The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ann milaela, 2023-05-29 02:12:37

แผนการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์กายภาพ ม.5

ครูเมธินีย์ สรรเสริญ

ที่ ชื่อ - นามสกุล จุดประสงค์การเรียนรู้ รวม คะแนน ระดับ คุณภาพ ด้านความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 3 3 9 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 ระดับคุณภาพ คะแนน 9 หมายถึง ระดับดีมาก คะแนน 7-8 หมายถึง ระดับดี คะแนน 5-6 หมายถึง ระดับปานกลาง คะแนน 3-4 หมายถึง ระดับปรับปรุง


แผนการจัดการเรียนรู้ที่8 เรื่อง สารประกอบไอออนิก รายวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ2 รหัสวิชา ว32101 เวลา 2 ชั่วโมง หน่วยการเรียนรู้ที่2 ชื่อหน่วยการเรียนรู้น้ำ รวม 15 ชั่วโมง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่5 ภาคเรียนที่1 บูรณาการ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อาเซียน STEM PLC สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน มาตรฐานสากล ข้ามกลุ่มสาระ 1. มาตรฐานการเรียนรู้ ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้าง และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี 2. ตัวชี้วัด ว 2.1 ม.5/12 เขียนสูตรเคมีของไอออนและสารประกอบไอออนิก 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 3.1 ด้านความรู้(K) 1) นักเรียนอธิบายการเกิดพันธะไอออนิกได้ 3.2 ด้านกระบวนการ (P) 1) นักเรียนเขียนสูตรเคมีของไอออนที่พบในชีวิตประจำวันได้ 3.3 ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการทำงาน 4. สาระสำคัญ น้ำเป็นสารเคมีชนิดหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบพื้นฐานในร่ากายของสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม โมเลกุลของน้ำ เกิดจากอะตอมของธาตุไฮโดรเจน 2 อะตอม ยึดเหนี่ยวกับธาตุออกซิเจน 1 อะตอมด้วย พันธะเคมีที่เรียกว่า พันธะ โคเวเลนต์น้ำจัดเป็นสารโคเวเลนต์และยังมีสารอื่นอีกหลายชนิดที่เป็นสารโคเวเลนต์สถานะและจุดเดือดของสาร โคเวเลนต์ขึ้นอยู่กับแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล ซึ่งมีความสัมพันธ์กับสภาพขั้วของสารและพันธะไฮโดรเจน ในแหล่งน้ำธรรมชาตินอกจากมีน้ำเป็นองค์ประกอบหลักแล้ว ยังมีสารอื่นละลายอยู่ด้วย สารที่ละลายน้ำได้มีทั้งสาร โคเวเลนต์และสารประกอบไอออนิก สารประกอบไอออนิกเกิดจากการยึดเหนี่ยวระหว่างไอออนบวกกับไอออนลบ ด้วยพันธะไอออนิก ในอัตราส่วนอย่างต่ำที่ทำให้ประจุรวมของสารประกอบเป็นศูนย์ การละลายของสารในน้ำมี2 แบบ คือการละลายแบบแตกตัวและไม่แตกตัว ซึ่งทำให้ได้สารละลายอิเล็กโทรไลต์และนอนอิเล็กโทรไลต์ตามลำดับ 5. สาระการเรียนรู้


5.1 ความรู้ สารในแหล่งน้ำธรรมชาติ น้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติเป็นน้ำที่ไม่บริสุทธิ์มีสารอื่นเจือปนซึ่งอาจเป็นสารโคเวเลนต์เช่น แก๊ส ออกซิเจน (O2 ) แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์(CO2 ) และสารที่อยู่ในรูปของไอออน เช่น โซเดียมไอออน (Na+ ) คลอไรด์ไอออน (Cl- ) ไอออนทั้งสองชนิดนี้มีปริมาณมากในน้ำทะเล และเมื่อระเหยน้ำออกจะได้เกลือแกง หรือโซเดียมคลอไรด์(NaCl) ซึ่งเป็น สารประกอบไอออนิก (ionic compound) รูป 2.8 การจัดเรียงไอออนของเกลือแกงในสถานะของแข็งและในรูปของสารละลาย สารประกอบไอออนิกประกอบด้วยไอออนบวกที่ยึดเหนี่ยวกับไอออนลบด้วยพันธะเคมีที่เรียกว่า พันธะไอออนิก (ionic bond) ด้วยไอออนบวกและไอออนลบจัดเรียงตัวสลับต่อเนื่องกันไปใน 3 มิติ เกิดเป็นผลึกของแข็ง ดังรูป 2.9 ในอัตราส่วนของไอออนที่ทำให้สารประกอบไอออนิกเป็นกลางทางไฟฟ้า รูป 2.9 การจัดเรียงไอออนบวกและไอออนลบของเกลือแกงใน 3 มิติ เนื่องจากสารประกอบไอออนิกเกิดจากการจัดเรียงตัวของไอออนที่เป็นองค์ประกอบต่อเนื่องกันไป ในสามมิติโดยไม่สามารถหาขอบเขตได้แน่นอนจึงไม่จัดเป็นโมเลกุล และไม่สามารถเขียนสูตรโมเลกุลได้ ดังนั้น สูตรเคมีของสารประกอบไอออนิกจึงเขียนแสดงอัตราส่วนอย่างต่ำของไอออน ซึ่งเรียกว่า สูตรเอมพิริคัล (empirical formule) การเขียนสูตรเอมพิริคัลทำได้โดยเขียนสัญลักษณ์ธาตุที่เป็นไอออนบวกไว้ข้างหน้าและตามด้วย สัญลักษณ์ธาตุที่เป็นไอออนลบ และเขียนตัวเลขห้อยท้ายสัญลักษณ์ธาตุแต่ละชนิดเพื่อแสดงอัตราส่วนอย่าง ต่ำของจำนวนไอออนในการรวมตัว โดยไม่ต้องเขียนแสดงเลข 1 เช่น โซเดียมคลอไรด์(NaCl) เป็นสูตรเคมี ของเกลือแกงแสดงว่า Na+ รวมตัวกับ (Cl- ) ด้วยอัตราส่วนอย่างต่ำ 1:1 สารประกอบไอออนิกเมื่อละลายน้ำจะอยู่ในรูปของไอออน ซึ่งไอออนที่ละลายอยู่ในน้ำอาจเป็น ไอออนที่เกิดจากอะตอมของธาตุชนิดเดียวหรือเกิดจากกลุ่มอะตอม เช่น สารประกอบแมกนีเซียมซัลเฟต (MgSO4 ) เมื่อละลายน้ำจะอยู่ในรูปของแมกนีเซียมไอออน (Mg2+) กับซัลเฟตไอออน (SO4 2- ) ตัวอย่าง ไอออนที่พบในชีวิตประจำวัน แสดงดังตาราง 2.3


ตาราง 2.3 ตัวอย่างไอออนที่พบในชีวิตประจำวัน ไอออนบวก ชื่อ ไอออนลบ ชื่อ Li+ ลิเทียมไอออน Cl- คลอไรด์ไอออน Na+ โซเดียมไอออน O 2- ออกไซด์ไอออน K + โพแทสเซียมไอออน OHไฮดรอกไซด์ไอออน Mg2+ แมกนีเซียมไอออน NO3 - ไนเทรตไอออน Ca2+ แคลเซียมไอออน CO3 2- คาร์บอเนตไอออน Al3+ อะลูมิเนียมไอออน SO4 2- ซัลเฟสไอออน NH4 + แอมโมเนียมไอออน PO4 3- ฟอสเฟตไอออน เนื่องจากสารประกอบไอออนิกเป็นกลางทางไฟฟ้า ดังนั้นสูตรเอมพิริคัลต้องประกอบด้วยจำนวน ไอออนบวกและไอออนลบที่รวมตัวกันด้วยอัตราส่วนอย่างต่ำที่ทำให้ผลรวมของประจุเป็นศูนย์ดังตัวอย่าง ในตาราง 2.4 ตาราง 2.4 ตัวอย่างการรวมตัวของไอออนในสารประกอบไอออนิก ไอออน บวก ไอออน ลบ อัตราส่วนการรวมตัว (ไอออนบวก:ไอออนลบ) ผลรวมประจุ สูตรเอมพิริคัล Mg2+ Cl1:1 (+2) + (-1) = +1 ไม่เป็นกลางทางไฟฟ้า 1:2 (+2) + 2(-1) = 0 เป็นกลางทางไฟฟ้า MgCl2 Na+ SO4 2- 1:1 (+1) + (-2) = -1 ไม่เป็นกลางทางไฟฟ้า 2:1 2(+1) + (-2) = 0 เป็นกลางทางไฟฟ้า Na2SO2 Al3+ NO3 - 1:1 (+3) + (-1) = +2 ไม่เป็นกลางทางไฟฟ้า 1:2 (+3) + 2(-1) = +1 ไม่เป็นกลางทางไฟฟ้า 1:3 (+3) + 3(-1) = 0 เป็นกลางทางไฟฟ้า Al(NO3 )3


นอกจากนี้การเขียนสูตรเอมพิริคัลของสารประกอบไอออนิกยังอาจทำได้โดยการไขว้ตัวเลขประจุ ของไอออน แล้วทำตัวเลขให้เป็นอัตราส่วนอย่างต่ำ ดังตัวอย่าง 5.2 กระบวนการ 1) ความสามารถในการสื่อสาร (อ่าน ฟัง พูด เขียน) 2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วิเคราะห์จัดกลุ่ม สรุป) 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แสวงหาความรู้) 4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต (ความรับผิดชอบ) 5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบค้นผ่านคอมพิวเตอร์) 5.3 คุณลักษณะและค่านิยม ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการทำงาน 6. บูรณาการ - 7. กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่1 ขั้นสร้างความสนใจ 1.1 ครูทบทวนบทเรียน เรื่อง การเปลี่ยนสถานะของน้ำและความมีขั้ว 1.2 โดยให้นักเรียนอภิปรายเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างของน้ำกลั่นกับน้ำในแหล่ง น้ำธรรมชาติเพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า น้ำกลั่นเป็นสารบริสุทธิ์ส่วนน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติเป็นสารผสมที่มีสาร อื่นละลายอยู่ 1.3 ครูให้นักเรียนยกตัวอย่างสารที่ละลายอยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติเพื่อให้ได้ตัวอย่างของสาร โคเวเลนต์เช่น O2 CO2 และสารประกอบไอออนิก เช่น NaCl แล้วใช้คำถามว่า สารที่ยกตัวอย่างมีสาร ใดบ้างเป็นสารโคเวเลนต์ทราบเอย่างไร เพื่อชี้ให้เห็นว่า สารที่ละลายอยู่ในน้ำบางชนิด เช่น NaCl ไม่ใช่สาร โคเวเลนต์เนื่องจาก Na ไม่ใช่ธาตุอโลหะ ขั้นที่2 ขั้นสำรวจและค้นหา 2.1 ครูให้ความรู้ว่า NaCl ไม่ใช่สารโคเวเลนต์แต่เป็นสารประกอบไอออนิกที่ประกอบด้วยไอออน ของโซเดียม หรือ โซเดียมไอออน (Na+ ) และไอออนของคลอรีน หรือคลอไรด์ไอออน (Cl- ) 2.2 ครูให้ความรู้ว่า ไอออนบวกและไอออนลบในสารประกอบไอออนิกยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะเคมี ที่เรียกว่า พันธะไอออนิก 2.3 ครูทบทวนความรู้เรื่องไอออนบวก ไอออนลบ และให้ความรู้เกี่ยวกับการดึงดูดกันระหว่าง ไอออนที่มีประจุต่างกัน และการผลักกันระหว่างไอออนที่มีประจุเหมือนกัน แล้วใช้คำถามว่า หากของแข็ง


