จากนั้นครูเขียนสมการเคมีของปฏิกิริยาการเผาไหม้ระหว่างแก๊สโพรเพนกับแก๊สออกซิเจน แล้วร่วมกัน อภิปรายเพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า สมการเคมีใช้แสดงปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้น โดยจะเขียนสูตรเคมีของ สารตั้งต้น ทางด้านซ้ายของลูกศร และสูตรเคมีของผลิตภัณฑ์ทางด้านขวา โดยจำนวนอะตอมรวมของแต่ละธาตุ ทางด้านซ้ายและขวาเท่ากัน 2.3 ครูให้ความรู้เกี่ยวกับสัญลักษณ์ที่ใช้ในการเขียนสมการเคมีที่แสดงภาวะและปัจจัยอื่น ๆ ที่ เกี่ยวข้องในการเกิดปฏิกิริยาเคมี 2.4 ครูให้นักเรียนทำแบบฝึกหัด 4.1 ในหนังสือเรียน หน้า 102 ลงในสมุด 2.5 ครูให้นักเรียนทำแบบฝึกหัด เรื่อง สมการเคมีที่เกี่ยวข้องปฏิกิริยาการเผาไหม้(โดยศึกษา เนื้อหาเพิ่มเติมในหนังสือเรียน) ขั้นที่3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 3.1 ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปสมการเคมีที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาเคมีกี่เขียนสมการเคมีจำนวน อะตอม การแสดงสถานะของสาร ขั้นที่4 ขั้นขยายความรู้ 4.1 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสัญลักษณ์ความร้อนในสมการเคมีตามรายละเอียดในหนังสือเรียน หน้า 101 4.2 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน หน้า 103 -105 ขั้นที่5 ขั้นประเมินผล 5.1ครูตรวจสมุดการทำแบบฝึกหัด 4.1 5.2ครูตรวจสมุดการทำแบบฝึกหัด เรื่อง สมการเคมีที่เกี่ยวข้องปฏิกิริยาการเผาไหม้ ประยุกต์และตอบแทนสังคม ครูให้นักเรียนแต่ละคนนำความรู้ที่เรียนไปค้นคว้าเพิ่มเติมที่ห้องสมุด หรือเว็บไซต์แล้วนำเสนอใน ชั้นเรียน 8. สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ 8.1 หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์(วิทยาศาสตร์กายภาพ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 1 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) 8.2 แบบฝึกหัด เรื่อง สมการเคมีที่เกี่ยวข้องปฏิกิริยาการเผาไหม้ 8.3 อินเทอร์เน็ต 8.4 ห้องสมุด
9. การวัดและประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัด เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน ด้านความรู้(K) 1) นักเรียนระบุสูตรเคมีของสารตั้งต้น ผลิตภัณฑ์และแปลความหมายของ สัญลักษณ์ในสมการเคมีได้ 1) ตรวจแบบฝึกหัด 4.1 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) แบบฝึกหัด 4.1 1) นักเรียนสามารถ ทำแบบฝึกหัด 4.1 ได้ระดับดีผ่านเกณฑ์ ด้านกระบวนการ (P) 1) นักเรียนเขียนสมการเคมีที่กำหนดให้ได้ 1) ตรวจแบบฝึกหัด เรื่อง สมการเคมี 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) แบบฝึกหัด เรื่อง สมการเคมี 1) นักเรียนสามารถ ทำแบบฝึกหัด เรื่อง สมการเคมีได้ระดับ ดีผ่านเกณฑ์ ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการ ทำงาน 1) ตรวจแบบฝึกหัด 4.1 2) ตรวจแบบฝึกหัด เรื่อง สมการเคมี 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) แบบฝึกหัด 4.1 3) แบบฝึกหัด เรื่อง สมการเคมี 1) นักเรียนทำภาระ งานที่ได้รับมอบหมาย ได้ระดับดีผ่านเกณฑ์ 10. เกณฑ์การประเมินผลงานนักเรียน เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการทำกิจกรรม เรื่อง สมการเคมี ประเด็นการ ประเมิน ค่าน้ำหนัก คะแนน แนวทางการให้คะแนน ด้านความรู้ (K) 3 ทำแบบฝึกหัด 4.1 ได้ถูกต้องครบถ้วน จำนวน 3 ข้อ 2 ทำแบบฝึกหัด 4.1 ได้ถูกต้องครบถ้วน จำนวน 2 ข้อ 1 ทำแบบฝึกหัด 4.1 ได้ถูกต้องครบถ้วน จำนวน 1 ข้อ หรือไม่มีข้อใดถูกต้อง ด้าน กระบวนการ (P) 3 ทำแบบฝึกหัด เรื่อง สมการเคมีได้ถูกต้องครบถ้วน จำนวน 3 ข้อ 2 ทำแบบฝึกหัด เรื่อง สมการเคมีได้ถูกต้องครบถ้วน จำนวน 2 ข้อ 1 ทำแบบฝึกหัด เรื่อง สมการเคมีได้ถูกต้องครบถ้วน จำนวน 1 ข้อ หรือไม่มีข้อใดถูกต้อง ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด และเรียบร้อยถูกต้องครบถ้วน 2 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด แต่งานยังผิดพลาดบางส่วน 1 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกิดข้อผิดพลาดบางส่วน ระดับคะแนน คะแนน 3 หมายถึง ระดับดีมาก คะแนน 2 หมายถึง ระดับดี คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้
การประเมินการทำกิจกรรม เรื่อง สมการเคมี ที่ ชื่อ - นามสกุล จุดประสงค์การเรียนรู้ รวม คะแนน ระดับ คุณภาพ ด้านความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 3 3 9 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28
ที่ ชื่อ - นามสกุล จุดประสงค์การเรียนรู้ รวม คะแนน ระดับ คุณภาพ ด้านความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 3 3 9 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 ระดับคุณภาพ คะแนน 9 หมายถึง ระดับดีมาก คะแนน 7-8 หมายถึง ระดับดี คะแนน 5-6 หมายถึง ระดับปานกลาง คะแนน 3-4 หมายถึง ระดับปรับปรุง
คำสั่ง ให้นักเรียนศึกษาเนื้อหาหน้า 99 -101 ในหนังสือเรียน และสืบค้นผ่านอินเทอร์เน็ต แล้วเติมคำตอบลงใน ช่องว่างให้ถูกต้องสมบูรณ์ 1. สมการเคมีของปฏิกิริยาการเผาไหม้โพรเพน C3H8 (g) + 5O2 (g) 3CO2 (g) + 4H2O (g) 2. สมการเคมีของปฏิกิริยาการเผาไหม้แก๊สบิวเทน C4H10 (g) + 6.5O2 (g) 4CO2 (g) + 5H2O (g) 3. สมการเคมีของปฏิกิริยาการเผาไหม้ฟอสฟอรัส P4 (s) + 5O2 (g) 2P2O5 (s) ชื่อ ชั้น เลขที่ ‘ แบบฝึกหัด เรื่อง สมการเคมี
คำสั่ง ให้นักเรียนศึกษาเนื้อหาหน้า 99 -101 ในหนังสือเรียน และสืบค้นผ่านอินเทอร์เน็ต แล้วเติมคำตอบลงใน ช่องว่างให้ถูกต้องสมบูรณ์ 1. สมการเคมีของปฏิกิริยาการเผาไหม้โพรเพน C3H8 (g) + 5O2 (g) 3CO2 (g) + 4H2O (g) 2. สมการเคมีของปฏิกิริยาการเผาไหม้แก๊สบิวเทน C4H10 (g) + 6.5O2 (g) 4CO2 (g) + 5H2O (g) 3. สมการเคมีของปฏิกิริยาการเผาไหม้ฟอสฟอรัส P4 (s) + 5O2 (g) 2P2O5 (s) ชื่อ ชั้น เลขที่ ‘ เฉลยแบบฝึกหัด เรื่อง สมการเคมี
แผนการจัดการเรียนรู้ที่23 เรื่อง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี รายวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ2 รหัสวิชา ว32101 เวลา 2 ชั่วโมง หน่วยการเรียนรู้ที่4 ชื่อหน่วยการเรียนรู้พลังงาน รวม 19 ชั่วโมง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ภาคเรียนที่1 บูรณาการ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อาเซียน STEM PLC สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน มาตรฐานสากล ข้ามกลุ่มสาระ 1. มาตรฐานการเรียนรู้ ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้าง และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี 2. ตัวชี้วัด ว 2.1 ม.5/21 ทดลองและอธิบายผลของความเข้มข้น พื้นที่ผิว อุณหภูมิและตัวเร่งปฏิกิริยา ที่มีผลต่ออัตรา การเกิดปฏิกิริยาเคมี 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 3.1 ด้านความรู้(K) 1) นักเรียนอธิบายผลของตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีได้ 3.2 ด้านกระบวนการ (P) 1) นักเรียนทดลองผลของตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีได้ 3.3 ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการทำงาน 4. สาระสำคัญ พลังงานที่นำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้มาจากปฏิกิริยาเคมีและปฏิกิริยานิวเคลียร์โดยปฏิกิริยา เคมีที่ให้พลังงานอาจได้มาจากปฏิกิริยาการเผาไหม้ปฏิกิริยาเคมีไฟฟ้า ซึ่งปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น เขียนแสดงได้ด้วย สมการเคมีโดยแสดงชนิดและจำนวนของสารตั้งต้นที่ทำปฏิกิริยากัน และผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งภาวะในการ เกิดปฏิกิริยา การพิจารณาว่าปฏิกิริยาเคมีเกิดเร็วหรือช้าพิจารณาได้จากอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีซึ่งขึ้นอยู่กับ หลายปัจจัย เช่น ความเข้มข้น อุณหภูมิพื้นที่ผิวของสารตั้งต้น ตัวเร่งปฏิกิริยา ความรู้เกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่ออัตรา การเกิดปฏิกิริยาเคมีสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน และในอุตสาหกรรม ปฏิกิริยารีดอกซ์เป็นปฏิกิริยา เคมีที่เกิดจากการถ่ายโอนอิเล็กตรอนของสาร โดยปฏิกิริยารีดอกซ์มีทั้งที่ให้กระแสไฟฟ้าและไม่ให้กระแสไฟฟ้า สำหรับปฏิกิริยานิวเคลียร์จะใช้สารกัมมันตรังสีเป็นแหล่งของพลังงาน เนื่องจากสารกัมมันตรังสีมีนิวเคลียสไม่ เสถียร เกิดการสลายและแผ่รังสีอย่างต่อเนื่อง สารกัมมันตรังสีแต่ละชนิดมีค่าครึ่งชีวิตแตกต่างกัน และรังสีที่แผ่ออก
