๕๑
QR CODE วีดโี อทางฆอ้ งวงใหญ่เพลงโหมโรงขบั ไมบ้ ณั เฑาะว์
๕๒
เพลงโหมโรงตอ้ ยตริง่
เพลงต้อยตริ่งสามชั้นนี้ ครูมนตรี ตราโมทกับหมื่นประโคมเพลงประสาน (ใจ นิตยผลิน) ได้ร่วมกันแต่งข้ึน
จากทำนองสองชั้นของเก่าเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๓ กรมปี่พาทย์หลวงกรมมหรสพ วังจันทรเกษม มุ่งหมายให้มีทำนอง
ภาคเหนือเจือปนอยู่ตลอดเพลงตามสำเนียงสองชั้น มีความหมายในการเดินชมป่าเขาลำเนาไม้และยิ่งใกล้ค่ำก็
ค่อยๆ เร่งเทา้ กา้ วเรว็ ขึ้นทกุ ที
ท่ีมา : ฟังและเขา้ ใจเพลงไทย
๕๓
๕๔
๕๕
๕๖
QR CODE วดี โี อทางฆอ้ งวงใหญเ่ พลงโหมโรงตอ้ ยตร่งิ
๕๗
เพลงโหมโรงเทิด สธ
ครูมนตรี ตราโมท แต่งเพลงโหมโรงเทิด สธ เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยาม
บรมราชกุมารี นับเป็นเพลงสุดท้ายของชีวิต ในศุภดิถีมหามงคลสมัยซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรม
ราชกุมารี จะมพี ระชนมายุครบ ๓ รอบบรบิ รู ณ์ ณ วนั ท่ี ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๔ กรมศลิ ปากรกบั ธนาคารกรุงเทพ
จำกัด ได้มอบหมายให้ครูมนตรี ตราโมทแต่งเพลงโหมโรง ชื่อเพลงเทิด สธ เพื่อทูลเกลา้ ฯ ถวายในพระราชวโรกาส
นี้ ครูมนตรี ตราโมทจึงได้นำเพลงเชิญเหนือเชิญใต้หรือเพลงตระเชิญนี้มาแต่งขยายขึ้นเป็นอัตราสามชั้นและนำ
เพลงสงั ข์นอ้ ยจากเพลงเรอ่ื งทำขวญั มาขยายขึ้นเปน็ เพลงต่อท้ายตามแบบแผนเพลงโหมโรงเสภาโบราณ เป็นเพลง
เหมาะสมทงั้ คูเ่ หมะสมกับกรณีน้อี ยา่ งยิง่
ที่มา : มลู นธิ ิมนตรี ตาโมท
๕๘
๕๙
๖๐
๖๑
๖๒
๖๓
๖๔
๖๕
QR CODE วดี ีโอทางฆอ้ งวงใหญ่เพลงโหมโรงเทดิ สธ
๖๖
เพลงโหมโรงมหาราช
ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๕ รอบ
(๖๐ พรรษา) เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๐ กรมศิลปากรและธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ได้มอบให้ครูมนตรี
ตราโมทประพันธ์เพลง โหมโรงมหาราช เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อเฉลิมพระเกียรติในมหาศุภมงคลครั้งนี้ ครูมนตรี
ตราโมทได้ขอพระราชทานเพลงพระราชนิพนธ์ ๒ เพลง ได้แก่ เพลงใกล้รุ่งและเพลงเราสู้ มาสมมุติเป็นเพลงอัตรา
สองชั้น แล้วขยายเป็นอัตราสามชั้น ตามแบบแผนการแต่งเพลงไทย ในตอนท้ายครูมนตรี ตราโมท ได้อัญเชิญ
ทำนองเพลงพระราชนิพนธ์สายฝนมาสอดใส่ไว้อีก ๓ ประโยคเพื่อให้เพลงนี้มีทำนองเพลงจังหวะวอล์ทผสม
แตกต่างจากเพลงไทยทง้ั หลาย
ที่มา : มลู นิธมิ นตรี ตราโมท
๖๗
๖๘
๖๙
๗๐
๗๑
๗๒
๗๓
QR CODE วดี ีโอทางฆอ้ งวงใหญ่เพลงโหมโรงมหาราช
๗๔
เพลงโหมโรงมหาฤกษ์
เพลงโหมโรงมหาฤกษ์สามชั้น ครูมนตรี ตราโมท ได้แต่งขึ้นจากเพลงมหาฤกษ์สองชั้น ในเรื่องทำขวัญ