เกิดจากการรวมตัวของไอออนให้ชิดติดกันมากที่สุด สารประกอบไอออนิกจะมีการจัดเรียงไอออน อย่างไร เพื่อนำเข้าสู่กิจกรรม 2.3 ครูให้นักเรียนทำกิจกรรมเพื่อศึกษาการจัดเรียงตัวของไอออนในสารประกอบไอออนิก โดยมี เงื่อนไขดังนี้ 1) ครูแบ่งนักเรียนทั้งห้องออกเป็นกลุ่ม 2 กลุ่ม เพื่อให้เป็นตัวแทนของไอออนบวกและ ไอออนลบ เช่น แบ่งกลุ่มนักเรียนชายและนักเรียนหญิง ทำป้ายสัญลักษณ์ที่มองเห็นได้ชัดของทั้งสองกลุ่ม 2) ให้นักเรียนทั้งหมดยืนเป็นรูปสี่เหลี่ยม (นักเรียนควรยืนซ้อนกันอย่างน้อย 3 แถว โดย นักเรียนที่อยู่ต่างกลุ่มกันให้ยืนชิดกัน แต่นักเรียนที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันห้ามยืนชิดกัน 3) ให้นักเรียนที่ยืนอยู่หัวแถวด้านใดด้านหนึ่งออกมาวาดรูปจำลองการจัดเรียงไอออนบน กระดาน 2.4 ครูนำนักเรียนศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับสารประกอบไอออนิกเกิดจากการจัดเรียงตัวของไอออน ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน 40-41 2.5 นักเรียนทำใบงาน เรื่อง ไอออนที่พบในชีวิตประจำวัน ขั้นที่3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 3.1 จากการทำกิจกรรมการจัดเรียงของไอออนในสารประกอบไอออนิก ครูและนักเรียนร่วมกัน อภิปรายรูปจำลองการจัดเรียงไอออนจากกิจกรรม เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า สารประกอบไอออนิกเกิดจากการจัดเรียงตัวของไอออนบวกและไอออนลบสลับ ต่อเนื่องกันไป โดยในกิจกรรมนี้เป็นการจัดเรียงใน 2 มิติ 3.2 จากนั้นให้พิจารณารูป 2.9 ซึ่งแสดงการจัดเรียงไอออนใน 3 มิติแล้วให้นักเรียนชี้ตำแหน่งของ พันธะไอออนิก ซึ่งควรชี้ได้ทุกตำแหน่งที่อยู่ระหว่างไอออนบวกและไอออนลบ 3.3 ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปสารประกอบไอออนิกและไอออนที่พบในชีวิตประจำวัน ขั้นที่4 ขั้นขยายความรู้ 4.1 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับศัพท์น่ารู้ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน หน้า 41 ขั้นที่5 ขั้นประเมินผล 5.1ครูถามคำถามเกี่ยวกับการเกิดพันธะไอออนิก จำนวน 3 ข้อ ให้นักเรียนทำส่งในสมุด 1) จงอธิบายความหมายการเกิดพันธะไอออนิก (แนวการตอบ สารประกอบไอออนิก ประกอบด้วยไอออนบวกที่ยึดเหนี่ยวกับไอออนลบด้วยพันธะเคมี) 2) ภาษาอังกฤษคำว่าพันธะไอออนิก (แนวการตอบ ionic bond) 3) พันธะไอออนิก ไอออนบวกและไอออนลบจัดเรียงตัวอย่างไร (แนวการตอบ ไอออน บวกและไอออนลบจัดเรียงตัวสลับต่อเนื่องกันไปใน 3 มิติ) 5.2 ครูตรวจใบงาน เรื่อง ไอออนที่พบในชีวิตประจำวัน


ประยุกต์และตอบแทนสังคม ครูให้นักเรียนแต่ละคนนำความรู้ที่เรียนไปค้นคว้าเพิ่มเติมที่ห้องสมุด หรือเว็บไซต์แล้วนำเสนอใน ชั้นเรียน 8. สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ 8.1 หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์(วิทยาศาสตร์กายภาพ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 1 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) 8.2 ใบงาน เรื่อง สูตรเคมีของไอออนที่พบในชีวิตประจำวัน 8.3 อินเทอร์เน็ต 8.4 ห้องสมุด 9. การวัดและประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัด เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน ด้านความรู้(K) 1) นักเรียนอธิบายการเกิดพันธะไอออนิกได้ 1) ถามคำถามเกี่ยวกับ การเกิดพันธะไอออนิก จำนวน 3 ข้อ 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) คำถามเกี่ยวกับ การเกิดพันธะไอออนิก จำนวน 3 ข้อ 1) นักเรียนสามารถ ตอบคำถามได้ระดับ ดีผ่านเกณฑ์ ด้านกระบวนการ (P) 1) นักเรียนเขียนสูตรเคมีของไอออนที่พบ ในชีวิตประจำวันได้ 1) ตรวจใบงาน เรื่อง ไอออนที่พบใน ชีวิตประจำวัน 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) ใบงาน เรื่อง ไอออนที่พบใน ชีวิตประจำวัน 1) นักเรียนทำใบงาน ถูกต้อง ได้ระดับดี ผ่านเกณฑ์ ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการ ทำงาน 1) ถามคำถามเกี่ยวกับ การเกิดพันธะไอออนิก จำนวน 3 ข้อ 2) ตรวจใบงาน เรื่อง ไอออนที่พบใน ชีวิตประจำวัน 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) คำถามเกี่ยวกับ การเกิดพันธะไอออ นิก จำนวน 3 ข้อ 3) ใบงาน เรื่อง ไอออนที่พบใน ชีวิตประจำวัน 1) นักเรียนทำภาระ งานที่ได้รับมอบหมาย ได้ระดับดีผ่านเกณฑ์


10. เกณฑ์การประเมินผลงานนักเรียน เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการทำกิจกรรม เรื่อง สารประกอบไอออนิก ประเด็นการ ประเมิน ค่าน้ำหนัก คะแนน แนวทางการให้คะแนน ด้านความรู้ (K) 3 สามารถตอบคำถามได้ถูกต้องครบถ้วน จำนวน 3 ข้อ 2 สามารถตอบคำถามได้ถูกต้องครบถ้วน จำนวน 2 ข้อ 1 สามารถตอบคำถามได้ถูกต้องครบถ้วน จำนวน 1 ข้อ หรือไม่ถูกต้อง ด้าน กระบวนการ (P) 3 ทำใบงาน เรื่อง ไอออนที่พบในชีวิตประจำวันได้ถูกต้องครบถ้วน จำนวน 6-7 ข้อ 2 ทำใบงาน เรื่อง ไอออนที่พบในชีวิตประจำวันได้ถูกต้องครบถ้วน จำนวน 4-5 ข้อ 1 ทำใบงาน เรื่อง ไอออนที่พบในชีวิตประจำวันได้ถูกต้องครบถ้วน จำนวน 1-3 ข้อ หรือทำไม่ถูกต้อง ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด และเรียบร้อยถูกต้องครบถ้วน 2 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด แต่งานยังผิดพลาดบางส่วน 1 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกิดข้อผิดพลาดบางส่วน ระดับคะแนน คะแนน 3 หมายถึง ระดับดีมาก คะแนน 2 หมายถึง ระดับดี คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้


การประเมินการทำกิจกรรม เรื่อง สารประกอบไอออนิก ที่ ชื่อ - นามสกุล จุดประสงค์การเรียนรู้ รวม คะแนน ระดับ คุณภาพ ด้านความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 3 3 9 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28


ที่ ชื่อ - นามสกุล จุดประสงค์การเรียนรู้ รวม คะแนน ระดับ คุณภาพ ด้านความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 3 3 9 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 ระดับคุณภาพ คะแนน 9 หมายถึง ระดับดีมาก คะแนน 7-8 หมายถึง ระดับดี คะแนน 5-6 หมายถึง ระดับปานกลาง คะแนน 3-4 หมายถึง ระดับปรับปรุง


ใบงาน เรื่อง ไอออนที่พบในชีวิตประจำวัน ให้นักเรียนศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับไอออนที่พบในชีวิตประจำวันในหนังสือ แล้วเติมคำตอบลงในช่องว่างให้ ถูกต้อง ข้อที่ ไอออนบวก ชื่อ ไอออนลบ ชื่อ 1 Li+ คลอไรด์ไอออน 2 โซเดียมไอออน ออกไซด์ไอออน 3 โพแทสเซียมไอออน OH4 Mg2+ NO3 - 5 แคลเซียมไอออน คาร์บอเนตไอออน 6 อะลูมิเนียมไอออน ซัลเฟสไอออน 7 NH4 + PO4 3-


เฉลยใบงาน เรื่อง ไอออนที่พบในชีวิตประจำวัน ให้นักเรียนศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับไอออนที่พบในชีวิตประจำวันในหนังสือ แล้วเติมคำตอบลงในช่องว่างให้ ถูกต้อง ข้อที่ ไอออนบวก ชื่อ ไอออนลบ ชื่อ 1 Li+ ลิเทียมไอออน Cl- คลอไรด์ไอออน 2 Na+ โซเดียมไอออน O 2- ออกไซด์ไอออน 3 K + โพแทสเซียมไอออน OHไฮดรอกไซด์ไอออน 4 Mg2+ แมกนีเซียมไอออน NO3 - ไนเทรตไอออน 5 Ca2+ แคลเซียมไอออน CO3 2- คาร์บอเนตไอออน 6 Al3+ อะลูมิเนียมไอออน SO4 2- ซัลเฟสไอออน 7 NH4 + แอมโมเนียมไอออน PO4 3- ฟอสเฟตไอออน


แผนการจัดการเรียนรู้ที่9 เรื่อง สูตรเอมพิริคัล รายวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ2 รหัสวิชา ว32101 เวลา 2 ชั่วโมง หน่วยการเรียนรู้ที่2 ชื่อหน่วยการเรียนรู้น้ำ รวม 15 ชั่วโมง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่5 ภาคเรียนที่1 บูรณาการ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อาเซียน STEM PLC สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน มาตรฐานสากล ข้ามกลุ่มสาระ 1. มาตรฐานการเรียนรู้ ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้าง และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี 2. ตัวชี้วัด ว 2.1 ม.5/12 เขียนสูตรเคมีของไอออนและสารประกอบไอออนิก 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 3.1 ด้านความรู้(K) 1) นักเรียนอธิบายความหมายของสูตรเอมพิริคัลได้ 3.2 ด้านกระบวนการ (P) 1) นักเรียนเขียนสูตรเอมพิริคัลของสารประกอบไอออนิกจากไอออนที่กำหนดให้ได้ 3.3 ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการทำงาน 4. สาระสำคัญ น้ำเป็นสารเคมีชนิดหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบพื้นฐานในร่ากายของสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม โมเลกุลของน้ำ เกิดจากอะตอมของธาตุไฮโดรเจน 2 อะตอม ยึดเหนี่ยวกับธาตุออกซิเจน 1 อะตอมด้วย พันธะเคมีที่เรียกว่า พันธะ โคเวเลนต์น้ำจัดเป็นสารโคเวเลนต์และยังมีสารอื่นอีกหลายชนิดที่เป็นสารโคเวเลนต์สถานะและจุดเดือดของสาร โคเวเลนต์ขึ้นอยู่กับแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล ซึ่งมีความสัมพันธ์กับสภาพขั้วของสารและพันธะไฮโดรเจน ในแหล่งน้ำธรรมชาตินอกจากมีน้ำเป็นองค์ประกอบหลักแล้ว ยังมีสารอื่นละลายอยู่ด้วย สารที่ละลายน้ำได้มีทั้งสาร โคเวเลนต์และสารประกอบไอออนิก สารประกอบไอออนิกเกิดจากการยึดเหนี่ยวระหว่างไอออนบวกกับไอออนลบ ด้วยพันธะไอออนิก ในอัตราส่วนอย่างต่ำที่ทำให้ประจุรวมของสารประกอบเป็นศูนย์ การละลายของสารในน้ำมี2 แบบ คือการละลายแบบแตกตัวและไม่แตกตัว ซึ่งทำให้ได้สารละลายอิเล็กโทรไลต์และนอนอิเล็กโทรไลต์ตามลำดับ


