ภัยพิบัติ ทางธรรมชาติแบบประเมินการน าเสนอผลงาน ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินผลการน าเสนอผลงานของนักเรียนตามรายการ แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/................./................ เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 12 - 15 ดี 8 - 11 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง ล าดับที่ รายการประเมินระดับคะแนน 3 2 1 1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 การล าดับขั้นตอนของเรื่อง 3 วิธีการน าเสนอผลงานอย่างสร้างสรรค์ 4 การใช้เทคโนโลยีในการน าเสนอ 5 การมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม รวม บุคคลในขอใดปฏิบัติตนเมื่อประสบอุทกภัยไดอยางเหมาะสม ที่สุด 1. ไกชวนนองไปวายนํ้าเลนขณะเกิดนํ้าทวม 2. กุกซื้อแบตเตอรี่เพื่อใชไฟฟาในบานขณะนํ้าทวม 3. กั้งอาศัยอยูชั้นสองของบานเพราะหวงทรัพยสินมีคา 4. กรณประดิษฐเครื่องตรวจจับกระแสไฟฟาดวยตนเอง 5. กุงไปอยูศูนยอพยพเพราะครอบครัวมีเด็กและคนชรา ( วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 5. การไปอยูศูนยอพยพเปนวิธีปฏิบัติ ตนที่เหมาะสมเมื่อประสบอุทกภัยมากที่สุด เนื่องจากบุคคลใน ครอบครัวทั้งเด็กและคนชราที่ไมสามารถชวยเหลือตัวเองได เทาที่ควร อาจเกิดอันตรายตางๆ จากอุทกภัยได สวนคําตอบ ในขออื่นเปนการปฏิบัติตนที่ไมเหมาะสม) นํา สอน สรุป ประเมิน T212


ขอสอบเนน การคิด 4 ภัยพิบัติธรรมชาติทางชีวภาค 4.1 ไฟป่า (wildf ire) 1) ค�าจ�ากัดความไฟป่าเป็นไฟที่เผาไหม้เชื้อเพลิงในป่าและลุกลามโดยไม่มีขอบเขต เชื้อเพลิงธรรมชาติที่ถูกเผาไหม้ ได้แก่ เศษไม้ ปลายไม้ ลูกไม้ หญ้า เศษวัชพืช ไม้พุ่ม และต้นไม้ 2) กระบวนการเกิดไฟป่า การเกิดไฟป่าเป็นผลมา จากกระบวนการทางเคมีโดยเกิดจากการรวมกันของปัจจัยที่มีอยู่ตาม ธรรมชาติ 3 ปัจจัย ได้แก่ เชื้อเพลิง ออกซิเจน และความร้อน ที่เรียกว่า “สามเหลี่ยมไฟ” (fire triangle) 2.1) เชื้อเพลิง สมบัติของเชื้อเพลิงมีอิทธิพลต่อการติดไฟแตกต่างกัน ได้แก่ ความชื้นของเชื้อเพลิง เชื้อเพลิงที่มีความชื้นต�่า ย่อมติดไฟได้ง่ายและลุกลามเร็วกว่าเชื้อเพลิงที่มี ความชื้นสูง ขนาดของเชื้อเพลิง เชื้อเพลิงขนาดเล็กจะลุกไหม้ได้เร็วและง ่ายกว ่าเชื้อเพลิง ขนาดใหญ่ ปริมาณของเชื้อเพลิง หากมีเชื้อเพลิงจ�านวนมากจะติดไฟและลุกลามได้เร็ว และ ความต่อเนื่องของเชื้อเพลิง หากเชื้อเพลิงอยู่ติดชิดกัน ไฟย่อมลุกลามต่อเนื่องได้เร็ว 2.2) ออกซิเจน เป็นแก๊สที่เป็นองค์ประกอบหลักของอากาศโดยทั่วไป ในป่าจะมี ออกซิเจนกระจายอยู่อย่างสม�่าเสมอ อย่างไรก็ตาม ปริมาณและสัดส่วนของออกซิเจนในอากาศ ในป่า ณ บริเวณอื่น ๆ อาจเปลี่ยนแปลงได้บ้างตามการผันแปรของความเร็วและทิศทางลม 2.3) ความร้อน แหล่งความร้อนที่ท�าให้เกิดไฟป่าแบ่งเป็น  2 ประเภท  คือ  แหล ่งความร้อนจากธรรมชาติ เช่น ฟ้าผ่า การเสียดสีของกิ่งไม้การรวมแสงอาทิตย์ผ ่าน หยดน�้าค้าง ภูเขาไฟปะทุ และแหล่งความร้อนจากมนุษย์ซึ่งเกิดจากการจุดไฟในป่าด้วยสาเหตุ ต่าง ๆ 3) ประเภทของไฟป่า แบ่งตามประเภทเชื้อเพลิงที่ถูกเผาไหม้เป็น 3 ประเภท ดังนี้ เป็นไฟที่ไหม้ลุกลามไปตาม เรือนยอดของต้นไม้มักเกิดใน ป่าสนเขตอบอุ่น ไฟเรือนยอด มีความรุนแรง สร้างความเสีย หายแก่ป่ามากและยากแก่การ ดับไฟ เป็นไฟที่เผาไหม้เชื้อเพลิงบน ผิวดิน เช่น ไม้พุ ่ม วัชพืช เครือเถา อาจลุกลามได้เร็วและ รุนแรง ขึ้นอยู่กับลักษณะและ ความหนาแน่นของเชื้อเพลิง บนพื้นที่ป่า เป็นไฟที่เผาไหม้เชื้อเพลิงที่ยัง ทับถมอยู่ในดิน อาจเกิดภาย หลังไฟผิวดิน และเผาไหม้ อย่างช้า ๆไม่มีเปลวไฟให้เห็น หรือมีควันเล็กน้อย มักเกิดใน ประเทศเขตอบอุ ่นหรือที่สูง จากระดับน�้าทะเลมาก เชื้อเพลิง ความร้อน ออกซิเจน สามเหลี่ยมไฟ  1. ไฟเรือนยอด 2. ไฟผิวดิน 3. ไฟใต้ดิน 205 1 นักเรียนควรรู 1 ไฟใตดิน สามารถแบงออกเปน 2 ชนิดยอย ไดแก 1. ไฟใตดินสมบูรณแบบ (True Ground Fire) คือ ไฟที่ไหมอินทรียวัตถุ อยูใตผิวพื้นปาจริงๆ เมื่อยืนอยูบนพื้นปาจึงไมสามารถตรวจพบไฟได ตองใช เครื่องมือพิเศษ เชน เครื่องตรวจจับความรอน เพื่อตรวจหาไฟชนิดนี้ 2. ไฟกึ่งผิวดินกึ่งใตดิน (Semi-Ground Fire) ไดแก ไฟที่ไหมใน 2 มิติ คือ สวนหนึ่งไหมไปในแนวระนาบไปตามผิวพื้นปาเชนเดียวกับไฟผิวดิน และอีก สวนหนึ่งจะไหมในแนวดิ่งลึกลงไปในชั้นอินทรียวัตถุใตผิวพื้นปา ซึ่งอาจไหม ลึกลงไปไดหลายฟุต ไฟดังกลาวสามารถตรวจพบไดโดยงายเชนเดียวกับ ไฟผิวดินทั่วๆ ไป แตการดับไฟจะตองใชเทคนิคการดับไฟผิวดินผสมผสาน กับเทคนิคการดับไฟใตดิน จึงจะสามารถควบคุมไฟได ไฟปาจะเกิดขึ้นได ตองอาศัยองคประกอบใดบาง (แนวตอบ ไฟปาจะเกิดขึ้นไดก็ตอเมื่อมีองคประกอบที่จําเปน 3 ประการ เรียกวา สามเหลี่ยมไฟ ไดแก เชื้อเพลิง ความรอน และ ออกซิเจน มารวมกันในสัดสวนที่เหมาะสมที่จะเกิดการสันดาป (Combustion Technology) และทําใหการสันดาปสามารถดําเนิน ไปไดอยางตอเนื่อง) ขั้นนํา (Geographic Inquiry Process) 1. ครูแจงใหนักเรียนทราบถึงชื่อเรื่อง จุดประสงค และผลการเรียนรู 2. ครูใหนักเรียนดูสัญลักษณสามเหลี่ยมไฟจาก หนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 แลวรวมกัน อภิปรายแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับ สัญลักษณดังกลาว 3. ครูใหนักเรียนดูภาพ หรือคลิปวิดีโอที่ เกี่ยวของกับภัยพิบัติธรรมชาติทางชีวภาคใน ประเทศไทย และประเทศตางๆ ของโลก เชน • ภัยแลงคุกคามแอฟริกาตะวันออก เปน ภัยแลงที่รุนแรงในรอบ 60 ป • ภัยแลงใน 44 จังหวัดของประเทศไทยใน พ.ศ. 2556-2557 4. ครูตั้งคําถามกระตุนความคิดโดยใหนักเรียน รวมกันตอบคําถามเพิ่มเติม เชน • ไฟปาสามารถเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติได หรือไม อยางไร (แนวตอบ ไฟปาสามารถเกิดขึ้นเองตาม ธรรมชาติ โดยมีสาเหตุ เชน การเกิดฟาผา ทําใหตนไมเกิดไฟไหม มักเกิดขึ้นมากในปา เขตอบอุนของสหรัฐอเมริกาและประเทศ แคนาดา การเสียดสีกันของกิ่งไมแหงใน ชวงเวลาที่อากาศรอนและแหงแลง มักเกิด ขึ้นในพื้นที่ปาที่มีไมขึ้นอยูหนาแนน เชน ปาไผและปาสน) นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T213


ขอสอบเนนการคิด 4) สาเหตุการเกิดไฟป่า แบ่งได้ ดังนี้ 4.1) สาเหตุจากธรรมชาติ มีดังนี้ 1. ฟ้าผ่า เป็นสาเหตุส�าคัญของการเกิดไฟป่าในเขตอบอุ่นของต่างประเทศ  เช่น ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา มีทั้งฟ้าผ่าแห้ง คือ ฟ้าที่ผ่าในขณะที่ไม่มีฝน และฟ้าผ่าเปียก  เกิดขึ้นในฤดูร้อนที่เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง 2. กิ่งไม้เสียดสีกัน เกิดขึ้นในพื้นที่ป่าที่มีไม้ขึ้นอย่างหนาแน่น และมีสภาพ อากาศร้อนและแห้งจัด มีกระแสลมแรง เช่น ในป่าไผ่ ป่าสน 3. การปะทุของภูเขาไฟ 4. ภาวะภัยแล้งจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก เป็นอีกสาเหตุ ที่ท�าให้เกิดไฟป่าบ่อยขึ้น เนื่องจากมีระยะเวลาเกิดความแห้งแล้งถี่มากขึ้น 4.2) สาเหตุจากมนุษย์ มีดังนี้ 1. การเผาป่าเพื่อเก็บหาของป่า  การล่าสัตว์เป็นสาเหตุหลักที่ท�าให้เกิด ไฟป่ารุนแรงมากที่สุด เพื่อให้ป่าโล่งจะได้เข้าพื้นที่ป่าได้สะดวก สัตว์ป่าหนีไฟออกมาให้ล่าได้ง่าย  2. การเผาไร่หรือเศษพืชเกษตร เพื่อก�าจัดวัชพืชหรือเศษซากพืชที่เหลือจาก การเก็บเกี่ยว เพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูกในรอบต่อไป 3. ความประมาทในการเข้าใช้พื้นที่หรือพักแรมในป่า  มีการก่อกองไฟแล้ว  ลืมดับ หรือดับไม่สนิท 5) การกระจายการเกิดไฟป่าของโลก แผนที่แสดงพื้นที่เสี่ยงการเกิดไฟป่าของโลก ที่มา : https://firms.modaps.eosdis.nasa.gov/map/ 0 ํ 0 ํ 20 ํN 20 ํN 20 ํS 20 ํS 40 ํN 40 ํN 40 ํS 40 ํS 60 ํN 60 ํN 60 ํS 60 ํS 80 ํN 80 ํN 160 ํW 120 ํW 80 ํW 40 ํW 40 ํE 0 ํ 80 ํE 120 ํE 160 ํE 160 ํW 120 ํW 80 ํW 40 ํW 40 ํE 0 ํ 80 ํE 120 ํE 160 ํE 80 ํS 80 ํS N 0 2000 4000 กม. 1 : 250,000,000 พื้นที่เสี่ยงเกิดไฟปา จุดความรอนเสี่ยงเกิดไฟปา ระหวางวันที่ 17 - 24 ตุลาคม พ.ศ. 2561 206 ฟ้าผ่า เป็นสาเหตุส�าคัญของการเกิดไฟป่าในเขตอบอุ่นของต่างประเทศ  เกิดขึ้นในฤดูร้อนที่เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง 2. กิ่งไม้เสียดสีกัน เกิดขึ้นในพื้นที่ป่าที่มีไม้ขึ้นอย่างหนาแน่น และมีสภาพ 1 2 ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร 1. ครูสุมถามนักเรียนถึงตัวอยางเหตุการณ ไฟปาที่เกิดขึ้นในโลกตามความรูจักของ นักเรียน รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจาก เหตุการณดังกลาวเพิ่มเติม 2. ครูใหนักเรียนดูแผนที่แสดงพื้นที่เสี่ยงการเกิด ไฟปาของโลก จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 แลวรวมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ แผนที่ดังกลาว นักเรียนควรรู 1 ฟาผา เกิดจากการกอตัวของประจุไฟฟาระหวางกอนเมฆ หรือระหวาง กอนเมฆกับพื้นโลก เมื่อประจุไฟฟากอตัวถึงจุดที่มีพลังงานเพียงพอจะเกิดการ ปลอยประจุไฟฟาและทําใหเกิดฟาผาขึ้น 2 เสียดสีกัน การเสียดสีเปนการสัมผัสกันระหวางพื้นผิวสองพื้นผิว โดยที่ พื้นผิวอยางนอยหนึ่งพื้นผิวตองมีการเคลื่อนที่ การเสียดสีจะทําใหมีความรอน เกิดขึ้น ซึ่งความรอนดังกลาวสามารถทําใหวัตถุที่ติดไฟไดเกิดการลุกติดไฟขึ้น สาเหตุของการเกิดไฟปาในประเทศไทย เกิดจากขอใดมากที่สุด 1. ฟาผา 2. เก็บหาของปา 3. กิ่งไมเสียดสีกัน 4. เผาดวยความคึกคะนอง 5. ความประมาทโดยกอกองไฟแลวลืมดับ (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. ไฟปาในประเทศไทยมีสาเหตุมาจาก การเผาปาเพื่อเก็บหาของปา ลาสัตว มากกวาขออื่น เนื่องจากการ จุดไฟจะทําใหพื้นปาโลง เดินสะดวก หรือจุดเพื่อกระตุนการงอก ของเห็ดหรือกระตุนการแตกใบใหมของผักหวาน หรือจุดเพื่อไล มดแดงออกจากรัง รมควันไลผึ้ง หรือไลแมลงตางๆ ในขณะที่อยู ในปา เปนตน) เกร็ดแนะครู ครูอาจสนทนาเพื่อสรางบรรยากาศและกระตุนความสนใจนักเรียนเกี่ยวกับ การเกิดไฟปาจากภาพขาว หรือวีดิทัศน จากนั้นใหนักเรียนรวมกันจัดทําแผนผัง ความคิดผลกระทบไฟปาดานตางๆ นําเสนอหนาชั้นเรียน นํา สอน สรุป ประเมิน T214


ความถี่ของการเกิดไฟปา ในเขตพื้นที่อนุรักษ 98 ํE 100 ํE 102 ํE 104 ํE 106 ํE16 ํN 98 ํE 100 ํE 102 ํE 104 ํE 20 ํN 18 ํN 14 ํN 12 ํN 10 ํN 8 ํN 6 ํN 20 ํN 18 ํN 16 ํN 14 ํN 12 ํN 10 ํN 8 ํN 6 ํN แผนที่แสดงพื้นที่เสี่ยงภัยไฟปาในประเทศไทย มาตราสวน 1 : 14,000,000 บอยครั้ง ปานกลาง นอย 0 50 100 150 กม. N จากแผนที่ พบวาบริเวณที่มีโอกาสในการเกิดไฟปาไดมากกวาสวนอื่น ๆ ของโลก ไดแก ทวีปอเมริกาเหนือ ในสหรัฐอเมริกา แคนาดา ทวีปอเมริกาใต เชน บราซิล อารเจนตินา อุรุกวัย ทวีปแอฟริกา เชน แองโกลา คองโก แทนซาเนีย แซมเบีย เนื่องจากพื้นที่ดังกลาวอยูใน เขตอบอุน และมีกระแสนํ้าเย็นไหลผาน ทําใหปริมาณไอนํ้าในบรรยากาศนอย มีความ แหงแลงมากยิ่งขึ้น เชน กระแสนํ้าเย็นเบงเกวลาไหลเลียบชายฝงดานตะวันตกของทวีปแอฟริกา แผนที่แสดงพื้นที่เสี่ยงการเกิดไฟปา ในประเทศไทย กระแสนํ้าเย็นเปรูไหลเลียบชายฝงดานตะวันตก ของทวีปอเมริกาใต ความแหงแลงจึงทําใหพื้นที่ ดังกลาวมีโอกาสเสี่ยงเกิดไฟปาจากสาเหตุทาง ธรรมชาติไดมากกวาปกติ ไฟปาในประเทศไทยเกิดจากการ กระทําของมนุษยเปนหลักและบางสวนเกิดจาก ธรรมชาติ ในชวงเดือนพฤศจิกายน - เมษายน เปนชวงที่มีสถิติการเกิดไฟปาสูง เพราะสภาพ อากาศแหง ตนไมผลัดใบและหญาแหงตาย จํานวนมาก เมื่อเกิดไฟปาจึงลุกลามอยางรวดเร็ว โดยเฉพาะอยางยิ่งในชวงเดือนกุมภาพันธ - เมษายน เปนชวงที่มีจุดความรอนจํานวนมาก จึงเสี่ยงตอการเกิดไฟปาสูง โดยเฉพาะพื้นที่ บริเวณภาคเหนือและภาคตะวันตกเสี่ยงตอ การเกิดไฟปาสูง ขณะที่พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต เสี่ยงตอ การเกิดไฟปารองลงมาตามลําดับ Activity รวบรวมขอมูลชนิดของไฟปา ระบุลักษณะการเกิด และความเสียหายจากไฟปาแตละชนิด แลวนํามา อภิปรายรวมกันในชั้นเรียน จากนั้นรวมกันหาคําตอบวาไฟปาที่พบในประเทศไทยสวนใหญเปนชนิดใด Geo ที่มา : สวนควบคุมไฟปา สํานักปองกัน ปราบปราม และ ควบคุมไฟปา กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช 207 เมษายน เปนชวงที่มีจุดความรอนจํานวนมาก 1 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร 3. ครูใหนักเรียนดูแผนที่แสดงพื้นที่เสี่ยงการ เกิดไฟปาในประเทศไทย จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 แลวรวมกันอภิปรายแสดง ความคิดเห็นเกี่ยวกับแผนที่เพิ่มเติม 4. ครูกระตุนใหนักเรียนชวยกันตั้งประเด็นคําถาม เชิงภูมิศาสตร เชน • ลักษณะทางกายภาพสงผลใหเกิดปญหา หรือภัยพิบัติธรรมชาติทางชีวภาคใน ประเทศไทยและภูมิภาคตางๆ ของโลก อยางไร • ภัยพิบัติธรรมชาติทางชีวภาคที่เกิดขึ้นใน ภูมิภาคตางๆ ของโลก มีความเหมือน หรือความแตกตางกัน อยางไร • ผลกระทบสําคัญจากภัยพิบัติธรรมชาติ ทางชีวภาคคืออะไร • แนวทางหรือวิธีการปองกันภัยพิบัติ ธรรมชาติทางชีวภาคสามารถทําไดอยางไร นักเรียนควรรู 1 จุดความรอน จากการประมวลผลและวิเคราะหจากขอมูลดาวเทียม TERRA และ AQUA พบวา จุดความรอนสะสมตลอดชวง 5 เดือน (ม.ค.-พ.ค.) ป 2561 มีจํานวน 14,565 จุด ซึ่งมีคาสูงสุดในเดือน มี.ค. จํานวน 5,098 จุด รองลงมา เปนเดือน ก.พ. จํานวน 3,878 จุด เดือน เม.ย. จํานวน 3,143 จุด เดือน ม.ค. จํานวน 2,167 จุด และเดือน พ.ค. จํานวน 279 จุด ตามลําดับ สวนใหญเกิด จุดความรอนสะสมสูงสุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จํานวน 5,085 จุด ภาคเหนือ ตอนบน จํานวน 3,519 จุด ภาคเหนือตอนลาง จํานวน 3,416 จุด ตามลําดับ นักเรียนสืบคนและรวบรวมขอมูลสถิติการเกิดไฟปาใน ประเทศไทย จากแหลงการเรียนรูตางๆ แลววิเคราะหสถานการณ การเกิดไฟปา แนวโนมการเกิดไฟปาในอนาคต รวมถึงวางแผนการ จัดการพื้นที่เสี่ยงภัยไฟปา จัดทําเปนรายงานการศึกษาวิเคราะห ซึ่งมีภาพหรือตารางประกอบ สื่อ Digital ศึกษาคนควาขอมูลเกี่ยวกับสถานการณไฟปาจากภาพถายดาวเทียมใน ประเทศไทย ไดที่ http://fififire.gistda.or.th/ สํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ และภูมิสารสนเทศ (องคการมหาชน) หรือ GISTDA นํา สอน สรุป ประเมิน T215


