ที่ ชื่อ - นามสกุล จุดประสงค์การเรียนรู้ รวม คะแนน ระดับ คุณภาพ ด้านความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 3 3 9 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 ระดับคุณภาพ คะแนน 9 หมายถึง ระดับดีมาก คะแนน 7-8 หมายถึง ระดับดี คะแนน 5-6 หมายถึง ระดับปานกลาง คะแนน 3-4 หมายถึง ระดับปรับปรุง
แผนการจัดการเรียนรู้ที่14 เรื่อง คาร์โบไฮเดรต รายวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ2 รหัสวิชา ว32101 เวลา 2 ชั่วโมง หน่วยการเรียนรู้ที่3 ชื่อหน่วยการเรียนรู้อาหาร รวม 19 ชั่วโมง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ภาคเรียนที่1 บูรณาการ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อาเซียน STEM PLC สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน มาตรฐานสากล ข้ามกลุ่มสาระ 1. มาตรฐานการเรียนรู้ ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้าง และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี 2. ตัวชี้วัด ว 2.1 ม.5/15 สืบค้นข้อมูลและเปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพระหว่างพอลิเมอร์และมอนอเมอร์ของ พอลิเมอร์ชนิดนั้น 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 3.1 ด้านความรู้(K) 1) นักเรียนสืบค้นข้อมูลและเปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพระหว่างพอลิเมอร์และมอนอเมอร์ของ พอลิเมอร์ชนิดนั้นได้ 3.2 ด้านกระบวนการ (P) 1) นักเรียนสามารถทำกิจกรรม 3.1 การทดลองเปรียบเทียบสมบัติบางประการของกลูโคสและแป้งมัน สำปะหลังได้ 3.3 ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการทำงาน 4. สาระสำคัญ อาหารเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์โดยไขมัน คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และวิตามินเป็น สารประกอบอินทรีย์ส่วนเกลือแร่เป็นไอออนหรือสารประกอบไอออนิก สารประกอบอินทรีย์เป็นสารประกอบของ ธาตุคาร์บอนซึ่งอาจมีธาตุอื่นเป็นองค์ประกอบร่วมด้วย เช่น ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน ซัลเฟอร์ไขมันมีทั้ง ชนิดอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวซึ่งพิจารณาได้จากชนิดพันธะระหว่างคาร์บอนอะตอมในกรดไขมัน ซึ่งใช้เกณฑ์เดียวกับ สารประกอบไฮโดรเจนคาร์บอน คาร์โบไฮเดรตที่เป็นมอนอเมอร์และพอลิเมอร์มีสมบัติแตกต่างกัน โปรตีนเป็น พอลิเมอร์ที่มีมอนอเมอร์เป็นกรดแอมิโนซึ่งมีหมู่คาร์บอกซิล และหมู่อะมิโน จึงแสดงสมบัติความเป็นกรด-เบสได้ วิตามินแต่ละชนิดมีสภาพขั้วแตกต่างกัน ทำให้บางชนิดละลายได้ในน้ำมัน บางชนิดละลายได้ในน้ำมัน ซึ่งเป็นไปตาม หลักการ like dissolves like ส่วนเกลือแร่แต่ละชนิดมีประโยชน์ที่แตกต่างกัน บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารส่วนใหญ่
ทำมาจากพลาสติกซึ่งเป็นพอลิเมอร์สังเคราะห์มีทั้งชนิดพอลิเมอร์เทอร์มอพลาสติกและพอลิเมอร์เทอร์มอเซตซึ่งใช้ งานได้แตกต่างกัน พลาสติกย่อยสลายได้ยากและมีการใช้ในปริมาณมาก จึงก่อให้เกิดปัญหาขยะ การลดการใช้การ ใช้ซ้ำ และการนำกลับมาใช้ใหม่ เป็นการช่วยปัญหาได้ทางหนึ่ง 5. สาระการเรียนรู้ 5.1 ความรู้ คาร์โบไฮเดรต ข้าว แป้ง น้ำตาลเป็นอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตเป็นองค์ประกอบหลักซึ่งเป็นแหล่งพลังงานสำหรับ สิ่งมีชีวิต เมื่อบริโภคข้าวหรือแป้ง ร่างกายจะย่อยคาร์โบไฮเดรตโมเลกุลใหญ่ที่มีขนาดเล็กลง จนได้เป็น กลูโคสซึ่งเป็นหน่วยย่อยที่สุดของคาร์โบไฮเดรต ร่างกายสามารถดูดซึมกลูโคสที่เป็นโมเลกุลขนาดเล็กเข้าสู่ กระแสเลือดและใช้เป็นสารตั้งต้นในการทำปฏิกิริยากับออกซิเจน เพื่อให้พลังงานแก่ร่างกาย สำหรับผู้ที่มี ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างเร็วจากการออกกำลังกายหรือท้องเสีย การดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่ที่มี ส่วนผสมของกลูโคสจึงเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดกลับสู่สภาวะปกติได้เร็วกว่าการบริโภค ข้าวแป้ง รูป 3.7 ภาพจำลองการย่อยโมเลกุลแป้งให้เป็นกลูโคส ในทางเคมีจัดให้คาร์โบไฮเดรตในข้าวและแป้งซึ่งมีโมเลกุลขนาดใหญ่เป็นพอลิแซ็กคาไรด์ (polysaccharide) ส่วนกลูโคสเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวหรือมอนอแซ็กคาไรด์(monosaccharide) โครงสร้างแสดงดังรูป 3.8 รูป 3.8 โครงสร้างของพอลิแซ็กคาไรด์และมอนอแซ็กคาไรด์ สารเคมีที่โมเลกุลมีโครงสร้างขนาดใหญ่ประกอบด้วยหน่วยย่อยจำนวนมากเชื่อมต่อกันเช่นเดียวกับ พอลิแซ็กคาไรด์เรียกว่า พอลิเมอร์(polymer) ส่วนสารโมเลกลุขนาดเล็กที่มารวมตัวกันเพื่อเกิดเป็น พอลิเมอร์เรียกว่า มอนอเมอร์(monomer) ซึ่งมอนอเมอร์ของพอลิแซ็กคาไรด์ในข้าวและแป้ง คือ กลูโคส 5.2 กระบวนการ 1) ความสามารถในการสื่อสาร (อ่าน ฟัง พูด เขียน)
2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วิเคราะห์จัดกลุ่ม สรุป) 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แสวงหาความรู้) 4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต (ความรับผิดชอบ) 5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบค้นผ่านคอมพิวเตอร์) 5.3 คุณลักษณะและค่านิยม ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการทำงาน 6. บูรณาการ บูรณาการเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง เงื่อนไขความรู้: ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความ รอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผน และความระมัดระวัง ในขั้นปฏิบัติ 7. กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่1 ขั้นสร้างความสนใจ 1.1 ครูนำเข้าสู่บทเรียนโดยให้นักเรียนบอกความสำคัญของคาร์โบไฮเดรต 1.2 ครูให้นักเรียนยกตัวอย่างอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตเป็นองค์ประกอบ ขนมปัง แป้ง น้ำตาล เป็นต้น 1.3 ให้นักเรียนพิจารณารูป 3.7 แล้วอภิปรายเกี่ยวกับการย่อยคาร์โบไฮเดรตในแป้งให้เป็นกลูโคส เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า คาร์โบไฮเดรตในแป้งเป็นโมเลกุลขนาดใหญ่ ร่างกายไม่สามารถดูดซึมได้จึงต้องย่อยให้ เป็นกลูโคสที่เป็นโมเลกุลขนาดเล็กที่สุดจนร่างกายสามารถดูดซึมได้ ขั้นที่2 ขั้นสำรวจและค้นหา 2.1 ครูให้ความรู้เกี่ยวกับพอลิแซ็กคาไรด์และมอนอแซ็กคาไรด์จากนั้นใช้สูตรโครงสร้างจากรูป 3.8 เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างมอนอเมอร์กับพอลิเมอร์ 2.2 ครูจัดกลุ่มนักเรียน โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ ละ 5-6 คน โดยคละเพศ คละความสามารถ 2.3 นักเรียนแต่ละกลุ่มศึกษาใบกิจกรรม 3.1 เรื่อง การทดลองเปรียบเทียบสมบัติบางประการของ กลูโคสและแป้งมันสำปะหลัง 2.4 ครูแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้อุปกรณ์และขั้นตอนการทดลองอย่างละเอียด 2.5 นักเรียนรับอุปกรณ์การทดลอง พร้อมติดตั้งอุปกรณ์ 2.6 นักเรียนแต่ละกลุ่มทำการทดลอง สังเกตและบันทึกผลการทดลอง ขั้นที่3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 3.1 ครูสุ่มนักเรียน 2 คน ออกมานำเสนอผลการทดลองที่ได้จากการทำกิจกรรมหน้าชั้นเรียน 3.2 ครูนำนักเรียนอภิปรายผลการทดลองของกิจกรรม 3.1 เรื่อง การทดลองเปรียบเทียบสมบัติ บางประการของกลูโคสและแป้งมันสำปะหลัง เพื่อนำไปสู่การสรุปโดยใช้คำถามต่อไปนี้ 1) สารกลูโคสที่อุณหภูมิห้องมีการเปลี่ยนแปลงของสารในน้ำอย่างไร (แนวการตอบ ละลายน้ำ ได้สารละลายใส ไม่มีสี)
2) สารกลูโคสหลังต้มมีการเปลี่ยนแปลงของสารในน้ำอย่างไร (แนวการตอบ ไม่มีการ เปลี่ยนแปลง) 3) สารกลูโคสการติดกันของกระดาษเป็นอย่างไร (แนวการตอบ กระดาษไม่ติดกัน) 4) แป้งมันสำปะหลังที่อุณหภูมิห้องมีการเปลี่ยนแปลงของสารในน้ำอย่างไร (แนวการ ตอบ ไม่ละลายได้สารแขวนลอย สีขาวขุ่น เมื่อทิ้งไว้จะตกตะกอน) 5) แป้งมันสำปะหลังหลังต้มมีการเปลี่ยนแปลงของสารในน้ำอย่างไร (แนวการตอบ น้ำ แป้งใสขึ้น มีลักษณะหนืด) 6) แป้งมันสำปะหลังการติดกันของกระดาษเป็นอย่างไร (แนวการตอบ กระดาษติดกัน แน่น ดึงออกจากกันไม่ได้) 3.3 นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายผลการทดลองและสรุปผลการทำการทดลอง จนสรุป ได้ดังนี้ เมื่อนำกลูโคสมาละลายในน้ำพบว่าได้สารละลายใสไม่มีสีแสดงว่ากลูโคสละลายน้ำได้ดี หลังต้มไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง ส่วนแป้งมันสำปะหลังไม่ละลายน้ำที่อุณหภูมิห้อง แต่เมื่อผ่านการต้มพบว่า น้ำแป้งมีลักษณะใสขึ้น เมื่อนำสารทั้ง 2 ชนิดที่ผ่านการต้มแล้ว มาทดสอบด้วยการติดกระดาษพบว่าน้ำแป้ง ทำให้กระดาษติดกันได้มากกว่าสารละลายกลูดคสแสดงว่าน้ำแป้งมีความหนืดมากกว่าสารละลายกลูโคส และเมื่อพิจารณาลักษณะของสารละลายกลูโคสและน้ำแป้งหลังต้ม จะพบว่าน้ำแป้งมีลักษณะหนืดข้น มากกว่า ซึ่งสอดคล้องกับผลการทดสอบด้วยการติดกับกระดาษ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า กลูโคสและแป้งมัน สำปะหลังมีสมบัติแตกต่างกัน โดยกลูโคสละลายน้ำาได้ดีกว่า ส่วนแป้งมันสำปะหลังให้สารละลายที่มีความ หนืดมากกว่า ขั้นที่4 ขั้นขยายความรู้ 4.1 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับน้ำตาลทราย ตามรายละเอียดในหนังสือเรียนหน้า 66 ขั้นที่5 ขั้นประเมินผล 5.1 นักเรียนส่งใบกิจกรรม 3.1 เรื่อง การทดลองเปรียบเทียบสมบัติบางประการของกลูโคสและ แป้งมันสำปะหลัง ประยุกต์และตอบแทนสังคม ครูให้นักเรียนแต่ละคนนำความรู้ที่เรียนไปค้นคว้าเพิ่มเติมที่ห้องสมุด หรือเว็บไซต์แล้วนำเสนอใน ชั้นเรียน 8. สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ 8.1 หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์(วิทยาศาสตร์กายภาพ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 1 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) 8.2 อินเทอร์เน็ต 8.3 ห้องสมุด 8.4 ใบกิจกรรม 3.1 เรื่อง การทดลองเปรียบเทียบสมบัติบางประการของกลูโคสและแป้งมันสำปะหลัง
9. การวัดและประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัด เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน ด้านความรู้(K) 1) นักเรียนสืบค้นข้อมูลและเปรียบเทียบ สมบัติทางกายภาพระหว่างพอลิเมอร์และ มอนอเมอร์ของพอลิเมอร์ชนิดนั้นได้ 1) ตรวจใบกิจกรรม 3.1 เรื่อง การทดลอง เปรียบเทียบสมบัติบาง ประการของกลูโคส และแป้งมันสำปะหลัง 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) ใบกิจกรรม 3.1 เรื่อง การทดลอง เปรียบเทียบสมบัติ บางประการของ กลูโคสและแป้งมัน สำปะหลัง 1) นักเรียนสามารถ สรุปผลการทดลองได้ ระดับดีผ่านเกณฑ์ ด้านกระบวนการ (P) 1) นักเรียนสามารถทำกิจกรรม 3.1 การ ทดลองเปรียบเทียบสมบัติบางประการของ กลูโคสและแป้งมันสำปะหลังได้ 1) ตรวจใบกิจกรรม 3.1 เรื่อง การทดลอง เปรียบเทียบสมบัติบาง ประการของกลูโคส และแป้งมันสำปะหลัง 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) ใบกิจกรรม 3.1 เรื่อง การทดลอง เปรียบเทียบสมบัติ บางประการของ กลูโคสและแป้งมัน สำปะหลัง 1) นักเรียนสามารถ บันทึกผลการทำ กิจกรรมได้ระดับดี ผ่านเกณฑ์ ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการ ทำงาน 1) ตรวจใบกิจกรรม 3.1 เรื่อง การทดลอง เปรียบเทียบสมบัติบาง ประการของกลูโคส และแป้งมันสำปะหลัง 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) ใบกิจกรรม 3.1 เรื่อง การทดลอง เปรียบเทียบสมบัติ บางประการของ กลูโคสและแป้งมัน สำปะหลัง 1) นักเรียนทำภาระ งานที่ได้รับมอบหมาย ได้ระดับดีผ่านเกณฑ์
10. เกณฑ์การประเมินผลงานนักเรียน เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการทำกิจกรรม เรื่อง คาร์โบไฮเดรต ประเด็นการ ประเมิน ค่าน้ำหนัก คะแนน แนวทางการให้คะแนน ด้านความรู้ (K) 3 สรุปผลการทดลองได้ถูกต้องครบถ้วน 2 สรุปผลการทดลองค่อนข้างถูกต้องครบถ้วน 1 สรุปผลการทดลองได้ค่อนข้างถูกต้อง ด้าน กระบวนการ (P) 3 บันทึกผลกิจกรรมได้ถูกต้องครบถ้วน 2 บันทึกผลกิจกรรมค่อนข้างถูกต้อง 1 บันทึกผลกิจกรรมได้ค่อนข้างถูกต้อง ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด และเรียบร้อยถูกต้องครบถ้วน 2 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด แต่งานยังผิดพลาดบางส่วน 1 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกิดข้อผิดพลาดบางส่วน ระดับคะแนน คะแนน 3 หมายถึง ระดับดีมาก คะแนน 2 หมายถึง ระดับดี คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้
การประเมินการทำกิจกรรม เรื่อง คาร์โบไฮเดรต ที่ ชื่อ - นามสกุล จุดประสงค์การเรียนรู้ รวม คะแนน ระดับ คุณภาพ ด้านความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 3 3 9 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28
ที่ ชื่อ - นามสกุล จุดประสงค์การเรียนรู้ รวม คะแนน ระดับ คุณภาพ ด้านความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 3 3 9 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 ระดับคุณภาพ คะแนน 9 หมายถึง ระดับดีมาก คะแนน 7-8 หมายถึง ระดับดี คะแนน 5-6 หมายถึง ระดับปานกลาง คะแนน 3-4 หมายถึง ระดับปรับปรุง
1. รายชื่อสมาชิกที่ …………………………………………………….. ชั้น ………………………………… ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... 2. จุดประสงค์การทำกิจกรรม เพื่อศึกษาสมบัติการละลายและการติดกระดาษของสารละลายกลูโคสและน้ำแป้งมันสำปะหลัง 3. วัสดุ-อุปกรณ์ 1) แป้งมันสำปะหลัง 5 g 5) แท่งแก้วคน 1 แท่ง 2) กลูโคส 5 g 6) เครื่องชั่ง 1 เครื่อง 3) น้ำกลั่น 25 ml 7) เตาแผ่นความร้อน 1 เครื่อง 4) บีกเกอร์ขนาด 50 mL 2 ใบ 8) กระดาษขนาด 5 cm x 7 cm 4 แผ่น 4. วิธีทำการทดลอง 1) ใส่แป้งมันสำปะหลัง 5 g ลงในบีกเกอร์ใบที่ 1 แล้วเติมน้ำลงในบีกเกอร์12.5 ml คนให้เข้ากันที่อุณหภูมิห้อง สังเกต และบันทึกผล จากนั้นทำการทดลองเช่นเดียวกันแต่เปลี่ยนจากแป้งมันสำปะหลังเป็นกลูโคสในบีกเกอร์ใบที่ 2 2) นำบีกเกอร์ใบที่ 1 และ 2 มาต้ม เป็นเวลา 1 นาทีโดยระหว่างที่ต้มต้องใช้แท่งแก้วคนตลอดเวลา จากนั้นตั้งพักไว้ ประมาณ 5 นาที 3) ทาสารในบีกเกอร์ใบที่1 และ 2 ลงบนกระดาษแต่ละแผ่นให้ทั่ว จากนั้นติดประกอบกระดาษแต่ละแผ่นด้วยกระดาษ อีกแผ่นที่มีขนาดเท่ากัน ตั้งไว้ให้แห้งประมาณ 10 นาทีจากนั้นดึงกระดาษทั้งสองออกจากกัน สังเกตและบันทึกผล การทดลอง ใบกิจกรรม 3.1 เรื่อง การทดลองเปรียบเทียบสมบัติบางประการของกลูโคสและแป้งมันสำปะหลัง
5. ผลการทดลอง ตารางบันทึกผลการทดลอง สาร การเปลี่ยนแปลงของสารในน้ำที่สังเกตได้ การติดกันของกระดาษ ที่อุณหภูมิห้อง หลังต้ม กลูโคส แป้งมันสำปะหลัง 6. คำถามท้ายการทดลอง 1) สารละลายกลูโคสและน้ำแป้งมันสำปะหลัง มีลักษณะเหมือนกันหรือไม่อย่างไร ตอบ กลูโคสและแป้งมันสำปะหลังมีสมบัติแตกต่างกัน กลูโคสละลายน้ำาได้ดีกว่า มีการ 2) หลังการต้ม สารทั้งสองชนิดมีความหนืดแตกต่างกันหรือไม่อย่างไร ตอบ แตกต่างกัน แป้งมันสำปะหลังให้สารละลายที่มีความหนืดมากกว่าฃ มีการ 7. สรุปผลการทดลอง จากการทดลองพบว่า เมื่อนำกลูโคสมาละลายในน้ำพบว่าได้สารละลายใสไม่มีสีแสดงว่ากลูโคสละลายน้ำได้ดี หลังต้มไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง ส่วนแป้งมันสำปะหลังไม่ละลายน้ำที่อุณหภูมิห้อง แต่เมื่อผ่านการต้มพบว่าน้ำแป้งมี ลักษณะใสขึ้น เมื่อนำสารทั้ง 2 ชนิดที่ผ่านการต้มแล้ว มาทดสอบด้วยการติดกระดาษพบว่าน้ำแป้งทำให้กระดาษติดกันได้ มากกว่าสารละลายกลูดคสแสดงว่าน้ำแป้งมีความหนืดมากกว่าสารละลายกลูโคส และเมื่อพิจารณาลักษณะของหลังต้ม ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง ส่วนแป้งมันสำปะหลังไม่ละลายน้ำที่อุณหภูมิห้อง แต่เมื่อผ่านการต้มพบว่าน้ำแป้งมีลักษณะใสขึ้น เมื่อนำสารทั้ง 2 ชนิดที่ผ่านการต้มแล้ว มาทดสอบด้วยการติดกระดาษพบว่าน้ำแป้งทำให้กระดาษติดกันได้มากกว่า สารละลายกลูดคสแสดงว่าน้ำแป้งมีความหนืดมากกว่าสารละลายกลูโคส และเมื่อพิจารณาลักษณะของสารละลายกลูโคส และน้ำแป้งหลังต้ม จะพบว่าน้ำแป้งมีลักษณะหนืดข้นมากกว่า ซึ่งสอดคล้องกับผลการทดสอบด้วยการ สารละลายกลูโคส และน้ำแป้งหลังต้ม จะพบว่าน้ำแป้งมีลักษณะหนืดข้นมากกว่า ซึ่งสอดคล้องกับผลการทดสอบด้วยการ
1. รายชื่อสมาชิกที่ …………………………………………………….. ชั้น ………………………………… ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... 2. จุดประสงค์การทำกิจกรรม เพื่อศึกษาสมบัติการละลายและการติดกระดาษของสารละลายกลูโคสและน้ำแป้งมันสำปะหลัง 3. วัสดุ-อุปกรณ์ 1) แป้งมันสำปะหลัง 5 g 5) แท่งแก้วคน 1 แท่ง 2) กลูโคส 5 g 6) เครื่องชั่ง 1 เครื่อง 3) น้ำกลั่น 25 ml 7) เตาแผ่นความร้อน 1 เครื่อง 4) บีกเกอร์ขนาด 50 mL 2 ใบ 8) กระดาษขนาด 5 cm x 7 cm 4 แผ่น 4. วิธีทำการทดลอง 1) ใส่แป้งมันสำปะหลัง 5 g ลงในบีกเกอร์ใบที่ 1 แล้วเติมน้ำลงในบีกเกอร์12.5 ml คนให้เข้ากันที่อุณหภูมิห้อง สังเกต และบันทึกผล จากนั้นทำการทดลองเช่นเดียวกันแต่เปลี่ยนจากแป้งมันสำปะหลังเป็นกลูโคสในบีกเกอร์ใบที่ 2 2) นำบีกเกอร์ใบที่ 1 และ 2 มาต้ม เป็นเวลา 1 นาทีโดยระหว่างที่ต้มต้องใช้แท่งแก้วคนตลอดเวลา จากนั้นตั้งพักไว้ ประมาณ 5 นาที 3) ทาสารในบีกเกอร์ใบที่1 และ 2 ลงบนกระดาษแต่ละแผ่นให้ทั่ว จากนั้นติดประกอบกระดาษแต่ละแผ่นด้วยกระดาษ อีกแผ่นที่มีขนาดเท่ากัน ตั้งไว้ให้แห้งประมาณ 10 นาทีจากนั้นดึงกระดาษทั้งสองออกจากกัน สังเกตและบันทึกผล การทดลอง เฉลยใบกิจกรรม 3.1 เรื่อง การทดลองเปรียบเทียบสมบัติบางประการของกลูโคสและแป้งมันสำปะหลัง
