แบบทดสอบหลังเรียน
หนว ยการเรียนรทู ี่ 2
คาํ ชี้แจง : ใหน ักเรยี นเลือกคําตอบที่ถูกตองที่สุดเพียงขอเดียว
1. ขอ ใดเปนคําตอบของสมการ x2 - 196 = 0 8. คาํ ตอบของสมการ 3x2 - 11 = 2x มกี ีค่ าํ ตอบ
ก. ± 14 ข. ± 196 ก. ไมมคี ําตอบ ข. มี 1 คําตอบ
ค. - 14 ง. - 196 ค. มี 2 คําตอบ ง. มมี ากกวา 2 คาํ ตอบ
2. ขอใดเปน คําตอบของสมการ x2 - 10x = -5 9. คาํ ตอบของสมการ x2 + 16 = -8x มีกค่ี ําตอบ
ก. 5 ± 2√5 ข. - 5 ± 2√5 ก. ไมม ีคําตอบ ข. มี 1 คําตอบ
ค. 5 ± 4√5 ง. - 5 ± 4√5 ค. มี 2 คําตอบ ง. มมี ากกวา 2 คาํ ตอบ
3. ขอใดเปน คําตอบของสมการ 3x2 + 8x + 4 = 0 10. จงหาคา k ทที่ ําใหส มการ kx2 + 14x + 7 = 0
ก. 2 และ 2 ข. 2 และ - 2 มหี น่ึงคาํ ตอบ
3 3
2
ค. - 2 และ 2 ง. - 2 และ - 2 ก. 7 ข. - 2
3 3 7
4. 2 เปน คําตอบของสมการในขอ ใด ค. 7 ง. - 7
3 3x2 - 5x + 2 = 0 ข. 3x2 + 11. จงหาคา k ทีท่ ําใหสมการ 5x2 - 13x + k = 0
5x - 2 = 0
ก.
ค. - 3x2 - 5x + 2 = 0 ง. - 3x2 + 5x + 2 = 0
5. สมการ ax2 + bx + c = 0 มีคาํ ตอบเปน จาํ นวนจรงิ มีสองคาํ ตอบ
ก. 11 ข. 10
เมื่อใด ค. 9 ง. 8
12. ผลบวกของคําตอบของสมการ 2x2 - x = 10
ก. -b2 - 4ac ≥ 0 ข. b2 - 4ac ≥ 0
ค. -b2 - 4ac < 0 ง. b2 - 4ac < 0 มคี าตรงกบั ขอใด
6. สมการ ax2 + bx + c = 0 ไมมีคาํ ตอบเปน จํานวน ก. 1 ข. 4 1
2 2
จริงเมื่อใด ค. - 1 ง. -4 1
2
2x2
ก. -b2 - 4ac ≥ 0 ข. b2 - 4ac ≥ 0 13. ผลคณู ของคาํ ตอบของสมการ 1 - 1 x = 0
ค. -b2 - 4ac < 0 ง. b2 - 4ac < 0 3 4
7. คําตอบของสมการ 12x2 = -3 -7x มกี คี่ าํ ตอบ มีคา ตรงกับขอใด
ก. 1 1 ข. 3
2 4
ก. ไมมคี าํ ตอบ ข. มี 1 คาํ ตอบ ค. 0 ง. -1 1
2
ค. มี 2 คําตอบ ง. มีมากกวา 2 คําตอบ
14. ถา a และ b เปนคําตอบของสมการ 18. กาํ ลังสองของจํานวนจาํ นวนหน่ึงมากกวาผลรวม
6x2 - 25x + 11 = 0 และ a > b แลว 6a - 2b
ระหวางยีส่ บิ สองเทาของจํานวนนัน้ กับ 17 อยู
มคี า ตรงกับขอใด -138 จงหาจํานวนนั้น
1 1
ก. 20 ข. 21 ก. 11 ข. - 11
ค. 22 ง. 23 ค. 11 ง. - 11
15. สมการ 2x2 = 72 และ 4y2 + 25 = 20y แลว
19. บอ ปลามีดา นยาวยาวกวาดา นกวาง 3 เมตร มี
อตั ราสว นของคา ของ x ทเ่ี ปน บวกตอคาของ y ท่ี
พื้นที่ 108 ตารางเมตร จงหาความยาวของดาน
เปน บวก มคี าตรงกบั ขอใด
ยาว
ก. 6 : 5 ข. 5 : 6
ก. 12 เมตร ข. 18 เมตร
ค. 5 : 12 ง. 12 : 5
ค. 21 เมตร ง. 28 เมตร
1
16. ผลคูณของ 3 กบั คําตอบท่ีเปนลบของสมการ 20. ชาวสวนปลกู ผักคะนาเรยี งเปนแถวได 600 ตน
(2x + 3)(x + 2) = 15 มีคาตรงกับขอ ใด แตละแถวมจี ํานวนผกั คะนาเทา กนั ถาจํานวน
1
ก. 1 2 ข. 1 ผักคะนา ในแตละแถวนอยกวาจํานวนแถวอยู 25
ค. -1 1 ง. -1 จงหาวาชาวสวนปลูกผักคะนาไวจํานวนกแ่ี ถว
2
17. ผลบวกของจาํ นวนจํานวนหน่ึงกับกําลังสองของเลข
ก. 50 แถว ข. 40 แถว
จํานวนนัน้ เทา กบั 72 จงหาเลขจํานวนนัน้ ค. 25 แถว ง. 15 แถว
ก. - 8 และ 9 ข. 8 และ 9
ค. - 8 และ - 9 ง. 8 และ - 9
แผน บตั รโดมิโน 2
1 ไมม จี าํ นวนจริง
-20 ใดเปน คําตอบ
12
-15 7
10
ไมมจี ํานวนจรงิ 8
ใดเปน คาํ ตอบ 3
-4
9
-12
-3
ไมม ีจาํ นวนจริง 6
ใดเปน คาํ ตอบ -2
0
-13 0
-1 5
20
-4 ไมมีจํานวนจริง
15 ใดเปน คําตอบ
-8 -12 -10
แผนการจัดการเรยี นรทู ่ี 1 รายวิชา คณติ ศาสตร 5
กลมุ สาระการเรียนรคู ณิตศาสตร ภาคเรียนที่ 1 ปก ารศึกษา 2564
ชน้ั มัธยมศึกษาปท ่ี 3
หนว ยการเรียนรู ความคลาย เร่อื ง รปู เรขาคณิตท่ีคลายกนั เวลา 2 คาบ
ครูผสู อน นาย ยศวรรธน แกวชว ย
1. มาตรฐานการเรยี นรแู ละตวั ชี้วัด
มาตรฐาน ค 2.2 เขา ใจและวิเคราะหร ปู เรขาคณติ สมบัติของรูปเรขาคณิต ความสัมพันธระหวาง
รปู เรขาคณิต และทฤษฎีบททางเรขาคณติ และนาํ ไปใช
ค 2.2 ม.3/1 เขา ใจและใชสมบัติของรปู สามเหลี่ยมที่คลายกันในการแกปญหาคณิตศาสตรและ
ปญหา ในชวี ติ จริง
2. จดุ ประสงคการเรยี นรู
• ดานความรู นกั เรยี นสามารถ
ระบุเงื่อนไขท่ีทําใหรูปหลายเหลี่ยมสองรูปที่คลายกัน และบอกสมบัติของรูปหลาย
เหลี่ยมไดค ลา ยกันได
• ดานทักษะกระบวนการทางคณติ ศาสตร นักเรยี นสามารถ
1. ใหเหตุผลได
2. สอ่ื ความหมายทางคณิตศาสตรไ ด
• ดา นคุณลักษณะ นักเรยี น
1. มวี นิ ยั
2. ใฝเ รียนรู
• ดานสมรรถนะ นักเรยี น
1. มคี วามสามารถในการคิด
2. มคี วามสามารถในการแกปญ หา
3. สาระสาํ คญั
รูปเรขาคณิตสองรูปเปน รปู ที่คลา ยกนั เมอ่ื รูปเรขาคณิตทั้งสองน้นั มีรูปรางเหมือนกัน อาจมีขนาด
เทา กันหรอื แตกตางกันกไ็ ด
สมบัตขิ องความคลา ย
1. สมบัติสะทอน รปู เรขาคณติ A ~ รูปเรขาคณิต B
2. สมบตั ิสมมาตร ถา รูปเรขาคณติ A ~ รปู เรขาคณติ B แลว รูปเรขาคณติ B ~ รูปเรขาคณติ A
3. สมบตั ถิ ายทอด ถา รูปเรขาคณิต A ~ รูปเรขาคณิต B และรปู เรขาคณิต B ~ รูปเรขาคณิต C
แลว รปู เรขาคณติ A ~ รปู เรขาคณิต C
บทนิยาย รูปหลายเหลี่ยมสองรูปคลา ยกนั กต็ อเม่อื รูปหลายเหลีย่ มสองรูปนน้ั มี
1. ขนาดของมุมเทากนั เปนคู ๆ ทุกคู
และ 2. อตั ราสว นของความยาวของดา นคทู ่ีสมนยั กันทุกคเู ปนอตั ราสว นท่เี ทา กนั
4. สาระการเรียนรู
ความคลา ย
5. กระบวนการจัดการเรียนรู ( 2 คาบ ) ( ใชแ บบโมเดลซิปปา (CIPPA MODEL) )
คาบท่ี 1