เมอ่ื พ.ศ.๒๔๗๖ เพลงมหาฤกษ์สองชน้ั มีความหมายถงึ เวลาอันเป็นสวสั ดมิ์ งคลอย่างประเสรฐิ ท่คี วรเรม่ิ กิจการนอ้ ย
ใหญท่ ้ังปวง และเม่ือนำมาแต่งขน้ึ เป็นเพลงโหมโรง ครมู นตรี ตราโมท ก็คงประสงคใ์ ห้มคี วามหมายเชน่ เดมิ นัน่ เอง
ทม่ี า : มูลนิธิมนตรี ตราโมท
๗๕
๗๖
๗๗
๗๘
๗๙
QR CODE วดี โี อทางฆอ้ งวงใหญ่เพลงโหมโรงมหาฤกษ์
๘๐
เพลงโหมโรงรตั นโกสินทร์
ในโอกาสที่จะมีพระราชพิธีสมโภชฉลองกรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์ฯ อายุครบ ๒๐๐ ปี ในปี
พุทธศักราช ๒๕๒๕ กรมศิลปากรกับธนาคารกรุงเทพจำกัด (มหาชน) มีความเห็นว่าควรจะสร้างเพลงไทยเป็น
อนุสรณ์ของวาระนี้เป็นเพลงโหมโรงชื่อว่า “เพลงรัตนโกสินทร์” เพื่อวงการดนตรีไทยใช้บรรเลงโดยทั่วไป จึงมอบ
ให้ครูมนตรี ตราโมท เปน็ ผปู้ ระพันธ์ ครมู นตรี ตราโมทจงึ ประพันธเ์ พลงประเภทเพลงโหมโรงเสภาและเห็นว่าเพลง
นี้แต่งในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบ ๒๐๐ ปี ซึ่งเป็นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙
จึงเลือกเพลงที่มี ๙ จังหวะมาแต่งขึ้นเป็นเพลงประธาน แล้วหาเพลงที่เป็นสิริมงคลอีกเพลงหนึ่งมาแต่งเป็นเพลง
ตอ่ ทา้ ยก็สำเร็จ
ที่มา : มลู นธิ มิ นตรี ตราโมท
๘๑
๘๒
๘๓
๘๔
๘๕
QR CODE วดี โี อทางฆอ้ งวงใหญเ่ พลงโหมโรงรตั นโกสนิ ทร์
๘๖
เพลงโหมโรงราโค
เพลงราโคสองชนั้ เปน็ เพลงเก่าสมยั กรุงศรีอยธุ ยา มที อ่ นเดยี ว ครมู นตรี ตราโมท ไดม้ าจากพระยาประสาน
ดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) คงเป็นชื่อว่า "ราคะ" กับอีกเพลงหนึ่งก็มีท่อนเดียวและท่านก็บอกว่าชื่อ “ราโค”
เหมือนกันแต่เป็นทางฝัง่ โน้น (ธนบุรี) จึงเข้าใจว่าเพลงราโคนี้คงมาจากช่ือวิถีทางทำนองที่เรยี กว่า ราคะของอนิ เดีย
ส่วนราโคฝั่งโน้นอาจเป็นราคินี คือราโคตัวเมียนั่นเอง เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๔ ครูมนตรี ตราโมท ได้แต่งเพลงราโคทั้งสอง
นี้ขึ้นเป็นสามชั้นบรรเลงติดตอ่ กนั เป็น ๒ เพลง ตามแบบของเพลงโหมโรง ความหมายของเพลงแสดงถึงการฟ้อนรำ
เป็นหมู่ๆ รื่นเริงกันในครอบครัวและมีสำเนียงแขกปนอยู่นิดหน่อยให้สมกับชื่อที่คิดไว้ว่ามีกำเนิดมาจากดินแดน
ภารตะ
ท่มี า : ฟังและเข้าใจเพลงไทย
๘๗
๘๘
๘๙
๙๐
๙๑
๙๒
๙๓
QR CODE วดี โี อทางฆ้องวงใหญเ่ พลงโหมโรงราโค
๙๔
เพลงโหมโรงเอือ้ งคำ
เพลงโหมโรงเอื้องคำก่อเกิดจากเพลงเอื้องคำสามชั้น เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๖ เมื่อท่านเดินทางไปท่องเที่ยวงาน
สงกรานต์ที่จังหวัดเชียงใหม่และประทับใจในเพลงดวงดอกไม้ที่ใช้บรรเลงประกอบการฟ้อนดวงดอกไม้ ด้วยความ
