Geo Tip 3) ภัยต่าง ๆ ที่เกิดจากพายุฝนฟ้าคะนองรุนแรง ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและ สิ่งก่อสร้าง เช่น 1. ลมกระโชกแรง ท�าความเสียหายต ่ออาคารบ้านเรือน สิ่งก ่อสร้าง ต้นไม้ ป้ายขนาดใหญ่จนพังทลายได้ 2. ฟ้าแลบ ฟ้าผ่า เมื่อเกิดฟ้าแลบและฟ้าร้อง ถ้าขณะนั้นมีประจุไฟฟ้าออกมา จากก้อนเมฆลงไปสู่พื้นดินจะท�าให้เกิดฟ้าผ่า ถ้าถูกสิ่งมีชีวิตก็อาจน�าไปสู่ความตายได้ 3. ลูกเห็บหรือพายุลูกเห็บ จะเกิดขึ้นในช ่วงที่มีพายุฝนฟ้าคะนองในฤดูร้อน หากลูกเห็บที่ตกลงมามีจ�านวนมาก และมีขนาดใหญ่ก็สามารถท�าอันตรายให้แก่ผู้คน หรือท�าให้ อาคารบ้านเรือนเสียหายได้ 4. ฝนตกหนัก พายุฝนฟ้าคะนองอาจท�าให้ฝนตกหนัก เกิดน�้าท่วมฉับพลันได้ บริเวณพื้นที่สูงชันอาจเกิดดินถล่มได้ การระวังฟ้าผ่าจากการค�านวณระยะห่าง เมื่อเกิดฝนฟ้าคะนองอย่างรุนแรง สิ่งหนึ่งที่ต้องระมัดระวัง คือ ภัยจากฟ้าผ่า ซึ่งเกิดขึ้นได้ทุกที่ และอาจสร้างความเสียหายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน เมื่อเกิดฟ้าร้อง ฟ้าแลบ เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เราอยู่ห่าง หรืออยู่ใกล้บริเวณที่เกิดฟ้าร้อง ฟ้าแลบ วิธีง่าย ๆ คือ ใช้ “กฎ 30/30” ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติ ทางทหารที่ใช้กันมานานแล้ว เลข 30 ตัวแรก คือ หน่วยวินาที หมายถึง เมื่อเราเห็นแสงฟ้าแลบ แล้วได้ยินเสียงฟ้าร้อง ตามมาภายในเวลาไม ่เกิน 30 วินาที แสดงว ่าเราอยู ่ใกล้บริเวณฝนฟ้าคะนองมาก และมีความ เสี่ยงสูงต ่อการถูกฟ้าผ ่า ให้พยายามหาที่หลบที่ ปลอดภัย (ตัวเลขนี้ได้มาจากการค�านวณ โดยเสียง จะเดินทางด้วยความเร็ว 346/วินาที ที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส) เลข 30 ตัวหลัง มีหน่วยเป็นนาที หมายถึง เมื่อฝนหยุดตกและไม่มีเสียงฟ้าร้องแล้ว เราควร หลบอยู ่ในที่ปลอดภัยอย ่างน้อย 30 นาที เพื่อ ความมั่นใจว ่าฝนฟ้าคะนองได้เคลื่อนตัวผ ่านไป จนปลอดภัยจากฟ้าผ่าแล้ว ที่มา : www.nstda.or.th ส�านักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ความรุนแรงและความเสียหายจากการเกิดฟ้าผ่า 184 3. ลูกเห็บหรือพายุลูกเห็บ 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร • เพราะเหตุใดขณะเกิดพายุฝนฟาคะนอง จึงไมควรใชโทรศัพท (แนวตอบ เนื่องจากโทรศัพทเคลื่อนที่มีวัสดุ ที่ทําจากโลหะ และโลหะจะเปนตัวรวมคลื่น ฟาผาใหพุงตรงมายังตัวโทรศัพท รวมถึง สัญญาณอินเทอรเน็ตจากโทรศัพทเคลื่อนที่ ก็จัดเปนคลื่นสัญญาณที่เปนสายลอฟาที่ ทําใหเกิดฟาผาไดเปนอยางดี ดังนั้น ในขณะ เกิดพายุฝนฟาคะนองจึงไมควรใชโทรศัพท เพื่อเปนการปองกันการเกิดฟาผาจนเปน อันตรายตอรางกายและทรัพยสินไดนั่นเอง) นักเรียนควรรู 1 ลูกเห็บ ประกอบดวยนํ้าแข็งกอนกลมเล็ก ปกติกอนนํ้าแข็งที่ตกลงมา เปนลูกเห็บนั้นจะไมใสแตจะเห็นเปนฝาสีขาว ลูกเห็บที่ตกลงมาสูพื้นดิน เกิดจากเมฆคิวมูโลนิมบัสเทานั้น เพราะภายในกอนเมฆจะมีอากาศลอยพุงขึ้น อยางรุนแรง ทําใหหยดนํ้าภายในกอนเมฆถูกพัดขึ้นขางบนในระดับสูงจน หยดนํ้าเย็นจัดกลายเปนนํ้าแข็งแลวตกลงมาสูขางลาง การวัดปริมาณการตก ของลูกเห็บทําไดยาก เพราะลูกเห็บตกมากับฝนและละลายเปนของเหลวไป ในเวลาอันรวดเร็ว กิจกรรม สรางเสริม นักเรียนจับสลากภัยตางๆ ที่เกิดจากพายุฝนฟาคะนอง เชน พายุลูกเห็บ ฟาแลบ ฟารอง ฟาผา ภาวะนํ้าทวมจาก ฝนตกหนัก จากนั้นสืบคนขอมูลในประเด็นดังตอไปนี้ • อันตรายจากภัยดังกลาว • การปฏิบัติตนเมื่อเกิดภัย • การปองกันภัย แลวนําขอมูลที่ไดสรุปใสกระดาษรายงาน สงครูผูสอน นํา สอน สรุป ประเมิน T192
ขอสอบเนน การคิด สาเหตุ : เกิดพายุฝนฟ้าคะนองขึ้นระหว่างวันที่ 7 - 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 มีฝนตกกระหน�่าลงมาอย่าง หนัก 200 - 400 มิลลิเมตร ใน 8 จังหวัด ได้แก่ ฟุกุโอกะ ซากะ นะงะซะกิ โอกะยะมะ ฮิโระชิมะ ทตโตริ เฮียวโงะ และเกียวโต โดยเฉพาะพื้นที่ภาค ตะวันตกและตอนกลางของประเทศญี่ปุ่น ผลกระทบ : ส่งผลให้เกิดน�้าท่วมและดินโคลน ถล่มในหลายพื้นที่ พบผู้เสียชีวิตมากกว่า 50 คน และสูญหายอีกเป็นจ�านวนมาก อาคารบ้านเรือน 4) เหตุการณ์พายุฝนฟ้าคะนองที่รุนแรง ครั้งส�าคัญ เช่น สภาพความเสียหายจากอิทธิพลของพายุ เหตุการณ์ พายุฝนฟ้าคะนองในประเทศญี่ปุ่น พ.ศ. 2561 พายุฤดูร้อนพัดถล่มในพื้นที่ต�าบลโพธิไพศาล อ�าเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร สาเหตุ : พายุฤดูร้อนเกิดจากมวลอากาศเย็น จากประเทศจีนแผ ่ลงมาปกคลุมประเทศไทย ปะทะกับอากาศร้อนชื้นของไทย จนท�าให้เกิดการ แปรปรวนของอากาศอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ก่อให้ เกิดลมกระโชกแรงและฝนตกหนักกว่า 1 ชั่วโมง ในช่วงบ่ายของวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2560 ในจังหวัดสกลนคร ผลกระทบ :ส่งผลให้เสาไฟฟ้าล้ม 4 ต้น บ้านเรือน ที่อยู่อาศัยของประชาชนได้รับความเสียหาย จ�านวน 7 หมู่บ้าน รวม 106 หลัง ในจ�านวนนี้มีบ้านเรือน เสียหายรุนแรงทั้งหมด 33 หลัง ที่เหลืออีกจ�านวน 73 หลัง ได้รับความเสียหายเล็กน้อยถึงปานกลาง เหตุการณ์ พายุฤดูร้อนในประเทศไทย พ.ศ. 2560 Activity นักเรียนสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์การเกิดพายุฝนฟ้าคะนองที่รุนแรงของไทยและประเทศอื่น อภิปรายถึงการเกิด ผลกระทบ ความเสียหาย และวิธีป้องกันระวังภัยจากภัยดังกล่าว Geo ถูกท�าลายกว่า 2,000 หลัง เที่ยวบินถูกยกเลิก นับเป็นการสูญเสียทางชีวิตและเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่น อย่างหนัก 185 แปรปรวนของอากาศอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ก่อให้ ปะทะกับอากาศร้อนชื้นของไทย จนท�าให้เกิดการ 1 นักเรียนควรรู 1 การแปรปรวนของอากาศ สาเหตุที่ทําใหเกิดความแปรปรวนของสภาพ อากาศมีหลายปจจัย เชน การปะทุของภูเขาไฟ การเกิดจุดดับบนดวงอาทิตย แตปจจัยที่เห็นไดชัดในปจจุบัน คือ ปรากฏการณเอลนีโญ ซึ่งเปนปรากฏการณ ที่เกิดขึ้นเปนครั้งคราว เมื่อกระแสนํ้าเย็นเปรูบริเวณชายฝงตะวันตกของทวีป อเมริกาใต ถูกกระแสนํ้าอุนจากศูนยสูตรไหลเขามาแทนที่ ทําใหอุณหภูมิที่ผิวนํ้า สูงขึ้น อันเปนผลจากการออนกําลังลงของลมคาตะวันออกเฉียงใตในมหาสมุทร แปซิฟก และปรากฏการณลานีญา ซึ่งเปนปรากฏการณที่ผิวนํ้าของมหาสมุทร แปซิฟกแถบเสนศูนยสูตรเย็นลง สงผลใหเกิดปรากฏการณที่ตรงกันขามกับ ปรากฏการณเอลนิโญ ทําใหประเทศออสเตรเลีย อินโดนีเซีย และฟลิปปนส มีฝนตกหนักมาก ขณะที่บริเวณแปซิฟกตะวันออกชวงฤดูฝนกลับมีฝนนอย และเกิดความแหงแลงยาวนาน ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร 3. ครูกระตุนใหนักเรียนชวยกันตั้งประเด็นคําถาม เชิงภูมิศาสตร เชน • ลักษณะทางกายภาพสงผลใหเกิดปญหา หรือภัยพิบัติธรรมชาติทางบรรยากาศภาค ในประเทศไทยและภูมิภาคตางๆ ของโลก อยางไรบาง • ภัยพิบัติธรรมชาติทางบรรยากาศภาคที่เกิดขึ้น ในภูมิภาคตางๆ ของโลก มีความเหมือน หรือความแตกตางกัน อยางไร • ผลกระทบสําคัญจากภัยพิบัติธรรมชาติทาง บรรยากาศภาคคืออะไร อธิบายเหตุผล • แนวทาง หรือวิธีการปองกันภัยพิบัติ ธรรมชาติทางบรรยากาศภาคสามารถทําได อยางไร 4. ครูอาจกระตุนใหนักเรียนทํากิจกรรมตาม Geo Activity จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 ประกอบการตั้งประเด็นคําถามเชิงภูมิศาสตร เพิ่มเติม อันตรายที่เกิดจากพายุฝนฟาคะนองมีอะไรบาง (แนวตอบ ขณะเกิดพายุฝนฟาคะนองจะมีลมกระโชกแรงและ อาจมีลูกเห็บตกลงมาดวย ซึ่งอาจทําใหตนไมหักโคน บานเรือน ที่ไมแข็งแรงพังเสียหาย เสาไฟฟาลมอาจทําใหไฟฟาลัดวงจรและ เกิดเพลิงไหม หรือเปนอันตรายตอผูสัญจรไปมา หากเกิดฟาผา อาจทําใหมีผูเสียชีวิตได รวมถึงการเกิดนํ้าทวมฉับพลันจากฝน ที่ตกหนัก) นํา สอน สรุป ประเมิน T193
ขอสอบเนนการคิด ก่อนเกิดภัย ขณะเกิดภัย หลังเกิดภัย 1. เข้าไปหลบในที่ก�าบังที่ปลอดภัย ปิดประตู หน้าต่างให้มิดชิด ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้า และงดใช้โทรศัพท์บ้านหรือเล่นอินเทอร์เน็ต ขณะเกิดพายุ รวมถึงติดตามสภาพอากาศ 2. ถ้าอยู่ที่โล่งแจ้ง ให้อยู่ห่างต้นไม้ใหญ่ เสาไฟ รวมถึงงดใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือถ้าอยู ่ ในป่า หรือทุ่งราบ ควรคุกเข่าและโน้มตัวไป ข้างหน้า แต ่ไม ่ควรนอนราบกับพื้นเพราะ พื้นเปียกเป็นสื่อน�าไฟฟ้า 3. ให้ออกห ่างจากชายหาดเมื่อเกิดพายุ เพื่อ หลีกเลี่ยงอันตรายจากน�้าท่วมและฟ้าผ่า 4. ไม่ควรใส่เครื่องประดับโลหะ เช่น ทองแดง ทองเหลือง หรือใช้ร ่มที่มียอดเป็นโลหะใน บริเวณที่โล่งแจ้งขณะเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง 1. หลังพายุสงบ ไม่ควรออกไปในที่โล่งแจ้งทันทีให้คอยติดตามรับฟังข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพื่อปฏิบัติตาม หรือรับแจ้งว่าพายุได้สงบลงแล้ว 2. หากพบต้นไม้ในบริเวณบ้านโค ่นล้ม ให้รีบตัดทิ้งทันที หรือหากพบเห็นเสาไฟฟ้าล้ม มีสายไฟขาด ควรแจ้งเจ้าหน้าที่มาด�าเนินการแก้ไขโดยเร็ว 3. หากมีผู้บาดเจ็บจากการถูกฟ้าผ่า ให้สังเกตก่อนว่าในบริเวณที่เกิดเหตุยังมีความเสี่ยงต่อ การถูกฟ้าผ่าหรือไม่ ถ้ามีให้เคลื่อนย้ายผู้ถูกฟ้าผ่าไปยังต�าแหน่งที่ปลอดภัย เพื่อป้องกัน ตัวเราเองจากฟ้าผ่า และท�าการปฐมพยาบาลก่อนรีบน�าส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด 1. ส�ารวจที่อยู่อาศัยและซ่อมแซมวัสดุที่ไม่มั่นคง ให้มีความแข็งแรง ทนทานต่อพายุ ลูกเห็บได้ รวมถึงเตรียมป้องกันภัยให้แก่สัตว์เลี้ยง และ พืชผลทางการเกษตร 2. ติดตามพยากรณ์อากาศและปฏิบัติตามประกาศ เตือนภัยอย่างเคร่งครัด 3. จัดเก็บสิ่งของที่อาจปลิวไปกับลมให้อยู่ในที่ มิดชิด 5) การจัดการภัยพิบัติพายุฝนฟ้าคะนอง มีดังนี้ 5.1) มาตรการ เช่น มีระบบเตือนภัยตามฤดูกาลที่มีการเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ส�ารวจที่อยู่อาศัยซ่อมแซมให้มีความแข็งแรง โดยเฉพาะหลังคาบ้านตัดแต่งกิ่งไม้หรือโค่นต้นไม้ ที่ไม่แข็งแรงลง 5.2) วิธีป้องกัน เช่น ตรวจสอบเสาไฟฟ้าแรงสูง ควรติดตั้งสายล่อฟ้า รวมทั้ง บนอาคารสูง เพื่อป้องกันอันตรายจากฟ้าแลบ ฟ้าผ่า เตรียมความพร้อมระบบป้องกันน�้าท่วม หากอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย ไม่ควรอยู่ในที่โล่งแจ้ง 5.3) การปฏิบัติตน สามารถท�าได้ ดังนี้ 186 ขั้นสอน ขั้นที่ 2 การรวบรวมขอมูล 1. ครูใหนักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับการปฏิบัติตนในกรณีประสบภัยพิบัติ ทั้งในชวงกอนเกิดภัย ขณะเกิดภัย และหลัง เกิดภัย 2. ครูใหนักเรียนแบงกลุม จํานวน 3 กลุม สืบคนขอมูลเกี่ยวกับภัยพิบัติธรรมชาติทาง บรรยากาศภาค จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 หรือจากแหลงการเรียนรูอื่นๆ เชน หนังสือในหองสมุด เว็บไซตในอินเทอรเน็ต ในประเด็นตอไปนี้ • พายุฝนฟาคะนอง • พายุหมุนเขตรอน • พายุทอรนาโด 3. นักเรียนแตละกลุมรวมกันศึกษาขอมูลในหัวขอ ที่รับผิดชอบ โดยนําความรูเกี่ยวกับเครื่องมือ ทางภูมิศาสตรมาใชประกอบในการศึกษาดวย 4. ครูแนะนําแหลงขอมูลสารสนเทศที่เชื่อถือได ใหกับนักเรียนแตละกลุมเพิ่มเติม นักเรียนจะมีวิธีการหลีกเลี่ยงและปองกันอันตรายจากพายุ ฝนฟาคะนองไดอยางไร (แนวตอบ วิธีในการปฏิบัติตน เชน ถาอยูในบานใหงดใชอุปกรณ ไฟฟา เพราะฟาอาจผาลงสายไฟได ไมอยูใกลสิ่งที่เปนตัวนําไฟฟา ตางๆ งดใชโทรศัพทเคลื่อนที่ ยกเวนในกรณีฉุกเฉิน หากอยู นอกบานควรหาที่หลบในอาคารที่มั่นคงแข็งแรง หากอยูบริเวณ ทุงโลงหามนอนราบกับพื้น เพราะพื้นที่เปยกนั้นสามารถเปน สื่อนําไฟฟาได หามอยูใตตนไมซึ่งขึ้นอยูโดดเดี่ยว หากอยูในทะเล ควรขึ้นจากนํ้าและออกใหไกลจากชายหาด) ขั้นที่ 3 การจัดการขอมูล 1. สมาชิกแตละคนในกลุมนําขอมูลที่ตนไดจาก การรวบรวมมาอธิบายแลกเปลี่ยนความรูกัน 2. จากนั้นสมาชิกในกลุมชวยกันคัดเลือกขอมูล ที่นําเสนอเพื่อใหไดขอมูลที่ถูกตอง และรวม อภิปรายแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเกี่ยวกับพายุฝนฟาคะนองเพิ่มเติมวา จะเกิดขึ้นในพื้นที่เล็กๆ ในภูมิประเทศที่มีอากาศรอนอบอาวจัด อันตรายและความเสียหายมีพอประมาณ ไมรุนแรงมากนัก แตถารูลวงหนาอาจทําใหความเสียหายและอันตรายลดลงได โดยการติดตามสภาพอากาศหรือฟงพยากรณอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยา ซึ่งมีทั้งการพยากรณอากาศประจําวัน และการคาดการณอากาศลวงหนา ซึ่งจะ ทําใหเราสามารถปฏิบัติตนเพื่อเตรียมรับมือไดทันทวงที นํา สอน สรุป ประเมิน T194
2.2 พายุหมุนเขตร้อน (tropical cyclone) พายุหมุนเขตร้อนเกิดขึ้นในมหาสมุทรเขตร้อน ซึ่งมีอากาศร้อนและมีความชื้นสูง ส่วนใหญ่ มักเกิดบริเวณละติจูด 8 - 15 องศาเหนือและใต้ พายุนี้ก�าเนิดขึ้นเหนือพื้นมหาสมุทรที่มีอุณหภูมิ พื้นผิวน�้าทะเล 27 องศาเซลเซียสขึ้นไป 1) สาเหตุและกระบวนการเกิดพายุหมุนเขตร้อน โดยทั่วไปพายุหมุนเขตร้อน มีแนวเกิดอยู่ระหว่างละติจูด 8 - 15 องศาเหนือและใต้ เมื่อน�้าทะเลได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์ จนมีอุณหภูมิที่พื้นผิวน�้าทะเลสูงกว่า 27 องศาเซลเซียส ท�าให้การระเหยเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในฤดูร้อนทั้งซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้ เมื่ออากาศเหนือพื้นน�้าบริเวณดังกล่าวไม่เสถียร จะเกิดการลอยตัวสูงขึ้นพัฒนาเป็นหย่อมความกดอากาศต�่าเหนือพื้นทะเล และเมื่อรวมกับแรง ที่เกิดจากการหมุนรอบตัวเองของโลก หรือแรงคอริออลิสที่เหมาะสมจะท�าให้เกิดลมเฉือนใน แนวดิ่งทั้งทิศทางและความเร็ว ก่อตัวเป็นพายุหมุนเขตร้อน การเกิดพายุหมุนเขตร้อน กระแสอากาศไหลออก ลมผิวพื้น ตาพายุ (ลบสงบ และเป็น ศูนย์กลางความกดอากาศต�่า) การไหลของกระแส อากาศร้อนชื้นในแนวดิ่ง ก�าแพงตาพายุ แถบฝนหมุนเป็นวงกว้าง (10 - 100 กม.) 187 ที่เกิดจากการหมุนรอบตัวเองของโลก หรือแรงคอริออลิสที่เหมาะสมจะท�าให้เกิดลมเฉือนใน 1 2 ตาพายุ (ลบสงบ และเป็น ศูนย์กลางความกดอากาศต�่า) 3 ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ขอใดกลาวถูกตองเกี่ยวกับพายุหมุนเขตรอนที่เคลื่อนเขาสู ประเทศไทย 1. ไมเคยกอตัวขึ้นในอาวไทย 2. ไมเคยกอตัวขึ้นในอาวเบงกอล 3. หากกอตัวในอาวเบงกอลจะไมมาถึงประเทศไทย 4. มีแหลงกําเนิดในทะเลจีนใตมากกวาในทะเลอันดามัน 5. หากกอตัวในอาวตังเกี๋ยจะสงผลกระทบตอประเทศไทย มากที่สุด ( วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. พายุหมุนเขตรอนที่สงผลกระทบ ตอสภาพอากาศของประเทศไทยมีแหลงกําเนิดสําคัญทาง ตะวันออก ไดแก ในทะเลจีนใต และทางตะวันตกของมหาสมุทร แปซิฟก และทางตะวันตก ไดแก อาวเบงกอล มหาสมุทรอินเดีย) ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 1. ครูใหนักเรียนดูแผนภาพการเกิดพายุหมุน เขตรอน จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 แลวสุมนักเรียนจํานวน 2-3 คน แสดงความ คิดเห็นเกี่ยวกับแผนภาพดังกลาว 2. ครูใหนักเรียนแตละกลุมนําเสนอขอมูลจาก การศึกษา พรอมทั้งอภิปรายแสดงความ คิดเห็นรวมกัน สมาชิกกลุมอื่นผลัดกันให ขอคิดเห็น หรือขอเสนอแนะ โดยครูแนะนําเพื่อ ใหเกิดความเขาใจที่ตรงกันเพิ่มเติม นักเรียนควรรู 1 แรงคอลิออลิส (coriolis) เปนแรงบายเบนเนื่องจากการหมุนของโลก แนวโนมของลมทุกลมในซีกโลกเหนือจะพัดเฉียงไปทางขวา และในซีกโลกใต ลมจะพัดไปทางซาย 2 กําแพงตาพายุ บริเวณรอบๆ ตาพายุมีรัศมีประมาณ 10-15 กิโลเมตร เปนบริเวณที่มีพายุพัดรุนแรง และฝนตกหนัก 3 ตาพายุ ตําแหนงศูนยกลางของพายุ มีเสนผานศูนยกลางประมาณ 3.2-8 กิโลเมตร เมื่อพายุเจริญตัวเต็มที่ตาพายุอาจมีเสนผานศูนยกลางถึง 64-128 กิโลเมตร พายุพัดแรงจัดที่สุดรอบศูนยกลาง นํา สอน สรุป ประเมิน T195
กิจกรรม ทาทาย พายุหมุนเขตรอนเมื่อเติบโตเต็มที่จะมีเสนผานศูนยกลางตั้งแต 100 กิโลเมตรขึ้นไป บริเวณที่อยูใกลจุดศูนยกลางพายุมากจะเปนบริเวณที่มีความเร็วลมสูง ในขณะที่จุดศูนยกลาง ของพายุ เรียกวา ตาพายุ จะเปนบริเวณที่ลมสงบที่สุด ไมมีฝน แตเมื่อพายุเคลื่อนเขาสูแผนดิน พายุจะออนกําลังลง 2) ประเภทของพายุหมุนเขตรอน แบงตามความเร็วลมใกลจุดศูนยกลางเปน 3 ประเภท ไดแก 2.1) พายุดีเปรสชัน (tropical depression) เปนพายุหมุนเขตรอนกําลังออน มีความเร็วลมสูงสุดใกลศูนยกลางไมเกิน 61 กิโลเมตร/ชั่วโมง 2.2) พายุโซนรอน (tropical storm) เปนพายุหมุนเขตรอนกําลังปานกลาง มีความเร็วลมใกลจุดศูนยกลาง 62 - 117 กิโลเมตร/ชั่วโมง 2.3) พายุไตฝุน (typhoon) เปนพายุหมุนเขตรอนกําลังแรงมากที่สุด มีความเร็ว ลมใกลจุดศูนยกลางมากกวา 118 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป มีชื่อเรียกแตกตางกันไปตามสถานที่เกิด เชน พายุไซโคลน เกิดในบริเวณมหาสมุทรอินเดียดานทะเลอันดามัน อาวเบงกอล และชายฝง ทวีปออสเตรเลีย พายุเฮอรริเคน เกิดในมหาสมุทรแอตแลนติก ทางตะวันออกของสหรัฐอเมริกา รวมถึงมหาสมุทรแปซิฟกบริเวณชายฝงประเทศเม็กซิโก ความรุนแรงของพายุหมุนเขตรอน พายุโซนรอน 62 - 117 กิโลเมตร/ชั่วโมง พายุไตฝุน 118 กิโลเมตร/ ชั่วโมงขึ้นไป พายุดีเปรสชัน ไมเกิน 61 กิโลเมตร/ชั่วโมง มหาสมุทรอินเดีย ไตฝุน มหาสมุทรแปซิฟก มหาสมุทรแปซิฟก มหาสมุทร แอตแลนติก ไซโคลน ไซโคลน เฮอรริเคน เฮอรริเคน 188 พายุเฮอรริเคน 1 กิจกรรม สรางเสริม ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 3. ครูใหนักเรียนดูแผนที่แสดงแหลงเกิดพายุหมุน เขตรอนของโลก จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 แลวรวมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น เพิ่มเติมเชื่อมโยงกับแผนภาพการเกิดพายุ หมุนเขตรอนถึงความเกี่ยวของสัมพันธกัน ในประเด็นตางๆ 4. ครูสนทนากับนักเรียนถึงความหมาย สาเหตุ การเกิด และประเภทของพายุหมุนเขตรอน เพิ่มเติม แลวใหนักเรียนรวมกันวิเคราะหและ อภิปรายความรูโดยการตอบคําถามเกี่ยวกับ พายุหมุนเขตรอน ตัวอยางขอคําถาม เชน • แหลงกําเนิดพายุหมุนเขตรอนที่กอใหเกิด วาตภัยไดแกแหลงใดบาง (แนวตอบ พายุหมุนเขตรอนเกิดขึ้นเหนือ ทะเล หรือมหาสมุทรในเขตรอนตางๆ จําแนกตามระดับความเร็วของลมไดเปน 3 ระดับ ไดแก พายุดีเปรสชัน พายุโซนรอน และพายุไตฝุน ทั้งนี้ มีชื่อเรียกที่แตกตาง กันตามแหลงกําเนิด เชน พายุที่เกิดใน อาวเบงกอล หรือมหาสมุทรอินเดีย เรียกวา ไซโคลน พายุที่เกิดทางตะวันตก หรือทางใต ของมหาสมุทรแปซิฟกและทะเลจีนใต เรียกวา ไตฝุน และพายุที่เกิดในมหาสมุทร แอตแลนติก ทะเลแคริบเบียน อาวเม็กซิโก เรียกวา เฮอรริเคน) นักเรียนควรรู 1 พายุเฮอรริเคน พายุหมุนเขตรอนที่มักสรางความเสียหายใหแกประเทศ ในภูมิภาคอเมริกาเหนือ อเมริกากลาง รวมถึงทะเลแคริบเบียน โดยเฉพาะ สหรัฐอเมริกา ซึ่งบางครั้งพายุเฮอรริเคนพัดเคลื่อนตัวสูงขึ้นจากแนวเสนศูนยสูตร มากและกอใหเกิดความเสียหายบริเวณเมืองใหญทางชายฝงตะวันออกของ ประเทศอยางรุนแรง ครูอาจใหนักเรียนจัดทําตารางหรือผังกราฟกที่แสดง รายละเอียดเกี่ยวกับประเภทและความรุนแรงของพายุหมุน เขตรอนที่พบในประเทศไทยหรือในภูมิภาคอื่นของโลก โดยศึกษา คนควาขอมูลเพิ่มเติมจากแหลงการเรียนรูที่ครูเสนอแนะ แลว ตกแตงใหสวยงามสงครูผูสอน ครูอาจใหนักเรียนจัดทําตารางหรือผังกราฟกที่แสดงราย ละเอียดเกี่ยวกับประเภทและความรุนแรงของพายุหมุนเขตรอนใน ดานปจจัย สาเหตุ สถานการณการเกิด คนละ 1 ดาน แลวตกแตง ใหสวยงามสงครูผูสอน นํา สอน สรุป ประเมิน T196
ระดับความรุนแรงตามมาตราแซฟเฟอร-ซิมปสัน 0 ํ 60 ํ N 30 ํ N 30 ํ S 60 ํ S 0 ํ 60 ํ N 30 ํ N 30 ํ S 60 ํ S TD TS 1 2 3 4 5 3) การกระจายการเกิดพายุหมุนเขตร้อนของโลก จากแผนที่จะเห็นได้ว่า มีพายุหมุนเขตร้อนกระจายระหว่างละติจูด 5 - 30 องศา เหนือและใต้ ได้แก่ บริเวณตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก ตะวันออกและตะวันตก บริเวณตอนเหนือและตอนใต้มหาสมุทรอินเดีย และบริเวณตะวันตกเฉียงเหนือ และตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศออสเตรเลีย โดยแหล่งเกิดพายุหมุนเขตร้อน ที่มีความถี่มากที่สุด พบในบริเวณด้านตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิกรวมถึงภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ เป็นบริเวณที่มีพายุหมุนเขตร้อนเกิดถี่มากที่สุด ประมาณ 30 ลูกต่อปี ในขณะที่ บริเวณมหาสมุทรแอตแลนติกในซีกโลกใต้ ไม่พบการเกิดพายุหมุนเขตร้อน ส�าหรับประเทศไทยมีพายุหมุนเขตร้อนพัดเข้าสู่ประเทศทั้งจากด้านตะวันออก และตะวันตกของประเทศ โดยด้านตะวันออกมีพายุหมุนเขตร้อนที่เกิดจากบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก ตะวันตก รวมทั้งจากทะเลจีนใต้และอ่าวไทยมีพายุหมุนเขตร้อนที่มีความรุนแรงถึงระดับพายุไต้ฝุ่น ในบางปี ส่วนด้านตะวันตกในทะเลอันดามันมีพายุไซโคลน บางครั้งเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทย ด้านตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งจ�านวนพายุหมุนเขตร้อนที่เข้าสู่ประเทศไทยมีความส�าคัญ ต่อการกักเก็บน�้าในแหล่งเก็บน�้าขนาดใหญ่ของประเทศเป็นอย่างยิ่ง แผนที่แสดงแหล่งเกิดพายุหมุนเขตร้อนของโลก ที่มา : https://earthobservatory.nasa.gov 189 กิจกรรม ทาทาย เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเกี่ยวกับการกระจายการเกิดพายุหมุนเขตรอนของโลกเพิ่มเติมวา ในแตละปจะมีพายุหมุนเขตรอนเกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งกอใหเกิดความเสียหายตอชีวิต และทรัพยสิน เนื่องจากเมื่อเกิดพายุจะมีลมแรง ทําใหคลื่นใหญซัดเขาฝงและ เกิดฝนตกเปนบริเวณกวาง โดยเฉพาะบริเวณที่เปนศูนยกลางของพายุเคลื่อนผาน จะไดรับผลกระทบมากที่สุด ความเสียหายจะขึ้นอยูกับความรุนแรงของพายุ เชน หากพายุมีกําลังอยูในขั้นดีเปรสชัน ความเสียหายจะเกิดขึ้นเนื่องจากฝนตกหนัก และอุทกภัย หากมีกําลังแรงขึ้นเปนโซนรอนหรือไตฝุน ความเสียหายจากฝนตก และอุทกภัยจะรุนแรงมากขึ้นอีก ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล • การเกิดพายุหมุนเขตรอนบริเวณทะเล อาวไทยและทะเลอันดามัน มีความเหมือน หรือแตกตางกัน อยางไร (แนวตอบ แตกตางกันตามฤดูกาลของการ เกิดพายุหมุนเขตรอน โดยบริเวณอาวไทย หรือทะเลจีนใต จะพบการเกิดพายุหมุน เขตรอนตั้งแตเดือนพฤษภาคมถึงเดือน พฤศจิกายน สวนพายุหมุนเขตรอนใน ทะเลอันดามันจะเกิดใน 2 ชวงเวลาของป คือ ชวงแรก ตั้งแตเดือนเมษายนถึงเดือน พฤษภาคม และชวงหลังตั้งแตกลางเดือน ตุลาคมถึงเดือนธันวาคม) นักเรียนสืบคนและศึกษาขอมูลเกี่ยวกับพายุหมุนเขตรอน ของโลกประเภทตางๆ จากนั้นรวมกันอภิปรายถึงพายุหมุนเขตรอน ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยวาเปนพายุประเภทใด กอตัวขึ้นบริเวณใด โดยระบุลงในแผนที่ประเทศไทย แลวนําความรูที่ไดมานําเสนอ หนาชั้นเรียน นํา สอน สรุป ประเมิน T197
Geo Tip 4) ภัยต่าง ๆ ที่เกิดจากพายุหมุนเขตร้อนรุนแรง เช่น 1. พายุเคลื่อนที่ขึ้นฝั่ง ก่อให้เกิดคลื่นพายุซัดฝั่ง ท�าให้ต้นไม้ถอนรากถอนโคน อาคารบ้านเรือนที่ไม่แข็งแรงพังทลาย ชิ้นส่วนของบ้านเรือนถูกพัดปลิวเป็นอันตรายต่อผู้ที่อยู่ใน ที่โล่งแจ้ง เรือกสวนไร่นาเสียหาย สายไฟฟ้าขาด เสาไฟฟ้าล้ม ท�าให้เกิดไฟไหม้หรือไฟดูด 2. พายุเคลื่อนอยู่ในทะเล ท�าให้เกิดลมแรงจัดเกิดคลื่นขนาดใหญ่ซึ่งเป็นอันตราย ต่อการเดินเรือ โดยเฉพาะเรือขนาดเล็ก 3. เกิดฝนตกหนัก ท�าให้เกิดน�้าท่วม ทั้งน�้าป่าไหลหลาก น�้าเอ่อล้นจากแม่น�้า ล�าคลองเข้าท่วมพื้นที่ริมฝั่งน�้า และน�้าฝนที่ท่วมขังอยู่พื้นที่ลุ่มต�่า เมื่อระบายออกไม่ทันจะสร้าง ความเสียหายต่อพืชผลทางการเกษตร เส้นทางคมนาคมรวมทั้งการกัดเซาะตลิ่งและชายฝั่ง ท�าให้ พื้นที่ชายหาดบางส่วนหายไป นอกจากนี้ ฝนที่ตกหนักบริเวณภูเขาก็อาจท�าให้เกิดดินถล่มได้ การตั้งชื่อพายุหมุนเขตร้อน พายุหมุนเขตร้อนเป็นพายุที่ก่อตัวขึ้นในทะเลเขตร้อนทางทะเลจีนใต้และทางด้านตะวันตกตอนบน ของทะเลแปซิฟิกดังนั้นประเทศที่อยู่ในบริเวณที่ได้รับอิทธิพลจากพายุหมุนเขตร้อน14ประเทศได้แก่ กัมพูชา จีน เกาหลีเหนือ ฮ่องกง ญี่ปุ่น ลาว มาเก๊า มาเลเซีย ไมโครนีเซีย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ไทย สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม ได้มีการประชุมร่วมกันเพื่อตั้งชื่อใช้เรียกพายุที่จะเกิดขึ้นแต่ละลูก โดย แต่ละประเทศจะเสนอชื่อพายุในภาษาของตนประเทศละ 10 ชื่อ จัดท�าเป็นบัญชีรายชื่อ รวมทั้งหมด 140 ชื่อ (ซึ่งพายุลูกนั้นต้องมีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางพายุมากกว่า 34 นอต หรือ 63 กม./ชม. ถึงจะมีชื่อเป็นของตนเอง) และจะใช้ชื่อเรียงล�าดับตามชื่อประเทศของล�าดับตัวอักษรภาษาอังกฤษ โดยชื่อพายุที่ไทยเสนอ 10 ชื่อ ได้แก่ พระพิรุณ ทุเรียน วิภา รามสูร เมขลา นิดา มรกต ชบา กุหลาบ และขนุน นอกจากนี้ หากพายุลูกใดที่มีความรุนแรงและ สร้างความเสียหายอย่างมาก ก็จะมีการพิจารณา ถอดถอนชื่อพายุลูกนั้นไป แล้วท�าการเลือกชื่อใหม่ ใส่แทนลงในบัญชีรายชื่อ เช่น พายุไต้ฝุ่นทุเรียน ที่เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2549 ประเทศที่ได้รับความ เสียหายอย่างหนัก คือ ฟิลิปปินส์ มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,000 คน ในภายหลังจึงได้มีการพิจารณาถอดถอน ชื่อพายุทุเรียนออกจากบัญชีรายชื่อ และหาชื่อใหม่ เข้ามาแทน คือ พายุมังคุด ความเสียหายจากพายุไต้ฝุ่นทุเรียนใน พ.ศ. 2549 190 ก่อให้เกิดคลื่นพายุซัดฝั่ง1 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล • พายุหมุนเขตรอนมีที่มาของการตั้งชื่อ อยางไร (แนวตอบ พายุหมุนเขตรอนเกิดขึ้นในบริเวณ เสนศูนยสูตร บริเวณกอตัวของพายุมักจะมี อุณหภูมิของนํ้าสูงกวา 26 องศาเซลเซียส และลมสงบเงียบเปนเวลานาน การตั้งชื่อ พายุในสมัยเริ่มแรกจะใชหมายเลขกํากับ แตตอมาเกิดความสับสนไดงาย องคการ อุตุนิยมวิทยาโลกและสมาชิกจึงตั้งชื่อโดยใช อักษรโรมันตั้งแต A-Z และตั้งแต พ.ศ. 2543 ไดมีระบบการตั้งชื่อพายุใหมโดยใชภาษา พื้นเมืองของแตละประเทศ ซึ่งประเทศใน มหาสมุทรแปซิฟกตอนบนกับทะเลจีนใต รวม 14 ประเทศ ไดตกลงกับองคการ อุตุนิยมวิทยาโลกในการตั้งชื่อพายุของ ตนเอง โดยแตละประเทศจะเสนอชื่อมา ประเทศละ 10 ชื่อ รวม 140 ชื่อ แลวแบง เปน 5 กลุม กลุมละ 28 ชื่อ เมื่อเกิดพายุ ก็จะใชชื่อกลุมแรกเรียงลําดับไปจนหมด จึงใชชื่อในกลุมที่ 2 ตอไป) กิจกรรม สรางเสริม นักเรียนสืบคนขอมูลพายุหมุนเขตรอนครั้งรายแรงที่เคย เกิดขึ้นในประเทศไทย ระบุสาเหตุการเกิด ผลกระทบและความ เสียหายที่ไดรับ สรุปความรูที่ไดลงกระดาษรายงานนําสงครูผูสอน นักเรียนควรรู 1 คลื่นพายุซัดฝง คือ คลื่นซัดชายฝงขนาดใหญอันเนื่องมาจากความแรง ของลมที่เกิดจากพายุหมุนเขตรอนที่เคลื่อนตัวเขาหาฝง โดยปกติมีรัศมี รุนแรงมากประมาณ 100 กิโลเมตร แตบางครั้งอาจเกิดเมื่อศูนยกลางพายุ อยูหางมากกวา 100 กิโลเมตรได ขึ้นอยูกับความรุนแรงของพายุ และสภาพ ภูมิศาสตรของพื้นที่ชายทะเล บางครั้งอาจไดรับอิทธิพลเสริมความรุนแรง จากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ทําใหเกิดอันตรายมากขึ้น นํา สอน สรุป ประเมิน T198