5. สาระการเรียนรู้ 5.1 ความรู้ สารในแหล่งน้ำธรรมชาติ น้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติเป็นน้ำที่ไม่บริสุทธิ์มีสารอื่นเจือปนซึ่งอาจเป็นสารโคเวเลนต์เช่น แก๊ส ออกซิเจน แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และสารที่อยู่ในรูปของไอออน เช่น โซเดียมไอออน (Na+ ) คลอไรด์ ไอออน (Cl- ) ไอออนทั้งสองชนิดนี้มีปริมาณมากในน้ำทะเล และเมื่อระเหยน้ำออกจะได้เกลือแกงหรือ โซเดียมคลอไรด์(NaCl) ซึ่งเป็น สารประกอบไอออนิก (ionic compound) รูป 2.8 การจัดเรียงไอออนของเกลือแกงในสถานะของแข็งและในรูปของสารละลาย สารประกอบไอออนิกประกอบด้วยไอออนบวกที่ยึดเหนี่ยวกับไอออนลบด้วยพันธะเคมีที่เรียกว่า พันธะไอออนิก (ionic bond) ด้วยไอออนบวกและไอออนลบจัดเรียงตัวสลับต่อเนื่องกันไปใน 3 มิติ เกิดเป็นผลึกของแข็ง ดังรูป 2.9 ในอัตราส่วนของไอออนที่ทำให้สารประกอบไอออนิกเป็นกลางทางไฟฟ้า รูป 2.9 การจัดเรียงไอออนบวกและไอออนลบของเกลือแกงใน 3 มิติ เนื่องจากสารประกอบไอออนิกเกิดจากการจัดเรียงตัวของไอออนที่เป็นองค์ประกอบต่อเนื่องกันไป ในสามมิติโดยไม่สามารถหาขอบเขตได้แน่นอนจึงไม่จัดเป็นโมเลกุล และไม่สามารถเขียนสูตรโมเลกุลได้ ดังนั้น สูตรเคมีของสารประกอบไอออนิกจึงเขียนแสดงอัตราส่วนอย่างต่ำของไอออน ซึ่งเรียกว่า สูตรเอมพิ ริคัล (empirical formule) การเขียนสูตรเอมพิริคัลทำได้โดยเขียนสัญลักษณ์ธาตุที่เป็นไอออนบวกไว้ข้างหน้าและตามด้วย สัญลักษณ์ธาตุที่เป็นไอออนลบ และเขียนตัวเลขห้อยท้ายสัญลักษณ์ธาตุแต่ละชนิดเพื่อแสดงอัตราส่วนอย่าง ต่ำของจำนวนไอออนในการรวมตัว โดยไม่ต้องเขียนแสดงเลข 1 เช่น โซเดียมคลอไรด์(NaCl) เป็นสูตรเคมี ของเกลือแกงแสดงว่า Na+ รวมตัวกับ (Cl- ) ด้วยอัตราส่วนอย่างต่ำ 1:1 สารประกอบไอออนิกเมื่อละลายน้ำจะอยู่ในรูปของไอออน ซึ่งไอออนที่ละลายอยู่ในน้ำอาจเป็น ไอออนที่เกิดจากอะตอมของธาตุชนิดเดียวหรือเกิดจากกลุ่มอะตอม เช่น สารประกอบแมกนีเซียมซัลเฟต


(MgSO4 ) เมื่อละลายน้ำจะอยู่ในรูปของแมกนีเซียมไอออน (Mg2+) กับซัลเฟตไอออน (SO4 2- ) ตัวอย่าง ไอออนที่พบในชีวิตประจำวัน แสดงดังตาราง 2.3 ตาราง 2.3 ตัวอย่างไอออนที่พบในชีวิตประจำวัน ไอออนบวก ชื่อ ไอออนลบ ชื่อ Li+ ลิเทียมไอออน Cl- คลอไรด์ไอออน Na+ โซเดียมไอออน O 2- ออกไซด์ไอออน K + โพแทสเซียมไอออน OHไฮดรอกไซด์ไอออน Mg2+ แมกนีเซียมไอออน NO3 - ไนเทรตไอออน Ca2+ แคลเซียมไอออน CO3 2- คาร์บอเนตไอออน Al3+ อะลูมิเนียมไอออน SO4 2- ซัลเฟสไอออน NH4 + แอมโมเนียมไอออน PO4 3- ฟอสเฟตไอออน เนื่องจากสารประกอบไอออนิกเป็นกลางทางไฟฟ้า ดังนั้นสูตรเอมพิริคัลต้องประกอบด้วยจำนวน ไอออนบวกและไอออนลบที่รวมตัวกันด้วยอัตราส่วนอย่างต่ำที่ทำให้ผลรวมของประจุเป็นศูนย์ดังตัวอย่าง ในตาราง 2.4 ตาราง 2.4 ตัวอย่างการรวมตัวของไอออนในสารประกอบไอออนิก ไอออน บวก ไอออน ลบ อัตราส่วนการรวมตัว (ไอออนบวก:ไอออนลบ) ผลรวมประจุ สูตรเอมพิริคัล Mg2+ Cl1:1 (+2) + (-1) = +1 ไม่เป็นกลางทางไฟฟ้า 1:2 (+2) + 2(-1) = 0 เป็นกลางทางไฟฟ้า MgCl2 Na+ SO4 2- 1:1 (+1) + (-2) = -1 ไม่เป็นกลางทางไฟฟ้า 2:1 2(+1) + (-2) = 0 เป็นกลางทางไฟฟ้า Na2SO2 Al3+ NO3 - 1:1 (+3) + (-1) = +2 ไม่เป็นกลางทางไฟฟ้า 1:2 (+3) + 2(-1) = +1 ไม่เป็นกลางทางไฟฟ้า 1:3 (+3) + 3(-1) = 0 เป็นกลางทางไฟฟ้า Al(NO3 )3


นอกจากนี้การเขียนสูตรเอมพิริคัลของสารประกอบไอออนิกยังอาจทำได้โดยการไขว้ตัวเลขประจุ ของไอออน แล้วทำตัวเลขให้เป็นอัตราส่วนอย่างต่ำ ดังตัวอย่าง 5.2 กระบวนการ 1) ความสามารถในการสื่อสาร (อ่าน ฟัง พูด เขียน) 2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วิเคราะห์จัดกลุ่ม สรุป) 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แสวงหาความรู้) 4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต (ความรับผิดชอบ) 5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบค้นผ่านคอมพิวเตอร์) 5.3 คุณลักษณะและค่านิยม ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการทำงาน 6. บูรณาการ บูรณาการกับกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์เรื่อง การบวก การลบ จำนวนเต็มบวก และจำนวนเต็มลบ 7. กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่1 ขั้นสร้างความสนใจ 1.1 ครูทบทวนบทเรียน เรื่อง ไอออนที่พบในชีวิตประจำวัน ขั้นที่2 ขั้นสำรวจและค้นหา 2.1 ครูนำนักเรียนศึกษา ตาราง 2.4 ตัวอย่างการรวมกันของไอออนในสารประกอบไอออนิก 2.2 ครูนำนักเรียนศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับการเขียนสูตรเอมพิริคัล ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน หน้า 42-43 2.5 นักเรียนทำแบบฝึกหัด 2.3 ข้อที่ 1-2 ในหนังสือเรียน หน้า 44 ลงในสมุด ขั้นที่3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 3.1 ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปการเขียนสูตรเอมพิริคัล ขั้นที่4 ขั้นขยายความรู้ 4.1 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการนำสารโคเวเลนต์และสารประกอบไอออนิกไปใช้ประโยชน์ใน ชีวิตประจำวัน รวมถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากกการใช้สารโคเวเลนต์และสารประกอบไอออนิกบางชนิด ขั้นที่5 ขั้นประเมินผล 5.1ครูตรวจสมุดการทำแบบฝึกหัด 2.3 ข้อที่ 1-2


5.2ครูถามคำถาม จำนวน 1 ข้อ ให้นักเรียนทำส่งในสมุด 1) จงอธิบายความหมายของสูตรเอมพิริคัล (แนวการตอบ สูตรเอมพิริคัล คือ เป็นสูตร เคมีที่แสดงชนิดและอัตราส่วนอย่างต่ำของธาตุที่มีองค์ปะกอบ ซึ่งนิยมใช้เพื่อแสดงสูตรเคมีของ สารประกอบไอออนิก) ประยุกต์และตอบแทนสังคม ครูให้นักเรียนแต่ละคนนำความรู้ที่เรียนไปค้นคว้าเพิ่มเติมที่ห้องสมุด หรือเว็บไซต์แล้วนำเสนอใน ชั้นเรียน 8. สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ 8.1 หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์(วิทยาศาสตร์กายภาพ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 1 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) 8.2 อินเทอร์เน็ต 8.3 ห้องสมุด 9. การวัดและประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัด เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน ด้านความรู้(K) 1) นักเรียนอธิบายความหมายของสูตร เอมพิริคัลได้ 1) ถามคำถาม จำนวน 1 ข้อ 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) คำถาม จำนวน 1 ข้อ 1) นักเรียนสามารถ ตอบคำถามได้ระดับ ดีผ่านเกณฑ์ ด้านกระบวนการ (P) 1) นักเรียนเขียนสูตรเอมพิริคัลของ สารประกอบไอออนิกจากไอออนที่ กำหนดให้ได้ 1) ตรวจแบบฝึกหัด 2.3 ข้อที่1-2 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 1) นักเรียนสามารถ ทำแบบฝึกหัด 2.3 ได้ระดับดีผ่านเกณฑ์ ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการ ทำงาน 1) ตรวจแบบฝึกหัด 2.3 ข้อที่1-2 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 1) นักเรียนทำภาระ งานที่ได้รับมอบหมาย ได้ระดับดีผ่านเกณฑ์


10. เกณฑ์การประเมินผลงานนักเรียน เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการทำกิจกรรม เรื่อง สูตรเอมพิริคัล ประเด็นการ ประเมิน ค่าน้ำหนัก คะแนน แนวทางการให้คะแนน ด้านความรู้ (K) 3 ตอบคำถามได้ถูกต้องครบถ้วน 2 ตอบคำถามได้แต่ถูกต้องครบถ้วน 1 ตอบคำถาม แต่ไม่ถูกต้อง ด้าน กระบวนการ (P) 3 ทำแบบฝึกหัด 2.3 ได้ถูกต้องครบถ้วน จำนวน 2 ข้อ 2 ทำแบบฝึกหัด 2.3 ได้ถูกต้องครบถ้วน จำนวน 1 ข้อ 1 ทำแบบฝึกหัด 2.3 แต่ไม่ถูกต้อง ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด และเรียบร้อยถูกต้องครบถ้วน 2 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด แต่งานยังผิดพลาดบางส่วน 1 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกิดข้อผิดพลาดบางส่วน ระดับคะแนน คะแนน 3 หมายถึง ระดับดีมาก คะแนน 2 หมายถึง ระดับดี คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้


