เพลงจนี ขิมเลก็ เถา
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ความนิยมในการบรรเลงเพลงที่มีสำเนียงเป็นต่างภาษาใด้เกิดขึ้น มิใช่
น้อย เพลงเหล่านี้บางเพลงก็นำเอาเพลงของชาติอื่นมาใช้ บางเพลงก็แต่งขึ้นเองโดยอาศัย สำเนียงทำนองของชาติ
อื่นมาเป็นแนวทาง ทุกเพลงมักจะมีชื่อภาษาบอกสำเนียง แต่เพลงต่างๆ เหล่านี้เป็นอัตราสองชั้นและชั้นเดียว
เท่านั้น เช่น เพลงสำเนียงจีนเพลงหนึ่ง เรียกว่า "เพลงจีนขิม" ซึ่งเป็นเพลงอัตราสองชั้น ใช้สำหรับบรรเลงมโหรีมา
แต่โบราณ มาสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ราวรัชกาลที่ ๑ หรือตันรัชกาลที่ ๒ การบรรเลงมโหรีนิยมเพลงเลก็ ๆ ต่อท้ายที่
เรียกว่า "ออกลูกบท" กันขึ้น ก็ปรากฏตามตำรามโหรีว่าการร้องและบรรเลงเพลงในเรื่องอิเหนา บทพระราช
นพิ นธ์นรัยกาลที่ ๑ บทท่ีรอ้ งเพลงฉิ่งน้ัน กำหนดใหอ้ อกลกู บทเพลงจนี ขมิ
เมื่อสมัยรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระประดิษฐ์ไพเราะ (มี ดุริยางกูร) ซึ่งขณะน้ันยังมิได้รับ
พระราชทานสัญญาบัตร จึงเรียกกันว่า ครูมี หรือครูมีแขก เป็นครูดนตรีไทยที่มีฝีมือและสติปัญญาสามารถเป็นท่ี
เลื่องชอื่ อยู่ในสมยั นั้น ไดย้ นิ การบรรเลงดนตรีของชาวจนี ผหู้ น่ึงเขา้ ใจว่าจะบรรเลงดว้ ยขิม เพราะเมื่อครมู กี ลับมาถึง
ที่พัก ได้แต่งเพลงอัตราสองชั้น สำเนียงจีนขึ้นเพลงหนึ่งจากทำนองที่จดจำมาได้จากการบรรเลงของจีนผู้นั้น จึงต้ัง
ชื่อว่า เพลงจีนขิม เหมือนกับเพลงในสมัยอยุธยา หากแต่ได้กำหนดชื่อให้เป็นที่หมายรู้โดยเรียกเพลงจีนขิมสมัย
อยุธยาว่า "เพลงจนี ขิมใหญ่" และเรยี กเพลงจีนขิมท่ีแตง่ ขนึ้ ภายหลงั วา่ "เพลงจีนขมิ เล็ก" ซงึ่ ไดเ้ รียกกนั มาจนบดั นี้
ราวสมัยตันรัชกาลท่ี ๔ พระประดิษฐ์ไพเราะ จึงได้แต่งเพลงจีนขิมเล็กสองช้ันของท่านขึ้นเป็นอัตรา สาม
ชั้นอีกชั้นหนึ่ง เข้าใจว่าในเวลาใกลๆ้ กันนี้เอง ท่านก็ได้แต่งเพลงจนี ขิมใหญ่ (เพลงจีนขมิ สมัยอยุธยา) ขึ้นเป็นอัตรา
สามช้ันด้วย เพราะทงั้ สองเพลงมสี ำนวนทำนองและทว่ งทเี ป็นอย่างเดียวกนั
เมื่อปลาย พ.ศ. ๒๔๗๔ ครูมนตรี ตราโมท ได้แต่งบทและทำนองร้องเพลงจีนขิมเล็กสามชั้นข้ึน
เพื่อใช้ในการทำแผ่นเสียงของราชบัณฑิตยสภา และเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒ จึงได้ตัดแต่งทำนองดนตรีและทำนองร้อง
เพลงจีนขิมเลก็ ลงเปน็ อัตราชัน้ เดยี ว เพ่อื รอ้ งและบรรเลงรวมกบั ของพระประดษิ ฐ์ไพเราะ (มีดรุ ิยางกรู ) ให้ครบเปน็
เถา
ท่ีมา : หนงั สือฟังและเขา้ ใจเพลงไทย
๑๕๑
