46
ตอ่ 1) ซึ่งจดั แยกออกเปน็ ลำดบั ช้ัน โดยในระดบั ชัน้ ที่ 1 จะมีเพยี งแฟ้มขอ้ มูลเดียวน่ันคือมีพอ่ คนเดียว ใน
ระดับท่ี 2 จะมกี แี่ ฟ้มข้อมลู กไ็ ด้ ในทำนองเดียวกันระดบั 2 ก็จะมคี วามสัมพนั ธก์ ับระดบั 3 เหมือนกบั ระดบั
1 กบั ระดบั 2 แตล่ ะกรอบจะมตี ัวชี้ (Pointers) หรอื หวั ลูกศรว่งิ เข้าหาได้ไมเ่ กนิ 1 หัว
10. จงอธิบายลักษณะเด่นและข้อจำกดั ของแบบจำลองฐานขอ้ มูลแบบเครอื ข่าย
ลักษณะเดน่
1. เหมาะสำหรับงานที่แฟม้ ขอ้ มูลมีความสมั พนั ธแ์ บบเครอื ขา่ ย
2. มีโอกาสเกดิ ความซ้ำซอ้ นของข้อมลู น้อยกวา่ โครงสร้างแบบลำดบั ช้นั
3. การคน้ หาข้อมูลมเี งอื่ นไขไดม้ าก และกวา้ งกวา่ โครงสรา้ งแบบลำดับชน้ั
ข้อจำกัด
1. เปน็ โครงสรา้ งที่ง่ายไม่ซับซอ้ น จึงทำให้ปอ้ งกนั ความลบั ของขอ้ มลู ได้ยาก
2. มีคา่ ใช้จ่าย และสนิ้ เปลอื งพนื้ ทีใ่ นหน่วยความจำ เพราะจะเสียพ้ืนที่ในอปุ กรณเ์ ก็บข้อมูล
สำหรับตวั ช้มี าก
3. ถา้ ความสมั พันธ์ของเรคอรด์ ประเภทต่าง ๆ เกนิ 3 ประเภทจะทำใหก้ ารออกแบบ
โครงสรา้ งแบบเครอื ขา่ ยยงุ่ ยากซับซ้อน
ตอนท่ี 2 จงบอกความหมายของคำศพั ทต์ อ่ ไปน้ี
คำศัพท์ ความหมาย คำศัพท์ ความหมาย
Internal Level ระดบั ภายใน Data Model แบบจำลองขอ้ มูล
External Level ระดับภายนอก Data Type ชนิดของขอ้ มลู
Conceptual ระดับแนวคดิ Field Type ชว่ งของข้อมลู
Level
Database ฐานขอ้ มลู Tree Structure โครงสรา้ งแบบต้นไม้
Logical ตรรกะหรอื เหตผุ ล Inheritance การสืบทอด
ตอนที่ 3 จงเลอื กคําตอบที่ถูกต้องท่ีสุดเพยี งขอ้ เดียว
คำสั่ง จงทำเครอื่ งหมายกากบาท () หน้าขอ้ ทถ่ี กู ตอ้ งมากที่สดุ เพียงขอ้ เดียว
1 ANSI-SPARC แบง่ สถาปัตยกรรมของฐานข้อมลู ออกเป็นก่รี ะดับ
ก. 1 ระดบั
ข. 2 ระดับ
ค. 3 ระดับ
ง. 4 ระดบั
จ. 5 ระดับ
47
2. Conceptual Level หมายถึงสถาปัตยกรรมของฐานขอ้ มูลระดบั ใด
ก. ระดับภายใน
ข. ระดบั ภายนอก
ค. ระดบั กลาง
ง. ระดับลา่ ง
จ. ระดบั แนวคดิ
3. External Level หมายถึงสถาปัตยกรรมของฐานข้อมูลระดบั ใด
ก. ระดับภายใน
ข. ระดบั ภายนอก
ค. ระดบั กลาง
ง. ระดับล่าง
จ. ระดบั แนวคดิ
4. ขอ้ ใดคอื เคร่ืองมือในเชิงแนวคดิ ที่ใชใ้ นการอธิบายขอ้ มูล
ก. Data Model
ข. Database
ค. Super Model
ง. Level Model
จ. Idea Database
5. แบบจำลองฐานขอ้ มูลแบบเครอื ขา่ ยคอื ข้อใด
ก. Hierarchical Database
ข. Network Database
ค. Relational Database
ง. Object-Oriented Database Model
จ. The Object-Relational Database Model
6. โครงสร้างต้นไม้ (Tree Structure) อยู่ในรปู แบบจำลองฐานขอ้ มลู ประเภทใด
ก. Hierarchical Database
ข. Network Database
ค. Relational Database
ง. Object-Oriented Database Model
จ. The Object-Relational Database Model
7. รปู แบบจำลองข้อมูลประเภทใดที่เหมาะกบั งานทเี่ ลือกดขู ้อมูลแบบมเี งอ่ื นไขหลายคยี ฟ์ ลิ ดข์ ้อมลู
ก. Hierarchical Database
ข. Network Database
ค. Relational Database
48
ง. Object-Oriented Database Model
จ. The Object-Relational Database Model
8. ขอ้ ใดท่ีเป็นลกั ษณะเดน่ ท่ีมีคณุ สมบตั ิในการนำกลบั มาใช้ใหม่
ก. Hierarchical Database
ข. Network Database
ค. Relational Database
ง. Object-Oriented Database Model
จ. The Object-Relational Database Model
9. ข้อใดคือข้อจำกดั ของแบบจำลองฐานข้อมลู เชงิ วตั ถุ
ก. ตอ้ งพ่งึ พาผ้เู ช่ยี วชาญโดยเฉพาะ
ข. มคี ณุ สมบตั ิดา้ นการสบื ทอด
ค. ข้อมลู มีความคงสภาพสูง
ง. อธิบายหัวข้อความหมายไดด้ ี
จ. การนำเสนอในรปู แบบ Visual
10. ฐานขอ้ มลู และคลังขอ้ มลู เป็นขนั้ ตอนใดของแบบจำลองฐานข้อมูลเชิงวตั ถุ-สมั พันธ์
ก. ขน้ั ตอนท่ี 1
ข. ขั้นตอนที่ 2
ค. ขน้ั ตอนท่ี 3
ง. ขน้ั ตอนท่ี 4
จ. ข้ันตอนที่ 5
เอกสารอ้างอิง
หนงั สอื เรียนวิชา ระบบจดั การฐานข้อมูล ของ สำนกั พมิ พ์จิตรวัฒน์ (JW) กทม., 2563
ภาคผนวก (ถา้ มี)
49
ใบงานท่ี 2 หนว่ ยที่ 2
รหัสวิชา 30204-2002 ชื่อวชิ า ระบบจัดการฐานข้อมูล ภาคเรยี นท่ี 1
ชอื่ หนว่ ย สถาปตั ยกรรมขอ้ มลู และแบบจำลองขอ้ มลู เวลารวม 4 ช่ัวโมง
ชอื่ งาน สถาปัตยกรรมข้อมูลและแบบจำลองขอ้ มูล จำนวน 4 ชั่วโมง
จดุ ประสงค์การเรียนรู้
จดุ ประสงคท์ ั่วไป
1. เพื่อมคี วามรู้ความเขา้ ใจสถาปัตยกรรมขอ้ มลู และแบบจำลองขอ้ มูล
2. เขา้ ใจหลกั การสถาปัตยกรรมขอ้ มูลและแบบจำลองข้อมูล
จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม (ความรู้ ทกั ษะ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม จรรยาบรรณวิชาชพี )
1. บอกความหมายของสถาปตั ยกรรมของระบบฐานขอ้ มลู และแบบจำลองฐานข้อมลู ได้
2. อธิบายวัตถุประสงค์ของการแบง่ สถาปัตยกรรมฐานข้อมลู ได้
3. อธบิ ายแบบจำลองขอ้ มูลได้
4. อธบิ ายรูปแบบของแบบจำลองฐานข้อมลู ได้
5. ปฏิบตั ิการเลือกใช้สถาปัตยกรรมขอ้ มูลและแบบจำลองฐานข้อมลู ให้เหมาะสมกบั งานได้
สมรรถนะรายหนว่ ย
1. แสดงความรูเ้ กย่ี วกับสถาปัตยกรรมข้อมูลและแบบจำลองขอ้ มลู
2. วางแผนการเลอื กใช้สถาปัตยกรรมขอ้ มูลและแบบจำลองข้อมลู
เครือ่ งมือ วสั ดุ – อุปกรณ์
1. เครื่องคอมพวิ เตอร์ PC หรอื Notebook
2. โปรเจค็ เตอร์
3. หนงั สอื
ลำดับขนั้ ตอนการปฏิบัตงิ าน
1. ให้นกั ศกึ ษาแบ่งกลุ่มตามความเหมาะสม เพ่ือศึกษาและอภิปราย
1.1 อธิบายความรูเ้ ก่ียวกบั สถาปตั ยกรรมขอ้ มูลและแบบจำลองขอ้ มลู
1.2 เขยี นรูปพร้อมอธิบายสถาปัตยกรรมขอ้ มลู และแบบจำลองขอ้ มูล
2. เขยี นอภิปรายและวเิ คราะหใ์ ส่กระดาษ
3. นำผลงานสง่ ครูผู้สอนเพ่ือประเมนิ ผล
ภาพประกอบ
50
ขอ้ ควรระวัง
ผูเ้ รียนควรตรวจสอบข้อมูลกอ่ นใหถ้ ถี่ ้วน ละเอยี ด และรอบคอบก่อน เพอื่ ป้องกนั ความผดิ พลาดกอ่ น
การส่งงาน
ขอ้ เสนอแนะ (ถ้าม)ี
นกั ศึกษาควรมีภาพประกอบการนำเสนองาน และสามารถอธิบายเนอื้ หาให้สอดคลอ้ งกับภาพให้ถกู ตอ้ ง
การประเมนิ ผล (ตอ้ งระบุเกณฑ์การประเมินให้ชัดเจน)
1. สงั เกตผ้เู รียนมคี วามสนใจ เกดิ ความเขา้ ใจในสาระการเรยี นรู้ ตลอดจนแสดงความกระตือรอื ร้น
ในการแสดงความคิดเหน็ และสรปุ สาระการเรียนรูป้ ระจำหน่วย
2. ทำใบงานไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง ทันเวลาทกี่ ำหนด ใบงานสะอาดและเป็นระเบยี บ
3. ผูเ้ รยี นทำแบบฝกึ หดั หลงั เรยี นได้ถกู ต้อง โดยไดค้ ะแนน 50% เป็นอย่างตำ่
เอกสารอ้างองิ
หนังสอื เรียนวิชา ระบบจดั การฐานข้อมลู ของ สำนักพิมพจ์ ติ รวัฒน์ (JW) กทม., 2563
51
ใบกิจกรรมท่ี 2 หนว่ ยที่ 2
รหัสวิชา 30204-2002 ชอื่ วชิ า ระบบจัดการฐานข้อมูล ภาคเรียนที่ 1
ชือ่ หน่วย สถาปัตยกรรมขอ้ มูลและแบบจำลองข้อมลู เวลารวม 4 ชั่วโมง
ช่ืองาน สถาปตั ยกรรมข้อมูลและแบบจำลองขอ้ มูล จำนวน 3 ชว่ั โมง
จดุ ประสงค์การเรียนรู้
จดุ ประสงค์ท่ัวไป
1. เพอ่ื มคี วามรู้ความเข้าใจสถาปัตยกรรมข้อมูลและแบบจำลองขอ้ มูล
2. เข้าใจหลักการสถาปัตยกรรมข้อมูลและแบบจำลองขอ้ มลู
จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม (ความรู้ ทกั ษะ คุณธรรม จรยิ ธรรม จรรยาบรรณวชิ าชีพ)
1. บอกความหมายของสถาปตั ยกรรมของระบบฐานขอ้ มูลและแบบจำลองฐานข้อมลู ได้
2. อธบิ ายวตั ถปุ ระสงคข์ องการแบ่งสถาปัตยกรรมฐานข้อมลู ได้
3. อธบิ ายแบบจำลองขอ้ มูลได้
4. อธบิ ายรูปแบบของแบบจำลองฐานข้อมลู ได้
5. ปฏิบัติการเลอื กใช้สถาปัตยกรรมขอ้ มลู และแบบจำลองฐานข้อมูลให้เหมาะสมกบั งานได้
สมรรถนะรายหนว่ ย
1. แสดงความรเู้ กยี่ วกับสถาปัตยกรรมขอ้ มูลและแบบจำลองขอ้ มลู
2. วางแผนการเลอื กใช้สถาปตั ยกรรมข้อมูลและแบบจำลองขอ้ มูล
เครื่องมือ วสั ดุ – อปุ กรณ์
1. เครอื่ งคอมพวิ เตอร์ PC หรือ Notebook
2. โปรเจค็ เตอร์
3. หนังสอื
ลำดบั กจิ กรรม
1. ผู้เรียนต้องให้ความสนใจในการศึกษา เพื่อหาเทคนิค วิธีการ หรือหลักการง่ายเพ่ือใหห้ าคำตอบ
ได้อย่างถูกต้อง และรวดเร็ว โดยการ ตั้งใจฟังหลักการ เทคนิควิธีการที่ครูผู้สอนสรุปในขณะที่ทำการ
สอน และนำข้อสงสัยซักถามครใู นการเรียนทกุ คร้ังทีเ่ กิดความสับสน และไมเ่ ข้าใจ
2. ผู้มีการทบทวนบทเรียน ตลอดเพ่ือเสริมสรา้ งความเขา้ ใจอย่างแท้จรงิ
3. ผู้เรยี นหม่นั ทำใบงาน แบบฝึกหดั และแกไ้ ขข้อที่ผดิ ใหถ้ ูกตอ้ งเสมอ
4. ผู้เรียนต้องสร้างมโนภาพให้เกิดความคิดรวบยอดในสาระการเรียนรู้และเทคนิควธิ ีการพร้อมกับ
ความจำเป็นในการนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดขึ้นโดยตนเองให้ได้เพ่ือเกิดความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จรงิ
ไม่ใช่เกดิ จากการทอ่ งจำ
