The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คน สังคม ดิจิทัล

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Natthagul Kammawong, 2023-12-28 02:41:41

คน สังคม ดิจิทัล

คน สังคม ดิจิทัล

คน-สังคม-ดิจิทัล 100 ดังเช่นกรณีของ มะลิ แม่บ้านฟรีแลนซ์วัย 42 เมื่อจบการศึกษาชั ้นมัธยมศึกษา ตอนต้นจากศรีสะเกษก็เข้ามาหางานท�ำในกรุงเทพฯ มะลิใช้ชีวิตสาวโรงงานเกือบ 20 ปี และอีก 3 ปีในฐานะภรรยาเจ้าของกิจการร้ านอาหาร หลังจากเลิกรากับสามีใน วัยสี่สิบอย่างคนตัวเปล่า มะลิได้รับการแนะน�ำให้ไปสมัครงานเป็นแม่บ้านชั่วคราว ของบริษัทแห่งหนึ่งที่ให้ค่าจ้างชั่วโมงละ 100 บาท ณ บริษัทแห่งนี ้เองที่มะลิได้เพิ่มพูน ต้นทุนทางสังคมและเห็นช่องทางการท�ำงานบ้านฟรีแลนซ์จากพนักงานและคนรู้จัก ของพนักงานในบริษัทแห่งนี ้ มะลิตัดสินใจลาออกหลังจากท�ำงานได้ปีกว่าเพื่อรับงาน ฟรีแลนซ์เต็มตัว ปัจจุบันมะลิรับงานท�ำความสะอาดประจ�ำอยู่ 7 ที่ สร้างรายได้ต่อ เดือนราวๆ 17,000 บาท ซึ่งเธอยังมีเวลาเหลือจึงสมัครแอปพลิเคชันแม่บ้านเพื่อหา รายได้เสริม แม้มะลิจะรับงานท�ำความสะอาดจากแอปพลิเคชันเพียงเพื่อเป็นรายได้เสริม แต่เธอก็ไม่อาจยอมรับได้กับการเอาเปรียบของแอปพลิเคชัน Beneat เธออธิบายว่า เมื่อแรกเริ่มท�ำงานแอปพลิเคชันจะบังคับให้ แม่บ้ านซื ้อเสื ้อหรือเอี๊ยมที่มีตรา สัญลักษณ์ของแอปพลิเคชันและต้องสวมใส่ขณะท�ำงานเพื่อแสดงตนว่าเป็นพนักงาน ของแอปพลิเคชันนี ้ อย่างไรก็ดี มะลิปฏิเสธที่จะใส่เพราะเธอมองว่าเป็นการไม่ยุติธรรม ที่ต้องแสดงตนผ่านการแต่งกายเช่นนี ้เพื่อโฆษณาให้กับแอปพลิเคชันในทางอ้อม ใน ทางตรงกันข้าม แอปพลิเคชันกลับไม่นับพวกเธอเป็นพนักงานหรือแม้แต่มอบ สถานภาพลูกจ้างให้กับแม่บ้าน มะลิกล่าวว่า “จะให้ใส่เสื้อเพื่อบอกว่าเป็นพนักงงาน ของแอป แต่พอไปขอใบรับรองเงินเดือนกลับบอกว่าท�ำให้ไม่ได้เพราะแม่บ้านไม่ได้เป็น พนักงานของแอป พวกแอดมินนู้นเป็นพนักงาน พวกแม่บ้านประกันสังคมก็ไม่ได้” อีกทั ้งค่าจ้างที่ถูกหักออกหลายต่อ เช่น หากลูกค้าจ่ายมา 500 บาท แม่บ้านจะได้รับ เงินเพียง 350 บาทเพราะแอปพลิเคชันจะหักค่าธรรมเนียม ค่าภาษี ณ ที่จ่าย 3% และค่าธรรมเนียมการโอนเงินอีก 30 บาท ยังไม่นับรวมต้นทุนค่าเดินทางและ ค่าอินเทอร์ เน็ตที่ต้ องมีความเร็วเพียงพอให้ สามารถกดรับงานได้ ทันท่วงที หากอินเทอร์เน็ตช้าพลาดท่าก็จะโดนแม่บ้านที่ไวกว่าแย่งงานไปได้ ดังที่มะลิเล่าให้ผู้เขียน ฟังด้วยความกังวลใจว่า “วันก่อนพี่นะก�ำลังจะกดรับงานเลย งานดีมาก อย่แถวนี้ด้วย ู แต่พอกดปุ๊ ปมันหายไปเลยเพราะห้องพี่มันอับสัญญาณโทรศัพท์ พี่ก�ำลังคิดอย่ว่าจะู ซื้อ wifi ของหอพักแต่ก็ไม่รู้จะคุ้มไหม เดือนละตั้ง 400”


101 การรับงานเองจากลูกค้าเดิมโดยไม่ผ่านแอปพลิเคชันจึงเป็นช่องทางที่แม่ บ้านจะได้ค่าจ้างอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย และจากค�ำบอกเล่าของเหล่าแม่บ้านก็พบ ว่า ลูกค้ารู้สึกสะดวกในกระบวนการจ่ายเงินและประเมินผลงานโดยที่ไม่จ�ำเป็นต้อง กดให้คะแนนและเขียนรีวิวผ่านแอปพลิเคชัน อีกทั ้งยังสะดวกต่อการจ้างงานครั ้งต่อ ไปเพราะลูกค้าและแม่บ้านต่างมีช่องทางที่สามารถติดต่อถึงกันโดยตรงอยู่แล้ว ไม่ ต้องใช้แอปพลิเคชันเป็นสื่อกลางอีกต่อไปและลดโอกาสการปฏิเสธงานจากแม่บ้าน ฝีมือดี ฟ้ากับมะลิยอมรับกับผู้เขียนว่า พวกเธอได้ลูกค้าประจ�ำส่วนหนึ่งจากแอปพลิ เคชันเพราะลูกค้าประทับใจในผลงานและการจ้างแม่บ้านรายเดิมที่มีฝีมือยังท�ำให้ ลูกค้าไม่ต้องเสียเวลาอธิบายงานใหม่ ส่งผลให้รายได้ส่วนที่แอปพลิเคชันหักไปกลับ คืนสู่เจ้าของที่แท้จริง แอปพลิเคชันจัดหาแม่บ้านจึงเป็นโอกาสในการขยายฐานลูกค้า และเครือข่ายสังคมให้กว้างขึ ้นซึ่งส่งผลดีต่อโอกาสในการจ้างงานที่จะเพิ่มขึ ้นตามไป ด้วย แม้ว่าพวกเธอต้องสุ่มเสี่ยงกับการสูญเสียงานจากแอปพลิเคชันหากแอปพลิเค ชันตรวจพบว่าพวกเธอท�ำผิดกฎระเบียบด้วยการรับงานนอก ในวันก่อนที่ผู้เขียนจะจบบทความชิ ้นนี ้ มะลิโทรมาหาผู้เขียนและเล่าว่าเธอ โดนแอปพลิเคชันระงับการใช้งานแล้วเนื่องจากเธอท�ำผิดข้อตกลงของแอปพลิเคชัน หากแต่เธอก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าท�ำผิดข้อตกลงเรื่องใดเพราะไม่มีค�ำอธิบายใดๆ จาก แอปพลิเคชัน เธอสงสัยว่าน่าจะมีลูกค้าแจ้งแอปพลิเคชันว่าเธอรับงานอื่นนอกเหนือ จากแอปพลิเคชัน Beneat แม้ว่าเธอจะแจ้งกับทางแอปพลิเคชันเมื่อครั ้งเริ่มงานไป แล้วว่าเธอเป็นแม่บ้านฟรีแลนซ์ที่รับงานส่วนตัวด้วย นอกจากนี ้ เงินค่าจ้างที่มะลิ ท�ำงานไปแล้วในสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ไม่แน่ว่าจะได้รับจากแอปพลิเคชันหรือไม่ ก่อนวาง สายผู้เขียนแสดงความกังวลใจต่อมะลิว่าการสิ ้นสุดสัญญากับแอปพลิเคชันอาจ กระทบต่อรายได้ของเธอ แต่มะลิก็ยืนยันว่ายังมีอีกหลายแอปพลิเคชันแม่บ้านให้เธอ สมัคร เธอจึงไม่กังวลใจแต่อย่างใดและจะเริ่มต้นสมัครงานกับแอปพลิเคชันอื่นทันที ที่วางสาย จะเห็นได้ว่า ในยุคที่ธุรกิจทางเทคโนโลยีเติบโตอย่างมาก บรรดาบริษัทใหญ่ มีอ�ำนาจมากพอที่จะสร้างระเบียบกฎเกณฑ์เพื่อผลประโยชน์ของตนเองโดยไม่ใส่ใจ แรงงานหรือผู้ปฏิบัติงาน แม่บ้านฟรีแลนซ์วัยกลางคนที่ก�ำลังประสบกับความยาก ล�ำบากในการหางานจึงจ�ำต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เอารัดเอาเปรียบเหล่านั ้นอย่าง


คน-สังคม-ดิจิทัล 102 ไม่มีทางเลือก แต่จะเห็นได้ว่าเมื่อแม่บ้านเหล่านี ้ตระหนักถึงสภาวะการถูกเอาเปรียบ และมองเห็นลู่ทางที่จะตอบโต้ พวกเธอก็สามารถต่อสู้กับแอปพลิเคชันได้อย่างมีชั ้น เชิงด้วยการอาศัยความใกล้ชิดกับลูกค้าที่มากกว่าซึ่งเป็นช่องโหว่ที่แอปพลิเคชัน ไม่สามารถตรวจตราอย่างทั่วถึงได้ บทสรุปอนาคตแม่บ้านฟรีแลนซ์ ประเทศไทยมีการขยายตัวของความเป็นเมืองมาตั ้งแต่ทศวรรษ 2500 และ ก�ำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องไปในทิศทางเดียวกับการเติบโตของความต้องการซื ้อ คอนโดมิเนียมโดยเฉพาะพื ้นที่กรุงเทพฯ ชั ้นในและพื ้นที่เมืองในส่วนภูมิภาคอย่าง ภูเก็ตและหัวหินที่อาจเป็นฐานลูกค้ากลุ่มส�ำคัญของแอปพลิเคชันจัดหาแม่บ้าน ท�ำความสะอาดในอนาคต ตลาดธุรกิจแอปพลิเคชันแม่บ้านก็น่าจะเติบโตในทิศทาง เดียวกัน จึงคาดการณ์ได้ว่าในอีกประมาณ 30 ปีข้างหน้าที่ประชากรของไทยจะเพิ่ม ขึ ้นอีก 11 ล้านคนและกว่าร้อยละ 73 จะกลายเป็นประชากรเมืองและอาจมีแอปพลิ เคชันจัดหาแม่บ้านให้เลือกใช้บริการนับไม่ถ้วน แต่หากตลาดแอปพลิเคชันกลายเป็น ตลาดแข่งขันสมบูรณ์และแต่ละแอปพลิเคชันเน้นการแข่งขันกันด้วยโปรโมชั่นราคา ถูกเพื่อสร้างผลก�ำไรจากการลดต้นทุนการผลิตจากค่าจ้างแม่บ้าน ผลเสียย่อมตกอยู่ กับแม่บ้านที่จะได้รับค่าแรงที่น้อยลงกว่าเดิม และหากแอปพลิเคชันมุ่งแต่จะสร้ าง ก�ำไรโดยไม่ค�ำนึงถึงสวัสดิภาพของคนท�ำงานและขณะที่กฎหมายคุ้มครองแรงงานไม่ ได้ถูกปรับปรุงแก้ไขให้คุ้มครองแรงงานนอกระบบกลุ่มนี ้ จึงเป็นที่น่ากังวลว่าคุณภาพ ชีวิตของแม่บ้านฟรีแลนซ์จะเป็นเช่นไรในตลาดแข่งขันสมบูรณ์และเป็นความท้าทาย อย่างยิ่งส�ำหรับแม่บ้านวัยกลางคนที่จะเปลี่ยนทุนทางวัฒนธรรมอย่างการเท่าทัน ดิจิทัลให้เป็นทุนทางเศรษฐกิจ นอกจากนั ้น แม้ว่าแอปพลิเคชันจัดหาแม่บ้านท�ำความสะอาดจะเป็นตลาด งานแหล่งใหม่ส�ำหรับแม่บ้านฟรีแลนซ์ที่ไม่มีเครือข่ายทางสังคมมากนัก แต่ในขณะ เดียวกัน ตลาดแรงงานใหม่นี ้ก็ก�ำลังแย่งฐานลูกค้าจากแม่บ้านฟรีแลนซ์ทั่วไป เศรษฐกิจแบบแบ่งปันจึงไม่เพียงสร้างการแข่งขันระหว่างแรงงานที่หากต้องการราย ได้ มากก็ต้ องยิ่งท�ำงานให้ มากขึ ้นตามขอเสนอของ Hill (2015) แต่ยังสร้ าง


103 การแข่งขันระหว่างเจ้าของเทคโนโลยีกับแรงงานที่มีต้นทุนน้อยกว่าและต้องใช้ความ พยายามอย่างมากเพื่อไม่ให้สูญเสียลูกค้าให้กับแอปพลิเคชัน อย่างไรก็ดี ผู้เขียนมองเห็นข้อดีในแง่ของกระบวนการสร้ างความเป็นมือ อาชีพ (professionalization) ให้กับคนท�ำงานบ้านและกระบวนการสร้างมาตรฐาน (standardization) ให้กับงานท�ำความสะอาดผ่านกระบวนการฝึกอบรมและกฎเกณฑ์ ที่เข้มงวดของแอปพลิเคชัน ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของคนท�ำอาชีพนี ้ในแง่บวก กล่าว คือ ภาพลักษณ์ที่หลุดพ้นไปจากภาพจ�ำคนรับใช้ในละคร ไม่ใช่อีมีอีมาคนซื่อจากต่าง จังหวัดอีกต่อไป แต่เป็นแม่บ้านมืออาชีพที่ได้รับการยอมรับ ความไว้เนื ้อเชื่อใจ และ มีผลงานการันตีความสามารถ ขณะที่งานบ้านหรืองานท�ำความสะอาดเป็นงานที่มี เกณฑ์มาตรฐานชี ้วัดและมีคุณค่าไม่ต่างไปจากงานชนิดอื่น เชิงอรรถ 1 แต่ปัญหาคือ ในช่วงเวลาตั ้งแต่ทศวรรษ 2500-2530 สังคมไทยอยู่ภายใต้ระบบการ ปกครองแบบเผด็จการและประชาธิปไตยเป็นส่วนใหญ่ซึ่งไม่เอื ้อต่อการมีสิทธิเสรีภาพ ในการเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนผู้เสียเปรียบเท่าที่ควร จนท�ำให้ ความเหลื่อมล� ้ำทางเศรษฐกิจถ่างกว้างออกเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะพิจารณาในมิติระหว่าง เมืองกับชนบทและในมิติระหว่างภาคเกษตรกรรมกับภาคอุตสาหกรรมและบริการ 2 เป็นมูลนิธิที่ผู้เขียนท�ำงานอยู่ มูลนิธิให้บริการห้องเรียนภาษาอังกฤษและหลักสูตร พัฒนาตนเองฟรีแก่กลุ่มแรงงานหญิงที่ด้อยโอกาสทางการศึกษาทั ้งคนไทยและคน ต่างชาติที่ท�ำงานในประเทศไทยอย่างถูกกฎหมายซึ่งผู้เรียนจ�ำนวนมากประกอบ อาชีพแม่บ้าน 3 OKMD (Office of Knowledge Management and Development (Public Organization)) หรือส�ำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) 4 ชื่อผู้ให้ข้อมูลทั ้งหมดในบทความนี ้เป็นชื่อสมมติ


คน-สังคม-ดิจิทัล 104 เอกสารอ้างอิง ภาษาไทย ก.สุรางคนางค์. 2511. ค่าของชีวิตสาว. พิมพ์ครั ้งที่ 4. กรุงเทพฯ: คลังวิทยา. เกษียร เตชะพีระ. 2555ก. “ระบอบสฤษดิ: เผด็จการทหารอาญาสิทธิ์ ์เพื่อการพัฒนา” เอกสารประกอบการสอนรายวิชา ร.321 การเมืองการปกครองไทย คณะ รัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. เกษียร เตชะพีระ. 2555ข. “ความเปลี่ยนแปลงในชนบทไทย” เอกสารประกอบการ สอนรายวิชา ร.321 การเมืองการปกครองไทย คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์. ณัฏฐ์ ฉัตรเล็ก. 2549. กฎหมายคุ้มครองลูกจ้ างซึ่งท�ำงานเกี่ยวกับงานบ้าน. วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. บูร์ดิเยอร์, ปิแยร์. 1994. เศรษฐกิจของทรัพย์สินเชิงสัญลักษณ์, แปล ชนิดา เสงี่ยม ไพศาลสุข. กรุงเทพฯ: โครงการจัดพิมพ์คบไฟ. ปราโมทย์ ประสาทกุล และปัทมา ว่าพัฒนวงศ์. 2554. “จุดเปลี่ยนประชากร ประเทศไทย.” ใน สุรีย์พร พันพึ่ง และมาลีสันภูวรรณ์ (บก.), ประชากรและ สังคม 2554, หน้า 13-22. นครปฐม: สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล. ภัทรัตน์ พันธุ์ประสิทธิ์. 2557. ““รัก” ในกระแสความเปลี่ยนแปลงของหนุ่มสาวชนบท ไทยช่วงทศวรรษ 2520-2530”, วารสารมนุษยศาสตร์สังคมศาสตร์ปริทัศน์, 2:1 (มกราคม-มิถุนายน): 47-74. ภิญญา นิตยเกษตรวัฒน์. “การมีอิสระ การแบ่งปัน การแชริ่ง เป็นพื ้นฐานของ Gig economy,” Forbes Thailand ธันวาคม: 26-27. ว.ณ ประมวญมารค. 2554. ปริศนา. พิมพ์ครั ้งที่ 2. กรุงเทพฯ: แสงดาว. ว.วินิจฉัยกุล. 2537. ปัญญาชนก้นครัว. พิมพ์ครั ้งที่ 2. กรุงเทพฯ: ดอกหญ้า. วัฒนา สุกัณศีล. 2548. โลกาภิวัตน์. กรุงเทพฯ: ส�ำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ. ส�ำนักงานสถิติแห่งชาติ. 2561. การส�ำรวจแรงงานนอกระบบ พ.ศ. 2561. กรุงเทพฯ: กองสถิติพยากรณ์ ส�ำนักงานสถิติแห่งชาติ. สุพัท จิตซื่อ. 2549. มาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองแรงงาน: ศึกษาเฉพาะกรณี หญิงและเด็กท�ำงานบ้าน. วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิตม, มหาวิทยาลัย รามค�ำแหง.


105 โสภี พรรณราย. 2553. ลูกตาลลอยแก้ว. พิมพ์ครั ้งที่ 3. กรุงเทพฯ: บิวตี ้บุ๊ค. องค์การแรงงานระหว่างประเทศ. 2549. โครงการอนุภูมิภาคลุ่มน� ้ำโขงเพื่อ ต่อต้านการค้าเด็กและหญิง การจ้างแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย - งานหนัก จ่ายน้อย และไม่ได้รับการคุ้มครอง เล่มหนึ่ง. กรุงเทพฯ: ส�ำนักแรงงานระหว่าง ประเทศ. อภิชาต สถิตนิรามัย, ยุกติ มุกดาวิจิตร และนิติ ภวัครพันธุ์. 2556. ทบทวนภูมิทัศน์ การเมืองไทย. เชียงใหม่: แผนงานสร้างเสริมนโยบายสาธารณะที่ดี สถาบัน ศึกษานโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. อรรคณัฐ วันทนสมบัติ และเกรียงศักดิ์ ธีระโกวิทขจร. 2561. แพลตฟอร์มอีโคโนมี และผลกระทบต่อแรงงาน ในภาคบริการ: กรณีศึกษาในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท เอกชัย เอื ้อธารพิสิฐ. 2554. สาวใช้: แรงงานข้ามชาติในครัวเรือนไทยกับการคุ้มครอง ของรัฐ. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ภาษาอังกฤษ ILO. 2018. Digital labour platforms and the future of work: Toward decent work in the online world. Geneva: International Labour Office. Schor, Juliet B. 2017. “Does the sharing economy increase inequality within the eighty percent?: findings from a qualitative study of platform providers,” Cambridge Journal of Regions, Economy and Society, Volume 10, Issue 2, July: 263–279. Standing, Guy. 2016. The Precariat: The New Dangerous Class. London: Bloomsbury. แหล่งอ้างอิงออนไลน์ ข่าวไทยพีบีเอส. 2561. “ธุรกิจแม่บ้านออนไลน์บูม เรียกใช้บริการผ่านแอปพลิเคชัน.” 14 มีนาคม. https://news.thaipbs.or.th/content/270964. ไทยรัฐออนไลน์. 2559. “ธุรกิจก�ำจัดอคติ! ส่อง Startup แม่บ้านออนไลน์ อาชีพที่ ไม่ไร้ศักดิศรี.” 11 กันยายน. https://www.thairath.co.th/content/718370.์


คน-สังคม-ดิจิทัล 106 ประชาชาติธุรกิจ. 2560. “BeNeat สตาร์ทอัพแม่บ้านออนไลน์ยอดพุ่ง.” 21 กันยายน. https://www.prachachat.net/facebook-instant-article/news-42595. รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์. 2560. “ด้านมืดของเศรษฐกิจ ‘แบ่งปัน’,” The momentum. 13 พฤศจิกายน. https://themomentum.co/sharing-economy-dark-side/. รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์. 2537. “โลกานุวัตรกับสังคมเศรษฐกิจไทย ปาฐกถาสุภา ศิริมานนท์ ปี 2537,” สรรนิพนธ์รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์. สืบค้นจาก http://www. rangsun.econ.tu.ac.th (27 พฤษภาคม 2562). วีรนันท์ ฮวดศรี. 2556. “วิวัฒนาการกฎหมายแรงงานไทย,” บล็อกกาซีน ประชาไท. 1 กุมภาพันธ์. https:// blogazine.pub/blogs/iskra/post/3946. Hill, Steven. 2015. “Welcome To The Share The Crumbs Economy: Is the gig up for the gig economy?,” Fastcompany. 20 October. https://www. fastcompany.com/3052461/welcome-to-the-share-the-crumbseconomy OKMD. Urbanization การขยายตัวของความเป็นเมือง. สืบค้นจาก http://www. okmd.or.th/okmd-opportunity/urbanization/256/ (27 พฤษภาคม 2562). Reich, Robert. 2015. “The Share-the-Scraps Economy,” Huffpost. 2 February. https://www.huffpost.com/entry/the-sharethescrapseconom_b_6597992 TNN 24. 2560. รายงานข่าว “ห่วง พ.ร.ก.แรงงานต่างด้าวฯกระทบแรงงานในบ้าน.” 27 สิงหาคม. https://www.youtube.com/watch?v=brUWFhx5cRE.