ข้ันทบทวนความรูเ ดมิ
1. ครูกลาวทกั ทายนกั เรยี น
2. ครูใหน ักเรยี นแบงกลุม กลุมละ 5 – 6 คน โดยการจับสลากหมายเลขกลุม
3. ครูใหนักเรียนนั่งสมาธิกอนเริ่มเรียน 3 นาที จากน้ันใหนักเรียนชวยกันทําใบกิจกรรมที่ 3.1
เกมจบั ผดิ ภาพ
ข้ันการแสวงหาความรใู หม
ครใู หนักเรียนรวมกันแสดงความคดิ เหน็ โดยใชคาํ ถามกระตุนความคิด ดังนี้
- จากเกมจบั ผิดภาพ นักเรียนสังเกตเหน็ ความแตกตางอะไรบา ง
( แนวคดิ นักเรยี น ขนาดท่ีแตกตางกัน )
ขัน้ การศึกษาทาํ ความเขา ใจขอ มูล
1. ครูใหนกั เรยี นรวมกนั พิจารณารูปภาพท้ัง 3 รูปบนกระดาน พรอ มท้งั ตอบคําถามกระตุนความคิด ดังนี้
- จากรปู ภาพทัง้ 3 รูปมอี ะไรที่เหมอื นกัน (แนวคิดของนกั เรยี น รูปรา ง รปู ทรง )
- จากรูปภาพทั้ง 3 รูปมอี ะไรทแ่ี ตกตางกัน (แนวคดิ ของนักเรยี น ขนาดท่ีแตกตางกนั )
2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายถึงขอสรุปท่ีไดจากการสังเกต รูปเรขาคณิตสองรูปเปนรูปที่คลายกัน
เมือ่ รูปเรขาคณิตทง้ั สองนน้ั มรี ปู รา งเหมอื นกัน อาจมขี นาดเทา กันหรอื แตกตางกนั กไ็ ด
เม่ือรูปเรขาคณิต A และรูปเรขาคณติ B เปน รูปทค่ี ลายกัน จะเขยี นวา
รูปเรขาคณิต A ~ รปู เรขาคณติ B อานวา รปู เรขาคณิต A คลา ยกับรูปเรขาคณติ B
3. ครูใหนักเรียนรว มกันแสดงความคดิ เห็น โดยใชค าํ ถามกระตนุ ความคดิ ดังนี้
- นักเรียนคดิ วา ทาํ ไมรปู เรขาคณติ ใด ๆ รูปหนง่ึ จึงคลา ยกบั รูปเรขาคณติ รูปนน้ั เสมอ
- นักเรยี นคดิ วา ถา รปู เรขาคณติ A ~ รปู เรขาคณติ B แลว รปู เรขาคณิต B ~ รูปเรขาคณติ A หรือไม
- นกั เรียนคดิ วา ถา รปู เรขาคณติ A ~ รูปเรขาคณิต B และรูปเรขาคณิต B ~ รูปเรขาคณิต C
แลวรูปเรขาคณติ A ~ รูปเรขาคณติ C หรอื ไม
4. ครูอธิบายจากคําตอบทไ่ี ดเปน ไปตามสมบตั ขิ องความคลา ยของรูปเรขาคณิต A, B และ C ใด ๆ ดังนี้
1. สมบัตสิ ะทอ น รูปเรขาคณิต A ~ รูปเรขาคณิต B
2. สมบตั ิสมมาตร ถา รูปเรขาคณิต A ~ รปู เรขาคณติ B แลว รูปเรขาคณิต B ~ รูปเรขาคณิต A
3. สมบตั ิถายทอด ถารปู เรขาคณติ A ~ รูปเรขาคณติ B และรูปเรขาคณิต B ~ รูปเรขาคณิต C
แลวรปู เรขาคณิต A ~ รปู เรขาคณิต C
ขั้นการแลกเปล่ียนความรูความเขา ใจกบั กลุม
1. ครูใหน กั เรียนทาํ ใบกิจกรรมท่ี 3.2 เร่ือง รูปเรขาคณติ ทีค่ ลา ยกนั (ภายใตห ลักการ Social Distancing)
2. ครูสุมนกั เรยี น 2-3 กลุม ออกมานําเสนอใบกิจกรรมท่ี 3.2 เร่ือง รูปเรขาคณิตที่คลายกัน โดยครูและ
เพ่อื น ๆ คอยตรวจสอบความถกู ตอง
ขั้นการสรุปและจดั ระเบียบความรู
ครแู ละนกั เรยี นรว มกนั สรุปเกย่ี วกับรูปท่คี ลา ยกัน ดังน้ี
รปู เรขาคณิตสองรูปเปนรปู ทค่ี ลา ยกนั เมือ่ รปู เรขาคณิตทงั้ สองนั้นมีรูปรางเหมือนกัน อาจมีขนาด
เทากันหรอื แตกตา งกนั กไ็ ด
สมบตั ขิ องความคลา ย
1. สมบัติสะทอน รูปเรขาคณติ A ~ รปู เรขาคณิต B
2. สมบตั สิ มมาตร ถารปู เรขาคณติ A ~ รปู เรขาคณติ B แลว รูปเรขาคณติ B ~ รปู เรขาคณิต A
3. สมบัติถายทอด ถารูปเรขาคณติ A ~ รูปเรขาคณติ B และรูปเรขาคณิต B ~ รปู เรขาคณิต C
แลวรปู เรขาคณติ A ~ รูปเรขาคณติ C
ขน้ั การปฏบิ ตั ิและประยุกตใ ชความรู
1. ครใู หน ักเรียนทกุ คนทาํ ใบงานท่ี 1 เพ่ือตรวจสอบความเขา ใจเปน รายบุคคล ดงั นี้
1. ใหนักเรียนพิจารณารูปเรขาคณิตตอ ไปนี้
รปู ทั้งสองคลา ยกนั หรอื ไม อยางไร
2. ใหนักเรียนพิจารณารปู เรขาคณิตตอไปน้ี
รปู ทง้ั สองคลายกนั หรือไม อยางไร
2. ครูคอยดูแลชวยเหลือนักเรียนเปนรายบุคคล คอยกระตุนความคิดนักเรียนและใชวาจาเสริมแรงแก
นักเรยี น
3. เม่ือนกั เรียนทาํ เสร็จแลว ครคู อยตรวจสอบคาํ ตอบ
4. ครูประเมินผลการเรียนรู
คาบท่ี 2
ขนั้ ทบทวนความรูเดิม
ครูทบทวนความรเู ก่ียวกับอัตราสว น สมบตั ขิ องเสน ขนาน และความเทากนั ทุกประการของรูป
สามเหลย่ี ม ดังนี้
อตั ราสวน
- ความสัมพันธที่แสดงการเปรียบเทียบปริมาณสองปริมาณซึ่งอาจมีหนวยเดียวกันหรือหนวยตางกันก็ได
เรยี กวา อัตราสวน
A
- อัตราสวนของปริมาณ A ตอปริมาณ B เขียนแทนดวย A : B หรือ B ซ่ึงจะพิจารณาเฉพาะในกรณีที่
A และ B เปน จาํ นวนบวกเทา น้นั
สมบัติของเสน ขนาน
- เมื่อเสน ตรงเสนหนึ่งตดั เสน ตรงคหู น่งึ เสน ตรงคนู ั้นขนานกัน กต็ อ เมื่อ มมุ แยงมีขนาดเทา กนั
- เมื่อเสนตรงเสนหน่ึงตัดเสนตรงคูหน่ึง เสนตรงคูนั้นขนานกัน ก็ตอเมื่อ ขนาดของมุมภายในท่ีอยูบนขาง
เดยี วกนั ของเสน ตัด รวมกันเทากบั 180 องศา
- เมื่อเสนตรงเสนหน่ึงตัดเสนตรงคูหนึ่ง เสนตรงคูน้ันขนานกัน ก็ตอเมื่อ มุมภายนอกและมุมภายในท่ีอยู
ตรงขา มบนขางเดียวกนั ของเสนตัดมีขนาดเทา กนั
ความเทา กนั ทุกประการ
- รูปสามเหลี่ยมสองรูปเทากันทุกประการ ก็ตอเม่ือ ดานคูที่สมนัยกันและมุมคูท่ีสมนัยกันของรูป
สามเหลย่ี มทง้ั สองรูปน้ัน มขี นาดเทา กันเปน คู ๆ
- รปู สามเหลย่ี มสองรูปเทากนั ทุกประการแบบ ดา น-มมุ -ดา น (ด.ม.ด.)
- รูปสามเหลยี่ มสองรปู เทากันทุกประการแบบ มมุ -ดาน-มมุ (ม.ด.ม.)
- รูปสามเหล่ียมสองรูปเทากันทกุ ประการแบบ ดาน-ดา น-ดา น (ด.ด.ด.)
- รูปสามเหลี่ยมสองรปู เทา กันทุกประการแบบ มมุ -มุม-ดาน (ม.ม.ด.)
- รปู สามเหลยี่ มสองรูปเทา กันทุกประการแบบ ฉาก-ดา น-ดา น (ฉ.ด.ด.)
ข้ันการแสวงหาความรูใ หม
1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5-6 คน ตามกลุมเดิมเมื่อคาบที่ 1 จากน้ันใหนักเรียนทํา
ใบกจิ กรรมท่ี 3.3 เรอื่ ง สํารวจรูปหลายเหล่ยี มทคี่ ลายกนั
2. ครสู มุ นักเรียน 2-3 กลุม ออกมานําเสนอแนวคิดในใบกิจกรรมที่ 3.3 เร่ือง สํารวจรูปหลายเหลี่ยมท่ี
คลายกนั
ข้นั การศึกษาทาํ ความเขาใจขอ มูล
1. ครแู ละนกั เรยี นรวมกันสรุปแนวคดิ จากใบกิจกรรมท่ี 3.3 เรือ่ ง สํารวจรูปหลายเหล่ยี มท่คี ลายกัน
ซง่ึ ผลจากการสาํ รวจ รูปส่เี หล่ียมABCD กบั รปู สีเ่ หลย่ี มPQRS ทเ่ี ปน รปู ทค่ี ลา ยกนั ขางตน จะเหน็ วา
• รูปสีเ่ หลย่ี มทงั้ สองมขี นาดของมมุ คทู ส่ี มนัยกันเทากันเปนคู ๆ ทกุ คู
• รปู ส่ีเหลีย่ มทงั้ สองมีอตั ราสว นของความยาวของดานคทู ีส่ มนยั กนั เปน อตั ราสว นท่ีเทากนั
โดยทั่วไป ถารูปหลายเหลี่ยมสองรูปคลายกัน จะสามารถจับคูจุดยอดท่ีทําใหไดมุมคูที่
สมนัยกันมีขนาดเทากันเปน คู ๆ ทกุ คู และอัตราสวนของความยาวของดานคูที่สมนัยกันทุกคูเปน
อัตราสว นทีเ่ ทา กนั
ดงั นน้ั ในทางคณิตศาสตร ใหบทนยิ ามของรูปหลายเหลีย่ มท่คี ลายกนั ดงั นี้
รูปหลายเหลยี่ มสองรูปคลา ยกัน ก็ตอเม่อื รูปหลายเหลีย่ มสองรปู นน้ั มี
1. ขนาดของมุมเทากันเปน คู ๆ ทกุ คู
และ 2. อตั ราสวนของความยาวของดา นคูทสี่ มนยั กันทุกคูเปนอัตราสวนทเี่ ทากัน
ข้นั การแลกเปลยี่ นความรูค วามเขา ใจกบั กลุม
1. ครูใหนักเรียนจับคู แลวทําใบกิจกรรมที่ 3.4 เร่ือง รูปเรขาคณิตสองรูปที่คลายกัน (ภายใตหลักการ
Social Distancing)
2. ครสู ุมนักเรียน 2-3 คู ออกมานําเสนอใบกิจกรรมท่ี 3.4 เร่ือง รูปเรขาคณิตสองรูปที่คลายกัน โดยครู
และเพื่อน ๆ คอยตรวจสอบความถูกตอ ง
ขนั้ การสรุปและจัดระเบยี บความรู
ครแู ละนกั เรยี นรวมกนั สรุปเกี่ยวกบั บทนยิ ามของรปู หลายเหลีย่ มสองรูปท่ีคลา ยกัน ดังนี้
รูปหลายเหล่ียมสองรปู คลายกนั ก็ตอ เม่ือ รปู หลายเหล่ยี มสองรปู น้นั มี
1. ขนาดของมุมเทากนั เปนคู ๆ ทกุ คู
และ 2. อตั ราสวนของความยาวของดา นคทู ส่ี มนยั กนั ทุกคเู ปน อัตราสว นท่เี ทา กัน
ขั้นการปฏิบตั ิและประยุกตใชค วามรู
1. ครใู หน กั เรียนทุกคนทําใบงานท่ี 2 เพื่อตรวจสอบความเขาใจเปนรายบุคคล
2. ครูคอยดูแลชว ยเหลอื นักเรียนเปน รายบคุ คล คอยกระตุนความคดิ นักเรียนและใชว าจาเสรมิ แรงแก
นักเรียน
3. เมื่อนักเรียนทําเสรจ็ แลว ครูตรวจสอบคาํ ตอบ
4. ครูประเมินผลการเรียนรู
6. ส่ือแหลง การเรยี นร/ู ส่อื การเรียนการสอน
1. หนงั สอื เรยี นรายวชิ าคณติ ศาสตรพืน้ ฐาน ม.3 เลม 2 (พว.)
2. ใบกจิ กรรมที่ 3.1
3. ใบกจิ กรรมที่ 3.2
4. ใบกิจกรรมที่ 3.3
5. ใบกจิ กรรมท่ี 3.4
7. การวดั และประเมนิ ผล
จุดประสงค เครื่องมือวดั วิธวี ดั ผล เกณฑก ารวัดผล
ดา นความรู นักเรยี นสามารถ
ระบุเง่ือนไขที่ทําใหรูปหลาย - ใบงานที่ 1 - ตรวจใบงาน - ถกู ตองรอยละ 60
เหล่ียมสองรูปท่ีคลายกัน และ - ใบงานท่ี 2
บอกสมบัติของรูปหลายเหล่ียม
ไดคลายกันได
ดา นทักษะ นกั เรยี นสามารถ
1. ใหเหตผุ ลได - แ บ บ สั ง เ ก ต ก า ร - สงั เกตพฤติกรรม อยใู นชวงคะแนน
2. สื่อความหมายทาง แ ก ป ญ ห า แ ล ะ ก า ร 4 คะแนนขึ้นไป
คณติ ศาสตรได ถามตอบ
ดานคณุ ลักษณะ นกั เรยี น - แบบสังเกต - การสงั เกตพฤติกรรม อยใู นชว งคะแนน
1. มวี ินัย
2. ใฝเรยี นรู พฤติกรรม - การตอบคาํ ถามในชั้น 4 คะแนนข้นึ ไป
เรียน
ดา นสมรรถนะ นกั เรยี น
1. มีความสามารถในการคดิ - แบบสงั เกต - การสงั เกตพฤตกิ รรม อยูในชวงคะแนน
2. มคี วามสามารถในการ พฤติกรรม 4 คะแนนขึ้นไป
แกป ญหา
8. ขอ เสนอแนะของหัวหนา สถานศึกษา หรือผูทไ่ี ดรับมอบหมาย (ตรวจสอบ/นเิ ทศ/เสนอแนะ/รบั รอง)
…………………………………………………………………………………………………………………….…………….………….....................
..................................................................................................…….…………………………………………………………………
…………………………………………………...……………………………………………………………….………….....................................
..................................................................................………………………………………………………………………...……………
………………………………………………………………………………………………………...…….…………...........................................
ลงชอื่ ………........……………………………………….
(......…………....………………...……………….)
ตําแหนง….....………ค…ร…พู …เี่ ล…ย้ี …ง…………………...
วันท่…ี ……เดือน…….....……..พ.ศ…...…
9. บนั ทกึ หลังการสอน
• ผลการสอน
..............................................................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
• ปญ หาและอปุ สรรค
..............................................................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................................................
• ขอเสนอแนะ / แนวทางแกไ ข
..............................................................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
ลงชอ่ื ………........……………………………………….
( .)
ตาํ แหนง..น...กั..ศ...ึก..ษ...า..ฝ..ก.…ป…ระ…ส…บ…ก…าร…ณ…ส…อ…น…วชิ…า…ช…พี …คร..ู
วนั ท่…ี ……เดอื น…….....……..พ.ศ…...…
แบบสงั
ลาํ ดบั ช่อื - สกุล ดา นทักษะ
ท่ี ส่อื ความ
การใหเหตุผล ทางคณติ
432143
งเกตพฤตกิ รรม
ดา นคณุ ลักษณะ ดา นสมรรถนะ
มหมาย ความสามารถ ความสามารถ
ตศาสตร มวี นิ ยั ใฝเรยี นรู ในการคดิ ในการแกปญ หา
214321432143214321
ลงชอื่ ................................................................ผูประเมิน
..................../....................../.................
เกณฑการใหค ะแนน ให 4 คะแนน
ปฏบิ ตั หิ รอื แสดงพฤติกรรมอยางสม่าํ เสมอ ให 3 คะแนน
ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤตกิ รรมบอยครงั้ ให 2 คะแนน
ปฏบิ ัตหิ รอื แสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให 1 คะแนน
ปฏบิ ัติหรอื แสดงพฤติกรรมนอยครั้ง
เกณฑการตัดสนิ คุณภาพดานทักษะ
ชว งคะแนน ระดับคณุ ภาพ
8 ดีมาก
6 - 7 ดี
4 - 5 พอใช
ต่ํากวา 3 ปรับปรุง
เกณฑการตดั สนิ คณุ ภาพดานคุณลกั ษณะ
ชว งคะแนน ระดบั คุณภาพ
8 ดมี าก
6 - 7 ดี
4 - 5 พอใช
ต่าํ กวา 3 ปรับปรงุ
เกณฑก ารตัดสนิ คุณภาพดา นสมรรถนะ
ชวงคะแนน ระดับคุณภาพ
8 ดีมาก
6 - 7 ดี
4 - 5 พอใช
ตา่ํ กวา 3 ปรบั ปรุง
ใบกจิ กรร
เกมจับผ
คาํ ชแ้ี จง ใหน กั เรยี นหาจุดทแี่ ต
จากภาพทั้งสองมีความแตกตา งกนั อยา งไรบาง
.....................................................................................................................
รมท่ี 3.1
ผิดภาพ
ตกตา งกันจากภาพทง้ั สองภาพ
................................................. สมาชกิ ในกลมุ
.........................................................................
.........................................................................
.........................................................................
.........................................................................
.........................................................................
.........................................................................
..
ใบงาน
ใหน กั เรียนพจิ ารณารูปเรขาคณิตตอ ไปนี้
รปู ทงั้ สองคลายกนั หรอื ไม อยางไร
.........................................................................
.........................................................................
.........................................................................
รูปเรขาคณิตท่ีคลา ยกนั
ของ ................................................................
รปู สองรูปคลายกนั กต็ อ เมื่อ
นท่ี 1
ใหนักเรยี นพจิ ารณารปู เรขาคณิตตอ ไปน้ี
รูปท้งั สองคลา ยกันหรือไม อยางไร
.........................................................................
.........................................................................
.........................................................................
รปู เรขาคณติ ที่คลา ยกัน
ของ ................................................................
.....................................................................................
.....................................................................................
.....................................................................................
ใบงาน
ใหนกั เรียนพจิ ารณารูปเรขาคณิตตอไปน้ี
รูปทงั้ สองคลายกนั หรอื ไม อยางไร
..............................................ร....ูป......เ..ร......ข......า....ค......ณ........ิต......ท......ค่ี ....ล......า....ย......ก......นั....................
.............ข..อ..ง................................................................
รูปสองรปู
นที่ 1
ใหน กั เรยี นพจิ ารณารูปเรขาคณติ ตอ ไปนี้
รปู ทั้งสองคลา ยกนั หรอื ไม อยางไร รปู เรขาคณิตทีค่ ลา ย
. .........................................................................