การประเมินการทำกิจกรรม เรื่อง สูตรเอมพิริคัล ที่ ชื่อ - นามสกุล จุดประสงค์การเรียนรู้ รวม คะแนน ระดับ คุณภาพ ด้านความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 3 3 9 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28


ที่ ชื่อ - นามสกุล จุดประสงค์การเรียนรู้ รวม คะแนน ระดับ คุณภาพ ด้านความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 3 3 9 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 ระดับคุณภาพ คะแนน 9 หมายถึง ระดับดีมาก คะแนน 7-8 หมายถึง ระดับดี คะแนน 5-6 หมายถึง ระดับปานกลาง คะแนน 3-4 หมายถึง ระดับปรับปรุง


บันทึกหลังการสอน หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง น้ำ ใ แผนการสอนที่ 9 เรื่อง สูตรเอมพิริคัล . ใ วันที่ เดือน พ.ศ. ใ ผลการจัดการเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………... ……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………... ……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………... ……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………... ปัญหา / อุปสรรค ……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………... ……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………... ……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………... ……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………... ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ปัญหา ……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………... ……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………... ……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………... ……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………... ลงชื่อ............................................ครูผู้สอน ลงชื่อ.............................................หัวหน้ากลุ่มสาระ (นางสาวเมธินีย์ สรรเสริญ) (…………………………………………………….)


แผนการจัดการเรียนรู้ที่10 เรื่อง การเปลี่ยนสถานะของสารประกอบไอออนิก รายวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ2 รหัสวิชา ว32101 เวลา 1 ชั่วโมง หน่วยการเรียนรู้ที่2 ชื่อหน่วยการเรียนรู้น้ำ รวม 15 ชั่วโมง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ภาคเรียนที่1 บูรณาการ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อาเซียน STEM PLC สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน มาตรฐานสากล ข้ามกลุ่มสาระ 1. มาตรฐานการเรียนรู้ ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้าง และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี 2. ตัวชี้วัด ว 2.1 ม.5/12 เขียนสูตรเคมีของไอออนและสารประกอบไอออนิก 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 3.1 ด้านความรู้(K) 1) นักเรียนเปรียบเทียบจุดหลอมเหลวและจุดเดือดระหว่างโคเวเลนส์กับสารประกอบไอออนิกได้ 3.2 ด้านกระบวนการ (P) 1) นักเรียนสามารถจัดกระทำและสื่อความหมายของข้อมูลที่ศึกษาค้นคว้าได้ 3.3 ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการทำงาน 4. สาระสำคัญ น้ำเป็นสารเคมีชนิดหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบพื้นฐานในร่ากายของสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม โมเลกุลของน้ำ เกิดจากอะตอมของธาตุไฮโดรเจน 2 อะตอม ยึดเหนี่ยวกับธาตุออกซิเจน 1 อะตอมด้วย พันธะเคมีที่เรียกว่า พันธะ โคเวเลนต์น้ำจัดเป็นสารโคเวเลนต์และยังมีสารอื่นอีกหลายชนิดที่เป็นสารโคเวเลนต์สถานะและจุดเดือดของสาร โคเวเลนต์ขึ้นอยู่กับแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล ซึ่งมีความสัมพันธ์กับสภาพขั้วของสารและพันธะไฮโดรเจน ในแหล่งน้ำธรรมชาตินอกจากมีน้ำเป็นองค์ประกอบหลักแล้ว ยังมีสารอื่นละลายอยู่ด้วย สารที่ละลายน้ำได้มีทั้งสาร โคเวเลนต์และสารประกอบไอออนิก สารประกอบไอออนิกเกิดจากการยึดเหนี่ยวระหว่างไอออนบวกกับไอออนลบ ด้วยพันธะไอออนิก ในอัตราส่วนอย่างต่ำที่ทำให้ประจุรวมของสารประกอบเป็นศูนย์ การละลายของสารในน้ำมี2 แบบ คือการละลายแบบแตกตัวและไม่แตกตัว ซึ่งทำให้ได้สารละลายอิเล็กโทรไลต์และนอนอิเล็กโทรไลต์ตามลำดับ 5. สาระการเรียนรู้ 5.1 ความรู้


การเปลี่ยนสถานะของสารประกอบไอออนิก สารประกอบไอออนิกที่อยู่ในสถานะของแข็ง ไอออนบวกและไอออนลบจะจัดเรียงตัวสลับ ต่อเนื่องกันไปใน 3 มิติโดยไอออนต่างชนิดกันจะดึงดูดกันด้วยพันธะไอออนิกซึ่งเป็นแรงทางไฟฟ้าและ ไอออนแต่ละชนิดไม่สามารถเคลื่อนที่ได้เมื่อสารประกอบไอออนิกได้รับความร้อน พันธะไอออนิกบางส่วน จะถูกทำลายทำให้ไอออนบวกและไอออนลบเคลื่อนที่ได้มากขึ้น หากอุณหภูมิเพิ่มขึ้นถึงจุดหลอมเหลวจะ เปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว และเมื่อได้รับความร้อนต่อไปจนมีอุณหภูมิถึงจุดเดือดจะเปลี่ยนสถานะเป็น แก๊ส การเปลี่ยนสถานะของสารประกอบไอออนิกจากของแข็งเป็นของเหลวหรือแก๊สต้องทำลายพันธะ ไอออนิกซึ่งมีความแข็งแรงมากกกว่าแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลของสารโคเวเลนต์มาก ดังนั้นจุด หลอมเหลวและจุดเดือดของสารประกอบไอออนิกสูงกว่าสารโคเวเลนต์ 5.2 กระบวนการ 1) ความสามารถในการสื่อสาร (อ่าน ฟัง พูด เขียน) 2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วิเคราะห์จัดกลุ่ม สรุป) 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แสวงหาความรู้) 4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต (ความรับผิดชอบ) 5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบค้นผ่านคอมพิวเตอร์) 5.3 คุณลักษณะและค่านิยม ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการทำงาน 6. บูรณาการ - 7. กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่1 ขั้นสร้างความสนใจ 1.1 ครูทบทวนบทเรียนเกี่ยวกับสารโคเวเลนต์แต่ละชนิดมีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดต่างกัน ตัวอย่างดังตาราง 2.2 จุดหลอมเหลวและจุดเดือดของสารโคเวเลนส์บางชนิด ที่ความดัน 1 บรรยากาศ เมื่อต้องการเปลี่ยนสถานะของสารเหล่านี้จึงต้องใช้พลังงานความร้อนไม่เท่ากัน แสดงว่า แรงยึดเหนี่ยว ระหว่างโมเลกุลของสารโคเวเลนต์แต่ละชนิดไม่เท่ากัน ขั้นที่2 ขั้นสำรวจและค้นหา 2.1 ครูให้นักเรียนศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับการเปลี่ยนสถานะของสารประกอบไอออนิก และตาราง 2.5 จุดหลอมเหลวและจุดเดือดของสารประกอบไอออนิกบางชนิดที่ความดัน 1 บรรยากาศ แล้วสรุปองค์ ความรู้ลงในสมุด 2.2 ครูให้นักเรียนเปรียบเทียบข้อมูลจุดหลอมเหลวและจุดเดือดของสารโคเวเลนต์ในตาราง 2.2 และจุดหลอมเหลวและจุดเดือดของสารประกอบไอออนิกในตาราง 2.5 ขั้นที่3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป


3.1 ครูและนักเรียนร่วมกันสรุป เรื่อง การเปลี่ยนสถานะของสารประกอบไอออนิก จนได้ข้อสรุป ดังนี้ สารประกอบไอออนิกที่อยู่ในสถานะของแข็ง ไอออนบวกและไอออนลบจะจัดเรียงตัวสลับ ต่อเนื่องกันไปใน 3 มิติโดยไอออนต่างชนิดกันจะดึงดูดกันด้วยพันธะไอออนิกซึ่งเป็นแรงทางไฟฟ้าและ ไอออนแต่ละชนิดไม่สามารถเคลื่อนที่ได้เมื่อสารประกอบไอออนิกได้รับความร้อน พันธะไอออนิกบางส่วน จะถูกทำลายทำให้ไอออนบวกและไอออนลบเคลื่อนที่ได้มากขึ้น หากอุณหภูมิเพิ่มขึ้นถึงจุดหลอมเหลวจะ เปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว และเมื่อได้รับความร้อนต่อไปจนมีอุณหภูมิถึงจุดเดือดจะเปลี่ยนสถานะเป็น แก๊ส การเปลี่ยนสถานะของสารประกอบไอออนิกจากของแข็งเป็นของเหลวหรือแก๊สต้องทำลายพันธะ ไอออนิกซึ่งมีความแข็งแรงมากกกว่าแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลของสารโคเวเลนต์มาก ดังนั้นจุด หลอมเหลวและจุดเดือดของสารประกอบไอออนิกสูงกว่าสารโคเวเลนต์ ขั้นที่4 ขั้นขยายความรู้ 4.1 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสมบัติของสารประกอบไอออนิก ดังนี้ 1. มีขั้ว เพราะสารประกอบไอออนิกไม่ได้เกิดขึ้นเป็นโมเลกุลเดี่ยว แต่จะเป็นของแข็งซึ่ ประกอบด้วยไอออนจำนวนมาก ซึ่งยึดเหนี่ยวกันด้วยแรงยึดเหนี่ยวทางไฟฟ้า 2. ไม่นำไฟฟ้าเมื่ออยู่ในสภาพของแข็ง แต่จะนำไฟฟ้าได้เมื่อใส่สารประกอบไอออนิกลง ในน้ำ ไอออนจะแยกออกจากกัน ทำให้สารละลายนำไฟฟ้าในทำนองเดียวกันสารประกอบที่หลอมเหลวจะนำ ไฟฟ้าได้ด้วยเนื่องจากเมื่อหลอมเหลวไอออนจะเป็นอิสระจากกัน เกิดการไหลเวียนอิเล็กตรอนทำให้ อิเล็กตรอนเคลื่อนที่จึงเกิดการนำไฟฟ้า 3. มีจุหลอมเหลวและจุดเดือดสูงความร้อนในการทำลายแรงดึงดูดระหว่างไอออนให้ กลายเป็นของเหลวต้องใช้พลังงานสูง ขั้นที่5 ขั้นประเมินผล 5.1ครูตรวจสมุดนักเรียนในการสรุปองค์ความรู้เรื่อง การเปลี่ยนสถานะของสารประกอบไอออนิก 5.2 ครูถามคำถาม จำนวน 1 ข้อ ให้นักเรียนทำส่งในสมุด 1) จงเปรียบเทียบจุดหลอมเหลวและจุดเดือดระหว่างโคเวเลนส์กับสารประกอบไอออนิก (แนวการตอบ การเปลี่ยนสถานะของสารประกอบไอออนิกจากของแข็งเป็นของเหลวหรือแก๊สต้องทำลาย พันธะไอออนิกซึ่งมีความแข็งแรงมากกกว่าแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลของสารโคเวเลนต์มาก ดังนั้นจุด หลอมเหลวและจุดเดือดของสารประกอบไอออนิกสูงกว่าสารโคเวเลนต์) ประยุกต์และตอบแทนสังคม ครูให้นักเรียนแต่ละคนนำความรู้ที่เรียนไปค้นคว้าเพิ่มเติมที่ห้องสมุด หรือเว็บไซต์แล้วนำเสนอใน ชั้นเรียน


8. สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ 8.1 หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์(วิทยาศาสตร์กายภาพ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 1 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) 8.2 อินเทอร์เน็ต 8.3 ห้องสมุด 9. การวัดและประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัด เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน ด้านความรู้(K) 1) นักเรียนเปรียบเทียบจุดหลอมเหลวและ จุดเดือดระหว่างโคเวเลนส์กับสารประกอบ ไอออนิกได้ 1) ถามคำถาม จำนวน 1 ข้อ 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) คำถาม จำนวน 1 ข้อ 1) นักเรียนสามารถ ตอบคำถามได้ระดับ ดีผ่านเกณฑ์ ด้านกระบวนการ (P) 1) นักเรียนนักเรียนสามารถจัดกระทำและ สื่อความหมายของข้อมูลที่ศึกษาค้นคว้าได้ 1) ตรวจสมุดนักเรียน สรุปองค์ความรู้เรื่อง การเปลี่ยนสถานะของ สารประกอบไอออนิก 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 1) นักเรียนสรุปองค์ ความรู้ได้ระดับดี ผ่านเกณฑ์ ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการ ทำงาน 1) ตรวจสมุดนักเรียน สรุปองค์ความรู้เรื่อง การเปลี่ยนสถานะของ สารประกอบไอออนิก 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 1) นักเรียนทำภาระ งานที่ได้รับมอบหมาย ได้ระดับดีผ่านเกณฑ์


10. เกณฑ์การประเมินผลงานนักเรียน เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการทำกิจกรรม เรื่อง การเปลี่ยนสถานะของสารประกอบไอออนิก ประเด็นการ ประเมิน ค่าน้ำหนัก คะแนน แนวทางการให้คะแนน ด้านความรู้ (K) 3 ตอบคำถามได้ถูกต้องครบถ้วน 2 ตอบคำถามได้แต่ถูกต้องครบถ้วน 1 ตอบคำถาม แต่ไม่ถูกต้อง ด้าน กระบวนการ (P) 3 สรุปเนื้อหาที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าได้ถูกต้องครบถ้วน 2 สรุปเนื้อหาที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าได้ค่อนข้างถูกต้องครบถ้วน 1 สรุปเนื้อหาที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าได้แต่ไม่ครบถ้วน ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด และเรียบร้อยถูกต้องครบถ้วน 2 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด แต่งานยังผิดพลาดบางส่วน 1 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกิดข้อผิดพลาดบางส่วน ระดับคะแนน คะแนน 3 หมายถึง ระดับดีมาก คะแนน 2 หมายถึง ระดับดี คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้


การประเมินการทำกิจกรรม เรื่อง การเปลี่ยนสถานะของสารประกอบไอออนิก ที่ ชื่อ - นามสกุล จุดประสงค์การเรียนรู้ รวม คะแนน ระดับ คุณภาพ ด้านความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 3 3 9 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28


ที่ ชื่อ - นามสกุล จุดประสงค์การเรียนรู้ รวม คะแนน ระดับ คุณภาพ ด้านความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 3 3 9 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 ระดับคุณภาพ คะแนน 9 หมายถึง ระดับดีมาก คะแนน 7-8 หมายถึง ระดับดี คะแนน 5-6 หมายถึง ระดับปานกลาง คะแนน 3-4 หมายถึง ระดับปรับปรุง


แผนการจัดการเรียนรู้ที่11 เรื่อง การละลายแบบแตกตัว รายวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ2 รหัสวิชา ว32101 เวลา 3 ชั่วโมง หน่วยการเรียนรู้ที่2 ชื่อหน่วยการเรียนรู้น้ำ รวม 15 ชั่วโมง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ภาคเรียนที่1 บูรณาการ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อาเซียน STEM PLC สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน มาตรฐานสากล ข้ามกลุ่มสาระ 1. มาตรฐานการเรียนรู้ ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้าง และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี 2. ตัวชี้วัด ว 2.1 ม.5/13 ระบุว่าสารเกิดการละลายแบบแตกตัวหรือไม่แตกตัว พร้อมใช้เหตุผลและระบุว่าสารละลายที่ ได้เป็นสารละลายอิเล็กโทรไลต์หรือนอนอิเล็กโทรไลต์ 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 3.1 ด้านความรู้(K) 1) นักเรียนระบุว่าสารเกิดการละลายน้ำแบบแตกตัวจากสูตรเคมีและสารละลายที่ได้เป็น สารละลายอิเล็กโทรไลต์ได้ 3.2 ด้านกระบวนการ (P) 1) นักเรียนสามารถจัดกระทำและสื่อความหมายของข้อมูลที่ศึกษาค้นคว้าได้ 3.3 ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการทำงาน 4. สาระสำคัญ น้ำเป็นสารเคมีชนิดหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบพื้นฐานในร่ากายของสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม โมเลกุลของน้ำ เกิดจากอะตอมของธาตุไฮโดรเจน 2 อะตอม ยึดเหนี่ยวกับธาตุออกซิเจน 1 อะตอมด้วย พันธะเคมีที่เรียกว่า พันธะ โคเวเลนต์น้ำจัดเป็นสารโคเวเลนต์และยังมีสารอื่นอีกหลายชนิดที่เป็นสารโคเวเลนต์สถานะและจุดเดือดของสาร โคเวเลนต์ขึ้นอยู่กับแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล ซึ่งมีความสัมพันธ์กับสภาพขั้วของสารและพันธะไฮโดรเจน ในแหล่งน้ำธรรมชาตินอกจากมีน้ำเป็นองค์ประกอบหลักแล้ว ยังมีสารอื่นละลายอยู่ด้วย สารที่ละลายน้ำได้มีทั้งสาร โคเวเลนต์และสารประกอบไอออนิก สารประกอบไอออนิกเกิดจากการยึดเหนี่ยวระหว่างไอออนบวกกับไอออนลบ ด้วยพันธะไอออนิก ในอัตราส่วนอย่างต่ำที่ทำให้ประจุรวมของสารประกอบเป็นศูนย์ การละลายของสารในน้ำมี2 แบบ คือการละลายแบบแตกตัวและไม่แตกตัว ซึ่งทำให้ได้สารละลายอิเล็กโทรไลต์และนอนอิเล็กโทรไลต์ตามลำดับ 5. สาระการเรียนรู้


5.1 ความรู้ การละลายแบบแตกตัว เมื่อสารละลายเกลือแกง (NaCl) ในน้ำ โมเลกุลของน้ำจะเข้าล้อมรอบและแยกโซเดียมไอออน (Na+ ) และคลอไรด์ไอออน (Cl- ) ออกจากกัน ในน้ำเกลือจึงประกอบด้วยสารละลายโซเดียมไอออนและ สารละลายคลอไรด์ไอออนเขียนแทนด้วย Na+ (aq) และ Cl- (aq) ซึ่งไอออนเหล่านี้สามารถเคลื่อนที่เมื่อต่อ เข้ากับวงจรไฟฟ้าไอออนบวกจะเคลื่อนที่เข้าหาขั้วลบ และไอออนลบจะเคลื่อนที่เข้าหาขั้วบวก ทำให้ กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ส่งผลให้สารละลายสามารถนำไฟฟ้า เรียกสารละลายประเภทนี้ว่า สารละลาย อิเล็กโทรไลต์(electrolyte solution) ดังรูป 2.10 การละลายน้ำในลักษณะนี้เรียกว่า การละลายน้ำ แบบแตกตัว NaCl(s) Na+ (aq) + Cl- (aq) รูป 2.10 การละลายน้ำของเกลือแกงและการเคลื่อนที่ของไอออนเมื่อนำไฟฟ้า นอกจากสารประกอบไอออนิกที่สามารถเกิดการละลายน้ำแบบแตกตัวแล้ว สารโคเวเลนต์บางชนิด เช่น แก๊สไฮโดรเจนคลอไรด์(HCl) เมื่อละลายน้ำจะแตกตัวให้ไฮโดรเจนไอออน (H + ) และคลอไรด์ไอออน (Cl- ) ได้สารละลายกรดไฮโดรคลอริก ดังสมการเคมี HCl(g) H + (aq) + Cl- (aq) การละลายน้ำของสารบางชนิดอาจทำให้ได้สารละลายที่มีสมบัติเป็นกรดหรือเบส ซึ่งสามารถ นำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างดังตาราง ตาราง 2.6 ตัวอย่างสารละลายที่มีสมบัติกรด-เบสที่ใช้ประจำประโยชน์ในชีวิตประจำวัน สารละลาย ประเภท การใช้ประโยชน์ กรดไฮโดรคลอริกหรือกรดเกลือ (HCl*) สารโคเวเลนต์ น้ำยาล้างห้องน้ำ กรดซัลฟิวริกหรือกรดกำมะถัน (H2SO4 ) สารโคเวเลนต์ สารอิเล็กโทรไลต์ใน แบตเตอรี่แบบตะกั่ว กรดแอซีติกหรือกรดน้ำส้ม (CH3COOH) สารโคเวเลนต์ น้ำส้มสายชู แอมโมเนีย (NH3 ) สารโคเวเลนต์ น้ำยาทำความสะอาดพื้นผิว ต่างๆ เช่น กระจก กระเบื้อง H2O


สารละลาย ประเภท การใช้ประโยชน์ โซเดียมไฮดรอกไซด์หรือโซดาไฟ (NaOH) สารประกอบไอออนิก ผลิตสบู่กำจัดไขมัน แคลเซียมโฮดรอกไซด์ สารประกอบไอออนิก ปรับ pH ของน้ำใน กระบวนการผลิตน้ำประปา HCl* ในสถานะแก๊ส เรียกว่า ไฮโดรเจนคลอไรด์เมื่อเป็นสารละลาย เรียกว่า กรดไฮโดรคลอริก 5.2 กระบวนการ 1) ความสามารถในการสื่อสาร (อ่าน ฟัง พูด เขียน) 2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วิเคราะห์จัดกลุ่ม สรุป) 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แสวงหาความรู้) 4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต (ความรับผิดชอบ) 5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบค้นผ่านคอมพิวเตอร์) 5.3 คุณลักษณะและค่านิยม ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการทำงาน 6. บูรณาการ - 7. กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่1 ขั้นสร้างความสนใจ 1.1 ครูนำเข้าสู่บทเรียนโดยทบทวนความรู้เกี่ยวกับสารละลายว่าประกอบด้วยตัวละลายซึ่ง กระจายตัวอยู่ในตัวทำละลาย 1.2 ครูยกตัวอย่างการเตรียมน้ำเกลือแร่ โดยการนำผงเกลือแร่ซึ่งประกอบด้วยเกลือแกงและ กลูโคส มาละลายในน้ำ จากนั้นเขียนสูตรเคมีของเกลือแกงและกลูโคส แล้วใช้คำถามว่า NaCl และ C6H12O6 เมื่อละลายในน้ำจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร เพื่อให้ร่วมกันอภิปรายและสรุปให้ได้ว่า ไอออนที่ เป็น องค์ประกอบใน NaCl และโมเลกุล C6H12O6 จะแยกออกจากกันแล้วกระจายตัวอยู่ในน้ำ 1.3 ครูอธิบายว่า การละลายของสารในน้ำเกิดขึ้นเมื่อโมเลกุลของน้ำเข้าไปแทรกระหว่างโมเลกุล หรือไอออนของตัวละลายได้เป็นสารละลาย โดยการละลายของสารในน้ำมี2 ลักษณะ คือ การละลาย แบบ แตกตัว และการละลายแบบไม่แตกตัว ขั้นที่2 ขั้นสำรวจและค้นหา 2.1 ครูให้นักเรียนพิจารณารูป 2.10 (ก) ซึ่งแสดงการละลายของเกลือแกงในน้ำ แล้วอธิบายว่า เมื่อ NaCl ละลายน้ำ จะแตกตัวเป็น Na+ และ Cl- กระจายตัวอยู่ในน้ำ โดยไอออนแต่ละชนิดมีโมเลกุล ของน้ำล้อมรอบ ซึ่งแสดงด้วยสัญลักษณ์Na+ (aq) และ Cl- (aq) การละลายในน้ำลักษณะนี้เรียกว่า การละลายแบบแตกตัว สารละลายที่ได้เรียกว่า สารละลายอิเล็กโทรไลต์


2.2 ครูให้ความรู้ว่า สารละลายอิเล็กโทรไลต์นำไฟฟ้าได้เนื่องจากไอออนสามารถเคลื่อนที่ได้ใน สารละลาย ดังรูป 2.10 (ข) จากนั้นอธิบายเพิ่มเติมว่า สารประกอบไอออนิกที่อยู่ในสถานะของแข็ง ไม่นำ ไฟฟ้า เนื่องจากไอออนมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างกันมากจึงไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ 2.3 นักเรียนสรุปองค์ความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้ในชั้นเรียน ลงในสมุด 2.4 นักเรียนทำแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 2 ข้อ 10. ลงในสมุด ขั้นที่3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 3.1 ครูนำนักเรียนอภิปรายเพื่อนำไปสู่การสรุป โดยใช้คำถามต่อไปนี้ 1) เมื่อ NaCl ละลายน้ำ จะแตกตัวเป็นอะไรบ้าง (แนวการ จะแตกตัวเป็น Na+ และ Clกระจายตัวอยู่ในน้ำ) 2) สารละลายอิเล็กโทรไลต์นำไฟฟ้าได้เนื่องจาก (แนวการตอบ เนื่องจากไอออนสามารถ เคลื่อนที่ได้ในสารละลาย) 3) ไอออน Na+ (aq) และ Cl- (aq) สามารถเคลื่อนที่เมื่อต่อเข้ากับวงจรไฟฟ้าไอออนบวก จะเคลื่อนที่เข้าหาขั้วลบ และไอออนลบจะเคลื่อนที่เข้าหาขั้วบวก ทำให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ส่งผลให้ สารละลายสามารถนำไฟฟ้า เรียกสารละลายประเภทนี้ว่า (แนวการตอบ สารละลายอิเล็กโทรไลต์ (electrolyte solution)) 4) จากคำถามข้อ 1) - 3) การละลายน้ำในลักษณะนี้เรียกว่า (แนวการตอบ การละลาย น้ำแบบแตกตัว) 3.2 ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปการศึกษาเนื้อหา เรื่อง การละลายแบบแตกตัว ขั้นที่4 ขั้นขยายความรู้ 4.1 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมสารโคเวเลนต์เช่น กรดอะมิโนบางชนิด อาจละลายน้ำแบบแตกตัว แต่ไม่ แสดงความเป็นกรด-เบส เมื่อทดสอบด้วยกระดาษลิตมัส 4.2 ครูยกตัวอย่างสารละลายอิเล็กโทรไลต์ที่นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน - แอมโมเนียมคลอไรด์(NH4Cl) มีสมบัติเป็นกรด ใช้ทำปุ๋ยเคมีโดยเป็นแหล่งของธาตุ ไนโตรเจน และสามารถใช้เป็นสารละลายอิเล็กโทรไลต์ที่ช่วยในการนำไฟฟ้าระหว่างขั้วไฟฟ้าในถ่านไฟฉาย - กรดซัลฟิวริก (H2SO4 ) ใช้เป็นสารละลายอิเล็กโทรไลต์ในแบตเตอรี่รถยนต์รวมถึงการชุบ โลหะด้วยไฟฟ้า ขั้นที่5 ขั้นประเมินผล 5.1ครูตรวจสมุดนักเรียน ในการสรุปองค์ความรู้เรื่อง การละลายแบบแตกตัว 5.2 ครูตรวจสมุดการทำแบบฝึกท้ายบทที่ 2 ข้อ 10. ประยุกต์และตอบแทนสังคม ครูให้นักเรียนแต่ละคนนำความรู้ที่เรียนไปค้นคว้าเพิ่มเติมที่ห้องสมุด หรือเว็บไซต์แล้วนำเสนอใน ชั้นเรียน


8. สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ 8.1 หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์(วิทยาศาสตร์กายภาพ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 1 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) 8.2 อินเทอร์เน็ต 8.3 ห้องสมุด 9. การวัดและประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัด เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน ด้านความรู้(K) 1) นักเรียนระบุว่าสารเกิดการละลายน้ำ แบบแตกตัวและสารละลายที่ได้เป็น สารละลายอิเล็กโทรไลต์ได้ 1) ตรวจสมุดการทำ แบบฝึกท้ายบทที่ 2 ข้อ 10. 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 1) นักเรียนทำ แบบฝึกหัด ได้ระดับ ดีผ่านเกณฑ์ ด้านกระบวนการ (P) 1) นักเรียนสามารถจัดกระทำและสื่อ ความหมายของข้อมูลที่ศึกษาค้นคว้าได้ 1) ตรวจสมุดการสรุป องค์ความรู้เรื่อง การ ละลายแบบแตกตัว 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 1) นักเรียนสรุปองค์ ความรู้ได้ระดับดี ผ่านเกณฑ์ ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการ ทำงาน 1) ถามคำถาม จำนวน 4 ข้อ 2) ตรวจสมุดการสรุป องค์ความรู้เรื่อง การ ละลายแบบแตกตัว 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) คำถาม จำนวน 4 ข้อ 1) นักเรียนทำภาระ งานที่ได้รับมอบหมาย ได้ระดับดีผ่านเกณฑ์


10. เกณฑ์การประเมินผลงานนักเรียน เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการทำกิจกรรม เรื่อง การละลายแบบแตกตัว ประเด็นการ ประเมิน ค่าน้ำหนัก คะแนน แนวทางการให้คะแนน ด้านความรู้ (K) 3 ทำแบบฝึกหัดได้ถูกต้องครบถ้วน 2 ทำแบบฝึกหัดได้แต่ไม่ถูกต้องครบถ้วน 1 ทำแบบฝึกหัด แต่ไม่ถูกต้อง ด้าน กระบวนการ (P) 3 สรุปเนื้อหา เรื่อง การละลายแบบแตกตัวได้ถูกต้องครบถ้วน 2 สรุปเนื้อหา เรื่อง การละลายแบบแตกตัวได้ค่อนข้างถูกต้องครบถ้วน 1 สรุปเนื้อหา เรื่อง การละลายแบบแตกตัวได้แต่ไม่ครบถ้วน ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด และเรียบร้อยถูกต้องครบถ้วน 2 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด แต่งานยังผิดพลาดบางส่วน 1 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกิดข้อผิดพลาดบางส่วน ระดับคะแนน คะแนน 3 หมายถึง ระดับดีมาก คะแนน 2 หมายถึง ระดับดี คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้


การประเมินการทำกิจกรรม เรื่อง การละลายแบบแตกตัว ที่ ชื่อ - นามสกุล จุดประสงค์การเรียนรู้ รวม คะแนน ระดับ คุณภาพ ด้านความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 3 3 9 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28


ที่ ชื่อ - นามสกุล จุดประสงค์การเรียนรู้ รวม คะแนน ระดับ คุณภาพ ด้านความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 3 3 9 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 ระดับคุณภาพ คะแนน 9 หมายถึง ระดับดีมาก คะแนน 7-8 หมายถึง ระดับดี คะแนน 5-6 หมายถึง ระดับปานกลาง คะแนน 3-4 หมายถึง ระดับปรับปรุง


แผนการจัดการเรียนรู้ที่12 เรื่อง การละลายแบบไม่แตกตัว รายวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ2 รหัสวิชา ว32101 เวลา 2 ชั่วโมง หน่วยการเรียนรู้ที่2 ชื่อหน่วยการเรียนรู้น้ำ รวม 15 ชั่วโมง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ภาคเรียนที่1 บูรณาการ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อาเซียน STEM PLC สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน มาตรฐานสากล ข้ามกลุ่มสาระ 1. มาตรฐานการเรียนรู้ ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้าง และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี 2. ตัวชี้วัด ว 2.1 ม.5/13 ระบุว่าสารเกิดการละลายแบบแตกตัวหรือไม่แตกตัว พร้อมใช้เหตุผลและระบุว่าสารละลายที่ ได้เป็นสารละลายอิเล็กโทรไลต์หรือนอนอิเล็กโทรไลต์ 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 3.1 ด้านความรู้(K) 1) นักเรียนระบุว่าสารเกิดการละลายน้ำแบบแตกตัวหรือแบบไม่แตกตัวจากสูตรเคมีและ สารละลายที่ได้เป็นสารละลายอิเล็กโทรไลต์หรือนอนอิเล็กโทรไลต์ได้ 3.2 ด้านกระบวนการ (P) - 3.3 ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการทำงาน 4. สาระสำคัญ น้ำเป็นสารเคมีชนิดหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบพื้นฐานในร่ากายของสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม โมเลกุลของน้ำ เกิดจากอะตอมของธาตุไฮโดรเจน 2 อะตอม ยึดเหนี่ยวกับธาตุออกซิเจน 1 อะตอมด้วย พันธะเคมีที่เรียกว่า พันธะ โคเวเลนต์น้ำจัดเป็นสารโคเวเลนต์และยังมีสารอื่นอีกหลายชนิดที่เป็นสารโคเวเลนต์สถานะและจุดเดือดของสาร โคเวเลนต์ขึ้นอยู่กับแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล ซึ่งมีความสัมพันธ์กับสภาพขั้วของสารและพันธะไฮโดรเจน ในแหล่งน้ำธรรมชาตินอกจากมีน้ำเป็นองค์ประกอบหลักแล้ว ยังมีสารอื่นละลายอยู่ด้วย สารที่ละลายน้ำได้มีทั้งสาร โคเวเลนต์และสารประกอบไอออนิก สารประกอบไอออนิกเกิดจากการยึดเหนี่ยวระหว่างไอออนบวกกับไอออนลบ ด้วยพันธะไอออนิก ในอัตราส่วนอย่างต่ำที่ทำให้ประจุรวมของสารประกอบเป็นศูนย์ การละลายของสารในน้ำมี2 แบบ คือการละลายแบบแตกตัวและไม่แตกตัว ซึ่งทำให้ได้สารละลายอิเล็กโทรไลต์และนอนอิเล็กโทรไลต์ตามลำดับ


5. สาระการเรียนรู้ 5.1 ความรู้ การละลายแบบแตกตัว สารโคเวเลนต์ที่ละลายน้ำได้ส่วนใหญ่เป็นสารโมเลกุลขนาดเล็ก เช่น แก๊สออกซิเจน แก๊สคลอรีน หรือเป็นสารที่สามารถเกิดพันธะไฮโดรเจนกับน้ำได้เช่น กลูโคส น้ำตาลทราย เอทานอล แอซีโตน สาร เหล่านี้เกิดการละลายน้ำแบบไม่แตกตัว ได้สารละลายที่ไม่นำไฟฟ้า เรียกว่า สารละลายนอนอิเล็กโทรไลต์ (non-electrolyte solution) การละลายน้ำของแก๊สออกซิเจนและเอทานอลแสดงดังรูป 2.11 รูป 2.11 การละลายน้ำของแก๊สออกซิเจนและเอทานอล 5.2 กระบวนการ 1) ความสามารถในการสื่อสาร (อ่าน ฟัง พูด เขียน) 2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วิเคราะห์จัดกลุ่ม สรุป) 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แสวงหาความรู้) 4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต (ความรับผิดชอบ) 5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบค้นผ่านคอมพิวเตอร์) 5.3 คุณลักษณะและค่านิยม ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการทำงาน 6. บูรณาการ - 7. กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่1 ขั้นสร้างความสนใจ 1.1 ครูทบทวนบทเรียน เรื่อง การละลายแบบแตกตัว สารละลายอิเล็กโทรไลต์ ขั้นที่2 ขั้นสำรวจและค้นหา 2.1 ครูให้ความรู้ว่าการละลายแบบไม่แตกตัวเกิดขึ้นกับสารโคเวเลนต์ที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก หรือ เป็นสารโคเวเลนต์ที่สามารถสร้างพันธะไฮโดรเจนกับน้ำได้ซึ่งสารละลายที่ได้จะไม่นำไฟฟ้า เรียกว่า สารละลายนอนอิเล็กโทรไลต์ 2.2 นักเรียนทำแบบฝึกหัด 2.4 ในหนังสือเรียน หน้า 49 ลงในสมุด ขั้นที่3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป


3.1 ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเนื้อหาภายในบทเรียน เรื่อง การละลายแบบไม่แตกตัว แล้วให้ นักเรียนทำแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 2 เพื่อทบทวนความรู้ ขั้นที่4 ขั้นขยายความรู้ 4.1 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับศัพท์น่ารู้ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน หน้า 50 ขั้นที่5 ขั้นประเมินผล 5.1ครูตรวจสมุดการทำแบบฝึกหัด 2.4 ประยุกต์และตอบแทนสังคม ครูให้นักเรียนแต่ละคนนำความรู้ที่เรียนไปค้นคว้าเพิ่มเติมที่ห้องสมุด หรือเว็บไซต์แล้วนำเสนอใน ชั้นเรียน 8. สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ 8.1 หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์(วิทยาศาสตร์กายภาพ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 1 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) 8.2 อินเทอร์เน็ต 8.3 ห้องสมุด 9. การวัดและประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัด เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน ด้านความรู้(K) 1) นักเรียนระบุว่าสารเกิดการละลายน้ำ แบบแตกตัวและสารละลายที่ได้เป็น สารละลายอิเล็กโทรไลต์ได้ 1) ตรวจแบบฝึกหัด 2.4 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 1) นักเรียนทำ แบบฝึกหัด ได้ระดับ ดีผ่านเกณฑ์ ด้านกระบวนการ (P) - - - - ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการ ทำงาน 1) ตรวจแบบฝึกหัด 2.4 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 1) นักเรียนทำภาระ งานที่ได้รับมอบหมาย ได้ระดับดีผ่านเกณฑ์


10. เกณฑ์การประเมินผลงานนักเรียน เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการทำกิจกรรม เรื่อง การละลายแบบไม่แตกตัว ประเด็นการ ประเมิน ค่าน้ำหนัก คะแนน แนวทางการให้คะแนน ด้านความรู้ (K) 3 ทำแบบฝึกหัดได้ถูกต้องครบถ้วน 2 ทำแบบฝึกหัดได้แต่ไม่ถูกต้องครบถ้วน 1 ทำแบบฝึกหัด แต่ไม่ถูกต้อง ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด และเรียบร้อยถูกต้องครบถ้วน 2 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด แต่งานยังผิดพลาดบางส่วน 1 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกิดข้อผิดพลาดบางส่วน ระดับคะแนน คะแนน 3 หมายถึง ระดับดีมาก คะแนน 2 หมายถึง ระดับดี คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้


การประเมินการทำกิจกรรม เรื่อง การละลายแบบไม่แตกตัว ที่ ชื่อ - นามสกุล จุดประสงค์การเรียนรู้ รวม คะแนน ระดับ คุณภาพ ด้านความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) ด้าน คุณลักษณะ (A) - 3 3 6 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28


ที่ ชื่อ - นามสกุล จุดประสงค์การเรียนรู้ รวม คะแนน ระดับ คุณภาพ ด้านความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) ด้าน คุณลักษณะ (A) - 3 3 6 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 ระดับคุณภาพ คะแนน 5-6 หมายถึง ระดับดีมาก คะแนน 4 หมายถึง ระดับดี คะแนน 3 หมายถึง ระดับปานกลาง คะแนน 2 หมายถึง ระดับปรับปรุง


แผนการจัดการเรียนรู้ที่13 เรื่อง ไขมันและน้ำมัน รายวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ2 รหัสวิชา ว32101 เวลา 3 ชั่วโมง หน่วยการเรียนรู้ที่3 ชื่อหน่วยการเรียนรู้อาหาร รวม 19 ชั่วโมง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ภาคเรียนที่1 บูรณาการ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อาเซียน STEM PLC สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน มาตรฐานสากล ข้ามกลุ่มสาระ 1. มาตรฐานการเรียนรู้ ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้าง และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี 2. ตัวชี้วัด ว 2.1 ม.5/14 ระบุสารประกอบอินทรีย์ประเภทไฮโดรคาร์บอนว่าอิ่มตัวหรือไม่อิ่มตัวจากสูตรโครงสร้าง 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 3.1 ด้านความรู้(K) 1) นักเรียนอธิบายความหมายของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนได้ 2) นักเรียนระบุสารประกอบอินทรีย์ประเภทไฮโดรเจนคาร์บอนว่าอิ่มตัวหรือไม่อิ่มตัวจากสูตร โครงสร้างได้ 3.2 ด้านกระบวนการ (P) 1) นักเรียนสามารถจัดกระทำและสื่อความหมายของข้อมูลที่ศึกษาค้นคว้าได้ 3.3 ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการทำงาน 4. สาระสำคัญ อาหารเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์โดยไขมัน คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และวิตามินเป็น สารประกอบอินทรีย์ส่วนเกลือแร่เป็นไอออนหรือสารประกอบไอออนิก สารประกอบอินทรีย์เป็นสารประกอบของ ธาตุคาร์บอนซึ่งอาจมีธาตุอื่นเป็นองค์ประกอบร่วมด้วย เช่น ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน ซัลเฟอร์ไขมันมีทั้ง ชนิดอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวซึ่งพิจารณาได้จากชนิดพันธะระหว่างคาร์บอนอะตอมในกรดไขมัน ซึ่งใช้เกณฑ์เดียวกับ สารประกอบไฮโดรเจนคาร์บอน คาร์โบไฮเดรตที่เป็นมอนอเมอร์และพอลิเมอร์มีสมบัติแตกต่างกัน โปรตีนเป็น พอลิเมอร์ที่มีมอนอเมอร์เป็นกรดแอมิโนซึ่งมีหมู่คาร์บอกซิล และหมู่อะมิโน จึงแสดงสมบัติความเป็นกรด-เบสได้ วิตามินแต่ละชนิดมีสภาพขั้วแตกต่างกัน ทำให้บางชนิดละลายได้ในน้ำมัน บางชนิดละลายได้ในน้ำมัน ซึ่งเป็นไปตาม หลักการ like dissolves like ส่วนเกลือแร่แต่ละชนิดมีประโยชน์ที่แตกต่างกัน บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารส่วนใหญ่ ทำมาจากพลาสติกซึ่งเป็นพอลิเมอร์สังเคราะห์มีทั้งชนิดพอลิเมอร์เทอร์มอพลาสติกและพอลิเมอร์เทอร์มอเซตซึ่งใช้


งานได้แตกต่างกัน พลาสติกย่อยสลายได้ยากและมีการใช้ในปริมาณมาก จึงก่อให้เกิดปัญหาขยะ การลดการใช้การ ใช้ซ้ำ และการนำกลับมาใช้ใหม่ เป็นการช่วยปัญหาได้ทางหนึ่ง 5. สาระการเรียนรู้ 5.1 ความรู้ อาหารเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์อาหารให้พลังงาน หรือใช้กลไกในการทำงาน ของระบบภายในร่างกาย อาหารแต่ละชนิดมีสารองค์ประกอบที่สำคัญ ได้แก่ ไขมันและน้ำมัน คาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามิน และเกลือแร่ ในสัดส่วนที่แตกต่างกัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสารประกอบอินทรีย์ (organic compound) ยกเว้นเกลือแร่ สารประกอบอินทรีย์เป็นสารประกอบที่มีธาตุคาร์บอน (C) เป็นองค์ประกอบ ธาตุคาร์บอนใน สารประกอบอินทรีย์ส่วนใหญ่สร้างพันธะโคเวเลนต์กับธาตุไฮโดรเจน (H) หรือกับธาตุคาร์บอน (C) ด้วย กันเอง นอกจากนี้สารประกอบอินทรีย์ยังมีธาตุชนิดอื่น เช่น O N S Cl เป็นองค์ประกอบร่วมกัน สารประกอบอินทรีย์อาจได้มาจากสิ่งมีชีวิตหรือการสังเคราะห์ส่วนสารประกอบอื่นที่ไม่ใช่สารประกอบ อินทรีย์เรียกว่า สารประกอบอนินทรีย์ซึ่งมีสารประกอบของคาร์บอนบางชนิดจัดเป็นสารประกอบ อนินทรีย์เช่น คาร์บอนมอนนอกไซด์คาร์บอนไดออกไซด์กรดคาร์บอนิก รูป 3.1 สูตรโครงสร้างสารประกอบอินทรีย์บางชนิด ไขมันและน้ำมัน ในชีวิตประจำวันอาหารที่บริโภคส่วนใหญ่มีไขมันและน้ำมันเป็นองค์ประกอบ เช่น ไก่ทอด ไอศกรีม ผัดผัก ขนมเค้ก เครื่องดื่มผสมครีมเทียม ไขมันและน้ำมันแต่ละชนิดมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน การเลือกบริโภคไขมันและน้ำมันอย่างเหมาะสมจึงเป็นผลดีต่อสุขภาพของร่างกาย ไขมันและน้ำมันเป็นสารอาหารที่ให้พลังงาน พบมากในอาหารจำพวกน้ำมันพืช ไขมันสัตว์นม เนย ไขมันและน้ำมันจัดเป็นสารในกลุ่มไตรกลีเซอไรด์(triglycerides) ที่มีโครงสร้างประกอบด้วยส่วนที่มาจาก กลีเซอรอล (glycerol) และกรดไขมัน (fatty acid) ดังรูป 3.3


รูป 3.3 โครงสร้างของไตรกลีเซอไรด์ เมื่อพิจารณาโครงสร้างของไตรกลีเซอไรด์ในไขมันและน้ำมันแต่ละชนิดจะมีส่วนที่มาจากกลีเซอรอล เหมือนกัน แต่จะมีส่วนที่มาจากกรดไขมันที่แตกต่างกัน โดยส่วนที่เป็นกรดไขมันถ้ามีพันธะ C=C อยู่ในโครงสร้าง เรียกว่า กรดไขมันไม่อิ่มตัว (unsaturated fatty acid) ส่วนกรดไขมันที่มีเฉพาะพันธะเดี่ยวอยู่ในโครงสร้าง เรียกว่า กรดไขมันอิ่มตัว (saturated fatty acid) โดยกรดไขมันไม่อิ่มตัวมีจุดหลอมเหลวต่ำกว่าอุณหภูมิห้อง ส่วนกรดไขมันอิ่มตัวมีจุดหลอมเหลวสูงกว่าอุณหภูมิห้อง หลักการพิจารณาความอิ่มตัวของกรดไขมันเป็นหลักการเดียวกันกับการพิจารณาความอิ่มตัวของ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน (hydrocarbon compound) ซึ่งเป็นสารประกอบอินทรีย์ที่ประกอบด้วยคาร์บอน และไฮโดรเจนเท่านั้น โดยสูตรโครงสร้างของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัวมีพันธะเดี่ยวทั้งหมด ส่วนสูตร โครงสร้างของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนไม่อิ่มตัวมีพันธะคู่หรือพันธะสามอย่างน้อย 1 พันธะ ดังรูป 3.4 รูป 3.4 ตัวอย่างโครงสร้างของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัวและไม่อิ่มตัว 5.2 กระบวนการ 1) ความสามารถในการสื่อสาร (อ่าน ฟัง พูด เขียน) 2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วิเคราะห์จัดกลุ่ม สรุป) 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แสวงหาความรู้) 4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต (ความรับผิดชอบ) 5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบค้นผ่านคอมพิวเตอร์) 5.3 คุณลักษณะและค่านิยม ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการทำงาน 6. บูรณาการ -


7. กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่1 ขั้นสร้างความสนใจ 1.1 ครูให้นักเรียนทำตรวจสอบความรู้ก่อนเรียนในหนังสือเรียน หน้า 65 1.2 ครูทวนคำถามตรวจสอบความรู้ก่อนเรียนให้นักเรียนตอบร่วมกัน พร้อมเฉลย 1.3 ครูตั้งคำถามให้นักเรียนคิด เพื่อนำไปสู่กิจกรรม 1) อาหารให้พลังงานแก่ร่างกายหรือไม่อาหารที่ให้พลังงานได้แก่ (แนวการตอบ อาหาร ให้พลังงานแก่ร่างกาย ได้แก่ ไขมัน คาร์โบไฮเดรต โปรตีน) 2) นักเรียนคิดว่าอาหารที่ให้พลังงานมากที่สุด คืออะไร (แนวการตอบ ไขมัน) 3) เกลือแร่เป็นสารประกอบอินทรีย์หรือไม่ (แนวการตอบ ไม่) 4) สารประกอบอินทรีย์เป็นสารประกอบที่มีธาตุในเป็นองค์ประกอบ (แนวการตอบ ธาตุ คาร์บอน (C)) 5) ไขมันและน้ำมันเป็นอาหารที่ให้พลังงาน นักเรียนคิดว่าพบในอาหารจำพวกใดบ้าง (แนวการตอบ น้ำมันพืช ไขมันสัตว์นม เนย) 1.4 ครูนำเข้าสู่บทเรียนด้วยการอภิปรายเกี่ยวกับความสำคัญของอาหารต่อการดำรงชีวิตของ มนุษย์และสิ่งมีชีวิต แหล่งของสารอาหารแต่ละชนิดซึ่งได้มาจากสิ่งมีชีวิต และเชื่อมโยงว่าไขมันและน้ำมัน คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และวิตามินเป็นสารประกอบอินทรีย์ยกเว้นเกลือแร่ 1.5 ครูอธิบายเกี่ยวกับชนิดของธาตุองค์ประกอบของสารประกอบอินทรีย์และสารประกอบ อนินทรีย์แล้วให้นักเรียนตอบคำถามตรวจสอบความเข้าใจ ขั้นที่2 ขั้นสำรวจและค้นหา 2.1 ครูให้นักเรียนศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับไขมันและน้ำมัน ตามหนังสือเรียน หน้า 60-61 2.2 นักเรียนทำแบบฝึกหัด 3.1 ข้อที่ 1-3 ในหนังสือเรียน หน้า 62 ลงในสมุด 2.3 นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ลงในสมุด - สารประกอบไฮโดรคาร์บอน (hydrocarbon compound) คือ (แนวการตอบ เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่ประกอบด้วยคาร์บอนและไฮโดรเจนเท่านั้น โดยสูตรโครงสร้างของสารประกอบ ไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัวมีพันธะเดี่ยวทั้งหมด ส่วนสูตรโครงสร้างของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนไม่อิ่มตัว มีพันธะคู่หรือพันธะสามอย่างน้อย 1 พันธะ) ขั้นที่3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 3.1 ครูสุ่มนักเรียน 3 คน (สุ่มเลขที่) ออกมาเฉลยแบบฝึกหัด 3.1 หน้าชั้นเรียน 3.2 ครูให้นักเรียนทุกคนช่วยกันตรวจสอบคำตอบพร้อมกันว่าถูกต้องหรือไม่ 3.3 ครูนำนักเรียนอภิปรายเพื่อนำไปสู่การสรุป เรื่อง ไขมันและน้ำมัน โดยใช้คำถามต่อไปนี้ 1) ไขมันและน้ำมันจัดเป็นสารในกลุ่มใด (แนวการ กลุ่มไตรกลีเซอไรด์(triglycerides)) 2) กรดไขมันถ้ามีพันธะ C=C อยู่ในโครงสร้าง เรียกว่า (แนวการตอบ กรดไขมันไม่อิ่มตัว (unsaturated fatty acid)) 3) กรดไขมันที่มีเฉพาะพันธะเดี่ยวอยู่ในโครงสร้าง เรียกว่า (แนวการตอบ กรดไขมัน อิ่มตัว (saturated fatty acid))


4) กรดไขมันไม่อิ่มตัวมีจุดหลอมเหลวอย่างไรอุณหภูมิห้อง (แนวการตอบ ต่ำกว่า อุณหภูมิห้อง) 5) กรดไขมันอิ่มตัวมีจุดหลอมเหลวอย่างไรอุณหภูมิห้อง (แนวการตอบ สูงกว่า อุณหภูมิห้อง) 6) สารประกอบไฮโดรคาร์บอน (hydrocarbon compound) คือ (แนวการตอบ เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่ประกอบด้วยคาร์บอนและไฮโดรเจนเท่านั้น โดยสูตรโครงสร้างของสารประกอบ ไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัวมีพันธะเดี่ยวทั้งหมด ส่วนสูตรโครงสร้างของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนไม่อิ่มตัว มีพันธะคู่หรือพันธะสามอย่างน้อย 1 พันธะ) 3.2 ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปบทเรียน เรื่อง ไขมันและน้ำมัน ขั้นที่4 ขั้นขยายความรู้ 4.1 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับกรดไขมันประเภทโอเมกา-3 และโอเมกา-6 ตามรายละเอียดใน หนังสือเรียนหน้า 61 4.2 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับร้อยละของกรดไขมันอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวบางชนิด ตามรายละเอียด ในหนังสือเรียนหน้า 63-64 ขั้นที่5 ขั้นประเมินผล 5.1ครูตรวจสมุดของนักเรียน ในการทำแบบฝึกหัด 3.1 5.2 ครูตรวจสมุดของนักเรียนในการตอบคำถามเกี่ยวกับสารประกอบไฮโดรเจนคาร์บอน 5.3 นักเรียนทำแบบฝึกหัดท้ายที่ 3 ข้อที่ 1 หน้า 91 ประยุกต์และตอบแทนสังคม ครูให้นักเรียนแต่ละคนนำความรู้ที่เรียนไปค้นคว้าเพิ่มเติมที่ห้องสมุด หรือเว็บไซต์แล้วนำเสนอใน ชั้นเรียน 8. สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ 8.1 หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์(วิทยาศาสตร์กายภาพ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 1 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) 8.2 อินเทอร์เน็ต 8.3 ห้องสมุด


9. การวัดและประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัด เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน ด้านความรู้(K) 1) นักเรียนอธิบายความหมายของ สารประกอบไฮโดรคาร์บอนได้ 2) นักเรียนระบุสารประกอบอินทรีย์ ประเภทไฮโดรเจนคาร์บอนว่าอิ่มตัวหรือไม่ อิ่มตัวจากสูตรโครงสร้างได้ 1) ถามคำถามจำนวน 1 ข้อ 2) ตรวจแบบฝึกหัด ท้ายที่ 3 ข้อที่1 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) คำถามจำนวน 1 ข้อ 3) แบบฝึกหัดท้ายที่ 3 ข้อที่1 1) นักเรียนตอบ คำถาม ได้ระดับดี ผ่านเกณฑ์2) นักเรียนสามารถทำ แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 3 ข้อที่1 ได้ระดับดี ผ่านเกณฑ์ ด้านกระบวนการ (P) 1) นักเรียนสามารถจัดกระทำและสื่อ ความหมายของข้อมูลที่ศึกษาค้นคว้าได้ 1) ตรวจแบบฝึกหัด 3.1 ข้อที่1-3 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 1) นักเรียนสามารถ ทำแบบฝึกหัด 3.1 ได้ระดับดีผ่านเกณฑ์ ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการ ทำงาน 1) ถามคำถามจำนวน 1 ข้อ 2) ตรวจแบบฝึกหัด ท้ายที่ 3 ข้อที่1 3) ตรวจแบบฝึกหัด 3.1 ข้อที่1-3 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 1) นักเรียนทำภาระ งานที่ได้รับมอบหมาย ได้ระดับดีผ่านเกณฑ์


10. เกณฑ์การประเมินผลงานนักเรียน เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการทำกิจกรรม เรื่อง ไขมันและน้ำมัน ประเด็นการ ประเมิน ค่าน้ำหนัก คะแนน แนวทางการให้คะแนน ด้านความรู้ (K) 3 ตอบคำถามได้ถูกต้องครบถ้วน 2 ตอบคำถามได้แต่ถูกต้องครบถ้วน 1 ตอบคำถาม แต่ไม่ถูกต้อง 3 ทำแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 3 ข้อที่1 ถูกต้องครบถ้วน 2 ทำแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 3 ข้อที่1 ถูกต้องบางส่วน 1 ทำแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 3 ข้อที่1 แต่ไม่ถูกต้อง ด้าน กระบวนการ (P) 3 ทำแบบฝึกหัด 3.1 ได้ถูกต้องครบถ้วน จำนวน 3 ข้อ 2 ทำแบบฝึกหัด 3.1 ได้ถูกต้องครบถ้วน จำนวน 1-2 ข้อ 1 ทำแบบฝึกหัด 3.1 แต่ไม่ถูกต้อง ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด และเรียบร้อยถูกต้องครบถ้วน 2 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด แต่งานยังผิดพลาดบางส่วน 1 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกิดข้อผิดพลาดบางส่วน ระดับคะแนน คะแนน 3 หมายถึง ระดับดีมาก คะแนน 2 หมายถึง ระดับดี คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้ หมายเหตุ หาค่าเฉลี่ยของคะแนนด้านความรู้(K) คะแนนเต็ม เท่ากับ 3


การประเมินการทำกิจกรรม เรื่อง ไขมันและน้ำมัน ที่ ชื่อ - นามสกุล จุดประสงค์การเรียนรู้ รวม คะแนน ระดับ คุณภาพ ด้านความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 3 3 9 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28


Click to View FlipBook Version