ฐานข้อมูลด้านศาสนา วัฒนธรรม และ
จารีตประเพณีท้องถิ่น ประจำปี ๒๕๖๔
สภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
โครงการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม
ภายใต้โครงการจัดทำฐานข้อมูล
ด้านศาสนา วัฒนธรรม และจารีตประเพณีท้องถิ่น ประจำปี ๒๕๖๔
คำนำ
วฒั นธรรมเปน็ สง่ิ สะท้อนให้เห็นถงึ คุณค่าวิถีชีวิตที่ชุมชนและท้องถิ่นต่าง ๆ ไดพ้ ฒั นาและสรา้ งสรรค์
ขึน้ เพอ่ื ใชเ้ ป็นเครือ่ งมือในการดาเนินชีวิต โดยแสดงออกในรูปแบบและวิธีการทีห่ ลากหลาย ทง้ั ในรูปแบบของวิถีชีวิต
ขนบธรรมเนียมประเพณี ภูมิปัญญา และศิลปะ เป็นต้น เพื่อเป็นการปลูกจิตสานึกและกระตุ้นให้คนในชุมชนท้องถ่ิน
เกดิ ความตระหนกั มคี วามต่นื ตัว และเข้ามามสี ่วนร่วมในการฟน้ื ฟเู ผยแพร่ และสืบสานภูมิปญั ญาท้องถิน่ ของตน
จังหวัดเชียงราย เป็นจังหวัดท่ีมีความหลากหลายทางชาติพันธ์ุ มีวัฒนธรรมและมีองค์ความรู้
ภูมิปัญญาท้องถิ่นท่ีแตกต่าง และความหลากหลายในองค์ความรู้ภูมิปัญญาและศิลปวัฒนธรรมท้องถ่ิ นที่มี
การสงั่ สมและสืบทอดมาอย่างต่อเนื่องและปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน การพัฒนาจังหวัดเชียงราย เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับ
ชุมชนท้องถิ่น ที่สาคัญประการหนึ่ง คือ การพลิกฟ้ืน ศิลปะ และวัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีอยู่ในท้องถ่ินน้ัน ๆ
ในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ภูมิปัญญาในแต่ละสาขา โดยเฉพาะภูมิปัญญาในการประกอบอาชีพเป็นภูมิปัญญาความรู้
เชิงศิลป์แขนงต่าง ๆ ท่ีมีศิลปินท้องถิ่นและศิลปินแห่งชาติตลอดจนช่างฝีมือ ซ่ึงวัฒนธรรมและองค์ความรู้ภูมิปัญญา
ดังกล่าวเปน็ ทรพั ยากรที่สาคญั สามารถใช้ประโยชน์หรอื เกอ้ื กูลชุมชนท้องถ่ินผู้เป็นเจ้าของได้
เพ่ือเป็นการส่งเสริม สนับสนุน สืบสาน และอนุรักษ์ฟ้ืนฟูขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม และ
ภูมิปัญญาท้องถ่ิน รวมท้ังการเสริมสร้างคุณค่าทางสังคมและจิตใจต่อมรดกทางวัฒนธรรม เป็นส่ิงสาคัญ
ในการส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้และเป็นผู้สืบทอดมรดกวัฒนธรรมของชาติ รวมทั้งให้ประชาชน
และเยาวชนในท้องถ่ินได้เรียนรู้ความสาคัญของวิถีชีวิต คุณค่าของประวัติศาสตร์ในท้องถิ่น ความเป็นมาและวัฒนธรรม
ประเพณี อันจะสร้างความภาคภูมิใจและจิตสานึกในการดูแลรักษาวัฒนธรรมประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น และเอกลักษณ์
ของชาติ เกิดการสืบสานและต่อยอดในการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมประเพณีของชาติให้สืบต่อไป กรมส่งเสริมวัฒนธรรม
จึงไดส้ นบั สนนุ งบประมาณให้สภาวัฒนธรรมจงั หวดั เชยี งราย ในการดาเนนิ งานโครงการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม
ภายใต้โครงการจัดทาฐานขอ้ มูลดา้ นศาสนา วฒั นธรรม และจารีตประเพณีท้องถนิ่ ประจาปี ๒๕๖๔ กจิ กรรมการจัดทา
ฐานข้อมูลองค์ความรู้มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมด้านศาสนาวัฒนธรรม และจารีตประเพณีท้องถิ่น ประจาปี ๒๕๖๔
ท้ังนี้ สภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ได้จัดทาหนังสือฐานข้อมูลด้านศาสนา วัฒนธรรม และจารีตประเพณีท้องถิ่น
ประจาปี ๒๕๖๔ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มน้ีจะเป็นส่วนหน่ึงในการส่งเสริม สนับสนุน สืบสาน และอนุรักษ์
ฟื้นฟูมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของจังหวัดเชียงราย ให้เป็นที่รู้จักและแพร่หลายทั้งในกลุ่มของเด็ก เยาวชน และ
ประชาชนท่วั ไป สานกั งานวฒั นธรรมจงั หวัดเชยี งรายขอขอบคุณปราชญ์ชาวบา้ นทุกทา่ นทไี่ ดใ้ หค้ วามอนุเคราะห์ข้อมูล
ภาพถา่ ย ในการจดั ทาหนงั สือองค์ความรู้เล่มน้ีเป็นอย่างย่งิ
สภาวัฒนธรรมจังหวัดเชยี งราย
มกราคม ๒๕๖๕
สารบัญ
จังหวัดเชียงราย หนา้
อาเภอเมอื งเชียงราย
อาเภอเวยี งชัย ๑
๔
อาเภอเวยี งเชียงรุ้ง ๑๗
อาเภอแมล่ าว
๓๔
อาเภอเทงิ ๔๓
อาเภอพญาเม็งราย
อาเภอขุนตาล ๕๖
๖๗
อาเภอเชยี งของ ๗๔
อาเภอเวยี งแก่น
๘๕
อาเภอพาน ๙๘
อาเภอปา่ แดด
อาเภอแมส่ รวย ๑๐๗
๑๑๖
อาเภอเวียงป่าเป้า ๑๒๕
อาเภอแมจ่ นั
๑๓๔
อาเภอแมส่ าย ๑๔๕
อาเภอแมฟ่ ้าหลวง
อาเภอเชียงแสน ๑๕๖
๑๖๙
อาเภอดอยหลวง ๑๗๘
๑๘๙
1
จังหวดั เชยี งราย
จังหวดั เชยี งราย เป็นจงั หวดั ทตี่ ง้ั อยูใ่ นภาคเหนือของประเทศไทย ตั้งอยทู่ างทศิ เหนอื สดุ ของประเทศไทย
ในเชิงภูมิศาสตร์ มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศพม่าและประเทศลาว ทางตอนเหนือและตะวันออก จังหวัดพะเยา
และจังหวัดลาปาง ทางทิศใต้ และจังหวัดเชียงใหม่ ทางทิศตะวันตกจังหวัดเชียงรายเป็นพื้นที่ด้ังเดิมของชาวไทย
เป็นเมืองเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้แต่สมัยเชียงแสนของพญามังราย ผู้ก่อต้ังเมืองเชียงรายบนพ้ืนที่ราบลุ่ม
แม่น้ากก มคี วามอุดมสมบูรณไ์ ปด้วยป่าไม้บนดอยสงู ที่สลับซับซ้อน เป็นแหล่งกาเนิดต้นน้าและน้าตกอนั งดงามหลายแห่ง
และมีเทือกเขาผีปันน้าท่ีเป็นพรมแดนกั้นสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาจนถึงด้านทิศเหนือ อีกทั้งเป็นจุดแรก
ทแ่ี มน่ า้ โขงไหลผ่านประเทศไทย และเป็นพรมแดนกั้นกลางระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาธปิ ไตยประชาชนลาว
จงั หวดั เชียงรายแบ่งการปกครองออกเป็น 18 อาเภอ มแี มน่ ้ากก แม่นา้ อิง แมน่ ้ารวก และแม่น้าโขง เป็นแม่น้า
สายสาคัญ โดยทาเลที่ต้ังของจังหวัดเชียงรายอยู่บริเวณรอยต่อระหว่าง 3 ประเทศ คือ ประเทศไทย สาธารณรัฐ
แหง่ สหภาพเมียนมา และสาธารณรฐั ประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือรูจ้ ักกันในนามของดินแดนสามเหลย่ี มทองคา
จังหวัดเชียงรายมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เป็นที่ตั้งของหิรัญนครเงินยางเชียงแสน ซึ่งเป็นนครหลวงก่อน
การกาเนิดอาณาจกั รล้านนา มี "คาเมือง" เป็นภาษาท้องถิน่ มีเอกลกั ษณ์เฉพาะตวั ทั้งด้านศิลปะ ประเพณวี ัฒนธรรมที่มี
ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ในรูปแบบล้านนา ไทใหญ่ ไทเขิน และไทลื้อจากสิบสองปันนาผสมผสานกัน นอกจากนี้
จงั หวดั เชียงรายยังขึ้นชอ่ื ว่าเป็น "เมอื งศิลปะ" และเปน็ บ้านเกิดของศิลปนิ ท่มี ีอิทธิพลอย่างมากในวงการศิลปะไทย และ
ต่างประเทศ โดยเฉพาะ ดร.ถวัลย์ ดัชนี ผู้สร้างสรรค์บ้านดา และศาสตรเมธี ดร. เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ผู้สร้างสรรค์
วัดรอ่ งข่นุ และหอนาฬิกาเมืองเชียงราย สถานทท่ี ่องเทยี่ วสาคญั ของเชียงรายทีม่ ีเอกลักษณ์เฉพาะของศิลปนิ
ความเปน็ มาของจังหวัดเชียงราย
ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า เม่ือวันท่ี ๒๖ มกราคม พ.ศ. ๑๘๐๕ หลังจากท่ีพญามังรายได้
รวบรวมหัวเมืองทางเหนือ และเสด็จไปรวมพลที่เมืองลาวกู่ต้า ช้างของพระองค์ก็ได้พลัดหายไปทางทิศตะวันออก
พระองค์จึงเสด็จตามรอยช้างไปจนถึงดอยจอมทอง ท่ีต้ังอยู่ตรงริ่มฝ่ังแม่นา้ กกนัทธี และทรงเห็นว่าชัยภูมิเหมาะแก่การ
สรา้ งเมือง จงึ ใหส้ ร้างเวียงโอบล้อมดอยจอมทองไว้ ขนานนามวา่ “เวยี งเชียงราย”
จนกระทั่งปี พ.ศ. ๑๘๓๙ ก็มีการสร้างเมืองใหม่ขึ้น ช่ือว่า “"นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่" หรือ เชียงใหม่
และตงั้ ให้เปน็ ราชธานแี หง่ อาณาจกั รลา้ นนา นบั แตน่ ้นั หลังจากท่พี ญามงั รายย้ายไปครองราชสัมบัตทิ ่เี ชยี งใหม่แล้ว
เมืองเชยี งรายก็ขึ้นตอ่ เมืองเชียงใหม่ โดยมี ขนุ คราม หรือ พระไชยสงคราม พระราชโอรสของพญามงั รายครองราช
สมบัตทิ ีเ่ ชียงรายสบื ต่อมา
ในกาลต่อมาแคว้นล้านนาไทยได้ตกอยู่ในการปกครองของพม่า ยาวนานมาจนถึงปี พ.ศ. 2330 ที่เกิด
สงครามระหว่างไทยและพม่ากันอย่างต่อเน่ือง จนกระทั่งทัพจากแคว้นเชียงตุงโดนไทยตีจนแตกพ่ายกลับไป
เมอื งเชียงรายกถ็ ูกท้งิ ร้างมาตลอด จนในปี พ.ศ. 2386 พระบาทสมเด็จพระนง่ั เกล้าเจ้าอยู่หัว รชั กาลที่ 3 ทรงโปรดใหต้ ้ัง
เมืองเชยี งรายใหเ้ ป็นเมืองในสังกัดเมืองเชยี งใหม่ กอ่ นจะกลายมาเป็นจังหวัดตั้งแตป่ ี พ.ศ. 2453 จนถงึ ปจั จุบัน
2
ท่ีตงั้ และอาณาเขต
จังหวัดเชียงรายตั้งอยู่ตอนเหนือสุดของประเทศไทย อยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่
19 องศาเหนอื ถงึ 20 องศา 30 ลิปดาเหนือ และเสน้ แวงท่ี 99 องศา 15 ลปิ ดา
ถึง 100 องศา 45 ลิปดาตะวนั ออก
ทิศเหนือ ติดต่อกับเมืองสาดและจังหวัดท่าข้ีเหล็กของรัฐฉาน สาธารณรัฐ
แหง่ สหภาพเมียนมาและแขวงบ่อแกว้ สาธารณรัฐประชาธปิ ไตยประชาชนลาว
ทิศตะวนั ออกติดตอ่ กับแขวงอุดมไซ สาธารณรฐั ประชาธิปไตยประชาชนลาว
ทิศใต้ ติดต่อกับอาเภอภูซาง อาเภอจุน อาเภอดอกคาใต้ อาเภอ
ภูกามยาว อาเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยาอาเภอเมืองปาน อาเภอวังเหนือ จังหวัด
ลาปาง และอาเภอดอยสะเก็ด จังหวดั เชียงใหม่
ทิศตะวันตก ติดกับอาเภอดอยสะเก็ด อาเภอพร้าว อาเภอไชย
ปราการ อาเภอฝาง และอาเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และเมืองสาด รัฐฉาน
สาธารณรฐั แห่งสหภาพเมียนมา แผนทจี่ งั หวดั เชียงราย
จังหวัดเชียงรายมีชายแดนติดกับสาธารณรัฐแหง่ สหภาพเมยี นมา ประมาณ 130 กโิ ลเมตร และมชี ายแดนติดต่อกับ
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประมาณ 180 กิโลเมตร เป็นเพียงหนึ่งในสองจังหวัดของประเทศไทยท่ีมีอาณา
เขตชายแดนติดต่อกบั ประเทศเพื่อนบ้านด้วยกันถึงสองประเทศในจงั หวดั เดียว
ภมู ปิ ระเทศ
จังหวัดเชียงราย มีพ้ืนที่ 11,678.369 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 7,290,000 ไร่ มีภูมิประเทศ
เป็นเทือกเขาสูงในทวีปตอนเหนือ (North Continental Highland) มีพ้ืนที่ราบสูงเป็นหย่อม ๆ ในเขตอาเภอ
แม่สรวย อาเภอเวียงป่าเป้า และอาเภอเชียงของ บริเวณเทือกเขาจะมีความสูงประมาณ 1,500-2,000 เมตร
จากระดับน้าทะเล โดยมีดอยลังกาหลวง เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในจังหวัด มีความสูง 2,031 เมตร บริเวณส่วนท่ีราบ
ตามลุ่มแม่น้าสาคัญในตอนกลางของพ้ืนท่ี ได้แก่ อาเภอพาน อาเภอเมืองเชียงราย อาเภอแม่จัน อาเภอแม่สาย อาเภอ
เชียงแสน และอาเภอเชียงของ มีความสูงประมาณ 410 - 580 เมตร จากระดับน้าทะเล ลักษณะพ้ืนที่ส่วนใหญ่
เปน็ ภเู ขาสงู มีปา่ ไม้ปกคลมุ บริเวณเทือกเขามชี น้ั ความสูง 1,500 - 2,000 เมตร จากระดับนา้ ทะเล มีท่ีราบเป็น
หย่อม ๆ ในระหว่างหุบเขา และตามลุ่มน้าสาคัญ จังหวัดเชียงรายมีภูเขาล้อมรอบโดยเฉพาะทางทิศตะวันตกเป็น
แนวเทอื กเขาผปี ันนา้ ติดต่อกนั ไปเปน็ พืดตลอดเขตจงั หวดั
ภูมอิ ากาศ
จงั หวัดเชียงรายมอี ุณหภมู ิเฉลี่ยตลอดปีประมาณ 24 องศาเซลเซยี ส
ฤดูร้อน เริ่มต้นจากกลางเดือนกุมภาพันธ์ - กลางเดือนพฤษภาคม โดยมีอุณหภูมิเฉล่ียประมาณ
32 องศาเซลเซียส
ฤดูฝน เร่ิมต้นจากกลางเดือนพฤษภาคม - กลางเดือนตุลาคม โดยมีอุณหภูมิเฉล่ียประมาณ
27 องศาเซลเซียส และมีปริมาณน้าฝนเฉลี่ยปีละประมาณ 1,768 มิลลิเมตร มากที่สุดในปี 2544 จานวน
2,287.60 มิลลเิ มตรน้อยท่สี ุดในปี 2546 จานวน 1,404.10 มิลลเิ มตร จานวนวันที่มีฝนตกเฉลีย่ 143 วนั ตอ่ ปี
ฤดูหนาว เร่ิมต้นเดือนพฤศจิกายน – กลางเดือนกุมภาพันธ์ จังหวัดเชียงรายมีอุณหภูมิเฉล่ียประมาณ
15.0 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่าสุด 0.9 - 1.0 องศาเซลเซียส 2542 สภาพอากาศของจังหวัดเชียงราย
ถือว่าหนาวจัดในพ้ืนที่ราบ อุณหภูมิจะอยู่ท่ี 7-9 องศาเซลเซียส ส่วนบนยอดดอย อุณหภูมิต่าสุดจะอยู่ท่ี
0-5 องศาเซลเซียส อุณหภูมิ -1.5 องศาที่ภูช้ีฟ้า ปลายปี 2556 จึงทาให้อากาศที่เชียงรายในช่วงฤดูหนาว
เป็นพน้ื ที่ทนี่ กั ทอ่ งเท่ียวอยากมาเป็นอยา่ งย่งิ
3
สญั ลักษณป์ ระจาจงั หวัด
ตราประจาจงั หวัด : รูปช้างสีขาวใตเ้ มฆ หมายถงึ นิมิตของความรงุ่ เรอื งในอดตี เพราะพญามงั รายเคยใช้
ชา้ งเป็นกาลงั สาคญั ในการทาศกึ ปราบศตั รูจนได้ชยั ชนะ นอกจากน้ี ช้างยงั เป็นชนวนให้พญามงั รายมาก่อร่างสร้าง
เมืองน้ีขึ้นอีกด้วย โดยว่ากันว่า หายไปจากหลักท่ีผูกไว้ พญามังรายติดตามไปจนถึงภูมิประเทศอันบริบูรณ์ริมนา้ กก
จึงโปรดให้ตั้งเมืองเชียงรายขนึ้ ณ ท่ีน้ัน
ดอกไม้ประจาจงั หวัด : ดอกพวงแสด
ต้นไมป้ ระจาจังหวัด : ต้นกาซะลองคา โดยเป็นไมท้ ่ีสมเด็จ
พระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
พระราชทานให้เป็นต้นไม้ประจาจังหวัดเม่ือวันท่ี 9 พฤษภาคม
พ.ศ. 2537 เน่ืองในโอกาสฉลองสริ ิราชสมบตั ิครบ 50 ปี
จังหวัดเชียงราย แบ่งการปกครองออกเปน็ 18 อาเภอ ดงั นี้
๑. อาเภอเมอื งเชียงราย ๑๐. อาเภอพาน
๒. อาเภอเวยี งชยั ๑๑. อาเภอปา่ แดด
๓. อาเภอเวียงเชยี งรงุ้ ๑๒. อาเภอแม่สรวย
๔. อาเภอแมล่ าว ๑๓. อาเภอเวียงปา่ เป้า
๕. อาเภอเทงิ ๑๔. อาเภอแม่จนั
๖. อาเภอพญาเม็งราย ๑๕. อาเภอแม่สาย
๗. อาเภอขนุ ตาล ๑๖. อาเภอแม่ฟ้าหลวง
๘. อาเภอเชยี งของ ๑๗. อาเภอเชียงแสน
๙. อาเภอเวียงแกน่ ๑๘. อาเภอดอยหลวง
คำ ข วั ญ อำ เ ภ อ เ มื อ ง เ ชี ย ง ร า ย
เมืองพญามังราย
สายใยน้ำกก พระหยกล้ำค่า
ไร่แม่ฟ้าหลวงรวมใจ
น้ำตกใสขุนกรณ์
สภาวัฒนธรรมอำเภอเมืองเชียงราย
5
อำเภอเมอื งเชยี งรำย
ประวัติควำมเป็นมำ
อำเภอเมืองเชียงรำย เป็นอำเภอหน่ึงของจังหวัดเชียงรำย ที่มีศูนย์กลำงกำรบริหำร ศูนย์กลำง คมนำคม
ศูนย์กลำงธุรกิจ และศูนย์กลำงทำงศำสนำและวัฒนธรรมล้ำนนำของจังหวัดเชียงรำย นับเป็นหน่ึงใน อำเภอเมือง
ทีม่ คี วำมเจริญมำกในภำคเหนอื ตอนบนรองจำกอำเภอเมอื งเชียงใหม่
อนุสำวรยี ์พอ่ ขุนเม็งรำยมหำรำช
ประวัติควำมเป็นมำของอำเภอเมืองเชียงรำย กษัตริย์ในรำชวงศ์ละวะจักรรำช (บำงตำนำน เรียกลำวจักรรำช)
ได้สืบสันติวงศ์ต่อจำกปฐมกษัตริย์ผู้สร้ำงเมืองหิรัญนครยำง จนถึงเชื้อพระวงศ์พระนำม ว่ำ ลำวเมง หรือลำวเมือง
ซึ่งต่อมำได้อภิเษกสมรสกับนำงอั้งย่ิง หรือนำงเมพคำยำย (หรือนำงเทพคำข่ำย) และ มีพระโอรสประสูติ ในปี
พ.ศ. ๑๗๘๑ พระนำมวำ่ เจำ้ เมง็ รำย (หรอื เจ้ำมงั รำย) ซึ่งไดค้ รองรำชย์ต่อจำกพระบิดำ เมอื่ ปี พ.ศ. ๑๘๐๔ และได้
มีดำริที่จะรวมเมืองน้อยใหญ่ในแคว้นล้ำนนำ (ภำคเหนือตอนบน) ให้เป็นหน่ึงเดียว จึงได้ยกทัพไปเจริญสัมพันธ์
ไมตรีและปรำบปรำมหัวเมืองต่ำง ๆ และในช่วงที่ไปหัวเมืองฝ่ำยใต้ เมื่อไปถึง ดอยจอมทอง ริมน้ำกก เห็นเป็น
ชัยภมู ดิ ี เหมำะแกก่ ำรป้องกันกำรรุกรำนของทัพเมง็ โกลทกี่ ำลงั แผ่อำนำจเข้ำครองยูนนำน พม่ำ และตงั้ เกี่ย จึงทรง
สร้ำงเมืองใหม่เป็นศูนย์กลำงของแคว้นหิรัญนครเงินยำงแทนเมือง ยำง และต้ังชื่อเมืองใหม่ว่ำ "เมืองเชียงรำย"
ในพ.ศ. ๒๓๘๕ เจ้ำผู้ครองนครเชียงใหม่ ลำปำง ลำพูน ได้ขอพระรำชทำนตั้งเมืองใหม่ต่อพระบำทสมเด็จพระน่ังเกล้ำ
เจ้ำอย่หู ัว และเมอื งเชียงรำยซึ่งถูกทง้ิ ร้ำงไปเมื่อครงั้ พระยำกำวิละทำสงครำมกับพม่ำ ก็ได้รับกำรฟืน้ ฟู อีกคร้งั หนง่ึ
แต่เป็นเมืองบริวำรของเชียงใหม่ ต่อมำได้มีประกำศเสนำบดีกระทรวงมหำดไทย ให้รวมเมืองเชียงรำย เมืองเชียงแสน
เมืองฝำง เมืองพะเยำ เวียงป่ำเป้ำ แม่ใจ ดอกคำใต้ แม่สรวย เชียงคำ เชียงของ ต้ังเป็นหัวเมืองจัตวำ เรียกว่ำ
"เมืองเชยี งรำย” อย่ใู นมณฑลพำยพั จนกระทง่ั ถงึ สมยั รัชกำลที่ ๕ ก็ได้ยกเลิกกำรปกครองแบบมณฑล เทศำภิบำล
และมปี ระกำศตั้งเมอื เชียงรำย เป็นจังหวดั เชียงรำย ตัง้ แต่นัน้ มำ
6
แผนที่อำเภอเมอื งเชยี งรำย
คำขวัญอำเภอเมอื งเชยี งรำย
เมอื งพญามงั ราย สายใยน้ากก พระหยกล้าค่า ไรแ่ มฟ่ ้าหลวงรวมใจ น้าตกใสขนุ กรณ์
ลกั ษณะทำงกำยภำพ
อำเภอเมืองเชยี งรำยต้งั อยู่ทำงตอนกลำงของจงั หวดั มอี ำณำเขตติดตอ่ กบั อำเภอและจังหวัดข้ำงเคียง ดังน้ี
- ทิศเหนอื ติดตอ่ กบั อำเภอแมจ่ นั และอำเภอแม่ฟ้ำหลวง
- ทิศตะวนั ออก ตดิ ตอ่ กบั อำเภอเวยี งเชียงรงุ้ และอำเภอเวียงชัย
- ทศิ ใต้ ตดิ ต่อกับอำเภอเทงิ อำเภอป่ำแดด อำเภอพำน และอำเภอแม่ลำว
- ทศิ ตะวนั ตก ติดต่อกบั อำเภอแมส่ รวย และอำเภอแมอ่ ำย (จงั หวัดเชียงใหม่)
7
แหลง่ เรยี นรู้/แหลง่ ท่องเท่ยี ว
๑. อนุสาวรีย์พอ่ ขนุ เมง็ รายมหาราช
ตงั้ อยู่ในตัวเมืองเชียงรำย บรเิ วณทำงแยกท่ีจะไปอำเภอแม่จัน
พ่อขุนเมง็ รำยเป็นกษัตรยิ ์องค์ที่ ๒๕ แหง่ รำชวงศ์ลวะ พระองคท์ รงสร้ำง
เมอื งเชยี งรำยเป็นเมอื งหลวงแทนหิรญั นครเงนิ ยำง พอ่ ขนุ เมง็ รำยมหำรำช
พระองค์คือปฐมกษัตริย์แห่งรำชวงศ์มังรำย ผู้สร้ำงเมืองเชียงรำยให้
เกรียงไกรในอดีต และปัจจบุ นั อนุสำวรีย์พ่อขุนเมง็ รำยมหำรำช เป็นดัง
แลนด์มำร์กของเชียงรำยท่ีผู้สัญจรผ่ำนไปมำต้องแวะไปสักกำระสักคร้ัง
โดยอนสุ ำวรยี ์แห่งนี้มลี กั ษณะเปน็ พระรูปของพระองค์หล่อด้วยทองสัมฤทธ์ิ
ขนำดหน่ึงเท่ำครึ่งทรงฉลองพระองค์ด้วยเคร่ืองทรงพระมหำกษัตรยิ ์
แบบล้ำนนำโบรำณ ประทบั ยนื บนฐำนสูงประมำณ ๓ เมตร ทรงถอื ดำบ
ด้วยพระหัตถ์ซ้ำยแนบกับพระเพลำ ทรงสวมมำลัยพระกรและสวมพระธำมรงค์ที่พระหัตถ์ขวำตรงนิ้วนำงและ
น้ิวกอ้ ย และตรงนวิ้ ชที้ พ่ี ระหตั ถ์ข้ำงซำ้ ย และทรงฉลองพระบำท ในปจั จบุ ันมตี งุ หลวงเฉลิมพระเกียรติสีทองอร่ำม
ขนำดใหญ่ประดับอยู่ทำงด้ำนหลังอนุสำวรีย์ด้วย สำหรับฐำนใต้พระบรมรูปมีคำจำรึกว่ำ "พ่อขุนเม็งรำยมหำรำช
พ.ศ. ๑๗๘๒-๑๘๖๐ ทรงสร้ำงเมืองเชียงรำยข้ึนเป็นเมืองแรกเม่ือ พ.ศ. ๑๘๐๕ ทรงสถำปนำอำณำจักรล้ำนนำไทย
ให้เป็นปึกแผ่น และทรงสร้ำงควำมสำมัคคีระหว่ำงชนชำติไทย" รู้จักพ่อขุนเม็งรำย พ่อขุนเม็งรำยเป็นกษัตริย์
องค์ท่ี ๒๕ แห่งรำชวงศ์ลวะ เป็นโอรสของพญำลำวเม็งและพระนำงเทพคำขยำย หรือพระนำงอ้ัวม่ิงจอมเมือง
ประสตู ิเม่ือวนั อำทติ ย์ แรม ๙ คำ่ เดอื น ๓ ปจี อ พทุ ธศักรำช ๑๗๘๒ และเสด็จสวรรคตที่เมืองเชียงใหมใ่ นปี พ.ศ. ๑๘๕๔
รวมพระชนมำยุได้ ๗๒ พรรษำ โดยสถูป (กู่) บรรจุพระอัฐิหรือ กู่พญำมังรำยมหำรำช ตั้งอยู่ที่วัดงำเมืองน่ันเอง
ทั้งนี้ พ่อขุนเม็งรำยได้สร้ำงเมืองเชียงรำยข้ึนบนดอยทอง จำกรำกฐำนเดิมที่เคยเป็นเมืองมำก่อน เมื่อปี พ.ศ. ๑๘๐๕
ทรงเป็นปฐมกษัตริย์แห่งรำชวงศ์มังรำยและรวบรวมบ้ำนเล็กเมืองน้อยเข้ำเป็นอำณำจักรล้ำนนำไทยจนเจริญรุ่งเรือง
จวบจนปัจจุบัน
๒. วดั พระสิงห์
ตั้งอยู่ท่ี ถนนสิงหไคล ริมแม่น้ำกก ใกล้ศำลำกลำงจังหวัดหลงั เกำ่
แต่เดิม เคยเป็น ท่ีประดิษฐำนพระพุทธสิหิงค์ องค์ที่ประดิษฐำนอยู่
ณ วิหำรลำยคำ วัดพระสงิ ห์ จังหวัดเชยี งใหม่ ในปัจจบุ ัน ตำมประวัตเิ ล่ำว่ำ
เจำ้ มหำพรหม พระอนุชำของพระเจ้ำกือนำ กษัตรยิ ผ์ ู้ครองนครเชียงใหม่
ได้อญั เชญิ พระพุทธสหิ ิงค์มำจำกเมืองกำแพงเพชร พระเจ้ำกือนำได้โปรดฯ
ใหป้ ระดษิ ฐำนไว้ ณ เมืองเชยี งใหม่ ตอ่ มำ พระเจำ้ มหำพรหมทูลขอยมื
พระพุทธสิหิงค์ มำประดิษฐำน ไว้ท่ีเมืองเชียงรำยเพ่ือหล่อจำลอง แต่เม่ือส้ินบุญพระเจ้ำกือนำ พระเจ้ำแสนเมือง
รำชนัดดำของพระองค์ได้เสด็จขึ้นครองเมืองเชียงใหม่ เจ้ำมหำพรหมคดิ จะชิงรำชสมบัติจงึ ยกกองทพั จำกเชยี งรำย
ไปประชิดเมืองเชียงใหม่ แต่เจ้ำแสนเมืองก็สำมำรถป้องกนั เมอื งได้ อีกทั้งยกทัพมำตีทัพเจ้ำมหำพรหมถึงเชยี งรำย
และคร้ังน้ีเองท่ีทรงอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ คืนกลับไปประดิษฐำนอยู่ที่ วัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่สืบมำ
นอกจำกนี้ วดั พระสงิ ห์ยังมีรอยพระพุทธบำทจำลอง บนแผ่นศิลำ กวำ้ ง ๕ นิ้ว ยำว ๖ ฟตุ มีอักษรขอมโบรำณ จำรึกว่ำ
"กุศลำธมมำ - อกศุ ลำธมมำ" สนั นิษฐำนว่ำสรำ้ งในสมยั พระเจำ้ เมง็ รำยมหำรำช
8
๓. วัดพระแก้ว
ตงั้ อยู่กลำงเมอื งเชียงรำย เลขที่ ๑๙ หมู่ที่ ๑ ถนนไตรรัตน์ ตำบล
เวียง อำเภอเมืองเชียงรำย วัดนี้ได้ เป็นสถำนท่ีค้นพบพระแก้วมรกต
หรือพระพุทธ มหำมณีรัตนปฏิมำกร ซึ่ง ประดิษฐำนอยู่ ณ วัดพระ
แก้ว กรุงเทพมหำนคร ในปัจจุบันตำมประวัติ เล่ำว่ำ เมื่อปี พ.ศ.