. ......................................................................... ของ ..............................................
... .........................................................................
ปคลายกัน ก็ตอ เม่ือ .....................................................................................
.....................................................................................
.....................................................................................
ใบกิจกรร
เรื่อง รูปเรขาค
นักเรียนพิจารณารูปเรขาคณิตตอไปน้ี
รูปทง้ั สองคลา ยกนั หรอื ไม อยางไร
.......................................................................................................................................
นกั เรยี นพิจารณารูปเรขาคณิตตอ ไปนี้
รปู ท้งั สองคลายกนั หรือไม อยางไร
.......................................................................................................................................
รมท่ี 3.2
คณิตทีค่ ลา ยกัน
นักเรยี นพิจารณารูปเรขาคณิตตอ ไปน้ี
รูปทั้งสองคลายกันหรือไม อยางไร
.......................................................................................................................................
นักเรยี นพิจารณารปู เรขาคณิตตอ ไปนี้
รปู ทั้งสองคลายกนั หรอื ไม อยางไร
.......................................................................................................................................
นักเรียนพจิ ารณารูปเรขาคณิตตอไปนี้
รปู ทัง้ สองคลา ยกนั หรอื ไม อยางไร
.......................................................................................................................................
นกั เรยี นพิจารณารปู เรขาคณิตตอไปน้ี
รูปท้งั สองคลา ยกันหรือไม อยางไร
.......................................................................................................................................
นกั เรียนพิจารณารปู เรขาคณิตตอ ไปนี้
รูปทั้งสองคลายกันหรอื ไม อยางไร
.......................................................................................................................................
นกั เรียนพิจารณารปู เรขาคณิตตอ ไปนี้
รปู ทั้งสองคลายกนั หรอื ไม อยางไร
.......................................................................................................................................
นักเรียนพจิ ารณารูปเรขาคณิตตอ ไปนี้
รปู ทง้ั สองคลายกันหรือไม อยางไร
.......................................................................................................................................
สมาชกิ ในกลมุ
1.
2.
3.
4.
5.
6.
7.
ใบกิจกรรม 3.4 ชื่อ
เรอ่ื ง รูปเรขาคณิตสองรูปทีค่ ลายกนั
คาํ ชี้แจง : ใหน้ กั เรียนตอบคาํ ถามตอ่ ไปน้ี Q 12 เซนตเิ มตร P
1.
H 5 เซนตเิ มตร G
5 เซนตเิ มตร 10 เซนตเิ มตร
EF N
M
1) มุมคูใ่ ดท่ีสมนยั กนั บา้ ง
(1) ......................สมนยั กบั ....................... (2) ...........................สมนยั กบั .............................
(3) .......................สมนยั กบั ....................... (4) ...........................สมนยั กบั .............................
มุมที่สมนยั กนั จะมีขนาด ............................................................
2) ดา้ นคูใ่ ดที่สมนยั กนั บา้ ง
(1) ......................สมนยั กบั ....................... (2) ...........................สมนยั กบั .............................
(3) .......................สมนยั กบั ....................... (4) ...........................สมนยั กบั .............................
ความยาวแต่ละคู่ที่สมนยั กนั มีอตั ราส่วนเท่าไร
...........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
3) อตั ราส่วนของความยาวคู่ท่ีสมนยั กนั จะเป็นอยา่ งไร
...........................................................................................................................................................................
สรุปไดว้ า่
...........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
2. 5 ซม. L 1
2
K 60° 2 ซม.
80° 4 ซม. Q R
3 ซม. 1 80° 60°
2 2 ซม.
1 ซม.
N 115° 105° T 115° 105°
1 1 S
2 2 ซม. M 1 4 ซม.
1) มุมคู่ใดที่สมนยั กนั บา้ ง
(1) ......................สมนยั กบั ....................... (2) ...........................สมนยั กบั .............................
(3) .......................สมนยั กบั ....................... (4) ...........................สมนยั กบั .............................
มุมท่ีสมนยั กนั จะมีขนาด ............................................................
2) ดา้ นคู่ใดท่ีสมนยั กนั บา้ ง
(1) ......................สมนยั กบั ....................... (2) ...........................สมนยั กบั .............................
(3) .......................สมนยั กบั ....................... (4) ...........................สมนยั กบั .............................
ความยาวแตล่ ะคู่ท่ีสมนยั กนั มีอตั ราส่วนเท่าไร
...........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
3) อตั ราส่วนของความยาวคูท่ ่ีสมนยั กนั จะเป็นอยา่ งไร
...........................................................................................................................................................................
สรุปไดว้ า่
...........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
ใบกิจกรรม 3.3
เร่อื ง สํารวจรูปหลายเหลยี่ มท่คี ลายกัน
กาํ หนดให ABCD และ PQRS เปน รูปทีค่ ลายกนั โดย PQRS เปนรปู ขยายของ ABCD
S
63◦
คาํ สัง่ ใหนกั เรียนทํากิจกรรม เรอ่ื ง สาํ รวจรูปหลายเหลี่ยมทีค่ ลา ยกัน แลวเขียนผลการสํารวจ
9 เซนตเิ มตร
D
63◦ 6 เซนติเมตร 7.5 เซนตเิ มตร R
90◦
5 เซนตเิ มตร C 4.5 เซนติเมตร
90◦ 112◦
95◦ 112◦ 3เซนตเิ มตร 6 เซนติเมตร Q
A 4 เซนติเมตร B
95◦
P
1. วดั ขนาดของมมุ ของรูปสี่เหล่ียมท้งั สอง แลวเติมคาลงในตาราง
ขนาดของมุมของ ABCD ขนาดของมมุ ของ PQRS
A� =.................องศา P� =.................องศา
B� =.................องศา Q� =.................องศา
C� =.................องศา R� =.................องศา
D� =.................องศา S� =.................องศา
2. วดั ความยาวของดานของรปู สเี่ หลี่ยมทั้งสอง แลว เตมิ คา ลงในตาราง
ความยาวของดา นของ ABCD ความยาวของดา นของ PQRS
AB =.................เซนติเมตร PQ =.................เซนติเมตร
BC =.................เซนตเิ มตร QR =.................เซนตเิ มตร
CD =.................เซนตเิ มตร RS =.................เซนติเมตร
DA =.................เซนติเมตร SP =.................เซนตเิ มตร
3. หาอตั ราสวนของความยาวของดานของรปู สีเ่ หล่ียมท้ังสอง ตอไปนี้
AB BC
PQ =.................................. QR =..................................
CD =.................................. =...................................
RS
4. จากรูปสี่เหล่ียมทงั้ สอง จงจบั คจู ดุ ยอดที่ทําใหไ ดมมุ คูที่สมนยั กันมขี นาดเทา กนั เปนคู ๆ ทกุ คู
..........................................................................................................................................................................
5. จากมุมคูที่สมนยั กันในขอ 4 จงระบดุ านคูท ่สี มนัยกัน
..........................................................................................................................................................................
6. ใหนกั เรียนสรา งขอความคาดการณเ กย่ี วกบั รูปหลายเหล่ยี มท่ีคลา ยกัน โดยอาศัยคําตอบจากขอ 3, 4และ5
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
ใบงานท่ี 2
รูปหลายเหล่ียมทค่ี ลา ยกนั
D9 M 6R
L
15 12
C 12 70◦ O 10 8 8A
W
จากรปู กําหนดให COLD ~ WARM จงหา
1. ขนาดของ C� และ A�
.................................................................................................................................................................................
2. มุมคูใ่ ดท่ีสมนยั กนั บา้ ง
(1) ......................สมนยั กบั ....................... (2) ...........................สมนยั กบั .............................
(3) .......................สมนยั กบั ....................... (4) ...........................สมนยั กบั .............................
มุมท่ีสมนยั กนั จะมีขนาด ............................................................
2) ดา้ นคูใ่ ดท่ีสมนยั กนั บา้ ง
(1) ......................สมนยั กบั ....................... (2) ...........................สมนยั กบั .............................
(3) .......................สมนยั กบั ....................... (4) ...........................สมนยั กบั .............................
ความยาวแตล่ ะคู่ที่สมนยั กนั มีอตั ราส่วนเท่าไร
...........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
3) อตั ราส่วนของความยาวคู่ที่สมนยั กนั จะเป็นอยา่ งไร
...........................................................................................................................................................................
ดังน้ัน COLD ..... WARM เพราะ.....................................................................................................
....................................................................................................................................................................
แผนการจัดการเรียนรทู ่ี 2 รายวชิ า คณิตศาสตร 5
กลมุ สาระการเรียนรคู ณิตศาสตร ภาคเรยี นที่ 1 ปก ารศึกษา 2564
ชั้นมัธยมศกึ ษาปท ่ี 3
หนว ยการเรยี นรู ความคลาย เรอื่ ง รูปสามเหล่ยี มท่ีคลายกัน เวลา 4 คาบ
ครูผสู อน นาย ยศวรรธน แกว ชวย
1. มาตรฐานการเรียนรแู ละตวั ชว้ี ัด
มาตรฐาน ค 2.2 เขา ใจและวิเคราะหร ูปเรขาคณติ สมบัติของรูปเรขาคณิต ความสัมพันธระหวาง
รูปเรขาคณิต และทฤษฎีบททางเรขาคณิต และนาํ ไปใช
ค 2.2 ม.3/1 เขา ใจและใชส มบตั ิของรปู สามเหล่ียมที่คลายกันในการแกปญหาคณิตศาสตรและ
ปญ หา ในชวี ิตจรงิ
2. จดุ ประสงคก ารเรียนรู
• ดานความรู นักเรยี นสามารถ
ระบุเงอ่ื นไขทท่ี าํ ใหร ปู สามเหล่ียมสองรูปท่ีคลายกัน และบอกสมบัติของรูปหลายเหล่ียม
ไดคลา ยกันได
• ดา นทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร นกั เรยี นสามารถ
1. ใหเหตุผลได
2. สอ่ื ความหมายทางคณิตศาสตรได
• ดา นคุณลักษณะ นกั เรียน
1. มีวินยั
2. ใฝเรียนรู
• ดา นสมรรถนะ นักเรยี น
1. มีความสามารถในการคดิ
2. มีความสามารถในการแกปญหา
3. สาระสาํ คัญ
บทนยิ าม รปู สามเหล่ยี มสองรปู คลายกนั ก็ตอเมื่อ รูปสามเหล่ยี มสองรูปนน้ั มีขนาดของมมุ เทา กนั เปนคู
ๆ สามคู
ทฤษฎีบท ถา อัตราสว นของความยาวของดานคูทส่ี มนัยกันทกุ คูข องรูปสามเหล่ียมสองรปู เปน
อตั ราสว นทเ่ี ทากัน แลวรปู สามเหลย่ี มสองรูปนัน้ เปน รปู สามเหลย่ี มท่ีคลา ย
5. กระบวนการจัดการเรยี นรู ( 4 คาบ ) ( ใชแ บบโมเดลซิปปา (CIPPA MODEL) )
คาบท่ี 1-2
ข้ันทบทวนความรูเดมิ
1. ครกู ลาวทักทายนกั เรยี น แลวใหนักเรียนนั่งสมาธิกอ นเรมิ่ เรยี น 3 นาที
2. ครทู บทวนความรเู กีย่ วรปู หลายเหลยี่ มท่คี ลายกันในช่ัวโมงทแ่ี ลว ดังน้ี
รปู หลายเหลยี่ มสองรูปคลา ยกัน ก็ตอเมื่อ รูปหลายเหลี่ยมสองรปู นน้ั มี
1. ขนาดของมุมเทากันเปน คู ๆ ทกุ คู
และ 2. อัตราสวนของความยาวของดา นคทู ่ีสมนัยกนั ทกุ คูเ ปนอตั ราสว นท่ีเทา กัน
ตัวอยางที่ 1
D
A
B CE F
จากบทนยิ ายของรปู หลายเหลย่ี มที่คลา ยกัน ABC ~ DEF กต็ อ เมือ่
1. A� = D�, B� = E� และ C� = F�
AB BC CA
และ 2. DE = EF = FD
ขนั้ การแสวงหาความรูใหม
1. ครูใหนักเรยี นชว ยกนั ทาํ ใบกิจกรรมที่ 3.5 เรือ่ ง สาํ รวจรูปสามเหลยี่ ม
2. ครูสุมนักเรียน 2-3 กลุม ออกมานําเสนอใบกิจกรรมท่ี 3.5 เร่ือง สํารวจรูปสามเหล่ียม โดยครูและ
เพอ่ื น ๆ คอยตรวจสอบความถกู ตอง
ขน้ั การศกึ ษาทําความเขา ใจขอ มูล
ครูสรุปแนวคิดของนักเรียนจากใบกิจกรรมที่ 3.5 ทําใหได A� = D� และ B� = E� แตเนื่องจาก
ผลรวมภายในทงั้ สามมุมของรปู สามเหลย่ี มใด ๆ เทา กับ 180 องศา จะไดวามุมท่ีเหลืออีกคูหน่ึงจะมีขนาด
เทากันดวย นั่นคือ C� = F� ดังน้ัน ABC ~ DEF มีขนาดของมุมเทากันเปนคู ๆ สามคู ในทาง
คณติ ศาสตรไดใ หน ยิ ามของรปู สามเหลีย่ มทค่ี ลา ยกัน ดังนี้
รูปสามเหลี่ยมสองรูปคลายกัน ก็ตอเมื่อ รูปสามเหล่ียมสองรูปนั้นมีขนาดของมุมเทากันเปนคู ๆ
สามคู
และจากใบกิจกรรมที่ 3.5 จะไดวา อัตราสวนของความยาวองดานคูที่สมนัยกันทั้งสามคูเทากัน คือ
AB BC CA
DE = EF = FD ซง่ึ สอดคลองกับทฤษฎีบท ตอไปน้ี
ถาอัตราสวนของความยาวของดานคูท่ีสมนัยกันทุกคูของรูปสามเหล่ียมสองรูป เปนอัตราสวนท่ี
เทากนั แลวรูปสามเหล่ยี มสองรูปนั้นเปน รปู สามเหล่ยี มทค่ี ลาย
โดยทั่วไป ถา รปู สามเหล่ียมสองรูปมีขนาดของมุมเทากันเปนคู ๆ สามคู แลวอัตราสวนของความ
ยาวของดานคทู ีส่ มนัยกันทัง้ สามคจู ะเทากนั ดวย น่ันคือ รูปสามเหล่ียมสองรูปมีขนาดเทากันเปนคู ๆ สาม
คู เปนเง่ือนไขท่ีเพียงพอทจ่ี ะทําใหส รุปไดว า รูปสามเหล่ยี มสองรปู น้นั เปนรปู สามเหล่ียมที่คลายกัน โดยไม
จําเปนตองตรวจสอบอัตราสวนของความยาวของดา นคูทสี่ มนัยกันเหมือนรปู หลายเหล่ียมอน่ื ๆ
ตัวอยางที่ 1 รูปสามเหลย่ี มทีก่ าํ หนดให เปน รูปสามเหลยี่ มทคี่ ลายกันหรอื ไม เพราะเหตใุ ด
G
3C
1
D1 2O A2 3T
DOG ~ CAT เพราะมมี มุ ทม่ี ีขนาดเทา กนั เปนคู ๆ สามคู คอื D� = C�, O� = A� และ G� = T�
ตัวอยา งที่ 2 รูปสามเหลย่ี มที่กาํ หนดให เปน รูปสามเหล่ียมทค่ี ลา ยกนั หรือไม เพราะเหตุใด
B
85◦ M
I 41◦ G X 41◦ 54◦ A
BIG ~ MAX เพราะมมี มุ ที่มีขนาดเทากนั เปนคู ๆ สามคู ดังนี้
จาก BIG มี Î = 180 − 85 − 41 = 54°
จาก MAX มี M� = 180 − 54 − 41 = 85°
ดังน้ัน B� = M� = 85°, Î = A� = 54° และ G� = �X = 41°
ตวั อยา งท่ี 2 รูปสามเหลย่ี มท่กี ําหนดให เปน รปู สามเหลย่ี มท่คี ลายกนั หรอื ไม เพราะเหตุใด
ตัวอยา งท่ี 3 รปู สามเหล่ียมทีก่ าํ หนดให เปนรปู สามเหลี่ยมที่คลายกนั หรอื ไม เพราะเหตุใด
FL
16 21 14
8
D 12 EM 28 N
วธิ ีทํา เนื่องจาก FD = 8 = 4
LN 14 7
DE 12 4
LM = 21 = 7
FE = 16 = 4
MN 28 7
ดงั น้นั DEF ~ LMN
ขัน้ การแลกเปล่ียนความรคู วามเขาใจกบั กลุม
1. ครูใหนักเรียนจับคู แลวทําแบบฝกหัดที่ 1 ในหนังสือเรียนรายวิชาคณิตศาสตรพ้ืนฐาน ม.3 เลม 2
(พว.) หนา 113-114 ขอ 1- ขอ 5 (ภายใตห ลกั การ Social Distancing)
2. เม่อื นักเรยี นทําเสร็จแลว ครูตรวจสอบคาํ ตอบ
ข้นั การสรุปและจดั ระเบยี บความรู
ครแู ละนักเรยี นรว มกันสรปุ ความรเู ก่ียวกบั รปู สามเหลยี่ มสองรปู ทคี่ ลา ยกัน ดังน้ี รูปสามเหลย่ี มสองรูป
เปน รูปสามเหล่ยี มท่ีคลา ยกัน เราอาจพจิ ารณาเพยี งเงื่อนไขใดเงอื่ นไขหนง่ึ จากสองเง่ือนไขตอ ไปน้ี เพยี ง
เง่ือนไขเดียว
1. รูปสามเหลีย่ มสองรปู นัน้ มีขนาดของมุมเทากนั เปนคู ๆ สามคู
หรือ 2. อตั ราสวนของความยาวของดา นคูท ่สี มนัยกันทกุ คู เปนอัตราสวนทีเ่ ทากนั
ข้ันการปฏบิ ตั แิ ละประยุกตใ ชความรู
1. ครูใหน กั เรียนทุกคนทําทาํ แบบฝกหดั ท่ี 1 ในหนงั สือเรยี นรายวิชาคณิตศาสตรพน้ื ฐาน ม.3 เลม 2 (พว.)
หนา 113-114 ขอ 6 – ขอ10 เพือ่ ตรวจสอบความเขา ใจเปน รายบคุ คล
2. ครูคอยดูแลชวยเหลือนกั เรยี นเปน รายบุคคล คอยกระตุนความคดิ นักเรยี นและใชว าจาเสรมิ แรงแก
นกั เรียน
3. เมือ่ นักเรยี นทําเสร็จแลว ครตู รวจสอบคําตอบ
4. ครูประเมนิ ผลการเรียนรู
คาบที่ 3-4
ขั้นทบทวนความรเู ดมิ
1. ครูกลา วทักทายนักเรยี น แลว ใหน ักเรียนนั่งสมาธกิ อ นเร่มิ เรียน 3 นาที
2. ครูทบทวนความรเู ก่ยี วรูปสามเหลี่ยมที่คลายกันในชั่วโมงทแี่ ลว ดังนี้
รูปสามเหลย่ี มสองรูปเปนรปู สามเหลีย่ มท่คี ลา ยกนั เราอาจพจิ ารณาเพียงเงื่อนไขใดเงือ่ นไขหนึง่ จาก
สองเงอื่ นไขตอ ไปน้ี เพยี งเง่อื นไขเดยี ว
1. รปู สามเหลี่ยมสองรปู นน้ั มขี นาดของมมุ เทากนั เปน คู ๆ สามคู
หรือ 2. อัตราสว นของความยาวของดานคูทีส่ มนยั กันทกุ คู เปน อตั ราสวนท่ีเทากัน
ขัน้ การแสวงหาความรูใ หม
1. ครูใหนกั เรียนชวยกันทาํ ใบกิจกรรมที่ 3.6 เรื่อง การหาความยาวดา น x และ y
2. ครูสุมนักเรียน 2-3 กลุม ออกมานําเสนอใบกิจกรรมท่ี 3.6 เรื่อง การหาความยาวดาน x และ y โดย
ครูและเพื่อน ๆ คอยตรวจสอบความถูกตอง
ข้นั การศกึ ษาทาํ ความเขาใจขอ มูล
ครสู รปุ แนวคดิ ของนักเรยี นจากใบกจิ กรรมที่ 3.6 พรอมยกตวั อยางประกอบ
ตวั อยางที่ 4
M
28 x
Py Q
12 15
N O
30
วธิ ีทาํ พิจารณา MPQ และ MNO
MP�Q = MN�O
PM� Q = NM� O
MQ�P = MO�N
ดงั นน้ั MPQ ~ MNO 28
PQ MP y 40
จะได NO = MN หรอื 30 =
40y = 840
y = 21
MQ MP x 28
และจะได MO = MN หรือ x+15 = 40
40x = 28x + 420
40x – 28x = 420
12x = 420
x = 35
นน่ั คือ x = 35 และ y = 21
ข้ันการแลกเปลยี่ นความรคู วามเขาใจกบั กลุม
1. ครูใหนักเรียนจับคู แลวทําแบบฝกหัดท่ี 2 ในหนังสือเรียนรายวิชาคณิตศาสตรพ้ืนฐาน ม.3 เลม 2
(พว.) หนา 120 ขอ 1 และ ขอ 2 (ภายใตห ลกั การ Social Distancing)
2. เมอื่ นกั เรียนทําเสร็จแลว ครูตรวจสอบคาํ ตอบ
ขนั้ การสรปุ และจัดระเบียบความรู
ครแู ละนักเรยี นรวมกนั สรปุ ความรูเกี่ยวกับการหาคา ความยาวดา น x และ y
ขน้ั การปฏบิ ตั ิและประยุกตใ ชความรู
1. ครใู หน กั เรยี นทุกคนทําทาํ แบบฝกหัดท่ี 2 ในหนังสือเรยี นรายวชิ าคณติ ศาสตรพื้นฐาน ม.3 เลม 2 (พว.)
หนา 121 ขอ 4 และ ขอ 5 เพ่ือตรวจสอบความเขาใจเปนรายบุคคล
2. ครคู อยดแู ลชวยเหลือนักเรียนเปนรายบุคคล คอยกระตุนความคดิ นักเรยี นและใชวาจาเสรมิ แรงแก
นกั เรยี น
3. เม่ือนักเรียนทําเสรจ็ แลว ครูตรวจสอบคาํ ตอบ
4. ครูประเมินผลการเรียนรู
6. สอ่ื แหลงการเรียนรู/ สอื่ การเรียนการสอน
1. หนังสอื เรียนรายวิชาคณิตศาสตรพ ้นื ฐาน ม.3 เลม 2 (พว.)
2. ใบกิจกรรมที่ 3.5
3. ใบกิจกรรมที่ 3.6
7. การวัดและประเมินผล เครอ่ื งมอื วัด วธิ ีวัดผล เกณฑก ารวดั ผล
จุดประสงค - แบบฝก หัดที่ 1 - ตรวจแบบฝก หดั - ถูกตองรอยละ 60
ดา นความรู นกั เรียนสามารถ - แบบฝก หดั ที่ 2
ระบุเงือ่ นไขทที่ าํ ใหรูป
สามเหลย่ี มสองรปู ที่คลายกัน - แ บ บ สั ง เ ก ต ก า ร - สงั เกตพฤติกรรม อยใู นชวงคะแนน
และบอกสมบัติของรูป แ ก ป ญ ห า แ ล ะ ก า ร 4 คะแนนขึน้ ไป
สามเหล่ยี มไดคลา ยกันได ถามตอบ
ดานทกั ษะ นักเรยี นสามารถ
1. ใหเหตุผลได - แบบสงั เกต - การสงั เกตพฤติกรรม อยูในชว งคะแนน
2. ส่ือความหมายทาง พฤติกรรม - การตอบคาํ ถามในช้ัน 4 คะแนนข้นึ ไป
คณติ ศาสตรได - แบบสงั เกต เรียน
ดา นคุณลกั ษณะ นักเรียน พฤติกรรม - การสังเกตพฤตกิ รรม อยใู นชว งคะแนน
1. มวี นิ ยั
2. ใฝเรยี นรู 4 คะแนนขนึ้ ไป
ดา นสมรรถนะ นักเรียน
1. มีความสามารถในการคิด
2. มีความสามารถในการ
แกปญ หา
8. ขอเสนอแนะของหัวหนาสถานศกึ ษา หรอื ผูที่ไดร ับมอบหมาย (ตรวจสอบ/นเิ ทศ/เสนอแนะ/รบั รอง)
…………………………………………………………………………………………………………………….…………….………….....................
..................................................................................................…….…………………………………………………………………
…………………………………………………...……………………………………………………………….………….....................................
..................................................................................………………………………………………………………………...……………
………………………………………………………………………………………………………...…….…………...........................................
............................................................................……………………………………………………………….................................
ลงชือ่ ………........……………………………………….
(......…………....………………...……………….)
ตําแหนง ….....………ค…ร…พู …่เี ล…ย้ี …ง…………………...
วันท่ี………เดอื น…….....……..พ.ศ…...…
9. บนั ทกึ หลังการสอน
• ผลการสอน
..............................................................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
• ปญ หาและอปุ สรรค
..............................................................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................................................
• ขอเสนอแนะ / แนวทางแกไ ข
..............................................................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
ลงชอ่ื ………........……………………………………….
( .)
ตาํ แหนง..น...กั..ศ...ึก..ษ...า..ฝ..ก.…ป…ระ…ส…บ…ก…าร…ณ…ส…อ…น…วชิ…า…ช…พี …คร..ู
วนั ท่…ี ……เดอื น…….....……..พ.ศ…...…
แบบสงั
ลาํ ดบั ช่อื - สกุล ดา นทักษะ
ท่ี ส่อื ความ
การใหเหตุผล ทางคณติ
432143
งเกตพฤตกิ รรม
ดา นคณุ ลักษณะ ดา นสมรรถนะ
มหมาย ความสามารถ ความสามารถ
ตศาสตร มวี นิ ยั ใฝเรยี นรู ในการคดิ ในการแกปญ หา
214321432143214321
ลงชอื่ ................................................................ผูประเมิน
..................../....................../.................
เกณฑการใหค ะแนน ให 4 คะแนน
ปฏบิ ตั หิ รอื แสดงพฤติกรรมอยางสม่าํ เสมอ ให 3 คะแนน
ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤตกิ รรมบอยครงั้ ให 2 คะแนน
ปฏบิ ัตหิ รอื แสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให 1 คะแนน
ปฏบิ ัติหรอื แสดงพฤติกรรมนอยครั้ง
เกณฑการตัดสนิ คุณภาพดานทักษะ
ชว งคะแนน ระดับคณุ ภาพ
8 ดีมาก
6 - 7 ดี
4 - 5 พอใช
ต่ํากวา 3 ปรับปรุง
เกณฑการตดั สนิ คณุ ภาพดานคุณลกั ษณะ
ชว งคะแนน ระดบั คุณภาพ
8 ดมี าก
6 - 7 ดี
4 - 5 พอใช
ต่าํ กวา 3 ปรับปรงุ
เกณฑก ารตัดสนิ คุณภาพดา นสมรรถนะ
ชวงคะแนน ระดับคุณภาพ
8 ดีมาก
6 - 7 ดี
4 - 5 พอใช
ตา่ํ กวา 3 ปรบั ปรุง
A ใบกิจกรรมท่ี 3.5 10
เรื่อง สาํ รวจรปู สามเหลี่ยม
40◦
3 D
40◦
6
5
B 4 50◦ C E 8 50◦ F
คาํ ชี้แจง : ใหน้ กั เรียนตอบคาํ ถามตอ่ ไปน้ี
1. หาขนาดของมมุ ของรปู สามเหล่ียมท้งั สอง แลว เติมคา ลงในตาราง
ขนาดของมุมของ ABC ขนาดของมมุ ของ DEF
A� =.................องศา E� =.................องศา
B� =.................องศา D� =.................องศา
C� =.................องศา F� =.................องศา
มมุ ภายในของ ABC รวมกันได. .......................... มมุ ภายในของ DEF รวมกนั ได. ..........................
2. หาความยาวของดานของรปู สามเหลี่ยมทง้ั สอง แลวเตมิ คาลงในตาราง
ความยาวของดานของ ABC ความยาวของดา นของ DEF
AB =.................เซนติเมตร DE =.................เซนติเมตร
BC =.................เซนตเิ มตร EF =.................เซนตเิ มตร
CA =.................เซนตเิ มตร FD =.................เซนตเิ มตร
3. จากรปู สเี่ หล่ียมท้งั สอง จงจบั คจู ุดยอดทท่ี าํ ใหไดมมุ คูทส่ี มนัยกันมีขนาดเทากันเปนคู ๆ ทกุ คู
(1) ................สมนยั กบั ................. มีขนาดเท่ากบั .....................
(2) .................สมนยั กบั ................ มีขนาดเทา่ กบั .....................
(3) .................สมนยั กบั ................ มีขนาดเทา่ กบั .....................
ซ่ึงมุมท่ีสมนยั กนั จะมีขนาด ............................................
4. จากมุมคทู ่ีสมนยั กันในขอ 3 จงระบุดานคทู ีส่ มนัยกนั (2) ...........................สมนยั กบั .............................