มาแตกต่างกันจึงนำมาใช้ประโยชน์ได้ต่างกัน การนำสารกัมมันตรังสีแต่ละชนิดมาใช้ต้องมีการจัดการอย่างเหมาะสม และต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม 5. สาระการเรียนรู้ 5.1 ความรู้ สารที่ทำให้ปฏิกิริยาเกิดได้เร็วขึ้น เรียกว่า ตัวเร่งปฏิกิริยา (catalyst) โดยปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเมื่อมี ตัวเร่งปฏิกิริยายังคงให้ผลิตภัณฑ์เป็นสารชนิดเดิม และเมื่อปฏิกิริยาเคมีสิ้นสุดลงจะได้ตัวเร่งปฏิกิริยา กลับคืนมาในปริมาณเท่าเดิม ดังนั้นจึงสามารถใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาในปริมาณเพียงเล็กน้อยเพื่อช่วยให้สารตั้ง ต้นเกิดปฏิกิริยาเคมีได้ ในการเกิดปฏิกิริยาเคมีสารตั้งต้นจะเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ทำให้สารตั้งต้นมีปริมาณลดลงและ ผลิตภัณฑ์มีปริมาณเพิ่มขึ้น ถ้าปริมาณสารตั้งต้นลดลงอย่างรวดเร็ว ปริมาณผลิตภัณฑ์ก็จะเพิ่มขึ้นอย่าง รวดเร็ว ดังนั้นการพิจารณาว่าปฏิกิริยาใดเกิดได้เร็วหรือช้า จึงพิจารณาได้จากการเปลี่ยนแปลงปริมาณสาร ตั้งต้นหรือผลิตภัณฑ์ต่อเวลา ซึ่งสัมพันธ์กับ อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี(rate of reaction) 5.2 กระบวนการ 1) ความสามารถในการสื่อสาร (อ่าน ฟัง พูด เขียน) 2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วิเคราะห์จัดกลุ่ม สรุป) 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แสวงหาความรู้) 4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต (ความรับผิดชอบ) 5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบค้นผ่านคอมพิวเตอร์) 5.3 คุณลักษณะและค่านิยม ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการทำงาน 6. บูรณาการ - 7. กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่1 ขั้นสร้างความสนใจ 1.1 ครูนำเข้าสู่บทเรียน โดยนำรูป 4.6 ประกอบการอธิบาย เพื่อนำเข้าสู่กิจกรรม - การเกิดมลพิษจากปฏิกิริยาการเผาไหม้เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และวิธีการลดมลพิษที่ เกิดขึ้นด้วยเครื่องฟอกไอเสียเชิงเร่งปฏิกิริยา โดยใช้รูป 4.6 ประกอบการอธิบาย เพื่อให้เห็นว่าตัวเร่ง ปฏิกิริยาเคมีทำให้ปฏิกิริยาเคมีที่เกิดได้ช้า เกิดปฏิกิริยาได้เร็วขึ้น
1.2 ครูนำเข้าสู่บทเรียนโดยตั้งคำถาม เพื่อนำเข้าสู่กิจกรรม 1) สารที่ทำให้ปฏิกิริยาเกิดได้เร็วขึ้น เรียกว่า 2) คำว่า “อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี” มีความหมายว่าอย่างไร 3) นอกจากโลหะแพลทินัมและโรเดียมที่ทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาเคมีในเครื่องฟอกไอ เสียแล้ว ยังมีสารเคมีที่ทำหน้าที่เป็นตัวเร่งในปฏิกิริยาเคมีอื่น ๆ อีกหรือไม่ ขั้นที่2 ขั้นสำรวจและค้นหา 2.1 นักเรียนแบ่งกลุ่มๆ ละ 5-6 คน โดยคละเพศ คละความสามารถ 2.2 นักเรียนแต่ละกลุ่มศึกษาใบกิจกรรม 4.1 การทดลองการเติมสารเคมีบางชนิดที่มีผลต่ออัตรา การเกิดปฏิกิริยาเคมี 2.3 ครูแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้อุปกรณ์และขั้นตอนการทดลองอย่างละเอียด 2.4 นักเรียนรับอุปกรณ์การทดลอง พร้อมติดตั้งอุปกรณ์ 2.5 นักเรียนแต่ละกลุ่มทำการทดลอง สังเกตและบันทึกผลการทดลอง ขั้นที่3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 3.1 ครูสุ่มนักเรียน 2 คน ออกมานำเสนอสรุปที่ได้จากการศึกษาหน้าชั้นเรียน 3.2 ครูนำนักเรียนอภิปราย ใบกิจกรรม 4.1 การทดลองการเติมสารเคมีบางชนิดที่มีผลต่ออัตรา การเกิดปฏิกิริยาเคมีเพื่อนำไปสู่การสรุปโดยใช้คำถามต่อไปนี้ 1) นักเรียนแต่ละกลุ่มได้ผลการทำกิจกรรมเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร (แนวการตอบ ได้ผลเหมือนกัน) 2) H2O2 มีลักษณะอย่างไร (แนวการตอบ มีลักษณะใส ไม่มีสี) 2) เมื่อเติม KI อิ่มตัว ลงไปใน H2O2 ที่ผสมกับน้ำยาล้างจาน เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร (แนวการตอบ จะทำให้มีฟองแก๊สเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว) 3.3 นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายและสรุปผลการทำการทดลอง จนสรุปได้ดังนี้ H2O2 มีลักษณะใส ไม่มีสีเมื่อเติมน้ำยาล้างจานลงไปและผสมให้เข้ากัน พบว่าสารละลาย ใสเช่นเดิม หลังจากสังเกตการเปลี่ยนแปลงเป็นเวลา 3 นาทีขวดที่ไม่ได้เติม KI อิ่มตัวอาจสังเกตเห็นฟองแก๊ส เกิดขึ้นเล็กน้อยหรืออาจไม่เห็นฟองแก๊สเลย ส่วนขวดที่เติม KI อิ่มตัวมีฟองแก๊สเกิดขึ้นจำานวนมาก โดยแก๊ส ที่เกิดขึ้นคือ แก๊สออกซิเจน ซึ่งได้จากการสลายตัวของ H2O2 จึงสามารถเปรียบเทียบอัตราการเกิดปฏิกิริยาได้ จากปริมาณฟองแก๊สที่เกิดขึ้นในเวลาที่เท่ากัน ดังนั้นขวดที่เติม KI อิ่มตัวจึงมีอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี มากกว่า สามารถสรุปผลการทดลองได้ว่า KI เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำาให้การสลายตัวของ H2O2 เกิดได้เร็วขึ้น ขั้นที่4 ขั้นขยายความรู้ 4.1 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวเร่งปฏิกิริยาเป็นปัจจัยที่ช่วยเร่งให้ปฏิกิริยาเคมีบางชนิดเกิดได้ เร็วขึ้น ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน หน้า 108 ขั้นที่5 ขั้นประเมินผล 5.1 นักเรียนส่งใบกิจกรรม 4.1 การทดลองการเติมสารเคมีบางชนิดที่มีผลต่ออัตราการ เกิดปฏิกิริยาเคมี
ประยุกต์และตอบแทนสังคม ครูให้นักเรียนแต่ละคนนำความรู้ที่เรียนไปค้นคว้าเพิ่มเติมที่ห้องสมุด หรือเว็บไซต์แล้วนำเสนอใน ชั้นเรียน 8. สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ 8.1 หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์(วิทยาศาสตร์กายภาพ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 1 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) 8.2 ใบกิจกรรม 4.1 การทดลองการเติมสารเคมีบางชนิดที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี 8.3 อินเทอร์เน็ต 8.4 ห้องสมุด 8.5 สารละลาย และอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ 9. การวัดและประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัด เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน ด้านความรู้(K) 1) นักเรียนอธิบายผลของตัวเร่งปฏิกิริยาที่ มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีได้ 1) ตรวจใบกิจกรรม 4.1 การทดลองการ เติมสารเคมีบางชนิดที่ มีผลต่ออัตราการ เกิดปฏิกิริยาเคมี 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) ใบกิจกรรม 4.1 การทดลองการเติม สารเคมีบางชนิดที่มี ผลต่ออัตราการ เกิดปฏิกิริยาเคมี 1) นักเรียนสามารถ สรุปผลการทดลองได้ ระดับดีผ่านเกณฑ์ ด้านกระบวนการ (P) 1) นักเรียนทดลองผลของตัวเร่งปฏิกิริยาที่ มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีได้ 1) ตรวจใบกิจกรรม 4.1 การทดลองการ เติมสารเคมีบางชนิดที่ มีผลต่ออัตราการ เกิดปฏิกิริยาเคมี 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) ใบกิจกรรม 4.1 การทดลองการเติม สารเคมีบางชนิดที่มี ผลต่ออัตราการ เกิดปฏิกิริยาเคมี 1) นักเรียนสามารถ บันทึกผลการทำ กิจกรรมได้ระดับดี ผ่านเกณฑ์ ด้านคุณลักษณะ (A)
1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการ ทำงาน 1) ตรวจใบกิจกรรม 4.1 การทดลองการ เติมสารเคมีบางชนิดที่ มีผลต่ออัตราการ เกิดปฏิกิริยาเคมี 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) ใบกิจกรรม 4.1 การทดลองการเติม สารเคมีบางชนิดที่มี ผลต่ออัตราการ เกิดปฏิกิริยาเคมี 1) นักเรียนทำภาระ งานที่ได้รับมอบหมาย ได้ระดับดีผ่านเกณฑ์ 10. เกณฑ์การประเมินผลงานนักเรียน เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการทำกิจกรรม เรื่อง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ประเด็นการ ประเมิน ค่าน้ำหนัก คะแนน แนวทางการให้คะแนน ด้านความรู้ (K) 3 สรุปผลการทดลองได้ถูกต้องครบถ้วน 2 สรุปผลการทดลองได้ค่อนข้างถูกต้องครบถ้วน 1 สรุปผลการทดลองได้แต่ไม่ครบถ้วน ด้าน กระบวนการ (P) 3 บันทึกผลกิจกรรมได้ถูกต้องครบถ้วน 2 บันทึกผลกิจกรรมได้ค่อนข้างถูกต้องครบถ้วน 1 บันทึกผลกิจกรรมได้แต่ไม่ครบถ้วน ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด และเรียบร้อยถูกต้องครบถ้วน 2 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด แต่งานยังผิดพลาดบางส่วน 1 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกิดข้อผิดพลาดบางส่วน ระดับคะแนน คะแนน 3 หมายถึง ระดับดีมาก คะแนน 2 หมายถึง ระดับดี คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้
การประเมินการทำกิจกรรม เรื่อง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ที่ ชื่อ - นามสกุล จุดประสงค์การเรียนรู้ รวม คะแนน ระดับ คุณภาพ ด้านความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 3 3 9 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28
ที่ ชื่อ - นามสกุล จุดประสงค์การเรียนรู้ รวม คะแนน ระดับ คุณภาพ ด้านความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 3 3 9 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 ระดับคุณภาพ คะแนน 9 หมายถึง ระดับดีมาก คะแนน 7-8 หมายถึง ระดับดี คะแนน 5-6 หมายถึง ระดับปานกลาง คะแนน 3-4 หมายถึง ระดับปรับปรุง