๑๘๙๗ ในสมยั พระเจำ้ สำมฝ่ังแกนเปน็ เจ้ำเมืองครองเชยี งใหม่นนั้ ฟ้ำ
ได้ผ่ำเจดีย์ร้ำงองค์หนึ่ง และได้ พบพระพุทธรูปลงรักปิดทองอยู่
ภำยในเจดีย์ ต่อมำรกั กะเทำะออก จึงได้พบว่ำเปน็ พระพทุ ธรูปสีเขียว
ท่ีสร้ำงด้วยหยก ซ่ึงก็คือ พระแก้วมรกต นั่นเอง ปัจจุบัน วัดพระแก้ว เป็นท่ีประดิษฐำน พระหยกซ่ึงสร้ำงขนึ้ ใหม่
ในวำระท่ี สมเด็จพระศรีนครินทรำ บรมรำชชนนี มีพระชนมำยุ ครบ ๘๐ พรรษำ ซ่ึงชื่อว่ำ "พระหยกเชียงรำย”
ซึ่งสมเด็จพระศรนี ครินทรำบรมรำชชนนีไ้ ด้ พระรำชทำนนำมว่ำ"พระพทุ ธรัตนำกรวุฒวิ ัสสำนสุ รณ์มงคล" มีขนำด
ใกลเ้ คียงกับพระแก้วมรกต เพือ่ ใหพ้ ทุ ธศำสนกิ ชนได้สกั กำรบูชำ
๔. วัดพระธาตุดอยจอมทอง วัดพระธำตุดอยจอมทอง หรือวัดพระธำตุ
ดอยทอง (หรือวดั พระธำตุดอยตอง ตำมสำเนียงคนเชียงรำย) เป็นหนงึ่ ใน
พระธำตุ ๙ จอม ต้ังอยู่ทถี่ นนอำจอำนวย ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงรำย
เปน็ วัดเก่ำแก่ และถือเป็นปชู นียสถำนแหง่ หน่ึงใน “เกำ้ จอม” ของสถำนท่ี
อันเป็นมงคลนำมของจังหวัดเชียงรำย โดยวัดพระธำตุดอยจอมทองน้ี
สันนิษฐำนวำ่ สร้ำงกอ่ นท่พี ญำมังรำยมหำรำชจะเสด็จมำพบพ้ืนท่ีบริเวณน้ี
และโปรดให้สร้ำงเมืองเชียงรำยในปี พ.ศ. ๑๘๐๕ โดยตำมประวัติที่มี
กำรกลำ่ วถึงวัดพระธำตุดอยจอมทองระบุว่ำสร้ำงขึ้นในรัชสมัยพญำเรอื นแกว้
เจ้ำผู้ครองเมืองไชยนำรำยณ์ (บรเิ วณอำเภอเวียงชัยปัจจุบัน) ปี พ.ศ. ๑๔๘๓ โดยในกำรสร้ำงวัดครงั้ น้นั ไดม้ กี ำรสร้ำง
องค์พระเจดีย์ประธำนของวัดข้ึนเพื่อเป็นท่ีประดิษฐำนพระบรมสำรีริกธำตุของสมเด็จพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำ
ที่พระมหำเถระชำวลังกำได้นำมำถวำยแด่พญำพังครำชแห่งเมืองโยนกนำคพันธุ์ ซึ่งพญำพังครำชได้โปรดให้แบ่ง
พระบรมสำรีริกธำตุออกเป็น ๓ สว่ น และนำไปประดษิ ฐำน ณ พระบรมธำตุเจดยี ์ที่สำคญั ของจังหวัดเชียงรำยในปัจจุบัน
ไดแ้ ก่ พระมหำชนิ ธำตเุ จำ้ ดอยตงุ พระธำตจุ อมกิตติ และพระธำตดุ อยจอมทองแห่งนี้
๕. กู่พระเจ้าเมง็ ราย
ต้ังอยู่หน้ำวัดงำเมืองบนดอยงำเมือง เป็นอนุสำวรีย์สำคัญแห่งหนึ่ง
เพรำะเป็นท่ีบรรจุอัฐิของพอ่ ขุนเม็งรำยมหำรำช จังหวัดเชียงรำยเป็น
อีกหนึ่งจังหวัดท่ีมีควำมสำคัญต่อประวัติศำสตร์ชำติไทยที่ได้มีกำร
บันทึกเร่ืองรำวท่ีได้เกิดข้ึน ณ อำณำจักรแห่งน้ีไว้มำกมำยซ่ึงถือว่ำเป็น
ยุคแห่งประวัติศำสตร์ท่ีสำคัญยุคหน่ึงของประเทศไทยในประวัติศำสตร์
ช่วงแรก ๆ เลยก็ว่ำได้ โดยเฉพำะที่มีควำมเกี่ยวพันกับเร่ืองดินแดน
กำรเมืองกำรปกครอง วัฒนธรรมรวมไปถึงผู้ปกครอง ซึ่งผู้ท่ีเคยศึกษ
ประวัตศิ ำสตร์
ควำมเป็นมำของจังหวัดเชียงรำยก็คงไม่มีใครไม่เคยได้ยินช่ือของพระเจ้ำเม็งรำย หรือพ่อขุนเม็งรำย ซ่ึงจังหวัด
เชียงรำยนอกจำกจะมอี นสุ ำวรยี ์สำมกษตั รยิ ์แลว้ กู่พระเจ้ำเมง็ รำยก็เปน็ อกี สถำนท่ีหนึง่ ท่ีเป็นอนุสำวรยี ท์ ส่ี ำคัญแห่ง
หนึ่งเนือ่ งจำกสถำนทแ่ี หง่ นเี้ ปน็ ที่เกบ็ และบรรจอุ ัฐิของพ่อขนุ เม็งรำยมหำรำชอดีตเจ้ำเมืองแห่งดนิ แดนนี้ กู่พระเจำ้
เม็งรำยตั้งอย่หู นำ้ วัดงำเมือง บนดอยงำเมือง นอกจำกน้ีตำมประวัติกล่ำววำ่ พระเจ้ำไชยสงครำมรำชโอรสพระเจำ้
เม็งรำยเมื่อได้มอบรำชสมบัติให้พระเจ้ำแสนภูรำชโอรสขึ้นครองนครเชียงใหม่ แล้วพระองค์ได้นำอัฐิพระรำชบิดำ
มำประทบั อยูท่ ีเ่ มอื งเชียงรำย และไดโ้ ปรดเกล้ำฯ สร้ำงก่บู รรจอุ ัฐิของพระรำชบิดำไว้ ณ ดอยงำเมืองแห่งน้ซี ่ึงก็คือ
กูเ่ ม็งรำยแหง่ นี้นี่เอง
9
๖. พุทธอุทยานดอยอินทรีย์ (วดั ดอยอินทรีย)์
ต้ังอยู่บริเวณ บ้ำนห้วยกีด หมู่ ๑ ตำบลดอยฮำง อำเภอเมืองเชียงรำย
จังหวัดเชียงรำย พุทธสถำน ธุดงค์วัดพระธำตุดอยอินทรีย์ (วัดดอยอินทรีย์)
เป็นโครงกำรพัฒนำป่ำ ไม้ (โครงกำรพระสงฆ์ช่วยงำนด้ำนป่ำไม้) โครงกำรนี้
ทำงกรมป่ำไม้ได้ เปิดโอกำสให้วัดหรือสำนักสงฆ์ได้เข้ำร่วมโครงกำรดูแลป่ำไม้
รักษำป่ำไม้ และให้เป็นสถำนท่ีปฏิบัติธรรม โดยโครงกำรพระสงฆ์ช่วยงำนป่ำไม้
ไดเ้ ริ่มตน้ เม่อื วนั ท่ี ๒๕ ตลุ ำคม ๒๕๔๘ ตำมพระรำชบญั ญตั ปิ ่ำไม้ อยำ่ งถกู ต้องตำม กฎหมำยป่ำ ปัจจบุ นั ได้มพี ระสงฆ์
ประชำชน ท่ัวไป ทง้ั ภำครฐั และเอกชน เขำ้ ร่วมปลูกป่ำ ปฏบิ ตั ธิ รรมเปน็ จำนวนมำก และในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ชำวบำ้ นในตำบล
ดอยฮำง ร่วมกับองค์กำรบริหำรส่วนตำบลดอยฮำง สำนักบริหำรพื้นที่อนุรักษ์ที่ ๑๕ กลุ่มปฏิบัติภำรกิจบริหำรงำน
ด้ำนป่ำไม้เชียงรำย สำนักงำนพระพุทธศำสนำจังหวัดเชียงรำย พุทธสมำคมจังหวัดเชียงรำย และจังหวัดทหำรบกเชียงรำย
ได้ร่วมกันสร้ำงพระพุทธรูปปำงตรัสรู้ โดยมีหน้ำตักกว้ำง ๑๐.๐๔ เมตร สูง ๑๕.๑๐ เมตร และพระเจดีย์ฐำนกว้ำง ๑๓ x ๑๓
เมตร สูง ๑๐ เมตร เพ่ือเป็นศนู ย์รวมจติ ใจของชำว เชียงรำย ตอ่ ไป
๗. สวนสมเด็จพระศรนี ครินทรฯ์ เชียงราย
ตั้งอยู่ห่ำงจำกตัวเมืองเชียงรำยประมำณ๔ กิโลเมตร บนเส้นทำงเชียงรำย-แมจ่ ัน
เข้ำไปทำงด้ำนหลังมหำวิทยำลัยรำชภัฏเชียงรำย สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์
เชียงรำย ล้อมรอบด้วยพ้ืนน้ำและพ้ืนดินที่เป็นทุ่งนำ หมู่บ้ำน ป่ำสงวน รวมทั้ง
พืน้ ทขี่ องมหำวิทยำลัยรำชภัฎเชียงรำย ไกลออกไปจะเห็นภูเขำสีเทำครำมล้อมรอบ
และใกล้ ๆ มีเนินเต้ีย ๓ เนินและพื้นท่ีรำบสวยงำม บนเนินมีต้นสุพรรณิกำร์หรือ "ฝ้ำยคำ" เป็นจำนวนมำก เมื่อถึงฤดู
ออกดอกจะเหลอื งสดใสสะพรัง่ นำ่ ประทับในพน้ื ทมี่ ีหนองนำ้ ใหญ่เรียกวำ่ "หนองบวั ใหญ"่ และหนองเล็กเรียกวำ่ "หนองบัวนอ้ ย"
ยำมเช้ำและเย็นเมื่อพระอำทิตย์ทอแสง ผิวน้ำท่ีพลิ้วเป็นระลอกจะสะท้อนแสงอำทิตย์ด้วยสีสันที่งดงำมทำให้มีประชำชน
มำเทยี่ วชมจำนวนมำก ตำมแนวแกนของสวนท่ีบนเนินจะมีพลับพลำที่ประทับเป็นสถำปัตยกรรมแบบเชียงรำยต้ังเด่นเป็นสง่ำ
แลไปทำงหนองบวั ใหญซ่ ึง่ จะเห็น "อทุ ยำนดอกไม"้ ทีป่ ลุกไมด้ อกเมืองหนำวเปน็ ขัน้ หลนั่ ลงไปตำมเนินจนชิดขอบหนอง
จุดเด่นอีกสวนหนึ่งของสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ เชียงรำยคือ "ถนนดอกไม้" ที่ยำวหลำยร้อยเมตรเป็นแกนเช่ือม
ระหว่ำงหนองบวั ใหญ่และหนองบัวนอ้ ย มสี วนปำล์ม สวนไผ่ สวนสกั และสวนรุกขชำตเิ ป็นส่วนประกอบสำคญั ด้วย
ภำยในสวนมศี ูนย์วิจัยและพฒั นำแพทยพ์ ้ืนบ้ำนแผนไทยและแผนชนเผ่ำของสถำบนั รำชภฎั เชยี งรำย มีสวนรวบรวม
พันธุ์สมุนไพร พชื ผกั พืน้ บำ้ น ภำยในสวนมีทัศนยี ภำพสวยงำม บรรยำกำศรม่ รนื่ ในเนอื้ ท่ี ๖๒๐ ไร่ มีหนองบวั ทีก่ วำ้ งขวำง
ถึง ๒๒๓ ไร่ ซึ่งเป็นส่วนท่ีทำให้สถำนที่แห่งนี้ น่ำไปพักผ่อน หย่อนใจ เพรำะน้ำในหนองบัวใสเย็นและเต็มเปี่ยม
ตลอดปี บนพนื้ ทรี่ อบหนองบัวเปน็ ท่ตี ง้ั ของพลับพลำ ศำลำพักแดด และมสี วนปำลม์ สวนไผ่อย่บู นที่ลำดเนนิ เขำ
๘. อทุ ยานศลิ ปะวัฒนธรรมแม่ฟา้ หลวง (ไรแ่ ม่ฟ้าหลวง)
เปน็ มูลนิธิ ตงั้ อยทู่ ี่หมูบ่ ้ำนปำ่ งวิ้ ตำบลรอบเวียง ห่ำงจำกตวั เมอื งเชียงรำย
ประมำณ ๔ กิโลเมตร โดยใช้เสน้ ทำงผ่ำนหน้ำคำ่ ยเมง็ รำยมหำรำชไปทำงวัดฮอ่ งล่ี มพี ื้นท่ี
๑๕๐ ไร่ เดิมรู้จักกนั ในนำม "ไร่แมฟ่ ำ้ หลวง" เคยเปน็ สำนกั งำนของมลู นิธิสง่ เสรมิ
ผลผลิตชำวเขำไทยฯ ( ชื่อเดิมของมูลนธิ ิแมฟ่ ำ้ หลวงฯ ) และยงั เปน็ สถำนที่ "ปลูกคน"
ในโครงกำรผนู้ ำเยำวชนชำวเขำ ระหว่ำงปี ๒๕๒๒-๒๕๒๘ เพอ่ื สนบั สนนุ ด้ำนสถำนทพี่ ัก
สำหรับเยำวชนชำวเขำจำกถิ่นห่ำงไกลให้ได้รับกำรศึกษำโดยนำเยำวชนเหล่ำน้ันมำอยู่ร่วมกนั ในลักษณะครอบครัว ช่วยกัน
ทำงำน ปลูกผัก ทำอำหำรด้วยกัน เพ่ือฝึกกำรพึ่งพำตัวเอง กำรอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น และกำรช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งจะ
ปูพ้ืนฐำนให้พวกเขำมีควำมเสียสละขยัน และเป็นผู้นำท่ีมีคุณธรรมต่อชุมชนพวกเขำในอนำคต ต่อมำ โครงกำรนี้ได้สิ้นสุด
เมอื่ กำรศึกษำภำคปกติของไทยขยำยเข้ำไปในพืน้ ที่หำ่ งไกลแล้ว เยำวชนจึงมีโอกำสไดเ้ รียนในโรงเรียนไกล้บ้ำน ไรแ่ ม่ฟ้ำหลวง
จึงเปลี่ยนเป็น "อุทยำนศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้ำหลวง" เพ่ือเป็นศูนย์กลำงด้ำนศิลปวัฒนธรรมล้ำนนำ สถำนท่ีเก็บรักษำและ
ให้ควำมรูเ้ ก่ยี วกับงำนพุทธศลิ ป์เก่ำแก่ สถำปัตกรรมล้ำนนำ ศิลปวัตถจุ ำกไมส้ ักและโบรำณวัตถุอำยกุ ว่ำศตวรรษ รวมถึงเป็น
ทจ่ี ดั แสดงนิทรรศกำรหมนุ เวียนของศิลปนิ ด้ำนตำ่ ง ๆ ภำยในประกอบด้วย หอคำหลวง หอคำน้อย ศำลำแกว้ และหอแกว้
10
๙. วนอทุ ยานนา้ ตกขนุ กรณ์
น้ำตกท่ีสูงและสวยที่สุดของจังหวัดเชียงรำยชำวบ้ำนเรียกวำ่
"น้ำตก ตำดหมอก" มีควำมสูงถึง ๗๐ เมตร สองข้ำงทำงที่เดิน
เข้ำสู่น้ำตกเป็นป่ำเขำธรรมชำติร่มร่ืน นำตกขุนกรณ์ ต้ังอยู่ที่
หน่วยพิทักษ์อุทยำนแห่งชำติลำนำ้ กกท่ี ๑ (น้ำตกขุนกรณ์) ตำบล
แม่กรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงรำย น้ำตกแห่งน้ีข้ึนช่ือว่ำเป็น
น้ำตกทีส่ วยท่สี ดุ ในจังหวัดเชียงรำย มีควำมสงู ประมำณ ๗๐ เมตร
นอกจำกน้ียงั มีเส้นทำงศึกษำธรรมชำติเหมำะสำหรับผทู้ ่ตี อ้ งกำร
ศึกษำทำงด้ำนธรรมชำติ เพรำะสภำพป่ำบริเวณน้ำตกขุนกรณ์มีควำมอุดมสมบูรณ์และมีควำมหลำกหลำยทำง
ชีวภำพสูง กำรเดินทำง ห่ำงจำกตัวเมืองเชียงรำยประมำณ ๓๓ กิโลเมตร สำมำรถเดินทำงด้วยรถสองแถวประจำ
ทำงสำยเชียงรำย-ปำงริมกรณ์ หรือโดยรถยนต์ส่วนบุคคลตำมทำงหลวงหมำยเลข ๑ ประมำณ ๑๓ กิโลเมตรถึง
บ้ำนร่องขุ่น และเล้ียวขวำไปตำมทำงหลวงหมำยเลข ๑๒๐๘ ประมำณ ๕ กิโลเมตรจนถึงบ้ำนสวนดอกแล้วเล้ยี ว
ซำ้ ยตำมทำงหลวงหมำยเลข ๑๒๑๑ ประมำณ ๓ กิโลเมตร จนถึงสำมแยกบ้ำนใหม่เล้ียวขวำเข้ำน้ำตกขนุ กรณ์ตำม
ทำงหลวงหมำยเลข ๑๒๐๘ ประมำณ ๑๒ กิโลเมตร จำกนนั้ เดนิ ทำงด้วยเทำ้ ข้นึ ถึงตัวนำ้ ตกประมำณ ๑.๔ กิโลเมตร
๑๐. แมน่ า้ กก
เปน็ แม่น้ำทีไ่ หลผำ่ นตวั เมอื งเชียงรำย มีควำมยำวรวมท้ังสนิ้ ประมำณ
๑๓๐ กิโลเมตร แม่น้ำกกคือแม่น้ำท่ีคอยหล่อเล้ียงชำวเชียงรำย และมี
ต้นน้ำอยู่ในบริเวณเทือกเขำชำยแดนพม่ำ ไหลเข้ำเขตไทยท่ีท่ำตอน
ไหลผ่ำนตัวเมืองเชียงรำยไปบรรจบกับแม่น้ำโขงที่บ้ำนสบกก เชียงแสน
มีควำมยำวรวมท้ังส้ิน ๑๓๐ กิโลเมตร แม่น้ำแห่งน้ีมีควำมสำคัญต่อ
วัฒนธรรมลำ้ นนำในอดีต เน่อื งจำกมีกำรค้นพบกำรตง้ั เมืองโดยรอบลำน้ำ
ปัจจุบนั แม่น้ำกกแห่งน้ีมีทัศนียภำพที่สวยงำมเหมำะสำหรับกำรพกั ผ่อนหย่อนใจ กิจกรรมน่ำทำ กำรล่องเรือไป
ตำมลำน้ำกก เพื่อชมธรรมชำติสองฟำกฝั่งน้ำ โดยเริ่มจำกท่ำเรือสะพำนแม่ฟ้ำหลวงในตัวเมืองเพื่อท่องเที่ยวชม
ทัศนียภำพของแม่น้ำกก ซึ่งสองฝ่ังเป็นธรรมชำติท่ีสวยงำม นอกจำกน้ี ยัง สำมำรถแวะชมหมู่บ้ำนชำวเขำต่ำง ๆ ไปยัง
บ้ำนกะเหรี่ยงรวมมิตร หมูบ่ ำ้ นทอ่ งเที่ยวที่เตรียมกิจกรรมข่ีข้ำงชมวิถีชำวเขำต้อนรับนักท่องเที่ยว ไมว่ ่ำจะเป็นชำวอีก้อ
ชำวลีซอ ลำหู่ ไทลือ้ ม้ง นอกจำกน้ยี ังมีกำรแสดงวฒั นธรรมชนเผำ่ ร้ำนจำหนำ่ ยของท่ีระลกึ และโฮมสเตย์ไวบ้ ริกำร
๑๑. ทวั ร์ช้างกระเหร่ยี งบ้านรวมมติ ร
ต้ังอยู่ท่ีหมู่ ๖ ตำบลแม่ยำว อำเภอเมืองเชียงรำย จังหวัดเชียงรำย อยู่
ห่ำงจำกตัวอำเภอ ประมำณ ๑๙ กิโลเมตร โดยใช้เส้นทำงร่องเสือเต้น - ห้วยขม
และต่อด้วย เส้นทำงทรำยมูล-รวมมิตร นักท่องเท่ียวสำมำรถเดินทำงโดยรถยนต์
ส่วนตัว รถยนต์โดยสำร รถทัวร์ กำร เดินทำงสะดวกสบำยเพรำะเป็น
ถนนลำดยำงจนถงึ หมบู่ ำ้ น หรอื เดินทำงโดยทำงเรือกไ็ ด้ มที ่ำเทียบเรือสำหรับ
นกั ท่องเทีย่ วทีม่ ำจำกจังหวดั เชียงใหม่ และตัวเมอื งเชยี งรำย มีทข่ี ้ึนช้ำงติดกับแม่น้ำกก นกั ท่องเที่ยวสำมำรถน่งั ชำ้ งเที่ยว
ภำยในหมู่บ้ำน เพื่อชมประเพณี ศิลปวัฒนธรรมและ ควำมเป็นอยู่ของชนเผ่ำต่ำง ๆ เช่น กระเหร่ียง ลำหู และอำข่ำ
ตลอดจนซื้อของท่ีระลึก ของฝำกท่ีทำโดยฝีมือ ของชำวเขำเผ่ำต่ำง ๆ ที่มีไว้ให้บริกำรอย่ำงหลำกหลำย นอกจำกนั้น
ยังสำมำรถนงั่ ช้ำงทวั ร์ป่ำไปเท่ียวน้ำตก ห้วยแมซ่ ้ำย ระหว่ำงทำงท่ำนจะได้ชมควำมงดงำมของ ธรรมชำติและสูดอำกำศ
ที่บริสุทธิ์ นอกจำกน้ันยังผ่ำนหมู่บ้ำนชำวเขำเผ่ำต่ำงๆ เช่น อำข่ำ ลำหู เย้ำ กระเหรียง และ จะได้เห็นขนบธรรมเนียม
ประเพณีวฒั นธรรมของชนเผ่ำด้วย
11
๑๒. น้าพุรอ้ นหว้ ยหมากเลย่ี ม
เป็นแหล่งน้ำพุร้อนธรรมชำติท่ีมีอุณหภูมิควำมร้อนประมำณ
๖๗ องศำ เซลเซียส มีที่ตั้งอยู่ภำยในวนอุทยำนน้ำตกห้วยแก้ว
บ่อน้ำร้อนห้วยหมำกเล่ียม บ้ำนผำเสริฐพัฒนำ หมู่ที่ ๕ ตำบลดอย
ฮำง อำเภอเมืองเชียงรำย จังหวัดเชียงรำย ห่ำงจำกอำเภอ
เมืองเชียงรำย ประมำณ ๒๐ กิโลเมตร สำมำรถเดนิ ทำง โดยรถยนต์
รถจักรยำนยนต์ ทำงลำดยำงตลอดสำยหรือเดินทำงโดยเรือจำก
ท่ำเรือสะพำนแม่ฟ้ำหลวง ข้ึนไป ตำมลำน้ำกกประมำณ ๒๐ นำที
ก็ถึงท่ำเรอื บริเวณน้ำพรุ ้อนท่มี พี น้ื ทป่ี ระมำณ ๕๐๐ ไร่
เปน็ บ่อนำ้ รอ้ นริมแมน่ ำ้ กก ปจั จุบนั เปน็ ที่ตั้งของทท่ี ำกำร อช. ลำนำ้ กก เป็นทร่ี ู้จกั ของนักทอ่ งเที่ยวล่องเรือตำม
ลำนำ้ กกมำนำน มีทวิ ทัศนส์ วยงำมร่มร่นื ในหน้ำแลง้ จะมโี ปรแกรมข่ีชำ้ งเท่ียว โดยชำ้ งจะพำข้ำมลำน้ำกกไปยังบ่อ
น้ำร้อน บริกำรให้แช่น้ำแร่ บ่อน้ำร้อนห้วยหมำกเล่ียมเป็นบ่อน้ำร้อนขนำด เส้นผ่ำศูนย์กลำงประมำณ ๕ ม. มีน้ำร้อน
ผุดขึ้นมำช้ำๆจำกน้ัน จะไหลเป็นห้วยเล็กๆไปยังบ่อซเี มนต์ที่ทำไว้สำหรับให้ลงแช่โดยเฉพำะ บ่อน้ำร้อนมีอุณหภูมิ
๖๗ องศำเซลเซส มแี รธ่ ำตุฟลอู อไรด์ ไนเตรด ซัลเฟต ไอโอดีน ในระดบั ที่ไม่เป็นอนั ตรำย มหี อ้ งอำบน้ำสว่ นตวั ๓๐ ห้อง
และมีสระน้ำอุ่นแบบแช่รวม มีบ้ำนพักติดน้ำกกจำนวนสำมหลัง ลำนกำงเต็นท์พักแรม ห้องน้ำ และมีร้ำนอำหำร
เคร่อื งดื่ม ไว้คอยบริกำรนักทอ่ งเท่ยี ว
๑๓. โบราณสถานถ้าพระ
อยู่ห่ำงจำกตัวอำเภอเมืองเชียงรำย ประมำณ ๕ กิโลเมตร
ลักษณะเป็น ภูเขำหินลูก เดียว สูงประมำณ ๘๐๐ เมตร ต้ังอยู่
ริมแม่น้ำกกตรงข้ำมกับหำดเชียงรำย ถ้ำน่ังเรือผ่ำนสำมำรถ มองเหน็
ทัศนียภำพบริเวณโดยรอบภำยนอกถ้ำ ภำยในถ้ำพระ มีพระพุทธรปู
องค์ใหญ่เป็นพระประธำน และ ยังมีพระพุทธรูปบูชำอีกหลำยองค์
นอกจำกนี้ ในถำ้ ยงั มีหนิ ย้อยท่ีสวยงำม
และมีค้ำงคำวอยู่เป็นจำนวนมำก นอกจำกถ้ำพระแล้ว ภำยในภูเขำหินยังมีถ้ำอื่น ๆ อีก ได้แก่ ถ้ำช้ำง ล้วง ถ้ำลม
และถ้ำหวำย บริเวณถ้ำยังคงสภำพของธรรมชำติสวย สดงดงำม มีทำงเดินรอบภูเขำ สำมำรถเท่ียวชมเดินวนไป
ตำม ถ้ำต่ำง ๆ พอสุดท้ำยจะมำบรรจบท่ีถ้ำพระท่ีอยู่บริเวณ ด้ำนหน้ำซึง่ เป็นจุดเร่ิมต้น ใช้เวลำประมำณ ๒ ช่ัวโมง
และควร เตรียมอุปกรณ์ในกำรเดินทำงให้พร้อม นอกจำกนี้ บริเวณถ้ำพระยังเป็นแหล่งประวัติศำสตร์
ทพ่ี ระบำทสมเดจ็ พระปกเกล้ำเจ้ำอยู่หวั รชั กำลท่ี ๗ เคยเสดจ็ ประพำส เมื่อวันท่ี ๑๖ มกรำคม ๒๔๖๙
๑๔. วดั ร่องขนุ่
ตั้งอยู่ที่บ้ำนร่องข่นุ ตำบลป่ำอ้อดอนชัย กิโลเมตรที่ ๘๑๗
ก่อนถึงตัวเมือง ๑๒ กิโลเมตร กำรออกแบบและสร้ำงโดย
อำจำรย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ลักษณะเด่นของวัด คือ
พระอโุ บสถถูกแต่งดว้ ยลวดลำย กระจกสี เงินแวววำว เป็นเชิงชั้น
ลดหลน่ั กนั ไป หน้ำบันประดบั ด้วยพญำนำค มงี วงงำดูแปลกตำ
เป็นท่ีน่ำสนใจ ภำพจิตรกรรมฝำผนังภำยในพระอุโบสถเป็น
ฝมี อื ภำพเขยี นของอำจำรย์เอง
12
กำรขับซอ
“ซอ” เป็นศลิ ปะการขบั ขานของลา้ นนาทม่ี มี านานเปน็ สือ่ พืน้ บ้าน
แขนงหน่ึง เน้ือหาสาระท่ีช่างซอนามาสื่อน้ันมีหลาหลายท้ังเร่ืองราวใน