5. ผลการทดลอง ตารางบันทึกผลการทดลอง สาร การเปลี่ยนแปลงของสารในน้ำที่สังเกตได้ การติดกันของกระดาษ ที่อุณหภูมิห้อง หลังต้ม กลูโคส ละลายน้ำ ได้สารละลาย ใส ไม่มีสี ไม่เปลี่ยนแปลง กระดาษไม่ติดกัน แป้งมันสำปะหลัง ไม่ละลายได้สาร แขวนลอย สีขาวขุ่น เมื่อทิ้งไว้จะตกตะกอน น้ำแป้งใสขึ้น มีลักษณะหนืด กระดาษติดกันแน่น ดึง ออกจากกันไม่ได้ 6. คำถามท้ายการทดลอง 1) สารละลายกลูโคสและน้ำแป้งมันสำปะหลัง มีลักษณะเหมือนกันหรือไม่อย่างไร ตอบ กลูโคสและแป้งมันสำปะหลังมีสมบัติแตกต่างกัน กลูโคสละลายน้ำาได้ดีกว่า มีการ 2) หลังการต้ม สารทั้งสองชนิดมีความหนืดแตกต่างกันหรือไม่อย่างไร ตอบ แตกต่างกัน แป้งมันสำปะหลังให้สารละลายที่มีความหนืดมากกว่า มีการ 7. สรุปผลการทดลอง จากการทดลองพบว่า เมื่อนำกลูโคสมาละลายในน้ำพบว่าได้สารละลายใสไม่มีสีแสดงว่ากลูโคสละลายน้ำได้ดี หลังต้มไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง ส่วนแป้งมันสำปะหลังไม่ละลายน้ำที่อุณหภูมิห้อง แต่เมื่อผ่านการต้มพบว่าน้ำแป้งมี ลักษณะใสขึ้น เมื่อนำสารทั้ง 2 ชนิดที่ผ่านการต้มแล้ว มาทดสอบด้วยการติดกระดาษพบว่าน้ำแป้งทำให้กระดาษติดกันได้ มากกว่าสารละลายกลูดคสแสดงว่าน้ำแป้งมีความหนืดมากกว่าสารละลายกลูโคส และเมื่อพิจารณาลักษณะของ สารละลายกลูโคสและน้ำแป้งหลังต้ม จะพบว่าน้ำแป้งมีลักษณะหนืดข้นมากกว่า ซึ่งสอดคล้องกับผลการทดสอบด้วยการ ติดกับกระดาษ v
แผนการจัดการเรียนรู้ที่15 เรื่อง สมบัติทางกายภาพของมอนอเมอร์และพอลิเมอร์ รายวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ2 รหัสวิชา ว32101 เวลา 1 ชั่วโมง หน่วยการเรียนรู้ที่3 ชื่อหน่วยการเรียนรู้อาหาร รวม 19 ชั่วโมง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ภาคเรียนที่1 บูรณาการ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อาเซียน STEM PLC สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน มาตรฐานสากล ข้ามกลุ่มสาระ 1. มาตรฐานการเรียนรู้ ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้าง และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี 2. ตัวชี้วัด ว 2.1 ม.5/15 สืบค้นข้อมูลและเปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพระหว่างพอลิเมอร์และมอนอเมอร์ของ พอลิเมอร์ชนิดนั้น 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 3.1 ด้านความรู้(K) 1) นักเรียนสืบค้นข้อมูลและเปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพระหว่างพอลิเมอร์และมอนอเมอร์ของ พอลิเมอร์ชนิดนั้นได้ 3.2 ด้านกระบวนการ (P) 1) นักเรียนสามารถทำกิจกรรม 3.2 สืบค้นข้อมูลสมบัติทางกายภาพของมอนอเมอร์และพอลิเมอร์ได้ 3.3 ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการทำงาน 4. สาระสำคัญ อาหารเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์โดยไขมัน คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และวิตามินเป็น สารประกอบอินทรีย์ส่วนเกลือแร่เป็นไอออนหรือสารประกอบไอออนิก สารประกอบอินทรีย์เป็นสารประกอบของ ธาตุคาร์บอนซึ่งอาจมีธาตุอื่นเป็นองค์ประกอบร่วมด้วย เช่น ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน ซัลเฟอร์ไขมันมีทั้ง ชนิดอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวซึ่งพิจารณาได้จากชนิดพันธะระหว่างคาร์บอนอะตอมในกรดไขมัน ซึ่งใช้เกณฑ์เดียวกับ สารประกอบไฮโดรเจนคาร์บอน คาร์โบไฮเดรตที่เป็นมอนอเมอร์และพอลิเมอร์มีสมบัติแตกต่างกัน โปรตีนเป็น พอลิเมอร์ที่มีมอนอเมอร์เป็นกรดแอมิโนซึ่งมีหมู่คาร์บอกซิล และหมู่อะมิโน จึงแสดงสมบัติความเป็นกรด-เบสได้ วิตามินแต่ละชนิดมีสภาพขั้วแตกต่างกัน ทำให้บางชนิดละลายได้ในน้ำมัน บางชนิดละลายได้ในน้ำมัน ซึ่งเป็นไปตาม หลักการ like dissolves like ส่วนเกลือแร่แต่ละชนิดมีประโยชน์ที่แตกต่างกัน บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารส่วนใหญ่ ทำมาจากพลาสติกซึ่งเป็นพอลิเมอร์สังเคราะห์มีทั้งชนิดพอลิเมอร์เทอร์มอพลาสติกและพอลิเมอร์เทอร์มอเซตซึ่งใช้
งานได้แตกต่างกัน พลาสติกย่อยสลายได้ยากและมีการใช้ในปริมาณมาก จึงก่อให้เกิดปัญหาขยะ การลดการใช้การ ใช้ซ้ำ และการนำกลับมาใช้ใหม่ เป็นการช่วยปัญหาได้ทางหนึ่ง 5. สาระการเรียนรู้ 5.1 ความรู้ คาร์โบไฮเดรต ข้าว แป้ง น้ำตาลเป็นอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตเป็นองค์ประกอบหลักซึ่งเป็นแหล่งพลังงานสำหรับ สิ่งมีชีวิต เมื่อบริโภคข้าวหรือแป้ง ร่างกายจะย่อยคาร์โบไฮเดรตโมเลกุลใหญ่ที่มีขนาดเล็กลง จนได้เป็น กลูโคสซึ่งเป็นหน่วยย่อยที่สุดของคาร์โบไฮเดรต ร่างกายสามารถดูดซึมกลูโคสที่เป็นโมเลกุลขนาดเล็กเข้าสู่ กระแสเลือดและใช้เป็นสารตั้งต้นในการทำปฏิกิริยากับออกซิเจน เพื่อให้พลังงานแก่ร่างกาย สำหรับผู้ที่มี ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างเร็วจากการออกกำลังกายหรือท้องเสีย การดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่ที่มี ส่วนผสมของกลูโคสจึงเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดกลับสู่สภาวะปกติได้เร็วกว่าการบริโภค ข้าวแป้ง รูป 3.7 ภาพจำลองการย่อยโมเลกุลแป้งให้เป็นกลูโคส ในทางเคมีจัดให้คาร์โบไฮเดรตในข้าวและแป้งซึ่งมีโมเลกุลขนาดใหญ่เป็นพอลิแซ็กคาไรด์ (polysaccharide) ส่วนกลูโคสเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวหรือมอนอแซ็กคาไรด์(monosaccharide) โครงสร้างแสดงดังรูป 3.8 รูป 3.8 โครงสร้างของพอลิแซ็กคาไรด์และมอนอแซ็กคาไรด์ สารเคมีที่โมเลกุลมีโครงสร้างขนาดใหญ่ประกอบด้วยหน่วยย่อยจำนวนมากเชื่อมต่อกันเช่นเดียวกับ พอลิแซ็กคาไรด์เรียกว่า พอลิเมอร์(polymer) ส่วนสารโมเลกลุขนาดเล็กที่มารวมตัวกันเพื่อเกิดเป็น พอลิเมอร์เรียกว่า มอนอเมอร์(monomer) ซึ่งมอนอเมอร์ของพอลิแซ็กคาไรด์ในข้าวและแป้ง คือ กลูโคส
5.2 กระบวนการ 1) ความสามารถในการสื่อสาร (อ่าน ฟัง พูด เขียน) 2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วิเคราะห์จัดกลุ่ม สรุป) 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แสวงหาความรู้) 4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต (ความรับผิดชอบ) 5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบค้นผ่านคอมพิวเตอร์) 5.3 คุณลักษณะและค่านิยม ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการทำงาน 6. บูรณาการ - 7. กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่1 ขั้นสร้างความสนใจ 1.1 ครูทบทวนบทเรียน เรื่อง สูตรโครงสร้างของพอลิแซ็กคาไรด์และมอนอแซ็กคาไรด์และผล การทำกิจกรรม 3.1 1.2 ครูตั้งคำถามเพื่อนำเข้าสู่การทำกิจกรรม - พอลิเมอร์เกิดขึ้นจากมอนอเมอร์มาเชื่อมกัน นักเรียนคิดว่าพอลิเมอร์มีสมบัติเหมือน หรือแตกต่างกันอย่างไร ขั้นที่2 ขั้นสำรวจและค้นหา 2.1 ครูจัดกลุ่มนักเรียน โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ ละ 3-4 คน โดยคละเพศ คละความสามารถ 2.2 นักเรียนแต่ละกลุ่มศึกษาใบกิจกรรม 3.2 เรื่อง สืบค้นข้อมูลสมบัติทางกายภาพของมอนอเมอร์ และพอลิเมอร์(สามารถสืบค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตหรือห้องสมุด) ขั้นที่3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 3.1 ครูสุ่มนักเรียน 2 คน ออกมานำเสนอผลการทำกิจกรรมของกลุ่มตัวเองหน้าชั้นเรียน 3.2 ครูนำนักเรียนอภิปรายผลการสืบค้นข้อมูลของกิจกรรม 3.2 เรื่อง สืบค้นข้อมูลสมบัติทาง กายภาพของมอนอเมอร์และพอลิเมอร์เพื่อนำไปสู่การสรุปโดยใช้คำถามต่อไปนี้ 1) พอลิเอทิลีน มีสถานะใด (แนวการตอบ ของแข็ง) 2) พอลิโพรพิลีน มีสถานะใด (แนวการตอบ ของแข็ง) 3) พอลิไวนิลคลอไรด์มีสถานะใด (แนวการตอบ ของแข็ง) 4) พอลิเอทิลีน มีจุดหลอมเหลวเท่าใด (แนวการตอบ 115-135 °C) 5) พอลิโพรพิลีน มีจุดหลอมเหลวเท่าใด (แนวการตอบ 130-170 °C) 6) พอลิไวนิลคลอไรด์มีจุดหลอมเหลวเท่าใด (แนวการตอบ 100-260 °C) 7) เอทิลีน มีสถานะใด (แนวการตอบ แก๊ส) 8) โพรพิลีน มีสถานะใด (แนวการตอบ แก๊ส)
9) พอลิไวนิลคลอไรด์มีสถานะใด (แนวการตอบ แก๊ส) 10) เอทิลีน มีจุดหลอมเหลวเท่าใด (แนวการตอบ -169.15 °C) 11) โพรพิลีน มีจุดหลอมเหลวเท่าใด (แนวการตอบ -185.24 °C) 12) ไวนิลคลอไรด์มีจุดหลอมเหลวเท่าใด (แนวการตอบ -153.84 °C) 13) จากการสืบค้นข้อมูลสถานะและจุดหลอมเหลวของพอลิเมอร์และมอนอเมอร์ มีสถานะเหมือนกันหรือไม่ (แนวการตอบ มีสถานะไม่เหมือนกัน) 14) จากการสืบค้นข้อมูลสถานะและจุดหลอมเหลวของพอลิเมอร์และมอนอเมอร์ มีจุดหลอมเหลวเหมือนกันหรือไม่ (แนวการตอบ มีสถานะไม่เหมือนกัน) 3.3 นักเรียนและครูร่วมกันสรุปผลการสืบค้นข้อมูลสมบัติทางกายภาพของมอนอเมอร์และ พอลิเมอร์จนสรุปได้ดังนี้ พอลิเมอร์มีจุดหลอมเหลวสูงกว่ามอนอเมอร์นอกจากนี้มอนอเมอร์และพอลิเมอร์ที่เกิด จากมอนอเมอร์มีสถานะต่างกัน ขั้นที่4 ขั้นขยายความรู้ 4.1 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสมบัติด้านกายภาพของพอลิเมอร์ขึ้นอยู่กับโครงสร้าง โดยพอลิเมอร์ที่มี โครงสร้างแบบสายยาวหรือโซ่โครงสร้างแบบสาขาหรือแขนง และโครงสร้างแบบตาข่ายหรือร่างแห จะมีสมบัติที่ ต่างกัน 4.2 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเซลลูโลส ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน หน้า 69 ขั้นที่5 ขั้นประเมินผล 5.1 นักเรียนส่งใบกิจกรรม 3.2 เรื่อง สืบค้นข้อมูลสมบัติทางกายภาพของมอนอเมอร์และพอลิ เมอร์ ประยุกต์และตอบแทนสังคม ครูให้นักเรียนแต่ละคนนำความรู้ที่เรียนไปค้นคว้าเพิ่มเติมที่ห้องสมุด หรือเว็บไซต์แล้วนำเสนอใน ชั้นเรียน 8. สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ 8.1 หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์(วิทยาศาสตร์กายภาพ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 1 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) 8.2 อินเทอร์เน็ต 8.3 ห้องสมุด 8.4 ใบกิจกรรม 3.2 เรื่อง สืบค้นข้อมูลสมบัติทางกายภาพของมอนอเมอร์และพอลิเมอร์
9. การวัดและประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัด เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน ด้านความรู้(K) 1) นักเรียนสืบค้นข้อมูลและเปรียบเทียบ สมบัติทางกายภาพระหว่างพอลิเมอร์และ มอนอเมอร์ของพอลิเมอร์ชนิดนั้นได้ 1) ตรวจใบกิจกรรม 3.2 เรื่อง สืบค้นข้อมูล สมบัติทางกายภาพของ มอนอเมอร์และ พอลิเมอร์ 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) ใบกิจกรรม 3.2 เรื่อง สืบค้นข้อมูล สมบัติทางกายภาพ ของมอนอเมอร์และ พอลิเมอร์ 1) นักเรียนสามารถ สรุปผลการสืบค้น ข้อมูลได้ระดับดีผ่าน เกณฑ์ ด้านกระบวนการ (P) 1) นักเรียนสามารถทำกิจกรรม 3.2 เรื่อง สืบค้นข้อมูลสมบัติทางกายภาพของมอนอ เมอร์และพอลิเมอร์ได้ 1) ตรวจใบกิจกรรม 3.2 เรื่อง สืบค้นข้อมูล สมบัติทางกายภาพของ มอนอเมอร์และ พอลิเมอร์ 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) ใบกิจกรรม 3.2 เรื่อง สืบค้นข้อมูล สมบัติทางกายภาพ ของมอนอเมอร์และ พอลิเมอร์ 1) นักเรียนสามารถ บันทึกผลการสืบค้น ข้อมูลได้ระดับดีผ่าน เกณฑ์ ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการ ทำงาน 1) ตรวจใบกิจกรรม 3.2 เรื่อง สืบค้นข้อมูล สมบัติทางกายภาพของ มอนอเมอร์และ พอลิเมอร์ 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) ใบกิจกรรม 3.2 เรื่อง สืบค้นข้อมูล สมบัติทางกายภาพ ของมอนอเมอร์และ พอลิเมอร์ 1) นักเรียนทำภาระ งานที่ได้รับมอบหมาย ได้ระดับดีผ่านเกณฑ์
10. เกณฑ์การประเมินผลงานนักเรียน เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการทำกิจกรรม เรื่อง สมบัติทางกายภาพของมอนอเมอร์และพอลิเมอร์ ประเด็นการ ประเมิน ค่าน้ำหนัก คะแนน แนวทางการให้คะแนน ด้านความรู้ (K) 3 สรุปผลการสืบค้นข้อมูลได้ถูกต้องครบถ้วน 2 สรุปผลการสืบค้นข้อมูลได้ถูกต้องบางส่วน 1 สรุปผลการสืบค้นข้อมูล แต่ไม่ถูกต้อง ด้าน กระบวนการ (P) 3 บันทึกผลการสืบค้นข้อมูลได้ถูกต้องครบถ้วน 2 บันทึกผลการสืบค้นข้อมูลได้ถูกต้องบางส่วน 1 บันทึกผลการสืบค้นข้อมูล แต่ไม่ถูกต้อง ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด และเรียบร้อยถูกต้องครบถ้วน 2 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด แต่งานยังผิดพลาดบางส่วน 1 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกิดข้อผิดพลาดบางส่วน ระดับคะแนน คะแนน 3 หมายถึง ระดับดีมาก คะแนน 2 หมายถึง ระดับดี คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้
การประเมินการทำกิจกรรม เรื่อง สมบัติทางกายภาพของมอนอเมอร์และพอลิเมอร์ ที่ ชื่อ - นามสกุล จุดประสงค์การเรียนรู้ รวม คะแนน ระดับ คุณภาพ ด้านความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 3 3 9 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28
ที่ ชื่อ - นามสกุล จุดประสงค์การเรียนรู้ รวม คะแนน ระดับ คุณภาพ ด้านความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 3 3 9 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 ระดับคุณภาพ คะแนน 9 หมายถึง ระดับดีมาก คะแนน 7-8 หมายถึง ระดับดี คะแนน 5-6 หมายถึง ระดับปานกลาง คะแนน 3-4 หมายถึง ระดับปรับปรุง
1. รายชื่อสมาชิกที่ …………………………………………………….. ชั้น ………………………………… ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... คำสั่ง สืบค้นข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบสถานะและจุดหลอมเหลวของมอนอเมอร์กับพอลิเมอร์ที่เกิดจากมอนอเมอร์นั้น จำนวน 3 คู่แล้วนำมาอภิปรายแลกเปลี่ยนความรู้ร่วมกัน ผลการสืบค้นข้อมูล พอลิเมอร์ มอนอเมอร์ ชื่อ สถานะ จุดหลอมเหลว (°C) ชื่อ สถานะ จุดหลอมเหลว (°C) พอลิเอทิลีน เอทิลีน พอลิโพรพิลีน โพรพิลีน พอลิไวนิลคลอไรด์ ไวนิลคลอไรด์ สรุปผลการสืบค้นข้อมูล พอลิเมอร์มีจุดหลอมเหลวสูงกว่ามอนอเมอร์พอลิเมอร์ที่สืบค้นมีสถานะเป็นของแข็ง และมอนอเมอร์มีสถานะ เป็นแก๊ส ดังนัน้พอลิเมอร์ที่เกิดจากมอนอเมอร์มีสถานะต่างกัน ฃ ฃ พอลิเมอร์มีจุดหลอมเหลวสูงกว่ามอนอเมอร์ นอกจากนี้มอนอเมอร์และพอลิเมอร์ที่เกิดจากมอนอเมอร์ มีสถานะต่างกัน v ใบกิจกรรม 3.2 เรื่อง สมบัติทางกายภาพของมอนอเมอร์และพอลิเมอร์
1. รายชื่อสมาชิกที่ …………………………………………………….. ชั้น ………………………………… ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่................... คำสั่ง สืบค้นข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบสถานะและจุดหลอมเหลวของมอนอเมอร์กับพอลิเมอร์ที่เกิดจากมอนอเมอร์นั้น จำนวน 3 คู่แล้วนำมาอภิปรายแลกเปลี่ยนความรู้ร่วมกัน ผลการสืบค้นข้อมูล พอลิเมอร์ มอนอเมอร์ ชื่อ สถานะ จุดหลอมเหลว (°C) ชื่อ สถานะ จุดหลอมเหลว (°C) พอลิเอทิลีน ของแข็ง 115-135 เอทิลีน แก๊ส -169.15 พอลิโพรพิลีน ของแข็ง 130-170 โพรพิลีน แก๊ส -185.24 พอลิไวนิลคลอไรด์ ของแข็ง 100-260 ไวนิลคลอไรด์ แก๊ส -153.84 สรุปผลการสืบค้นข้อมูล พอลิเมอร์มีจุดหลอมเหลวสูงกว่ามอนอเมอร์พอลิเมอร์ที่สืบค้นมีสถานะเป็นของแข็ง และมอนอเมอร์มีสถานะ เป็นแก๊ส ดังนัน้พอลิเมอร์ที่เกิดจากมอนอเมอร์มีสถานะต่างกัน ฃ ฃ พอลิเมอร์มีจุดหลอมเหลวสูงกว่ามอนอเมอร์ นอกจากนี้มอนอเมอร์และพอลิเมอร์ที่เกิดจากมอนอเมอร์ มีสถานะต่างกัน v เฉลยใบกิจกรรม 3.2 เรื่อง สมบัติทางกายภาพของมอนอเมอร์และพอลิเมอร์
แผนการจัดการเรียนรู้ที่16 เรื่อง โปรตีน รายวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ2 รหัสวิชา ว32101 เวลา 3 ชั่วโมง หน่วยการเรียนรู้ที่3 ชื่อหน่วยการเรียนรู้อาหาร รวม 19 ชั่วโมง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ภาคเรียนที่1 บูรณาการ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อาเซียน STEM PLC สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน มาตรฐานสากล ข้ามกลุ่มสาระ 1. มาตรฐานการเรียนรู้ ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้าง และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี 2. ตัวชี้วัด ว 2.1 ม.5/16 ระบุสมบัติความเป็นกรด-เบสจากโครงสร้างของสารประกอบอินทรีย์ 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 3.1 ด้านความรู้(K) 1) นักเรียนระบุสารประกอบอินทรีย์มีสมบัติกรด-เบสจากสูตรโครงสร้างได้ 3.2 ด้านกระบวนการ (P) 1) นักเรียนสามารถจัดกระทำและสื่อความหมายของข้อมูลที่ศึกษาค้นคว้าได้ 3.3 ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการทำงาน 4. สาระสำคัญ อาหารเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์โดยไขมัน คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และวิตามินเป็น สารประกอบอินทรีย์ส่วนเกลือแร่เป็นไอออนหรือสารประกอบไอออนิก สารประกอบอินทรีย์เป็นสารประกอบของ ธาตุคาร์บอนซึ่งอาจมีธาตุอื่นเป็นองค์ประกอบร่วมด้วย เช่น ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน ซัลเฟอร์ไขมันมีทั้ง ชนิดอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวซึ่งพิจารณาได้จากชนิดพันธะระหว่างคาร์บอนอะตอมในกรดไขมัน ซึ่งใช้เกณฑ์เดียวกับ สารประกอบไฮโดรเจนคาร์บอน คาร์โบไฮเดรตที่เป็นมอนอเมอร์และพอลิเมอร์มีสมบัติแตกต่างกัน โปรตีนเป็น พอลิเมอร์ที่มีมอนอเมอร์เป็นกรดแอมิโนซึ่งมีหมู่คาร์บอกซิล และหมู่อะมิโน จึงแสดงสมบัติความเป็นกรด-เบสได้ วิตามินแต่ละชนิดมีสภาพขั้วแตกต่างกัน ทำให้บางชนิดละลายได้ในน้ำมัน บางชนิดละลายได้ในน้ำมัน ซึ่งเป็นไปตาม หลักการ like dissolves like ส่วนเกลือแร่แต่ละชนิดมีประโยชน์ที่แตกต่างกัน บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารส่วนใหญ่ ทำมาจากพลาสติกซึ่งเป็นพอลิเมอร์สังเคราะห์มีทั้งชนิดพอลิเมอร์เทอร์มอพลาสติกและพอลิเมอร์เทอร์มอเซตซึ่งใช้ งานได้แตกต่างกัน พลาสติกย่อยสลายได้ยากและมีการใช้ในปริมาณมาก จึงก่อให้เกิดปัญหาขยะ การลดการใช้การ ใช้ซ้ำ และการนำกลับมาใช้ใหม่ เป็นการช่วยปัญหาได้ทางหนึ่ง