ประทบั ใจระหวา่ งโดยสารรถไฟกลับ ใจท่านจดจอ่ สำเนียงเพลงร้องดวงดอกไม้อยู่ตลอดเวลา จึงนำเอาเพลงอันเปน็
สมมติฐานของเพลงดวงดอกไม้มาคิดขยายขึ้นแต่พยายามที่จะแทรกสำเนียงเพลงดวงดอกไม้ให้ระคนอยู่ในเพลง
โดยตลอดจนกลับถึงกรุงเทพฯ ตรวจสอบขัดเกลาจนสำเร็จเป็นเพลงขึ้น การตั้งชื่อเกิดจากการหวนนึกถึง เมื่อก้าว
ลงจากรถไฟเหยียบพื้นดินจังหวัดเชียงใหม่เป็นครั้งแรก ท่านได้รับช่อเอื้องคำจากชาวเชียงใหม่ที่มอบให้ ด้วย
ไมตรีจิต จึงตั้งชื่อเพลงที่ประพันธ์นี้ว่า “เพลงเอื้องคำ” เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่ได้เดินทางมาเชียงใหม่เป็นครั้งแรกและ
เกบ็ เพลงนี้ไว้เงียบๆ
จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๔๗๘ พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอดิสัยสุริยาภา พระราชธิดาในรัชกาลที่ ๕
กับเจ้าจอมมารดาอ่อนทรงตั้งวงเครื่องสาย ชื่อวงเครื่องสายคณะ อ.ส. ให้ครูมนตรีเป็นครูผู้ฝึกฝนดูแลนักดนตรีท่ี
เลือกจากข้าหลวงของพระองค์เป็นผู้บรรเลงครูมนตรีจึงต่อเพลงเอื้องคำให้คณะเครื่องสายวงนี้และบรรเลงถวาย
เสด็จพระองค์อดิศัยฯ พระองค์ทรงโปรดมากและรับสั่งห้ามไม่ให้ครูมนตรี ตราโมท ไปต่อเพลงเอื้องคำนี้แก่วง
ดนตรีใดๆ ต่อมาพระองค์อดิศัยฯ สิ้นพระชนม์ และวงเครื่องสาย อ.ส. ก็เลิกราไปสิ้นถึงปี พ.ศ.๒๕๑๗ ท่านรอง
อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่แจ้งความประสงค์ให้ครูมนตรี ตราโมทกรุณาประพันธ์เพลงโหมโรงประจำ
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ให้ชุมนุมดนตรีไทยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้บรรเลงในวาระที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็น
เจ้าภาพจัดงานดนตรีไทยอดุ มศึกษา
ครูมนตรี ตราโมทจึงนำเพลงเอื้องคำสามชั้น มาเพิ่มเติมทำนองตอนท้าย เหมาะจะบรรเลงเป็นเพลง
โหมโรง เพลงโหมโรงเอื้องคำจึงเป็นเพลงโหมโรงประจำมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ตามที่ขอ โดยมอบให้เมื่อวันท่ี
๓ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๘
ที่มา : มลู นธิ มิ นตรี ตราโมท
๙๕
๙๖
๙๗
QR CODE วดี โี อทางฆอ้ งวงใหญเ่ พลงโหมโรงเอื้องคำ
๙๘
หมวดเพลงสามช้นั
๙๙
เพลงเขมรปแี่ กว้ สามชั้น ทางสกั วา
การเล่นสักวา อันเป็นการละเล่นชนิดหนึ่งของไทยในสมัยโบราณ เป็นต้นทางให้เกิดเพลงอัตราสามชั้นข้ึน
เพราะการเล่นสักวาเป็นการร้องเพลงด้วยบทที่แต่งขึ้นในปัจจุบัน ที่เรียกกันว่า “กลอนสด” โดยผู้แต่งบทที่ร้อง
ซึ่งเรียกกันว่า “ผู้บอกสักวา” นั้น จะต้องแต่งบทกลอนนี้โต้ตอบให้เข้ากับเรื่องด้วยปฏิภาณในปัจจุบัน แล้วบอกให้