ท้องถ่ิน ประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต เหตุการณ์
สาคัญ ในช่วงเวลา ต่าง ๆ รวมถึงบทซอซ่งึ แตง่ ขน้ึ ใชเ้ ฉพาะงานประเพณี
ต่าง ๆ เช่นงานบวช งานข้ึนบ้านใหม่ งานปอยข้าวสังข์ งานปอยหลวง
เปน็ ตน้ ในอดีตไมม่ สี ิ่งอานวยความสะดวก ไมม่ ีสถานบันเทงิ มากดังเช่น
ปัจจุบัน นอกจากการแสดงลิเก และซอเท่าน้ัน ดังน้ันทางเลือกของคน
สมัยก่อนโดยเฉพาะคนล้านนา จึงชอบท่ีจะฟังซอ และดูการแสดงซอ
เปน็ ส่วนใหญเ่ พราะเป็นภาษาทอ้ งถ่นิ
ซอ คือ ศลิ ปะการแสดงประเภทหนง่ึ ของล้านนา มลี กั ษณะของการขับลา
นาหรือการขับร้องด้วยถ้อยทานองต่าง ๆ อันไพเราะเป็นศิลปะการแสดงด้าน
การขบั ขานพนื้ บ้านล้านนาท่ีพบทางภาคเหนือตอนบน ซอเป็นสือ่ พื้นบ้านท่ีให้
ความบันเทงิ และเน้อื หาสาระท่นี ามาเป็นบทขับร้องเป็นองค์ความรทู้ ี่ได้รับการ
ถ่ายทอดมาจากพ่อครู แม่ครู และการนาเหตุการณ์บ้านเมืองมาร้อยเรียงเป็น
บทขับขาน เนือ้ หาจะแผงคตธิ รรม และคตโิ ลก คอื มีท้งั สาระและบันเทิงอยู่ในบทซอ
คาวา่ “ ซอ ” ในที่น้เี ปน็ ภาษาคาเมือง ภาษาถ่ินเหนือ มีความหมายว่า ขบั
ขับร้อง ร้องเพลง หรือเพลงพ้นื บา้ นลา้ นนาชนิดหนึ่ง มีผูใ้ ห้ความหมายไว้หลายท่าน
ด้วยกัน ( ทรงศกั ด์ิ ปรางวัฒนากลุ ๒๕๒๓, สงิ ฆะ วรรณลยั ๒๕๒๔, มณี พนมยงค์
๒๕๒๙ เรืองเดช ปันเข่ือนขัติย์ ๒๕๒๙, ยงยุทธ ธีรศิลป์และทวีศักด์ิ ปิ่นทอง
๒๕๓๕ ) สรุปไดว้ า่ ซอ หมายถึง การร้องเพลงพนื้ บ้านของล้านนาหรือเมืองเหนือ
ซึ่งเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า ซอพื้นเมือง เป็นการละเล่นพื้นเมืองล้านนาอย่างหน่งึ
ของชาวล้านนามีท้ังการซอโต้ตอบกันในลักษณะเพลงปฏิพากย์ระหว่าง หญิง
ตวั อย่ำงกำรประพนั ธบ์ ทขับซอ หรือซอเดี่ยว เพ่ือเล่าเรื่องพรรณนาเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยมีเคร่ืองดนตรีพ้ืนเมือง
เช่น ป่ีจุม ซึง สะล้อ ขลุ่ย บรรเลงประกอบ ได้รับความนิยมในเขต ๘ จังหวัด
ภาคเหนือ และบางส่วนของจงั หวดั สุโขทัย อุตรดิตถ์ และตาก
คำศพั ทเ์ กย่ี วกับซอ
ในหนงั สอื เรือ่ ง ซอ เพลงพ้นื บ้านลา้ นนาฯ มคี าศพั ทเ์ ฉพาะเกีย่ วกบั ซอที่ควรทราบ หรอื จะไดเ้ ข้าใจเรื่องราวของ
ซอในหนงั สือเลม่ นไ้ี ด้ง่ายข้นึ คาศัพทเ์ หล่านี้เปน็ คาเมอื ง เปน็ คาในภาษาถน่ิ เหนอื สามารถเข้าใจความหมายได้ไม่
ยากนัก ดงั ตัวอยา่ งตอ่ ไปนี้
๑. ช่าง หมายถงึ ทาได้ ทาเป็น
๒. ชา่ งซอ หมายถงึ ผู้ขับรอ้ งเพลงซอได้ ซอเป็น หรือพ่อเพลง แมเ่ พลงซอ ช่างซอมที ัง้ ชา่ งซอชายและช่างซอ
หญิง ขบั ซอโต้ตอบหรอื ร้องเสริมความกนั แก้ความกัน บางครั้งซอเดี่ยวในเร่ืองใดเรือ่ งหนง่ึ ชา่ งซอคณะหน่งึ ๆ มี
หวั หน้าคณะ ๑ คน มีคถู่ ้อง ๑ คน มีนกั ดนตรี ๑-๔ คน มีลูกคู่ประกอบอกี ๑-๓ คน ส่วนใหญ่จะเป็นลูกศษิ ย์ท่ี
ตดิ ตามเพอื่ เรยี นร้กู ารขับซอ ทาหนา้ ท่ซี อประกอบบา้ ง ฟอ้ นประกอบให้บรรยากาศครื้นเครงบ้าง นบั วา่ เปน็ การ
๓. นายสมเปน็ ชา่ งซอชาย เม่ือซอคูก่ บั นางบัวผาเปน็ ชา่ งซอหญงิ ทงั้ นายสมและนางบวั ผาเป็นคถู่ ้องกนั ช่างซอ
ทีเ่ ปน็ คู่ถ้องกนั มักจะขบั ซอในลักษณะที่ฝ่ายหนึ่งเป็นฝา่ ยถาม อกี ฝ่ายหน่งึ เป็นฝา่ ยตอบ หรอื ฝ่ายหนงึ่ พูด ฝา่ ยหน่งึ เสรมิ
13
๔.ช่างซงึ เป็นคาท่ใี ชเ้ รียกนักดนตรีท่ีทาหนา้ ท่ีทาท่ดี ีดซงึ บรรเลงประกอบการซอ
๕. ช่างป่ี เป็นคาทีใ่ ชเ้ รยี กนกั ดนตรีทีท่ าหน้าที่เป่าป่ีจุม บรรเลงเพลงประกอบการซอ เท่าท่พี บเห็นเปน็ ผู้ชาย
ลว้ น มีจานวนเท่าปจ่ี ุมทน่ี ามาเป่า
๖. เซ้ย เป็นคาอุทานที่ผูฟ้ ังเปลง่ ออกมารบั การขับบทซอทตี่ นพึงพอใจ ประทบั ใจแลว้ อุทานคาว่า “ เซ้ย ”
พรอ้ มลากเสยี งยาว ๆ เป็นขานรับบทซอนัน้ ๆ ไปในตัวด้วย การอทุ านเปล่งเสียงลักษณะน้ีช่วยสรา้ งบรรยากาศใน
การขบั ซอได้อยา่ งครนื้ เครง มีผ้กู ลา่ วว่าถ้ามีการเซ้ยแสดงวา่ ผฟู้ งั ผู้ชม เกิดอารมณ์ร่วม หรือ อารมณส์ ะเทอื นใจ
เป็นอยา่ งมากถึงขนั้ ใหเ้ งนิ เป็นรางวัลแก่ช่างซออีกดว้ ย
๗. ผาม เป็นปะราเลก็ ๆ ทสี่ ร้างขึ้นช่ัวคราว เพอื่ ใชเ้ ป็นสถานท่ีให้ช่างซอได้ตัง้ วงซอ โดยยกพื้นขนึ้ สูงประมาณ
๑-๒ เมตร มุงหลังคาแบบง่ายๆ ดว้ ยคาหรือตองตึง ถา้ อาศยั รม่ เงาจากต้นไม้ หรืออื่นๆ ก็ไม่ต้องมหี ลังคา ผามมี
ความแขง็ แรงพอทจี่ ะรบั นา้ หนักของผคู้ นไดป้ ระมาณ ๑๐ คน บนผามปูดว้ ยเส่ือ มเี ครื่องอานวยความสะดวก เช่น
คนโทนา้ เซ่ียนหมาก จานใส่ของวา่ ง เช่น เม่ยี ง เปน็ ต้น แตถ่ ้าสถานท่มี ีพอท่จี ะจัดเปน็ สัดส่วน ให้ช่างซอได้แสดง
แล้วไมต่ ้องสรา้ งผามก็ได้
การซอเดย่ี ว เป็นการขับซอเพยี งคนเดียว เรียกว่า “ซอป็อด”
(ซอส้ัน ๆไม่มีดนตรีประกอบ) มักเป็นการซอเพื่อสังสรรค์เฮฮา
ลักษณะเป็นการราพึงราพัน และการอบรมส่ังสอน ปัจจุบันไม่
เป็นท่ีนิยม การซอคู่ เป็นการขับซอระหว่างช่างซอชาย ๑ คน
กับช่างซอหญิง ๑ คนในลักษณะการโต้ตอบ ซักถามกัน ส่วนใหญ่
ผ้ซู อจะคิดคาร้องขึ้นสด ๆ ในขณะแสดง ซอคู่เป็นรูปแบบการซอ
แบบดั้งเดมิ ท่ีใชก้ ารอยา่ งแพรห่ ลายในงานบุญ ประเพณีต่าง ๆ
ลกั ษณะช่างซอ มี ๒ ชนดิ คอื กำรขบั ซอทมี่ คี ู่ถอ้ ง
๑. ซอเด่ียว หรือ ซอป้อด คือการซอโดยคน ๆ เดียวเป็น โดยมีนกั ดนตรเี ลน่ สด
ช่างซอชาย หรอื หญิงกไ็ ด้นยิ มใช้ซอเล่าเรอ่ื ง
๒. ซอถ้อง หรือซอมีคู่ถ้อง คือ การซอแบบปฏิพากย์
ซอโต้ตอบกันของช่างซอ เป็นช่างซอชายกับช่างซอหญิง หรือ
ชา่ งซอชายกับชาย หรอื ชา่ งซอหญงิ กับหญิง อย่างใดอย่างหนึ่ง
กำรขบั ซอเดีย่ ว โดยใชด้ นตรปี ระกอบ
ซ่งึ ไม่มนี กั ดนตรเี ลน่ สด
ผทู้ ถ่ี อื ปฏิบัติมรดกภมู ปิ ญั ญำทำงวัฒนธรรม
ช่ือ นำงบวั ผัน ศรพี รม และนำงทำ วันดี
ท่ีอยู่ ๖๔ และ ๑๙๔ หมู่ ๔ บำ้ นทุง่ กอ่ ตำบลทงุ่ กอ่
อำเภอเวยี งเชียงรุง้ จงั หวดั เชยี งรำย ๕๗๒๑๐
หมำยเลขโทรศพั ท์ -
14
รำโต
ศลิ ปะกำรแสดงรำนก รำโต หรอื รำก่ิงกะหร่ำ มีทีม่ ำจำกเร่อื งรำวในพุทธประวัติ
ตำมตำนำนของชำวไทใหญ่ท่ีเช่ือว่ำ เมื่อคร้ังพระพุทธเจ้ำเสด็จกลับจำกกำรแสดง
พระธรรมเทศนำโปรดพุทธมำรดำ ณ สวรรค์ชั้นดำวดึงส์ ขณะเสด็จกลับสู่โลก
มนุษย์น้ัน ได้มีพุทธศำสนิกชนพร้อมใจกันนำอำหำรไปทำบุญตักบำตรท่ีเรียกว่ำ
ตักบำตรเทโวโรหนะ พร้อมกันนั้นเหลำ่ บรรดำสัตว์หิมพำนต์ต่ำง ๆ เช่น กนิ นร
กนิ นรี เปน็ ต้น ได้พำกนั มำฟอ้ นรำแสดงควำมยินดีในกำรเสด็จของพระพุทธเจ้ำ
ชำวไทใหญ่จึงได้นำเอำท่ำกำรร่ำยรำเลียนแบบอำกัปกิริยำของกินรีมำทำกำร
ฟอ้ นรำทเ่ี รยี กวำ่ กิง่ กะหร่ำ หรือรำนก รำโต
ตัวนก มีส่วนประกอบ 3 ส่วนคือ ปีก หำง และลำตัว จะทำจำกโครงไม้ไผ่หรือหวำย และติดหุ้มด้วยผ้ำแพรสีต่ำง ๆ
ประดับกระดำษตัดเป็นลวดลำยท่ีสวยงำม ส่วนศีรษะจะมกี ำรโพกผ้ำหรือสวมหมวกยอดแหลมแล้วแต่ควำมนยิ ม
ของแต่ละท้องถ่ิน ส่วนกำรรำโตหรือก้ำโต เป็นกำรแสดงของสัตว์หิมพำนต์ท่ีมีลักษณะคล้ำยกวำงกำรรำโตจะใช้
ผ้แู สดง 2 คน เชิดหุน่ และร่ำยรำตำมจงั หวะกลองอย่ำงสนุกสนำน
ชุดนกกิ่งกะหร่ำ ถือเป็นงำนฝีมือที่สะท้อนเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมชำวไทใหญ่ ท่ีมีจินตนำกำรดัดแปลงวัสดุใกล้ตัว
ใหก้ ลำยเปน็ เสมือนตวั กนิ นร หรือกนิ นรี สัตว์ปำ่ หิมพำนต์ตำมควำมเชื่อของคนในอดีต ท่อี อกมำฟอ้ นร่ำยรำตอ้ นรับสมเด็จ
พระสมั มำสัมพุทธเจ้ำในเทศกำลวันออกพรรษำ โดยชดุ นกกิง่ กะหร่ำน้นั ประกอบดว้ ยองค์ประกอบสำคัญ คอื ปีก หำง และ
ลำตัว ปีกและหำงมีโครงสร้ำงท่ีทำจำกไม้ไผ่ นำมำเหลำขึ้นเป็นโครงเย็บติดด้วยผ้ำสวยงำม อำทิ ผ้ำลูกไม้ ผ้ำแพร และ
ผูกโยงด้วยเชือก ให้ปีกและหำงสำมำรถกำงออกได้เหมือน ปีกนก โดยปีกและหำงผูกเชือกให้คล้องกับข้อมือ เพ่ือใช้บังคับ
ในกำรร่ำยรำ ส่วนลำตวั สวมใสเ่ สื้อกำงเกงสีเดียวกนั ในอดตี ชุดนกกิง่ กะหรำ่ จะมปี ีกและหำงแยกกัน
ปัจจุบันบำงท่ีทำให้ปีกและหำงเป็นชิ้นเดียวกันเพ่ือสะดวกในกำรจัดทำ โดยสมัยก่อนนั้นจะใช้กระดำษสำมำย้อมสี
เอำมำตกแต่งให้เป็นลวดลำยให้ดูสวยงำม และให้ผู้ชำยที่สูงอำยุเป็นคนรำโดยจะใช้หน้ำกำกสวมใส่แทนกำรแต่งหน้ำ
ชำ่ งผู้ทำสว่ นใหญจ่ ะเปน็ ผสู้ อนท่ำรำในกำรฟ้อนนกกิง่ กะหรำ่ ไปพร้อมกนั ซึ่งมเี ชอ้ื สำยไทใหญ่ สง่ ตอ่ ภมู ิปัญญำทำง
ประเพณีและวฒั นธรรมอันดีงำมสู่ชนรุ่นหลังต่อไป
กำรฟ้อนนกกิ่งกะหร่ำกำร “ฟ้อนนกกิ่งกะหร่ำ” ถือเป็นส่วนหน่ึงของกิจกรรมเฉลิมฉลองเน่ืองในเทศกำลวันออกพรรษำ
ของชำวไทใหญ่ท่ีปฏิบัติสืบทอดกันมำหลำยร้อยปี ด้วยเหตุท่ีชำวไทใหญ่นับถือศำสนำพุทธอยำ่ งเคร่งครัดเทศกำล
ออกพรรษำ ซ่ึงตรงกับวันข้ึน 15 ค่ำ เดือน 11 จึงเหมือนเป็นประเพณีที่ชำวไทใหญ่ให้ควำมสำคัญเป็นอยำ่ งมำก
ด้วยถือเป็นวันท่ีพระพุทธเจ้ำเสด็จลงจำกสวรรค์ชั้นดำวดึงส์มำยังโลกมนุษย์ ดังเร่ืองรำวพุทธประวัติที่เล่ำขำนกันไว้ว่ำ
ในวันออกพรรษำเปน็ วันทส่ี มเด็จองค์พระสมั มำสมั พุทธเจ้ำเสด็จลงจำกสวรรค์ชน้ั ดำวดงึ ส์มำยงั โลกมนุษย์ หลังจำก
ท่ีพระองคไ์ ด้เสด็จไปจำพรรษำ และแสดงพระธรรมเทศนำโปรดเทพบตุ รพุทธมำรดำซึ่งอยู่สวรรค์ชัน้ ดุสิต แต่ลงมำ
ฟังพระธรรมเทศนำท่ีช้ันดำวดึงส์ ครั้นถึงวันปวำรณำออกพรรษำ วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 พระพุทธองค์จึงเสด็จ
ลงสู่โลกมนุษย์ทำงบันไดทิพย์ทั้ง 3 ได้แก่ บันไดเงิน บันไดทอง และบันไดแก้ว ซึ่งสักกเทวรำช (พระอินทร์) ให้พระวิษณุกรรม
เนรมิตทอดจำกสวรรค์ชั้นดำวดึงส์สู่โลกมนุษย์ เมื่อควำมทรำบดังนั้นเหล่ำบรรดำสิงสำรำสัตว์น้อยใหญ่ในป่ำหิมพำนต์
แดนไกล และนักสิทธ์ิวิทยำธรรูปร่ำงแปลก ๆ รวมถึงมนุษย์ต่ำงก็ยินดีท่ีจะได้พบกับพระพุทธองค์ จึงมีกำรเตรียมกำร
แสดงไวค้ อยต้อนรับด้วยพำกันมำฟอ้ นรำแสดงควำมยินดใี นกำรเสดจ็ กลับมำของพระพุทธเจ้ำ
ผ้ทู ี่ถอื ปฏิบตั ิมรดกภมู ปิ ญั ญำทำงวัฒนธรรม
ชอ่ื นำยทวัส แสนคำกอ้ น
ท่ีอยู่ บ้ำนสันป่ำก่อ ตำบลรอบเวยี ง
อำเภอเมอื งเชียงรำย จังหวัดเชียงรำย ๕๗๐๐๐
หมำยเลขโทรศพั ท์ -
15
ขำ้ วสม้ ไทใหญ่ ข้ำวปั้นชำติพันธ์ุ
ชำวไทใหญ่ หรอื กลมุ่ ชนท่คี นในล้ำนนำเรียกว่ำ “เงย้ี ว” มถี ่ินฐำนอยู่
แคว้นรัฐฉำนของพม่ำ ชำวไทใหญ่มีควำมมีควำมเก่ียวข้องกับล้ำนนำ
มำตลอด เป็นควำมสัมพันธ์ทำงด้ำนเครือญำติ และวัฒนธรรม เชื้อสำย
ของรำชวงศ์มังรำยได้ปกครองเมืองไทใหญ่ และเช้ือสำยของไทใหญ่เคย
เป็นกษัตรยิ ป์ กครองลำ้ นนำ คอื เจำ้ เมกุฎสทุ ธิวงศ์ (เจำ้ แม่ก)ุ กษัตรยิ ์องค์
สุดท้ำยของรำชวงศ์มังรำยก่อนท่ีจะตกอยู่ภำยใต้กำรปกครองของพม่ำ
ในสมยั ตระกุลกำวิละ เชอื้ วงศ์เจำ้ เจ็ดตน กม็ คี วำมสมั พนั ธด์ ้ำนเครือญำติ
กับเชื้อสำยเจ้ำฟ้ำหลวงไทใหญ่ แต่ในบำงยุคสมัยล้ำนนำไทยกับรัฐไทใหญ่ก็เกิดควำมขัดแย้งบำดหมำงกัน
โดยเฉพำะในชว่ งเวลำทมี่ หำอำนำจตะวันตกเข้ำมำแทรกแซงทำงกำรเมืองในพทุ ธศตวรรษที่ 24-25
สำหรับอำหำรของชำวไทยใหญส่ ว่ นใหญม่ กั จะปรุงจำกพชื ผกั หรือยอดไม้เป็นส่วนใหญ่ เรยี กไดว้ ำ่ เม่อื ได้รับประทำน
อำหำรไทยใหญ่แลว้ ไม่แตกต่ำงจำกกำรรับประทำนยำสมนุ ไพร อำหำรยอดฮิตสำหรับชำวไทยใหญท่ ่ีมมี ำยำวนำนคือ ถวั่ เนำ่
หรอื เต้ำหถู้ วั่ เหลือง และยังมีอำรหำรต่ำงๆอีกมำกมำยทน่ี ำ่ รับประทำน เช่น ถว่ั พูอนุ่ ข้ำวแรมฟืน ข่ำงปองมะละกอ เป็นต้น
“ข้ำวส้ม” ของชำวไทใหญ่นนั้ คอื กำรหุงขำ้ วเจำ้ ให้สกุ แลว้ นำไปคลุกกับมะเขอื เทศลูกเล็กๆ ที่เรยี กว่ำมะเขือสม้
เพรำะมีรสเปร้ียวกว่ำมะเขือเทศพันธ์ุอ่ืนๆ โดยใช้รสเปรี้ยวหวำนธรรมชำติจำกมะเขือเทศ เพ่ิมโปรตีนด้วยกำรใส่
เน้ือปลำแม่น้ำลงไปคลุกให้เข้ำกัน หรือจะใส่มันฝรั่งต้มสุกแล้วบดลงไปด้วยกันก็ได้ แล้วปั้นเป็นลูก เป็นข้ำวปั้น
เวอร์ชน่ั ไทใหญท่ ่ใี ห้คณุ คำ่ ทำงอำหำรพร้อมสรรพ
วิธีทำ เร่ิมจำกกำรเจียวกระเทียมให้เหลืองหอม แล้วใส่ผงขมิ้นลงไปผัดให้มีสีสัน ตักเอำกระเทียมแยกออกมำ
แล้วใส่มะเขือเทศและเนอ้ื ปลำหรอื หมูสับลงไปผัดในนำ้ มนั กระเทียมเจียว ตรงน้ีถ้ำใครไม่สะดวกในกำรใช้เนื้อปลำ
จะใส่กุ้งแห้งปน่ แทนกไ็ ด้หรือจะใส่ทุกอยำ่ งก็ยง่ิ อร่อย สำหรบั คนกินมงั สวิรัติยังสำมำรถพลิกแพลงใสเ่ ห็ดแทนได้ด้วย
เติมน้ำนิดหน่อย ปรุงรสด้วยเกลือหรือน้ำปลำ ผัดจนมะเขือเทศและเนื้อปลำสุก จึงตักเอำเนื้อปลำมำแกะเอำก้ำง
และลอกหนงั ออก
จำกนัน้ หำชำมโคมมำ 1 ใบ ตักข้ำวสวยใส่แลว้ ใส่มะเขอื เทศและเน้อื ปลำลงไปคลกุ ใหเ้ ขำ้ กนั ถ้ำจะใส่มนั ฝรงั่ บด
ดว้ ยก็ใสล่ งไปคลุกตอนนี้ พรอ้ มกบั น้ำจำกกำรผดั เครื่อง ปรุงรสดว้ ยเกลือ ชมิ รสตำมชอบ เมื่อไดร้ สชำตถิ กู ปำกแลว้
ก็ปน้ั เปน็ ลูกกลมขนำดใหญ่ เล็ก ตำมชอบ หรือจะใส่พมิ พก์ ดเป็นทรงเก๋ๆ ได้ตำมควำมพอใจ
จัดเรียงข้ำวส้มใส่จำนให้สวยงำม โรยด้วยกระเทียมเจียวและ
ต้นหอมซอย สำหรับเวอร์ชั่นไทใหญ่แท้ จะขำดถั่วเน่ำไม่ได้ ให้นำถ่ัว
เน่ำแค็บไปป้ิงไฟแล้วป่นมำโรยหน้ำ เคียงด้วยพริกแห้งทอด ผักสดต่ำง
ๆ ตำมชอบ ท่ีเข้ำกันดีได้แก่ กระเทียมสด หอมแดง ต้นหอม ผักชี
แตงกวำ รำกชู แคบหมู และถัว่ เน่ำแข็บปิง้ จะกนิ เพยี งเท่ำนี้หรือกินกับ
กบั ข้ำวอน่ื อยำ่ งจน้ิ ลุง ไกอ่ ุ๊บ หรือแกงฮังเลกเ็ ขำ้ กันดี
ผทู้ ีถ่ อื ปฏิบตั ิมรดกภูมิปญั ญำทำงวัฒนธรรม
ช่อื สมำคมศิลปินปี่ซอล้ำนนำ เชยี งรำย
ทีอ่ ยู่ สำนักงำนวัฒนธรรมจงั หวัดเชยี งรำย ตำบลริมกก
อำเภอเมืองเชยี งรำย จังหวัดเชียงรำย ๕๗๑๐๐
หมำยเลขโทรศพั ท์ ๐๕๓ ๑๕๐๑๖๙
16
ผ้ำทอสันทรำย
ผ้ำทอสันทรำย เป็นมรดกภูมิปัญญำที่นำงบุหงำ จันหน่อแก้ว และ
นำงมอญ ยำวิชยั นำมำถ่ำยทอดให้กบั คนในชุมชน ซงึ่ แต่เดมิ ท่ำน
ทง้ั สองมีภูมิลำเนำเป็นคนจังหวดั น่ำน และได้อพยพย้ำยถิ่นฐำนมำ
ตั้งรกรำกท่ีจังหวัดเชียงรำย จึงได้นำควำมรู้และทักษะกำรทอผ้ำ
นำมำประกอบเป็นอำชีพ โดยเริ่มจำกกำรทอผ้ำพื้น จำกนั้นไดร้ ับ
กำรสนับสนุนจำกสำนักงำนอุตสำหกรรมจังหวัดเชียงรำยในกำร
นำวิทยำกรมำให้ควำมรู้ในเร่ืองกำรออกแบบลวดลำยทำให้ผ้ำทอ
สนั ทรำยมีเอกลกั ษณ์ท่ีโดดเดน่ เรอื่ งของกำรทอผ้ำลำยยกดอก
กำรยกดอก เป็นเทคนิคกำรทำลวดลำยในกำรทอผ้ำ ซ่ึงเกิดจำก
วิธีกำรยกและแยกเส้นไหม ในกำรทอต้องใช้เท้ำในกำรเหยียบเพื่อยก
ตะกรอสลับไปมำตำมลวดลำยที่กำหนดไว้ ผำ้ ยกดอกมีลักษณะเด่น คอื
ในผนื ผำ้ จะมีลวดลำยในตัว โดยผวิ สมั ผัส ผ้ำยกดอกจะมีควำมนนู ของผืน
ผ้ำแต่ละชิ้นแตกต่ำงกัน ข้ึนอยู่กับลวดลำยแต่ละลำย บำงคร้ังอำจมี
กำรจกฝำ้ ยเพ่มิ เติมเพอื่ เพมิ่ ลวดลำย ในกำรทอผ้ำยกนั้นจะทอยกลวด
ลำยใหน้ นู สูงขน้ึ กวำ่ ผืนผ้ำ โดยเลือกยกบำงเสน้ และข่มบำงเสน้ แล้วพุ่ง
กระสวยไปในระหว่ำงกลำงด้วยดิ้นเงิน หรือด้ินทอง เดิมนั้นผ้ำยกดอก
ถือไดว้ ำ่ เป็นผ้ำโบรำณท่ีอดีตใช้ในคุ้มเจำ้ หรอื ในรำชสำนักเทำ่ นั้น
วสั ดุ - อุปกรณ์
1. ฝำ้ ย
2. กี่ทอผ้ำ ได้แก่ เครื่องทอผ้ำพื้นเมือง ท่ีเรียกว่ำ กี่ หรือ หูกทอผ้ำ,
ฟืม, เขำฟืม, ไม้เหยียบ, เข้ียวหมำหรือฟันปลำ, ไม้หำบเขำ
และไมห้ ำบฟนื , มะล้อ, หัวนก, กระสวยและหลอดไม้, ไมส้ ะปำ้ น
3. เฟือขอ
4. กงกวำ๊ ง
5. เพียนปัน่ ด้ำย
6. กระปอ๋ งหรือหลอดฝำ้ ยขนำดใหญ่
ขันตอนกำรทอผ้ำ 7. บนั ไดลิง
1. นำเสน้ ด้ำยทยี่ อ้ มแล้วมำกรอใส่หลอด
2. นำไปโว้นกบั หลักเพ่อื ให้ไดจ้ ำนวนเสน้ ด้ำยและควำมยำว
ตำมท่ีตอ้ งกำร ผ้ทู ถี่ อื ปฏิบตั ิมรดกภมู ปิ ญั ญำทำงวฒั นธรรม
3. เสน้ ด้ำยท่ีโว้นแล้วนำไปมว้ นเข้ำลูม ชอ่ื นำงบหุ งำ จนั หน่อแกว้