ขอสอบเนนการคิด 6) ภัยต่าง ๆ ที่เกิดจากไฟป่ารุนแรง มีดังนี้ 1. ปัญหาหมอกควัน ก่อให้เกิดสภาวะอากาศเป็นพิษ  ท�าลายสุขภาพของมนุษย์  โดยเฉพาะโรคระบบทางเดินหายใจ นอกจากนี้ ควันไฟยังบดบังแสงอาทิตย์ ส่งผลต่อทัศนวิสัยใน การขับขี่ บางครั้งท�าให้เครื่องบินไม่สามารถลงจอดได้ส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ และลดความสวยงามของภูมิประเทศทางธรรมชาติ 2. พื้นที่ป่าและพรรณไม้ถูกเผาไหม้ไม้พุ่มและทุ่งหญ้าถูกท�าลาย ต้นไม้เกิดแผล ไฟไหม้และท�าให้ต้นไม้ตาย อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวไฟป่าอาจมีประโยชน์ท�าให้เกิดทุ่งหญ้าแทน พื้นที่ป่าได้หรือพรรณไม้หลายชนิดอาจปรับตัวจากการถูกไฟป่าเผา จนกลายเป็นระบบนิเวศใหม่ 3. ท�าให้หน้าดินเปิดโล่ง จากการที่ไฟป่าเผาท�าลายสิ่งปกคลุมดิน ท�าให้ดินเสื่อม สภาพ เมื่อมีฝนตก หน้าดินไม่มีสิ่งปกคลุมท�าให้น�้าไหลบ่าไปบนหน้าดิน เกิดการพังทลายของดิน  ตะกอนดินไหลลงสู่แหล่งน�้าท�าให้ล�าน�้าตื้นเขินและคุณภาพน�้าเสื่อมโทรมลง 4. สัตว์ป่าลดลงและเกิดการอพยพของสัตว์ป่า เนื่องจากแหล่งอาหาร แหล่งน�้า  และที่อยู่อาศัยถูกท�าลาย 7) เหตุการณ์ ไฟป่าที่รุนแรง ครั้งส�าคัญ เช่น ไฟป่าทอมัส เป็นไฟป่าครั้งรุนแรงที่เกิดขึ้นใน รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ. 2560 สาเหตุ : เกิดจากอิทธิพลของกระแสลมแซนตา แอนา (Santa  Ana) ที่พัดอากาศร้อนและแห้งแล้ง จากทะเลทรายเข้ามาภายในพื้นที่ ก่อให้เกิดไฟป่า ลุกลามเผาผลาญพื้นที่เป็นบริเวณกว้างในหลาย เมืองของรัฐแคลิฟอร์เนีย เช่น เมืองเวนทูรา (Ventura) เมืองแซนตาบาร์บารา(Santa Barbara) เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2560 ผลกระทบ : ไฟป่าครั้งรุนแรงนี้มีชื่อเรียกว่า“ไฟป่า ทอมัส” (Thomas Fire) ได้เผาผลาญพื้นที่ป ่า ไปถึง 281,893 เอเคอร์ หรือประมาณ 1,140 ตารางกิโลเมตรสิ่งปลูกสร้างถูกท�าลาย1,063แห่ง เสียหาย 280 แห่ง มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1 คน ประชาชนประมาณ 2 แสนคน ต้องอพยพออกจาก บ้านเรือน  สร้างความเสียหายมากกว่า 100  ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,500 ล้านบาท เหตุการณ์ ไฟป่าในสหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2560 208 1. ปัญหาหมอกควัน 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 2 การรวบรวมขอมูล 1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม สืบคนขอมูลเกี่ยวกับ ภัยพิบัติธรรมชาติทางชีวภาค จากหนังสือ เรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 หรือจากแหลง การเรียนรูอื่นๆ เชน หนังสือในหองสมุด เว็บไซตในอินเทอรเน็ต ในประเด็นตอไปนี้ • ภัยแลง • ไฟปา 2. นักเรียนแตละกลุมรวมกันศึกษาขอมูลในหัวขอ ที่รับผิดชอบ โดยนําความรูเกี่ยวกับเครื่องมือ ทางภูมิศาสตรมาใชประกอบในการศึกษา โดยครูแนะนําแหลงขอมูลสารสนเทศที่เชื่อถือ ไดเพิ่มเติม ขั้นที่ 3 การจัดการขอมูล 1. สมาชิกแตละคนในกลุมนําขอมูลที่ตนไดจาก การรวบรวม มาอธิบายแลกเปลี่ยนความรู ระหวางกัน 2. จากนั้นสมาชิกในกลุมชวยกันคัดเลือกขอมูล ที่นําเสนอเพื่อใหไดขอมูลที่ถูกตอง และรวม อภิปรายแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม นักเรียนควรรู 1 ปญหาหมอกควัน ในชวงเดือนธันวาคมถึงเดือนมีนาคมของทุกป พื้นที่ ในภาคเหนือตอนบนมักจะประสบกับปญหาหมอกควันปกคลุม ดวยลักษณะ ภูมิประเทศสวนใหญของภาคเหนือตอนบนเปนภูเขาสลับซับซอน ลักษณะเปน แองกระทะ มีภูเขาลอมรอบ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม เชียงราย ลําปาง ลําพูน นาน แพร แมฮองสอน และพะเยา ทําใหเปนโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เพิ่มมากขึ้น ไฟปากอใหเกิดผลกระทบตอระบบนิเวศอยางไรบาง อธิบาย พรอมยกตัวอยางประกอบพอสังเขป (แนวตอบ ไฟปามีผลกระทบตอระบบนิเวศหลายประการ เนื่องดวยปาไมเปนแหลงของความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตทั้ง พืชและสัตวตางๆ ตัวอยางของผลกระทบ เชน การสูญพันธุของ พืชจากการถูกเผาไหม การสูญพันธุของสัตวจากการถูกทําลาย ที่อยูอาศัยและแหลงอาหาร การเกิดมลพิษทางอากาศจากแกส และเถาถานของการเผาไหม การขาดแหลงปาไมที่เปนตนนํ้า ลําธาร และการสูญเสียความอุดมสมบูรณของดินจากการที่หนาดิน ถูกเผาทําลาย) นํา สอน สรุป ประเมิน T216


ขอสอบเนน การคิด ไฟป่าในรัฐวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย สาเหตุ : เกิดจากฟ้าผ่าแห้ง เนื่องจากสภาพ อากาศที่ร้อนจัด โดยมีอุณหภูมิสูงถึง 46 องศา เซลเซียส สภาพอากาศแห้งและมีเชื้อเพลิง คือ  ต้นไม้และใบไม้แห้ง  มีกระแสลมแรง  ท�าให้ไฟ ลุกลามอย่างรวดเร็ว ผลกระทบ : ท�าให้ไฟป่าลุกลามอย่างรวดเร็ว ในพื้นที่ 3,000 ตารางกิโลเมตร จนไม่สามารถ ควบคุมเพลิงได้ป่าไม้และทุ่งหญ้าถูกเผาท�าลาย เป็นบริเวณกว้าง มีผู้เสียชีวิตประมาณ 230 คน พื้นที่ชุมชนและบ้านเรือนถูกเผาไหม้กว่า 700 หลังคาเรือน มีผู้ ไร้ที่อยู่อาศัยอีกกว่า 5,000 คน เหตุการณ์ ไฟป่าในประเทศออสเตรเลีย พ.ศ. 2561 8) การจัดการภัยพิบัติไฟป่า มีดังนี้ 8.1) มาตรการ มีดังนี้ 1. รวบรวมข้อมูลไฟป่า เช่น สภาพพื้นที่ สถิติไฟป่า เพื่อน�ามาใช้ศึกษาและ วางแผนงานการควบคุมไฟป่า โดยแผนงานต้องครอบคลุมทั้งด้านการป้องกันและการดับไฟ 2. เตรียมความพร้อมทั้งบุคลากรและเครื่องมือ โดยเน้นการเข้าถึงพื้นที่ อย่างรวดเร็วและการบูรณาการการท�างานร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 3. จัดการเชื้อเพลิงด้วยการท�าแนวกันไฟ การลดปริมาณเชื้อเพลิง การเผา ตามก�าหนดในพื้นที่เสี่ยง เป็นการใช้ประโยชน์จากไฟเพื่อจัดการป่าไม้ 4. ก�าหนดเขตควบคุมไฟป่า ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า 8.2) วิธีป้องกัน ท�าได้ ดังนี้ 1. ให้ความรู้แก่ประชาชน เพื่อชี้แจงให้ทราบถึงผลเสียของไฟป่า ประโยชน์ ของป่าไม้ และขอความร่วมมือให้ประชาชนเลิกจุดไฟเผาป่า และหันกลับมาช่วยกันดูแลป่า 2. การฝึกอบรมเพื่อให้ประชาชนท�าหน้าที่ป้องกันไฟและดับไฟป่าที่เกิดขึ้น ในท้องถิ่นของตนเอง โดยมีหน่วยงานดูแลเรื่องวิชาการและอุปกรณ์ ในการดับไฟ Question หากนักเรียนพบเห็นไฟป่าเกิดขึ้นในชุมชนที่อาศัยอยู่ควรปฏิบัติตนอย่างไรให้ปลอดภัยและมีแนวทาง ป้องกันไฟป่าด้วยวิธีการใด Geo 209 แนวกันไฟ 1 นักเรียนควรรู 1 แนวกันไฟ เปนแนวกีดขวางตามธรรมชาติหรือที่มนุษยสรางขึ้นเพื่อหยุดยั้ง ไฟปา หรือเพื่อปองกันไมใหไฟลุกลามเขาไปในพื้นที่ที่จะคุมครอง หรือ ปองกันไมใหไฟลุกลามออกมาจากพื้นที่ที่กําหนด การสรางแนวกันไฟโดย ทั่วไปจะประกอบดวยแนว 2 ชั้น คือ ชั้นนอก เปนแนวกวางที่กําจัดไมพุม และไมพื้นลางออกจนหมด และชั้นใน ซึ่งเปนแนวที่แคบลงอยูภายในแนวแรก อีกทีหนึ่ง ซึ่งจะกําจัดเชื้อเพลิงออกทั้งหมดจนถึงชั้นผิวหนาดิน ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 1. ครูใหนักเรียนตอบคําถาม Geo Question จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 แลวสุม นักเรียนจํานวน 2-3 คน แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับคําถามดังกลาว 2. ครูใหนักเรียนแตละกลุมนําเสนอขอมูลจาก การศึกษา พรอมทั้งอภิปรายแสดงความ คิดเห็นรวมกัน สมาชิกกลุมอื่นผลัดกันให ขอคิดเห็น หรือขอเสนอแนะ โดยครูแนะนํา เพื่อใหเกิดความเขาใจที่ตรงกันเพิ่มเติม 3. ครูใหนักเรียนรวมกันใชสมารตโฟนสืบคน เหตุการณไฟปาในแตละพื้นที่ของโลกเพิ่มเติม แลวใหนักเรียนรวมกันวิเคราะหผลกระทบ ที่เกิดจากไฟปาตอสิ่งแวดลอมในดานตางๆ ไดแก บรรยากาศภาค ธรณีภาค อุทกภาค และชีวภาค พรอมทั้งอภิปรายรวมกัน ตัวอยาง ประเด็นการวิเคราะห เชน • บรรยากาศภาค : สาเหตุและผลกระทบ จากไฟปา • ความอุดมสมบูรณของดินกับการเกิดไฟปา • ไฟปา : วิกฤตการณจากความแหงแลง ของนํ้า • การสูญพันธุของสัตวปาและพันธุพืช ผลกระทบของไฟปาตอสิ่งมีชีวิตในระบบ นิเวศ นักเรียนสามารถมีสวนรวมในการปองกันการเกิดไฟปาได อยางไร (แนวตอบ เชน หมั่นกําจัดวัสดุที่เปนเชื้อเพลิงไฟปาบริเวณบาน ชุมชน หรือในปา โดยเก็บกวาดพื้นที่ใหโลงเตียน ไมใหมีใบไมแหง กิ่งไมแหง หรือหญาแหงกองสุม ไมเผาขยะหรือเศษวัชพืชบริเวณ แนวชายปา ไมทิ้งกนบุหรี่ลงบนพงหญาแหง งดเวนการกอกองไฟ ในปา หรือดับไฟใหสนิททุกครั้งเพื่อปองกันไฟปา) สื่อ Digital ศึกษาคนควาขอมูลเกี่ยวกับไฟปา ไดที่ https://wildfire.forest.go.th/ สวนควบคุมไฟปา กรมปาไม นํา สอน สรุป ประเมิน T217


ขอสอบเนนการคิด 8.3) การปฏิบัติตน ท�าได้ ดังนี้ ก่อนเกิดภัย ขณะเกิดภัย หลังเกิดภัย 1.  สร้างระบบควบคุมไฟป ่าด้วยแนวทางป้องกันไฟป ่าเปียก  โดยอาศัยน�้า ชลประทานและน�้าฝน 2.  เพิ่มความระมัดระวังการจุดไฟในป่า เช่น ไม่ทิ้งก้นบุหรี่ลงบนหญ้าแห้ง หาก ก่อกองไฟ หรือประกอบอาหารในป่า ควรดับไฟให้สนิททุกครั้งหลังใช้งานเสร็จ 3. จัดเวรยามเฝ้าระวังไฟป่า 1.  จัดเตรียมและซ่อมแซมอุปกรณ์ดับไฟป่าให้ เพียงพอและพร้อมใช้งาน 2.  เตรียมหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉินเพื่อขอความ ช่วยเหลือในการดับไฟป่า  เข้าร่วมการเป็น อาสาสมัครในการดับไฟป่า 3.  ดูแลพื้นที่ริมแนวชายป่า  โดยเก็บกวาดใบไม้ แห้ง  กิ่งไม้แห้ง  หรือหญ้าแห้งให้โล่งเตียน ไม่ให้กองสุม เป็นเชื้อเพลิงในการเกิดไฟไหม้ 4.  ท�าระบบป้องกันไฟป่า  โดยใช้พืชชนิดต่าง ๆ  ปลูกตามแนวคลองส่งน�้า 1.  ให้อพยพไปยังสถานที่ปลอดภัย  โดยสวมใส่ หน้ากากอนามัยและแว่นตา  เพื่อป้องกันฝุ่น ละอองเข้าสู่ร่างกาย 2.  สร้างแนวกันไฟ  เพื่อป้องกันไม่ให้ ไฟลุกลาม ไปยังพื้นที่ใกล้เคียง 3.  เมื่อพบเห็นไฟไหม้ป่าหรือสวนป่า ให้ช่วยกัน ดับไฟป่าอย่างระมัดระวัง หรือแจ้งหน่วยงาน ราชการที่อยู่บริเวณใกล้เคียง 4.  ระหว่างดับไฟในขณะลมแรง ให้หลีกเลี่ยงการ สูดดมควันไฟ และระวังอย่าให้ขี้เถ้าเข้าตา ก่อกองไฟ หรือประกอบอาหารในป่า ควรดับไฟให้สนิททุกครั้งหลังใช้งานเสร็จ 3. จัดเวรยามเฝ้าระวังไฟป่า 210 ดับไฟป่าอย่างระมัดระวัง หรือแจ้งหน่วยงาน 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 4. ครูใหนักเรียนกลุมเดิมสงตัวแทนออกมาเขียน แนวทางการปฏิบัติตนเกี่ยวกับการระวังภัย จากไฟปาลงในตารางบนกระดานหนาชั้นเรียน ซึ่งครูกําหนดหัวขอที่สําคัญไว เชน • การปองกันไฟปา • การปฏิบัติงานดับไฟปา • หนาที่ของหนวยงานที่เกี่ยวของของภาครัฐ และเอกชน • การมีสวนรวมของประชาชน จากนั้นรวมกันสนทนา เพื่อใหนักเรียนเกิด ความรูความเขาใจที่ถูกตองเกี่ยวกับแนวทาง การปฏิบัติตนเพื่อการระวังภัยจากไฟปา ทั้งใน ชวงกอนเกิดภัย ขณะเกิดภัย และหลังเกิดภัย บุคคลในขอใดปฏิบัติตนไดอยางเหมาะสมในการระวังไฟปา 1. ขาวทิ้งกนบุหรี่ลงบนพงหญาแหง 2. ดําจุดไฟเผาปาเพื่อหาของปาและลาสัตว 3. แดงกอกองไฟขณะพักแรมในปาแลวลืมดับ 4. เขียวพบเห็นไฟไหมขางทาง แตละเลยไมแจงเจาหนาที่ 5. เทาไถกลบเศษวัชพืชแทนการเผาเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูก (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 5. การไถกลบเศษวัชพืชแทนการเผา เพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูก เปนวิธีการหนึ่งในการปองกันการลุกลาม เปนไฟปา) นักเรียนควรรู 1 ดับไฟปา สามารถแบงออกเปน 2 วิธี ดังนี้ 1. การดับไฟทางตรง คือ วิธีการที่พนักงานดับไฟปาเขาไปดับไฟที่ขอบ ของไฟโดยตรง วิธีนี้ใชในกรณีที่ไฟมีขนาดเล็ก เชน ไฟที่ไหมในปาเบญจพรรณ หรือ ปาเต็งรัง ซึ่งมีความรอนแรงและควันไมมากนัก เครื่องมือหลักที่ใชในการดับไฟ ทางตรง ไดแก ถังฉีดนํ้า พลั่วไฟปา และที่ตบไฟ โดยใชพลั่วตักดินหรือ ทรายสาดกลบไฟ หรือใชนํ้าฉีดนําเพื่อลดความรอนและความสูงของเปลวไฟ จากนั้นจึงใชที่ตบไฟเขาไปตบคลุมไฟจนดับ 2. การดับไฟทางออม ใชสําหรับดับไฟปาขนาดใหญที่มีความรอนแรง และความสูงของเปลวไฟมากเกินกวาที่พนักงานดับไฟปาจะสามารถเขาไป ปฏิบัติงานที่ขอบของไฟไดโดยตรง หรือใชในกรณีที่ไฟปากําลังไหมอยูในบริเวณ ที่เปนอันตรายอยางยิ่งตอการปฏิบัติงาน เชน ใกลหนาผา หรือในรองเขาและ หุบเหว การดับไฟทางออมแบงออกเปนวิธียอย 3 วิธี ไดแก ดับดวยแนวกันไฟ ดับดวยไฟ และดับดวยการเบี่ยงทิศทางของหัวไฟ นํา สอน สรุป ประเมิน T218


4.2 ภัยแล้ง (drought) 1) ค�าจ�ากัดความ ภัยแล้งเป็นภัยที่เกิดขึ้นจากการที่มีฝนตกน้อยกว่าปกติต่อเนื่อง เป็นเวลานาน ท�าให้เกิดการขาดแคลนน�้าใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตร ความรุนแรงของ ช่วงฝนแล้งนั้นขึ้นอยู่กับความชื้นในอากาศ ระยะเวลาที่เกิดความแห้งแล้ง  และขนาดของพื้นที่ ที่ได้รับผลกระทบ 2) กระบวนการเกิดภัยแล้ง มีดังนี้ • ในช่วงฤดูฝนเกิดฝนแล้ง หรือเกิดฝนทิ้งช่วงเป็นระยะเวลานาน ท�าให้ปริมาณฝน เฉลี่ยต�่ากว่าค่าปกติ เช่น มีฝนตกน้อยกว่า 1 มิลลิเมตรติดต่อกันเกิน 15 วัน • พื้นที่นอกเขตชลประทานขาดแคลนน�้าเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ และใช้ ในครัวเรือน • พื้นดินแห้ง พืชขาดน�้านานจะเหี่ยวและล้มตาย สัตว์เลี้ยงต้องย้ายไปหาแหล่งน�้า • ระดับน�้าใต้ดินลดลง ต้นไม้ ใหญ่จะเหี่ยวเฉา พื้นที่โล่งที่พืชล้มตายไปแล้ว ดินแตก ระแหง เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยที่มีเกลือหิน (rock salt) อยู่ใต้ดินนั้น บริเวณ ผิวหน้าดินจะมีขี้เกลือตกกระฉาบอยู่ตามพื้นดิน 3) ประเภทของภัยแล้ง ภัยแล้งมี 3 ประเภท ดังนี้ 3.1) ภัยแล้งทางอุตุนิยมวิทยา (meteorological drought) เป็นภัยแล้งที่เกิดขึ้น เนื่องจากปริมาณฝนโดยเฉลี่ยมีปริมาณน้อยกว่าค่าเฉลี่ย เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของช่วงระยะ เวลายาวนานในอดีต 3.2) ภัยแล้งทางการเกษตร (agricultural drought) เป็นภัยแล้งที่ความชื้นในดิน ไม่เพียงพอที่พืชจะน�าไปใช้ประโยชน์ได้ โดยเปรียบเทียบจากผลผลิตของพืชที่ปลูกในสภาวะที่พืช ใช้น�้าปกติ  หากผลผลิตที่ได้ ในช่วงเวลานั้นมีปริมาณน้อยกว่าโดยเฉลี่ยแล้ว  อาจมีสาเหตุจากน�้า ในดินขาดแคลน ท�าให้ปริมาณและผลผลิตทางการเกษตรลดน้อยลง 3.3) ภัยแล้งทางอุทกวิทยา (hydrological drought)  เป็นภัยแล้งที่ปริมาณน�้า ในแม่น�้า หนอง บึง ทะเลสาบ รวมถึงอ่างเก็บน�้าลดลง มีระดับต�่ากว่าปกติ และระดับน�้าใต้ดินก็มี ระดับลดลงต�่ากว่าปกติ Geo Tip ปจจัยที่ส่งผลต่อความรุนแรงของภัยแล้ง 1. ปริมาณฝนและความชื้นในอากาศ พื้นที่ที่มีปริมาณฝนและความชื้นในอากาศน้อย ภัยแล้งจะรุนแรง มากกว่าพื้นที่ที่มีปริมาณฝนและความชื้นในอากาศสูง 2. เขตชลประทานและแหล่งน�้า พื้นที่ที่อยู่ในเขตชลประทานและมีแหล่งน�้าธรรมชาติมาก ภัยแล้งจะ รุนแรงน้อยกว่าพื้นที่ที่อยู่นอกเขตชลประทาน 3. ความชื้นและลักษณะการอุ้มน�้าของดิน  พื้นที่ที่เป็นดินเหนียวจะมีความชื้นในดินสูงและอุ้มน�้า ได้มาก ภัยแล้งจึงรุนแรงน้อยกว่าพื้นที่ที่เป็นดินร่วน หรือดินทราย 211 ระแหง เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยที่มีเกลือหิน (rock salt) อยู่ใต้ดินนั้น บริเวณ 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 5. ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับภัยแลง แลวสุม นักเรียน 2-3 คนใหอธิบายถึงความหมายของ ภัยแลงที่ไดศึกษามา จากนั้นใหนักเรียนรวมกัน วิเคราะหถึงความสัมพันธกันของภาวะโลกรอน และการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศกับภัยแลง เพื่อใหเกิดความเขาใจเกี่ยวกับปจจัยที่ทําให เกิดภัยแลง แลวสอบถามถึงปจจัยอื่นๆ ที่ ทําใหเกิดภัยแลงในบริเวณพื้นที่ตางๆ ของโลก และในประเทศไทยเพื่อการวิเคราะหขอมูล เกี่ยวกับภัยแลงรวมกัน 6. ครูใหนักเรียนศึกษา Geo Tip เกี่ยวกับปจจัย ที่สงผลตอความรุนแรงของภัยแลง จากหนังสือ เรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 ประกอบการวิเคราะห ขอมูลเพิ่มเติม นักเรียนควรรู 1 เกลือหิน แรเฮไลตหรือเกลือโซเดียมคลอไรดที่เกิดเปนมวลผลึก หยาบๆ ในหินตะกอน โดยอยูในรูปของโดมเกลือ ลําเกลือ หรือชั้นหินเกลือ ระเหย แหลงเกลือที่เกิดสะสมตัวในยุคตางๆ ของธรณีกาลพบเกิดตั้งแตยุค ไซลูเรียนจนถึงปจจุบัน และมักเกิดเปนมวลชั้นตอเนื่อง ในประเทศไทยพบมาก ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือในบริเวณแองสกลนครและแองโคราช ในที่บาง แหงเกลือหินถูกนํ้าละลายพาซึมขึ้นมาบนผิวดินถูกแดดแผดเผา เกิดผลึกใหม เปนขุยขาวๆ เรียกกันวา เกลือสินเธาว เกลือหินที่ตกผลึกรวมตัวอยูแบบหินชั้น เรียกวา ชั้นเกลือหิน กิจกรรม สรางเสริม นักเรียนจับคูกันตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตรเกี่ยวกับภัยแลง เชน การเกิดภัยแลงในแตละภูมิภาคของโลก มีลักษณะเหมือนหรือ แตกตางกันหรือไม อยางไร หรือพื้นที่ที่เกิดภัยแลงสงผลกระทบ ตอพื้นที่อื่นๆ โดยรอบอยางไร แลวระดมสมองในการรวมกันคิด หาคําตอบ จากนั้นออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน นํา สอน สรุป ประเมิน T219