วิภาษวิธีแห่งแรงปรารถนาในทุนนิยมดิจิทัล: การควบคุมและความไหลลื่น The Dialectic of Desire in Digital Capitalism: Controls and Flows ผศ. ดร.ชญาน์ทัต ศุภชลาศัย คณะรัฐศาสตร์ กลุ่มวิชาการปกครอง มหาวิทยาลัยรามค�ำแหง


109 บทคัดย่อ บทความเรื่องนี ้เป็นบทความเชิงปรัชญาที่มีจุดประสงค์น�ำเสนอภาพสะท้อน เชิงวิพากษ์ต่อทุนนิยมดิจิทัลผ่านนิพนธ์ความคิดเรื่องแรงปรารถนา การประกอบสร้าง แนวคิดเรื่องแรงปรารถนาอาศัยกระบวนการของวิภาษวิธี ซึ่งต่อมามีการเข้าสาน สัมพันธ์ในลักษณะอภิปราย และได้รับการขัดเกลาให้ชัดเจนขึ ้นด้วยอาศัยแนวคิดทาง ปรัชญาและทฤษฎีวิพากษ์ของ จิล เดอเลิซ (Gilles Deleuze) และ ฌ้าคส์ ลากอง (Jacques Lacan) ในขณะเดียวกันจากการสังเกตการณ์และเพ่งมองปรากฏการณ์ ต่างๆ ที่เกิดขึ ้นในสภาพแวดล้อมของทุนนิยมดิจิทัล ก็พบว่าทุนนิยมดิจิทัลแสดงให้ เห็นถึงแรงปรารถนาที่มีทั ้งด้านของการควบคุมและความไหลลื่นซึ่งเป็นแรงปรารถนา ที่ต่อต้านการควบคุม จะเห็นว่าการท�ำความเข้าใจแรงปรารถนาแห่งยุคดิจิทัลจ�ำเป็น ต้องท�ำความเข้าใจว่า (1) แรงปรารถนาประกอบไปด้วยสองส่วนคือการควบคุมและ การไหลลื่นที่ทั ้งสองแรงปรารถนานี ้ขัดแย้งกัน แต่ทว่าสามารถธ�ำรงร่วมในจักรวาล ของทุนนิยมดิจิทัลในลักษณะต่อต้านกัน (2) นิพนธ์ความคิดเรื่องแรงปรารถนามีเพียง นิยามเดียว แต่นิยามเดียวนั ้นสามารถใช้น�ำเสนอแรงปรารถนาทั ้งสองแรงปรารถนา ที่ขัดแย้งและเป็นปรปักษ์กันได้ ค�ำส�ำคัญ: ทุนนิยมดิจิทัล, แรงปรารถนา, วิภาษวิธี ABSTRACT This article is a philosophical essay that aims to represent a critical reflection to digital capitalism through the conceptual thesis of desire. The formation of the thesis on desire depends on dialectic and which is linked in a form of dialogue and being improved by the critical theories of Gilles


คน-สังคม-ดิจิทัล 110 Deleuze and Jacques Lacan. Meanwhile, based on an observation and examination to incidents within the digital capitalism environs, it can be seen that digital capitalism constituted with desire in an aspect of ‘controls’ and of ‘flows’, the latter is a struggle against the former. Therefore, to understand an aspect of desire in digital capitalism, it must be concerned that (1) desire consisted of two contradictory aspects, notably the controls and the flows, but which are co-existed in the universe of digital capitalism in a form of antagonism (2) the conceptual thesis of desire has only one thesis but this single definition is able to represent a dual conflictual and antagonistic desire. Keywords: Digital Capitalism, Desire, Dialectic บทน�ำ บทความเรื่องนี ้เป็นบทความเชิงปรัชญาที่มุ่งน�ำเสนอภาพสะท้อนเชิงวิพากษ์ ต่อทุนนิยมดิจิทัล (digital capitalism) ซึ่งธ�ำรงตัวของมันเป็นสภาวะเชิงเศรษฐกิจ การเมืองแห่งห้วงเวลาปัจจุบัน การน�ำเสนอมุมมองเชิงปรัชญาต่อสภาวะแห่งสรรพ สิ่งใดก็ตาม มีเงื่อนไขหนึ่งเป็นองค์ประกอบเสมอ เงื่อนไขนั ้นก็คือการประกอบร่าง สร้างนิพนธ์ความคิด (thesis) ขึ ้นมา และเหนือสิ่งอื่นใด บทความก�ำลังถูกคาดหวัง ให้ระบุถึงความหมายของค�ำว่านิพนธ์ความคิด ซึ่งค�ำตอบคือ หากพิจารณาในความ หมายทั่วไปหรือในการรับรู้ ทั่วไปนั ้น นิพนธ์ความคิดหมายถึงข้อเสนอเกี่ยวกับชุด ทฤษฎีชุดหนึ่งหรือเจตคติหนึ่งๆ ด้วยมุ่งหวังที่จะให้ภาพสะท้อนอันรัดกุมและชัดเจน เกี่ยวกับสภาวะต่างๆ ของผู้ศึกษาตัวสภาวะ กระนั ้น นิพนธ์ความคิดที่คิดแต่จะพึ่งพา ภาพสะท้อนของผู้ศึกษาตัวสภาวะในลักษณะดังกล่าว ดูจะเป็นนิยามเชิงปฎิบัติการ ที่มุ่งหมายจะสร้างองค์รวมมากกว่าค�ำนึงถึงการพลิกคว�่ำชุดความคิดที่มีมาก่อนล่วง หน้า นิพนธ์ความคิดที่เข้มข้นจึงไม่ได้ค�ำนึงถึงการสร้างองค์รวม หากแต่ความเข้มข้น นั ้นวางรากฐานอยู่ที่การระบุถึงความอ่อนแอและลักลั่นบางประการที่ปรากฏอยู่ ภายในนิพนธ์ความคิดที่สัมพันธ์กับความรู้และการรับรู้สภาวะที่เคยเป็นมาโดยตลอด ข้อค�ำนึงเชิงปรัชญาเช่นนี ้มีประวัติศาสตร์ในตัวมันเอง ข้อค�ำนึงเช่นว่านี ้ไม่ ได้เป็นอื่นเลย มันคือการสร้างความละม้ายคล้ายคลึงกับที่นิพนธ์ความคิดของคาล มากซ์


111 (Karl Marx) กระท�ำกับนิพนธ์ความคิดของฟอเยอร์บาค (Feuerbach) โดย มากซ์ระบุถึงความง่อยเปลี ้ยภายในนิพนธ์ความคิดของฟอเยอร์บาค นิพนธ์ความคิด ของมากซ์จึงไม่ได้เป็นการประกอบสร้างชุดความคิดที่เป็นองค์รวมในลักษณะไร้ข้อ ถกเถียง หากแต่นิพนธ์ความคิดของมากซ์มีบ่อเกิดมาจากการพัฒนาข้อถกเถียงรวม ถึงการวิพากษ์ชุดความคิดต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในการศึกษาสภาวะ ทั ้งนี ้เพื่อระบุถึงช่อง ว่างภายในนิพนธ์ความคิดที่คิดจะประกอบสร้างองค์รวมเกี่ยวกับสภาวะนั ้นๆ ขึ ้นมา กระบวนการเพื่อการเข้าถึงความรู้และมิติแห่งการคิด ผ่านการสร้างข้อถกเถียงและ กิจกรรมการวิพากษ์ภายในนิพนธ์ความคิดเดียวกัน จนได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างออกมา จากนิพนธ์ความคิดที่เคยเป็นมา เป็นที่รู้จักกันในนามของตรรกะแห่งวิภาษวิธี (the logic of dialectic) (Anderson, 1995) ตรรกะแห่งวิภาษวิธีแบบมากซ์เป็นรากฐานต่อข้อพึงตระหนักถึงความแตก ต่างระหว่างนิพนธ์ความคิดและสภาวะ สภาวะคือสิ่งที่เป็นจริงในตัวมันเอง ส่วนนิพนธ์ ความคิดคือกิจกรรมทางความคิดเพื่อที่จะเข้าถึงสภาวะอย่างที่สภาวะเป็นจริงใน ตนเอง (being qua being) ควรพึงตระหนักในที่นี ้ว่าไม่มีสภาวะใดๆ ที่คาดหวังต่อ การประกอบสร้างนิพนธ์ความคิดที่เบ็ดเสร็จสมบูรณ์เพื่อการท�ำความเข้าใจสภาวะ นั ้นๆ เมื่อไร้ซึ่งนิพนธ์ความคิดใดๆ ที่จะท�ำหน้าที่เป็นตัวแทนเชิงองค์รวมให้กับสภาวะ สภาวะจึงเปิดกว้างต่อการพลิกคว�่ำนิพนธ์ความคิดต่างๆ ที่รุมเร้าและเข้าแทรกแซง การก�ำหนดซึ่งความหมายแก่ตัวสภาวะ นิพนธ์ความคิดต่างๆ คือการเมืองในตัวมัน เอง เหตุเพราะมันแสดงถึงความสัมพันธ์เชิงอ�ำนาจที่ส�ำแดงการแทรกแซงทางความ คิดระหว่างกัน การสร้ างนิพนธ์ความคิดผ่านกระบวนการแห่งวิภาษวิธี จะน�ำมาสู่ ผลลัพธ์ที่ส�ำคัญก็คือการพลิกคว�่ำชุดความคิดหรือสารนิพนธ์ที่ก�ำหนดความหมาย เกี่ยวกับสภาวะต่างๆ มาก่อนหน้า ด้วยเหตุนี ้ นิพนธ์ความคิดไม่ใช่องค์รวม หากแต่ เป็นเพียงแค่กิจกรรมหนึ่งที่เป็นไปได้ที่จะหยั่งถึงสภาวะอย่างที่สภาวะนั ้นเป็นให้ได้ ใกล้เคียงสภาวะนั ้นที่สุดเท่าที่จะท�ำได้ ในการสะท้อนภาพเชิงปรัชญาด้วยมุมมองวิพากษ์ต่อสภาวะแห่งทุนนิยม ดิจิทัล บทความเลือกที่จะประกอบร่างนิพนธ์เรื่องแรงปรารถนา (desire) ด้วยเล็ง เห็นว่าแรงปรารถนาคือมิติทางความคิดที่เป็นไปได้ ต่อการเข้าถึงสภาวะของทุนนิยม


คน-สังคม-ดิจิทัล 112 ดิจิทัลอย่างใกล้เคียง โดยมีประเด็นที่ต้องพึงระลึก ก็คือการประกอบสร้างความคิด เพื่อที่จะเข้าถึงหรือหยั่งถึงสภาวะแห่งทุนนิยมดิจิทัล ไม่จ�ำเป็นต้องกระท�ำผ่านเรื่อง แรงปรารถนาเพียงมิติเดียว แต่สามารถกระท�ำผ่านมิติอื่นๆ ได้อีกด้วย เช่น อ�ำนาจ ชีวิต การรับรู้ สุนทรียศาสตร์ ร่างกาย ความเป็นมนุษย์ อนาคต ฯลฯ ทั ้งนี ้ขึ ้นอยู่กับ การตัดสินใจและการเล็งเห็นว่าเหมาะสมของผู้สร้างนิพนธ์ความคิด แต่ไม่ว่าจะด้วย มิติใดก็ตาม การประกอบสร้างนิพนธ์ความคิดที่เริ่มจากการวิพากษ์นิพนธ์ความคิด ก่อนหน้า ก็ควรจะจบลงด้วยการระบุต�ำแหน่งการคิดของผู้สร้างความคิด เช่นเดียวกัน การประกอบสร้างนิพนธ์ความคิดเรื่องแรงปรารถนาในบทความนี ้และดังที่จะปรากฏ ในส่วนที่หนึ่งของบทความ ก็เลือกที่จะกระท�ำผ่านกระบวนการแห่งวิภาษวิธี โดย เป็นการสังเคราะห์ความคิดชุดหนึ่งในลักษณะที่มีการน�ำเอาขั ้วตรงข้ามกันมาวางอยู่ บนระนาบความคิดเดียวกันเป็นปฐมภูมิ นิพนธ์ความคิดเชิงปรัชญาที่บทความสร้างขึ ้นผ่านกระบวนการแห่งวิภาษวิธี มีการอ้างอิงและพึ่งพาแนวทางของทฤษฏีวิพากษ์จากโลกตะวันตกเข้ามาเป็นส่วน ประกอบของนิพนธ์ความคิด เป็นที่พึงตระหนักได้ชัดเจน ว่านิพนธ์ความคิดเรื่องความ ปรารถนาในบทความนี ้มีความเชื่อมโยง มีความสอดคล้อง และได้รับการขัดเกลามาก ขึ ้นจากความคิดของ จิล เดอเลิซ (Gilles Deleuze) และ ฌ้าคส์ ลากอง (Jacques Lacan) กระนั ้น สิ่งที่ควรพึงตระหนักกว่านั ้น ก็คือบทความหลีกเลี่ยงที่จะนิยามความ หมายเรื่องแรงปรารถนาโดยหยิบยกน�ำเอาข้อเสนอของนักคิดทั ้งสองท่านมาเขียนถึง ในบทความโดยตรง เพื่อใช้เป็นมุมมองในการวิเคราะห์ปรากฏการณ์ เพราะถ้าท�ำเช่น นั ้นก็จะเข้าข่ายการศึกษาแบบประยุกต์ทฤษฎี และไม่ใช่แนวทางของปรัชญา บทความเริ่มต้นจากการน�ำเสนอและสังเคราะห์ความหมายของค�ำว่าแรงปรารถนา เพื่อสร้ างต�ำแหน่งการคิดของตนเองเป็นปฐมภูมิ จากนั ้นจึงค่อยพิจารณาถึงความ สัมพันธ์ ความเชื่อมโยง ความสอดคล้อง และการขัดเกลาที่เพิ่มมากขึ ้นผ่านข้อเสนอ ของเดอเลิซและลากอง ผลลัพธ์จากภาคปฎิบัติทางความคิดในเชิงวิภาษวิธีเช่นนี ้ ก็ คือนิพนธ์ความคิดชุดหนึ่งเกี่ยวกับแรงปรารถนา ซึ่งจะปรากฏในขั ้นตอนสุดท้ายของ กระบวนการสังเคราะห์ความคิดทั ้งหมดเข้าด้วยกัน กระบวนการคิดทั ้งหมดนี ้จะได้ เห็นเป็นประจักษ์ในส่วนที่หนึ่งของบทความที่ขนานนามว่า ‘วิภาษวิธีแห่งแรง ปรารถนา’ (a dialectic of desire)


113 ผลลัพธ์จากการสังเคราะห์ความคิดเกี่ยวกับแรงปรารถนาคือความเป็นหนึ่ง เดียว กระนั ้น ความเป็นหนึ่งเดียวก็ไม่ได้ปราศจากซึ่งความหมายที่เป็นขั ้วตรงข้ามกัน ที่ธ�ำรงอยู่ร่วมกัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็คือแก่นของความเป็นหนึ่งเดียว คือการที่ภายใน ความเป็นหนึ่งเดียวนั ้น สามารถรองรับความคิดต่างๆ ที่ขัดแย้งกันและกัน ให้ธ�ำรงอยู่ ร่วมภายในความเป็นหนึ่งเดียวได้ เช่นเดียวกันกับความคิดเรื่องแรงปรารถนาที่ บทความประกอบสร้ างขึ ้น เมื่อนิพนธ์ความคิดที่สร้ างขึ ้น เข้าเผชิญหน้ากับแรง ปรารถนาแห่งทุนนิยมดิจิทัล ซึ่งประกอบด้วยมิติของ ‘การควบคุม’ และ ‘ความไหล ลื่น’ ก็ยังเป็นนิยามทางความคิดที่สามารถรองรับและสะท้อนภาพถึงแรงปรารถนา สองประเภทที่แตกต่างกันนี ้เข้าไว้ด้วยกันได้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ นิพนธ์ความ คิดเรื่องแรงปรารถนาในบทความนี ้ ประกอบด้วยนิยามเพียงนิยามเดียวแต่แรกเริ่ม แต่สามารถใช้เป็นภาพสะท้อนภาพซึ่งแรงปรารถนาจากสถานการณ์ที่หลากหลายได้ โดยไม่จ�ำเป็นต้องตั ้งนิยามใหม่ และไม่จ�ำเป็นจะต้องก�ำหนดนิยามใหม่เพื่อให้ สอดคล้องและสอดรับกับสถานการณ์ที่แตกต่างออกไป จากนั ้น เมื่อน�ำเอานิยามเรื่องแรงปรารถนาเข้าไปสัมพันธ์และสัมผัสกับ ทุนนิยมดิจิทัล หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อพิจารณาถึงปรากฏการณ์และการเคลื่อนไหว ต่างๆ ที่เกิดขึ ้นจริงในบริบทของทุนนิยมดิจิทัลจากการสังเกตการณ์ ก็พบว่าทุนนิยม ดิจิทัลไม่ใช่สภาวะที่ปราศจากซึ่งแรงปรารถนา ทุนนิยมดิจิทัลคือสภาวะทางเศรษฐกิจ การเมืองที่พื ้นฐานของมันคือการเติมเต็มความขาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความขาดนั ้น เกี่ยวข้องกับการสะสมทุน การสะสมก�ำไร รวมถึงการรักษาสถานะความมั่งคั่งผ่าน วงจรของทุนอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี ้ แรงปรารถนาของมันที่สัมพันธ์กับหลักการขั ้น พื ้นฐานนั ้น ก็ถ่ายทอดออกมาในรูปของแรงปรารถนาในเชิงของ ‘การควบคุม’ เช่น การควบคุมความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน การตรวจตราบุคคลที่เป็นภัยต่อ ความมั่นคงของรัฐ การแสวงหาข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลโดยละเมิดสิทธิส่วนบุคคลฯลฯ แรงปรารถนาของมนุษย์ในการควบคุมสรรพสิ่งต่างๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์ เช่น พืช สัตว์ มหาสมุทร ภูมิอากาศ ฯลฯ ส่วนเทคโนโลยีดิจิทัล (digital technology) เช่น เว็บ อินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง บล็อกเชน สกุลเงินดิจิทัล อากาศยานไร้คนขับ ระบบอัตโนมัติ เกมส์ออนไลน์ ฯลฯ คือภาพสะท้อนถึงแรงปรารถนาของทุนนิยมดิจิทัลในการควบคุม สรรพสิ่งต่างๆ เพื่อสนองตอบต่อความขาดในเชิงเศรษฐกิจการเมืองของมันเอง


คน-สังคม-ดิจิทัล 114 เทคโนโลยีจึงไม่ได้ปราศจากอคติล�ำเอียง หากแต่เทคโนโลยีมีอุดมการณ์เชิง เศรษฐกิจการเมืองของการสะสมทุนและการควบคุมสรรพสิ่งเป็นส่วนประกอบแต่แรก อย่างไรก็ดี อีกแรงปรารถนาหนึ่งที่ถือก�ำเนิดเกิดขึ ้นในจักรวาลของทุนนิยมดิจิทัล ก็ คือแรงปรารถนาที่คิดจะต่อต้านแรงปรารถนาของทุนนิยมดิจิทัล โดยมุ่งหมายที่จะ ก�ำหนดให้สภาพการณ์ปัจจุบันกลายเป็นอนาคตทางเลือก แรงปรารถนานี ้เรียกว่า ‘การไหลลื่น’ ซึ่งสะท้อนถึงแรงปรารถนาที่ขัดขืนและแข็งข้อต่อการควบคุมโดยทุนนิยม ดิจิทัล และสะท้อนถึงพลังชีวิตที่พยายามแยกตัวออกจากความปรารถนาเชิงควบคุม นั ้น นอกจากนี ้ การไหลลื่นยังสะท้อนถึงแรงปรารถนาเพื่อการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลใน ทิศทางที่จะขัดขวางแรงปรารถนาเพื่อการสะสมทุนของทุนนิยมดิจิทัล ดังนั ้น ภาพ ของแรงปรารถนาตามนิยามเพียงหนึ่งเดียวที่ตั ้งไว้แต่แรกนั ้น สามารถรองรับ น�ำเสนอ และฉายภาพแรงปรารถนาแห่งยุคดิจิทัลในเชิงของการควบคุมและการไหลลื่นได้ใน ที่สุด ภาพลักษณ์แห่งการคิดเช่นนี ้จะปรากฏในรูปของการปฎิบัติการทางความคิดใน ส่วนที่สองของบทความ ที่ใช้ชื่อว่า ‘ทุนนิยมดิจิทัล: แรงปรารถนา การควบคุม ความ ไหลลื่น’ วิภาษวิธีของแรงปรารถนา (A Dialectic of Desire) นิพนธ์ความคิดเริ่มต้นจากการทดลองนิยามความหมายให้กับบางสิ่งบาง อย่างเพื่อประกอบสร้างมิติทางความคิด ในการณ์นี ้ก็เช่นกัน การประกอบร่างนิพนธ์ ความคิดเรื่องแรงปรารถนาดูจะเป็ นสิ่งจ�ำเป็ น ในเบื ้องต้ นอาจกล่าวได้ ว่า แรงปรารถนาคือพลังแห่งการด�ำเนินชีวิตของสรรพสิ่งต่างๆ ที่มุ่งหวังจะได้รับมาซึ่งสิ่งที่ สรรพสิ่งเหล่านั ้นตระหนักว่าเป็นความขาด ท่ามกลางช่องว่างในเชิงกายภาพและมิติเวลา ที่ว่าสรรพสิ่งล้วนแล้วแต่มีระยะห่างต่อกันเป็นปฐมภูมิ ระยะห่างระหว่างสรรพสิ่ง จึงสะท้อนถึงความขาดซึ่งต่อมาก็ท�ำหน้าที่เป็นขุมพลังที่เรียกร้องการเชื่อมต่อ กล่าว อีกนัยหนึ่งก็คือ ระยะห่างสะท้อนถึงการเรียกร้องซึ่งการเชื่อมต่อระหว่างกันของสรรพสิ่ง แรงปรารถนาคือพลังแห่งการขับเคลื่อนระหว่างสรรพสิ่งที่เชื่อมต่อกันโดยสมัครใจ แรงปรารถนาจะต้องสะท้อนไม่เพียงแค่ระยะห่างที่สรรพสิ่งมีต่อกันเท่านั ้น หากแต่ ต้องเป็นการเชื่อมต่อกันที่ปราศจากสภาพบังคับ การเชื่อมประสานเข้าหากันของสรรพสิ่ง มีจุดมุ่งหมายเพื่อเติมเต็มความขาดให้แก่กันและกัน แก่นของแรงปรารถนาจึงมี