1. รายชื่อสมาชิกที่ …………………………………………………….. ชั้น ………………………………… ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... 2. จุดประสงค์การทำกิจกรรม ศึกษาผลของสารละลายโพแทสเซียมไอโอไดด์ที่มีต่ออัตราการสลายตัวของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 3. วัสดุอุปกรณ์สารเคมี ** การเตรียมล่วงหน้า KI อิ่มตัว ปริมาตร 5 mL โดยชั่ง KI ปริมาณ 8 g แล้วเติมลงในน้ำกลั่นปริมาตร 5 mL (สารละลาย ที่เตรียมสามารถใช้ได้กับการทดลองของนักเรียนประมาณ 20 กลุ่ม) ใบกิจกรรม 4.1 การทดลองการเติมสารเคมีบางชนิดที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
4. วิธีทำกิจกรรม 1) ใส่ H2O2 ลงในขวดรูปกรวย 2 ใบ ใบละ 20 mL 2) เติมน้ำยาล้างจาน ลงในขวดรูปกรวยทั้ง 2 ใบ ใบละ 20 mL แล้วผสมให้เข้ากัน สังเกตลักษณะของสารละลายก่อน และหลังเติมน้ำยาล้างจาน 3) เติม KI อิ่มตัว 4-5 หยด ลงในขวดรูปกรวยใบหนึ่ง แล้วสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับ H2O2 ในขวดรูป กรวยทั้ง 2 ใบ เป็นเวลา 3 นาทีและบันทึกผลการทดลอง 5. ผลการทดลอง เมื่อเติม KI อิ่มตัว ลงไปใน H2O2 ที่ผสมกับน้ำยาล้างจาน จะทำให้มีฟองแก๊สเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว b b vv 6. อภิปรายผลการทดลอง จากการทดลอง พบว่า เมื่อเติมน้ำยาล้างจานลงไปและผสมให้เข้ากัน พบว่าสารละลาย ใสเช่นเดิม หลังจาก สังเกตการเปลี่ยนแปลงเป็นเวลา 3 นาทีขวดที่ไม่ได้เติม KI อิ่มตัวอาจสังเกตเห็นฟองแก๊สเกิดขึ้นเล็กน้อยหรืออาจไม่ เห็นฟองแก๊สเลย ส่วนขวดที่เติม KI อิ่มตัวมีฟองแก๊สเกิดขึ้นจำานวนมาก โดยแก๊สที่เกิดขึ้นคือ แก๊สออกซิเจน ซึ่งได้ จากการสลายตัวของ H2O2 จึงสามารถเปรียบเทียบอัตราการเกิดปฏิกิริยาได้จากปริมาณฟองแก๊สที่เกิดขึ้นในเวลาที่ เท่ากัน ดังนั้นขวดที่เติม KI อิ่มตัวจึงมีอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีมากกว่า กังนั้นสามารถสรุปผลการทดลองได้ว่า KI เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำาให้การสลายตัวของ H2O2 เกิดได้เร็วขึ้น v 7. สรุปผลการทดลอง KI เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำาให้การสลายตัวของ H2O2 เกิดได้เร็วขึ้น อ b b
1. รายชื่อสมาชิกที่ …………………………………………………….. ชั้น ………………………………… ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... 2. จุดประสงค์การทำกิจกรรม ศึกษาผลของสารละลายโพแทสเซียมไอโอไดด์ที่มีต่ออัตราการสลายตัวของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 3. วัสดุอุปกรณ์สารเคมี ** การเตรียมล่วงหน้า KI อิ่มตัว ปริมาตร 5 mL โดยชั่ง KI ปริมาณ 8 g แล้วเติมลงในน้ำกลั่นปริมาตร 5 mL (สารละลาย ที่เตรียมสามารถใช้ได้กับการทดลองของนักเรียนประมาณ 20 กลุ่ม) เฉลยใบกิจกรรม 4.1 การทดลองการเติมสารเคมีบางชนิดที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
4. วิธีทำกิจกรรม 1) ใส่ H2O2 ลงในขวดรูปกรวย 2 ใบ ใบละ 20 mL 2) เติมน้ำยาล้างจาน ลงในขวดรูปกรวยทั้ง 2 ใบ ใบละ 20 mL แล้วผสมให้เข้ากัน สังเกตลักษณะของสารละลายก่อน และหลังเติมน้ำยาล้างจาน 3) เติม KI อิ่มตัว 4-5 หยด ลงในขวดรูปกรวยใบหนึ่ง แล้วสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับ H2O2 ในขวดรูป กรวยทั้ง 2 ใบ เป็นเวลา 3 นาทีและบันทึกผลการทดลอง 5. ผลการทดลอง เมื่อเติม KI อิ่มตัว ลงไปใน H2O2 ที่ผสมกับน้ำยาล้างจาน จะทำให้มีฟองแก๊สเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว b b vv 6. อภิปรายผลการทดลอง จากการทดลอง พบว่า เมื่อเติมน้ำยาล้างจานลงไปและผสมให้เข้ากัน พบว่าสารละลาย ใสเช่นเดิม หลังจาก สังเกตการเปลี่ยนแปลงเป็นเวลา 3 นาทีขวดที่ไม่ได้เติม KI อิ่มตัวอาจสังเกตเห็นฟองแก๊สเกิดขึ้นเล็กน้อยหรืออาจไม่ เห็นฟองแก๊สเลย ส่วนขวดที่เติม KI อิ่มตัวมีฟองแก๊สเกิดขึ้นจำานวนมาก โดยแก๊สที่เกิดขึ้นคือ แก๊สออกซิเจน ซึ่งได้ จากการสลายตัวของ H2O2 จึงสามารถเปรียบเทียบอัตราการเกิดปฏิกิริยาได้จากปริมาณฟองแก๊สที่เกิดขึ้นในเวลาที่ เท่ากัน ดังนั้นขวดที่เติม KI อิ่มตัวจึงมีอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีมากกว่า กังนั้นสามารถสรุปผลการทดลองได้ว่า KI เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำาให้การสลายตัวของ H2O2 เกิดได้เร็วขึ้น v 7. สรุปผลการทดลอง KI เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำาให้การสลายตัวของ H2O2 เกิดได้เร็วขึ้น อ b b
แผนการจัดการเรียนรู้ที่24 เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี รายวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ2 รหัสวิชา ว32101 เวลา 3 ชั่วโมง หน่วยการเรียนรู้ที่4 ชื่อหน่วยการเรียนรู้พลังงาน รวม 19 ชั่วโมง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ภาคเรียนที่1 บูรณาการ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อาเซียน STEM PLC สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน มาตรฐานสากล ข้ามกลุ่มสาระ 1. มาตรฐานการเรียนรู้ ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้าง และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี 2. ตัวชี้วัด ว 2.1 ม.5/21 ทดลองและอธิบายผลของความเข้มข้น พื้นที่ผิว อุณหภูมิและตัวเร่งปฏิกิริยา ที่มีผลต่ออัตรา การเกิดปฏิกิริยาเคมี 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 3.1 ด้านความรู้(K) 1) นักเรียนอธิบายผลของความเข้มข้น พื้นที่ผิว และอุณหภูมิที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีได้ 3.2 ด้านกระบวนการ (P) 1) นักเรียนทดลองผลของความเข้มข้น พื้นที่ผิว และอุณหภูมิที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีได้ 3.3 ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการทำงาน 4. สาระสำคัญ พลังงานที่นำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้มาจากปฏิกิริยาเคมีและปฏิกิริยานิวเคลียร์โดยปฏิกิริยา เคมีที่ให้พลังงานอาจได้มาจากปฏิกิริยาการเผาไหม้ปฏิกิริยาเคมีไฟฟ้า ซึ่งปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น เขียนแสดงได้ด้วย สมการเคมีโดยแสดงชนิดและจำนวนของสารตั้งต้นที่ทำปฏิกิริยากัน และผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งภาวะในการ เกิดปฏิกิริยา การพิจารณาว่าปฏิกิริยาเคมีเกิดเร็วหรือช้าพิจารณาได้จากอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีซึ่งขึ้นอยู่กับ หลายปัจจัย เช่น ความเข้มข้น อุณหภูมิพื้นที่ผิวของสารตั้งต้น ตัวเร่งปฏิกิริยา ความรู้เกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่ออัตรา การเกิดปฏิกิริยาเคมีสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน และในอุตสาหกรรม ปฏิกิริยารีดอกซ์เป็นปฏิกิริยา เคมีที่เกิดจากการถ่ายโอนอิเล็กตรอนของสาร โดยปฏิกิริยารีดอกซ์มีทั้งที่ให้กระแสไฟฟ้าและไม่ให้กระแสไฟฟ้า สำหรับปฏิกิริยานิวเคลียร์จะใช้สารกัมมันตรังสีเป็นแหล่งของพลังงาน เนื่องจากสารกัมมันตรังสีมีนิวเคลียสไม่ เสถียร เกิดการสลายและแผ่รังสีอย่างต่อเนื่อง สารกัมมันตรังสีแต่ละชนิดมีค่าครึ่งชีวิตแตกต่างกัน และรังสีที่แผ่ออก
มาแตกต่างกันจึงนำมาใช้ประโยชน์ได้ต่างกัน การนำสารกัมมันตรังสีแต่ละชนิดมาใช้ต้องมีการจัดการอย่างเหมาะสม และต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม 5. สาระการเรียนรู้ 5.1 ความรู้ สารที่ทำให้ปฏิกิริยาเกิดได้เร็วขึ้น เรียกว่า ตัวเร่งปฏิกิริยา (catalyst) โดยปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเมื่อมี ตัวเร่งปฏิกิริยายังคงให้ผลิตภัณฑ์เป็นสารชนิดเดิม และเมื่อปฏิกิริยาเคมีสิ้นสุดลงจะได้ตัวเร่งปฏิกิริยา กลับคืนมาในปริมาณเท่าเดิม ดังนั้นจึงสามารถใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาในปริมาณเพียงเล็กน้อยเพื่อช่วยให้สารตั้ง ต้นเกิดปฏิกิริยาเคมีได้ ในการเกิดปฏิกิริยาเคมีสารตั้งต้นจะเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ทำให้สารตั้งต้นมีปริมาณลดลงและ ผลิตภัณฑ์มีปริมาณเพิ่มขึ้น ถ้าปริมาณสารตั้งต้นลดลงอย่างรวดเร็ว ปริมาณผลิตภัณฑ์ก็จะเพิ่มขึ้นอย่าง รวดเร็ว ดังนั้นการพิจารณาว่าปฏิกิริยาใดเกิดได้เร็วหรือช้า จึงพิจารณาได้จากการเปลี่ยนแปลงปริมาณสาร ตั้งต้นหรือผลิตภัณฑ์ต่อเวลา ซึ่งสัมพันธ์กับ อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี(rate of reaction) 5.2 กระบวนการ 1) ความสามารถในการสื่อสาร (อ่าน ฟัง พูด เขียน) 2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วิเคราะห์จัดกลุ่ม สรุป) 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แสวงหาความรู้) 4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต (ความรับผิดชอบ) 5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบค้นผ่านคอมพิวเตอร์) 5.3 คุณลักษณะและค่านิยม ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการทำงาน 6. บูรณาการ - 7. กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่1 ขั้นสร้างความสนใจ 1.1 ครูนำเข้าสู่บทเรียน ว่าตัวเร่งปฏิกิริยาทำหน้าที่ช่วยให้ปฏิกิริยาเกิดได้เร็วขึ้น ตัวเร่งปฏิกิริยา ไม่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์เมื่อปฏิกิริยาเคมีสิ้นสุดแล้วจะได้ตัวเร่งปฏิกิริยากลับคืนมา 1.2 ครูยกตัวอย่างตัวเร่งปฏิกิริยาที่พบในชีวิตประจำวันและอุตสาหกรรม ตามรายละเอียดใน หนังสือเรียน เพื่อเชื่อมโยงเข้าสู่กิจกรรม 4.2 ขั้นที่2 ขั้นสำรวจและค้นหา 2.1 นักเรียนแบ่งกลุ่มๆ ละ 5-6 คน โดยคละเพศ คละความสามารถ 2.2 นักเรียนแต่ละกลุ่มศึกษาใบกิจกรรม 4.2 การทดลองปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยา เคมี2.3 ครูแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้อุปกรณ์และขั้นตอนการทดลองอย่างละเอียด 2.4 นักเรียนรับอุปกรณ์การทดลอง พร้อมติดตั้งอุปกรณ์ 2.5 นักเรียนแต่ละกลุ่มทำการทดลอง สังเกตและบันทึกผลการทดลอง