0 ํ 0 ํ 20 ํN 20 ํN 20 ํS 20 ํS 40 ํN 40 ํN 40 ํS 40 ํS 60 ํN 60 ํN 60 ํS 60 ํS 80 ํN 80 ํN 160 ํW 120 ํW 80 ํW 40 ํW 40 ํE 0 ํ 80 ํE 120 ํE 160 ํE 160 ํW 120 ํW 80 ํW 40 ํW 40 ํE 0 ํ 80 ํE 120 ํE 160 ํE 80 ํS 80 ํS N 0 2,000 4,000 กม. 1 : 250,000,000 ระดับความรุนแรงของภัยแลง แลงนอย แลงมาก 4) สาเหตุการเกิดภัยแล้ง มีดังนี้ 4.1) เกิดการผันแปรของสภาพอากาศ ฝนไม่ตกตามฤดูกาล ตกน้อย ทิ้งช่วง  ท�าให้มีน�้ากักเก็บในแหล่งน�้าน้อย ในฤดูแล้งที่อากาศร้อนการระเหยของน�้าจะมีมากขึ้น ท�าให้น�้า ในแหล่งน�้าลดระดับจนถึงภาวะวิกฤต 4.2) ความผิดปกติของต�าแหน่งร่องมรสุม ท�าให้มีฝนตกในพื้นที่น้อยกว่าปกติ  หรือความผิดปกติเนื่องจากพายุหมุนเขตร้อนก่อตัวเคลื่อนที่ผ่านมาน้อยกว่าปกติ 4.3) ขาดแหล่งกักเก็บน�้าที่เพียงพอในช่วงภัยแล้ง ซึ่งอาจเกิดจากข้อจ�ากัดทาง ภูมิประเทศ  หรือแหล่งน�้าได้รับการพัฒนาที่ไม่เหมาะสม มีขนาดเล็กเกินไป น�ามาใช้ประโยชน์ ไม่เพียงพอ หรือบางแห่งอยู่ไกลจากชุมชนเกินไป 4.4) การตัดไม้ท�าลายป่า ท�าให้ขาดความชุ่มชื้นและซึมซับเก็บน�้า ซึ่งมีผลกระทบ ต่อการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของภูมิอากาศ เช่น ความชื้น อุณหภูมิ 4.5) ความต้องการใช้น�้าเพิ่มขึ้น จากจ�านวนประชากรที่มากขึ้น ท�าให้น�้ามีปริมาณ ลดน้อยลงอย่างมาก 5) การกระจายการเกิดภัยแล้งของโลก แผนที่แสดงพื้นที่เสี่ยงการเกิดภัยแล้งของโลก ที่มา : www.researchgate.net/publication/303312551 212 4.2) ความผิดปกติของต�าแหน่งร่องมรสุม ท�าให้มีฝนตกในพื้นที่น้อยกว่าปกติ  1 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 7. ครูสนทนากับนักเรียนถึงสาเหตุการเกิดภัยแลง แลวใหนักเรียนรวมกันนําเสนอสาเหตุในประเด็น อื่นๆ ตามการวิเคราะหของนักเรียน ประกอบ การแสดงตัวอยาง หรือหลักฐานประกอบเพื่อ สนับสนุนขอเสนอดังกลาวเพิ่มเติม 8. ครูใหนักเรียนนําสาเหตุการเกิดภัยแลงใน ประเด็นตางๆ มาวิเคราะห เชื่อมโยงกับแผนที่ แสดงพื้นที่เสี่ยงการเกิดภัยแลงของโลก จาก หนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 ประกอบการ วิเคราะหขอมูลเพิ่มเติม นักเรียนควรรู 1 รองมรสุม หรือรองความกดอากาศตํ่า มีลักษณะเปนแนวพาดขวางใน ทิศตะวันออก-ตะวันตก จะอยูในเขตรอนใกลๆ เสนศูนยสูตร และจะมีการ เลื่อนขึ้น-ลงตามแนวโคจรของดวงอาทิตย โดยจะลาหลังประมาณ 1-2 เดือน ความกวางของรองความกดอากาศตํ่า หรือรองมรสุมประมาณ 6-8 องศาละติจูด เปนบริเวณที่มีเมฆมากและฝนตกอยางหนาแนน ฉะนั้น เมื่อรองนี้ประจําอยูที่ใด หรือผานที่ใด ก็จะทําใหที่นั้นฝนตกอยางหนาแนนได นักเรียนสืบคนขอมูลสถิติการเกิดภัยแลงในทวีปตางๆ ของโลก แลวนํามากําหนดตําแหนงลงบนแผนที่โครงรางที่นักเรียน วาดเอง แลวระบุปที่เกิด สาเหตุที่เกิด จํานวนผูไดรับผลกระทบ สงครูผูสอน นํา สอน สรุป ประเมิน T220


ขอสอบเนน การคิด 98 ํE 100 ํE 102 ํE 104 ํE 106 ํE16 ํN 98 ํE 100 ํE 102 ํE 104 ํE 20 ํN 18 ํN 14 ํN 12 ํN 10 ํN 8 ํN 6 ํN 20 ํN 18 ํN 16 ํN 14 ํN 12 ํN 10 ํN 8 ํN 6 ํN พื้นที่เสี่ยงภัยแลง เสี่ยงมาก เสี่ยงปานกลาง เสี่ยงนอย เสี่ยงนอยมาก แหลงน้ำ 0 50 100 150 กม. N       จากแผนที่ จะเห็นว่าในภูมิอากาศเขตร้อนและเขตอบอุ่นของทวีปต่าง ๆ มีระดับความ รุนแรงของภัยแล้งแตกต ่างกันตามช ่วงระยะเวลาเกิดฝนแล้งและฝนทิ้งช ่วง  ซึ่งเป็นผลจาก ปรากฏการณ์เอลนีโญ  พื้นที่ประสบภัยแล้ง  เช่น  ทวีปเอเชียในประเทศอินเดีย  เกิดภัยแล้งจาก แผนที่แสดงพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งในประเทศไทย Geo Tip เส้นเวลาแสดงภัยแล้งของประเทศไทยในช่วง พ.ศ. 2520 - 2560 พ.ศ. 2520 ช่วงเดือนมิถุนายน - สิงหาคม มีพื้นที่ประสบ ภัยแล้งเกือบทั่วประเทศ พ.ศ. 2536 เกิดภาวะฝนทิ้งช่วงและฝนหมด เร็วกว ่าปกติ  พื้นที่ประสบภัย อยู่ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก พ.ศ. 2559 มีปริมาณฝนสะสมเฉลี่ยน้อย กว่าปกติ  ท�าให้น�้าในเขื่อนมี น้อย  พื้นที่ประสบภัยแล้งมี เกือบทุกภาค พ.ศ. 2548 มีปริมาณฝนน้อยและต�่ากว่า ค ่าปกติ  พื้นที่ประสบภัยมี ทุกภาค โดยเฉพาะภาคเหนือ  ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พ.ศ. 2522 เกิดฝนแล้งรุนแรง บริเวณที่แล้ง จัดเป็นบริเวณกว้างมากที่สุด คือ ภาคเหนือต่อภาคกลางทั้งหมด  และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2520 2530 2540 2550 2560 ฝนตกน้อย และไม่ตกเลยในช่วงต้นเดือนเมษายน -  พฤษภาคม  พ.ศ. 2559  ทวีปออสเตรเลียและ โอเชียเนียในรัฐนิวเซาท์เวลส์และรัฐแถบชายฝั่ง ตะวันออกของประเทศออสเตรเลีย  ไม ่มีฝนตก ในช่วงเดือนสิงหาคม - ต้นกันยายน  พ.ศ. 2561  ทวีปแอฟริกาในประเทศแถบชายฝั ่งมหาสมุทร อินเดียและตอนเหนือของอ่าวกินี   ภัยแล้งในประเทศไทยส ่วนใหญ ่เกิดจาก ฝนตกน้อยกว่าปกติ  หรือเกิดฝนทิ้งช่วงในฤดูฝน  โดยจะเกิดใน 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงฤดูหนาวต่อเนื่อง ฤดูร้อน เริ่มจากครึ่งหลังของเดือนตุลาคมเป็นต้นไป บริเวณประเทศไทยตอนบนมีปริมาณฝนลดลงจน เข้าสู ่ฤดูฝนในช ่วงกลางเดือนพฤษภาคมของปี ถัดไป ภัยลักษณะนี้เกิดประจ�าทุกปี  และช่วงกลาง ฤดูฝน ประมาณปลายเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม  มีฝนทิ้งช ่วงเกิดขึ้น ภัยแล้งลักษณะนี้เกิดขึ้นใน บางบริเวณ เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง  ภาคเหนือ ภาคตะวันตก เนื่องจากเป็นบริเวณที่ อิทธิพลของลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้เข้าไปไม่ถึง 213 ฝนตกน้อยกว่าปกติ  หรือเกิดฝนทิ้งช่วงในฤดูฝน  ภาคเหนือ ภาคตะวันตก บางบริเวณ เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง  1 2 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 9. ครูใหนักเรียนรวมกันยกตัวอยางสถานการณ การเกิดภัยแลงในประเทศไทยและประเทศ อื่นๆ ของโลกที่ไดศึกษาและรับขาวสาร มาวิเคราะหถึงความสําคัญของทรัพยากรนํ้า ตอการดํารงชีวิตของประชากร ประกอบการ ศึกษา Geo Tip เกี่ยวกับเสนเวลาแสดงภัยแลง ของประเทศไทยในชวง พ.ศ. 2520-2560 จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 จากนั้น ครูตั้งคําถาม เชน • การเกิดความแหงแลงในประเทศไทย เกี่ยวของกับปฏิสัมพันธทางภูมิศาสตรใน ดานใด และมีลักษณะอยางไร (แนวตอบ การเกิดความแหงแลงใน ประเทศไทยเกี่ยวของกับปฏิสัมพันธทาง ภูมิศาสตรในสวนของบรรยากาศภาค กลาวคือ ชวงเวลาการปกคลุมพื้นที่ของ ลมมรสุมมีอิทธิพลอยางยิ่งตอการเกิดความ แหงแลงในประเทศไทย เมื่อลมมรสุม ตะวันตกเฉียงใตออนกําลังลงปกคลุมพื้นที่ ในระยะเวลาสั้นลง หรือลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่นําความหนาวเย็นแหงแลงจาก ตอนเหนือของทวีปที่มีกําลังแรงหรือพัด มาเร็วกวาปกติ ก็ทําใหเกิดความแหงแลง ขึ้นได นอกจากนี้ การเกิดพายุหมุนเขตรอน ที่มีอิทธิพลตอปริมาณนํ้าฝนในประเทศไทย นอยกวา 2 ลูก ก็อาจสงผลใหในปนั้นเกิด ความแหงแลงขึ้นได) นักเรียนควรรู 1 ฝนทิ้งชวง ชวงที่มีปริมาณฝนตกไมถึงวันละ 1 มิลลิเมตรติดตอกันเกิน 15 วันในชวงฤดูฝน เดือนที่มีโอกาสเกิดฝนทิ้งชวงสูง คือ เดือนมิถุนายนและ กรกฎาคม 2 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันตก ในบริเวณที่ ลมตะวันออกเฉียงใต เขาไปไมถึงหรืออาจเขาไปถึง แตไดรับอิทธิพลนอย เนื่องจากเปนเขตเงาฝน ทําใหมีฝนตกนอย พื้นดินมีความชุมชื้นนอย ภัยแลงที่เกิดขึ้นในประเทศไทยมีสาเหตุมาจากอะไร และพื้นที่ บริเวณใดที่ไดรับผลกระทบจากภัยแลง (แนวตอบ ภัยแลงในประเทศไทย สวนใหญมีสาเหตุเกิดจาก ฝนแลงและทิ้งชวง ซึ่งฝนแลงเปนภาวะปริมาณฝนตกนอยกวาปกติ หรือฝนไมตกตองตามฤดูกาล พื้นที่ที่ไดรับผลกระทบจากภัยแลง มาก ไดแก บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง เพราะเปน บริเวณที่อิทธิพลของมรสุมตะวันตกเฉียงใตเขาไปไมถึง และถาปใด ไมมีพายุหมุนเขตรอนเคลื่อนผานในแนวดังกลาวแลวจะกอใหเกิด ภัยแลงรุนแรงมากขึ้น นอกจากพื้นที่ดังกลาวแลว ยังมีพื้นที่ใน ภูมิภาคอื่นๆ อีก ที่มักจะประสบปญหาภัยแลงเปนประจํา) นํา สอน สรุป ประเมิน T221


ขอสอบเนนการคิด โซมาเลีย จิบูตี เอธิโอเปย สถานการณความขาดแคลน เคนยา 0 300กม. ภาวะเสี่ยง ภาวะวิกฤต ภาวะฉุกเฉิน 2.6 ลานคน 117,000 คน 3.2 ลานคน 3.2 ลานคน 6) ภัยต่าง ๆ ที่เกิดจากภัยแล้งรุนแรง มีดังนี้ 1. ขาดแคลนน�้า ส�าหรับใช้ ในการอุปโภคบริโภค การเกษตร การประมง ปศุสัตว์  ระบบนิเวศ และการผลิตพลังงานจากน�้า 2. สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศแหล่งน�้าตายและสูญพันธุ์ก่อให้เกิดความเสียหายต่อ ถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าตามมา 3. เกิดไฟป่า เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนและแล้งจัด 4. สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ เพราะกระบวนการผลิตทั้งภาคเกษตรกรรม และอุตสาหกรรมได้รับความเสียหาย ท�าให้ผลผลิตไม่เพียงพอต่อการบริโภค 7) เหตุการณ์ภัยแล้งที่รุนแรง ครั้งส�าคัญ เช่น  ซากสัตว์ที่ตายเนื่องจากภาวะภัยแล้งรุนแรงในประเทศโซมาเลีย สาเหตุ : เกิดจากปรากฏการณ์ลานีญา ซึ่งรุนแรง ผิดปกติ ท�าให้ฝนไม ่ตกต้องตามฤดูกาล นับเป็น ภัยแล้งที่รุนแรงที่สุดในรอบ 60 ปี ผลกระทบ : ท�าให้ประชาชนในแถบจะงอยแอฟริกา เช่น เคนยา เอธิโอเปีย โซมาเลีย ขาดแคลนอาหาร และน�้าจ�านวนกว่า 13.3 ล้านคน มีผู้เสียชีวิตกว่า 1 แสนคน และประชาชนกว่า 12 ล้านคน ซึ่งใน จ�านวนนี้เป็นเด็กถึง 2 ล้านคน ต้องอพยพออกจาก ภูมิล�าเนา นอกจากนี้ประชาชนยังประสบกับปัญหา โรคระบาดเนื่องจากไม่มีระบบสุขอนามัยที่ดีและภัย ดังกล่าวยังส่งผลกระทบต่อสัตว์ต่าง ๆ  ท�าให้ล้มตาย เป็นจ�านวนมากเพราะขาดน�้าและอาหาร แผนที่แสดงพื้นที่ประสบภัยแล้ง และจ�านวนประชากร ที่ได้รับผลกระทบในบริเวณจะงอยแอฟริกา เหตุการณ์ ภัยแล้งครั้งใหญ่ในทวีปแอฟริกา พ.ศ. 2554 214 จิบูตี 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล • พื้นที่บริเวณใดของประเทศไทยที่มักประสบ ปญหาความแหงแลง และมีสาเหตุมาจาก สิ่งใด (แนวตอบ ไดแก บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง เพราะเปนบริเวณ ที่อิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต เขาไปไมถึง และถาปใดที่ไมมีพายุหมุน เขตรอนเคลื่อนผานในแนวดังกลาวแลว จะกอใหเกิดภัยแลงรุนแรงมากยิ่งขึ้น) 10. ครูใหนักเรียนรวมกันวิเคราะหความรูเกี่ยวกับ ผลกระทบจากภัยแลงที่หนาชั้นเรียน โดย เขียนรายละเอียดลงในผังแสดงความสัมพันธ ของสาเหตุและผลที่ครูเตรียมไวบนกระดาน พรอมทั้งชวยกันเสนอแนะเพิ่มเติมเพื่อให เกิดความรูความเขาใจที่ถูกตองชัดเจนยิ่งขึ้น นักเรียนควรรู 1 จิบูตี เมื่อพ.ศ. 2554 จิบูตีเปนหนึ่งในประเทศในภูมิภาคจะงอยแอฟริกา (Horn of Africa) ที่ประสบกับภัยแลง โดยมีผูไดรับความเดือดรอนประมาณ 1 แสนคน รัฐบาลไทยไดบริจาคเงินชวยเหลือจํานวน 50,000 ดอลลารสหรัฐ ผานโครงการอาหารโลก (World Food Programme: WFP) เพื่อชวยเหลือ ผูประสบภัยแลงในบริเวณดังกลาว รวมถึงจิบูตีดวย ปญหาภัยแลงสงผลกระทบตอการดํารงชีวิตของประชาชน อยางไร (แนวตอบ สงผลกระทบหลายดาน เชน ดานสังคม ทําใหเกิด การขาดแคลนนํ้าไวใชบริโภคอุปโภค สงผลตอสุขอนามัยของ ประชาชน ดานการเมือง อาจทําใหเกิดการแยงพื้นที่แหลงนํ้ากัน ดานเศรษฐกิจ ทําใหเกิดความเสียหายตอพื้นที่ทางการเกษตร เชน พื้นดินขาดความชุมชื้น พืชขาดนํ้าและชะงักการเจริญเติบโต ผลผลิตที่ไดมีคุณภาพตํ่า รวมถึงปริมาณลดลง อาจสงผลตอการ เลิกจางงาน ดานสิ่งแวดลอม สงผลกระทบตอสัตวตางๆ ทําให ขาดแคลนนํ้า เกิดโรคกับสัตว รวมถึงสูญเสียความหลากหลาย ทางชีวภาพ) นํา สอน สรุป ประเมิน T222


ภาพเปรียบเทียบทะเลสาบโอโรวิลล์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ในภาวะปกติและภาวะภัยแล้ง สาเหตุ: เนื่องจากมีปริมาณฝนในเดือนธันวาคม น้อยกว ่าค ่าปกติกว ่าครึ่ง ปริมาณหิมะบน เทือกเขาเชียร์รา เนวาดา ทางตอนเหนือของ รัฐแคลิฟอร์เนียตกน้อย ซึ่งเป็นแหล ่งผลิต น�้าจืดส�าคัญ โดยปกติมีค่าความหนาเฉลี่ยไม่ น้อยกว่า 165 เซนติเมตร แต่ความหนาของ หิมะลดเหลือประมาณ 5 เซนติเมตร พื้นที่มี อุณหภูมิพื้นผิวสูงมาก เป็นการเพิ่มระดับความ ร้อนและแล้งมากขึ้นร้อยละ 36 ท�าให้พื้นที่กว่า ครึ่งหนึ่งของรัฐแคลิฟอร์เนียเกิดความแห้งแล้ง อย่างรุนแรง ผลกระทบ : แคลิฟอร์เนียเป็นรัฐที่มีพื้นที่ทาง การเกษตรกว้างใหญ่มากแห่งหนึ่ง จึงได้รับผล กระทบจากภัยแล้งรุนแรงมากที่สุด อ่างเก็บน�้า เหตุการณ์ ภัยแล้งที่รุนแรงในสหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2557 8) การจัดการภัยพิบัติภัยแล้ง มีดังนี้ 8.1) มาตรการ มีดังนี้     1. จัดระบบการชลประทานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นมีการจัดสรรการใช้น�้า อย่างเหมาะสม เพื่อให้มีปริมาณน�้าส�ารองไว้ ใช้หากเกิดภัยแล้ง     2. จัดหาและก่อสร้างแหล่งน�้าหรือแหล่งกักเก็บน�้าขนาดใหญ่ การพัฒนา พื้นที่ชุ่มน�้า การขุดลอกล�าน�้าเพื่อเป็นแหล่งกักเก็บน�้า รวมถึงพัฒนาแหล่งน�้าใต้ดินที่มีปริมาณมาก และมีคุณภาพเพื่อน�ามาใช้ประโยชน์ในการอุปโภคบริโภค และการเกษตร     3. จัดท�าระบบเตือนภัยแล้ง เช่น การจัดท�าปฏิทินระบุถึงระยะเวลาที่อาจ เกิดภัย และให้ความรู้แก่ประชาชนถึงการเตรียมรับมือและผลกระทบที่ได้รับจากภัยแล้ง 8.2) วิธีป้องกัน ท�าได้ ดังนี้      1. ติดตามสภาวะอากาศ ฟังค�าแจ้งเตือนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง      2. เตรียมอุปกรณ์หรือภาชนะส�าหรับกักเก็บน�้าเพื่อให้มีน�้าใช้เพียงพอในกรณี เกิดภัยแล้งหรือเมื่อถึงยามจ�าเป็น      3. ปลูกป่าไม้มากขึ้นเพื่อให้มีความชื้นเพียงพอที่จะท�าให้เกิดฝน ซาคราเมนโตและลุ่มแม่น�้าซานเฮาควินมีปริมาณน�้าน้อยมาก ทั้งนี้ ชาวแคลิฟอร์เนียใช้น�้าเฉลี่ย ประมาณ 686 ลิตรต่อวัน ท�าให้ผู้บริหารของรัฐต้องจัดระบบการปันส่วนการใช้น�้าอย่างเร่งด่วน 215 8) การจัดการภัยพิบัติภัยแล้ง 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 1. ครูใหสมาชิกในแตละกลุมชวยกันสรุปสาระ สําคัญเพื่อตอบคําถามเชิงภูมิศาสตร 2. ครูใหนักเรียนรวมกันทําใบงานที่ 5.4 เรื่อง ภัยพิบัติธรรมชาติทางชีวภาค 3. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกสมรรถนะฯ ภูมิศาสตร ม.4-6 เกี่ยวกับภัยพิบัติธรรมชาติทางชีวภาค โดยครูแนะนําเพิ่มเติม 4. ครูมอบหมายใหนักเรียนทําชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) ดวยการทํากิจกรรม Mini Project การศึกษาคนควาดวยตนเองเกี่ยวกับภัยพิบัติ ทางธรรมชาติ โดยใชความรูเรื่องภูมิศาสตร สรุปดวยประเด็นตอไปนี้ • สรุปผลการสืบคนลักษณะทางกายภาพ ซึ่งทําใหเกิดปญหาหรือภัยพิบัติทาง ธรรมชาติในประเทศไทยและภูมิภาคตางๆ ของโลก • การดําเนินการตามกระบวนการทางภูมิศาสตร • การใชเทคนิคและเครื่องมือทางภูมิศาสตร สืบคนและรวบรวมขอมูลลักษณะทาง กายภาพ ซึ่งทําใหเกิดปญหาหรือภัยพิบัติ ทางธรรมชาติ และเสนอแนวทางการปองกัน ระวังภัย กิจกรรม เสริมสรางคุณลักษณะอันพึงประสงค นักเรียนรวมกลุมกันทํากิจกรรม “ปองกันภัยแลง” โดยเลือก กิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง บนพื้นฐานความพอเพียง ดังนี้ 1. จัดทําปายนิเทศ “รูเรื่องภัยแลง” หรือ “ระวังภัยแลง” 2. ทําปายและเดินรณรงคเชิญชวนชาวไทยรวมใจปองกันและระวัง ภัยแลง 3. จัดทํารายการเสียงตามสาย “สนทนาแลกเปลี่ยนเรียนรูเรื่อง ภัยแลง” 4. จัดทําแผนพับ/แผนปลิว ความรูเรื่องการปองกันภัยแลง นักเรียนควรรู 1 การจัดการภัยพิบัติภัยแลง แนวทางการจัดการวิธีหนึ่ง คือ ธนาคารนํ้า เพื่อเปนแหลงกักเก็บนํ้า จากการดูดซึมของหินใตพื้นผิวดินที่มีนํ้าหรือ การสงตอนํ้าบาดาลผานบอซึม โดยในกระบวนการกักเก็บนํ้า มีอยู 2 วิธีการ คือ การเติมนํ้าลงในแองนํ้า (basin) โดยตรง กับการใชการแทนที่เพื่อเติมนํ้า ลงในแองนํ้า จากทั้ง 2 วิธี จะทําใหไดนํ้าบาดาลที่สามารถนํากลับมาใชใหม ในภายหลัง นํา สอน สรุป ประเมิน T223