5) เหตุการณ์พายุหมุนเขตร้อนที่รุนแรง ครั้งส�าคัญ เช่น ความเสียหายของเมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนาจาก พายุแคทรีนา สาเหตุ : พายุเฮอร์ริเคนแคทรีนาเป็นพายุหมุน เขตร้อน ก ่อตัวในมหาสมุทรแอตแลนติกและ กลายเป็นพายุโซนร้อน มีความเร็วถึง 74 ไมล์ต่อ ชั่วโมง เกิดเป็นพายุเฮอร์ริเคนระดับ 1 ในวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2548 เมื่อพัดเข้าสู่บาฮามาสและ ฟลอริดา ได้เพิ่มความรุนแรงเป็นพายุระดับ 5 ใน อ่าวเม็กซิโก มีความเร็วลมสูงสุด 280 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง ก่อนที่จะอ่อนก�าลังแรงเป็นระดับ 3 เมื่อ เคลื่อนเข้าสู่รัฐลุยเซียนาและสลายตัวในวันที่ 31 สิงหาคม เหตุการณ์ พายุเฮอร์ริเคนแคทรีนาในสหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2548 ความเสียหายของพื้นที่ประสบภัยในประเทศเมียนมา จากพายุไซโคลนนากีส สาเหตุ: พายุไซโคลนนากีสก่อตัวขึ้นในอ่าวเบงกอล ตอนกลาง มีความเร็วลม 215 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้พัดขึ้นฝั่งประเทศเมียนมาแถบสามเหลี่ยมปากน�้า อิรวดีและนครย่างกุ้ง ซึ่งสร้างความเสียหายให้แก่ พื้นที่รอบมหาสมุทรอินเดีย โดยเฉพาะอย ่างยิ่ง ประเทศเมียนมา ผลกระทบ : ท�าให้มีผู้เสียชีวิตในประเทศเมียนมา กว่า 50,000 คน ผู้สูญหายอีกกว่า 40,000 คน และเป็นผู้ไร้บ้านอีกจ�านวนมาก อาคารถูกท�าลาย หลายแสนหลังในเขตอิรวดีนอกจากนี้ยังส่งผลต่อ เหตุการณ์ พายุไซโคลนนากีสในประเทศเมียนมา พ.ศ. 2551 ผลกระทบ : ท�าให้เมืองนิวออร์ลีนส์ถูกน�้าท่วมอย่างหนักเป็นเวลานานหลายสัปดาห์ คิดเป็นพื้นที่กว่า ร้อยละ 80 ของเมือง มีพื้นที่ความเสียหายประมาณ 233,000 ตารางกิโลเมตร มีผู้เสียชีวิตจ�านวน 1,833 คน ผู้สูญหาย 705 คน และมีผู้อพยพออกนอกพื้นที่กว่า 1 ล้านคน ความเสียหายคิดเป็นมูลค่า 81 พันล้านเหรียญสหรัฐ อ่าวเบงกอลตะวันตก โดยประเทศศรีลังกาเกิดภาวะฝนตกหนัก น�้าท่วม และแผ่นดินถล่มในหลายพื้นที่ โดยต�าบลรัตนปุระและต�าบลเคกัลเลได้รับผลกระทบมากที่สุด ประชาชนกว่า 3,000 ครัวเรือน ได้รับ ความเดือดร้อนจากน�้าท่วมหรือถูกท�าลายจากแรงพายุ 191 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 5. ครูใหนักเรียนจับกลุมผลัดกันจับสลากชื่อพายุ ที่ทําใหเกิดวาตภัยครั้งรายแรงทั้งในบริเวณ ตางๆ ของโลกและในประเทศไทย เชน นารกีส เอลลี กิสนา เกย ลินดา เซินกา แลวใหนักเรียน ใชสมารตโฟนสืบคนภาพขาว หรือคลิปวิดีโอ ที่เกี่ยวของกับเหตุการณที่จับสลากได พรอมทั้งเขียนสรุปที่กระดานหนาชั้นเรียน จากนั้นครูและนักเรียนอภิปรายรวมกัน เกี่ยวกับเหตุการณดังกลาว 6. ครูใหนักเรียนแตละกลุมวิเคราะหและอภิปราย กลุมยอยถึงผลกระทบที่เกิดจากเหตุการณ พายุหมุนเขตรอน โดยแบงออกเปนผลกระทบ ที่เกิดขึ้นบนบก และผลกระทบที่เกิดขึ้นในทะเล แลวชวยกันออกแบบและจัดทําการนําเสนอ ผลการอภิปรายในรูปแบบตางๆ ตามความ สามารถและความสนใจ จากนั้นสงตัวแทน ออกมานําเสนอผลการอภิปรายกลุมยอยที่หนา ชั้นเรียน ครูสนทนารวมกันกับนักเรียนเพื่อให เกิดความรูความเขาใจที่ถูกตองตรงกัน เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับพายุหมุนเขตรอนครั้งรายแรงที่เกิดขึ้นในโลก เชน พายุไซโคลนโบลา พายุไซโคลนกอรกี ซึ่งเกิดในประเทศบังกลาเทศใน พ.ศ. 2513 และ พ.ศ. 2534 สงผลใหมีผูเสียชีวิตนับแสนราย พายุไซโคลนโอดิชา ซึ่งเกิดในประเทศอินเดียในพ.ศ. 2542 มีผูเสียชีวิตประมาณ 15,000 ราย พายุเฮอรริเคนแคทรีนา ในสหรัฐอเมริกาเมื่อ พ.ศ. 2548 มีผูเสียชีวิตประมาณ 2,000 ราย และพายุไตฝุนไหเยี่ยนพัดผานประเทศฟลิปปนสใน พ.ศ. 2556 ทําใหมีผูเสียชีวิตประมาณ 6,000 ราย นักเรียนรวมกลุมคนควาแนวทางการระวังภัยจากพายุหมุน เขตรอนของประเทศตางๆ เพิ่มเติมจากแหลงการเรียนรูอื่น จากนั้น รวบรวมภาพและขอมูลจัดทําปายแสดงแนวทางการระวังภัย จากพายุหมุนเขตรอนลงในกระดาษโปสเตอร ตกแตงใหสวยงาม เพื่อสงเสริมใหนักเรียนนําความรูความเขาใจเรื่องการระวังภัยจาก พายุไปปรับใชในชีวิตประจําวัน นํา สอน สรุป ประเมิน T199
ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET 6) การจัดการภัยพิบัติพายุหมุนเขตร้อน มีดังนี้ 6.1) มาตรการ เช่น มีระบบเตือนภัยลมแรงและพายุ มีการวางแผนในระยะยาว เพื่อป้องกันภัยจากพายุ มีการก�าหนดพื้นที่เสี่ยงภัยและมีเครื่องหมายเตือนภัย ควรมีการฝึกซ้อม ป้องกันภัยพิบัติ เตรียมพร้อมรับมือ และวางแผนการอพยพหากจ�าเป็น มีมาตรการกระจายข่าวสาร และการแจ้งเตือนประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ 6.2) วิธีป้องกัน เช่น ซ่อมแซมประตู หน้าต่างให้มั่นคงแข็งแรง ตัดต้นไม้ที่มี โอกาสหักลงมาทับบ้านเรือน หรือเสาไฟฟ้า เตรียมชุดอุปกรณ์ฉุกเฉินให้พร้อม และเตรียมพร้อม รับมือกับน�้าท่วมฉับพลัน 6.3) การปฏิบัติตน ท�าได้ ดังนี้ ก่อนเกิดภัย ขณะเกิดภัย หลังเกิดภัย 1. ติดตามข่าวพยากรณ์อากาศอยู่เสมอ และเตรียม ตัวอพยพเมื่อได้รับแจ้งให้อพยพ 2. หมั่นตรวจตรา ซ่อมแซมประตู หน้าต่างให้ มั่นคงแข็งแรง ตัดต้นไม้ที่มีโอกาสหักลงมาทับ บ้านเรือน หรือเสาไฟฟ้า รวมถึงเตรียมชุดอุปกรณ์ ฉุกเฉินให้พร้อม 3. จัดเก็บสิ่งของที่อาจปลิวไปกับลมให้มิดชิด เพื่อ ป้องกันพายุพัดเสียหาย และได้รับอันตรายจาก สิ่งของกระแทกใส่ 1. ให้หลบอยู่ในอาคารบ้านเรือนที่มั่นคงแข็งแรง ปิดประตู หน้าต่างให้มิดชิด 2. ไม่อยู่ใกล้เสาไฟฟ้า ต้นไม้ สิ่งปลูกสร้าง หรือ ป้ายที่ไม่มั่นคงแข็งแรง เพราะอาจถูกล้มทับ หรือถูกไฟฟ้าดูดได้ และไม ่ควรใช้อุปกรณ์ ไฟฟ้า รวมถึงงดใช้ โทรศัพท์เคลื่อนที่ชั่วคราว 3. ไม่อยู่ใกล้บริเวณชายฝั่งทะเล และเรือทุกชนิด ควรงดออกจากฝั่ง 4. หากจ�าเป็นต้องอพยพออกจากพื้นที่ ให้ ไป ตามเส้นทางที่ปลอดภัย และปฏิบัติตามประกาศ เตือนภัยอย่างเคร่งครัด 1. หลังพายุสงบ ไม่ควรออกไปในที่โล่งแจ้งทันที ควรอยู่ในที่ปลอดภัยอย่างน้อย 1 - 2 ชั่วโมง และคอยติดตามรับฟังข่าวสารอย่างใกล้ชิดเพื่อปฏิบัติตามค�าสั่ง หรือรับแจ้งว่า พายุได้สงบลงแล้ว 2. ช่วยเหลือท�าการปฐมพยาบาลเบื้องต้นแก่ผู้บาดเจ็บ แล้วรีบน�าตัวส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว 3. ถ้ามีเสาไฟฟ้าล้ม สายไฟขาด อย่าเข้าใกล้หรือแตะต้อง เพื่อความปลอดภัย 192 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 7. ครูใหนักเรียนรวมกันวิเคราะหเกี่ยวกับการ จัดการภัยพิบัติพายุหมุนเขตรอนทั้งในดานของ มาตรการ วิธีปองกัน และการปฏิบัติตนทั้งใน ชวงกอนเกิดภัย ขณะเกิดภัย และหลังเกิดภัย 8. ครูสุมนักเรียนเพื่อนําเสนอแนวทางการปฏิบัติ ตนตอการจัดการภัยพิบัติพายุหมุนเขตรอน เพิ่มเติม เกร็ดแนะครู ครูนําวีดิทัศนหรือภาพขาวแสดงสถานการณวาตภัยในประเทศไทยหรือ ประเทศเพื่อนบานมาใหนักเรียนพิจารณารวมกัน เพื่อกระตุนความสนใจของ นักเรียน และสงเสริมใหเกิดความรูความเขาใจเกี่ยวกับสถานการณการเกิด และผลกระทบของวาตภัย จากนั้นครูและนักเรียนวิเคราะหรวมกันถึงแนวทาง การระวังภัยจากวาตภัยที่เหมาะสมกับทองถิ่นของตน เพื่อใหนักเรียนนําความรู ไปใชในการดํารงชีวิต แนวทางในการปองกันผลกระทบจากวาตภัยตออาคารบานเรือน คือขอใด 1. ดูแลรักษาบานเรือนใหมั่นคงแข็งแรง 2. สรางบานดวยวัสดุคุณภาพดีราคาแพง 3. สรางบานอยูหลังเขาเพื่อปองกันลมปะทะ 4. เลือกทําเลพื้นที่สูงชันในการสรางบานเรือน 5. ปองกันชองลมทุกทางทั้งประตูและหนาตาง ( วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. การดูแลรักษาบานเรือนใหมั่นคง แข็งแรงเปนแนวทางปองกันผลกระทบจากวาตภัยที่เหมาะสม เพราะขณะเกิดภัยเราอาจไมสามารถเตรียมการเพื่อปองกันบาน เรือนใหมั่นคงไดทันเวลา สวนตัวเลือกอื่นเปนการปองกันที่ไม เหมาะสม เชน การปองกันชองลมเปนการปฏิบัติเมื่อประสบภัย ไมใชการปองกันผลกระทบที่จะไดรับจากวาตภัย) นํา สอน สรุป ประเมิน T200
ขอสอบเนน การคิด การเกิดพายุฝนฟ้าคะนองแบบซูเปอร์เซลล์ ซูเปอร์เซลล์ (Supercell) เมฆคิวมูโลนิมบัส เมโซไซโคลน ลูกเห็บ ผนังเมฆ ทอร์นาโด ฝน หยาดนํ้าฟ้าที่ตกจาก ใต้ฐานเมฆระเหย ก่อนตกลงถึงพื้นดิน ทิศทางของพายุ กระแสอากาศไหลลง กระแสอากาศไหลขึ้น กระแสอากาศไหลลง 2.3 พายุทอร์นาโด (tornado) พายุทอร์นาโดหรือพายุงวงช้างเป็นพายุหมุนขนาดเล็กที่มีพลังทําลายรุนแรง ศูนย์กลางพายุ นี้จะมีความกดอากาศตํ่ามาก ความรุนแรงและอํานาจการทําลายของพายุขึ้นอยู่กับความเร็วที่จุดศูนย์กลาง ความเร็วของ การเคลื่อนที่ ทิศทางของการเคลื่อนที่ และความกว้างของวงพายุ พายุทอร์นาโดที่รุนแรงมาก อาจมีความเร็วการหมุนที่จุดศูนย์กลางมากกว่า 322 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเคลื่อนที่ด้วยความ เร็วกว่า 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งความเร็วของการหมุนนี้หากผ่านไปบนแผ่นดิน สามารถจะ หอบรถยนต์ขึ้นไปได้ มีอํานาจทําลายอาคารบ้านเรือนและสิ่งมีชีวิต หากเกิดในแม่นํ้าหรือมหาสมุทร จะเกิดคลื่นลมแรง หอบเอานํ้าขึ้นเป็นลําในอากาศ หรือยกเรือขนาดใหญ่ไปได้ ไกล พายุทอร์นาโด เป็นพายุประจําถิ่นตอนกลางของสหรัฐอเมริกา เกิดในช่วงฤดูร้อนไปจนถึงปลายฤดูใบไม้ร่วง 1) สาเหตุและกระบวนการเกิดพายุทอร์นาโด พายุทอร์นาโดมีกระบวนการเกิด 2 ลักษณะ ได้แก่ 1.1) พายุทอร์นาโดที่เกิดจากพายุฝนฟ้าคะนองแบบซูเปอร์เซลล์ (supercell tornado) เป็นพายุที่เกิดขึ้นจากพายุฝนฟ้าคะนองแบบซูเปอร์เซลล์ที่มีระบบอากาศหมุนวน ที่เรียกว่า เมโซไซโคลน (มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว 2 - 10 กิโลเมตร) ไหลวนอยู่ภายในเมฆพายุ ความเร็วการหมุนของเมโซไซโคลนทําให้เกิดกรวยเมฆหมุนออกจากผนังเมฆและฐานเมฆ คิวมูโลนิมบัสลงมาแตะพื้นดิน 193 2.3 พายุทอร์นาโด1 นักเรียนควรรู 1 พายุทอรนาโด เปนพายุหมุนที่มีอาณาบริเวณเกิดแคบที่สุด แตมีอัตรา พัดของลมเร็วที่สุด พายุนี้เกิดไดทุกทวีปแตเกิดบอยที่สุดในสหรัฐอเมริกา ลักษณะพิเศษของพายุนี้ คือ มีเมฆคลายงวงชางยื่นปลายงวงลงมาจากฐานเมฆ คิวมูโลนิมบัส ถาพายุนี้เกิดเหนือพื้นนํ้าจะเรียก นาคเลนนํ้า เมื่อมีพายุทอรนาโด เกิดขึ้นจะมีฝนฟาคะนองอยางแรงและฝนตกหนักเกิดขึ้นพรอมกันดวย พายุทอรนาโดเกิดขึ้นไดอยางไร (แนวตอบ พายุทอรนาโดกอตัวจากอากาศรอนจัดปะทะกับ อากาศเย็นจัด บางครั้งกระแสลมกรดก็มีบทบาทสําคัญตอการ เกิดหรือการกอตัวของพายุนี้ แมพายุทอรนาโดจะเกิดในบริเวณ แคบๆ และเสนทางพายุผานจะไมกวางมากแตสรางความ เสียหายไดมากและรุนแรง อํานาจการทําลายของพายุทอรนาโด มีอยู 2 ประการ คือ ความกดอากาศที่ขอบพายุ และที่จุดดูด ตรงจุดศูนยกลางหรือตาพายุ) ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 9. ครูนําวีดิทัศน หรือภาพขาวแสดงสถานการณ การเกิดพายุทอรนาโดในบริเวณพื้นที่ตางๆ ของโลกมาใหนักเรียนดูและรวมกันวิเคราะห เกี่ยวกับสาเหตุและกระบวนการเกิดพายุ ทอรนาโด ตลอดจนความแตกตางของพายุ ทอรนาโดแตละรูปแบบ 10. ครูสุมนักเรียนจํานวน 2-3 คน นําเสนอ ผลการวิเคราะหสาเหตุและกระบวนการเกิด พายุทอรนาโด ตลอดจนความแตกตางของ พายุทอรนาโด จากนั้นครูสนทนารวมกัน กับนักเรียนเพื่อใหเกิดความรูความเขาใจที่ ถูกตองตรงกัน นํา สอน สรุป ประเมิน T201
ขอสอบเนนการคิด Geo Tip ในการก�าหนดระดับความรุนแรงของพายุทอร์นาโดมีมาตรวัดเป็นฟุจิตะ (Fujita) ต่อมาได้มีการ ปรับปรุงเป็นหน่วย EF หรือ Enhanced Fujita แบ่งออกเป็น 6 ระดับตามความเร็วของกระแสลม ดังนี้ พายุทอร์นาโดผืนน�้าที่รัฐฟลอริดา เมื่อ พ.ศ. 2512 เป็นพายุทอร์นาโดที่ไม่ได้เกิดจากซูเปอร์เซลล์ พายุทอร์นาโดที่เกิดจากซูเปอร์เซลล์ ที่รัฐไวโอมิง ทางตอน กลางของสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2561 1.2) พายุทอร์นาโดที่ไม่ได้เกิดจากพายุฝนฟ้าคะนองแบบซูเปอร์เซลล์ (nonsupercell tornado) พายุกลุ่มนี้เริ่มจากลมเฉือนในแนวระดับที่ผิวพื้น ท�าให้เกิดกระแสอากาศไหลวน ที่เรียกว่า ไมโครไซโคลนขึ้นในแนวดิ่ง ไมโครไซโคลนนี้หากหมุนเร็วขึ้นก็จะแคบเข้าและยืดยาวออกไปด้านบน เคลื่อนเข้าสู่ฐานเมฆ ส่งผลให้เมฆเติบโตมีขนาดใหญ่ขึ้น ส่วนไมโครไซโคลนที่มีรัศมีแคบลง และหมุนอย่างรวดเร็วก็กลายเป็นพายุทอร์นาโดมีความรุนแรงน้อยกว่าที่เกิดจากพายุฝนฝ้าคะนอง แบบซูเปอร์เซลล์ 2) ประเภทของพายุทอร์นาโด จ�าแนกตามความรุนแรงและองค์ประกอบของกรวย ได้ 2 ประเภท ได้แก่ 2.1) พายุทอร์นาโดที่เกิดจากพายุฝนฟ้าคะนองแบบซูเปอร์เซลล์ (supercell tornado) จะมีความรุนแรงสูงสุดถึงระดับ EF4 ถึง EF5 ตามสเกลฟุจิตะปรับปรุง (Enhanced Fujita) เช่น พายุทอร์นาโดที่มักเกิดในสหรัฐอเมริกา 2.2) พายุทอร์นาโดที่ไม่ได้เกิดจากพายุฝนฟ้าคะนองแบบซูเปอร์เซลล์ (nonsupercell tornado) ส่วนใหญ่จะมีความรุนแรงในระดับ EF0 ถึง EF2 ซึ่งมีความรุนแรงน้อยกว่าพายุทอร์นาโด ที่เกิดจากพายุฝนฟ้าคะนองแบบซูเปอร์เซลล์ เช่น พายุงวงช้างที่เกิดขึ้นในประเทศไทย EF0 105 - 137 กิโลเมตร/ชั่วโมง เสียหายน้อย EF2 178 - 217 กิโลเมตร/ชั่วโมง เสียหายหนัก EF1 138 - 177 กิโลเมตร/ชั่วโมง เสียหายปานกลาง EF4 267 - 322 กิโลเมตร/ชั่วโมง เสียหายรุนแรงมาก EF3 218 - 266 กิโลเมตร/ชั่วโมง เสียหายรุนแรง EF5 มากกว่า 322 กิโลเมตร/ชั่วโมง เสียหายรุนแรงมากที่สุด 194 พายุทอร์นาโดผืนน�้าที่รัฐฟลอริดา เมื่อ พ.ศ. 2512 1 นักเรียนควรรู 1 พายุทอรนาโดผืนนํ้า พายุหมุนซึ่งเกิดจากการหมุนเวียนของอากาศจาก พื้นนํ้าขยายขึ้นไปสูเมฆ เชน พวยนํ้าหรือนาคเลนนํ้า (water spout) มีลักษณะ คลายกับทอรนาโดแตมีกําลังแรงนอยกวา ซึ่งเกิดจากมวลอากาศเย็นเคลื่อนผาน ผิวนํ้าบริเวณที่อุนกวา ทําใหอากาศบริเวณผิวนํ้ายกตัวขึ้นอยางรวดเร็ว โดยมัก เกิดในภูมิภาคกึ่งเขตรอน ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 11. ครูใหนักเรียนรวมกันวิเคราะห Geo Tip เกี่ยวกับการกําหนดระดับความรุนแรงของ พายุทอรนาโด จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 เพิ่มเติม 12. ครูใหนักเรียนใชสมารตโฟนสืบคนตัวอยาง สถานการณพายุทอรนาโดที่เคยเกิดขึ้นตาม ระดับความรุนแรง จากนั้นครูสนทนารวมกัน กับนักเรียนเพื่อใหเกิดความรูความเขาใจที่ ถูกตองตรงกัน เพราะเหตุใดพายุทอรนาโดสวนใหญจึงเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา (แนวตอบ เนื่องจากสหรัฐอเมริกามีพื้นที่ราบขนาดใหญจึงเอื้อ ตอการปะทะของลมรอนและลมเย็นในบริเวณที่ราบ ทําใหพายุที่ กอตัวสวนมากมีขนาดใหญและเกิดไดบอยครั้ง โดยพายุทอรนาโด ในสหรัฐอเมริกาเกิดจากลมหนาวที่พัดมาจากทิศตะวันตกเฉียงใต ของประเทศแคนาดาพัดพาเอาความหนาวและความแหงแลงลงมา ประกอบกับลมรอนจากอาวเม็กซิโกที่พัดมาจากดานใตของทวีป ซึ่งลมทั้งสองนี้มักปะทะกันที่บริเวณตอนกลางของสหรัฐอเมริกา) นํา สอน สรุป ประเมิน T202
ขอสอบเนน การคิด 0 ํ 0 ํ 20 ํN 20 ํN 20 ํS 20 ํS 40 ํN 40 ํN 40 ํS 40 ํS 60 ํN 60 ํN 60 ํS 60 ํS 80 ํN 80 ํN 160 ํW 120 ํW 80 ํW 40 ํW 40 ํE 0 ํ 80 ํE 120 ํE 160 ํE 160 ํW 120 ํW 80 ํW 40 ํW 40 ํE 0 ํ 80 ํE 120 ํE 160 ํE 80 ํS 80 ํS สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก อารเจนตินา อุรุกวัย แอฟริกาใต ทวีปยุโรป รัสเซีย อินเดียเนปาลจีน ญี่ปุน ฟลิปปนส เกาหลีใต ออสเตรเลีย แคนาดา N 0 2,000 4,000 กม. 1 : 250,000,000 พื้นที่เสี่ยงภัยพายุทอรนาโด พื้นที่ที่มีโอกาสเกิดพายุทอรนาโด 3) การกระจายการเกิดพายุทอร์นาโดของโลก จากแผนที่ บริเวณที่เสี่ยงต่อการเกิดพายุทอร์นาโดเป็นพื้นที่ราบขนาดใหญ่ และ เกิดในเขตละติจูดสูง เนื่องจากการปะทะกันของมวลอากาศร้อนจากเขตร้อนกับมวลอากาศเย็นจาก ขั้วโลก ซึ่งเกิดได้มากในทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปยุโรป และตอนใต้ของประเทศออสเตรเลีย ส่วนพื้นที่ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า เช่น ทวีปอเมริกาใต้ ทวีปแอฟริกาตอนใต้ เนื่องจากในพื้นที่ดังกล่าวมีพื้นที่ราบขนาดเล็กและมีเทือกเขาสูงปิดกั้นทิศทางการพัดของลม ท�าให้การเคลื่อนต�่าของลมพายุเกิดขึ้นในระยะสั้น ๆ เท่านั้น ส�าหรับประเทศไทยยังไม่เคยเกิดพายุทอร์นาโดที่รุนแรง นอกจากเป็นพายุขนาดเล็ก ที่มีลักษณะแบบเดียวกับพายุทอร์นาโดผืนน�้าและพายุทอร์นาโดแผ่นดิน 4) ภัยต่าง ๆ ที่เกิดจากพายุทอร์นาโดรุนแรง เช่น 1. ความเสียหายขึ้นกับความรุนแรงของพายุ ตั้งแต่เสียหายน้อย เช่น กิ่งไม้หัก ป้ายต่าง ๆ เสียหาย ไปจนถึงเสียหายมากที่สุด เช่น อาคารบ้านเรือนถูกพายุฉีกจนหลุดเป็นชิ้น ๆ ของชิ้นใหญ่และหนักถูกพายุพัดไปไกลกว่า 100 เมตร ต้นไม้ ใหญ่หักโค่น ผู้คนและสัตว์บาดเจ็บ ล้มตาย 2. เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างหนัก ภาครัฐต้องเสียเงินจ�านวนมาก ในการท�าความสะอาด ฟื้นฟู ซ่อมแซม ประชาชนสูญเสียรายได้ กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ต้องหยุดชะงัก แผนที่แสดงแหล่งเกิดพายุทอร์นาโดของโลก ที่มา : www.vstornadoes.com 195 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 13. ครูใหนักเรียนแตละกลุมนําขอมูลที่ไดจาก การศึกษาทั้ง 3 ประเด็น อันไดแก พายุฝนฟา คะนอง พายุหมุนเขตรอน และพายุทอรนาโด มาวิเคราะหเชื่อมโยงความสัมพันธระหวาง ลักษณะทางกายภาพกับภัยพิบัติธรรมชาติ ทางบรรยากาศภาค ตลอดจนผลกระทบและ แนวทางการจัดการภัยพิบัติธรรมชาติทาง บรรยากาศภาคดังกลาว แลวอภิปรายรวมกัน ภายในชั้นเรียน 14. ครูใหนักเรียนนําขอมูลที่ไดจากการอภิปราย มาทําการวิเคราะหรวมกันเพื่ออธิบายคําตอบ ทวีปแอฟริกาตอนใตมีโอกาสเกิดพายุทอรนาโดไดหรือไม เพราะเหตุใด (แนวตอบ มีโอกาสเกิดขึ้นได แตความรุนแรงนอยกวาทวีป อเมริกาเหนือ เนื่องจากในพื้นที่ดังกลาวมีพื้นที่ราบขนาดเล็ก และมีเทือกเขาสูงปดกั้นทิศทางการพัดของลม ทําใหการเคลื่อนตํ่า ของลมพายุเกิดขึ้นในระยะสั้นๆ) เกร็ดแนะครู ครูควรนําแผนที่แสดงแหลงเกิดพายุทอรนาโดในโลกมาใหนักเรียนดู แลว ตั้งคําถาม จากนั้นใหนักเรียนชวยกันวิเคราะหจากแผนที่นั้นถึงบริเวณที่เสี่ยงตอ การเกิดพายุทอรนาโดที่มีระดับความรุนแรงมากถึงระดับนอยวา ตองมีลักษณะ พื้นที่อยางไร และเพราะเหตุใดประเทศไทยจึงไมเปนบริเวณที่เสี่ยงตอการเกิด พายุทอรนาโด นํา สอน สรุป ประเมิน T203
ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET 5) เหตุการณ์พายุทอร์นาโดที่รุนแรง ครั้งส�าคัญ เช่น ความเสียหายของรัฐโอคลาโฮมาภายหลังพายุสงบ สาเหตุ : พายุทอร์นาโดระดับความแรง EF5 พัดเข้ารัฐโอคลาโฮมาทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา ด้วยความเร็วลมกว ่า 322 กิโลเมตรต ่อชั่วโมง เป็นระยะเวลานาน 50 นาที ผลกระทบ :ส่งผลให้บ้านเรือนพังเสียหายประมาณ 13,000 หลังคาเรือน ประชาชนได้รับผลกระทบ ประมาณ 33,000 คน มีผู้เสียชีวิต 24 คน ผู้บาดเจ็บ 320 คน นอกจากนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติ สหรัฐได้ประกาศให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือ กับพายุลูกใหม่ที่ก�าลังจะเกิดตามมา มีการประเมิน ความเสียหายจากพายุในครั้งนี้เป็นมูลค ่ากว ่า 2,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ เหตุการณ์ พายุทอร์นาโดในสหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2556 ความเสียหายภายหลังพายุทอร์นาโดพัดถล่มรัฐมิสซูรี ในช่วงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2554 เหตุการณ์ พายุทอร์นาโดในสหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2554 สาเหตุ: ตั้งแต่วันที่ 26 - 29 เมษายน พ.ศ. 2554 สหรัฐอเมริกาต้องเผชิญกับพายุทอร์นาโดพัดเข้า ใน 6 รัฐ ได้แก ่ รัฐแอละแบมา อาร์คันซอ เคนทักกี มิสซิสซิปปี มิสซูรี และเทนเนสซี ศูนย์ พยากรณ์อากาศระบุว ่า พายุทอร์นาโดครั้งนี้มี ความรุนแรงอยู่ในระดับ EF4 มีความเร็วลม 318 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีรัศมีกว้าง 1,200 เมตร พายุที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากอากาศร้อนชื้นเคลื่อนตัว จากรัฐเทกซัส อาร์คันซอ และลุยเซียนา พัดขึ้นเหนือ ปะทะกับอากาศเย็น ผลกระทบ : ท�าให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 305 คน โดยรัฐแอละแบมาได้รับความเสียหายมากที่สุด มีผู้เสียชีวิตมากถึง 204 คน และบาดเจ็บกว่า 1,700 คน อาคารบ้านเรือนพังเสียหาย ส่งผลให้ผู้คน ไร้ที่อยู่อาศัยจ�านวนมาก และมีการสั่งปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ในพื้นที่ 3 แห่ง เพื่อความปลอดภัยของ ประชาชน 196 ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 1. นักเรียนรวมกันสรุปความรูเกี่ยวกับภัยพิบัติ ธรรมชาติทางบรรยากาศภาคเพิ่มเติม 2. ครูใหสมาชิกในแตละกลุมชวยกันสรุปสาระ สําคัญเพื่อตอบคําถามเชิงภูมิศาสตร 3. นักเรียนรวมกันทําใบงานที่ 5.2 เรื่อง ภัยพิบัติ ธรรมชาติทางบรรยากาศภาค และรวมกัน เฉลยคําตอบ 4. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกสมรรถนะฯ ภูมิศาสตร ม.4-6 เกี่ยวกับเรื่อง ภัยพิบัติธรรมชาติทาง บรรยากาศภาค โดยครูแนะนําเพิ่มเติม เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับพายุทอรนาโดในสหรัฐอเมริกาวา บริเวณที่เกิด พายุบอยที่สุด ไดแก รัฐตางๆ แถบลุมแมนํ้ามิสซิสซิปป มีรัฐอารคันซอ เทนเนสซี แอละแบมา เคนทักกี มิสซิสซิปป และมิสซูรี ในเดือนมิถุนายนอากาศรอนชื้น จากอาวเม็กซิโกพัดขึ้นไปทางเหนือ พบกับอากาศเย็นจากมหาสมุทรแปซิฟกที่ พัดผานเทือกเขาทําใหพายุทอรนาโดกอตัวขึ้น สภาพภูมิประเทศแบบใดเอื้อตอการกอใหเกิดพายุทอรนาโด ในสหรัฐอเมริกา 1. เทือกเขาสูง 2. เนินเขาเตี้ย 3. ที่ราบกวางใหญ 4. ที่ราบชายฝงทะเล 5. ที่ราบสูงระหวางหุบเขา ( วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. ที่ราบขนาดใหญ เนื่องจาก บริเวณนี้จะมีการปะทะกันของมวลอากาศรอนจากแนวศูนยสูตร และมวลอากาศเย็นจากขั้วโลก ทําใหเกิดการรวมตัวกลายเปน เกลียวของอากาศ) นํา สอน สรุป ประเมิน T204
ก่อนเกิดภัย ขณะเกิดภัย หลังเกิดภัย 1. ช ่วยเหลือท�าการปฐมพยาบาลเบื้องต้นแก ่ ผู้บาดเจ็บ แล้วน�าตัวส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว 2. ส�ารวจความเสียหายภายหลังพายุสงบลง โดย เก็บกวาดซากปรักหักพัง รวมถึงจัดการต้นไม้ ที่ล้มบริเวณใกล้เคียงเพื่อป้องกันการโค่นล้ม ภายหลัง หรือถ้าอาคารบ้านเรือนพังเสียหายมาก ก็ ให้อพยพไปยังสถานที่พักพิงที่ทางหน่วยงาน ราชการจัดไว้ให้ 3. ตรวจสอบสายไฟและเสาไฟ ถ้าเสียหายมาก ควรแจ้งเจ้าหน้าที่ และท�าเครื่องหมายบริเวณนั้น ให้เป็นพื้นที่อันตรายห้ามเข้าใกล้ 1. ติดตามข่าวสภาวะอากาศอยู่เสมอ 2. ตรวจตรา และซ่อมแซมประตู หน้าต่างให้ มั่นคงแข็งแรง ควรมีไม้แผ่นปิดทับกระจก ประตู หน้าต่าง 3. ท�าหลุมหลบภัยไว้ ในบ้าน หรือนอกบ้าน เตรียมสิ่งของเครื่องใช้ที่จ�าเป็นไว้ ให้พร้อม 1. ให้อพยพไปยังที่ก�าบังที่มั่นคงแข็งแรง เช่น หลุมหลบภัยใต้ดิน และให้หลบจนกว่าพายุจะยุติ รวมถึง ติดตามรับฟังข่าวสารทางวิทยุ 2. ปิดประตู หน้าต่าง อยู่ให้ห่างจากหน้าต่าง โดยเฉพาะหน้าต่างกระจกบานใหญ่ และหลบอยู่ ใต้ โต๊ะที่แข็งแรง ตู้เสื้อผ้า หรืออ่างอาบน�้า 3. ไม่เข้าไปหลบในโกดัง โรงรถ หรือสิ่งปลูกสร้างส�าเร็จรูปที่ไม่แข็งแรง 4. ปิดสวิตช์ ไฟฟ้า และงดใช้อุปกรณ์ ไฟฟ้า รวมถึงโทรศัพท์เคลื่อนที่ 5. หากขับรถยนต์บนเส้นทางใกล้กับจุดที่พายุทอร์นาโดก�าลังเคลื่อนผ่านให้รีบขับหนีอย่างรวดเร็วที่สุด 6) การจัดการภัยพิบัติพายุทอร์นาโด มีดังนี้ 6.1) มาตรการ เช่น มีแผนเตือนภัยในช่วงที่เกิดพายุทอร์นาโดเสมอ ประกาศ เตือนให้ประชาชนติดตามข่าวการเกิดพายุทอร์นาโดและแนวทางการเคลื่อนที่ของพายุโดยตลอด พร้อมทั้งมีแผนการอพยพและซักซ้อมการหลบภัยเสมอ 6.2) วิธีป้องกัน เช่น ในพื้นที่เสี่ยงภัย ควรมีการสร้างที่หลบภัยไว้ ในบ้าน หรือ จัดสถานที่ปลอดภัยรวม หรือเสริมสร้างอาคารบ้านเรือนให้มั่นคงแข็งแรง 6.3) การปฏิบัติตน ท�าได้ ดังนี้ Question เพราะเหตุใดพายุทอร์นาโดจึงมักเกิดที่สหรัฐอเมริกาบ่อยครั้ง และมีบริเวณใดอีกบ้างที่เกิดพายุ ทอร์นาโด หากนักเรียนอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยจากพายุทอร์นาโด จะมีวิธีเอาตัวรอดอย่างไร Geo 197 ขั้นสรุป ครูและนักเรียนรวมกันสรุปความรูเกี่ยวกับ ภัยพิบัติธรรมชาติทางบรรยากาศภาค ไดแก พายุ ฝนฟาคะนอง พายุหมุนเขตรอน พายุทอรนาโด ทั้งในดานของสาเหตุและกระบวนการเกิด ประเภท การกระจายการเกิดภัยตางๆ ตัวอยางเหตุการณ ที่เคยเกิดขึ้น การจัดการภัยพิบัติธรรมชาติทาง บรรยากาศภาค ตลอดจนความสําคัญที่มีอิทธิพล ตอการดําเนินชีวิตของผูคนในปจจุบัน หรืออาจใช PPT สรุปสาระสําคัญของเนื้อหา ขั้นประเมิน 1. ครูประเมินผลโดยสังเกตจากการตอบคําถาม การรวมกันทํางาน และการนําเสนอผลงาน หนาชั้นเรียน 2. ครูตรวจสอบผลจากการทําใบงาน และแบบฝก สมรรถนะฯ ภูมิศาสตร ม.4-6 แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถวัดและประเมินความเขาใจเนื้อหา เรื่อง ภัยพิบัติธรรมชาติทาง บรรยากาศภาค ไดจากการใชเครื่องมือทางภูมิศาสตรในการสืบคนและนําเสนอ ผลงานหนาชั้นเรียน โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมิน การนําเสนอผลงานที่แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรูหนวยที่ 5 เรื่อง ภัยพิบัติ ทางธรรมชาติ แบบประเมินการน าเสนอผลงาน ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินผลการน าเสนอผลงานของนักเรียนตามรายการ แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/................./................ เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 12 - 15 ดี 8 - 11 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง ล าดับที่ รายการประเมินระดับคะแนน 3 2 1 1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 การล าดับขั้นตอนของเรื่อง 3 วิธีการน าเสนอผลงานอย่างสร้างสรรค์ 4 การใช้เทคโนโลยีในการน าเสนอ 5 การมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม รวม ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET เพราะเหตุใดเมื่อพายุสงบแลวจึงไมควรออกเดินทางทันที 1. เพราะจะเกิดฟาแลบ ฟารอง และฟาผาตามมาเสมอ 2. รอหนวยงานที่เกี่ยวของเขามาชวยเหลือผูประสบภัย 3. ตองเผื่อเวลาวางแผนการเดินทางเพื่อความปลอดภัย 4. มักมีลมแรงและฝนตกหนักอีกเมื่อศูนยกลางพายุพัดผาน 5. รอระดับนํ้าลดลงและความเร็วลมคงที่เพื่อใหสามารถเดินทาง ไดอยางปลอดภัย ( วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. เพราะการเกิดฝนตกหนักและแรง ลมในครั้งแรกเปนกระแสอากาศที่รุนแรงโดยรอบศูนยกลางของ พายุ เมื่ออากาศสงบลงแสดงวาเปนบริเวณของศูนยกลางของพายุ ซึ่งมีสภาพอากาศคอนขางปกติ จึงคลายกับพายุพัดผานไปแลว อยางไรก็ตาม เมื่อพายุเคลื่อนตัวกระแสอากาศที่รุนแรงโดยรอบ ศูนยกลางของพายุอีกดานจะกอใหเกิดลมแรงและฝนตกหนักอีกได) นํา สอน สรุป ประเมิน T205