(1) ......................สมนยั กบั .......................
(3) .......................สมนยั กบั .......................
5. หาอัตราสวนของความยาวของดา นของรูปสามเหลย่ี มทง้ั สอง ตอไปน้ี
AB BC CA
DE =.................................. EF =.................................. FD =..................................
อตั ราส่วนของความยาวคูท่ ่ีสมนยั กนั จะเป็นอยา่ งไร
...........................................................................................................................................................................
ใบกิจกรรมที่ 3.6
เรื่อง การหาความยาวดาน x และ y
คาํ ชี้แจง ใหน ักเรียนศึกษาวธิ ีการหาความยาวดาน x และ y จากตวั อยา งทก่ี ําหนดให แลว ให
นักเรยี นทําแบบคําถามชวนคิด
ตวั อยางที่ 1 จากรปู จงหาคา x และ y P
C
x 10 y
9
A 12 B RQ
6
วธิ ที ํา พจิ ารณา ABC และ PQR
A� = B� = C� = 180° และ R� = Q� = P� = 180° (ขนาดของมุมภายในทัง้ สามมมุ ของ
รปู สามเหลีย่ มรวมกนั เทากบั 180◦)
A� = P� (กาํ หนดให)
(กาํ หนดให)
B� = Q� (สมบัตขิ องการเทากัน)
(มมี ุมท่ีมีขนาดเทา กันเปน คู ๆ สามคู)
จะได C� = R�
ดงั น้นั ABC ~ PQR
AC BC x 9
จะได PR = QR หรอื 10 = 6
6x = 90
x = 15
AB BC 12 9
และจะได PQ = QR หรือ y = 6
72 = 9y
y =8
น่นั คือ x = 15 และ y = 8
คําถามชวนคิด A
N 60
R
y
42 28
E 24 C xT 48
จากรปู จงหาคา x และ y A
60
วธิ ที ํา จากรปู ที่กําหนดให สามารถแบงเปนรปู สามเหลยี่ มได 2 รปู ดังน้ี R
N
y
42 28
E TC 48 + x
พจิ ารณา NET 2แ4ละ+ x ACR
กลมุ สาระการเรยี นรคู ณิตศาสตร แผนการจดั การเรียนรทู ่ี 3 รายวิชา คณติ ศาสตร 5
ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที่ 3 ภาคเรียนท่ี 1 ปการศึกษา 2564
หนว ยการเรียนรู ความคลา ย เรื่อง โจทยป ญ หาเกี่ยวกับกบั รูปสามเหลย่ี มท่คี ลา ยกนั
ครผู สู อน นาย ยศวรรธน แกวชวย เวลา 3 คาบ
1. มาตรฐานการเรียนรูและตวั ชี้วดั
มาตรฐาน ค 2.2 เขา ใจและวเิ คราะหรปู เรขาคณติ สมบัติของรูปเรขาคณิต ความสัมพันธระหวาง
รปู เรขาคณิต และทฤษฎีบททางเรขาคณติ และนําไปใช
ค 2.2 ม.3/1 เขา ใจและใชส มบตั ิของรูปสามเหลี่ยมท่ีคลายกันในการแกปญหาคณิตศาสตรและ
ปญหา ในชวี ิตจริง
2. จดุ ประสงคการเรียนรู
• ดานความรู นกั เรียนสามารถ
ใชส มบัติของรปู สามเหลยี่ มทค่ี ลายกนั ในการใหเ หตผุ ลและแกป ญหาได
• ดา นทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร นักเรียนสามารถ
1. แกปญหาได
2. ใหเ หตผุ ลได
3. สื่อความหมายทางคณติ ศาสตรไ ด
• ดา นคุณลักษณะ นักเรยี น
1. มีวินยั
2. ใฝเ รยี นรู
• ดา นสมรรถนะ นกั เรยี น
1. มีความสามารถในการคิด
2. มคี วามสามารถในการแกป ญ หา
3. สาระสําคญั
ความรูเรือ่ ง รปู สามเหลย่ี มที่คลายกนั สามารถนาํ เอาสมบตั ิของรูปสามเหลี่ยมทค่ี ลายกันไปใชใ น
การแกปญหาในชวี ติ ประจาํ วัน
4. สาระการเรียนรู
ความคลา ย
5. กระบวนการจัดการเรียนรู ( 3 คาบ ) ( ใชแ บบโมเดลซิปปา (CIPPA MODEL) )
คาบท่ี 1
ข้ันทบทวนความรูเ ดิม
1. ครใู หน กั เรียนนงั่ สมาธิกอนเริ่มเรยี น 3 นาที
2. ครูและนักเรยี นรวมกนั สนทนาทบทวนเกยี่ วกับเง่ือนไขของรปู สามเหล่ยี มทค่ี ลายกนั
รูปสามเหล่ยี มสองรูปคลายกัน กต็ อเม่ือ รปู สามเหลี่ยมสองรูปน้นั มีขนาดของมุมเทา กันเปนคู
ๆ สามคู
รูปสามเหลี่ยมสองรูปคลา ยกัน ก็ตอเมื่อ อตั ราสวนของความยาวของดา นคทู ี่สมนยั กันทกุ คู
เปนอตั ราสว นทเี่ ทา กัน
ขนั้ การแสวงหาความรูใ หม
ครูและนกั เรยี นรวมกันสนทนากันเกยี่ วกบั การหาความสงู หรือระยะทาง ความยาวของสง่ิ ทอ่ี ยูร อบตวั
เราทีน่ ักเรยี นไมส ามารถวัดความยาวของระยะทางเหลา นน้ั ไดห รือวัดไดล าํ บาก โดยใชคาํ ถามกระตนุ
ความคดิ เพือ่ เช่ือมโยงการนําเงอื่ นไขของรปู สามเหลี่ยมที่คลายกันไปใช ดังนเ้ี ชน
• นกั เรียนคดิ วาการหาความสงู หรือระยะทาง ความยาวของสงิ่ ท่ีอยรู อบตัวเราท่เี ราไมสามารถวดั
ความยาวของระยะทางเหลาน้ันไดห รอื วดั ไดลําบาก มีอะไรบาง
(แนวคิดนกั เรียน ความสูงของตนไม ความสงู ของตึก ความสูงของเสาธง ความกวางของแมน าํ้ )
• นักเรียนคิดวาจะนําความรเู ร่ืองสามเหลย่ี มคลา ยมาใชไดหรอื ไม (แนวคิดนกั เรียน ได)
• หากเราจะนาํ ความรเู ร่อื งสามเหลย่ี มคลา ยมาใช จะมีวธิ ีการทาํ ไดอยา งไร
(แนวคดิ นกั เรยี น ใชการเปรียบเทยี บ)
ข้นั การศึกษาทาํ ความเขาใจขอ มูล
1. ครูยกตัวอยางโจทยเกี่ยวกับการหาระยะของส่ิงตาง ๆ ท่ีเก่ียวของกับความยาวและพิจารณาเก่ียวกับ
การนําความรเู รอื่ ง รูปสามเหล่ยี มคลา ยไปประยุกตใ ช จากนั้นตอบคําถามกระตุนความคดิ
ดงั นี้
ชายคนหน่ึงมองเห็นเงาของตนมะพราวทอดยาวไป 28 เมตร ขณะที่เสาตนหน่ึงซึ่งสูง 5 เมตร
ทอดเงาไปทางเดยี วกนั ยาว 10 เมตร อยากทราบวา ตนมะพราวสูงกเ่ี มตร
• จากตวั อยา งนี้ตอ งการทราบเกยี่ วกับสิ่งใด (แนวคิดนักเรยี น ความสูงของตน มะพรา ว)
• ถา นาํ ความสมั พันธท ่ีโจทยกาํ หนดมาเขียนเปน รปู สามเหลีย่ มจะไดรูปสามเหล่ยี มลักษณะอยางไร
( แนวคิดนักเรยี น เปน รปู สามเหลยี่ มมุมฉาก 2 รูป รูปหนึ่งเล็ก อีกรูปหนึ่งมีขนาดใหญกวา )
• นกั เรียนคดิ วา สามารถใชความสัมพนั ธจ ากความรูเรื่อง รปู สามเหลีย่ มคลายหาความสูง
ของตน มะพรา วไดห รือไม (แนวคดิ นกั เรยี น ได)
2. ครูใหน กั เรยี นรว มกนั หาความสงู ของตนมะพรา วจากโจทยตัวอยา ง
D B
5 ม.
C 10 ม. E
28 ม.
จากรปู กําหนดให AB แทนความสูงของตนมะพราว
DE แทน ความสงู ของเสา เทา กับ 5 เมตร
EC แทน ความยาวของเงาของเสา เทากับ 10 เมตร
BC แทน ความยาวของเงาของตนมะพรา ว เทา กบั 28 เมตร
พจิ ารณาความสมั พันธของมมุ ทเี่ ทากันจากรูปสามเหลี่ยมที่คลา ยกนั จะได
ACCB^^AB = DCEC^^DE (เปน มุมฉากกาง 90๐ เน่อื งจากตน มะพรา วและเสาตั้งฉากกบั พน้ื ดนิ )
= (เปนมุมรวม)
CA^B = CD^E (เปน มุมท่ีเหลอื ยอมเทา กัน เนื่องจากมมุ ภายในรปู สามเหล่ยี มรวมกันได 180๐)
ดังนนั้ ∆ABC ∼ ∆DEC
ใชอัตราสวนของดานทส่ี มนยั กันของรูปสามเหลย่ี มคลา ยในการหาความสูงของตนมะพราว
จจแะาทกไนดค าDDAAขBBEEอง==จาํ นBBEEวCCCCน=ตาCCมDAทโี่ จทยกาํ หนด
แทนคา DE = 5 เมตร, BC = 28 เมตร และ EC = 10 เมตร
จะได AA5BB = 2180
AB = 12481เม0ตร5
=
น่ันคือ ตน มะพรา วสูง 14 เมตร
ข้นั การแลกเปลยี่ นความรคู วามเขาใจกับกลุม
1. ครใู หนกั เรียนแบงกลมุ กลุมละ 4-5 คน (คละความสามารถ เกง ปานกลาง ออน) ทําใบกิจกรรมท่ี 3.7
เรื่อง โจทยปญหาเก่ียวกับรปู สามเหลีย่ มที่คลายกัน (ภายใตหลักการ Social Distancing)
2. ครูสุมนักเรียน 2-3 กลมุ ออกมานําเสนอใบกิจกรรมที่ 3.7 เร่ือง โจทยปญหาเก่ียวกับรูปสามเหล่ียมท่ี
คลายกนั โดยครแู ละเพอื่ น ๆ คอยตรวจสอบความถกู ตอง
ขัน้ การสรุปและจัดระเบยี บความรู
ครแู ละนักเรียนรวมกนั สรุปเกยี่ วกับขั้นตอนการแกโ จทยปญ หาเกยี่ วกบั รูปสามเหลีย่ มท่ีคลา ยกนั
1. อา นโจทย โจทยต องการทราบอะไร
2. นาํ ความสมั พนั ธทโี่ จทยก าํ หนดมาเขียนเปนรูปสามเหล่ยี ม
3. ใชความสัมพนั ธจ ากความรเู ร่ือง รูปสามเหลย่ี มคลา ย หาส่งิ ทโี่ จทยตองการ
ข้นั การปฏบิ ัติและประยุกตใ ชค วามรู
1. ครูใหนักเรียนทุกคนทําแบบฝกหัดท่ี 3 ในหนังสือเรียนคณิตศาสตรพ้ืนฐาน เลม 2 (พว.) หนา 128
จํานวน 1 ขอ (ขอ 1 ) เพ่อื ตรวจสอบความเขา ใจเปน รายบุคคล
2. ครูคอยดูแลชวยเหลือนักเรียนเปนรายบุคคล คอยกระตุนความคิดนักเรียนและใชวาจาเสริมแรงแก
นกั เรียน
3. เมอ่ื นกั เรยี นทาํ เสรจ็ แลว ครูคอยตรวจสอบคาํ ตอบครูประเมนิ ผลการเรยี นรู
คาบที่ 2 - 3
ข้นั ทบทวนความรเู ดมิ
ครูและนักเรียนรวมกันสนทนาทบทวนเกี่ยวกับขั้นตอนการแกโจทยปญหาเก่ียวกับรูปสามเหลี่ยมท่ี
คลา ยกนั
1. อา นโจทย โจทยตอ งการทราบอะไร
2. นาํ ความสัมพนั ธท่โี จทยกําหนดมาเขียนเปน รูปสามเหลย่ี ม
3. ใชความสมั พนั ธจ ากความรูเรื่อง รูปสามเหล่ยี มคลาย หาสง่ิ ท่ีโจทยตอ งการ
ขัน้ การแสวงหาความรูใหมแ ละข้นั การศึกษาทําความเขาใจขอ มูล
1. ครูยกตวั อยางโจทยเ ก่ยี วกบั การนําความรูเรื่อง รูปสามเหล่ียมคลายไปประยุกตใช จากน้ันตอบคําถาม
กระตุน ความคิด
ดงั น้ี
กองมองเหน็ เงาของเสาไฟฟาทอดยาวไป 25 เมตร และมเี สาตน เล็ก ๆ ทอดเงาไปทางเดียวกนั
ยาว 5 เมตร หาความสงู ของเสาไฟฟา ดังรปู
A
C
3 เมตร
B D 5 เมตร E
25 เมตร
• จากตัวอยางตองการทราบเก่ียวกับสง่ิ ใด (แนวคดิ นกั เรยี น ความสงู ของเสาไฟฟา)
• ถา นาํ ความสัมพนั ธท โ่ี จทยกําหนดมาเขยี นเปนรูปสามเหล่ียมจะไดร ูปสามเหลี่ยมลกั ษณะอยางไร
(แนวคิดนักเรียน เปน รปู สามเหลยี่ มมมุ ฉาก 2 รปู รปู หน่งึ มีขนาดเลก็ อกี รูปหนึ่งมีขนาดใหญกวา )
• นักเรียนคิดวา นกั เรียนสามารถใชค วามสมั พันธจากความรูเรื่อง รปู สามเหลย่ี มคลายหาความสูง
ของเสาไฟฟา ไดหรอื ไม (แนวคิดนกั เรียน ได)
2. ครูใหน ักเรยี นรวมกนั หาความสูงของเสาไฟฟา จากโจทยทกี่ ําหนดให
A
C
3 เมตร
B D 5 เมตร E
25 เมตร
วิธที าํ ให AB แทน ความสงู ของเสาไฟฟา
ให CD แทน ความสูงของเสาตนเล็ก 3 เมตร
ให DE แทน ความยาวของเงาของเสาตน เล็ก 5 เมตร
ให BE แทน ความยาวของเงาของเสาไฟฟา 25 เมตร
∆ABE และ ∆CDE
A^BE = C^DE มขี นาดของมุมเทากับ 90๐ เพราะตั้งฉากกับพื้น
A^EB = C^ED เปนมมุ รว ม
180๐ – A^BE – A^EB = 180๐ – CD^E – C^ED มมุ ท่ีเหลอื ของรปู สามเหล่ยี มเทา กัน
ดังนั้น ∆ABE ∼ ∆CDE มมี มุ เทากันทุกมมุ มมุ ตอมุม
แสดงวา CCAADDBB = DBEE = EEAC
แทนคา AA3BB = 122DB3555EEเ5มตร3
แทนคา =
AB =
=
ดงั นัน้ เสาไฟฟา สูง 15 เมตร
ข้นั การแลกเปลย่ี นความรคู วามเขา ใจกับกลุม
1. ครใู หนกั เรยี นทําแบบฝกหัดท่ี 3 ในหนงั สอื เรยี นคณิตศาสตรพน้ื ฐาน เลม 2 (พว.) หนา 128 - 129
ขอ 4 - 10
2. ครูสมุ นกั เรยี น 1-2 คน ออกมานําเสนอโดยครแู ละเพื่อน ๆ คอยตรวจสอบความถกู ตอ ง
ขั้นการสรปุ และจดั ระเบียบความรู
ครแู ละนักเรียนรวมกนั สรุปเก่ียวกบั ข้ันตอนการแกโจทยปญ หาเกย่ี วกับรูปสามเหลี่ยมทค่ี ลา ยกัน
1. อา นโจทย โจทยตอ งการทราบอะไร
2. นําความสัมพนั ธท ่ีโจทยก ําหนดมาเขยี นเปน รูปสามเหลยี่ ม
3. ใชค วามสมั พนั ธจากความรูเร่ือง รูปสามเหล่ยี มคลาย หาส่ิงที่โจทยตองการ
ข้ันการปฏบิ ัติและประยุกตใ ชความรู
1. ครใู หน กั เรียนทุกคนทําใบงานที่ 2 เพ่ือตรวจสอบความเขาใจเปนรายบุคคล
2. ครคู อยดูแลชวยเหลือนักเรยี นเปน รายบคุ คล คอยกระตุนความคิดนักเรยี นและใชวาจาสภุ าพ
3. เม่ือนักเรียนทําเสร็จแลว ครูคอยตรวจสอบคําตอบ
4. ครูประเมินผลการเรยี นรู
6. สือ่ แหลง การเรียนรู/ สื่อการเรียนการสอน
1. หนังสอื เรียนรายวชิ าคณติ ศาสตรพ นื้ ฐาน ม.3 เลม 2 (พว.)
2. ใบกจิ กรรมที่ 3.7
3. ใบงานท่ี 2
7. การวัดและประเมินผล
จดุ ประสงค เครือ่ งมือวดั วธิ ีวัดผล เกณฑการวดั ผล
ดานความรู นกั เรียนสามารถ - ถูกตอ งรอ ยละ 60
ใชสมบัติของรูปสามเหลี่ยมที่ - แบบฝก หัด - ตรวจแบบฝกหัด
คลายกันในการใหเหตุผลและ - ใบงาน - ตรวจใบงาน อยูในชวงคะแนน
แกป ญ หาได 6 คะแนนขน้ึ ไป
ดา นทกั ษะ นกั เรยี นสามารถ
1. แกป ญหาได - แ บ บ สั ง เ ก ต ก า ร - สงั เกตพฤติกรรม อยูใ นชว งคะแนน
2. ใหเ หตผุ ลได แ ก ป ญ ห า แ ล ะ ก า ร 4 คะแนนขึ้นไป
3. สอื่ ความหมายทาง ถามตอบ อยใู นชว งคะแนน
คณิตศาสตรได 4 คะแนนขน้ึ ไป
ดา นคณุ ลักษณะ นักเรยี น
1. มวี นิ ัย - แบบสังเกต - การตอบคําถามในชน้ั
2. ใฝเ รียนรู พฤติกรรม เรยี น
- สังเกตพฤติกรรม
ดานสมรรถนะ นกั เรียน
1. มีความสามารถในการคิด - แบบสังเกต - การสงั เกตพฤติกรรม
2. มีความสามารถในการ พฤติกรรม
แกปญ หา
8. ขอ เสนอแนะของหัวหนาสถานศกึ ษา หรอื ผูท ่ีไดรับมอบหมาย (ตรวจสอบ/นเิ ทศ/เสนอแนะ/รบั รอง)
…………………………………………………………………………………………………………………….…………….………….....................
..................................................................................................…….…………………………………………………………………
…………………………………………………...……………………………………………………………….………….....................................
ลงชือ่ ………........……………………………………….
(......…………....………………...……………….)
ตาํ แหนง….....………ค…ร…พู …เี่ ล…ี้ย…ง…………………...
วนั ท…่ี ……เดือน…….....……..พ.ศ…...…