กิจกรรม 21st Century Skills ก่อนเกิดภัย ขณะเกิดภัย หลังเกิดภัย 1.  ส�ารองภาชนะเก็บกักน�้าไว้ให้เพียงพอในช่วง ฤดูฝน เพื่อจะได้มีน�้าไว้ใช้ในยามขาดแคลน ช่วงเกิดภาวะภัยแล้ง 2.  เตรียมสร้างระบบกักเก็บน�้าในพื้นที่การเกษตร เช่น  ขุดบ่อน�้า ร่องน�้า  เพื่อจะได้มีแหล่งน�้า ส�ารองไว้ใช้ประโยชน์ 3.  ติดตามสภาวะอากาศ ฟังค�าเตือนจากทาง ราชการ รวมทั้งเตรียมหมายเลขโทรศัพท์ ฉุกเฉินเพื่อขอน�้าไว้บริโภคอุปโภค หรือดับไฟป่า 4.  ก�าจัดวัสดุเชื้อเพลิงรอบที่พัก เพื่อป้องกันการ เกิดไฟป่า 1.  ควรใช้น�้าอย่างประหยัด เช่น ใช้น�้าจากฝักบัว เพื่อช�าระล้างร่างกายแทนการตักอาบ หรือน�า น�้าจากการซักผ้าไปใช้รดน�้าต้นไม้หรือเลือกใช้ ชักโครกแบบประหยัดน�้า 2.  เพาะปลูกพืชอายุสั้นที่ใช้น�้าน้อย เช่น แตงโม  พืชตระกูลถั่ว และควรใช้น�้าเพื่อการเกษตรใน ช่วงเช้าและช่วงเย็นเพื่อลดอัตราการระเหยน�้า 3.  แก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการแจกจ่ายน�้าแก่ ประชาชน 4.  หมั่นตรวจสอบท่อน�้าหรือก๊อกน�้าไม่ให้มีน�้า รั่วซึม 1.  วางแผนการแก้ปัญหาระยาวโดยพัฒนาลุ่มน�้า เช่น สร้างฝาย เขื่อน ขุดลอกแหล่งน�้า  รักษาป่าและปลูกป่าเพิ่มขึ้นเพื่อช่วยให้มีความชื้นมากพอที่จะท�าให้เกิดฝนและเก็บกัก น�้าไว้ ในพื้นดิน 2.  ลดการกระท�าที่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกเช่นไม่เผาขยะลดการใช้โฟมและผลิตภัณฑ์ ที่มีสาร CFCs ซึ่งเป็นตัวการท�าลายชั้นโอโซนในบรรยากาศ ท�าให้เกิดภาวะโลกร้อน 3. รณรงค์อนุรักษ์การใช้น�้าอย่างประหยัด 8.3) การปฏิบัติตน ท�าได้ ดังนี้ กล่าวโดยสรุปโลกต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติมากมายเช่นวาตภัยอุทกภัยไฟป่า แผ่นดินไหว ภูเขาไฟปะทุสึนามิซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและชีวิตความเป็นอยู่ของ มนุษย์ที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้น จึงจ�าเป็นที่ทุกฝ่ายจะต้องหาทางป้องกันและ แก้ปัญหาเพื่อให้ธรรมชาติและมนุษย์สามารถด�ารงอยู่ต่อไปได้อย่างยั่งยืน ภัยธรรมชาติครั้งรุนแรงที่สุดของโลก 216 ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 5. ใหนักเรียนทําแบบวัดฯ ภูมิศาสตร ม.4-6 เกี่ยวกับเรื่อง ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เพื่อ ทดสอบความรูที่ไดศึกษามา ขั้นสรุป ครูและนักเรียนรวมกันสรุปความรูเกี่ยวกับ ภัยพิบัติธรรมชาติทางชีวภาค ไดแก ไฟปา และ ภัยแลง ทั้งในดานของสาเหตุและกระบวนการเกิด ประเภท การกระจายการเกิด ภัยตางๆ ตัวอยาง เหตุการณที่เคยเกิดขึ้น การจัดการภัยพิบัติ ธรรมชาติทางชีวภาค ตลอดจนความสําคัญที่มี อิทธิพลตอการดําเนินชีวิตของผูคนในปจจุบัน หรืออาจใช PPT สรุปสาระสําคัญของเนื้อหา ขั้นประเมิน 1. ครูประเมินผลโดยสังเกตจากการตอบคําถาม การรวมกันทํางาน และการนําเสนอผลงาน หนาชั้นเรียน 2. ครูตรวจสอบผลจากการทําใบงาน แบบวัดฯ และแบบฝกสมรรถนะฯ ภูมิศาสตร ม.4-6 3. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียนหนวย การเรียนรูที่ 5 เรื่อง ภัยพิบัติทางธรรมชาติ แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถวัดและประเมินความเขาใจเนื้อหา เรื่อง ภัยพิบัติธรรมชาติทาง ชีวภาค ไดจากการตอบคําถาม การรวมกันทํางาน และนําเสนอผลงาน หนาชั้นเรียน โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินการ นําเสนอผลงานที่แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรูหนวยที่ 5 เรื่อง ภัยพิบัติ ทางธรรมชาติแบบประเมินการน าเสนอผลงาน ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินผลการน าเสนอผลงานของนักเรียนตามรายการ แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/................./................ เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 12 - 15 ดี 8 - 11 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง ล าดับที่ รายการประเมินระดับคะแนน 3 2 1 1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 การล าดับขั้นตอนของเรื่อง 3 วิธีการน าเสนอผลงานอย่างสร้างสรรค์ 4 การใช้เทคโนโลยีในการน าเสนอ 5 การมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม รวม นักเรียนแบงกลุมจับสลากเลือกภัยพิบัติทางธรรมชาติ ประเภทตางๆ จากนั้นใหแตละกลุมจัดทําแบบจําลองแสดงสาเหตุ สถานการณ ผลกระทบ และการจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติ ประกอบการใชเครื่องมือทางภูมิศาสตร โดยยกเหตุผลประกอบ อยางสมเหตุสมผล นําเสนอและอภิปรายรวมกันภายในชั้นเรียน แผนดินไหว ภูเขาไฟปะทุ สึนามิ แผนดินถลม คะแนนเต็ม คะแนนที่ได้ 5 กิจกรรมที่ 5.9 เรียงลําดับการเกิดภัยพิบัติที่กําหนด พรอมใหเหตุผลประกอบ และบอกวิธีการจัดการที่เหมาะสม ส 5.1 ม.4-6/2 เหตุผล ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ การจัดการภัย ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ Geo Skill • การคิดแบบองครวม • การใชสถิติพื้นฐาน ฉบับ เฉลย ¤íҵͺ¢Öé¹ÍÂÙ‹¡Ñº¡ÒÃàÃÕ§ÅíҴѺ¢Í§ ¹Ñ¡àÃÕ¹ ¹Ñ¡àÃÕ¹ÍÒ¨àÃÕ§ÅíҴѺà¾Õ§ ºÒ§Ê‹Ç¹ ઋ¹ à¡Ô´á¼‹¹´Ô¹äËÇáÅŒÇÊ‹§¼Å ãËŒ´Ô¹¶Å‹Á ᵋäÁ‹à¡Ô´ÀÙà¢Ò俻зØáÅÐ ÊÖ¹ÒÁÔµÒÁÁÒ ¤ÃÙ¾Ô¨ÒóҤÇÒÁ¶Ù¡µŒÍ§ áÅФÇÒÁࢌÒ㨢ͧ¹Ñ¡àÃÕ¹¨Ò¡¡ÒÃãËŒ à˵ؼŻÃСͺ ËÃ×͹ѡàÃÕ¹ÍÒ¨àÃÕ§ ÅíҴѺ¤Ãº·Ñé§ 4 ÀÑÂ¾ÔºÑµÔ àª‹¹ ¹Ñ¡àÃÕ¹ àÃÕ§ÅíҴѺµÒÁÀÒ¾ à¾ÃÒÐàÁ×èÍà¡Ô´ Ἃ¹´Ô¹äËǨÐÊ‹§¼ÅãËŒà¡Ô´¡ÒÃ»Ð·Ø ¢Í§ÀÙà¢Òä¿áÅÐÍÒ¨¡Ãзº¡ÑºÃÍÂá¡ ¢Í§á¼‹¹´Ô¹ãµŒ¼×¹¹íéÒ Íѹ໚¹ÊÒà˵ءÒà à¡Ô´¤Å×è¹ÊÖ¹ÒÁÔ áÅСÒÃäËÇÊÐà·×͹¡çÁÕ ËÅÒÂÃдѺ ·íÒãˌἋ¹´Ô¹¶Å‹Á㹺ҧ ¾×é¹·Õè·ÕèÍÂÙ‹ã¡ÅŒ¨Ø´à¡Ô´à赯 1 2 3 4 ¡ÒèѴ¡ÒÃÀѾԺѵԷÕèàËÁÒÐÊÁ ¤×Í ¡ÒÃÈÖ¡ÉÒ¢ŒÍÁÙÅà¡ÕèÂǡѺÀѾԺѵÔÍÂÙ‹àÊÁÍ à¾×èÍãËŒÊÒÁÒö»¯ÔºÑµÔµ¹ä´Œ¶Ù¡µŒÍ§ àÁ×èÍ à¡Ô´ÀѾԺѵԢÖé¹ ËÅÕ¡àÅÕè§¡ÒáÃзíÒ·Õè Ê‹§¼ÅãËŒà¡Ô´ÀѾԺѵԢÖé¹ àª‹¹ Å´¡ÒÃÊÙº¹íéÒ ãµŒ´Ô¹¨¹¢Ò´ÊÁ´ØÅ à¾×èÍ»‡Í§¡Ñ¹¡ÒÃà¡Ô´ Ἃ¹´Ô¹¶Å‹Á ÈÖ¡ÉÒÊÑÞÞÒ³àµ×͹ÀÑ ËÃ×ÍÊÑÞÞÒ³¸ÃÃÁªÒµÔ·Õ躋§ºÍ¡¶Ö§ ¡ÒÃà¡Ô´ÀÑÂ¾ÔºÑµÔ àª‹¹ ¡ÒÃŴŧ¢Í§¹íéÒ Í‹ҧÃÇ´àÃçÇ¡‹Í¹¨Ðà¡Ô´¤Å×è¹ÊÖ¹ÒÁÔ ¢³Ð·Õè à¡Ô´ÀѾԺѵԤÇõÑé§ÊµÔáÅл¯ÔºÑµÔµÒÁ ¤íÒá¹Ð¹íÒ·Õèä´ŒÈÖ¡ÉÒÁÒ à¾×èÍÅ´¤ÇÒÁàÊÕè§ µ‹ÍªÕÇÔµáÅзÃѾÊÔ¹ (แนวตอบ) 74 แบบวัดฯ นํา สอน สรุป ประเมิน T224


คําถามเน้นการคิด กิจกรรมพัฒนาทักษะ 1.  ให้นักเรียนยกตัวอย่างพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟปะทุ สึนามิ    และแผ่นดินถล่ม 1 ตัวอย่าง พร้อมทั้งระบุเหตุผล 2.   บริเวณที่มักเกิดพายุหมุนเขตร้อน พายุทอร์นาโด มีลักษณะทางกายภาพอย่างไร 3.   การเกิดน�้าท่วมใหญ่ในภาคกลางของประเทศไทยใน พ.ศ. 2554 เกิดจากสาเหตุใด    ส่งผลกระทบอย่างไร และมีแนวทางป้องกันและรับมือกับปัญหาในระยะยาวอย่างไร 4.  สาเหตุของการเกิดไฟป่าในประเทศไทยและในภูมิภาคอื่นของโลกมีความเหมือน   หรือแตกต่างกัน อย่างไร 5.  ปัจจัยที่ท�าให้เกิดภัยแล้งมีอะไรบ้าง และภัยแล้งเกิดขึ้นได้อย่างไร 6.   ภัยธรรมชาติแต่ละประเภทส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านทรัพยากรธรรมชาติ   และสิ่งแวดล้อมอย่างไร จงยกตัวอย่าง 1.  ให้นักเรียนยกตัวอย่างพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟปะทุ สึนามิ  2.   บริเวณที่มักเกิดพายุหมุนเขตร้อน พายุทอร์นาโด มีลักษณะทางกายภาพอย่างไร 3.   การเกิดน�้าท่วมใหญ่ในภาคกลางของประเทศไทยใน พ.ศ. 2554 เกิดจากสาเหตุใด  4.  สาเหตุของการเกิดไฟป่าในประเทศไทยและในภูมิภาคอื่นของโลกมีความเหมือน 5.  ปัจจัยที่ท�าให้เกิดภัยแล้งมีอะไรบ้าง และภัยแล้งเกิดขึ้นได้อย่างไร 6.   ภัยธรรมชาติแต่ละประเภทส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านทรัพยากรธรรมชาติ 1.   สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับภัยพิบัติที่มักเกิดขึ้นในพื้นที่เดิมทุกปี เพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุที่ก่อให้เกิด ภัยพิบัตินั้น 2.   ศึกษาภัยพิบัติที่เพิ่งเกิดขึ้นในประเทศไทยหรือในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก เขียนสรุปสาระส�าคัญ ประเด็นต่อไปนี้   •  สาเหตุ   •  ผลกระทบ   •  ความช่วยเหลือจากหน่วยงานหรือประเทศต่าง ๆ   •  แนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาในอนาคต   •  การรับมือ 3.   จัดท�าคู่มือป้องกันภัยพิบัติใดก็ได้ที่นักเรียนสนใจ เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจ 4.   แบ่งกลุ่มจ�าลองสถานการณ์การรับมือภัยพิบัติ 1 ภัย ฝึกซ้อมการอพยพหนีภัย การเคลื่อนย้าย และดูแลผู้บาดเจ็บ 1.   สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับภัยพิบัติที่มักเกิดขึ้นในพื้นที่เดิมทุกปี เพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุที่ก่อให้เกิด 2.   ศึกษาภัยพิบัติที่เพิ่งเกิดขึ้นในประเทศไทยหรือในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก เขียนสรุปสาระส�าคัญ 3.   จัดท�าคู่มือป้องกันภัยพิบัติใดก็ได้ที่นักเรียนสนใจ เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจ 4.   แบ่งกลุ่มจ�าลองสถานการณ์การรับมือภัยพิบัติ 1 ภัย ฝึกซ้อมการอพยพหนีภัย การเคลื่อนย้าย 217 เฉลย แนวทางประเมินกิจกรรมพัฒนาทักษะ ประเมินความรอบรู • ใชในการประเมินความรอบรูในหลักการพื้นฐาน กระบวนการความสัมพันธของขั้นตอนการปฏิบัติงาน รวมถึงทักษะการคิดในเรื่องตางๆ โดยทั่วไป งานหรือชิ้นงานใชเวลาไมนาน งานสําหรับประเมินรูปแบบนี้อาจเปนคําถามปลายเปดหรือผังมโนทัศน นิยมสําหรับประเมินผูเรียนรายบุคคล ประเมินความสามารถ • เชน ความคลองแคลวในการใชเครื่องมือทางภูมิศาสตร การแปลความหมายขอมูล ทักษะการตัดสินใจ ทักษะการแกปญหา งานหรือชิ้นงานจะสะทอนถึง ทักษะและระดับความสามารถในการนําความรูไปใช อาจเปนการประเมินการเขียน ประเมินกระบวนการทํางานทางภูมิศาสตรตางๆ หรือการวิเคราะห และการแกปญหา ประเมินทักษะ • มีเปาหมายหลายประการ ผูเรียนไดแสดงทักษะ ความสามารถทางภูมิศาสตรตางๆ ที่ซับซอนขึ้น งานหรือชิ้นงานมักเปนโครงงานระยะยาว ซึ่งผูเรียน ตองมีการนําเสนอผลการปฏิบัติงานตอผูเกี่ยวของหรือตอสาธารณะ สิ่งที่ตองคํานึงถึงในการประเมิน คือ จํานวนงานหรือกิจกรรมที่ผูเรียนปฏิบัติ และผูประเมินควรกําหนดรายการประเมิน และทักษะที่ตองการประเมินให ชัดเจน เฉลย คําถามเนนการคิด 1. ตัวอยางพื้นที่เสี่ยงตอการเกิดแผนดินถลม เชน พื้นที่บานหวยขาบ อ.บอเกลือ จ.นาน ซึ่งเคยเกิดภัยพิบัติแผนดินถลมเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 มีผูเสียชีวิตจํานวน 8 ราย สูญหาย 2 ราย บานเรือนเสียหายกวา 261 ครัวเรือน โดยมีสาเหตุมาจากการเกิด ฝนตกหนักตอเนื่อง 20 วัน ประกอบกับการมี ภูมิประเทศที่เปนภูเขาที่ลาดชันถึง 25 องศา จึงทําใหเกิดการถลมของดินไดงาย 2. พายุหมุนเขตรอน เกิดขึ้นในมหาสมุทรเขตรอน ซึ่งมีอากาศรอนและมีความชื้นสูง สวนพายุ ทอรนาโด เกิดขึ้นบริเวณที่เปนที่ราบขนาดใหญ และในเขตอบอุน 3. มีสาเหตุทั้งจากอิทธิพลของลานีญา สงผลให เกิดปริมาณฝนมากจากพายุหลายลูก รวมถึง การลดลงของพื้นที่ปา การกีดขวางของสิ่งปลูก สราง และระบบบริหารจัดการนํ้า กอใหเกิด การสูญหาย เสียชีวิตของผูคน สิ่งปลูกสราง และพื้นที่การเกษตรเสียหาย จึงควรใหความรู แกประชาชนในการจัดการเพื่อรับมือกับ ภัยพิบัติ 4. แตกตางกัน โดยไฟปาในประเทศไทยมักเกิด จากการเผาปาเพื่อหาของปา หรือพื้นที่ทําการ เกษตร รวมถึงสภาพอากาศที่แหงแลง สวนใน ภูมิภาคอื่นของโลกมักเกิดจากธรรมชาติ เชน ฟาผา ภูเขาไฟปะทุ หรือการเสียดสีของกิ่งไม 5. ปจจัยที่ทําใหเกิดภัยแลง เชน สภาพอากาศ ปริมาณฝน แหลงนํ้า การอุมนํ้าของดิน โดย ภัยแลงเกิดขึ้นไดจากการผันแปรของสภาพ อากาศ การทําลายปาไม การขาดแหลง กักเก็บนํ้า ความตองการใชนํ้าที่เพิ่มมากขึ้น 6. เชน ไฟปา สงผลใหเกิดภาวะโลกรอน นอกจากนี้ ยังทําลายความอุดมสมบูรณของหนาดิน ปญหาหมอกควันที่เปนอันตรายตอสุขภาพ มนุษยและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ สัตวปาลดจํานวน ลงจากแหลงที่อยูอาศัย และแหลงอาหาร ถูกทําลาย นํา สอน สรุป ประเมิน T225


Chapter Overview แผนการจัด การเรียนรู้ สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้ คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ แผนฯ ที่ 1 สถานการณ์ การเปลี่ยนแปลง ด้านทรัพยากร ธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม 2 ชั่วโมง - หนังสือเรียน ภูมิศาสตร์ม.4-6 - แบบฝึกสมรรถนะ และการคิด ภูมิศาสตร์ ม.4-6 - แบบทดสอบก่อนเรียน - PowerPoint - ใบงานที่ 6.1 - เครื่องมือทาง ภูมิศาสตร์เช่น แผนที่ เข็มทิศ รูปถ่ายทางอากาศ ภาพจากดาวเทียม 1. วิเคราะห์สถานการณ์ การเปลี่ยนแปลงด้าน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ทั้งใน ด้านสาเหตุผลกระทบ และแนวทางแก้ไขได้(K) 2. เลือกใช้เครื่องมือทาง ภูมิศาสตร์ในการศึกษา สถานการณ์การ เปลี่ยนแปลงด้าน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ทั้งใน ด้านสาเหตุผลกระทบ และแนวทางแก้ไขได้(P) 3. เห็นคุณค่าในการศึกษา สถานการณ์การ เปลี่ยนแปลงด้าน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ทั้งใน ด้านสาเหตุผลกระทบ และแนวทางแก้ไข เพิ่มมากขึ้น (A) กระบวนการ ทางภูมิศาสตร์ (Geographic Inquiry Process) - ตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน - ตรวจการท�ำแบบฝึก สมรรถนะและการคิด ภูมิศาสตร์ม.4-6 - ตรวจใบงานที่ 6.1 - ประเมินการน�ำเสนอผลงาน - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายบุคคล - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานกลุ่ม - ประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - การสังเกต - การแปลความ ข้อมูลทาง ภูมิศาสตร์ - การใช้เทคนิค และเครื่องมือ ทางภูมิศาสตร์ - การคิดเชิงพื้นที่ - การคิดแบบ องค์รวม 1. ใฝ่เรียนรู้ 2. มุ่งมั่นในการ ท�ำงาน 3. มีจิตสาธารณะ แผนฯ ที่ 2 มาตรการ ป้องกัน และแก้ไขปัญหา ทรัพยากร ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม 2 ชั่วโมง - หนังสือเรียน ภูมิศาสตร์ม.4-6 - แบบฝึกสมรรถนะ และการคิด ภูมิศาสตร์ ม.4-6 - PowerPoint - ใบงานที่ 6.2 - เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ เช่น แผนที่ เข็มทิศ รูปถ่ายทางอากาศ ภาพจากดาวเทียม 1. อธิบายมาตรการป้องกัน และแก้ไขปัญหา ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมได้(K) 2. อธิบายกฎหมายและ นโยบายทรัพยากร ธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมได้(K) 3. อธิบายบทบาทของ องค์กรและการประสาน ความร่วมมือทั้งใน ประเทศและระหว่าง ประเทศได้(K) 4. เลือกใช้เครื่องมือทาง ภูมิศาสตร์ในการศึกษา มาตรการป้องกันและ แก้ไขปัญหาทรัพยากร ธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมได้(P) 5. สนใจศึกษามาตรการ ป้องกันและแก้ไขปัญหา ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจการท�ำแบบฝึก สมรรถนะและการคิด ภูมิศาสตร์ม.4-6 - ตรวจใบงานที่ 6.2 - ประเมินการน�ำเสนอผลงาน - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายบุคคล - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานกลุ่ม - ประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - การคิดเชิงพื้นที่ - การคิดแบบ องค์รวม 1. ใฝ่เรียนรู้ 2. มุ่งมั่นในการ ท�ำงาน 3. มีจิตสาธารณะ T226


แผนการจัด การเรียนรู้ สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้ คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ แผนฯ ที่ 3 การจัดการ ทรัพยากร ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ที่ยั่งยืน 2 ชั่วโมง - หนังสือเรียน ภูมิศาสตร์ม.4-6 - แบบฝึกสมรรถนะ และการคิด ภูมิศาสตร์ ม.4-6 - แบบวัดและบันทึกผล การเรียนรู้ภูมิศาสตร์ ม.4-6 - แบบทดสอบหลังเรียน - PowerPoint - ใบงานที่ 6.3 - เครื่องมือทาง ภูมิศาสตร์เช่น แผนที่ เข็มทิศ รูปถ่ายทางอากาศ ภาพจากดาวเทียม 1. วิเคราะห์แนวทาง การจัดการทรัพยากร ธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมเพื่อการ พัฒนาที่ยั่งยืนได้(K) 2. เสนอแนวทางการมี ส่วนร่วมในการจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมเพื่อการ พัฒนาที่ยั่งยืนได้(K) 3. เลือกใช้เครื่องมือทาง ภูมิศาสตร์ในการศึกษา แนวทางการจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมเพื่อการ พัฒนาที่ยั่งยืนได้(P) 4. เห็นคุณค่าของการมี ส่วนร่วมในการจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมเพื่อ การพัฒนาที่ยั่งยืน เพิ่มมากขึ้น (A) กระบวนการ ทางภูมิศาสตร์ (Geographic Inquiry Process) - ตรวจการท�ำแบบฝึกสมรรถนะ และการคิด ภูมิศาสตร์ม.4-6 - ตรวจการท�ำแบบวัดและ บันทึกผลการเรียนรู้ ภูมิศาสตร์ม.4-6 - ตรวจใบงานที่ 6.3 - ประเมินการน�ำเสนอผลงาน - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายบุคคล - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานกลุ่ม - ประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน - การแปลความ ข้อมูลทาง ภูมิศาสตร์ - การใช้เทคนิค และเครื่องมือ ทางภูมิศาสตร์ - การคิดเชิงพื้นที่ - การคิดแบบ องค์รวม 1. ใฝ่เรียนรู้ 2. มุ่งมั่นในการ ท�ำงาน 3. มีจิตสาธารณะ T227