5. ผู้เรียนต้องดำเนินการตามกิจกรรมหรืองานที่ได้รับมอบหมาย ให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลาที่
กำหนด และฝึกฝนตนเองเสมอ เม่อื ไดร้ บั มอบหมายงานมา
การประเมนิ ผล (ตอ้ งระบุเกณฑก์ ารประเมินให้ชัดเจน)
52
1. สงั เกตผู้เรียนมีความสนใจ เกิดความเขา้ ใจในสาระการเรียนรู้ ตลอดจนแสดงความกระตอื รอื รน้ ใน
การแสดงความคิดเหน็ และสรปุ สาระการเรียนร้ปู ระจำหนว่ ย
2. ทำใบงานได้อยา่ งถกู ต้อง ทันเวลาทีก่ ำหนด ใบงานสะอาดและเปน็ ระเบียบ
3. ผูเ้ รียนทำแบบฝกึ หัดหลังเรียนได้ถกู ตอ้ ง โดยไดค้ ะแนน 50% เปน็ อยา่ งตำ่
เอกสารอา้ งองิ
หนังสือเรียนวชิ า ระบบจัดการฐานขอ้ มูล ของ สำนกั พิมพ์จิตรวัฒน์ (JW) กทม., 2563
53
ใบปฏบิ ัติงานที่ 2 หนว่ ยท่ี 2
รหัสวิชา 30204-2002 ชื่อวิชา ระบบจดั การฐานข้อมูล ภาคเรียนท่ี 1
ช่ือหนว่ ย สถาปัตยกรรมข้อมลู และแบบจำลองข้อมูล เวลารวม 4 ชั่วโมง
ช่อื งาน สถาปตั ยกรรมข้อมลู และแบบจำลองขอ้ มูล จำนวน 4 ชัว่ โมง
จุดประสงค์การเรียนรู้
จดุ ประสงคท์ ่ัวไป
1. เพือ่ มีความรู้ความเข้าใจสถาปัตยกรรมขอ้ มูลและแบบจำลองขอ้ มูล
2. เขา้ ใจหลักการสถาปัตยกรรมขอ้ มูลและแบบจำลองขอ้ มูล
จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม (ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จรยิ ธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ)
1. บอกความหมายของสถาปัตยกรรมของระบบฐานข้อมลู และแบบจำลองฐานขอ้ มลู ได้
2. อธบิ ายวตั ถุประสงคข์ องการแบ่งสถาปัตยกรรมฐานข้อมลู ได้
3. อธบิ ายแบบจำลองขอ้ มลู ได้
4. อธิบายรปู แบบของแบบจำลองฐานข้อมูลได้
5. ปฏบิ ัตกิ ารเลอื กใช้สถาปัตยกรรมข้อมลู และแบบจำลองฐานข้อมูลให้เหมาะสมกบั งานได้
สมรรถนะรายหน่วย
1. แสดงความรู้เก่ยี วกับสถาปัตยกรรมขอ้ มลู และแบบจำลองข้อมลู
2. วางแผนการเลอื กใช้สถาปัตยกรรมข้อมลู และแบบจำลองข้อมูล
เครอ่ื งมือ วัสดุ – อปุ กรณ์
1. เคร่อื งคอมพวิ เตอร์ PC หรอื Notebook
2. โปรเจ็คเตอร์
3. หนงั สือ
ลำดับข้ันตอนการปฏิบัตงิ าน
1. ผ้เู รียนคน้ หาขอ้ มูลจากในอินเตอร์เน็ต ตามเรื่องทไี่ ด้รับมอบหมายมาจาครูผู้สอน
2. เม่อื ผเู้ รียนไดร้ บั ขอ้ มลู เรยี บร้อยแล้ว ให้ผเู้ รียน นำข้อมลู นัน้ มาเรียบเรียงให้เปน็ ระเบียบ สวยงาม ให้
สามารถเข้าใจไดง้ า่ ย โดยจดั ทำในรูปแบบเล่มรายงาน
ภาพประกอบ
ขอ้ ควรระวัง
ผเู้ รียนควรตรวจสอบข้อมูลก่อนให้ถถี่ ้วน ละเอยี ด และรอบคอบกอ่ น เพ่ือป้องกนั ความผิดพลาดก่อน
การสง่ งาน
ขอ้ เสนอแนะ
นักศกึ ษาควรมภี าพประกอบการนำเสนองาน และสามารถอธบิ ายเนอ้ื หาใหส้ อดคลอ้ งกับภาพให้
ถูกต้อง
54
การประเมินผล
1. สงั เกตผเู้ รยี นมีความสนใจ เกดิ ความเข้าใจในสาระการเรยี นรู้ ตลอดจนแสดงความกระตอื รอื รน้ ใน
การแสดงความคิดเหน็ และสรปุ สาระการเรียนรปู้ ระจำหน่วย
2. ทำใบงานได้อย่างถูกตอ้ ง ทันเวลาทก่ี ำหนด ใบงานสะอาดและเปน็ ระเบียบ
3. ผเู้ รยี นทำแบบฝกึ หัดหลงั เรยี นได้ถูกต้อง โดยไดค้ ะแนน 50% เป็นอย่างต่ำ
เอกสารอ้างอิง
หนังสือเรยี นวชิ า ระบบจัดการฐานข้อมูล ของ สำนักพมิ พจ์ ติ รวัฒน์ (JW) กทม., 2563
55
ใบมอมหมายงานที่ 2 หนว่ ยท่ี 2
รหัสวชิ า 30204-2002 ชอ่ื วชิ า ระบบจดั การฐานขอ้ มลู ภาคเรียนที่ 1
ชอื่ หนว่ ย สถาปตั ยกรรมขอ้ มลู และแบบจำลองขอ้ มลู เวลารวม 4 ชั่วโมง
ชื่องาน สถาปตั ยกรรมขอ้ มลู และแบบจำลองข้อมูล จำนวน 4 ชว่ั โมง
จุดประสงค์การเรียนรู้
จดุ ประสงคท์ ั่วไป
1. เพื่อมคี วามรู้ความเขา้ ใจสถาปัตยกรรมข้อมลู และแบบจำลองข้อมลู
2. เข้าใจหลักการสถาปัตยกรรมข้อมูลและแบบจำลองขอ้ มลู
จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม (ความรู้ ทกั ษะ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม จรรยาบรรณวชิ าชีพ)
1. บอกความหมายของสถาปตั ยกรรมของระบบฐานข้อมูลและแบบจำลองฐานขอ้ มลู ได้
2. อธิบายวตั ถุประสงคข์ องการแบ่งสถาปตั ยกรรมฐานขอ้ มลู ได้
3. อธบิ ายแบบจำลองขอ้ มลู ได้
4. อธิบายรปู แบบของแบบจำลองฐานข้อมลู ได้
5. ปฏิบตั ิการเลือกใช้สถาปัตยกรรมข้อมูลและแบบจำลองฐานข้อมลู ให้เหมาะสมกับงานได้
สมรรถนะรายหน่วย
1. แสดงความรู้เก่ยี วกับสถาปตั ยกรรมข้อมูลและแบบจำลองข้อมูล
2. วางแผนการเลือกใช้สถาปัตยกรรมขอ้ มลู และแบบจำลองขอ้ มูล
เคร่ืองมือ วสั ดุ – อปุ กรณ์
1. เครอื่ งคอมพิวเตอร์ PC หรือ Notebook
2. โปรเจ็คเตอร์
3. หนงั สอื
แนวทางการปฏบิ ตั ิงาน
1. ให้ผเู้ รียนปฏบิ ัตงิ านตามใบงาน ใบกิจกรรม ใบปฏบิ ตั งิ าน อย่างเคร่งครดั ตามหวั ข้อที่ได้รบั
มอบหมาย ให้เสรจ็ ส้ินตามระยะเวลาที่กำหนด พร้อมท้ังการจัดทำรายงาน และนำเสนองานอยา่ ง
ถูกตอ้ ง ครบถว้ น เปน็ ระเบียบเรียบร้อย
2. ใหผ้ เู้ รียนแบง่ หน้าที่กับเพ่ือนในกล่มุ ให้ชดั เจน และสามารถเขา้ ใจเนือ้ หาตามหวั ขอ้ ดังกลา่ ว ได้
อย่างถูกต้อง ครบถ้วน
ภาพประกอบ
ขอ้ ควรระวัง
ผู้เรียนควรตรวจสอบขอ้ มูลก่อนให้ถ่ีถว้ น ละเอยี ด และรอบคอบกอ่ น เพื่อปอ้ งกนั ความผดิ พลาดกอ่ น
การสง่ งาน
ขอ้ เสนอแนะ
56
นกั ศกึ ษาควรมีภาพประกอบการนำเสนองาน และสามารถอธิบายเนอ้ื หาใหส้ อดคลอ้ งกบั ภาพให้
ถกู ตอ้ ง
การประเมนิ ผล
1. สังเกตผเู้ รยี นมีความสนใจ เกิดความเขา้ ใจในสาระการเรียนรู้ ตลอดจนแสดงความกระตอื รือรน้ ใน
การแสดงความคิดเหน็ และสรุปสาระการเรียนรูป้ ระจำหนว่ ย
2. ทำใบงานได้อย่างถกู ต้อง ทนั เวลาทก่ี ำหนด ใบงานสะอาดและเป็นระเบียบ
3. ผู้เรียนทำแบบฝกึ หดั หลงั เรยี นไดถ้ กู ต้อง โดยได้คะแนน 50% เปน็ อยา่ งตำ่
เอกสารอ้างอิง
หนังสอื เรยี นวิชา ระบบจดั การฐานข้อมลู ของ สำนักพิมพจ์ ติ รวฒั น์ (JW) กทม., 2563
57
แผนการจดั การเรียนรู้
หน่วยท.ี่ .............. 3..................................... จำนวน........4..........ชั่วโมง สัปดาห์ที่.....3......
ชอ่ื วชิ า ระบบจัดการฐานขอ้ มลู
ช่ือหน่วย แบบจำลองเอนทิตแ้ี ละความสัมพันธ์
ชื่อเรือ่ ง แบบจำลองเอนทติ ้ีและความสัมพนั ธ์
1. สาระสำคญั
แบบจำลองเอนทติ ีแ้ ละความสมั พันธ์ (Entity Relationship Model) หรือทเ่ี รียกวา่ อี-อาร์โมเดล
(E-R Model) เป็นแบบจำลองขอ้ มูลซ่งึ แสดงถึงโครงสร้างของฐานข้อมูลที่เป็นอิสระจากซอฟต์แวร์ที่จะใช้ในการ
พัฒนาฐานข้อมูล รวมทั้งรายละเอียดและความสัมพนั ธ์ระหว่างข้อมลู ในระบบในลักษณะที่เป็นภาพรวม ทำให้
เปน็ ประโยชนอ์ ย่างมากตอ่ การรวบรวมและวเิ คราะห์รายละเอยี ด ตลอดจนความสัมพนั ธ์ของข้อมลู ต่าง ๆ โดยอี-
อาร์โมเดลมีการใช้สัญลักษณ์ต่างๆ ที่เรียกว่า Entity Relationship Diagram หรือ อี-อาร์ไดอะแกรม แทน
รูปแบบของขอ้ มูลเชิงตรรกะขององค์กร จึงทำให้บุคลากรท่ีเก่ียวข้องกับระบบฐานขอ้ มูลสามารถเข้าใจลักษณะ
ของข้อมูลและความสมั พนั ธ์ระหวา่ งข้อมลู ไดง้ า่ ยและถกู ต้องตรงกัน ระบบท่ีไดร้ ับ การออกแบบจงึ มคี วามถกู ตอ้ ง
และสอดคลอ้ งกบั วัตถปุ ระสงคข์ ององค์กร
2. สมรรถนะประจำหนว่ ย
1. แสดงความร้เู กี่ยวกบั แบบจำลองเอนทิต้แี ละความสมั พนั ธ์
2. วางแผนการใช้แบบจำลองเอนทิตี้และความสัมพันธ์
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
3.1 จุดประสงคท์ ัว่ ไป
1. เพือ่ มีความรู้ความเขา้ ใจแบบจำลองเอนทติ ี้
2. เพือ่ มีความรู้ความเข้าใจความสัมพันธ์
3.2 จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม (ความรู้ ทักษะ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม จรรยาบรรณวชิ าชพี )
1. บอกความหมายของแบบจำลองเอนทิตี้และความสัมพันธไ์ ด้
2. อธิบายระดบั ความสัมพันธ์และประเภทของความสมั พันธไ์ ด้
3. อธบิ ายการออกแบบสรา้ งแผนภาพความสัมพันธร์ ะหว่างข้อมลู ได้
4. อธบิ ายขั้นตอนการพฒั นาแบบจำลองข้อมลู และการสรา้ งแผนภาพความสัมพันธร์ ะหว่างข้อมูลได้
5. อธิบายการออกแบบแฟม้ ขอ้ มลู และฐานขอ้ มูลได้
6. อธบิ ายข้ันตอนการออกแบบฐานขอ้ มูลได้
7. ปฏบิ ตั ิการเลอื กใช้สถาปัตยกรรมข้อมูลและแบบจำลองฐานขอ้ มลู ให้เหมาะสมกบั งานได้
58
4. สาระการเรยี นรู้
1. องค์ประกอบของ E-R Model
2. สญั ลกั ษณท์ ี่ใช้ในการเขียนแผนภาพ
3. ระดับของความสัมพนั ธ์ (Relationship)
4. ประเภทของความสัมพนั ธ์
5. การออกแบบสร้างแผนภาพความสมั พันธร์ ะหวา่ งข้อมลู
6. ขน้ั ตอนการพัฒนาแบบจำลองข้อมลู
7. ขน้ั ตอนการสร้างแผนภาพความสมั พันธ์ระหว่างขอ้ มลู
8. การพฒั นาแผนภาพ E-R Model
9. การออกแบบแฟม้ ขอ้ มูลและฐานขอ้ มูล
10. ขั้นตอนการออกแบบฐานข้อมลู
5. กิจกรรมการเรยี นรู้ (สัปดาห์ท.่ี .....3.........)
กระบวนการจัดการเรียนรู้
5.1 ขน้ั นำเข้าส่บู ทเรยี น
1.ผ้สู อนแนะนำเนือ้ หาการเรียนรู้และแนวทางการเรยี นร้ใู นหน่วยการเรยี น
2.ผู้สอนซักถามผเู้ รียนเกยี่ วกบั แบบจำลองเอนทติ ีแ้ ละความสมั พันธ์
3.เปดิ โอกาสให้ผู้เรียนแสดงความคดิ เหน็ และทำการสนทนาแลกเปลีย่ นความรรู้ ะหว่างผสู้ อนกบั ผู้เรียน
5.2 ข้นั สอน
1. ผู้สอนกำหนดใหผ้ ู้เรยี นได้ศกึ ษารายละเอียดเรอื่ งแบบจำลองเอนทิตแ้ี ละความสัมพันธ์
2. ผูส้ อนให้ผูเ้ รียนแสดงความคดิ เห็นและมสี ว่ นรว่ มในการวิเคราะหเ์ นื้อหาที่เรียนรโู้ ดยเน้นให้ผูเ้ รยี นได้มี
การแลกเปลย่ี นความคิดเห็นและมีส่วนร่วม
5.3 ขัน้ สรุป
1.ผู้สอนและผู้เรยี นสรปุ เน้ือหาการเรยี นรู้อกี ครัง้ ดว้ ยการตงั้ คำถาม และใหเ้ หตุผลในการตอบคำถามใน
แตล่ ะเนื้อหาเพอื่ ทบทวนอีกครั้ง
2.ผสู้ อนมอบหมายภาระงาน และแบบฝกึ หดั
3.ปฏิบตั ิตามใบงาน ดงั นี้
3.1 ใหผ้ ู้เรยี นท่ีไดจ้ ากการสมุ่ รายชอื่ จากผู้สอน เขยี นสัญลกั ษณ์ท่ีใช้แสดงแผนภาพ E-R Diagram
บนกระดาน คนละ 1 สัญลกั ษณ์ พร้อมทั้งบอกความหมายของสญั ลกั ษณ์นนั้ ๆ
3.2 ใหผ้ ู้เรียนแบ่งออกเป็นกลมุ่ กลมุ่ ละ 2-3 คน วาดแผนผงั ระดับความสัมพันธ์ กลมุ่ ละ 1 ระดับ
พร้อมทั้งอธิบายความหมาย
59
3.3 ให้ผเู้ รียนแบ่งออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 2-3 คน วาดแผนผงั ตัวอย่างประเภทของความสมั พันธ์
กล่มุ ละ 1 ประเภท พรอ้ มทงั้ อธิบาย
3.4 ให้ผเู้ รยี นแบ่งออกเปน็ กลมุ่ กลมุ่ ละ 2-3 คน วเิ คราะห์หาเอนทติ ี้และแอททริบิวต์ของขอ้ มลู
ดังต่อไปน้ี กล่มุ ละ 1 ข้อ
3.4.1 สถานศึกษา
3.4.2 หอ้ งสมุด
3.4.3 รา้ นค้า
3.4.4 สำนกั งาน
3.4.5 โรงแรม
3.5 ให้ผเู้ รียนแบ่งออกเปน็ กลุ่ม กลุ่มละ 2-3 คน นำการวิเคราะหข์ องกล่มุ ทป่ี ฏบิ ตั ิในขอ้ 4 นำมา
สรา้ งตารางและ E-R Diagram กลมุ่ ละ 1 เอนทิต้ี
6. สอ่ื และแหลง่ การเรยี นรู้
6.1 หนังสือเรยี นวิชา ระบบจัดการฐานขอ้ มลู ของ สำนกั พิมพจ์ ติ รวัฒน์ (JW)
6.2 ใบความรู้
6.3 แบบฝกึ หัด
6.4 แบบฝึกปฏบิ ัติ
6.5 แบบทดสอบหลงั เรียน
6.7 คอมพวิ เตอร์
6.8 เครือ่ งฉายโปรเจ็คเตอร์
7. หลกั ฐานการเรยี นรู้
7.1 หลกั ฐานความรู้
ใบงาน แบบฝกึ หดั การคน้ คว้าข้อมูล ทไ่ี ดร้ ับการเรยี บเรยี ง สวยงาม เปน็ ระเบยี บ ถกู ตอ้ ง
7.2 หลักฐานการปฏบิ ัติงาน
ใบงาน แบบฝึกหัด รูปเล่มรายงานการค้นคว้าข้อมูล ที่ได้รับการเรียบเรียง สวยงาม เป็นระเบียบ
ถกู ตอ้ ง พรอ้ มทั้งเอกสารประกอบการนำเสนองานหน้าชน้ั เรียนของผ้เู รยี น และภาพประกอบ
8. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้
8.1 เครื่องมอื ประเมนิ
1. ใบงาน
2. แบบฝึกหัด
3. แบบประเมินผลงาน
4. แบบประเมินการนำเสนอผลงาน
60
8.2 เกณฑก์ ารประเมิน วิธวี ดั และประเมนิ เกณฑก์ ารประเมิน
เคร่ืองมอื การประเมิน ได้คะแนน
ตรวจแบบฝกึ หัด รอ้ ยละ 75 ข้ึนไป
แบบฝกึ หดั ข้อละ 1 คะแนน
ถกู 1 คะแนน ไดค้ ะแนน
แบบฝกึ ปฏบิ ัติ ไม่ถูก 0 คะแนน ร้อยละ 75 ข้นึ ไป
ตรวจแบบฝกึ ปฏิบตั ิ
แบบทดสอบหลังเรียน ขอ้ ละ 1 คะแนน ไดค้ ะแนน
ถกู 1 คะแนน ร้อยละ 75 ขน้ึ ไป
แบบสงั เกตพฤตกิ รรมดา้ นคุณธรรม ไม่ถกู 0 คะแนน
จรยิ ธรรม คา่ นิยม และคณุ ลักษณะอนั พึง ตรวจแบบทดสอบหลังเรยี น ไดค้ ะแนน
ประสงค์ ข้อละ 1 คะแนน รอ้ ยละ 80 ขน้ึ ไป
ถกู 1 คะแนน
ไมถ่ ูก 0 คะแนน
สังเกตพฤติกรรม
ดี 2 คะแนน
พอใช้ 1 คะแนน
ปรับปรงุ 0 คะแนน
9. กิจกรรมเสนอแนะ/งานท่มี อบหมาย (ถา้ ม)ี
1. ผู้เรียนต้องให้ความสนใจในการศึกษา เพื่อหาเทคนิค วิธีการ หรือหลักการง่ายเพือ่ ให้หาคำตอบได้
อย่างถูกตอ้ ง และรวดเร็ว โดยการ ตั้งใจฟังหลกั การ เทคนิควิธกี ารท่ีครูผู้สอนสรุปในขณะทีท่ ำการสอน และ
นำข้อสงสยั ซกั ถามครูในการเรยี นทุกครง้ั ท่ีเกดิ ความสบั สน และไม่เขา้ ใจ
2. ผู้มกี ารทบทวนบทเรยี น ตลอดเพอื่ เสริมสร้างความเข้าใจอยา่ งแท้จริง
3. ผู้เรียนหมนั่ ทำใบงาน แบบฝึกหัด และแกไ้ ขขอ้ ที่ผดิ ใหถ้ กู ต้องเสมอ
4. ผเู้ รยี นต้องสรา้ งมโนภาพใหเ้ กดิ ความคิดรวบยอดในสาระการเรียนรแู้ ละเทคนิควิธกี ารพร้อมกับความ
จำเป็นในการนำไปประยุกต์ใชใ้ ห้เกิดขึ้นโดยตนเองใหไ้ ด้เพือ่ เกิดความรูค้ วามเขา้ ใจอย่างแท้จริงไม่ใชเ่ กิดจาก
การท่องจำ
10. เอกสารอา้ งอิง
หนังสือเรยี นวชิ า ระบบจดั การฐานข้อมูล ของ สำนักพิมพ์จติ รวฒั น์ (JW) กทม., 2563
61
ใบความรทู้ ี่ 3 หน่วยที่ 3
รหสั วิชา 30204-2002 ช่ือวชิ า ระบบจัดการฐานข้อมลู ภาคเรยี นที่ 1
ชือ่ หน่วย แบบจำลองเอนทิต้ีและความสัมพันธ์ เวลารวม 4 ชั่วโมง
ชือ่ เรือ่ ง แบบจำลองเอนทติ ้ีและความสัมพันธ์ เวลา 4 ชั่วโมง
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
จุดประสงค์ท่ัวไป
1. เพ่ือมคี วามรู้ความเขา้ ใจแบบจำลองเอนทิตี้
2. เพอ่ื มคี วามรู้ความเข้าใจความสัมพนั ธ์
จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม (ความรู้ ทักษะ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม จรรยาบรรณวชิ าชพี )
1. บอกความหมายของแบบจำลองเอนทิตแ้ี ละความสัมพันธ์ได้
2. อธบิ ายระดับความสมั พันธ์และประเภทของความสมั พันธไ์ ด้
3. อธิบายการออกแบบสรา้ งแผนภาพความสัมพันธร์ ะหว่างขอ้ มลู ได้
4. อธิบายขั้นตอนการพัฒนาแบบจำลองข้อมูลและการสร้างแผนภาพความสัมพันธร์ ะหว่างขอ้ มูลได้
5. อธิบายการออกแบบแฟม้ ข้อมลู และฐานขอ้ มูลได้
6. อธิบายข้นั ตอนการออกแบบฐานขอ้ มูลได้
7. ปฏิบตั กิ ารเลอื กใช้สถาปัตยกรรมข้อมูลและแบบจำลองฐานขอ้ มลู ให้เหมาะสมกับงานได้
สมรรถนะรายหน่วย
1. แสดงความรเู้ กีย่ วกับแบบจำลองเอนทิตี้และความสัมพนั ธ์
2. วางแผนการใช้แบบจำลองเอนทติ ้ีและความสัมพันธ์
62
หนว่ ยที่ 3 แบบจำลองเอนทิต้แี ละความสมั พนั ธ์
องคป์ ระกอบของ E-R Model
E – R Model เป็นการออกแบบในระดบั แนวคิด(Conceptual Design) ในลกั ษณะจากบนลงล่าง(Top-
Down Strategy) โดยผลจากการออกแบบฐานข้อมลู จะได้เค้ารา่ งในระดับแนวคิดท่ีประกอบด้วย
- เอนติตีท้ ี่ควรจะมีในระบบ(Entity)
- ความสมั พันธร์ ะหวา่ งเอนติตวี้ ่าเป็นอย่างไร(Relationship)
- แอททรบิ วิ ตซ์ ึ่งเปน็ รายละเอยี ดท่ีอธิบายเอนติตี้ และมีความสัมพันธ์กนั อยา่ งไรบา้ ง(Attribute)
สัญลกั ษณท์ ใ่ี ชใ้ นงานเขยี นภาพ
ในการเขยี นแผนภาพ E-R Diagram จะมสี ญั ลกั ษณ์ท่ีใชใ้ นการสื่อความหมายของ เอนติต้ี(Entity),แอทท
ริบวิ ต์(Attribute)ประเภทต่าง ๆ และ ความสัมพันธ์(Relationship) รวมท้ังข้อกำหนดต่าง ๆ ทไ่ี ด้กล่าวใน
หัวข้อท่ีผ่านมา โดยใช้สัญลกั ษณ์ของ Chen ซ่งึ ถอื วา่ เป็นสญั ลักษณท์ ีไ่ ดร้ ับความนิยมในการเขยี น E-R
Diagram มานาน สรปุ ได้ดงั นี้
ประเภทความสมั พันธ์
ประเภทของความสัมพันธม์ ี 3 แบบด้วยกัน คือ
1.ความสมั พันธแ์ บบหน่ึงต่อหน่ึง(One-to-One Relationship หรือ 1 : 1)
เปน็ การแสดงความสัมพันธ์ของจำนวนขอ้ มูลของเอนติต้ี A ว่า ข้อมูล 1 รายการ มีความสัมพนั ธ์กบั ขอ้ มลู เอน
ตติ ้ี B ไดไ้ ม่เกิน 1 รายการ ตวั อย่างเชน่ มเี อนติตี้ 2 เอนตติ ้ี คือ “อาจารย”์ และ “คณะวิชา” สัมพันธ์กนั
ดว้ ยความสัมพันธ์ชือ่ “บรหิ าร” แบบ 1 : 1 หมายถึง อาจารย์ 1 คน จะสามารถเปน็ คณบดไี ด้ 1 แผนก และ
ในขณะเดียวกนั คณะวิชาแตล่ ะคณะ กม็ ีอาจารย์ที่ทำหน้าท่เี ป็นคณบดไี ดเ้ พียง 1 คนเทา่ น้นั สามารถแสดง
ความสมั พนั ธ์
63
2.ความสมั พันธ์แบบหนง่ึ ต่อกลุ่ม(One-to-Many Relationship หรอื 1 : N)
เป็นการแสดงความสัมพนั ธข์ องจำนวนข้อมูลของเอนติต้ี A ว่า ขอ้ มูล 1 รายการ มีความสมั พนั ธ์กบั ขอ้ มลู เอน
ตติ ี้ B ไดม้ ากกวา่ 1 รายการ ตวั อย่างเชน่ มเี อนติตี้ 2 เอนติตี้ คอื “อาจารย์” และ “นักศกึ ษา” สัมพนั ธ์กนั
ดว้ ยความสัมพนั ธช์ ่อื “เป็นทป่ี รกึ ษา” แบบ 1 : N หมายถึง อาจารย์ 1 คน จะสามารถมนี ักศึกษาท่ีปรกึ ษาได้
มากกว่า 1 คน และในขณะเดียวกนั นกั ศึกษาแต่ละคนตอ้ งมอี าจารยท์ ีป่ รึกษาคนใดคน
หนง่ึ เท่านนั้ สามารถแสดงความสัมพันธ์
64
3. แบบกลุ่มตอ่ กลุ่ม(Many-to-Many Relationship หรือ M : N)
เปน็ การแสดงความสมั พันธ์ของจำนวนข้อมลู ของเอนตติ ้ี A วา่ ขอ้ มลู 1 รายการ มีความสัมพันธก์ บั
ข้อมลู เอนตติ ้ี B ไดม้ ากกวา่ 1 รายการ และในทางกลับกัน ข้อมูล 1 รายการของเอนตติ ้ี B ก็มีความสัมพันธ์
กับเอนตติ ้ี A ไดม้ ากกว่า 1 รายการเช่นกัน ตวั อย่างเชน่ มเี อนติตี้ 2 เอนตติ ้ี คือ “นักศกึ ษา” และ “วิชา
เรียน” สมั พนั ธ์กนั ดว้ ยความสัมพันธช์ อ่ื “ลงทะเบียน” แบบ M : N กล่าวคือ นักศกึ ษา 1 คน จะสามารถ
ลงทะเบียนเรียนในวิชาเรียนไดม้ ากกวา่ 1 วชิ า ในขณะเดยี วกนั วชิ าเรยี นแตล่ ะวิชาก็สามารถมีนักศึกษา
ลงทะเบียนเรียนได้มากกว่า 1 คน เช่นกนั สามารถแสดงความสมั พนั ธโ์ ดยใช้ Semantic Net
65
ข้นั ตอนการพฒั นาแบบจำลองขอ้ มลู
การออกแบบฐานข้อมลู โดยใช้ E-R Model มขี น้ั ตอนท่ีเกยี่ วขอ้ งหลายข้นั ตอน และต้องใช้ความ
รอบคอบในการออกแบบเพอื่ ใหไ้ ด้ E-R Diagram ทถี่ กู ตอ้ งเหมาะสมกบั ระบบงาน โดยมีข้นั ตอนในการ
พฒั นาดังนี้
1.กำหนดเอนตติ ี้ทีม่ ใี นระบบงาน โดยดูจากลกั ษณะหน้าท่ขี องระบบงาน ว่ามีรายละเอยี ดในการทำงาน
อยา่ งไร ในการกำหนดเอนตติ ี้จะต้องพิจารณาด้วยวา่ เปน็ เอนติต้ปี ระเภทใด เชน่ เป็นเอนตติ แ้ี บบปกติ
(Regular Entity) หรือวา่ เป็นเอนติตแ้ี บบอ่อน(Weak Entity)
2.กำหนดแอททริวบิวตต์ า่ ง ๆ ของแต่ละเอนตติ ี้ รวมทง้ั พจิ ารณาแอททรบิ ิวต์ท่ีจะทำหน้าท่ีเปน็ คีย์หลักของ
เอนติตด้ี ้วย
3.กำหนดความสัมพนั ธร์ ะหว่างเอนติต้วี ่ามีความสมั พนั ธ์แบบใดบา้ ง รวมทัง้ ขอ้ กำหนดของความสัมพนั ธ์
(Participation Constraint) ด้วย
4.นำรายละเอียดการออกแบบตั้งข้อ 1 - 3 มาวาดประกอบกนั เป็น E-R Diagram ทบทวนการออกแบบว่า
ถูกต้องหรอื ไม่
ข้นั ตอนการออกแบบฐานขอ้ มลู
1.การรวบรวมความตอ้ งการของผใู้ ช้
2.ออกแบบโครงสร้างฐานขอ้ มูล
66
3.ทำการแปลงโมเดลจากรปู แบบ ER Model เปน็ รูปแบบ Relational Model (โมเดลเชิงสัมพนั ธ)์
4.ออกแบบโครงสร้างในระดับลา่ ง(Physical Design
แบบฝกึ หดั /เฉลย
ตอนที่ 1 คำสัง่ จงตอบคำถามตอ่ ไปน้ใี หถ้ ูกต้อง
1. จงอธิบายความหมายของ E-R Model
แบบจำลองเอนทิตี้และความสัมพนั ธ์ (Entity Relationship Model) หรือที่เรยี กว่า อี-อาร์โมเดล
(E-R Model) เปน็ แบบจำลองข้อมูลซงึ่ แสดงถงึ โครงสร้างของฐานข้อมูลท่เี ป็นอิสระ จากซอฟต์แวร์ท่ีจะใช้ใน
การพัฒนาฐานข้อมูล รวมทั้งรายละเอยี ดและความสัมพนั ธ์ระหว่างขอ้ มูลในระบบในลักษณะที่เป็นภาพรวม
ทำใหเ้ ป็นประโยชน์อย่างมากตอ่ การรวบรวมและวิเคราะหร์ ายละเอียด ตลอดจนความสมั พนั ธ์ของข้อมูลต่าง
ๆ โดยอี-อารโ์ มเดลมีการใช้สัญลกั ษณ์ตา่ งๆท่เี รียกว่า Entity Relationship Diagram หรือ อี-อาร์ไดอะแกรม
แทนรูปแบบของข้อมูลเชิงตรรกะขององค์กร จึงทำให้บุคลากรที่เกีย่ วข้องกบั ระบบฐานขอ้ มูลสามารถเข้าใจ
ลกั ษณะของขอ้ มูลและความสัมพันธร์ ะหว่างข้อมูลไดง้ ่ายและถูกตอ้ งตรงกนั ระบบท่ไี ด้รับ การออกแบบจึงมี
ความถกู ตอ้ งและสอดคลอ้ งกับวัตถปุ ระสงค์ขององคก์ ร
2. จงอธบิ ายส่วนประกอบของ E-R Model
E – R Model เป็นการออกแบบในระดับแนวคดิ (Conceptual Design) ในลกั ษณะจากบนลงล่าง
(Top-Down Strategy) โดยผลจากการออกแบบฐานขอ้ มูล จะได้เคา้ รา่ งในระดบั แนวคดิ ท่ีประกอบดว้ ย
• เอนติตี้ที่ควรจะมใี นระบบ(Entity)
• ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งเอนติตว้ี ่าเปน็ อย่างไร(Relationship)
• แอททริบวิ ต์ซง่ึ เป็นรายละเอยี ดที่อธบิ ายเอนตติ ้ี และมคี วามสมั พนั ธก์ นั อยา่ งไรบ้าง
(Attribute)
3. จงยกตวั อย่างสญั ลักษณ์ทีใ่ ช้แสดงแผนภาพ E-R Model มา 5 แบบ
สัญลักษณท์ ่ีใช้แสดงแผนภาพ E-R Diagram
สัญลกั ษณ์ ความหมาย
Entity
Attribute
Key Attribute
67
Relationship Set
Connection
4. จงบอกระดับของความสัมพนั ธ์ท้ัง 3 ระดับ
5. จงยกตวั อยา่ งระดบั ความสัมพันธ์แบบ Binary Relationship
6. จงบอกประเภทของความสมั พนั ธ์
ประเภทของความสมั พนั ธ์มี 3 แบบด้วยกัน คือ
1.ความสมั พนั ธ์แบบหนงึ่ ต่อหนึ่ง (one to one relationship)
ความสมั พันธท์ ่ีแต่ละสมาชกิ ในเอนทติ ห้ี นึ่งมีความสัมพันธก์ ับสมาชกิ ในอกี เอนทติ หี้ นง่ึ เพียงสมาชิกเดียว
ใช้สญั ลักษณ์ 1:1 กำกบั เหนอื เสน้ ทีเ่ ช่ือมตอ่ ระหวา่ งความสมั พนั ธแ์ ละเอนทติ ที้ เี่ กย่ี วขอ้ งกับความสมั พนั ธ์น้ัน
7. จงยกตวั อยา่ งความสัมพันธ์แบบหนง่ึ ตอ่ หนึง่
ตัวอยา่ ง ความสมั พนั ธ์คณบดีเปน็ ความสมั พันธ์แบบหนึ่งตอ่ หนึง่ ระหว่างเอนทิตี้อาจารย์
และเอนทติ ี้สาขาวิชา
เน่อื งจากแตล่ ะสาขาวชิ ามหี วั หนา้ สาขาเพียงหนงึ่ คนเทา่ นนั้ และมีอาจารยเ์ พยี งหนงึ่ คนเทา่ นั้นทเ่ี ป็นหัวหน้า
สาขา
68
8. จงยกตวั อย่างความสมั พนั ธแ์ บบกลมุ่ ต่อกลุ่ม
ตัวอยา่ ง เอนทิตค้ี ณะและเอนทิต้ีนกั ศึกษามีความสมั พนั ธ์กนั แบบหน่งึ ตอ่ กลุ่มกลา่ วคือนกั ศึกษาแต่
ละคนมีสังกดั เพยี งคณะเดยี วแต่หนึง่ คณะอาจมีนักศกึ ษาในสังกดั ได้หลายคน
9. จงนำตารางขา้ งล่างน้ี ไปสร้าง E-R Diagram
ตารางนักศึกษา ช่ือ-สกลุ ระดบั ช้ัน
รหสั นักศึกษา วาสนา จิตดี ปวส.
58-0108 มานะ เอ่ียมพงษ์ ปวส.
58-0251 จติ รา ภาวะพนั ธ์ ปวส.
58-1250
10. จงอธบิ ายขัน้ ตอนการพัฒนาแบบจำลองข้อมูล
ขนั้ ตอนการพัฒนาแบบจำลองข้อมูล
การออกแบบฐานข้อมูลโดยใช้ E-R Model มีขั้นตอนที่เกี่ยวข้องหลายขั้นตอน และ
ต้องใช้ความรอบคอบในการออกแบบเพื่อให้ได้ E-R Diagram ที่ถูกต้องเหมาะสมกับระบบงาน
โดยมีขนั้ ตอนในการพัฒนาดงั น้ี
1. กำหนดเอนทิตี้ที่มีในระบบงาน โดยดูจากลักษณะหน้าที่ของระบบงาน ว่ามีรายละเอียด
ในการทำงานอย่างไร ในการกำหนดเอนทิตี้จะต้องพิจารณาด้วยว่าเปน็ เอนติตี้ประเภทใด เช่น
เปน็ เอนทติ แ้ี บบปกติ (Regular Entity) หรอื ว่าเปน็ เอนทติ ้ีแบบอ่อน(Weak Entity)
2. กำหนดแอททรวิ บวิ ตต์ า่ ง ๆ ของแตล่ ะเอนทติ ี้ รวมทง้ั พิจารณาแอททรบิ วิ ตท์ ่จี ะทำหนา้ ท่ีเป็นคีย์
หลกั ของเอนทิตี้ด้วย
3. กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตี้ว่ามีความสัมพันธ์แบบใดบ้าง รวมทั้งข้อกำหนด
ของความสัมพนั ธ์ (Participation Constraint) ดว้ ย
69
4. นำรายละเอียดการออกแบบตั้งข้อ 1 - 3 มาวาดประกอบกันเป็น E-R Diagram ทบทวน
การออกแบบว่าถูกต้องหรือไม่
หน่วยที่ 2 จงบอกความหมายของคำศพั ท์ต่อไปนี้
คำศัพท์ ความหมาย คำศพั ท์ ความหมาย
One to One หน่งึ ต่อหนง่ึ Linear แบบเส้นตรง
One to Many หน่ึงตอ่ กลุ่ม Iteration การทวนซำ้
Many to Many กลุ่มตอ่ กลุ่ม Storage วิธีการจัดเกบ็
Regular Entity เอนทิตแี้ บบปกติ Access Method การเข้าถงึ ขอ้ มลู
Weak Entity เอนทิต้แี บบออ่ น User ผใู้ ช้
ตอนท่ี 3 จงเลอื กคําตอบทถี่ ูกต้องท่สี ดุ เพยี งข้อเดยี ว
คำสง่ั จงทำเคร่ืองหมายกากบาท () หนา้ ข้อท่ถี กู ต้องมากทส่ี ุดเพียงข้อเดียว
1. E-R Model หมายถงึ ขอ้ ใด
ก. แบบจำลอง
ข. แบบจำลองเอนทติ ี้
ค. แบบจำลองความสัมพันธ์
ง. แบบจำลองเอนทติ ีแ้ ละความสมั พันธ์
จ. การออกแบบแบบจำลองข้อมูล
2. E-R Model เปน็ การออกแบบในระดบั ใด
ก. ภายใน
ข. ภายนอก
ค. แนวคิด
ง. ตรรกะ
จ. ปานกลาง
3. เป็นสญั ลกั ษณท์ ่ีใชแ้ สดงแผนภาพ E-R Diagram มคี วามหมายอย่างไร
ก. Entity
ข. Attribute
ค. Key Attribute
ง. Relationship Set
จ. Connection
4. ข้อใดเป็นระดับความสัมพนั ธ์ท่ีมเี อนทิตม้ี าสมั พันธ์ 2 เอนทิตี้
ก. Unary Relationship
ข. Binary Relationship
ค. Ternary Relationship
70
ง. Connection Relationship
จ. Attribute Relationship
5. ระดบั ความสมั พันธข์ อ้ ใดที่มีเอนทติ ม้ี าสมั พนั ธ์ 3 เอนทติ ี้
ก. Unary Relationship
ข. Binary Relationship
ค. Ternary Relationship
ง. Connection Relationship
จ. Attribute Relationship
6. ประเภทของความสัมพันธ์มีทงั้ หมดกรี่ ะดบั
ก. 1 ระดับ
ข. 2 ระดับ
ค. 3 ระดบั
ง. 4 ระดับ
จ. 5 ระดบั
7. ความสมั พนั ธแ์ บบหน่งึ ต่อกลุ่มจะใช้สัญลักษณ์ใดกำกับ
ก. 1 : 1
ข. 1 : ......
ค. 1 : N
ง. 1 : M
จ. N : 1
8. ขอ้ ใดจัดเปน็ เอนทติ ี้
ก. รหัสนกั ศึกษา
ข. เลขทบี่ ตั รประชาชน
ค. ชือ่ วทิ ยาลัย
ง. รหสั อาจารย์
จ. ตารางการสอน
9. ข้อใดจัดเปน็ แอททรบิ ิวต์
ก. นกั ศกึ ษา
ข. ประวตั ินกั ศึกษา
ค. วชิ า
ง. คะแนนเฉลย่ี
จ. อาจารย์ที่ปรึกษา
71
10. ระดบั ขอ้ มูลใดท่ีเป็นการออกแบบฐานข้อมลู และสถาปัตยกรรมฐานขอ้ มลู
ก. ระดับภายนอก
ข. ระดับภายใน
ค. ระดบั แนวคิด
ง. ระดบั ตรรกะ
จ. ระดับกายภาพ
เอกสารอา้ งอิง
หนังสือเรียนวิชา ระบบจัดการฐานขอ้ มูล ของ สำนกั พิมพจ์ ติ รวัฒน์ (JW) กทม., 2563
ภาคผนวก (ถ้ามี)
72
ใบงานท่ี 3 หนว่ ยที่ 3
รหสั วิชา 30204-2002 ชอื่ วชิ า ระบบจดั การฐานขอ้ มลู ภาคเรยี นที่ 1
ช่ือหน่วย แบบจำลองเอนทิต้ีและความสมั พันธ์ เวลารวม 4 ชั่วโมง
ชื่องาน แบบจำลองเอนทติ ้แี ละความสัมพันธ์ จำนวน 4 ช่ัวโมง
จุดประสงค์การเรยี นรู้
จุดประสงค์ท่ัวไป
1. เพื่อมคี วามรู้ความเขา้ ใจแบบจำลองเอนทิตี้
2. เพอื่ มีความร้คู วามเข้าใจความสมั พันธ์
จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม (ความรู้ ทักษะ คณุ ธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชพี )
1. บอกความหมายของแบบจำลองเอนทติ ้แี ละความสมั พนั ธ์ได้
2. อธิบายระดับความสัมพนั ธ์และประเภทของความสมั พันธไ์ ด้
3. อธิบายการออกแบบสร้างแผนภาพความสมั พนั ธ์ระหวา่ งข้อมลู ได้
4. อธิบายขัน้ ตอนการพัฒนาแบบจำลองข้อมลู และการสรา้ งแผนภาพความสัมพันธร์ ะหวา่ งข้อมูล
ได้
5. อธบิ ายการออกแบบแฟม้ ขอ้ มูลและฐานข้อมูลได้
6. อธบิ ายข้นั ตอนการออกแบบฐานข้อมูลได้
7. ปฏิบตั กิ ารเลอื กใช้สถาปัตยกรรมข้อมลู และแบบจำลองฐานข้อมูลให้เหมาะสมกบั งานได้
สมรรถนะรายหน่วย
1. แสดงความรเู้ กีย่ วกบั แบบจำลองเอนทิตีแ้ ละความสัมพนั ธ์
2. วางแผนการใช้แบบจำลองเอนทิตี้และความสัมพนั ธ์
เครอื่ งมอื วสั ดุ – อุปกรณ์
1. เครอ่ื งคอมพิวเตอร์ PC หรอื Notebook
2. โปรเจค็ เตอร์
3. หนงั สือ
ลำดับข้นั ตอนการปฏิบัติงาน
1. ให้นกั ศึกษาแบ่งกลุม่ ตามความเหมาะสม เพอ่ื ศึกษาและอภปิ ราย
1.1 อธิบายความรเู้ ก่ยี วกบั ความเข้าใจกบั แบบจำลองเอนทติ ีแ้ ละความสมั พนั ธ์
1.2 เขียนรปู พร้อมอธบิ ายความเข้าใจกับแบบจำลองเอนทิตแี้ ละความสมั พันธ์
2. เขียนอภปิ รายและวเิ คราะหใ์ ส่กระดาษ
3. นำผลงานสง่ ครผู ู้สอนเพอ่ื ประเมนิ ผล
ภาพประกอบ
73
ข้อควรระวัง
ผู้เรียนควรตรวจสอบข้อมูลก่อนให้ถ่ถี ว้ น ละเอยี ด และรอบคอบกอ่ น เพอื่ ป้องกันความผดิ พลาดกอ่ น
การส่งงาน
ข้อเสนอแนะ (ถา้ มี)
นักศึกษาควรมภี าพประกอบการนำเสนองาน และสามารถอธิบายเนือ้ หาใหส้ อดคล้องกบั ภาพให้ถูกต้อง
การประเมินผล (ต้องระบุเกณฑ์การประเมินให้ชัดเจน)
1. สังเกตผ้เู รียนมีความสนใจ เกิดความเขา้ ใจในสาระการเรียนรู้ ตลอดจนแสดงความกระตือรอื รน้
ในการแสดงความคิดเห็นและสรปุ สาระการเรียนรปู้ ระจำหนว่ ย
2. ทำใบงานไดอ้ ยา่ งถูกต้อง ทันเวลาทก่ี ำหนด ใบงานสะอาดและเปน็ ระเบียบ
3. ผ้เู รียนทำแบบฝึกหดั หลงั เรยี นได้ถกู ตอ้ ง โดยได้คะแนน 50% เปน็ อยา่ งตำ่
เอกสารอ้างอิง
หนังสือเรยี นวิชา ระบบจัดการฐานขอ้ มูล ของ สำนักพมิ พจ์ ิตรวฒั น์ (JW) กทม., 2563
74
ใบกจิ กรรมท่ี 3 หน่วยที่ 3
รหสั วชิ า 30204-2002 ชอื่ วิชา ระบบจดั การฐานข้อมูล ภาคเรยี นที่ 1
ชอ่ื หน่วย แบบจำลองเอนทติ ้ีและความสมั พนั ธ์ เวลารวม 4 ชั่วโมง
ชือ่ งาน แบบจำลองเอนทิต้ีและความสมั พันธ์ จำนวน 4 ชวั่ โมง
จุดประสงค์การเรยี นรู้
จดุ ประสงคท์ ่ัวไป
1. เพือ่ มีความรู้ความเข้าใจแบบจำลองเอนทติ ี้
2. เพื่อมคี วามรคู้ วามเข้าใจความสมั พันธ์
จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม (ความรู้ ทกั ษะ คุณธรรม จรยิ ธรรม จรรยาบรรณวชิ าชีพ)
1. บอกความหมายของแบบจำลองเอนทติ แ้ี ละความสัมพนั ธ์ได้
2. อธบิ ายระดบั ความสมั พนั ธแ์ ละประเภทของความสมั พนั ธไ์ ด้
3. อธบิ ายการออกแบบสรา้ งแผนภาพความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งขอ้ มลู ได้
4. อธบิ ายขน้ั ตอนการพัฒนาแบบจำลองข้อมูลและการสร้างแผนภาพความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งข้อมลู
ได้
5. อธิบายการออกแบบแฟม้ ข้อมูลและฐานขอ้ มูลได้
6. อธบิ ายข้ันตอนการออกแบบฐานข้อมูลได้
7. ปฏบิ ตั ิการเลือกใช้สถาปัตยกรรมขอ้ มูลและแบบจำลองฐานขอ้ มูลให้เหมาะสมกบั งานได้
สมรรถนะรายหน่วย
1. แสดงความรู้เก่ยี วกบั แบบจำลองเอนทติ ีแ้ ละความสัมพันธ์
2. วางแผนการใช้แบบจำลองเอนทติ ้ีและความสัมพันธ์
เครื่องมอื วัสดุ – อุปกรณ์
1. เครือ่ งคอมพวิ เตอร์ PC หรือ Notebook
2. โปรเจค็ เตอร์
3. หนงั สือ
ลำดบั กิจกรรม
1. ผู้เรียนตอ้ งให้ความสนใจในการศึกษา เพื่อหาเทคนิค วิธีการ หรือหลักการง่ายเพื่อใหห้ าคำตอบ
ได้อย่างถูกต้อง และรวดเร็ว โดยการ ตั้งใจฟังหลักการ เทคนิควิธีการที่ครูผู้สอนสรุปในขณะที่ทำการ
สอน และนำข้อสงสัยซกั ถามครูในการเรยี นทุกครง้ั ท่เี กดิ ความสบั สน และไมเ่ ขา้ ใจ
2. ผมู้ กี ารทบทวนบทเรยี น ตลอดเพ่ือเสรมิ สร้างความเขา้ ใจอย่างแท้จรงิ
3. ผู้เรียนหมนั่ ทำใบงาน แบบฝกึ หัด และแกไ้ ขข้อทผ่ี ิดให้ถกู ตอ้ งเสมอ
75
4. ผู้เรียนต้องสร้างมโนภาพให้เกิดความคิดรวบยอดในสาระการเรียนรู้และเทคนิควธิ ีการพร้อมกบั
ความจำเป็นในการนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดขึ้นโดยตนเองให้ได้เพ่ือเกิดความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริง
ไม่ใชเ่ กดิ จากการทอ่ งจำ
5. ผู้เรียนต้องดำเนินการตามกิจกรรมหรืองานที่ได้รับมอบหมาย ให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลาท่ี
กำหนด และฝึกฝนตนเองเสมอ เม่ือได้รบั มอบหมายงานมา
การประเมินผล (ตอ้ งระบเุ กณฑก์ ารประเมินให้ชัดเจน)
1. สงั เกตผู้เรียนมคี วามสนใจ เกดิ ความเขา้ ใจในสาระการเรยี นรู้ ตลอดจนแสดงความกระตือรือรน้ ใน
การแสดงความคิดเห็นและสรปุ สาระการเรียนรปู้ ระจำหนว่ ย
2. ทำใบงานไดอ้ ยา่ งถูกต้อง ทันเวลาท่กี ำหนด ใบงานสะอาดและเปน็ ระเบียบ
3. ผ้เู รียนทำแบบฝกึ หัดหลงั เรยี นได้ถกู ตอ้ ง โดยได้คะแนน 50% เป็นอย่างตำ่
เอกสารอ้างอิง
หนงั สือเรียนวิชา ระบบจัดการฐานข้อมูล ของ สำนักพมิ พ์จติ รวัฒน์ (JW) กทม., 2563
76
ใบปฏบิ ตั ิงานท่ี 3 หน่วยท่ี 3
รหสั วชิ า 30204-2002 ชอ่ื วชิ า ระบบจัดการฐานข้อมูล ภาคเรยี นท่ี 1
ช่อื หนว่ ย แบบจำลองเอนทิต้ีและความสัมพนั ธ์ เวลารวม 4 ช่ัวโมง
ช่อื งาน แบบจำลองเอนทิตีแ้ ละความสัมพันธ์ จำนวน 4 ชั่วโมง
จุดประสงค์การเรียนรู้
จดุ ประสงคท์ ั่วไป
1. เพื่อมีความรู้ความเขา้ ใจแบบจำลองเอนทติ ี้
2. เพ่อื มีความรคู้ วามเข้าใจความสมั พนั ธ์
จุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม (ความรู้ ทกั ษะ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ)
1. บอกความหมายของแบบจำลองเอนทิตแ้ี ละความสมั พนั ธ์ได้
2. อธบิ ายระดับความสัมพนั ธ์และประเภทของความสมั พนั ธ์ได้
3. อธบิ ายการออกแบบสร้างแผนภาพความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลได้
4. อธบิ ายขั้นตอนการพฒั นาแบบจำลองข้อมูลและการสรา้ งแผนภาพความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งขอ้ มลู
ได้
5. อธิบายการออกแบบแฟ้มขอ้ มลู และฐานข้อมูลได้
6. อธบิ ายขัน้ ตอนการออกแบบฐานขอ้ มูลได้
7. ปฏบิ ตั กิ ารเลือกใช้สถาปัตยกรรมขอ้ มลู และแบบจำลองฐานข้อมลู ให้เหมาะสมกบั งานได้
สมรรถนะรายหนว่ ย
1. แสดงความรูเ้ ก่ยี วกบั แบบจำลองเอนทิตแ้ี ละความสมั พันธ์
2. วางแผนการใช้แบบจำลองเอนทิต้ีและความสัมพันธ์
เครอ่ื งมือ วสั ดุ – อปุ กรณ์
1. เครอื่ งคอมพิวเตอร์ PC หรือ Notebook
2. โปรเจ็คเตอร์
3. หนงั สือ
ลำดับขั้นตอนการปฏิบัตงิ าน
1. ผู้เรียนคน้ หาข้อมลู จากในอินเตอร์เน็ต ตามเร่ืองทีไ่ ด้รบั มอบหมายมาจาครผู ูส้ อน
2. เมือ่ ผู้เรยี นไดร้ บั ขอ้ มูลเรียบรอ้ ยแลว้ ให้ผเู้ รยี น นำขอ้ มูลนน้ั มาเรียบเรยี งให้เป็นระเบียบ สวยงาม ให้
สามารถเข้าใจได้ง่าย โดยจดั ทำในรปู แบบเลม่ รายงาน
ภาพประกอบ
77
ข้อควรระวัง
ผู้เรียนควรตรวจสอบขอ้ มูลกอ่ นให้ถีถ่ ้วน ละเอยี ด และรอบคอบก่อน เพอ่ื ป้องกนั ความผิดพลาดกอ่ น
การสง่ งาน
ขอ้ เสนอแนะ
นกั ศกึ ษาควรมีภาพประกอบการนำเสนองาน และสามารถอธิบายเนอ้ื หาให้สอดคลอ้ งกบั ภาพให้
ถูกตอ้ ง
การประเมินผล
1. สงั เกตผู้เรียนมคี วามสนใจ เกิดความเขา้ ใจในสาระการเรยี นรู้ ตลอดจนแสดงความกระตอื รือร้นใน
การแสดงความคิดเหน็ และสรุปสาระการเรยี นรปู้ ระจำหนว่ ย
2. ทำใบงานได้อยา่ งถูกตอ้ ง ทนั เวลาทีก่ ำหนด ใบงานสะอาดและเปน็ ระเบียบ
3. ผเู้ รียนทำแบบฝึกหัดหลังเรียนได้ถูกต้อง โดยไดค้ ะแนน 50% เป็นอยา่ งต่ำ
เอกสารอา้ งองิ
หนงั สอื เรียนวชิ า ระบบจัดการฐานขอ้ มูล ของ สำนกั พิมพ์จิตรวฒั น์ (JW) กทม., 2563
78
ใบมอมหมายงานที่ 3 หน่วยที่ 3
รหสั วชิ า 30204-2002 ชอื่ วชิ า ระบบจัดการฐานข้อมลู ภาคเรยี นที่ 1
ชอื่ หนว่ ย แบบจำลองเอนทิตี้และความสมั พนั ธ์ เวลารวม 4 ชั่วโมง
ชอ่ื งาน แบบจำลองเอนทิต้ีและความสมั พันธ์ จำนวน 4 ชั่วโมง
จุดประสงค์การเรยี นรู้
จุดประสงคท์ ่ัวไป
1. เพอ่ื มคี วามรู้ความเข้าใจแบบจำลองเอนทติ ้ี
2. เพื่อมคี วามรคู้ วามเข้าใจความสัมพันธ์
จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม (ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวชิ าชีพ)
1. บอกความหมายของแบบจำลองเอนทิตแ้ี ละความสมั พันธไ์ ด้
2. อธิบายระดบั ความสมั พนั ธ์และประเภทของความสัมพนั ธไ์ ด้
3. อธิบายการออกแบบสร้างแผนภาพความสมั พนั ธ์ระหว่างข้อมูลได้
4. อธบิ ายขนั้ ตอนการพัฒนาแบบจำลองข้อมลู และการสรา้ งแผนภาพความสมั พนั ธร์ ะหว่างข้อมูล
ได้
5. อธิบายการออกแบบแฟ้มขอ้ มูลและฐานข้อมูลได้
6. อธิบายขนั้ ตอนการออกแบบฐานข้อมูลได้
7. ปฏบิ ัติการเลอื กใช้สถาปัตยกรรมขอ้ มูลและแบบจำลองฐานขอ้ มูลให้เหมาะสมกับงานได้
สมรรถนะรายหนว่ ย
1. แสดงความรู้เกยี่ วกับแบบจำลองเอนทติ แี้ ละความสัมพนั ธ์
2. วางแผนการใชแ้ บบจำลองเอนทติ ้ีและความสัมพนั ธ์
เครื่องมอื วสั ดุ – อปุ กรณ์
1. เครื่องคอมพิวเตอร์ PC หรือ Notebook
2. โปรเจ็คเตอร์
3. หนงั สือ
แนวทางการปฏบิ ัตงิ าน
1. ใหผ้ เู้ รียนปฏิบัตงิ านตามใบงาน ใบกิจกรรม ใบปฏบิ ัติงาน อย่างเคร่งครดั ตามหวั ข้อทีไ่ ดร้ บั
มอบหมาย ให้เสร็จสนิ้ ตามระยะเวลาที่กำหนด พร้อมทั้งการจัดทำรายงาน และนำเสนองานอย่าง
ถูกตอ้ ง ครบถ้วน เปน็ ระเบยี บเรียบร้อย
2. ใหผ้ ูเ้ รียนแบ่งหน้าท่ีกับเพอ่ื นในกลุม่ ให้ชดั เจน และสามารถเข้าใจเนอื้ หาตามหัวขอ้ ดงั กลา่ ว ได้
อย่างถูกต้อง ครบถว้ น
79
ภาพประกอบ
ขอ้ ควรระวัง
ผูเ้ รียนควรตรวจสอบข้อมูลก่อนใหถ้ ีถ่ ว้ น ละเอยี ด และรอบคอบกอ่ น เพอื่ ปอ้ งกนั ความผิดพลาดกอ่ น
การส่งงาน
ขอ้ เสนอแนะ
นกั ศกึ ษาควรมภี าพประกอบการนำเสนองาน และสามารถอธบิ ายเนื้อหาใหส้ อดคลอ้ งกบั ภาพให้
ถกู ต้อง
การประเมินผล
1. สงั เกตผู้เรยี นมีความสนใจ เกดิ ความเข้าใจในสาระการเรยี นรู้ ตลอดจนแสดงความกระตอื รือร้นใน
การแสดงความคิดเห็นและสรปุ สาระการเรยี นรู้ประจำหนว่ ย
2. ทำใบงานได้อยา่ งถกู ตอ้ ง ทันเวลาที่กำหนด ใบงานสะอาดและเป็นระเบยี บ
3. ผูเ้ รยี นทำแบบฝึกหัดหลังเรียนได้ถกู ต้อง โดยไดค้ ะแนน 50% เปน็ อยา่ งต่ำ
เอกสารอา้ งอิง
หนงั สือเรยี นวิชา ระบบจัดการฐานข้อมูล ของ สำนกั พิมพ์จติ รวฒั น์ (JW) กทม., 2563
80
แผนการจัดการเรียนรู้
หนว่ ยท.ี่ .............. 4..................................... จำนวน........4..........ชั่วโมง สัปดาห์ที่.....4......
ชอ่ื วชิ า ระบบจัดการฐานข้อมลู
ชอ่ื หนว่ ย รูปแบบบรรทัดฐาน
ชอื่ เรื่อง รูปแบบบรรทดั ฐาน
1. สาระสำคัญ
กระบวนการนอร์มอลไลเซช่ัน เปน็ การออกแบบฐานข้อมลู ในรปู แบบบรรทัดฐาน ซึ่งจะเปน็ กระบวนการ
เพื่อพฒั นาการ เชื่อมต่อของข้อมูลเพ่ือแก้ปญั หาของรีเลช่ันที่ว่าการออกแบบฐานข้อมลู ทัง้ ทางตรรกะ และทาง
กายภาพ โดยจะมีหลายระดับด้วยกนั นอกจากนี้ ยังมีรูปแบบการขึ้นต่อกัน (Dependency) จะเป็นการกำจัด
การขน้ึ ต่อกนั ในรปู แบบต่าง ๆ เพ่อื ใหไ้ ดร้ เี ลชั่นท่อี ยู่ในรปู ของ Normal Form
2. สมรรถนะประจำหนว่ ย
1. แสดงความรูเ้ กี่ยวกับรปู แบบบรรทัดฐาน
2 วางแผนการใชร้ ูปแบบบรรทดั ฐาน
3. จุดประสงค์การเรยี นรู้
3.1 จดุ ประสงค์ท่วั ไป
1. เพอ่ื มคี วามรู้ความเขา้ ใจรูปแบบบรรทัดฐาน
2. เพ่อื มคี วามรคู้ วามเข้าใจกระบวนการของรปู แบบบรรทัดฐาน
3.2 จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม (ความรู้ ทกั ษะ คุณธรรม จรยิ ธรรม จรรยาบรรณวิชาชพี )
1. บอกความหมายของการออกแบบฐานข้อมลู ในรูปแบบบรรทดั ฐานได้
2. อธิบายกระบวนการนอร์มอลไลเซชน่ั ได้
3. อธิบายรูปแบบการข้นึ ตอ่ กันได้
4. ปฏบิ ัติการเลอื กใช้รปู แบบบรรทัดฐานให้เหมาะสมกบั งานได้
4. สาระการเรยี นรู้
1. การออกแบบฐานขอ้ มูลในรูปแบบบรรทัดฐาน
2. กระบวนการนอร์มอลไลเซซน่ั
3. รูปแบบการขน้ึ ต่อกัน
81
5. กจิ กรรมการเรยี นรู้ (สปั ดาห์ท่.ี .....4.........)
กระบวนการจัดการเรียนรู้
5.1 ขน้ั นำเข้าสบู่ ทเรยี น
1. ผู้สอนแนะนำเนอ้ื หาการเรียนรู้ และแนวทางการเรียนรูใ้ นหนว่ ยการเรียน
2. ผสู้ อนซกั ถามผเู้ รียนเกยี่ วกบั รปู แบบบรรทดั ฐาน (Normalization)
3. ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็น และทำการสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างผู้สอนกบั
ผ้เู รยี น
5.2 ขัน้ สอน
1. ผสู้ อนให้ผ้เู รียนได้ศกึ ษารายละเอียดเร่อื งรูปแบบบรรทัดฐาน (Normalization)
2. ผสู้ อนให้ผ้เู รยี นแสดงความคิดเหน็ และมีสว่ นรว่ มในการวิเคราะหเ์ นอื้ หาท่ีเรยี นรู้ โดยเนน้ ใหผ้ ูเ้ รยี นได้
มีการแลกเปลีย่ นความคดิ เห็นและมีสว่ นรว่ ม
3. ปฏิบัติตามใบงาน ดังน้ี
3.1 ใหผ้ ู้เรียนท่ไี ดจ้ ากการสมุ่ รายชอื่ จากผู้สอน บอกประโยชน์ของการนอรม์ อลไล
คนละ 1 ขอ้
3.2 ให้ผู้เรยี นแบ่งออกเป็นกลุ่ม กลุม่ ละ 3-5 คน อธิบายกระบวนการนอร์มอลไลเซซ่นั กล่มุ ละ 1
ระดับ โดยให้ทำการคน้ คว้าหาข้อมลู เพม่ิ เตมิ ทางอินเทอร์เน็ต พรอ้ มท้ังใหอ้ ธบิ ายนิยามและการทำรเี ลช่ัน
3.3 ใหผ้ ู้เรียนแบ่งออกเปน็ กลุ่ม กลมุ่ ละ 2-3 คน อธิบายรูปแบบของการข้นึ ตอ่ กัน กลุม่ ละ 1
รูปแบบ
5.3 ขั้นสรุป
1. ผู้สอนและผู้เรยี นสรุปเนอื้ หาการเรยี นรอู้ กี ครั้งด้วยการต้ังคำถาม และใหเ้ หตุผลในการตอบคำถามใน
แต่ละเนอื้ หาเพอ่ื ทบทวนอีกครงั้
2. มอบหมายภาระงานและแบบฝึกหดั
6. สื่อและแหล่งการเรียนรู้
6.1 หนังสอื เรียนวชิ า ระบบจดั การฐานขอ้ มลู ของ สำนักพิมพจ์ ิตรวฒั น์ (JW)
6.2 ใบความรู้
6.3 แบบฝึกหัด
6.4 แบบฝกึ ปฏิบตั ิ
6.5 แบบทดสอบหลงั เรียน
6.7 คอมพวิ เตอร์
6.8 เครือ่ งฉายโปรเจ็คเตอร์
82
7. หลักฐานการเรียนรู้
7.1 หลักฐานความรู้
ใบงาน แบบฝกึ หดั การคน้ ควา้ ข้อมูล ท่ไี ด้รบั การเรียบเรยี ง สวยงาม เปน็ ระเบยี บ ถกู ตอ้ ง
7.2 หลกั ฐานการปฏบิ ัติงาน
ใบงาน แบบฝึกหัด รูปเล่มรายงานการค้นคว้าข้อมูล ที่ได้รับการเรียบเรียง สวยงาม เป็นระเบียบ
ถูกตอ้ ง พร้อมทง้ั เอกสารประกอบการนำเสนองานหน้าชนั้ เรียนของผเู้ รียน และภาพประกอบ
8. การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้
8.1 เคร่อื งมือประเมนิ
1. ใบงาน
2. แบบฝกึ หัด
3. แบบประเมนิ ผลงาน
4. แบบประเมินการนำเสนอผลงาน
8.2 เกณฑ์การประเมิน
เครื่องมือการประเมิน วธิ ีวดั และประเมนิ เกณฑก์ ารประเมิน
แบบฝกึ หดั ตรวจแบบฝกึ หัด ไดค้ ะแนน
ขอ้ ละ 1 คะแนน ร้อยละ 75 ข้ึนไป
ถกู 1 คะแนน
ไมถ่ ูก 0 คะแนน
แบบฝึกปฏบิ ัติ ตรวจแบบฝึกปฏิบัติ ไดค้ ะแนน
ขอ้ ละ 1 คะแนน รอ้ ยละ 75 ขึน้ ไป
ถูก 1 คะแนน
ไม่ถูก 0 คะแนน
แบบทดสอบหลังเรยี น ตรวจแบบทดสอบหลงั เรียน ไดค้ ะแนน
ข้อละ 1 คะแนน รอ้ ยละ 75 ขึน้ ไป
ถกู 1 คะแนน
ไม่ถกู 0 คะแนน
แบบสงั เกตพฤตกิ รรมด้านคุณธรรม สังเกตพฤติกรรม ไดค้ ะแนน
จริยธรรม ค่านิยม และคุณลกั ษณะอนั พงึ ดี 2 คะแนน ร้อยละ 80 ขนึ้ ไป
ประสงค์ พอใช้ 1 คะแนน
ปรบั ปรุง 0 คะแนน
83
9. กิจกรรมเสนอแนะ/งานที่มอบหมาย (ถ้ามี)
1. ผู้เรียนต้องให้ความสนใจในการศกึ ษา เพื่อหาเทคนคิ วิธีการ หรือหลักการงา่ ยเพื่อใหห้ าคำตอบได้
อย่างถูกต้อง และรวดเร็ว โดยการ ตั้งใจฟังหลักการ เทคนิควิธีการท่ีครูผู้สอนสรุปในขณะทีท่ ำการสอน และ
นำขอ้ สงสัยซักถามครใู นการเรยี นทกุ ครงั้ ท่ีเกิดความสบั สน และไมเ่ ขา้ ใจ
2. ผู้มีการทบทวนบทเรยี น ตลอดเพ่อื เสรมิ สร้างความเขา้ ใจอยา่ งแทจ้ รงิ
3. ผูเ้ รยี นหมน่ั ทำใบงาน แบบฝกึ หัด และแก้ไขขอ้ ท่ผี ิดใหถ้ กู ต้องเสมอ
4. ผู้เรียนต้องสร้างมโนภาพให้เกิดความคดิ รวบยอดในสาระการเรยี นรู้และเทคนิควิธกี ารพรอ้ มกับความ
จำเป็นในการนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดขึน้ โดยตนเองให้ไดเ้ พื่อเกิดความรูค้ วามเข้าใจอยา่ งแท้จริงไม่ใชเ่ กิดจาก
การท่องจำ
10. เอกสารอ้างองิ
หนังสอื เรยี นวชิ า ระบบจัดการฐานข้อมูล ของ สำนกั พมิ พ์จิตรวัฒน์ (JW) กทม., 2563
84
ใบความรทู้ ่ี 4 หนว่ ยท่ี 4
รหสั วิชา 30204-2002 ช่อื วิชา ระบบจดั การฐานข้อมูล ภาคเรยี นท่ี 1
ช่อื หน่วย รูปแบบบรรทดั ฐาน เวลารวม 4 ช่ัวโมง
ชื่อเร่อื ง รปู แบบบรรทดั ฐาน เวลา 4 ชว่ั โมง
จุดประสงค์การเรียนรู้
จุดประสงคท์ ่ัวไป
1. เพอื่ มีความรู้ความเข้าใจรปู แบบบรรทัดฐาน
2. เพ่ือมีความร้คู วามเข้าใจกระบวนการของรปู แบบบรรทัดฐาน
จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม (ความรู้ ทักษะ คุณธรรม จรยิ ธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ)
1. บอกความหมายของการออกแบบฐานข้อมูลในรูปแบบบรรทัดฐานได้
2. อธิบายกระบวนการนอรม์ อลไลเซชัน่ ได้
3. อธิบายรปู แบบการข้นึ ต่อกันได้
4. ปฏบิ ตั กิ ารเลอื กใช้รปู แบบบรรทัดฐานให้เหมาะสมกบั งานได้
สมรรถนะรายหนว่ ย
1. แสดงความรเู้ ก่ียวกบั รูปแบบบรรทดั ฐาน
2 วางแผนการใช้รปู แบบบรรทดั ฐาน
85
หน่วยที่ 4 รูปแบบบรรทดั ฐาน
การทำนอร์มลั ไลเซชนั เปน็ วธิ กี ารในการกำหนดแอตทรบิ วิ ต์ให้กับแต่ละเอนทติ ี เพื่อให้ไดโ้ ครงสรา้ ง
ของตารางทดี่ ี สามารถควบคมุ ความซำ้ ซอ้ นของขอ้ มลู หลีกเล่ียงความผิดปกติของข้อมูล โดยทว่ั ไปผลลัพธ์
ของการนอร์มัลไลเซชัน จะได้ตารางที่มีโครงสร้างซบั ซ้อนน้อยลง แต่จำนวนของตารางจะมากขึ้นการทำ
นอรม์ ัลไลเซชัน จะประกอบด้วยนอร์มลั ฟอร์ม (Normal Form) แบบตา่ ง ๆ ท่มี เี ง่อื นไขของการทำให้อยู่
ในรูปของนอร์มัลฟอร์มที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับผู้ออกแบบฐานข้อมูลว่า ต้องการลดความซ้ำซ้อนใน
ฐานข้อมลู ให้อยใู่ นระดบั ใด ซงึ่ ประกอบดว้ ยนอรม์ ัลฟอร์มแบบต่าง ๆ ดงั ต่อไปนี้
– นอร์มัลฟอร์มที่ 1 (First Normal Form : 1NF)
– นอร์มัลฟอรม์ ที่ 2 (Second Normal Form : 2NF)
– นอร์มลั ฟอร์มท่ี 3 (Third Normal Form : 3NF)
– บอยซ์คอดด์นอรม์ ลั ฟอร์ม (Boyce-Codd Normal Form : BCNF)
– นอร์มัลฟอรม์ ที่ 4 (Fourth Normal Form : 4NF)
– นอรม์ ัลฟอร์มที่ 5 (Fifth Normal Form : 5NF)
ถงึ แม้ว่าการนอรม์ ัลไลเซชัน จะเป็นสง่ิ สำคัญและจำเปน็ ทสี่ ดุ สำหรบั การออกแบบฐานข้อมูล แตก่ ็
ไม่ได้หมายความวา่ จะตอ้ งทำการนอรม์ ัลไลเซชนั จนถงึ ระดบั นอร์มัลฟอรม์ ที่ 5 โดยทั่วไปการแสดงผลข้อมูล
จากตารางที่อยู่ในนอร์มัลฟอร์มที่ 5 จะมีการเชื่อมต่อตารางเป็นจำนวนมาก ทำให้การแสดงผลและการ
โต้ตอบระหว่างระบบฐานข้อมูลกับผู้ใช้กระทำได้ช้า การออกแบบฐานข้อมูลที่ดีจึงต้องพิจารณาถึงความ
ตอ้ งการของผู้ใชแ้ ละตอ้ งสามารถตอบสนองไดอ้ ย่างรวดเร็ว เพราะฉะน้ันในบางกรณีจงึ มีการลดระดับการ
นอรม์ ลั ไลเซชนั ในบางสว่ นของการออกแบบฐานข้อมูล เพ่อื ใหร้ ะบบสามารถตอบสนองไดต้ ามความต้องการ
ของผู้ใช้ การลดระดับการนอร์มัลไลเซชัน (Denormalization) เป็นวิธีการลดระดบั ของนอร์มัลฟอร์มลง
มา เช่น การแปลงจาก 3NF มาเป็น 2NF อย่างไรก็ตาม ส่งิ ทีจ่ ะได้รบั เพ่ิมขึ้นมาจากการลดระดับการนอร์
มัลไลเซชัน นอกจากความเร็วที่ดีขึ้นแล้ว ความซ้ำซ้อนของข้อมูลก็เพิ่มสูงขึ้นด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรนำมา
พิจารณาอย่างระมดั ระวงั
1) การแปลงใหอ้ ยู่ในรปู นอร์มลั ฟอรม์ ที่ 1 (First Normal Form : 1NF)
คุณสมบัติของรีเลชันของแบบจำลองข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ก็คือ ข้อมูลในแต่ละทัปเพิลจะต้องไม่ซ้ำ
กนั และค่าในแต่ละแอตทรบิ ิวต์จะตอ้ งไม่สามารถถกู แบง่ แยกยอ่ ยลงไปไดอ้ กี หรอื มคี วามเปน็ อะตอมมิค
(Atomic) รวมถึงจะต้องมีค่าเพียงค่าเดียวที่อยู่ในแต่ละแอตทริบิวต์หรือมีความเป็นซิงเกิลแวลู (Single
Value) ซึ่งในการทำนอรม์ ลั ไลเซชันให้อยใู่ นนอรม์ ัลฟอร์ที่ 1 กอ็ าศัยคณุ สมบตั ิดังทีก่ ลา่ วไวข้ ้างต้น
1.1) รีพที ต้งิ กรุ๊ป (Repeating Group)
การทีข่ ้อมลู ใน 1 ทปั เพลิ สามารถมีคา่ ในแตล่ ะแอตทรบิ วิ ต์ไดม้ ากกวา่ หนงึ่ ค่า (Multivalued) จะ
ทำใหเ้ กิดรพี ีทตงิ้ กรุ๊ป ดังตารางท่ีแสดงในภาพข้างลา่ ง ซึง่ เลขทีโ่ ครงการหน่ึงหมายเลขประกอบดว้ ยกลุม่
ข้อมลู หลายกลมุ่ ซ่ึงทำให้รเี ลชันดังกลา่ ว ขาดคุณสมบัตซิ งิ เกิลแวลู
86
1.2) นยิ ามของนอรม์ ลั ฟอร์มที่ 1
รีเลชันจะอยูใ่ นรูปของนอร์มัลฟอร์มที่ 1 ก็ตอ่ เม่ือมคี ณุ สมบตั ิตามเงื่อนไขดงั ต่อไปน้ี
1. มกี ารกำหนดแอตทรบิ ิวต์ท่ีเปน็ คีย์
2. ตอ้ งไมม่ รี พี ีทติง้ กรุ๊ป แต่ละแถวหรือคอลมั นจ์ ะมคี ่าไดเ้ พยี ง 1 ค่าเทา่ น้ัน
3. แอตทริบิวต์ทุกตวั ต้องขนึ้ อยู่กบั คยี ์หลัก
จากภาพขา้ งบน เม่อื การการนอรม์ ลั ไลเซชนั ให้อยู่ในรปู นอรม์ ัลฟอรม์ ท่ี 1 จะไดต้ ารางทีแ่ ตกย่อยออกมา
เป็น 2 ตาราง ดงั ภาพข้างล่าง ซงึ่ มีคุณสมบตั ิตามนอรม์ ลั ฟอร์มที่ 1 แลว้
2) การแปลงใหอ้ ยู่ในรูปนอร์มลั ฟอรม์ ที่ 2 (Second Normal Form : 2NF)
ในหนึ่งรีเลชันจะประกอบด้วยแอตทริบิวต์ต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์ที่ขึ้นต่อกัน ซึ่งความสัมพันธ์
ดังกล่าวจะเป็นตัวกำหนดว่าแอตทริบิวต์ใดเป็นตวั กำหนดข้อมลู หรือ คีย์แอตทริบิวต์ (Key Attribute)
และและแอตทรบิ ิวต์ใดเปน็ ข้อมูลท่ถี ูกกำหนดหรือนอนคียแ์ อตทรบิ วิ ต์ (Nonkey Attribute)
2.1) ฟังกช์ ันนัลดเี พนเดนซี (Functional Dependency: FD)
ในการทำนอรม์ ัลไลเซชัน จะต้องมคี วามเขา้ ใจหลักการของฟังกช์ นั ดเี พนเดนซี
(Function Dependency : FD) เสยี กอ่ น โดยมีคำจำกัดความคอื B ข้ึนอยู่กบั A ถา้ ทราบคา่ ของ A ก็
จะทำให้รู้ค่าของ B ได้
ฟังกช์ นั นัลดีเพนเดนซี สามารถแสดงด้วยการใช้เครื่องหมายลูกศร ( ->) ตวั อยา่ งเชน่ A->B แสดง B
เปน็ ฟงั ก์ชนั นัลดเี พนเดนตก์ บั A กล่าวคอื ถา้ รู้ค่า A ก็จะทำให้ทราบค่าของ B ด้วย ทกุ คา่ ของ A ที่มีค่า
เท่ากนั จะได้คา่ เท่ากันเสมอ
87
2.2) พาเชียลดีเพนเดนซี (Partial Dependency)
พาร์เชียลดีเพนเดนซี หมายถึง การทมี่ ีแอตทริบิวตบ์ างแอตทริบิวต์ ทข่ี ึน้ อยู่กับเพยี งบางส่วน
ของคีย์หลักเท่านั้น ตัวอย่างเชน่ จากตารางในภาพขา้ งล่าง แอตทริบิวตช์ ือ่ พนักงานจะขึ้นอยูก่ ับคีย์รหัส
พนักงาน ในขณะที่แอตทริบิวต์ชื่อแผนก จะขึ้นอยู่กับคีย์รหัสแผนก จะเห็นว่า ข้อมูลที่อยู่ในรีเลชัน
เดียวกนั แต่ไมไ่ ด้ขน้ึ อยู่กบั คยี ์ใดคียหน่งึ ทั้งหมด แต่จะขึน้ อยู่กบั คียใ์ ดคียห์ นึ่งเพยี งบางส่วนเทา่ นัน้
2.3) นิยามของนอรม์ ลั ฟอร์มที่ 2
รีเลชนั จะอยใู่ นรูปของนอร์มัลฟอรม์ ท่ี 2 ก็ตอ่ เม่อื มคี ณุ สมบัตติ ามเงือ่ นไขดงั ต่อไปน้ี
1. รเี ลชันนัน้ เปน็ นอรม์ ัลฟอรม์ ท่ี 1 อยแู่ ลว้
2. รีเลชนั นั้นไมม่ พี าร์เชยี ลดีเพนเดนซี
ตวั อย่างรเี ลชนั พนกั งานในแผนกในภาพขา้ งบน เม่อื ทำการแตกออกเป็นรีเลชันย่อยทไ่ี ม่มีพารเ์ ชียลดีเพน
เดนซีแล้ว จะไดเ้ ปน็ รีเลชันสองรีเลชนั คอื รีเลชันพนกั งานและ รเี ลชันแผนก ซึ่งอยู่ในรปู ของนอรม์ ลั ฟอรม์
ที่ 2 แลว้ ดังภาพข้างล่าง
3) การแปลงให้อยู่ในรูปนอร์มลั ฟอรม์ ท่ี 3 (Third Normal Form : 3NF)
ในหนึง่ รีเลชันจะประกอบคีย์แอตทรบิ วิ ตแ์ ละนอนคียแ์ อตทรบิ ิวต์ คีย์แอตทริบวิ ต์จะตอ้ งเป็น
ตวั กำหนดความหมายหรือการมอี ย่ขู องแอตทริบวิ ตอ์ ื่น ๆ ทอี่ ยู่ในรีเลชนั เสมอ
3.1) ทรานซทิ ีฟดเี พนเดนซี (Transitive Dependency)
ทรานซิทีฟดเี พนเดนซี หมายถงึ การที่มฟี ังก์ชนั นลั ดีเพนเดนซี ระหว่างแอตทรบิ วิ ตท์ ไี่ มไ่ ด้เป็น
สว่ นของคีย์ใด ๆ แตม่ แี อตทริบิวตอ์ น่ื ๆ มาขึ้นกับแอตทริบิวต์นั้นตวั อยา่ งเชน่ จากตารางในภาพ
ข้างล่าง แอตทรบิ วิ ตช์ อ่ื พนักงาน และรหสั ตำแหนง่ งานจะขึน้ อยูก่ ับคยี ร์ หัสพนกั งาน ในขณะท่ีแอตทริบิวต์
88
คา่ แรงตอ่ ชวั่ โมของพนักงาน จะขึ้นอยกู่ ับแอตทรบิ ิวต์รหัสตำแหน่งงานซ่งึ ไม่ใชค่ ยี อ์ กี ต่อหนึ่งทำใหม้ ีทรานซิ
ทฟี ดีเพนเดนซเี กดิ ขน้ึ ในรเี ลชันนี้
3.2) นิยามของนอรม์ ลั ฟอร์มที่ 3
รีเลชนั จะอย่ใู นรปู ของนอรม์ ลั ฟอรม์ ที่ 3 กต็ ่อเม่ือมคี ณุ สมบัตติ ามเงื่อนไขดงั ต่อไปนี้
1. รเี ลชันนัน้ เปน็ นอรม์ ัลฟอร์มท่ี 2 อยู่แลว้
2. รเี ลชันนน้ั ไมม่ ีทรานซทิ ีฟดเี พนเดนซี
ตัวอยา่ งรเี ลชัน การทำงานของพนักงาน ในภาพขา้ งบน เมอ่ื ทำการแตกออกเปน็ รีเลชันยอ่ ยทไ่ี ม่มีทรานซิ
ทีฟดีเพนเดนซแี ล้ว จะได้เปน็ รีเลชันสองรเี ลชัน คือรเี ลชันพนกั งาน และรีเลชันตำแหน่งงาน ซึ่งอยใู่ นรปู
ของนอรม์ ลั ฟอร์มที่ 3 แลว้ ดงั ภาพข้างล่าง
4) การแปลงใหอ้ ยู่ในรปู บอยซค์ อดด์นอร์มัลฟอร์ม (Boyce-Codd Normal Form : BCNF)
ในหนึ่งรเี ลชนั อาจจะประกอบดว้ ยหลายแคนดเิ ดตคยี ์ (Candidate Key) ทกุ แอตทรบิ วิ ตใ์ นรีเลชัน
จะต้องขนึ้ อย่กู ับแคนดเิ ดตคยี ์เสมอ เราสามารถกำหนดนิยามของรเี ลชันท่อี ยใู่ นรปู ของบอยซค์ อดด์นอร์มัล
ฟอรม์ กต็ อ่ เมอื่ รเี ลชันมคี ณุ สมบตั ิตามเง่ือนไขดงั ต่อไปน้ี
1. รเี ลชันนน้ั เปน็ นอร์มัลฟอรม์ ที่ 3 อย่แู ล้ว
2. ทุกแอตทริบิวต์ในรเี ลชันจะต้องขน้ึ กบั แคนดิเดตคีย์
รเี ลชันจะอยู่ในรปู บอยซ์คอดดน์ อร์มัลฟอร์ม ถ้าทุกแอตทรบิ ิวต์ขึน้ อยูก่ ับแคนดิเดตคยี ์ (Candidate
Key) ดงั น้นั ถ้าใน 1 รีเลชันมีแคนดเิ ดตคยี เ์ พียงตัวเดยี วแล้ว นอรม์ ัลฟอรม์ ที่ 3 และบอยซ์คอดด์นอรม์ ัล
89
ฟอร์ม จะเหมอื นกัน โอกาสท่คี ุณสมบตั ิของบอยซ์คอดดน์ อรม์ ัลฟอรม์ จะถูกละเมดิ น้นั เกดิ ขึ้นได้
นอ้ ย และจะเกิดไดก้ บั รเี ลชันทีม่ แี คนดเิ ดตคยี ม์ ากกว่าหน่งึ เท่านั้น ดังตวั อยา่ งในภาพข้างล่าง รเี ลชนั
การลงทะเบยี นเรียน รเี ลชันดังกล่าวอยูใ่ นรปู นอรม์ ลั ฟอรม์ ที่ 3 แล้ว แตก่ ็ยงั มีบางสว่ นมีปญั หาอยู่ ตรง
จดุ ทแี่ อตทริบิวต์รหัสวิชาเรยี น และผลการเรยี นข้ึนอยู่กับคยี ์นกั ศึกษา และคีย์ผ้สู อน แต่ในขณะเดยี วกนั รหัส
ผสู้ อนก็ขึ้นอยู่กบั รหัสวชิ าเรียน ทำใหถ้ ้าต้องการเปล่ยี นแปลงผู้สอนในวิชา 301 จะต้องมกี ารเปล่ียนแปลง
ถึง 2 ทปั เพลิ ซ่ึงผลลพั ธ์ท่ีไดอ้ าจจะทำใหเ้ กดิ ความผิดพลาดหากทำการแก้ไขไม่ครบถ้วน และถา้ นักศึกษา
รหสั 135 ถอนการลงทะเบยี นวชิ า 280 ข้อมูลของผ้ทู ส่ี อนวชิ านจ้ี ะหายไปจากระบบเลย ถ้าเราลบขอ้ มลู น้ี
เราสามารถทำการแตกตารางออกมาให้อยใู่ นรปู ของบอยซ์คอดดน์ อร์มัลฟอรม์ ได้ โดยการแยกแอตทรบิ ิวต์
รหัสวิชาเรยี นและรหสั ผู้สอนซึง่ ขน้ึ อยกู่ บั แอตทริบิวต์รหัสวชิ าเรยี น ออกมาเป็นอีกหนึง่ รีเลชัน และแยกแอ
ตทรบิ ิวต์ รหสั นักศึกษา รหัสผสู้ อน และผลการเรียนออกมาเปน็ อกี หนึง่ รีเลชนั ดงั แสดงในภาพข้างล่าง
90
แบบฝึกหัด/เฉลย
ตอนท่ี 1 คำสั่ง จงตอบคำถามต่อไปน้ีให้ถกู ต้อง
1. จงบอกความหมายของรูปแบบบรรทดั ฐาน
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างแอททริบิวต์ของรีเลชั่น โดยใช้เทคนิค “ดีคอมโพสิชัน”
(Decomposition) ซึ่งหมายถึงการแตกรีเลชั่นเป็นรีเลชั่นย่อย ๆ มีวัตถุประสงค์เพื่อลดความซ้ำซ้อนของ
ขอ้ มูลในแตล่ ะรเี ลช่นั
2. จงอธิบายประโยชนข์ องการนอรม์ อลไลซ์
ประโยชน์ของการนอร์มอลไลซ์ คือ
1) ลดทวี่ า่ งที่ตอ้ งใช้ในการเก็บข้อมูล
2) ลดความผิดพลาด ความไมต่ รงกนั ของข้อมูลในฐานข้อมูล
3) ลดการเกิดอะนอร์มอลไลซข์ องการลบและแก้ไขข้อมลู
4) เพ่มิ ความคงทนแกโ่ ครงสรา้ งฐานข้อมลู
3. จงอธิบายกระบวนการนอรม์ อลไลเซช่นั
กระบวนการนอร์มอลไลซ์เซชัน่
นอร์มอลไลซ์เซชั่น เป็นกระบวนการเพื่อพัฒนาการ เชื่อมต่อของข้อมูลเพื่อแก้ปัญหาของ รีเลช่ัน
ท่วี า่ การออกแบบฐานข้อมูลทั้งทางตรรกะ และทางกายภาพท่ไี ด้ออกมาใช้ไดห้ รือยังการนอร์มอลไลซ์เซช่ัน
แบง่ ออกได้เปน็ หลายระดับ
4. จงบอกนิยามของระดับที่ 1 (First Normal Form : 1NF)
นิยาม
"รเี ลชั่นใด ๆ จะมีคณุ สมบตั อิ ยู่ในรูปแบบนอร์มอล ระดับที่ 1 กต็ ่อเมือ่ ทุกแอททริบิวตใ์ นแต่ละทัปเพิลมีค่า
ของข้อมูลเพียงค่าเดียว คือต้องไม่มีค่ากลุ่มข้อมูลที่ซ้ำกัน (Repeating Group)" ตัวอย่างเช่น รีเลชั่นการ
ลงทะเบยี นของนกั ศึกษาดงั ตารางที่ 1
5. จงบอกนยิ ามของระดับท่ี 3 (Third Normal Form : 3NF)
นิยาม
"รีเลชน่ั ใด ๆ จะมคี ณุ สมบตั อิ ยู่ในรปู แบบนอรม์ อล ระดบั ที่ 3 ก็ต่อเมอ่ื
1. รีเลช่ันนั้นมคี ณุ สมบัตอิ ย่ใู นรปู แบบนอรม์ อล ระดับที่ 2 แลว้
2. ทุกแอตทริบวิ ตท์ ่ีไม่ใช่คียห์ ลกั ในรีเลช่นั จะต้องไมข่ ึน้ กบั แอตทริบวิ ต์อ่นื ๆ ท่ีไม่ใช่คีย์หลัก หรือ
อาจกล่าวว่า ทุกแอตทริบิวต์ท่ีไมใ่ ช่คยี ์หลักไม่มีสิทธิในการระบุค่าของแอตทริบิวต์อืน่ ที่ ไม่ใช่คียห์ ลัก หรือ
อาจกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า รีเลชั่นนั้นต้องไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างแอตทริบิวต์ เป็นแบบ Transitive
เกดิ ข้ึน"
6. จงบอกรูปแบบของการขึ้นต่อกัน
การขน้ึ ต่อกนั แบ่งออกเป็น 3 รปู แบบ ดังนี้
รปู แบบที่ 1 การข้นึ ต่อกันแบบฟงั ก์ชัน่ (Functional Dependency : FD)
รปู แบบที่ 2 การข้นึ ต่อกันแบบเชงิ กลมุ่ (Multi Value Dependency : MVD)
91
รูปแบบที่ 3 การข้นึ ต่อกนั แบบจอยน์ (Join Dependency : JD)
7. จงอธิบายรูปแบบที่ 1 ของการขึน้ ต่อกนั
1. รปู แบบที่ 1 การขน้ึ ต่อกันแบบฟังก์ช่นั (Functional Dependency : FD)
การขนึ้ ต่อกันแบบฟงั ก์ชนั่ หมายถงึ การแสดงความสัมพันธ์ของแอททริบิวต์ในรีเลชน่ั ใด ๆ ในรูปแบบของ
ฟังก์ชัน่ โดยเมอ่ื ทราบค่าของแอททริบวิ ต์ทางด้านเป็นคีย์ ที่เรยี กว่า “Determinant” จะทำให้ทราบค่าของ
แอททริบิวตเ์ พยี ง 1 คา่ หรือมากกว่า (กลมุ่ ของแอททรบิ ิวต์)ที่เรียกว่า “Dependent” ในทปั เพิลเดียวกันได้
(คีย์ หมายถึง แอททริบิวต์หรอื กลุ่มของแอททรบิ ิวต์ที่มีค่าไม่ซ้ำกนั ซึ่งใช้เป็นตัว “Determinant” ) การขึ้น
ตอ่ กันแบบฟงั ก์ชัน่ สามารถแยกออกได้เป็น 3 ประเภท
8. จงอธิบายรปู แบบท่ี 2 ของการขึ้นตอ่ กนั
รูปแบบท่ี 2 การขึน้ ตอ่ กันแบบเชงิ กลุ่ม (Multi Value Dependency : MVD)
เป็นรูปแบบที่แสดงความสัมพันธ์ของแอททริบิวต์ในรีเลชั่น เมื่อระบุค่าของแอททริบิวต์ที่เป็น
“Determinant” จะทำให้ทราบค่าของแอททริบิวต์อื่น ๆ ที่เป็น “Dependent” ได้ ทั้งนี้ค่าของแอททริ
บวิ ต์ทไ่ี ด้มาน้นั จะได้มาเป็นกลมุ่ แอททริบิวต์ อาจจะไมม่ ีความสมั พนั ธ์กันเลย
9. จงอธบิ ายรีเลชนั่ ลกู ค้า ดังน้ี
รหสั ตวั แทนจำหนา่ ย รหสั สนิ ค้า ราคาซอ้ื , จำนวนที่สง่ั ซอื้
3) กรณมี ี Determinant มากกว่า 1 แอททริบวิ ต์ มี Dependent 1 หรอื มากกวา่ 1 แอททรบิ ิวต์
รเี ลชน่ั ลูกค้า
รหัสตัวแทนจำหนา่ ย รหสั สนิ คา้ ราคาซื้อ จำนวนทสี่ ่ังซอ้ื
ความหมาย
รหัสตัวแทนจำหน่าย และรหัสสินค้า เป็น “Determinant” ส่วนราคาซื้อ และจำนวน
ท่ี ส่ังซือ้ เปน็ “Dependent” เมื่อระบุคา่ ของรหัสตวั แทนจำหน่ายและรหสั สินค้า จะทำให้ทราบค่า
ของราคาซื้อ และจำนวนทีส่ งั่ ซอ้ื สนิ คา้ ได้
10. จงอธบิ ายรีเลชนั่ การส่งั ซื้อสนิ คา้ ดงั นี้
รหัสตัวแทนจำหน่าย รหัสสินคา้ ชื่อสินค้า ย่หี อ้ รนุ่ ราคาซอื้ จำนวนที่
สงั่ ซื้อ
1.2 การขึ้นต่อกนั แบบบางสว่ น (Partial Dependency) หมายถงึ แอททรบิ ิวต์ทางด้านที่
เปน็ “Dependent” ไมไ่ ด้ข้นึ กับทกุ แอททรบิ วิ ตท์ ่ีเป็น “Determinant” น่นั คือเม่อื ระบุค่าของแอททริบิวต์
ที่เป็น “Determinant” แอทริบิวต์ใดแอททริบิวต์หนึ่ง จะทำให้ทราบค่าของแอททริบิวต์ที่เป็น
“Dependent” ได้ โดยไม่จำเป็นต้องระบุค่าของแอททริบิวต์ที่เป็น “Determinant” ทั้งหมดทุกแอททริ
บิวต์ ตัวอยา่ งเชน่
รีเลชั่นการสั่งซอื้ สินคา้
รหัสตวั แทนจำหนา่ ย, รหัสสินค้า ช่อื สินค้า, ยีห่ ้อ, รุน่ ,
ราคาซอ้ื , จำนวนท่ีสั่งซื้อ
92
ความหมาย
รหัสตวั แทนจำหน่าย และรหัสสินค้า เป็น “Determinant” สว่ นชื่อสนิ คา้ รายละเอยี ดสนิ คา้ ราคา
ซื้อ และจำนวนทีส่ ั่งซ้ือเปน็ “Dependent” เมื่อระบุค่าของรหัสตัวแทนจำหน่ายและรหัสสนิ ค้า จะทำให้
ทราบคา่ ของราคาซ้ือและจำนวนท่ีส่ังซ้ือสินค้า ซงึ่ เป็นเรอ่ื งของการสั่งซ้อื สนิ ค้าจากตวั แทนจำหน่าย แต่ถ้า
ระบุค่าแอททริบิวต์ รหัสสินค้า ที่เป็น “Determinant” เพียงแอททริบิวต์เดียวก็จะทำให้ทราบเรื่อง
รายละเอยี ดเก่ียวกับสินค้าท่ีมีอยู่ในสต๊อกสินค้า ไดแ้ ก่ แอททรบิ ิวต์ช่อื สินค้า ย่ีห้อ รุ่น ดังนั้น แอททริบิวต์
ชอื่ สินคา้ ย่หี ้อ ร่นุ ทีเ่ ปน็ “Dependent” มีการข้นึ ต่อกนั แบบบางส่วนกับแอท ทริบวิ ต์ รหสั สนิ ค้า
ทเ่ี ปน็ “Determinant”
ตอนท่ี 2 จงบอกความหมายของคำศพั ทต์ อ่ ไปน้ี
คำศพั ท์ ความหมาย คำศพั ท์ ความหมาย
First ระดับที่ 1 Delete Anomaly การลบขอ้ มลู
Second ระดับท่ี 2 Insert Anomaly การเพิ่มข้อมลู
Third ระดบั ที่ 3 Dependency การข้นึ ตอ่ กนั
Repeating Group กลุ่มขอ้ มูลท่ีซ้ำกัน Determinant ตวั กำหนด
Update Anomaly การแกไ้ ขข้อมลู Value คณุ ค่า
ตอนท่ี 3 จงเลอื กคําตอบท่ถี ูกตอ้ งทส่ี ดุ เพียงขอ้ เดยี ว
คำสง่ั จงทำเครื่องหมายกากบาท () หนา้ ข้อทีถ่ ูกตอ้ งมากทส่ี ุดเพียงขอ้ เดียว
1. การนอรม์ อลไลเซชน่ั (Normalization) เรยี กว่าอะไร
ก. รปู แบบบรรทัดฐาน
ข. รปู แบบจำลองขอ้ มลู
ค. รูปแบบความสัมพนั ธ์
ง. รูปแบบการออกแบบ
จ. รูปแบบการลดความซำ้ ซอ้ น
2. การนอรม์ อลไลเซชน่ั หมายถงึ การวิเคราะห์ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งแอททรบิ ิวต์ของอะไร
ก. เอนทติ ้ี
ข. แอททริบิวต์
ค. ดีคอมโพสิช่ัน
ง. รีเลชัน่
จ. ไลเซช่นั
3. การนอรม์ อลไลเซซ่นั เปน็ การวิเคราะหค์ วามสัมพนั ธ์โดยใชเ้ ทคนคิ ใด
ก. เอนทติ ้ี
ข. แอททรบิ ิวต์
ค. ดคี อมโพสชิ ัน
93
ง. รีเลช่นั
จ. ไลเซซ่ัน
4. นยิ ามท่กี ล่าวว่า “ตอ้ งไม่มคี ่ากลุ่มขอ้ มูลทซ่ี ำ้ กัน” เปน็ นยิ ามในระดับใด
ก. ระดับท่ี 1
ข. ระดับที่ 2
ค. ระดับที่ 3
ง. ระดบั ท่ี 4
จ. ระดับท่ี 5
5. Update Anomaly หมายถงึ ขอ้ ใด
ก. การลบขอ้ มลู
ข. การเพมิ่ ข้อมลู
ค. การยา้ ยข้อมูล
ง. การแก้ไขข้อมูล
จ. การพฒั นาข้อมลู
6. ความสัมพนั ธ์ในลักษณะ “Transitive Dependency” เป็นรูปแบบนอรม์ อลระดบั ใด
ก. ระดับที่ 1
ข. ระดบั ท่ี 2
ค. ระดับท่ี 3
ง. ระดับท่ี 4
จ. ระดบั ท่ี 5
7. รูปแบบการขน้ึ ต่อกนั มีกแี่ บบ
ก. 1 แบบ
ข. 2 แบบ
ค. 3 แบบ
ง. 4 แบบ
จ. 5 แบบ
8. การขนึ้ ต่อกับแบบเชงิ กล่มุ เป็นการขึ้นต่อกนั แบบทเ่ี ท่าไร
ก. แบบท่ี 1
ข. แบบท่ี 2
ค. แบบท่ี 3
ง. แบบท่ี 4
จ. แบบท่ี 5
94
9. ขอ้ ใดจัดเป็น Determinant
ก. วันที่ขาย
ข. รหัสลกู ค้า
ค. ช่อื ลูกคา้
ง. ท่ีอยู่
จ. เลขทขี่ าย
10. ข้อใดเปน็ รปู แบบการข้นึ ตอ่ กับแบบเชิงกลมุ่
ก. FD
ข. DF
ค. JD
ง. DJ
จ. MVD
เอกสารอ้างองิ
หนังสอื เรียนวชิ า ระบบจดั การฐานข้อมลู ของ สำนักพมิ พ์จติ รวัฒน์ (JW) กทม., 2563
ภาคผนวก (ถ้ามี)
95
ใบงานที่ 4 หนว่ ยที่ 4
รหสั วิชา 30204-2002 ชอื่ วชิ า ระบบจดั การฐานขอ้ มลู ภาคเรียนท่ี 1
ชอ่ื หนว่ ย รปู แบบบรรทัดฐาน เวลารวม 4 ชั่วโมง
ช่ืองาน รปู แบบบรรทดั ฐาน จำนวน 4 ชวั่ โมง
จดุ ประสงค์การเรียนรู้
จดุ ประสงค์ทั่วไป
1. เพอ่ื มีความรู้ความเข้าใจรปู แบบบรรทัดฐาน
2. เพ่อื มีความรคู้ วามเข้าใจกระบวนการของรปู แบบบรรทัดฐาน
จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม (ความรู้ ทกั ษะ คุณธรรม จรยิ ธรรม จรรยาบรรณวชิ าชีพ)
1. บอกความหมายของการออกแบบฐานขอ้ มูลในรปู แบบบรรทัดฐานได้
2. อธิบายกระบวนการนอร์มอลไลเซช่ันได้
3. อธบิ ายรูปแบบการข้นึ ตอ่ กันได้
4. ปฏิบตั ิการเลือกใช้รปู แบบบรรทดั ฐานให้เหมาะสมกบั งานได้
สมรรถนะรายหน่วย
1. แสดงความรู้เกี่ยวกับรปู แบบบรรทดั ฐาน
2 วางแผนการใชร้ ูปแบบบรรทัดฐาน
เครื่องมอื วสั ดุ – อุปกรณ์
1. เคร่อื งคอมพิวเตอร์ PC หรือ Notebook
2. โปรเจค็ เตอร์
3. หนังสือ
ลำดบั ขน้ั ตอนการปฏบิ ัติงาน
1. ใหน้ กั ศึกษาแบ่งกลมุ่ ตามความเหมาะสม เพอ่ื ศึกษาและอภิปราย
1.1 อธิบายความรเู้ กย่ี วกับความเข้าใจกับรปู แบบบรรทดั ฐาน
1.2 เขียนรูปพร้อมอธิบายความเขา้ ใจกบั รูปแบบบรรทัดฐาน
2. เขียนอภิปรายและวเิ คราะหใ์ ส่กระดาษ
3. นำผลงานส่งครผู ู้สอนเพอ่ื ประเมนิ ผล
ภาพประกอบ
ข้อควรระวัง
ผเู้ รียนควรตรวจสอบข้อมูลกอ่ นใหถ้ ีถ่ ้วน ละเอยี ด และรอบคอบกอ่ น เพื่อป้องกันความผิดพลาดก่อน
การสง่ งาน