ขั้นที่3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 3.1 ครูสุ่มนักเรียน 2 คน ออกมานำเสนอสรุปที่ได้จากการศึกษาหน้าชั้นเรียน 3.2 ครูนำนักเรียนอภิปราย ใบกิจกรรม 4.2 การทดลองปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี เพื่อนำไปสู่การสรุปโดยใช้คำถามต่อไปนี้ 1) นักเรียนแต่ละกลุ่มได้ผลการทำกิจกรรมเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร (แนวการตอบ ได้ผลเหมือนกัน) 2) เมื่อเปรียบเทียบเวลาในการเกิดฟองแก๊สของสาร ในบีกเกอร์ใบที่ 1 และใบที่ 2 พบว่า บีกเกอร์ใบที่ 2 ซึ่งใช้HCl เข้มข้นกว่า เกิดฟองแก๊สได้เร็วกว่า แสดงว่ามีผลทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี เป็นอย่างไร (แนวการตอบ การเพิ่มความเข้มข้นของ HCl มีผลทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีนี้เพิ่มขึ้น) 3) เมื่อเปรียบเทียบเวลาในการเกิดฟอง แก๊สของสารในบีกเกอร์ใบที่ 1 และใบที่ 3 พบว่า บีกเกอร์ใบที่3 ซึ่งมีอุณหภูมิสูง เกิดฟองแก๊สได้เร็วกว่า แสดงว่ามีผลทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีเป็น อย่างไร (แนวการตอบ การเพิ่มอุณหภูมิในการเกิดปฏิกิริยามีผลทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีนี้เพิ่มขึ้น) 4) เมื่อเปรียบเทียบเวลาในการเกิดฟองแก๊สของ สารในบีกเกอร์ใบที่ 1 กับใบที่ 4 พบว่า บีกเกอร์ใบที่1 ซึ่งใช้ผง CaCO₃ ซึ่งพื้นที่ผิวรวมทั้งหมดมากกว่า เกิดฟองแก๊สได้เร็วกว่าบีกเกอร์ใบที่ 4 ซึ่ง ใช้เม็ด CaCO₃ แสดงว่ามีผลทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีเป็นอย่างไร (แนวการตอบ การเพิ่มพื้นที่ผิว ของ CaCO₃ ให้สัมผัสกับ HCl มากขึ้นมีผลทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีนี้เพิ่มขึ้น) 3.3 นักเรียนและครูร่วมกันสรุปผลการทำการทดลอง ดังนี้ สรุปผลการทดลองได้ว่า การเพิ่มความเข้มข้นของ HCl การเพิ่มอุณหภูมิในการทำ ปฏิกิริยา และการเพิ่ม พื้นที่ผิวของ CaCO₃ จะทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาระหว่าง CaCO₃ กับ HCl เพิ่มขึ้น ขั้นที่4 ขั้นขยายความรู้ 4.1 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทดลอง 4.1 และ 4.2 ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน หน้า 110 ขั้นที่5 ขั้นประเมินผล 5.1 นักเรียนส่งใบกิจกรรม 4.2 การทดลองปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ประยุกต์และตอบแทนสังคม ครูให้นักเรียนแต่ละคนนำความรู้ที่เรียนไปค้นคว้าเพิ่มเติมที่ห้องสมุด หรือเว็บไซต์แล้วนำเสนอใน ชั้นเรียน
8. สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ 8.1 หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์(วิทยาศาสตร์กายภาพ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 1 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) 8.2 ใบกิจกรรม 4.2 การทดลองปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี 8.3 อินเทอร์เน็ต 8.4 ห้องสมุด 8.5 สารละลาย และอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ 9. การวัดและประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัด เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน ด้านความรู้(K) 1) นักเรียนอธิบายผลของความเข้มข้น พื้นที่ผิว และอุณหภูมิที่มีผลต่ออัตราการ เกิดปฏิกิริยาเคมีได้ 1) ตรวจใบกิจกรรม 4.2 การทดลองปัจจัย ที่มีผลต่ออัตราการ เกิดปฏิกิริยาเคมี 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) ใบกิจกรรม 4.2 การทดลองปัจจัยที่มี ผลต่ออัตราการ เกิดปฏิกิริยาเคมี 1) นักเรียนสามารถ สรุปผลการทดลองได้ ระดับดีผ่านเกณฑ์ ด้านกระบวนการ (P) 1) นักเรียนทดลองผลของความเข้มข้น พื้นที่ผิว และอุณหภูมิที่มีผลต่ออัตราการ เกิดปฏิกิริยาเคมีได้ 1) ตรวจใบกิจกรรม 4.2 การทดลองปัจจัย ที่มีผลต่ออัตราการ เกิดปฏิกิริยาเคมี 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) ใบกิจกรรม 4.2 การทดลองปัจจัยที่มี ผลต่ออัตราการ เกิดปฏิกิริยาเคมี 1) นักเรียนสามารถ บันทึกผลการทำ กิจกรรมได้ระดับดี ผ่านเกณฑ์ ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการ ทำงาน 1) ตรวจใบกิจกรรม 4.2 การทดลองปัจจัย ที่มีผลต่ออัตราการ เกิดปฏิกิริยาเคมี 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) ใบกิจกรรม 4.2 การทดลองปัจจัยที่มี ผลต่ออัตราการ เกิดปฏิกิริยาเคมี 1) นักเรียนทำภาระ งานที่ได้รับมอบหมาย ได้ระดับดีผ่านเกณฑ์
10. เกณฑ์การประเมินผลงานนักเรียน เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการทำกิจกรรม เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ประเด็นการ ประเมิน ค่าน้ำหนัก คะแนน แนวทางการให้คะแนน ด้านความรู้ (K) 3 สรุปผลการทดลองได้ถูกต้องครบถ้วน 2 สรุปผลการทดลองได้ค่อนข้างถูกต้องครบถ้วน 1 สรุปผลการทดลองได้แต่ไม่ครบถ้วน ด้าน กระบวนการ (P) 3 บันทึกผลกิจกรรมได้ถูกต้องครบถ้วน 2 บันทึกผลกิจกรรมได้ค่อนข้างถูกต้องครบถ้วน 1 บันทึกผลกิจกรรมได้แต่ไม่ครบถ้วน ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด และเรียบร้อยถูกต้องครบถ้วน 2 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด แต่งานยังผิดพลาดบางส่วน 1 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกิดข้อผิดพลาดบางส่วน ระดับคะแนน คะแนน 3 หมายถึง ระดับดีมาก คะแนน 2 หมายถึง ระดับดี คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้
การประเมินการทำกิจกรรม เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ที่ ชื่อ - นามสกุล จุดประสงค์การเรียนรู้ รวม คะแนน ระดับ คุณภาพ ด้านความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 3 3 9 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28
ที่ ชื่อ - นามสกุล จุดประสงค์การเรียนรู้ รวม คะแนน ระดับ คุณภาพ ด้านความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 3 3 9 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 ระดับคุณภาพ คะแนน 9 หมายถึง ระดับดีมาก คะแนน 7-8 หมายถึง ระดับดี คะแนน 5-6 หมายถึง ระดับปานกลาง คะแนน 3-4 หมายถึง ระดับปรับปรุง
1. รายชื่อสมาชิกที่ …………………………………………………….. ชั้น ………………………………… ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... 2. จุดประสงค์การทำกิจกรรม ศึกษาผลของความเข้มข้น อุณหภูมิและพื้นที่ผิวของสารตั้งต้นที่มีต่ออัตราการเกิด ปฏิกิริยาเคมีระหว่าง กรดไฮโดรคลอริกกับหินปูนหรือแคลเซียมคาร์บอเนต 3. วัสดุอุปกรณ์สารเคมี ใบกิจกรรม 4.2 การทดลองปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
4. วิธีทำกิจกรรม 1) ใส่ผง CaCO3 ลงในบีกเกอร์ใบที่ 1-3 และใส่เม็ด CaCO3 ลงในบีกเกอร์ใบที่ 4 บีกเกอร์ละ 0.1 g 2) เติม HCl 7 % w/v ลงในหลอดทดลองหลอดที่ 2 และเติม HCl 1 % w/v ลงในหลอดทดลองหลอดที่ 1 3 และ 4 หลอดละ 5 mL 3) อุ่น HCl 1 % w/v ในหลอดที่ 3 ให้มีอุณหภูมิประมาณ 60 องศาเซลเซียส 4) เติม HCl ลงในบีกเกอร์ในข้อ 1 โดยทำการทดลองทีละคู่ดังรูป และจับเวลาทันที่ที่เติม HCl จนไม่เห็นฟองแก๊ส เกิดขึ้น แล้วบันทึกผลการทดลอง 5. ผลการทดลอง บีกเกอร์ใบที่ สาร เวลาการเกิดปฏิกิริยา(วินาที) 1 ผง CaCO3 + HCl 1 % w/v 2 ผง CaCO3 + HCl 7 % w/v 3 ผง CaCO3 + HCl 1 % w/v (สารละลายกรดอุณหภูมิประมาณ 60 °C) 4 เม็ด CaCO3 + HCl 1 % w/v 6. อภิปรายผลการทดลอง ➢ความเข้มข้น เมื่อเปรียบเทียบเวลาในการเกิดฟองแก๊สของสาร ในบีกเกอร์ใบที่ 1 และใบที่ 2 พบว่า บีกเกอร์ใบที่ 2 ซึ่งใช้HCl เข้มข้นกว่า เกิดฟองแก๊สได้เร็วกว่า แสดงว่า การเพิ่มความเข้มข้นของ HCl มีผลทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีนี้ เพิ่มขึ้น กังนั้นสามารถสรุปผลการทดลองได้ว่า KI เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำาให้การสลายตัวของ H2O2 เกิดได้เร็วขึ้น เข้มข้นกว่า เกิดฟองแก๊สได้เร็วกว่า แสดงว่า การเพิ่มความเข้มข้นของ HCl มีผลทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีนี้