นักเรียนจะมี แนวทางในการจัดการ ·ÃѾÂҡøÃÃÁªÒµÔ áÅÐÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ ให้เกิดความยั�งยืน ได้อย่างไร ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมกับ การพัฒนาที่ยั่งยืน หน่วยการเรียนรู้ที่6 สาระการเรียนรู้แกนกลาง • สถำนกำรณ์กำรเปลี่ยนแปลงด้ำน ทรัพยำกรธรรมชำติและสิ�งแวดล้อม ได้แก่ กำรเปลี่ยนแปลงสภำพภูมิอำกำศ ควำมเสื่อมโทรมของสิ�งแวดล้อม ควำม หลำกหลำยทำงชีวภำพ และภัยพิบั ติ • สำเหตุและผลกระทบของกำรเปลี่ยน แปลงด้ำนทรัพยำกรธรรมชำติและ สิ�งแวดล้อมของประเทศไทยและภูมิภำค ต่ำง ๆ ของโลก • กำรจัดกำรภัยพิบัติ • มำตรกำรป้องกันและแก้ไขปัญหำ ทรัพยำกรธรรมชำติและสิ�งแวดล้อม ในประเทศและระหว่ำงประเทศ ตำม แนวทำงกำรพัฒนำที่ยั�งยืน ควำมมั�นคง ของมนุษย์และกำรบริโภคอย่ำงรับผิดชอบ • กฎหมำยและนโยบำยด้ำนทรัพยำกร ธรรมชำติและสิ�งแวดล้อมทั้งในประเทศ และระหว่ำงประเทศ • บทบำทขององค์กำร และกำรประสำน ควำมร่วมมือทั้งในประเทศและระหว่ำง ประเทศ • แนวทำงกำรจัดกำรทรัพยำกรธรรมชำติ และสิ�งแวดล้อม • กำรมีส่วนร่วมในกำรแก้ปัญหำ และ กำรด�ำเนินชีวิตตำมแนวทำงกำรจัดกำร ทรัพยำกรและสิ�งแวดล้อมเพื่อกำรพัฒนำ ที่ยั�งยืน ตัวชี้วัด ส 5.2 ม.4 - 6/2 - 4 ทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อมมีควำมส�ำคัญต่อวิถีชีวิต ของมนุษย์ แต่เนื่องจำกกำรเพิ่มขึ้นของจ�ำนวนประชำกรโลก จึงท�ำให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงสภำพภูมิอำกำศของโลก ส่งผลให้ ทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมลงอย่ำงรวดเร็ว จึงเกิดแนวคิดร่วมกันจัดกำรทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อม เพื่อกำรพัฒนำและมีทรัพยำกรใช้อย่ำงยั่งยืน 218 219 ขั้นนํา (Geographic Inquiry Process) 1. ครูแจงใหนักเรียนทราบถึงวิธีสอน ชื่อเรื่อง จุดประสงค และผลการเรียนรู 2. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียนหนวย การเรียนรูที่ 6 เรื่อง ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดลอมกับการพัฒนาที่ยั่งยืน 3. ครูใหนักเรียนดูภาพ หรือคลิปวิดีโอที่เกี่ยวของ กับการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของโลกใน ดินแดนตางๆ 4. ครูตั้งคําถามกระตุนความคิดโดยให นักเรียนรวมกันตอบคําถามโดยเชื่อมโยงกับ ประเทศไทย เชน • สถานการณดานสิ่งแวดลอมของประเทศไทย ในปจจุบันมีความสัมพันธกับวิกฤตการณ ดานสิ่งแวดลอมในสวนตางๆ ของโลก อยางไร ยกตัวอยางประกอบพอสังเขป เกร็ดแนะครู ครูจัดกิจกรรมการเรียนรูเพื่อใหนักเรียนสามารถวิเคราะหสถานการณและวิกฤตการณดานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมในประเทศไทยและ โลกได รวมถึงสามารถระบุมาตรการปองกันและแนวทางการแกไขปญหา บทบาทขององคการและการประสานความรวมมือทั้งในประเทศและนอกประเทศ เกี่ยวกับกฎหมายสิ่งแวดลอม การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ระบุแนวทางการอนุรักษและมีสวนรวมในการแกปญหาโดยเนนการพัฒนา ทักษะกระบวนการตางๆ เชน • ครูใหนักเรียนศึกษาเกี่ยวกับสถานการณและวิกฤตการณดานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมในประเทศตางๆ ที่นักเรียนสนใจคนละ 1 ประเทศ จากนั้นออกแบบและจัดทําการนําเสนอผลงานเผยแพรความรู และแนวทางการปองกันวิกฤตการณดังกลาว • ครูใหนักเรียนศึกษาคนควาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติเพื่อจัดทําบทความและหลักการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ในภูมิภาคตางๆ ของโลก นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T228


ขอสอบเนน การคิด 1 สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงด้านทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันได้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงทำงกำยภำพของโลก ทั้งในส่วนที่เกิดจำกภำยในเปลือกโลก กำรเปลี่ยนแปลงบริเวณพื้นผิวโลก และกำรเปลี่ยนแปลงภำยในบรรยำกำศของโลก ซึ่งมีผลกระทบ โดยตรงและโดยอ้อมต่อมนุษย์ ลักษณะกำรเปลี่ยนแปลงมีตั้งแต่กำรเกิดขึ้นอย่ำงช้ำ ๆ ไปจนถึง กำรเกิดขึ้นอย่ำงฉับพลันและรุนแรง ส่งผลให้เกิดควำมเสียหำยต่อชีวิตและทรัพย์สินจ�ำนวนมำก 1.1 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กำรที่อุณหภูมิของโลกค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นทีละน้อย ท�ำให้เกิดควำมเสี่ยงที่จะเกิด ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมำกยิ่งขึ้น เช่น อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น ท�ำให้เกิดกำรละลำยของน�้ำแข็ง ขั้วโลกเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ระดับน�้ำทะเลโลกสูงขึ้น หรือท�ำให้เกิดวิกฤตสภำพอำกำศผันผวนอย่ำง สุดขั้ว (extreme weather) 1) สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กำรเปลี่ยนแปลงสภำพ ภูมิอำกำศเป็นปรำกฏกำรณ์ที่เกิดขึ้นอย่ำงช้ำ ๆ และใช้เวลำนำนกว่ำจะสังเกตพบได้ โดยนับตั้งแต่ สมัยปฏิวัติอุตสำหกรรมเป็นต้นมำ มีกำรสะสมของแก๊สเรือนกระจกและกำรเก็บกักควำมร้อน ในชั้นบรรยำกำศเพิ่มสูงขึ้นอย่ำงรวดเร็ว ก่อให้เกิดภำวะโลกร้อน มีผลท�ำให้ภูมิอำกำศมีกำร เปลี่ยนแปลงอย่ำงฉับพลัน ใน พ.ศ. 2544 คณะกรรมกำรระหว่ำงรัฐบำลว่ำด้วยกำรเปลี่ยนแปลง สภำพภูมิอำกำศ (IPCC) ได้ประเมินว่ำ นับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 อุณหภูมิเฉลี่ยของโลก ได้เพิ่มสูงขึ้น 0.6 องศำเซลเซียส และภำยใน พ.ศ. 2643 อุณหภูมิของโลกจะสูงขึ้นอีกประมำณ 1.4 - 5.8 องศำเซลเซียส รวมทั้งระดับน�้ำทะเลทั่วโลกจะสูงขึ้น 0.09 - 0.88 เมตร หำกมนุษย์ ยังคงปล่อยแก๊สเรือนกระจกเหมือนที่ผ่ำนมำ จะส่งผลกระทบต่อกำรด�ำรงอยู่ของประชำกรโลก กำรที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นท�ำให้เขตภูมิอำกำศของโลกในปัจจุบันเปลี่ยนไป โดยเฉพำะ พื้นที่ป่ำในเขตอบอุ่น พืชพรรณธรรมชำติบำงชนิดอำจสูญหำยไปและเกิดพันธุ์ไม้ชนิดใหม่ขึ้นมำ ท�ำให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศได้ นอกจำกนี้ กำรที่อุณหภูมิอบอุ่นขึ้นส่งผลให้แมลง ศัตรูพืชมีกำรแพร่พันธุ์และแพร่ระบำดมำกขึ้น รวมถึงท�ำให้เกิดไฟป่ำบ่อยครั้ง อัตรำกำรตำยของ ปศุสัตว์และสัตว์ป่ำเพิ่มสูงขึ้น และยังท�ำให้ปริมำณน�้ำในแหล่งน�้ำเพิ่มขึ้นส�ำหรับประเทศที่ต้องพึ่งพำ แหล่งน�้ำจำกกำรละลำยของหิมะ ขณะที่ประเทศเขตร้อนจะเกิดภำวะขำดแคลนน�้ำในวงกว้ำง 218 219 สภำพภูมิอำกำศ (IPCC) ได้ประเมินว่ำ นับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 อุณหภูมิเฉลี่ยของโลก เปลี่ยนแปลงอย่ำงฉับพลัน ใน พ.ศ. 2544 คณะกรรมกำรระหว่ำงรัฐบำลว่ำด้วยกำรเปลี่ยนแปลง 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร 1. ครูใหนักเรียนวิเคราะหรวมกันถึงพฤติกรรม ในชีวิตประจําวันของนักเรียนและบุคคลใน ครอบครัวที่กอใหเกิดการเปลี่ยนแปลงดาน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมในดาน ตางๆ เชน อากาศ ดิน นํ้า ปาไม สัตวปา แร และพลังงาน อาหาร รวมไปถึงขยะตางๆ 2. ครูสุมนักเรียนเพื่อนําเสนอพฤติกรรมที่กอให เกิดการเปลี่ยนแปลงดานทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดลอมในดานตางๆ จํานวน 5-6 คน จากนั้นใหอภิปรายถึงพฤติกรรมดังกลาว รวมกัน เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับความผันผวนของภูมิอากาศวาเปนระบบ ภูมิอากาศที่แปรปรวนไปจากแบบแผนของภูมิอากาศที่เคยเปนอยูในอดีต ที่แตกตาง ไปจากคาเฉลี่ยสถิติทั้งในเชิงพื้นที่และเวลา เชน โดยปกติประเทศไทยฝนจะ เริ่มตกประมาณเดือนพฤษภาคม แตถามีฝนตกตอเนื่องตั้งแตเดือนเมษายนถือวา มีความผันผวนของฝนเกิดขึ้น ในอนาคตมีการคาดการณวา “เกาะจะถูกนํ้าทวม” เหตุการณนี้ เปนผลมาจากสาเหตุใด 1. ภาวะโลกรอนที่รุนแรง 2. ปาไมอุดมสมบูรณมากขึ้น 3. ฝนตกหนักตอเนื่องเปนเวลานาน 4. ประชากรอพยพเขาไปอยูอาศัยมาก 5. ลดการปลอยแกสคารบอนไดออกไซด (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. ประเทศที่เปนหมูเกาะมีพื้นที่ตํ่า อยูแลว เมื่อเกิดภาวะโลกรอนที่รุนแรงจะสงผลใหระดับนํ้าทะเล เพิ่มสูงขึ้นจนอาจเขาทวมพื้นที่ของเกาะได) นักเรียนควรรู 1 คณะกรรมการระหวางรัฐบาลวาดวยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) เปนองคการระหวางประเทศที่ทําหนาที่ประเมินการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ กอตั้งขึ้นโดยโครงการสิ่งแวดลอมแหงสหประชาชาติ (UNEP) และ องคการอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ใน พ.ศ. 2531 มีจุดประสงคเพื่อใหทั่วโลก รับรูเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และแนวโนมผลกระทบตอ สิ่งแวดลอม เศรษฐกิจ และสังคม นํา สอน สรุป ประเมิน T229


ขอสอบเนนการคิด ส�ำหรับสถำนกำรณ์กำรเปลี่ยนแปลงสภำพภูมิอำกำศของประเทศไทย จำกข้อมูล กำรตรวจวัดที่ผิวพื้นและในบรรยำกำศของสถำนีอุตุนิยมวิทยำทั่วประเทศ บ่งชี้ว่ำอุณหภูมิใน ประเทศไทยในรอบ 55 ปีที่ผ่ำนมำ (พ.ศ. 2498 - 2552) เพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ยปีละ 1.45 องศำเซลเซียส โดยค่ำเฉลี่ยรำยปีอุณหภูมิสูงสุดเพิ่มขึ้น 0.86 องศำเซลเซียส และค่ำเฉลี่ยอุณหภูมิต�่ำสุดเพิ่มขึ้น 0.95 องศำเซสเซียส ในขณะที่สถำบันสำรสนเทศทรัพยำกรน�้ำและกำรเกษตรระบุว่ำที่อุณหภูมิ ผิวน�้ำทะเลเฉลี่ยในอ่ำวไทยและทะเลอันดำมันมีแนวโน้มสูงขึ้นประมำณ 0.1 องศำเซลเซียสต่อ ทศวรรษในรอบ 50 ปี(พ.ศ.2510 - 2549) ระดับน�้ำทะเลเฉลี่ยในอ่ำวไทยมีแนวโน้มสูงขึ้นด้วย อัตรำ 3.0 - 5.0มิลลิเมตรต่อปีส่งผลกระทบเช่นบริเวณอ่ำวไทยตอนบนเกิดกำรรุกล�้ำของน�้ำเค็ม ท�ำให้ผลิตข้ำวได้น้อยลง ส่งผลต่อระบบนิเวศชำยฝั่ง ท�ำให้เกิดกำรปนเปื้อนของน�้ำเค็มในแหล่ง น�้ำจืด และท�ำให้พื้นที่ป่ำชำยเลนลดลง 2) สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ส�ำคัญ มีดังนี้ 2.1) สาเหตุจากธรรมชาติเช่น กำรเพิ่มขึ้นของพลังงำนควำมร้อนจำกดวงอำทิตย์ ท�ำให้พลังงำนที่โลกได้รับในแต่ละฤดูและแต่ละละติจูดเปลี่ยนแปลงไปอย่ำงมำก 2.2) สาเหตุจากมนุษย์ ตั้งแต่โลกเข้ำสู่สมัยปฏิวัติอุตสำหกรรมเป็นต้นมำ มนุษย์ ได้พัฒนำเทคโนโลยีเครื่องจักรกลขึ้นมำใช้ทุ่นแรง เพื่อเพิ่มก�ำลังในกำรผลิตและอ�ำนวยควำมสะดวก ต่ำง ๆ ซึ่งท�ำให้เกิดกำรเพิ่มขึ้นของแก๊สเรือนกระจกเช่นแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์จำกกำรเผำไหม้ เชื้อเพลิงถ่ำนหินน�้ำมันดิบและแก๊สธรรมชำติ แก๊สมีเทนและไนตรัสออกไซด์จำกกำรท�ำกำรเกษตร และกำรปศุสัตว์ และกำรเพิ่มขึ้นของสำรคลอโรฟลูออโรคำร์บอน (Chlorofluorocarbons: CFCs) ที่ท�ำลำยชั้นโอโซน มีผลท�ำให้อุณหภูมิของอำกำศเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลง สภำพภูมิอำกำศของโลก กำรปล่อยแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์จำกกำรเผำไหม้เชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ออกสู่บรรยำกำศจ�ำนวนมำก เป็นสำเหตุส�ำคัญ ประกำรหนึ่งที่ท�ำให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงสภำพภูมิอำกำศ 220 221 รเพิ่มขึ้นของสำรคลอโรฟลูออโรคำร์บอน 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร 3. ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเพิ่มเติมจาก พฤติกรรมในชีวิตประจําวันของนักเรียน และบุคคลในครอบครัวที่กอใหเกิดการ เปลี่ยนแปลงดานทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดลอมในดานตางๆ เชน อากาศ ดิน นํ้า ปาไม สัตวปา แรและพลังงาน อาหาร รวมไปถึงขยะตางๆ เกี่ยวกับผลกระทบที่ เกิดขึ้นจากพฤติกรรมดังกลาว พรอมทั้งเสนอ แนวทางแกไขในเบื้องตนรวมกัน ประกอบการ ใชคําถาม เชน • ในเมืองใหญที่มีการจราจรหนาแนนจะมี สภาพอากาศเปนอยางไร และสงผลกระทบ ตอมนุษยอยางไร (แนวตอบ การจราจรที่หนาแนนกอใหเกิด มลภาวะทางอากาศที่รุนแรง จากสารพิษ ที่เกิดจากการเผาไหมเชื้อเพลิงฟอสซิลของ เครื่องยนต ไดแก ไนโตรเจนไดออกไซด คารบอนมอนอกไซด ตะกั่ว และ ไฮโดรคารบอน ซึ่งเปนอันตรายตอระบบ ทางเดินหายใจ ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบ ประสาทของรางกาย) นักเรียนควรรู 1 สารคลอโรฟลูออโรคารบอน หรือสาร CFCs เปนสารที่มีความคงตัวสูงมาก จึงสลายตัวไดชาที่สุด เมื่อถูกปลอยออกสูบรรยากาศจะลอยไปถึงชั้นสแตรโทสเฟยร เมื่อถึงชั้นบรรยากาศดังกลาวรังสีอัลตราไวโอเลตจะทําให CFCs แตกตัวและปลอย อะตอมของคลอรีนออกมา อะตอมของคลอรีนจะไปดึงอะตอมของออกซิเจนจาก โมเลกุลของโอโซนออกมาเพื่อสรางสารชนิดใหม ดังนั้น ยิ่งสาร CFCs มีมากเทาใด โอโซนก็จะถูกทําลายมากขึ้นเทานั้น เหตุการณใดที่อาจกลาวไดวาเปนจุดเริ่มตนของการเพิ่มขึ้น ของแกสเรือนกระจกในบรรยากาศ 1. การปฏิวัติการคา 2. การปฏิวัติเกษตรกรรม 3. การปฏิวัติอุตสาหกรรม 4. การปฏิวัติวิทยาศาสตร 5. การขยายอิทธิพลของจักรวรรดินิยม (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. การปฏิวัติอุตสาหกรรมนับเปน จุดเริ่มตนของการเพิ่มแกสเรือนกระจกในบรรยากาศ จากการ ที่ชาวยุโรปรูจักนําพลังงานเชื้อเพลิงจากธรรมชาติมาใชในการ ผลิตสินคาตางๆ ที่สําคัญ คือ การเผาไหมเชื้อเพลิง เชน ถานหิน แกสธรรมชาติ ซึ่งกอใหเกิดแกสเรือนกระจก อันนํามาซึ่งการ เปลี่ยนแปลงและวิกฤตการณทางธรรมชาติของโลกในปจจุบัน) นํา สอน สรุป ประเมิน T230


ขอสอบเนน การคิด 3) ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อุณหภูมิที่สูงขึ้นท�ำให้เกิด กำรเปลี่ยนแปลงของสภำพภูมิอำกำศในรูปแบบต่ำง ๆ เช่นรูปแบบของลมจ�ำนวนและชนิดของไอน�้ำ ในอำกำศ (ฝน ลม หิมะ และน�้ำแข็ง) ท�ำให้เกิดปัญหำด้ำนสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ เช่น 3.1) ผลผลิตทางการเกษตรลดน้อยลง กำรเปลี่ยนแปลงสภำพภูมิอำกำศ เช่น ฝนที่ตกหนักขึ้นและยำวนำน ท�ำให้เกษตรกรไม่สำมำรถเพำะปลูกได้ตำมฤดูกำล หรือบำงพื้นที่ ประสบภัยแล้งรุนแรง ท�ำให้ผลผลิตทำงกำรเกษตรลดลงซึ่งมีผลต่อเนื่องไปถึงปริมำณอำหำรส�ำรอง ในโลกน้อยลง 3.2) ความอุดมสมบูรณ์ของดินลดลงและหน้าดินได้รับความเสียหาย มีสำเหตุ มำจำกกำรชะล้ำงพังทลำยของดิน เนื่องจำกสภำพภูมิอำกำศที่รุนแรง 3.3) ระดับน�้าทะเลเพิ่มสูงขึ้น จำกภำวะโลกร้อนที่ส่งผลให้เกิดกำรขยำยตัวของ น�้ำทะเล และกำรละลำยของน�้ำแข็งบริเวณขั้วโลกท�ำให้ระดับน�้ำทะเลเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ชุมชน ริมฝั่งทะเล พื้นที่กำรเกษตรแหล่งน�้ำจืดริมฝั่ง รวมถึงประเทศที่เป็นเกำะกลำงมหำสมุทรหรือทะเล อยู่ในภำวะเสี่ยงภัยจำกน�้ำท่วม 3.4) เกิดภัยธรรมชาติรุนแรงมากขึ้น เช่น ภัยแล้ง ไฟป่ำ อุทกภัย ส่งผลกระทบ ต่อกำรท่องเที่ยว เศรษฐกิจ สังคม รวมถึงทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อม 3.5) ความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น สัดส่วนชนิดของสิ่งมีชีวิตจ�ำนวนมำกเกิดควำมเสี่ยงที่จะสูญพันธ์ุ ระบบนิเวศชำยฝั่งและบริเวณ พื้นที่ต�่ำเสี่ยงต่อกำรถูกท�ำลำยจำกระดับน�้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น 3.6) ปริมาณน�้าจืดลดลง เนื่องจำกอุณหภูมิโลกสูงขึ้น ท�ำให้มีฝนตกน้อยลง ประกอบกับอัตรำกำรระเหยของน�้ำผิวดินเพิ่มสูง ส่งผลให้น�้ำใต้ดินลดลงด้วย และกำรสูบน�้ำใต้ดิน ขึ้นมำใช้เพื่อกำรอุปโภคบริโภคมำกขึ้น มีส่วนส�ำคัญต่อกำรลดลงของน�้ำจืดทั่วโลก ในอีก 50 ปี ข้ำงหน้ำ จ�ำนวนประชำกรที่ขำดแคลนน�้ำดื่มจะเพิ่มสูงขึ้นประมำณ 5,000 ล้ำนคน จำกประชำกร ทั้งหมดประมำณ 8,000 ล้ำนคน จำกอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นท�ำให้น�้ำแข็งในขั้วโลกเหนือละลำย ซึ่งส่งผลท�ำให้ประชำกรหมีขั้วโลกลดลงอย่ำงรวดเร็ว จำกกำร ไม่มีที่อยู่อำศัย จมน�้ำตำย หรือขำดอำหำรตำย 220 221 ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร 4. ครูใหนักเรียนใชสมารตโฟนสืบคนคลิปวิดีโอ ที่เกี่ยวของกับปญหาทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดลอม เชน • พื้นที่ประสบภัยแลงรุนแรง • การละลายของนํ้าแข็งบริเวณขั้วโลก • ระดับนํ้าทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น • การสูญพันธุของสัตวปา • การใชนํ้าบาดาล 5. ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายแสดงความ คิดเห็นเพิ่มเติมเชื่อมโยงคลิปวิดีโอตัวอยาง วามีความเกี่ยวของกับผลกระทบจากการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอยางไร 6. ครูกระตุนใหนักเรียนชวยกันตั้งประเด็นคําถาม เชิงภูมิศาสตร เชน • การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความ เสื่อมโทรมของสิ่งแวดลอม ปญหาความ หลากหลายทางชีวภาพ และภัยพิบัติ มีสาเหตุมาจากอะไร และมีผลกระทบ อยางไรบาง • กิจกรรมการดําเนินชีวิตของมนุษยกอใหเกิด การเปลี่ยนแปลงดานทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดลอมอยางไร เกร็ดแนะครู ครูอาจตั้งประเด็นใหนักเรียนอภิปรายรวมกันถึงสาเหตุที่แทจริงของ การเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติดังที่ปรากฏในปจจุบัน เชน วิกฤตการณดาน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ภาวะโลกรอน : ภัยที่ยอนกลับสูมนุษยชาติ เพื่อใหนักเรียนตระหนักถึงบทบาทหนาที่ในการมีสวนรวมรับผิดชอบแกไขปญหา การเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติตางๆ ซึ่งเกิดจากกิจกรรมของมนุษยเปนสําคัญ มนุษยเปนสาเหตุของการแปรปรวนของสภาพอากาศไดอยางไร (แนวตอบ มนุษยเปนตนเหตุของสภาพอากาศแปรปรวนไดจาก การใชทรัพยากรธรรมชาติในกิจกรรมตางๆ นับตั้งแตอดีตมนุษย รูจักใชทรัพยากรเชื้อเพลิงที่เผาไหมซึ่งกอใหเกิดแกสเรือนกระจก เปนจํานวนมาก นอกจากนี้ การตัดไมทําลายปาเพื่อวัตถุประสงค ทางการเกษตร อุตสาหกรรม และการตั้งถิ่นฐาน ทําใหขาดแหลงที่ จะชวยดูดซับแกสคารบอนไดออกไซด และยังกอใหเกิดภัยตามมา อีกหลายประการ) สื่อ Digital ศึกษาคนควาขอมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย ไดที่ https://www.tmd.go.th/info/info.php?FileID=86 กรมอุตุนิยมวิทยา นํา สอน สรุป ประเมิน T231