ขอสอบเนนการคิด 3 ภัยพิบัติธรรมชาติทางอุทกภาค อุทกภัย (flood) 1) ค�าจ�ากัดความ อุทกภัยเป็นภัยที่เกิดจากน�้าในล�าน�้า แอ่งน�้า ทะเลสาบ ไหลล้น ตลิ่ง หรือน�้าท่วมฉับพลันในพื้นที่หนึ่งเป็นระยะเวลาสั้นหรือเป็นครั้งคราว เนื่องจากมีฝนตกหนัก หรือหิมะละลาย ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อพื้นที่เกษตร ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน 2) ประเภทของอุทกภัย แบ่งได้ ดังนี้ 2.1) น�้าท่วมฉับพลันหรือน�้าป่าไหลหลาก เกิดขึ้นเนื่องจากฝนตกหนักในบริเวณ ต้นน�้าที่มีความลาดชัน หรือในที่ลาดเชิงเขาที่มีเทือกเขาสูงชัน เมื่อฝนตกหนักบนภูเขา ดิน และ ต้นไม้ไม่สามารถดูดซับน�้าได้หมด ปริมาณน�้าจ�านวนมากจึงไหลอย่างรวดเร็วลงสู่พื้นที่ต�่ากว่า ความรุนแรงและความเร็วของกระแสน�้าท�าให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน 2.2) น�้าท่วมขัง เกิดขึ้นจากปริมาณน�้าสะสมจ�านวนมากที่ไหลบ่าในแนวระนาบ จากที่สูงไปยังที่ต�่าเข้าท่วมบ้านเรือน พื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหาย หรือเกิดน�้าท่วมขัง เนื่องจากฝนตกหนักต่อเนื่อง มวลน�้าไม่สามารถระบายออกได้ทัน หรือมีสิ่งกีดขวางทางน�้าไหล เช่น น�้าท่วมขังในเขตเมือง หรือเกิดน�้าทะเลหนุนสูงในพื้นที่ใกล้ชายฝั่ง 2.3) น�้าล้นตลิ่ง เกิดจากปริมาณน�้าจ�านวนมากที่เกิดจากฝนตกหนักต่อเนื่อง ที่ไหลลงสู่ล�าน�้า หรือแม่น�้ามีปริมาณมากจนระบายสู่ลุ่มน�้าด้านล่าง หรือออกสู่ทะเลไม่ทัน ท�าให้ เกิดสภาวะน�้าล้นตลิ่ง อุทกภัยจากเขื่อนเซเปียน - เซน�้าน้อยแตกในประเทศลาว เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2561 เนื่องจากเขื่อนทรุดและมีฝนตก หนักต่อเนื่อง 198 เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับนํ้าไหลบาวาเปนนํ้าจากฝนที่ตกลงมาหรือ การชลประทาน และไมไดคงอยูในพื้นที่นั้นแตไหลออกไปที่อื่น มีทั้งสวนที่ไหล ออกไปบนพื้นผิวดิน เรียกวา นํ้าไหลบาผิวดิน และสวนที่ไหลซึมออกไปใตดิน เรียกวา นํ้าไหลผานใตดิน ในกรณีนํ้าไหลบาผิวดินหากไหลไปเปนแมนํ้าลําคลอง เรียกอีกอยางหนึ่งวา นํ้าทา ลักษณะภูมิประเทศที่เสี่ยงตอการเกิดอุทกภัยเปนอยางไร (แนวตอบ ลักษณะภูมิประเทศที่เสี่ยงตอการเกิดอุทกภัย เชน บริเวณที่ราบเนินเขา มักเกิดอุทกภัยแบบฉับพลัน นํ้าไหลบาอยาง รวดเร็วและมีพลังทําลายสูง ลักษณะเชนนี้ เรียกวา “นํ้าปา” เกิด ขึ้นเพราะมีนํ้าหลากจากภูเขา พื้นที่ราบลุมริมแมนํ้าและชายฝง เปนภัยที่เกิดขึ้นชาๆ จากนํ้าลนตลิ่ง เมื่อเกิดขึ้นจะกินพื้นที่เปน บริเวณกวางและทวมเปนเวลานาน บริเวณปากแมนํ้า เปนอุทกภัย ที่เกิดจากนํ้าไหลมาจากที่สูงกวาและอาจมีนํ้าทะเลหนุน) ขั้นนํา (Geographic Inquiry Process) 1. ครูแจงใหนักเรียนทราบถึงชื่อเรื่อง จุดประสงค และผลการเรียนรู 2. ครูใหนักเรียนดูภาพ หรือคลิปวิดีโอที่ เกี่ยวของกับภัยพิบัติธรรมชาติทางอุทกภาค ในประเทศไทยและประเทศตางๆ ทั่วโลก 3. ครูสอบถามนักเรียนเกี่ยวกับสาเหตุ ความ รุนแรง และผลกระทบของภัยพิบัติธรรมชาติ ทางอุทกภาคจากการดูภาพ หรือคลิปวิดีโอ เพิ่มเติม นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T206
0 ํ 0 ํ 20 ํN 20 ํN 20 ํS 20 ํS 40 ํN 40 ํN 40 ํS 40 ํS 60 ํN 60 ํN 60 ํS 60 ํS 80 ํN 80 ํN 160 ํW 120 ํW 80 ํW 40 ํW 40 ํE 0 ํ 80 ํE 120 ํE 160 ํE 160 ํW 120 ํW 80 ํW 40 ํW 40 ํE 0 ํ 80 ํE 120 ํE 160 ํE 80 ํS 80 ํS N 0 2,000 4,000 กม. 1 : 250,000,000 พื้นที่ประสบอุทกภัยบอย บอยมาก บอยที่สุด 3) สาเหตุการเกิดอุทกภัย มีทั้งสาเหตุจากธรรมชาติและจากมนุษย์ ดังนี้ 3.1) สาเหตุจากธรรมชาติ ที่ส�าคัญ ได้แก่ 1. ฝนตกหนักจากพายุฝนฟ้าคะนอง เป็นพายุที่เกิดติดต่อกันหลายชั่วโมง มีปริมาณฝนตกหนัก ท�าให้เกิดน�้าท่วมในพื้นที่ต�่า มักเกิดในช่วงต้นฤดูฝนหรือฤดูร้อน 2. ฝนตกหนักจากพายุหมุนเขตร้อน เมื่อพายุเคลื่อนขึ้นฝั่งจะเกิดน�้าท่วม เป็นบริเวณกว้าง รวมถึงท�าให้เกิดคลื่นพายุซัดฝั่ง 3. อิทธิพลจากลมมรสุม เป็นการหมุนเวียนของลมที่พัดมาตามฤดู พัดเอา ความชื้นจากมหาสมุทรขึ้นสู่ชายฝั่ง 4. น�้าทะเลหนุน เมื่อน�้าที่ไหลลงมาตามแม่น�้ามีปริมาณมาก หรือช่วงเวลา ที่ระดับน�้าทะเลหนุนสูงเกินกว่าปกติ ท�าให้น�้าไม่อาจไหลลงสู่ทะเล ท�าให้เกิดน�้าล้นตลิ่งหรือน�้าท่วมได้ 3.2) สาเหตุจากมนุษย์ ที่ส�าคัญ ได้แก่ 1. การตัดไม้ท�าลายป่า เมื่อฝนตกหนักจะท�าให้น�้าไหลเร็วและแรงจน ก่อให้เกิดน�้าท่วมฉับพลัน หรือน�้าท่วมเฉพาะพื้นที่ และเป็นสาเหตุของดินถล่มด้วย 2. การขยายเขตเมืองรุกล�้าพื้นที่ลุ่มต�่า ท�าให้ไม่มีพื้นที่รับน�้า 3. การสร้างสิ่งก่อสร้างกีดขวางทางน�้าและมีระบบการระบายน�้าไม่เพียงพอ ท�าให้น�้าระบายได้ช้า เอ่อล้น และเกิดปัญหาน�้าท่วม 4. การจัดการน�้าที่ขาดประสิทธิภาพ โดยเฉพาะพื้นที่ท้ายเขื่อนหรืออ่างเก็บน�้า 4) การกระจายการเกิดอุทกภัยของโลก แผนที่แสดงพื้นที่เสี่ยงการเกิดอุทกภัยของโลก ที่มา : www.wri.org 199 3. อิทธิพลจากลมมรสุม เป็นการหมุนเวียนของลมที่พัดมาตามฤดู พัดเอา 1 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร 1. ครูใหนักเรียนดูแผนที่แสดงพื้นที่เสี่ยงการเกิด อุทกภัยของโลก จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 แลวรวมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ แผนที่ดังกลาว 2. ครูสุมนักเรียนใหแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ สาเหตุการเกิดอุทกภัยในความคิดของนักเรียน พรอมทั้งจดประเด็นที่นําเสนอไวเพื่อการ วิเคราะหเพิ่มเติม นักเรียนควรรู 1 ลมมรสุม คือ ลมประจําฤดู เกิดขึ้นเนื่องจากความแตกตางระหวาง อุณหภูมิของพื้นดินและพื้นนํ้าในฤดูหนาวและฤดูรอน ในฤดูหนาวอุณหภูมิของ อากาศเหนือพื้นทวีปเย็นกวาอากาศเหนือพื้นมหาสมุทรที่อยูใกลเคียง อากาศ เหนือพื้นนํ้าจึงมีอุณหภูมิสูงกวาและลอยตัวขึ้นสูเบื้องบน อากาศเหนือพื้นทวีป ซึ่งเย็นกวาจึงไหลเขาไปแทนที่ ทําใหเกิดลมพัดออกจากทวีป พอถึงฤดูรอน อุณหภูมิของดินภาคพื้นทวีปสูงกวานํ้าในมหาสมุทร เปนเหตุใหเกิดลมพัดไป ในทิศทางตรงกันขาม ประเทศไทยอยูในเขตอิทธิพลของลมมรสุม 2 ฤดู คือ มรสุมตะวันตกเฉียงใต และมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งพัดประมาณ ฤดูกาลละ 6 เดือน นักเรียนสืบคนขาวหรือบทความเกี่ยวกับอุทกภัยที่เคยเกิดขึ้น ในประเทศไทย หรือตางประเทศที่นักเรียนสนใจ พรอมติดภาพ ประกอบ แลวตอบตามประเด็นที่กําหนด ดังนี้ • พื้นที่ที่ประสบอุทกภัย • สภาพโดยทั่วไปของพื้นที่ดังกลาว • สาเหตุและผลกระทบจากอุทกภัย • แนวทางการปองกันภัยของชุมชน นํา สอน สรุป ประเมิน T207
98 ํE 100 ํE 102 ํE 104 ํE 106 ํE16 ํN 98 ํE 100 ํE 102 ํE 104 ํE 20 ํN 18 ํN 14 ํN 12 ํN 10 ํN 8 ํN 6 ํN 20 ํN 18 ํN 16 ํN 14 ํN 12 ํN 10 ํN 8 ํN 6 ํN แผนที่แสดงพื้นที่อุทกภัย พ.ศ. 2554 มาตราสวน 1 : 14,000,000 พื้นที่ประสบอุทกภัย พื้นที่อุทกภัย แหลงน้ำ 0 50 100 150 กม. N ขอมูล : สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ และภูมิสารสนเทศ - GISTDA จากแผนที่ อุทกภัยมักเกิดขึ้นในพื้นที่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น�้าและที่ราบใกล้ชายฝั่ง ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดอุทกภัยมากที่สุด แต่ในพื้นที่อื่น ๆ ก็มีโอกาสเกิดอุทกภัยได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพื้นที่ดังกล่าวฝนตกหนักต่อเนื่องเป็นเวลานาน ประเทศบังกลาเทศมีแนวโน้ม ที่มีความเสี่ยงต่อการถูกน�้าท่วมมากที่สุดในโลก เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศเป็นที่ราบลุ่ม แม่น�้า ทั้งยังตั้งอยู่ระหว่างเชิงเขาหิมาลัยและมหาสมุทรอินเดีย และเผชิญกับฤดูมรสุมที่ยาวนาน เป็นสาเหตุส�าคัญของการเกิดฝนตกหนัก นอกจากนี้ บริเวณพื้นที่ชายฝั่งด้านตะวันออกทั้งหมดของภาคพื้นทวีปจะเสี่ยงต่อการ เกิดอุทกภัยมากกว ่าพื้นที่ชายฝั ่งด้านตะวันตก เพราะพายุหมุนเขตร้อนทั้งหมดจะเคลื่อนตัว ในมหาสมุทรจากทางตะวันออกไปทางตะวันตก ท�าให้พื้นที่ฝั่งตะวันออกได้รับแรงปะทะมากกว่า บริเวณเชิงเขาของเทือกเขาใหญ่ทุกแห่งเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดอุทกภัยเช่นกัน ประเทศไทยมีพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยเกือบ ทั่วประเทศ ระดับความรุนแรงและความเสียหาย แตกต่างกันไปตามสภาพทางภูมิศาสตร์ เช่น ภาคเหนือตอนบนมีสภาพภูมิประเทศเป็นภูเขา สูงสลับที่ราบ ท�าให้ประสบภัยน�้าท่วมฉับพลัน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลางเป็นที่ราบลุ่ม อุทกภัยจะเกิดจากน�้าท ่วมขังและน�้าล้นตลิ่ง ภาคกลางพื้นที่ส ่วนใหญ ่เป็นที่ราบลุ ่มแม ่น�้า อุทกภัยที่เกิดขึ้นเกิดจากน�้าท่วมขัง น�้าเหนือ ไหลบ่า น�้าทะเลหนุน ส่วนภาคใต้มีทะเลขนาบ ทั้งสองฝั่ง ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมและพายุ หมุนเขตร้อน ทั้งยังมีภูเขาสูงวางตัวแนวเหนือ - ใต้ ท�าให้ภาคใต้ประสบอุทกภัยจากฝนตกหนัก น�้าทะเลหนุนสูง และน�้าท ่วมฉับพลันจากฝน ที่ตกบริเวณที่ลาดเชิงเขาและที่ลุ่มชายฝั่ง แผนที่แสดงพื้นที่ประสบอุทกภัยในประเทศไทย พ.ศ. 2554 200 ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร 3. ครูใหนักเรียนดูแผนที่แสดงพื้นที่ประสบ อุทกภัยในประเทศไทย พ.ศ. 2554 จากหนังสือ เรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 แลวรวมกันอภิปราย แสดงความคิดเห็นเชื่อมโยงกับแผนที่แสดง พื้นที่เสี่ยงการเกิดอุทกภัยของโลก ถึงความ เกี่ยวของสัมพันธกันในประเด็นตางๆ 4. ครูกระตุนใหนักเรียนชวยกันตั้งประเด็นคําถาม เชิงภูมิศาสตร เชน • ลักษณะทางกายภาพสงผลใหเกิดปญหา หรือภัยพิบัติธรรมชาติทางอุทกภาคใน ประเทศไทยและภูมิภาคตางๆ ของโลก อยางไรบาง • ภัยพิบัติธรรมชาติทางอุทกภาคที่เกิดขึ้น ในภูมิภาคตางๆ ของโลก มีความเหมือน หรือความแตกตางกัน อยางไร • ผลกระทบสําคัญจากภัยพิบัติธรรมชาติ ทางอุทกภาคคืออะไร • แนวทางหรือวิธีการปองกันภัยพิบัติ ธรรมชาติทางอุทกภาคสามารถทําได อยางไร เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณการเกิดอุทกภัยในประเทศไทยวา ปจจุบันการเกิดอุทกภัยของประเทศไทยมีแนวโนมรุนแรงมากขึ้น อยางไรก็ตาม มีการเก็บขอมูลพื้นที่ซึ่งมักประสบอุทกภัย โดยเรียกวา พื้นที่นํ้าทวมซํ้าซาก ซึ่งหมายถึง พื้นที่ที่มีการทวมขังของนํ้าบนผิวดินสูงและยาวนานกวาปกติอยู เปนประจํา จนสรางความเสียหายตอทรัพยสินและชีวิตของประชาชน โดยพื้นที่ ประสบภัยนํ้าทวมซํ้าซากรุนแรง คือ มีนํ้าทวม 8-10 ครั้งในรอบ 10 ป ไดแก ที่ราบลุมนํ้าในจังหวัดสุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร และนครสวรรค รวมถึงบางจังหวัด ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คิดเปนเนื้อที่ประมาณ 870,000 ไร กิจกรรม เสริมสรางคุณลักษณะอันพึงประสงค นักเรียนรวมกันทํากิจกรรมในหัวขอ “การคาดการณ” โดย ใหนักเรียนแบงกลุมวิเคราะหและคาดการณปริมาณพื้นที่ประสบ อุทกภัยในประเทศไทยในอีก 20 ปขางหนา บันทึกขอมูลลงบนแผนที่ โครงรางประเทศไทย พรอมทั้งอธิบายถึงเหตุผล ผลกระทบ และ การจัดการกับอุทกภัยของประชากรในพื้นที่ นําเสนอและอภิปราย รวมกันในชั้นเรียน นํา สอน สรุป ประเมิน T208
กิจกรรม ทาทาย 5) ภัยต่าง ๆ ที่เกิดจากอุทกภัยรุนแรง มีดังนี้ 1. น�้าป่าไหลหลาก ท�าให้บ้านเรือน สิ่งปลูกสร้างถูกน�้าท�าลาย รวมทั้งเกิดการ สูญเสียชีวิตและผู้คนได้รับบาดเจ็บ 2. เกิดแผ ่นดินถล ่ม ในพื้นที่ที่มีความลาดชันมาก เมื่อฝนตกหนักดินที่มี ความชื้นสูงจะเลื่อนไหลไปตามความลาดชันต้นไม้เศษหินจะเลื่อนตามไปด้วย หมู่บ้านสิ่งก่อสร้าง ต่าง ๆ และพื้นที่ทางการเกษตรได้รับความเสียหาย 3. ภัยจากไฟฟ้าดูดหรือไฟฟ้ารั่ว ภัยจากไฟฟ้าดูดในช่วงน�้าท่วมเป็นอันตราย ใกล้ตัว มักเกิดขึ้นในที่พักอาศัยของประชาชน โดยเฉพาะอาคารชั้นเดียวมีความเสี่ยงน�้าท่วม ปลั๊กไฟได้ง่าย ท�าให้ไฟฟ้ารั่วไหลเป็นอันตรายต่อชีวิต 4. ภัยจากสัตว์ร้าย เมื่อเกิดภาวะน�้าท่วม สัตว์จะหนีน�้าเข้ามาอยู ่อาศัยตาม บ้านเรือน รวมถึงสัตว์มีพิษที่เป็นอันตรายต่อชีวิตมนุษย์ เช่น จระเข้ งู ตะขาบ แมงป่อง 5. มลพิษทางน�้า จากน�้าเน่าเสียที่เกิดจากการขังของน�้าในบ้านเรือนหรือชุมชน เป็นเวลานาน อาจท�าให้เกิดการระบาดของโรคที่มากับน�้า เช่น น�้ากัดเท้า อหิวาตกโรค 6. ความเสียหายทางเศรษฐกิจ เนื่องจากระหว่างเกิดอุทกภัย ระบบการสื่อสาร และสาธารณูปโภคต่าง ๆ ได้รับความเสียหาย เส้นทางคมนาคมถูกตัดขาด อาคารบ้านเรือนและ สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ถูกน�้าพัดท�าลาย อุทกภัยนอกจากจะสร้างความเสียหายให้แก่อาคารบ้านเรือนและเรือกสวนไร่นาแล้ว ยังส่งผลให้เกิดมลพิษทางน�้า และอาจก่อให้เกิดการกัดเซาะพังทลายของดินตามมา 201 กิจกรรม สรางเสริม ขั้นสอน ขั้นที่ 2 การรวบรวมขอมูล 1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม สืบคนขอมูลเกี่ยวกับ ตัวอยางเหตุการณภัยพิบัติธรรมชาติทาง อุทกภาค จากแหลงการเรียนรูอื่นๆ เชน หนังสือในหองสมุด เว็บไซตในอินเทอรเน็ต ในประเด็นตอไปนี้ • ประเภทของอุทกภัย • สาเหตุการเกิดอุทกภัย • ภัยที่เกิดจากอุทกภัย • การจัดการภัยพิบัติอุทกภัย 2. นักเรียนแตละกลุมรวมกันศึกษาขอมูลในหัวขอ ที่รับผิดชอบ โดยนําความรูเกี่ยวกับเครื่องมือ ทางภูมิศาสตรมาใชประกอบในการศึกษา 3. ครูแนะนําแหลงขอมูลสารสนเทศที่เชื่อถือได ใหกับนักเรียนแตละกลุมเพิ่มเติม เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปองกันตนเองจากสัตวรายที่มากับภาวะ นํ้าทวม เชน จระเข ใหระมัดระวังเมื่ออยูในบริเวณที่มีกอหญาหรือพงไมเปน จํานวนมาก เพราะจระเขจะใชเปนที่กําบังตัว หากจําเปนตองลงนํ้าใหใชไมตี นํ้าหรือทําใหเกิดเสียงดังกอน แตถาเลี่ยงไดก็ควรเลี่ยงและไมประมาท งู จะ หนีนํ้าเขามาอาศัยตามซอกตางๆ ของบานเรือน ซึ่งอาจมีทั้งงูพิษและไมมีพิษ เมื่อนํ้าลดควรหลีกเลี่ยงการเขาไปในที่รก หรือไมโยกยายสิ่งของในที่มืดทึบ เพราะงูอาจเขาไปหลบอาศัยอยู ขั้นที่ 3 การจัดการขอมูล 1. สมาชิกแตละคนในกลุมนําขอมูลที่ตนไดจาก การรวบรวมมาอธิบายแลกเปลี่ยนความรูกัน 2. จากนั้นสมาชิกในกลุมชวยกันคัดเลือกขอมูล ที่นําเสนอเพื่อใหไดขอมูลที่ถูกตอง และรวม อภิปรายแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม ครูอาจใหนักเรียนจัดทําตารางหรือผังกราฟกที่แสดง รายละเอียดเกี่ยวกับภัยจากอุทกภัย และตัวอยางสถานการณการ เกิดอุทกภัยในประเทศไทยหรือในภูมิภาคอื่นของโลก โดยศึกษา คนควาขอมูลเพิ่มเติมจากแหลงการเรียนรูที่ครูเสนอแนะ แลว ตกแตงใหสวยงามสงครูผูสอน ครูอาจใหนักเรียนจัดทําตารางหรือผังกราฟกที่แสดงราย ละเอียดเกี่ยวกับผลกระทบของอุทกภัย รวมถึงการระวังภัยจาก อุทกภัย แลวตกแตงใหสวยงามสงครูผูสอน นํา สอน สรุป ประเมิน T209
ขอสอบเนนการคิด 6) เหตุการณ์อุทกภัยที่รุนแรง ครั้งส�าคัญ เช่น สาเหตุ : เนื่องจากเกิดฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ ทางภาคตะวันตกของประเทศญี่ปุ่น ท�าให้แม่น�้า หลายสายเอ่อล้นตลิ่ง ส่งผลให้เกิดน�้าท่วมฉับพลัน และดินโคลนถล่มในหลายพื้นที่ ผลกระทบ : ท�าให้มีผู้เสียชีวิตจ�านวน 217 คน (ข้อมูลวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2561) ในจ�านวนนี้ เป็นผู้มีอายุมากกว ่า 60 ปีขึ้นไปถึง 118 คน เนื่องจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบส ่วนใหญ ่เป็น ที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุ ท�าให้ไม่สามารถอพยพ น�้าท่วมจังหวัดโอะกะยะมะ ทางตะวันตกของประเทศ ญี่ปุ่น หนีน�้าขึ้นที่สูงได้ทัน ประชาชนกว่า 2 ล้านคนต้องอพยพออกจากพื้นที่ อาคารบ้านเรือนถูกท�าลายและ ได้รับความเสียหายกว่า 100 หลังคาเรือน นับเป็นอุทกภัยที่รุนแรงที่สุดในรอบ 36 ปี เหตุการณ์ อุทกภัยในประเทศญี่ปุ่น พ.ศ. 2561 เหตุการณ์มหาอุทกภัยในประเทศไทย พ.ศ. 2554 สาเหตุ : 1. อิทธิพลจากพายุ 5 ลูก ได้แก่ พายุเนสาด พายุ ไหหม่า พายุนกเตน พายุนาลแก และพายุไห่ถาง 2. ปรากฏการณ์ลานีญา ที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรก ของ พ.ศ. 2554 ส ่งผลให้ฝนมาเร็วกว ่าปกติ ตั้งแต่เดือนมีนาคม 3. ปริมาณฝนในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน มากกว่าร้อยละ 70 ของปริมาณฝนสะสมรายปี 4. ร่องความกดอากาศต�่าเคลื่อนขึ้นลงที่ไม่ปกติ ผลกระทบ : ท�าให้มีผู้เสียชีวิต 813 คน สูญหาย 3 คน ในพื้นที่ 65 จังหวัด ประชาชนได้รับความ เดือดร้อน 4,086,138 ครัวเรือน จ�านวน 13,595,192 คน บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 2,329 หลัง เสียหายบางส่วน 96,833 หลัง พื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหาย 11.2 ล้านไร่ นิคมอุตสาหกรรม 7 แห่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและปทุมธานี ได้รับความเสียหาย ประเมินความเสียหายทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.44 ล้านล้านบาท เหตุการณ์ มหาอุทกภัยในประเทศไทย พ.ศ. 2554 202 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 1. ครูใหนักเรียนแตละกลุมนําเสนอขอมูลจากการ ศึกษา พรอมทั้งอภิปรายแสดงความคิดเห็น รวมกัน 2. ครูใหนักเรียนรวมกันยกตัวอยางเหตุการณ การเกิดอุทกภัยครั้งรุนแรงในประเทศไทย จากแหลงการเรียนรูอื่นๆ เชน เว็บไซตใน อินเทอรเน็ตเพิ่มเติม 3. ครูนําโครงการในพระราชดําริในรัชกาลที่ 9 เชน โครงการแกมลิง ที่เกี่ยวของกับการแก ปญหาอุทกภัยมาใหนักเรียนรวมกันวิเคราะห และอภิปรายแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม 4. ครูตั้งคําถามเพื่อวิเคราะหความรู เชน • ลักษณะของการเกิดอุทกภัยในพื้นที่ตางๆ ของโลกเปนอยางไร (แนวตอบ การเกิดอุทกภัยในพื้นที่ตางๆ ของโลก รวมถึงประเทศไทยมีลักษณะแบบ ฉับพลันและมีความรุนแรงมากกวาในอดีต เนื่องจากฝนที่ตกตอเนื่องเปนเวลานาน จากพายุหมุนเขตรอนตางๆ) • แนวทางปองกันและบรรเทาอุทกภัยสามารถ ทําไดอยางไร จงยกตัวอยาง (แนวตอบ เชน การปลูกหญาแฝกริมตลิ่ง เพื่อปองกันการกัดเซาะของนํ้า การกําหนด พื้นที่ที่ไมไดใชประโยชนใหเปนแหลงกักเก็บ นํ้าหรือแกมลิง การขุดลอกคูคลองเพื่อให ระบายนํ้าไดอยางเต็มประสิทธิภาพ รวมถึง การไมตัดไมทําลายปา ซึ่งเปนพื้นที่ดูดซับ และชะลอการไหลของนํ้า) บูรณาการอาเซียน กลุมประเทศสมาชิกอาเซียนไดเล็งเห็นถึงปญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่เกิดขึ้น จึงรวมมือกันตั้งคณะกรรมการจัดการภัยพิบัติกับอาเซียนขึ้น โดยมี เปาหมายหลัก คือ รวมกันจัดทําโครงการจัดการภัยพิบัติในภูมิภาค เชน จาก เหตุการณมหาอุทกภัย พ.ศ. 2554 ทําใหประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต ไดรับผลกระทบมากถึง 6 ประเทศ และมีความรุนแรงมากที่สุดในรอบ 50 ปของประเทศไทย เหตุการณครั้งนี้ไดแสดงใหเห็นถึงความรวมมือและ การชวยเหลือซึ่งกันและกันของประเทศสมาชิกอาเซียน นอกจากนี้ อาเซียนยังมี บทบาทในการบรรเทาสถานการณ โดยสงทีมประเมินสถานการณเคลื่อนที่เร็ว ฉุกเฉินอาเซียนลงพื้นที่สถานการณภัยพิบัตินํ้าทวมในประเทศไทย ประกอบ ดวยสมาชิกจากประเทศบรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร ทํางาน รวมกับเจาหนาที่ฝายไทย สาเหตุและลักษณะการเกิดอุทกภัยในประเทศไทยเปนอยางไร (แนวตอบ อุทกภัยในประเทศไทยมีสาเหตุหลักมาจากการ ตัดไมทําลายปา โดยเฉพาะบริเวณปาตนนํ้าบนทิวเขาตางๆ สงผลให ขาดแหลงดูดซับและชะลอความแรงของนํ้าฝน อุทกภัยที่เกิดขึ้น มีลักษณะฉับพลัน หรือเรียกวา นํ้าปาไหลหลาก ประกอบกับ บริเวณที่ราบลุมแมนํ้ามีการกอสรางสิ่งกีดขวางลํานํ้า การระบายนํ้า จึงทําไดยาก สถานการณอุทกภัยในประเทศไทยโดยภาพรวม จึงรุนแรงยิ่งขึ้นทั้งในลุมแมนํ้าเจาพระยา แมนํ้าชี แมนํ้ามูล และแมนํ้าสายอื่นๆ) นํา สอน สรุป ประเมิน T210
7) การจัดการภัยพิบัติอุทกภัย มีดังนี้ 7.1) มาตรการ การจัดการภัยน�้าท่วมแบ่งเป็น 2 มาตรการ ได้แก่ 1. มาตรการใช้สิ่งก่อสร้าง เช่น การสร้างเขื่อนและพนังกั้นน�้า เพื่อจ�ากัด การไหลของน�้าขณะเกิดน�้าท่วม และป้องกันพื้นที่บางส่วนในลุ่มน�้าไม่ ให้เกิดความเสียหาย เขื่อน และพนังกั้นน�้าจะป้องกันพื้นที่เฉพาะบริเวณหลังคันกั้นน�้าและในระดับความสูงที่ได้ออกแบบไว้ เท่านั้น ข้อดีของการสร้างเขื่อนและพนังกั้นน�้า คือ สามารถเลือกพื้นที่ในการป้องกันได้โดยอาจ ป้องกันเฉพาะที่ เช่น การสร้างพนังกั้นบริเวณที่แม่น�้าไหลผ่านตัวเมือง หรือการสร้างเขื่อนในการ ควบคุมการไหลของน�้าในพื้นที่ขนาดใหญ่ การก่อสร้างดังกล่าวต้องค�านึงถึงความปลอดภัยเป็น ส�าคัญ การปรับปรุงสภาพล�าน�้า เช่น การปรับสภาพล�าน�้าให้มีลักษณะตรงและกว้าง การขุดลอก คูคลองและก�าจัดวัชพืช เพื่อช่วยลดระดับของน�้าหากเกิดน�้าท่วม สร้างเส้นทางน�้าอ้อมเมือง เช่น การสร้างอ่างเก็บน�้าที่มีลักษณะกว้างและตื้น ส�าหรับผันน�้ามาเก็บไว้เมื่อเกิดน�้าท่วมในเขตชุมชน เป็นการลดปริมาณการไหลของน�้าสายหลักและเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน�้า 2. มาตรการไม่ใช่สิ่งก่อสร้าง เช่น การปรับปรุงการใช้ที่ดิน เป็นการปรับ รูปแบบการใช้ที่ดินให้รองรับเหตุการณ์น�้าท่วมที่จะเกิดขึ้น การจัดการการใช้ที่ดินประกอบไปด้วย การควบคุมผังเมืองและการควบคุมสิ่งปลูกสร้าง การเวนคืนที่ดิน จะส ่งผลดีในระยะยาวกับ สภาพเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม การปรับปรุงพื้นที่เพื่อใช้เป็นแหล่งกักเก็บน�้า 7.2) วิธีป้องกัน ที่ส�าคัญ เช่น 1. การพยากรณ์และเตือนภัยน�้าท่วม เป็นการประมาณล�าดับขั้นตอนการ เกิดน�้าท่วม ปริมาณน�้า ช่วงเวลาการเกิดและไหลสูงสุด ส่วนการเตือนภัยน�้าท่วมเป็นการประกาศ เตือนภัยล่วงหน้า เพื่อให้มีเวลาในการเตรียมตัวรับมือน�้าท่วมได้แผนปฏิบัติหลังการเตือนภัย จะเกี่ยวข้องกับการวางแผนอพยพ การเตือนภัยที่ดีต้องมีระยะเวลาเพียงพอให้ประชาชนสามารถ รับมือได้ทัน และระบบเตือนภัยต้องมีความน่าเชื่อถือ 2. ให้ความรู้และข้อมูลแก่ประชาชนการให้ความรู้แก่ประชาชนเป็นสิ่งจ�าเป็น ข้อมูลต้องเข้าใจง่าย เข้าถึงง่าย รวดเร็ว และมีคุณภาพ ข้อมูลส�าคัญที่เกี่ยวข้องกับน�้าท่วม เช่น ข้อมูลน�้าท่วมทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ที่เคยเกิดในพื้นที่ ข้อมูลน�้าท่วมประจ�าปีและข้อมูล ทรัพยากรต่าง ๆ ในพื้นที่ลุ่มน�้าและภูมิภาคใกล้เคียงที่ส่งผลกระทบถึงกันได้จากข้อมูลดังกล่าว สามารถน�ามาจัดท�าเอกสารเผยแพร่ให้กับประชาชนได้เช่น การจัดท�าหนังสือคู่มือเตรียมรับ สถานการณ์น�้าท่วมแก่ประชาชน ซึ่งจะเป็นอีกวิธีการหนึ่งในการช่วยบรรเทาความเสียหายจาก น�้าท่วมได้ดี 3. ไม่บุกรุกท�าลายป่าไม้เพราะเมื่อไม่มีป่าไม้ท�าให้ขาดพื้นที่ดูดซับและ ชะลอการไหลของน�้า น�้าจึงไหลลงสู่แม่น�้าล�าห้วยได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งอนุรักษ์พื้นที่ต้นน�้า โดยการใช้ ดูแลรักษา และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติในบริเวณพื้นที่ต้นน�้าอย่างเหมาะสม 203 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 5. ครูใหนักเรียนรวมกันวิเคราะหแนวทางการ ปองกันและแกไขปญหาทรัพยากรนํ้าใน ประเทศไทย โดยอาจยกกรณีศึกษาการเกิด อุทกภัยในแตละครั้งของประเทศไทย แลว อธิบายใหนักเรียนเขาใจถึงปญหาทรัพยากรนํ้า ที่สงผลกระทบตอการดําเนินชีวิต การประกอบ อาชีพ รวมถึงสภาพเศรษฐกิจและสังคมของ ประเทศ แลวใหชวยกันสรุปผลการวิเคราะห แนวทางการปองกันและแกไขปญหาทรัพยากร นํ้าในประเทศไทยเปนตาราง หรือผังความคิด บนกระดานหนาชั้นเรียน ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ขอใดคือแนวทางการปองกันนํ้าปาไหลหลากอยางยั่งยืน 1. การอนุรักษปาตนนํ้า 2. การสรางเขื่อนขาดใหญ 3. การจัดการสิ่งกีดขวางลํานํ้า 4. การพยากรณเตือนภัยลวงหนา 5. การสรางฝายขนาดเล็กจํานวนมาก ( วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. การอนุรักษปาตนนํ้า เนื่องจาก นํ้าปาไหลหลากเกิดขึ้นจากการขาดพื้นที่ปาคอยดูดซับและ ชะลอแรงนํ้า เมื่อมีฝนตกหนักนํ้าจึงไหลบาอยางรวดเร็วลงสู พื้นที่ตํ่าดานลาง ทั้งนี้ การอนุรักษพื้นที่ปาตนนํ้ายังชวยใหเกิด ความสมบูรณของระบบนิเวศโดยรวมอยางยั่งยืนดวย) สื่อ Digital ศึกษาคนควาขอมูลเกี่ยวกับการพยากรณและเตือนภัยนํ้าทวม ไดที่ http://ews.dwr.go.th/ews/index.php หองปฏิบัติการเฝาระวังและเตือนภัย นํ้าหลาก-ดินถลม สํานักวิจัย พัฒนา และอุทกวิทยา กรมทรัพยากรนํ้า เกร็ดแนะครู ครูควรอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการแกมลิง ซึ่งเปนโครงการอันเนื่องมา จากพระราชดําริของรัชกาลที่ 9 เพื่อแกปญหานํ้าทวมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑลมีหลักการขุดคลองเพื่อชักนํ้ามารวมกัน แลวเก็บไวเปนบอพักนํ้า เปรียบไดกับแกมลิง แลวจึงระบายนํ้าลงทะเลเมื่อปริมาณนํ้าทะเลลดลง นํา สอน สรุป ประเมิน T211
ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ก่อนเกิดภัย ขณะเกิดภัย หลังเกิดภัย 1. ท�าความสะอาดบ้านเรือนเก็บกวาดซากปรักหักพังถ้าเสียหายมากจนไม่อาจซ่อมแซมได้ ควรรื้อถอน 2. ซ่อมแซมอาคารบ้านเรือน สาธารณูปโภคต่าง ๆ เช่น ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ถนน ที่ช�ารุด เสียหายให้กลับสู่สภาพเดิม 3. หากมีซากสัตว์ตายตามที่ต่าง ๆ ให้รีบจัดการเก็บฝังโดยเร็ว 4. สงเคราะห์ผู้ประสบภัยอื่นที่เดือดร้อน เช่น บริจาคเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม อาหาร 7.3) การปฏิบัติตน ท�าได้ ดังนี้ 1. ติดตามรายงานสภาวะอากาศจากทางราชการ เตรียมอุปกรณ์ที่จ�าเป็นกระสอบทรายรวมทั้ง เคลื่อนย้ายสัตว์เลี้ยง สิ่งของไปอยู่ที่สูง หรือ สถานที่ปลอดภัย 2. เตรียมวางแผนอพยพไปยังสถานที่ปลอดภัย รวมถึงพิจารณาท�าประกันภัยน�้าท่วม 3. ส�ารวจช่องเปิดในบริเวณบ้านที่คาดว่าอาจมี สัตว์ที่มีอันตรายต่าง ๆ เล็ดลอดเข้ามา แล้ว ท�าการปิดช่องเปิดนั้นเพื่อป้องกันอันตราย 4. ขุดลอกแหล่งน�้าที่ตื้นเขินเพื่อให้น�้าไหลได้ดี Activity สืบค้นข่าวเกี่ยวกับอุทกภัยในทวีปต่าง ๆ ของโลกจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ในประเด็นบริเวณที่เกิด อุทกภัย สาเหตุการเกิดอุทกภัย ผลกระทบจากอุทกภัย แนวทางการจัดการภัยพิบัติ แล้วน�าข้อมูลที่ได้มา จัดท�าโปสเตอร์ ตกแต่งให้สวยงาม จากนั้นน�าเสนอหน้าชั้นเรียน Geo 1. ติดตามข่าวสารจากทางราชการ และเตรียม พร้อมที่จะอพยพไปในที่ปลอดภัย 2. อยู่ในอาคารบ้านเรือนที่แข็งแรงและอยู่ที่สูง พ้นจากน�้า ตัดสะพานไฟ และปิดแก๊สหุงต้ม ให้เรียบร้อย 3. ไม่เข้าใกล้อุปกรณ์ไฟฟ้า เสาไฟฟ้า สายไฟ 4. ไม่ควรขับขี่ยานพาหนะฝ่าลงไปในกระแสน�้า 5. ไม่ควรเล่นน�้า หรือว่ายน�้าบริเวณที่มีน�้าท่วม และระวังสัตว์มีพิษที่หนีน�้าท่วมขึ้นมากัดต่อย 204 ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 1. ครูใหสมาชิกในแตละกลุมชวยกันสรุปสาระ สําคัญเพื่อตอบคําถามเชิงภูมิศาสตร 2. ครูใหนักเรียนรวมกันทําใบงานที่ 5.3 เรื่อง ภัยพิบัติธรรมชาติทางอุทกภาค 3. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกสมรรถนะฯ ภูมิศาสตร ม.4-6 เกี่ยวกับภัยพิบัติธรรมชาติทางอุทกภาค โดยครูแนะนําเพิ่มเติม ขั้นสรุป ครูและนักเรียนรวมกันสรุปความรูเกี่ยวกับ ภัยพิบัติธรรมชาติทางอุทกภาค ทั้งในดานของ สาเหตุและกระบวนการเกิด ประเภทการกระจาย การเกิดภัยตางๆ ตัวอยางเหตุการณที่เคยเกิดขึ้น การจัดการภัยพิบัติธรรมชาติทาง อุทกภาค ตลอดจนความสําคัญที่มีอิทธิพลตอการดําเนินชีวิต ของประชากร หรือใช PPT สรุปสาระสําคัญของ เนื้อหา ขั้นประเมิน 1. ครูประเมินผลโดยสังเกตจากการตอบคําถาม การรวมกันทํางาน และการนําเสนอผลงาน หนาชั้นเรียน 2. ครูตรวจสอบผลจากการทําใบงาน และแบบฝก สมรรถนะฯ ภูมิศาสตร ม.4-6 แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถวัดและประเมินความเขาใจเนื้อหา เรื่อง ภัยพิบัติธรรมชาติทาง อุทกภาค ไดจากการใชเครื่องมือทางภูมิศาสตรในการสืบคนและนําเสนอผลงาน หนาชั้นเรียน โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินการ นําเสนอผลงานที่แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรูหนวยที่ 5 เรื่อง ภัยพิบัติ ทางธรรมชาติแบบประเมินการน าเสนอผลงาน ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินผลการน าเสนอผลงานของนักเรียนตามรายการ แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/................./................ เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 12 - 15 ดี 8 - 11 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง ล าดับที่ รายการประเมินระดับคะแนน 3 2 1 1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 การล าดับขั้นตอนของเรื่อง 3 วิธีการน าเสนอผลงานอย่างสร้างสรรค์ 4 การใช้เทคโนโลยีในการน าเสนอ 5 การมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม รวม บุคคลในขอใดปฏิบัติตนเมื่อประสบอุทกภัยไดอยางเหมาะสม ที่สุด 1. ไกชวนนองไปวายนํ้าเลนขณะเกิดนํ้าทวม 2. กุกซื้อแบตเตอรี่เพื่อใชไฟฟาในบานขณะนํ้าทวม 3. กั้งอาศัยอยูชั้นสองของบานเพราะหวงทรัพยสินมีคา 4. กรณประดิษฐเครื่องตรวจจับกระแสไฟฟาดวยตนเอง 5. กุงไปอยูศูนยอพยพเพราะครอบครัวมีเด็กและคนชรา ( วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 5. การไปอยูศูนยอพยพเปนวิธีปฏิบัติ ตนที่เหมาะสมเมื่อประสบอุทกภัยมากที่สุด เนื่องจากบุคคลใน ครอบครัวทั้งเด็กและคนชราที่ไมสามารถชวยเหลือตัวเองได เทาที่ควร อาจเกิดอันตรายตางๆ จากอุทกภัยได สวนคําตอบ ในขออื่นเปนการปฏิบัติตนที่ไมเหมาะสม) นํา สอน สรุป ประเมิน T212
ขอสอบเนน การคิด 4 ภัยพิบัติธรรมชาติทางชีวภาค 4.1 ไฟป่า (wildf ire) 1) ค�าจ�ากัดความไฟป่าเป็นไฟที่เผาไหม้เชื้อเพลิงในป่าและลุกลามโดยไม่มีขอบเขต เชื้อเพลิงธรรมชาติที่ถูกเผาไหม้ ได้แก่ เศษไม้ ปลายไม้ ลูกไม้ หญ้า เศษวัชพืช ไม้พุ่ม และต้นไม้ 2) กระบวนการเกิดไฟป่า การเกิดไฟป่าเป็นผลมา จากกระบวนการทางเคมีโดยเกิดจากการรวมกันของปัจจัยที่มีอยู่ตาม ธรรมชาติ 3 ปัจจัย ได้แก่ เชื้อเพลิง ออกซิเจน และความร้อน ที่เรียกว่า “สามเหลี่ยมไฟ” (fire triangle) 2.1) เชื้อเพลิง สมบัติของเชื้อเพลิงมีอิทธิพลต่อการติดไฟแตกต่างกัน ได้แก่ ความชื้นของเชื้อเพลิง เชื้อเพลิงที่มีความชื้นต�่า ย่อมติดไฟได้ง่ายและลุกลามเร็วกว่าเชื้อเพลิงที่มี ความชื้นสูง ขนาดของเชื้อเพลิง เชื้อเพลิงขนาดเล็กจะลุกไหม้ได้เร็วและง ่ายกว ่าเชื้อเพลิง ขนาดใหญ่ ปริมาณของเชื้อเพลิง หากมีเชื้อเพลิงจ�านวนมากจะติดไฟและลุกลามได้เร็ว และ ความต่อเนื่องของเชื้อเพลิง หากเชื้อเพลิงอยู่ติดชิดกัน ไฟย่อมลุกลามต่อเนื่องได้เร็ว 2.2) ออกซิเจน เป็นแก๊สที่เป็นองค์ประกอบหลักของอากาศโดยทั่วไป ในป่าจะมี ออกซิเจนกระจายอยู่อย่างสม�่าเสมอ อย่างไรก็ตาม ปริมาณและสัดส่วนของออกซิเจนในอากาศ ในป่า ณ บริเวณอื่น ๆ อาจเปลี่ยนแปลงได้บ้างตามการผันแปรของความเร็วและทิศทางลม 2.3) ความร้อน แหล่งความร้อนที่ท�าให้เกิดไฟป่าแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ แหล ่งความร้อนจากธรรมชาติ เช่น ฟ้าผ่า การเสียดสีของกิ่งไม้การรวมแสงอาทิตย์ผ ่าน หยดน�้าค้าง ภูเขาไฟปะทุ และแหล่งความร้อนจากมนุษย์ซึ่งเกิดจากการจุดไฟในป่าด้วยสาเหตุ ต่าง ๆ 3) ประเภทของไฟป่า แบ่งตามประเภทเชื้อเพลิงที่ถูกเผาไหม้เป็น 3 ประเภท ดังนี้ เป็นไฟที่ไหม้ลุกลามไปตาม เรือนยอดของต้นไม้มักเกิดใน ป่าสนเขตอบอุ่น ไฟเรือนยอด มีความรุนแรง สร้างความเสีย หายแก่ป่ามากและยากแก่การ ดับไฟ เป็นไฟที่เผาไหม้เชื้อเพลิงบน ผิวดิน เช่น ไม้พุ ่ม วัชพืช เครือเถา อาจลุกลามได้เร็วและ รุนแรง ขึ้นอยู่กับลักษณะและ ความหนาแน่นของเชื้อเพลิง บนพื้นที่ป่า เป็นไฟที่เผาไหม้เชื้อเพลิงที่ยัง ทับถมอยู่ในดิน อาจเกิดภาย หลังไฟผิวดิน และเผาไหม้ อย่างช้า ๆไม่มีเปลวไฟให้เห็น หรือมีควันเล็กน้อย มักเกิดใน ประเทศเขตอบอุ ่นหรือที่สูง จากระดับน�้าทะเลมาก เชื้อเพลิง ความร้อน ออกซิเจน สามเหลี่ยมไฟ 1. ไฟเรือนยอด 2. ไฟผิวดิน 3. ไฟใต้ดิน 205 1 นักเรียนควรรู 1 ไฟใตดิน สามารถแบงออกเปน 2 ชนิดยอย ไดแก 1. ไฟใตดินสมบูรณแบบ (True Ground Fire) คือ ไฟที่ไหมอินทรียวัตถุ อยูใตผิวพื้นปาจริงๆ เมื่อยืนอยูบนพื้นปาจึงไมสามารถตรวจพบไฟได ตองใช เครื่องมือพิเศษ เชน เครื่องตรวจจับความรอน เพื่อตรวจหาไฟชนิดนี้ 2. ไฟกึ่งผิวดินกึ่งใตดิน (Semi-Ground Fire) ไดแก ไฟที่ไหมใน 2 มิติ คือ สวนหนึ่งไหมไปในแนวระนาบไปตามผิวพื้นปาเชนเดียวกับไฟผิวดิน และอีก สวนหนึ่งจะไหมในแนวดิ่งลึกลงไปในชั้นอินทรียวัตถุใตผิวพื้นปา ซึ่งอาจไหม ลึกลงไปไดหลายฟุต ไฟดังกลาวสามารถตรวจพบไดโดยงายเชนเดียวกับ ไฟผิวดินทั่วๆ ไป แตการดับไฟจะตองใชเทคนิคการดับไฟผิวดินผสมผสาน กับเทคนิคการดับไฟใตดิน จึงจะสามารถควบคุมไฟได ไฟปาจะเกิดขึ้นได ตองอาศัยองคประกอบใดบาง (แนวตอบ ไฟปาจะเกิดขึ้นไดก็ตอเมื่อมีองคประกอบที่จําเปน 3 ประการ เรียกวา สามเหลี่ยมไฟ ไดแก เชื้อเพลิง ความรอน และ ออกซิเจน มารวมกันในสัดสวนที่เหมาะสมที่จะเกิดการสันดาป (Combustion Technology) และทําใหการสันดาปสามารถดําเนิน ไปไดอยางตอเนื่อง) ขั้นนํา (Geographic Inquiry Process) 1. ครูแจงใหนักเรียนทราบถึงชื่อเรื่อง จุดประสงค และผลการเรียนรู 2. ครูใหนักเรียนดูสัญลักษณสามเหลี่ยมไฟจาก หนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 แลวรวมกัน อภิปรายแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับ สัญลักษณดังกลาว 3. ครูใหนักเรียนดูภาพ หรือคลิปวิดีโอที่ เกี่ยวของกับภัยพิบัติธรรมชาติทางชีวภาคใน ประเทศไทย และประเทศตางๆ ของโลก เชน • ภัยแลงคุกคามแอฟริกาตะวันออก เปน ภัยแลงที่รุนแรงในรอบ 60 ป • ภัยแลงใน 44 จังหวัดของประเทศไทยใน พ.ศ. 2556-2557 4. ครูตั้งคําถามกระตุนความคิดโดยใหนักเรียน รวมกันตอบคําถามเพิ่มเติม เชน • ไฟปาสามารถเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติได หรือไม อยางไร (แนวตอบ ไฟปาสามารถเกิดขึ้นเองตาม ธรรมชาติ โดยมีสาเหตุ เชน การเกิดฟาผา ทําใหตนไมเกิดไฟไหม มักเกิดขึ้นมากในปา เขตอบอุนของสหรัฐอเมริกาและประเทศ แคนาดา การเสียดสีกันของกิ่งไมแหงใน ชวงเวลาที่อากาศรอนและแหงแลง มักเกิด ขึ้นในพื้นที่ปาที่มีไมขึ้นอยูหนาแนน เชน ปาไผและปาสน) นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T213
ขอสอบเนนการคิด 4) สาเหตุการเกิดไฟป่า แบ่งได้ ดังนี้ 4.1) สาเหตุจากธรรมชาติ มีดังนี้ 1. ฟ้าผ่า เป็นสาเหตุส�าคัญของการเกิดไฟป่าในเขตอบอุ่นของต่างประเทศ เช่น ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา มีทั้งฟ้าผ่าแห้ง คือ ฟ้าที่ผ่าในขณะที่ไม่มีฝน และฟ้าผ่าเปียก เกิดขึ้นในฤดูร้อนที่เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง 2. กิ่งไม้เสียดสีกัน เกิดขึ้นในพื้นที่ป่าที่มีไม้ขึ้นอย่างหนาแน่น และมีสภาพ อากาศร้อนและแห้งจัด มีกระแสลมแรง เช่น ในป่าไผ่ ป่าสน 3. การปะทุของภูเขาไฟ 4. ภาวะภัยแล้งจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก เป็นอีกสาเหตุ ที่ท�าให้เกิดไฟป่าบ่อยขึ้น เนื่องจากมีระยะเวลาเกิดความแห้งแล้งถี่มากขึ้น 4.2) สาเหตุจากมนุษย์ มีดังนี้ 1. การเผาป่าเพื่อเก็บหาของป่า การล่าสัตว์เป็นสาเหตุหลักที่ท�าให้เกิด ไฟป่ารุนแรงมากที่สุด เพื่อให้ป่าโล่งจะได้เข้าพื้นที่ป่าได้สะดวก สัตว์ป่าหนีไฟออกมาให้ล่าได้ง่าย 2. การเผาไร่หรือเศษพืชเกษตร เพื่อก�าจัดวัชพืชหรือเศษซากพืชที่เหลือจาก การเก็บเกี่ยว เพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูกในรอบต่อไป 3. ความประมาทในการเข้าใช้พื้นที่หรือพักแรมในป่า มีการก่อกองไฟแล้ว ลืมดับ หรือดับไม่สนิท 5) การกระจายการเกิดไฟป่าของโลก แผนที่แสดงพื้นที่เสี่ยงการเกิดไฟป่าของโลก ที่มา : https://firms.modaps.eosdis.nasa.gov/map/ 0 ํ 0 ํ 20 ํN 20 ํN 20 ํS 20 ํS 40 ํN 40 ํN 40 ํS 40 ํS 60 ํN 60 ํN 60 ํS 60 ํS 80 ํN 80 ํN 160 ํW 120 ํW 80 ํW 40 ํW 40 ํE 0 ํ 80 ํE 120 ํE 160 ํE 160 ํW 120 ํW 80 ํW 40 ํW 40 ํE 0 ํ 80 ํE 120 ํE 160 ํE 80 ํS 80 ํS N 0 2000 4000 กม. 1 : 250,000,000 พื้นที่เสี่ยงเกิดไฟปา จุดความรอนเสี่ยงเกิดไฟปา ระหวางวันที่ 17 - 24 ตุลาคม พ.ศ. 2561 206 ฟ้าผ่า เป็นสาเหตุส�าคัญของการเกิดไฟป่าในเขตอบอุ่นของต่างประเทศ เกิดขึ้นในฤดูร้อนที่เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง 2. กิ่งไม้เสียดสีกัน เกิดขึ้นในพื้นที่ป่าที่มีไม้ขึ้นอย่างหนาแน่น และมีสภาพ 1 2 ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร 1. ครูสุมถามนักเรียนถึงตัวอยางเหตุการณ ไฟปาที่เกิดขึ้นในโลกตามความรูจักของ นักเรียน รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจาก เหตุการณดังกลาวเพิ่มเติม 2. ครูใหนักเรียนดูแผนที่แสดงพื้นที่เสี่ยงการเกิด ไฟปาของโลก จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 แลวรวมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ แผนที่ดังกลาว นักเรียนควรรู 1 ฟาผา เกิดจากการกอตัวของประจุไฟฟาระหวางกอนเมฆ หรือระหวาง กอนเมฆกับพื้นโลก เมื่อประจุไฟฟากอตัวถึงจุดที่มีพลังงานเพียงพอจะเกิดการ ปลอยประจุไฟฟาและทําใหเกิดฟาผาขึ้น 2 เสียดสีกัน การเสียดสีเปนการสัมผัสกันระหวางพื้นผิวสองพื้นผิว โดยที่ พื้นผิวอยางนอยหนึ่งพื้นผิวตองมีการเคลื่อนที่ การเสียดสีจะทําใหมีความรอน เกิดขึ้น ซึ่งความรอนดังกลาวสามารถทําใหวัตถุที่ติดไฟไดเกิดการลุกติดไฟขึ้น สาเหตุของการเกิดไฟปาในประเทศไทย เกิดจากขอใดมากที่สุด 1. ฟาผา 2. เก็บหาของปา 3. กิ่งไมเสียดสีกัน 4. เผาดวยความคึกคะนอง 5. ความประมาทโดยกอกองไฟแลวลืมดับ (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. ไฟปาในประเทศไทยมีสาเหตุมาจาก การเผาปาเพื่อเก็บหาของปา ลาสัตว มากกวาขออื่น เนื่องจากการ จุดไฟจะทําใหพื้นปาโลง เดินสะดวก หรือจุดเพื่อกระตุนการงอก ของเห็ดหรือกระตุนการแตกใบใหมของผักหวาน หรือจุดเพื่อไล มดแดงออกจากรัง รมควันไลผึ้ง หรือไลแมลงตางๆ ในขณะที่อยู ในปา เปนตน) เกร็ดแนะครู ครูอาจสนทนาเพื่อสรางบรรยากาศและกระตุนความสนใจนักเรียนเกี่ยวกับ การเกิดไฟปาจากภาพขาว หรือวีดิทัศน จากนั้นใหนักเรียนรวมกันจัดทําแผนผัง ความคิดผลกระทบไฟปาดานตางๆ นําเสนอหนาชั้นเรียน นํา สอน สรุป ประเมิน T214
ความถี่ของการเกิดไฟปา ในเขตพื้นที่อนุรักษ 98 ํE 100 ํE 102 ํE 104 ํE 106 ํE16 ํN 98 ํE 100 ํE 102 ํE 104 ํE 20 ํN 18 ํN 14 ํN 12 ํN 10 ํN 8 ํN 6 ํN 20 ํN 18 ํN 16 ํN 14 ํN 12 ํN 10 ํN 8 ํN 6 ํN แผนที่แสดงพื้นที่เสี่ยงภัยไฟปาในประเทศไทย มาตราสวน 1 : 14,000,000 บอยครั้ง ปานกลาง นอย 0 50 100 150 กม. N จากแผนที่ พบวาบริเวณที่มีโอกาสในการเกิดไฟปาไดมากกวาสวนอื่น ๆ ของโลก ไดแก ทวีปอเมริกาเหนือ ในสหรัฐอเมริกา แคนาดา ทวีปอเมริกาใต เชน บราซิล อารเจนตินา อุรุกวัย ทวีปแอฟริกา เชน แองโกลา คองโก แทนซาเนีย แซมเบีย เนื่องจากพื้นที่ดังกลาวอยูใน เขตอบอุน และมีกระแสนํ้าเย็นไหลผาน ทําใหปริมาณไอนํ้าในบรรยากาศนอย มีความ แหงแลงมากยิ่งขึ้น เชน กระแสนํ้าเย็นเบงเกวลาไหลเลียบชายฝงดานตะวันตกของทวีปแอฟริกา แผนที่แสดงพื้นที่เสี่ยงการเกิดไฟปา ในประเทศไทย กระแสนํ้าเย็นเปรูไหลเลียบชายฝงดานตะวันตก ของทวีปอเมริกาใต ความแหงแลงจึงทําใหพื้นที่ ดังกลาวมีโอกาสเสี่ยงเกิดไฟปาจากสาเหตุทาง ธรรมชาติไดมากกวาปกติ ไฟปาในประเทศไทยเกิดจากการ กระทําของมนุษยเปนหลักและบางสวนเกิดจาก ธรรมชาติ ในชวงเดือนพฤศจิกายน - เมษายน เปนชวงที่มีสถิติการเกิดไฟปาสูง เพราะสภาพ อากาศแหง ตนไมผลัดใบและหญาแหงตาย จํานวนมาก เมื่อเกิดไฟปาจึงลุกลามอยางรวดเร็ว โดยเฉพาะอยางยิ่งในชวงเดือนกุมภาพันธ - เมษายน เปนชวงที่มีจุดความรอนจํานวนมาก จึงเสี่ยงตอการเกิดไฟปาสูง โดยเฉพาะพื้นที่ บริเวณภาคเหนือและภาคตะวันตกเสี่ยงตอ การเกิดไฟปาสูง ขณะที่พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต เสี่ยงตอ การเกิดไฟปารองลงมาตามลําดับ Activity รวบรวมขอมูลชนิดของไฟปา ระบุลักษณะการเกิด และความเสียหายจากไฟปาแตละชนิด แลวนํามา อภิปรายรวมกันในชั้นเรียน จากนั้นรวมกันหาคําตอบวาไฟปาที่พบในประเทศไทยสวนใหญเปนชนิดใด Geo ที่มา : สวนควบคุมไฟปา สํานักปองกัน ปราบปราม และ ควบคุมไฟปา กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช 207 เมษายน เปนชวงที่มีจุดความรอนจํานวนมาก 1 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร 3. ครูใหนักเรียนดูแผนที่แสดงพื้นที่เสี่ยงการ เกิดไฟปาในประเทศไทย จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 แลวรวมกันอภิปรายแสดง ความคิดเห็นเกี่ยวกับแผนที่เพิ่มเติม 4. ครูกระตุนใหนักเรียนชวยกันตั้งประเด็นคําถาม เชิงภูมิศาสตร เชน • ลักษณะทางกายภาพสงผลใหเกิดปญหา หรือภัยพิบัติธรรมชาติทางชีวภาคใน ประเทศไทยและภูมิภาคตางๆ ของโลก อยางไร • ภัยพิบัติธรรมชาติทางชีวภาคที่เกิดขึ้นใน ภูมิภาคตางๆ ของโลก มีความเหมือน หรือความแตกตางกัน อยางไร • ผลกระทบสําคัญจากภัยพิบัติธรรมชาติ ทางชีวภาคคืออะไร • แนวทางหรือวิธีการปองกันภัยพิบัติ ธรรมชาติทางชีวภาคสามารถทําไดอยางไร นักเรียนควรรู 1 จุดความรอน จากการประมวลผลและวิเคราะหจากขอมูลดาวเทียม TERRA และ AQUA พบวา จุดความรอนสะสมตลอดชวง 5 เดือน (ม.ค.-พ.ค.) ป 2561 มีจํานวน 14,565 จุด ซึ่งมีคาสูงสุดในเดือน มี.ค. จํานวน 5,098 จุด รองลงมา เปนเดือน ก.พ. จํานวน 3,878 จุด เดือน เม.ย. จํานวน 3,143 จุด เดือน ม.ค. จํานวน 2,167 จุด และเดือน พ.ค. จํานวน 279 จุด ตามลําดับ สวนใหญเกิด จุดความรอนสะสมสูงสุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จํานวน 5,085 จุด ภาคเหนือ ตอนบน จํานวน 3,519 จุด ภาคเหนือตอนลาง จํานวน 3,416 จุด ตามลําดับ นักเรียนสืบคนและรวบรวมขอมูลสถิติการเกิดไฟปาใน ประเทศไทย จากแหลงการเรียนรูตางๆ แลววิเคราะหสถานการณ การเกิดไฟปา แนวโนมการเกิดไฟปาในอนาคต รวมถึงวางแผนการ จัดการพื้นที่เสี่ยงภัยไฟปา จัดทําเปนรายงานการศึกษาวิเคราะห ซึ่งมีภาพหรือตารางประกอบ สื่อ Digital ศึกษาคนควาขอมูลเกี่ยวกับสถานการณไฟปาจากภาพถายดาวเทียมใน ประเทศไทย ไดที่ http://fififire.gistda.or.th/ สํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ และภูมิสารสนเทศ (องคการมหาชน) หรือ GISTDA นํา สอน สรุป ประเมิน T215
ขอสอบเนนการคิด 6) ภัยต่าง ๆ ที่เกิดจากไฟป่ารุนแรง มีดังนี้ 1. ปัญหาหมอกควัน ก่อให้เกิดสภาวะอากาศเป็นพิษ ท�าลายสุขภาพของมนุษย์ โดยเฉพาะโรคระบบทางเดินหายใจ นอกจากนี้ ควันไฟยังบดบังแสงอาทิตย์ ส่งผลต่อทัศนวิสัยใน การขับขี่ บางครั้งท�าให้เครื่องบินไม่สามารถลงจอดได้ส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ และลดความสวยงามของภูมิประเทศทางธรรมชาติ 2. พื้นที่ป่าและพรรณไม้ถูกเผาไหม้ไม้พุ่มและทุ่งหญ้าถูกท�าลาย ต้นไม้เกิดแผล ไฟไหม้และท�าให้ต้นไม้ตาย อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวไฟป่าอาจมีประโยชน์ท�าให้เกิดทุ่งหญ้าแทน พื้นที่ป่าได้หรือพรรณไม้หลายชนิดอาจปรับตัวจากการถูกไฟป่าเผา จนกลายเป็นระบบนิเวศใหม่ 3. ท�าให้หน้าดินเปิดโล่ง จากการที่ไฟป่าเผาท�าลายสิ่งปกคลุมดิน ท�าให้ดินเสื่อม สภาพ เมื่อมีฝนตก หน้าดินไม่มีสิ่งปกคลุมท�าให้น�้าไหลบ่าไปบนหน้าดิน เกิดการพังทลายของดิน ตะกอนดินไหลลงสู่แหล่งน�้าท�าให้ล�าน�้าตื้นเขินและคุณภาพน�้าเสื่อมโทรมลง 4. สัตว์ป่าลดลงและเกิดการอพยพของสัตว์ป่า เนื่องจากแหล่งอาหาร แหล่งน�้า และที่อยู่อาศัยถูกท�าลาย 7) เหตุการณ์ ไฟป่าที่รุนแรง ครั้งส�าคัญ เช่น ไฟป่าทอมัส เป็นไฟป่าครั้งรุนแรงที่เกิดขึ้นใน รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ. 2560 สาเหตุ : เกิดจากอิทธิพลของกระแสลมแซนตา แอนา (Santa Ana) ที่พัดอากาศร้อนและแห้งแล้ง จากทะเลทรายเข้ามาภายในพื้นที่ ก่อให้เกิดไฟป่า ลุกลามเผาผลาญพื้นที่เป็นบริเวณกว้างในหลาย เมืองของรัฐแคลิฟอร์เนีย เช่น เมืองเวนทูรา (Ventura) เมืองแซนตาบาร์บารา(Santa Barbara) เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2560 ผลกระทบ : ไฟป่าครั้งรุนแรงนี้มีชื่อเรียกว่า“ไฟป่า ทอมัส” (Thomas Fire) ได้เผาผลาญพื้นที่ป ่า ไปถึง 281,893 เอเคอร์ หรือประมาณ 1,140 ตารางกิโลเมตรสิ่งปลูกสร้างถูกท�าลาย1,063แห่ง เสียหาย 280 แห่ง มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1 คน ประชาชนประมาณ 2 แสนคน ต้องอพยพออกจาก บ้านเรือน สร้างความเสียหายมากกว่า 100 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,500 ล้านบาท เหตุการณ์ ไฟป่าในสหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2560 208 1. ปัญหาหมอกควัน 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 2 การรวบรวมขอมูล 1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม สืบคนขอมูลเกี่ยวกับ ภัยพิบัติธรรมชาติทางชีวภาค จากหนังสือ เรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 หรือจากแหลง การเรียนรูอื่นๆ เชน หนังสือในหองสมุด เว็บไซตในอินเทอรเน็ต ในประเด็นตอไปนี้ • ภัยแลง • ไฟปา 2. นักเรียนแตละกลุมรวมกันศึกษาขอมูลในหัวขอ ที่รับผิดชอบ โดยนําความรูเกี่ยวกับเครื่องมือ ทางภูมิศาสตรมาใชประกอบในการศึกษา โดยครูแนะนําแหลงขอมูลสารสนเทศที่เชื่อถือ ไดเพิ่มเติม ขั้นที่ 3 การจัดการขอมูล 1. สมาชิกแตละคนในกลุมนําขอมูลที่ตนไดจาก การรวบรวม มาอธิบายแลกเปลี่ยนความรู ระหวางกัน 2. จากนั้นสมาชิกในกลุมชวยกันคัดเลือกขอมูล ที่นําเสนอเพื่อใหไดขอมูลที่ถูกตอง และรวม อภิปรายแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม นักเรียนควรรู 1 ปญหาหมอกควัน ในชวงเดือนธันวาคมถึงเดือนมีนาคมของทุกป พื้นที่ ในภาคเหนือตอนบนมักจะประสบกับปญหาหมอกควันปกคลุม ดวยลักษณะ ภูมิประเทศสวนใหญของภาคเหนือตอนบนเปนภูเขาสลับซับซอน ลักษณะเปน แองกระทะ มีภูเขาลอมรอบ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม เชียงราย ลําปาง ลําพูน นาน แพร แมฮองสอน และพะเยา ทําใหเปนโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เพิ่มมากขึ้น ไฟปากอใหเกิดผลกระทบตอระบบนิเวศอยางไรบาง อธิบาย พรอมยกตัวอยางประกอบพอสังเขป (แนวตอบ ไฟปามีผลกระทบตอระบบนิเวศหลายประการ เนื่องดวยปาไมเปนแหลงของความสัมพันธระหวางสิ่งมีชีวิตทั้ง พืชและสัตวตางๆ ตัวอยางของผลกระทบ เชน การสูญพันธุของ พืชจากการถูกเผาไหม การสูญพันธุของสัตวจากการถูกทําลาย ที่อยูอาศัยและแหลงอาหาร การเกิดมลพิษทางอากาศจากแกส และเถาถานของการเผาไหม การขาดแหลงปาไมที่เปนตนนํ้า ลําธาร และการสูญเสียความอุดมสมบูรณของดินจากการที่หนาดิน ถูกเผาทําลาย) นํา สอน สรุป ประเมิน T216
ขอสอบเนน การคิด ไฟป่าในรัฐวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย สาเหตุ : เกิดจากฟ้าผ่าแห้ง เนื่องจากสภาพ อากาศที่ร้อนจัด โดยมีอุณหภูมิสูงถึง 46 องศา เซลเซียส สภาพอากาศแห้งและมีเชื้อเพลิง คือ ต้นไม้และใบไม้แห้ง มีกระแสลมแรง ท�าให้ไฟ ลุกลามอย่างรวดเร็ว ผลกระทบ : ท�าให้ไฟป่าลุกลามอย่างรวดเร็ว ในพื้นที่ 3,000 ตารางกิโลเมตร จนไม่สามารถ ควบคุมเพลิงได้ป่าไม้และทุ่งหญ้าถูกเผาท�าลาย เป็นบริเวณกว้าง มีผู้เสียชีวิตประมาณ 230 คน พื้นที่ชุมชนและบ้านเรือนถูกเผาไหม้กว่า 700 หลังคาเรือน มีผู้ ไร้ที่อยู่อาศัยอีกกว่า 5,000 คน เหตุการณ์ ไฟป่าในประเทศออสเตรเลีย พ.ศ. 2561 8) การจัดการภัยพิบัติไฟป่า มีดังนี้ 8.1) มาตรการ มีดังนี้ 1. รวบรวมข้อมูลไฟป่า เช่น สภาพพื้นที่ สถิติไฟป่า เพื่อน�ามาใช้ศึกษาและ วางแผนงานการควบคุมไฟป่า โดยแผนงานต้องครอบคลุมทั้งด้านการป้องกันและการดับไฟ 2. เตรียมความพร้อมทั้งบุคลากรและเครื่องมือ โดยเน้นการเข้าถึงพื้นที่ อย่างรวดเร็วและการบูรณาการการท�างานร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 3. จัดการเชื้อเพลิงด้วยการท�าแนวกันไฟ การลดปริมาณเชื้อเพลิง การเผา ตามก�าหนดในพื้นที่เสี่ยง เป็นการใช้ประโยชน์จากไฟเพื่อจัดการป่าไม้ 4. ก�าหนดเขตควบคุมไฟป่า ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า 8.2) วิธีป้องกัน ท�าได้ ดังนี้ 1. ให้ความรู้แก่ประชาชน เพื่อชี้แจงให้ทราบถึงผลเสียของไฟป่า ประโยชน์ ของป่าไม้ และขอความร่วมมือให้ประชาชนเลิกจุดไฟเผาป่า และหันกลับมาช่วยกันดูแลป่า 2. การฝึกอบรมเพื่อให้ประชาชนท�าหน้าที่ป้องกันไฟและดับไฟป่าที่เกิดขึ้น ในท้องถิ่นของตนเอง โดยมีหน่วยงานดูแลเรื่องวิชาการและอุปกรณ์ ในการดับไฟ Question หากนักเรียนพบเห็นไฟป่าเกิดขึ้นในชุมชนที่อาศัยอยู่ควรปฏิบัติตนอย่างไรให้ปลอดภัยและมีแนวทาง ป้องกันไฟป่าด้วยวิธีการใด Geo 209 แนวกันไฟ 1 นักเรียนควรรู 1 แนวกันไฟ เปนแนวกีดขวางตามธรรมชาติหรือที่มนุษยสรางขึ้นเพื่อหยุดยั้ง ไฟปา หรือเพื่อปองกันไมใหไฟลุกลามเขาไปในพื้นที่ที่จะคุมครอง หรือ ปองกันไมใหไฟลุกลามออกมาจากพื้นที่ที่กําหนด การสรางแนวกันไฟโดย ทั่วไปจะประกอบดวยแนว 2 ชั้น คือ ชั้นนอก เปนแนวกวางที่กําจัดไมพุม และไมพื้นลางออกจนหมด และชั้นใน ซึ่งเปนแนวที่แคบลงอยูภายในแนวแรก อีกทีหนึ่ง ซึ่งจะกําจัดเชื้อเพลิงออกทั้งหมดจนถึงชั้นผิวหนาดิน ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 1. ครูใหนักเรียนตอบคําถาม Geo Question จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 แลวสุม นักเรียนจํานวน 2-3 คน แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับคําถามดังกลาว 2. ครูใหนักเรียนแตละกลุมนําเสนอขอมูลจาก การศึกษา พรอมทั้งอภิปรายแสดงความ คิดเห็นรวมกัน สมาชิกกลุมอื่นผลัดกันให ขอคิดเห็น หรือขอเสนอแนะ โดยครูแนะนํา เพื่อใหเกิดความเขาใจที่ตรงกันเพิ่มเติม 3. ครูใหนักเรียนรวมกันใชสมารตโฟนสืบคน เหตุการณไฟปาในแตละพื้นที่ของโลกเพิ่มเติม แลวใหนักเรียนรวมกันวิเคราะหผลกระทบ ที่เกิดจากไฟปาตอสิ่งแวดลอมในดานตางๆ ไดแก บรรยากาศภาค ธรณีภาค อุทกภาค และชีวภาค พรอมทั้งอภิปรายรวมกัน ตัวอยาง ประเด็นการวิเคราะห เชน • บรรยากาศภาค : สาเหตุและผลกระทบ จากไฟปา • ความอุดมสมบูรณของดินกับการเกิดไฟปา • ไฟปา : วิกฤตการณจากความแหงแลง ของนํ้า • การสูญพันธุของสัตวปาและพันธุพืช ผลกระทบของไฟปาตอสิ่งมีชีวิตในระบบ นิเวศ นักเรียนสามารถมีสวนรวมในการปองกันการเกิดไฟปาได อยางไร (แนวตอบ เชน หมั่นกําจัดวัสดุที่เปนเชื้อเพลิงไฟปาบริเวณบาน ชุมชน หรือในปา โดยเก็บกวาดพื้นที่ใหโลงเตียน ไมใหมีใบไมแหง กิ่งไมแหง หรือหญาแหงกองสุม ไมเผาขยะหรือเศษวัชพืชบริเวณ แนวชายปา ไมทิ้งกนบุหรี่ลงบนพงหญาแหง งดเวนการกอกองไฟ ในปา หรือดับไฟใหสนิททุกครั้งเพื่อปองกันไฟปา) สื่อ Digital ศึกษาคนควาขอมูลเกี่ยวกับไฟปา ไดที่ https://wildfire.forest.go.th/ สวนควบคุมไฟปา กรมปาไม นํา สอน สรุป ประเมิน T217
ขอสอบเนนการคิด 8.3) การปฏิบัติตน ท�าได้ ดังนี้ ก่อนเกิดภัย ขณะเกิดภัย หลังเกิดภัย 1. สร้างระบบควบคุมไฟป ่าด้วยแนวทางป้องกันไฟป ่าเปียก โดยอาศัยน�้า ชลประทานและน�้าฝน 2. เพิ่มความระมัดระวังการจุดไฟในป่า เช่น ไม่ทิ้งก้นบุหรี่ลงบนหญ้าแห้ง หาก ก่อกองไฟ หรือประกอบอาหารในป่า ควรดับไฟให้สนิททุกครั้งหลังใช้งานเสร็จ 3. จัดเวรยามเฝ้าระวังไฟป่า 1. จัดเตรียมและซ่อมแซมอุปกรณ์ดับไฟป่าให้ เพียงพอและพร้อมใช้งาน 2. เตรียมหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉินเพื่อขอความ ช่วยเหลือในการดับไฟป่า เข้าร่วมการเป็น อาสาสมัครในการดับไฟป่า 3. ดูแลพื้นที่ริมแนวชายป่า โดยเก็บกวาดใบไม้ แห้ง กิ่งไม้แห้ง หรือหญ้าแห้งให้โล่งเตียน ไม่ให้กองสุม เป็นเชื้อเพลิงในการเกิดไฟไหม้ 4. ท�าระบบป้องกันไฟป่า โดยใช้พืชชนิดต่าง ๆ ปลูกตามแนวคลองส่งน�้า 1. ให้อพยพไปยังสถานที่ปลอดภัย โดยสวมใส่ หน้ากากอนามัยและแว่นตา เพื่อป้องกันฝุ่น ละอองเข้าสู่ร่างกาย 2. สร้างแนวกันไฟ เพื่อป้องกันไม่ให้ ไฟลุกลาม ไปยังพื้นที่ใกล้เคียง 3. เมื่อพบเห็นไฟไหม้ป่าหรือสวนป่า ให้ช่วยกัน ดับไฟป่าอย่างระมัดระวัง หรือแจ้งหน่วยงาน ราชการที่อยู่บริเวณใกล้เคียง 4. ระหว่างดับไฟในขณะลมแรง ให้หลีกเลี่ยงการ สูดดมควันไฟ และระวังอย่าให้ขี้เถ้าเข้าตา ก่อกองไฟ หรือประกอบอาหารในป่า ควรดับไฟให้สนิททุกครั้งหลังใช้งานเสร็จ 3. จัดเวรยามเฝ้าระวังไฟป่า 210 ดับไฟป่าอย่างระมัดระวัง หรือแจ้งหน่วยงาน 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 4. ครูใหนักเรียนกลุมเดิมสงตัวแทนออกมาเขียน แนวทางการปฏิบัติตนเกี่ยวกับการระวังภัย จากไฟปาลงในตารางบนกระดานหนาชั้นเรียน ซึ่งครูกําหนดหัวขอที่สําคัญไว เชน • การปองกันไฟปา • การปฏิบัติงานดับไฟปา • หนาที่ของหนวยงานที่เกี่ยวของของภาครัฐ และเอกชน • การมีสวนรวมของประชาชน จากนั้นรวมกันสนทนา เพื่อใหนักเรียนเกิด ความรูความเขาใจที่ถูกตองเกี่ยวกับแนวทาง การปฏิบัติตนเพื่อการระวังภัยจากไฟปา ทั้งใน ชวงกอนเกิดภัย ขณะเกิดภัย และหลังเกิดภัย บุคคลในขอใดปฏิบัติตนไดอยางเหมาะสมในการระวังไฟปา 1. ขาวทิ้งกนบุหรี่ลงบนพงหญาแหง 2. ดําจุดไฟเผาปาเพื่อหาของปาและลาสัตว 3. แดงกอกองไฟขณะพักแรมในปาแลวลืมดับ 4. เขียวพบเห็นไฟไหมขางทาง แตละเลยไมแจงเจาหนาที่ 5. เทาไถกลบเศษวัชพืชแทนการเผาเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูก (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 5. การไถกลบเศษวัชพืชแทนการเผา เพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูก เปนวิธีการหนึ่งในการปองกันการลุกลาม เปนไฟปา) นักเรียนควรรู 1 ดับไฟปา สามารถแบงออกเปน 2 วิธี ดังนี้ 1. การดับไฟทางตรง คือ วิธีการที่พนักงานดับไฟปาเขาไปดับไฟที่ขอบ ของไฟโดยตรง วิธีนี้ใชในกรณีที่ไฟมีขนาดเล็ก เชน ไฟที่ไหมในปาเบญจพรรณ หรือ ปาเต็งรัง ซึ่งมีความรอนแรงและควันไมมากนัก เครื่องมือหลักที่ใชในการดับไฟ ทางตรง ไดแก ถังฉีดนํ้า พลั่วไฟปา และที่ตบไฟ โดยใชพลั่วตักดินหรือ ทรายสาดกลบไฟ หรือใชนํ้าฉีดนําเพื่อลดความรอนและความสูงของเปลวไฟ จากนั้นจึงใชที่ตบไฟเขาไปตบคลุมไฟจนดับ 2. การดับไฟทางออม ใชสําหรับดับไฟปาขนาดใหญที่มีความรอนแรง และความสูงของเปลวไฟมากเกินกวาที่พนักงานดับไฟปาจะสามารถเขาไป ปฏิบัติงานที่ขอบของไฟไดโดยตรง หรือใชในกรณีที่ไฟปากําลังไหมอยูในบริเวณ ที่เปนอันตรายอยางยิ่งตอการปฏิบัติงาน เชน ใกลหนาผา หรือในรองเขาและ หุบเหว การดับไฟทางออมแบงออกเปนวิธียอย 3 วิธี ไดแก ดับดวยแนวกันไฟ ดับดวยไฟ และดับดวยการเบี่ยงทิศทางของหัวไฟ นํา สอน สรุป ประเมิน T218
4.2 ภัยแล้ง (drought) 1) ค�าจ�ากัดความ ภัยแล้งเป็นภัยที่เกิดขึ้นจากการที่มีฝนตกน้อยกว่าปกติต่อเนื่อง เป็นเวลานาน ท�าให้เกิดการขาดแคลนน�้าใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตร ความรุนแรงของ ช่วงฝนแล้งนั้นขึ้นอยู่กับความชื้นในอากาศ ระยะเวลาที่เกิดความแห้งแล้ง และขนาดของพื้นที่ ที่ได้รับผลกระทบ 2) กระบวนการเกิดภัยแล้ง มีดังนี้ • ในช่วงฤดูฝนเกิดฝนแล้ง หรือเกิดฝนทิ้งช่วงเป็นระยะเวลานาน ท�าให้ปริมาณฝน เฉลี่ยต�่ากว่าค่าปกติ เช่น มีฝนตกน้อยกว่า 1 มิลลิเมตรติดต่อกันเกิน 15 วัน • พื้นที่นอกเขตชลประทานขาดแคลนน�้าเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ และใช้ ในครัวเรือน • พื้นดินแห้ง พืชขาดน�้านานจะเหี่ยวและล้มตาย สัตว์เลี้ยงต้องย้ายไปหาแหล่งน�้า • ระดับน�้าใต้ดินลดลง ต้นไม้ ใหญ่จะเหี่ยวเฉา พื้นที่โล่งที่พืชล้มตายไปแล้ว ดินแตก ระแหง เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยที่มีเกลือหิน (rock salt) อยู่ใต้ดินนั้น บริเวณ ผิวหน้าดินจะมีขี้เกลือตกกระฉาบอยู่ตามพื้นดิน 3) ประเภทของภัยแล้ง ภัยแล้งมี 3 ประเภท ดังนี้ 3.1) ภัยแล้งทางอุตุนิยมวิทยา (meteorological drought) เป็นภัยแล้งที่เกิดขึ้น เนื่องจากปริมาณฝนโดยเฉลี่ยมีปริมาณน้อยกว่าค่าเฉลี่ย เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของช่วงระยะ เวลายาวนานในอดีต 3.2) ภัยแล้งทางการเกษตร (agricultural drought) เป็นภัยแล้งที่ความชื้นในดิน ไม่เพียงพอที่พืชจะน�าไปใช้ประโยชน์ได้ โดยเปรียบเทียบจากผลผลิตของพืชที่ปลูกในสภาวะที่พืช ใช้น�้าปกติ หากผลผลิตที่ได้ ในช่วงเวลานั้นมีปริมาณน้อยกว่าโดยเฉลี่ยแล้ว อาจมีสาเหตุจากน�้า ในดินขาดแคลน ท�าให้ปริมาณและผลผลิตทางการเกษตรลดน้อยลง 3.3) ภัยแล้งทางอุทกวิทยา (hydrological drought) เป็นภัยแล้งที่ปริมาณน�้า ในแม่น�้า หนอง บึง ทะเลสาบ รวมถึงอ่างเก็บน�้าลดลง มีระดับต�่ากว่าปกติ และระดับน�้าใต้ดินก็มี ระดับลดลงต�่ากว่าปกติ Geo Tip ปจจัยที่ส่งผลต่อความรุนแรงของภัยแล้ง 1. ปริมาณฝนและความชื้นในอากาศ พื้นที่ที่มีปริมาณฝนและความชื้นในอากาศน้อย ภัยแล้งจะรุนแรง มากกว่าพื้นที่ที่มีปริมาณฝนและความชื้นในอากาศสูง 2. เขตชลประทานและแหล่งน�้า พื้นที่ที่อยู่ในเขตชลประทานและมีแหล่งน�้าธรรมชาติมาก ภัยแล้งจะ รุนแรงน้อยกว่าพื้นที่ที่อยู่นอกเขตชลประทาน 3. ความชื้นและลักษณะการอุ้มน�้าของดิน พื้นที่ที่เป็นดินเหนียวจะมีความชื้นในดินสูงและอุ้มน�้า ได้มาก ภัยแล้งจึงรุนแรงน้อยกว่าพื้นที่ที่เป็นดินร่วน หรือดินทราย 211 ระแหง เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยที่มีเกลือหิน (rock salt) อยู่ใต้ดินนั้น บริเวณ 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 5. ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับภัยแลง แลวสุม นักเรียน 2-3 คนใหอธิบายถึงความหมายของ ภัยแลงที่ไดศึกษามา จากนั้นใหนักเรียนรวมกัน วิเคราะหถึงความสัมพันธกันของภาวะโลกรอน และการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศกับภัยแลง เพื่อใหเกิดความเขาใจเกี่ยวกับปจจัยที่ทําให เกิดภัยแลง แลวสอบถามถึงปจจัยอื่นๆ ที่ ทําใหเกิดภัยแลงในบริเวณพื้นที่ตางๆ ของโลก และในประเทศไทยเพื่อการวิเคราะหขอมูล เกี่ยวกับภัยแลงรวมกัน 6. ครูใหนักเรียนศึกษา Geo Tip เกี่ยวกับปจจัย ที่สงผลตอความรุนแรงของภัยแลง จากหนังสือ เรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 ประกอบการวิเคราะห ขอมูลเพิ่มเติม นักเรียนควรรู 1 เกลือหิน แรเฮไลตหรือเกลือโซเดียมคลอไรดที่เกิดเปนมวลผลึก หยาบๆ ในหินตะกอน โดยอยูในรูปของโดมเกลือ ลําเกลือ หรือชั้นหินเกลือ ระเหย แหลงเกลือที่เกิดสะสมตัวในยุคตางๆ ของธรณีกาลพบเกิดตั้งแตยุค ไซลูเรียนจนถึงปจจุบัน และมักเกิดเปนมวลชั้นตอเนื่อง ในประเทศไทยพบมาก ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือในบริเวณแองสกลนครและแองโคราช ในที่บาง แหงเกลือหินถูกนํ้าละลายพาซึมขึ้นมาบนผิวดินถูกแดดแผดเผา เกิดผลึกใหม เปนขุยขาวๆ เรียกกันวา เกลือสินเธาว เกลือหินที่ตกผลึกรวมตัวอยูแบบหินชั้น เรียกวา ชั้นเกลือหิน กิจกรรม สรางเสริม นักเรียนจับคูกันตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตรเกี่ยวกับภัยแลง เชน การเกิดภัยแลงในแตละภูมิภาคของโลก มีลักษณะเหมือนหรือ แตกตางกันหรือไม อยางไร หรือพื้นที่ที่เกิดภัยแลงสงผลกระทบ ตอพื้นที่อื่นๆ โดยรอบอยางไร แลวระดมสมองในการรวมกันคิด หาคําตอบ จากนั้นออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน นํา สอน สรุป ประเมิน T219
0 ํ 0 ํ 20 ํN 20 ํN 20 ํS 20 ํS 40 ํN 40 ํN 40 ํS 40 ํS 60 ํN 60 ํN 60 ํS 60 ํS 80 ํN 80 ํN 160 ํW 120 ํW 80 ํW 40 ํW 40 ํE 0 ํ 80 ํE 120 ํE 160 ํE 160 ํW 120 ํW 80 ํW 40 ํW 40 ํE 0 ํ 80 ํE 120 ํE 160 ํE 80 ํS 80 ํS N 0 2,000 4,000 กม. 1 : 250,000,000 ระดับความรุนแรงของภัยแลง แลงนอย แลงมาก 4) สาเหตุการเกิดภัยแล้ง มีดังนี้ 4.1) เกิดการผันแปรของสภาพอากาศ ฝนไม่ตกตามฤดูกาล ตกน้อย ทิ้งช่วง ท�าให้มีน�้ากักเก็บในแหล่งน�้าน้อย ในฤดูแล้งที่อากาศร้อนการระเหยของน�้าจะมีมากขึ้น ท�าให้น�้า ในแหล่งน�้าลดระดับจนถึงภาวะวิกฤต 4.2) ความผิดปกติของต�าแหน่งร่องมรสุม ท�าให้มีฝนตกในพื้นที่น้อยกว่าปกติ หรือความผิดปกติเนื่องจากพายุหมุนเขตร้อนก่อตัวเคลื่อนที่ผ่านมาน้อยกว่าปกติ 4.3) ขาดแหล่งกักเก็บน�้าที่เพียงพอในช่วงภัยแล้ง ซึ่งอาจเกิดจากข้อจ�ากัดทาง ภูมิประเทศ หรือแหล่งน�้าได้รับการพัฒนาที่ไม่เหมาะสม มีขนาดเล็กเกินไป น�ามาใช้ประโยชน์ ไม่เพียงพอ หรือบางแห่งอยู่ไกลจากชุมชนเกินไป 4.4) การตัดไม้ท�าลายป่า ท�าให้ขาดความชุ่มชื้นและซึมซับเก็บน�้า ซึ่งมีผลกระทบ ต่อการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของภูมิอากาศ เช่น ความชื้น อุณหภูมิ 4.5) ความต้องการใช้น�้าเพิ่มขึ้น จากจ�านวนประชากรที่มากขึ้น ท�าให้น�้ามีปริมาณ ลดน้อยลงอย่างมาก 5) การกระจายการเกิดภัยแล้งของโลก แผนที่แสดงพื้นที่เสี่ยงการเกิดภัยแล้งของโลก ที่มา : www.researchgate.net/publication/303312551 212 4.2) ความผิดปกติของต�าแหน่งร่องมรสุม ท�าให้มีฝนตกในพื้นที่น้อยกว่าปกติ 1 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 7. ครูสนทนากับนักเรียนถึงสาเหตุการเกิดภัยแลง แลวใหนักเรียนรวมกันนําเสนอสาเหตุในประเด็น อื่นๆ ตามการวิเคราะหของนักเรียน ประกอบ การแสดงตัวอยาง หรือหลักฐานประกอบเพื่อ สนับสนุนขอเสนอดังกลาวเพิ่มเติม 8. ครูใหนักเรียนนําสาเหตุการเกิดภัยแลงใน ประเด็นตางๆ มาวิเคราะห เชื่อมโยงกับแผนที่ แสดงพื้นที่เสี่ยงการเกิดภัยแลงของโลก จาก หนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 ประกอบการ วิเคราะหขอมูลเพิ่มเติม นักเรียนควรรู 1 รองมรสุม หรือรองความกดอากาศตํ่า มีลักษณะเปนแนวพาดขวางใน ทิศตะวันออก-ตะวันตก จะอยูในเขตรอนใกลๆ เสนศูนยสูตร และจะมีการ เลื่อนขึ้น-ลงตามแนวโคจรของดวงอาทิตย โดยจะลาหลังประมาณ 1-2 เดือน ความกวางของรองความกดอากาศตํ่า หรือรองมรสุมประมาณ 6-8 องศาละติจูด เปนบริเวณที่มีเมฆมากและฝนตกอยางหนาแนน ฉะนั้น เมื่อรองนี้ประจําอยูที่ใด หรือผานที่ใด ก็จะทําใหที่นั้นฝนตกอยางหนาแนนได นักเรียนสืบคนขอมูลสถิติการเกิดภัยแลงในทวีปตางๆ ของโลก แลวนํามากําหนดตําแหนงลงบนแผนที่โครงรางที่นักเรียน วาดเอง แลวระบุปที่เกิด สาเหตุที่เกิด จํานวนผูไดรับผลกระทบ สงครูผูสอน นํา สอน สรุป ประเมิน T220
ขอสอบเนน การคิด 98 ํE 100 ํE 102 ํE 104 ํE 106 ํE16 ํN 98 ํE 100 ํE 102 ํE 104 ํE 20 ํN 18 ํN 14 ํN 12 ํN 10 ํN 8 ํN 6 ํN 20 ํN 18 ํN 16 ํN 14 ํN 12 ํN 10 ํN 8 ํN 6 ํN พื้นที่เสี่ยงภัยแลง เสี่ยงมาก เสี่ยงปานกลาง เสี่ยงนอย เสี่ยงนอยมาก แหลงน้ำ 0 50 100 150 กม. N จากแผนที่ จะเห็นว่าในภูมิอากาศเขตร้อนและเขตอบอุ่นของทวีปต่าง ๆ มีระดับความ รุนแรงของภัยแล้งแตกต ่างกันตามช ่วงระยะเวลาเกิดฝนแล้งและฝนทิ้งช ่วง ซึ่งเป็นผลจาก ปรากฏการณ์เอลนีโญ พื้นที่ประสบภัยแล้ง เช่น ทวีปเอเชียในประเทศอินเดีย เกิดภัยแล้งจาก แผนที่แสดงพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งในประเทศไทย Geo Tip เส้นเวลาแสดงภัยแล้งของประเทศไทยในช่วง พ.ศ. 2520 - 2560 พ.ศ. 2520 ช่วงเดือนมิถุนายน - สิงหาคม มีพื้นที่ประสบ ภัยแล้งเกือบทั่วประเทศ พ.ศ. 2536 เกิดภาวะฝนทิ้งช่วงและฝนหมด เร็วกว ่าปกติ พื้นที่ประสบภัย อยู่ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก พ.ศ. 2559 มีปริมาณฝนสะสมเฉลี่ยน้อย กว่าปกติ ท�าให้น�้าในเขื่อนมี น้อย พื้นที่ประสบภัยแล้งมี เกือบทุกภาค พ.ศ. 2548 มีปริมาณฝนน้อยและต�่ากว่า ค ่าปกติ พื้นที่ประสบภัยมี ทุกภาค โดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พ.ศ. 2522 เกิดฝนแล้งรุนแรง บริเวณที่แล้ง จัดเป็นบริเวณกว้างมากที่สุด คือ ภาคเหนือต่อภาคกลางทั้งหมด และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2520 2530 2540 2550 2560 ฝนตกน้อย และไม่ตกเลยในช่วงต้นเดือนเมษายน - พฤษภาคม พ.ศ. 2559 ทวีปออสเตรเลียและ โอเชียเนียในรัฐนิวเซาท์เวลส์และรัฐแถบชายฝั่ง ตะวันออกของประเทศออสเตรเลีย ไม ่มีฝนตก ในช่วงเดือนสิงหาคม - ต้นกันยายน พ.ศ. 2561 ทวีปแอฟริกาในประเทศแถบชายฝั ่งมหาสมุทร อินเดียและตอนเหนือของอ่าวกินี ภัยแล้งในประเทศไทยส ่วนใหญ ่เกิดจาก ฝนตกน้อยกว่าปกติ หรือเกิดฝนทิ้งช่วงในฤดูฝน โดยจะเกิดใน 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงฤดูหนาวต่อเนื่อง ฤดูร้อน เริ่มจากครึ่งหลังของเดือนตุลาคมเป็นต้นไป บริเวณประเทศไทยตอนบนมีปริมาณฝนลดลงจน เข้าสู ่ฤดูฝนในช ่วงกลางเดือนพฤษภาคมของปี ถัดไป ภัยลักษณะนี้เกิดประจ�าทุกปี และช่วงกลาง ฤดูฝน ประมาณปลายเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม มีฝนทิ้งช ่วงเกิดขึ้น ภัยแล้งลักษณะนี้เกิดขึ้นใน บางบริเวณ เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันตก เนื่องจากเป็นบริเวณที่ อิทธิพลของลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้เข้าไปไม่ถึง 213 ฝนตกน้อยกว่าปกติ หรือเกิดฝนทิ้งช่วงในฤดูฝน ภาคเหนือ ภาคตะวันตก บางบริเวณ เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง 1 2 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 9. ครูใหนักเรียนรวมกันยกตัวอยางสถานการณ การเกิดภัยแลงในประเทศไทยและประเทศ อื่นๆ ของโลกที่ไดศึกษาและรับขาวสาร มาวิเคราะหถึงความสําคัญของทรัพยากรนํ้า ตอการดํารงชีวิตของประชากร ประกอบการ ศึกษา Geo Tip เกี่ยวกับเสนเวลาแสดงภัยแลง ของประเทศไทยในชวง พ.ศ. 2520-2560 จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 จากนั้น ครูตั้งคําถาม เชน • การเกิดความแหงแลงในประเทศไทย เกี่ยวของกับปฏิสัมพันธทางภูมิศาสตรใน ดานใด และมีลักษณะอยางไร (แนวตอบ การเกิดความแหงแลงใน ประเทศไทยเกี่ยวของกับปฏิสัมพันธทาง ภูมิศาสตรในสวนของบรรยากาศภาค กลาวคือ ชวงเวลาการปกคลุมพื้นที่ของ ลมมรสุมมีอิทธิพลอยางยิ่งตอการเกิดความ แหงแลงในประเทศไทย เมื่อลมมรสุม ตะวันตกเฉียงใตออนกําลังลงปกคลุมพื้นที่ ในระยะเวลาสั้นลง หรือลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่นําความหนาวเย็นแหงแลงจาก ตอนเหนือของทวีปที่มีกําลังแรงหรือพัด มาเร็วกวาปกติ ก็ทําใหเกิดความแหงแลง ขึ้นได นอกจากนี้ การเกิดพายุหมุนเขตรอน ที่มีอิทธิพลตอปริมาณนํ้าฝนในประเทศไทย นอยกวา 2 ลูก ก็อาจสงผลใหในปนั้นเกิด ความแหงแลงขึ้นได) นักเรียนควรรู 1 ฝนทิ้งชวง ชวงที่มีปริมาณฝนตกไมถึงวันละ 1 มิลลิเมตรติดตอกันเกิน 15 วันในชวงฤดูฝน เดือนที่มีโอกาสเกิดฝนทิ้งชวงสูง คือ เดือนมิถุนายนและ กรกฎาคม 2 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันตก ในบริเวณที่ ลมตะวันออกเฉียงใต เขาไปไมถึงหรืออาจเขาไปถึง แตไดรับอิทธิพลนอย เนื่องจากเปนเขตเงาฝน ทําใหมีฝนตกนอย พื้นดินมีความชุมชื้นนอย ภัยแลงที่เกิดขึ้นในประเทศไทยมีสาเหตุมาจากอะไร และพื้นที่ บริเวณใดที่ไดรับผลกระทบจากภัยแลง (แนวตอบ ภัยแลงในประเทศไทย สวนใหญมีสาเหตุเกิดจาก ฝนแลงและทิ้งชวง ซึ่งฝนแลงเปนภาวะปริมาณฝนตกนอยกวาปกติ หรือฝนไมตกตองตามฤดูกาล พื้นที่ที่ไดรับผลกระทบจากภัยแลง มาก ไดแก บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง เพราะเปน บริเวณที่อิทธิพลของมรสุมตะวันตกเฉียงใตเขาไปไมถึง และถาปใด ไมมีพายุหมุนเขตรอนเคลื่อนผานในแนวดังกลาวแลวจะกอใหเกิด ภัยแลงรุนแรงมากขึ้น นอกจากพื้นที่ดังกลาวแลว ยังมีพื้นที่ใน ภูมิภาคอื่นๆ อีก ที่มักจะประสบปญหาภัยแลงเปนประจํา) นํา สอน สรุป ประเมิน T221
ขอสอบเนนการคิด โซมาเลีย จิบูตี เอธิโอเปย สถานการณความขาดแคลน เคนยา 0 300กม. ภาวะเสี่ยง ภาวะวิกฤต ภาวะฉุกเฉิน 2.6 ลานคน 117,000 คน 3.2 ลานคน 3.2 ลานคน 6) ภัยต่าง ๆ ที่เกิดจากภัยแล้งรุนแรง มีดังนี้ 1. ขาดแคลนน�้า ส�าหรับใช้ ในการอุปโภคบริโภค การเกษตร การประมง ปศุสัตว์ ระบบนิเวศ และการผลิตพลังงานจากน�้า 2. สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศแหล่งน�้าตายและสูญพันธุ์ก่อให้เกิดความเสียหายต่อ ถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าตามมา 3. เกิดไฟป่า เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนและแล้งจัด 4. สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ เพราะกระบวนการผลิตทั้งภาคเกษตรกรรม และอุตสาหกรรมได้รับความเสียหาย ท�าให้ผลผลิตไม่เพียงพอต่อการบริโภค 7) เหตุการณ์ภัยแล้งที่รุนแรง ครั้งส�าคัญ เช่น ซากสัตว์ที่ตายเนื่องจากภาวะภัยแล้งรุนแรงในประเทศโซมาเลีย สาเหตุ : เกิดจากปรากฏการณ์ลานีญา ซึ่งรุนแรง ผิดปกติ ท�าให้ฝนไม ่ตกต้องตามฤดูกาล นับเป็น ภัยแล้งที่รุนแรงที่สุดในรอบ 60 ปี ผลกระทบ : ท�าให้ประชาชนในแถบจะงอยแอฟริกา เช่น เคนยา เอธิโอเปีย โซมาเลีย ขาดแคลนอาหาร และน�้าจ�านวนกว่า 13.3 ล้านคน มีผู้เสียชีวิตกว่า 1 แสนคน และประชาชนกว่า 12 ล้านคน ซึ่งใน จ�านวนนี้เป็นเด็กถึง 2 ล้านคน ต้องอพยพออกจาก ภูมิล�าเนา นอกจากนี้ประชาชนยังประสบกับปัญหา โรคระบาดเนื่องจากไม่มีระบบสุขอนามัยที่ดีและภัย ดังกล่าวยังส่งผลกระทบต่อสัตว์ต่าง ๆ ท�าให้ล้มตาย เป็นจ�านวนมากเพราะขาดน�้าและอาหาร แผนที่แสดงพื้นที่ประสบภัยแล้ง และจ�านวนประชากร ที่ได้รับผลกระทบในบริเวณจะงอยแอฟริกา เหตุการณ์ ภัยแล้งครั้งใหญ่ในทวีปแอฟริกา พ.ศ. 2554 214 จิบูตี 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล • พื้นที่บริเวณใดของประเทศไทยที่มักประสบ ปญหาความแหงแลง และมีสาเหตุมาจาก สิ่งใด (แนวตอบ ไดแก บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง เพราะเปนบริเวณ ที่อิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต เขาไปไมถึง และถาปใดที่ไมมีพายุหมุน เขตรอนเคลื่อนผานในแนวดังกลาวแลว จะกอใหเกิดภัยแลงรุนแรงมากยิ่งขึ้น) 10. ครูใหนักเรียนรวมกันวิเคราะหความรูเกี่ยวกับ ผลกระทบจากภัยแลงที่หนาชั้นเรียน โดย เขียนรายละเอียดลงในผังแสดงความสัมพันธ ของสาเหตุและผลที่ครูเตรียมไวบนกระดาน พรอมทั้งชวยกันเสนอแนะเพิ่มเติมเพื่อให เกิดความรูความเขาใจที่ถูกตองชัดเจนยิ่งขึ้น นักเรียนควรรู 1 จิบูตี เมื่อพ.ศ. 2554 จิบูตีเปนหนึ่งในประเทศในภูมิภาคจะงอยแอฟริกา (Horn of Africa) ที่ประสบกับภัยแลง โดยมีผูไดรับความเดือดรอนประมาณ 1 แสนคน รัฐบาลไทยไดบริจาคเงินชวยเหลือจํานวน 50,000 ดอลลารสหรัฐ ผานโครงการอาหารโลก (World Food Programme: WFP) เพื่อชวยเหลือ ผูประสบภัยแลงในบริเวณดังกลาว รวมถึงจิบูตีดวย ปญหาภัยแลงสงผลกระทบตอการดํารงชีวิตของประชาชน อยางไร (แนวตอบ สงผลกระทบหลายดาน เชน ดานสังคม ทําใหเกิด การขาดแคลนนํ้าไวใชบริโภคอุปโภค สงผลตอสุขอนามัยของ ประชาชน ดานการเมือง อาจทําใหเกิดการแยงพื้นที่แหลงนํ้ากัน ดานเศรษฐกิจ ทําใหเกิดความเสียหายตอพื้นที่ทางการเกษตร เชน พื้นดินขาดความชุมชื้น พืชขาดนํ้าและชะงักการเจริญเติบโต ผลผลิตที่ไดมีคุณภาพตํ่า รวมถึงปริมาณลดลง อาจสงผลตอการ เลิกจางงาน ดานสิ่งแวดลอม สงผลกระทบตอสัตวตางๆ ทําให ขาดแคลนนํ้า เกิดโรคกับสัตว รวมถึงสูญเสียความหลากหลาย ทางชีวภาพ) นํา สอน สรุป ประเมิน T222
ภาพเปรียบเทียบทะเลสาบโอโรวิลล์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ในภาวะปกติและภาวะภัยแล้ง สาเหตุ: เนื่องจากมีปริมาณฝนในเดือนธันวาคม น้อยกว ่าค ่าปกติกว ่าครึ่ง ปริมาณหิมะบน เทือกเขาเชียร์รา เนวาดา ทางตอนเหนือของ รัฐแคลิฟอร์เนียตกน้อย ซึ่งเป็นแหล ่งผลิต น�้าจืดส�าคัญ โดยปกติมีค่าความหนาเฉลี่ยไม่ น้อยกว่า 165 เซนติเมตร แต่ความหนาของ หิมะลดเหลือประมาณ 5 เซนติเมตร พื้นที่มี อุณหภูมิพื้นผิวสูงมาก เป็นการเพิ่มระดับความ ร้อนและแล้งมากขึ้นร้อยละ 36 ท�าให้พื้นที่กว่า ครึ่งหนึ่งของรัฐแคลิฟอร์เนียเกิดความแห้งแล้ง อย่างรุนแรง ผลกระทบ : แคลิฟอร์เนียเป็นรัฐที่มีพื้นที่ทาง การเกษตรกว้างใหญ่มากแห่งหนึ่ง จึงได้รับผล กระทบจากภัยแล้งรุนแรงมากที่สุด อ่างเก็บน�้า เหตุการณ์ ภัยแล้งที่รุนแรงในสหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2557 8) การจัดการภัยพิบัติภัยแล้ง มีดังนี้ 8.1) มาตรการ มีดังนี้ 1. จัดระบบการชลประทานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นมีการจัดสรรการใช้น�้า อย่างเหมาะสม เพื่อให้มีปริมาณน�้าส�ารองไว้ ใช้หากเกิดภัยแล้ง 2. จัดหาและก่อสร้างแหล่งน�้าหรือแหล่งกักเก็บน�้าขนาดใหญ่ การพัฒนา พื้นที่ชุ่มน�้า การขุดลอกล�าน�้าเพื่อเป็นแหล่งกักเก็บน�้า รวมถึงพัฒนาแหล่งน�้าใต้ดินที่มีปริมาณมาก และมีคุณภาพเพื่อน�ามาใช้ประโยชน์ในการอุปโภคบริโภค และการเกษตร 3. จัดท�าระบบเตือนภัยแล้ง เช่น การจัดท�าปฏิทินระบุถึงระยะเวลาที่อาจ เกิดภัย และให้ความรู้แก่ประชาชนถึงการเตรียมรับมือและผลกระทบที่ได้รับจากภัยแล้ง 8.2) วิธีป้องกัน ท�าได้ ดังนี้ 1. ติดตามสภาวะอากาศ ฟังค�าแจ้งเตือนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 2. เตรียมอุปกรณ์หรือภาชนะส�าหรับกักเก็บน�้าเพื่อให้มีน�้าใช้เพียงพอในกรณี เกิดภัยแล้งหรือเมื่อถึงยามจ�าเป็น 3. ปลูกป่าไม้มากขึ้นเพื่อให้มีความชื้นเพียงพอที่จะท�าให้เกิดฝน ซาคราเมนโตและลุ่มแม่น�้าซานเฮาควินมีปริมาณน�้าน้อยมาก ทั้งนี้ ชาวแคลิฟอร์เนียใช้น�้าเฉลี่ย ประมาณ 686 ลิตรต่อวัน ท�าให้ผู้บริหารของรัฐต้องจัดระบบการปันส่วนการใช้น�้าอย่างเร่งด่วน 215 8) การจัดการภัยพิบัติภัยแล้ง 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 1. ครูใหสมาชิกในแตละกลุมชวยกันสรุปสาระ สําคัญเพื่อตอบคําถามเชิงภูมิศาสตร 2. ครูใหนักเรียนรวมกันทําใบงานที่ 5.4 เรื่อง ภัยพิบัติธรรมชาติทางชีวภาค 3. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกสมรรถนะฯ ภูมิศาสตร ม.4-6 เกี่ยวกับภัยพิบัติธรรมชาติทางชีวภาค โดยครูแนะนําเพิ่มเติม 4. ครูมอบหมายใหนักเรียนทําชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) ดวยการทํากิจกรรม Mini Project การศึกษาคนควาดวยตนเองเกี่ยวกับภัยพิบัติ ทางธรรมชาติ โดยใชความรูเรื่องภูมิศาสตร สรุปดวยประเด็นตอไปนี้ • สรุปผลการสืบคนลักษณะทางกายภาพ ซึ่งทําใหเกิดปญหาหรือภัยพิบัติทาง ธรรมชาติในประเทศไทยและภูมิภาคตางๆ ของโลก • การดําเนินการตามกระบวนการทางภูมิศาสตร • การใชเทคนิคและเครื่องมือทางภูมิศาสตร สืบคนและรวบรวมขอมูลลักษณะทาง กายภาพ ซึ่งทําใหเกิดปญหาหรือภัยพิบัติ ทางธรรมชาติ และเสนอแนวทางการปองกัน ระวังภัย กิจกรรม เสริมสรางคุณลักษณะอันพึงประสงค นักเรียนรวมกลุมกันทํากิจกรรม “ปองกันภัยแลง” โดยเลือก กิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง บนพื้นฐานความพอเพียง ดังนี้ 1. จัดทําปายนิเทศ “รูเรื่องภัยแลง” หรือ “ระวังภัยแลง” 2. ทําปายและเดินรณรงคเชิญชวนชาวไทยรวมใจปองกันและระวัง ภัยแลง 3. จัดทํารายการเสียงตามสาย “สนทนาแลกเปลี่ยนเรียนรูเรื่อง ภัยแลง” 4. จัดทําแผนพับ/แผนปลิว ความรูเรื่องการปองกันภัยแลง นักเรียนควรรู 1 การจัดการภัยพิบัติภัยแลง แนวทางการจัดการวิธีหนึ่ง คือ ธนาคารนํ้า เพื่อเปนแหลงกักเก็บนํ้า จากการดูดซึมของหินใตพื้นผิวดินที่มีนํ้าหรือ การสงตอนํ้าบาดาลผานบอซึม โดยในกระบวนการกักเก็บนํ้า มีอยู 2 วิธีการ คือ การเติมนํ้าลงในแองนํ้า (basin) โดยตรง กับการใชการแทนที่เพื่อเติมนํ้า ลงในแองนํ้า จากทั้ง 2 วิธี จะทําใหไดนํ้าบาดาลที่สามารถนํากลับมาใชใหม ในภายหลัง นํา สอน สรุป ประเมิน T223
กิจกรรม 21st Century Skills ก่อนเกิดภัย ขณะเกิดภัย หลังเกิดภัย 1. ส�ารองภาชนะเก็บกักน�้าไว้ให้เพียงพอในช่วง ฤดูฝน เพื่อจะได้มีน�้าไว้ใช้ในยามขาดแคลน ช่วงเกิดภาวะภัยแล้ง 2. เตรียมสร้างระบบกักเก็บน�้าในพื้นที่การเกษตร เช่น ขุดบ่อน�้า ร่องน�้า เพื่อจะได้มีแหล่งน�้า ส�ารองไว้ใช้ประโยชน์ 3. ติดตามสภาวะอากาศ ฟังค�าเตือนจากทาง ราชการ รวมทั้งเตรียมหมายเลขโทรศัพท์ ฉุกเฉินเพื่อขอน�้าไว้บริโภคอุปโภค หรือดับไฟป่า 4. ก�าจัดวัสดุเชื้อเพลิงรอบที่พัก เพื่อป้องกันการ เกิดไฟป่า 1. ควรใช้น�้าอย่างประหยัด เช่น ใช้น�้าจากฝักบัว เพื่อช�าระล้างร่างกายแทนการตักอาบ หรือน�า น�้าจากการซักผ้าไปใช้รดน�้าต้นไม้หรือเลือกใช้ ชักโครกแบบประหยัดน�้า 2. เพาะปลูกพืชอายุสั้นที่ใช้น�้าน้อย เช่น แตงโม พืชตระกูลถั่ว และควรใช้น�้าเพื่อการเกษตรใน ช่วงเช้าและช่วงเย็นเพื่อลดอัตราการระเหยน�้า 3. แก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการแจกจ่ายน�้าแก่ ประชาชน 4. หมั่นตรวจสอบท่อน�้าหรือก๊อกน�้าไม่ให้มีน�้า รั่วซึม 1. วางแผนการแก้ปัญหาระยาวโดยพัฒนาลุ่มน�้า เช่น สร้างฝาย เขื่อน ขุดลอกแหล่งน�้า รักษาป่าและปลูกป่าเพิ่มขึ้นเพื่อช่วยให้มีความชื้นมากพอที่จะท�าให้เกิดฝนและเก็บกัก น�้าไว้ ในพื้นดิน 2. ลดการกระท�าที่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกเช่นไม่เผาขยะลดการใช้โฟมและผลิตภัณฑ์ ที่มีสาร CFCs ซึ่งเป็นตัวการท�าลายชั้นโอโซนในบรรยากาศ ท�าให้เกิดภาวะโลกร้อน 3. รณรงค์อนุรักษ์การใช้น�้าอย่างประหยัด 8.3) การปฏิบัติตน ท�าได้ ดังนี้ กล่าวโดยสรุปโลกต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติมากมายเช่นวาตภัยอุทกภัยไฟป่า แผ่นดินไหว ภูเขาไฟปะทุสึนามิซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและชีวิตความเป็นอยู่ของ มนุษย์ที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้น จึงจ�าเป็นที่ทุกฝ่ายจะต้องหาทางป้องกันและ แก้ปัญหาเพื่อให้ธรรมชาติและมนุษย์สามารถด�ารงอยู่ต่อไปได้อย่างยั่งยืน ภัยธรรมชาติครั้งรุนแรงที่สุดของโลก 216 ขั้นสอน ขั้นที่ 5 การสรุปเพื่อตอบคําถาม 5. ใหนักเรียนทําแบบวัดฯ ภูมิศาสตร ม.4-6 เกี่ยวกับเรื่อง ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เพื่อ ทดสอบความรูที่ไดศึกษามา ขั้นสรุป ครูและนักเรียนรวมกันสรุปความรูเกี่ยวกับ ภัยพิบัติธรรมชาติทางชีวภาค ไดแก ไฟปา และ ภัยแลง ทั้งในดานของสาเหตุและกระบวนการเกิด ประเภท การกระจายการเกิด ภัยตางๆ ตัวอยาง เหตุการณที่เคยเกิดขึ้น การจัดการภัยพิบัติ ธรรมชาติทางชีวภาค ตลอดจนความสําคัญที่มี อิทธิพลตอการดําเนินชีวิตของผูคนในปจจุบัน หรืออาจใช PPT สรุปสาระสําคัญของเนื้อหา ขั้นประเมิน 1. ครูประเมินผลโดยสังเกตจากการตอบคําถาม การรวมกันทํางาน และการนําเสนอผลงาน หนาชั้นเรียน 2. ครูตรวจสอบผลจากการทําใบงาน แบบวัดฯ และแบบฝกสมรรถนะฯ ภูมิศาสตร ม.4-6 3. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียนหนวย การเรียนรูที่ 5 เรื่อง ภัยพิบัติทางธรรมชาติ แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถวัดและประเมินความเขาใจเนื้อหา เรื่อง ภัยพิบัติธรรมชาติทาง ชีวภาค ไดจากการตอบคําถาม การรวมกันทํางาน และนําเสนอผลงาน หนาชั้นเรียน โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินการ นําเสนอผลงานที่แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรูหนวยที่ 5 เรื่อง ภัยพิบัติ ทางธรรมชาติแบบประเมินการน าเสนอผลงาน ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินผลการน าเสนอผลงานของนักเรียนตามรายการ แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/................./................ เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 12 - 15 ดี 8 - 11 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง ล าดับที่ รายการประเมินระดับคะแนน 3 2 1 1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 การล าดับขั้นตอนของเรื่อง 3 วิธีการน าเสนอผลงานอย่างสร้างสรรค์ 4 การใช้เทคโนโลยีในการน าเสนอ 5 การมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม รวม นักเรียนแบงกลุมจับสลากเลือกภัยพิบัติทางธรรมชาติ ประเภทตางๆ จากนั้นใหแตละกลุมจัดทําแบบจําลองแสดงสาเหตุ สถานการณ ผลกระทบ และการจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติ ประกอบการใชเครื่องมือทางภูมิศาสตร โดยยกเหตุผลประกอบ อยางสมเหตุสมผล นําเสนอและอภิปรายรวมกันภายในชั้นเรียน แผนดินไหว ภูเขาไฟปะทุ สึนามิ แผนดินถลม คะแนนเต็ม คะแนนที่ได้ 5 กิจกรรมที่ 5.9 เรียงลําดับการเกิดภัยพิบัติที่กําหนด พรอมใหเหตุผลประกอบ และบอกวิธีการจัดการที่เหมาะสม ส 5.1 ม.4-6/2 เหตุผล ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ การจัดการภัย ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ ............................................................................................................ Geo Skill • การคิดแบบองครวม • การใชสถิติพื้นฐาน ฉบับ เฉลย ¤íҵͺ¢Öé¹ÍÂÙ‹¡Ñº¡ÒÃàÃÕ§ÅíҴѺ¢Í§ ¹Ñ¡àÃÕ¹ ¹Ñ¡àÃÕ¹ÍÒ¨àÃÕ§ÅíҴѺà¾Õ§ ºÒ§Ê‹Ç¹ ઋ¹ à¡Ô´á¼‹¹´Ô¹äËÇáÅŒÇÊ‹§¼Å ãËŒ´Ô¹¶Å‹Á ᵋäÁ‹à¡Ô´ÀÙà¢Ò俻зØáÅÐ ÊÖ¹ÒÁÔµÒÁÁÒ ¤ÃÙ¾Ô¨ÒóҤÇÒÁ¶Ù¡µŒÍ§ áÅФÇÒÁࢌÒ㨢ͧ¹Ñ¡àÃÕ¹¨Ò¡¡ÒÃãËŒ à˵ؼŻÃСͺ ËÃ×͹ѡàÃÕ¹ÍÒ¨àÃÕ§ ÅíҴѺ¤Ãº·Ñé§ 4 ÀÑÂ¾ÔºÑµÔ àª‹¹ ¹Ñ¡àÃÕ¹ àÃÕ§ÅíҴѺµÒÁÀÒ¾ à¾ÃÒÐàÁ×èÍà¡Ô´ Ἃ¹´Ô¹äËǨÐÊ‹§¼ÅãËŒà¡Ô´¡ÒÃ»Ð·Ø ¢Í§ÀÙà¢Òä¿áÅÐÍÒ¨¡Ãзº¡ÑºÃÍÂá¡ ¢Í§á¼‹¹´Ô¹ãµŒ¼×¹¹íéÒ Íѹ໚¹ÊÒà˵ءÒà à¡Ô´¤Å×è¹ÊÖ¹ÒÁÔ áÅСÒÃäËÇÊÐà·×͹¡çÁÕ ËÅÒÂÃдѺ ·íÒãˌἋ¹´Ô¹¶Å‹Á㹺ҧ ¾×é¹·Õè·ÕèÍÂÙ‹ã¡ÅŒ¨Ø´à¡Ô´à赯 1 2 3 4 ¡ÒèѴ¡ÒÃÀѾԺѵԷÕèàËÁÒÐÊÁ ¤×Í ¡ÒÃÈÖ¡ÉÒ¢ŒÍÁÙÅà¡ÕèÂǡѺÀѾԺѵÔÍÂÙ‹àÊÁÍ à¾×èÍãËŒÊÒÁÒö»¯ÔºÑµÔµ¹ä´Œ¶Ù¡µŒÍ§ àÁ×èÍ à¡Ô´ÀѾԺѵԢÖé¹ ËÅÕ¡àÅÕè§¡ÒáÃзíÒ·Õè Ê‹§¼ÅãËŒà¡Ô´ÀѾԺѵԢÖé¹ àª‹¹ Å´¡ÒÃÊÙº¹íéÒ ãµŒ´Ô¹¨¹¢Ò´ÊÁ´ØÅ à¾×èÍ»‡Í§¡Ñ¹¡ÒÃà¡Ô´ Ἃ¹´Ô¹¶Å‹Á ÈÖ¡ÉÒÊÑÞÞÒ³àµ×͹ÀÑ ËÃ×ÍÊÑÞÞÒ³¸ÃÃÁªÒµÔ·Õ躋§ºÍ¡¶Ö§ ¡ÒÃà¡Ô´ÀÑÂ¾ÔºÑµÔ àª‹¹ ¡ÒÃŴŧ¢Í§¹íéÒ Í‹ҧÃÇ´àÃçÇ¡‹Í¹¨Ðà¡Ô´¤Å×è¹ÊÖ¹ÒÁÔ ¢³Ð·Õè à¡Ô´ÀѾԺѵԤÇõÑé§ÊµÔáÅл¯ÔºÑµÔµÒÁ ¤íÒá¹Ð¹íÒ·Õèä´ŒÈÖ¡ÉÒÁÒ à¾×èÍÅ´¤ÇÒÁàÊÕè§ µ‹ÍªÕÇÔµáÅзÃѾÂÊÔ¹ (แนวตอบ) 74 แบบวัดฯ นํา สอน สรุป ประเมิน T224
คําถามเน้นการคิด กิจกรรมพัฒนาทักษะ 1. ให้นักเรียนยกตัวอย่างพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟปะทุ สึนามิ และแผ่นดินถล่ม 1 ตัวอย่าง พร้อมทั้งระบุเหตุผล 2. บริเวณที่มักเกิดพายุหมุนเขตร้อน พายุทอร์นาโด มีลักษณะทางกายภาพอย่างไร 3. การเกิดน�้าท่วมใหญ่ในภาคกลางของประเทศไทยใน พ.ศ. 2554 เกิดจากสาเหตุใด ส่งผลกระทบอย่างไร และมีแนวทางป้องกันและรับมือกับปัญหาในระยะยาวอย่างไร 4. สาเหตุของการเกิดไฟป่าในประเทศไทยและในภูมิภาคอื่นของโลกมีความเหมือน หรือแตกต่างกัน อย่างไร 5. ปัจจัยที่ท�าให้เกิดภัยแล้งมีอะไรบ้าง และภัยแล้งเกิดขึ้นได้อย่างไร 6. ภัยธรรมชาติแต่ละประเภทส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมอย่างไร จงยกตัวอย่าง 1. ให้นักเรียนยกตัวอย่างพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟปะทุ สึนามิ 2. บริเวณที่มักเกิดพายุหมุนเขตร้อน พายุทอร์นาโด มีลักษณะทางกายภาพอย่างไร 3. การเกิดน�้าท่วมใหญ่ในภาคกลางของประเทศไทยใน พ.ศ. 2554 เกิดจากสาเหตุใด 4. สาเหตุของการเกิดไฟป่าในประเทศไทยและในภูมิภาคอื่นของโลกมีความเหมือน 5. ปัจจัยที่ท�าให้เกิดภัยแล้งมีอะไรบ้าง และภัยแล้งเกิดขึ้นได้อย่างไร 6. ภัยธรรมชาติแต่ละประเภทส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านทรัพยากรธรรมชาติ 1. สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับภัยพิบัติที่มักเกิดขึ้นในพื้นที่เดิมทุกปี เพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุที่ก่อให้เกิด ภัยพิบัตินั้น 2. ศึกษาภัยพิบัติที่เพิ่งเกิดขึ้นในประเทศไทยหรือในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก เขียนสรุปสาระส�าคัญ ประเด็นต่อไปนี้ • สาเหตุ • ผลกระทบ • ความช่วยเหลือจากหน่วยงานหรือประเทศต่าง ๆ • แนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาในอนาคต • การรับมือ 3. จัดท�าคู่มือป้องกันภัยพิบัติใดก็ได้ที่นักเรียนสนใจ เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจ 4. แบ่งกลุ่มจ�าลองสถานการณ์การรับมือภัยพิบัติ 1 ภัย ฝึกซ้อมการอพยพหนีภัย การเคลื่อนย้าย และดูแลผู้บาดเจ็บ 1. สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับภัยพิบัติที่มักเกิดขึ้นในพื้นที่เดิมทุกปี เพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุที่ก่อให้เกิด 2. ศึกษาภัยพิบัติที่เพิ่งเกิดขึ้นในประเทศไทยหรือในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก เขียนสรุปสาระส�าคัญ 3. จัดท�าคู่มือป้องกันภัยพิบัติใดก็ได้ที่นักเรียนสนใจ เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจ 4. แบ่งกลุ่มจ�าลองสถานการณ์การรับมือภัยพิบัติ 1 ภัย ฝึกซ้อมการอพยพหนีภัย การเคลื่อนย้าย 217 เฉลย แนวทางประเมินกิจกรรมพัฒนาทักษะ ประเมินความรอบรู • ใชในการประเมินความรอบรูในหลักการพื้นฐาน กระบวนการความสัมพันธของขั้นตอนการปฏิบัติงาน รวมถึงทักษะการคิดในเรื่องตางๆ โดยทั่วไป งานหรือชิ้นงานใชเวลาไมนาน งานสําหรับประเมินรูปแบบนี้อาจเปนคําถามปลายเปดหรือผังมโนทัศน นิยมสําหรับประเมินผูเรียนรายบุคคล ประเมินความสามารถ • เชน ความคลองแคลวในการใชเครื่องมือทางภูมิศาสตร การแปลความหมายขอมูล ทักษะการตัดสินใจ ทักษะการแกปญหา งานหรือชิ้นงานจะสะทอนถึง ทักษะและระดับความสามารถในการนําความรูไปใช อาจเปนการประเมินการเขียน ประเมินกระบวนการทํางานทางภูมิศาสตรตางๆ หรือการวิเคราะห และการแกปญหา ประเมินทักษะ • มีเปาหมายหลายประการ ผูเรียนไดแสดงทักษะ ความสามารถทางภูมิศาสตรตางๆ ที่ซับซอนขึ้น งานหรือชิ้นงานมักเปนโครงงานระยะยาว ซึ่งผูเรียน ตองมีการนําเสนอผลการปฏิบัติงานตอผูเกี่ยวของหรือตอสาธารณะ สิ่งที่ตองคํานึงถึงในการประเมิน คือ จํานวนงานหรือกิจกรรมที่ผูเรียนปฏิบัติ และผูประเมินควรกําหนดรายการประเมิน และทักษะที่ตองการประเมินให ชัดเจน เฉลย คําถามเนนการคิด 1. ตัวอยางพื้นที่เสี่ยงตอการเกิดแผนดินถลม เชน พื้นที่บานหวยขาบ อ.บอเกลือ จ.นาน ซึ่งเคยเกิดภัยพิบัติแผนดินถลมเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 มีผูเสียชีวิตจํานวน 8 ราย สูญหาย 2 ราย บานเรือนเสียหายกวา 261 ครัวเรือน โดยมีสาเหตุมาจากการเกิด ฝนตกหนักตอเนื่อง 20 วัน ประกอบกับการมี ภูมิประเทศที่เปนภูเขาที่ลาดชันถึง 25 องศา จึงทําใหเกิดการถลมของดินไดงาย 2. พายุหมุนเขตรอน เกิดขึ้นในมหาสมุทรเขตรอน ซึ่งมีอากาศรอนและมีความชื้นสูง สวนพายุ ทอรนาโด เกิดขึ้นบริเวณที่เปนที่ราบขนาดใหญ และในเขตอบอุน 3. มีสาเหตุทั้งจากอิทธิพลของลานีญา สงผลให เกิดปริมาณฝนมากจากพายุหลายลูก รวมถึง การลดลงของพื้นที่ปา การกีดขวางของสิ่งปลูก สราง และระบบบริหารจัดการนํ้า กอใหเกิด การสูญหาย เสียชีวิตของผูคน สิ่งปลูกสราง และพื้นที่การเกษตรเสียหาย จึงควรใหความรู แกประชาชนในการจัดการเพื่อรับมือกับ ภัยพิบัติ 4. แตกตางกัน โดยไฟปาในประเทศไทยมักเกิด จากการเผาปาเพื่อหาของปา หรือพื้นที่ทําการ เกษตร รวมถึงสภาพอากาศที่แหงแลง สวนใน ภูมิภาคอื่นของโลกมักเกิดจากธรรมชาติ เชน ฟาผา ภูเขาไฟปะทุ หรือการเสียดสีของกิ่งไม 5. ปจจัยที่ทําใหเกิดภัยแลง เชน สภาพอากาศ ปริมาณฝน แหลงนํ้า การอุมนํ้าของดิน โดย ภัยแลงเกิดขึ้นไดจากการผันแปรของสภาพ อากาศ การทําลายปาไม การขาดแหลง กักเก็บนํ้า ความตองการใชนํ้าที่เพิ่มมากขึ้น 6. เชน ไฟปา สงผลใหเกิดภาวะโลกรอน นอกจากนี้ ยังทําลายความอุดมสมบูรณของหนาดิน ปญหาหมอกควันที่เปนอันตรายตอสุขภาพ มนุษยและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ สัตวปาลดจํานวน ลงจากแหลงที่อยูอาศัย และแหลงอาหาร ถูกทําลาย นํา สอน สรุป ประเมิน T225
Chapter Overview แผนการจัด การเรียนรู้ สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้ คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ แผนฯ ที่ 1 สถานการณ์ การเปลี่ยนแปลง ด้านทรัพยากร ธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม 2 ชั่วโมง - หนังสือเรียน ภูมิศาสตร์ม.4-6 - แบบฝึกสมรรถนะ และการคิด ภูมิศาสตร์ ม.4-6 - แบบทดสอบก่อนเรียน - PowerPoint - ใบงานที่ 6.1 - เครื่องมือทาง ภูมิศาสตร์เช่น แผนที่ เข็มทิศ รูปถ่ายทางอากาศ ภาพจากดาวเทียม 1. วิเคราะห์สถานการณ์ การเปลี่ยนแปลงด้าน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ทั้งใน ด้านสาเหตุผลกระทบ และแนวทางแก้ไขได้(K) 2. เลือกใช้เครื่องมือทาง ภูมิศาสตร์ในการศึกษา สถานการณ์การ เปลี่ยนแปลงด้าน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ทั้งใน ด้านสาเหตุผลกระทบ และแนวทางแก้ไขได้(P) 3. เห็นคุณค่าในการศึกษา สถานการณ์การ เปลี่ยนแปลงด้าน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ทั้งใน ด้านสาเหตุผลกระทบ และแนวทางแก้ไข เพิ่มมากขึ้น (A) กระบวนการ ทางภูมิศาสตร์ (Geographic Inquiry Process) - ตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน - ตรวจการท�ำแบบฝึก สมรรถนะและการคิด ภูมิศาสตร์ม.4-6 - ตรวจใบงานที่ 6.1 - ประเมินการน�ำเสนอผลงาน - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายบุคคล - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานกลุ่ม - ประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - การสังเกต - การแปลความ ข้อมูลทาง ภูมิศาสตร์ - การใช้เทคนิค และเครื่องมือ ทางภูมิศาสตร์ - การคิดเชิงพื้นที่ - การคิดแบบ องค์รวม 1. ใฝ่เรียนรู้ 2. มุ่งมั่นในการ ท�ำงาน 3. มีจิตสาธารณะ แผนฯ ที่ 2 มาตรการ ป้องกัน และแก้ไขปัญหา ทรัพยากร ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม 2 ชั่วโมง - หนังสือเรียน ภูมิศาสตร์ม.4-6 - แบบฝึกสมรรถนะ และการคิด ภูมิศาสตร์ ม.4-6 - PowerPoint - ใบงานที่ 6.2 - เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ เช่น แผนที่ เข็มทิศ รูปถ่ายทางอากาศ ภาพจากดาวเทียม 1. อธิบายมาตรการป้องกัน และแก้ไขปัญหา ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมได้(K) 2. อธิบายกฎหมายและ นโยบายทรัพยากร ธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมได้(K) 3. อธิบายบทบาทของ องค์กรและการประสาน ความร่วมมือทั้งใน ประเทศและระหว่าง ประเทศได้(K) 4. เลือกใช้เครื่องมือทาง ภูมิศาสตร์ในการศึกษา มาตรการป้องกันและ แก้ไขปัญหาทรัพยากร ธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมได้(P) 5. สนใจศึกษามาตรการ ป้องกันและแก้ไขปัญหา ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจการท�ำแบบฝึก สมรรถนะและการคิด ภูมิศาสตร์ม.4-6 - ตรวจใบงานที่ 6.2 - ประเมินการน�ำเสนอผลงาน - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายบุคคล - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานกลุ่ม - ประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - การคิดเชิงพื้นที่ - การคิดแบบ องค์รวม 1. ใฝ่เรียนรู้ 2. มุ่งมั่นในการ ท�ำงาน 3. มีจิตสาธารณะ T226
แผนการจัด การเรียนรู้ สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้ คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ แผนฯ ที่ 3 การจัดการ ทรัพยากร ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ที่ยั่งยืน 2 ชั่วโมง - หนังสือเรียน ภูมิศาสตร์ม.4-6 - แบบฝึกสมรรถนะ และการคิด ภูมิศาสตร์ ม.4-6 - แบบวัดและบันทึกผล การเรียนรู้ภูมิศาสตร์ ม.4-6 - แบบทดสอบหลังเรียน - PowerPoint - ใบงานที่ 6.3 - เครื่องมือทาง ภูมิศาสตร์เช่น แผนที่ เข็มทิศ รูปถ่ายทางอากาศ ภาพจากดาวเทียม 1. วิเคราะห์แนวทาง การจัดการทรัพยากร ธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมเพื่อการ พัฒนาที่ยั่งยืนได้(K) 2. เสนอแนวทางการมี ส่วนร่วมในการจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมเพื่อการ พัฒนาที่ยั่งยืนได้(K) 3. เลือกใช้เครื่องมือทาง ภูมิศาสตร์ในการศึกษา แนวทางการจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมเพื่อการ พัฒนาที่ยั่งยืนได้(P) 4. เห็นคุณค่าของการมี ส่วนร่วมในการจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมเพื่อ การพัฒนาที่ยั่งยืน เพิ่มมากขึ้น (A) กระบวนการ ทางภูมิศาสตร์ (Geographic Inquiry Process) - ตรวจการท�ำแบบฝึกสมรรถนะ และการคิด ภูมิศาสตร์ม.4-6 - ตรวจการท�ำแบบวัดและ บันทึกผลการเรียนรู้ ภูมิศาสตร์ม.4-6 - ตรวจใบงานที่ 6.3 - ประเมินการน�ำเสนอผลงาน - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายบุคคล - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานกลุ่ม - ประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน - การแปลความ ข้อมูลทาง ภูมิศาสตร์ - การใช้เทคนิค และเครื่องมือ ทางภูมิศาสตร์ - การคิดเชิงพื้นที่ - การคิดแบบ องค์รวม 1. ใฝ่เรียนรู้ 2. มุ่งมั่นในการ ท�ำงาน 3. มีจิตสาธารณะ T227
นักเรียนจะมี แนวทางในการจัดการ ·ÃѾÂҡøÃÃÁªÒµÔ áÅÐÊÔè§áÇ´ÅŒÍÁ ให้เกิดความยั�งยืน ได้อย่างไร ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมกับ การพัฒนาที่ยั่งยืน หน่วยการเรียนรู้ที่6 สาระการเรียนรู้แกนกลาง • สถำนกำรณ์กำรเปลี่ยนแปลงด้ำน ทรัพยำกรธรรมชำติและสิ�งแวดล้อม ได้แก่ กำรเปลี่ยนแปลงสภำพภูมิอำกำศ ควำมเสื่อมโทรมของสิ�งแวดล้อม ควำม หลำกหลำยทำงชีวภำพ และภัยพิบั ติ • สำเหตุและผลกระทบของกำรเปลี่ยน แปลงด้ำนทรัพยำกรธรรมชำติและ สิ�งแวดล้อมของประเทศไทยและภูมิภำค ต่ำง ๆ ของโลก • กำรจัดกำรภัยพิบัติ • มำตรกำรป้องกันและแก้ไขปัญหำ ทรัพยำกรธรรมชำติและสิ�งแวดล้อม ในประเทศและระหว่ำงประเทศ ตำม แนวทำงกำรพัฒนำที่ยั�งยืน ควำมมั�นคง ของมนุษย์และกำรบริโภคอย่ำงรับผิดชอบ • กฎหมำยและนโยบำยด้ำนทรัพยำกร ธรรมชำติและสิ�งแวดล้อมทั้งในประเทศ และระหว่ำงประเทศ • บทบำทขององค์กำร และกำรประสำน ควำมร่วมมือทั้งในประเทศและระหว่ำง ประเทศ • แนวทำงกำรจัดกำรทรัพยำกรธรรมชำติ และสิ�งแวดล้อม • กำรมีส่วนร่วมในกำรแก้ปัญหำ และ กำรด�ำเนินชีวิตตำมแนวทำงกำรจัดกำร ทรัพยำกรและสิ�งแวดล้อมเพื่อกำรพัฒนำ ที่ยั�งยืน ตัวชี้วัด ส 5.2 ม.4 - 6/2 - 4 ทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อมมีควำมส�ำคัญต่อวิถีชีวิต ของมนุษย์ แต่เนื่องจำกกำรเพิ่มขึ้นของจ�ำนวนประชำกรโลก จึงท�ำให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงสภำพภูมิอำกำศของโลก ส่งผลให้ ทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมลงอย่ำงรวดเร็ว จึงเกิดแนวคิดร่วมกันจัดกำรทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อม เพื่อกำรพัฒนำและมีทรัพยำกรใช้อย่ำงยั่งยืน 218 219 ขั้นนํา (Geographic Inquiry Process) 1. ครูแจงใหนักเรียนทราบถึงวิธีสอน ชื่อเรื่อง จุดประสงค และผลการเรียนรู 2. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียนหนวย การเรียนรูที่ 6 เรื่อง ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดลอมกับการพัฒนาที่ยั่งยืน 3. ครูใหนักเรียนดูภาพ หรือคลิปวิดีโอที่เกี่ยวของ กับการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของโลกใน ดินแดนตางๆ 4. ครูตั้งคําถามกระตุนความคิดโดยให นักเรียนรวมกันตอบคําถามโดยเชื่อมโยงกับ ประเทศไทย เชน • สถานการณดานสิ่งแวดลอมของประเทศไทย ในปจจุบันมีความสัมพันธกับวิกฤตการณ ดานสิ่งแวดลอมในสวนตางๆ ของโลก อยางไร ยกตัวอยางประกอบพอสังเขป เกร็ดแนะครู ครูจัดกิจกรรมการเรียนรูเพื่อใหนักเรียนสามารถวิเคราะหสถานการณและวิกฤตการณดานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมในประเทศไทยและ โลกได รวมถึงสามารถระบุมาตรการปองกันและแนวทางการแกไขปญหา บทบาทขององคการและการประสานความรวมมือทั้งในประเทศและนอกประเทศ เกี่ยวกับกฎหมายสิ่งแวดลอม การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ระบุแนวทางการอนุรักษและมีสวนรวมในการแกปญหาโดยเนนการพัฒนา ทักษะกระบวนการตางๆ เชน • ครูใหนักเรียนศึกษาเกี่ยวกับสถานการณและวิกฤตการณดานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมในประเทศตางๆ ที่นักเรียนสนใจคนละ 1 ประเทศ จากนั้นออกแบบและจัดทําการนําเสนอผลงานเผยแพรความรู และแนวทางการปองกันวิกฤตการณดังกลาว • ครูใหนักเรียนศึกษาคนควาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติเพื่อจัดทําบทความและหลักการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ในภูมิภาคตางๆ ของโลก นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T228
ขอสอบเนน การคิด 1 สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงด้านทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันได้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงทำงกำยภำพของโลก ทั้งในส่วนที่เกิดจำกภำยในเปลือกโลก กำรเปลี่ยนแปลงบริเวณพื้นผิวโลก และกำรเปลี่ยนแปลงภำยในบรรยำกำศของโลก ซึ่งมีผลกระทบ โดยตรงและโดยอ้อมต่อมนุษย์ ลักษณะกำรเปลี่ยนแปลงมีตั้งแต่กำรเกิดขึ้นอย่ำงช้ำ ๆ ไปจนถึง กำรเกิดขึ้นอย่ำงฉับพลันและรุนแรง ส่งผลให้เกิดควำมเสียหำยต่อชีวิตและทรัพย์สินจ�ำนวนมำก 1.1 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กำรที่อุณหภูมิของโลกค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นทีละน้อย ท�ำให้เกิดควำมเสี่ยงที่จะเกิด ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมำกยิ่งขึ้น เช่น อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น ท�ำให้เกิดกำรละลำยของน�้ำแข็ง ขั้วโลกเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ระดับน�้ำทะเลโลกสูงขึ้น หรือท�ำให้เกิดวิกฤตสภำพอำกำศผันผวนอย่ำง สุดขั้ว (extreme weather) 1) สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กำรเปลี่ยนแปลงสภำพ ภูมิอำกำศเป็นปรำกฏกำรณ์ที่เกิดขึ้นอย่ำงช้ำ ๆ และใช้เวลำนำนกว่ำจะสังเกตพบได้ โดยนับตั้งแต่ สมัยปฏิวัติอุตสำหกรรมเป็นต้นมำ มีกำรสะสมของแก๊สเรือนกระจกและกำรเก็บกักควำมร้อน ในชั้นบรรยำกำศเพิ่มสูงขึ้นอย่ำงรวดเร็ว ก่อให้เกิดภำวะโลกร้อน มีผลท�ำให้ภูมิอำกำศมีกำร เปลี่ยนแปลงอย่ำงฉับพลัน ใน พ.ศ. 2544 คณะกรรมกำรระหว่ำงรัฐบำลว่ำด้วยกำรเปลี่ยนแปลง สภำพภูมิอำกำศ (IPCC) ได้ประเมินว่ำ นับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 อุณหภูมิเฉลี่ยของโลก ได้เพิ่มสูงขึ้น 0.6 องศำเซลเซียส และภำยใน พ.ศ. 2643 อุณหภูมิของโลกจะสูงขึ้นอีกประมำณ 1.4 - 5.8 องศำเซลเซียส รวมทั้งระดับน�้ำทะเลทั่วโลกจะสูงขึ้น 0.09 - 0.88 เมตร หำกมนุษย์ ยังคงปล่อยแก๊สเรือนกระจกเหมือนที่ผ่ำนมำ จะส่งผลกระทบต่อกำรด�ำรงอยู่ของประชำกรโลก กำรที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นท�ำให้เขตภูมิอำกำศของโลกในปัจจุบันเปลี่ยนไป โดยเฉพำะ พื้นที่ป่ำในเขตอบอุ่น พืชพรรณธรรมชำติบำงชนิดอำจสูญหำยไปและเกิดพันธุ์ไม้ชนิดใหม่ขึ้นมำ ท�ำให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศได้ นอกจำกนี้ กำรที่อุณหภูมิอบอุ่นขึ้นส่งผลให้แมลง ศัตรูพืชมีกำรแพร่พันธุ์และแพร่ระบำดมำกขึ้น รวมถึงท�ำให้เกิดไฟป่ำบ่อยครั้ง อัตรำกำรตำยของ ปศุสัตว์และสัตว์ป่ำเพิ่มสูงขึ้น และยังท�ำให้ปริมำณน�้ำในแหล่งน�้ำเพิ่มขึ้นส�ำหรับประเทศที่ต้องพึ่งพำ แหล่งน�้ำจำกกำรละลำยของหิมะ ขณะที่ประเทศเขตร้อนจะเกิดภำวะขำดแคลนน�้ำในวงกว้ำง 218 219 สภำพภูมิอำกำศ (IPCC) ได้ประเมินว่ำ นับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 อุณหภูมิเฉลี่ยของโลก เปลี่ยนแปลงอย่ำงฉับพลัน ใน พ.ศ. 2544 คณะกรรมกำรระหว่ำงรัฐบำลว่ำด้วยกำรเปลี่ยนแปลง 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร 1. ครูใหนักเรียนวิเคราะหรวมกันถึงพฤติกรรม ในชีวิตประจําวันของนักเรียนและบุคคลใน ครอบครัวที่กอใหเกิดการเปลี่ยนแปลงดาน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมในดาน ตางๆ เชน อากาศ ดิน นํ้า ปาไม สัตวปา แร และพลังงาน อาหาร รวมไปถึงขยะตางๆ 2. ครูสุมนักเรียนเพื่อนําเสนอพฤติกรรมที่กอให เกิดการเปลี่ยนแปลงดานทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดลอมในดานตางๆ จํานวน 5-6 คน จากนั้นใหอภิปรายถึงพฤติกรรมดังกลาว รวมกัน เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับความผันผวนของภูมิอากาศวาเปนระบบ ภูมิอากาศที่แปรปรวนไปจากแบบแผนของภูมิอากาศที่เคยเปนอยูในอดีต ที่แตกตาง ไปจากคาเฉลี่ยสถิติทั้งในเชิงพื้นที่และเวลา เชน โดยปกติประเทศไทยฝนจะ เริ่มตกประมาณเดือนพฤษภาคม แตถามีฝนตกตอเนื่องตั้งแตเดือนเมษายนถือวา มีความผันผวนของฝนเกิดขึ้น ในอนาคตมีการคาดการณวา “เกาะจะถูกนํ้าทวม” เหตุการณนี้ เปนผลมาจากสาเหตุใด 1. ภาวะโลกรอนที่รุนแรง 2. ปาไมอุดมสมบูรณมากขึ้น 3. ฝนตกหนักตอเนื่องเปนเวลานาน 4. ประชากรอพยพเขาไปอยูอาศัยมาก 5. ลดการปลอยแกสคารบอนไดออกไซด (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. ประเทศที่เปนหมูเกาะมีพื้นที่ตํ่า อยูแลว เมื่อเกิดภาวะโลกรอนที่รุนแรงจะสงผลใหระดับนํ้าทะเล เพิ่มสูงขึ้นจนอาจเขาทวมพื้นที่ของเกาะได) นักเรียนควรรู 1 คณะกรรมการระหวางรัฐบาลวาดวยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) เปนองคการระหวางประเทศที่ทําหนาที่ประเมินการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ กอตั้งขึ้นโดยโครงการสิ่งแวดลอมแหงสหประชาชาติ (UNEP) และ องคการอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ใน พ.ศ. 2531 มีจุดประสงคเพื่อใหทั่วโลก รับรูเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และแนวโนมผลกระทบตอ สิ่งแวดลอม เศรษฐกิจ และสังคม นํา สอน สรุป ประเมิน T229
ขอสอบเนนการคิด ส�ำหรับสถำนกำรณ์กำรเปลี่ยนแปลงสภำพภูมิอำกำศของประเทศไทย จำกข้อมูล กำรตรวจวัดที่ผิวพื้นและในบรรยำกำศของสถำนีอุตุนิยมวิทยำทั่วประเทศ บ่งชี้ว่ำอุณหภูมิใน ประเทศไทยในรอบ 55 ปีที่ผ่ำนมำ (พ.ศ. 2498 - 2552) เพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ยปีละ 1.45 องศำเซลเซียส โดยค่ำเฉลี่ยรำยปีอุณหภูมิสูงสุดเพิ่มขึ้น 0.86 องศำเซลเซียส และค่ำเฉลี่ยอุณหภูมิต�่ำสุดเพิ่มขึ้น 0.95 องศำเซสเซียส ในขณะที่สถำบันสำรสนเทศทรัพยำกรน�้ำและกำรเกษตรระบุว่ำที่อุณหภูมิ ผิวน�้ำทะเลเฉลี่ยในอ่ำวไทยและทะเลอันดำมันมีแนวโน้มสูงขึ้นประมำณ 0.1 องศำเซลเซียสต่อ ทศวรรษในรอบ 50 ปี(พ.ศ.2510 - 2549) ระดับน�้ำทะเลเฉลี่ยในอ่ำวไทยมีแนวโน้มสูงขึ้นด้วย อัตรำ 3.0 - 5.0มิลลิเมตรต่อปีส่งผลกระทบเช่นบริเวณอ่ำวไทยตอนบนเกิดกำรรุกล�้ำของน�้ำเค็ม ท�ำให้ผลิตข้ำวได้น้อยลง ส่งผลต่อระบบนิเวศชำยฝั่ง ท�ำให้เกิดกำรปนเปื้อนของน�้ำเค็มในแหล่ง น�้ำจืด และท�ำให้พื้นที่ป่ำชำยเลนลดลง 2) สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ส�ำคัญ มีดังนี้ 2.1) สาเหตุจากธรรมชาติเช่น กำรเพิ่มขึ้นของพลังงำนควำมร้อนจำกดวงอำทิตย์ ท�ำให้พลังงำนที่โลกได้รับในแต่ละฤดูและแต่ละละติจูดเปลี่ยนแปลงไปอย่ำงมำก 2.2) สาเหตุจากมนุษย์ ตั้งแต่โลกเข้ำสู่สมัยปฏิวัติอุตสำหกรรมเป็นต้นมำ มนุษย์ ได้พัฒนำเทคโนโลยีเครื่องจักรกลขึ้นมำใช้ทุ่นแรง เพื่อเพิ่มก�ำลังในกำรผลิตและอ�ำนวยควำมสะดวก ต่ำง ๆ ซึ่งท�ำให้เกิดกำรเพิ่มขึ้นของแก๊สเรือนกระจกเช่นแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์จำกกำรเผำไหม้ เชื้อเพลิงถ่ำนหินน�้ำมันดิบและแก๊สธรรมชำติ แก๊สมีเทนและไนตรัสออกไซด์จำกกำรท�ำกำรเกษตร และกำรปศุสัตว์ และกำรเพิ่มขึ้นของสำรคลอโรฟลูออโรคำร์บอน (Chlorofluorocarbons: CFCs) ที่ท�ำลำยชั้นโอโซน มีผลท�ำให้อุณหภูมิของอำกำศเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลง สภำพภูมิอำกำศของโลก กำรปล่อยแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์จำกกำรเผำไหม้เชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ออกสู่บรรยำกำศจ�ำนวนมำก เป็นสำเหตุส�ำคัญ ประกำรหนึ่งที่ท�ำให้เกิดกำรเปลี่ยนแปลงสภำพภูมิอำกำศ 220 221 รเพิ่มขึ้นของสำรคลอโรฟลูออโรคำร์บอน 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร 3. ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเพิ่มเติมจาก พฤติกรรมในชีวิตประจําวันของนักเรียน และบุคคลในครอบครัวที่กอใหเกิดการ เปลี่ยนแปลงดานทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดลอมในดานตางๆ เชน อากาศ ดิน นํ้า ปาไม สัตวปา แรและพลังงาน อาหาร รวมไปถึงขยะตางๆ เกี่ยวกับผลกระทบที่ เกิดขึ้นจากพฤติกรรมดังกลาว พรอมทั้งเสนอ แนวทางแกไขในเบื้องตนรวมกัน ประกอบการ ใชคําถาม เชน • ในเมืองใหญที่มีการจราจรหนาแนนจะมี สภาพอากาศเปนอยางไร และสงผลกระทบ ตอมนุษยอยางไร (แนวตอบ การจราจรที่หนาแนนกอใหเกิด มลภาวะทางอากาศที่รุนแรง จากสารพิษ ที่เกิดจากการเผาไหมเชื้อเพลิงฟอสซิลของ เครื่องยนต ไดแก ไนโตรเจนไดออกไซด คารบอนมอนอกไซด ตะกั่ว และ ไฮโดรคารบอน ซึ่งเปนอันตรายตอระบบ ทางเดินหายใจ ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบ ประสาทของรางกาย) นักเรียนควรรู 1 สารคลอโรฟลูออโรคารบอน หรือสาร CFCs เปนสารที่มีความคงตัวสูงมาก จึงสลายตัวไดชาที่สุด เมื่อถูกปลอยออกสูบรรยากาศจะลอยไปถึงชั้นสแตรโทสเฟยร เมื่อถึงชั้นบรรยากาศดังกลาวรังสีอัลตราไวโอเลตจะทําให CFCs แตกตัวและปลอย อะตอมของคลอรีนออกมา อะตอมของคลอรีนจะไปดึงอะตอมของออกซิเจนจาก โมเลกุลของโอโซนออกมาเพื่อสรางสารชนิดใหม ดังนั้น ยิ่งสาร CFCs มีมากเทาใด โอโซนก็จะถูกทําลายมากขึ้นเทานั้น เหตุการณใดที่อาจกลาวไดวาเปนจุดเริ่มตนของการเพิ่มขึ้น ของแกสเรือนกระจกในบรรยากาศ 1. การปฏิวัติการคา 2. การปฏิวัติเกษตรกรรม 3. การปฏิวัติอุตสาหกรรม 4. การปฏิวัติวิทยาศาสตร 5. การขยายอิทธิพลของจักรวรรดินิยม (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. การปฏิวัติอุตสาหกรรมนับเปน จุดเริ่มตนของการเพิ่มแกสเรือนกระจกในบรรยากาศ จากการ ที่ชาวยุโรปรูจักนําพลังงานเชื้อเพลิงจากธรรมชาติมาใชในการ ผลิตสินคาตางๆ ที่สําคัญ คือ การเผาไหมเชื้อเพลิง เชน ถานหิน แกสธรรมชาติ ซึ่งกอใหเกิดแกสเรือนกระจก อันนํามาซึ่งการ เปลี่ยนแปลงและวิกฤตการณทางธรรมชาติของโลกในปจจุบัน) นํา สอน สรุป ประเมิน T230
ขอสอบเนน การคิด 3) ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อุณหภูมิที่สูงขึ้นท�ำให้เกิด กำรเปลี่ยนแปลงของสภำพภูมิอำกำศในรูปแบบต่ำง ๆ เช่นรูปแบบของลมจ�ำนวนและชนิดของไอน�้ำ ในอำกำศ (ฝน ลม หิมะ และน�้ำแข็ง) ท�ำให้เกิดปัญหำด้ำนสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ เช่น 3.1) ผลผลิตทางการเกษตรลดน้อยลง กำรเปลี่ยนแปลงสภำพภูมิอำกำศ เช่น ฝนที่ตกหนักขึ้นและยำวนำน ท�ำให้เกษตรกรไม่สำมำรถเพำะปลูกได้ตำมฤดูกำล หรือบำงพื้นที่ ประสบภัยแล้งรุนแรง ท�ำให้ผลผลิตทำงกำรเกษตรลดลงซึ่งมีผลต่อเนื่องไปถึงปริมำณอำหำรส�ำรอง ในโลกน้อยลง 3.2) ความอุดมสมบูรณ์ของดินลดลงและหน้าดินได้รับความเสียหาย มีสำเหตุ มำจำกกำรชะล้ำงพังทลำยของดิน เนื่องจำกสภำพภูมิอำกำศที่รุนแรง 3.3) ระดับน�้าทะเลเพิ่มสูงขึ้น จำกภำวะโลกร้อนที่ส่งผลให้เกิดกำรขยำยตัวของ น�้ำทะเล และกำรละลำยของน�้ำแข็งบริเวณขั้วโลกท�ำให้ระดับน�้ำทะเลเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ชุมชน ริมฝั่งทะเล พื้นที่กำรเกษตรแหล่งน�้ำจืดริมฝั่ง รวมถึงประเทศที่เป็นเกำะกลำงมหำสมุทรหรือทะเล อยู่ในภำวะเสี่ยงภัยจำกน�้ำท่วม 3.4) เกิดภัยธรรมชาติรุนแรงมากขึ้น เช่น ภัยแล้ง ไฟป่ำ อุทกภัย ส่งผลกระทบ ต่อกำรท่องเที่ยว เศรษฐกิจ สังคม รวมถึงทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อม 3.5) ความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น สัดส่วนชนิดของสิ่งมีชีวิตจ�ำนวนมำกเกิดควำมเสี่ยงที่จะสูญพันธ์ุ ระบบนิเวศชำยฝั่งและบริเวณ พื้นที่ต�่ำเสี่ยงต่อกำรถูกท�ำลำยจำกระดับน�้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น 3.6) ปริมาณน�้าจืดลดลง เนื่องจำกอุณหภูมิโลกสูงขึ้น ท�ำให้มีฝนตกน้อยลง ประกอบกับอัตรำกำรระเหยของน�้ำผิวดินเพิ่มสูง ส่งผลให้น�้ำใต้ดินลดลงด้วย และกำรสูบน�้ำใต้ดิน ขึ้นมำใช้เพื่อกำรอุปโภคบริโภคมำกขึ้น มีส่วนส�ำคัญต่อกำรลดลงของน�้ำจืดทั่วโลก ในอีก 50 ปี ข้ำงหน้ำ จ�ำนวนประชำกรที่ขำดแคลนน�้ำดื่มจะเพิ่มสูงขึ้นประมำณ 5,000 ล้ำนคน จำกประชำกร ทั้งหมดประมำณ 8,000 ล้ำนคน จำกอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นท�ำให้น�้ำแข็งในขั้วโลกเหนือละลำย ซึ่งส่งผลท�ำให้ประชำกรหมีขั้วโลกลดลงอย่ำงรวดเร็ว จำกกำร ไม่มีที่อยู่อำศัย จมน�้ำตำย หรือขำดอำหำรตำย 220 221 ขั้นสอน ขั้นที่ 1 การตั้งคําถามเชิงภูมิศาสตร 4. ครูใหนักเรียนใชสมารตโฟนสืบคนคลิปวิดีโอ ที่เกี่ยวของกับปญหาทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดลอม เชน • พื้นที่ประสบภัยแลงรุนแรง • การละลายของนํ้าแข็งบริเวณขั้วโลก • ระดับนํ้าทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น • การสูญพันธุของสัตวปา • การใชนํ้าบาดาล 5. ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายแสดงความ คิดเห็นเพิ่มเติมเชื่อมโยงคลิปวิดีโอตัวอยาง วามีความเกี่ยวของกับผลกระทบจากการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอยางไร 6. ครูกระตุนใหนักเรียนชวยกันตั้งประเด็นคําถาม เชิงภูมิศาสตร เชน • การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความ เสื่อมโทรมของสิ่งแวดลอม ปญหาความ หลากหลายทางชีวภาพ และภัยพิบัติ มีสาเหตุมาจากอะไร และมีผลกระทบ อยางไรบาง • กิจกรรมการดําเนินชีวิตของมนุษยกอใหเกิด การเปลี่ยนแปลงดานทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดลอมอยางไร เกร็ดแนะครู ครูอาจตั้งประเด็นใหนักเรียนอภิปรายรวมกันถึงสาเหตุที่แทจริงของ การเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติดังที่ปรากฏในปจจุบัน เชน วิกฤตการณดาน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ภาวะโลกรอน : ภัยที่ยอนกลับสูมนุษยชาติ เพื่อใหนักเรียนตระหนักถึงบทบาทหนาที่ในการมีสวนรวมรับผิดชอบแกไขปญหา การเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติตางๆ ซึ่งเกิดจากกิจกรรมของมนุษยเปนสําคัญ มนุษยเปนสาเหตุของการแปรปรวนของสภาพอากาศไดอยางไร (แนวตอบ มนุษยเปนตนเหตุของสภาพอากาศแปรปรวนไดจาก การใชทรัพยากรธรรมชาติในกิจกรรมตางๆ นับตั้งแตอดีตมนุษย รูจักใชทรัพยากรเชื้อเพลิงที่เผาไหมซึ่งกอใหเกิดแกสเรือนกระจก เปนจํานวนมาก นอกจากนี้ การตัดไมทําลายปาเพื่อวัตถุประสงค ทางการเกษตร อุตสาหกรรม และการตั้งถิ่นฐาน ทําใหขาดแหลงที่ จะชวยดูดซับแกสคารบอนไดออกไซด และยังกอใหเกิดภัยตามมา อีกหลายประการ) สื่อ Digital ศึกษาคนควาขอมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย ไดที่ https://www.tmd.go.th/info/info.php?FileID=86 กรมอุตุนิยมวิทยา นํา สอน สรุป ประเมิน T231
4) แนวทางแก้ ไขการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ องค์กำรสหประชำชำติ ได้เตรียมพร้อมในกำรรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจำกกำรเปลี่ยนแปลงสภำพภูมิอำกำศ โดย ก�ำหนดกลไกเพื่อแก้ไขปัญหำ 2 กลไก คือ • กรอบอนุสัญญำสหประชำชำติว่ำด้วยกำรเปลี่ยนแปลงสภำพภูมิอำกำศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) ก�ำหนดให้ประเทศที่พัฒนำ แล้วลดกำรปล่อยแก๊สเรือนกระจกของตน และช่วยเหลือประเทศอื่น ๆ ในกำรลดแก๊สเรือนกระจก • พิธีสำรเกียวโต (Kyoto Protocol) ก�ำหนดให้ประเทศสมำชิกที่เข้ำร่วมต้องลดปริมำณ กำรปล่อยแก๊สเรือนกระจกไม่น้อยกว่ำร้อยละ 5 ภำยใน พ.ศ. 2551 - 2555 ต่อมำได้มีกำรบังคับใช้ ต่อให้เป็นพันธกรณีกำรลดกำรปล่อยแก๊สเรือนกระจกระยะที่ 2 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2556 - 2563 ซึ่งมีกำรก�ำหนดกลไกเพื่อช่วยสนับสนุนกำรด�ำเนินกำร เช่น (1) กำรด�ำเนินกำรร่วม (2) กำรซื้อขำย แก๊สเรือนกระจก และ (3) กลไกกำรพัฒนำที่สะอำด ส�ำหรับประชำชนทั่วไปสำมำรถมีส่วนร่วมในกำรลดกำรปล่อยแก๊สเรือนกระจก ในบรรยำกำศได้ ดังนี้ 4.1) พัฒนาพลังงานสะอาด โดยกำรเพิ่มประสิทธิภำพกำรใช้พลังงำนธรรมชำติ เช่น พลังงำนลม พลังงำนแสงอำทิตย์ พลังงำนน�้ำ เพื่อลดกำรใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่ส่งผลให้เกิด แก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ 4.2) ใช้รถยนต์ส่วนตัวให้น้อยลง และหันไปใช้จักรยำนหรือรถโดยสำรประจ�ำทำง เพื่อลดกำรปล่อยมลพิษทำงอำกำศ 4.3) ใช้พลังงานไฟฟาอย่างรู้คุณค่า เช่น ปิดเครื่องใช้ ไฟฟ้ำต่ำง ๆ เมื่อไม่ได้ใช้งำน เพื่อประหยัดกำรใช้พลังงำนไฟฟ้ำที่ได้จำกกำรเผำไหม้เชื้อเพลิงจำกถ่ำนหิน และแก๊สธรรมชำติ กำรใช้พลังงำนทดแทนช่วยลดกำรใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ที่ส่งผลให้เกิดภำวะโลกร้อน 4.4) ลดปริมาณการใช้โฟม และถุงพลาสติก เพื่อลดแก๊สเรือนกระจกที่เกิด จำกกำรเผำเพื่อก�ำจัดโฟมและถุงพลำสติกใช้แล้ว ซึ่งเป็นสำเหตุส�ำคัญที่ท�ำให้ชั้นโอโซนถูกท�ำลำย และท�ำให้อุณหภูมิของอำกำศเพิ่มขึ้น 4.5) ร่วมกันปลูกต้นไม้ เพื่อ เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับโลก โดยไม้ยืนต้น 1 ต้น จะช่วยดูดซับแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ประมำณ 9 กิโลกรัมต่อปี ขึ้นอยู่กับขนำดและชนิดพันธุ์ 222 223 4.1) พัฒนาพลังงานสะอาด โดยกำรเพิ่มประสิทธิภำพกำรใช้พลังงำนธรรมชำติ เช่น พลังงำนลม พลังงำนแสงอำทิตย์ พลังงำนน�้ำ เพื่อลดกำรใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่ส่งผลให้เกิด 1 2 ขั้นสอน ขั้นที่ 2 การรวบรวมขอมูล 1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม จํานวน 6 กลุม สืบคนขอมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงและ ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดลอม ตลอดจนสาเหตุ ผลกระทบ และ แนวทางแกไข จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 หรือจากแหลงการเรียนรูอื่นๆ เชน หนังสือในหองสมุด เว็บไซตในอินเทอรเน็ต ในประเด็นตอไปนี้ • สภาพภูมิอากาศ • ทรัพยากรดิน • ทรัพยากรนํ้า • ทรัพยากรปาไมและสัตวปา • ทรัพยากรแรและพลังงาน • ขยะและของเสียอันตราย 2. นักเรียนแตละกลุมรวมกันศึกษาขอมูลในหัวขอ ที่รับผิดชอบ ประกอบการใชเครื่องมือทาง ภูมิศาสตร 3. ครูแนะนําแหลงขอมูลสารสนเทศที่นาเชื่อถือ ใหกับนักเรียนเพิ่มเติม นักเรียนควรรู 1 พลังงานสะอาด เปนพลังงานที่ไมทําลายสิ่งแวดลอม ไดแก พลังงาน ธรรมชาติในรูปแบบตางๆ ที่สามารถนํามาใชไดไมมีวันหมด และไมกอใหเกิด มลภาวะอื่นๆ สามารถนําไปใชไดทั้งงานอุปโภค อุตสาหกรรม การพาณิชย 2 เชื้อเพลิงฟอสซิล เกิดจากการทับถมกันของซากพืชซากสัตวขนาดเล็ก ในทะเลเปนชั้นหนาจนกลายเปนชั้นหินใตผิวโลก ทําใหไดรับความรอนจาก ใตพิภพและเกิดการสลายตัวของอินทรียสาร ทําใหซากพืชซากสัตวเหลานั้น สลายตัวกลายเปนพลังงานที่ใหเชื้อเพลิงได ไดแก ถานหิน นํ้ามันดิบ และแกส ธรรมชาติ กิจกรรม สรางเสริม นักเรียนสืบคนและรวบรวมขอมูลขาวสารเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง ธรรมชาติในพื้นที่ตางๆ อันเนื่องมาจากภาวะโลกรอน ในประเด็น ลักษณะของการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ พื้นที่ที่เกิดการ เปลี่ยนแปลง ผลกระทบ แลวผลัดกันนําขอมูลมาเสนอหนาชั้นเรียน นํา สอน สรุป ประเมิน T232
1.2 ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันประเทศต่ำง ๆ ทั่วโลกต้องเผชิญกับวิกฤตกำรณ์ทำงด้ำนทรัพยำกรธรรมชำติและ สิ่งแวดล้อม และนับวันวิกฤตกำรณ์ต่ำง ๆ ก็ยิ่งทวีควำมรุนแรงมำกขึ้น 1) วิกฤตการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรดิน จำกควำมจ�ำกัดของที่ดิน กำรเปลี่ยนแปลง สภำพกำรใช้ที่ดิน กำรใช้ที่ดินไม่เหมำะสม ล้วนเป็นสำเหตุที่ท�ำให้เกิดวิกฤตกำรณ์เกี่ยวกับที่ดิน โครงกำรสิ่งแวดล้อมของสหประชำชำติระบุว่ำ ทั่วโลกมีระดับปัญหำควำมเสื่อมโทรม ของดินประมำณ 12 ล้ำนตำรำงกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ11 ของพื้นที่เกษตรกรรมทั่วโลก พื้นที่ดิน ที่เคยมีควำมอุดมสมบูรณ์ประมำณ 8.1 ล้ำนตำรำงกิโลเมตร ได้กลำยเป็นทะเลทรำย นอกจำกนี้ กำรเกิดดินเค็มท�ำให้ผลผลิตในเขตชลประทำนลดลง 1 ใน 3 ของผลผลิตทั่วโลก และปัญหำ น�้ำท่วมขังผิวดิน ท�ำให้ผลผลิตลดลง 1 ใน 10 ของผลผลิตทั่วโลก กำรเกิดมลพิษทำงดินจำกกำร ปนเปื้อนสำรเคมีรวมถึงมีกำรสูญเสียหน้ำดินรวมกันทั่วโลกสูงถึง24,000ล้ำนตันเช่นในประเทศ เอธิโอเปียมีปัญหำกำรกร่อนของดิน ท�ำให้สูญเสียหน้ำดินประมำณปีละ 2,000 ล้ำนตัน ประเทศไทยประสบปัญหำตะกอนดินถูกชะล้ำงลงสู่แหล่งน�้ำปีละประมำณ 27 ล้ำนตัน และที่ดินกว่ำ 108 ล้ำนไร่ พื้นที่ท�ำกำรเกษตรทั้งหมดภำยในประเทศจ�ำนวน 152 ไร่ เป็นพื้นที่ ประสบปัญหำกำรชะล้ำงพังทลำยของหน้ำดินซึ่งสำเหตุส่วนใหญ่มำจำกฝนตกและน�้ำป่ำไหลหลำก กรมที่ดินได้ระบุว่ำ พื้นที่กว่ำ 95 ล้ำนไร่เป็นดินกรด 14 ล้ำนไร่เป็นดินเค็ม และยังมีพื้นที่ดิน ที่ไม่เหมำะสมส�ำหรับท�ำกำรเกษตรเป็นจ�ำนวนมำก ปัญหำดังกล่ำวอำจส่งผลกระทบท�ำให้พื้นที่ เพำะปลูกลดลง และกระทบต่อกำรส่งออกสินค้ำทำงกำรเกษตรของไทย 1.1) สาเหตุของวิกฤตการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรดิน ที่ส�ำคัญ เช่น 1. สาเหตุจากมนุษย์ เนื่องจำกจ�ำนวนประชำกรที่เพิ่มขึ้น ท�ำให้มีกำรขยำย ที่ดินท�ำกินมำกขึ้นมีกำรบุกรุกแผ้วถำงพื้นที่ป่ำไม้ต้นน�้ำล�ำธำรมำกขึ้นก่อให้เกิดปัญหำกำรชะล้ำง พังทลำยของหน้ำดินอย่ำงรุนแรงจนถึงขั้นดินถล่ม กำรใช้ประโยชน์ที่ดินไม่เหมำะสม เช่น พื้นที่ดิน อุดมสมบูรณ์ที่เหมำะแก่กำรท�ำกำรเกษตร กลับน�ำมำสร้ำงที่อยู่อำศัย ส่วนพื้นที่ดินแห้งแล้ง กลับใช้ท�ำกำรเกษตร หรือกำรเพำะปลูกพืชชนิดเดียวกันซ�้ำ ๆ ในพื้นที่เพำะปลูกเดิม ท�ำให้แร่ธำตุ ในดินบำงชนิดร่อยหรอ บำงชนิดสูงเกินกว่ำเกณฑ์ที่ก�ำหนด กำรใช้ปุ๋ยเคมีมำกจนท�ำให้เกิดปัญหำ ดินเปรี้ยว รวมถึงกำรขำดกำรอนุรักษ์ดิน ปรับปรุงดิน จนส่งผลให้สมบัติของดินเปลี่ยนแปลง 2. สาเหตุจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ เนื่องมำจำกสภำพธรรมชำติและ กำรกระท�ำของมนุษย์มีผลต่อกำรเปลี่ยนเแปลงสภำพภูมิอำกำศของโลก ท�ำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น เกิดปัญหำโลกร้อน ภัยแล้ง แผ่นดินถล่ม น�้ำท่วมฉับพลัน ไฟป่ำ เป็นต้น 222 223 นไร่เป็นดินเค็ม 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 3 การจัดการขอมูล 1. สมาชิกแตละคนในกลุมนําขอมูลที่ตนไดจาก การรวบรวม มาอธิบายแลกเปลี่ยนความรู ระหวางกัน 2. สมาชิกในกลุมชวยกันคัดเลือกขอมูลที่นําเสนอ เพื่อใหไดขอมูลที่ถูกตอง และรวมอภิปราย แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เกร็ดแนะครู ครูอธิบายใหนักเรียนเขาใจถึงความสําคัญของการจัดการที่ดิน และการฟนฟู ที่ดินเสื่อมโทรมเพื่อการใชประโยชนในการแกไขและบรรเทาวิกฤตการณ ทรัพยากรที่ดินในประเทศไทย เชน มีการใชพื้นที่ที่เหมาะสมตอการเพาะปลูกไป สรางหมูบานจัดสรร นิคมอุตสาหกรรม เพื่อรองรับการขยายตัวของเมือง ดังนั้น ทั้งภาครัฐและประชาชนควรรวมมือกันใชประโยชนที่ดินอยางถูกตองเหมาะสม ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET สาเหตุสําคัญของปญหาการใชประโยชนที่ดินในประเทศไทย คืออะไร 1. การทําไรเลื่อนลอยในพื้นที่หางไกล 2. การขยายพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ 3. การบังคับใชกฎหมายที่ไมมีประสิทธิภาพ 4. การมีจํานวนประชากรหนาแนนทุกภูมิภาค 5. การมีนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญเกิดขึ้นในภูมิภาคตางๆ (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. การบังคับใชกฎหมายที่ไมมี ประสิทธิภาพนับเปนสาเหตุสําคัญของปญหาการใชที่ดินใน ประเทศไทย กลาวคือ การมีเจาหนาที่ปฏิบัติงานไมเพียงพอ การ ขาดการดูแลเอาใจใสของเจาหนาที่ภาครัฐ สงผลใหการบังคับใช กฎหมายเกี่ยวกับการใชประโยชนที่ดินเพื่อความถูกตองเหมาะสม ไมมีประสิทธิภาพเทาที่ควร) ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 1. ครูใหนักเรียนแตละกลุมที่ทําการสืบคนขอมูล เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงและความเสื่อมโทรม ของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ตลอดจนสาเหตุ ผลกระทบ และแนวทางแกไข นําเสนอขอมูลจากการศึกษา นักเรียนควรรู 1 ดินเค็ม เปนดินที่มีปริมาณเกลือชนิดตางๆ ที่ละลายนํ้าไดปะปนในดิน สูงจนเปนอันตรายตอพืช เนื่องจากไมสามารถดูดนํ้าเขาสูระบบรากไดสะดวก หรือเกิดสภาพที่เปนพิษกับพืช ดังนั้น พื้นที่ดินเค็มจึงเปนสถานที่วางเปลา ไมมีพืชขึ้น กรณีที่ดินเค็มจัดจะเห็นคราบเกลือบนผิวดินเปนบริเวณกวาง นํา สอน สรุป ประเมิน T233
ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET กำรปลูกปอเทือง เพื่อเป็นปุ๋ยพืชสด ช่วยแก้ปัญหำดินเค็ม 1.2) ผลกระทบจากวิกฤตการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรดิน ที่ส�ำคัญ มีดังนี้ 1. ด้านสิ่งแวดล้อม ควำมเสื่อมโทรมของดินเกิดจำกกำรจัดกำรที่ดิน ไม่เหมำะสม ท�ำให้มีกำรชะล้ำงพังทลำยของหน้ำดินและเกิดเป็นตะกอนตำมแหล่งน�้ำต่ำง ๆ ส่งผล ให้แหล่งน�้ำตื้นเขิน ท�ำให้รัฐต้องเสียค่ำใช้จ่ำยเป็นจ�ำนวนมำกในกำรขุดลอกตะกอนตำมแหล่งน�้ำ 2. ด้านเศรษฐกิจ ควำมเสื่อมโทรมของดินส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลผลิต ทำงกำรเกษตรที่ลดลง ท�ำให้เกษตรกรมีรำยได้ต�่ำและยำกจน 3. ด้านสังคม กำรที่เกษตรกรมีรำยได้ต�่ำ ท�ำให้เกิดกำรบุกรุกพื้นที่ป่ำไม้ ขยำยพื้นที่ท�ำกิน เพื่อให้มีรำยได้เพียงพอหรืออพยพมำหำงำนท�ำในเมือง 1.3) แนวทางในการแก้ ไขวิกฤตการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรดิน ที่ส�ำคัญ มีดังนี้ 1. การลดการไถหน้าดิน กำรไถหน้ำดินเป็นสำเหตุหนึ่งที่ท�ำให้เกิดกำรกร่อน ของหน้ำดินได้ง่ำย เพรำะดินที่ไถขึ้นมำนั้นมีโอกำสถูกน�้ำฝนชะและพัดพำออกไปได้ง่ำย แนวทำง อนุรักษ์ดินโดยลดกำรไถได้เพิ่มขึ้นอย่ำงแพร่หลำยโดยเฉพำะในสหรัฐอเมริกำ มีกำรลดกำรไถเพิ่มสูง ถึงร้อยละ 37 ของกำรเพำะปลูกทั้งหมดในประเทศ โดยอำศัยกำรเจำะและปลูกในจุดที่ก�ำหนด 2. การเพาะปลูกแบบขั้นบันได โดยปรับพื้นที่ให้รำบสลับกับผนังที่ลำดชัน แล้วท�ำกำรเพำะปลูกในช่องที่ปรับให้รำบนั้น ส่วนผนังที่ลำดชันนั้นปล่อยให้หญ้ำหรือวัชพืชขึ้น เพื่อป้องกันกำรพังทลำยของผนัง เช่น นำขั้นบันไดที่บำนำเว บนเกำะลูซอน ประเทศฟิลิปปินส์ เป็นตัวอย่ำงที่ดีของกำรท�ำกำรเกษตรแบบยั่งยืนด้วยวิธีกำรดั้งเดิมและลดกำรพังทลำยของดิน 3. การคงความอุดมสมบูรณ์ของดินและการปรับสภาพดิน ประเทศก�ำลัง พัฒนำมีกำรใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยพืชสด ในกำรเพิ่มธำตุอำหำรแก่ดิน หรือกำรปรับสภำพดิน ให้เหมำะต่อกำรเพำะปลูก เช่น กำรแก้ปัญหำดินเค็มในภำคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ด้วยกำรจัดท�ำระบบอนุรักษ์ดิน โดยกำรหว่ำนปุ๋ยพืชสด ซึ่งปุ๋ยพืชสด คือ พืชที่ปลูกส�ำหรับสับกลบ ในดินเพื่อปรับปรุงดินและเพิ่มอินทรียวัตถุให้แก่ ดิน เช่น ถั่วพร้ำ ปอเทือง 4. การท�าการเกษตรแบบอินทรีย์ เป็นกำรท�ำเกษตรที่เน้นวิธีกำรตำมธรรมชำติ ลดกำรใช้สำรเคมีในกำรปลูกพืช เพื่อปรับปรุง สภำพดินที่เสื่อมโทรม และได้ผลผลิตที่ปลอดภัย ต่อผู้บริโภค ในปัจจุบันกำรเกษตรแบบอินทรีย์ ได้เป็นแนวทำงกำรพัฒนำดินที่ยั่งยืน เป็นที่ นิยมและเติบโตมำกขึ้น เพรำะเป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อม 224 225 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 2. ครูสุมตัวแทนนักเรียนที่ไมใชกลุมที่ทําการ ศึกษาเกี่ยวกับทรัพยากรดินมาอธิบายความรู ความเขาใจเกี่ยวกับวิกฤตการณดินขาดความ อุดมสมบูรณในประเทศไทย ซึ่งประกอบดวย ดินเปรี้ยว ดินเค็ม และดินเสื่อมโทรม ใน ดานปจจัยสาเหตุ ผลกระทบ และแนวทาง การปองกันแกไขวิกฤตการณดังกลาว โดย ครูแนะนําเพิ่มเติมเพื่อใหเกิดความรูที่ถูกตอง จากนั้นใหนักเรียนรวมกันสรุปสาระสําคัญ เกี่ยวกับวิกฤตการณเกี่ยวกับทรัพยากรดิน 3. ครูตั้งคําถามนักเรียนเพิ่มเติม เชน • ปจจัยสําคัญที่มีผลตอการใชดินในประเทศ ไทยไดแกสิ่งใด (แนวตอบ เชน การอยูอาศัย การประกอบ อาชีพ ความตองการทางเศรษฐกิจ การวาง ผังเมือง ฯลฯ) เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับปญหาการถือครองที่ดินวาเปนการบุกรุกที่ดิน ของรัฐ โดยประชาชนเขาไปอยูอาศัยและประกอบอาชีพโดยขาดสิทธิในการ ครอบครองที่ดินตามกฎหมาย หรือประชาชนเขาไปครอบครองอยางถูกตอง แตรัฐประกาศใหเปนที่ดินของรัฐในภายหลัง ทําใหเกิดความขัดแยงระหวาง เจาหนาที่กับประชาชน นอกจากนี้ ในการทํารังวัดตรวจสอบที่ดินตามเอกสาร สิทธิดั้งเดิมมักปรากฏพื้นที่ที่ดินทับซอนซึ่งทําใหเกิดความขัดแยงไดเชนกัน ขอใดไมใชวิธีการจัดการคุณภาพดิน 1. ลดการไถหนาดิน 2. ปรับปรุงบํารุงดิน 3. ปลูกพืชหลายชนิด 4. ปองกันการพังทลายของดิน 5. วิเคราะหผลกระทบจากการใชดิน (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 5. การจัดการคุณภาพดินสามารถทําได หลายวิธีตามสภาพปญหา เชน ปญหาดินขาดความอุดมสมบูรณ ควรบํารุงดินดวยธาตุอาหารตางๆ และปลูกพืชใหหลากหลาย เพื่อปองกันการขาดธาตุอาหารจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยว และ ปองกันการพังทลายของดินดวยวิธีการตางๆ เชน ปลูกพืชคลุม ดิน ปองกันการกรอนของหนาดินดวยการลดการไถหนาดิน ดังนั้น คําตอบขอ 5. จึงไมใชวิธีจัดการคุณภาพดิน) นํา สอน สรุป ประเมิน T234
ขยะพลำสติกในมหำสมุทร กลำยเป็นภัยคุกคำมต่อระบบ นิเวศและสิ่งมีชีวิตในทะเล 2) วิกฤตการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรน�้า กำรขำดแคลนน�้ำเพื่ออุปโภคบริโภคและ กำรเพำะปลูก เป็นปัญหำส�ำคัญของโลก เนื่องจำกเกิดปัญหำควำมแห้งแล้งขึ้นในหลำยประเทศ โดยเฉพำะในทวีปแอฟริกำและเอเชีย รวมถึงกำรมีสำรปนเปื้อนในน�้ำหลำกหลำยพื้นที่ของโลก ในสหรัฐอเมริกำพบกำรปนเปื้อนของสำรเคมีในน�้ำบำดำล ใน 38 รัฐ ส่วนประเทศ ก�ำลังพัฒนำประชำกรในชนบทร้อยละ 61 และประชำกรในเมืองร้อยละ 26 ขำดแคลนน�้ำดื่ม ที่สะอำด และกำรปนเปื้อนของสำรพิษบริเวณชำยฝั่งทะเลของประเทศแถบมหำสมุทรแปซิฟิก ประเทศอินโดนีเซียประสบภัยแล้ง ท�ำให้ประสบภำวะขำดแคลนอำหำร เนื่องจำก ผลผลิตทำงกำรเกษตรเสียหำย ส่วนประเทศแอฟริกำใต้เผชิญกับภัยแล้งอย่ำงหนักเนื่องจำกปริมำณ ฝนสะสมต�่ำกว่ำปกติ จนรัฐบำลให้ควำมส�ำคัญกับวิกฤตกำรณ์ภัยแล้งเป็นภัยพิบัติแห่งชำติ แม้ว่ำประเทศไทยมีทรัพยำกรน�้ำอุดมสมบูรณ์แต่ในบำงพื้นที่หรือในบำงช่วงเวลำ ก็ยังคงประสบกับปัญหำด้ำนปริมำณของน�้ำและคุณภำพของน�้ำ เช่น ปัญหำกำรขำดแคลนน�้ำใน ฤดูแล้ง ท�ำให้ไม่มีน�้ำเพียงพอต่อกำรอุปโภคบริโภค ปัญหำน�้ำท่วมในฤดูฝน ปัญหำมลพิษทำงน�้ำ เช่น ภำวะน�้ำเน่ำเสีย มีกำรปนเปื้อนของสำรเคมี มีกำรรุกล�้ำของน�้ำเค็ม ล้วนส่งผลกระทบต่อ กำรด�ำรงชีวิตของประชำชน รวมถึงระบบนิเวศแหล่งน�้ำ 2.1) สาเหตุของวิกฤตการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรน�้า ที่ส�ำคัญ มีดังนี้ 1. การเกิดอุทกภัย มีสำเหตุทั้งจำกปัจจัยทำงธรรมชำติ เช่น ฝนตกหนัก จำกพำยุ น�้ำทะเลหนุนสูงกว่ำปกติ ท�ำให้น�้ำจำกแผ่นดินระบำยลงสู่ทะเลไม่ได้ และจำกกำรกระท�ำ ของมนุษย์ เช่น กำรตัดไม้ท�ำลำยป่ำ กำรก่อสร้ำงสิ่งต่ำง ๆ ขวำงทำงกำรไหลของน�้ำธรรมชำติ 2. การขาดแคลนน�้ามีสำเหตุทั้งจำกปัจจัยทำงธรรมชำติ เช่นมีฝนตกน้อย กว่ำปกติ หรือฝนทิ้งช่วงเป็นเวลำนำน และในช่วงฤดูแล้งอำกำศร้อนจึงท�ำให้เกิดกำรระเหยของน�้ำ และจำกกำรกระท�ำของมนุษย์เช่น กำรใช้น�้ำเพิ่ม มำกขึ้น กำรท�ำลำยป่ำต้นน�้ำรวมถึงขำดกำร วำงแผนกำรใช้และอนุรักษ์น�้ำที่เหมำะสม 3. การเกิดมลพิษทางน�้า มีสำเหตุมำจำกกำรทิ้งขยะและกำรระบำยน�้ำทิ้ง ลงสู่แหล่งน�้ำ ท�ำให้แหล่งน�้ำสกปรกและเน่ำเหม็น กำรใช้สำรก�ำจัดศัตรูพืชในกำรท�ำกำรเกษตร ท�ำให้น�้ำเกิดกำรปนเปื้อนของสำรเคมีจนไม ่ สำมำรถน�ำมำใช้ประโยชน์ได้มักเกิดตำมชุมชน ใหญ่ ๆ หรือบริเวณที่มีโรงงำนอุตสำหกรรม 224 225 2. การขาดแคลนน�้า 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 4. ครูแบงนักเรียนออกเปน 2 กลุม โดยใหนักเรียน นับหมายเลข 1 และ 2 ตามตําแหนงที่นั่งใน ชั้นเรียน 5. ครูใหตัวแทนนักเรียนหมายเลข 1 รวมกันอธิบาย ความรูเกี่ยวกับวิกฤตการณทรัพยากรนํ้าที่ เกิดขึ้นทั่วโลกและในประเทศไทย ตลอดจน สาเหตุ ผลกระทบ และแนวทางในการแกไข บริเวณหนาชั้นเรียน จากนั้นครูใหนักเรียน คนอื่นสอบถามขอสงสัยเพื่อใหเกิดความรู ความเขาใจที่ถูกตองชัดเจน เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับมลพิษทางนํ้าวาหลายประเทศยังประสบกับ ปญหานํ้าเสีย เชน แมนํ้ายมุนาในประเทศอินเดีย แมนํ้าวิสตูลาในประเทศ โปแลนด จนไมสามารถนํามาอุปโภคบริโภคได ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET วิกฤตการณดานทรัพยากรธรรมชาติในขอใดที่สงผลกระทบ ตอการดํารงชีวิตของมนุษยมากที่สุด 1. อากาศเสีย 2. การสูญเสียพื้นที่ปา 3. การขาดแคลนนํ้าจืด 4. พลังงานแสงอาทิตย 5. การชะลางพังทลายของดิน (วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เนื่องดวยนํ้าจืดเปนปจจัยสําคัญ ที่สุดในการดํารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดรวมทั้งมนุษย ในปจจุบัน วิกฤตการณทรัพยากรนํ้า ทั้งการขาดแคลนนํ้าเพราะภัยแลง และนํ้าเสียมีความรุนแรงมากในภูมิภาคตางๆ ของโลก ซึ่งสงผล กระทบตอการดํารงชีวิตของมนุษยทั้งทางตรงและทางออม) นักเรียนควรรู 1 การขาดแคลนนํ้า การขาดแคลนนํ้ารุนแรงมากขึ้นในชวงฤดูรอน โดยทวีป แอฟริกาขาดแคลนนํ้ามากที่สุด รองลงมาเปนภูมิภาคตะวันออกกลาง ประเทศ อินเดีย และบริเวณที่ราบตอนเหนือของประเทศจีน เนื่องจากนํ้าในแหลงนํ้า มีนอย ทั้งนํ้าผิวดินและนํ้าใตดิน นํา สอน สรุป ประเมิน T235