4. นำเส้นดำ้ ยมำร้อยตะกอ (เขำ) และฟันหวี (ฟืม) จนครบ ท่ีอยู่ 108 หมู่ 2 บ้ำนสนั ทรำยนอ้ ย
ตำมจำนวนเสน้ ดำ้ ยทกี่ ำหนดไว้ ตำบลสนั ทรำย อำเภอเมืองเชยี งรำย
5. จำกนัน้ นำดำ้ ยพ่งุ ทีเ่ ตรยี มไว้ไปกรอใสห่ ลอดเล็กสำหรบั จังหวัดเชียงรำย ๕๗๐๐๐
ใส่กระสวยเพอื่ ใชท้ อ หมำยเลขโทรศัพท์ 086 187 5791
6. เรมิ่ ทอผำ้ ไดต้ ำมลำยทกี่ ำหนดไว้
คำ ข วั ญ อำ เ ภ อ เ วี ย ง ชั ย
พระธาตุศรีจอมเทพสวยเด่น
หนองหลวงแหล่งปลา
ดอนศิลาผาใหญ่
พระเจ้ากือนาลือไกล เวียงชัยข้าวดี
สภาวัฒนธรรมอำเภอเวียงชัย
อำเภอเวียงชัย 18
ประวตั ิควำมเป็นมำ
พงศาวดารหลายฉบับกล่าวว่า เม่ือราวปี พ.ศ. ๑๙๐๐ พระเจ้าไชยนารายณ์ โอรสองค์ที่ ๒ ของพญามังราย
ได้ทรงสร้างเมืองข้ึนอีกเมืองหนึ่งที่ต้าบลดอนมูล แม่น้าลาวหรือแม่น้ากาหลง เรียกชื่อเมืองว่า “เวียงชัยนารายณ์”
ตอ่ มาเมืองได้รา้ งไปเนอ่ื งจากภยั ของสงคราม จนกระทงั่ ถึงสมยั กรุงรตั นโกสินทร์ ซึง่ ปรากฏเรอ่ื งราวในประวตั อิ กี ว่า
เมืองรา้ งแห่งนั้นเรียกวา่ “ปงเวียงชยั ” อยหู่ ่างจากเมอื งเชียงรายไปทางทิศตะวันออกเฉยี งใต้ประมาณ ๘ กโิ ลเมตร
ไดม้ ีผคู้ นเรมิ่ ทยอยเข้าไปท้ามาหากินต้งั บ้านเรอื นจนกลายเปน็ หมู่บ้านเรียกว่า “ปงเวียงชัย” ต่อมาราษฎรไดอ้ พยพ
เขา้ มาอยใู่ นพ้ืนท่ีนัน้ มากขึน้ จึงตง้ั เปน็ ตา้ บล เรยี กวา่ “ตา้ บลเวียงชัย”
ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ได้แยกออกจากอ้าเภอเมืองเชียงราย
ต้ังเปน็ ต้าบลเวียงชัย ต้าบลทุ่งกอ่ ออกเป็นกง่ิ อา้ เภอต่อกระทรวงมหาดไทย
และในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ กระทรวงมหาดไทยได้ออกประกาศ ลงวันที่ ๓๐
พฤษภาคม ๒๕๑๗ ให้แบ่งท้องท่ีอ้าเภอเมืองเชียงราย จ้านวน ๓ ต้าบล
คอื ต้าบลเวียงชัย ต้าบลทุง่ กอ่ ต้าบลผางาม ตง้ั ขน้ึ เปน็ ก่ิงอ้าเภออกี
แห่งหนึ่งเรียกว่า “ก่ิงอ้าเภอเวียงชัย” ตั้งแต่วันที่ ๓๐ พฤษภาคม
๒๕๑๗ และยกฐานะเป็นอา้ เภอเม่ือวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๒๒ ต่อมา
เม่ือวันท่ี ๑ เมษายน ๒๕๓๘ กระทรวงมหาดไทย ได้ออกประกาศแยก
ต้าบลทุ่งก่อ ต้าบลดงมหาวัน ต้าบลป่าซาง ออกจากอ้าเภอเวียงชัย
จัดตงั้ เปน็ “กิง่ อา้ เภอเวียงเชียงรุ้ง” ปัจจบุ ันอ้าเภอเวียงชัย แบง่ เขต
การปกครองออกเป็น ๕ ต้าบล ๗๕ หมบู่ า้ น
แผนทอ่ี ำเภอเวียงชัย
คำขวญั อำเภอเวยี งชัย
“พระธาตุศรจี อมเทพสวยเด่น หนองหลวงเปน็ แหลง่ ปลา
ดอนศลิ าผาใหญ่ พระเจา้ กอื นาลือไกล เวยี งชยั ข้าวดี”
ลกั ษณะทำงกำยภำพ
1. สภำพท่ัวไป
อ้าเภอเวียงชัย ต้ังอยู่ทางทิศตะวันออกของจังหวัดเชียงราย โดยท่ีว่าการอ้าเภอ ตั้งอยู่ท่ี
บ้านกลางเวยี ง หมู่ท่ี ๑ ต้าบลเวียงชัย อยู่ห่างจากตัวจังหวดั เชียงราย ประมาณ 12 กิโลเมตร มีทางหลวงจากตวั
จังหวัดเชียงราย ถงึ ทวี่ ่าการอ้าเภอเวยี งชยั จ้านวน ๓ เส้นทาง คือ
- เสน้ ทางจากแยกบา้ นหวั ดอย ต้าบลทา่ สาย ประมาณ ๑๓ กโิ ลเมตร
- เส้นทางแยกจากถนนพหลโยธิน วดั ศรที รายมลู ประมาณ ๑๑ กิโลเมตร
- เสน้ ทางจากหา้ แยกพ่อขนุ เมง็ ราย ประมาณ ๑๕ กิโลเมตร
อำณำเขตตดิ ตอ่
- ทศิ เหนอื ตดิ ต่อกับอ้าเภอเวยี งเชยี งรุ้ง จังหวัดเชยี งราย
- ทิศใต้ ตดิ ตอ่ กบั อ้าเภอเมอื งเชียงราย จังหวัดเชียงราย
- ทศิ ตะวนั ออก ติดต่อกบั พญาเม็งราย จังหวัดเชยี งราย
- ทิศตะวนั ตก ติดตอ่ กบั อา้ เภอเมอื งเชยี งราย จงั หวัดเชยี งราย
เนอ้ื ที่ 19
อา้ เภอเวยี งชัย มพี ื้นท่ีท้งั หมด ประมาณ ๓๑๘.๖๕ ตารางกิโลเมตร
๒. สภำพภูมปิ ระเทศ
พ้ืนท่ีโดยทั่วไปเป็นท่ีราบกวา้ ง มีภูเขาเรียงราย เป็นแนวเขตติดต่อกบั อ้าเภอต่าง ๆ บางส่วนเป็นแนวเขา
ลอนลึกและลอนตื้นลาดชัน จากทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอ้าเภอ พื้นที่ ๔ ต้าบล อยู่ในเขตป่า
สงวนแหง่ ชาติ ป่าหว้ ยสกั และปา่ แม่กกฝ่ังขวา มรี ะดบั ความสูงจากน้าทะเลประมาณ ๔๒๐ เมตร
๓. ลกั ษณะภมู ิอำกำศ
อ้าเภอเวียงชัย มีลักษณะภูมิอากาศ โดยทั่วไปเป็นแบบร้อนชื้น สลับกับร่องมรสุมพัดผ่านมีอุณหภูมิเฉลี่ย
ตลอดปีประมาณ 25 องศาเซลเซยี ส อณุ หภมู สิ ูงสดุ ประมาณ 37 องศาเซลเซียส แบ่งได้เปน็ 3 ฤดู ไดแ้ ก่
1. ฤดฝู น เร่มิ ประมาณช่วงเดือนพฤษภาคม - ตุลาคม ของทุกปี โดยได้รบั อทิ ธพิ ลจากลมมรสุมตะวันตก
เฉยี งใต้เป็นส่วนใหญ่ และมีปริมาณน้าฝนโดยเฉลยี่ 1,660 มิลลิเมตร (มม.) ตอ่ ปี
2. ฤดูหนำว เร่ิมประมาณช่วงเดือนพฤศจกิ ายน - กมุ ภาพันธ์ ของทุกปี เปน็ ชว่ งทไี่ ดร้ ับอิทธิพลจากลมมรสุม
ตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ซงึ่ ในชว่ งเดือนมกราคมจะเปน็ ช่วงทีม่ ีอุณหภมู ติ ่้าสดุ ประมาณ 6 องศาเซลเซยี ส
3. ฤดูร้อน เร่ิมประมาณช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน ของทุกปี ช่วงปลายเดือนเมษายน - ต้นเดือนพฤษภาคม
เป็นช่วงทมี่ กั จะมลี มพายุและฝนตกรุนแรง มักจะมีลูกเห็บตกเป็นบริเวณกว้าง และจะมอี ณุ หภมู ิสูงสุดประมาณ 37 องศาเซลเซียส
แหล่งเรียนรู้
๑. พพิ ิธภณั ฑ์พน้ื บำ้ นตำบลเวียงเหนอื
การจัดท้าเกิดขึ้นจากการความต้องการของชุมชนโดยใช้พื้นท่ีของอาคารศูนย์การเรียนรู้วัฒนธรรมชุมชน ท่ีต้ัง
อยู่ในโรงเรียนเวียงชัยพิทยา ซ่ึงเป็นอาคารท่ีเกิดข้ึนจากพระราชด้าริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จ
พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี แต่เดิมเป็นอาคารแบบเปิด ต่อมาท่านพระครูพิธานพิพัฒนคุณ เจ้าอาวาส
วัดพนาลยั เกษมได้ปรบั ปรงุ ให้เปน็ อาคารที่เหมาะสมต่อการจัดแสดงเรื่องราวทางวฒั นธรรมของชุมชน
ภายในอาคารจัดแสดงแบ่งออกเป็น 5 โซน คอื
1. ข้อมูลแสดงพัฒนาการของชุมชนในรูปของ time line
2. โต๊ะทรงงานของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพ
รตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี เมอื่ ครง้ั มาเยี่ยมชม
3. ปราชญ์ชมุ ขนตา้ บลเวยี งเหนอื
4. วัตถทุ างวัฒนธรรม วถิ ชี ีวติ ชุมชน และประเพณี
5. แหลง่ วฒั นธรรมและวิถีชวี ติ ชมุ ชนคนเวียงเหนอื
ทต่ี ั้ง โรงเรียนเวียงชยั พทิ ยา หมู่ 11 ตา้ บลเวยี งเหนอื อ้าเภอเวียงชยั จังหวัดเชียงราย
๒. พิพธิ ภณั ฑ์พ้ืนบ้ำนวฒั นธรรมไทยวนคนเมืองล้ำนนำ
พิพิธภัณฑ์พ้ืนบ้านวัฒนธรรมไทยวนคนเมืองล้านนา หรือข่วง
วัฒนธรรม จัดต้ังโดยพ่อครูมานิตย์ เจริญเกษมทรัพย์ นับเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มี
ชีวิต ด้วยกิจกรรมและรูปแบบการน้าเสนอวัฒนธรรมไทยวนหรือพื้นเมือง
ล้านนา ท่ีเน้นการถ่ายทอดความรู้ศิลปหัตถกรรมและการแสดงทางวัฒนธรรม
ศิลปะการแสดงของชาวล้านนาที่เป็นทั้งเอกลักษณ์ และความภาคภูมิใจ และ
การเรียนรู้เพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชน ซึ่งพ้ืนที่ส้าคัญในบริเวณของพิพิธภัณฑ์
ประกอบดว้ ย ๒ สว่ น ได้แก่ หอวฒั นธรรมข่วงวฒั นธรรม และหอซนิ่
ที่ตั้ง พพิ ิธภณั ฑ์พื้นบา้ นวัฒนธรรมไทยวนคนเมืองล้านนา บา้ นเลขที่ ๑๒๑/๗ หมู่ ๑๓ บ้านชยั นิเวศน์ ต้าบล
เวียงชยั อา้ เภอเวียงชยั จังหวัดเชยี งราย
20
๓. พิพิธภัณฑ์วัดโบรำณเวยี งเดิม
วดั โบรำณเวียงเดิม เปน็ ท่ปี ระดิษฐานของพระพุทธรูปโบราณ ซึง่ ชาวบ้านได้ขุดค้นพบ เมื่อวนั ท่ี ๑๓ พฤษภาคม
๒๕๑๕ ตรงกับขึ้น ๑ ค้่า เดือน ๙ เหนือ ปีชวด จุลศักราช ๑๓๓๔ เนื่องจากได้ส่ังการให้ก้านัน ผู้ใหญ่บ้าน ทุกหมู่บ้าน
ในต้าบลเวียงเหนือ ร่วมกันพัฒนาถนนหนทางภายในหมู่บ้าน ซึ่งเดิมเป็นหลุมเป็นบ่อ นายวงค์ มโนวรรณ์ ผู้ใหญ่บ้าน
ในขณะนัน้ ได้รว่ มกับชาวบ้านน้าดินมาถมพื้นที่ที่เปน็ หลุมเป็นบ่อ เพอ่ื ใหพ้ ้นื ทเี่ สมอกัน ชาวบา้ นจึงได้ไปขุดดนิ ท่ีจอมปลวก
ในป่าละเมาะท่ีมแี ตต่ ้นไผ่ และก้อนอิฐเก่าในบริเวณนัน้ ขณะท่ีขุดจอมปลวกอยู่นนั้ นายฟอง สุดา ไดข้ ดุ พบเศยี รพระพุทธรูป
และพบว่าเป็นพระพุทธรูปองค์ท่ีสมบูรณ์ พระพักตร์คล้ายพระสิงห์ปางมารวิชัย ความกว้างหน้าตัก ๗๓ น้ิว สูง ๘๒ น้ิว
สร้างด้วยอิฐถือปูน และยังพบ แนวก้าแพงโบราณและซุ้มประตูโบราณอยู่ในบริเวณเดียวกัน คณะกรรมการวัดจึงได้แจ้งให้
กรมศิลปากร หน่วยท่ี ๔ อ้าเภอเชียงแสน มาตรวจสอบและพบว่า พระพุทธรูปองค์นี้สร้างในพุทธศตวรรษที่ ๑๙ อายุ
ไม่ตา่้ กวา่ ๖๐๐ ปี จากการขุดค้นพบคร้ังนี้ท้าให้ชาวบ้านสันนษิ ฐานว่าที่บริเวณแห่งน้ีเคยเปน็ วัดร้างมาก่อน จึงพร้อมใจกัน
ตัง้ เป็นอารามขน้ึ และได้ขออนญุ าตยกวัดร้างขึ้นเปน็ วัดมีพระสงฆ์ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๙ โดยใช้ชอื่ วา่ “วัดโบราณเวยี งเดมิ ”
นอกจากนี้ยังได้ขุดค้นพบของเก่าประเภทเครื่องใช้ อาทิ หม้อ
ชาม แจกัน รวมถึงพระพุทธรูป และเศียรพระพุทธรูปโบราณท่ีท้าด้วยหินทราย
จงึ ไดร้ วบรวมและจัดแสดงอย่ใู นพิพิธภัณฑโ์ บราณเวยี งเดิม
ท่ีตง้ั วดั โบราณเวยี งเดิม หมู่ ๒ ตา้ บลเวยี งเหนือ อา้ เภอเวยี งชัย จังหวัดเชยี งราย
๔. หอศลิ ปบ์ ้ำนนำยพรมมำ
นายพรมมา อินยาศรี เกิดเมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๕ ณ จังหวัดล้าปาง
ปจั จบุ ันอายุ ๖๐ ปี อยบู่ ้านเลขท่ี ๗ หมู่ ๗ บา้ นโพธ์ิชัย ตา้ บลเวยี งเหนอื อา้ เภอเวียงชัย
จังหวัดเชียงราย จบการศึกษาจากคณะศิลปกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล
ลา้ นนา วิทยาเขตภาคพายัพ จังหวดั เชียงใหม่ เปน็ ศลิ ปินท่ีมีช่ือเสียงและเปน็ ท่ีรู้จักของ
คนรกั งานศลิ ปะ เปน็ ปราชญผ์ ้มู คี วามรภู้ ูมิปัญญาในสาขาศิลปกรรมของจงั หวัดเชยี งราย
ทตี่ งั้ หอศลิ ปบ์ า้ นนายพรมมา บา้ นเลขท่ี ๗ หมู่ ๗ ตา้ บลเวียงเหนอื อ้าเภยเวียงชยั จังหวัดเชยี งราย
แหลง่ ทอ่ งเท่ยี ว
๑. พทุ ธสถำนพระเจ้ำกอื นำ
พุทธสถำนพระเจ้ำกือนำ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ากก หมู่ ๘ ต้าบลเวียงเหนือ
อ้าเภอเวยี งชัย จังหวัดเชียงราย เป็นปูชนียสถานที่ส้าคัญของอ้าเภอเวียงชัย มหี ลวงพอ่ ใหญ่
พระเจ้ากือนาเป็นท่ีเคารพสักการะของประชาชนทั่วไป เป็นพระพุทธรูปศักด์ิสิทธ์ิ
องค์พระนั้นถูกห่อหุ้มด้วยรากไม้เกือบท้ังองค์ ท่ีส้าคัญพุทธสถาน แห่งนี้ปรากฏ
ในคา้ ขวญั ของอา้ เภอเวยี งชยั ทีว่ ่า “พระเจ้ำกือนำลือไกล”
พทุ ธสถำนพระเจ้ำกอื นำ เปน็ ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่ชื่อว่า หลวงพ่อใหญ่พระเจ้ากอื นา พระพทุ ธรูปองค์น้ี
กอ่ ด้วยอิฐถือปนู มหี น้าตกั กว้าง ๖ ศอก สูง ๖ ศอกคืบ สรา้ งเม่อื พ.ศ. ๑๙๒๘ มปี ระวัตโิ ดยย่อ คือ พระเจา้ กอื นาธรรมิกราช
หรือพญากอื นา พระมหากษัตรยิ ์แห่งแควน้ ล้านนาล้าดับท่ี ๖ แห่งราชวงศเ์ มง็ ราย ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๑๘๙๘ – ๑๙๒๘
พระเจา้ กอื นาเป็นโอรสของพระเจ้าผาชู ผเู้ ปน็ พระโอรสของพระเจ้าแสนภู พระเจ้าแสนภูเปน็ พระราชโอรสของพระเจ้าศรีชัย
สงคราม พระเจ้าศรีชัยสงครามเป็นพระราชโอรสของพญามังราย วีระกษัตรย์แห่งแคว้นโยนก และล้านนาในสมัยแรกสร้าง
พระเจา้ กอื นาเป็นกษัตรยิ ์ท่ีทรงใฝ่พระทัยในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างย่ิง ในรัชสมัยของพระองค์ได้สร้างพระธาตุดอยสุเทพ
สร้างวัดบุปผารามสวนดอก ได้นิมนต์พระสุมนเถระมาจากกรุงสุโขทัยมาตั้งปรับปรุงพระพุทธศาสนาในเชียงใหม่จนรุ่งเรอื ง
โดยที่พระองค์เป็นชาวเมืองเชียงแสน จึงไม่โปรดประทับอยู่ท่ีเชียงใหม่ ได้เสด็จกลับมาครองเมืองเชียงแสน ระหว่างเสด็จ
พระราชด้าเนินตามล้าน้ากก ได้สร้างพระพุทธรูปองค์น้เี ป็นท่ีระลีกไว้ ณ ที่ฝั่งแม่น้ากกน้ี พร้อมท้ังให้ข้าราชบริพารท้าการ
สร้างบ้านแปงเมือง เรียกว่า เวียงกือนำ พระพุทธรูปองค์น้ี จึงได้รับการขนานพระนามว่า พระเจ้ำกือนำ ด้วยเหตุผล
ดังกลา่ ว
21
๒. หนองหลวง
หนองหลวง เปน็ อ่างเก็บน้าตามธรรมชาติท่มี ีขนาดที่ใหญ่ที่สุดของจงั หวัดเชียงราย มีพื้นท่ีประมาณ ๙,๐๐๐ ไร่ ตง้ั อยู่
ในพ้ืนท่ีของ ๓ ต้าบล ๒ อ้าเภอ คือ ต้าบลเวียงชัย อ้าเภอเวียงชัย จ้านวนกว่า ๑,๐๐๐ ไร่ ต้าบลดอนศิลา อ้าเภอ
เวียงชยั จา้ นวนกวา่ ๑,๐๐๐ ไร่ และตา้ บลห้วยสัก อ้าเภอเมอื งเชยี งราย จา้ นวนกว่า ๖,๐๐๐ ไร่ ทั้งนี้ บริเวณรอบปาก
อ่างเก็บน้าหนองหลวง มีเกาะปรากฏอยู่ท้ังหมด คือ เกาะแม่หม้าย เกาะดงมะเฟือง เกาะสันป่าเป้า เกาะสันกลาง
เกาะทองกวาว เกาะไหมเย็บ (เกาะแม่หยิบ) เกาะขนุน และ เกาะไผ่เหมย โดยที่ผ่านมามีชาวบ้าน และกลุ่มนักส้ารวจตรวจ
พบเสาวิหาร วัด โบราณสถาน ปากถ้า อยเู่ ลยจากฝ่ังอ่างเข้าไปในเขตเกาะแม่หม้าย ถงึ เกาะดงมะเฟือง อีกท้งั ยังขุดพบฆ้อง
โบราณขนาดใหญ่ จา้ นวน ๑๒ ใบ ในบรเิ วณหน้าศาลเจ้าแม่หนองหลวงเชียงราย จงึ สันนษิ ฐานกนั ว่าอ่างเก็บน้าหนองหลวง
เป็นเมืองโยนกไชยบุรี ซ่ึงล่มจมลงไปในสมัยพระเจ้ามหาไชยชนะ เมื่อพุทธศักราช ๓๗๐ โดยเหตุอาถรรพ์ที่ชาวเมืองฆ่า
และพากนั กินเน้อื ปลาไหลเผือก จนเกิดอาเพศแผ่นดิน ท้าให้เมืองจมหายไปในสมัยอาณาจักรเชียงแสน (เปน็ ตา้ นานเล่าขาน
สบื ต่อกันมา)
หนองหลวง เป็นแหล่งน้าธรรมชาติที่ส้าคัญในการท้าเกษตร ประมง
เพาะเล้ียงสัตว์น้า และได้รับการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรท่ีส้าคัญ
ของอ้าเภอเวียงชัย ด้วยความร่วมมือรว่ มใจของคนในชุมชนทชี่ ่วยกันพัฒนาเพ่ือ
ดึงดูดนักท่องเท่ียว โดยมีกจิ กรรมล่องแพ ปลกู ปา่ การปั่นจักรยาน และสะพาน
ไมไ้ ผใ่ หน้ ักทอ่ งเที่ยวได้สัมผัสกับวิถีชีวิตแบบธรรมชาตอิ ีกทง้ั หนองหลวงยังเป็น
แหล่งวตั ถดุ บิ ท่สี า้ คัญในการผลติ สนิ ค้าขึ้นชอ่ื ของอา้ เภอเวียงชัย คือ ปลาส้ม
ซง่ึ เป็นผลิตภัณฑ์อาหารแสนอร่อยจากปลาท่ีเอกลักษณ์ของหนองหลวง ของฝากขึ้นชื่อท่ีใครเดินทางมาต้องได้ชิมได้ซื้อ
ตดิ ไมต้ ิดมอื กลับไปเป็นของฝากอย่างแนน่ อน
๓. พระธำตศุ รจี อมเทพ
พระธาตุศรีจอมเทพ ตั้งอยู่ที่บ้านยกเจริญ หมู่ 8 ต้าบลเมืองชุม อ้าเภอ
เวยี งชัย จงั หวัดเชยี งราย เปน็ พระธาตุที่สร้างอยปู่ ลายภูเขา ลอ้ มรอบด้วยธรรมชาติ
ซ่งึ สามารถมองเห็นภูมทิ ัศนข์ องพื้นทอ่ี ้าเภอเวยี งชยั ได้ทั้งหมด
พระธาตุศรีจอมเทพ ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์จนส้าเร็จเรียบร้อยแล้ว
ดว้ ยแรงศรทั ธาจากพอ่ ค้าประชาชน และผมู้ ีจิตศรทั ธาไดร้ ่วมกนั บรจิ าคให้การ
อุปถัมภ์ด้วยดีตลอดมา โดยไม่ได้ใช้งบประมาณจากทางราชการแต่อย่างใด ซึ่งองค์พระธาตนุ ้ีได้ประดิษฐานอยบู่ น
ยอดเขาสูง แลดโู ดดเดน่ สงา่ งาม รอบฐานเจดยี ป์ ระดับประดาด้วยกระจกหลากสี เป็นประกายงดงาม ยามเมือ่ พระ
อาทิตย์ส่องแสงมากระบท จะเกิดเป็นแสงสว่างส่องประกายระยิบระยับไปทั่วอาณาบริเวณ และกว้างไกลออกไป
สุดสายตา
๔. วัดถำ้ พระผำคอก
วัดถ้าพระผาคอก (ช่ือเดิม คือ วัดถ้าพระผางาม) ตั้งอยู่
หมู่ ๙ บ้านผางาม ต้าบลผางาม อ้าเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย
บนเสน้ ทางระหว่างทตี่ ง้ั อา้ เภอเวียงชยั ไปอา้ เภอพญาเม็งราย อยูบ่ น
ภูเขาเล็ก ๆ ท่สี ัปปายะ ซ่ึงชาวบ้านแถบน้ันเรียกว่า ผาคอก ในปจั จุบัน
ยังเปน็ ศนู ย์ปฏิบัตวิ ิปัสสนากรรมฐานอีกดว้ ย
22
๕. อำ่ งเก็บน้ำชลประทำนแม่ต๊ำก
ต้ังอยู่บริเวณ บ้านดอยงาม หมู่ 6 ต้าบลดอนศิลา อ้าเภอ
เวียงชยั จงั หวดั เชียงราย อ่างเกบ็ น้าแมต่ ๊ากเป็นอ่างเก็บน้าขนาดกลาง
ของกรมชลประทาน ที่สามารถกักเก็บน้าได้ 9,000,000 ลบ.ม.