4) แนวทางแก้ ไขการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ องค์กำรสหประชำชำติ ได้เตรียมพร้อมในกำรรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจำกกำรเปลี่ยนแปลงสภำพภูมิอำกำศ โดย ก�ำหนดกลไกเพื่อแก้ไขปัญหำ 2 กลไก คือ • กรอบอนุสัญญำสหประชำชำติว่ำด้วยกำรเปลี่ยนแปลงสภำพภูมิอำกำศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) ก�ำหนดให้ประเทศที่พัฒนำ แล้วลดกำรปล่อยแก๊สเรือนกระจกของตน และช่วยเหลือประเทศอื่น ๆ ในกำรลดแก๊สเรือนกระจก • พิธีสำรเกียวโต (Kyoto Protocol) ก�ำหนดให้ประเทศสมำชิกที่เข้ำร่วมต้องลดปริมำณ กำรปล่อยแก๊สเรือนกระจกไม่น้อยกว่ำร้อยละ 5 ภำยใน พ.ศ. 2551 - 2555 ต่อมำได้มีกำรบังคับใช้ ต่อให้เป็นพันธกรณีกำรลดกำรปล่อยแก๊สเรือนกระจกระยะที่ 2 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2556 - 2563 ซึ่งมีกำรก�ำหนดกลไกเพื่อช่วยสนับสนุนกำรด�ำเนินกำร เช่น (1) กำรด�ำเนินกำรร่วม (2) กำรซื้อขำย แก๊สเรือนกระจก และ (3) กลไกกำรพัฒนำที่สะอำด ส�ำหรับประชำชนทั่วไปสำมำรถมีส่วนร่วมในกำรลดกำรปล่อยแก๊สเรือนกระจก ในบรรยำกำศได้ ดังนี้ 4.1) พัฒนาพลังงานสะอาด โดยกำรเพิ่มประสิทธิภำพกำรใช้พลังงำนธรรมชำติ เช่น พลังงำนลม พลังงำนแสงอำทิตย์ พลังงำนน�้ำ เพื่อลดกำรใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่ส่งผลให้เกิด แก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ 4.2) ใช้รถยนต์ส่วนตัวให้น้อยลง และหันไปใช้จักรยำนหรือรถโดยสำรประจ�ำทำง เพื่อลดกำรปล่อยมลพิษทำงอำกำศ 4.3) ใช้พลังงานไฟฟาอย่างรู้คุณค่า เช่น ปิดเครื่องใช้ ไฟฟ้ำต่ำง ๆ เมื่อไม่ได้ใช้งำน เพื่อประหยัดกำรใช้พลังงำนไฟฟ้ำที่ได้จำกกำรเผำไหม้เชื้อเพลิงจำกถ่ำนหิน และแก๊สธรรมชำติ กำรใช้พลังงำนทดแทนช่วยลดกำรใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ที่ส่งผลให้เกิดภำวะโลกร้อน 4.4) ลดปริมาณการใช้โฟม และถุงพลาสติก เพื่อลดแก๊สเรือนกระจกที่เกิด จำกกำรเผำเพื่อก�ำจัดโฟมและถุงพลำสติกใช้แล้ว ซึ่งเป็นสำเหตุส�ำคัญที่ท�ำให้ชั้นโอโซนถูกท�ำลำย และท�ำให้อุณหภูมิของอำกำศเพิ่มขึ้น 4.5) ร่วมกันปลูกต้นไม้ เพื่อ เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับโลก โดยไม้ยืนต้น 1 ต้น จะช่วยดูดซับแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ประมำณ 9 กิโลกรัมต่อปี ขึ้นอยู่กับขนำดและชนิดพันธุ์ 222 223 4.1) พัฒนาพลังงานสะอาด โดยกำรเพิ่มประสิทธิภำพกำรใช้พลังงำนธรรมชำติ เช่น พลังงำนลม พลังงำนแสงอำทิตย์ พลังงำนน�้ำ เพื่อลดกำรใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่ส่งผลให้เกิด 1 2 ขั้นสอน ขั้นที่ 2 การรวบรวมขอมูล 1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม จํานวน 6 กลุม สืบคนขอมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงและ ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดลอม ตลอดจนสาเหตุ ผลกระทบ และ แนวทางแกไข จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 หรือจากแหลงการเรียนรูอื่นๆ เชน หนังสือในหองสมุด เว็บไซตในอินเทอรเน็ต ในประเด็นตอไปนี้ • สภาพภูมิอากาศ • ทรัพยากรดิน • ทรัพยากรนํ้า • ทรัพยากรปาไมและสัตวปา • ทรัพยากรแรและพลังงาน • ขยะและของเสียอันตราย 2. นักเรียนแตละกลุมรวมกันศึกษาขอมูลในหัวขอ ที่รับผิดชอบ ประกอบการใชเครื่องมือทาง ภูมิศาสตร 3. ครูแนะนําแหลงขอมูลสารสนเทศที่นาเชื่อถือ ใหกับนักเรียนเพิ่มเติม นักเรียนควรรู 1 พลังงานสะอาด เปนพลังงานที่ไมทําลายสิ่งแวดลอม ไดแก พลังงาน ธรรมชาติในรูปแบบตางๆ ที่สามารถนํามาใชไดไมมีวันหมด และไมกอใหเกิด มลภาวะอื่นๆ สามารถนําไปใชไดทั้งงานอุปโภค อุตสาหกรรม การพาณิชย 2 เชื้อเพลิงฟอสซิล เกิดจากการทับถมกันของซากพืชซากสัตวขนาดเล็ก ในทะเลเปนชั้นหนาจนกลายเปนชั้นหินใตผิวโลก ทําใหไดรับความรอนจาก ใตพิภพและเกิดการสลายตัวของอินทรียสาร ทําใหซากพืชซากสัตวเหลานั้น สลายตัวกลายเปนพลังงานที่ใหเชื้อเพลิงได ไดแก ถานหิน นํ้ามันดิบ และแกส ธรรมชาติ กิจกรรม สรางเสริม นักเรียนสืบคนและรวบรวมขอมูลขาวสารเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง ธรรมชาติในพื้นที่ตางๆ อันเนื่องมาจากภาวะโลกรอน ในประเด็น ลักษณะของการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ พื้นที่ที่เกิดการ เปลี่ยนแปลง ผลกระทบ แลวผลัดกันนําขอมูลมาเสนอหนาชั้นเรียน นํา สอน สรุป ประเมิน T232


1.2 ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันประเทศต่ำง ๆ ทั่วโลกต้องเผชิญกับวิกฤตกำรณ์ทำงด้ำนทรัพยำกรธรรมชำติและ สิ่งแวดล้อม และนับวันวิกฤตกำรณ์ต่ำง ๆ ก็ยิ่งทวีควำมรุนแรงมำกขึ้น 1) วิกฤตการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรดิน จำกควำมจ�ำกัดของที่ดิน กำรเปลี่ยนแปลง สภำพกำรใช้ที่ดิน กำรใช้ที่ดินไม่เหมำะสม ล้วนเป็นสำเหตุที่ท�ำให้เกิดวิกฤตกำรณ์เกี่ยวกับที่ดิน โครงกำรสิ่งแวดล้อมของสหประชำชำติระบุว่ำ ทั่วโลกมีระดับปัญหำควำมเสื่อมโทรม ของดินประมำณ 12 ล้ำนตำรำงกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ11 ของพื้นที่เกษตรกรรมทั่วโลก พื้นที่ดิน ที่เคยมีควำมอุดมสมบูรณ์ประมำณ 8.1 ล้ำนตำรำงกิโลเมตร ได้กลำยเป็นทะเลทรำย นอกจำกนี้ กำรเกิดดินเค็มท�ำให้ผลผลิตในเขตชลประทำนลดลง 1 ใน 3 ของผลผลิตทั่วโลก และปัญหำ น�้ำท่วมขังผิวดิน ท�ำให้ผลผลิตลดลง 1 ใน 10 ของผลผลิตทั่วโลก กำรเกิดมลพิษทำงดินจำกกำร ปนเปื้อนสำรเคมีรวมถึงมีกำรสูญเสียหน้ำดินรวมกันทั่วโลกสูงถึง24,000ล้ำนตันเช่นในประเทศ เอธิโอเปียมีปัญหำกำรกร่อนของดิน ท�ำให้สูญเสียหน้ำดินประมำณปีละ 2,000 ล้ำนตัน ประเทศไทยประสบปัญหำตะกอนดินถูกชะล้ำงลงสู่แหล่งน�้ำปีละประมำณ 27 ล้ำนตัน และที่ดินกว่ำ 108 ล้ำนไร่ พื้นที่ท�ำกำรเกษตรทั้งหมดภำยในประเทศจ�ำนวน 152 ไร่ เป็นพื้นที่ ประสบปัญหำกำรชะล้ำงพังทลำยของหน้ำดินซึ่งสำเหตุส่วนใหญ่มำจำกฝนตกและน�้ำป่ำไหลหลำก กรมที่ดินได้ระบุว่ำ พื้นที่กว่ำ 95 ล้ำนไร่เป็นดินกรด 14 ล้ำนไร่เป็นดินเค็ม และยังมีพื้นที่ดิน ที่ไม่เหมำะสมส�ำหรับท�ำกำรเกษตรเป็นจ�ำนวนมำก ปัญหำดังกล่ำวอำจส่งผลกระทบท�ำให้พื้นที่ เพำะปลูกลดลง และกระทบต่อกำรส่งออกสินค้ำทำงกำรเกษตรของไทย 1.1) สาเหตุของวิกฤตการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรดิน ที่ส�ำคัญ เช่น 1. สาเหตุจากมนุษย์ เนื่องจำกจ�ำนวนประชำกรที่เพิ่มขึ้น ท�ำให้มีกำรขยำย ที่ดินท�ำกินมำกขึ้นมีกำรบุกรุกแผ้วถำงพื้นที่ป่ำไม้ต้นน�้ำล�ำธำรมำกขึ้นก่อให้เกิดปัญหำกำรชะล้ำง พังทลำยของหน้ำดินอย่ำงรุนแรงจนถึงขั้นดินถล่ม กำรใช้ประโยชน์ที่ดินไม่เหมำะสม เช่น พื้นที่ดิน อุดมสมบูรณ์ที่เหมำะแก่กำรท�ำกำรเกษตร กลับน�ำมำสร้ำงที่อยู่อำศัย ส่วนพื้นที่ดินแห้งแล้ง กลับใช้ท�ำกำรเกษตร หรือกำรเพำะปลูกพืชชนิดเดียวกันซ�้ำ ๆ ในพื้นที่เพำะปลูกเดิม ท�ำให้แร่ธำตุ ในดินบำงชนิดร่อยหรอ บำงชนิดสูงเกินกว่ำเกณฑ์ที่ก�ำหนด กำรใช้ปุ๋ยเคมีมำกจนท�ำให้เกิดปัญหำ ดินเปรี้ยว รวมถึงกำรขำดกำรอนุรักษ์ดิน ปรับปรุงดิน จนส่งผลให้สมบัติของดินเปลี่ยนแปลง 2. สาเหตุจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ เนื่องมำจำกสภำพธรรมชำติและ กำรกระท�ำของมนุษย์มีผลต่อกำรเปลี่ยนเแปลงสภำพภูมิอำกำศของโลก ท�ำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น เกิดปัญหำโลกร้อน ภัยแล้ง แผ่นดินถล่ม น�้ำท่วมฉับพลัน ไฟป่ำ เป็นต้น 222 223 นไร่เป็นดินเค็ม 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 3 การจัดการขอมูล 1. สมาชิกแตละคนในกลุมนําขอมูลที่ตนไดจาก การรวบรวม มาอธิบายแลกเปลี่ยนความรู ระหวางกัน 2. สมาชิกในกลุมชวยกันคัดเลือกขอมูลที่นําเสนอ เพื่อใหไดขอมูลที่ถูกตอง และรวมอภิปราย แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เกร็ดแนะครู ครูอธิบายใหนักเรียนเขาใจถึงความสําคัญของการจัดการที่ดิน และการฟนฟู ที่ดินเสื่อมโทรมเพื่อการใชประโยชนในการแกไขและบรรเทาวิกฤตการณ ทรัพยากรที่ดินในประเทศไทย เชน มีการใชพื้นที่ที่เหมาะสมตอการเพาะปลูกไป สรางหมูบานจัดสรร นิคมอุตสาหกรรม เพื่อรองรับการขยายตัวของเมือง ดังนั้น ทั้งภาครัฐและประชาชนควรรวมมือกันใชประโยชนที่ดินอยางถูกตองเหมาะสม ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET สาเหตุสําคัญของปญหาการใชประโยชนที่ดินในประเทศไทย คืออะไร 1. การทําไรเลื่อนลอยในพื้นที่หางไกล 2. การขยายพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ 3. การบังคับใชกฎหมายที่ไมมีประสิทธิภาพ 4. การมีจํานวนประชากรหนาแนนทุกภูมิภาค 5. การมีนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญเกิดขึ้นในภูมิภาคตางๆ (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. การบังคับใชกฎหมายที่ไมมี ประสิทธิภาพนับเปนสาเหตุสําคัญของปญหาการใชที่ดินใน ประเทศไทย กลาวคือ การมีเจาหนาที่ปฏิบัติงานไมเพียงพอ การ ขาดการดูแลเอาใจใสของเจาหนาที่ภาครัฐ สงผลใหการบังคับใช กฎหมายเกี่ยวกับการใชประโยชนที่ดินเพื่อความถูกตองเหมาะสม ไมมีประสิทธิภาพเทาที่ควร) ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 1. ครูใหนักเรียนแตละกลุมที่ทําการสืบคนขอมูล เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงและความเสื่อมโทรม ของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ตลอดจนสาเหตุ ผลกระทบ และแนวทางแกไข นําเสนอขอมูลจากการศึกษา นักเรียนควรรู 1 ดินเค็ม เปนดินที่มีปริมาณเกลือชนิดตางๆ ที่ละลายนํ้าไดปะปนในดิน สูงจนเปนอันตรายตอพืช เนื่องจากไมสามารถดูดนํ้าเขาสูระบบรากไดสะดวก หรือเกิดสภาพที่เปนพิษกับพืช ดังนั้น พื้นที่ดินเค็มจึงเปนสถานที่วางเปลา ไมมีพืชขึ้น กรณีที่ดินเค็มจัดจะเห็นคราบเกลือบนผิวดินเปนบริเวณกวาง นํา สอน สรุป ประเมิน T233


ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET กำรปลูกปอเทือง เพื่อเป็นปุ๋ยพืชสด ช่วยแก้ปัญหำดินเค็ม 1.2) ผลกระทบจากวิกฤตการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรดิน ที่ส�ำคัญ มีดังนี้ 1. ด้านสิ่งแวดล้อม ควำมเสื่อมโทรมของดินเกิดจำกกำรจัดกำรที่ดิน ไม่เหมำะสม ท�ำให้มีกำรชะล้ำงพังทลำยของหน้ำดินและเกิดเป็นตะกอนตำมแหล่งน�้ำต่ำง ๆ ส่งผล ให้แหล่งน�้ำตื้นเขิน ท�ำให้รัฐต้องเสียค่ำใช้จ่ำยเป็นจ�ำนวนมำกในกำรขุดลอกตะกอนตำมแหล่งน�้ำ 2. ด้านเศรษฐกิจ ควำมเสื่อมโทรมของดินส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลผลิต ทำงกำรเกษตรที่ลดลง ท�ำให้เกษตรกรมีรำยได้ต�่ำและยำกจน 3. ด้านสังคม กำรที่เกษตรกรมีรำยได้ต�่ำ ท�ำให้เกิดกำรบุกรุกพื้นที่ป่ำไม้ ขยำยพื้นที่ท�ำกิน เพื่อให้มีรำยได้เพียงพอหรืออพยพมำหำงำนท�ำในเมือง 1.3) แนวทางในการแก้ ไขวิกฤตการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรดิน ที่ส�ำคัญ มีดังนี้ 1. การลดการไถหน้าดิน กำรไถหน้ำดินเป็นสำเหตุหนึ่งที่ท�ำให้เกิดกำรกร่อน ของหน้ำดินได้ง่ำย เพรำะดินที่ไถขึ้นมำนั้นมีโอกำสถูกน�้ำฝนชะและพัดพำออกไปได้ง่ำย แนวทำง อนุรักษ์ดินโดยลดกำรไถได้เพิ่มขึ้นอย่ำงแพร่หลำยโดยเฉพำะในสหรัฐอเมริกำ มีกำรลดกำรไถเพิ่มสูง ถึงร้อยละ 37 ของกำรเพำะปลูกทั้งหมดในประเทศ โดยอำศัยกำรเจำะและปลูกในจุดที่ก�ำหนด 2. การเพาะปลูกแบบขั้นบันได โดยปรับพื้นที่ให้รำบสลับกับผนังที่ลำดชัน แล้วท�ำกำรเพำะปลูกในช่องที่ปรับให้รำบนั้น ส่วนผนังที่ลำดชันนั้นปล่อยให้หญ้ำหรือวัชพืชขึ้น เพื่อป้องกันกำรพังทลำยของผนัง เช่น นำขั้นบันไดที่บำนำเว บนเกำะลูซอน ประเทศฟิลิปปินส์ เป็นตัวอย่ำงที่ดีของกำรท�ำกำรเกษตรแบบยั่งยืนด้วยวิธีกำรดั้งเดิมและลดกำรพังทลำยของดิน 3. การคงความอุดมสมบูรณ์ของดินและการปรับสภาพดิน ประเทศก�ำลัง พัฒนำมีกำรใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยพืชสด ในกำรเพิ่มธำตุอำหำรแก่ดิน หรือกำรปรับสภำพดิน ให้เหมำะต่อกำรเพำะปลูก เช่น กำรแก้ปัญหำดินเค็มในภำคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ด้วยกำรจัดท�ำระบบอนุรักษ์ดิน โดยกำรหว่ำนปุ๋ยพืชสด ซึ่งปุ๋ยพืชสด คือ พืชที่ปลูกส�ำหรับสับกลบ ในดินเพื่อปรับปรุงดินและเพิ่มอินทรียวัตถุให้แก่ ดิน เช่น ถั่วพร้ำ ปอเทือง 4. การท�าการเกษตรแบบอินทรีย์ เป็นกำรท�ำเกษตรที่เน้นวิธีกำรตำมธรรมชำติ ลดกำรใช้สำรเคมีในกำรปลูกพืช เพื่อปรับปรุง สภำพดินที่เสื่อมโทรม และได้ผลผลิตที่ปลอดภัย ต่อผู้บริโภค ในปัจจุบันกำรเกษตรแบบอินทรีย์ ได้เป็นแนวทำงกำรพัฒนำดินที่ยั่งยืน เป็นที่ นิยมและเติบโตมำกขึ้น เพรำะเป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อม 224 225 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 2. ครูสุมตัวแทนนักเรียนที่ไมใชกลุมที่ทําการ ศึกษาเกี่ยวกับทรัพยากรดินมาอธิบายความรู ความเขาใจเกี่ยวกับวิกฤตการณดินขาดความ อุดมสมบูรณในประเทศไทย ซึ่งประกอบดวย ดินเปรี้ยว ดินเค็ม และดินเสื่อมโทรม ใน ดานปจจัยสาเหตุ ผลกระทบ และแนวทาง การปองกันแกไขวิกฤตการณดังกลาว โดย ครูแนะนําเพิ่มเติมเพื่อใหเกิดความรูที่ถูกตอง จากนั้นใหนักเรียนรวมกันสรุปสาระสําคัญ เกี่ยวกับวิกฤตการณเกี่ยวกับทรัพยากรดิน 3. ครูตั้งคําถามนักเรียนเพิ่มเติม เชน • ปจจัยสําคัญที่มีผลตอการใชดินในประเทศ ไทยไดแกสิ่งใด (แนวตอบ เชน การอยูอาศัย การประกอบ อาชีพ ความตองการทางเศรษฐกิจ การวาง ผังเมือง ฯลฯ) เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับปญหาการถือครองที่ดินวาเปนการบุกรุกที่ดิน ของรัฐ โดยประชาชนเขาไปอยูอาศัยและประกอบอาชีพโดยขาดสิทธิในการ ครอบครองที่ดินตามกฎหมาย หรือประชาชนเขาไปครอบครองอยางถูกตอง แตรัฐประกาศใหเปนที่ดินของรัฐในภายหลัง ทําใหเกิดความขัดแยงระหวาง เจาหนาที่กับประชาชน นอกจากนี้ ในการทํารังวัดตรวจสอบที่ดินตามเอกสาร สิทธิดั้งเดิมมักปรากฏพื้นที่ที่ดินทับซอนซึ่งทําใหเกิดความขัดแยงไดเชนกัน ขอใดไมใชวิธีการจัดการคุณภาพดิน 1. ลดการไถหนาดิน 2. ปรับปรุงบํารุงดิน 3. ปลูกพืชหลายชนิด 4. ปองกันการพังทลายของดิน 5. วิเคราะหผลกระทบจากการใชดิน (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 5. การจัดการคุณภาพดินสามารถทําได หลายวิธีตามสภาพปญหา เชน ปญหาดินขาดความอุดมสมบูรณ ควรบํารุงดินดวยธาตุอาหารตางๆ และปลูกพืชใหหลากหลาย เพื่อปองกันการขาดธาตุอาหารจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยว และ ปองกันการพังทลายของดินดวยวิธีการตางๆ เชน ปลูกพืชคลุม ดิน ปองกันการกรอนของหนาดินดวยการลดการไถหนาดิน ดังนั้น คําตอบขอ 5. จึงไมใชวิธีจัดการคุณภาพดิน) นํา สอน สรุป ประเมิน T234