คนร้องร้องเป็นทำนองเพลง ระหว่างที่ร้องนั้น ผู้แต้งก็จะต้องแต่งล่วงหน้าต่อๆ ไป เพราะฉะนั้นถ้าจะร้องเพลง
สองชั้นสามัญ ก็จะจบคำกลอนเร็วเกินไป ผู้แต่งอาจจะเเต่งไม่ทัน จึงได้คิดขยายทำนองร้องให้ยาวไปอีกเท่าตัวเป็น
อัตราสามชั้น เช่น “เพลงพระทอง” ที่ใช้ร้องเป็นประจำของการเล่นสักวาเป็นต้น นอกจากขยายเพลงออกเป็น
สามชั้นแล้ว เมื่อต้นเสียงร้องจบไปแต่ละคำกลอน ลูกคู่ยังร้องซ้ำด้วยบทนั้นอีกครั้งหนึ่งทุกๆ คำกลอน ทำให้ผู้แตง่
บทมีเวลาไตร่ตรองติดประพันธ์ได้อย่างถี่ถ้วน ส่วนในด้านทำนองนั้น นอกจากขยายเพลงสองชั้นให้เป็น สามช้ัน
แล้ว ยังประดิษฐ์ทำนองให้ไพเราะแยกแยะซ่อนเงื่อนงำจนอาจทำให้ผู้ฟังไม่ทราบได้ว่า แต่งมาจากเพลง สองช้ัน
เพลงใดทีเดียว บางเพลงก็ตัดทอนจังหวะลงเสียบ้าง บางเพลงก็ต่อเติมทำนองให้มากขึ้น หรือสอดเเทรกสร้อย
ออกไป แลว้ แต่จะเห็นว่าเหมาะสม ใชแ่ ต่เทา่ นัน้ บางเพลงเม่ือเเต่งข้ึนเเลว้ ยงั ตง้ั ช่ือขนึ้ ใหมก่ ม็ ี เชน่ สักรวาอกทะเล
เเต่งจากเพลงทะเลบา้ และสกั รวาเทพบรรทม แตง่ จากเพลงเสภานอกกับเสภากลาง เป็นตน้
ต่อมามีผู้นำเอาเพลงสักรวามาร้องส่งให้ดนตรี ก็เป็นการจำเป็นที่นักปราชญ์นักดนตรี จะต้องคิดเเต่ง
ทำนองทางดนตรีขึ้นบรรเลงรับ มิฉะนั้นก็จะรับไม่ได้ ซึ่งเรียกว่า “จน” ทำให้เป็นที่อับอายได้แต่การแต่งทำนอง
ดนตรีของครูบาอาจารยท์ างดนตรีไทยนั้น บางเพลงก็เเต่งตามทำนองรอ้ งสกั วากย็ ังแบ่งออกเป็น ๒ ชนิด ชนิดหน่ึง
แตง่ เลียนทำนองรอ้ งอย่างใกลเ้ คียงที่สุด เชน่ “เพลงจนี เก็บปลา” “เพลงลาวดำเนนิ ทราย” เปน็ ตน้ อกี ชนิดหนง่ึ แม้
จะเเต่งตามทางสักรวาก็จริงสอดแทรกลูกเล่นต่างๆ มีลูกล้อลูกขัดหรอื อื่นๆให้เป็นเชิงรื่นเรงิ สนกุ สนาน เช่น “เพลง
อกทะเล” เป็นต้น ต่อจากน้นั ครูดนตรจี ึงได้เเตง่ เพลงอตั รา ๓ ชนั้ ขึ้นเองโดยมไิ ดอ้ าศยั เพลงสักวา จงึ เป็นท่นี ยิ มเเพร่
หลายกันสืบมา
สว่ นเพลงเขมรปเี่ เก้วน้ี ครมู นตรี ตราโมท เข้าใจวา่ จะเกิดจากการร้องสักวาก่อน เพราะ ลกั ษณะของเพลง
เขมรปี่แก้วเข้าแบบของสักวามาก เช่น เพิ่มจังหวะของท่อน ๒ โดยซ้ำ ๒ จังหวะแรกเป็นสองครั้ง และเปลี่ยนชื่อ
จากเพลงเขมรเป่าใบไม้เป็นเขมร “เป่า” ปี่แก้ว เป็นต้น ครูช้อย สุนทรวาทิน จึงแต่งทำนองทางดนตรีขึ้นสำหรับ
บรรเลง โดยเพิ่มท่อน ๒ อย่างเดียวกับการร้องสักวาเพราะฉะนั้น ทำนองในเที่ยวหลังจึงได้แตง่ ใหม้ ีทำนองเดมิ ตาม
แบบสักวา แต่เป็นแบบสักรวาชนิดที่สอดแทรกลูกเล่นให้สนุกสนาน ภายหลังนักร้องมโหรีจึงได้แต่งทำนองทางตรง
ขึ้น แต่ก็เพิ่มท่อน ๑ ซ้ำตอนต้นเป็น ๒ ครั้ง อย่างเดียวกับสักวา เพราะว่าใช้ชื่อเขมรปี่แก้ว มิได้ใช้ว่า “เพลงเขมร
เป่าใบไม้สามช้นั ” ดงั ทใ่ี ช้รอ้ งกนั มาจนปัจจุบนั นี้
๑๐๐