เพ่ือใช้ในการเกษตรกรรม พื้นที่ตั้งอ่างเก็บน้าอยู่ในเขตพื้นท่ี หมู่ 6
บา้ นดอยงาม หมทู่ ี่ 5 บา้ นชัยพฤกษ์ และหมู่ 14 บา้ นใหม่สนั ตสิ ุข ตา้ บล
ดอนศิลา เป็นสถานท่ีท่ีราษฎรบริเวณใกล้เคียงใช้เป็นแหล่งหาปลา
และเกษตรกรรม และเปน็ สถานท่ีพกั ผอ่ นหยอ่ นใจโดยเฉพาะฤดูร้อน
มีทิวทัศน์ที่สวยงามมาก มีชาวบ้านมาต้ังร้านค้าขายของเป็นจ้านวนมาก
เพื่อบรกิ ารแก่นักทอ่ งเที่ยว อยู่ห่างจากดอยผาช้างประมาณ 4 กิโลเมตร
อยหู่ ่างจากอา้ เภอเวียงชัยประมาณ 16 กิโลเมตร และอยู่หา่ งจากจังหวัด
๖. สวนพระรำชเสำวนียผ์ ำช้ำง
ดอยผาช้าง ต้ังอยู่บริเวณบ้านดอนเหนือ หมู่ 16 ต้าบล
ดอนศิลา อ้าเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงรายเป็นภูเขาหินขนาดใหญ่
จา้ นวน 3 ลกู โดดเด่นอยูก่ ลางทุ่งนา อยู่ในพนื้ ท่บี ้านดอน หมู่ 8 ตา้ บล
ดอนศิลา อ้าเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย ห่างจากอ้าเภอเวียงชัย
ประมาณ 12 กิโลเมตร และห่างจากจังหวัดเชียงราย ประมาณ
25 กิโลเมตร อยู่บนถนนสายหัวดอย - บ้านดอน - พญาเม็งราย - ต้า
(ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1152 ช่วงกิโลเมตรท่ี 18 ถึง 19)
จากถนนใหญ่เขา้ ไปอีกประมาณ 1.5 กิโลเมตรก็จะถงึ บรเิ วณผาช้าง
ดอนศิลา แต่เดิมไม่มีถนนเข้าถึงการเดินทางต้องเดินเท้าเลียบ
ไปตามคันนา ในปัจจุบันองค์การบริหารส่วนต้าบลดอนศิลา ได้ท้าการ
ตดั ถนนลงดินลูกรงั เขา้ ถึงบริเวณผาช้าง
บรเิ วณดอยผาชา้ งเป็นภเู ขาหนิ ปนู มีตน้ ไม้ขน้ึ ปกคลุมไมม่ ากนกั สว่ นมากจะเปน็ ประเภทเถาวัลย์ และไม้
เบญจพรรณขนาดเล็ก และยังมตี น้ จันผา ซ่ึงขึ้นบริเวณหน้าผาเปน็ แหง่ ๆ บริเวณดอยผาช้างยังมถี ้าอกี หลายแห่ง เชน่
ถา้ พระ ถ้าปลา ถ้าค้างคาว ซงึ่ มีค้างคาวอาศยั อยเู่ ปน็ จา้ นวนมาก และมีน้าลอดผา บริเวณดอยผาช้างมพี ้นื ทโ่ี ดยรวม
ประมาณ 80 ไร่ ดอยผาชา้ งเปน็ แหลง่ ทอ่ งเที่ยวประจา้ ต้าบลดอนศลิ าซง่ึ อยใู่ กล้ชมุ ชนและมีความสวยงามทาง
ธรรมชาติ มีระยะทางรอบดอยผาชา้ งประมาณ 2.3 กโิ ลเมตร ลกั ษณะทางภมู ิประเทศมีลกั ษณะเป็นภูเขาหนิ ตงั้ อยู่
กลางท่รี าบล่มุ ล้อมรอบด้วยพื้นท่ีการเกษตรของราษฎร รอบผาช้างมีถ้าตามธรรมชาติอยูห่ ลายแห่ง เช่น ถ้าพระ ถ้าปลา
ถา้ บ่งึ (ถ้าค้างคาว) ถ้าสตางค์ และมีทางนา้ ตามธรรมชาติไหลลอดผ่านภูเขาเปน็ ความสวยงามและความมหัศจรรย์ทาง
ธรรมชาตมิ ีทางเดินข้นึ สยู่ อดผาได้ สามารถไต่ขน้ึ ไปเพอื่ ชมทัศนียภาพต้าบลดอนศิลา และตา้ บลผางามได้ทุกมมุ มอง
7. นำ้ ตกหว้ ยคำ่
น้าตกห้วยค่า ต้ังอยู่ในพ้ืนที่บ้านใหม่ศรีวิลัย
หมู่ 17 ต้าบลดอนศิลา อ้าเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย
เป็นน้าตกท่ีเพิ่งถูกค้นพบใหม่ การเดินทางต้องเดินเท้า
เข้าไป เพื่อสัมผัสกับธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ และความ
สวยงามของน้าตกแหง่ น้ี
23
“ค่ำว” วรรณกรรมล้ำนนำ
ค่าวหรือค่าวซอเป็นวรรณกรรมที่สันนิษฐานว่า
เกิดขึ้นในช่วงระหว่าง พ.ศ.2300-2470 เพราะเป็น
ช่วงท่ีบ้านเมืองพ้นจากอ้านาจการปกครองของพม่า
วัฒนธรรมหลายอย่างรวมทั้งวรรณกรรมค่าว จึงได้รับ
การฟ้ืนฟูข้ึน ค่าวหรือค่าวซอเป็นวรรณกรรมที่สืบ
เน่ืองมาจากธรรมค่าว โดยธรรมค่าวน้ันแต่งข้ึนเพื่อใช้
เทศน์ให้ชาวบ้านฟังที่วัด ผู้ท่ีฟังธรรมค่าวก็ได้ข้อคิด
ปรัชญาหรือหลักธรรม ส้าหรับผู้ที่ไม่ได้ฟังธรรมค่าว
ก็ได้อาศัยฟังค่าวซอแทนเพราะค่าวซอมีเน้ือเรื่อง
ท้านองเดียวกับธรรมค่าว จะต่างกันในรูปแบบของ
การประพนั ธ์ เทา่ นัน้ ค่าวซอแสดงถึงวฒั นธรรมของชาวภาคเหนือโดยเฉพาะล้านนาในด้านต่าง ๆ เชน่ ประเพณี การละเล่น
สุภาษติ การแตง่ กาย ตลอดจนสภาพความเป็นอยู่ของชาวภาคเหนอื นอกจากนี้ค่าวซอยังแต่งขนึ้ ดว้ ยคา้ ประพันธ์ท่ีมี
ลักษณะเฉพาะตัว แตม่ สี ว่ นคลา้ ยกลอนแปดอยบู่ า้ งตรงทม่ี สี มั ผสั รบั กนั ไปโดยตลอด
“ค่าว” เปน็ ช่ือฉนั ทลกั ษณป์ ระเภทหนง่ึ ของล้านนา เปน็ ลกั ษณะการรอ้ ยกรองถ้อยค้าให้รวมกันอยา่ งมรี ะเบยี บ
ตามหลักเกณฑ์หรือวิธีการแต่งแห่งค้าประพันธ์ประเภทค่าว การเรียงร้อยถ้อยค้าให้เป็นระเบียบเหมือนห่วงโซ่
คือ มีสมั ผสั คล้องจองกันไปน้ี จึงเปรยี บการสง่ สัมผัสของคา้ ประพันธ์ประเภทค่าวว่าเหมือนเชอื กคา่ ว
ค่าวเป็นวรรณกรรมที่มีคณุ คา่ ทางดา้ นภาษาของล้านนา มคี วาม
สนุ ทรียะ บอกเลา่ เร่ืองราวความเป็นมาทางประวัตศิ าสตรแ์ สดงออก
ถึงภูมิปัญญาและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของสังคมชนบทในอดีต
สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมประเพณี แฝงด้วยคติธรรมและสุภาษติ
สอนใจ นอกจากนี้ ค่าวยังแสดงถงึ ความเปน็ เอกลกั ษณ์เฉพาะถิ่น
ท้ังน้ี ท่านพระครูวิมลศิลปะกิจ รองเจ้าคณะอ้าเภอเวียงชัย ได้มี
การประพันธ์วรรณกรรมล้านนา “ค่าว” โดยการน้าเอาค้าคม/
ส้านวนสภุ าษิตลา้ นนาวนั ละก้อม เพอื่ น้ามาเปน็ คติสอนใจ ผลงานท่ี
เขยี นจะเปน็ ปกิณกะเป็นส่วนใหญ่ เช่น
ชุดค่ำวฮ่ำวัดรำษฎร์เจริญ ประกอบด้วย ประวัติวัดราษฎร์เจริญ ประวัติพระสิงห์น้อย ประวัติการสร้าง
พระธาตุสุวรรณมิ่งมงคล วัดราษฎร์เจริญ (เขียนเป็นอักษรล้านนา) และประวัติพระครูสุวรรณถิรคุณ (ค้าปัน ถิรญาโณ)
อดตี เจา้ อาวาสวัดราษฎรเ์ จริญ เปน็ ต้น
ชดุ ทัศนศึกษำนำนำประเทศ ประกอบดว้ ย ค่าวฮ่้าทัศนศกึ ษาเวียดนามกลาง ครง้ั ที่ ๑ ค่าวฮ่้าทศั นศึกษาสิบสอง
ปันนา คร้ังที่ ๑ คา่ วทศั นศึกษาวฒั นธรรมเวียดนามกลาง คร้ังที่ ๒ ค่าวฮา่้ ทัศนศกึ ษาเมืองจีน “เสน้ ทางสายไหม”
คา่ วฮ้า่ ศึกษาดงู านวฒั นธรรมพระพุทธศาสนาสงิ คโปร์ ค่าวฮ่า้ ทัศนศึกษาเมืองคนุ หมิง เปน็ ต้น
ชดุ ปกิณกะ วรรณกรรมคา่ วอกี มากมายทมี่ ีหน่วยงานขอสนับสนุน
เช่น ประวัติโฮงยาสมเด็จพระญาณสังวรอ้าเภอเวียงชัย พระคุณแม่
ความเปน็ มาของลานวัฒนธรรมไทยสายใยชมุ ชนต้าบลเวียงเหนือ วิสาขบู
ชา ๒๕๖๑ วันเกิดครูบากันทวี อนุตฺตโร จังหวัดพะเยา เวียงหนองหล่ม
อ้าเภอแมจ่ ัน เป็นตน้
24
ปจั จุบัน ท่านพระครวู ิมลศิลปะกจิ ไดม้ ีการการแสดงผลงานของข้อมูล โดยการเผยแพรใ่ นเฟซบุ๊กสว่ นตัว คือ
wimonsinlapakit, wimon kaewpiang, ruangrith laewpiang และมกี ารจัดพิมพ์ผลงานเผยแพรอ่ อกเป็นรูปเล่ม
ตวั อย่ำงผลงำน “คำ่ ว” ของพระครวู ิมลศลิ ปกิจ ที่เผยแพร่บนเฟซบกุ๊
...สภุ ำษติ กำคมเมอื งลำ้ นนำวันละก้อม...
...ก้อมท่ี 623 (06/01/65) วันนี้เสนอกำว่ำ ...สำมวันแอ่วหำคนเฒำ่ เกำ้ วันแอ่วหำคนหนุ่ม....
*********
...ยกมอื สำ ครูบำเจอื้ งจน๊ั วนั ผัดวำ่ อนั้ วันครูน้อมสำ
เดือนสเี่ หนอื น้ี ออกส่คี ่ำหนำ หกมกรำ หกห้ำแม่นหมัน้
เปน็ วันหลม่ หลวง ต๋ำมยวงเจ่อื ห้นั ไทยวนล้ำนนำ แตต๊ กั๊
...สัพป๊ะมงคล จหุ๊ นเวน้ นัก บ่จ๊ักจอ่ งดว้ ย จดั ทำ
ดว้ ยเจ่อื แต่เก๊ำ หลม่ เข้ำหนำหนำ หำกไปยะทำ เงนิ คำเข้ำ
บ้ำนใหม่แตง่ งำน เปิดร้ำนแถมเจำ้ จะเวน้ หมดเฮำ วันน้ี
...หำกวำ่ จำเปน๋ ไดเ้ ก๋นบอกจ๊ี เอำไว้ทห่ี น้ี เมินมำ
หื้อเอำยำมนัน้ แป๊วันหัน้ หนำ เก้ำโมงหนั้ นำ เถิงสิบเก่ิงห้นั
และช่วงเต่ยี งวัน เถิงบ่ำยเกิง่ อ้นั เปน็ ยำมแปว๊ ัน พน่ี ้อง
...กำนี้ปกิ้ มำ อ้จู ำ๋ เก่ยี วก๊อง ภำษติ เก่ยี วขอ้ ง สำนวน
สำมวนั แต๊ตกั๊ แอ่วนกั หนั หวน คนเฒำ่ ตงั มวล บ่ละขำดหวน้ิ
เกำ้ วันแอว่ หำ คนหนุ่มทง้ั ส้ิน หอื้ เปน็ อำจณิ อยำ่ ละ
...ทำ่ นไดห้ มำยเถิง เตงิ ตันกมุ้ วะ ไมถตี อ่ ด้วย ผู้คน
มนี ำ้ ใจ๋นอ้ ม พร้อมทว่ั จ๊หุ น ไมถีเวียนวน ผู้คนทั่วบำ้ น
สังคหะกั๋น จอ่ งหวันปำปำ้ น แลกเปลีย่ นกน๋ั ยัง ควำมฮู้
...ไดป้ ระสบกำ๋ รณ์ ผเู้ ฒ่ำนั้นลู๊ ท่เี ปิน้ ตอ่ สู้ ผำ่ นมำ
ไดแ้ นวควำมคดิ คนรุน่ ใหม่หนำ เอำพฒั นำ ตั๋วต๋นเฮำได้
อย่ำอยคู่ นเดยี ว ห้อื เตียวเหนอื ใต้ แผไ่ มถีไป ทัว่ ทศิ
...สรุปแล้วหนำ หือ้ จำ๋ ผกู มิตร กบั คนท่ัวหนำ้ อำณำ
สำนวนก้อมนี้ 6-2-3 หนำ ขำ้ ขอวำงลำ เอำไว้เทำ่ อ้ี ๆ
ผู้ท่ถี ือปฏิบัติมรดกภูมิปญั ญาทางวฒั นธรรม
ชอ่ื พระครวู ิมลศลิ ปกจิ
วัน เดอื น ปีเกดิ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๐๑
ท่อี ยู่ ๑๒๘ หมู่ ๑๑ บ้านพนาลัย ต้าบลเวียงเหนือ
อ้าเภอเวียงชยั จังหวดั เชียงราย ๕๗๒๑๐
หมายเลขโทรศพั ท์ ๐๘๔ ๖๓๘ ๔๖๗๑ /๐๘๑ ๙๖๑ ๓๓๔๕
ทา่ นพระครูวมิ ลศิลปะกิจ ได้สอนนสิ ิตชั้นปีท่ี ๒
ทกุ สาขาวชิ าท่ีลงทะเบยี นเรียนรายวชิ าวฒั นธรรม
ของวิทยาลยั สงฆเ์ ชียงราย
25
ฟ้อนขันดอก/ฟอ้ นโปรยดอกไม้
ฟอ้ น เปน็ ภาษาเหนอื หมายถึง การร่ายร้า เพื่อบูชาส่ิงตา่ ง ๆ
อนั เป็นศลิ ปะล้านนา สว่ นใหญจ่ ะเป็นการร่ายร้าที่แสดงพร้อม
กันเป็นชุด ๆ ไม่ด้าเนินเป็นเรื่องราว โดยเอกลักษณ์ของ
การฟ้อน คอื การจบี นิว้ ท่มี คี วามอ่อนชอ้ ยไปพร้อม ๆ กับท่าทาง
กรีดกรายร่ายร้า โยกตวั ไปตามทว่ งท้านองเพลง
ในสมัยโบราณฟ้อนใช้แสดงประกอบเฉพาะในวันส้าคัญ
ในพระราชพธิ แี ละพระราชฐานเทา่ นั้น เชน่ ในค้มุ หลวง ผู้ฟ้อน
โดยมากล้วนเป็นเจ้านายเชื้อพระวงศ์ฝ่ายในท้ังส้ิน ศิลปะ
การฟ้อนอยู่ที่ความพร้อมเพรียงและความอ่อนช้อยของท่าฟ้อน
เป็นสา้ คญั
การฟ้อนได้ถือว่าเป็นการแสดงออกถึงวัฒนธรรม
และขนบประเพณีของชาวเหนือ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะทั้ง
การแต่งกาย จังหวะ และลีลา ท่าทางการฟ้อนร้า เพลง
และดนตรที ี่ใช้ประกอบ จึงนับเป็นศลิ ปะและวัฒนธรรมของ
ชาวภาคเหนอื ท่ีทรงคณุ คา่ อยา่ งแท้จรงิ
ฟ้อนขันดอก หรือ ฟ้อนโปรยดอกไม้ เอกลักษณ์
ท่ีโดดเด่นของการฟ้อนชนิดน้ี คือ การถือพานท่ีจะใส่ดอกไม้
นานาชนิด โดยส่วนใหญ่จะเป็นดอกไม้เพื่อตบแต่งบูชา
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และไฮไลท์ของการฟ้อน
ขันดอก คือ การโปรยดอกไม้ขึ้นเหนือศีรษะ เป็นการฟ้อน
อวยพรให้แกผ่ มู้ าร่วมงานนั้น ๆ
เพ่ือเป็นการสืบสาน สร้างสรรค์ และรักษาศิลปะการแสดง “ฟ้อนขันดอกหรือฟ้อนโปรดดอกไม้” ให้คงอยู่
สืบไป กลุ่มผู้สูงอายุในพื้นที่ต้าบลเวียงเหนือได้รวมตัวกันจัดต้ัง “คณะช่างฟ้อนพ้ืนเมืองวิทยาลัยผู้สูงอายุต้าบล
เวียงเหนือ” ขึ้นมา เพ่ือน้าศิลปะการแสดงดังกล่าว ไปแสดงในงานบุญต่าง ๆ ภายในพื้นท่ี และถ่ายทอดให้แก่
คนรุ่นหลัง ซ่งึ เป็นการอนรุ กั ษ์ศลิ ปะการแสดงดงั กล่าวให้คงอยสู่ ืบไป
ผู้ทถี่ อื ปฏิบัติมรดกภมู ิปัญญาทางวัฒนธรรม
ชอื่ ชมุ ชนคุณธรรมวดั พนาลัยเกษม
ทอ่ี ยู่ ๑๒๘ หมู่ ๑๑ บา้ นพนาลัย ต้าบลเวียงเหนอื
อา้ เภอเวียงชัย จงั หวัดเชยี งราย ๕๗๒๑๐
หมายเลขโทรศพั ท์ ๐๘๔ ๖๓๘ ๔๖๗๑ /๐๘๑ ๙๖๑ ๓๓๔๕
อว่ งข้ำว/แกวง่ ข้ำว/ไกว๋ข้ำว 26
มรดกภูมิปัญญาความเช่ือด้านพิธีกรรมการอ่วงข้าวหรือ
แกว่งข้าว หรือไกว๋ข้าวนี้ เป็นความเชื่อของคนล้านนาก่อนท่ี
พระพุทธศาสนาจะเข้ามาสู่ล้านนา น้ันคือ “การเช่ือผี” และ
การแพทย์ยังไม่มีเช่นปัจจุบัน ต้องอาศัยสมุนไพร เม่ือหมอ (หมอดู)
และผีสางท่ีนับถือ เช่น ผีปู่ผีย่า เป็นต้น ตลอดถึงส่ิงศักด์ิสิทธิ์
ท้ังหลาย เมื่อเกิดการเจ็บปว่ ย รักษาดว้ ยสมนุ ไพร คาถาอาคม ไมห่ าย
ก็ต้องอาศัยการดูหมอ ที่คนล้านนาเรยี กวา่ “ดูเม่ือ” เพื่อถามหา
สาเหตกุ ารเจบ็ เป็นป่วยไขน้ น้ั
การอว่ งขา้ วน้ี สว่ นใหญ่จะเปน็ การกระท้าเพอ่ื รักษาอาการปว่ ยของเดก็ เชน่ เป็นไข้ เป็นหวดั ทอ้ งเสีย เปน็ ตน้
ซึ่งเกิดจากเช้ือไวรัสและสามารถหายได้เองในระยะต่อมา การถามหมอเมื่อแล้วมาปฏิบตั ิตามผีบอกนั้น จึงคล้ายๆ
ลักษณะของอุปทานเป็นผลทางจิตใจที่ช่วยให้ญาติของผู้ป่วยคลายความกังวลนั่นเอง ท้ังน้ี ก็ต้องควบคู่ไปกับ
การรกั ษาดว้ ยยาตามปกติดว้ ย
การอ่วงข้าว/แกว่งข้าวหรือไกว๋ข้าว มักจะท้าก็ต่อเมื่อเด็กทารกที่ก้าลังเกิดใหม่หรืออายุครบ 1 เดือนขึ้นไป
เกิดอาการรอ้ งไหแ้ บบผิดปกติจากทีเ่ คยเป็นหรอื เจ็บปว่ ยออด ๆ แอด ๆ พอ่ แมก่ ็จะน้าเสอื้ ผ้าเด็กและของใช้ในพธิ ี ไดแ้ ก่
❖ ข้าวเหนียว ๑ ปน้ั (ขนาดเทา่ ไขไ่ ก่)
❖ ข้าวสาร ๑ ลติ ร
❖ สวยดอกไม้ ธูปเทยี น ๑ สวย ใสเ่ ทียนเล่มเล็ก ๒ เลม่ ธปู ๔ ดอก
❖ กลว้ ยนา้ ว้า ๑ ใบ
❖ เงินขันต้ัง ๗-๑๒ บาท (บางแห่งใช้ ๗ บาท คือ ๑ อาทิตย์มี ๗ วัน บูชาครูวันทั้ง ๗ บางแห่งใช้ ๙ บาท บูชา
ครนู วฆาตทั้ง ๙ บางแห่งใช้ ๑๒ บาท บูชาครู ๑๒ ราศ)ี
❖ ด้ายฝ้ายขาวทีเ่ รียกว่าสายสิญจน์ ยาวประมาณ ๑ ศอก ๑ เส้น
จากน้ัน ไปยังบ้านของผู้รับท้าพิธีอ่วงข้าว หรือแกว่งข้าวหรือไกว๋ข้าว
เพอื่ ทจ่ี ะสอบถามว่า เด็กทรี่ อ้ งไห้หรือปว่ ยเป็นเพราะอะไร และเปน็ ใครในชาติ
ที่แล้ว เป็นญาติฝ่ังไหน มาเกิดแล้วต้องการอะไร เช่น ซองขาว (ข้าว) ซองแดง
(แบงค์ร้อย) ผู้ท้าพิธีจะเตรียมอุปกรณ์ คือ “กระด้ง” หรือ “ถาด” หรือ
“ขันโตก” เอามาวางกลางเรือน แล้วน้าเสือ้ ผา้ สิง่ ของของผู้ป่วยท่ีผู้ทีม่ าถาม
น้ันน้ามาวางในกระด้งหรือถาดนั้นท้ังหมด จากนั้น ผู้ประกอบพิธีก็จะประนม
มือหันหน้าไปทางหิ้งพระในบ้าน กล่าวนะโม ๓ จบ แล้วท้าสมาธิ จนสมาธิเขา
นิ่งแล้ว จึงกล่าวไหว้วานต่อสิ่งศักด์ิสิทธ์ิที่เรียกกันโดยท่ัวไปว่า “วานอินทร์
วานพรหม” น่ันเอง จากนั้นหันหน้ามาทางกระด้งหรือถาด แล้วยกขึ้น
แล้วกลา่ วคา้ โวหารตามฮตี ฮอยว่า
“ขอส่ิงศักดิ์สิทธิ์ตังหลำย ขอจ่วยข้ำโพดละอ่อน ไค่ฮู้ชำติหลัง ชำติหน้ำว่ำไผ๋มำเกิด ไอ่แก้ว
ไอค่ ำ หรอื ตระกูลไหนมำเกิด”
(ขอส่งิ ศกั ดิส์ ิทธิท์ ้งั หลำย จงได้โปรดช่วยข้ำใหช้ ว่ ยเดก็ น้อยคนน้ี เพือ่ อยำกร้วู ่ำอดีตชำติน้ัน ดวงจติ ของ
ผู้ใดกลบั ชำตมิ ำเกิดเปน็ เดก็ นอ้ ยคนนี้ในปจั จบุ นั ชำตนิ ี้)
27
เมื่อกล่าวเชิญเทพเทวดาเรียบร้อยแล้ว ผู้อัญเชิญพิธีจะใช้ข้าวเหนียวที่ปั้นไว้ ผูกด้วยด้ายท่ีเตรียมไว้ด้านหนึ่ง
อีกด้านหนึ่งน้ามาผูกติดกับนิ้วช้ีด้านซ้าย และปล่อยให้เชือกยาวประมาณหนึ่งคืบ ยกลอยอยู่เหนือถาดหรือ
พานขนั ครู แล้วจงึ เริม่ ตั้งค้าถามว่าเป็นดวงจิตของญาติผู้ล่วงลับฝ่ายบิดาหรอื มารดาท่ีกลบั ชาตมิ าเกิด โดยจะสังเกต
ดูท่ีก้อนข้าวท่ีผูกติดน้ิวมือ เช่ือกันว่าถ้าเป็นค้าตอบที่ใช่ ก้อนข้าวจะเริ่มแกว่งไปมา หรือหมุนรอบเป็นวงกลม
โดยทผ่ี ้ถู ือดา้ ยอยู่น่ิง ๆ เท่าน้นั
กำรสบื สำน กำรแสดงผลงำนของข้อมลู
ผู้ประกอบพธิ ีหรอื ทา้ พิธี สว่ นใหญจ่ ะ พิธกี รรมการอว่ งขา้ ว หรอื แกว่งขา้ ว หรือไกวข๋ ้าวนไ้ี มไ่ ด้จัด
เปน็ ผหู้ ญงิ ท่มี ีอายุวัยกลางคนขึน้ ไป ทท่ี าง แสดงโดยท่ัวไป มักจะเกิดขึ้นจากการที่ เมื่อ มีผู้ หญิง
ภาคเหนอื เรียกว่า “แมอ่ ุย๊ ” หรือ “แม่ป้า” ที่คลอดลูกออกมาในช่วงแรก ๆ หากเด็กที่เกิดมามีอาการ
ซ่ึงได้รบั การถ่ายทอดมาจากสายผปี ู่ย่าของ ไ ม่สบาย เจ็บออด ๆ แอดๆ มาตลอด หรือร้องไห้งอแง
ตนเอง หรือผู้ทเี่ ขามีความประสงค์จะให้สืบ ทัง้ กลางวนั - กลางคืน โดยไม่ทราบสาเหตุการปว่ ย
ทอด ซึ่งยังคงมกี ารสบื ทอดกนั อย่ภู ายใน ดงั นั้น พ่อแม่ ปยู่ า่ ตายาย หรอื ญาติผใู้ หญ่ จะตอ้ งมีการท้า
ชุมชนของตนเอง กรรมการอ่วงข้าว หรือแกว่งข้าว หรือไกว๋ข้าว เพ่ือหาสาเหตุ
และวิธีการแก้ไข ท้าเด็กสุขภาพแข็งแรง เล้ียงง่าย เจริญเติบโต
และมีความเจริญรุ่งเรืองสืบไป โดยจะเห็นพิธีกรรมดังกล่าว
ในเฉพาะพ้ืนท่ีที่ยังคงมีความเชื่อในเร่ืองพิธีกรรมโบราณของ
ชาวล้านนา
การสาธิตมรดกภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรมสาขาแนวปฏบิ ัติทางสังคมพธิ กี รรม ประเพณี และเทศกาล
พธิ กี รรม “อว่ งขา้ ว หรอื แกวง่ ขา้ ว หรือไกว๋ข้าว” โครงการมรดกภูมปิ ัญญาทางวฒั นธรรม ภายใต้โครงการจัดทา้
ฐานขอ้ มลู ด้านศาสนา วฒั นธรรม และจารตี ประเพณที อ้ งถน่ิ ประจ้าปี ๒๕๖๔
โซนท่ี ๑ (อ.เมืองเชียงราย เวยี งชัย เวียงเชยี งรุ้ง และแมล่ าว)
เมอื่ วนั ท่ี ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๔ ณ ณ หอประชุมอาคารเอนกประสงค์ พวงแสด 4 โรงเรยี นอนุบาลองค์การบริหาร
สว่ นตา้ บลป่าซาง ต้าบลปา่ ซาง อา้ เภอเวียงเชยี งรงุ้ จงั หวัดเชียงราย
ผทู้ ี่ถือปฏิบตั ิมรดกภมู ิปัญญาทางวฒั นธรรม
ชือ่ นางอา้ ไพ เชื้อเมืองพาน