ขยะพลำสติกในมหำสมุทร กลำยเป็นภัยคุกคำมต่อระบบ นิเวศและสิ่งมีชีวิตในทะเล 2) วิกฤตการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรน�้า กำรขำดแคลนน�้ำเพื่ออุปโภคบริโภคและ กำรเพำะปลูก เป็นปัญหำส�ำคัญของโลก เนื่องจำกเกิดปัญหำควำมแห้งแล้งขึ้นในหลำยประเทศ โดยเฉพำะในทวีปแอฟริกำและเอเชีย รวมถึงกำรมีสำรปนเปื้อนในน�้ำหลำกหลำยพื้นที่ของโลก ในสหรัฐอเมริกำพบกำรปนเปื้อนของสำรเคมีในน�้ำบำดำล ใน 38 รัฐ ส่วนประเทศ ก�ำลังพัฒนำประชำกรในชนบทร้อยละ 61 และประชำกรในเมืองร้อยละ 26 ขำดแคลนน�้ำดื่ม ที่สะอำด และกำรปนเปื้อนของสำรพิษบริเวณชำยฝั่งทะเลของประเทศแถบมหำสมุทรแปซิฟิก ประเทศอินโดนีเซียประสบภัยแล้ง ท�ำให้ประสบภำวะขำดแคลนอำหำร เนื่องจำก ผลผลิตทำงกำรเกษตรเสียหำย ส่วนประเทศแอฟริกำใต้เผชิญกับภัยแล้งอย่ำงหนักเนื่องจำกปริมำณ ฝนสะสมต�่ำกว่ำปกติ จนรัฐบำลให้ควำมส�ำคัญกับวิกฤตกำรณ์ภัยแล้งเป็นภัยพิบัติแห่งชำติ แม้ว่ำประเทศไทยมีทรัพยำกรน�้ำอุดมสมบูรณ์แต่ในบำงพื้นที่หรือในบำงช่วงเวลำ ก็ยังคงประสบกับปัญหำด้ำนปริมำณของน�้ำและคุณภำพของน�้ำ เช่น ปัญหำกำรขำดแคลนน�้ำใน ฤดูแล้ง ท�ำให้ไม่มีน�้ำเพียงพอต่อกำรอุปโภคบริโภค ปัญหำน�้ำท่วมในฤดูฝน ปัญหำมลพิษทำงน�้ำ เช่น ภำวะน�้ำเน่ำเสีย มีกำรปนเปื้อนของสำรเคมี มีกำรรุกล�้ำของน�้ำเค็ม ล้วนส่งผลกระทบต่อ กำรด�ำรงชีวิตของประชำชน รวมถึงระบบนิเวศแหล่งน�้ำ 2.1) สาเหตุของวิกฤตการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรน�้า ที่ส�ำคัญ มีดังนี้ 1. การเกิดอุทกภัย มีสำเหตุทั้งจำกปัจจัยทำงธรรมชำติ เช่น ฝนตกหนัก จำกพำยุ น�้ำทะเลหนุนสูงกว่ำปกติ ท�ำให้น�้ำจำกแผ่นดินระบำยลงสู่ทะเลไม่ได้ และจำกกำรกระท�ำ ของมนุษย์ เช่น กำรตัดไม้ท�ำลำยป่ำ กำรก่อสร้ำงสิ่งต่ำง ๆ ขวำงทำงกำรไหลของน�้ำธรรมชำติ 2. การขาดแคลนน�้ามีสำเหตุทั้งจำกปัจจัยทำงธรรมชำติ เช่นมีฝนตกน้อย กว่ำปกติ หรือฝนทิ้งช่วงเป็นเวลำนำน และในช่วงฤดูแล้งอำกำศร้อนจึงท�ำให้เกิดกำรระเหยของน�้ำ และจำกกำรกระท�ำของมนุษย์เช่น กำรใช้น�้ำเพิ่ม มำกขึ้น กำรท�ำลำยป่ำต้นน�้ำรวมถึงขำดกำร วำงแผนกำรใช้และอนุรักษ์น�้ำที่เหมำะสม 3. การเกิดมลพิษทางน�้า มีสำเหตุมำจำกกำรทิ้งขยะและกำรระบำยน�้ำทิ้ง ลงสู่แหล่งน�้ำ ท�ำให้แหล่งน�้ำสกปรกและเน่ำเหม็น กำรใช้สำรก�ำจัดศัตรูพืชในกำรท�ำกำรเกษตร ท�ำให้น�้ำเกิดกำรปนเปื้อนของสำรเคมีจนไม ่ สำมำรถน�ำมำใช้ประโยชน์ได้มักเกิดตำมชุมชน ใหญ่ ๆ หรือบริเวณที่มีโรงงำนอุตสำหกรรม 224 225 2. การขาดแคลนน�้า 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 4. ครูแบงนักเรียนออกเปน 2 กลุม โดยใหนักเรียน นับหมายเลข 1 และ 2 ตามตําแหนงที่นั่งใน ชั้นเรียน 5. ครูใหตัวแทนนักเรียนหมายเลข 1 รวมกันอธิบาย ความรูเกี่ยวกับวิกฤตการณทรัพยากรนํ้าที่ เกิดขึ้นทั่วโลกและในประเทศไทย ตลอดจน สาเหตุ ผลกระทบ และแนวทางในการแกไข บริเวณหนาชั้นเรียน จากนั้นครูใหนักเรียน คนอื่นสอบถามขอสงสัยเพื่อใหเกิดความรู ความเขาใจที่ถูกตองชัดเจน เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับมลพิษทางนํ้าวาหลายประเทศยังประสบกับ ปญหานํ้าเสีย เชน แมนํ้ายมุนาในประเทศอินเดีย แมนํ้าวิสตูลาในประเทศ โปแลนด จนไมสามารถนํามาอุปโภคบริโภคได ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET วิกฤตการณดานทรัพยากรธรรมชาติในขอใดที่สงผลกระทบ ตอการดํารงชีวิตของมนุษยมากที่สุด 1. อากาศเสีย 2. การสูญเสียพื้นที่ปา 3. การขาดแคลนนํ้าจืด 4. พลังงานแสงอาทิตย 5. การชะลางพังทลายของดิน (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เนื่องดวยนํ้าจืดเปนปจจัยสําคัญ ที่สุดในการดํารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดรวมทั้งมนุษย ในปจจุบัน วิกฤตการณทรัพยากรนํ้า ทั้งการขาดแคลนนํ้าเพราะภัยแลง และนํ้าเสียมีความรุนแรงมากในภูมิภาคตางๆ ของโลก ซึ่งสงผล กระทบตอการดํารงชีวิตของมนุษยทั้งทางตรงและทางออม) นักเรียนควรรู 1 การขาดแคลนนํ้า การขาดแคลนนํ้ารุนแรงมากขึ้นในชวงฤดูรอน โดยทวีป แอฟริกาขาดแคลนนํ้ามากที่สุด รองลงมาเปนภูมิภาคตะวันออกกลาง ประเทศ อินเดีย และบริเวณที่ราบตอนเหนือของประเทศจีน เนื่องจากนํ้าในแหลงนํ้า มีนอย ทั้งนํ้าผิวดินและนํ้าใตดิน นํา สอน สรุป ประเมิน T235


ซอเร็ก โรงงำนผลิตน�้ำจืดจำกน�้ำทะเลขนำดใหญ่ ตั้งอยู่ ชำนกรุงเทลอำวีฟ ประเทศอิสรำเอล 2.2) ผลกระทบจากวิกฤตการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรน�้า ที่ส�ำคัญ มีดังนี้ 1. ด้านสิ่งแวดล้อม แหล่งน�้ำตำมธรรมชำติตื้นเขิน ระดับน�้ำใต้ดินเปลี่ยนแปลง พื้นที่ที่เคยอุดมสมบูรณ์เกิดควำมแห้งแล้ง เกิดกำรกัดเซำะของหน้ำดิน 2. ด้านเศรษฐกิจ กำรขำดแคลนน�้ำท�ำให้ผลผลิตด้ำนเกษตรกรรมและ อุตสำหกรรมลดลง รวมทั้งกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ เช่น ผลผลิตทำงกำรเกษตร มีคุณภำพต�่ำ ท�ำให้รำคำผลผลิตลดลง เกิดควำมยำกจน และเกิดกำรอพยพของประชำกรไปยัง ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ 3. ด้านสังคม เกิดกำรละทิ้งถิ่นฐำนเข้ำมำท�ำงำนในเมืองใหญ่ เกิดผลกระทบ ในด้ำนสุขภำพอนำมัย กำรจัดกำรคุณภำพชีวิตลดลง และเกิดควำมขัดแย้งในกำรใช้น�้ำ 4. ด้านสุขภาพ ปัญหำน�้ำเน่ำเสียส่งกลิ่นเหม็น เป็นแหล่งแพร่ระบำดของ เชื้อโรค เช่น อหิวำตกโรค โรคทำงเดินอำหำร 2.3) แนวทางในการแก้ ไขวิกฤตการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรน�้า ที่ส�ำคัญ มีดังนี้ 1. การจัดหาแหล่งน�้าและการเก็บกักน�้า กำรสร้ำงอ่ำงเก็บน�้ำที่เหมำะสมเพื่อ กักเก็บน�้ำผิวดิน กำรสร้ำงฝำยหรือระบบจัดเก็บน�้ำอื่น ๆ เพื่อป้องกันกำรขำดแคลนน�้ำ และควบคุม อุทกภัย เช่น เขื่อนฮูเวอร์ เป็นเขื่อนคอนกรีตขนำดใหญ่ที่สร้ำงขวำงแม่น�้ำโคโลรำโด ในสหรัฐ อเมริกำ โดยมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันอุทกภัย ท�ำกำรชลประทำน สงวนพันธ์ุปลำ ผลิตกระแสไฟฟ้ำ จำกพลังงำนน�้ำ และท�ำให้เกิดทะเลสำบมีด (Lake Mead) ซึ่งเป็นอ่ำงเก็บน�้ำที่มีปริมำตรใหญ่ที่สุด ในสหรัฐอเมริกำ 2. การจัดระบบจ่ายน�้า เป็นกำรผันน�้ำจำกร่องน�้ำต่ำง ๆ หรือแหล่งน�้ำต่ำง ๆ มำรวมกัน แล้วจ่ำยลงสู่พื้นที่ที่ต้องกำร โดยวิธีกำรนี้มีมำตั้งแต่สมัยโบรำณในภูมิภำคเอเชีย ตะวันตกเฉียงใต้และอเมริกำใต้ เป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มผลผลิตทำงกำรเกษตร ช่วยลดกำรกร่อนของ ผิวดินบรรเทำน�้ำท่วมและลดปริมำณตะกอนในพื้นที่ลุ่ม 3. การพัฒนาเทคโนโลยีมาช่วย ในการจัดการน�้า เพื่อให้เพียงพอต่อกำรใช้งำน และเกิดควำมยั่งยืน เช ่น ประเทศอิสรำเอล มีกำรน�ำน�้ำเสียและน�้ำทิ้งที่ผ่ำนกำรบ�ำบัดมำเติม ลงสู่ ใต้ดินบริเวณพื้นที่ทะเลทรำยช่วงฤดูหนำว เพื่อช่วยป้องกันกำรระเหยและคืนน�้ำสู่ชั้นดิน และน�ำกลับมำใช้เป็นน�้ำชลประทำน นอกจำกนี้ ยังพัฒนำเทคโนโลยีวิศวกรรมผลิตน�้ำจืดจำก น�้ำทะเล ในปัจจุบันปริมำณน�้ำกว่ำร้อยละ 50 ที่ ใช้ ในประเทศมำจำกโรงงำนผลิตน�้ำจืดจำก น�้ำทะเล โดยผันน�้ำจำกทะเลมำแปลงเป็นน�้ำจืด เพื่อใช้ประโยชน์ในด้ำนต่ำง ๆ 226 227 เป็นกำรผันน�้ำจำกร่องน�้ำต่ำง ๆ หรือแหล่งน�้ำต่ำง ๆ 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 6. ครูตั้งคําถามเกี่ยวกับวิกฤตการณทรัพยากรนํ้า แลวสุมใหนักเรียนหมายเลข 2 ตอบคําถาม เชน • การเกิดนํ้าทวมในประเทศไทยมีสาเหตุมา จากปจจัยใดบาง และมีผลกระทบตอการ ดําเนินชีวิตและสังคมไทยอยางไร (แนวตอบ นํ้าทวมในประเทศไทยมีสาเหตุจาก ปจจัยหลัก 2 ประการ คือ การเกิดฝน ตกหนักจากอิทธิพลของพายุหมุนเขตรอน ที่กอตัวในทะเลจีนใต หรือทางตะวันตก ของมหาสมุทรแปซิฟกดานชายฝงประเทศ ฟลิปปนส และการขาดการวางแผนจัดการ นํ้าที่ดีของหนวยงานที่เกี่ยวของตางๆ ซึ่ง สงผลกระทบตอการดําเนินชีวิตของคนไทย ทั้งในระดับบุคคล เชน การอยูอาศัย การ ประกอบอาชีพ การเกิดโรคติดตอ และ ในระดับสังคม เชน การชะลอตัวทาง เศรษฐกิจจากการที่แหลงเกษตรกรรมและ อุตสาหกรรมถูกนํ้าทวม การเสียงบประมาณ ในการแกไขฟนฟูสภาพพื้นที่ภายหลังที่เกิด นํ้าทวม รวมถึงการเสียโอกาสในการไดรับ เงินลงทุนจากตางชาติ เนื่องจากนักลงทุน ขาดความมั่นใจในมาตรการบริหารจัดการ นํ้าของหนวยงานที่เกี่ยวของตางๆ) นักเรียนควรรู 1 การผันนํ้า โดยทั่วไปนิยมผันนํ้าเฉพาะสวนที่จะไหลลนตลิ่งซึ่งทําใหเกิด นํ้าทวมออกไปจากลํานํ้า ซึ่งการผันนํ้าในรูปแบบนี้ที่บริเวณปากทางแยกเขาลํานํ้า สายใหมจะตองสรางอาคารหรือประตูระบายนํ้าเพื่อควบคุมบังคับนํ้าใหไหลเขาสู ลํานํ้าสายใหมในปริมาณที่พอเหมาะ ในกรณีที่ตองการผันนํ้าทั้งหมด ควรขุดลํานํ้า สายใหมแยกออกจากลํานํ้าสายเดิม กิจกรรม สรางเสริม นักเรียนรวบรวมขาวเกี่ยวกับวิกฤตการณทรัพยากรนํ้า ในประเทศไทย หรือวิกฤตการณทรัพยากรนํ้าของโลก คนละ 1 ขาว เชน แมนํ้าสายหลักของประเทศเหือดแหง แลววิเคราะหในประเด็น ดังตัวอยางตอไปนี้ • สาเหตุของวิกฤตการณ • ผลกระทบ • แนวทางปองกันและแกไข นํา สอน สรุป ประเมิน T236


ขอสอบเนน การคิด พื้นที่ป่ำแอมะซอนถูกบุกรุกท�ำลำย ท�ำให้พื้นที่ป่ำลดลงทุกปี 3) วิกฤตการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า ในอดีตโลกมีพื้นที่ป่ำไม้อยู่ ประมำณร้อยละ40 ของพื้นที่ทั้งหมด หรือประมำณ 37,800 ล้ำนไร่แต่ในปัจจุบันพื้นที่ป่ำไม้ลดลง เหลือเพียงร้อยละ 20 ของพื้นที่ทั้งหมด และ ได้มีกำรคำดกำรณ์ว่ำในอีก 30 - 50 ปีข้ำงหน้ำ ป่ำไม้ในเขตร้อนจะหมดไป พื้นที่กำรท�ำปศุสัตว์ ในทวีปแอฟริกำและภูมิภำคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ จะกลำยเป็นทะเลทรำย ประชำกรโลก 1 ใน 3 จะขำดแคลนไม้ ในกำรท�ำฟืน ส�ำหรับประเทศไทย จำกข้อมูลสถิติ เกี่ยวกับป ่ำไม้ของส�ำนักจัดกำรที่ดินป ่ำไม้ กรมป่ำไม้ ประเทศไทยมีเนื้อที่ 513,115 ตำรำง กิโลเมตร หรือ 320,696,875 ไร่ มีพื้นที่ป่ำไม้ เดิม ร้อยละ53 เมื่อประชำกรเพิ่มและมีกำรขยำยกำรเพำะปลูก พื้นที่ป่ำไม้พ.ศ.2531 เหลือร้อยละ 28.03 พ.ศ.2532 รัฐบำลประกำศยกเลิกกำรสัมปทำนป่ำไม้และใน พ.ศ.2551 พบว่ำมีพื้นที่ป่ำไม้ เพิ่มเป็นร้อยละ 33.44 ทั้งนี้ ปัญหำกำรบุกรุกพื้นที่ป่ำรวมถึงกำรลักลอบตัดไม้นับเป็นปัญหำส�ำคัญ ที่ท�ำให้พื้นที่ป่ำลดจ�ำนวนลง นอกจำกนี้ กำรสูญเสียพื้นที่ป่ำไม้ยังเป็นกำรท�ำลำยแหล่งที่อยู่อำศัยและอำหำรของ สัตว์ป่ำ รวมทั้งกำรลักลอบค้ำสัตว์ป่ำก็ท�ำให้สัตว์ป่ำลดลงเช่นกัน โดยประเทศไทยมีกำรลักลอบค้ำ สัตว์ป่ำที่ผิดกฎหมำย พบมำกตำมแนวชำยแดนไทย - ลำว และไทย - เมียนมำ แม้ว่ำไทยจะปฏิบัติ ตำมพันธกรณีของอนุสัญญำไซเตส (CITES) อย่ำงเคร่งครัดก็ตำม แต่กำรหยุดยั้งและแก้ไขปัญหำ กำรค้ำสัตว์ป่ำที่ผิดกฎหมำยก็ยังไม่ประสบผลส�ำเร็จเท่ำที่ควร 3.1) สาเหตุของวิกฤตการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า ที่ส�ำคัญ มีดังนี้ 1. การบุกรุกพื้นที่ป่าไม้เพื่อเข้าครอบครองที่ดิน หรือกำรลักลอบตัดไม้ท�ำลำย ป่ำ ปริมำณป่ำไม้ที่ถูกท�ำลำยนี้นับวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตำมอัตรำกำรเพิ่มของจ�ำนวนประชำกร 2. การจัดสร้างสาธารณูปโภคของรัฐเช่นเขื่อนอ่ำงเก็บน�้ำเส้นทำงคมนำคม โดยกำรสร้ำงเขื่อนขวำงล�ำน�้ำท�ำให้พื้นที่ป่ำไม้หน้ำเขื่อนที่อุดมสมบูรณ์ถูกตัดโค่นมำใช้ประโยชน์ 3. ไฟไหม้ป่า มักเกิดขึ้นในช่วงฤดูแล้ง ที่มีอำกำศแห้งและร้อนจัด ทั้งจำก ธรรมชำติและจำกกำรกระท�ำของมนุษยฺ์ที่อำจลักลอบเผำป่ำหรือลักลอบเก็บของป่ำ 4. การท�าลายถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าส่วนใหญ่เกิดจำกกิจกรรมของมนุษย์ เช่น กำรตัดไม้ท�ำลำยป่ำ กำรเผำป่ำ กำรสร้ำงสำธำรณูปโภคต่ำง ๆ รวมถึงกำรล่ำสัตว์โดยตรงไม่ว่ำ จะล่ำเพื่ออำหำร เพื่อกำรกีฬำ หรือกำรจับสัตว์ป่ำไปขำยเป็นสัตว์เลี้ยง 226 227 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 7. ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับวิกฤตการณ ทรัพยากรปาไมและสัตวปาที่ไดศึกษามา แลวตั้งคําถามใหนักเรียนไดวิเคราะหขอมูล เพิ่มเติม เชน • “ปาคือชีวิต” จากขอความนี้สะทอนความ สําคัญของปาไมตอการดํารงชีวิตของมนุษย อยางไร (แนวตอบ ปาคือชีวิต สะทอนถึงความสําคัญ ของปาไมตอการดําเนินชีวิตของมนุษยได เปนอยางดี เนื่องจากปาไมเปนระบบนิเวศ ที่เอื้อตอการดํารงชีวิตของมนุษยในดาน ตางๆ เชน ชวยดูดซับแกสที่เปนอันตราย ตอรางกาย และผลิตออกซิเจนที่จําเปนตอ การดํารงชีวิตของมนุษยและสิ่งมีชีวิตทั้ง มวล ชวยใหวัฏจักรของนํ้าบนโลกดําเนินไป อยางสมดุล รวมถึงการเปนแหลงวัตถุดิบที่ ใหประโยชนดานเศรษฐกิจแกมนุษย เชน ไมมีคา สัตวปาเพื่อใชแรงงานและเปน อาหาร นอกจากนี้ ปาไมยังชวยในการ บรรเทาความรุนแรงของภัยจากธรรมชาติ อยางวาตภัยและอุทกภัยไดอีกดวย) เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมวาปาไมและสัตวปาเปนองคประกอบที่สําคัญของระบบ นิเวศ ปาไมมีความสัมพันธกับทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ เชน ชวยควบคุม แกสคารบอนไดออกไซดในอากาศ ชวยลดการพังทลายของดิน เปนแหลงที่อยู อาศัยและอาหารของสัตวปา การสูญเสียปาไมจึงเปนจุดเริ่มตนของปญหา สิ่งแวดลอมอื่นๆ ตามมาดวย อะไรคือสาเหตุที่ทําใหระบบนิเวศของโลกขาดสมดุล (แนวตอบ การขาดความสมดุลของระบบนิเวศ คือ การทําให องคประกอบทางธรรมชาติเสื่อมโทรมหรือพังทลายจนไมสามารถ เกื้อกูลซึ่งกันและกันไดดังเดิม เชน การเกิดแกสเรือนกระจก มากกวาการดูดซับของปาไมหรือเกินที่ปาไมจะดูดซับไดทันกอนขึ้น ไปสูบรรยากาศ ทําใหปรากฏการณเรือนกระจกของโลกรุนแรงขึ้น กวาในอดีตจนเกิดภาวะโลกรอน อันนํามาซึ่งภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นอยางบอยครั้งและมีความรุนแรงดังเชนปจจุบัน) นํา สอน สรุป ประเมิน T237


อุทยำนแห่งชำติโคโมโด ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อกำร อนุรักษ์มังกรโคโมโดและสัตว์ทะเลชนิดอื่น ๆ 3.2) ผลกระทบจากวิกฤตการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า ที่ส�ำคัญ มีดังนี้ 1. การสูญพันธุ์ของพืชและสัตว์ปัจจุบันพืชและสัตว์สูญพันธุ์ปีละประมำณ 36,500 ชนิด และถ้ำสภำพควำมแห้งแล้ง กำรท�ำลำยพื้นที่ลุ่มน�้ำและแนวปะกำรังยังมีมำกขึ้น ก็จะ ท�ำให้สิ่งมีชีวิตอย่ำงน้อย500,000 - 1,000,000 ชนิด สูญพันธุ์ภำยใน20 ปี 2. เกิดภาวะโลกร้อน เนื่องจำกพื้นที่ป่ำไม้ทั่วโลกซึ่งเป็นแหล่งดูดซับแก๊ส คำร์บอนไดออกไซด์จำกบรรยำกำศถูกท�ำลำยลงอย่ำงมำก ส่งผลให้อุณหภูมิสูงขึ้น ท�ำให้น�้ำแข็ง ขั้วโลกละลำย ระดับน�้ำทะเลสูงขึ้น และเกิดอุทกภัยตำมมำ 3.3) แนวทางแก้ไขวิกฤตการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า ที่ส�ำคัญ มีดังนี้ 1. การป้องกันการตัดไม้ การบุกรุกพื้นที่ป่า และการป้องกันการลักลอบล่า สัตว์ป่า เพื่อเป็นกำรคุ้มครองป่ำไม้และสัตว์ป่ำให้มีชีวิตอยู่ในป่ำธรรมชำติ โดยใช้มำตรกำรทำง กฎหมำยอย่ำงเคร่งครัดเพื่อลงโทษผู้ที่ละเมิดกฎหมำย 2. การปลูกป่าและฟื้นฟูป่าไม้เพื่อเป็นกำรทดแทนพื้นที่ป่ำไม้ที่ลดลง ซึ่ง ควรได้รับกำรสนับสนุนจำกทุกฝ่ำย เช่น ในประเทศออสเตรเลียมีวันต้นไม้แห่งชำติ เพื่อส่งเสริม ให้ประชำชนเห็นควำมส�ำคัญของป่ำไม้ 3. การเพาะพันธุ์สัตว์ป่า โดยกำรน�ำสัตว์ป่ำที่หำยำกและใกล้สูญพันธุ์มำ เพำะเลี้ยงเพื่อขยำยพันธุ์ เป็นกำรทดแทนสัตว์ป่ำที่ไม่อำจขยำยพันธุ์ได้ตำมธรรมชำติจำกสำเหตุ ต่ำง ๆ เช่น กำรขำดคู่ผสมพันธุ์ กำรถูกรบกวนในฤดูผสมพันธุ์ รวมทั้งกำรน�ำสัตว์ป่ำไปเลี้ยงใน สวนสัตว์ 4. การก�าหนดพื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์เพื่อไม่ให้มีกำรบุกรุกและถือครอง ที่ดิน เพื่อด�ำรงรักษำพื้นที่ป่ำเอำไว้มีกำรตรวจเฝ้ำระวังพื้นที่อย่ำงสม�่ำเสมอ เช่น กำรประกำศเป็น อุทยำนแห่งชำติ เขตอนุรักษ์ป่ำ เขตห้ำมล่ำ สัตว์ป่ำ โดยหนึ่งในอุทยำนแห่งชำติที่มีชื่อเสียง และถูกจัดให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของ โลกทำงธรรมชำติยุคใหม่ ได้แก่ อุทยำนแห่งชำติ โคโมโดในประเทศอินโดนีเซียก่อตั้งเป็นอุทยำน แห่งชำติเมื่อ พ.ศ. 2523 เพื่อกำรอนุรักษ์มังกร โคโมโด ภำยหลังได้จัดเป็นพื้นที่ส�ำหรับอนุรักษ์ สัตว์ป่ำและสัตว์ทะเลชนิดอื่น ๆ เนื่องจำกเป็น สถำนที่ที่มีควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพทำง ทะเลสูง มีสัตว์ทะเลอำศัยอยู่หลำยชนิด จัดเป็น พื้นที่ที่มีควำมส�ำคัญในกำรอนุรักษ์ของโลก 228 229 อุทยำนแห่งชำติโคโมโด 1 เกร็ดแนะครู กิจกรรม ทาทาย ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับวันตนไมแหงชาติวา วันตนไมประจําปของ ประเทศไทยตรงกับวันวิสาขบูชา โดยกรมปาไมกับหนวยงานราชการทุกจังหวัด รวมกันจัดกิจกรรมปลูกตนไมแบบประชาอาสา โดยเชิญชวนประชาชน ภาครัฐ และเอกชนใหรวมกันปลูกตนไมทั่วประเทศ ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 8. ครูสุมนักเรียนออกมาจัดทําผังกางปลาที่ แสดงถึงแนวทางแกไขวิกฤตการณเกี่ยวกับ ทรัพยากรปาไมและสัตวปาที่กระดานหนา ชั้นเรียน เชน • การออกกฎหมายเพื่ออนุรักษปาไมและ สัตวปา • การปลูกปาทดแทน • การเพาะเลี้ยงพันธุพืชและสัตวปา • การปลูกจิตสํานึกเพื่อการเห็นคุณคาและ ความสําคัญของปาไมและสัตวปา 9. ครูสุมถามนักเรียนในชั้นเรียนถึงความ ถูกตองครบถวนของรายละเอียดในผังกางปลา จากนั้นครูและนักเรียนอภิปรายสรุปผลการ วิเคราะหแนวทางแกไขวิกฤตการณเกี่ยวกับ ทรัพยากรปาไมและสัตวปารวมกัน พรอมทั้ง บันทึกสาระสําคัญลงในสมุด นักเรียนควรรู 1 อุทยานแหงชาติโคโมโด ขึ้นทะเบียนเปนมรดกโลกเมื่อ พ.ศ. 2534 ตั้งอยูใกล หมูเกาะซุนดานอย พื้นที่อุทยานประกอบดวยเกาะใหญ 3 เกาะ ไดแก เกาะโคโมโด เกาะปาดาร และเกาะริงกา และเกาะเล็กๆ อีกมากมาย เกาะเหลานี้เกิดขึ้นจาก การปะทุของภูเขาไฟ มีเนื้อที่รวมประมาณ 1,817 ตารางกิโลเมตร มีประชากร อาศัยอยูประมาณ 4,000 คน นักเรียนแบงกลุมสืบคนสัตวปาที่ใกลจะสูญพันธุในแตละทวีป ไดแก ทวีปเอเชีย ทวีปยุโรป ทวีปแอฟริกา ทวีปอเมริกาเหนือ และ ทวีปอเมริกาใต ในประเด็น ดังนี้ • ชนิดของสัตวปา • สาเหตุที่ทําให ใกลสูญพันธุ • แนวทางการอนุรักษ แลวนํามาอภิปรายรวมกันในชั้นเรียน นํา สอน สรุป ประเมิน T238