ซอเร็ก โรงงำนผลิตน�้ำจืดจำกน�้ำทะเลขนำดใหญ่ ตั้งอยู่ ชำนกรุงเทลอำวีฟ ประเทศอิสรำเอล 2.2) ผลกระทบจากวิกฤตการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรน�้า ที่ส�ำคัญ มีดังนี้ 1. ด้านสิ่งแวดล้อม แหล่งน�้ำตำมธรรมชำติตื้นเขิน ระดับน�้ำใต้ดินเปลี่ยนแปลง พื้นที่ที่เคยอุดมสมบูรณ์เกิดควำมแห้งแล้ง เกิดกำรกัดเซำะของหน้ำดิน 2. ด้านเศรษฐกิจ กำรขำดแคลนน�้ำท�ำให้ผลผลิตด้ำนเกษตรกรรมและ อุตสำหกรรมลดลง รวมทั้งกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ เช่น ผลผลิตทำงกำรเกษตร มีคุณภำพต�่ำ ท�ำให้รำคำผลผลิตลดลง เกิดควำมยำกจน และเกิดกำรอพยพของประชำกรไปยัง ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ 3. ด้านสังคม เกิดกำรละทิ้งถิ่นฐำนเข้ำมำท�ำงำนในเมืองใหญ่ เกิดผลกระทบ ในด้ำนสุขภำพอนำมัย กำรจัดกำรคุณภำพชีวิตลดลง และเกิดควำมขัดแย้งในกำรใช้น�้ำ 4. ด้านสุขภาพ ปัญหำน�้ำเน่ำเสียส่งกลิ่นเหม็น เป็นแหล่งแพร่ระบำดของ เชื้อโรค เช่น อหิวำตกโรค โรคทำงเดินอำหำร 2.3) แนวทางในการแก้ ไขวิกฤตการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรน�้า ที่ส�ำคัญ มีดังนี้ 1. การจัดหาแหล่งน�้าและการเก็บกักน�้า กำรสร้ำงอ่ำงเก็บน�้ำที่เหมำะสมเพื่อ กักเก็บน�้ำผิวดิน กำรสร้ำงฝำยหรือระบบจัดเก็บน�้ำอื่น ๆ เพื่อป้องกันกำรขำดแคลนน�้ำ และควบคุม อุทกภัย เช่น เขื่อนฮูเวอร์ เป็นเขื่อนคอนกรีตขนำดใหญ่ที่สร้ำงขวำงแม่น�้ำโคโลรำโด ในสหรัฐ อเมริกำ โดยมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันอุทกภัย ท�ำกำรชลประทำน สงวนพันธ์ุปลำ ผลิตกระแสไฟฟ้ำ จำกพลังงำนน�้ำ และท�ำให้เกิดทะเลสำบมีด (Lake Mead) ซึ่งเป็นอ่ำงเก็บน�้ำที่มีปริมำตรใหญ่ที่สุด ในสหรัฐอเมริกำ 2. การจัดระบบจ่ายน�้า เป็นกำรผันน�้ำจำกร่องน�้ำต่ำง ๆ หรือแหล่งน�้ำต่ำง ๆ มำรวมกัน แล้วจ่ำยลงสู่พื้นที่ที่ต้องกำร โดยวิธีกำรนี้มีมำตั้งแต่สมัยโบรำณในภูมิภำคเอเชีย ตะวันตกเฉียงใต้และอเมริกำใต้ เป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มผลผลิตทำงกำรเกษตร ช่วยลดกำรกร่อนของ ผิวดินบรรเทำน�้ำท่วมและลดปริมำณตะกอนในพื้นที่ลุ่ม 3. การพัฒนาเทคโนโลยีมาช่วย ในการจัดการน�้า เพื่อให้เพียงพอต่อกำรใช้งำน และเกิดควำมยั่งยืน เช ่น ประเทศอิสรำเอล มีกำรน�ำน�้ำเสียและน�้ำทิ้งที่ผ่ำนกำรบ�ำบัดมำเติม ลงสู่ ใต้ดินบริเวณพื้นที่ทะเลทรำยช่วงฤดูหนำว เพื่อช่วยป้องกันกำรระเหยและคืนน�้ำสู่ชั้นดิน และน�ำกลับมำใช้เป็นน�้ำชลประทำน นอกจำกนี้ ยังพัฒนำเทคโนโลยีวิศวกรรมผลิตน�้ำจืดจำก น�้ำทะเล ในปัจจุบันปริมำณน�้ำกว่ำร้อยละ 50 ที่ ใช้ ในประเทศมำจำกโรงงำนผลิตน�้ำจืดจำก น�้ำทะเล โดยผันน�้ำจำกทะเลมำแปลงเป็นน�้ำจืด เพื่อใช้ประโยชน์ในด้ำนต่ำง ๆ 226 227 เป็นกำรผันน�้ำจำกร่องน�้ำต่ำง ๆ หรือแหล่งน�้ำต่ำง ๆ 1 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 6. ครูตั้งคําถามเกี่ยวกับวิกฤตการณทรัพยากรนํ้า แลวสุมใหนักเรียนหมายเลข 2 ตอบคําถาม เชน • การเกิดนํ้าทวมในประเทศไทยมีสาเหตุมา จากปจจัยใดบาง และมีผลกระทบตอการ ดําเนินชีวิตและสังคมไทยอยางไร (แนวตอบ นํ้าทวมในประเทศไทยมีสาเหตุจาก ปจจัยหลัก 2 ประการ คือ การเกิดฝน ตกหนักจากอิทธิพลของพายุหมุนเขตรอน ที่กอตัวในทะเลจีนใต หรือทางตะวันตก ของมหาสมุทรแปซิฟกดานชายฝงประเทศ ฟลิปปนส และการขาดการวางแผนจัดการ นํ้าที่ดีของหนวยงานที่เกี่ยวของตางๆ ซึ่ง สงผลกระทบตอการดําเนินชีวิตของคนไทย ทั้งในระดับบุคคล เชน การอยูอาศัย การ ประกอบอาชีพ การเกิดโรคติดตอ และ ในระดับสังคม เชน การชะลอตัวทาง เศรษฐกิจจากการที่แหลงเกษตรกรรมและ อุตสาหกรรมถูกนํ้าทวม การเสียงบประมาณ ในการแกไขฟนฟูสภาพพื้นที่ภายหลังที่เกิด นํ้าทวม รวมถึงการเสียโอกาสในการไดรับ เงินลงทุนจากตางชาติ เนื่องจากนักลงทุน ขาดความมั่นใจในมาตรการบริหารจัดการ นํ้าของหนวยงานที่เกี่ยวของตางๆ) นักเรียนควรรู 1 การผันนํ้า โดยทั่วไปนิยมผันนํ้าเฉพาะสวนที่จะไหลลนตลิ่งซึ่งทําใหเกิด นํ้าทวมออกไปจากลํานํ้า ซึ่งการผันนํ้าในรูปแบบนี้ที่บริเวณปากทางแยกเขาลํานํ้า สายใหมจะตองสรางอาคารหรือประตูระบายนํ้าเพื่อควบคุมบังคับนํ้าใหไหลเขาสู ลํานํ้าสายใหมในปริมาณที่พอเหมาะ ในกรณีที่ตองการผันนํ้าทั้งหมด ควรขุดลํานํ้า สายใหมแยกออกจากลํานํ้าสายเดิม กิจกรรม สรางเสริม นักเรียนรวบรวมขาวเกี่ยวกับวิกฤตการณทรัพยากรนํ้า ในประเทศไทย หรือวิกฤตการณทรัพยากรนํ้าของโลก คนละ 1 ขาว เชน แมนํ้าสายหลักของประเทศเหือดแหง แลววิเคราะหในประเด็น ดังตัวอยางตอไปนี้ • สาเหตุของวิกฤตการณ • ผลกระทบ • แนวทางปองกันและแกไข นํา สอน สรุป ประเมิน T236
ขอสอบเนน การคิด พื้นที่ป่ำแอมะซอนถูกบุกรุกท�ำลำย ท�ำให้พื้นที่ป่ำลดลงทุกปี 3) วิกฤตการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า ในอดีตโลกมีพื้นที่ป่ำไม้อยู่ ประมำณร้อยละ40 ของพื้นที่ทั้งหมด หรือประมำณ 37,800 ล้ำนไร่แต่ในปัจจุบันพื้นที่ป่ำไม้ลดลง เหลือเพียงร้อยละ 20 ของพื้นที่ทั้งหมด และ ได้มีกำรคำดกำรณ์ว่ำในอีก 30 - 50 ปีข้ำงหน้ำ ป่ำไม้ในเขตร้อนจะหมดไป พื้นที่กำรท�ำปศุสัตว์ ในทวีปแอฟริกำและภูมิภำคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ จะกลำยเป็นทะเลทรำย ประชำกรโลก 1 ใน 3 จะขำดแคลนไม้ ในกำรท�ำฟืน ส�ำหรับประเทศไทย จำกข้อมูลสถิติ เกี่ยวกับป ่ำไม้ของส�ำนักจัดกำรที่ดินป ่ำไม้ กรมป่ำไม้ ประเทศไทยมีเนื้อที่ 513,115 ตำรำง กิโลเมตร หรือ 320,696,875 ไร่ มีพื้นที่ป่ำไม้ เดิม ร้อยละ53 เมื่อประชำกรเพิ่มและมีกำรขยำยกำรเพำะปลูก พื้นที่ป่ำไม้พ.ศ.2531 เหลือร้อยละ 28.03 พ.ศ.2532 รัฐบำลประกำศยกเลิกกำรสัมปทำนป่ำไม้และใน พ.ศ.2551 พบว่ำมีพื้นที่ป่ำไม้ เพิ่มเป็นร้อยละ 33.44 ทั้งนี้ ปัญหำกำรบุกรุกพื้นที่ป่ำรวมถึงกำรลักลอบตัดไม้นับเป็นปัญหำส�ำคัญ ที่ท�ำให้พื้นที่ป่ำลดจ�ำนวนลง นอกจำกนี้ กำรสูญเสียพื้นที่ป่ำไม้ยังเป็นกำรท�ำลำยแหล่งที่อยู่อำศัยและอำหำรของ สัตว์ป่ำ รวมทั้งกำรลักลอบค้ำสัตว์ป่ำก็ท�ำให้สัตว์ป่ำลดลงเช่นกัน โดยประเทศไทยมีกำรลักลอบค้ำ สัตว์ป่ำที่ผิดกฎหมำย พบมำกตำมแนวชำยแดนไทย - ลำว และไทย - เมียนมำ แม้ว่ำไทยจะปฏิบัติ ตำมพันธกรณีของอนุสัญญำไซเตส (CITES) อย่ำงเคร่งครัดก็ตำม แต่กำรหยุดยั้งและแก้ไขปัญหำ กำรค้ำสัตว์ป่ำที่ผิดกฎหมำยก็ยังไม่ประสบผลส�ำเร็จเท่ำที่ควร 3.1) สาเหตุของวิกฤตการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า ที่ส�ำคัญ มีดังนี้ 1. การบุกรุกพื้นที่ป่าไม้เพื่อเข้าครอบครองที่ดิน หรือกำรลักลอบตัดไม้ท�ำลำย ป่ำ ปริมำณป่ำไม้ที่ถูกท�ำลำยนี้นับวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตำมอัตรำกำรเพิ่มของจ�ำนวนประชำกร 2. การจัดสร้างสาธารณูปโภคของรัฐเช่นเขื่อนอ่ำงเก็บน�้ำเส้นทำงคมนำคม โดยกำรสร้ำงเขื่อนขวำงล�ำน�้ำท�ำให้พื้นที่ป่ำไม้หน้ำเขื่อนที่อุดมสมบูรณ์ถูกตัดโค่นมำใช้ประโยชน์ 3. ไฟไหม้ป่า มักเกิดขึ้นในช่วงฤดูแล้ง ที่มีอำกำศแห้งและร้อนจัด ทั้งจำก ธรรมชำติและจำกกำรกระท�ำของมนุษยฺ์ที่อำจลักลอบเผำป่ำหรือลักลอบเก็บของป่ำ 4. การท�าลายถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าส่วนใหญ่เกิดจำกกิจกรรมของมนุษย์ เช่น กำรตัดไม้ท�ำลำยป่ำ กำรเผำป่ำ กำรสร้ำงสำธำรณูปโภคต่ำง ๆ รวมถึงกำรล่ำสัตว์โดยตรงไม่ว่ำ จะล่ำเพื่ออำหำร เพื่อกำรกีฬำ หรือกำรจับสัตว์ป่ำไปขำยเป็นสัตว์เลี้ยง 226 227 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 7. ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับวิกฤตการณ ทรัพยากรปาไมและสัตวปาที่ไดศึกษามา แลวตั้งคําถามใหนักเรียนไดวิเคราะหขอมูล เพิ่มเติม เชน • “ปาคือชีวิต” จากขอความนี้สะทอนความ สําคัญของปาไมตอการดํารงชีวิตของมนุษย อยางไร (แนวตอบ ปาคือชีวิต สะทอนถึงความสําคัญ ของปาไมตอการดําเนินชีวิตของมนุษยได เปนอยางดี เนื่องจากปาไมเปนระบบนิเวศ ที่เอื้อตอการดํารงชีวิตของมนุษยในดาน ตางๆ เชน ชวยดูดซับแกสที่เปนอันตราย ตอรางกาย และผลิตออกซิเจนที่จําเปนตอ การดํารงชีวิตของมนุษยและสิ่งมีชีวิตทั้ง มวล ชวยใหวัฏจักรของนํ้าบนโลกดําเนินไป อยางสมดุล รวมถึงการเปนแหลงวัตถุดิบที่ ใหประโยชนดานเศรษฐกิจแกมนุษย เชน ไมมีคา สัตวปาเพื่อใชแรงงานและเปน อาหาร นอกจากนี้ ปาไมยังชวยในการ บรรเทาความรุนแรงของภัยจากธรรมชาติ อยางวาตภัยและอุทกภัยไดอีกดวย) เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมวาปาไมและสัตวปาเปนองคประกอบที่สําคัญของระบบ นิเวศ ปาไมมีความสัมพันธกับทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ เชน ชวยควบคุม แกสคารบอนไดออกไซดในอากาศ ชวยลดการพังทลายของดิน เปนแหลงที่อยู อาศัยและอาหารของสัตวปา การสูญเสียปาไมจึงเปนจุดเริ่มตนของปญหา สิ่งแวดลอมอื่นๆ ตามมาดวย อะไรคือสาเหตุที่ทําใหระบบนิเวศของโลกขาดสมดุล (แนวตอบ การขาดความสมดุลของระบบนิเวศ คือ การทําให องคประกอบทางธรรมชาติเสื่อมโทรมหรือพังทลายจนไมสามารถ เกื้อกูลซึ่งกันและกันไดดังเดิม เชน การเกิดแกสเรือนกระจก มากกวาการดูดซับของปาไมหรือเกินที่ปาไมจะดูดซับไดทันกอนขึ้น ไปสูบรรยากาศ ทําใหปรากฏการณเรือนกระจกของโลกรุนแรงขึ้น กวาในอดีตจนเกิดภาวะโลกรอน อันนํามาซึ่งภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นอยางบอยครั้งและมีความรุนแรงดังเชนปจจุบัน) นํา สอน สรุป ประเมิน T237
อุทยำนแห่งชำติโคโมโด ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อกำร อนุรักษ์มังกรโคโมโดและสัตว์ทะเลชนิดอื่น ๆ 3.2) ผลกระทบจากวิกฤตการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า ที่ส�ำคัญ มีดังนี้ 1. การสูญพันธุ์ของพืชและสัตว์ปัจจุบันพืชและสัตว์สูญพันธุ์ปีละประมำณ 36,500 ชนิด และถ้ำสภำพควำมแห้งแล้ง กำรท�ำลำยพื้นที่ลุ่มน�้ำและแนวปะกำรังยังมีมำกขึ้น ก็จะ ท�ำให้สิ่งมีชีวิตอย่ำงน้อย500,000 - 1,000,000 ชนิด สูญพันธุ์ภำยใน20 ปี 2. เกิดภาวะโลกร้อน เนื่องจำกพื้นที่ป่ำไม้ทั่วโลกซึ่งเป็นแหล่งดูดซับแก๊ส คำร์บอนไดออกไซด์จำกบรรยำกำศถูกท�ำลำยลงอย่ำงมำก ส่งผลให้อุณหภูมิสูงขึ้น ท�ำให้น�้ำแข็ง ขั้วโลกละลำย ระดับน�้ำทะเลสูงขึ้น และเกิดอุทกภัยตำมมำ 3.3) แนวทางแก้ไขวิกฤตการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า ที่ส�ำคัญ มีดังนี้ 1. การป้องกันการตัดไม้ การบุกรุกพื้นที่ป่า และการป้องกันการลักลอบล่า สัตว์ป่า เพื่อเป็นกำรคุ้มครองป่ำไม้และสัตว์ป่ำให้มีชีวิตอยู่ในป่ำธรรมชำติ โดยใช้มำตรกำรทำง กฎหมำยอย่ำงเคร่งครัดเพื่อลงโทษผู้ที่ละเมิดกฎหมำย 2. การปลูกป่าและฟื้นฟูป่าไม้เพื่อเป็นกำรทดแทนพื้นที่ป่ำไม้ที่ลดลง ซึ่ง ควรได้รับกำรสนับสนุนจำกทุกฝ่ำย เช่น ในประเทศออสเตรเลียมีวันต้นไม้แห่งชำติ เพื่อส่งเสริม ให้ประชำชนเห็นควำมส�ำคัญของป่ำไม้ 3. การเพาะพันธุ์สัตว์ป่า โดยกำรน�ำสัตว์ป่ำที่หำยำกและใกล้สูญพันธุ์มำ เพำะเลี้ยงเพื่อขยำยพันธุ์ เป็นกำรทดแทนสัตว์ป่ำที่ไม่อำจขยำยพันธุ์ได้ตำมธรรมชำติจำกสำเหตุ ต่ำง ๆ เช่น กำรขำดคู่ผสมพันธุ์ กำรถูกรบกวนในฤดูผสมพันธุ์ รวมทั้งกำรน�ำสัตว์ป่ำไปเลี้ยงใน สวนสัตว์ 4. การก�าหนดพื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์เพื่อไม่ให้มีกำรบุกรุกและถือครอง ที่ดิน เพื่อด�ำรงรักษำพื้นที่ป่ำเอำไว้มีกำรตรวจเฝ้ำระวังพื้นที่อย่ำงสม�่ำเสมอ เช่น กำรประกำศเป็น อุทยำนแห่งชำติ เขตอนุรักษ์ป่ำ เขตห้ำมล่ำ สัตว์ป่ำ โดยหนึ่งในอุทยำนแห่งชำติที่มีชื่อเสียง และถูกจัดให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของ โลกทำงธรรมชำติยุคใหม่ ได้แก่ อุทยำนแห่งชำติ โคโมโดในประเทศอินโดนีเซียก่อตั้งเป็นอุทยำน แห่งชำติเมื่อ พ.ศ. 2523 เพื่อกำรอนุรักษ์มังกร โคโมโด ภำยหลังได้จัดเป็นพื้นที่ส�ำหรับอนุรักษ์ สัตว์ป่ำและสัตว์ทะเลชนิดอื่น ๆ เนื่องจำกเป็น สถำนที่ที่มีควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพทำง ทะเลสูง มีสัตว์ทะเลอำศัยอยู่หลำยชนิด จัดเป็น พื้นที่ที่มีควำมส�ำคัญในกำรอนุรักษ์ของโลก 228 229 อุทยำนแห่งชำติโคโมโด 1 เกร็ดแนะครู กิจกรรม ทาทาย ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับวันตนไมแหงชาติวา วันตนไมประจําปของ ประเทศไทยตรงกับวันวิสาขบูชา โดยกรมปาไมกับหนวยงานราชการทุกจังหวัด รวมกันจัดกิจกรรมปลูกตนไมแบบประชาอาสา โดยเชิญชวนประชาชน ภาครัฐ และเอกชนใหรวมกันปลูกตนไมทั่วประเทศ ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 8. ครูสุมนักเรียนออกมาจัดทําผังกางปลาที่ แสดงถึงแนวทางแกไขวิกฤตการณเกี่ยวกับ ทรัพยากรปาไมและสัตวปาที่กระดานหนา ชั้นเรียน เชน • การออกกฎหมายเพื่ออนุรักษปาไมและ สัตวปา • การปลูกปาทดแทน • การเพาะเลี้ยงพันธุพืชและสัตวปา • การปลูกจิตสํานึกเพื่อการเห็นคุณคาและ ความสําคัญของปาไมและสัตวปา 9. ครูสุมถามนักเรียนในชั้นเรียนถึงความ ถูกตองครบถวนของรายละเอียดในผังกางปลา จากนั้นครูและนักเรียนอภิปรายสรุปผลการ วิเคราะหแนวทางแกไขวิกฤตการณเกี่ยวกับ ทรัพยากรปาไมและสัตวปารวมกัน พรอมทั้ง บันทึกสาระสําคัญลงในสมุด นักเรียนควรรู 1 อุทยานแหงชาติโคโมโด ขึ้นทะเบียนเปนมรดกโลกเมื่อ พ.ศ. 2534 ตั้งอยูใกล หมูเกาะซุนดานอย พื้นที่อุทยานประกอบดวยเกาะใหญ 3 เกาะ ไดแก เกาะโคโมโด เกาะปาดาร และเกาะริงกา และเกาะเล็กๆ อีกมากมาย เกาะเหลานี้เกิดขึ้นจาก การปะทุของภูเขาไฟ มีเนื้อที่รวมประมาณ 1,817 ตารางกิโลเมตร มีประชากร อาศัยอยูประมาณ 4,000 คน นักเรียนแบงกลุมสืบคนสัตวปาที่ใกลจะสูญพันธุในแตละทวีป ไดแก ทวีปเอเชีย ทวีปยุโรป ทวีปแอฟริกา ทวีปอเมริกาเหนือ และ ทวีปอเมริกาใต ในประเด็น ดังนี้ • ชนิดของสัตวปา • สาเหตุที่ทําให ใกลสูญพันธุ • แนวทางการอนุรักษ แลวนํามาอภิปรายรวมกันในชั้นเรียน นํา สอน สรุป ประเมิน T238
ขอสอบเนน การคิด กำรน�ำพลังงำนเชื้อเพลิงฟอสซิลมำใช้ในกำรด�ำเนินชีวิต มำกเกินไป อำจส่งผลให้เกิดภำวะขำดแคลนได้ในอนำคต 4) วิกฤตการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรแร่และพลังงาน แร่และพลังงำนเป็นปัจจัย ส�ำคัญในกำรด�ำเนินชีวิตในปัจจุบัน โดยมีกำรใช้พลังงำนกับยำนพำหนะ เครื่องจักร ภำค อุตสำหกรรม เกษตรกรรม ในขณะที่ควำมต้องกำรพลังงำนเพิ่มขึ้นแต่ปริมำณพลังงำนมีอยู่อย่ำง จ�ำกัด และยังก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม กำรขำดแคลนทรัพยำกรพลังงำน โดยเฉพำะน�้ำมันที่ถือเป็นพลังงำนหลักที่ใช้กันทั่วโลก มีปริมำณส�ำรองที่ถูกพิสูจน์แล้วของน�้ำมันโลก มีทั้งหมด 1,687.9 พันล้ำนบำร์เรล ใน พ.ศ. 2556 ซึ่งคำดว่ำจะมีเหลือให้ใช้ในอัตรำกำรผลิตปัจจุบันได้อีกประมำณ 46 ปีในขณะที่แก๊สธรรมชำติ มีปริมำณส�ำรองเหลือ185.7ล้ำนล้ำนลูกบำศก์เมตร คำดว่ำจะมีเหลือให้ใช้ในอัตรำกำรผลิตปัจจุบัน ได้อีกประมำณ 58 ปี พ.ศ. 2560 ประเทศไทยมีกำรใช้พลังงำนปริมำณ 80,752 พันตัน เทียบเท่ำน�้ำมันดิบ เพิ่มขึ้นจำกปีก่อนร้อยละ 1.0 คิดเป็นมูลค่ำกว่ำ 1,072,237 ล้ำนบำท โดยที่น�้ำมันส�ำเร็จรูปยังคง เป็นพลังงำนที่ใช้มำกที่สุด คิดเป็นร้อยละ 50.1 ของกำรใช้พลังงำนขั้นสุดท้ำยทั้งหมด รองลงมำ ได้แก่ ไฟฟ้ำ พลังงำนหมุนเวียน แก๊สธรรมชำติ และถ่ำนหิน / ลิกไนต์ ใน พ.ศ. 2560 ประเทศไทย มีกำรน�ำเข้ำพลังงำน คิดเป็นมูลค่ำกว่ำ 862,797 ล้ำนบำท โดยน�ำเข้ำน�้ำมันดิบมำกที่สุด และ เนื่องจำกควำมผันผวนของรำคำน�้ำมันในตลำดโลก ท�ำให้รัฐบำลมีนโยบำยส่งเสริมให้มีกำรใช้ พลังงำนทดแทนในประเทศเพิ่มมำกขึ้น โดยใน พ.ศ. 2560 ไทยมีกำรใช้พลังงำนทดแทน 11,698 พันตันเทียบเท่ำน�้ำมันดิบ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 4.1) สาเหตุของวิกฤตการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรแร่และพลังงาน ที่ส�ำคัญ มีดังนี้ 1. ปัญหาการใช้พลังงานอย่างฟุ่มเฟือย กำรใช้พลังงำนเชื้อเพลิง เช่นน�้ำมัน ถ่ำนหินแก๊สธรรมชำติมำกเกินไปซึ่งทรัพยำกรเหล่ำนี้เป็นพลังงำนธรรมชำติประเภทที่ไม่สำมำรถ สร้ำงทดแทนได้ 2. ปัญหาการผลิตพลังงาน ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม กำรน�ำแร่และ พลังงำนมำใช้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหำก ไม่มีระบบป้องกันที่ดีเช่น กำรท�ำเหมืองแร่ ถ่ำนหิน ท�ำให้เกิดฝุ่นละอองในอำกำศหรือปน เปื้อนน�้ำใต้ดิน ส ่งผลกระทบต ่อสุขภำพของ มนุษย์ เช่น โรคระบบทำงเดินหำยใจ หรือกำร ระคำยเคืองตำ มลพิษจำกกำรใช้พลังงำนยัง ท�ำให้เกิดปรำกฏกำรณ์เรือนกระจก ที่เป็นสำเหตุ ส�ำคัญของภำวะโลกร้อน และส่งผลต่อควำม หลำกหลำยทำงชีวภำพ 228 229 เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมถึงการผลิตพลังงานทดแทนประเภทตางๆ เชน โรงไฟฟาพลังความรอนใตพิภพที่อาจใชบอนํ้าความลึกถึง 1.5 กิโลเมตร เพื่อใหสามารถเขาถึงแหลงสํารองนํ้าจากความรอนใตพิภพที่กําลังเดือด โรงไฟฟาบางแหงใชไอนํ้าจากแหลงสํารองเหลานี้โดยตรงเพื่อใหใบพัดหมุน บางแหงอาจปมนํ้ารอนแรงดันสูงเขาไปในแท็งกนํ้าความดันตํ่า ทําใหเกิด “ไอนํ้าชั่วขณะ” ซึ่งใชหมุนกังหันของเครื่องกําเนิดไฟฟา การผลิตพลังความ รอนใตพิภพแทบไมกอมลพิษหรือปลอยแกสเรือนกระจกเลย แมหลายประเทศ มีแหลงสํารองความรอนใตพิภพอุดมสมบูรณ แตพลังงานหมุนเวียนประเภทนี้ ยังถูกนํามาใชประโยชนนอยมาก ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 10. ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับวิกฤตการณ ทรัพยากรแรและพลังงานที่ไดศึกษามา จากนั้นใหนักเรียนวิเคราะหรวมกันถึง ผลกระทบตอการดําเนินชีวิตของประชากร 11. ครูใหนักเรียนรวมกันวิเคราะหเพิ่มเติม เกี่ยวกับทรัพยากรพลังงานที่สําคัญของโลก และการพัฒนาพลังงานทางเลือก หรือ พลังงานสะอาดของโลก การใชทรัพยากรแรและพลังงานอยางขาดจิตสํานึก กอใหเกิด วิกฤตการณอยางไร (แนวตอบ การใชทรัพยากรแรและพลังงาน เชน นํ้ามัน แกสธรรมชาติอยางขาดจิตสํานึก การจัดการและการวางแผน ทําให มีปริมาณลดลงอยางตอเนื่องและมีแนวโนมหมดไปในอนาคต หาก ไมมีการคนพบแหลงแรและพลังงานอื่นเพิ่มเติม ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้น อยางรวดเร็วของประชากรโลกประกอบกับเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ก็เปนปจจัยเรงที่สําคัญเชนกัน ดังนั้น ทุกคนควรมีจิตสํานึกและ มีสวนรวมในการอนุรักษทรัพยากรแรและพลังงานอยางจริงจัง) นํา สอน สรุป ประเมิน T239
ขอสอบเนนการคิด มลพิษทำงอำกำศ จำกโรงงำนอุตสำหกรรม 4.2) ผลกระทบจากวิกฤตการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรแร่และพลังงาน ที่ส�ำคัญ คือ เกิดมลพิษทำงอำกำศ ในแต ่ละปีมีผู้เสียชีวิตจำกอำกำศเป็นพิษนับแสนคน โดยเฉพำะใน สหรัฐอเมริกำ ส่วนภูมิภำคยุโรปตะวันออกและ ประเทศจีน อำกำศเป็นพิษเกิดจำกกำรท�ำเหมือง ถ่ำนหิน และกำรใช้ถ่ำนหินในโรงงำนอุตสำหกรรม สำรพิษจำกกำรใช้น�้ำมันในรถยนต์ เช่น ตะกั่ว คำร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งท�ำให้เกิดโรคระบบทำง เดินหำยใจ นอกจำกนี้ กำรเผำไหม้ของเชื้อเพลิง ฟอสซิล ชีวมวล ยังท�ำให้เกิดแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ในบรรยำกำศเพิ่มขึ้น เป็นสำเหตุ หนึ่งท�ำให้เกิดภำวะโลกร้อน หำกมนุษย์ยังใช้ พลังงำนในกิจกรรมกำรด�ำเนินชีวิตอย่ำงฟุ่มเฟือย ท�ำให้เกิดกำรขำดแคลนได้ ในอนำคต 4.3) แนวทางแก้ ไขวิกฤตการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรแร่และพลังงาน โดยกำรพัฒนำ พลังงำนทดแทนที่สำมำรถหมุนเวียนได้ เนื่องจำกไม่ก่อให้เกิดปัญหำมลพิษ ได้แก่ 1. พลังงานน�้า สำมำรถน�ำมำใช้ในกำรผลิตกระแสไฟฟ้ำ ในปัจจุบัน ประเทศไทยได้ผลิตกระแสไฟฟ้ำจำกโรงไฟฟ้ำพลังงำนน�้ำ คิดเป็นร้อยละ 6.4 ของก�ำลังผลิตกระแส ไฟฟ้ำทั้งหมด ในขณะที่ประเทศบรำซิลใช้พลังงำนน�้ำในกำรผลิตกระแสไฟฟ้ำมำกถึงร้อยละ 84 โดยมีเขื่อนอิไทพุ (Itaipu Dam) ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้ำที่ส�ำคัญของโลก 2. พลังงานความร้อนใต้พิภพ สำมำรถน�ำมำผลิตกระแสไฟฟ้ำได้ โดยมี หลำยประเทศทั่วโลกที่ใช้พลังงำนควำมร้อนใต้พิภพผลิตไฟฟ้ำ เช่น รัสเซีย นิวซีแลนด์ ไอซ์แลนด์ หรือในแถบเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย 3. พลังงานลม มนุษย์รู้จักใช้พลังงำนลมในกำรเดินเรือ กำรสูบน�้ำ และ กิจกรรมอื่น ๆ มำนำนแล้ว ในรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐอเมริกำใช้พลังงำนลมผลิตกระแสไฟฟ้ำได้ ประมำณ 300 เมกะวัตต์ หรือประมำณร้อยละ 40 ของพลังงำนลมที่ใช้กันอยู่ ในโลก ส่วนประเทศ อื่น ๆ ที่ใช้พลังงำนลมกันมำก เช่น เยอรมนี เดนมำร์ก เนเธอร์แลนด์ 4. พลังงานแสงอาทิตย์ จัดเป็นพลังงำนหมุนเวียนที่ส�ำคัญ เป็นพลังงำน สะอำดที่ไม่ท�ำปฏิกิริยำใด ๆ อันจะท�ำให้สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ประเทศที่เป็นผู้น�ำในกำรใช้พลังงำน แสงอำทิตย์เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้ำ ได้แก่ จีน เยอรมนี และญี่ปุ่น 5. พลังงานคลื่น กำรเคลื่อนที่ขึ้นลงอย่ำงมีจังหวะของคลื่นทะเลท�ำให้เกิด พลังงำนศักย์ที่มีพลังงำนมหำศำล น�ำมำใช้ ในกำรผลิตกระแสไฟฟ้ำได้ ประเทศที่น�ำพลังงำน คลื่นมำใช้ เช่น สหรัฐอเมริกำ สกอตแลนด์ 230 231 3. พลังงานลม มนุษย์รู้จักใช้พลังงำนลมในกำรเดินเรือ กำรสูบน�้ำ และ 1 แรเชื้อเพลิงและพลังงานที่สําคัญของประเทศไทยมีความ เหมาะสมตอการใชประโยชนทามกลางวิกฤตการณภาวะโลกรอน หรือไม อยางไร (แนวตอบ แรเชื้อเพลิงและพลังงานที่สําคัญของประเทศไม เหมาะสมตอการใชประโยชนทามกลางภาวะโลกรอนในปจจุบัน เทาที่ควร เนื่องจากกอใหเกิดแกสเรือนกระจกขึ้นสูบรรยากาศ ทั้งการเผาไหมถานหินชนิดลิกไนตที่กอใหเกิดควันและแกสตางๆ รวมถึงการใชเชื้อเพลิงจากนํ้ามันและแกสธรรมชาติดวย อยางไร ก็ตาม ประเทศไทยไดลดการใชแรเชื้อเพลิงและพลังงานขางตน จากสาเหตุตางๆ ทั้งการใกลจะหมดไปของถานหิน ความพยายาม พัฒนาพลังงานสะอาดของรัฐบาลและหนวยงานที่เกี่ยวของ เพื่อการอนุรักษสิ่งแวดลอม) ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 12. ครูตั้งคําถามเพื่อใหนักเรียนวิเคราะหเพิ่มเติม ถึงวิกฤตการณเกี่ยวกับทรัพยากรแรและ พลังงาน เชน • จากสถานการณดานทรัพยากรนํ้ามันและ แกสธรรมชาติของโลก ควรมีแนวทางแกไข ทรัพยากรพลังงานของโลกอยางไร (แนวตอบ แนวทางแกไขทรัพยากรพลังงาน ของโลกควรเนนการศึกษาและพัฒนา พลังงานทดแทนตางๆ เชน พลังงานแสง อาทิตย พลังงานลม พลังงานชีวภาพ เพื่อ ความสมดุลของระบบนิเวศ และลดการปลอย แกสเรือนกระจกขึ้นสูบรรยากาศ ทั้งนี้ แตละ ประเทศควรพิจารณาพัฒนาพลังงานทดแทน ที่เหมาะสมกับปจจัยภายในประเทศของตน เชน ประเทศบราซิล มีการปลูกออยมาก จึงควรพัฒนาเปนนํ้ามันไบโอดีเซล โดยใช ซากออยเปนวัตถุดิบหลัก อยางไรก็ตาม ควร หลีกเลี่ยงการพัฒนาพลังงานที่อาจสงผล กระทบตอสภาพแวดลอมอยางพลังงานนํ้า จากการสรางเขื่อน ซึ่งตองตัดไมทําลายปา และอาจทําใหสัตวปาบางประเภทสูญพันธุ) นักเรียนควรรู 1 พลังงานลม ปจจุบันมนุษยเห็นความสําคัญและนําพลังงานลมมาใช ประโยชนมากขึ้น เนื่องจากมีอยูทั่วไป ไมตองซื้อหา และเปนพลังงานสะอาดที่ ไมสงผลกระทบตอสิ่งแวดลอม โดยใชกังหันลมเปนตัวรับพลังงานจลนจากการ เคลื่อนที่ของลมใหเปนพลังงานกลได จากนั้นนําพลังงานกลมาใชประโยชน โดยตรง เชน การสูบนํ้า หรือใชผลิตไฟฟา นํา สอน สรุป ประเมิน T240
ขอสอบเนน การคิด 5) วิกฤตการณ์เกี่ยวกับขยะและของเสียอันตราย ปัญหำขยะนับวันยิ่งทวีควำม รุนแรงมำกยิ่งขึ้นเนื่องจำกสภำพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป กำรขยำยตัวของประชำกร และกำรขยำยตัวทำงเศรษฐกิจ ส่งผลให้ปริมำณขยะและของเสียอันตรำยเพิ่มมำกขึ้น ธนำคำรโลกรำยงำนว่ำเมื่อ พ.ศ.2533 มีประชำกรที่อำศัยอยู่ในเขตเมืองทั่วโลก ประมำณ 220 ล้ำนคน หรือคิดเป็นร้อยละ 13 ของประชำกรโลก และก่อให้เกิดขยะประมำณ 300,000ตันต่อวันแต่เพียงสิบปีผ่ำนไปประชำกรที่อำศัยอยู่ในเขตเมืองมีจ�ำนวนเพิ่มมำกขึ้นเป็น 2.9 พันล้ำนคน หรือคิดเป็นร้อยละ49 ของประชำกรโลก ท�ำให้เกิดปริมำณขยะเพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้ำนตัน ต่อวัน และมีกำรคำดกำรณ์ว่ำภำยใน พ.ศ. 2568 ปริมำณขยะนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่ำ ประเทศไทยมีปริมำณขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้นทั่วประเทศประมำณ 27.40 ล้ำนตัน ใน พ.ศ.2560และสำมำรถน�ำไปก�ำจัดได้อย่ำงถูกต้องเพียง11.70ล้ำนตันเท่ำนั้น ขณะที่ พ.ศ.2559 มีของเสียอันตรำย ประมำณ 3.462 ล้ำนตัน เพิ่มขึ้นจำก พ.ศ.2558 0.017 ล้ำนตัน (ร้อยละ 0.49) ส่วนใหญ่เป็นของเสียอันตรำยจำกอุตสำหกรรมประมำณ 2.8ล้ำนตัน(ร้อยละ80) สำมำรถจัดกำร ได้ 1.12 ล้ำนตัน (ร้อยละ 40 ของปริมำณที่เกิดขึ้น) เป็นของเสียอันตรำยจำกชุมชน (รวมซำก ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้ำและอิเล็กทรอนิกส์)ประมำณ 0.606ล้ำนตัน(ร้อยละ18) สำมำรถรวบรวม ได้ 1,297 ตัน ส่งไปก�ำจัดแล้ว 64 ตัน (ร้อยละ 5 ของปริมำณที่รวบรวมได้) และมูลฝอยติดเชื้อ ประมำณ 0.056 ล้ำนตัน (ร้อยละ 2) มำจำกสถำนบริกำรสำธำรณสุข ส่วนใหญ่ถูกส่งไปก�ำจัดที่ เตำเผำมูลฝอยติดเชื้อของเอกชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรวมทั้งสิ้น49,056ตัน(ร้อยละ88) แม้ว่ำประเทศไทยจะมีกำรจัดกำรขยะและของเสียอันตรำย แต่ถ้ำจัดกำรโดยไม่ระมัดระวังหรือ ไม่ถูกต้องเหมำะสม ก็อำจส่งผลกระทบต่อสุขภำพของประชำชนและสิ่งแวดล้อมได้ 5.1) สาเหตุของวิกฤตการณ์ขยะและของเสียอันตราย ที่ส�ำคัญ มีดังนี้ 1. การเพิ่มขึ้นของจ�านวนประชากรโลก ท�ำให้ควำมต้องกำรในกำรใช้สินค้ำ เพิ่มมำกขึ้น จึงมีกำรผลิตสินค้ำเพื่อรองรับผู้บริโภคมำกขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดขยะปีละ 1,300 ล้ำนตัน ต่อปี และคำดกำรณ์ว่ำ ใน พ.ศ. 2568 จะมีขยะเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 2,200 ล้ำนตัน 2. การเก็บและท�าลาย หรือน�าขยะไปใช้ประโยชน์ไม่มีประสิทธิภาพ ท�ำให้ มีขยะตกค้ำง กองหมักหมม และส่งกลิ่นเหม็นจนก่อให้เกิดปัญหำมลพิษกับสิ่งแวดล้อม Question หลำยประเทศต้องเผชิญกับปัญหำขยะล้นเมือง นักเรียนคิดว่ำประเทศใดบ้ำงที่ขยะหมดจนต้องน�ำเข้ำ เพรำะเหตุใดจึงต้องน�ำเข้ำ และมีวิธีจัดกำรขยะอย่ำงไร Geo 230 231 5) วิกฤตการณ์เกี่ยวกับขยะและของเสียอันตราย และมูลฝอยติดเชื้อ 1 2 ขั้นสอน ขั้นที่ 4 การวิเคราะหและแปลผลขอมูล 13. ครูใหนักเรียนใชสมารตโฟนสืบคนขาว วิกฤตการณเกี่ยวกับขยะและของเสียอันตราย ที่พบในบริเวณพื้นที่ตางๆ ทั่วโลก จากนั้นให นักเรียนวิเคราะหรวมกันถึงสาเหตุ ตลอดจน ผลกระทบตอการดําเนินชีวิตของประชากร 14. ครูใหนักเรียนรวมกันวิเคราะหและตอบ Geo Question จากหนังสือเรียน ภูมิศาสตร ม.4-6 และอภิปรายสรุปรวมกัน (แนวตอบ ประเทศสวีเดนเปนประเทศที่ตอง นําเขาขยะจากประเทศเพื่อนบาน เชน นอรเวย และอีกหลายประเทศในทวีปยุโรป ปละกวา 800,000 ตัน เพื่อนํามาใชใน โครงการผลิตกระแสไฟฟา โดยพลังงาน ที่ไดจากขยะสามารถนํามาใชในครัวเรือน ไดถึงรอยละ 20 ปจจุบันสวีเดนสามารถ พัฒนาเทคโนโลยีที่นําขยะกลับมาใชเปน พลังงานไดโดยแทบไมกอใหเกิดมลพิษใดๆ) อะไรคือปญหาและสาเหตุสําคัญในการจัดการปญหาขยะมูลฝอย ในประเทศไทย (แนวตอบ ปญหาและสาเหตุสําคัญในการจัดการปญหาขยะใน ประเทศไทย เชน การขาดแคลนที่ดินสําหรับใชเปนสถานที่กําจัด การดําเนินการและการดูแลรักษาระบบกําจัดไมมีประสิทธิภาพ ขาดแคลนบุคลากร มีการนําขยะมูลฝอยกลับมาใชประโยชนนอย ประชาชนขาดจิตสํานึกและความเขาใจในการกําจัดขยะที่ถูกตอง) นักเรียนควรรู 1 ของเสียอันตราย ของเสียที่ควบคุมภายใตอนุสัญญาบาเซิล เชน กาก จากการกําจัดของเสียอุตสาหกรรม ของเสียจากการผลิตสารรักษาเนื้อไม กากนํ้ามันดิบจากโรงกลั่น ของเสียที่มีองคประกอบของสารโลหะหนักหรือ สารพิษ สารละลายกรดหรือดางในรูปของแข็ง สารติดเชื้อ 2 มูลฝอยติดเชื้อ มูลฝอยที่มีเชื้อโรคปะปนอยูในปริมาณเขมขน ซึ่งถา มีการสัมผัสหรือใกลชิดมูลฝอยนั้นอาจทําใหเกิดโรคได มูลฝอยดังกลาว สวนใหญเกิดขึ้นในกระบวนการตรวจวินิจฉัยทางการแพทยและการรักษา พยาบาล การใหภูมิคุมกันโรคและทดลองเกี่ยวกับโรค การตรวจชันสูตรศพ หรือซากสัตว เปนตน นํา สอน สรุป ประเมิน T241