115 รากฐานอยู่ที่ว่ามันตระหนักถึงกระบวนการของการเติมเต็มความขาดซึ่งกันและกัน ของสรรพสิ่ง ดังนั ้น ถ้าหากความขาดและแคระแกร็นไม่สมบูรณ์แบบถือเป็นรากเหง้า ของสรรพสิ่ง แรงปรารถนาก็จะสะท้อนถึงขุมพลังเพื่อการอยู่ร่วมกันระหว่างสรรพสิ่ง หรือนั่นก็คือ การเชื่อมโยงสรรพสิ่งที่มีระยะระหว่างกันเข้าด้วยกันโดยสมัครใจ โดยที่ การเชื่อมประสานระหว่างสรรพสิ่งต่างๆ ไม่จ�ำเป็นต้องมีความใกล้ชิดกันในเชิง กายภาพ ด้วยการณ์เช่นนี ้ จึงดูราวกับว่าแรงปรารถนาคือขุมพลังแห่งการใช้ชีวิตของ ปวงสรรพสิ่งที่เริ่มต้นจากความขาดและระยะห่างเป็นรากฐาน ซึ่งล้วนต่างเข้ามามี ปฏิสัมพันธ์กัน ต่างก็ช่วยเหลือเกื ้อกูลซึ่งกันและกัน และต่างก็ส่งมอบสิ่งที่ต่างฝ่ าย ต่างขาดซึ่งกันและกัน ถ้าหากพลังแห่งการเชื่อมต่อยังคงอยู่ ความแตกต่างในเชิงของ สถานที่และเวลาก็ดูจะไม่สามารถจะขวางกั ้นแรงปรารถนาในฐานะพลังเพื่อการ ด�ำเนินชีวิตเหล่านั ้นได้ นิพนธ์ความคิดคือการสะท้อนห้วงแห่งประสบการณ์และความคิดที่มีต่อเรื่อง ใดเรื่องหนึ่ง โดยเป็นการถ่ายทอดภาพที่เป็นนามธรรมเชิงความคิดของปัจเจกชนให้ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน การถ่ายทอดความคิดเพื่อเข้าเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนย่อม ต้องอาศัยระบบภาษา ผนวกกับการส�ำแดงถึงห้วงแห่งวิธีคิดที่สะท้อนถึงความเข้มข้น และรอยหยักความคิดของจิตวิญญาณที่เป็นผู้ส�ำแดงความคิดนั ้นๆ ออกมา อย่างไร ก็ตาม นิพนธ์ความคิดไม่ใช่สัจพจน์ (axiom) สัจพจน์คือชุดข้อความคิดที่มักอ้างถึง ความถูกต้องแม่นย�ำเชิงสารนิพนธ์จากภายในตัวของมันเอง สัจพจน์ไม่เรียกร้ อง หาความย้อนแย้งและไม่ให้คุณค่ากับการแสดงทัศนะในทางตรงกันข้ามกับความคิด ของมัน เช่นนั ้นแล้ว สัจพจน์จึงมีแนวโน้มเรียกหาการลดพิกัดทางความคิด โดยทึกทัก ว่าการลดทอนพิกัดเหลือเพียงแค่โครงการทางความคิดบางประการเท่านั ้นคือความ จริง ในขณะที่นิพนธ์ความคิดเรียกหาการขยายพิกัดและรอยหยักทางความคิด การ เรียกหาพิกัดทางความคิดที่กว้างขึ ้นโดยเอื ้อเฟื ้อเนื ้อที่ให้กับนิพนธ์อื่นๆ ที่จะโต้แย้ง อย่างสร้างสรรค์ คือกระบวนวิธีที่ส�ำคัญของวิภาษวิธี มรดกความคิดลักษณะนี ้ ชวน ให้ระลึกถึงการตั ้งค�ำถามเพื่อเปิดเผยถึงมิติแห่งความคิดและความรู้ ที่สรรพสิ่งยัง ปิดบังซ่อนเร้นภายในตัวของสรรพสิ่งเอง ในหนังสือเรื่อง Being and Time (2010) ของนักปรัชญาเยอรมันอย่าง มาร์ติน ไฮเดกเกอร์ (Martin Heidegger) พร้อมกับชวน ให้ระลึกถึงความคิดของ อิมมานูเอล ค้านท์ (Immanuel Kant) ที่ระบุไว้ใน Critique


คน-สังคม-ดิจิทัล 116 of Judgement (2005) ว่าการตัดสินคุณค่าการกระท�ำถ้าหากปราศจากซึ่งเจตคติที่ เหมาะสม ก็ย่อมเปิดให้คุณค่าของการกระท�ำที่ปัจเจกบุคคลคนหนึ่งตัดสินการ กระท�ำของตนเองถูกเปิดออกเพื่อการรองรับสารนิพนธ์อื่นๆ ที่จะเข้ามาโต้แย้งและ น�ำไปสู่การปรับเปลี่ยนการตัดสินการกระท�ำของตนเอง หรือนั่นก็คือการปรับเปลี่ยน นิพนธ์ความคิดที่เคยก่อรูปขึ ้นมาแล้วรูปนั ้นอีกครั ้งหนึ่ง ตรรกะแห่งวิภาษวิธีที่ว่าไปนั ้นสัมพันธ์กับกิจกรรมการจ�ำกัดนิยาม การมอบ ค�ำนิยามให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งคือการกระท�ำรูปแบบหนึ่งอันเกิดจากจิตวิญญาณของ ปัจเจกบุคคล ส่วนการต่อต้านหรือโต้แย้งนิยามก็คือวิภาษวิธีที่จิตวิญญาณรูปหนึ่ง พึงกระท�ำกับการนิยามความคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งของตนเอง โดยมุ่งหมายที่จะกรุย ทางสู่การปรับเปลี่ยนจิตรับรู้ เกี่ยวกับเรื่องเดิมเสียใหม่ รวมถึงเป็นการปรับเปลี่ยน นิยามที่เคยก่อรูปนี ้ไว้เสียใหม่ ดังนั ้น ด้วยตรรกะแห่งวิภาษวิธี แม้ว่าหนึ่งในนิพนธ์ ความคิดที่เป็นไปได้เกี่ยวกับแรงปรารถนาจะหมายถึงพลังแห่งการด�ำเนินชีวิตเพื่อ เชื่อมต่อสรรพสิ่งที่มีระยะห่างต่อกัน ทว่านิพนธ์ความคิดดังว่ามานี ้ ก็ควรมอบเนื ้อที่ ให้กับความเป็นไปได้ต่อการโต้แย้งสารนิพนธ์ว่าด้วยความปรารถนาตามที่กล่าวไป หากพิจารณาที่ขั ้วตรงข้ามของระยะห่างซึ่งก็คือความใกล้ชิด ความใกล้ชิดถือเป็น ปัจจัยส�ำคัญต่อการขบคิดเรื่องแรงปรารถนา บางนิพนธ์ความคิดอาจมองว่าความ ใกล้ชิดของสรรพสิ่งคือแก่นส�ำคัญของแรงปรารถนา เมื่อสรรพสิ่งใกล้ชิดกันในเชิงของ เวลาและสถานที่ สรรพสิ่งเหล่านั ้นก็ย่อมสร้างแรงปรารถนาในลักษณะเติมเต็มความ ขาดซึ่งกันและกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ความใกล้ชิดระหว่างกันของสรรพสิ่งคือ เงื่อนไขของการที่สรรพสิ่งต่างๆ จะส่งมอบพลังแห่งการด�ำเนินชีวิตให้แก่กันและกัน ข้อสรุปของนิพนธ์ความคิดนี ้จึงตั ้งอยู่บนความเรียบง่าย ด้วยใจความว่า ความใกล้ ชิดระหว่างสรรพสิ่งและของสรรพสิ่งสะท้อนถึงเงื่อนไขของแรงปรารถนาที่จะเติมเต็ม ความขาดซึ่งกันและกัน อย่างไรก็ตาม นิพนธ์ความคิดตามลักษณะที่กล่าวข้างต้นก็ไม่ใช่ว่าจะ ปราศจากปมปัญหา เพราะมันปราศจากการขบคิดถึงมิติในประการต่างๆ ดังต่อไปนี ้ ประการที่หนึ่ง ประการที่ว่าด้วยเป็นความจ�ำเป็นของสรรพสิ่งต่างๆ ที่ต้องถูกผูกโยง ให้ใกล้ชิดกันด้วยอุปัทวเหตุเชิงกาลเวลาและสถานที่ เช่น สถาบันครอบครัว ชุมชนรัฐ


117 และสังคมต่างๆ ชุมชนของสัตว์ปีก สัตว์บก สัตว์น� ้ำ ฯลฯ สรรพสิ่งทั ้งคนและสัตว์ต่าง เลือกสถานที่และเวลาเกิดไม่ได้ แต่จ�ำเป็นต้องถูกผูกโยงให้ใกล้ชิดกัน ดังนั ้น จึง เป็นการตกอยู่ในสภาพบังคับที่สรรพสิ่งจะต้องเติมเต็มความขาดซึ่งกันและกัน ประการที่สอง ถ้าหากการเติมเต็มความขาดเกิดขึ ้นผ่านสภาพบังคับของความใกล้ ชิด ความใกล้ชิดนี ้อาจสุ่มเสี่ยงจะท�ำให้กิจกรรมของการเติมเต็มความขาดยิ่งกลาย เป็นความขาดมากขึ ้น อาทิเช่น การเติมเต็มความขาดในครอบครัวชายเป็นใหญ่ ที่ มักให้อ�ำนาจความชอบธรรมแก่หัวหน้าครอบครัวผู้ชายเป็นผู้ด�ำเนินโครงการสร้ าง ความอบอุ่นและมั่นคงในครอบครัว ซึ่งผลลัพธ์ก็คือ กิจกรรมการเติมเต็มพลังชีวิตด้วย อาศัยฐานคิดแบบชายเป็นใหญ่ ก็อาจกลายเป็นความขาดหรือความรู้สึกที่ไม่สมบูรณ์ แบบ แถมสร้ างความเจ็บปวดใจท่ามกลางจิตใจของสมาชิกคนอื่นๆ ในครัวเรือน (Roudinesco, 2014) ดังนั ้น จากข้อพิจารณาในเรื่องของการถูกผูกโยงเข้าด้วยกัน ตามแต่อุปัทวเหตุอันเนื่องด้วยห้วงเวลาและสถานที่ รวมถึงการเติมเต็มความขาดที่ ยิ่งกลับกลายเป็นความขาดมากขึ ้น ในที่สุดแล้ว นิพนธ์ความคิดที่ผลิตความรู้ ที่ว่า ความใกล้ชิดของสรรพสิ่งคือเงื่อนไขของแรงปรารถนาก็กลายเป็นนิพนธ์ความคิดที่ สร้างปมปัญหาในตัวของมันเอง ในระดับหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่าสรรพสิ่งที่ใกล้ชิดกันมีโอกาสที่จะเติมเต็มความ ขาดซึ่งกันและกัน และมีโอกาสที่จะปลดปล่อยแรงปรารถนาที่จะเชื่อมต่อเข้าหากัน ได้มากกว่าสรรพสิ่งที่มีระยะห่างระหว่างกัน เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างชาติและคนใน ชาติ ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่สะท้อนถึงความใกล้ชิดของพื ้นที่ รวมถึงการเชื่อมโยงแรง ปรารถนาเพื่อเติมเต็มความขาดระหว่างกันของคนในชาติ อย่างไรก็ตาม ความใกล้ ชิดระหว่างกันของสรรพสิ่ง ก็อาจกลายเป็นการเหนี่ยวรั ้งธรรมชาติของแรงปรารถนา เสียเอง ธรรมชาติของแรงปรารถนาคือพลังของการใช้ชีวิตที่ไม่จ�ำกัดพื ้นที่และ ปราศจากการขีดวงล้อมรอบตัวมัน ธรรมชาติของแรงปรารถนาคือการเชื่อมโยงและ การเติมเต็มความขาด อันสะท้อนถึงพลังแห่งชีวิตที่อยู่นอกเหนือพื ้นที่ ซึ่งขณะนี ้ พื ้นที่ ไม่ได้แสดงความหมายอะไรอื่น นอกจากเป็นขอบเขตที่ก�ำหนดพิสัย ปิดกั ้น และขีด วงล้อมให้กับการเคลื่อนที่ของแรงปรารถนานั ้นๆ เมื่อแรงปรารถนาตกหล่มอยู่ในวงศ์ วานของพื ้นที่ แรงปรารถนาก็จะสูญเสียธรรมชาติในตัวของมันเองโดยผลลัพธ์


คน-สังคม-ดิจิทัล 118 ดังนั ้น นัยยะของค�ำว่า ‘พื ้นที่’ จึงดูแสดงความหมายถึงสัญญะแห่งความใกล้ ชิดระหว่างสรรพสิ่งและพรมแดนที่แรงปรารถนาของสรรพสิ่งตกเข้าไปอยู่ในพื ้นที่นั ้น ซึ่งส่งผลให้แรงปรารถนาของสรรพสิ่งถูกผลิตขึ ้นมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ การที่แรง ปรารถนาของสรรพสิ่งถูกกดทับด้วยพื ้นที่ที่แรงปรารถนาร่วมอาศัยอย่างใกล้ชิด ส่ง ผลให้พื ้นที่กลายเป็นปัจจัยที่ไปกดทับธรรมชาติจริงๆ ของแรงปรารถนา สิ่งที่ควรพึง ตระหนัก ก็คือธรรมชาติที่แท้จริงของแรงปรารถนา ว่าหมายถึงการสรรค์สร้างเนื ้อที่ เฉพาะของตัวมันเอง อันสะท้อนถึงแรงพุ่งทะยานในลักษณะที่หลีกเลี่ยงความกบดาน ภายในพื ้นที่ แรงปรารถนาคือพลังแห่งชีวิตที่ธรรมชาติของตัวมันนั ้น กลายเป็นสิ่งที่ ขบถต่อพื ้นที่ที่เคยสร้ างความใกล้ชิดกับมัน ความใกล้ชิดจึงเป็นอุปสรรคต่อแรง ปรารถนา ในขณะที่ระยะห่างและระยะทางของการเติมเต็ม แม้ในแง่หนึ่งจะถือเป็น อุปสรรคต่อการเติมเต็มความขาดเช่นกัน แต่กระนั ้น มันก็สะท้อนถึงธรรมชาติของแรง ปรารถนาได้แจ่มแจ้งกว่าพื ้นที่แห่งความใกล้ชิดระหว่างสรรพสิ่ง อย่างไรก็ตาม นิพนธ์ความคิดเรื่องแรงปรารถนาตามที่กล่าวมาข้างต้นดูจะ สุ่มเสี่ยงที่จะสร้างทวิจินตลักษณ์ (ภาพลักษณ์สองขั ้วที่ปราศจากการทับซ้อนและการ จัดวางองค์ประกอบทางความคิดที่แตกต่างกันบนระนาบการคิดเดียวกัน) หรือภาพ ลักษณ์ขั ้วตรงข้ามสองขั ้วเกี่ยวกับความปรารถนามากจนเกินไป การสร้ างทวิจินต ลักษณ์เพื่อถ่ายทอดความคิดเกี่ยวกับปรากฏการณ์ต่างๆ ดูจะไม่ใช่กิจกรรมแห่ง ปรัชญาที่เพียงพอต่อวิถีแห่งวิภาษวิธี วิภาษวิธีคาดหวังทางเลือกที่สาม ที่ต�ำแหน่ง ทางความคิดนั ้นทอดตัวของมันเหนือกว่าเส้นขอบฟ้าแห่งทวิจินตลักษณ์ ขณะนี ้นิพนธ์ ความคิดที่มีต่อแรงปรารถนาตามที่กล่าวมาทั ้งหมด ประกอบไปด้วย (1) ตรรกะของ ระยะห่างระหว่างสรรพสิ่งที่คาดหวังการเชื่อมต่อเพื่อเติมเต็มความขาด และ (2) ตรรกะความใกล้ชิดของสรรพสิ่งที่เติมเต็มความขาด อันเนื่องมาจากสรรพสิ่งนั ้นๆ ตก อยู่ในพื ้นที่เดียวกัน กระนั ้นก็ดี ทั ้งสองนิพนธ์ความคิดนี ้ ก็ยังขาดมุมมองเกี่ยวกับการ พิจารณาแรงปรารถนาว่าเป็นกระบวนการ และขาดมุมมองถึงความเป็นไปได้ของการ ขบคิดถึงการลบเส้นแบ่งแห่งจินตลักษณ์ของระยะห่างและความใกล้ชิด การลบเส้นแบ่งดังกล่าวควรเริ่มต้นด้วยวิธีคิดดังต่อไปนี ้ เมื่อสรรพสิ่งพบ บรรจบเข้าด้วยกันและท�ำหน้าที่เติมเต็มความขาดแก่กันและกัน ภารกิจของมันก็จะ


119 จบลงเพียงชั่วขณะหนึ่ง ในกาลเวลาหนึ่งและในสถานที่หนึ่งเท่านั ้น ก่อนที่การเติม เต็มความขาดของสรรพสิ่งหนึ่งจะเคลื่อนย้ายเข้าสู่สรรพสิ่งอื่นๆ ในห้วงเวลาถัดมา พลังแห่งชีวิตแบบนี ้จึงไม่ใช่การแสวงหาจุดสิ ้นสุด แต่เป็นเรื่องของกระบวนการ แรง ปรารถนาจึงเป็นเรื่องของกระบวนการเคลื่อนที่และเชื่อมต่อโดยไร้จุดสิ ้นสุด และถ้า มองในอีกความคิดหนึ่ง ก็อาจกล่าวได้ว่าแรงปรารถนาส่งผลให้ระยะห่างและความ ใกล้ชิด ไม่ใช่สิ่งที่ผลิตหรือสร้ างขั ้วแบ่งแก่กันและกัน เพราะแรงปรารถนาคือการที่ สรรพสิ่งที่อยู่ห่างไกลกันเรียกหาความใกล้ชิดแก่กันและกัน ดังนั ้น ถ้าหากสรรพสิ่งที่ มีระยะทางระหว่างกันเรียกร้องความใกล้ชิดระหว่างกัน โดยที่สรรพสิ่งนั ้นๆ ตัดข้าม พื ้นที่เฉพาะ ที่มันตกหล่มลงไป เพื่อมาพบเจอกับอีกสรรพสิ่งหนึ่งในอีกพื ้นที่หนึ่งที่ต่าง ออกไป ก็อาจกล่าวได้ว่าระยะห่างและความใกล้ชิดเป็นสิ่งที่ไร้ขั ้วแบ่งอันเนื่องมาจาก การตัดข้ามพื ้นที่ของพลังชีวิต พลังชีวิตแห่งแรงปรารถนาจึงเป็นเรื่องของกระบวนการ ที่ไม่สิ ้นสุดของการหลอมรวมความแตกต่างของสรรพสิ่งต่างๆ ที่มาจากคนละพื ้นที่ และเวลา ดังนั ้น ผลลัพธ์ปลายทางของกระบวนวิภาษวิธีว่าด้วยแรงปรารถนา (a dialectic of desire) ตามที่สร้างนิพนธ์ความคิดในลักษณะสร้างข้อถกเถียงมาทั ้งหมด ก็จบลง ที่การเข้าใจแรงปรารถนา ว่าหมายถึง ธรรมชาติแห่งกระบวนการที่ไม่สิ ้นสุดของการ เรียกร้องการเติมเต็มความขาดระหว่างสรรพสิ่ง อันเป็นพลังชีวิตที่ราวกับว่าสรรพสิ่ง เพรียกหาความใกล้ชิดกันโดยสมัครใจ ซึ่งความใกล้ชิดนี ้อาจเป็นความใกล้ชิดเสมือน จริง (virtual proximity) ท่ามกลางที่สรรพสิ่งเหล่านั ้นต่างอยู่ห่างไกลกัน ห่างพื ้นที่ และห่างเวลากันในความเป็นจริง อนึ่ง แรงปรารถนาในนิพนธ์ความคิดนี ้ สัมพันธ์กับ การเข้าใจปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมและการไหลลื่น ซึ่งเป็นความ เคลื่อนไหวที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมและเป็นความคาดหวังต่ออนาคตที่เกิดขึ ้นใน บริบทของทุนนิยมดิจิทัล และจะเป็นประเด็นที่จะกล่าวถึงในส่วนถัดไปของบทความ แรงปรารถนาตามนิพนธ์ความคิดที่ก่อร่างขึ ้นมาข้างต้น ชวนให้หลายคนเกิด จิตระลึกถึงความคิดของ จิล เดอเลิซ (Gilles Deleuze) และเฟลิกซ์ กัตตารี (Felix Guattari) ในหนังสือเรื่อง Anti-Oedipus: Capitalism and Schizophrenia (2004) ในบทว่าด้วย ‘Introduction to Schizoanalysis’ ซึ่งมีการกล่าวถึงธรรมชาติของ


คน-สังคม-ดิจิทัล 120 แรงปรารถนาที่สะท้อนถึงการเชื่อมโยงอย่างไร้ขอบเขต โดยเดอเลิซและกัตตารีกล่าว เปรียบเปรยถึง ‘ตัวฉัน’ ว่าเป็นร่างกายและความคิดที่โดยอิสรภาพของมันนั ้น สามารถ เพิกถอนตนเองออกจากพื ้นที่ ซึ่งได้มีการลงทุนสร้างตัวฉันตัวนั ้นไว้แต่แรก ถึงจะเป็น เช่นนั ้น แต่ตัวฉันก็สามารถปลดเปลื ้องตัวฉันจากพื ้นที่นั ้น เพื่อที่ตัวฉันจะเรียกหาการ เชื่อมโยงกับพื ้นที่อื่น เดอเลิซและกัตตารีเขียนว่า “จริงแท้แน่นอนข้าพเจ้าเป็นพวก เดียวกันท่าน และข้าพเจ้าก็เป็นคนของชนชั ้นและเผ่าพันธุ์ที่สูงศักดิ์ ” (Deleuze and Guattari, 2004) เดอเลิซและกัตตารีกล่าวต่อไปว่า ความเป็นจิตเภทในตัวสรรพสิ่งต่างๆ ถึงที่ สุดแล้วก็คือการสร้าง ‘เส้นที่บินหนี’ ออกจากการที่แรงปรารถนานั ้นๆ อยู่ภายใต้การ ควบคุมและสกัดกั ้นโดยพื ้นที่ มันคือการทลายก�ำแพงและสร้างเหตุเพื่อการเคลื่อนที่ เคลื่อนไหว มันคือการเชื่อมต่อความเป็นกลจักรในตัวของมันเอง และสร้างความผสม ผสานข้ามกันในระหว่างกลุ่มต่างๆ ทั ้งในกลุ่มแคบๆ หรือในพื ้นที่ชายขอบ (Deleuze and Guattari, 2004) จนน�ำมาสู่ข้อความคิดที่ว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่คนของท่านเสียที เดียว (ไม่ใช่คนชนชั ้นและเผ่าพันธุ์ที่สูงศักดิ์) ข้าพเจ้าเป็นส่วนหนึ่งกับเผ่าพันธุ์ที่ต�่ำ กว่า พอๆ กับที่ข้าพเจ้าเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ข้าพเจ้าเป็นคนผิวสี” (Deleuze and Guattari, 2004) นิพนธ์ความคิดของเดอเลิซและกัตตารีสะท้อนให้เห็นถึงธรรมชาติอันแท้จริง ของแรงปรารถนาของสรรพสิ่งที่เรียกหาความใกล้ชิดระหว่างกัน แม้ว่าความใกล้ชิด นั ้นจะเป็นแค่ความเสมือนก็ตาม ถ้อยค�ำของเดอเลิซและกัตตารีแสดงให้เห็นว่า พวก เขามองว่าตนเองเป็นคนของชนชั ้นที่สูงศักดิ์ แต่ก็เสมือนว่าเป็นส่วนหนึ่งกับเผ่าพันธุ์ ที่ต�่ำกว่า พอๆ กับที่เป็นสัตว์เดรัจฉานและเป็นคนผิวสีพร้อมกันไป จากข้อความดัง กล่าว การก้าวข้ามพื ้นที่เพื่อแสวงหาการเชื่อมต่อคือการหลบหลีกจากการควบคุม ด้วยพื ้นที่อันใกล้ชิด อันเป็นพื ้นที่ซึ่งการเติมเต็มความขาดเป็นไปอย่างมีข้อจ�ำกัด การ ถอนตัวออกจากพื ้นที่เดิม เพื่อเชื่อมโยงกับสรรพสิ่งอื่นๆ ในพื ้นที่อื่นคือธรรมชาติอัน บริสุทธิ์ ของแรงปรารถนาของสรรพสิ่ง