ขอสอบเนน การคิด กำรน�ำพลังงำนเชื้อเพลิงฟอสซิลมำใช้ในกำรด�ำเนินชีวิต มำกเกินไป อำจส่งผลให้เกิดภำวะขำดแคลนได้ในอนำคต 4) วิกฤตการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรแร่และพลังงาน แร่และพลังงำนเป็นปัจจัย ส�ำคัญในกำรด�ำเนินชีวิตในปัจจุบัน โดยมีกำรใช้พลังงำนกับยำนพำหนะ เครื่องจักร ภำค อุตสำหกรรม เกษตรกรรม ในขณะที่ควำมต้องกำรพลังงำนเพิ่มขึ้นแต่ปริมำณพลังงำนมีอยู่อย่ำง จ�ำกัด และยังก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม กำรขำดแคลนทรัพยำกรพลังงำน โดยเฉพำะน�้ำมันที่ถือเป็นพลังงำนหลักที่ใช้กันทั่วโลก มีปริมำณส�ำรองที่ถูกพิสูจน์แล้วของน�้ำมันโลก มีทั้งหมด 1,687.9 พันล้ำนบำร์เรล ใน พ.ศ. 2556 ซึ่งคำดว่ำจะมีเหลือให้ใช้ในอัตรำกำรผลิตปัจจุบันได้อีกประมำณ 46 ปีในขณะที่แก๊สธรรมชำติ มีปริมำณส�ำรองเหลือ185.7ล้ำนล้ำนลูกบำศก์เมตร คำดว่ำจะมีเหลือให้ใช้ในอัตรำกำรผลิตปัจจุบัน ได้อีกประมำณ 58 ปี พ.ศ. 2560 ประเทศไทยมีกำรใช้พลังงำนปริมำณ 80,752 พันตัน เทียบเท่ำน�้ำมันดิบ เพิ่มขึ้นจำกปีก่อนร้อยละ 1.0 คิดเป็นมูลค่ำกว่ำ 1,072,237 ล้ำนบำท โดยที่น�้ำมันส�ำเร็จรูปยังคง เป็นพลังงำนที่ใช้มำกที่สุด คิดเป็นร้อยละ 50.1 ของกำรใช้พลังงำนขั้นสุดท้ำยทั้งหมด รองลงมำ ได้แก่ ไฟฟ้ำ พลังงำนหมุนเวียน แก๊สธรรมชำติ และถ่ำนหิน / ลิกไนต์ ใน พ.ศ. 2560 ประเทศไทย มีกำรน�ำเข้ำพลังงำน คิดเป็นมูลค่ำกว่ำ 862,797 ล้ำนบำท โดยน�ำเข้ำน�้ำมันดิบมำกที่สุด และ เนื่องจำกควำมผันผวนของรำคำน�้ำมันในตลำดโลก ท�ำให้รัฐบำลมีนโยบำยส่งเสริมให้มีกำรใช้ พลังงำนทดแทนในประเทศเพิ่มมำกขึ้น โดยใน พ.ศ. 2560 ไทยมีกำรใช้พลังงำนทดแทน 11,698 พันตันเทียบเท่ำน�้ำมันดิบ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 4.1) สาเหตุของวิกฤตการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรแร่และพลังงาน ที่ส�ำคัญ มีดังนี้ 1. ปัญหาการใช้พลังงานอย่างฟุ่มเฟือย กำรใช้พลังงำนเชื้อเพลิง เช่นน�้ำมัน ถ่ำนหินแก๊สธรรมชำติมำกเกินไปซึ่งทรัพยำกรเหล่ำนี้เป็นพลังงำนธรรมชำติประเภทที่ไม่สำมำรถ สร้ำงทดแทนได้ 2. ปัญหาการผลิตพลังงาน ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม กำรน�ำแร่และ พลังงำนมำใช้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหำก ไม่มีระบบป้องกันที่ดีเช่น กำรท�ำเหมืองแร่ ถ่ำนหิน ท�ำให้เกิดฝุ่นละอองในอำกำศหรือปน เปื้อนน�้ำใต้ดิน ส ่งผลกระทบต ่อสุขภำพของ มนุษย์ เช่น โรคระบบทำงเดินหำยใจ หรือกำร ระคำยเคืองตำ มลพิษจำกกำรใช้พลังงำนยัง ท�ำให้เกิดปรำกฏกำรณ์เรือนกระจก ที่เป็นสำเหตุ ส�ำคัญของภำวะโลกร้อน และส่งผลต่อควำม หลำกหลำยทำงชีวภำพ 228 229 เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมถึงการผลิตพลังงานทดแทนประเภทตางๆ เชน โรงไฟฟาพลังความรอนใตพิภพที่อาจใชบอนํ้าความลึกถึง 1.5 กิโลเมตร เพื่อใหสามารถเขาถึงแหลงสํารองนํ้าจากความรอนใตพิภพที่กําลังเดือด โรงไฟฟาบางแหงใชไอนํ้าจากแหลงสํารองเหลานี้โดยตรงเพื่อใหใบพัดหมุน บางแหงอาจปมนํ้ารอนแรงดันสูงเขาไปในแท็งกนํ้าความดันตํ่า ทําใหเกิด “ไอนํ้าชั่วขณะ” ซึ่งใชหมุนกังหันของเครื่องกําเนิดไฟฟา การผลิตพลังความ รอนใตพิภพแทบไมกอมลพิษหรือปลอยแกสเรือนกระจกเลย แมหลายประเทศ มีแหลงสํารองความรอนใตพิภพอุดมสมบูรณ แตพลังงานหมุนเวียนประเภทนี้ ยังถูกนํามาใชประโยชนนอยมาก ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 10. ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับวิกฤตการณ ทรัพยากรแรและพลังงานที่ไดศึกษามา จากนั้นใหนักเรียนวิเคราะหรวมกันถึง ผลกระทบตอการดําเนินชีวิตของประชากร 11. ครูใหนักเรียนรวมกันวิเคราะหเพิ่มเติม เกี่ยวกับทรัพยากรพลังงานที่สําคัญของโลก และการพัฒนาพลังงานทางเลือก หรือ พลังงานสะอาดของโลก การใชทรัพยากรแรและพลังงานอยางขาดจิตสํานึก กอใหเกิด วิกฤตการณอยางไร (แนวตอบ การใชทรัพยากรแรและพลังงาน เชน นํ้ามัน แกสธรรมชาติอยางขาดจิตสํานึก การจัดการและการวางแผน ทําให มีปริมาณลดลงอยางตอเนื่องและมีแนวโนมหมดไปในอนาคต หาก ไมมีการคนพบแหลงแรและพลังงานอื่นเพิ่มเติม ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้น อยางรวดเร็วของประชากรโลกประกอบกับเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ก็เปนปจจัยเรงที่สําคัญเชนกัน ดังนั้น ทุกคนควรมีจิตสํานึกและ มีสวนรวมในการอนุรักษทรัพยากรแรและพลังงานอยางจริงจัง) นํา สอน สรุป ประเมิน T239


ขอสอบเนนการคิด มลพิษทำงอำกำศ จำกโรงงำนอุตสำหกรรม 4.2) ผลกระทบจากวิกฤตการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรแร่และพลังงาน ที่ส�ำคัญ คือ เกิดมลพิษทำงอำกำศ ในแต ่ละปีมีผู้เสียชีวิตจำกอำกำศเป็นพิษนับแสนคน โดยเฉพำะใน สหรัฐอเมริกำ ส่วนภูมิภำคยุโรปตะวันออกและ ประเทศจีน อำกำศเป็นพิษเกิดจำกกำรท�ำเหมือง ถ่ำนหิน และกำรใช้ถ่ำนหินในโรงงำนอุตสำหกรรม สำรพิษจำกกำรใช้น�้ำมันในรถยนต์ เช่น ตะกั่ว คำร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งท�ำให้เกิดโรคระบบทำง เดินหำยใจ นอกจำกนี้ กำรเผำไหม้ของเชื้อเพลิง ฟอสซิล ชีวมวล ยังท�ำให้เกิดแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ในบรรยำกำศเพิ่มขึ้น เป็นสำเหตุ หนึ่งท�ำให้เกิดภำวะโลกร้อน หำกมนุษย์ยังใช้ พลังงำนในกิจกรรมกำรด�ำเนินชีวิตอย่ำงฟุ่มเฟือย ท�ำให้เกิดกำรขำดแคลนได้ ในอนำคต 4.3) แนวทางแก้ ไขวิกฤตการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรแร่และพลังงาน โดยกำรพัฒนำ พลังงำนทดแทนที่สำมำรถหมุนเวียนได้ เนื่องจำกไม่ก่อให้เกิดปัญหำมลพิษ ได้แก่ 1. พลังงานน�้า สำมำรถน�ำมำใช้ในกำรผลิตกระแสไฟฟ้ำ ในปัจจุบัน ประเทศไทยได้ผลิตกระแสไฟฟ้ำจำกโรงไฟฟ้ำพลังงำนน�้ำ คิดเป็นร้อยละ 6.4 ของก�ำลังผลิตกระแส ไฟฟ้ำทั้งหมด ในขณะที่ประเทศบรำซิลใช้พลังงำนน�้ำในกำรผลิตกระแสไฟฟ้ำมำกถึงร้อยละ 84 โดยมีเขื่อนอิไทพุ (Itaipu Dam) ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้ำที่ส�ำคัญของโลก 2. พลังงานความร้อนใต้พิภพ สำมำรถน�ำมำผลิตกระแสไฟฟ้ำได้ โดยมี หลำยประเทศทั่วโลกที่ใช้พลังงำนควำมร้อนใต้พิภพผลิตไฟฟ้ำ เช่น รัสเซีย นิวซีแลนด์ ไอซ์แลนด์ หรือในแถบเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย 3. พลังงานลม มนุษย์รู้จักใช้พลังงำนลมในกำรเดินเรือ กำรสูบน�้ำ และ กิจกรรมอื่น ๆ มำนำนแล้ว ในรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐอเมริกำใช้พลังงำนลมผลิตกระแสไฟฟ้ำได้ ประมำณ 300 เมกะวัตต์ หรือประมำณร้อยละ 40 ของพลังงำนลมที่ใช้กันอยู่ ในโลก ส่วนประเทศ อื่น ๆ ที่ใช้พลังงำนลมกันมำก เช่น เยอรมนี เดนมำร์ก เนเธอร์แลนด์ 4. พลังงานแสงอาทิตย์ จัดเป็นพลังงำนหมุนเวียนที่ส�ำคัญ เป็นพลังงำน สะอำดที่ไม่ท�ำปฏิกิริยำใด ๆ อันจะท�ำให้สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ประเทศที่เป็นผู้น�ำในกำรใช้พลังงำน แสงอำทิตย์เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้ำ ได้แก่ จีน เยอรมนี และญี่ปุ่น 5. พลังงานคลื่น กำรเคลื่อนที่ขึ้นลงอย่ำงมีจังหวะของคลื่นทะเลท�ำให้เกิด พลังงำนศักย์ที่มีพลังงำนมหำศำล น�ำมำใช้ ในกำรผลิตกระแสไฟฟ้ำได้ ประเทศที่น�ำพลังงำน คลื่นมำใช้ เช่น สหรัฐอเมริกำ สกอตแลนด์ 230 231 3. พลังงานลม มนุษย์รู้จักใช้พลังงำนลมในกำรเดินเรือ กำรสูบน�้ำ และ 1 แรเชื้อเพลิงและพลังงานที่สําคัญของประเทศไทยมีความ เหมาะสมตอการใชประโยชนทามกลางวิกฤตการณภาวะโลกรอน หรือไม อยางไร (แนวตอบ แรเชื้อเพลิงและพลังงานที่สําคัญของประเทศไม เหมาะสมตอการใชประโยชนทามกลางภาวะโลกรอนในปจจุบัน เทาที่ควร เนื่องจากกอใหเกิดแกสเรือนกระจกขึ้นสูบรรยากาศ ทั้งการเผาไหมถานหินชนิดลิกไนตที่กอใหเกิดควันและแกสตางๆ รวมถึงการใชเชื้อเพลิงจากนํ้ามันและแกสธรรมชาติดวย อยางไร ก็ตาม ประเทศไทยไดลดการใชแรเชื้อเพลิงและพลังงานขางตน จากสาเหตุตางๆ ทั้งการใกลจะหมดไปของถานหิน ความพยายาม พัฒนาพลังงานสะอาดของรัฐบาลและหนวยงานที่เกี่ยวของ เพื่อการอนุรักษสิ่งแวดลอม) ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 12. ครูตั้งคําถามเพื่อใหนักเรียนวิเคราะหเพิ่มเติม ถึงวิกฤตการณเกี่ยวกับทรัพยากรแรและ พลังงาน เชน • จากสถานการณดานทรัพยากรนํ้ามันและ แกสธรรมชาติของโลก ควรมีแนวทางแกไข ทรัพยากรพลังงานของโลกอยางไร (แนวตอบ แนวทางแกไขทรัพยากรพลังงาน ของโลกควรเนนการศึกษาและพัฒนา พลังงานทดแทนตางๆ เชน พลังงานแสง อาทิตย พลังงานลม พลังงานชีวภาพ เพื่อ ความสมดุลของระบบนิเวศ และลดการปลอย แกสเรือนกระจกขึ้นสูบรรยากาศ ทั้งนี้ แตละ ประเทศควรพิจารณาพัฒนาพลังงานทดแทน ที่เหมาะสมกับปจจัยภายในประเทศของตน เชน ประเทศบราซิล มีการปลูกออยมาก จึงควรพัฒนาเปนนํ้ามันไบโอดีเซล โดยใช ซากออยเปนวัตถุดิบหลัก อยางไรก็ตาม ควร หลีกเลี่ยงการพัฒนาพลังงานที่อาจสงผล กระทบตอสภาพแวดลอมอยางพลังงานนํ้า จากการสรางเขื่อน ซึ่งตองตัดไมทําลายปา และอาจทําใหสัตวปาบางประเภทสูญพันธุ) นักเรียนควรรู 1 พลังงานลม ปจจุบันมนุษยเห็นความสําคัญและนําพลังงานลมมาใช ประโยชนมากขึ้น เนื่องจากมีอยูทั่วไป ไมตองซื้อหา และเปนพลังงานสะอาดที่ ไมสงผลกระทบตอสิ่งแวดลอม โดยใชกังหันลมเปนตัวรับพลังงานจลนจากการ เคลื่อนที่ของลมใหเปนพลังงานกลได จากนั้นนําพลังงานกลมาใชประโยชน โดยตรง เชน การสูบนํ้า หรือใชผลิตไฟฟา นํา สอน สรุป ประเมิน T240


ขอสอบเนน การคิด 5) วิกฤตการณ์เกี่ยวกับขยะและของเสียอันตราย ปัญหำขยะนับวันยิ่งทวีควำม รุนแรงมำกยิ่งขึ้นเนื่องจำกสภำพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป กำรขยำยตัวของประชำกร และกำรขยำยตัวทำงเศรษฐกิจ ส่งผลให้ปริมำณขยะและของเสียอันตรำยเพิ่มมำกขึ้น ธนำคำรโลกรำยงำนว่ำเมื่อ พ.ศ.2533 มีประชำกรที่อำศัยอยู่ในเขตเมืองทั่วโลก ประมำณ 220 ล้ำนคน หรือคิดเป็นร้อยละ 13 ของประชำกรโลก และก่อให้เกิดขยะประมำณ 300,000ตันต่อวันแต่เพียงสิบปีผ่ำนไปประชำกรที่อำศัยอยู่ในเขตเมืองมีจ�ำนวนเพิ่มมำกขึ้นเป็น 2.9 พันล้ำนคน หรือคิดเป็นร้อยละ49 ของประชำกรโลก ท�ำให้เกิดปริมำณขยะเพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้ำนตัน ต่อวัน และมีกำรคำดกำรณ์ว่ำภำยใน พ.ศ. 2568 ปริมำณขยะนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่ำ ประเทศไทยมีปริมำณขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้นทั่วประเทศประมำณ 27.40 ล้ำนตัน ใน พ.ศ.2560และสำมำรถน�ำไปก�ำจัดได้อย่ำงถูกต้องเพียง11.70ล้ำนตันเท่ำนั้น ขณะที่ พ.ศ.2559 มีของเสียอันตรำย ประมำณ 3.462 ล้ำนตัน เพิ่มขึ้นจำก พ.ศ.2558 0.017 ล้ำนตัน (ร้อยละ 0.49) ส่วนใหญ่เป็นของเสียอันตรำยจำกอุตสำหกรรมประมำณ 2.8ล้ำนตัน(ร้อยละ80) สำมำรถจัดกำร ได้ 1.12 ล้ำนตัน (ร้อยละ 40 ของปริมำณที่เกิดขึ้น) เป็นของเสียอันตรำยจำกชุมชน (รวมซำก ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้ำและอิเล็กทรอนิกส์)ประมำณ 0.606ล้ำนตัน(ร้อยละ18) สำมำรถรวบรวม ได้ 1,297 ตัน ส่งไปก�ำจัดแล้ว 64 ตัน (ร้อยละ 5 ของปริมำณที่รวบรวมได้) และมูลฝอยติดเชื้อ ประมำณ 0.056 ล้ำนตัน (ร้อยละ 2) มำจำกสถำนบริกำรสำธำรณสุข ส่วนใหญ่ถูกส่งไปก�ำจัดที่ เตำเผำมูลฝอยติดเชื้อของเอกชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรวมทั้งสิ้น49,056ตัน(ร้อยละ88) แม้ว่ำประเทศไทยจะมีกำรจัดกำรขยะและของเสียอันตรำย แต่ถ้ำจัดกำรโดยไม่ระมัดระวังหรือ ไม่ถูกต้องเหมำะสม ก็อำจส่งผลกระทบต่อสุขภำพของประชำชนและสิ่งแวดล้อมได้ 5.1) สาเหตุของวิกฤตการณ์ขยะและของเสียอันตราย ที่ส�ำคัญ มีดังนี้ 1. การเพิ่มขึ้นของจ�านวนประชากรโลก ท�ำให้ควำมต้องกำรในกำรใช้สินค้ำ เพิ่มมำกขึ้น จึงมีกำรผลิตสินค้ำเพื่อรองรับผู้บริโภคมำกขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดขยะปีละ 1,300 ล้ำนตัน ต่อปี และคำดกำรณ์ว่ำ ใน พ.ศ. 2568 จะมีขยะเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 2,200 ล้ำนตัน 2. การเก็บและท�าลาย หรือน�าขยะไปใช้ประโยชน์ไม่มีประสิทธิภาพ ท�ำให้ มีขยะตกค้ำง กองหมักหมม และส่งกลิ่นเหม็นจนก่อให้เกิดปัญหำมลพิษกับสิ่งแวดล้อม Question หลำยประเทศต้องเผชิญกับปัญหำขยะล้นเมือง นักเรียนคิดว่ำประเทศใดบ้ำงที่ขยะหมดจนต้องน�ำเข้ำ เพรำะเหตุใดจึงต้องน�ำเข้ำ และมีวิธีจัดกำรขยะอย่ำงไร Geo 230 231 5) วิกฤตการณ์เกี่ยวกับขยะและของเสียอันตราย และมูลฝอยติดเชื้อ 1 2 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 13. ครูใหนักเรียนใชสมารตโฟนสืบคนขาว วิกฤตการณเกี่ยวกับขยะและของเสียอันตราย ที่พบในบริเวณพื้นที่ตางๆ ทั่วโลก จากนั้นให นักเรียนวิเคราะหรวมกันถึงสาเหตุ ตลอดจน ผลกระทบตอการดําเนินชีวิตของประชากร 14. ครูใหนักเรียนรวมกันวิเคราะหและตอบ Geo Question จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 และอภิปรายสรุปรวมกัน (แนวตอบ ประเทศสวีเดนเปนประเทศที่ตอง นําเขาขยะจากประเทศเพื่อนบาน เชน นอรเวย และอีกหลายประเทศในทวีปยุโรป ปละกวา 800,000 ตัน เพื่อนํามาใชใน โครงการผลิตกระแสไฟฟา โดยพลังงาน ที่ไดจากขยะสามารถนํามาใชในครัวเรือน ไดถึงรอยละ 20 ปจจุบันสวีเดนสามารถ พัฒนาเทคโนโลยีที่นําขยะกลับมาใชเปน พลังงานไดโดยแทบไมกอใหเกิดมลพิษใดๆ) อะไรคือปญหาและสาเหตุสําคัญในการจัดการปญหาขยะมูลฝอย ในประเทศไทย (แนวตอบ ปญหาและสาเหตุสําคัญในการจัดการปญหาขยะใน ประเทศไทย เชน การขาดแคลนที่ดินสําหรับใชเปนสถานที่กําจัด การดําเนินการและการดูแลรักษาระบบกําจัดไมมีประสิทธิภาพ ขาดแคลนบุคลากร มีการนําขยะมูลฝอยกลับมาใชประโยชนนอย ประชาชนขาดจิตสํานึกและความเขาใจในการกําจัดขยะที่ถูกตอง) นักเรียนควรรู 1 ของเสียอันตราย ของเสียที่ควบคุมภายใตอนุสัญญาบาเซิล เชน กาก จากการกําจัดของเสียอุตสาหกรรม ของเสียจากการผลิตสารรักษาเนื้อไม กากนํ้ามันดิบจากโรงกลั่น ของเสียที่มีองคประกอบของสารโลหะหนักหรือ สารพิษ สารละลายกรดหรือดางในรูปของแข็ง สารติดเชื้อ 2 มูลฝอยติดเชื้อ มูลฝอยที่มีเชื้อโรคปะปนอยูในปริมาณเขมขน ซึ่งถา มีการสัมผัสหรือใกลชิดมูลฝอยนั้นอาจทําใหเกิดโรคได มูลฝอยดังกลาว สวนใหญเกิดขึ้นในกระบวนการตรวจวินิจฉัยทางการแพทยและการรักษา พยาบาล การใหภูมิคุมกันโรคและทดลองเกี่ยวกับโรค การตรวจชันสูตรศพ หรือซากสัตว เปนตน นํา สอน สรุป ประเมิน T241


Click to View FlipBook Version