ทีอ่ ยู่ หมู่ ๑๑ บา้ นพนาลยั ต้าบลเวยี งเหนอื
อา้ เภอเวยี งชยั จงั หวดั เชยี งราย ๕๗๒๑๐
หมายเลขโทรศัพท์ ๐๙๘ ๐๐๑ ๓๔๒๒
แกงบอน 28
วิถีชีวิตของคนล้านนาท่ีพ่ึงพาอาศัยอยู่กับธรรมชาติ ดังนั้น อาหาร
หลักของคนล้านนาส่วนใหญ่ได้แก่ พืชผักหรือสัตว์ท่ัวไปที่หาได้จาก
ธรรมชาติ เปน็ การผสมผสานวัตถุดิบจากธรรมชาตนิ ้ามาปรงุ แต่งโดยเน้น
พืชผักและอาหารส่วนใหญ่รสชาติไม่จัด ไม่นิยมใส่น้าตาลในอาหาร
ความหวานจะได้จากส่วนผสมของอาหารน้นั ๆ เชน่ ผกั ปลา และมักจะ
นา้ เอาวัตถุดบิ ทม่ี อี ยู่ในธรรมชาตมิ าเปน็ สว่ นประกอบในการปรงุ อาหาร
“บอน” เป็นพืชที่หาได้ง่ายตามป่าที่ชุ่มน้า มีหัวอยู่ใต้ดินขยายพันธุ์
รวดเร็วโดยการแตกหน่อไปตามดินโคลน โดยบอนที่น้ามาเป็นวัตถุดิบ
ในการแกง คือ บอนต้นอ่อน พันธุ์สีเขียวสด และไม่มีสีขาวเคลือบอยู่
ตามก้านและใบ บอนสีเขียวสด เรียกว่า บอนหวาน ส่วนชนิดที่มีสีซีดกว่า
และนวลขาวกว่า เรียกว่า บอนคัน ส่วนของบอนท่ีน้ามาแกงคือ หลี่บอน
เป็นยอดอ่อน หรือใบอ่อนของบอนท่ีอยู่ใกล้โคนต้น ในการปรุงแกงบอน
ถ้าไม่ใช้นา้ มะขามเปียก ใหใ้ ชน้ ้าส้มป่อยแทน
ส่วนผสม ❖ ตะไครห้ ั่นท่อน 1 ตน้ ❖ แคบหมู 1/2 ถว้ ย
❖ บอนตน้ ออ่ น 8 ตน้
❖ ใบมะกรูด 5 ใบ ❖ ขา่ หัน่ 5 แว่น ❖ มะเขือพวง 1/4 ถว้ ย
❖ น้ามะขามเปยี กหรือน้าสม้ ป่อย 2 ช้อนโตะ๊
เครื่องแกง
❖ พรกิ ข้ีหนแู ห้ง 15 เม็ด ❖ ตะไครซ้ อย 1 ชอ้ นโตะ๊ ❖ หอมแดง 5 หัว
❖ กระเทียม 10 กลีบ ❖ ปลารา้ หรือ กะปิ 1 ชอ้ นชา ❖ เกลอื 1/2 ช้อนชา
ขน้ั ตอนกำรทำ
1. นา้ บอนมาปอกเปลือก ห่นั เปน็ ทอ่ น ลา้ งน้าให้สะอาด
๒. น้าบอนมาใส่หมอ้ เตมิ น้าใหท้ ว่ มบอน ตม้ เคี่ยวจนบอนน่มิ เละ จนน้าแหง้ ไปหมด (คนบอ่ ย ๆ คอยระวังไม่ใหไ้ หม้
ตดิ กน้ หม้อ)
๓. ใส่เครื่องแกง คนให้เขา้ กัน ใสข่ า่ หนั่ ตะไคร้หน่ั ท่อน มะเขอื พวง รอมะเขอื สุก
๔. ใสน่ ้ามะขามเปยี ก เกลอื ใส่ใบมะกรูดฉีก
๕. ใสแ่ คบหมู คนใหเ้ ข้ากัน ปดิ ไฟ
เคลด็ ลับ : ๑. เลือกใช้บอนตน้ อ่อน พนั ธส์ุ เี ขยี วสด และไม่มีสีขาวเคลอื บอยู่ตามกา้ นและใบ บอนสีเขียวสด
เรียกว่า บอนหวาน ส่วนชนดิ ทีม่ ีสีซดี กว่า และนวลขาวกวา่ เรียกวา่ บอนคัน ส่วนของบอนท่ีน้ามาแกงคือหลีบ่ อน
เปน็ ยอดอ่อน หรือใบอ่อนของบอนทอ่ี ยใู่ กลโ้ คนต้น
๒. การต้มบอน ต้องให้สุกจนเละ เคีย่ วจนน้าแหง้ ถา้ บอนไม่สกุ จะท้าให้เกดิ อาการระคายคอ
๓. บางพ้นื ทีอ่ าจน้าบอนไปน่งึ ให้สุก
ผทู้ ถ่ี ือปฏิบัติมรดกภมู ิปัญญาทางวัฒนธรรม
ชอื่ นางสมคดิ จันทร์สุภาเสน
ที่อยู่ ๙๐ หมู่ ๑๑ บา้ นพนาลยั ต้าบลเวยี งเหนือ
อ้าเภอเวยี งชัย จงั หวัดเชียงราย ๕๗๒๑๐
หมายเลขโทรศพั ท์ ๐๘๕ ๐๓๘ ๙๔๓๕
29
แกงแคไกเ่ มือง
ในอดตี จังหวดั เชียงราย เปน็ สว่ นหนง่ึ ของอาณาจักรล้านนา ชว่ งที่
อาณาจักรล้านนามีความเจริญรุ่งเรืองอ้านาจ ได้แผ่ขยายอาณาเขตไปยัง
ประเทศเพ่ือนบ้าน เช่น พม่า ลาว ดังนั้น จึงมีผู้คนจากดินแดนต่าง ๆ
อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ท้าให้ได้รับวัฒนธรรมที่หลากหลายจากชนชาติต่าง
ๆ รวมไปถึงวัฒนธรรมด้านอาหาร โดยคนภาคเหนือนิยมรับประทานข้าว
เหนียวเปน็ อาหารหลัก มนี ้าพริกชนิดต่าง ๆ อาทิ น้าพรกิ หนุม่ น้าพรกิ ออ่ ง
และแกงหลากหลายชนิด นอกจากนย้ี ังมีอาหารชนิดอ่ืน ๆ เช่น แหนม ไส้
อั่ว แคบหมู สภาพอากาศของทางภาคเหนือก็มีส่วนส้าคัญที่ท้าให้
อาหาร
พื้นบ้านภาคเหนือแตกต่างจากภาคอื่น ๆ นั่นคือ การท่ีอากาศหนาวเย็นเป็นเหตุผลให้อาหารส่วนใหญ่มีไขมนั มาก
เช่น น้าพริกอ่อง แกงฮังเล ไส้อ่ัว เพื่อช่วยให้ร่างกายอบอุ่น อีกทั้งการท่ีอาศัยอยู่ในหุบเขาและบนท่ีสูงอยู่ใกล้กับป่า
จึงนิยมน้า พืชพันธใุ์ นปา่ มาปรงุ เปน็ อาหาร เช่น ผักแค บอน หยวกกล้วย ผักหวาน ท้าให้เกิดอาหารพ้นื บ้านช่อื ต่าง ๆ
เช่น แกงแค แกงหยวกกลว้ ย แกงบอน
แกงแค เป็นแกงท่ีประกอบดว้ ยพืชผักสวนครวั หลากหลายชนิดที่สามารถเก็บ
เอาตามภายในร้ัวบ้าน อาทิ ต้าลึง ชะอม ใบชะพลู ผักชีฝรั่ง มะเขือพวง เห็ดลมอ่อน
ผักเผ็ด และดอกแค โดยเน้ือสัตว์ที่น้ามาเป็นส่วนผสมด้วยหนึ่งอย่าง จะท้าให้
เรียกชือ่ แกงแคตามชนิดของเน้ือสัตว์ทีน่ ้ามาเปน็ ส่วนผสมน้นั เชน่ แกงแคไก่ แกงแคกบ
แกงแคจิ้นงัว แกงแคปลาแห้ง เป็นต้น ท้ังน้ี แกงแคไก่ หากน้าไก่บ้าน หรือที่เรียกว่า
“ไกเ่ มือง” มาเป็นส่วนประกอบจะท้าใหร้ สชาตนิ ้าแกงจะกลมกล่อมมากกวา่ ไกพ่ นั ธ์ุ
สว่ นผสม
❖ เนอ้ื ไกเ่ มอื งหั่นช้ินพอดคี า้ ❖ ผกั ชฝี ร่งั ❖ ใบพริก ❖ ใบชะพลู (ผักแค)
❖ มะเขอื เปราะ ❖ ผกั เผด็ ❖ ดอกงิว้ แห้ง ❖ ใบตา้ ลงึ ❖ ยอดชะอม
❖ ถั่วฝักยาว ❖ มะเขอื พวง ❖ เหด็ ลมออ่ น ❖ หางหวาย
❖ เครอ่ื งแกง ❖ น้าปลา ❖ น้าเปล่า ❖ น้ามนั พชื
ขั้นตอนกำรทำ
เครื่องแกง 1. เด็ดหรือหนั่ ผกั ทกุ ชนิด ล้างให้สะอาด พักไว้
❖ พรกิ ช้ีฟ้าแห้ง หนั่ ท่อนแช่น้า ๒. โขลกเครอื่ งแกงรวมกนั ให้ละเอยี ด
❖ กระเทยี มห่ันหยาบ ๓. ผัดเคร่ืองแกงกับน้ามันจนมีกลิ่นหอม ใส่เน้ือไก่ลงผัดจนสุก เติมน้าลงไป
❖ หอมแดงซอย ต้ังไฟใหส้ ว่ นผสมเดือด
❖ ตะไคร้ซอย ๔. ใส่ผักเผ็ด ถั่วฝักยาว มะเขือพวง มะเขือเปราะ ต้าลึง ยอดชะอม ผักชีฝรั่ง
ใบพริก และใบชะพลูลงไป
❖ กะปิ ๕. ปรุงรสด้วยนา้ ปลา คนใหส้ ่วนผสมเข้ากนั อกี คร้งั ยกลงจากเตา ตกั เสริ ์ฟ
❖ เกลือ
พร้อมรบั ประทาน
ผู้ที่ถอื ปฏิบัติมรดกภมู ปิ ัญญาทางวัฒนธรรม
ชอื่ นางสมคิด จันทร์สภุ าเสน
ท่ีอยู่ ๙๐ หมู่ ๑๑ บ้านพนาลัย ต้าบลเวียงเหนือ
อ้าเภอเวยี งชยั จังหวดั เชยี งราย ๕๗๒๑๐
หมายเลขโทรศพั ท์ ๐๘๕ ๐๓๘ ๙๔๓๕
นำ้ พรกิ ปลำจี่ 30
วถิ ชี ีวติ ของคนไทยส่วนมากลว้ นผูกพันกับแหล่งน้ามาต้ังแต่
อดีต โดยเรามักพบเห็นปลาได้ทั่วไปตามแหล่งน้าในชนบท
อ้าเภอเวียงชัย เป็นอ้าเภอที่มีแม่น้าหลายสายไหลผ่าน
มีหนองหลวงเป็นแหล่งน้าส้าคัญที่หล่อเล้ียงชีวิตของชาว
อ้าเภอเวียงชัย มีปลาหลากหลายชนิดให้ชาวบ้านได้น้ามา
เป็นวัตถุดิบในการปรุงอาหาร และเป็นแหล่งปลูกข้าวชั้นดี
และมีความอุดมสมบรู ณข์ องพชื พรรณธัญญาหารอยา่ งมาก
น้ำพริกปลำจี่ หากออกเสยี งสา้ เนยี งแบบคนเหนือเรยี กว่า “นา้ พกิ ป๋าจ่ี” เป็นนา้ พรกิ ทม่ี ลี ักษณะขน้ ถงึ ขลุกขลิก
เปน็ อาหารภาคเหนอื ใช้ปลาดุกย่างโขลกรวมกับพริกชฟี้ ้า หอม กระเทยี มเผา แลว้ ใสเ่ ครื่องปรงุ อน่ื ๆ และมะกอก
รับประทานกับผักน่ึง เช่น มะเขือยาว ถั่วฝักยาว หน่อไม้ไร่ และมะลิดไม้ (ฝักลิ้นฟ้า หรือเพกา มีลักษณะ
ฝกั ยาว แบน ฝกั ออ่ น ทา้ ให้สุก กินกับน้าพรกิ )
น้าพริกปลาจี่ นับว่าเป็นเมนูท่ีนิยมรับประทานกันในทุกครัวเรือน มีส่วนผสมและวิธีท้าที่ง่ายแต่คุณค่า
ทางอาหารสูง เป็นเมนูเพอ่ื สุขภาพโดยแท้จรงิ และมีการสืบทอดกันจากรุ่นสู่รุ่น โดยส่วนใหญ่ย่า ยาย หรือแม่จะมี
การถ่ายทอดให้แก่รุน่ ลกู ร่นุ หลานในสตู รการปรงุ และเคล็ดลับความอร่อย
วัตถดุ ิบ
❖ ปลาดกุ ย่าง โดยแกะแต่เนื้อหลงั จากย่างแลว้
❖ พริกชฟี้ า้ ❖ หอมแดง
❖ กระเทียม ❖ ผกั ชี และต้นหอม
❖ น้าปลา ❖ มะนาว
❖ ผกั สดหรอื ผักลวกทีใ่ ชร้ ับประทานคู่กบั นา้ พริก
ขั้นตอนกำรทำ
1. เผาพริก หอม กระเทียม พอสุก ปอกเปลอื กหอม และกระเทยี ม
๒. โขลกพริก หอม กระเทียม
๓. ใส่เนอ้ื ปลาดุกยา่ งลงโขลกใหเ้ ขา้ กัน
๔. ปรุงรสชาติตามชอบด้วย นา้ ปลา, นา้ มะนาว, โรยต้นหอม และผักชี
เคลด็ ลบั :
แยกเนื้อปลาดกุ ออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแข็ง ๆ นา้ ไป
โขลกกบั น้าพริกก่อน ทีเ่ หลือคอ่ ยเอาไปคลกุ เค้ากัน
ผทู้ ถี่ ือปฏิบตั ิมรดกภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรม
ชือ่ นางสมคดิ จันทรส์ ภุ าเสน
ที่อยู่ ๙๐ หมู่ ๑๑ บา้ นพนาลัย ต้าบลเวียงเหนือ
อ้าเภอเวยี งชัย จงั หวดั เชียงราย ๕๗๒๑๐
หมายเลขโทรศพั ท์ ๐๘๕ ๐๓๘ ๙๔๓๕
ชาวล้านนามีขนม หรือท่ีออกเสียงส้าเนียงคนเมือง คือ 31
ขนมปำด
“เข้าหนม” เปน็ อาหารประเภทของหวาน ปรงุ ดว้ ยแป้งและกะทิ
และน้าตาล หรือน้าอ้อย โดยปกติมักจะท้าขนม เมื่อมีเทศกาล
โอกาสพิเศษ หรือพิธีกรรมเท่านั้น และมักจะเป็นการเตรียม
เพือ่ ทา้ บญุ เช่น วนั พระ วนั สา้ คญั ทางพทุ ธศาสนา วนั สงกรานต์
งานประเพณี งานท้าบญุ เป็นต้น
ขนมปาดน้ันมีมานานมากกว่า 60 ปี เป็นขนมที่ท้าข้ึนเพื่อน้าไปท้าบุญที่วัดเทศกาลสงกรานต์หรือปีใหม่เมือง
และเล้ียงแขกท่ีมาเท่ียวบ้านตอนสงกรานต์ ส่วนอีกงานคือ งานปอยหรืองานบวช (บวชลูกแก้ว อุปสมบทพระ)
โดย 1 ปีมีเพียง 1 คร้ังเท่าน้ัน ก็จะมีการท้าขนมปาดเป็นงานร่วมสามัคคีของชนในกลุ่มเรียกว่า วันกินขนมปาด
จะท้าก่อนงาน 1 วนั กระทะแรกส้าหรบั ผ้ทู ้าร่วมกนั กิน กระทะทส่ี องไว้ทา้ บญุ เลยี้ งแขก กระทะท่ีสามห่อแจกแขก
ในงาน เคร่ืองปรุงหรือส่วนผสมของขนมปาดนั้น ประกอบด้วยข้าวเจ้า น้าอ้อย มะพร้าวทึนทึก ส่วนวิธีท้านั้น
มีขั้นตอนไมม่ ากนัก แต่ต้องอาศัยเวลาในการท้าเป็นอยา่ งมาก เร่ิมจากนา้ ข้าวสารมาเคี่ยวกบั น้าอ้อย ในกระทะใบบัว (ใหญ่)
ใหผ้ ชู้ าย 2 คน ใชพ้ ายคน กัน ท้งิ ไวเ้ ยน็ แล้วตดั เป็นค้า ๆ ใส่กระทงใบตองโรยดว้ ยมะพร้าวทึนทกึ ขดู หยาบ ๆ
ขนมปาด เปน็ หนงึ่ ในเมนขู นมชนดิ หน่ึงที่หาทานไดย้ าก ค้าวา่ “ปาด” ภาษาเหนือแปลว่า “ตัด หนั่ ” นยิ มทา้ รับประทาน
ในงานมงคล เช่น งานบวช งานท้าบุญขึ้นบ้านใหม่ และงานประเพณีต่าง ๆ ของชาวล้านนา ลักษณะของขนมปาดนั้น
จะคล้ายขนมศิลาอ่อน จะมีสีออกจะน้าตาลเข้ม มีรสชาติหวานมัน เวลาเคี้ยวจะกรุบกรอบในปากเล็กน้อยจาก
มะพร้าวเเละงาท่ีใชใ้ นการทา้ ขนม ในวันงานบวช เจา้ ภาพจะห่อขนมปาดแจกแขกถือติดมอื ไปฝากที่บา้ นทกุ คน
การท้า “ขนมปาด” ถือว่าเป็นขนมที่เป็นกุศโลบายของคนสมัยก่อนในการสรา้ งความรกั ความสามัคคี โดยการท้า
ขนมปาดนั้นต้องใช้คนจ้านวนมากและใช้แรงพอสมควร ถือเป็นขนมรวมญาติหรือลูกหลานมาร่วมกันท้า ต้องใช้
ความอดทน ใจเยน็ ความละเอยี ด และความรว่ มแรงร่วมใจช่วยกนั ท้าจึงจะส้าเรจ็
สว่ นผสม
❖ ข้าวเจา้ ❖ นา้ เปล่า
❖ น้าอ้อย ❖ เกลือ
❖ แป้งข้าวเจ้า ❖ มะพรา้ วทนึ ทึก
ข้นั ตอนกำรทำ
๑. นา้ ข้าวสาร (ข้าวเจ้า) มาล้างน้าท้าความสะอาด จากนั้นนา้ ข้าวสารใสน่ ้าเปล่ามาตม้ ใช้ไฟอ่อน คอยคนเรือ่ ย ๆ
๒. น้าแปง้ ข้าวเจา้ ผสมกับนา้ เปลา่ เทลงไปในหมอ้ ทต่ี ้มขา้ ว (เพอ่ื เพิม่ ความข้นเหนยี วให้กับขนม)
๓. น้าน้าออ้ ยมาห่ันเปน็ ชนิ้ เล็ก ๆ จากน้ันนา้ น้าออ้ ยเทลงไปในหม้อ คนใหเ้ ขา้ กนั คอยคนเร่อื ย ๆ
๔. นา้ มะพรา้ วทึนทึกที่ขดู เรียบรอ้ ยแล้ว เทลงไปในหมอ้ คนให้เข้ากนั
๕. ใส่เกลอื เลก็ น้อย จากน้ันเคี่ยวไปเรื่อย ๆ โดยคอยคนอยเู่ สมอ จนแห้งหนืด ปดิ ไฟ
๖. นา้ ขนมมาเทลงถาดที่เตรยี มไว้ และน้ามาน้ามะพรา้ วทึนทึกท่ขี ดู เรยี บรอ้ ยแล้ว มาเทโรยดา้ นหน้า
๗. พกั ไว้ใหเ้ ยน็ พรอ้ มรบั ประทานโดยตัดหรือหั่นเป็นขนาดต่าง ๆ
ผู้ทถ่ี ือปฏิบตั ิมรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม
ชือ่ นางสมคดิ จนั ทรส์ ุภาเสน
เคล็ดลบั : ต้องคอยคนอยูเ่ รือ่ ย ๆ เพอ่ื ให้ ท่อี ยู่ ๙๐ หมู่ ๑๑ บ้านพนาลัย ต้าบลเวียงเหนือ
ขนมไมต่ ดิ กระทะ
อ้าเภอเวียงชยั จังหวัดเชียงราย ๕๗๒๑๐
หมายเลขโทรศัพท์ ๐๘๕ ๐๓๘ ๙๔๓๕
32
เคร่ืองจักสำนชมุ ชนคณุ ธรรมวดั พนำลัยเกษม
วัดพนาลัยเกษม เดิมช่ือว่า วัดป่าบงขวาง ต้ังอยู่เลขที่ ๑๒๘ หมู่ ๑๑
บา้ นพนาลัย ตา้ บลเวียงเหนือ อ้าเภอเวียงชัย จังหวดั เชียงราย วดั นแ้ี ต่เดิม
เป็นวัดร้าง ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างเมื่อใด พบแต่เพียงกองอิฐและ
ซากเจดีย์ซึง่ อยู่ตรงที่สร้างอุโบสถหลังใหม่ ต่อมาประมาณปี พ.ศ. ๒๔๗๐
มีชาวบ้านอพยพมาจากบา้ นปล้อง อ้าเภอเทิง จังหวัดเชียงราย มาตั้ง
รกรากแผว้ ถางเป็นท่ีอยอู่ าศยั ทา้ มาหากนิ ณ บรเิ วณนี้
เน่ืองจากพื้นที่เป็นป่าไผ่ (ไผ่บง) เป็นจ้านวนมาก ท้าให้ชาวบ้านในชุมชนน้าวัตถุดิบดังกล่าวมาใช้ในชีวิตประจ้าวัน
วัดพนาลัยเกษม ซ่ึงเป็นสถานท่ีศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านในชุมชนจึงเป็นจุดเร่ิมต้นที่ท้าให้ชาวบ้านในชุมชน หมู่ ๑๑
มาร่วมตัวกันท้าผลิตภัณฑ์จักสานพานพุ่ม และน้ามาดัดแปลงไปใช้กับงานตกแต่งบ้านหรือส้านักงาน โดยมีการคิดค้น
ลายแบบท่ีเหมาะสมแล้วท้าข้ึน ในรูปแบบต่าง ๆ เป็นการใช้เวลาว่างของคนในชุมชนท่ีว่างเว้นจากการท้านา
ประกอบกับต้องการน้าวัตถุดิบ (ไม้ไผ่) ในชุมชนท่ีมีอยู่ทั่วไปน้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์ เพิ่มมูลค่าให้กับส่ิงที่มีอยู่ในท้องถ่ิน
และเป็นการอนุรักษภ์ ูมิปญั ญาทอ้ งถ่ินดา้ นงานหตั ถกรรมใหค้ งอยสู่ บื ไป
เครื่องจักสานชุมชนคุณธรรมวัดพนาลัยเกษม เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้
วัสดุจากธรรมชาติ โดยใช้มรดกภูมิปัญญาในด้านการจักสานมาออกแบบ
ผลิตภัณฑใ์ ห้มคี วามสวยงาม ทันสมัย สามารถใชง้ านได้จริง เปน็ ผลิตภัณฑ์
ที่น้าเอาทักษะความช้านาญท่ีเป็นภูมิปัญญาแบบดั้งเดิมมาปรับเปลี่ยน
และพัฒนารูปแบบให้เป็นผลิตภัณฑ์จักสานแบบใหม่ให้ตอบสนองกับ
ความต้องการของผู้บรโิ ภคสมยั ใหม่ แตย่ งั คงคุณคา่ ทางด้านงานหัตถกรรม
สะท้อนให้เห็นถึงการน้าทุนทางวัฒนธรรม วิถีชีวิต ขนบธรรมเนียม
ประเพณีของคนในชุมชนมาใช้ในการผลิต โดยมีอัตลักษณ์ที่โดดเด่น
คือลวดลายในการจักสาน และมีรปู แบบผลิตภัณฑ์ท่หี ลากหลาย
วสั ดอุ ปุ กรณ์ ไมไ้ ผ่ มีด เครอ่ื งจักตอก คอ้ น ตะปู ลวด แปรง แลคเกอร์
ขั้นตอนกำรทำ ผทู้ ถ่ี อื ปฏิบัติมรดกภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรม
ชอื่ พระครวู ิมลศิลปะกิจ/กล่มุ ผูส้ งู อายุต้าบลเวยี งเหนอื
๑. หาไมไ้ ผ่ขนาดท่ีต้องการ ทอ่ี ยู่ ๑๒๘ หมู่ ๑๑ บา้ นพนาลัย ต้าบลเวียงเหนือ
๒. ตัดไม้เป็นทอ่ นตามขนาด
๓. จักตอก อ้าเภอเวียงชัย จงั หวัดเชียงราย ๕๗๒๑๐
หมายเลขโทรศพั ท์ ๐๘๔ ๖๓๘ ๔๖๗๑ / ๐๘๑ ๙๖๑ ๓๓๔๕
๔. รูดเสี้ยนออก
๕. ข้นึ รปู ตามโครงสร้างของชิ้นงาน
๖. จกั สานตามลวดลายทอี่ อกแบบ
๗. ตากแดดให้แหง้
๘. ส้ารวจรายละเอียดของช้ินงาน
๙. ลงแล็คเกอร์ แล้วน้าไปตากแดดให้แหง้
๑๐. บรรจหุ บี หอ่ จากน้ันสง่ ไปยังลกู คา้ ตามออเดอร์
33
ผ้ำทออีสำนล้ำนนำ
ผ้ำทออีสำนล้ำนนำ เป็นมรดกภูมิปัญญาที่คนอีสานที่ไดอ้ พยพ
ย้ายถิน่ ฐานจากภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ มกั จะน้าเอาองค์ความรู้ด้าน
การทอผ้าของบรรพบุรุษท่ีสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เพ่ือน้ามาใช้เป็น
เคร่ืองนุ่งห่มของตนเองและบุคคลในครัวเรือน โดยจะมีการออกแบบ
ลวดลายผ้าไหมที่บ่งบอกถึงวิถีชีวิตท่ีเกี่ยวข้องกับธรรมชาติท่ีอยู่รอบตัว
เชน่ ลายปลาซวิ ลายกงเลก็ ลายกงใหญ่ ลายดอกไม้ เป็นตน้
การท้าผ้าไหมมัดหมี่ถือว่าเป็นการใช้ศิลปะในการย้อมสีที่เรียก
กันท่ัวไปว่าการมัดย้อม ซึ่งลวดลายท่ีเกิดข้ึนก็จะเกิดจากการมัดแล้วน้าไปย้อมให้เกิดลวดลายและการกระจายสี
ท่ีอยู่ตรงรอยต่อของแต่ละสีท่ีท้าให้เกิดความสวยงาม รวมไปถึงศิลปะการทอผ้าด้วยท่ีน้าเส้นด้ายท่ีได้จากการมัดย้อม
นา้ ไปข้นึ ท่กี ่ที อผา้ จนเกิดเป็นลายผา้ ของแต่ละผืนท่ีมีความสวยงามแตกตา่ งกนั ไป
วัสดุอปุ กรณแ์ ละอุปกรณ์ ขัน้ ตอนกำรทอผำ้
1. ด้ายผ้าไหม การเตรียมเส้นไหม การน้าเส้นไหมที่ซื้อมาเข้าเหล่ง
2. เหล่ง : ใชส้ า้ หรับจดั เรียงเส้นไหมออกจากกระบงุ หรือตะกร้า ส้าหรับการจัดเรียงเส้นไหม จากนั้นน้าเส้นไหมไปฟอก
3. กง และอ้ัก : ท้าหน้าที่ใช้ส้าหรับใส่ใจเส้นไหม ส่วนอ้ัก ด้วยด่างเพื่อท้าความสะอาด ก่อนน้าไปย้อมสีตามที่
ใชส้ า้ หรับกวกั เส้นหม่ีออกจากกง ตอ้ งการ
4. ทสี่ าวไหมเสน้ ยนื : ใช้ส้าหรับสาวไหมเสน้ ยนื
5. ที่เข็นไหม : ใช้โดยการเอาปลายม้วนไหมจ่อไว้ท่ีไหน การทอผา้ ขนั้ ตอนในการทอผา้ มดี ังน้ี
ส่วนมอื อกี ข้างจบั ทีห่ มุนใหว้ งล้อหมนุ ส่วนไหนกจ็ ะหมุนตาม ๑. สืบเส้นด้ายยืนเข้ากับแกนม้วนด้ายยืน และร้อย
6. หลักเฝือ :ใชใ้ นการคน้ ดา้ ยเส้นยืน หลักเฝือท้าจากไม้ หรอื เหลก็
7. แปรงหวี และตะกรอ (เขา) : ฟันหวี มลี ักษณะคล้ายหวี ยาว ปลายด้ายแต่ละเส้นเข้าในตะกอแต่ละชุดและฟันหวี
เท่ากับความกว้างของหนา้ ผ้าท้าด้วยโลหะมีลักษณะเป็นซี่เล็ก ๆ ดึงปลายเส้นด้ายยืนทั้งหมดม้วนเข้ากบั แกนม้วนผ้าอกี
มีกรอบท้าด้วยไม้หรือโลหะ ส่วนตะกอ คือ เชือกท้าด้วยด้าย ด้านหนง่ึ ปรับความตึงหยอ่ นให้พอเหมาะ กรอดา้ ยเข้า
ไนลอนที่ร้อยคล้องไหมยืนเพื่อแย่งเส้นไหมเป็นหมวดหมู่ตาม กระสวยเพือ่ ใช้เป็นดา้ ยพุง่
ที่ต้องการ ใช้ส้าหรับแยกเส้นด้ายให้ข้ึนเพื่อเปิดให้จังหวะของ
เสน้ ดา้ ยพ่งุ สอดขัดกัน 2. เริ่มการทอโดยกดเคร่ืองแยกหมู่ตะกอ เส้นด้าย
8. หลอดด้ายและกระสวย : หลอดด้ายมีลักษณะรูปร่างเป็นกลม ยืนชุดที่ ๑ จะถูกแยก ออกและเกิดช่องว่าง สอด
เรียวยาว มีรูกลวงตรงกลางส้าหรับสอดไม้ขอหลอด เพื่อสอดรู กระสวยด้ายพุ่งผ่าน สลับตะกอชุดท่ี 1 ยกตะกอชุดท่ี
หลอดด้ายให้อยู่ในรางกระสวย ส่วน กระสวย ท้าด้วยไม้ ปลาย 2 สอดกระสวยด้ายพุ่งกลับ ท้าสลบั กันไปเรื่อย ๆ
สองด้านมน ตรงกลางกลวง ส้าหรับบรรจุหลอดด้ายพุ่ง มีน้าหนัก
และขนาดเหมาะมือ ใชพ้ ุ่งไปมาระหวา่ งการยกเสน้ ด้ายยืนขน้ึ ลง 3. การกระทบฟันหวี (ฟืม) เมื่อสอดกระสวยดา้ ยพงุ่
9. กที่ อผา้ หรือหูกทอผ้า : เปน็ อปุ กรณใ์ ช้ส้าหรับทอผ้า กลับก็จะกระทบ ฟันหวี เพื่อให้ด้ายพุ่งแนบติดกันได้
เนอ้ื ผา้ ที่แนน่ หนา
4. การเก็บหรือมว้ นผา้ เมอ่ื ทอผ้าไดพ้ อประมาณ
แล้วก็จะม้วนเกบ็ ใน แกนมว้ นผ้า โดยผอ่ นแกนด้ายยนื
ให้คลายออกและปรบั ความตึงหยอ่ นใหม่ให้พอเหมาะ
ผทู้ ี่ถอื ปฏิบตั ิมรดกภูมปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม
ช่อื นางจนั ได ทองเหลา
ทอ่ี ยู่ 10 หมู่ 8 บา้ นไตรแกว้ ต้าบลเวยี งเหนอื
อ้าเภอเวยี งชยั จังหวัดเชยี งราย 57210
หมายเลขโทรศพั ท์ 084 948 6610
คำ ข วั ญ อำ เ ภ อ เ วี ย ง เ ชี ย ง รุ้ ง
เวียงเก่าเชียงรุ้ง เขาสูงพระบาท
ธรรมชาติน้ำตก มรดกล้านนา
ประชารื่นรมย์ ชื่นชมคุณธรรม
สภาวัฒนธรรมอำเภอเวียงเชียงรุ้ง
35
อำเภอเวียงเชยี งรงุ้
ประวตั ิควำมเปน็ มำ
อำเภอเวียงเชียงรุ้งเดิมเป็นส่วนหน่ึงของอำเภอเวียงชัย ประชำกรในพ้นื ที่อำเภอประกอบด้วยประชำชน
หลำยภำค ย้ำยมำอยู่ด้วยกัน ส่วนใหญ่เป็นคนภำคเหนือ รองลงมำเป็นประชำชนท่ีอพยพมำจำก
ภำคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีควำมหลำกหลำยในวัฒนธรรม และวิถีชีวิต แต่มีควำมผสมผสำนและกลมกลืนกัน
ในสังคม และวัฒนธรรมประเพณี อีสำนและล้ำนนำอย่ำงลงตัว ต่อมำทำงรำชกำรได้แบ่งพ้ืนที่กำรปกครองออกมำ
ตั้งเป็นก่งิ อำเภอเชยี งรุ้ง ตง้ั แตว่ นั ท่ี ๑๖ สงิ หำคม ๒๕๓๖ ซ่งึ ขณะนัน้ นำยสนัน่ อนิ ตะ๊ ขตั ยิ ์ เป็นนำยอำเภอเวยี งชัย
เมอ่ื วันท่ี ๑ เมษำยน ๒๕๓๘ กระทรวงมหำดไทยประกำศอนุมัตใิ หต้ งั้ กิ่งอำเภอเวียงเชียงรุ้ง
เมื่อวันที่ ๓ เมษำยน ๒๕๓๘ เปดิ ที่ทำกำรก่งิ อำเภอเวียงเชยี งร้งุ ช่ัวครำว โดยผูว้ ำ่ รำชกำรจงั หวดั เชยี งรำย
(นำยคำรณ บุญเชดิ )
เม่ือวันที่ ๑๒ กันยำยน ๒๕๓๙ เปิดท่ีว่ำกำรกิ่งอำเภอเวียงเชียงรุ้ง เป็นกำรถำวร โดยผู้ว่ำรำชกำรจังหวัด
เชียงรำย (นำยคำรณ บญุ เชิด)
เมื่อวันท่ี ๘ กันยำยน ๒๕๕๐ ยกฐำนะก่ิงอำเภอเป็นอำเภอ โดยพระรำชกฤษฎีกำต้ังอำเภอ พ.ศ.๒๕๕๐
ซึ่งประกำศตำมพระรำชกิจจนุเบกษำเล่ม ๑๒๔ ตอนที่ ๒๖ วันที่ ๒๔ สิงหำคม ๒๕๕๐ โดยให้ใช้บังคับเมื่อพ้น
กำหนด ๑๕ วัน นับตง้ั แต่ประกำศในรำชกิจจำนุเบกษำ เปน็ ต้นไป
แผนทีอ่ ำเภอเวียงเชียงรุง้
คำขวญั อำเภอเวยี งเชยี งรงุ้ เขาสูงพระบาท
มรดกล้านนา
เวียงเกา่ เชียงรุ้ง ชนื่ ชมคณุ ธรรม
ธรรมชาตนิ ้าตก
ประชารื่นรมย์ บ้องไฟประเพณี
ลอื ลา้ ผ้าไหม
36
ลกั ษณะทำงกำยภำพ
๑. สภาพท่ัวไป
อำเภอเวียงเชียงรุ้ง ต้ังอยู่ทำงทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอำเภอเมืองเชียงรำย ห่ำงจำกอำเภอเมืองเชียงรำย
37 กิโลเมตร ท่ีว่ำกำรอำเภอเวียงเชียงรุ้ง ตั้งอยู่หมู่ 15 บ้ำนโป่งพัฒนำ ตำบลทุ่งก่อ อำเภอเวียงเชียงรุ้ง
มีจำนวนเนอื้ ท่ีประมำณ80 ไร่ เป็นที่ดินสำธำรณะประโยชน์ พ้ืนที่ของอำเภอเวียงเชียงรงุ้ มี จำนวน 206.31 ตำรำงกิโลเมตร
หรือประมำณ 128,944 ไร่ มีอำณำเขตติดตอ่ ดังน้ี
อาณาเขตติดต่อ
- ทิศเหนือ ติดตอ่ กบั อำเภอแม่จนั และ อำเภอดอยหลวง จงั หวัดเชียงรำย
- ทศิ ตะวันออก ตดิ ต่อกับ อำเภอเชียงของ และ อำเภอพญำเมง็ รำย จังหวดั เชยี งรำย
- ทิศใต้ ตดิ ต่อกับ อำเภอเวียงชยั จังหวัดเชยี งรำย
- ทศิ ตะวันตก ติดตอ่ กบั อำเภอเมืองเชยี งรำย จังหวัดเชยี งรำย
๒. สภาพภูมิประเทศ
สภำพทว่ั ไปเป็นทร่ี ำบกว้ำง มภี เู ขำบำงสว่ นเรียงรำยเปน็ แนวเขตติดต่อกบั อำเภออ่ืน ๆ พน้ื ท่ลี ำดเอียงไป
ทำงทิศตะวันตก สูงจำกระดับน้ำทะเลประมำณ 420 เมตร โดยท่ัว ๆ ไปเป็นที่รำบกว้ำง มีภูเขำเรียงรำยสลับ
เปน็ แนวตดิ ตอ่ กนั อำเภออน่ื ๆ มแี ม่นำ้ เผือ่ ต้นกำเนิดตำบลทงุ่ กอ่ ไหลจำกทศิ ตะวนั ออกไปสู่ตะวนั ตกลงสู่แม่น้ำกก
ยำวประมำณ 12 กิโลเมตร และแม่น้ำห้วยลึกไหลผ่ำนอำเภอเวียงเชียงรุ้ง มีเน้ือที่ประมำณ ๘๐ ไร่ เป็นท่ีดิน
สำธำรณประโยชน์พ้ืนท่ีของอำเภอเวียงเชียงรุ้ง จำนวน ๒๐๖.๘๑ ตำรำงกิโลเมตร หรือประมำณ ๑๒๘,๙๔๔ ไร่
ส่ ว น ก ำร คม น ำคม ทำงรถ ย นต์ ถ้ ำใช้ เ ส้ นทำง ห ลวงแ ผ่ น ดิ นจำกจั ง ห วัดเ ชี ย งรำย แ ยก เ ข้ ำทำงวัดศรี ทรำยมูล
ผ่ำนท่ีว่ำกำรอำเภอเวียงชัย ถึงอำเภอเวียงเชียงรุ้ง ประมำณ ๔๕ กิโลเมตร และสำมำรถเดินทำงต่อไปยัง อำเภอ
ดอยหลวง อำเภอเชียงของ อำเภอเชียงแสน หรืออำเภอแม่จันก็ได้ และอีกเส้นทำงหนึ่ง ใช้เส้นทำงจำกอนุสำวรีย์
พ่อขุนเม็งรำยมหำรำช ผ่ำนสนำมกีฬำกลำงจังหวัดเชียงรำย ถึงหมู่บ้ำนป่ำยำงมน แยกซ้ำยใช้เส้นทำงผ่ำน
บ้ำนป่ำบง ผ่ำนพุทธสถำนกือนำ ไปถึงสำมแยกดงป่ำสัก แล้วเลี้ยวซ้ำยผ่ำนบ้ำนดงชัย ระยะทำงถึงอำเภอเวียงเชียงรุ้ง
ประมำณ 3๗ กิโลเมตร
๓. ลกั ษณะภมู อิ ากาศ
มีลักษณะภูมิอำกำศ โดยท่ัวไปเป็นแบบร้อนชื้น สลับกับร่องมรสุมพัดผ่ำน มีอุณหภูมิเฉล่ีย
ตลอดปปี ระมำณ 25 องศำเซลเซียส อุณหภูมสิ ูงสดุ ประมำณ 37 องศำเซลเซียส แบง่ ได้เปน็ 3 ฤดู ไดแ้ ก่
1. ฤดูฝน เริ่มประมำณช่วงเดือนพฤษภำคม - ตุลำคม ของทุกปี โดยได้รับอิทธิพลจำกลม
มรสุมตะวันตกเฉียงใต้เป็นส่วนใหญ่ และมีปรมิ ำณนำ้ ฝนโดยเฉลย่ี 1,660 มลิ ลเิ มตร (มม.) ต่อปี
2. ฤดูหนาว เร่ิมประมำณช่วงเดือนพฤศจิกำยน - กุมภำพันธ์ ของทุกปี เป็นช่วงที่ได้รับ
อิทธิพลจำกลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ซ่ึงนำควำมหนำวเย็นมำเยือน ซ่ึงในช่วงเดือนมกรำคมจะเป็นช่วงที่มี
อุณหภูมติ ำ่ สุดประมำณ 6 องศำเซลเซยี ส
3. ฤดรู ้อน เร่ิมประมำณช่วงเดือนมีนำคม - เมษำยน ของทุกปี ช่วงปลำยเดือนเมษำยน
จนถึงต้นเดือนพฤษภำคม เป็นช่วงท่ีมักจะมีลมพำยุและฝนตกรุนแรง ซึ่งในแต่ละปีมักจะมีลูกเห็บตกเป็นบริเวณ
กวำ้ ง และจะมอี ุณหภมู สิ ูงสุดประมำณ 37 องศำเซลเซยี ส
37
แหล่งเรียนรู้/แหล่งท่องเทยี่ ว
๑. วนอุทยานนา้ ตกห้วยแมส่ ัก
ต้ังอยู่ที่ตำบลทุ่งก่อ อำเภอเวียงเชียงรุ้ง จังหวัดเชียงรำย
อยู่ในเขตป่ำสงวนแห่งชำติป่ำห้วยสักและป่ำแม่กกฝ่ังขวำ มีเนื้อท่ี
ประมำณ 2,800 ไร่ กรมป่ำไม้ได้ประกำศจัดต้ังเป็นวนอุทยำน
เมื่อวันท่ี 8 พฤษภำคม 2545 ลักษณะภูมิประเทศ บริเวณ
วนอุทยำนห้วยแม่สักเป็นภูเขำวำงตัวในแนวทิศตะวันตกเฉียงใต้ -
ตะวันออกเฉียงเหนือ สูงจำกระดับน้ำทะเลประมำณ 460-963 เมตร
มีลำห้วยแม่สักเป็นห้วยขนำดใหญ่ ซึ่งเป็นแหล่งต้นนำ้ ของ
น้ำตกห้วยแม่สัก มี พืชพรรณ เป็นป่ำเบญจพรรณที่มไี ม้สักขึ้นอยูจ่ ำนวนมำก สภำพป่ำเป็นบรเิ วณน้ำตกห้วยสักยัง
อุดมสมบรู ณ์ แต่ในบริเวณอืน่ ๆไม่คอ่ ยสมบูรณน์ กั เน่อื งจำกในอดีตเคยถูกบุกรกุ ปจั จบุ ันป่ำไมค้ อ่ ยๆ เร่ิมฟื้นตัวข้นึ
พันธ์ุไม้ที่พบได้แก่ ตะแบกเกรียบ สัก กระท่อมหมู เล่ียน เติม ไม้พื้นล่ำงเป็นพวกไผ่ กล้วยป่ำ ผักครำด หญ้ำคำ
สำบเสือ กลอย หญ้ำคมบำง บอน และเฟิร์น ส่วน สัตว์ป่า ท่ีพบในเขตวนอุทยำน ได้แก่ กระต่ำยป่ำ อ้นเล็ก
กระจ้อน กระแต พังพอน ไก่ป่ำนกกระปูด นกเขำเปล้ำ นกกำงเขนดง นกปรอดหัวโขน สัตว์คร่ึงบกครึ่งน้ำ
สัตวเ์ ลือ้ ยคลำนและปลำชนดิ ต่ำง ๆ
2. วนอุทยานน้าตกตาดสายรงุ้
ต้ังอยู่ในเขตป่ำสงวนแห่งชำติป่ำห้วยสักและป่ำแม่กกฝั่งขวำตำบล
ป่ำซำง อำเภอเวียงเชียงรุ้ง จังหวัดเชียงรำย มีเน้ือท่ีประมำณ 4,000 ไร่
น้ำตกตำดสำยรุ้ง เป็นน้ำตกท่ีมีทิวทัศน์สวยงำม อยู่ใกล้แหล่งชุมชน
ทกุ ปจี ะมีนกั ท่องเที่ยวจำกตำบลใกล้เคียง และตำ่ งอำเภอเข้ำมำท่องเท่ียว
เปน็ จำนวนมำก โดยเฉพำะในชว่ งฤดูแล้งและเทศกำลสงกรำนต์
ลักษณะทั่วไปเป็นเทือกเขำสูง ทอดตัวยำวในแนวเหนือ-ใต้ พื้นที่ลำดเอียงไปทำงทิศตะวันออก ลำดชันประมำณ
40-60 เปอร์เซน็ ต์ สงู จำกระดบั นำ้ ทะเลปำนกลำง 500-700 เมตร
ลักษณะภมู อิ ำกำศ สภำพอำกำศเป็นแบบมรสุมเขตร้อน อณุ หภูมติ ่ำสุด 8.5 องศำเซลเซียส สงู สดุ 37 องศำเซลเซียส
มีปริมำณน้ำฝนเฉลี่ยรำยปี เท่ำกับ 1980 มิลลิเมตร มีช่วงฤดูร้อนระหว่ำงเดือนมีนำคม-เมษำยน ฤดูฝนระหว่ำง
เดือนพฤษภำคม-ตุลำคม และฤดูหนำวระหว่ำงเดอื นพฤศจิกำยน-กมุ ภำพันธ์
พืชพรรณและสัตว์ป่ำ พรรณไม้เปน็ ป่ำเบญจพรรณสลับป่ำไผ่ มีไม้ยืนต้นและไผ่ขน้ึ ผสมกระจำยเต็มพ้ืนท่ี มไี ม้สัก
ปะปนคละกบั ไมอ้ ่นื เชน่ สกั ประดู่ แดง ตะเคยี น ซ้อ เสลำ สมอพิเภก มะแฟน กระพีเ้ ขำควำย พระเจ้ำห้ำพระองค์
ตะแบก นอกจำกน้ัน ยังมีพืชกลุ่มเฟนิ และหวำยกระจำยอยู่ตำมบรเิ วณลำห้วย ไผ่ที่พบส่วนใหญเ่ ป็นซำง ไผ่บงเลก็
ไผไ่ ร่ ไผ่ไรล่ อ เปน็ ตน้
3. วนอทุ ยานประวตั ิศาสตร์เวียงเชยี งรงุ้
เวียงเชียงรุ้ง หรือเวียงฮุ้ง เป็นเมืองโบรำณสมัยล้ำนนำ ลักษณะ
เป็นเนิน มีคูน้ำล้อม พบซำกโบรำณวัตถุจำนวนมำก มีกำรพบศิลำจำรึก
สมัยพระเจ้ำติโลกรำชระบุว่ำบริเวณนี้เคยเป็นเมืองมำก่อน เป็นเมืองท่ำ
สำหรับเชือ่ มตอ่ ประเทศจีนและล้ำนนำรวมถงึ เมอื งอืน่ ๆแถบลุ่มแม่นำ้ โขง
ได้มีกำรค้นพบเมืองโบรำณแห่งน้ใี นปี พ.ศ.2523 และขึ้นทะเบียนพน้ื ที่
508 ไร่ เปน็ เขตวนอทุ ยำนประวัติศำสตรเ์ วยี งเชียงรุ้ง กลำงเวียงมีวดั รำ้ ง
แห่งนึงท่ีหลงเหลือซำกโบรำณมำกที่สุดในพื้นที่นี้และถูกบูรณะเป็น
วัดเวียงเชียงรุ้ง ปจั จบุ ันมีพระสงฆจ์ ำพรรษำ และไดน้ ำชอื่ ไปตง้ั เป็นช่อื อำเภอเวียงเชียงรุ้ง
38
พิธกี รรมสู่ขวญั ควำย
พิธีกรรมสู่ขวัญควำย ซึ่งกำลังจะสูญหำย คนกับควำยวิถีชีวิตชำวชนบท
ผูกพันลึกซึ้ง มีควำมรักและเอ้ืออำทรต่อกัน ไม่ว่ำคนหรือสัตว์ มิตรภำพ
ท่ีจะดำรงอยูไ่ ด้เนิ่นนำน สำยใยผูกรดั ไม่ให้ขำด คอื น้ำใจ ควำยเป็นสัตว์เลี้ยง
ที่อยู่คู่ชำวไร่ชำวนำมำช้ำนำนตั้งแต่อดีตกำล เป็นสัตว์ให้คุณเป็นกำลัง
หลักของชำวนำ ในกำรปลูกข้ำวเล้ียงผู้คนมำโดยตลอด ปัจจุบันควำยถูก
ใช้งำนน้อยลงเพรำะวิถีชีวิตเกษตรกรเปลี่ยนไป จำกใช้แรงงำนควำยหัน
ไปใช้แรงงำนจำกเครื่องจักรแทน กำรสู่ขวัญควำย เป็นกำรเตือนสติ
เตอื นจิต เตอื นใจ ให้คนมคี วำมกตัญญูกตเวที รำลกึ ถึงบญุ คุณของผู้ที่ได้
ช่วยเหลือเก้ือกูลแก่ตนว่ำได้รับผลประโยชน์ หรือแสดงกำรตอบแทน
บุญคุณ และเพ่ือเป็นกำรอนุรักษ์ สืบสำนประเพณีกำรสู่ขวัญควำย
ให้คงอยสู่ บื ต่อไปมิใหส้ ญู หำย
พิธีกรรมที่สืบทอดใกล้เลือนหำย เป็นภูมิปัญญำจำกเครือข่ำยสภำวัฒนธรรมตำบลทุ่งก่อ อำเภอเวียงเชียงรุ้ง
จังหวัดเชียงรำย โดยภมู ิปญั ญำท้องถิ่นพิธกี รรมสู่ขวัญควำย โดยนำยอคั คพล วันดี หรือพ่อถำ ผทู้ รงภมู ปิ ัญญำด้ำน
พิธีกรรมสู่ขวัญควำย โดยมีควำมรู้ภูมิปัญญำท่ีเก่ียวข้องกับกำรฝึกสอนควำย และสำธิตพิธีกรรมสู่ขวัญควำย ตลอดจน
กำรใหค้ วำมรู้ต่ำง ๆ เกีย่ วกบั กำรใชช้ วี ิตหรอื ประโยชน์จำกควำย ซง่ึ มีคณุ คำ่ และมปี ระโยชนต์ อ่ มวลมนษุ ย์มำชำ้ นำน
พิธกี รรม เครือ่ งทำพิธสี ่ขู วญั ควำย
1. ทำบำยศรีนมแมว หรอื บำยศรปี ำกขำม อยำ่ งใดอยำ่ งหนง่ึ
2. ทำกรวยดอกไม้และด้ำยสำหรบั ผกู เขำควำยเวลำสู่ขวัญ
3. หญำ้ ออ่ น 1 หำบ สำหรบั เป็นรำงวลั แกค่ วำย
4. ขำ้ วเหนยี วสกุ 1 กล่อง
5. ไกต่ ม้ หนง่ึ คู่
6. เหลำ้ ไหหนง่ึ
7. ขนมบำงอยำ่ ง เชน่ ขนมต้มขำว ขนมต้มแดง หรือข้ำวต้มมัด
8. น้ำขมน้ิ สม้ ปอ่ ยใส่ขนั เงิน สำหรับประพรมควำย
วิธีทำขวัญควำย
นำเอำเคร่ืองพิธีมำวำงบนเส่ือท่ีปไู วใ้ นแหล่งหรือคอกควำย
เจ้ำของนำควำยไปอำบน้ำ ขัดสีฉวีวรรณจนหมดจดสะอำด แล้วจูง
ควำยมำผกู ไว้กับเสำหรอื หลักในคอก จำกนัน้ กไ็ ปเชิญพิธีกร หรือ ปู่
อำจำรย์มำทำพิธีปัดเครำะห์ เรียกขวัญ จนเสร็จแล้วเอำด้ำยผูก
กรวยดอกไม้ติดกับเขำควำย บำงรำยเอำด้ำยสำยสิญจน์ผูกคนไว้ ผทู้ ่ีถือปฏิบตั ิมรดกภูมิปัญญำทำงวัฒนธรรม
ด้วย แล้วเอำน้ำขมิ้นส้มป่อยประพรมเพื่อให้ควำยอยู่สุขสบำย พอ ช่ือ นำยอคั คพล วันดี
ทำพิธีเสร็จ เจ้ำของยกเครื่องข้ำวขวัญออกไป และนำเอำหญ้ำอ่อน
ทอ่ี ยู่ หมู่ ๔ บ้ำนทุ่งก่อ ตำบลทุ่งกอ่
มำให้ควำยกินเป็นเสร็จพิธีทำขวัญควำย สำหรับเจ้ำของยังไม่เสร็จ อำเภอเวยี งเชียงรงุ้ จังหวดั เชยี งรำย
เพรำะยังจะชวนพิธีกรมำกินไก่และด่ืมเหล้ำจำกไหนั้น สนุกสนำน
๕๗๒๑๐
ตลอดวัน ถือว่ำงำนปักดำได้ผ่ำนพ้นไปแล้ว เป็นกำรฉลองควำม หมำยเลขโทรศพั ท์ 093 2630641
เหนอื่ ยยำกจำกกำรไถนำและดำนำอีกสว่ นหน่ึงดว้ ย
39
ผยี ่ำหม้อนึ่ง
พิธีกรรมล้ำนนำ “ผีย่ำหม้อนึ่ง” วิถีโบรำณที่สืบทอดใกล้เลือนหำย
เป็นภูมิปัญญำจำกเครือข่ำยสภำวัฒนธรรมตำบลทุ่งก่อ อำเภอเวียง
เชียงรุ้ง จังหวัดเชียงรำย เป็นพิธีกรรม ควำมเชื่อในกำร เชิญวิญญำณ
ช่วยทำนำยทำยทัก, กำรถำมเวลำ (ถำมเม่ือ) หรือฤกษ์งำมยำมดี,
ถำมหำของหำยจะไดค้ นื หรอื เปลำ่ ,กำรทำยหรือถำมว่ำจะมีเน้อื คู่หรือเปล่ำ,
กำรถำมอำกำรปว่ ย หรอื กำรรกั ษำโรคว่ำจะหำยหรือเปลำ่
“ ผยี ่ำหมอ้ นงึ่ ” เป็นภมู ปิ ัญญำดำ้ นแนวปฏบิ ตั ทิ ำงสังคมพิธีกรรม โดยมนี ำงบวั ผัน ศรพี รม อำยุ 62 ปี เป็นลกู
ของพ่อพรม วันดี (เสียชีวิตแล้ว) และแม่เอ้ย วันดี อำยุ 86 ปี เม่ือแม่เอ้ย วันดี ชรำภำพลงนำงบัวผัน ศรีพรม
จึงสืบทอดมำ ตั้งแต่พ.ศ. 2559 เร่ือยมำ ส่วนใหญ่คนที่มำถำมผีย่ำหม้อนึ่งก็จะเป็นคนป่วย คนที่ทำของหำย
คนท่ีโดนขโมยของ หรือเด็กท่ีเกิดใหม่แล้วร้องไห้ไม่หยุดอำจเป็นเพรำะอยำกได้ชื่อใหม่ อยำกได้ของติดตัว หรือ
ชำวบำ้ นมำถำมเมือ่ ถำม หรอื ดดู วง กจ็ ะมำถำมผีย่ำหมอ้ นึง่ เป็นควำมเช่อื ของชำวบ้ำนสมยั กอ่ น วำ่ เมอื่ ถำมอะไรกับ
ผีย่ำหม้อนึ่งไปแล้วก็จะตอบได้หมด จะเป็นเรื่องจรงิ และตอ้ งทำตำมท่ีผีย่ำหม้อนึ่งบอก ถำมหำของหำยกจ็ ะไดค้ นื
ถำมวำ่ ทำไมถงึ ป่วยก็จะไดร้ วู้ ำ่ ปว่ ยเพรำะอะไร
วสั ดุ/อุปกรณ์ และของประกอบพิธีกรรม
1) อุปกรณท์ ่ีใชส้ ำหรับนงึ่ ขำ้ ว (เตำอังโล่ หมอ้ น่ึง ไหน่ึงขำ้ ว)
2) ใชไ้ ม้ไผค่ ำดเปน็ แขนขำ
3) ผำ้ ดำ สำหรับนำมำคลมุ เป็นเสอ้ื
4) ถำด หรอื กระดง้ ใส่ขำ้ วสำร
5) ขำ้ วสำร (ใช้ข้ำวเหนียว)
6) พรกิ หนุม่ ใบพลู กลว้ ย 2 ลูก ข้ำวเหนยี ว เงนิ ขันต้ัง 50 บำท เปน็ เคร่ืองสักกำระ
๗) ส้อยหมำก + ส้อยพลู 2 สอ้ ย (ร้อยใหเ้ ป็นเส้นยำว ๆ ลูกหมำก + ใบพลู 2 เสน้ )
๘) สอ้ ยดอก + ขำ้ วตอก + เทยี น 2 เลม่ 2 สอ้ ย (ดอกไม้ + ข้ำวตอก + เทยี น 2 เล่ม จำนวน 2 เส้น)
๙) เสื้อผ้าของคนท่ีไมส่ บาย หรือของคนท่ีจะให้ทายทัก ๑ ผืน (ถ้ามีคนมาถามแทน)
พิธกี รรม/วิธีกำร
๑. นำข้ำวสำรใสถ่ ำด
๒. นำอุปกรณ์มำประกอบเปน็ อุปกรณท์ ำยทัก
๓. เม่ือมีผู้มำถำมโชคชะตำ หรอื ถำมอำกำรเจ็บไขไ้ ดป้ ่วย หรือของหำย ฯลฯ
๔. ผู้ประกอบพธิ ี หรอื ร่ำงท่ีเป็นผีย่ำหม้อน่งึ จะเรียกผใี ห้เข้ำสงิ อปุ กรณท์ ำยทัก
ดังกล่ำว แล้วนำไปจม้ิ หรือเคำะลงในพื้นถำดข้ำวสำร
- หำกไมใ่ ช่ หรอื ไม่ถูก จะไม่มีกำรเคำะในถำดข้ำวสำร
- หำกใช่ หรือถูกตอ้ ง จะเคำะในถำดข้ำวสำร
ทั้งน้ี ผู้ประกอบพิธี หรือร่ำงผีย่ำหม้อน่ึง ผู้ที่ถอื ปฏิบตั ิมรดกภมู ปิ ญั ญำทำงวฒั นธรรม
จะไม่รู้สึกตัว เพียงแต่เป็นส่ือให้กับผีย่ำ ช่ือ นำงบัวผนั ศรีพรม และนำงทำ วนั ดี
หม้อนึ่งดังกล่ำว ทั้งนี้ หำกผีย่ำหม้อน่ึงไม่ ทอ่ี ยู่ ๖๔ และ ๑๙๔ หมู่ ๔ บ้ำนทงุ่ ก่อ ตำบลทุ่งกอ่
เข้ำสิง บริเวณอุปกรณ์ทำยทักดังกล่ำวน้ัน
ก็จะไม่ทรำบข้อมลู แตอ่ ยำ่ งใด อำเภอเวียงเชยี งรุ้ง จงั หวดั เชยี งรำย ๕๗๒๑๐
หมำยเลขโทรศัพท์ -
40
โปงลำง
โปงลำง คือ ระนำดพื้นเมืองอีสำน เป็นเครื่องดนตรีประเภทเคร่ือง
เคำะทำทำนองและจังหวะไปพรอ้ มกัน ลกู ระนำดทำจำกไม้ทอ่ นขนำดลำ
แขน เป็นตัด กลึง และถำกตกแต่งเทียบเสียงดนตรี โด, เร, มี, โซ, ลำ
เรียงเสียงลำดับจำกต่ำไปสูงได้ ๑๒ ลูก ๑๓ ลูก หรือ ๑๔ ลูก แล้วนำมำ
ร้อยผนื ระนำดดว้ ยเชอื กเสน้ โตขนำดเท่ำกบั เชือกผูกววั เวลำเลน่ ใชแ้ ขวน
เป็นแนวเฉยี งลงมำทำมุมประมำณ ๖๐ องศำกบั พ้ืน ใหด้ ้ำนลกู ใหญ่เสียง
ทุ้มอยู่ตอนบนและด้ำนลูกเล็กสั้นและเสียงแหลมอยู่ตอนล่ำง กำรเคำะ
โปงลำงมักใช้ผู้เล่น ๒ คน คนเล่นทำนองเพลงจะเข้ำเคำะทำงด้ำนหน้ำ
ของผนื โปงลำง เรยี กวำ่ เป็น “หมอเคำะ” อกี คนหน่ึงเขำ้ เคำะข้ำงขวำมือ
ของหมอเคำะมีหน้ำท่ีเคำะเสยี งประสำนและทำจังหวะเรียกเป็น “หมอเสิร์ฟ”
ไม้ที่นำมำทำลูกโปงลำงนั้นนิยมใช้ไม้มะหำด(ไม้หมำกหำด) ซ่ึงมีขึ้นอยู่
ตำมป่ำเบญจพรรณท่ัวไปไม้ชนิดน้ีมีเปลือกเหนียวแข็งไม่บิดแตกเป็น
เสี้ยน เวลำแห้งแล้วเคำะมีเสียงดังดีมำก ยิ่งเป็นไม้มะหำดจำกต้นที่ยืน
ตำยย่ิงเสียงดีเป็นพิเศษ ช่ำงทำโปงลำงบำงคนจึงตัดเซำะเผำรำกต้น
มะหำด แลว้ ปลอ่ ยให้ยนื ตน้ ตำยก่อนโคน่ มำทำลกู โปงลำง
ควำมหมำยของโปงลำง มี ๒ ลักษณะ คำว่ำ "โปง" และ "ลำง" โปง เป็นสิ่งท่ีใช้ตีบอกเหตุ เช่น ตีในยำมวิกำล
แสดงวำ่ มเี หตุร้ำย ตตี อนเช้ำก่อนพระบณิ ฑบำตให้ญำติโยมเตรียมตวั ทำบญุ ตกั บำตร และ ตีเวลำเย็นเพอ่ื ประโยชน์
ให้คนหลงป่ำกลับมำถูก เพรำะเสียงโปงลำงจะดังกงั วำนไปไกล (สมัยก่อนใช้ตีในวัด) ส่วนคำว่ำ ลำง นั้น หมำยถึง
ลำงดี ลำงร้ำย กำรแสดงโปงลำงโรงเรียนเวียงเชียงรุ้งวิทยำคมโรงเรียนเวียงเชียงรุ้งวิทยำคม เป็นโรงเรียนที่เปิดสอน
ระดับมัธยมศึกษำ กำรแสดงโปงลำงเป็นกำรแสดงที่บ่งบอกถึงประเพณีกำรละเล่นของชุมชนท่ีมำจำกภำค
ตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นกำรแสดงท่ีใช้สำหรับแสดงในงำนมงคลต่ำง ๆ ของท้องถ่ิน ที่มำของกำรตีโปงลำงตี
เพ่อื ใหเ้ กิดเสียงดัง โปง หมำยถงึ เสยี งของโปง ลำง หมำยถงึ สัญญำณบอกลำงดหี รอื ลำงแห่งควำมร่นื เรงิ โปงลำง
จงึ หมำยถงึ เครอื่ งดนตรที ี่มเี สียงแหง่ ลำงดี ทำด้วยไม้เน้อื แข็ง เรียงรอ้ ยกนั ๑๒ ท่อน ใชแ้ ขวนเวลำตี กำรบรรเลงตี
เขำ้ จังหวะเร็ว ดว้ ยควำมสนุกสนำน มคี ุณค่ำในศิลปะกำรแสดงของทอ้ งถิน่
กำรแสดงโปงลำงเป็นกำรแสดงบรรเลงในงำนมงคล และงำนรื่นเริงต่ำง ๆ และงำนกิจกรรมประเพณีของชุมชน
หรือแม้กระท่ังในงำนโชว์ต่ำง ๆ หรอื พธิ เี ปิดงำนต่ำง ๆ ก็จะมกี ำรนำกำรแสดงโปงลำงมำบรรเลงโอกำส/เวลำที่ละเล่น
กำรแสดงโปงลำงน้ันนิยมแสดงในงำนบุญต่ำง ๆ เช่น งำนบวช งำนบุญกฐิน งำนประเพณีต่ำง ๆ ในท้องถิ่น
รวมท้ังงำนรน่ื เริงตำ่ ง ๆ และแสดงในงำนมหกรรม หรือกจิ กรรมทจ่ี ัดตำมสถำนท่ตี ่ำง ๆ เชน่ วัด โรงเรยี น ขว่ งวัฒนธรรม
รวมทัง้ งำนกิจกรรมในสถำนทอ่ี นื่ ๆ
องคป์ ระกอบทีบ่ ง่ บอกใหเ้ หน็ คุณลกั ษณะของศลิ ปะกำรแสดง
เคร่ืองดนตรี ๑๐ ช้ิน ประกอบด้วย ผูท้ ่ถี อื ปฏิบตั ิมรดกภูมปิ ัญญำทำงวฒั นธรรม
❖ โปงลำง ❖ กลองหำง ชอ่ื โรงเรียนเวียงเชียงรงุ้ วทิ ยำคม
ท่ีอยู่ 41 หมู่ 12 บ้ำนเหลำ่ เจรญิ เมือง ตำบลทงุ่ ก่อ
❖ แคน ❖ รำมะนำหรอื กลอ้ งตมุ้
อำเภอเวยี งเชียงรงุ้ จงั หวัดเชยี งรำย ๕๗๒๑๐
❖ พณิ โปรง่ ❖ ไหซอง หมำยเลขโทรศัพท์ 053 953275-6
❖ โหวด ❖ ฉำบ
❖ หมำกก๊ับแก้บ ❖ ฉงิ่
แจ่วบอง 41
แจ่วบอง เป็นอำหำรพนื้ บ้ำนอีสำน ทีน่ ำวัตถดุ ิบในท้องถนิ่ มำประกอบอำหำร
และเป็นท่ีรู้จักของคนทั่วไป จึงทำให้กลุ่มแม่บ้ำน บ้ำนป่ำเลำ เห็นควำมสำคัญ
ในกำรเพ่ิมค่ำผลผลิตภัณฑ์ และแปรรูปอำหำรถนอมอำหำร ท่ีใช้ภูมิปัญญำ
ท้องถิ่นของชุมชน โดยทำแจ่วบอง เป็นอำหำรเพื่อจำหน่ำยแก่ผู้สนใจ และ
ตำมร้ำนคำ้ หรืองำนเทศกำลต่ำง ๆ เป็นท่รี ู้จกั ของสนิ ค้ำ ผลิตภณั ฑข์ องกลุ่ม
แจ่วบอง เป็นภูมิปัญญำในกำรถนอมอำหำรของสตรี หรือ
แม่ศรีเรือน และเป็นผลิตภัณฑ์ แปรรูปอำหำรโดยกำรถนอม
อำหำร ผลิตภัณฑ์แจ่วบอง มีรสชำติท่ีอร่อย สำมำรถนำไปประยุกต์
เป็นอำหำรประเภทอ่ืน ๆ นำวัตถุในท้องถิ่นของชุมชน มำประกอบ
อำหำร และยังเป็นอำหำรที่เป็นที่ยอมรับของผู้ที่ชอบทำน หรือ
สนใจ รวมท้ังผักต่ำง ๆ ที่ใช้ทำนกับแจ่วบอง เช่น ผักกำดขำว
ผักบุ้ง ถว่ั ฝักยำว แตงกวำ มะเขอื ใบโหระพำ และอื่น ๆ ต่ำงก็เปน็
สมุนไพรชนดิ ต่ำง ๆ จงึ ถอื ว่ำเปน็ สมนุ ไพรที่มปี ระโยชนต์ อ่ ร่ำงกำย
สว่ นประกอบ
❖ พริกแห้ง หวั หอม กระเทยี ม ตะไคร้
ปลำร้ำสุกสับละเอียด
❖ มะนำว หรือมะขำมเปยี ก น้ำตำล
❖ พรกิ ขี้หนู ใบมะกรดู
❖ แตงกวำ มะเขอื ถ่วั ฝักยำว ผกั กำดขำว
และผักอนื่ ๆ ตำมชอบ เพ่อื กนิ กับเป็นเคร่อื งเคยี ง
ขั้นตอนกำรทำ
๑. นำพรกิ แห้งคัว่ ใหห้ อมและกรอบ หวั หอม กระเทยี ม คว่ั ใหส้ ุก หรอื จะใชเ้ ผำก็ได้ปอกเปลอื กออก ตะไครค้ ว่ั ใหห้ อม
๒. โขลกพริกแห้งให้ละเอียด ใส่หัวหอม กระเทียม ตะไคร้โขลกพอแหลก จึงใส่ปลำร้ำสับ โขลกให้เข้ำกันดี
ใสม่ ะขำมเปยี กหรอื มะนำว ตอ้ งกำรหวำนใสน่ ำ้ ตำลเล็กนอ้ ย ชิมดรู สตำมต้องกำร
๓. ตักใส่ถ้วย โรยด้วยพริกข้ีหนู ใบมะกรูดห่ันฝอย เพื่อให้สวยงำมน่ำกิน ผักที่ใช้กิน คือ ผักกำดขำว ผักบุ้ง ถ่ัวฝักยำว
แตงกวำ มะเขือ ใบโหระพำ และอนื่ ๆ ตำมชอบ
แจ่วบอง เปน็ อำหำรทว่ั ไปที่ผู้คนชน่ื ชอบ และปจั จุบันใช้ปลำ ผู้ทถี่ ือปฏิบัติมรดกภมู ปิ ัญญำทำงวัฒนธรรม
ร้ำสุกในกำรปรุง เพ่ือให้กำรรับประทำนที่ถูกสุขลักษณะ อำหำร ชอ่ื นำงดชั นี อวนทอง
แจ่วบ่องมีควำมสำคัญและคุณค่ำทำงสังคม จิตใจ วิถีกำรดำเนิน ทอ่ี ยู่ 87 หมู่ 3 บ้ำนป่ำเลำ ตำบลดงมหำวนั
ชีวิตของชุมชนเพรำะเป็นอำหำรท่ีชำวบ้ำนนิยมรับประทำนกัน
เพรำะทำไดง้ ำ่ ยมีเคร่อื งปรงุ ไมม่ ำกนกั ดว้ ยควำมท่ีทำไดง้ ่ำยจึงจะ อำเภอเวียงเชยี งร้งุ จังหวัดเชยี งรำย
พบว่ำแจ่วบองเป็นอำหำรท่ีเห็นอยู่ในปัจจุบัน ถึงแม้วิถีชีวิตของ 57210
ชำวบำ้ นจะเปล่ียนไป แตแ่ จว่ บองไมไ่ ดเ้ ส่อื มควำมนยิ มลงไปเลย
หมำยเลขโทรศัพท์ 081 796 3669
42
ผ้ำขำวมำ้ ทอมือ
ผ้ำขำวม้ำทอมือ เป็นงำนฝีมือและมรดกภูมิปัญญำของกลุ่มผู้สูงอำยุ
ที่รวมตัวกนั ใช้เวลำวำ่ งให้เป็นประโยชน์ และเกิดกำรอนรุ ักษ์ภมู ปิ ัญญำด้ำน
กำรทอผ้ำให้คงอยู่ เกิดควำมสำมัคคีของคนในกลุ่ม และสร้ำงรำยได้แก่
ผู้สงู อำยุ จดุ เด่นของผ้ำขำวม้ำทอมือ คอื ลวดลำยทร่ี ว่ มกนั คดิ ในกลุ่ม และต้ัง
ช่ือลำยตำมหน่วยงำนท่ีส่ังหรือต้องกำร เช่น ลำยออมสิน ลำยกศน. และ
จุดเดน่ ของกลุ่ม คอื ไม่ได้ต้ังกฎเกณฑ์ทีเ่ ข้มงวด เนอื่ งจำกสมำชิก ก ลุ่มมี
เวลำว่ำงไม่เท่ำกัน ใครว่ำงจำกภำรกิจก็มำร่วมทำ ถ้ำใครมีภำรกิจอื่นหำก
เสร็จภำรกิจก็เข้ำมำชว่ ยกัน ทกุ คนในกลุ่มมีควำมสำมัคคี รกั ใคร่ กลมเกลยี ว
วัสดุ – อปุ กรณ์
❖ ฝ้ำย และด้ำยสตี ำ่ ง ๆ
❖ เฝือ่ น : ใช้สำหรบั ปัน่ ดำ้ ย
❖ หลอดกรอด้ำย
❖ เฝอื : ใชส้ ำหรบั ขงึ เสน้ ดำ้ ยเพ่อื นำไปทำเป็นเสน้ ยนื
หรอื เสน้ แนวตัง้ ในข้ันตอนกำรทอผ้ำ
❖ กระสวย : ใชส้ ำหรับใส่หลอดดำ้ ยทกี่ รอแล้วสง่ เสน้
ด้ำยพงุ่ เขำ้ ไปในดำ้ ยเส้นยืนที่ขงึ อยบู่ นกห่ี รือหกู ทอผ้ำ
❖ กง : ใชจ้ ัดระเบียบเส้นดำ้ ยจำกด้ำยทีซ่ ื้อมำ
❖ อกั : ใชพ้ นั เส้นดำ้ ยเพื่อจดั ระเบยี บเสน้ ด้ำย
❖ ฟืม : มลี ักษณะเปน็ ฟนั ฟืม หรือฟนั หวที ่ีหำ่ งตำม
ขนำดของเส้นด้ำย
❖ กีห่ รือหกู : ใช้สำหรับทอผ้ำ
❖ จักรเย็บผำ้ : ใช้สำหรบั เย็มรมิ ผำ้ ขำวม้ำ
ข้ันตอนกำรทอผำ้
1. นำด้ำยหรอื ฝำ้ ยมำโว้นกับหลกั เฝอื เพื่อขึงเส้นด้ำย เตรียมนำไปทำเป็นเส้นยืน หรอื เส้นแนวตงั้
2. นำดำ้ ยมำใสก่ ง และอกั เพอื่ จัดระเบยี บเสน้ ด้ำย
3. นำด้ำยมำใส่ในฟมื บนก่เี พอ่ื ทำเป็นเสน้ ยนื หรอื แนวต้ัง เตรียมกำรทอผ้ำขำวม้ำ
4. นำด้ำยหรือฝ้ำยมำกรอกับเฝอ่ื น ป่นั ด้ำย เพ่อื นำด้ำยให้อยู่บนหลอดหรือแกนด้ำย
5. นำหลอดดำ้ ยใส่ในกระสวยเพ่ือเตรยี มนำไปทอเป็นเส้นพงุ่ แนวนอน
6. กำรทอผำ้ ขำวม้ำดว้ ยก่ี
ผู้ทีถ่ อื ปฏิบัติมรดกภมู ปิ ญั ญำทำงวฒั นธรรม
ชอื่ นำงวรรณดี สุนนั ต์
ทีอ่ ยู่ 623 หมู่ 11 บำ้ นเหลำ่ เจรญิ รำษฎร์ ตำบลทุง่ กอ่
อำเภอเวียงเชยี งรุง้ จังหวัดเชียงรำย 57210
หมำยเลขโทรศัพท์ -
คำ ข วั ญ อำ เ ภ อ แ ม่ ล า ว
แม่น้ำลาวคู่บ้าน
ห้วยส้านพลับพลาคู่เมือง
พระธาตุจอมหมอกแก้วลือเลื่ อง
นามประเทืองแผ่นดินทอง
สภาวัฒนธรรมอำเภอแม่ลาว
44
อำเภอแมล่ าว
ประวัตอิ ำเภอแม่ลาว
“แม่ลาว” เป็นชื่อแม่น้ำสายหลักที่สำคัญที่ไหลอำเภอแม่ลาวคนพื้นเมืองล้านมามักเรียกชื่อว่า
“น้ำแม่ลาว” และเป็นที่มาของชื่ออำเภอแม่ลาวในปัจจุบัน ซึ่งในอดีตอาณาเขตของ อำเภอแม่ลาว เป็นพื้นที่ของ
อำเภอเมืองเชยี งราย และได้แยกออกมาเปน็ ก่ิงอำเภอแมล่ าว ในวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2536 และได้ยกฐานะ
เป็นอำเภอแม่ลาว ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2539 อำเภอแม่ลาวประกอบด้วย 5 ตำบล ซึ่งแต่ละตำบลต่างก็มี
ความเปน็ มาท่สี ำคัญที่พอสรุปไดด้ ังนี้
๑. ตำบลบวั สลี
เป็นตำบลหนึ่งที่อยู่ในเขตปกครองของอำเภอแม่ลาวมีการก่อตั้งโดย นายสมศิริ เป็นชาวบ้าน
สันปูเลยเชียงใหม่ ได้พาสมัครพรรคพวกอพยพมาก่อตั้งหมู่บ้านสันปูเลย หลังจากนั้นก็มีผู้คนจากพื้นที่อื่น
เข้ามาอาศัยอยู่และมีบางส่วนที่มามีเชื้อสายเจ้าทางเชียงใหม่ด้วย และมีการตั้งนามสกุลขึ้นใหม่ เพื่อเป็น
การเคารพแกผ่ ้กู อ่ ต้ังคือ นามสกลุ “สลสี องสม” และจงึ ไดต้ ั้งเป็นชอ่ื ตำบลบวั สลี ซง่ึ เปน็ ตำบลทใ่ี หญ่มาก
ในปัจจุบันมี 12 หมู่บ้าน สำหรับโบราณสถานในเขตตำบลบัวสลี จะมีอยู่ที่บ้านสันปูเลย
ซ่ึงจะมกี ู่ถงึ 3 ก่ดู ว้ ยกัน (กู่ หมายถึงเจดีย์ สถปู ) ซึง่ ไมท่ ราบวา่ อยู่ในสมัยใด ซงึ่ ในสมัยก่อนจากการสอบถามผู้เฒ่าผู้
แก่ในชุมชนได้กล่าวว่า ตั้งแต่เกดิ มาก็เห็นมาแบบนแ้ี ลว้ ตอนเป็นเด็กๆก็พากันไปเลน่ มีการขดุ ขโมยพระและส่ิงของ
มีค่าภายในกู่ตัดเศียรพระพุทธรูปเพื่อนำไปขาย ซึ่งในเขตบริเวณรอบๆยังมีซากเครื่องปั้นดินเผาแตกอยู่รอบๆ
ชาวบ้านมีการทำการเกษตรอยู่รอบๆตัวกู่ ต่อมาภายหลังก็ไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปขุดค้นและไม่มีใครสนใจ
เพราะไม่เห็นความสำคัญมอี ยู่
๒. ตำบลดงมะดะ
ในอดีตเขตหมู่ที่ ๔, ๑๕ บ้านดงมะดะเป็นเขตเมืองเก่า พื้นที่ทั้งหมดแต่เดิมรวมไปถึงเขต
ตำบลจอมหมอกแก้วและตำบลโป่งแพร่ด้วย ซึ่งในเขตพื้นที่ดังกล่าวยังมีซากเมืองเ ก่าลักษณะเป็นหมู่บ้าน
คือ คูเมืองและกำแพงเมืองที่ยังเหลือให้เห็น เคยมีช่างจิตรกรได้มาศึกษาและคาดว่าเป็นเมืองหน้าด่านสมัยก่อน
และกลับมาบรู ณะซอ่ มแซมสมยั พระเจา้ กาวลิ ะ มผี ูค้ นเริ่มอพยพเข้ามาสร้างบ้านแปงเมือง แล้วตง้ั ชื่อตามช่ือต้นไม้
ชนิดหนง่ึ ท่ีมีอยอู่ ย่างหนาแนน่ คือ “ตน้ มะดะ” จึงต้ังชือ่ วา่ ดงมะดะ ซ่งึ ในตำบลมีแควน้ เลก็ ๆ หรือเป็นหมบู่ า้ น
๓. ตำบลจอมหมอกแก้ว
มีประวัติความเป็นมาของชื่อว่า ตำบลจอมหมอกแก้วมาจากพระธาตุจอมหมอกแก้ว ซึ่งเป็น
พระธาตุท่ีศักดิส์ ิทธิ์ทีช่ าวบ้านเคารพนับถือ และในปจั จุบันเป็นหนึ่งในสถานที่ทอ่ งเที่ยวในทริปการท่องเท่ยี วพระ
ธาตุ ๙ จอม ตำบลจอมหมอกแกว้ แยกออกมาจากตำบลดงมะดะเมอื่ ปี พ.ศ. ๒๕๒๙
๔. ตำบลปา่ กอ่ ดำ
แยกมาจากตำบลบัวสลี ซึ่งชื่อของตำบลมาจากชื่อต้นไม้ที่มีชื่อว่า “มะก่อ” จะมีมากในพื้นท่ี
จึงนำมาเป็นชื่อของตำบลในพื้นที่ มีพระธาตุหมอกมุงเมืองอยู่ในหมู่ที่ ๔ บ้านท่าขี้เหล็ก ซึ่งเป็นสถานที่ที่เคารพ
สักการะ จึงให้ราษฎรในตำบลเชื่อว่า สถานที่แห่งนี้มีความศักดิ์สิทธิ์สามารถปอ้ งกันภยันตรายจากธรรมชาติได้
ซึง่ ในตำบลป่ากอ่ ดำไมเ่ คยเกดิ ภยั ธรรมชาติรุนแรงนบั ตั้งแตก่ ่อสรา้ งพระธาตุแหง่ นี้
45
๕. ตำบลโปง่ แพร่
ในอดีตถนนสายที่ตัดผ่านตำบลโป่งแพร่นี้เป็นเส้นทางเสด็จและประทับแรมของพระบาทสมเดจ็
พระมงกุฎเกล้าเจา้ อยู่หวั รัชกาลที่ ๖ สมยั เป็น “สมเดจ็ พระยุพราช” และท่ีประทับแรมของพระราชชายาเจา้ ดารา
รศั มี ซงึ่ เป็นพระชายาในพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั (รัชกาลที่ ๕) ณ บรเิ วณบา้ นห้วยส้านพลบั พลา
ซึ่งเป็นที่ตั้งเป็นทำเลที่ดี เหมาะสม ต่อมาพระยาวงค์ ต้นตระกูลแสนคำมาได้อพยพครอบครัวมาจากเมืองยอง
มาต้งั เปน็ บา้ นเรือนในปี พ.ศ. ๒๔๓๗ และได้มตี ระกลู มลู สถานเดินทางชมาจากเชยี งใหม่ จังหวดั ลำปาง และจงั หวดั
แพร่ ตอ่ มามกี ารเปลี่ยนแปลงการปกครองจากเจา้ เมอื งมาเปน็ แคว้นซ่ึงมีพอ่ อยุ้ ต่นุ มลู สถาน เปน็ หัวหนา้ หรือกำนัน
ตำบลโป่งแพร่ ตอ่ มาได้มกี ารเปล่ยี นแปลง ตำบลโป่งแพร่ช ไปขึ้นกบั ตำบลบวั สลี นานเทา่ ใดไม่ปรากฏ พ.ศ.๒๔๘๓
ไดย้ า้ ยมาขึ้นกับตำบลแม่กรณ์ และในปี พ.ศ. ๒๕๓๒ ไดจ้ ัดตั้งตำบลขน้ึ ใหม่ คอื ตำบลโปง่ แพร่
แผนทอ่ี ำเภอแมล่ าวโดยสังเขป
คำขวัญอำเภอแมล่ าว
“ นำ้ แมล่ าวคูบ่ า้ น ห้วยสา้ นพลบั พลาคู่เมือง
พระธาตจุ อมหมอกแก้วลอื เลอ่ื ง นามประเทืองแผ่นดนิ ทอง ”
ลกั ษณะทางกายภาพ
๑. สภาพท่ัวไป
ตำแหน่งทีต่ ั้ง
อำเภอแม่ลาวตั้งอยู่ทางทิศใต้ของจังหวัดเชียงราย โดยอยู่ห่างจากตวั จังหวัดเชียงราย ประมาณ
๒๔ กโิ ลเมตร พนื้ ท่ี ๓๓๘ ตารางกโิ ลเมตร (ประมาณ ๒๑๑,๕๐๖ ไร่)
อาณาเขตติดต่อ
▪ ทิศเหนอื ตดิ ตอ่ กบั ตำบลแมก่ รณแ์ ละตำบลป่าออ้ ดอนชัย อำเภอเมอื งเชียงราย
▪ ทิศใต้ ตดิ ตอ่ กบั ตำบลธารทอง อำเภอพาน
46
▪ ทิศตะวันออก ติดต่อกับ ตำบลป่าอ้อดอนชัย อำเภอเมืองเชียงราย และตำบลธารทอง
อำเภอพาน
▪ ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ตำบลแม่สรวย อำเภอแม่สรวย และตำบลห้วยชมภู อำเภอเมือง
เชียงราย
๒. สภาพภูมปิ ระเทศ
ลกั ษณะภมู ิประเทศของอำเภอแม่ลาว สว่ นใหญ่เป็นพ้นื ทีร่ าบ มีเนนิ เขาและภเู ขาอยู่ทางด้าน
๓. ลักษณะภมู อิ ากาศ
สภาพเป็นอากาศร้อนชื้น อุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุด ๔๐ องศาเซลเซียส ต่ำสุด ๘ องศาเซลเซียส
ปริมาณน้ำฝนเฉล่ียสงู สดุ ๕๐ – ๘๐ มลิ ิเมตร /ปี
ขอ้ มูลแห่งเรยี นรู้
สถานวี จิ ัยเพาะเลี้ยงสัตวป์ ่าดอยตงุ (สว่ นแยก) เชียงราย
ของสำนกั อนุรกั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติ กรมปา่ ไม้ เหมาะสำหรับการพักผ่อนหยอ่ นใจ หรอื สำหรับ
การศึกษาชีวิต และการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ตั้งอยู่บ้านหนองผักเหือด หมู่ที่ ๑๐ ตำบลจอมหมอกแก้ว ห่างจาก
ตัว จังหวัดเชียงราย ประมาณ ๒๕ กิโลเมตร อยู่ริมถนนสายเด่นห้า – ดงมะดะ และห่างจากถนนใหญ่ประมาณ
๒.๒ กิโลเมตร
แหลง่ ทอ่ งเท่ยี ว
วดั พระธาตจุ อมหมอกแก้ว
เป็นพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองของอำเภอแม่ลาว
เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของประชาชนชาวอำเภอแม่ลาว
ตั้งอยู่บ้านดงมะเฟือง หมู่ที่ ๙ ตำบลจอมหมอกแก้ว
อยู่ริมถนนสายเด่นห้า – ดงมะดะ ระยะทางจาก
ตวั จังหวัด ประมาณ ๒๗ กโิ ลเมตร
47
วดั พระธาตดุ อยจ้องสลบั แสง
เป็นสถานที่ปฏบิ ตั ธิ รรมวิปัสสนา บรรยากาศสงบเงียบ
รืน่ รม มคี วามเป็นธรรมชาติ ตัง้ อยู่ บา้ นหว้ ยส้านพลับพลา
หมูท่ ี่ ๕ ตำบลโปง่ แพร่ อำเภอแม่ลาว
อ่างเก็บนำ้ ห้วยส้านพลับพลา
เป็นสถานที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ
ตั้งอยู่ที่บ้านห้วยส้านพลับพลา หมู่ที่ ๕ ตำบลโป่งแพร่
เดินทางจากอำเภอเมืองเชียงราย ระยะทางประมาณ
๒๐ กโิ ลเมตรและเดินทางเขา้ ไปอกี ๓ กโิ ลเมตร
สวนชา สุวิรุฬห์ชาไทย เป็นสวนชาตัวอยา่ งที่ปลกู ชา
จีนอู่หลงก้านอ่อนในพืน้ ท่ี ประมาณ ๘๐๐ ไร่ และดำเนิน
กรรมวิธีการผลิต บรรจุ ครบวงจร เป็นแหล่งสำหรับ
การทอ่ งเทย่ี ว ทัศนศกึ ษาดงู าน