121 นิพนธ์ความคิดเรื่องแรงปรารถนาที่น�ำเสนอในที่นี ้ มองถึงความคล้องจองเข้า กับข้อเสนอของเดอเลิซและกัตตารี อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอของเดอเลิซและกัตตารี มักได้รับความสงสัยว่าไม่มีความสอดคล้องอย่างใดกับจิตวิเคราะห์ (psychoanalysis) ของ ฌ้าคส์ ลากอง (Jacques Lacan) โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงปรารถนา ซึ่งเป็น ประเด็นที่จิตวิเคราะห์ถูกสบประมาทว่าเป็นการลดทอนพลังชีวิตของมนุษย์ ให้เหลือ ภาพเป็ นเพียงแค่ชีวิตที่ถูกกักขังเหนี่ยวรั ้งและท�ำให้ โดดเดี่ยวภายในจิตของ ปัจเจกบุคคล จิตวิเคราะห์มักถูกสบประมาทว่าเป็นแนวคิดที่สกัดกั ้นการปลดปล่อย แรงปรารถนาของปัจเจกบุคคล ค�ำว่าแรงปรารถนา (desire) จึงไม่ใช่ค�ำศัพท์ที่จะอยู่ ในพจนานุกรมของผู้นิยมแนวทางจิตวิเคราะห์ หากเทียบกับค�ำว่าความขาด (lack) มุมมองแบบเดอเลิซดูจะมองว่าจิตวิเคราะห์บ่มเพาะความคิดเรื่องของความขาดเป็น หลัก และเพิกถอนการค�ำนึงเรื่องแรงปรารถนาในฐานะรากฐานส�ำคัญ ความจริงแล้ว ข้อค�ำนึงลักษณะนี ้ก�ำลังสร้างเส้นแบ่งอันน่าวิตก เพราะเป็นการสร้างเส้นแบ่งระหว่าง เดอเลิซในฐานะตัวแทนนักคิดหลังสมัยใหม่และลากองในฐานะตัวแทนนักคิดจิต วิเคราะห์ อย่างไรก็ตาม ข้อเสนออันน่าวิตกกังวลนี ้ ก็ได้รับการถกเถียงผ่านงานตีพิมพ์ บทความภาษาไทยชิ ้นหนึ่ง (ชญาน์ทัต, 2557) งานชิ ้นนั ้นมองถึงความเชื่อมโยงกัน ระหว่างจิตวิเคราะห์และความคิดหลังสมัยใหม่ว่าเป็นแนวคิดที่ไม่ได้แยกจากกัน เพราะถึงที่สุดแล้วแนวคิดหลังสมัยใหม่ก็คือการ ‘ด�ำดิ่ง’ และ ‘ค้นหา’ มิติความคิดอัน หลากหลายที่คนคิดในลักษณะที่เป็นจริงในตัวของตัวเอง และขณะเดียวกันจิต วิเคราะห์ก็คือศิลปะของการเปิดเผยซึ่งมิติอันหลากหลายที่คนซ่อนเร้นอยู่ภายในจิต ของตนเอง ถ้าหากความเป็นจิตเภท (schizophrenic) คือแรงปรารถนาที่ไร้สัญญะ กอปรกับเป็นแรงปรารถนาที่ซุกซ่อนอยู่ใน ‘กล่องด�ำ’ ทางความคิดของมนุษย์ปุถุชน เช่นนั ้นแล้ว จะมีเหตุผลอันควรใดที่การวิเคราะห์จิตเภท (schizoanalysis) ถึงให้การ ปฎิเสธจิตวิเคราะห์ จิตเภทต้องไม่ปฏิเสธจิตวิเคราะห์ เพราะจิตวิเคราะห์คือศิลปะที่ จะน�ำมาซึ่งความเข้าใจต่อจิตเภทได้ดีที่สุดแขนงหนึ่ง นิพนธ์ความคิดในที่นี ้ ก็คือการ วิเคราะห์จิตเภทและจิตวิเคราะห์คือสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้แต่แรก กล่าวให้ถึงที่ สุดแล้ว การคัดแยกความคิดของเดอเลิซออกจากความคิดของลากอง ถือเป็นการคัด แยกทางความคิดที่ผิดพลาดพอสมควร เพราะเป็นการสร้างมายาคติที่ขวางกั ้นความ เชื่อมโยงทางความคิดระหว่างเดอเลิซและลากอง


คน-สังคม-ดิจิทัล 122 ถ้าหากนิพนธ์ความคิดเกี่ยวกับแรงปรารถนาที่น�ำเสนอในที่นี ้สัมพันธ์กับ ความคิดของเดอเลิซ นิพนธ์เดียวกันนี ้ก็สัมพันธ์กับนิพนธ์ความคิดของลากองว่าด้วย แรงปรารถนาเช่นกัน ลากองกล่าวถึงแรงปรารถนาในตัวคน ว่าหมายถึงภาพสะท้อน ถึงสิ่งที่ผู้อื่นปรารถนาให้ปัจเจกบุคคลคนหนึ่ง เกิดสภาวะความเป็นมนุษย์ดั่งที่ผู้อื่น ปรารถนาให้ปัจเจกบุคคลคนนั ้นเป็นตามที่ผู้อื่นต้องการ (Lacan, 2007; ชญาน์ทัต, 2555) แรงปรารถนาต่อบางสิ่งบางอย่างของมนุษย์ ถึงที่สุดแล้วก็คือภาพสะท้อนถึง แรงปรารถนาของตัวเขาเองที่เขาพบเห็นในตัวของผู้อื่น จนดูราวกับว่าแรงปรารถนา ของมนุษย์ไม่ได้แยกตัวออกจากแรงปรารถนาที่ผู้อื่นบ่มเพาะและก�ำหนดความคิดเอา ไว้ให้ล่วงหน้า ลากองสรุปด้วยค�ำว่า “แรงปรารถนาคือแรงปรารถนาของผู้อื่น” (desire is the desire of the Other) เช่น เด็กแรกเกิดถูกบ่มเพาะความคิดให้มองอนาคตของ ตนเองในทิศทางเดียวกันกับที่ผู้ปกครองของเขาพึงปรารถนา จะเห็นว่า มนุษย์มิได้ เพียงมองแรงปรารถนาของผู้อื่นว่าเป็นสิ่งที่น่าปรารถนาเท่านั ้น หากแต่พวกเขาพึง ปรารถนาต่อแรงปรารถนาของผู้อื่น ราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่สมมาตรคล้องจองกัน ในเบื ้องต้น มนุษย์จึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาเพื่อเรียนรู้แรงปรารถนาของผู้อื่น และตกอยู่ในกระบวนการสร้างมายาคติ ให้เกิดความคิดว่าความเป็นตัวตนของผู้อื่น คือสิ่งที่ตนเองก็ต้องการจะเป็นเช่นนั ้นเช่นกัน (Fink, 1995) แต่ความสุ่มเสี่ยงในเรื่อง นี ้ ก็คือมนุษย์ตกอยู่ในกระบวนการเรียนรู้ที่จะเป็นผู้อื่น พวกเขาไม่ได้เรียนรู้ที่จะเป็น ‘ผู้อื่น’ ที่แยกตนเองออกมาอย่างเป็นเอกเทศจากผู้อื่นเหล่านั ้น ข้อพึงตระหนัก ก็คือ ต�ำแหน่งของแรงปรารถนา ไม่ได้อยู่ต�ำแหน่งเดียวกันกับที่มนุษย์เรียนรู้ที่จะเป็นผู้อื่น และสร้างแรงปรารถนาที่สมมาตรกับผู้อื่น เมื่อเป็นเช่นนั ้น กระบวนการสร้างตนเอง ให้กลายเป็น ‘ผู้อื่น’ ที่แยกตัวออกจากผู้อื่น จึงกลายเป็นแรงปรารถนาที่ไม่เกิดผลเป็น รูปธรรม ดังนั ้น ต�ำแหน่งของแรงปรารถนาที่เข้มข้น ก็คือการที่ตัวคนสร้างตนเองให้ กลายเป็น ‘ผู้อื่น’ ที่เป็นอิสระและเป็นเอกเทศจากแรงปรารถนาที่ถูกก�ำหนดโดยผู้อื่น เมื่อใดก็ตามที่แรงปรารถนาของมนุษย์ส่องสะท้อนเงาอยู่ในตัวของผู้อื่นและ เงาของตัวผู้อื่นก็ส่องสะท้อนอยู่ในแรงปรารถนาของมนุษย์ เมื่อนั ้นสิ่งที่เกิดขึ ้นแก่พวกเขา ก็คือสิ่งที่ลากองระบุว่าเป็น ‘ต�ำแหน่งที่คลาดเคลื่อนของแรงปรารถนา’ (an alienation of desire) (alienation ในที่นี ้ไม่ได้แปลว่า ‘ความแปลกแยก’) ซึ่งลากองอภิปรายเรื่อง


123 นี ้โดยเชื่อมโยงเข้ากับค�ำว่า manque à être ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า ‘the lack of being’ และแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า ‘ความขาดแห่งตัวสภาวะ’ (Fink, 1995) การ ผูกโยงแรงปรารถนาของมนุษย์คนหนึ่งเข้ากับแรงปรารถนาของผู้อื่น ส่งผลให้ความ เป็นตัวตนของตนเองกลายเป็นความขาด หากมนุษย์เชื่อมโยงกับผู้อื่นและผลิตซ� ้ำแรง ปรารถนาของผู้อื่นภายในตนเอง มนุษย์ในฐานะสภาวะก็จะกลายเป็นความขาดโดย ผลลัพธ์ และผลที่ตามมาก็คือแรงปรารถนาของตัวมนุษย์ก็จะกลายเป็นสิ่งที่คลาด เคลื่อนไปด้วย เพราะมนุษย์น�ำเอาแรงปรารถนาของตนเองเข้าไปสอดทับในลักษณะ ทับซ้อนกับของผู้อื่น เช่น ความฝันของเด็กจบใหม่ที่อยากท�ำธุรกิจ start-up ตาม นโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาลไทย และความฝันอยากร�่ำรวยเหมือน แจ็ค หม่า (Jack Ma) ของนักธุรกิจดิจิทัลรุ่นใหม่ทั ้งหลาย เป็นต้น ตรรกะของ ‘ต�ำแหน่งที่คลาดเคลื่อนของแรงปรารถนา’ คือมุมมองที่สื่อ ใจความว่า แรงปรารถนาภายในตัวของมนุษย์กลายสภาพเป็นแรงปรารถนาที่ไม่ใช่ ตัวตนของตนเองจริงๆ แรงปรารถนาที่คล้อยตามเงาสะท้อนของผู้อื่น ส่งผลให้แรง ปรารถนากลายเป็นความว่างเปล่า แม้ว่าแรงปรารถนานั ้นจะเชื่อมโยงกับสรรพสิ่งมา จากที่ห่างไกลและความห่างไกลนั ้น กลายเป็นความใกล้ชิด แต่กระนั ้น หากสรรพสิ่ง ทั ้งหลายน�ำเอาแรงปรารถนาของตนเองเข้าบรรจบอย่างพอเหมาะพอดี แรงปรารถนา นั ้นก็สุ่มเสี่ยงที่จะไม่กลายสภาพเป็นแรงปรารถนาที่แท้จริงของตนเอง แต่อาจจะกลาย สภาพเป็นความว่างเปล่าได้ หรือเท่ากับไร้ความคิดเป็นตัวของตัวเองแต่แรกก็เป็นได้ ดังที่ลากองกล่าวเป็นค�ำปริศนาว่า “มันคือตัวตนของพวกเขาซึ่งไม่ได้อยู่ตรงนั ้นตั ้งแต่ แรก” (Lacan, 1966 as cited in Fink, 1995) ที่เป็นเช่นนั ้นก็เพราะต�ำแหน่งแห่งแรง ปรารถนาของคนๆ นั ้นเกิดความคลาดเคลื่อนเพราะมันไปทับซ้อนกับสิ่งที่ผู้อื่นต้องการ ให้เขาเป็น และเขาก็มองผู้อื่นในฐานะคนที่เขาอยากเป็น เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั ้น หากเชื่อมโยงความคิดของลากองเข้ากับนิพนธ์ในข้อเสนอของบทความ ก็อาจกล่าวได้ว่า ถึงแม้ว่าแรงปรารถนาของสรรพสิ่งจะมีจุดมุ่งหมายเพื่อการเติมเต็ม ความขาดในลักษณะของความใกล้ชิดที่เสมือนจริง (ความห่างไกลของพื ้นที่และเวลา ที่สามารถเชื่อมต่อเพื่อเติมเต็มความขาดแก่กันและกันได้) แต่ถ้าหากความใกล้ชิดที่ เสมือนจริงระหว่างสรรพสิ่ง กลับกลายเป็นกระจกสะท้อนแรงปรารถนาที่เหมือนกัน


คน-สังคม-ดิจิทัล 124 หรือเป็นภาพสมมาตรกันระหว่างสรรพสิ่งที่อยู่ห่างกัน แรงปรารถนานั ้นๆ ของสรรพ สิ่งต่างๆ ก็ถือว่ากลายสภาพเป็นความขาดและกลายเป็นตัวตนของแรงปรารถนาที่ ไม่ได้ ‘อยู่ตรงนั ้นแต่แรก’ หากแต่เป็นแรงปรารถนาที่ถูกผลิตซ� ้ำโดยแรงปรารถนาของ ผู้อื่น (สรรพสิ่งอื่น) มากกว่า อนึ่ง ตรรกะเรื่องนี ้สัมพันธ์กับการควบคุม ซึ่งหมายถึง การผลิตซ� ้ำแรงปรารถนาด้วยตรรกะของทุนนิยมดิจิทัล ซึ่งทุนนิยมดิจิทัลอยู่ในฐานะ แรงปรารถนาของผู้อื่นที่พยายามเข้ามาเชื่อมโยงกับแรงปรารถนาของตัวคน โดยมุ่ง หมายที่จะสะสมก�ำไรด้วยอาศัยเทคโนโลยีดิจิทัลแบบมีระยะห่างที่เสมือนว่าใกล้ชิด ซึ่งเป็นประเด็นที่จะอภิปรายในส่วนถัดไปของบทความ นิพนธ์ความคิดของลากองเกี่ยวกับแรงปรารถนาไม่ได้จบแค่เพียงเรื่อง ‘ต�ำแหน่งที่คลาดเคลื่อนของแรงปรารถนา’ เท่านั ้น ลากองเสนอนิพนธ์โต้แย้งที่ชื่อว่า ‘การแยกตัวของแรงปรารถนา’ (a separation of desire) ซึ่งหมายถึงแรงปรารถนา ของตัวคนที่แยกตัว เป็นอิสระ และเป็นเอกเทศจากแรงปรารถนาที่ทับซ้อนกับแรง ปรารถนาของผู้อื่น การแยกตัวของแรงปรารถนาสะท้อนถึงการประกอบสร้างตัวตน ที่เป็นตัวเองจริงๆ ของมนุษย์ เป็นการที่ตัวตนของมนุษย์ผลิตคน ‘นอกคอก’ ขึ ้น ท่ามกลางการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ในขณะที่การสมยอมกับแรงปรารถนาของผู้อื่นไม่ได้ เป็นอะไรอื่น นอกจากเป็นการผลิต ‘ฝาแฝด’ ทางความคิดเท่านั ้น แรงปรารถนาที่แยก ตนเองออกจากแรงปรารถนาของผู้อื่น คือบ่อเกิดของการที่สภาวะสามารถสถาปนา ตัวตนทางความคิดขึ ้นมาในตัวของมันเอง (Fink, 1995) ดังนั ้น กิจกรรมที่ส�ำคัญของ แรงปรารถนาในนิพนธ์ความคิดนี ้ก็คือการปฏิเสธที่จะสมยอมหรือจ�ำนนกับแรง ปรารถนาของผู้อื่น ซึ่งเป็นบ่อเกิดของการที่แรงปรารถนาของคนเกิดความคลาด เคลื่อนขึ ้น การแยกตัวคือกิจกรรมที่สะท้อนการปฏิเสธและต่อต้านความคลาดเคลื่อน แห่งแรงปรารถนา ดังนั ้น การแยกตัวคือการตระหนักว่าการเชื่อมประสานของสรรพ สิ่งที่พยายามจะเติมเต็มความขาดแก่กันและกันนั ้น แท้จริงแล้วเป็นความไม่สมบูรณ์ แบบ มีความคลาดเคลื่อน และมีความขาดเป็นองค์ประกอบอยู่ภายในกิจกรรมการ เชื่อมประสานหรือเชื่อมโยงของสรรพสิ่งเหล่านั ้น ข้อความคิดเช่นนี ้จึงเป็นเหตุผลให้ มนุษย์สร้างแรงปรารถนาให้ตนเองกลายเป็น ‘ผู้อื่น’ ในลักษณะที่เป็นอิสระจากแรง ปรารถนาของผู้อื่น แนวคิดเรื่องการแยกตัวของแรงปรารถนาออกจากแรงปรารถนา ของผู้อื่นของลากองจึงสอดคล้องกับอุปมาอุปไมยของเดอเลิซในเรื่องของ ‘เส้นที่บินหนี’


125 ออกจากการที่สรรพสิ่งนั ้นๆ ถูกโอบล้อมและบีบอัดด้วยพื ้นที่ การแยกตัวของแรง ปรารถนาของลากองจึงอาศัยตรรกะเดียวกันกันกับการทลายก�ำแพงและขับเคลื่อน การไหลเวียนของพลังแห่งการด�ำรงชีวิตที่ไม่ยึดติดกับแรงปรารถนาของผู้อื่นของ เดอเลิซ หากน�ำเอาวิธีคิดของลากองมาเชื่อมโยงกับนิพนธ์ความคิดเรื่องแรงปรารถนา ของบทความ ก็อาจกล่าวได้ว่า การแยกตัวของแรงปรารถนาคือการท�ำให้แรง ปรารถนาของสรรพสิ่งเกิดธรรมชาติบริสุทธิ์ ในตนเองอีกครั ้ง ที่ตัวมันนั ้นพร้อมจะเชื่อม โยง ออกเดินทาง เคลื่อนไหว และเชื่อมโยงเชื่อมต่อกับสรรพสิ่งอื่นๆ ที่ตั ้งอยู่ในกาล เวลาและสถานที่ที่แตกต่างออกไป ในลักษณะของระยะห่างที่มีความใกล้ชิด โดยอาจ คาดหมายถึงจินตนาการต่อสภาพปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป แนวคิดของลากองและ เดอเลิซที่เกี่ยวข้องกับการแยกตัวของแรงปรารถนาและการบินหนีออกจากการถูกโอบ ล้อมภายในพื ้นที่นี ้ มีส่วนสัมพันธ์กับความไหลลื่น การต่อต้านทุนนิยมดิจิทัลและ ความคาดหวังต่ออนาคตที่เปลี่ยนแปลงไป ดังที่จะได้กล่าวในส่วนถัดไปของบทความ ทุนนิยมดิจิทัล: แรงปรารถนา การควบคุม ความไหลลื่น ทุนนิยมดิจิทัล บทความคือตัวบทตัวหนึ่งที่มักถูกเรียกร้องให้แสดงความหมายและนิยามต่อ เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ในขณะนี ้ก็เช่นกัน บทความก�ำลังถูกคาดหวังให้กล่าวถึงนิยามหรือ แสดงการประกอบสร้ างความคิดเกี่ยวกับทุนนิยมดิจิทัล (digital capitalism) บทความสนใจที่จะต้อนรับและตอบรับความคาดหวังที่ก�ำลังเกิดขึ ้นในขณะนี ้ ผ่าน การเริ่มต้นจากทัศนะคติหนึ่งที่บทความมองว่าเป็นทัศนะคติเกี่ยวกับทุนนิยมดิจิทัล ที่ค่อนข้างมีปัญหา นั่นก็คือทัศนะคติที่เพ่งพินิจถึงความแตกต่างระหว่างทุนนิยม ดิจิทัลและเศรษฐกิจดิจิทัล (digital economy) แม้ว่าความแตกต่างนี ้จะเป็นทัศนะ คติความคิดที่ไม่ผิดเสียทีเดียว แต่ทัศนะคติการคิดเช่นนี ้ย่อมสุ่มเสี่ยงจะเป็นปัญหา ในเชิงญาณวิทยา เพราะสะท้อนถึงกระบวนการคิดหรือการรับรู้ สรรพสิ่งต่างๆ ในลักษณะของการผลิตขั ้วความคิดสองขั ้ว ในเบื ้องต้นเห็นควรต้องย้อนกลับไปมอง ถึงการให้ความหมายเกี่ยวกับเศรษฐกิจดิจิทัล ในหนังสือเล่มหนึ่งที่มีอายุมากกว่า 2