๑๕๒
๑๕๓
๑๕๔
๑๕๕
QR CODE วีดีโอทางฆอ้ งวงใหญ่เพลงจีนขมิ เล็ก เถา
๑๕๖
เพลงเทพสมภพ เถา
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๔ ครูมนตรี ตราโมทอายุย่างเข้าสู่ปีที่ ๙๑ ครูมนตรี ตราโมทยังมีสุขภาพแข็งแรง และยัง
กระตือรือร้นในการทำงานอย่างไม่เสื่อมคลาย นับตั้งแต่ปี ๒๕๓๓ ท่านเฝ้าคิดคำนึงถึงการจัดกิจกรรมต่างๆ เพ่ือ
เฉลิมฉลองวโรกาสที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเจริญพระชนมายุ ๓ รอบในปี
พุทธศักราช ๒๕๓๔ นับตั้งแต่รายการสังคีตสายใจไทย การประพันธ์เพลงถวายพระพร เผยแพร่ทางวิทยุการบรรจุ
เพลงถวายพระพร การแสดงปาฐกถา การประพันธ์บทกวีและเขียนบทความเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเทพ
รตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี ใหก้ บั สถาบันและองค์กรหลายแห่ง ในท่สี ดุ กรมศิลปากรและธนาคารกรุงเทพฯ
ก็มอบงานสำคัญในการประพันธ์เพลงทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ใน
วโรกาสดังกล่าว ครูมนตรี ตราโมทรับเกียรตินี้ด้วยความเต็มใจยิ่ง และในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๔ ผลงานเทพ
สมภพ เถา ก็สำเร็จสมบูรณ์พร้อมทั้งทำนองและบทร้องที่ประณีตและคัดสรรแต่สิ่งอันเป็นมหามงคลถวายแด่
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งครูมนตรี ตราโมท ทูลไว้เหนือเกล้าฯ ดังข้อความอธิบาย
เพลงเทพสมภพ เถา ในหนังสือเพลงเทพสมภพ เถา ของครูมนตรี ตราโมท ซึ่งกรมศิลปากรและธนาคารกรุงเทพ
จำกัด มหาชนจัดพมิ พ์ไว้ดังตอ่ ไปน้ี
"กรมศิลปากรกบั ธนาคารกรุงเทพ จำกัด ได้มอบให้ขา้ พเจา้ แต่งเพลงเถาอีกเพลงหนงึ่ นอกจากเพลงโหมโรง
เทิด สธ เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในมหามงคลสมัยที่ทรงพระเจริญ
พระชนมายคุ รบ ๓ รอบ ในวนั ที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๔ เพลงน้ีชอ่ื ว่า เพลงเทพสมภพ เถา คร้งั แรกขา้ พเจ้าคดิ วา่
จะแต่งขึ้นเองทั้งสามชั้น สองชั้นและชั้นเดียว โดยอัตโนมัติ แต่กลับมาคิดว่า กรณีเช่นนี้การนำเอาเพลงเก่าที่มี
ศักดิ์ศรีและสิริมงคลมาแต่งขยายและย่อจะเหมาะสมกว่าจึงเลือกเอาเพลงมหากาลในเพลงเรื่อง ทำขวัญหรือเวียน
เทียนมาเป็นเพลงสมฏุ ฐาน ที่จะแต่งทูลเกล้าฯ ถวาย
เพลงนี้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ทรงเรียกว่าเพลงมหากาล ข้าพเจ้า
สงสัยว่าอาจจะเป็นเพลงเดียวกันกับเพลงที่ใช้ในตำราโบราณเรียกว่า เพลงสังข์ใหญ่ เพราะทำนองเนื้อเพลง (สอง
ชั้น) สำนวนทำนองรูปเดียวกันกับเพลงสังข์น้อยที่ข้าพเจ้านำมาแต่งขยายใส่ไว้ในเพลงเทิด สธ ทั้งการจัดเข้าเป็น
เพลงเรื่องทำขวัญก็อยู่ในอันดับที่ใกล้ชิดติดกัน เพลงเรื่องทำขวัญนั้นเรียงลำดับอย่างนี้ เพลงนางนาค , มหาฤกษ์,
มหากาล, สังข์น้อย, มหาชัย ฯลฯ แต่จะชื่อว่าเพลงมหากาล ซึ่งหมายถึงเวลาอันเป็นสิริมงคลอนั ยิ่งใหญ่ หรือจะชือ่
ว่า สังขใ์ หญ่ อนั เปน็ วตั ถุทใี่ ช้ประกอบในพธิ มี งคล กเ็ ป็นเร่ืองของสิรมิ งคลท้งั สน้ิ
๑๕๗
ขา้ พเจ้าไดน้ ำเพลงมหากาลนี้มาแตง่ ขยายข้ึนเป็นอัตราสามช้ัน และตอ่ ด้วยทำนองสองชน้ั ของเก่ากับย่อลง
เป็นชั้นเดียว บรรเลงรวมกันเป็นเพลงเถา พร้อมทั้งแต่งบทร้องและทำนองเข้าประกอบครบที่จะเป็นเพลงร้องส่ง
ดนตรไี ดอ้ ย่างสมบูรณ์
การที่ข้าพเจ้าเลือกเพลงมหากาลมาแต่ง นอกจากเป็นเพลงสิริมงคลแล้ว เพลงมหากาลนี้มี ๓ ท่อน
บรรเลงเป็นเพลงเถาก็มี ๓ อัตรา และข้าพเจ้าได้แต่งสามชั้นให้มีทำนองเป็น ๓ ทาง โดยท่อน ๑ เป็นทางพื้น ท่อน
๒ เป็นทางกรอและท่อน ๓ เป็นทางลูกล้อลูกขัด รวมความว่า เพลงนี้มี ๓ ท่อน บรรเลง ๓ อัตรา อัตราสามชั้น
แต่งเป็น ๓ ทางให้เหมาะกับที่ทูลเกล้าฯ ถวาย ในมหามงคลที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ทรงมีพระชนมายุครบ ๓ รอบบรบิ ูรณ์
ที่มา : หนังสอื เทดิ สธ มูลนิธมิ นตรี ตราโมท จัดพิมพเ์ น่อื งในวโรกาสทรงเจรญิ พระชนมายุ ๔ รอบ
๑๕๘
๑๕๙
๑๖๐
๑๖๑
๑๖๒
QR CODE วดี ีโอทางฆอ้ งวงใหญเ่ พลงเทพสมภพ เถา
๑๖๓
เพลงปลาทอง เถา
เพลงปลาทองเฉพาะสามชั้น เข้าใจว่าครูเพ็ง จะเป็นผู้แต่งขึ้นจากเพลงเต่ากินผักบุ้งสองชั้น
และครูมนตรี ตราโมท แต่งชั้นเดียว พร้อมกับแต่งบทร้องต่อจากของเก่าให้เหมาะกบั ทำนอง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ แต่
อีกนัยหนึง่ กล่าวว่า เพลงปลาทองน้ีเดมิ เป็นเพลงสองช้ัน คอื เรือ่ งเต่ากนิ ผักบุง้ ตอนต้น ๓ ทอ่ น สมเด็จพระเจ้าบรม
วงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงทำเป็นสามชั้น เปลี่ยนชื่อเป็นปลาทอง เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี
(สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เมื่อยังมีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาไพศาลศิลปศาสตร์ ชอบร้องและต่อเพลงนี้มาจาก
หมอ่ มส้มจีน เมือ่ ประมาณ ๘๐ ปีเศษมาแลว้
ทม่ี า : หนงั สอื ฟังและเขา้ ใจเพลงไทย
๑๖๔
๑๖๕
๑๖๖
๑๖๗
๑๖๘
QR CODE วีดโี อทางฆอ้ งวงใหญเ่ พลงปลาทอง เถา
๑๖๙
เพลงโสมส่องแสง เถา
เพลงโสมส่องแสง เป็นเพลงที่แต่งขึ้นจากเพลงลาวดวงเดือน และตั้งชื่อขึ้นใหม่เลียนความหมายของชื่อ
เพลงอันเป็นมลู เดมิ มรี ายละเอียดตงั นี้
ในสมัยปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นสมัยที่ดนตรีไทย โดยเฉพาะ
ปี่พาทย์ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ตามบ้านท่านผู้มีบรรดาศักดิ์และวัดวาอารามต่างก็มีวงปี่พาทย์
เป็นประจำกันมากมาย เจ้านายหลายพระองค์ก็ได้มีวงปี่พาทย์ประจำวัง มีครูบาอาจารย์ไว้ฝึกสอนปรับปรุงคิด
ประกวดประชันกันอยา่ งเอาจริงเอาจงั เชน่ สมเดจ็ ฯ เจ้าฟา้ กรมพระยาภาณุพันธ์ุ วงศ์วรเดชมวี ง "วงั บูรพา" สมเด็จ
ฯ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต ก็มีวง "วังบางขุนพรหม" พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะนั้น
ยังดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ก็มีวงปี่พาทย์เรียกกันว่า "วงสมเด็จพระบรม"
และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นพิชัยมหินทโรดม ก็มีวงปี่พาทย์วงหนึ่งเรียกกันว่า "วงพระองค์เพ็ญ" แต่ละวง
ล้วนมีนักดนตรีที่มีฝีไม้ลายมือทัดเทียมกัน กรมหมื่นพิชัยมหินทโรดมนั้น นอกจากจะทรงสนพระทัยในวงปี่พาทย์
ของพระองค์ท่านเจ้าของวงอื่นๆ แล้ว ยังทรงเป็นนักแต่งเพลงชั้นดีด้วยพระองค์หนึ่ง กรมหมื่นพิชัยฯ โปรดทำนอง
และลีลาสกวาเพลงเพลงลาวดำเนินทรายของเก่าเป็นอันมาก เมื่อคราวที่เสด็จตรวจราชการ ซึ่งใช้เกวียนเป็น
พาหนะ ระหว่างที่ประทับแรมอยู่กลางทาง จึงทรงแต่งเพลงให้มีทำนองเป็นสำเนียงลาวขึ้นเพลงหนึ่ง โดยมีลีลา
แบบเพลงสาวดำเนินทราย เพ่ือเป็นคู่กันประทานชื่อว่า “เพลงลาวดำเนินเกวียน” เพื่อเป็นอนุสรณ์ในการเสด็จนั้น
และใช้หน้าทับลาวตีประกอบ นอกจากจะทรงแต่งทำนองเพลงขึ้นแล้ว ก็ยังทรงพระนิพนธ์บทร้องขึ้นประจำกับ
เพลงนี้ด้วย
เมื่อนำออกมารอ้ งและบรรเลง ก็ได้รับความนิยมจากวงดนตรีอย่างแพร่หลาย แต่เนื่องจากบทร้องนี้ขึ้นต้น
ว่า "โละหนอ ดวงเดือนเอย" และตอนที่จะจบท่อนก็มักมีคำว่า "ดวงเดือน" ผู้ที่มิได้อยู่ใน "วงพระองค์เพ็ญ" เมื่อต่อ
หรือจดจำมาร้องและบรรเลงจึงเรียกชื่อเพลงนี้ว่า "เพลงลาวดวงเตือน" และก็ได้เรียกกันมาดังนี้จนฝังตัวสนิทแน่น
กับทำนองเพลง ใครๆ ที่ได้ยินได้ฟังก็เรียกว่า ลาวดวงเตือนกันทั้งนั้น แม้ท่านเจ้าของจะทรงตั้งชื่อไว้แล้วว่า "ลาว
ดำเนินเกวียน" กไ็ มม่ ีผูใ้ ดเรยี กตามจงึ เปน็ อนั ยตุ ไิ ด้ว่า เพลงนี้ช่อื ลาวดวงเดอื น
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๔ ครูมนตรี ตราโมท ได้นำทำนองเพลงลาวดวงเดือนอันเป็นเพลงในอัตราสองชั้นนี้มาแตง่
ขยายขึ้นเป็นอัตราสามชั้นและตัดลงเป็นอัตราชั้นเดียวเพื่อบรรเลงรวมกับสองชั้นของกรมหมื่นพิชัยฯ ได้ครบเป็น
เพลงเถา โดยยดื สำเนยี งลาวอนั เปน็ พนื้ เดมิ ไว้ พรอ้ มกันนกี้ ็ได้ แตง่ บทร้องขึ้นสำหรับร้องเปน็ ประจำกบั ทำนองเพลง
ทั้งสามชั้น สองชั้นและชั้นเดียว แต่การแต่งของ ครูมนตรี ตราโมท ได้แก้ไขเฉพาะทำนองร้องเล็กน้อย คือของเดิม
ของกรมหม่ืนพิชยั ฯ น้ัน ทำนองเพลงทอ่ น ๓ ใน ๔ จงั หวะตน้ (หนา้ ทับสองไม้) ทั้งร้องและรบั ทรงกำหนดไวใ้ หก้ ลบั
๑๗๐
ซ้ำเป็น ๒ ครั้ง อย่างเดิม ก็ดูยืดยาดไป จึงตัดให้ร้องเพียงครั้งเดียว แล้วดำเนินทำนองตอนท้ายติดต่อไปได้เลย
ก็ต้องให้เป็นไปตามแบบเดียวกัน จึงจะเข้าชุดเป็นเถากันได้ ส่วนทำนองดนตรีที่รับคงซ้ำ ๒ ครั้ง ตามเดิมตลอดท้ัง
เถาแล้วก็ตั้งช่ือใหมว่ ่า “เพลงโสมส่องแสง” โดยเลยี นจากความหมายชือ่ เพลงเดมิ ทเ่ี รียกวา่ “ลาวดวงเดือน”
ทม่ี า : หนังสอื ฟังและเข้าใจเพลงไทย
๑๗๑
๑๗๒
๑๗๓
๑๗๔
๑๗๕
๑๗๖
๑๗๗
๑๗๘
๑๗๙
QR CODE วดี ีโอทางฆอ้ งวงใหญ่เพลงโสมสอ่ งแสง เถา
๑๘๐
เพลงอกทะเล เถา
มีเพลงไทยสองชั้นของเก่าอยู่เพลงหนึ่งชื่อเพลงทะเลบ้า เป็นเพลงประเภทสองไม้และมีโยน สำหรับใช้
บรรเลงเป็นเพลงเบ็ดเตล็ดและร้องในการแสดงละครบางโอกาสในสมัยรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ซึ่งเป็นสมัยที่การเล่นสักวาได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมีวงสักวาที่สามารถทั้งทางร้องการบอกสักวาและการ
แต่งทำนองเพลงหลายวง ได้มีท่านผู้หนึ่งนำเอาเพลงทะเลบ้าสองชั้นของเก่า มาแต่งขยายทำนองขึ้นเป็นสามชั้น
สำหรับร้องเป็นลำลาในตอนที่จะเลิกเล่นสักว่า แต่ในการแต่งขยายขึ้นเป็นสามชั้นนี้ หาได้แต่งขยายขึ้นโดยตรงไม่
หากแต่ใด้ดัดแปลงแก้ไขและเพิ่มเติมเนื้อเพลงออกไป เพื่อให้ร้องได้ไพเราะหลายแห่ง แล้วตั้งชื่อขึ้นใหม่ว่า
เพลงอกทะเลหรือสักวาอกทะเล
ต่อมาได้มีผู้นำเอาเพลงอกทะเลที่เคยร้องเป็นลำลาในการเล่นสักวานั้น มาร้องส่งให้ดนตรีรับ เป็นเพลงส่ง
ท้ายหรือเพลงลา ครูช้อย สุนทรวาทิน จึงได้แต่งทำนองทางดนตรีขึ้น โดยอนุโลมการแก้ไขดัดแปลงและเพิ่มเติม
เนื้อเพลงอย่างเดียวกับทำนองร้องสักวา เพื่อให้การร้องกับการรับสนิทสนม กลมกลืนกัน ตอนที่เป็นโยนก็
สอดแทรกลูกล้อลูกขัดไปตามวิชาการของดุริยางคศิลป์ ส่วนท่อน ๒ ก็ให้ร้องกับรับล้อกันให้เหมาะสมกับที่จะเป็น
เพลงลา เพราะฉะนั้น อกทะเลสามชั้นทั้งที่ท่านแต่งทำนองร้องได้แต่งไว้ และในทำนองดนตรีที่ ครูช้อย สุนทร
วาทินแต่ง จึงแตกต่างกับเพลงทะเลบ้าของเดิมเป็นอันมาก จะแทบจะเป็นคนละเพลงทีเดียวจนแทบจะเป็นคนละ
เพลงทีเดียว และก็ได้นิยมใช้กันมาจนปัจจุบันนี้ นับว่าเป็นเพลงที่มีท่วงทำนองไพเราะ กระฉับกระเฉงน่าฟังเพลง
หนง่ึ
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๑ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ได้ทรงพระราชนิพนธ์
บทรอ้ งเพลงอกทะเลข้นึ ใหม่ โดยทรงแกไ้ ขจากบทร้องสักวาของเดมิ เพ่ือให้วงมโหรีบรรเลงถวายในงานพระราชพิธี
เฉลิมพระชนมพรรษาในรัชกาลท่ี ๕ ซงึ่ ในวงการดนตรีไดใ้ ชร้ อ้ งกนั มาในปัจจบุ นั นี้
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ ครูมนตรี ตราโมท ได้ตัดและแตง่ เพลงออกทะเล ทั้งทำนองร้องและทำนองดนตรีลงเป็น
สองชั้นและชั้นเดียว จากทำนองร้องของเดิมและทำนองดนตรีของครูช้อย สุนทรวาทิน เพื่อใช้ร้องและบรรเลงได้
ครบเปน็ เพลงเถา แตท่ ำนองดนตรขี องครูช้อยน้ันได้แต่งลูกล้อไว้ ๒ อย่าง สำหรบั บรรเลงเทย่ี วแรกอยา่ งหน่ึง เที่ยว
หลงั อย่างหนึ่ง ครมู นตรี ตราโมท เหน็ วา่ ลูกล้อท่ใี ช้บรรเลงเทยี่ วแรกน้ัน ครูช้อยได้นำมาใช้ในเพลงแขกโอด ซ่ึงท่าน
ได้แต่งขึ้นภายหลังอีกแห่งหนึ่ง ในการที่จะเรียบเรียงเป็นเพลงเถา ซึ่งจะบรรเลงอัตราสามชั้นเพียงครั้งเดียว
จงึ เลอื กเอาลูกลอ้ เทีย่ วหลังมาใช้
ทีม่ า : หนังสือฟังและเข้าใจเพลงไทย
๑๘๑
๑๘๒
๑๘๓
๑๘๔
๑๘๕
๑๘๖
๑๘๗
๑๘๘
QR CODE วีดโี อทางฆอ้ งวงใหญเ่ พลงอกทะเล เถา
๑๘๙
หมวดเพลงระบำ
๑๙๐
เพลงระบำกญุ ชรเกษม
ครูมนตรี ตราโมท สร้างระบำชุดนี้ขึ้นเพื่อใช้ในการแสดงโขน ตอนพระคเณศเสียงา แทรกเป็นช้าง ๘
ตระกลู บริวารพระคเณศร์สำหรับจัดเป็นชดุ เบกิ โรง
ท่ีมา : มูลนิธมิ นตรี ตราโมท
๑๙๑
๑๙๒
๑๙๓
๑๙๔
QR CODE วดี ีโอทางฆอ้ งวงใหญ่เพลงระบำกญุ ชรเกษม
๑๙๕
เพลงระบำกรบั
ระบำกรับ เป็นระบำที่มีลีลาอ่อนช้อยงดงามชุดหนึ่ง ซึ่งนางลมุล ยมะคุปต์ และนางเฉลย ศุขะวณิช
ผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์ไทยและศิลปนิ แห่งชาติ เป็นผู้สร้างสรรคป์ ระดิษฐ์ท่ารำขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกลมกลนื
กับทำนองและจังหวะ เพลงระบำกรับของ นายมนตรี ตราโมท ผู้เชี่ยวชาญดนตรีไทยและศิลปินแห่งชาติ โดยให้ผู้
แสดงแต่งกายแบบสตรีสูงศักดิ์ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ถือกรับพวงรำไปตามท่วงทำนองและจังหวะของเพลงท่ี
มที ้งั ชา้ และเรว็
ทม่ี า : มูลนิธิมนตรี ตราโมท
๑๙๖
๑๙๗
๑๙๘
๑๙๙
QR CODE วีดโี อทางฆอ้ งวงใหญเ่ พลงระบำกรบั
๒๐๐