5. สาระการเรียนรู้ 5.1 ความรู้ โปรตีนเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานและมีบทบาทอื่นที่สำคัญในสิ่งมีชีวิต เช่น เป็นโครงสร้าง กล้ามเนื้อ เอนไซม์ฮอร์โมน ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การขาดโปรตีนทำให้ร่างกายอ่อนเพลียห มดแรง และส่งผลให้เกิดโรคต่าง ๆ อาหารที่มีโปรตีนสูงมีทั้งพืชและสัตว์เช่น เนื้อสัตว์ไข่ นม ชีส รูป 3.10 แหล่งอาหารที่มีโปรตีนเป็นองค์ประกอบหลัก โปรตีนจัดเป็นพอลิเมอร์ชนิดหนึ่งที่มีกรดแอมิโนเป็นมอนอเมอร์โปรตีนแต่ละชนิดมีลำดับของกรด แอมิโนในสายพอลิเมอร์ที่แตกต่างกัน ตัวอย่างรูป 3.11 เมื่อรับประทานอาหารที่มีโปรตีนร่างกายจะย่อย โปรตีนซึ่งเป็นโมเลกุลขนาดใหญ่ให้มีขนาดเล็กลง จนได้เป็นกรดแอมิโนชนิดต่าง ๆ แล้วดูดซึมเข้าสู่กระแส เลือด รูป 3.11 โมเลกุลของไมโอโกลบินในกล้ามเนื้อ ในธรรมชาติมีกรดแอมิโนจำนวนมากแต่กรดแอมิโนที่เป็นองค์ประกอบในร่างกายมนุษย์มี 20 ชนิด กรดแอมิโนที่ร่างกายสังเคราะห์เองได้เรียกว่า กรดแอมิโนไม่จำเป็น (non-essential amino acid) แต่บางชนิดสังเคราะห์เองไม่ได้ต้องได้รับจากการรับประทานอาหารเท่านั้น เรียกว่า กรดอะมิโน จำเป็น (essential amino acid) โปรตีนจากเนื้อสัตว์นม ไข่ มีกรดแอมิโนจำเป็นครบทุกชนิด ส่วน โปรตีนจากพืชมีกรดแอมิโนจำเป็นไม่ครบหรือปริมาณน้อย เช่น ถั่วลิสงมีเมไทโอนีนน้อย ข้าวโพดมีทรป โตเฟนน้อย ขนมปังมีไลซีนน้อย ดังนั้นจึงควรบริโภคอาหารให้หลากหลายเพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะขาด โปรตีน
กรดแอมิโนมีโครงสร้างโมเลกุลที่ประกอบด้วยหมู่แอมิโน (-NH2 ) และหมู่คาร์บอกซิล (-COOH) เชื่อมต่อกับคาร์บอนที่มีหมู่แทนที่ (R) ซึ่งกรดแอมิโนแต่ละชนิดแตกต่างกันที่หมู่R ตัวอย่างกรดแอมิโนบาง ชนิดแสดง ดังรูป 3.12 รูป 3.12 กรดแอมิโนบางชนิด กรดแอมิโนแสดงสมบัติเป็นได้ทั้งกรดและเบส เนื่องจากมีหมู่คาร์บอกซิล (-COOH) ที่สมบัติเป็น กรด และมีหมู่แอมิโน (-NH2 ) ที่สมบัติเป็นเบส ในทำนองเดียวกัน สารประกอบอินทรีย์ชนิดอื่นที่มีหมู่ คาร์บอกซิล (-COOH) เช่น กรดฟอร์มิก กรดแอซีติก กรดแลกติก สามารถแสดงสมบัติเป็นกรดได้ โดยสารประกอบอินทรีย์ที่มีหมู่แอมิโน (-NH2 , –NH-, –N-) เช่น พูเทรซีน เมลามีน แอมเฟตามีน อะดรี นาลีน คลอเฟนิรามีน สามารถแสดงสมบัติเป็นเบสได้ดังรูป รูป 3.13 สารประกอบอินทรีย์ที่มีสมบัติเป็นกรด-เบสบางชนิด 5.2 กระบวนการ 1) ความสามารถในการสื่อสาร (อ่าน ฟัง พูด เขียน) 2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วิเคราะห์จัดกลุ่ม สรุป) 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แสวงหาความรู้) 4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต (ความรับผิดชอบ) 5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบค้นผ่านโทรศัพท์)
5.3 คุณลักษณะและค่านิยม ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการทำงาน 6. บูรณาการ - 7. กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่1 ขั้นสร้างความสนใจ 1.1 ครูทบทวนบทเรียน เรื่อง ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต 1.2 ครูให้นักเรียนยกตัวอย่างอาหารที่มีโปรตีนเป็นองค์ประกอบ เช่น เนื้อสัตว์นม ไข่ เป็นต้น 1.3 ครูนำเข้าสู่บทเรียนโดยให้นักเรียนบอกความสำคัญของโปรตีน 1.4 ครูนำเข้าสู่บทเรียนโดยตั้งคำถาม เพื่อนำเข้าสู่กิจกรรม 1) กรดแอมิโนบางชนิดร่างกายสังเคราะห์เองได้เรียกว่า 2) กรดแอมิโนบางชนิดร่างกายสังเคราะห์เองไม่ได้เรียกว่า 3) กรดแอมิโนมีโครงสร้างโมเลกุลที่ประกอบด้วยอะไรบ้าง 4) โครงสร้างทั่วไปของกรดแอมิโนเป็นอย่างไร 5) กรดแอมิโนแสดงสมบัติเป็นกรดหรือเบส ขั้นที่2 ขั้นสำรวจและค้นหา 2.1 ครูให้นักเรียนทุกคนศึกษาค้นคว้า เรื่อง โปรตีน ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน หน้า 70 - 73 2.2 นักเรียนสรุปองค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าลงในกระดาษ A4 ในรูปแบบ Mind mapping 2.3 นักเรียนทำแบบฝึกหัด 3.2 ในหนังสือเรียน หน้า 74 ลงในสมุด 2.4 นักเรียนทำแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 3 ข้อที่4-5 หน้า 92 ลงในสมุด ขั้นที่3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 3.1 ครูนำนักเรียนอภิปรายเพื่อนำไปสู่การสรุปโดยใช้คำถามต่อไปนี้ 1) แม้ว่าถั่วหรือผักบางชนิดมีโปรตีนในปริมาณสูง แต่มักพบว่าผู้ที่บริโภคเฉพาะ ถั่วและ ผักยังเป็นโรคที่เกิดจากภาวะขาดโปรตีนได้นักเรียนคิดว่าเป็นเพราะเหตุใด (แนวการตอบ เพราะถั่วลิสง มีเมไทโอนีนน้อย ข้าวโพดมีทรปโตเฟนน้อย ดังนั้นจึงควรบริโภคอาหารให้หลากหลายเพื่อลดความเสี่ยง จากภาวะขาดโปรตีน) 2) กรดแอมิโนบางชนิดร่างกายสังเคราะห์เองได้เรียกว่า (แนวการตอบ แอมิโนไม่จำเป็น (non-essential amino acid)) 3) กรดแอมิโนบางชนิดร่างกายสังเคราะห์เองไม่ได้เรียกว่า (แนวการตอบ กรดอะมิโนจำเป็น (essential amino acid))
4) กรดแอมิโนมีโครงสร้างโมเลกุลที่ประกอบด้วยอะไรบ้าง (แนวการตอบ กรดแอมิโนมี โครงสร้างโมเลกุลที่ประกอบด้วยหมู่แอมิโน (-NH2 ) และหมู่คาร์บอกซิล (-COOH) เชื่อมต่อกับคาร์บอนที่มี หมู่แทนที่ (R) ซึ่งกรดแอมิโนแต่ละชนิดแตกต่างกันที่หมู่R) 5) กรดแอมิโนแสดงสมบัติเป็นกรดหรือเบส (แนวการตอบ กรดแอมิโนแสดงสมบัติเป็นได้ ทั้งกรดและเบส เนื่องจากมีหมู่คาร์บอกซิล (-COOH) ที่สมบัติเป็นกรด และมีหมู่แอมิโน (-NH2 ) ที่สมบัติ เป็นเบส) 3.2 ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเนื้อหา เรื่อง ไขมัน ดังนี้ 1) กรดแอมิโนที่ร่างกายสังเคราะห์เองได้เรียกว่า กรดแอมิโนไม่จำเป็น (nonessential amino acid) แต่บางชนิดสังเคราะห์เองไม่ได้ต้องได้รับจากการรับประทานอาหารเท่านั้น เรียกว่า กรดอะมิโนจำเป็น (essential amino acid) โปรตีนจากเนื้อสัตว์นม ไข่ มีกรดแอมิโนจำเป็น ครบทุกชนิด ส่วนโปรตีนจากพืชมีกรดแอมิโนจำเป็นไม่ครบหรือปริมาณน้อย เช่น ถั่วลิสงมีเมไทโอนีนน้อย ข้าวโพดมีทรปโตเฟนน้อย ขนมปังมีไลซีนน้อย ดังนั้นจึงควรบริโภคอาหารให้หลากหลายเพื่อลดความเสี่ยง จากภาวะขาดโปรตีน 2) กรดแอมิโนมีโครงสร้างโมเลกุลที่ประกอบด้วยหมู่แอมิโน (-NH2 ) และหมู่คาร์บอกซิล (-COOH) เชื่อมต่อกับคาร์บอนที่มีหมู่แทนที่ (R) ซึ่งกรดแอมิโนแต่ละชนิดแตกต่างกันที่หมู่R 3) กรดแอมิโนแสดงสมบัติเป็นได้ทั้งกรดและเบส เนื่องจากมีหมู่คาร์บอกซิล (-COOH) ที่ สมบัติเป็นกรด และมีหมู่แอมิโน (-NH2 ) ที่สมบัติเป็นเบส ขั้นที่4 ขั้นขยายความรู้ 4.1 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสารประกอบอินทรีย์ชนิดอื่นที่มีหมู่คาร์บอกซิล (-COOH) และ สารประกอบอินทรีย์ที่มีหมู่แอมิโน สารประกอบอินทรีย์ชนิดอื่นที่มีหมู่คาร์บอกซิล (-COOH) เช่น กรดฟอร์มิก กรดแอซีติก กรดแลกติก สามารถแสดงสมบัติเป็นกรดได้โดยสารประกอบอินทรีย์ที่มีหมู่แอมิโน (-NH2 , –NH-, –N-) เช่น พูเทรซีน เมลามีน แอมเฟตามีน อะดรีนาลีน คลอเฟนิรามีน สามารถแสดงสมบัติเป็นเบสได้ ขั้นที่5 ขั้นประเมินผล 5.1ครูตรวจ Mind mapping เรื่อง โปรตีน ของนักเรียน 5.2 ครูตรวจสมุดของนักเรียนในการทำแบบฝึกหัด 3.2 5.3 ครูตรวจสมุดของนักเรียนในการทำแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 3 ข้อที่ 4-5 ประยุกต์และตอบแทนสังคม ครูให้นักเรียนแต่ละคนนำความรู้ที่เรียนไปค้นคว้าเพิ่มเติมที่ห้องสมุด หรือเว็บไซต์แล้วนำเสนอใน ชั้นเรียน
8. สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ 8.1 หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์(วิทยาศาสตร์กายภาพ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 1 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) 8.2 ใบกิจกรรม Mind mapping เรื่อง โปรตีน 8.3 อินเทอร์เน็ต หรือ ห้องสมุด 9. การวัดและประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัด เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน ด้านความรู้(K) 1) นักเรียนระบุสารประกอบอินทรีย์มีสมบัติ กรด-เบสจากสูตรโครงสร้างได้ 1) ตรวจแบบฝึกหัด 3.2 และแบบฝึกหัด ท้ายบทที่ 3 ข้อที่4-5 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) แบบฝึกหัด 3.2 และแบบฝึกหัดท้าย บทที่3 ข้อที่4-5 1) นักเรียนทำ แบบฝึกหัด 3.2 และ แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 3 ข้อที่4-5 ได้ระดับ ดีผ่านเกณฑ์ ด้านกระบวนการ (P) 1) นักเรียนสามารถจัดกระทำและสื่อ ความหมายของข้อมูลที่ศึกษาค้นคว้าได้ 1) ตรวจ Mind mapping เรื่อง โปรตีน 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) Mind mapping เรื่อง โปรตีน 1) นักเรียนสามารถ สรุปเนื้อหาที่ได้จาก การศึกษาค้นคว้า ได้ระดับดีผ่านเกณฑ์ ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการ ทำงาน 1) ตรวจ Mind mapping เรื่อง โปรตีน 2) ตรวจแบบฝึกหัด 3.2 และแบบฝึกหัด ท้ายบทที่ 3 ข้อที่4-5 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) Mind mapping เรื่อง โปรตีน 3) แบบฝึกหัด 3.2 และแบบฝึกหัดท้าย บทที่3 ข้อที่4-5 1) นักเรียนทำภาระ งานที่ได้รับมอบหมาย ได้ระดับดีผ่านเกณฑ์
10. เกณฑ์การประเมินผลงานนักเรียน เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการทำกิจกรรม เรื่อง โปรตีน ประเด็นการ ประเมิน ค่าน้ำหนัก คะแนน แนวทางการให้คะแนน ด้านความรู้ (K) 3 ทำแบบฝึกหัด 3.2 และแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 3 ข้อที่4-5 ได้ถูกต้องครบถ้วน จำนวน 7-9 ข้อ 2 ทำแบบฝึกหัด 3.2 และแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 3 ข้อที่4-5 ได้ถูกต้องครบถ้วน จำนวน 4-6 ข้อ 1 ทำแบบฝึกหัด 3.2 และแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 3 ข้อที่4-5 ได้ถูกต้องครบถ้วน จำนวน 1-3 ข้อ หรือไม่ถูกต้อง ด้าน กระบวนการ (P) 3 สรุปเนื้อหา เรื่อง โปรตีนได้ถูกต้องครบถ้วน 2 สรุปเนื้อหา เรื่อง โปรตีนได้ค่อนข้างถูกต้องครบถ้วน 1 สรุปเนื้อหา เรื่อง โปรตีนได้แต่ไม่ครบถ้วน ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด และเรียบร้อยถูกต้องครบถ้วน 2 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด แต่งานยังผิดพลาดบางส่วน 1 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกิดข้อผิดพลาดบางส่วน ระดับคะแนน คะแนน 3 หมายถึง ระดับดีมาก คะแนน 2 หมายถึง ระดับดี คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้ หมายเหตุแบบฝึกหัด 3.2 มี7 ข้อย่อย และแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 3 มี2 ข้อ รวมทั้งหมด 9 ข้อ
การประเมินการทำกิจกรรม เรื่อง โปรตีน ที่ ชื่อ - นามสกุล จุดประสงค์การเรียนรู้ รวม คะแนน ระดับ คุณภาพ ด้านความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 3 3 9 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28
ที่ ชื่อ - นามสกุล จุดประสงค์การเรียนรู้ รวม คะแนน ระดับ คุณภาพ ด้านความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 3 3 9 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 ระดับคุณภาพ คะแนน 9 หมายถึง ระดับดีมาก คะแนน 7-8 หมายถึง ระดับดี คะแนน 5-6 หมายถึง ระดับปานกลาง คะแนน 3-4 หมายถึง ระดับปรับปรุง
แผนการจัดการเรียนรู้ที่17 เรื่อง วิตามินและเกลือแร่ รายวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ2 รหัสวิชา ว32101 เวลา 2 ชั่วโมง หน่วยการเรียนรู้ที่3 ชื่อหน่วยการเรียนรู้อาหาร รวม 19 ชั่วโมง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ภาคเรียนที่1 บูรณาการ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อาเซียน STEM PLC สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน มาตรฐานสากล ข้ามกลุ่มสาระ 1. มาตรฐานการเรียนรู้ ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้าง และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี 2. ตัวชี้วัด ว 2.1 ม.5/17 อธิบายสมบัติการละลายในตัวทำละลายชนิดต่างๆ ของสาร 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 3.1 ด้านความรู้(K) 1) นักเรียนอธิบายสมบัติการละลายในตัวทำละลายชนิดต่างๆ ของสารได้ 3.2 ด้านกระบวนการ (P) 1) นักเรียนสามารถเขียนสูตรโครงสร้างของวิตามินที่กำหนดให้ได้ 3.3 ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการทำงาน 4. สาระสำคัญ อาหารเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์โดยไขมัน คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และวิตามินเป็น สารประกอบอินทรีย์ส่วนเกลือแร่เป็นไอออนหรือสารประกอบไอออนิก สารประกอบอินทรีย์เป็นสารประกอบของ ธาตุคาร์บอนซึ่งอาจมีธาตุอื่นเป็นองค์ประกอบร่วมด้วย เช่น ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน ซัลเฟอร์ไขมันมีทั้ง ชนิดอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวซึ่งพิจารณาได้จากชนิดพันธะระหว่างคาร์บอนอะตอมในกรดไขมัน ซึ่งใช้เกณฑ์เดียวกับ สารประกอบไฮโดรเจนคาร์บอน คาร์โบไฮเดรตที่เป็นมอนอเมอร์และพอลิเมอร์มีสมบัติแตกต่างกัน โปรตีนเป็น พอลิเมอร์ที่มีมอนอเมอร์เป็นกรดแอมิโนซึ่งมีหมู่คาร์บอกซิล และหมู่อะมิโน จึงแสดงสมบัติความเป็นกรด-เบสได้ วิตามินแต่ละชนิดมีสภาพขั้วแตกต่างกัน ทำให้บางชนิดละลายได้ในน้ำมัน บางชนิดละลายได้ในน้ำมัน ซึ่งเป็นไปตาม หลักการ like dissolves like ส่วนเกลือแร่แต่ละชนิดมีประโยชน์ที่แตกต่างกัน บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารส่วนใหญ่ ทำมาจากพลาสติกซึ่งเป็นพอลิเมอร์สังเคราะห์มีทั้งชนิดพอลิเมอร์เทอร์มอพลาสติกและพอลิเมอร์เทอร์มอเซตซึ่งใช้ งานได้แตกต่างกัน พลาสติกย่อยสลายได้ยากและมีการใช้ในปริมาณมาก จึงก่อให้เกิดปัญหาขยะ การลดการใช้การ ใช้ซ้ำ และการนำกลับมาใช้ใหม่ เป็นการช่วยปัญหาได้ทางหนึ่ง
5. สาระการเรียนรู้ 5.1 ความรู้ ร่างกายต้องการวิตามินและเกลือแร่เพื่อให้การทำงานของระบบต่าง ๆ เป็นไปอย่างปกติอาหารที่ มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูงมักมีวิตามินและเกลือแร่ในปริมาณที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย มนุษย์จึงจำเป็นต้องได้รับวิตามินและเกลือแร่เพิ่มเติมจากอาหารอื่น เช่น ผัก ผลไม้เนื้อสัตว์บางชนิด เช่น เหล็ก แคลเซียม วิตามินเป็นสารประกอบอินทรีย์มีความจำเป็นต่อกระบวนการต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น วิตามิน A ช่วยเรื่องการมองเห็น วิตามิน C ช่วยป้องกันโรคลักปิดลักเปิด วิตามิน D ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของ กระดูก วิตามิน K ช่วยในการแข็งตัวของเลือด วิตามินบางชนิดละลายในน้ำ เช่น วิตามิน C วิตามิน B1 แต่ละชนิดละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามิน A วิตามิน D วิตามิน E และวิตามิน K ดังนั้นการไม่รับประทาน ไขมันเลย อาจทำให้เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับการขาดวิตามินด้วย รูป 3.15 สูตรโครงสร้างของวิตามิน B1 C A และ D จากรูป 3.15 เมื่อพิจารณาโครงสร้างของวิตามิน C พบว่าเป็นโมเลกุลที่มีหมู่ไฮดรอกซิล (-OH) หลายหมู่ซึ่งเกิดพันธะไฮโดรเจนกับน้ำได้ส่วนวิตามิน B1 นอกจากมีหมู่ไฮดรอกซิลและหมู่แอมิโนที่เกิด พันธะไฮโดรเจนกับน้ำได้แล้ว โครงสร้างยังมีประจุที่ช่วยทำให้ละลายในน้ำได้ดีขึ้นโดยการแตกตัว วิตามิน C และ B1 จึงละลายในน้ำได้ในทางตรงกันข้ามวิตามิน A และ D ถึงแม้จะมีหมู่ไฮดรอกซิล แต่โครงสร้างมี ส่วนที่เป็นไฮโดรคาร์บอนอยู่มาก ทำให้เป็นสารที่มีขั้วน้อย จึงละลายในน้ำได้ไม่ดีแต่ละลายได้ดีในไขมัน ซึ่งโครงสร้างมีส่วนที่เป็นไฮโดรคาร์บอนอยู่มาก สมบัติการละลายของวิตามินดังที่กล่าวมาข้างต้น เป็นไปตามหลักการที่เรียกว่า “like dissolves like” คือ สารละลายได้ในตัวทำละลายที่มีขั้วใกล้เคียงกัน เนื่องจากมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล ประเภทเดียวกัน นอกจากนี้การละลายของสารประกอบประเภทอื่น เช่น กลูโคสละลายในน้ำ เมนทอล ละลายในน้ำมัน น้ำมันไม่ละลายในน้ำก็เป็นไปตามหลักการเช่นกัน หลักการ like dissolves like นำมาใช้เป็นแนวทางในการเลือกตัวทำละลายสำหรับการสกัด สารประกอบอินทรีย์ที่ไม่มีขั้วซึ่งละลายน้ำได้น้อยจากพืช เช่น การสกัดสาระสำคัญจากสมุนไพรด้วยน้ำมัน หรือขี้ผึ้ง การสกัดกลิ่นน้ำหอมจากดอกไม้บางชนิดด้วยเอทานอลซึ่งมีขั้วน้อยกว่าน้ำ หลักการ like dissolves like ยังใช้อธิบายกลไกการซักล้างคราบไคลและไขมัน ของสบู่ ผงซักฟอกน้ำยาล้างจาน โดยโมเลกุลของสารเหล่านี้มีทั้งส่วนมีขั้วหรือไม่มีขั้ว ซึ่งส่วนไม่มีขั้วทำหน้าที่ห่อหุ้ม
ไขมันและสารที่มีขั้วหันเข้าหาโมเลกุล เกิดเป็นไมเซลล์(micelle) ที่กระจายตัวในน้ำ ได้ของผสมระหว่าง น้ำและไขมันที่เรียกว่า อีมัลชัน (emulsion) ของผสมที่เป็นอีมัลชันยังพบเห็นได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่น น้ำนมน้ำสลัด ครีมทาผิว รูป 3.18 การเกิดไมเซลล์ในกระบวนการขจัดคราบน้ำมัน 5.2 กระบวนการ 1) ความสามารถในการสื่อสาร (อ่าน ฟัง พูด เขียน) 2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วิเคราะห์จัดกลุ่ม สรุป) 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แสวงหาความรู้) 4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต (ความรับผิดชอบ) 5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบค้นผ่านโทรศัพท์) 5.3 คุณลักษณะและค่านิยม ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการทำงาน 6. บูรณาการ - 7. กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่1 ขั้นสร้างความสนใจ 1.1 ครูทบทวนบทเรียน เรื่อง สมบัติความเป็นกรด-เบสของโปรตีน 1.2 ครูนำเข้าสู่บทเรียน โดยกล่าวว่า นอกจากไขมัน คาร์โบไฮเดรต และโปรตีนซึ่งเป็นสารที่ให้ พลังงานแก่ร่างกายกายแล้ว ร่างกายยังต้องการการวิตามินและเกลือแร่ให้การทำงานของระบบต่างๆ เป็นไปอย่างปกติ 1.3 ครูนำเข้าสู่บทเรียนโดยตั้งคำถาม เพื่อนำเข้าสู่กิจกรรม 1) นักเรียนจำได้หรือไม่ว่า วิตามินใดบางละลายในไขมัน 2) นักเรียนจำได้หรือไม่ว่า วิตามินใดบางละลายในน้ำ 3) นักเรียนทราบหรือไม่ว่าวิตามินแต่ละชนิดมีประโยชน์อย่างไร