➢อุณหภูมิ เมื่อเปรียบเทียบเวลาในการเกิดฟอง แก๊สของสารในบีกเกอร์ใบที่ 1 และใบที่ 3 พบว่า บีกเกอร์ใบที่ 3 ซึ่งมีอุณหภูมิ สูง เกิดฟองแก๊สได้เร็วกว่า แสดงว่า การเพิ่มอุณหภูมิในการเกิดปฏิกิริยามีผลทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี นี้เพิ่มขึ้น f กังนั้นสามารถสรุปผลการทดลองได้ว่า KI เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำาให้การสลายตัวของ H2O2 เกิดไ ด้เร็วขึ้น เข้มข้นกว่า เกิดฟองแก๊สได้เร็วกว่า แสดงว่า การเพิ่มความเข้มข้นของ HCl มีผลทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีนี้ เพิ่มขึ้น กังนั้นสามารถสรุปผลการทดลองได้ว่า KI เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำาให้การสลายตัวของ H2O2 เกิดได้เร็วขึ้น ➢พื้นที่ผิวของสารตั้งต้น เมื่อเปรียบเทียบเวลาในการเกิดฟองแก๊สของ สารในบีกเกอร์ใบที่ 1 กับใบที่ 4 พบว่า บีกเกอร์ใบที่ 1 ซึ่งใช้ผง CaCO₃ ซึ่งพื้นที่ผิวรวมทั้งหมดมากกว่า เกิดฟองแก๊สได้เร็วกว่าบีกเกอร์ใบที่ 4 ซึ่งใช้เม็ด CaCO₃ แสดงว่าการเพิ่ม พื้นที่ผิวของ CaCO₃ ให้สัมผัสกับ HCl มากขึ้นมีผลทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีนี้เพิ่มขึ้น f เข้มข้นกว่า เกิดฟองแก๊สได้เร็วกว่า แสดงว่า การเพิ่มความเข้มข้นของ HCl มีผลทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีนี้ เพิ่มขึ้น กังนั้นสามารถสรุปผลการทดลองได้ว่า KI เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำาให้การสลายตัวของ H2O2 เกิดได้เร็วขึ้น 7. สรุปผลการทดลอง การเพิ่มความเข้มข้นของ HCl การเพิ่มอุณหภูมิในการทำปฏิกิริยา และการเพิ่ม พื้นที่ผิวของ CaCO₃ จะทำให้ อัตราการเกิดปฏิกิริยาระหว่าง CaCO₃ กับ HCl เพิ่มขึ้น อ เข้มข้นกว่า เกิดฟองแก๊สได้เร็วกว่า แสดงว่า การเพิ่มความเข้มข้นของ HCl มีผลทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีนี้ เพิ่มขึ้น กังนั้นสามารถสรุปผลการทดลองได้ว่า KI เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำาให้การสลายตัวของ H2O2 เกิดได้เร็วขึ้น
1. รายชื่อสมาชิกที่ …………………………………………………….. ชั้น ………………………………… ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... 2. จุดประสงค์การทำกิจกรรม ศึกษาผลของความเข้มข้น อุณหภูมิและพื้นที่ผิวของสารตั้งต้นที่มีต่ออัตราการเกิด ปฏิกิริยาเคมีระหว่าง กรดไฮโดรคลอริกกับหินปูนหรือแคลเซียมคาร์บอเนต 3. วัสดุอุปกรณ์สารเคมี เฉลยใบกิจกรรม 4.2 การทดลองปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
4. วิธีทำกิจกรรม 1) ใส่ผง CaCO3 ลงในบีกเกอร์ใบที่ 1-3 และใส่เม็ด CaCO3 ลงในบีกเกอร์ใบที่ 4 บีกเกอร์ละ 0.1 g 2) เติม HCl 7 % w/v ลงในหลอดทดลองหลอดที่ 2 และเติม HCl 1 % w/v ลงในหลอดทดลองหลอดที่ 1 3 และ 4 หลอดละ 5 mL 3) อุ่น HCl 1 % w/v ในหลอดที่ 3 ให้มีอุณหภูมิประมาณ 60 องศาเซลเซียส 4) เติม HCl ลงในบีกเกอร์ในข้อ 1 โดยทำการทดลองทีละคู่ดังรูป และจับเวลาทันที่ที่เติม HCl จนไม่เห็นฟองแก๊ส เกิดขึ้น แล้วบันทึกผลการทดลอง 5. ผลการทดลอง บีกเกอร์ใบที่ สาร เวลาการเกิดปฏิกิริยา(วินาที) 1 ผง CaCO3 + HCl 1 % w/v 50 2 ผง CaCO3 + HCl 7 % w/v 15 3 ผง CaCO3 + HCl 1 % w/v (สารละลายกรดอุณหภูมิประมาณ 60 °C) 25 4 เม็ด CaCO3 + HCl 1 % w/v > 300 6. อภิปรายผลการทดลอง ➢ความเข้มข้น เมื่อเปรียบเทียบเวลาในการเกิดฟองแก๊สของสาร ในบีกเกอร์ใบที่ 1 และใบที่ 2 พบว่า บีกเกอร์ใบที่ 2 ซึ่งใช้HCl เข้มข้นกว่า เกิดฟองแก๊สได้เร็วกว่า แสดงว่า การเพิ่มความเข้มข้นของ HCl มีผลทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีนี้ เพิ่มขึ้น กังนั้นสามารถสรุปผลการทดลองได้ว่า KI เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำาให้การสลายตัวของ H2O2 เกิดได้เร็วขึ้น v
➢อุณหภูมิ เมื่อเปรียบเทียบเวลาในการเกิดฟอง แก๊สของสารในบีกเกอร์ใบที่ 1 และใบที่ 3 พบว่า บีกเกอร์ใบที่ 3 ซึ่งมีอุณหภูมิ สูง เกิดฟองแก๊สได้เร็วกว่า แสดงว่า การเพิ่มอุณหภูมิในการเกิดปฏิกิริยามีผลทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี นี้เพิ่มขึ้น f กังนั้นสามารถสรุปผลการทดลองได้ว่า KI เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำาให้การสลายตัวของ H2O2 เกิดไ ด้เร็วขึ้น ➢พื้นที่ผิวของสารตั้งต้น เมื่อเปรียบเทียบเวลาในการเกิดฟองแก๊สของ สารในบีกเกอร์ใบที่ 1 กับใบที่ 4 พบว่า บีกเกอร์ใบที่ 1 ซึ่งใช้ผง CaCO₃ ซึ่งพื้นที่ผิวรวมทั้งหมดมากกว่า เกิดฟองแก๊สได้เร็วกว่าบีกเกอร์ใบที่ 4 ซึ่งใช้เม็ด CaCO₃ แสดงว่าการเพิ่ม พื้นที่ผิวของ CaCO₃ ให้สัมผัสกับ HCl มากขึ้นมีผลทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีนี้เพิ่มขึ้น f 7. สรุปผลการทดลอง การเพิ่มความเข้มข้นของ HCl การเพิ่มอุณหภูมิในการทำปฏิกิริยา และการเพิ่ม พื้นที่ผิวของ CaCO₃ จะทำให้ อัตราการเกิดปฏิกิริยาระหว่าง CaCO₃ กับ HCl เพิ่มขึ้น อ
แผนการจัดการเรียนรู้ที่25 เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจำวัน รายวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ2 รหัสวิชา ว32101 เวลา 1 ชั่วโมง หน่วยการเรียนรู้ที่4 ชื่อหน่วยการเรียนรู้พลังงาน รวม 19 ชั่วโมง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ภาคเรียนที่1 บูรณาการ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อาเซียน STEM PLC สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน มาตรฐานสากล ข้ามกลุ่มสาระ 1. มาตรฐานการเรียนรู้ ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้าง และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี 2. ตัวชี้วัด ว 2.1 ม.5/22 สืบค้นข้อมูลและอธิบายปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีที่ใช้ประโยชน์ใน ชีวิตประจำวันหรือในอุตสาหกรรม 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 3.1 ด้านความรู้(K) 1) นักเรียนอธิบายปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีที่ใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันหรือใน อุตสาหกรรมได้ 3.2 ด้านกระบวนการ (P) 1) นักเรียนสามารถทำกิจกรรม 3.4 สืบค้นข้อมูลปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีใน ชีวิตประจำวัน 2) นักเรียนสืบค้นข้อมูลและอธิบายปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีที่ใช้ประโยชน์ใน ชีวิตประจำวันหรือในอุตสาหกรรมได้ 3.3 ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการทำงาน 4. สาระสำคัญ พลังงานที่นำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้มาจากปฏิกิริยาเคมีและปฏิกิริยานิวเคลียร์โดยปฏิกิริยา เคมีที่ให้พลังงานอาจได้มาจากปฏิกิริยาการเผาไหม้ปฏิกิริยาเคมีไฟฟ้า ซึ่งปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น เขียนแสดงได้ด้วย สมการเคมีโดยแสดงชนิดและจำนวนของสารตั้งต้นที่ทำปฏิกิริยากัน และผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งภาวะในการ เกิดปฏิกิริยา การพิจารณาว่าปฏิกิริยาเคมีเกิดเร็วหรือช้าพิจารณาได้จากอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีซึ่งขึ้นอยู่กับ หลายปัจจัย เช่น ความเข้มข้น อุณหภูมิพื้นที่ผิวของสารตั้งต้น ตัวเร่งปฏิกิริยา ความรู้เกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่ออัตรา การเกิดปฏิกิริยาเคมีสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน และในอุตสาหกรรม ปฏิกิริยารีดอกซ์เป็นปฏิกิริยา
เคมีที่เกิดจากการถ่ายโอนอิเล็กตรอนของสาร โดยปฏิกิริยารีดอกซ์มีทั้งที่ให้กระแสไฟฟ้าและไม่ให้กระแสไฟฟ้า สำหรับปฏิกิริยานิวเคลียร์จะใช้สารกัมมันตรังสีเป็นแหล่งของพลังงาน เนื่องจากสารกัมมันตรังสีมีนิวเคลียสไม่ เสถียร เกิดการสลายและแผ่รังสีอย่างต่อเนื่อง สารกัมมันตรังสีแต่ละชนิดมีค่าครึ่งชีวิตแตกต่างกัน และรังสีที่แผ่ออก มาแตกต่างกันจึงนำมาใช้ประโยชน์ได้ต่างกัน การนำสารกัมมันตรังสีแต่ละชนิดมาใช้ต้องมีการจัดการอย่างเหมาะสม และต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม 5. สาระการเรียนรู้ 5.1 ความรู้ สารที่ทำให้ปฏิกิริยาเกิดได้เร็วขึ้น เรียกว่า ตัวเร่งปฏิกิริยา (catalyst) โดยปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเมื่อมี ตัวเร่งปฏิกิริยายังคงให้ผลิตภัณฑ์เป็นสารชนิดเดิม และเมื่อปฏิกิริยาเคมีสิ้นสุดลงจะได้ตัวเร่งปฏิกิริยา กลับคืนมาในปริมาณเท่าเดิม ดังนั้นจึงสามารถใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาในปริมาณเพียงเล็กน้อยเพื่อช่วยให้สารตั้ง ต้นเกิดปฏิกิริยาเคมีได้ ในการเกิดปฏิกิริยาเคมีสารตั้งต้นจะเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ทำให้สารตั้งต้นมีปริมาณลดลงและ ผลิตภัณฑ์มีปริมาณเพิ่มขึ้น ถ้าปริมาณสารตั้งต้นลดลงอย่างรวดเร็ว ปริมาณผลิตภัณฑ์ก็จะเพิ่มขึ้นอย่าง รวดเร็ว ดังนั้นการพิจารณาว่าปฏิกิริยาใดเกิดได้เร็วหรือช้า จึงพิจารณาได้จากการเปลี่ยนแปลงปริมาณสาร ตั้งต้นหรือผลิตภัณฑ์ต่อเวลา ซึ่งสัมพันธ์กับ อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี(rate of reaction) 5.2 กระบวนการ 1) ความสามารถในการสื่อสาร (อ่าน ฟัง พูด เขียน) 2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วิเคราะห์จัดกลุ่ม สรุป) 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แสวงหาความรู้) 4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต (ความรับผิดชอบ) 5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบค้นผ่านคอมพิวเตอร์) 5.3 คุณลักษณะและค่านิยม ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการทำงาน 6. บูรณาการ - 7. กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่1 ขั้นสร้างความสนใจ 1.1 ครูทบทวนบทเรียน โดยถามถึงผลการทดลองกิจกรรม 4.1 และ 4.2 ขั้นที่2 ขั้นสำรวจและค้นหา 2.1 นักเรียนศึกษาใบกิจกรรม 4.3 สืบค้นข้อมูลปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีใน ชีวิตประจำวัน 2.2 นักเรียนทำกิจกรรม 4.3 สืบค้นข้อมูลปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีใน ชีวิตประจำวัน โดยให้สืบค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต
2.3 นักเรียนทำแบบฝึกหัด 4.2 ในหนังสือเรียน หน้า 111 ลงในสมุดของตนเอง ขั้นที่3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 3.1 ครูสุ่มนักเรียน 2 คน ออกมานำเสนอผลการสืบค้นข้อมูลของตนเองหน้าชั้นเรียน 3.2 ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลการสืบค้นข้อมูล ความเข้มข้น • การล้างห้องน้ำโดยใช้น้ำายาล้างห้องน้ำที่มีความเข้มข้นของสารละลายกรดไฮโดร คลอริก มากกว่าจะทำให้เกิดปฏิกิริยากับหินปูนได้เร็วกว่า อุณหภูมิ • การเก็บผลไม้หรืออาหารในตู้เย็นซึ่งมีอุณหภูมิต่ำ เพื่อให้อยู่ได้นานและคงความสดใหม่ • อุณหภูมิมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาของสารในร่างกายของมนุษย์โดยถ้าร่างกายมี อุณหภูมิสูงขึ้น 1 องศาเซลเซียส เนื้อเยื่อในร่างกายจะต้องการออกซิเจนเพิ่มขึ้น ซึ่งมีผลให้อัตราการเต้นของ ชีพจรและอัตราการหายใจเพิ่มขึ้น พื้นที่ผิวของสาร • ในการรับประทานอาหาร นักโภชนาการแนะนำให้เคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน เพราะ การเคี้ยวอาหารให้ละเอียดทำให้อาหารมีขนาดเล็กลง เป็นการเพิ่มพื้นที่ผิวของอาหารให้มากขึ้น ทำให้กรด และเอนไซม์ในน้ำย่อยในกระเพาะอาหารทำปฏิกิริยากับอาหารได้เร็วขึ้น อาหารจึงย่อยง่ายขึ้น ตัวเร่งปฏิกิริยา • การหมักเนื้อโดยเติมยางมะละกอซึ่งมีเอนไซม์ปาเปน (papain) ลงไป จะทำให้เนื้อนุ่มขึ้น เนื่องจากเอนไซม์ปาเปนจะช่วยย่อยโปรตีนในเนื้อทำให้เนื้อนุ่มขึ้นเมื่อทำให้สุก ขั้นที่4 ขั้นขยายความรู้ 4.1 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 4 ข้อที่5-7 4.2 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเชื้อเพลิงทางเลือก ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน ขั้นที่5 ขั้นประเมินผล 5.1ครูตรวจใบกิจกรรม 4.3 สืบค้นข้อมูลปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีใน ชีวิตประจำวัน 5.2 ครูตรวจสมุดของนักเรียนในการทำแบบฝึกหัด 4.2 ประยุกต์และตอบแทนสังคม ครูให้นักเรียนแต่ละคนนำความรู้ที่เรียนไปค้นคว้าเพิ่มเติมที่ห้องสมุด หรือเว็บไซต์แล้วนำเสนอใน ชั้นเรียน
8. สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ 8.1 หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์(วิทยาศาสตร์กายภาพ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 1 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) 8.2 ใบกิจกรรม 4.3 สืบค้นข้อมูลปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจำวัน 8.3 อินเทอร์เน็ต 8.4 ห้องสมุด 9. การวัดและประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัด เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน ด้านความรู้(K) 1) นักเรียนอธิบายปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการ เกิดปฏิกิริยาเคมีที่ใช้ประโยชน์ใน ชีวิตประจำวันหรือในอุตสาหกรรมได้ 1) ตรวจสมุดนักเรียน ในการทำแบบฝึกหัด 4.2 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) แบบฝึกหัด 4.2 1) นักเรียนตอบ คำถามได้ระดับดี ผ่านเกณฑ์ ด้านกระบวนการ (P) 1) นักเรียนสามารถทำกิจกรรม 3.4 สืบค้น ข้อมูลปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยา เคมีในชีวิตประจำวัน 2) นักเรียนสืบค้นข้อมูลและอธิบายปัจจัยที่ มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีที่ใช้ ประโยชน์ในชีวิตประจำวันหรือใน อุตสาหกรรมได้ 1) ตรวจใบกิจกรรม 4.3 สืบค้นข้อมูลปัจจัย ที่มีผลต่ออัตราการ เกิดปฏิกิริยาเคมีใน ชีวิตประจำวัน 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) ใบกิจกรรม 4.3 สืบค้นข้อมูลปัจจัยที่ มีผลต่ออัตราการ เกิดปฏิกิริยาเคมีใน ชีวิตประจำวัน 1) นักเรียนบันทึกผล การสืบค้นข้อมูลได้ ระดับดีผ่านเกณฑ์ ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการ ทำงาน 1) ตรวจสมุดนักเรียน ในการทำแบบฝึกหัด 4.2 2) ตรวจใบกิจกรรม 4.3 สืบค้นข้อมูลปัจจัย ที่มีผลต่ออัตราการ เกิดปฏิกิริยาเคมีใน ชีวิตประจำวัน 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) แบบฝึกหัด 4.2 3) ใบกิจกรรม 4.3 สืบค้นข้อมูลปัจจัยที่ มีผลต่ออัตราการ เกิดปฏิกิริยาเคมีใน ชีวิตประจำวัน 1) นักเรียนทำภาระ งานที่ได้รับมอบหมาย ได้ระดับดีผ่านเกณฑ์
10. เกณฑ์การประเมินผลงานนักเรียน เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการทำกิจกรรม เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจำวัน ประเด็นการ ประเมิน ค่าน้ำหนัก คะแนน แนวทางการให้คะแนน ด้านความรู้ (K) 3 ตอบคำถามได้ถูกต้องครบถ้วน จำนวน 2 ข้อ 2 ตอบคำถามได้ถูกต้องครบถ้วน จำนวน 1 ข้อ 1 ตอบคำถามแต่ทำไม่ถูกต้อง ด้าน กระบวนการ (P) 3 บันทึกผลการสืบค้นข้อมูลได้ถูกต้องครบถ้วน 2 บันทึกผลการสืบค้นข้อมูลได้ถูกต้องบางส่วน 1 บันทึกผลการสืบค้นข้อมูล แต่ไม่ถูกต้อง ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด และเรียบร้อยถูกต้องครบถ้วน 2 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด แต่งานยังผิดพลาดบางส่วน 1 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกิดข้อผิดพลาดบางส่วน ระดับคะแนน คะแนน 3 หมายถึง ระดับดีมาก คะแนน 2 หมายถึง ระดับดี คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้
การประเมินการทำกิจกรรม เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจำวัน ที่ ชื่อ - นามสกุล จุดประสงค์การเรียนรู้ รวม คะแนน ระดับ คุณภาพ ด้านความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 3 3 9 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28
ที่ ชื่อ - นามสกุล จุดประสงค์การเรียนรู้ รวม คะแนน ระดับ คุณภาพ ด้านความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 3 3 9 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 ระดับคุณภาพ คะแนน 9 หมายถึง ระดับดีมาก คะแนน 7-8 หมายถึง ระดับดี คะแนน 5-6 หมายถึง ระดับปานกลาง คะแนน 3-4 หมายถึง ระดับปรับปรุง
คำสั่ง สืบค้นข้อมูลและยกตัวอย่างเหตุการณ์ปรากฏการณ์หรือกรณีศึกษาที่เกี่ยวข้องกับผล ของความเข้มข้น พื้นที่ผิว อุณหภูมิหรือตัวเร่งปฏิกิริยา ที่มีต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีและนำเสนอเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ในห้องเรียน ผลการสืบค้นหรือสำรวจข้อมูล ➢ ความเข้มข้น • การล้างห้องน้ำโดยใช้น้ำายาล้างห้องน้ำที่มีความเข้มข้นของสารละลายกรดไฮโดร คลอริกมากกว่าจะ ทำให้เกิดปฏิกิริยากับหินปูนได้เร็วกว่า d • การล้างห้องน้ำโดยใช้น้ำายาล้างห้องน้ำที่มีความเข้มข้นของสารละลายกรดไฮโดร คลอริกมากกว่าจะ ทำให้เกิดปฏิกิริยากับหินปูนได้เร็วกว่า d • การล้างห้องน้ำโดยใช้น้ำายาล้างห้องน้ำที่มีความเข้มข้นของสารละลายกรดไฮโดร คลอริกมากกว่าจะ ➢ อุณหภูมิ • การล้างห้องน้ำโดยใช้น้ำายาล้างห้องน้ำที่มีความเข้มข้นของสารละลายกรดไฮโดร คลอริกมากกว่าจะ ทำให้เกิดปฏิกิริยากับหินปูนได้เร็วกว่า d • การล้างห้องน้ำโดยใช้น้ำายาล้างห้องน้ำที่มีความเข้มข้นของสารละลายกรดไฮโดร คลอริกมากกว่าจะ ทำให้เกิดปฏิกิริยากับหินปูนได้เร็วกว่า d • การล้างห้องน้ำโดยใช้น้ำายาล้างห้องน้ำที่มีความเข้มข้นของสารละลายกรดไฮโดร คลอริกมากกว่าจะ ➢ พื้นที่ผิวของสาร • การล้างห้องน้ำโดยใช้น้ำายาล้างห้องน้ำที่มีความเข้มข้นของสารละลายกรดไฮโดร คลอริกมากกว่าจะ ทำให้เกิดปฏิกิริยากับหินปูนได้เร็วกว่า d • การล้างห้องน้ำโดยใช้น้ำายาล้างห้องน้ำที่มีความเข้มข้นของสารละลายกรดไฮโดร คลอริกมากกว่าจะ ทำให้เกิดปฏิกิริยากับหินปูนได้เร็วกว่า d • การล้างห้องน้ำโดยใช้น้ำายาล้างห้องน้ำที่มีความเข้มข้นของสารละลายกรดไฮโดร คลอริกมากกว่าจะ ➢ ตัวเร่งปฏิกิริยา • การล้างห้องน้ำโดยใช้น้ำายาล้างห้องน้ำที่มีความเข้มข้นของสารละลายกรดไฮโดร คลอริกมากกว่าจะ ทำให้เกิดปฏิกิริยากับหินปูนได้เร็วกว่า d • การล้างห้องน้ำโดยใช้น้ำายาล้างห้องน้ำที่มีความเข้มข้นของสารละลายกรดไฮโดร คลอริกมากกว่าจะ ทำให้เกิดปฏิกิริยากับหินปูนได้เร็วกว่า d • การล้างห้องน้ำโดยใช้น้ำายาล้างห้องน้ำที่มีความเข้มข้นของสารละลายกรดไฮโดร คลอริกมากกว่าจะ ชื่อ ชั้น เลขที่ ‘ ใบกิจกรรม 4.3 สืบค้นข้อมูลปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจำวัน
คำสั่ง สืบค้นข้อมูลและยกตัวอย่างเหตุการณ์ปรากฏการณ์หรือกรณีศึกษาที่เกี่ยวข้องกับผล ของความเข้มข้น พื้นที่ผิว อุณหภูมิหรือตัวเร่งปฏิกิริยา ที่มีต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีและนำเสนอเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ในห้องเรียน ผลการสืบค้นหรือสำรวจข้อมูล ➢ ความเข้มข้น • การล้างห้องน้ำโดยใช้น้ำายาล้างห้องน้ำที่มีความเข้มข้นของสารละลายกรดไฮโดร คลอริกมากกว่าจะ ทำให้เกิดปฏิกิริยากับหินปูนได้เร็วกว่า d ➢ อุณหภูมิ • การเก็บผลไม้หรืออาหารในตู้เย็นซึ่งมีอุณหภูมิต่ำ เพื่อให้อยู่ได้นานและคงความสดใหม่ • อุณหภูมิมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาของสารในร่างกายของมนุษย์โดยถ้าร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้น 1 องศาเซลเซียส เนื้อเยื่อในร่างกายจะต้องการออกซิเจนเพิ่มขึ้น ซึ่งมีผลให้อัตราการเต้นของชีพจร และอัตราการหายใจเพิ่มขึ้น ➢ พื้นที่ผิวของสาร • ในการรับประทานอาหาร นักโภชนาการแนะนำให้เคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน เพราะการเคี้ยว อาหารให้ละเอียดทำให้อาหารมีขนาดเล็กลง เป็นการเพิ่มพื้นที่ผิวของอาหารให้มากขึ้น ทำให้กรดและ เอนไซม์ในน้ำย่อยในกระเพาะอาหารทำปฏิกิริยากับอาหารได้เร็วขึ้น อาหารจึงย่อยง่ายขึ้น ➢ ตัวเร่งปฏิกิริยา • การหมักเนื้อโดยเติมยางมะละกอซึ่งมีเอนไซม์ปาเปน (papain) ลงไป จะทำให้เนื้อนุ่มขึ้นเนื่องจาก เอนไซม์ปาเปนจะช่วยย่อยโปรตีนในเนื้อทำให้เนื้อนุ่มขึ้นเมื่อทำให้สุก ชื่อ ชั้น เลขที่ ‘ เฉลยใบกิจกรรม 4.3 สืบค้นข้อมูลปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจำวัน
แผนการจัดการเรียนรู้ที่26 เรื่อง ปฏิกิริยารีดอกซ์ รายวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ2 รหัสวิชา ว32101 เวลา 2 ชั่วโมง หน่วยการเรียนรู้ที่4 ชื่อหน่วยการเรียนรู้พลังงาน รวม 19 ชั่วโมง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ภาคเรียนที่1 บูรณาการ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อาเซียน STEM PLC สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน มาตรฐานสากล ข้ามกลุ่มสาระ 1. มาตรฐานการเรียนรู้ ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้าง และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี 2. ตัวชี้วัด ว 2.1 ม.5/23 อธิบายความหมายของปฏิกิริยารีดอกซ์ 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 3.1 ด้านความรู้(K) 1) นักเรียนอธิบายความหมายของปฏิกิริยารีดอกซ์ได้ 2) นักเรียนยกตัวอย่างปฏิกิริยารีดอกซ์ที่พบในชีวิตประจำวันได้ 3.2 ด้านกระบวนการ (P) 1) นักเรียนสามารถเขียนแผนภาพทิศทางการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนที่ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าได้ 3.3 ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการทำงาน 4. สาระสำคัญ พลังงานที่นำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้มาจากปฏิกิริยาเคมีและปฏิกิริยานิวเคลียร์โดยปฏิกิริยา เคมีที่ให้พลังงานอาจได้มาจากปฏิกิริยาการเผาไหม้ปฏิกิริยาเคมีไฟฟ้า ซึ่งปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น เขียนแสดงได้ด้วย สมการเคมีโดยแสดงชนิดและจำนวนของสารตั้งต้นที่ทำปฏิกิริยากัน และผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งภาวะในการ เกิดปฏิกิริยา การพิจารณาว่าปฏิกิริยาเคมีเกิดเร็วหรือช้าพิจารณาได้จากอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีซึ่งขึ้นอยู่กับ หลายปัจจัย เช่น ความเข้มข้น อุณหภูมิพื้นที่ผิวของสารตั้งต้น ตัวเร่งปฏิกิริยา ความรู้เกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่ออัตรา การเกิดปฏิกิริยาเคมีสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน และในอุตสาหกรรม ปฏิกิริยารีดอกซ์เป็นปฏิกิริยา เคมีที่เกิดจากการถ่ายโอนอิเล็กตรอนของสาร โดยปฏิกิริยารีดอกซ์มีทั้งที่ให้กระแสไฟฟ้าและไม่ให้กระแสไฟฟ้า สำหรับปฏิกิริยานิวเคลียร์จะใช้สารกัมมันตรังสีเป็นแหล่งของพลังงาน เนื่องจากสารกัมมันตรังสีมีนิวเคลียสไม่ เสถียร เกิดการสลายและแผ่รังสีอย่างต่อเนื่อง สารกัมมันตรังสีแต่ละชนิดมีค่าครึ่งชีวิตแตกต่างกัน และรังสีที่แผ่ออก
มาแตกต่างกันจึงนำมาใช้ประโยชน์ได้ต่างกัน การนำสารกัมมันตรังสีแต่ละชนิดมาใช้ต้องมีการจัดการอย่างเหมาะสม และต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม 5. สาระการเรียนรู้ 5.1 ความรู้ แบตเตอรี่เป็นอุปกรณ์ที่ให้พลังงานไฟฟ้าสำหรับอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ไฟฉาย นาฬิกา โทรศัพท์มือถือ แล็ปท๊อปคอมพิวเตอร์รวมทั้งยานพาหนะ เช่น รถยนต์แบตเตอรี่ จัดเป็นเซลล์ไฟฟ้า ประเภทหนึ่ง เนื่องจากมีปฏิกิริยาเคมีที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายโอนอิเล็กตรอนระหว่างสารเคมีที่อยู่ต่าง ขั้วไฟฟ้ากันเกิดขึ้น แบตเตอรี่ที่ใช้กันในปัจจุบัน เช่น ถ่านไฟฉาย ถ่านแอลคาไลน์แบตเตอรี่ตะกั่ว แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน รูป 4.8 ตัวอย่างแบตเตอรี่ที่พบในชีวิตประจำวัน ปฏิกิริยาเคมีที่มีการถ่ายโอนอิเล็กตรอนระหว่างสารเคมีเรียกว่า ปฏิกิริยารีดอกซ์ (redox reaction) ตัวอย่างปฏิกิริยารีดอกซ์ที่เกิดขึ้นในแบตเตอรี่ เช่น ในถ่านไฟฉายขั้วโลหะสังกะสีซึ่งเป็นขั้วลบ ให้อิเล็กตอนออกมา อิเล็กตรอนจะเคลื่อนที่ไปยังขั้วบวกซึ่งเป็นคาร์บอนที่เคลือบด้วยสารประกอบออกไซด์ ของแมงกานีส ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าขึ้นซึ่งมีทิศทางการเคลื่อนที่ตรงข้ามกับการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอน ในถ่านไฟฉายมีอิเล็กตรอนช่วยในการนำไฟฟ้าระหว่างขั้ว และทำให้กระแสไฟฟ้าครบวงจร รูป 4.9 ทิศทางการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนที่ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า ถ่านไฟฉายเป็นแบตเตอรี่ที่ไม่สามารถนำมาประจุเพื่อใช้ใหม่อีก แตกต่างจากแบตเตอรี่ โทรศัพท์มือถือ หรือแบตเตอรี่รถยนต์ซึ่งเป็นแบตเตอรี่ที่สามารถนำมาประจุใหม่ โดยปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นใน กระบวนการประจุเป็นปฏิกิริยาที่เกิดในทิศทางตรงกันการข้ามกับปฏิกิริยาการให้กระแสไฟฟ้า สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบในแบตเตอรี่ส่วนใหญ่เป็นสารเคมีอันตราย จึงไม่ควรทิ้งรวมกับขยะ ทั่วไป แต่ต้องทิ้งในที่ที่จัดเตรียมไว้ให้
นอกจากในแบตเตอรี่แล้วยังมีปฏิกิริยารีดอกซ์ที่พบเห็นในชีวิตประจำวันมากมาย เช่น ปฏิกิริยา การเผาไหม้ปฏิกิริยาการเกิดสนิมของโลหะ ปฏิกิริยาในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ปฏิกิริยาเคมีใน กระบวนการหายใจ 5.2 กระบวนการ 1) ความสามารถในการสื่อสาร (อ่าน ฟัง พูด เขียน) 2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วิเคราะห์จัดกลุ่ม สรุป) 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แสวงหาความรู้) 4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต (ความรับผิดชอบ) 5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบค้นผ่านคอมพิวเตอร์) 5.3 คุณลักษณะและค่านิยม ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการทำงาน 6. บูรณาการ - 7. กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่1 ขั้นสร้างความสนใจ 1.1 ครูทบทวนบทเรียนที่ผ่านมาเกี่ยวกับเชื้อเพลิงทางเลือก 1.2 ครูนำภาพมาให้นักเรียนศึกษา พร้อมตั้งคำถามเพื่อเข้าสู่บทเรียน ดังนี้ 1) จงบอกชื่ออุปกรณ์ทั้ง 4 ภาพ ให้ถูกต้อง 2) จงยกตัวอย่างแบตเตอรี่ที่นักเรียนรู้จัก ขั้นที่2 ขั้นสำรวจและค้นหา 2.1 ครูให้นักเรียนศึกษาเนื้อหาและทำความเข้าใจ เรื่อง แบตเตอรี่ตามรายละเอียดในหนังสือ เรียน หน้า 114 -116 2.2 เมื่อนักเรียนศึกษาเนื้อหาและทำความเข้าใจ เรื่อง แบตเตอรี่ เสร็จเรียบร้อย ให้นักเรียนทำ แบบฝึกหัด 4.3 ในหนังสือเรียน หน้า 117 ลงในสมุดของตนเอง 2.3 นักเรียนทำแบบฝึกหัด เรื่อง ทิศทางการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนที่ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า ขั้นที่3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 3.1 ครูสุ่มนักเรียน 2 คน ดังนี้ - คนที่ 1 ออกมาเฉลยแบบฝึกหัด 4.3 หน้าชั้นเรียน - คนที่ 2 ออกมาเฉลยแบบฝึกหัด เรื่อง ทิศทางการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนที่ทำให้เกิด กระแสไฟฟ้า หน้าชั้นเรียน