คน-สังคม-ดิจิทัล 126 ทศวรรษที่แล้วคือ Digital Economy: Promise and Peril in the Age of Networked Intelligence (1995) ดอน แท็ปสกอต (Don Tapscott) ผู้ประพันธ์ เสนอว่าเศรษฐกิจ ในอนาคตต้องอาศัยพลานุภาพของการเชื่อมโยงเครือข่ายขนาดใหญ่ อินเทอร์เน็ตถือ เป็นเทคโนโลยีส�ำคัญยิ่งที่จะน�ำมาสู่การสรรสร้ างเครือข่ายระหว่างผู้ซื ้อและผู้ขาย อินเทอร์เน็ตจึงเป็นเครื่องมือที่เข้ามาปฏิวัติการค้าสมัยใหม่ อันน�ำไปสู่ปรากฏการณ์ ส�ำคัญเรื่องหนึ่ง นั่นคือ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีมาอย่างยาวนานจนกระทั่งปัจจุบัน การค้าที่อาศัยอินเทอร์เน็ตเป็นจักรกลส�ำคัญ จึงเป็นสิ่งที่จะให้ค�ำมั่นสัญญาต่อความ มั่งคั่งร�่ำรวยของธุรกิจ ในขณะที่การปรับตัวไม่ทันกับการเข้ามาของอินเทอร์เน็ตใน ฐานะเทคโนโลยีร่วมสมัย ก็จะกลายเป็นพิษภัยหรือเป็นภยันตรายต่อธุรกิจนั ้นๆ เอง ในที่สุด จะเห็นว่า ข้อเสนอเรื่องเศรษฐกิจดิจิทัลของแท็ปสกอตคือมุมมองที่เน้นการ ตัดสินใจของภาคธุรกิจ และมีจุดเน้นที่การปรับตัวและการสร้ างความมั่งคั่งร�่ำรวย อย่างต่อเนื่องผ่านการเข้าครอบครองเทคโนโลยีที่สร้างเครือข่ายขนาดใหญ่ระหว่างผู้ ซื ้อผู้ขายให้ได้เป็นผลส�ำเร็จ การครอบครองอินเทอร์เน็ตในฐานะเทคโนโลยีเครือข่าย คือเงื่อนไขของความส�ำเร็จในเศรษฐกิจปัจจุบัน งานเขียนของแท็ปสกอตเล่มนี ้จึงน่า จะได้รับการตอบรับอย่างดีจากกลุ่มนักธุรกิจผู้มีความเชื่อแบบนิยมความอยู่รอดของ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด และจึงไม่แปลกที่ว่าสาเหตุที่รัฐบาลไทยภายใต้การน�ำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา รวมถึงภาคธุรกิจไทยให้การขานรับกับหนังสือเล่มนี ้เป็นพิเศษ ก็ เพราะวิธีคิดของแท็ปสกอต สอดรับอย่างเหมาะเจาะกับนโยบาย Thailand 4.0 ข้อเสนอของแท็ปสกอตที่เข้าข่ายปลุกวิญญาณแบบดาร์วินให้เข้ามาเชื่อม โยงกับชีวิตแห่งเศรษฐกิจในศตวรรษที่ 21 ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิชาการ สายมาร์กซิส (Marxist) ว่าเป็นงานเขียนที่ละเลยมิติทางด้านเศรษฐกิจการเมืองที่ลึก ซึ ้งกว่านั ้น เป็นที่น่าสังเกตว่านักวิชาการสายมาร์กซิสบางรายหลีกเลี่ยงที่จะไม่อธิบาย ปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจในโลกแห่งเทคโนโลยีล� ้ำสมัยอย่างเช่นในปัจจุบัน โดย อาศัยค�ำว่าเศรษฐกิจดิจิทัล หากแต่เลือกที่ใช้ค�ำว่าทุนนิยมดิจิทัลแทน ดังที่ปรากฏใน ข้อความของ คริสเตียน ฟุชซ์ (Christian Fuchs) ผ่านหนังสือเรื่อง Marx in the Age of Digital Capitalism (2016) ว่าสิ่งที่ส�ำคัญในการท�ำความเข้าใจทุนนิยมที่มี


127 เทคโนโลยีการสื่อสาร เช่น เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต เป็นองค์ประกอบส�ำคัญนั ้น ต้อง ไม่เน้นการวิเคราะห์ไปยังกิจกรรมต่างๆ ของภาคธุรกิจ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่การสร้าง โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ การสะสมก�ำไร การสะสมความมั่งคั่ง และการอยู่รอดในระบบ ทุนนิยมเป็นวัตถุประสงค์หลัก หากแต่อยู่ที่การเปิดเผยให้เห็นถึง ‘ด้านมืด’ ของทุนนิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเปิดโปงให้เห็นถึงมิติของความขัดแย้งทางชนชั ้น ซึ่งยังคงสิง สถิตเป็นอาจิณอยู่ในระบบทุนนิยมดิจิทัล (Fuch, 2016) วิธีคิดแบบมาร์กซ์เปิดเผยให้เห็นว่า ทุนนิยมไม่ว่าจะเป็นในยุคใดก็ตาม ทั ้ง ในปัจจุบันที่เป็นแบบดิจิทัล รวมถึงกระบวนทัศน์ของทุนนิยมในอดีตที่ผ่านมา รวมถึง ในอนาคต ในการเปิดเผยด้านมืดเหล่านั ้น จ�ำเป็นต้องพิจารณาไปยังแนวคิดที่มาร์กซ์ เคยสร้างไว้ให้ขบคิด เช่น ความขัดแย้งทางชนชั ้น การต่อสู้ทางชนชั ้น มูลค่าการใช้สอย มูลค่าการแลกเปลี่ยน มูลค่าส่วนเกิน กระบวนการสร้างสินค้า ความแปลกแยก การ วิพาษ์อุดมการณ์ แนวคิดคอมมิวนิสม์ ฯลฯ ซึ่งแนวคิดทั ้งหมดนี ้เคลือบแฝงอยู่ในใน โลกทุนนิยมปัจจุบัน ที่เป็นทุนนิยมดิจิทัล (Fuch, 2016; เก่งกิจ, 2560; ชญาน์ทัต, 2561; สรวิศ, 2562) อย่างไรก็ตาม ประเด็นปัญหาในที่นี ้ก็คือข้อเสนอของแท็ปสกอต และข้อเสนอของฟุชซ์ ดูจะเป็นการสร้างวาทกรรมเกี่ยวกับเศรษฐกิจในบริบทปัจจุบัน ที่เป็นดิจิทัล ในลักษณะที่ตัดขาดและลากเส้นแบ่งเข้าหากันอย่างเห็นได้ชัด ข้อเสนอ ของแท็ปสกอตดูจะสร้างเส้นแบ่งและสร้างความแตกต่างกับข้อเสนอของฟุชซ์ และ ข้อเสนอของฟุชซ์ก็ดูจะกระท�ำอย่างเดียวกันกับข้อเสนอของแท็ปสกอต จนเกิดเป็น ภาพสะท้อนที่ชัดเจนถึงการผลิตขั ้วสองขั ้วที่สะท้อนถึงความแตกต่างระหว่างทุนนิยม ดิจิทัลและเศรษฐกิจดิจิทัล บทความเลือกที่จะตั ้งต้นท�ำความเข้าใจภววิทยาของทุนนิยมดิจิทัล ด้วย อาศัยญาณวิทยาในขนบที่แตกต่างออกไป ว่าความจริงแล้วทุนนิยมดิจิทัลและ เศรษฐกิจดิจิทัลคือหนึ่งเดียวกัน เป็นสิ่งที่สิงสถิตอยู่ภายใต้ขั ้วเดียวกัน กระนั ้น ภาย ใต้ขั ้วเดียวกันนั ้น ก็สะท้อนถึงความย้อนแย้งกันเองหรือความขัดแย้งกันเองอยู่ภายใน เฉกเช่นเดียวกับที่ เบเนดิท สปิโนซา (Benedict Spinoza) กล่าวไว้ใน Ethics (2005) ถึงการตัดสินใจและการกระท�ำของพระเจ้า ว่าศิลปะในตัวของพระองค์นั ้น ดลบันดาล ให้พระองค์จงใจสร้างสิ่งสองสิ่งที่มีธรรมชาติขัดแย้งกันในตัวของมันเอง หากสิ่งสอง


คน-สังคม-ดิจิทัล 128 สิ่งประกอบด้วยคุณลักษณะที่แตกต่างกัน ก็ย่อมแสดงว่าธรรมชาติของมันแตกต่าง กันและเข้ากันไม่ได้ แต่กระนั ้น นัยยะของการที่พระเจ้าในฐานะความเป็นเอกนิยม (monism) นิยมสร้างสิ่งสองสิ่งที่แตกต่างกันขึ ้นมาหรือขัดแย้งกันขึ ้นมา ย่อมสะท้อน ว่ารากฐานแห่งจักรวาล อันมีศิลปะของพระเจ้าเป็นรากฐาน ก็คือความย้อนแย้งที่ ธ�ำรงร่วมอยู่ภายในความเป็นเอกนิยมนั ้นๆ ความเป็นเอกนิยมแบบสปิโนซาจึงไม่ได้หมายถึงองค์ประกอบต่างๆ ที่ถูกจัด ระเบียบในลักษณะสอดผสานไปในทิศทางเดียวกันหมด โดยคัดแยกหรือคัดกรองสิ่ง ที่แตกต่างออกไปไม่ให้เข้าผสานธ�ำรงร่วม หากแต่หมายถึงการอยู่ร่วมกันของสิ่งที่ขัด แย้งกันหรือย้อนแย้งกันภายในขั ้วเดียวกัน ความพยายามในการประกอบร่างความ คิดเกี่ยวกับจักรวาลในตัวพระเจ้าของสปิโนซาเช่นนี ้ จึงไม่ใช่เรื่องของเหตุผลหนึ่งเดียว ที่ไร้ซึ่งข้อโต้แย้งอื่นๆ เพราะข้อโต้แย้งอื่นๆ เหล่านั ้น ก�ำลังล้อมรอบเหตุผลหนึ่งเดียว นั ้นในลักษณะท�ำหน้าที่เป็นองค์ประกอบร่วมอยู่ภายใน และในหลายศตวรรษถัดมา ปราชญ์ชาวฝรั่งเศสคือ ฟรังซัว ลาลูแอล (Francois Laruelle) ก็สรุปความคิดนี ้ได้ อย่างกระชับว่า ความย้อนแย้งและความขัดแย้งระหว่างองค์ประกอบและสิ่งต่างๆ ย่อมปรากฏเป็นนิตย์ภายใต้การละเล่นของความเป็นหนึ่งเดียว ความเป็นหนึ่งเดียว จึงไม่ได้ปราศจากความขัดแย้งและไม่อาจหลีกเลี่ยงการต่อต้านสารัตถะจากภายใน สารัตถะที่ตั ้งอยู่นั ้น ซึ่งจะส่งผลให้สารัตถะเปลี่ยนแปลงความหมายแรกเริ่มของตัว มันเองไปในที่สุด (Laruelle, 2010) ถ้าหากมรดกปรัชญาของสปิโนซาและลาลูแอล จะเปิดโอกาสให้เกิดก้าวข้าม ศาสตร์ไปยังการขบคิดเกี่ยวกับเรื่องเดียวกันในแบบของจิตวิเคราะห์แนวลากอง ก็ อาจกล่าวได้ว่า ภายในความเป็นหนึ่งเดียวนั ้นย่อมประกอบด้วยกระบวนของการน�ำ เสนอบางสิ่งบางอย่างออกมา ผ่านภาษาและภาพลักษณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นเครื่องมือส�ำคัญ ของการน�ำเสนอนั ้นๆ ทว่า ภายใต้กระบวนการของการน�ำเสนอนั ้นเอง ก็กลับมีการ กดทับและสกัดกั ้น รวมถึงปิดบังการมองเห็นถึงด้านที่น่าสะพรึงกลัวและน่าขนลุก ซึ่ง การเปิดเผยด้านที่น่าสะพรึงกลัวและน่าขนลุกเหล่านั ้น มุ่งหมายต่อขนบการคิดที่ว่า ด้านแห่งความน่าสะพรึงกลัว ด้านแห่งความไม่ชอบมาพากลต่างๆ และด้านที่สร้าง ความทรมานใจแก่มนุษย์ทั ้งหลายทั ้งปวง แท้จริงแล้ว ถือเป็นส่วนประกอบหนึ่งที่


129 ปรากฏอยู่ภายใต้เอกนิยมของการน�ำเสนอแล้วแต่เริ่มแรก มิติแห่งความทรมานใจ และความน่าสะพรึงกลัวต่างๆ คือสิ่งที่ลากองเรียกว่าเป็น ‘สิ่งจริงที่ตั ้งอยู่จริง’ (The Real) (Lacan, 1977) ซึ่งเป็นมิติที่ถือเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการน�ำเสนอ ทว่า กระบวนการน�ำเสนอกลับพยายามที่จะบอกปัด พยายามจะปิดบัง และพยายามจะ ซุกซ่อน ‘สิ่งจริงที่ตั ้งอยู่จริง’ นั ้นไว้ การเผยตัวของ ‘สิ่งจริงที่ตั ้งอยู่จริง’ หรือด้านที่สร้าง ความทรมานจิตใจทั ้งหลาย ไม่ได้ มีความหมายแค่เพียงเป็ นภาพสะท้ อนว่า กระบวนการน�ำเสนอนั ้นขาดความสมบูรณ์แบบแต่แรก หากแต่ยังสื่อความว่า กระบวนการน�ำเสนอที่อ้างความสมบูรณ์แบบนั ้น แท้จริงแล้วกลับมีพยาธิสภาพหรือ มีอาการป่ วย (symptom) เป็นองค์ประกอบอยู่ภายในการน�ำเสนอเสียเอง (Žižek, 2016) ด้วยตรรกะเช่นนี ้ บูรณาการแห่งกระบวนการคิดแบบสปิโนซา ลาคูแอล และ ลากอง จึงน�ำมาสู่มุมมองว่าการนิยามทุนนิยมดิจิทัล จะต้องพิจารณาถึงมิติความคิด อย่างน้อยสามมิติ ดังนี ้ (1) ทุนนิยมดิจิทัลคือองค์ประกอบที่ย้อนแย้งและเป็นสารัตถะ ทางความคิดที่ตรงกันข้ามและขัดแย้งกับเศรษฐกิจดิจิทัล แต่กระนั ้น ทุนนิยมดิจิทัล ก็ยังถือเป็นองค์ประกอบที่อยู่ภายใต้ขั ้วที่เป็นอันหนึ่งเดียวกันกับเศรษฐกิจดิจิทัล (สปิ โนซา) (2) เศรษฐกิจดิจิทัลคือผู้เล่นตัวหนึ่ง ที่มีเหตุให้ต้องพบเผชิญกับทุนนิยมดิจิทัล ซึ่งเป็นผู้เล่นอีกรายหนึ่งภายในสนามการละเล่นเดียวกัน กระนั ้น การพบเผชิญกับ ทุนนิยมดิจิทัล ส่งผลให้เศรษฐกิจดิจิทัลเกิดการเปลี่ยนแปลงสารัตถะการคิดในตัวมัน เองอย่างเข้มข้น (ลาลูแอล) (3) เศรษฐกิจดิจิทัลคือวาทกรรมการน�ำเสนอที่อ้างถึง ความสมบูรณ์แบบ ทว่าภายใต้ความสมบูรณ์แบบนั ้น กลับไม่ได้ขบคิดถึงความ ทรมานใจและด้านที่ไม่พึงประสงค์ต่างๆ ที่ย้อนเข้ามาคุกคามกระบวนการการน�ำเสนอ ของวาทกรรมเศรษฐดิจดิจิทัลเสียเอง ดังนั ้น การเผยตัวของ ‘สิ่งจริงที่ตั ้งอยู่จริง’ จาก ต�ำแหน่งของทุนนิยมดิจิทัล ก็เท่ากับเป็นการเปิดมุมมองที่สะท้อนถึงอาการป่ วย ภายในวาทกรรมเศรษฐกิจดิจิทัลเสียเอง (ลากอง) ดังนั ้น บูรณาการแห่งกระบวนการ คิดทั ้งสาม ก็ส่งผลให้การขบคิดแบบสองขั ้วของ แท็ปสกอต และ ฟุสช์ หรือนั่นก็คือ วิถีแห่งการคิดที่แบ่งแยกออกเป็นเศรษฐกิจดิจิทัลและทุนนิยมดิจิทัลกลายเป็นปม ปัญหา เพราะขณะนี ้สิ่งที่ส�ำคัญกว่านั ้น ก็คือนิพนธ์ความคิดเกี่ยวกับทุนนิยมดิจิทัล ซึ่งต้องไม่ละเลย หลีกเลี่ยง และละทิ ้งค�ำว่าเศรษฐกิจดิจิทัลแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี ้


คน-สังคม-ดิจิทัล 130 จึงเป็นการสมควรที่ค�ำนิยามที่เป็นไปได้เกี่ยวกับทุนนิยมดิจิทัล จะถูกประกอบสร้าง ออกมาเป็นนิพนธ์ความคิดที่เป็นไปได้ ดังนี ้ ทุนนิยมดิจิทัล (digital capitalism) หมายถึง นิพนธ์ความคิดทางเศรษฐกิจ การเมืองที่สะท้อนให้เห็นถึงมิติอันไม่พึงประสงค์ภายในปริมณฑลอันไร้ขอบเขตของ เศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งเป็นวิถีแห่งเศรษฐกิจในปัจจุบันที่พยายามควบคุมและปรับเปลี่ยน กิจกรรมทางเศรษฐกิจของมนุษย์ให้เป็นประโยชน์ต่อวงจรการสะสมทุน ทุนนิยมดิจิทัล คือนิพนธ์ความคิดที่สะท้อนให้เห็นถึงมิติแห่งความทรมานใจอันเหนือคณานับ ซึ่งได้ มีการธ�ำรงอยู่จริงหรือตั ้งอยู่จริงภายในการเคลื่อนไหวทุกย่างก้าวของการขับเคลื่อน ด้วยเศรษฐกิจดิจิทัล มิติเหล่านั ้น เช่น ความขัดแย้งทางชนชั ้น การอาศัยเทคโนโลยี ดิจิทัล (ซึ่งได้แก่ อินเทอร์เน็ต โซเชียลเน็ตเวิร์คแพลตฟอร์ม ปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยี การสื่อสาร อินเทอร์เนตแห่งสรรพสิ่ง ระบบอัตโนมัติ บล็อกเชน สกุลเงินดิจิทัล) เพื่อ การสะสมและสร้างความมั่งคั่งอย่างต่อเนื่องให้แก่ชนชั ้นนายทุน นอกจากนี ้ ยังรวม ถึงการกดขี่ขูดรีดแรงงาน การมองข้ามมูลค่าส่วนเกินในตัวมนุษย์ การขูดรีดธรรมชาติ และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ให้กลายเป็นแรงงานราคาถูกโดยอาศัยวิทยาศาสตร์ รวมถึงการ บ่อนท�ำลายสิ่งแวดล้อม กระนั ้น มิติที่ไม่พึงประสงค์ของเศรษฐกิจดิจิทัลเหล่านี ้ มัก ถูกปิดบัง เก็บซ่อน และกดทับไว้ เหตุเพราะเศรษฐกิจดิจิทัลมักเน้นแต่การน�ำเสนอถึง ความอยู่รอด ความมั่งคั่งของธุรกิจ ตลอดจนการประกาศตนด้วยเสียงกึกก้อง ว่าการ ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการประกอบธุรกิจเท่านั ้น ที่จะเป็นหลักประกันแก่อนาคตอัน แจ่มใสของมวลมนุษย์ ตราบเท่าที่พวกเขายังมีลมหายใจอยู่ในโลกใบนี ้ ความสมบูรณ์ แบบที่เศรษฐกิจดิจิทัลพยายามอ้างภายในกระบวนการขบคิดของมัน ส่งผลให้มิติที่ ไม่พึงประสงค์หรือด้านที่เป็นความทรมานใจที่มันได้ผลิตขึ ้นมาแล้วจริง กลายเป็นสิ่ง ที่ถูกอ�ำพรางและเริ่มที่จะกลายเป็นมิติที่ค่อยถูกลืมเลือนหายไปจากจิตส�ำนึกของผู้คน ทุนนิยมดิจิทัลคือโฉมหน้าอันเลวร้ ายของเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งเป็นกระบวน ทัศน์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีความสามารถในการควบคุมพฤติกรรมปัจเจกบุคคล ผู้ที่เศรษฐกิจดิจิทัลจงใจเอื ้อให้ปัจเจกบุคคลเหล่านั ้นสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีอันสุด ล� ้ำของมัน ให้พวกเขาตราตรึงและสถิตร่วมกับกิจกรรมในโลกดิจิทัลที่มันรังสรรค์ขึ ้น ให้พวกเขาสามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่มันส่งมอบให้พวกเขาได้อย่างคล่องแคล่ว


131 ทั ้งนี ้ไม่ใช่ให้พวกเขาเข้าถึงโลกแห่งปัญญาและปรัชญา แต่จงใจ ‘ตรึง’ พวกเขาให้อยู่ ร่วมกับกิจกรรมที่มันออกแบบไว้แล้วแต่แรก ทั ้งนี ้เพื่อต่ออายุลมหายใจอย่างต่อเนื่อง ให้กับการสะสมก�ำไรและความมั่งคั่งของพวกนายทุน กล่าวเช่นนี ้ ทุนนิยมดิจิทัลจึง ไม่ได้สะท้อนแค่ยุคสมัยหรือกาลสมัยแห่งการวิวัฒน์มาอย่างยาวนานของทุนนิยม ซึ่ง พร้อมจะขับเคลื่อนเปลี่ยนผ่านเป็นยุคอื่นๆ เท่านั ้น ทุนนิยมดิจิทัลคือโฉมหน้าที่แท้จริง ของเศรษฐกิจดิจิทัล กล่าวโดยย่อ ก็คือทุนนิยมดิจิทัลคือขั ้วความคิดที่ตั ้งสถิตอยู่ร่วม กับเศรษฐกิจดิจิทัล ไม่ได้เป็นคนละขั ้วความคิด หากแต่มันธ�ำรงอยู่ร่วมกันแบบสร้าง นิพนธ์ความคิดที่ขัดแย้งกัน และถึงที่สุดแล้ว ทุนนิยมดิจิทัลคือสิ่งที่แสดงถึงอาการ ป่ วยของเศรษฐกิจดิจิทัล (digital capitalism is a symptom of digital economy) การประกอบสร้างความคิดเกี่ยวกับทุนนิยมดิจิทัลข้างต้น ไม่ใช่กิจกรรมที่จะ จบลงด้วยอาศัยการบูรณาการทางปรัชญาภาคพื ้นทวีปยุโรป ประกอบกับแนวคิดจิต วิเคราะห์โดยปราศจากการขบคิดเรื่องอื่นๆ ความจริงแล้ว ทุนนิยมดิจิทัลไม่ใช่เพียง แค่สิ่งที่สื่อถึงอาการป่ วย ไม่ใช่การสะท้อนถึงมิติอันไม่พึงประสงค์ที่เศรษฐกิจดิจิทัล ต้องการจะปิดบังซ่อนเร้ นเท่านั ้น หากแต่ค�ำถามที่สมควรถามคือทุนนิยมดิจิทัลมี กระบวนการอย่างไรที่ส่งผลให้มันสามารถควบคุมมนุษย์และสิ่งไม่ใช่มนุษย์ไว้ได้ ทุนนิยมดิจิทัลมีกระบวนการอย่างไรที่ส่งผลให้มนุษย์รวมถึงสิ่งไม่ใช่มนุษย์ ยังคงผลิต ซ� ้ำกิจกรรมเดิมๆ ที่กิจกรรมนั ้น ส่งผลดีต่อการสะสมก�ำไรของทุนนิยมดิจิทัลเสียเอง กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ทุนนิยมดิจิทัลมีกระบวนการอย่างไรในการควบคุมมนุษย์และ สิ่งไม่ใช่มนุษย์ ทุนนิยมดิจิทัลท�ำอย่างไรเพื่อให้มนุษย์และสิ่งไม่ใช่มนุษย์ผลิตกิจกรรม และการเคลื่อนไหวเดิมๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อทุนนิยมเสียเอง การตอบค�ำถามเรื่อง นี ้จึงเกี่ยวข้องกับความหมายของค�ำว่าการควบคุม ซึ่งบทความฉบับนี ้นิยามหรือ ท�ำการประกอบร่างสร้ างความหมายเกี่ยวกับการควบคุม โดยเชื่อมโยงเข้ากับแรง ปรารถนา อันเป็นนิพนธ์ความคิดที่ได้ประกอบสร้างไปแล้วในส่วนที่แล้วของบทความ แรงปรารถนาและการควบคุม: การรักษาสถานภาพของทุนนิยมดิจิทัล เมื่อการควบคุมเชื่อมโยงเข้ากับนิพนธ์ความคิดเรื่องแรงปรารถนา การ ควบคุมจะมีความหมายถึงการที่พลังชีวิตๆ หนึ่งของสรรพสิ่งหนึ่ง ที่อยู่ในพื ้นที่ห่าง


คน-สังคม-ดิจิทัล 132 ไกล ต้องการที่จะเข้ามาสานสัมพันธ์กับอีกสรรพสิ่งหนึ่ง ที่สถิตอยู่ในอีกพื ้นที่หนึ่ง เพื่อ ที่จะเติมเต็มความขาดให้แก่กันและกัน สรรพสิ่งหนึ่งย่อมขาดสิ่งหนึ่ง อีกสรรพสิ่งก็มี ความขาดเช่นกัน และแล้วสรรพสิ่งทั ้งหลายก็ต่างรอคอยการเติมเต็มความขาดซึ่งกัน และกัน ประดุจเป็นการเรียกหากันโดยสมัครใจ จนกระทั่งความห่างไกลระหว่างสรรพ สิ่งถูกบีบแคบเหลือเป็นภาพเสมือนว่าเป็นความใกล้ชิด ส่วนการควบคุมประสบผล ส�ำเร็จลงได้ ก็ต่อเมื่อสรรพสิ่งหนึ่งสามารถสร้างความรู้สึกให้อีกสรรพสิ่งหนึ่ง เกิดความ ตระหนักถึงความขาดอย่างต่อเนื่อง โดยตัวมันก�ำลังอ้างว่า ตัวมันเท่านั ้นที่สามารถที่ จะเติมเต็มความขาดให้อีกสรรพสิ่งหนึ่งได้ และการเติมเต็มความขาดของสรรพสิ่ง หนึ่งให้แก่อีกสรรพสิ่งหนึ่ง จริงๆ แล้วก็คือการเติมเต็มความขาดให้แก่ตัวมันเองใน ทางกลับกันด้วยนั่นเอง กล่าวโดยย่อ การควบคุม หมายถึงแรงปรารถนาของสองสรรพ สิ่งที่เผชิญหน้ากัน เพื่อเติมเต็มความขาดที่ทั ้งสองสรรพสิ่งต่างขาดแต่แรกทั ้งคู่ แต่ แล้วสรรพสิ่งทั ้งสองสรรพสิ่ง กลับตระหนักว่าตนเองแยกออกจากกันไม่ได้ เหตุเพราะ สรรพสิ่งหนึ่งก�ำลังสร้างให้อีกสรรพสิ่งหนึ่งตระหนักถึงการต้องพึ่งพากันอย่างต่อเนื่อง รูปการณ์นี ้จึงสอดคล้องกับนิพนธ์ความคิดที่กล่าวไปแล้ว ว่าสรรพสิ่งหนึ่งตกเป็นแรง ปรารถนาของอีกสรรพสิ่งหนึ่งโดยปริยาย สรรพสิ่งหนึ่งมองแรงปรารถนาของอีกสรรพ สิ่งหนึ่งราวกับเป็นสิ่งเดียวกันและเป็นความขาดที่ต้องเติมเต็มกันตลอดไป การพึ่งพา กันกันอย่างไร้กาลเวลาสิ ้นสุดเช่นนี ้ ส่งผลให้สรรพสิ่งหนึ่งก�ำลังเผชิญกับความคลาด เคลื่อนในแรงปรารถนาของตนเองและเท่ากับเป็นการตกอยู่ใต้ภวังค์อ�ำนาจของอีก สรรพสิ่งหนึ่งในที่สุด นิพนธ์ความคิดเกี่ยวกับการควบคุม ซึ่งประกอบสร้างความหมายในที่นี ้โดย มีนิพนธ์เรื่องแรงปรารถนาเป็นองค์ประกอบ สามารถท�ำหน้าที่เป็นนิพนธ์ความคิดที่ สะท้อนถึงกระบวนการสะสมทุนของทุนนิยมดิจิทัล และการที่มนุษย์ปุถุชนหลายคน ตกอยู่ในภวังค์ของการพึ่งพาแรงปรารถนาของทุนนิยมดิจิทัล ในขณะนี ้แรงปรารถนา ของทุนนิยมดิจิทัลคือแรงปรารถนาของผู้อื่น ซึ่งเมื่อแรงปรารถนาของมันเชื่อมโยงเข้า กับมนุษย์ปุถุชน ก็ส่งผลให้แรงปรารถนาของพวกเขากลายเป็นความคลาดเคลื่อนใน ที่สุดและกลายเป็นแรงปรารถนาที่สนับสนุนทุนนิยมดิจิทัลในที่สุด กล่าวก็คือทุนนิยม ดิจิทัลคือสรรพสิ่งตัวหนึ่งที่ปรารถนาจะแสวงหาก�ำไร ก�ำไรคือความขาดของมัน ก�ำไร คือสิ่งที่ไม่มีวันเติมเต็มได้โดยสมบูรณ์ ทุนนิยมดิจิทัลอาจตั ้งอยู่ในพื ้นที่หนึ่ง เช่น


133 ซิลิคอน วันเลย์ และมันนั ้นโหยหาความเชื่อมโยงเข้ากับมนุษย์ปุถุชนในประเทศโลก ที่สาม มันตระหนักดีว่ามันยังขาดซึ่งการท�ำก�ำไรกับคนในประเทศเหล่านั ้น มันจึง อาศัยการใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีของมันเข้าเชื่อมโยงเข้ากับคนในประเทศเหล่านั ้น โดย สอนให้คนในประเทศเหล่านั ้นมีเทคโนโลยีดิจิทัลไว้ในครอบครองและใช้ให้เป็น เพื่อ ที่มันจะได้เชื่อมโยงสินค้าและบริการของมันเข้ามาได้อย่างง่ายดาย เพื่อให้คนใน ประเทศเหล่านั ้นรู้สึกถึงความขาดและปรารถนาที่จะเติมเต็มความขาดของตนเองใน ลักษณะพึ่งพา และในขณะเดียวกันตัวมันเองก็สามารถที่จะเติมเต็มผลก�ำไรได้อย่าง ต่อเนื่องเช่นกัน โดยอาศัยเทคโนโลยีดิจิทัลที่ส่งผลให้สภาพของความห่างไกลกลาย เป็นประหนึ่งว่าอยู่ใกล้กัน มันสร้างกระบวนการใน ‘การตรึง’ หรือหน่วงเหนี่ยวการใช้ ชีวิตของคนในประเทศเหล่านั ้น ให้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสะสมก�ำไรของ มัน แรงปรารถนาของคนเหล่านั ้นจึงถูกผลิตซ� ้ำ ซ� ้ำแล้วซ� ้ำอีก เพื่อเติมเต็มความขาด ให้กับมัน ดังนั ้น ความขาดที่ถูกเติมเต็มจากการซื ้อสินค้า จากการบริโภคการบริการ ต่างๆ ไม่ได้สะท้อนถึงความขาดของคนเหล่านั ้นเท่านั ้น หากแต่สะท้อนถึงความขาด ของทุนนิยมดิจิทัลในมิติของการสะสมทุนและก�ำไรเช่นกัน การควบคุมเกิดขึ ้นได้ ก็ ต่อเมื่อสรรพสิ่งทั ้งหลายจากสองพื ้นที่หรือมากกว่าสองพื ้นที่ขึ ้นไปย่อมต้องตระหนัก ถึงความขาดอย่างต่อเนื่องและตระหนักถึงการพึ่งพาอาศัยกัน เติมเต็มความปรารถนา กันและกันอย่างแยกกันไม่ออก เกมส์ออนไลน์ที่ทุนนิยมดิจิทัลผลิตขึ ้นผ่านดิจิทัล เทคโนโลยีและแพลตฟอร์ม ส่งผลให้ผู้บริโภครู้สึกถึงความขาดที่จะต้องเล่นและติดใจ กับมันอย่างต่อเนื่อง และส่งผลให้การท�ำก�ำไรจากการเล่นเกมส์ของบริษัทเทคโนโลยี พวกนี ้เกิดขึ ้นได้อย่างต่อเนื่อง ผู้บริโภคก�ำลังก้มหน้า พวกเขาอยู่ในสังคมก้มหน้า มอง และเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์อัจฉริยะของพวกเขา และสังคมนี ้ก็ไม่ใช่สังคมก้มหน้าที่ ไร้การรุกคืบของทุนนิยมดิจิทัลแต่อย่างใด ยิ่งพวกเขาก้มหน้ามองอุปกรณ์สื่อสารอัน ปราดเปรื่องนั ้นมากขึ ้นเท่าไร ทั ้งโดยรู้ ตัวและไม่รู้ ตัวก็ตาม ดังที่ปรากฏในพื ้นที่ สาธารณะ เช่น ห้องเรียน รถไฟฟ้า ฯลฯ ทุนนิยมดิจิทัลก็ยิ่งทวีความเข้มข้นของความขาด และรอคอยการเติมเต็มความขาดในตัวมันจากกิจกรรมออนไลน์ที่ไม่มีวันจบของ พวกเขามากขึ ้นเท่านั ้น


คน-สังคม-ดิจิทัล 134 นิพนธ์ความคิดเกี่ยวกับการควบคุมด้วยการอาศัยความเชื่อมกันของแรง ปรารถนาของสรรพสิ่งในบริบทของทุนนิยมดิจิทัลตามที่กล่าวมา อาจท�ำความเข้าใจ ได้ในอีกทางหนึ่ง โดยอาศัยความคิดของ บยุง-ชุล ฮาน (Byung-Chul Han) ซึ่งกล่าว ไว้ในหนังสือเรื่อง Psychopolitics (2017) ว่าการควบคุมคือการท�ำให้จิตใจของมนุษย์ ถูกล่อลวง และถูกสร้างความรู้สึกว่าพวกเขาจ�ำเป็นต้องพึ่งพาผู้อื่น ซึ่งพวกเขาเองก็ ไม่ได้ชอบพอผู้อื่นพวกนั ้นเท่าใดนัก แต่หนึ่งในโจทย์ของการควบคุมจิตใจมนุษย์ ก็ คือการท�ำให้พวกเขาไม่ขัดขืนต่อสิ่งที่พวกเขาไม่ชอบ และต้องท�ำให้มนุษย์รู้สึกถึงการ แยกออกจากกันไม่ได้กับสิ่งที่พวกเขาไม่ชอบ ซึ่งจะส่งผลให้พวกเขาเกิดแรงปรารถนา ต่อสิ่งที่อยากจะขัดขืน แต่สุดท้ายแล้วก็ตระหนักว่าพวกเขาขัดขืนมันไม่ได้ เหตุเพราะ พวกเขายังต้องปรารถนามัน เพื่อใช้มันเติมเต็มความขาดให้แก่ตนเอง ปรากฏการณ์ตามที่กล่าวมานั ้นสะท้อนถึง ‘ความปราดเปรื่องทางการเมือง’ หรือที่ฮานเรียกว่าเป็น ‘smartpolitics’ นั่นเอง ทุนนิยมดิจิทัลในปัจจุบันสะท้อนถึง ความปราดเปรื่องทางเศรษฐกิจการเมืองในตัวของมันเอง มันอาศัยตรรกะของการ เอาอกเอาใจ และการเติมเต็มความขาดให้กับมนุษย์อย่างต่อเนื่อง เพื่อที่มันจะได้เติม เต็มความขาดในเชิงผลประโยชน์ทางการค้าของมันเอง และในทางกลับกัน มนุษย์ อาจไม่ชอบทุนนิยม พวกเขาตระหนักรู้ ว่าทุนนิยมเอารัดเอาเปรียบพวกเขา แต่ก็ ปริปากบ่นเต็มที่ไม่ได้ เพราะพวกเขาก็ประหนึ่งว่าติดหนี ้บุญคุณทุนนิยมที่ให้ความ บันเทิงแก่พวกเขาอยู่เช่นกัน ปรากฏการณ์ที่ว่ามานี ้สะท้อนถึงความปราดเปรื่อง ทางการเมืองของทุนนิยมในปัจจุบัน ดังที่ฮานกล่าวว่า ข้อมูลขนาดใหญ่ (big data) ที่ผลิตขึ ้นด้วยการสะสมข้อมูลเกี่ยวกับมนุษย์ผู้ที่พลัดตกลงไปในพรมแดนของทุนนิยม ดิจิทัล กลายเป็นสิ่งที่ทะลุทะลวงเข้ามายังแว่นแคว้นทางจิตใจและความคิดของพวก เขา ข้อมูลขนาดใหญ่เหล่านั ้นเล้าโลมพวกเขา ทั ้งเอาอกเอาใจ ทั ้งพะเน้าพะนอ ให้ พวกเขาไม่สามารถควบคุมตนเองไม่ให้เป็นไปตามความต้องการของทุนได้ และลด ทอนให้พวกเขาเหลือเป็นเพียง ‘อวัยวะสืบพันธุ์’ เพื่อต่ออายุให้กับทุนนิยมเท่านั ้น (Han, 2017) ส�ำหรับฮาน โทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่มนุษย์ใช้ซื ้อสินค้าในโลกดิจิทัล คือบท ทดสอบแห่งการควบคุมจิตใจตนเองครั ้งยิ่งใหญ่ (Han) การเปิดโทรศัพท์สมาร์ทโฟน


135 เพื่อรับรู้ข้อมูลสินค้าและบริการในโลกดิจิทัล ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการที่มนุษย์ ก�ำลังอย่างกรายเข้าไปแสวงหาการถูกควบคุมผ่านโทรศัพท์มือถือของตนเอง และ ที่สุดแล้วมนุษย์ก็ต้อง ‘คอยระมัดระวังตนเองจากสิ่งที่ตนเองอยากได้ใจจะขาด’ (Han) เพราะในโลกแห่งทุนนิยมดิจิทัลนั ้น มันคือโลกของการควบคุมการสื่อสารข้อมูลให้แก่ ผู้คนโดยทุน ของทุน และเพื่อประโยชน์ต่อทุน และท�ำให้ระบบปลายประสาทรวมถึง ความคิดความอ่านของมนุษย์ตกอยู่ในภวังค์เครือข่ายของทุน ซึ่งการท�ำให้ระบบการ คิดของมนุษย์อยู่ภายใต้ภวังค์ของทุน มีเป้าหมายที่ความเติบโตทางการเงินและก�ำไร เป็นหลัก (Berardi) ในท�ำนองเดียวกัน ก็อาจเป็นดังที่ มาร์ก อูเก (Marc Augé) ตั ้ง ข้อสังเกตว่า ‘นวัตกรรมทางเทคโนโลยี’ (technological innovations) เช่น เทคโนโลยี ดิจิทัลทั ้งหลาย คือสิ่งที่ถูกใช้สอยอย่างเต็มที่ แต่ความสุขที่ได้รับมาจากการใช้สอย มันนั ้น กลับไม่ได้เป็นความสุขที่เต็มที่แก่คนทุกคน เพราะความสุขจากการใช้ นวัตกรรมเหล่านั ้น เกิดขึ ้นแก่คนในเฉพาะพื ้นที่ใดพื ้นที่หนึ่งเท่านั ้น นวัตกรรมทางเทคโนโลยีคือสิ่งที่คอยสนับสนุนอุดมการณ์ของทุนในปัจจุบัน ที่ความเป็นปัจจุบันกาลของมันก�ำลังก�ำหนดอนาคตอีกด้วย และด้วยเหตุนี ้เองที่ อนาคตทางเลือกจึงตกอยู่ในสภาพที่ง่อยเปลี ้ย (Augé, 2015) ความคิดของฮานและ อูเกตามที่กล่าวไปนั ้น สะท้อนให้เห็นว่า การควบคุมคือแรงปรารถนาระหว่างสรรพ สิ่งที่สถิตอยู่ในต่างสถานที่ ต่างห้วงเวลากัน ต่างเข้ามาเติมเต็มความขาดให้แก่กัน และกัน ในลักษณะที่สรรพสิ่งส�ำนึกถึงความแยกออกจากกันได้ยาก การเติมเต็มความ ขาดระหว่างสรรพสิ่งที่มีระยะห่างจึงเกิดขึ ้นในลักษณะของการผลิตซ� ้ำ การควบคุม สะท้อนว่าการเชื่อมต่อระหว่างทุนนิยมดิจิทัล ตัณหา อารมณ์ ผัสสะ เหตุผล พฤติกรรม ความคิด การใช้ชีวิต ฯลฯ ไม่ปรากฏเห็นเป็น ‘เส้นที่ทยานออกจากพื ้นที่เดิมๆ’ กระนั ้น ทุนนิยมดิจิทัลก็ยังมีความขาดและถวิลหาสิ่งไม่ใช่มนุษย์ มันมีแรง ปรารถนาต่อสิ่งไม่ใช่มนุษย์ โดยพยายามเข้าควบคุม จัดการ และดัดแปลงสิ่งไม่ใช่ มนุษย์ต่างๆ เพื่อให้ตอบสนองต่อวัฏจักรของการสะสมทุนนิยมดิจิทัล สิ่งไม่ใช่มนุษย์ ถูกเชื่อมโยงเข้ามาในพื ้นที่แห่งชีวิตของทุน ด้วยการที่ทุนปรับเปลี่ยนสิ่งไม่ใช่มนุษย์ ให้กลายสภาพเป็นแรงงานที่ไม่ใช่มนุษย์ ทุนมองว่าสรรพสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์คือสิ่งพึง ปรารถนาที่ขาดหายไป การควบคุมจึงสะท้อนถึงแรงปรารถนาต่อธรรมชาติของสรรพ


คน-สังคม-ดิจิทัล 136 สิ่ง ซึ่งสิ่งไม่ใช่มนุษย์ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นพลังงานที่จ�ำเป็นต่อการสนองตอบต่อ วัฒนธรรมการสะสมความมั่งคั่งของทุน ธรรมชาติที่มนุษย์สัมผัสผ่านระบบทุนนิยม จึงไม่ใช่ธรรมชาติที่เป็นจริงในตัวมันเอง หากแต่เป็นธรรมชาติที่ถูกประกอบสร้ าง ดัดแปลง และถูกผลักดันให้เข้าสู่กระบวนการของวัฒนธรรมที่ทุนนิยมท�ำหน้าที่เป็น โครงสร้ างหลัก ดังที่ บรูโน ลาตูว์ (Bruno Latour) แสดงทัศนะไว้ว่าธรรมชาติคือ ผลผลิตจากการสร้างขึ ้นของมนุษย์ (Latour, 2007) เมื่อธรรมชาติถูกดัดแปลง ถูก ซึมซับ และถูกใช้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อวิถีการด�ำเนินชีวิตแบบทุนนิยม มันจึงไม่มีรอย แยกและเส้นแบ่งระหว่างธรรมชาติและสังคมของมนุษย์ ธรรมชาติและวัฒนธรรมของ มนุษย์จึงเป็ นสิ่งที่ไม่ได้ แยกจากกัน หากแต่มีความเป็ น ‘ผสมผสานนิยม’ (hybridism) ที่แยกกันไม่ออกแต่แรก (Latour, 2007) ธรรมชาติคือแรงงานที่พึงปรารถนาของมนุษย์ หากปราศจากเงื่อนไขนี ้ ธรรมชาติก็จะกลายเป็นสิ่งที่ว่างเปล่าและอ้างว้าง การที่ธรรมชาติกลายเป็นแรงงาน พึงปรารถนาเพื่อการสะสมทุน ส่งผลให้ธรรมชาติไม่กลายเป็นความว่างเปล่า และ มนุษย์ก็ไม่รีรอที่จะน�ำเอากิจกรรมการสะสมทุนของตนเองเข้าไปผูกโยงกับการใช้ ประโยชน์ในเชิงเอารัดเอาเปรียบธรรมชาติเช่นกัน ดังที่งานเขียนเรื่อง Technopocene (2561) เคยแสดงทัศนะคล้ายกันไว้ ว่าทุนนิยมดัดแปลงให้ธรรมชาติเกิด ความเป็น ศิลปะ ในเชิงของการที่มันถูกท�ำให้เป็นแรงงานของทุนและเพื่อทุน (nature for the capital/nature for itself) แต่การกระท�ำเช่นนั ้น กลับส่งผลให้ ความเป็นศิลปิน ในตัว ของธรรมชาติ (nature in itself/nature as such) กลายเป็นความรู้ความเข้าใจที่ถูก กดทับและมองข้ามไป (ชญาน์ทัต, 2561) นิพนธ์ความคิดที่มีความคิดของลาตูว์อยู่เคียงข้างเช่นนี ้ สอดประสานเข้ากัน ได้ดีกับข้อตระหนักของ เจสัน มัวร์ (Jason Moore) ที่แสดงทัศนะเกี่ยวกับ ‘นิเวศแห่ง โลก’ (world-ecology) ไว้ถึงความเชื่อมโยงกันของความมั่งคั่ง อ�ำนาจ(ทุน) และ ธรรมชาติ มัวร์กล่าวถึงการควบคุมธรรมชาติว่ามันคือแรงปรารถนาของมนุษย์ที่น�ำ ไปสู่การผลิตสร้าง ‘ธรรมชาติราคาต�่ำ’ (Cheap Natures มัวร์เขียน ‘c’ และ ‘n’ ตัว ใหญ่) ซึ่งหมายถึง “การท�ำให้ธรรมชาติเป็นแรงงาน เป็นแหล่งอาหาร เป็นพลังงาน และเป็นแหล่งวัตถุดิบ” (Moore, 2015) แรงปรารถนาเพื่อควบคุมธรรมชาติในที่นี ้


137 ไม่ได้เป็นการสร้างเครือข่ายกับธรรมชาติในลักษณะที่มนุษย์ธ�ำรงตนแบบเท่าเทียม หรือถ่อมตนกับธรรมชาติ หากแต่เป็นการบีบบังคับให้ธรรมชาติท�ำงานให้เกิดมูลค่า ตามที่ทุนปรารถนา มัวร์สรุปว่าการล่าผลประโยชน์จากธรรมชาติ ถึงที่สุดแล้วคือการ บีบบังคับให้ธรรมชาติกลายเป็น ‘แรงงานทางสังคมที่เป็นนามธรรม’ (abstract social labour) สัตว์ป่ า น� ้ำตก ผืนดิน ผืนน� ้ำ และพืช ถูกบีบคั ้นโดยมนุษย์ให้กลายเป็น แรงงานทางสังคมที่ไม่ใช่มนุษย์ (Moore, 2015) และห้วงเวลาที่เทคโนโลยีพัฒนามา จนถึงขีดความสามารถระดับสูง ส่งผลให้ห้วงเวลาแห่งความเป็นมนุษยกาล (anthropocene) และทุนนิยมกาล (capitalocene) ยิ่งเป็นปัจจุบันกาลที่ทวีระดับความเข้ม ข้นมากขึ ้น และเป็นสภาพแห่งปัจจุบันกาลที่มีแนวโน้มจะก�ำหนดอนาคตกาลในระยะ ยาวเช่นกัน เว้นเสียแต่ต้องไม่ปล่อยให้ทุนนิยมด�ำเนินการโดยอิสระ กอปรกับสร้าง กิจกรรมทางการเมืองในลักษณะต่อต้านฉันทามติเพื่อปรับเปลี่ยนทิศทางของมันเสีย ใหม่ (Chyatat, 2016) หากพิจารณาในโลกบุพกาล ผืนโลกและผืนดินคือสถานที่ตั ้ง เพื่อใช้เป็นที่ อยู่อาศัยของมนุษย์ แต่ในโลกแห่งทุนนิยมดิจิทัลนี ้ พลังของเทคโนโลยีดิจิทัลส่งผล ให้ผืนโลกถูกท�ำให้กลายเป็นข้อมูลฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ด้วยก�ำลังของเทคโนโลยี ดิจิทัลที่ใช้ในอวกาศ ขณะนี ้ผืนโลกถูกมองทะลุลงไปในชั ้นใต้ดินเพื่อตรวจจับความชื ้น เพื่อเป็นการระบุต�ำแหน่งที่เหมาะสมเพื่อท�ำการเกษตร การท�ำให้ผืนโลกเป็นแรงงาน ด้วยปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นข้อมูลที่ปรากฏผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล มีวัตถุประสงค์เพื่อ แสวงหาพื ้นที่ท�ำการเกษตรของบริษัททุนใหญ่ ดิจิทัลแพลตฟอร์มอันหนึ่งที่กระทรวง เกษตรและสหกรณ์ของไทยผลิตขึ ้นคือแอปพลิเคชันที่ใช้ชื่อว่า ‘เกษตรกรอัจฉริยะ’ (smart farmer) แอปพลิเคชันนั ้นวิเคราะห์และประมวลข้อมูล รวมทั ้งแสดงผลที่บ่ง บอกถึงสภาพความชื ้น สภาพพื ้นดิน และพื ้นผิวของทุกจังหวัดในประเทศไทย มันระบุ ต�ำแหน่งที่เหมาะสมต่อการท�ำเกษตรและไม่เหมาะกับการท�ำเกษตร ดังนั ้น ทุนนิยม ดิจิทัลคือแรงปรารถนาที่คิดเชื่อมโยงกับสิ่งไม่ใช่มนุษย์ ในลักษณะควบคุมและครอบ ครองธรรมชาติ โดยท�ำให้ธรรมชาติกลายเป็นสิ่งที่ทั ้งห่างไกลทั ้งอยู่ใกล้เพื่อเป็นข้อมูล ประกอบการลงทุน และท�ำให้ธรรมชาติกลายเป็นแรงงานที่ไม่ใช่มนุษย์เพื่อประโยชน์ ของการสะสมก�ำไรของทุน


คน-สังคม-ดิจิทัล 138 แรงปรารถนาและความไหลลื่น: กัดเซาะทุนนิยมดิจิทัลเพื่ออนาคตทางเลือก กิจกรรมที่ตั ้งอยู่ตรงกันข้ามการควบคุมก็คือความไหลลื่น ความไหลลื่น สัมพันธ์กับนิพนธ์ความคิดเรื่องแรงปรารถนา ถ้าหากการควบคุมคือแรงปรารถนาที่ สรรพสิ่งหนึ่งมุ่งมาดให้อีกสรรพสิ่งหนึ่งต้องผลิตซ� ้ำแรงปรารถนาตามที่สรรพสิ่งนั ้นๆ ก�ำหนดหรือจัดระเบียบไว้ในลักษณะของการเติมเต็มความขาด และเป็นไปใน ลักษณะของการพึ่งพากันและกันของสรรพสิ่งอย่างแยกออกจากกันไม่ได้ ความไหล ลื่นจะตรงกันข้าม บูรณาการความคิดของลากองและเดอเลิซ ให้ข้อเสนอแนะว่าความ ไหลลื่นหมายถึงพลังงานชีวิตของสรรพสิ่งหนึ่ง ที่พยายามแยกตัวออกจากการผลิต ซ� ้ำแรงปรารถนานั ้นๆ ความไหลลื่นคือแรงปรารถนาที่จะกลายเป็นผู้อื่นโดยแยกตัว ออกจากแรงปรารถนาของผู้อื่น หรือนั่นก็คือ ‘การกลายเป็นอื่นต่อหน้าผู้อื่น’ เนื่องด้วย ความไหลลื่นคือพลังงานชีวิตที่ตระหนักว่าแรงปรารถนาที่ผลิตซ� ้ำแรงปรารถนาของ ผู้อื่น อาจส่งผลให้แรงปรารถนาของตนเองกลายเป็นความคลาดเคลื่อน และอาจส่ง ผลให้ความเป็นตัวตนทางความคิดของตนเองต้องหายมลายกลายเป็นศูนย์ ความ ไหลลื่นจึงสื่อถึงแรงปรารถนาของสรรพสิ่งหนึ่งที่แยกตัวออกจากการควบคุมด้วยแรง ปรารถนาของอีกสรรพสิ่งหนึ่ง มันคือการก้าวข้ามพื ้นที่ ถอนตัวจากพื ้นที่เดิมๆ และ สรรพสิ่งเดิมๆ เพื่อสร้างธรรมชาติของการเชื่อมต่อและเติมเต็มความขาดกับสรรพสิ่ง อื่นๆ โดยมีความใกล้ชิดเสมือนจริงเป็นเงื่อนไข หากพิจารณาในบริบทของทุนนิยมดิจิทัล ความไหลลื่นสะท้อนถึงแรง ปรารถนาของสรรพสิ่งต่างๆ ที่สร้างกิจกรรมการเชื่อมต่อกันแบบความใกล้ชิดเสมือน จริง ความใกล้ชิดเสมือนจริงเกิดขึ ้นได้ด้วยอานุภาพของเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งเมื่อ เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาบรรจบกับพลังชีวิตของสรรพสิ่งต่างๆ นั ้น มันก็จะเกิดเป็นการ ท้าทายและการกัดเซาะขนานใหญ่ต่อการควบคุม และส่งผลต่อการกัดเซาะวิถีของ ทุนนิยมดิจิทัลเสียเองในที่สุด กล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็คือความไหลลื่นในบริบทของทุนนิยม ดิจิทัล สะท้อนถึงแรงปรารถนาที่สรรพสิ่งต่างๆ เข้าเชื่อมโยงกัน เพื่อเติมเต็มความ ขาดร่วมกัน ซึ่งการเติมเต็มความขาดที่ว่านั ้น สะท้อนถึงแรงปรารถนาร่วมเพื่อการกัด เซาะทุนนิยมดิจิทัลร่วมกัน สรรพสิ่งที่เติมเต็มความขาดกันและกันเหล่านั ้น เสมือน อยู่ใกล้กัน แต่แท้จริงแล้วห่างไกลกันในเชิงกายภาพ กาลเวลา และสถานที่ แต่เชื่อม เข้าหากันในลักษณะเหมือนคล้ายว่าใกล้ชิดได้ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล


139 ดังนั ้น แรงปรารถนาเพื่อกัดเซาะทุนนิยมดิจิทัล จึงสะท้อนถึงแรงปรารถนาที่ จะกลายเป็นอื่น เป็นผู้อื่น และไม่สมยอมต่อแรงปรารถนาเชิงควบคุมที่ทุนนิยมดิจิทัล ก�ำหนดให้เป็นพิจารณาเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น บล็อกเชน (blockchain) หากถูกปรับ ใช้ในบริบทของการควบคุม ดังเช่นการอาศัย ‘รอยเท้าดิจิทัล’ (digital footprint) เพื่อ ตรวจสอบคุณภาพของสินค้าและวัตถุดิบตามธรรมชาติ เทคโนโลยีบล็อกเชนก็จะ กลายเป็นเครื่องมือเพื่อการสะสมทุน เป็นการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ เป็นการท�ำให้ ธรรมชาติเป็นแรงงานนามธรรม เป็นการสะสมก�ำไร และเป็นการกระตุ้นวัฒนธรรม การบริโภค แต่ถ้าหากเทคโนโลยีตัวเดียวกันนี ้ได้รับจินตนาการทางการเมืองเสียใหม่ โดยปรับใช้มันในค่านิยมแบบหลีกเลี่ยงการสะสมทุน เช่น การใช้เพื่อเป็นทรัพย์สิน ร่วมกัน (common property) เพื่อช่วยเหลือเกื ้อกูลสภาพความเป็นอยู่ระหว่างกันของ ชุมชน การมีส่วนร่วมของสมาชิกที่ใช้บล็อกเชน ก็จะเป็นการมีส่วนร่วมในแบบความ ใกล้ชิดเสมือนจริง และสะท้อนถึงแรงปรารถนาแห่งความไหลลื่นเพื่อไม่ให้เกิดการ ใช้เทคโนโลยีที่จะเอื ้อผลประโยชน์ต่อทุนนิยมดิจิทัลมากเกินไป หรือแม้แต่เทคโนโลยี ดิจิทัลตัวอื่นๆ เช่น สกุลเงินดิจิทัล (cryptocurrency) หากได้รับการส่งเสริมให้ใช้ใน บริบทของการควบคุม มันก็จะเป็นเครื่องมือ ‘ขุดทอง’ ในโลกไซเบอร์ แต่ในความเป็น จริงแล้ว จะเห็นว่า สกุลเงินดิจิทัลเป็นเครื่องมือทางการเมืองและแหล่งสนับสนุนการ เงินของผู้ก่อการร้ ายสากลได้ด้วย ดังนั ้น ถ้ าหากสกุลเงินดิจิทัล จะได้รับการ จินตนาการทางการเมืองแห่งอนาคตเสียใหม่ ให้กลายเป็นการระดมทรัพย์สินร่วมกัน ของคนจนและชนชั ้นกรรมาชีพ มันก็จะสะท้อนถึงแรงปรารถนา ‘ที่เป็นอื่นต่อหน้า ทุนนิยมดิจิทัล’ และเป็นการไม่สมยอมต่อแรงปรารถนาเชิงควบคุมที่ก�ำหนดให้ใช้มัน ในบริบทของทรัพย์สินส่วนบุคคล (ขุดทอง แสวงหาก�ำไร) หากแต่เป็นแรงปรารถนา ในรูปของความไหลลื่น ที่การเติมเต็มความขาดระหว่างสรรพสิ่งคือการท้าทายและ กัดเซาะการควบคุมแรงปรารถนาของสรรพสิ่งด้วยทุนนิยมดิจิทัล นิพนธ์ความคิดเกี่ยวกับการไหลลื่นในบริบทของทุนนิยมดิจิทัลตามที่ ประกอบสร้างขึ ้นมานี ้ไม่ได้เป็นนิพนธ์ความคิดที่เป็นเอกเทศ หากแต่มันได้รับการฉาย ภาพลักษณ์ผ่านจินตนาการและประกายความคิดของนักเขียน นักเคลื่อนไหว และ ผู้ผลิตภาพยนตร์สารคดี อย่าง แอสตรา เทเลอร์ (Astra Taylor) ซึ่งเสนอความคิดว่า เทคโนโลยีดิจิทัล สุ่มเสี่ยงที่จะเป็นแพลตฟอร์มชั ้นเลิศ ที่จะสนองตอบต่อชีวิตที่ดีเลิศ


คน-สังคม-ดิจิทัล 140 ของชนชั ้นน�ำในสังคมเท่านั ้น มิหน�ำซ� ้ำ ยังเป็นเทคโนโลยีที่จะคงรักษาความยิ่งใหญ่ ให้แก่บรรดาเหล่าชนชั ้นกลาง ที่ก�ำลังท�ำงานอยู่ในอุตสาหกรรมวัฒนธรรม (culture industry) ถ้าหากอุตสาหกรรมวัฒนธรรมมีกระบวนการสร้างมาตรฐานเป็นพื ้นฐาน มาตรฐานของอุตสาหกรรมวัฒนธรรมก็คงไม่ใช่เรื่องของการต่อสู้คัดง้างกับทุนนิยม ดิจิทัล หากแต่เป็นการอาศัยใช้ประโยชน์จากทุนนิยมดิจิทัล เช่น เว็บ (web) ให้เกิด ประโยชน์สูงสุดกับคนในวงการอุตสาหกรรม เช่น ชื่อเสียง เกียรติภูมิ และเงินทอง เท เลอร์วิเคราะห์ว่าขณะนี ้การใช้เว็บ ถูกปิดกั ้นทางเลือกการใช้มันในช่องทางอื่นๆ เพราะ ช่องทางหลักของมัน คือการใช้เพื่อเรียกร้องความสนใจจากสาธารณะที่ฟอนเฟะเป็น ที่เรียบร้ อยแล้ว ของพวกดารา นักแสดง และคนในวงการบันเทิงเท่านั ้น (Taylor, 2015) รวมไปถึงการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) ก็เช่นกัน ปัญญา ประดิษฐ์คือผลพวงของการปฏิวัติเทคโนโลยี ที่เงื่อนไขของการน�ำมันมาใช้ประโยชน์ ก็เพื่อการเป็นแรงงานแทนที่แรงงานคน ซึ่งหมายความว่าต้องเป็นการส่งเสริมกิจกรรม ของทุนอุตสาหกรรม ปัญญาประดิษฐ์ต้องตอบโจทย์เรื่องความแม่นย�ำ ศักยภาพใน เชิงกายภาพ และการสร้างมาตรฐาน ดังนั ้น ปัญญาประดิษฐ์จึงไม่ได้รับความคาด หมายให้ใช้ในทิศทางที่เป็นปรปักษ์ต่อทุนนิยมดิจิทัล อย่างไรก็ตาม เทเลอร์ได้ระบุ ข้อความไว้ในหนังสือเรื่อง The People’s Platform (2015) ว่าเทคโนโลยีดิจิทัลคือสิ่ง ที่คนทั ้งหลายสามารถครอบครองได้ โดยคนต้องเข้าถึงและใช้เทคโนโลยีดิจิทัลให้ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ และคนสามารถใช้มันเพื่อน�ำไปสู่การท�ำลายล้างชนชั ้นกลาง แห่งอุตสาหกรรมวัฒนธรรม (Taylor, 2015) วิธีคิดของเทเลอร์จึงเป็นความไหลลื่น เพราะมีแรงปรารถนาที่จะเชื่อมโยงความขาดของตนเองเข้ากับผู้อื่น เพื่อกัดเซาะ ทุนนิยมดิจิทัล และเพื่อปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในทิศทางที่สวนกระแสกับการสะสม ทุนและแสวงหาก�ำไร จึงดูราวกับว่าเทเลอร์ก�ำลังเสนอให้เราทุกคนพยายามแสวงหา ปัญญาประดิษฐ์ไว้ในครอบครอง และทดลองใช้ปัญญาประดิษฐ์ตัวนั ้นเพื่อบ่อน ท�ำลายวงจรการสะสมทุน (เช่น การสร้างความปั่นป่ วนในตลาดหุ้น) ดังนั ้น การใช้ ปัญญาประดิษฐ์ที่เข้ามาทดแทนแรงงานมนุษย์ในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ จนเกิด อัตราว่างงานขึ ้น อย่างที่เห็นเป็นประจักษ์ทุกวันนี ้ ยังไม่ใช่การใช้ปัญญาประดิษฐ์ที่ เข้มข้นหรือน่ากลัวจริง เพราะมันยังไม่ใช่การใช้ปัญญาประดิษฐ์ในเชิงการเมือง ซึ่งมี


141 ระดับความน่ากลัวกว่านั ้น และอาจเกิดขึ ้นได้ในอนาคต อนาคตทางเลือกจึงยังเป็น ไปได้ โดยเฉพาะถ้าหากปัญญาประดิษฐ์ตกอยู่ในก�ำมือของผู้ที่มีอุดมการณ์แบบ มาร์กซ์-เลนิน ถ้าหากความไหลลื่นของแรงปรารถนาที่มุ่งหมายจะกัดเซาะการสะสมความ มั่งคั่งของทุนนิยมดิจิทัล คือความไม่บกพร่องต่อหน้าที่เพื่อการขบคิดถึงอนาคตทาง เลือกที่เป็นไปได้ นิพนธ์ความคิดที่ว่านี ้ก็คงไม่ได้ปรากฏพันธมิตรว่ามีเพียงแค่เทเลอร์ คนเดียวเท่านั ้น หากแต่ความคิดลักษณะนี ้ยังปรากฏอยู่ในการสังเคราะห์ของ แฟรนโก “ไบโฟ” เบราร์ดิ (Franco “Bifo” Berardi) โดยในหนังสือเรื่อง After the Future สิ่งที่เบราร์ดิมีแรงปรารถนา ก็คือการที่เขาตระหนักถึงความขาดต่อภาพลักษณ์ที่เป็น ไปได้ต่ออนาคต และงานเขียนของเบราร์ดิก็คือพลังชีวิตที่พยายามจะส่งมอบ การวิเคราะห์ถึงความขาดนี ้ให้แก่พวกเรา เพื่อให้พวกเราตระหนักถึงความขาดต่อ ภาพลักษณ์เช่นว่านั ้น ข้อวิเคราะห์ของเบราร์ดิระบุว่าแนวคิดเรื่องอนาคตที่ถูกก�ำหนดด้วยอ�ำนาจ ทุน เป็นสิ่งที่สร้างความผิดหวังแก่เรา ถ้าหากอ�ำนาจทุนคือสิ่งที่สังเคราะห์และก�ำหนด ภาพลักษณ์จินตนาการในอนาคตให้เกิดเอกสภาวะอย่างที่มันมุ่งมาดปรารถนา เบราร์ดิจึงเรียกร้องแก่เราว่า มันเป็นหน้าที่ของมนุษยชาติที่จะต้องขบคิดและตริตรอง ถึงภาพลักษณ์แห่งอนาคตที่เป็นไปได้ ซึ่งเป็นอนาคตที่ไม่ถูกปิดตายด้วยอ�ำนาจของ ทุน ท่ามกลางความเจ็บปวดรวดร้าวนี ้ ท่ามกลางที่ความมั่งคั่งอย่างต่อเนื่องเกิดมา จากการอาศัยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่คนไม่กี่คนเป็นผู้มีมันไว้ในครอบครอง คนจะต้อง ไม่ปิดกั ้นตนเอง หากแต่คนต้องยิ่งสร้ างการเคลื่อนไหวและสร้ างการไหลเวียนของ ร่างกาย จิตใจ และการรับรู้ของตนเองให้มากขึ ้น ยิ่งในชุมชนออนไลน์ด้วยแล้ว พวก เขาต้องไหลเวียนและไหลลื่นให้มากขึ ้น ให้การเคลื่อนไหวอันรุนแรงนั ้น ปรากฏนอก เหนือการควบคุมด้วยแรงปรารถนาของทุน พวกเขาต้องเชื่อมโยงตนเองเข้ากับร่างกาย จิตใจและการรับรู้อื่นๆ ที่มีเป้าหมายใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อกัดเซาะทุนนิยมดิจิทัล เหมือนกัน แม้ว่าร่างกาย จิตใจ และการรับรู้เหล่านั ้น จะอยู่ห่างไกลออกไป แต่ชุมชน ออนไลน์จะท�ำให้ความไกลของร่างกาย จิตใจ และการรับรู้ เหล่านั ้นกลายเป็น ภาพเสมือนของความใกล้


คน-สังคม-ดิจิทัล 142 การขีดเส้นแบ่งใหม่ยังคงเป็นไปได้ด้วยการวางกติกาการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ใหม่อีกครั ้ง ให้มันสะท้อนถึงแรงปรารถนาที่แยกตัวออกมาจากชุมชนออนไลน์ที่คน ส่วนใหญ่ก�ำลังใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ที่รังแต่จะส่งเสริมความมั่งคั่งให้กับทุนนิยมดิจิทัล ซึ่งส�ำหรับเบราร์ดิ การกระท�ำทางการเมืองบนโลกดิจิทัลเพื่อกรุยทางสู่โลกหลังอนาคต ที่ปฏิเสธการก�ำหนดภาพลักษณ์ของมันโดยทุน คือ ‘สงครามที่ถาวร’ (permanent war) (Berardi, 2011) โดยสรุป ในการท�ำความเข้าใจนิพนธ์ความคิดว่าด้วยแรงปรารถนาแห่ง ทุนนิยมดิจิทัลนั ้น จ�ำเป็นต้องเข้าใจถึงภาพที่สมดุลย์กัน โดยภาพที่สมดุลย์นั ้น ประกอบด้วย (1) แรงปรารถนาของทุนนิยมดิจิทัลเพื่อการควบคุมสรรพสิ่งต่างๆ ทั ้ง ที่เป็นมนุษย์และไม่ได้เป็นมนุษย์ โดยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของมนุษย์นั ้น มุ่งหวัง ที่จะรักษาสถานภาพอันได้เปรียบและเพื่อเป็นการสะสมก�ำไรอย่างต่อเนื่องของ ทุนนิยมดิจิทัล (2) แรงปรารถนาภายในทุนนิยมดิจิทัลที่คิดกัดเซาะทุนนิยมดิจิทัลโดย อาศัยพลานุภาพของเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อสร้างอนาคตทางเลือกที่ไม่ถูกก�ำหนดและ ลิขิตโดยวงจรของทุน หรือกล่าวให้สั ้นก็คือมันคือพลังเสียงทางการเมืองที่คิดจะ ‘Occupy Digital Technology’ ดังนั ้น ภาพที่สมดุลนี ้จึงไม่ใช่ภาพแห่งความสมานฉันท์ หากแต่ด�ำเนินไปด้วยตรรกะแบบวิภาษวิธีที่พร้อมจะรองรับนิพนธ์ความคิดที่ขัดแย้ง กันให้ ธ�ำรงอยู่คู่กัน โดยตลอดสาระส�ำคัญของส่วนนี ้ของบทความ จะเห็นว่า แรงปรารถนาที่สถิตอยู่ในบริบทของทุนนิยมดิจิทัล สะท้อนถึงแรงปรารถนาที่เป็นชนิด ตรงกันข้ามกันที่ธ�ำรงอยู่ในบริบทเดียวกัน วิธีคิดเช่นนี ้จึงชวนให้ระลึกถึงความคิดของ สปิโนซาว่าด้วยเอกนิยมและวิธีคิดของลาลูแอลที่ว่าด้วยการธ�ำรงของขั ้วแห่งความ ขัดแย้งและการสร้างความแตกต่างขึ ้นภายในสารัตถะของความเป็นหนึ่งเดียว ข้อพึงตระหนักคือนิพนธ์ความคิดเรื่องแรงปรารถนาที่ประกอบสร้ างขึ ้นมา ตั ้งแต่ส่วนแรกของบทความ มีนิยามเพียงแค่นิยามเดียว แต่เมื่อน�ำนิยามมาประกอบ เข้ากับบริบทของทุนนิยมดิจิทัล จากนิยามหนึ่งเดียวนั ้น ก็สามารถรองรับความแตก ต่างหลากหลายได้ ทั ้งในแง่ที่นิยามที่ให้ไว้นั ้น ใช้ได้กับการอธิบายเรื่องการควบคุม ของทุนนิยมดิจิทัล และในแง่ที่นิยามนั ้น สะท้อนภาพที่อาจเกิดขึ ้นในอนาคตว่าด้วย การกัดเซาะทุนนิยมดิจิทัล หากกล่าวให้ชัด ก็คือนิพนธ์ความคิดเรื่องแรงปรารถนาใน


143 บทความนี ้ ไม่ควรได้รับการตัดสินว่าเป็นการผลิตนิยามเรื่องแรงปรารถนาออกมา สองชุด เพื่อใช้ในการถ่ายทอดเรื่องราวในปัจจุบันกาลของการควบคุมของทุนนิยม ดิจิทัลด้านหนึ่ง และเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวว่าด้วยการกัดเซาะทุนนิยมดิจิทัลอีกด้าน หนึ่ง นิยามเรื่องแรงปรารถนาที่ประกอบสร้างขึ ้นมาจากกระบวนการวิภาษวิธี มีเพียง แค่นิยามเดียวเท่านั ้น ทว่านิยามเดียวนั ้น สามารถน�ำไปปรับใช้ในบริบทที่แตกต่าง ออกไปได้ และสามารถรองรับความคิดที่ขัดแย้งกันให้ถูกผูกโยงเข้ากับนิยามเดียวกัน นั ้นได้ พลังของวิภาษวิธีสื่อใจความให้เห็นถึงความไม่จ�ำเป็นต้องขบคิดนิยามเรื่อง เดียวกันออกเป็นสองความหมายเพื่อใช้ในสองหรือมากกว่าสองบริบทขึ ้นไปที่แตก ต่างกัน สรุป: ความคาดหวังต่อการขบคิดเรื่องภววิทยาแห่งทุนนิยมดิจิทัล (Ontology of Digital Capitalism) บทความชิ ้นนี ้มีจุดประสงค์ที่จะถ่ายทอดภาพสะท้ อนเชิงปรัชญาต่อ ปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจการเมืองในโลกปัจจุบันซึ่งเป็นยุคของทุนนิยมดิจิทัล ปรากฏการณ์ต่างๆ เช่น การสะสมทุนผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การต่อต้านการ สะสมทุนด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล สัมพันธ์กับจินตนาการทางการเมืองถึงอนาคต ทางเลือกที่เป็นไปได้ ปรากฏการณ์เหล่านี ้ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ ้นจริงภายใน สภาพแวดล้อมของทุนนิยมดิจิทัล การน�ำเสนอปรากฏการณ์จากการสังเกตการณ์ ทั ้งหมดของบทความนี ้ กลั่นออกมาในรูปของข้อเสนอเชิงปรัชญา ซึ่งข้อเสนอของ บทความมีการอ้างอิงและพึ่งพาแนวทางของทฤษฏีวิพากษ์จากโลกตะวันตก ทั ้งที่ พึ่งพาโดยตรง ได้แก่ เดอเลิซ ลากอง และพึ่งพาโดยอ้อม ได้แก่ ไฮเดกเกอร์ ค้านท์ สปิโนซา ลาลูแอล ลาตูว์ แบร์ราดี ฮาน ฯลฯ ภารกิจเชิงปรัชญาว่าด้วยการน�ำเสนอภาพสะท้อนปรากฏการณ์แห่งทุนนิยม ดิจิทัลในที่นี ้ แตกต่างกับการเข้าใจทุนนิยมดิจิทัลในเชิงวิวัฒนาการ (evolutionary) ซึ่งการท�ำความเข้าใจในรูปแบบนี ้ ปรากฏว่าเป็นความเข้าใจที่อยู่ในการรับรู้ และ จิตส�ำนึกของคนทั่วไป การท�ำความเข้าใจทุนนิยมดิจิทัลลักษณะนี ้มักเน้นความเป็น ประวัติศาสตร์ เน้ นภาพสะท้ อนถึงวิวัฒนาการแห่งการเกิดขึ ้นของทุนนิยม


คน-สังคม-ดิจิทัล 144 อุตสาหกรรมจากยุคที่หนึ่งจนถึงยุคที่สี่ และเป็นมุมมองที่เน้นการประกาศชัยชนะถึง ความยิ่งใหญ่ของเทคโนโลยีดิจิทัลและความหายนะที่เกิดขึ ้นกับอดีตที่ผ่านมาทั ้งหมด ราวกับว่าเส้นแบ่งของปัจจุบันกับอดีตจะหายไป ราวกับว่าผู้ชนะคือผู้ที่ปรับตัวได้ทัน กับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะเป็นตัวก�ำกับอนาคตของโลก ผู้ชนะคือผู้ที่ครอบครองอนาคต ไว้ในก�ำมือ และผู้ชนะ ก็คือผู้ที่ก�ำหนดยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงฉับพลัน (The Age of Disruption) จะเห็นว่า ค�ำว่า ‘disruption’ เป็นค�ำศัพท์ที่แสดงถึงเจตจ�ำนงแห่งกาล สมัยปัจจุบันของทุนนิยมดิจิทัลไปเสียแล้ว ข้อวิจารณ์ในที่นี ้คือการท�ำความเข้าใจ ทุนนิยมดิจิทัลด้วยแขนงความคิดนี ้ สุ่มเสี่ยงที่จะเข้าใจทุนนิยมดิจิทัลโดยแบ่งแยก ออกเป็น ผู้แพ้-ผู้ชนะ วิธีคิดนี ้เป็นมุมมองต่อทุนนิยมดิจิทัลของชนชั ้นนายทุน ซึ่ง ก�ำหนดขึ ้นด้วยกระบวนวิธีคิดแบบ zero-sum game และมุมมองเช่นนี ้คือภาพมายา แห่งปัจจุบันกาล ที่ก�ำลังตัดทิ ้งซึ่งสารนิพนธ์แห่งความเป็นการเมืองในลักษณะต่อต้าน ทุนนิยมดิจิทัล ซึ่งเป็นมิติที่ได้มีการน�ำเสนอผ่านงานเขียนบางชิ ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (เก่งกิจ; 2560, ชญาน์ทัต 2561; สรวิศ; 2562 Chyatat; 2016) การน�ำเสนอในรูปแบบของปรัชญาจะไม่ละทิ ้งความเป็นการเมือง และไม่ ปฏิเสธนิพนธ์ทางความคิดที่สร้างสมดุลของการเคลื่อนไหวทั ้งหมดที่ประกอบเป็นส่วน หนึ่งของโลกแห่งทุนนิยมดิจิทัล และท้ายสุดก็พบถึงความย้อนแย้งเรื่องหนึ่ง ก็คือเมื่อ ใดก็ตามที่มีความพยายามในการน�ำเสนอภาพที่สมดุล โดยต้องผนวกภาพที่สมดุล นั ้นเข้ากับความเป็นการเมืองในลักษณะวิพากษ์ทุนนิยม จักรวาลสากลของการ เคลื่อนไหวทั ้งหมดในโลกของทุนนิยมไม่เคยมีฉันทามติเลย ดังนั ้น การมองให้เห็นถึง สมดุลแห่งการเคลื่อนไหวทั ้งหมดภายในทุนนิยมดิจิทัล จ�ำเป็นต้องมองให้ออกถึงการ เคลื่อนไหวในเชิงต่อต้านฉันทามติเสมอ หากมองไม่เห็นถึงการต่อต้านฉันทามติ ภาพนั ้นจะไม่นับว่าสมดุล สมดุลที่ไร้การขบคิดถึงการต่อต้านฉันทามติคือมายาคติ การให้ภาพที่สมดุลจ�ำเป็นต้องค�ำนึงการเคลื่อนไหวทั ้งหลาย ซึ่งมีการต่อต้านฉันทามติ เป็นองค์ประกอบ นอกจากนี ้ บทความเชิงปรัชญานี ้ไม่ได้สนใจที่จะศึกษาทุนนิยม ดิจิทัลในลักษณะกรณีศึกษา (case studies) เช่น การพิจารณาถึงผลกระทบต่อสังคม วัฒนธรรม และมนุษย์ จากการอุบัติขึ ้นเป็นส่วนหนึ่งกับความสัมพันธ์ต่างๆ บนโลก ของเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น ข้อมูลมหาศาล อินเทอร์เนตแห่งสรรพสิ่ง อินเทอร์เนต เวบ บล็อกเชน อีสปอร์ต ปัญญาประดิษฐ์ ฯลฯ การศึกษาลักษณะนี ้ค่อนข้างเฉพาะเจาะจง


145 เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวภายในจักรวาลแห่งทุนนิยมดิจิทัลเท่านั ้น และ ไม่ได้สังเคราะห์ภาพแห่งการเคลื่อนไหวทั ้งหมดของทุนนิยมดิจิทัล และที่สุดแล้ว บทความนี ้แตกต่างกับการศึกษาทุนนิยมดิจิทัลในลักษณะของการประยุกต์ทฤษฏี (theoretical application) ซึ่งผู้ศึกษามีแนวโน้มจะศึกษาทุนนิยมดิจิทัลผ่านเครื่องมือ ศึกษาหรือเครื่องมือทางความคิดที่ผู้ศึกษาเห็นว่าเหมาะสมต่อการท�ำความเข้าใจ บทความชิ ้นนี ้ไม่ใช่การประยุกต์ทฤษฏี แต่เป็นความพยายามในการสังเคราะห์ทฤษฏี เพื่อระบุถึงต�ำแหน่งการคิด และต�ำแหน่งการคิดนั ้น ก็จะน�ำไปสู่การวิพากษ์ สะท้อน ภาพ และเปิดเผยให้เห็นถึงปรากฏการณ์การเคลื่อนไหวที่เกิดขึ ้นในบริบทแห่งทุนนิยม ดิจิทัล การน�ำเสนอมุมมองเชิงปรัชญาต่อสภาวะแห่งสรรพสิ่งใดก็ตามมีเงื่อนไขหนึ่ง เป็นองค์ประกอบเสมอ หน้าที่และภารกิจนั ้นก็คือการประกอบร่างสร้างนิพนธ์ความ คิดขึ ้นมา โดยการประกอบสร้างความคิดมุ่งหมายที่จะเข้าถึงสภาวะที่ต้องการศึกษา ข้อพึงตระหนักคือสภาวะคือสิ่งที่เป็นจริงในตัวมันเอง ส่วนการสร้างนิพนธ์ความคิด ขึ ้นมา เป็นเพียงแค่วิธีการที่จะหยั่งถึงสภาวะอย่างที่สภาวะนั ้นเป็น ให้ได้ใกล้เคียง สภาวะนั ้นที่สุดเท่าที่จะท�ำได้ บทความเลือกที่จะประกอบร่างนิพนธ์เรื่องแรงปรารถนา ขึ ้นมา เพราะมีสมมติฐานว่าแรงปรารถนาคือมิติทางความคิดที่เป็นไปได้ ต่อการเข้า ถึงสภาวะของทุนนิยมดิจิทัลได้อย่างใกล้เคียง และสิ่งที่ต้องพึงระลึกเสมอ ก็คือการ ประกอบสร้างความคิดเพื่อที่จะเข้าถึงหรือหยั่งถึงสภาวะแห่งทุนนิยมดิจิทัล ไม่จ�ำเป็น ต้องกระท�ำผ่านเรื่องแรงปรารถนาเพียงเรื่องเดียว แต่สามารถเป็นเรื่องอื่นๆ ได้อีกด้วย เช่น ความรัก อ�ำนาจ การมีชีวิต ตัวตน การต่อต้านญาณวิทยา การรับรู้ รัฐ กระบวน ทัศน์ เวลา เส้นขอบฟ้า สุนทรียศาสตร์ ร่างกาย ความเป็นมนุษย์ อนาคต ฯลฯ ทั ้งนี ้ ขึ ้นอยู่กับการตัดสินใจและการเล็งเห็นว่าเหมาะสมของผู้สร้างนิพนธ์ความคิด แต่ไม่ ว่าจะด้วยทางใดก็ตาม การประกอบสร้ างนิพนธ์ความคิดควรจะจบลงด้วยการให้ ความหมายที่ชัดเจน เพื่อระบุต�ำแหน่งการคิดของผู้สร้างความคิดเช่นเดียวกัน การประกอบสร้ างนิพนธ์ความคิดเรื่องแรงปรารถนาในบทความนี ้ เลือก กระท�ำผ่านวิธีการของวิภาษวิธี โดยเป็นการสังเคราะห์ความคิดในลักษณะที่น�ำเอา ขั ้วตรงข้ามกันมาวางอยู่บนระนาบความคิดเดียวกัน หากพิจารณาที่ส่วนแรกของ


คน-สังคม-ดิจิทัล 146 บทความ จะเห็นว่าบทความเริ่มต้นที่นิพนธ์ความคิดเกี่ยวกับแรงปรารถนาผ่านเรื่อง ระยะห่าง และจากนั ้นบทความสร้างขั ้วตรงข้ามกับเรื่องระยะห่างก็คือเรื่องความใกล้ ชิด จากนั ้นก็พิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะผนวกขั ้วความคิดที่แตกต่างกันสองขั ้ว เข้าด้วยกัน จนสังเคราะห์นิยามเรื่องแรงปรารถนาออกมาว่า เป็นพลังแห่งชีวิตเพื่อ การเติมเต็มความขาดระหว่างสรรพสิ่งในสภาพแห่ง ‘ความใกล้ชิดที่เสมือนว่าอยู่ใกล้’ ‘ความห่างที่เสมือนว่าห่าง’ ซึ่งนิยามที่คิดขึ ้น เมื่อเชื่อมโยงเข้ากับความคิดของเดอเลิซ และลากอง ก็สามารถกล่าวได้ว่าคล้องจองไปในทางเดียวกันพอสมควรกับแนวคิด เรื่อง ‘เส้นที่หลุดจากพื ้นที่’ (line of flight) ของเดอเลิซ และประเมินแล้วพบว่า ตัว นิยามได้รับการขัดเกลาและปรับปรุงขึ ้นมามาก หลังจากพิจารณาที่การขบคิดในเรื่อง เดียวกันของลากองเรื่อง ‘ความคลาดเคลื่อน’ (alienation) และ ‘การแยกตัว’ (separation) เมื่อน�ำเอาความคิดเรื่องแรงปรารถนาที่ได้จากการสังเคราะห์ มาท�ำการหยั่ง เพื่อเข้าถึงสภาวะของทุนนิยมดิจิทัลให้ได้มากที่สุด ก็พบว่าแรงปรารถนาประกอบไป ด้วยมิติของความพยายามของทุนนิยมดิจิทัลเพื่อควบคุมสรรพสิ่งผ่านเทคโนโลยี ดิจิทัลที่ท�ำให้ระยะห่างกลายเป็นความเสมือนใกล้ชิด และแรงปรารถนาตัวเดียวกัน ก็สะท้อนถึงความไหลลื่นระหว่างสรรพสิ่ง ที่ปรารถนาต่ออนาคตอื่นๆ เชิงทางเลือกที่ เป็นไปได้ผ่านการพึ่งพาศักยภาพของเทคโนโลยีดิจิทัล ด้วยเหตุนี ้ แรงปรารถนาจึง เป็นกิจกรรมการเคลื่อนไหวที่ฉายภาพของพลังชีวิตที่ขัดแย้งกัน ทว่าเคลื่อนตัวอยู่ใน สภาวะเดียวกัน จากมิติเรื่องแรงปรารถนา สภาวะที่พอจะเข้าถึงได้เกี่ยวกับทุนนิยม ดิจิทัล คือภาพของความเป็นปรปักษ์และการต่อสู้ดิ ้นรนของสรรพสิ่งต่างๆ มากกว่า จะเป็นสภาวะที่ทุกสิ่งทุกอย่างก้าวเดินไปอย่างพร้ อมเพรียงกัน ประเด็นที่ควรพึง ตระหนัก ก็คือนิพนธ์ความคิดเรื่องแรงปรารถนาที่บทความประกอบร่างสร้างขึ ้นเป็น นิยามเดียว สามารถฉายภาพหรือสะท้อนปรากฏการณ์แห่งแรงปรารถนาภายใน ทุนนิยมดิจิทัล ทั ้งในส่วนของการควบคุมและในส่วนของความไหลลื่นได้ในเวลา เดียวกัน บทความมิได้นิยามค�ำว่าแรงปรารถนาโดยแยกเป็นสองทิศทางเพื่อปรับใช้ ในสองบริบทที่แตกต่างกัน


147 อย่างไรก็ตาม การขบคิดทุนนิยมดิจิทัลผ่านมิติเรื่องแรงปรารถนานับว่ามี ประโยชน์อยู่บ้าง เพราะตริตรองแล้วว่ามันมอบภาพรางๆ ถึงมิติอื่นๆ ที่เคลื่อนไหวอยู่ ภายในทุนนิยมดิจิทัล โดยเฉพาะมิติในเรื่องของชีวิตทางเศรษฐกิจการเมืองในโลก ดิจิทัล ซึ่งผู้เขียนบทความท่านอื่นๆ ผู้คิดจะประกอบสร้างแนวคิดเชิงปรัชญาเพื่อเข้า ถึง เข้าใจ และวิพากษ์ทุนนิยมดิจิทัล สามารถน�ำเรื่องชีวิตไปประกอบสร้างเป็นนิพนธ์ ความคิดได้ สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด หากหนึ่งในหน้าที่ของปรัชญาคือการเข้าถึงสภาวะ ของสรรพสิ่งที่เป็นจริงในตัวมันเอง บทความชิ ้นนี ้ก็เป็นเพียงความพยายามขั ้นต้นและ เป็นเพียงหน่ออ่อน เพื่อการเดินทางสู่การเข้าถึงภววิทยาของทุนนิยมดิจิทัล (ontology of digital capitalism) ซึ่งเป็นมิติทางปรัชญาที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่าบทความชิ ้นนี ้ หลายเท่าตัว และแน่นอนว่าภายในภววิทยา ย่อมประกอบไปด้วยมิติความคิดที่หลาก หลาย ความแตกต่าง และความสลับซับซ้อนของสรรพสิ่งต่างๆ ที่ยากจะลดทอน แต่ กระนั ้น ความเป็นไปได้ที่จะขบคิดเพื่อสร้ างนิพนธ์ความคิดว่าด้วยภววิทยาของ ทุนนิยมดิจิทัลขึ ้นมา ย่อมเกิดขึ ้นได้เสมอ หากแรงปรารถนาที่มุ่งหวังจะเชื่อมต่อกับ สรรพสิ่งที่ห่างไกลให้ประหนึ่งว่าอยู่ใกล้นั ้น ยังคงเป็นแก่นสารส�ำคัญในการด�ำเนิน ชีวิตอย่างต่อเนื่อง บรรณานุกรม ภาษาไทย เก่งกิจ กิติเรียงลาภ. 2560. Autonomia: ทุนนิยมความรับรู้ แรงงานอวัตถุ การเมือง ของการปฎิวัติ. กรุงเทพ: Illuminations Editions. ชญาน์ทัต ศุภชลาศัย. 2561. Technopocene. เชียงใหม่: Turn. ชญาน์ทัต ศุภชลาศัย. 2557. “สานสัมพันธ์สองแนวคิด: หลังสมัยใหม่และจิต วิเคราะห์,” รัฐศาสตร์สาร 35 (1): 1-39. ชญาน์ทัต ศุภชลาศัย. 2555. ฌ้าคส์ ลาก็อง: 10 มโนทัศน์ในพรมแดนชีวิต. กรุงเทพฯ: ส�ำนักพิมพ์เคล็ดไทย. สรวิศ ชัยนาม. 2562. ท�ำไมต้องตกหลุกรัก: Alain Badiou ความรัก และ The Lobster. กรุงเทพฯ: Illuminations Editions.


คน-สังคม-ดิจิทัล 148 ภาษาอังกฤษ Anderson, Kevin. 1995. Lenin, Hegel, and Western Marxism: A Critical Study. Urbana and Chicago: University of Illinois Press. Augé, Marc. 2015. The Future. London and New York: Verso. Berardi, Franco. 2011. After the Future. Oakland and Edinburgh: AK Press. Deleuze, Gilles and Felix Guattari. 2004. Anti-Oedipus: Capitalism and Schizophrenia. London: Continuum. Fink, Bruce. 1995. The Lacanian Subject: Between Language and Jouissance. Princeton: Princeton University Press. Fuchs, Christian. 2016. Marx in the Age of Digital Capitalism. Leiden and Boston: Brill. Han, Byung-Chul. 2017. Psychopolitics: Neoliberalism and New Technologies of Power. London and New York: Verso. Heidegger, Martin. 2010. Being and Time. Albany: State University of New York Press. Kant, Immanuel. 2005. Critique of Judgement. New York: Dover Publications Inc. Lacan, Jacques. 2007. Ecrits: The First Complete Edition in English. New York: W.W. Norton & Company. Lacan, Jacques. 1977. The Four Fundamental Concepts of Psycho-Analysis. London: Penguin Books. Laruelle, Francois. 2010. Philosophies of Difference: A Critical Introduction to Non-philosophy. New York: Bloomsbury Academic. Latour, Bruno. 2007. Reassembling the Social: An Introduction to Actor-Net work-Theory. London and Oxford: Oxford University Press. Moore, Jason. 2015. Capitalism in the Web of Life: Ecology and the Accu mulation of Capital. London and New York: Verso. Roudinesco, Elisabeth. 2014. Lacan: In Spite of Everything. London and New York: Verso. Spinoza, Benedict. 2005. Ethics. New York: Penguin Books.


149 Supachalasai, Chyatat. 2016. “The Politics of Accelerationism: Future, Mo dernity, Technology, and Subjectivity in the Late Capitalism,” Journal of Social Sciences (Naresuan University), 12(2): 43-69. Tapscott, Don. 1995. The Digital Economy: Promise and Peril in the Age of Networked Intelligence. New York: Mc-Graw-Hill. Taylor, Astra. 2015. The People's Platform: Taking Back Power and Culture in the Digital Age. New York: Picador Books. Žižek, Slavoj. 2016. Disparities. New York: Bloomsbury.


Click to View FlipBook Version