4) โมเลกุลของวิตามินที่ละลายในน้ำควรมีลักษณะอย่างไรและแตกต่างจากผลของวิตามิน ที่ละลายในไขมันอย่างไร 5) นักเรียนเขียนสูตรโครงสร้างของวิตามินที่ละลายน้ำและวิตามินละลายในไขมันได้ หรือไม่ 6) นักเรียนรู้จักหลักการ like dissolves like หรือไม่ ขั้นที่2 ขั้นสำรวจและค้นหา 2.1 ครูให้นักเรียนทุกคนศึกษาค้นคว้า เรื่อง วิตามินละเกลือ, สูตรโครงสร้างของวิตามิน ในหนังสือ เรียน หน้า 75 - 79 2.2 นักเรียนทำใบงาน เรื่อง สูตรโครงสร้างของวิตามิน 2.3 นักเรียนทำแบบฝึกหัด 3.3 และ 3.4 ในหนังสือเรียน หน้า 77-79 ลงในสมุด ขั้นที่3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 3.1 ครูนำนักเรียนอภิปรายเพื่อนำไปสู่การสรุปโดยใช้คำถามต่อไปนี้ 1) วิตามินใดบางละลายในไขมัน (แนวการตอบ วิตามิน A D E และ K) 2) วิตามินใดบางละลายในน้ำ (แนวการตอบ วิตามิน C และ B1) 3) โมเลกุลของวิตามินที่ละลายในน้ำควรมีลักษณะอย่างไรและแตกต่างจากผลของวิตามินที่ ละลายในไขมันอย่างไร (แนวการตอบ โมเลกุลของวิตามินที่ละลายในในน้ำแตกต่างจากโมเลกุลของวิตามินที่ ละลายในไขมัน คือ มีประจุหรือมีหมู่ที่สามารถเกิดพันธะไฮโดรเจนกับน้ำได้หลายหมู) 4) จงอธิบายความหมายของหลักการ like dissolves like (แนวการตอบ สารละลายได้ ในตัวทำละลายที่มีขั้วใกล้เคียงกัน เนื่องจากมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลประเภทเดียวกัน) 3.2 ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเนื้อหา เรื่อง วิตามินและเกลือแร่ดังนี้ 1) โครงสร้างของวิตามินที่ละลายน้ำได้เช่น วิตามิน B1 และ C มีประจุ หรือมีหมู่ที่เกิด พันธะไฮโดรเจนกับน้ำได้หลายหมู่ เช่น หมู่ไฮดรอกซิล (–OH) หมู่แอมิโน (–NH2) ในทางตรงกันข้ามวิตามิน ที่ละลายในไขมัน เช่น วิตามิน A และ D มีโครงสร้างส่วนใหญ่เป็นไฮโดรคาร์บอน 2) หลักการ like dissolves like คือ สารละลายได้ในตัวทำละลายที่มีขั้วใกล้เคียงกัน เนื่องจากมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลประเภทเดียวกัน นอกจากนี้การละลายของสารประกอบประเภท อื่น เช่น กลูโคสละลายในน้ำ เมนทอลละลายในน้ำมัน น้ำมันไม่ละลายในน้ำ ขั้นที่4 ขั้นขยายความรู้ 4.1 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์สถานการณ์ที่มีความสัมพันธ์กับหลักการ like dissolves like หรือการนำหลักการดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันหรืออุตสาหกรรม เช่น การล้างสีทาเล็บด้วยน้ำ ยาล้างเล็บที่มีตัวทำละลายอินทรีย์เป็นองค์ประกอบ การเช็ดล้างเครื่องสำอางด้วย ครีม ที่มีน้ำมันเป็นองค์ประกอบ การสกัดสารสำคัญจากสมุนไพรด้วยน้ำมันหรือขี้ผึ้ง การสกัดกลิ่นน้ำหอม จากดอกไม้บางชนิดด้วยเอทานอล 4.2 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักการ like dissolves like ยังใช้อธิบายกลไกการซักล้างคราบ ไคลและไขมันของสบู่ผงซักฟอกน้ำยาล้างจาน โดยโมเลกุลของสารเหล่านี้มีทั้งส่วนมีขั้วหรือไม่มีขั้ว ซึ่งส่วน
ไม่มีขั้วทำหน้าที่ห่อหุ้มไขมันและสารที่มีขั้วหันเข้าหาโมเลกุล เกิดเป็นไมเซลล์(micelle) ที่กระจายตัวใน น้ำ ได้ของผสมระหว่างน้ำและไขมันที่เรียกว่า อีมัลชัน (emulsion) ของผสมที่เป็นอีมัลชันยังพบเห็นได้ ทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่น น้ำนมน้ำสลัด ครีมทาผิว ขั้นที่5 ขั้นประเมินผล 5.1ครูตรวจใบงาน เรื่อง สูตรโครงสร้างของวิตามิน 5.2 ครูตรวจสมุดของนักเรียนในการทำแบบฝึกหัด 3.3 และ 3.4 ประยุกต์และตอบแทนสังคม ครูให้นักเรียนแต่ละคนนำความรู้ที่เรียนไปค้นคว้าเพิ่มเติมที่ห้องสมุด หรือเว็บไซต์แล้วนำเสนอใน ชั้นเรียน 8. สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ 8.1 หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์(วิทยาศาสตร์กายภาพ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 1 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) 8.2 ใบงาน เรื่อง สูตรโครงสร้างของวิตามิน 8.3 อินเทอร์เน็ต 8.4 ห้องสมุด
9. การวัดและประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัด เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน ด้านความรู้(K) 1) นักเรียนอธิบายสมบัติการละลายในตัวทำ ละลายชนิดต่างๆ ของสารได้ 1) ตรวจแบบฝึกหัด 3.3 และ 3.4 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) แบบฝึกหัด 3.3 และ 3.4 1) นักเรียนทำ แบบฝึกหัด 3.3 และ 3.4 ได้ระดับดีผ่าน เกณฑ์ ด้านกระบวนการ (P) 1) นักเรียนสามารถเขียนสูตรโครงสร้างของ วิตามินที่กำหนดให้ได้ 1) ตรวจใบงาน เรื่อง สูตรโครงสร้างของ วิตามิน 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) ใบงาน เรื่อง สูตร โครงสร้างของวิตามิน 1) นักเรียนสามารถ เขียนสูตรโครงสร้าง ของวิตามินที่ กำหนดให้ ได้ระดับดีผ่านเกณฑ์ ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการ ทำงาน 1) ตรวจ Mind mapping เรื่อง ไขมัน 2) ตรวจแบบฝึกหัด 3.3 และ 3.4 3) ตรวจใบงาน เรื่อง สูตรโครงสร้างของ วิตามิน 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) แบบฝึกหัด 3.3 และ 3.4 3) ใบงาน เรื่อง สูตร โครงสร้างของวิตามิน 1) นักเรียนทำภาระ งานที่ได้รับมอบหมาย ได้ระดับดีผ่านเกณฑ์
10. เกณฑ์การประเมินผลงานนักเรียน เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการทำกิจกรรม เรื่อง วิตามินและเกลือแร่ ประเด็นการ ประเมิน ค่าน้ำหนัก คะแนน แนวทางการให้คะแนน ด้านความรู้ (K) 3 ทำแบบฝึกหัด 3.3 และ 3.4 ได้ถูกต้องครบถ้วน จำนวน 2 ข้อ 2 ทำแบบฝึกหัด 3.3 และ 3.4 ได้ถูกต้องครบถ้วน จำนวน 1 ข้อ 1 ทำแบบฝึกหัด 3.3 และ 3.4 แต่ไม่ถูกต้อง ด้าน กระบวนการ (P) 3 สามารถเขียนสูตรโครงสร้างของวิตามินที่กำหนดให้ได้ถูกต้องครบถ้วน จำนวน 5-6 ข้อ 2 สามารถเขียนสูตรโครงสร้างของวิตามินที่กำหนดให้ได้ถูกต้องครบถ้วน จำนวน 3-4 ข้อ 1 สามารถเขียนสูตรโครงสร้างของวิตามินที่กำหนดให้ได้ถูกต้องครบถ้วน จำนวน 1-2 ข้อ หรือไม่ถูกต้อง ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด และเรียบร้อยถูกต้องครบถ้วน 2 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด แต่งานยังผิดพลาดบางส่วน 1 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกิดข้อผิดพลาดบางส่วน ระดับคะแนน คะแนน 3 หมายถึง ระดับดีมาก คะแนน 2 หมายถึง ระดับดี คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้
การประเมินการทำกิจกรรม เรื่อง วิตามินและเกลือแร่ ที่ ชื่อ - นามสกุล จุดประสงค์การเรียนรู้ รวม คะแนน ระดับ คุณภาพ ด้านความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 3 3 9 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28
ที่ ชื่อ - นามสกุล จุดประสงค์การเรียนรู้ รวม คะแนน ระดับ คุณภาพ ด้านความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 3 3 9 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 ระดับคุณภาพ คะแนน 9 หมายถึง ระดับดีมาก คะแนน 7-8 หมายถึง ระดับดี คะแนน 5-6 หมายถึง ระดับปานกลาง คะแนน 3-4 หมายถึง ระดับปรับปรุง
บันทึกหลังการสอน หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง อาหาร ใ แผนการสอนที่ 17 เรื่อง วิตามินและเกลือแร่ . ใ วันที่ เดือน พ.ศ. ใ ผลการจัดการเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………... ……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………... ……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………... ……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………... ปัญหา / อุปสรรค ……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………... ……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………... ……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………... ……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………... ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ปัญหา ……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………... ……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………... ……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………... ……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………... ลงชื่อ............................................ครูผู้สอน ลงชื่อ.............................................หัวหน้ากลุ่มสาระ (นางสาวเมธินีย์ สรรเสริญ) (……………………………………………….)
คำสั่ง ให้นักเรียนศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับสูตรโครงสร้างวิตามินในหนังสือเรียน แล้วเขียนสูตรโครงสร้างของวิตามินที่ กำหนดให้ให้ถูกต้อง ชื่อ ชั้น เลขที่ ‘ ใบงาน เรื่อง สูตรโครงสร้างของวิตามิน วิตามิน B1 (thiamine) วิตามิน C (ascorbic acid) วิตามิน A วิตามิน D วิตามิน K วิตามิน E
คำสั่ง ให้นักเรียนศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับสูตรโครงสร้างวิตามินในหนังสือเรียน แล้วเขียนสูตรโครงสร้างของวิตามินที่ กำหนดให้ให้ถูกต้อง ชื่อ ชั้น เลขที่ ‘ เฉลยใบงาน เรื่อง สูตรโครงสร้างของวิตามิน วิตามิน B1 (thiamine) วิตามิน C (ascorbic acid) วิตามิน A วิตามิน D วิตามิน K วิตามิน E
แผนการจัดการเรียนรู้ที่18 เรื่อง ข้อมูลโภชนาการบนฉลากอาหาร รายวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ2 รหัสวิชา ว32101 เวลา 2 ชั่วโมง หน่วยการเรียนรู้ที่3 ชื่อหน่วยการเรียนรู้อาหาร รวม 19 ชั่วโมง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ภาคเรียนที่1 บูรณาการ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อาเซียน STEM PLC สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน มาตรฐานสากล ข้ามกลุ่มสาระ 1. มาตรฐานการเรียนรู้ ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้าง และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี 2. ตัวชี้วัด ว 2.1 ม.5/17 อธิบายสมบัติการละลายในตัวทำละลายชนิดต่างๆ ของสาร 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 3.1 ด้านความรู้(K) 1) นักเรียนอธิบายเกี่ยวกับข้อมูลโภชนาการบนฉลากอาหารได้ 3.2 ด้านกระบวนการ (P) - 3.3 ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการทำงาน 4. สาระสำคัญ อาหารเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์โดยไขมัน คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และวิตามินเป็น สารประกอบอินทรีย์ส่วนเกลือแร่เป็นไอออนหรือสารประกอบไอออนิก สารประกอบอินทรีย์เป็นสารประกอบของ ธาตุคาร์บอนซึ่งอาจมีธาตุอื่นเป็นองค์ประกอบร่วมด้วย เช่น ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน ซัลเฟอร์ไขมันมีทั้ง ชนิดอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวซึ่งพิจารณาได้จากชนิดพันธะระหว่างคาร์บอนอะตอมในกรดไขมัน ซึ่งใช้เกณฑ์เดียวกับ สารประกอบไฮโดรเจนคาร์บอน คาร์โบไฮเดรตที่เป็นมอนอเมอร์และพอลิเมอร์มีสมบัติแตกต่างกัน โปรตีนเป็น พอลิเมอร์ที่มีมอนอเมอร์เป็นกรดแอมิโนซึ่งมีหมู่คาร์บอกซิล และหมู่อะมิโน จึงแสดงสมบัติความเป็นกรด-เบสได้ วิตามินแต่ละชนิดมีสภาพขั้วแตกต่างกัน ทำให้บางชนิดละลายได้ในน้ำมัน บางชนิดละลายได้ในน้ำมัน ซึ่งเป็นไปตาม หลักการ like dissolves like ส่วนเกลือแร่แต่ละชนิดมีประโยชน์ที่แตกต่างกัน บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารส่วนใหญ่ ทำมาจากพลาสติกซึ่งเป็นพอลิเมอร์สังเคราะห์มีทั้งชนิดพอลิเมอร์เทอร์มอพลาสติกและพอลิเมอร์เทอร์มอเซตซึ่งใช้ งานได้แตกต่างกัน พลาสติกย่อยสลายได้ยากและมีการใช้ในปริมาณมาก จึงก่อให้เกิดปัญหาขยะ การลดการใช้การ ใช้ซ้ำ และการนำกลับมาใช้ใหม่ เป็นการช่วยปัญหาได้ทางหนึ่ง
5. สาระการเรียนรู้ 5.1 ความรู้ เกลือแร่เป็นไอออนหรือสารประกอบไอออนิกที่จำเป็นต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น แคลเซียมเป็นเกลือแร่ที่เป็นองค์ประกอบในกระดูกใช้ในกระบวนการทำงานของกล้ามเนื้อ ระบบ ประสาท และช่วยให้เลือดแข็งตัว โซเดียมและโพแทสเซียมเป็นเกลือแร่ที่สำคัญในการทำงานของเซลล์ ประสาท และรักษาสมดุลของเหลวในร่างกาย เหล็กเป็นเกลือแร่ที่เป็นองค์ประกอบในฮีโมโกลบินในเม็ด เลือดแดงที่มีความสำคัญต่อการลำเลียงออกซิเจนในร่างกาย ไอโอดีนเป็นเกลือแร่ที่มีความสำคัญมากแต่ ต้องการในปริมาณน้อย เพื่อการผลิตฮอร์โมนไทรอกซิน ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบเมตา บอลิซึมในร่างกาย อย่างไรก็ตามการได้รับเกลือแร่ไม่เพียงพอหรือมากเกินไปจะส่งผลต่อระบบการทำงาน ของร่างกาย เช่น การขาดแคลเซียมทำให้เป็นโรคกระดูกพรุน การขาดเหล็กทำให้เป็นโลหิตจาง การบริโภค โซเดียมเกินความต้องการอาจทำให้เกิดโรคไต ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และผู้บริโภคควรใส่ใจกับปริมาณ โซเดียมและสารอาหารอื่นที่ระบุไว้ในข้อมูลโฆษณาบนฉลากอาหาร ดังรูป 3.19 รูป 3.19 ตัวอย่างข้อมูลโภชนาการบนฉลากอาหาร 5.2 กระบวนการ 1) ความสามารถในการสื่อสาร (อ่าน ฟัง พูด เขียน) 2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วิเคราะห์จัดกลุ่ม สรุป) 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แสวงหาความรู้) 4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต (ความรับผิดชอบ) 5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบค้นผ่านโทรศัพท์) 5.3 คุณลักษณะและค่านิยม ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการทำงาน
6. บูรณาการ บูรณาการกับกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์เรื่อง ร้อยละ และอัตราส่วน 7. กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่1 ขั้นสร้างความสนใจ 1.1 ครูทบทวนบทเรียน เรื่อง วิตามินที่สามารถละลายในไขมันและน้ำ รวมถึงประโยชน์ของ วิตามิน 1.2 ครูนำเข้าสู่บทเรียนโดยตั้งคำถาม เพื่อนำเข้าสู่กิจกรรม 1) นักเรียนเคยเห็นฉลากบนถุงขนมหรือบนกล่องนมหรือไม่ 2) นักเรียนเคยอ่านข้อมูลที่ระบุบนถุงขนมหรือบนกล่องนมหรือไม่ 3) นักเรียนรู้หรือไม่ว่าข้อมูลโภชนาการบนฉลากระบุเกี่ยวกับอะไรบ้าง ขั้นที่2 ขั้นสำรวจและค้นหา 2.1 ครูนำนักเรียนศึกษา รูป 3.19 ตัวอย่างข้อมูลโภชนาการบนฉลากอาหาร 2.2 ครูถามคำถามเกี่ยวกับรูป 3.19 ให้นักเรียนตอบ ดังนี้ - อาหารชนิดนี้มีเกลือแร่อะไรบ้าง (แนวคำตอบว่า อาหารชนิดนี้มีโซเดียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส เป็นองค์ประกอบ) - อาหารชนิดนี้มีวิตามินอะไรบ้าง (แนวคำตอบว่า วิตามิน B1, B2, B12) 2.3 ครูให้นักเรียนทำใบงาน เรื่อง ข้อมูลโภชนาการบนฉลากอาหาร โดยสืบค้นข้อมูลทาง อินเทอร์เน็ต ขั้นที่3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 3.1 ครูนำนักเรียนอภิปรายเพื่อนำไปสู่การสรุปโดยใช้คำถามต่อไปนี้ 1) คำศัพท์ภาษาอังกฤษ คำว่า “ข้อมูลโภชนาการ” คือ (แนวการตอบ Nutrition Information) 2) จงอธิบายความหมายคำว่าฉลากบนโภชนาการ (แนวการตอบ ฉลากอาหารที่มีการ แสดงข้อมูลโภชนาการ ซึ่งระบุชนิดและปริมาณสารอาหารของอาหารชนิดนั้นๆ อยู่ในกรอบ ที่เรียกว่า “กรอบข้อมูลโภชนาการ”) 3) จงบอกประโยชน์ของฉลากบนโภชนาการ (แนวการตอบ 1. เลือกซื้ออาหารและเลือก บริโภคให้เหมาะสมกับความต้องการหรือภาวะทาง โภชนาการของตนได้เช่น เลือกอาหารที่ระบุว่ามี โคเลสเตอรอลต่ำ หรือ มีโซเดียมต่ำ 2. เปรียบเทียบเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารชนิดเดียวกัน โดยเลือกที่มีคุณค่า ทางโภชนาการดีกว่าได้ 3. ในอนาคตเมื่อผู้บริโภคสนใจต้องการข้อมูลโภชนาการของอาหาร ผู้ผลิตก็จะ แข่งขันกันผลิตอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่า แทนการแข่งขันกันในเรื่อง หีบห่อ สีหรือสิ่งจูงใจ ภายนอกอื่นๆ) 4) จงอธิบายความหมายของคำว่า “หนึ่งหน่วยบริโภค” (แนวการตอบ ข้อมูลบอกถึง
ปริมาณอาหารแต่ละชนิดที่ควรรับประทานใน 1 ครั้ง) 5) จงอธิบายความหมายของคำว่า “จำนวนหน่วยบริโภคต่อภาชนะบรรจุ” (แนวการตอบ เป็นข้อมูลที่ช่วยให้ผู้บริโภคประมาณได้ว่า จะแบ่งอาหารในภาชนะบรรจุนั้นสำหรับการบริโภคได้กี่ครั้ง หรือจัดแบ่งได้สำหรับกี่คน 6) จงอธิบายความหมายของคำว่า “คุณค่าทางโภชนาการต่อ 1 หน่วยบริโภค” (แนวการ ได้ปรากฏเป็นข้อมูลบนฉลากที่บอกให้ผู้บริโภคทราบว่า เมื่อรับประทานอาหารเข้าไปใน 1 หน่วยบริโภค จะได้รับสารอาหารมากน้อยแค่ไหน) 7) จงอธิบายความหมายของคำว่า “ร้อยละของปริมาณที่แนะนำต่อวัน” (แนวการ เป็นข้อมูลที่ได้จากการคำนวณเปรียบเทียบปริมาณสารอาหาร 1 หน่วยบริโภค กับปริมาณที่ร่างกาย ต้องการในแต่ละวัน ข้อมูลนี้บอกให้ผู้บริโภคทราบว่า เมื่อกินอาหารใน 1 หน่วยบริโภค จะได้สารอาหาร เป็นสัดส่วนเท่าใด ของปริมาณที่ควรได้รับใน 1 วัน) 3.2 ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเนื้อหา เรื่อง ข้อมูลโภชนาการบนฉลากอาหาร ขั้นที่4 ขั้นขยายความรู้ 4.1 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลโภชนาการบนฉลากอาหารหลากหลายรูปแบบ ขั้นที่5 ขั้นประเมินผล 5.1ครูตรวจใบงาน เรื่อง ข้อมูลโภชนาการบนฉลากอาหาร ประยุกต์และตอบแทนสังคม ครูให้นักเรียนแต่ละคนนำความรู้ที่เรียนไปค้นคว้าเพิ่มเติมที่ห้องสมุด หรือเว็บไซต์แล้วนำเสนอใน ชั้นเรียน 8. สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ 8.1 หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์(วิทยาศาสตร์กายภาพ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 1 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) 8.2 ใบงาน เรื่อง ข้อมูลโภชนาการบนฉลากอาหาร 8.3 อินเทอร์เน็ต - เว็บไซต์https://www.scimath.org/article-biology/item/507-nutrition - เว็บไซต์https://www.honestdocs.co/what-is-nutrition-facts-label
9. การวัดและประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัด เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน ด้านความรู้(K) 1) นักเรียนอธิบายเกี่ยวกับข้อมูลโภชนาการ บนฉลากอาหารได้ 1) ตรวจใบงาน เรื่อง ข้อมูลโภชนาการบน ฉลากอาหาร 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) ใบงาน เรื่อง ข้อมูลโภชนาการบน ฉลากอาหาร 1) นักเรียนตอบ คำถามได้ระดับดี ผ่านเกณฑ์ ด้านกระบวนการ (P) - - - - ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมั่นในการ ทำงาน 1) ตรวจใบงาน เรื่อง ข้อมูลโภชนาการบน ฉลากอาหาร 1) แบบประเมินการ ทำกิจกรรม 2) ใบงาน เรื่อง ข้อมูลโภชนาการบน ฉลากอาหาร 1) นักเรียนทำภาระ งานที่ได้รับมอบหมาย ได้ระดับดีผ่านเกณฑ์ 10. เกณฑ์การประเมินผลงานนักเรียน เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการทำกิจกรรม เรื่อง ข้อมูลโภชนาการบนฉลากอาหาร ประเด็นการ ประเมิน ค่าน้ำหนัก คะแนน แนวทางการให้คะแนน ด้านความรู้ (K) 3 ตอบคำถามได้ถูกต้องครบถ้วน จำนวน 5-7 ข้อ 2 ตอบคำถามได้ถูกต้องครบถ้วน จำนวน 3-4 ข้อ 1 ตอบคำถามได้ถูกต้องครบถ้วน จำนวน 1-2 ข้อ หรือไม่มีข้อใดถูกต้อง ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด และเรียบร้อยถูกต้องครบถ้วน 2 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด แต่งานยังผิดพลาดบางส่วน 1 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกิดข้อผิดพลาดบางส่วน ระดับคะแนน คะแนน 3 หมายถึง ระดับดีมาก คะแนน 2 หมายถึง ระดับดี คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้
การประเมินการทำกิจกรรม เรื่อง ข้อมูลโภชนาการบนฉลากอาหาร ที่ ชื่อ - นามสกุล จุดประสงค์การเรียนรู้ รวม คะแนน ระดับ คุณภาพ ด้านความรู้ (K) ด้าน กระบวนการ (P) ด้าน คุณลักษณะ (A) 3 - 3 6 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28