3.2 ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเนื้อหา เรื่อง แบตเตอรี่ดังนี้ - แบตเตอรี่เป็นอุปกรณ์ที่ให้พลังงานไฟฟ้าสำหรับอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ไฟฉาย นาฬิกา โทรศัพท์มือถือ แล็ปท๊อปคอมพิวเตอร์ - ปฏิกิริยาเคมีที่มีการถ่ายโอนอิเล็กตรอนระหว่างสารเคมีเรียกว่า ปฏิกิริยารีดอกซ์ (redox reaction) - ปฏิกิริยารีดอกซ์ที่เกิดขึ้นในแบตเตอรี่ เช่น ในถ่านไฟฉายขั้วโลหะสังกะสีซึ่งเป็นขั้วลบ ให้อิเล็กตอนออกมา อิเล็กตรอนจะเคลื่อนที่ไปยังขั้วบวกซึ่งเป็นคาร์บอนที่เคลือบด้วยสารประกอบออกไซด์ ของแมงกานีส ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าขึ้นซึ่งมีทิศทางการเคลื่อนที่ตรงข้ามกับการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอน ในถ่านไฟฉายมีอิเล็กตรอนช่วยในการนำไฟฟ้าระหว่างขั้ว และทำให้กระแสไฟฟ้าครบวงจร - ถ่านไฟฉายเป็นแบตเตอรี่ที่ไม่สามารถนำมาประจุเพื่อใช้ใหม่อีก แตกต่างจากแบตเตอรี่ โทรศัพท์มือถือ หรือแบตเตอรี่รถยนต์ซึ่งเป็นแบตเตอรี่ที่สามารถนำมาประจุใหม่ โดยปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นใน กระบวนการประจุเป็นปฏิกิริยาที่เกิดในทิศทางตรงกันการข้ามกับปฏิกิริยาการให้กระแสไฟฟ้า - สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบในแบตเตอรี่ส่วนใหญ่เป็นสารเคมีอันตราย จึงไม่ควรทิ้งรวม กับขยะทั่วไป แต่ต้องทิ้งในที่ที่จัดเตรียมไว้ให้ ขั้นที่4 ขั้นขยายความรู้ 4.1 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาในถ่านไฟฉาย และโครงการ “แกล้งดิน” ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน หน้า 116-117 ขั้นที่5 ขั้นประเมินผล 5.1ครูตรวจแบบฝึกหัด เรื่อง ทิศทางการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนที่ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า 5.2 ครูตรวจสมุดของนักเรียนในการทำแบบฝึกหัด 4.3 ประยุกต์และตอบแทนสังคม ครูให้นักเรียนแต่ละคนนำความรู้ที่เรียนไปค้นคว้าเพิ่มเติมที่ห้องสมุด หรือเว็บไซต์แล้วนำเสนอใน ชั้นเรียน 8. สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ 8.1 หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์(วิทยาศาสตร์กายภาพ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 1 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) 8.2 แบบฝึกหัด เรื่อง ทิศทางการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนที่ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า 8.3 อินเทอร์เน็ต 8.4 ห้องสมุด
9. การวัดและประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัด เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน ด้านความรู้(K) 1) นักเรียนอธิบายความหมายของปฏิกิริยา รีดอกซ์ได้ 2) นักเรียนยกตัวอย่างปฏิกิริยารีดอกซ์ที่พบ ในชีวิตประจำวันได้ 1) ตรวจสมุดนักเรียน ในการทำแบบฝึกหัด 4.3 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) แบบฝึกหัด 4.3 1) นักเรียนตอบ คำถามได้ระดับดี ผ่านเกณฑ์ ด้านกระบวนการ (P) 1) นักเรียนสามารถเขียนแผนภาพทิศ ทางการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนที่ทำให้เกิด กระแสไฟฟ้าได้ 1) ตรวจแบบฝึกหัด เรื่อง ทิศทางการ เคลื่อนที่ของ อิเล็กตรอนที่ทำให้เกิด กระแสไฟฟ้า 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) แบบฝึกหัด เรื่อง ทิศทางการเคลื่อนที่ ของอิเล็กตรอนที่ทำ ให้เกิดกระแสไฟฟ้า 1) นักเรียนสามารถ เขียนแผนภาพได้ ระดับดีผ่านเกณฑ์ ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการ ทำงาน 1) ตรวจสมุดนักเรียน ในการทำแบบฝึกหัด 4.3 2) ตรวจแบบฝึกหัด เรื่อง ทิศทางการ เคลื่อนที่ของ อิเล็กตรอนที่ทำให้เกิด กระแสไฟฟ้า 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) แบบฝึกหัด 4.3 3) แบบฝึกหัด เรื่อง ทิศทางการเคลื่อนที่ ของอิเล็กตรอนที่ทำ ให้เกิดกระแสไฟฟ้า 1) นักเรียนทำภาระ งานที่ได้รับมอบหมาย ได้ระดับดีผ่านเกณฑ์
10. เกณฑ์การประเมินผลงานนักเรียน เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการทำกิจกรรม เรื่อง ปฏิกิริยารีดอกซ์ ประเด็นการ ประเมิน ค่าน้ำหนัก คะแนน แนวทางการให้คะแนน ด้านความรู้ (K) 3 ตอบคำถามได้ถูกต้องครบถ้วน จำนวน 5 ข้อ 2 ตอบคำถามได้ถูกต้องครบถ้วน จำนวน 3-4 ข้อ 1 ตอบคำถามได้ถูกต้องครบถ้วน จำนวน 1-2 ข้อ หรือไม่มีข้อถูกต้อง ด้าน กระบวนการ (P) 3 เขียนแผนภาพทิศทางการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนที่ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า พร้อมระบุส่วนประกอบต่างๆ ได้ถูกต้องครบถ้วน 2 เขียนแผนภาพทิศทางการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนที่ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า พร้อมระบุส่วนประกอบต่างๆ ได้แต่ยังไม่ถูกต้องครบถ้วน 1 เขียนแผนภาพทิศทางการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนที่ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า พร้อมระบุส่วนประกอบต่างๆ แต่ไม่ถูกต้อง ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด และเรียบร้อยถูกต้องครบถ้วน 2 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด แต่งานยังผิดพลาดบางส่วน 1 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกิดข้อผิดพลาดบางส่วน ระดับคะแนน คะแนน 3 หมายถึง ระดับดีมาก คะแนน 2 หมายถึง ระดับดี คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้
การประเมินการทำกิจกรรม เรื่อง ปฏิกิริยารีดอกซ์ ที่ ชื่อ - นามสกุล จุดประสงค์การเรียนรู้ รวม คะแนน ระดับ คุณภาพ ด้านความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 3 3 9 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28
ที่ ชื่อ - นามสกุล จุดประสงค์การเรียนรู้ รวม คะแนน ระดับ คุณภาพ ด้านความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 3 3 9 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 ระดับคุณภาพ คะแนน 9 หมายถึง ระดับดีมาก คะแนน 7-8 หมายถึง ระดับดี คะแนน 5-6 หมายถึง ระดับปานกลาง คะแนน 3-4 หมายถึง ระดับปรับปรุง
คำสั่ง จงเขียนแผนภาพทิศทางการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนที่ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า พร้อมระบุส่วนประกอบต่างๆ ให้ถูกต้องครบถ้วน ชื่อ ชั้น เลขที่ ‘ แบบฝึกหัด เรื่อง ทิศทางการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนที่ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า
คำสั่ง จงเขียนแผนภาพทิศทางการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนที่ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า พร้อมระบุส่วนประกอบต่างๆ ให้ถูกต้องครบถ้วน ชื่อ ชั้น เลขที่ ‘ เฉลยแบบฝึกหัด เรื่อง ทิศทางการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนที่ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า
แผนการจัดการเรียนรู้ที่27 เรื่อง สารกัมมันตรังสี รายวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ2 รหัสวิชา ว32101 เวลา 7 ชั่วโมง หน่วยการเรียนรู้ที่4 ชื่อหน่วยการเรียนรู้พลังงาน รวม 19 ชั่วโมง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ภาคเรียนที่1 บูรณาการ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อาเซียน STEM PLC สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน มาตรฐานสากล ข้ามกลุ่มสาระ 1. มาตรฐานการเรียนรู้ ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้าง และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี 2. ตัวชี้วัด ว 2.1 ม.5/24 อธิบายสมบัติของสารกัมมันตรังสีและคำนวณครึ่งชีวิตและปริมาณของสารกัมมันตรังสี 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 3.1 ด้านความรู้(K) 1) นักเรียนอธิบายสมบัติของสารกัมมันตรังสีได้ 3.2 ด้านกระบวนการ (P) 1) นักเรียนเขียนแผนภาพอย่างง่ายของการผลิตไฟฟ้าในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ได้ 3.3 ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการทำงาน 4. สาระสำคัญ พลังงานที่นำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้มาจากปฏิกิริยาเคมีและปฏิกิริยานิวเคลียร์โดยปฏิกิริยา เคมีที่ให้พลังงานอาจได้มาจากปฏิกิริยาการเผาไหม้ปฏิกิริยาเคมีไฟฟ้า ซึ่งปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น เขียนแสดงได้ด้วย สมการเคมีโดยแสดงชนิดและจำนวนของสารตั้งต้นที่ทำปฏิกิริยากัน และผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งภาวะในการ เกิดปฏิกิริยา การพิจารณาว่าปฏิกิริยาเคมีเกิดเร็วหรือช้าพิจารณาได้จากอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีซึ่งขึ้นอยู่กับ หลายปัจจัย เช่น ความเข้มข้น อุณหภูมิพื้นที่ผิวของสารตั้งต้น ตัวเร่งปฏิกิริยา ความรู้เกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่ออัตรา การเกิดปฏิกิริยาเคมีสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน และในอุตสาหกรรม ปฏิกิริยารีดอกซ์เป็นปฏิกิริยา เคมีที่เกิดจากการถ่ายโอนอิเล็กตรอนของสาร โดยปฏิกิริยารีดอกซ์มีทั้งที่ให้กระแสไฟฟ้าและไม่ให้กระแสไฟฟ้า สำหรับปฏิกิริยานิวเคลียร์จะใช้สารกัมมันตรังสีเป็นแหล่งของพลังงาน เนื่องจากสารกัมมันตรังสีมีนิวเคลียสไม่ เสถียร เกิดการสลายและแผ่รังสีอย่างต่อเนื่อง สารกัมมันตรังสีแต่ละชนิดมีค่าครึ่งชีวิตแตกต่างกัน และรังสีที่แผ่ออก มาแตกต่างกันจึงนำมาใช้ประโยชน์ได้ต่างกัน การนำสารกัมมันตรังสีแต่ละชนิดมาใช้ต้องมีการจัดการอย่างเหมาะสม และต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม