The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รูปแบบของวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณี ภูมิปัญญา และศิลปะ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by thananwrat, 2022-01-17 02:33:36

ข้อมูลด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรรมท้องถิ่น

รูปแบบของวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณี ภูมิปัญญา และศิลปะ

Keywords: ท้องถิ่น,ชาติพันธุ์,ศิลปะ,จังหวัดเชียงราย,ศิลป์,ประเพณี,ศาสนา,ปราชญ์ชาวบ้าน

148

ประวัติคนยอง “บา้ นแม่คำสบเปนิ ”

ชาวยอง หรือ ชาวเมืองยอง คือชาวลื้อที่ตั้งบ้านเรือน
อยู่บริเวณเมืองยอง และกระจายอยู่ในด้านตะวันออกของรัฐฉาน
ประเทศพม่า เขตสิบสองปันนา ในมณฑลยูนนานของจีน ถึงรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงถูกพระเจ้า
กาวิละแห่งนครเชียงใหม่กวาดต้อนเข้ามาตั้งบ้านเรือนในจั งหวัด
ลำพูน เชียงใหม่ เชียงราย และน่าน ตามนโยบาย " เก็บผักใส่ซ้า
เกบ็ ขา้ วใสเ่ มือง" เพือ่ ฟน้ื ฟบู า้ นเมอื ง

หลังการปกครองของพม่าในล้านนาส้ินสุดลง จากตำนาน ชาวเมืองยองซึ่งเป็นชาวลือ้ ได้อพยพมาจาก
เมืองเชยี งรงุ่ และเมืองอน่ื ๆ ใน สบิ สองปันนา และไดอ้ พยพเขา้ มาตั้งถิ่นฐานครัง้ ใหญ่ในเมืองลำพูนและเชียงใหม่
ในปี พ.ศ. 2348 ต่อมาคำว่าเมืองได้หายไป คงเหลืออยู่คำว่า คนยอง ดังนั้น ยอง จึงมิใช่เป็นเผ่าพันธุ์
และเมื่อวิเคราะห์จากพัฒนาการประวัติศาสตร์ของเมืองยองแล้ว ชาวไทยอง ก็คือ ชาวไทลื้อนั่นเอง ประวัติ
บ้านแม่คำสบเปิน หมู่ ๑ และบ้านแม่เปิน หมู่ ๑๔ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๕ ช่วงเวลานั้นเมืองเชียงแสนยังไม่ได้รับการฟื้นฟูให้เป็นบ้านเมืองขึ้นมา จึงทำให้มีกลุ่มชาวเงี้ยว
(ไทใหญ่) ชาวไทเขิน และชาวไทลื้ออพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในที่ราบเชียงแสน พระองค์จึงแจ้งให้เจ้าหลวงเมือง
เชยี งใหม่ในขณะน้ันคือพระเจ้าอนิ ทวิชยานนท์เกณฑ์กำลังพลจากเมืองเชยี งใหม่ ลำปาง และลำพูนข้ึนมาขับไล่
ชาวเชียงตุงออกจากพื้นที่เมืองเชียงแสน ต่อมาเมื่อได้ขับไล่ชาวเชียงตุงออกไปแล้วพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าให้ทำการฟื้นฟูเมืองเชียงแสนขึ้นมาใหม่โดยโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าอินต๊ะ
ซึ่งเป็นบุตรของเจ้าบุตรเจ้าบุญมาเจ้าผู้ครองนครลำพูนเป็นผู้เกณฑ์ราษฎรชาวเชียงใหม่ ลำพูนและชาวลำปาง
ขึ้นมาฟื้นฟูเมืองเชียงแสน เมื่อปี ๒๔๒๓ จากบันทึกของชาวต่างชาติท่ีเข้ามาเมืองเชียงใหม่และเมืองเชียงแสน
ในยุคนน้ั ไดก้ ลา่ วถึงการฟน้ื ฟเู มืองเชียงแสนเอาไว้

บ้านแม่คำสบเปินและบ้านแม่เปินตั้งอยู่ในตำบลแม่คำ หรือแขว่นแม่คำ
ในแขวงเชียงแสนหลวง ในขณะนั้นแขวงเชียงแสนหลวง(เมืองเชียงแสน) มีทั้งหมด
๗ ตำบล เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๐ ต่อมาเมื่อ ปี ๒๔๕๒ แขวงเชียงแสนหลวงได้เปลี่ยนช่ือ
มาเป็นอำเภอแม่จัน ส่วนกิ่งอำเภอเชียงแสนได้เปลี่ยนเป็นชื่ออำเภอเชียงแสน ในอดีต
พื้นที่ของตำบล แม่คำมีอาณาเขตที่กว้างขวางมากโดยพื้นที่อำเภอแม่ฟ้าหลวง
ในปัจจุบันก็เป็นอาณาเขตของตำบลแม่คำ ตำบลแม่ไร่ และตำบลห้วยไคร้บางส่วน
ก็เคยเปน็ พนื้ ทีข่ องตำบลแม่คำในอดีต

บ้านแม่คำสบเปินได้ทำการแยกหมู่บ้านออกเป็นสองหมู่บ้านเพื่อสะดวกในการปกครองและการขอ
งบประมาณเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๘ โดยหมู่บ้านแม่คำสบเปิน และ บ้านแม่เปินเป็นหมู่บ้านชาวไทยอง (ไทล้ือ
เมืองยอง) ที่เข้มแข็งในการดำรงอัตลักษณ์ทางภาษาพูด วิถีชีวิตชาวไทยอง ศิลปะหัตถศิลป์ และเป็นหมู่บ้าน
ทมี่ ชี า่ งศลิ ป์ในหลากหลายสาขา เปน็ ชุมชนท่ที ำการเกษตรกรรมได้เปน็ อนั ดับต้นๆของจงั หวัดเชียงราย

ปัจจุบันชาวแมค่ ำสบเปิน ยงั คงสบื ทอดวถิ ีวฒั นธรรมของคนยองมาจนถงึ ปจั จุบนั ไมว่ า่ จะเป็นภาษาพูด
เม่อื เราไปถงึ บา้ นแมค่ ำสบเปนิ ผู้คนยงั พดู คยุ เปน็ ภาษายอง อาหารการกนิ การแตง่ กาย ประเพณีและพธิ กี รรม

ผูท้ ่ีถือปฏบิ ัติมรดกภูมปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม
ช่ือ นายปรีชา รอดสวุ รรณ์ (ประธานสภาวัฒนธรรมตำบลแมค่ ำ)
ที่อยู่ 317 หมู่ 1 ตำบลแมค่ ำ อำเภอแม่จนั จังหวดั เชียงราย
หมายเลขโทรศัพท์ 062-2630183

149

พิธกี นิ อ้อผะญา๋ ลา้ นนา

ไม้อ้อ ตามพจนานุกรม หมายถึง พรรณไม้ล้มลุก ขึ้นเป็นกอตามริมลำ
ธาร ลำต้นแข็ง ปล้องในกลวงต้นอ้อต้นไม้ที่ชอบขึ้นในพื้นที่ชื้นแฉะ ลำต้น เป็น
ปล้องแข็ง ใบเรียวเหมือนต้นแขมหรือหญ้าคา มีดอกสีขาว เวลาบานจะเป็นปุย
นุน่ แผ่กระจายสวยงาม แพร่พันธ์ุและแตกกอไดง้ ่าย ตายยาก

พิธีกินอ้อผะญ๋าล้านนา ชาวล้านนามีวิถีชีวิตที่ควบคู่ไปกับความเชื่อ ทั้งที่มาจากความเชื่อ
ดังเดิมและความเชื่อที่เกิดจากคำสอนทางพระพุทธศาสนาหรือเกิดจากการผสมผสานความเชื่อทั้งสอง
เข้าด้วยกัน เพื่อความสวัสดี ความเจริญรุ่งเรืองของชีวิตหรือแม้ในยามชีวิตตกอยู่ในห้วงทุกข์ ชาวล้านนาก็มี
กุศโลบายในการประยุกต์ส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่ผลทางด้านจิตใจ การเรียนรู้ การศึกษา เป็นสิ่งที่ชาวล้านนา
ให้ความสำคัญไม่น้อยกว่าด้านอื่นๆ คนล้านนาในแวดวงการศึกษาของพระสงฆ์สมัยโบราณให้ความสำคัญ
กับทางพิธีกรรมทางจิตที่เรียกว่า การกินอ้อผะญ๋า อย่างมาก เพราะเป็นกระบวนการที่ช่วยลดปมด้อยของ
คนทค่ี ิดว่าตนเองมีความจำไม่ดี สตปิ ญั ญาไมด่ ี ไมป่ รอดโปรง่ และชว่ ยเพ่ิมความมัน่ ใจให้กับคนท่สี มองดีอยู่แล้ว
ปัจจุบันพิธีกรรมดังกล่าวแพร่หลายอยู่วงแคบๆ ในหมู่ที่ยังมีความเชื่ออยู่ แต่นับวันจะเลือนหายจากความ
ทรงจำไปแล้วเพราะวิทยาการในสมัยใหม่มีบทบาทมาก การกินอ้อผญ๋านั้น มีกระบวนการที่ต้องพิจารณา
กันเป็นพิเศษ ทั้งสัญลักษณ์ของอุปกรณ์ที่ก็น่าศึกษาอย่างยิ่ง แวดวงศึกษา
ของชาวบ้านล้านนาส่วนหนึ่งเชื่อว่า ผู้ใดผ่านการกินอ้อผญ๋ามาแล้ว
แม้นว่าสมองทึบ สติปัญญาไม่เอาไหน ก็จะกลายเป็นคนมีสติปัญญา
เป็นเลิศ สามารถท่องจำได้ดี มีการจัดพิธีกรรมดังกล่าวไม่มากหนัก
ในปีหนึ่งๆ มีการคัดเลือกคนเข้าร่วมพิธีด้วยเช่นกัน ผู้ประกอบพิธีกรรม
หรือผู้เข้าใจกระบวนการหายาก ส่วนใหญ่จะเป็นพระสงฆ์ที่ผ่านการบวช
เรยี นมาแลว้

คุณสมบตั ิของอ้อมี 5 อย่าง (ในออ้ 1 ปลอ้ ง คือ จื่อ จ๋า ผญา สิเนหา เต๋ชา) ให้ตง้ั สจั จาธิษฐาน
ออ้ หลักไว้ก่อน เชน่ เรียนหนงั สอื ตงั้ อ้อจอื่ (จำ) จา๋ ผญา สเิ นหา เตชา ตามมาเอง โต้วาที หรือชา่ งซอ คาว จ๊อย
นักร้อง ดนตรี จะนิยมอ้อจ๋า เป็นครู หรือต้องการฉลาดมีไหวพริบปฏิภาณ ลายมือสวย จะนิยมอ้อผญา
ในหมู่หนุ่มสาวมักต้องการอ้อสิเนหา ท้ังฟ้อนรำ เล่นดนตรี แสดงละคร ลิเก ค้าขาย จะนิยมอ้อสิเนหา
ร่างกายอ่อนแอ ต้องการเอาไปผสมยา จะนิยมเด๋ชา(สามารถขออาจารย์กำกับคาถาเต๋ชาเป็นน้ำผึ้งขวดได้
เหมือนน้ำมนต์ใส่น้ำต้น หรือกระบอกไม้ (สมัยก่อน) สรุปว่า ถ้าสามเณรหรือพระ หรือครูบาทำอ้อกิน จะเรียก
ออ้ ธรรม ออ้ อรหันต๋า ถ้าชาวบ้าน จะเรียกออ้ ผญา หรืออ้อภูมวิ ิสยั ทวั่ ไปคือ ออ้ ท้งั ๕

วิธกี นิ อ้อ
ถ้าทำพิธีหมู่นักเรียนเปิดเรียน จะมีซุ้มขาจ๋ำ (ยอ) ลอดซุ้ม
แล้วกิน สถานที่โล่ง ไม่มีสิ่งบดบัง เมื่อเงยหน้ายกดื่มแล้ว
พอดีได้จังหวะจะโยนข้ามหัว หรือออกปล่อง (หน้าต่าง)
หรอื ไหลทรี่ อ่ งน้ำ เดก็ วัด จะแขง่ กนั ท่องหนังสือ จะเสกเอง
หรือใหอ้ าจารยก์ ำกบั เสกให้
สถานที่อ้อขึ้น ห้ามเอาอ้อที่ขึ้นอยู่คือ แม่น้ำที่น้ำคดไปมา
หรือน้ำมาชนกัน ใต้ต้นไม้ ริมสะพานทางรถ-คน-สัตว์เดิน
ข้าม

150

พธิ กี นิ อ้อผะญา๋ จะตอ้ งเตรยี มอปุ กรณ์ดังตอ่ ไปน้ี
1. ไม้อ้อที่ตัดทั้งข้อ คือ เหลือข้อยาว ๓ นิ้ว ตามจำนวนผู้เข้าร่วมพิธีให้ผู้เข้าพิธี กราบ พระรัตนตรัย
กราบครอู าจารย์ ผปู้ ระกอบพธิ ีกล่าวโอกาส ว่าคาถาตา่ งๆ ทอี่ ยใู่ นกระบวนการใชน้ ำ้ มนต์ประพรม
กระบอกไม้อ้อที่บรรจุน้ำผึ้ง เมื่อจบกระบวนการกล่าวโอกาสของผู้ประกอบพิธีแล้วก็อนุญาต
ให้ผูเ้ ข้าร่วมพิธีดมื่ ออ้ ปัญญา ตามจำนวนท่ีกำหนดใหซ้ ง่ึ ออ้ ทง้ั ๕ จะมีคาถากำกับทัง้ ๕ บทคือ
▪ ออ้ จ่ือ (จำแมน่ )
▪ อ้อจ๋า (อู้แกว่น)
▪ ออ้ ผะญา๋ (คดิ แล่น)
▪ อ้อเสน่ห์ (คนแหน)
▪ อ้อเต๋จา เดชา (ปอ้ งกันโรคภัยไขเ้ จบ็ )
2. พิธีกินอ้อผะญ๋า ในอ้อ 1 จะมีคาถาทั้ง ๕ ให้ตั้งสัจจกริ ิยาก่อนกนิ ถ้ากินเป็นหมู่คณะคนมากจะใช้
ถังแล้วนำไปราดที่โคนต้นโพธิ์ หรือกินกลางแจ้งแล้วโยนข้ามหัว หรือยืนใกล้หรือคล่อมแม่น้ำ
กินแล้วโยนไปน้ำไป หรือถ้ากินในบ้านให้โยนออกหน้าต่าง(ปล่อง) ข้อสำคัญต้องอธิษฐานก่อนกิน
แลว้ แต่วตั ถุประสงค์ของผู้กนิ ว่าต้องการ จำแม่น พดู เก่ง มปี ญั ญาฉลาด คนรัก และป้องกันโรคภัย
ไข้เจบ็

ปัจจุบนั พธิ กี นิ อ้อผะญา๋ มักไม่ได้จัดข้ึนบ่อยๆ สว่ นมากจัดในช่วง

เทศกาลสงกรานต์เท่านั้น การให้เด็กนักเรียนได้เข้ามาร่วมพิธีกิน

อ้อผะญ๋าเป็นกุศโลบายให้เด็กนักเรียนหากได้ร่วมพิธีกินอ้อผะญ๋า

ให้มีความเชื่อมั่นในตนเอง หมั่นศึกษาหาความรู้ และตั้งใจเล่าเรียนมาก

ยิ่งขึ้น เห็นควรมีการส่งเสริมรักษาต่อยอดพิธีกรรมท่ีดีงามนี้ต่อไป

โดยการจดั กิจกรรมรว่ มกบั โรงเรยี นให้มากย่ิงขึน้

ผทู้ ถี่ ือปฏบิ ัติมรดกภูมปิ ัญญาทางวัฒนธรรม
ชอ่ื พระครปู ระสิทธ์บิ ญุ ญาคม

วนั เดือน ปเี กดิ ๔ มิถนุ ายน ๒๔๘๘

ทอี่ ยู่ วัดก่ิวพรา้ ว เลขที่ ๖๔ หมู่ที่ ๔ ช่อื หมู่บา้ นก่วิ พร้าว

ถนนกวิ่ พรา้ ว – ดอยหลวง ตำบลจันจว้าใต้ อำเภอแมจ่ ัน
จงั หวดั เชยี งราย รหัสไปรษณีย์ ๕๗๒๗๐
หมายเลขโทรศัพท์ 09-4757-7637

อเี มล์ [email protected]

151

อาหารชาติพนั ธ์ุไทยอง

ชาวไทยองนยิ มอาหารประเภทนำ้ พริก แกง ต้ม นึ่ง ปงิ้ หมก

ย่าง ที่ทำจากพืชผัก เนื้อสัตว์เช่นเดียวกับกลุ่มชาติพันธุ์ไทยวน เช่น

แกงแคไก่ แกงหยวกกล้วย น้ำพริกผักนึ่ง จอผักกาด เป็น ต้น ซึ่งเป็น

อาหารที่กล่าวได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของอาหารล้านนา รับประทาน

กับข้าวเหนียว ส่วนอาหารเดิมของชาวเมืองยองประเทศพม่าที่สืบ

ทอดต่อมาถึงปัจจุบันเป็นอาหารประเภทผักที่หาได้ตามฤดูกาลใน

ท้องถน่ิ เชน่ ผกั กดู เตา ใชย้ ำหรอื แกง เปน็ ต้น

น้ำพรกิ นำ้ ผัก

น้ำพริกน้ำผัก เป็นน้ำพริกที่มีลักษณะข้นถึงขลุกขลิก เป็นอาหารที่ทำมาจากผักกาดเขียวแก่ทั้งต้น

นำมาดองสัก 2 วนั ให้มีรสเปรย้ี ว นิยมรบั ประทานกบั แคบหมูและผกั ขห้ี ูด

ส่วนประกอบ 1. ผักกาดเขยี ว จำนวน 3 ขีด

2. เกลอื เมด็ ตำละเอยี ด (ไมใ่ ชเ้ กลือไอโอดนี ) จำนวน 1 ช้อนโต๊ะ

3. ขา้ วเหนยี วนึ่ง จำนวน 1 ช้อนโต๊ะ

4. น้ำซาวข้าว จำนวน 1 ถว้ ย

5. พรกิ แห้ง จำนวน 5 เมด็

6. กระเทยี ม จำนวน 3-5 กลีบ

7. เกลือปน่ จำนวน 1 ชอ้ นชา

8. มะแขว่น จำนวน 1 ชอ้ นชา

9. ต้นหอมผกั ชซี อย จำนวน 1 ชอ้ นโต๊ะ

วธิ กี ารทำ 1. หันผักกาดเขยี วให้ละเอียด

2. นำผักกาดเขยี วไปตากแดดประมาณ 10 นาที เพื่อให้นุ่มก่อนนำมาขยำ

3. ขยำผกั กาดเขยี วกับเกลือเมด็ จนนม่ิ

4. ใสข่ ้าวเหนียวนึง่ ลงไป ขยำให้เข้ากัน

5. ใส่นำ้ ซาวข้าว ปดิ ฝา หมกั ไว้ประมาณ 2 วัน

6. หมกั ผกั กาดเขียวได้ท่ีแลว้ นำผักกาดมาตม้ ใหน้ ำ้ งวดเล็กนอ้ ย ปิดไฟพักไวใ้ หเ้ ย็น

7. โขลกพลกิ เกลอื กระเทียม และมะแขว่น รวมกันใหล้ ะเอยี ด

8. ใสเ่ คร่ืองปรงุ ทโี่ ขลกแลว้ ลงในน้ำผัก คนให้เข้ากนั โรยดว้ ยตน้ หอมผกั ชซี อย

ยำผกั กาดใส่ผักป่ยู ่า

สว่ นประกอบ 1. ผักกาด จำนวน 3 ขดี

2. ผักปูย่ ่า จำนวน 1 กำมอื

3. มะกอก หรือมะนาว จำนวน 1 ลูก

4. ปลานลิ จำนวน 1 ตัว

5. ตะไคร้ จำนวน 5 หวั

6. รากผักชี จำนวน 5 ราก

7. เกลอื จำนวน 1 ช้อนโตะ๊

8. กะปิ จำนวน 1 ช้อนโตะ๊

9. กระเทียม จำนวน 5 กลีบ

10. พริกหนุม่ ย่างไฟ จำนวน 3-5 เมด็

11. ต้นหอมผกั ชีซอย จำนวน 1 ช้อนโตะ๊

152

วธิ ีการทำ 1. เด็ดผกั ปู่ย่าซอยรวมกนั กบั ผักกาด

2. ตั้งน้ำเดือด นำเน้ือปลานิล ตะไคร้ รากผกั ชี และกะปิ ลงไปตม้ พร้อมกนั

3. แกะเนื้อปลาที่ต้มสุกแล้ว (เอากางปลาออกใหห้ มด)

4. โคลกพรกิ หนมุ่ ยา่ งไฟ เกลือ กระเทยี มเข้าด้วยกนั

5. นำเนอื้ ปลาที่แกะแล้วโคลกกบั นำ้ พรกิ ตำจนเนอื้ เขา้ กันละเอยี ดพอควร

6. นำนำ้ พรกิ ทต่ี ำพร้อมกบั เนอื้ ปลามาคลุกเคลา้ กบั ผกั ปู่ยา่ และผกั กาดท่ซี อยไว้ใหเ้ ขา้ กัน

7. ปรุงรสดว้ ยมะกอก หรือมะนาว พรอ้ มด้วยเกลือเลก็ น้อย โรยดว้ ยต้นหอมผักชซี อย

ผกั กาดจอ

เป็นตำรับอาหารที่ใช้ผักกาดกวางตุ้งที่กำลังออกดอก หรือเรียกว่า ผักกาดจ้อน หรือผักกาดดอก ซ่ึง

ปรุงด้วย เกลือ กะปิ ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียกหรือมะขามสด ใส่กระดูกหมู ซึ่งบางแห่งนิยมใส่น้ำอ้อย ลงไป

ด้วย บางสูตรใส่ถั่วเน่าแข็บ หรือถั่วเน่าแผ่นย่างไฟ นิยมรับประทานกับพริกแหง้ ทอด ตัดเป็นทอ่ น โรยหนา้

แกง หรือรับประทานต่างหากแล้วแตช่ อบ

ส่วนประกอบ 1. ผกั กาดกวางตงุ้ จำนวน 1 กโิ ลกรมั 5. ถ่ัวเนา่ จำนวน 2 แผน่

2. ซ่โี ครงหมู จำนวน 400 กรมั 6. กะปิ จำนวน 2 ชอ้ นโตะ๊

3. หอมแดง จำนวน 5 หัว 7. นำ้ มะขามเปียก จำนวน 3 ชอ้ นโตะ๊

4. กระเทยี ม จำนวน 10 กลีบ 8. เกลือป่น จำนวน 1 ชอ้ นชา

วิธกี ารทำ 1. ตม้ นำ้ จนเดือด ใส่ซโ่ี คลงหมลู งไป ตม้ จนหมูสุก

2. โขลกกระเทียม หอมแดง กะปิ เกลือ ถว่ั เน่า รวมกันให้ละเอยี ด ใส่ลงในหมอ้

3. เดด็ ผักกาด ใส่ผักกาดลงไปในหม้อ

4. ใส่นำ้ มะขามเปียก คนให้ทั่ว ปดิ ไฟ

5. โรยด้วยตน้ หอมผักซี พริกทอด

ค่วั ถัว่ เนา่

เป็นอาหารที่ทำมากจากถ่ัวเหลืองต้มเป่ือยหมัก และนำมาโขลกใหล้ ะเอียด หอ่ ใบตอง และยา่ งไฟ

สว่ นประกอบ

1. ถัว่ เนา่ จำนวน 1 ถ้วย 6. ใบมะกรูดซอย จำนวน 2 ชอ้ นโต๊ะ

2. ไขไ่ ก่ จำนวน 3 ฟอง 7. พริกปน่ จำนวน 2 ชอ้ นโตะ๊

3. หอมแดง จำนวน 5 หัว 8. เกลอื จำนวน 1 ช้อนชา

4. ขา่ หนั่ จำนวน 10 แวน่ 9. กระเทียมสบั จำนวน 1 ชอ้ นโต๊ะ

5. ตระไครห้ นั จำนวน 2 ชอ้ นโตะ๊ 10. น้ำมันพืช จำนวน 3 ช้อนโตะ๊

วิธีการทำ

1. โขลกเกลือ ข่า ตระไคร้ รวมกนั ใหล้ ะเอียด

2. ใสห่ อมแดง พริกป่น โขลกรวมกนั ใหล้ ะเอยี ด

3. ใส่ใบมะกรูด โขลกจนใบมะกรูดละเอยี ด
4. ใส่ถว่ั เนา โขลกจนส่วนผสมเขา้ กัน

5. เจียวกระเทยี มกันน้ำมัน ใส่ส่วนผสมทีโ่ ขลกลงผดั ใหห้ อม

6. ใส่ไข่ไก่ ผดั ให้เขา้ กนั ผทู้ ี่ถอื ปฏิบัติมรดกภูมปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม
7. ผดั ต่อจนไข่ไกส่ ุก ปิดไฟ ช่อื นางสงั เวียน ปรารมภ์
ท่ีอยู่ เลขที่ ๑๑๓ หมทู่ ี่ ๑๒ บ้านสนั ทางหลวง

ตำบลจนั จว้าใต้ อำเภอแมจ่ ัน จังหวดั เชียงราย
หมายเลขโทรศัพท์ 086-9225679

153

ผา้ ปักมือบ้านสันทางหลวง

กลุ่มผ้าปักสันทางหลวง ต่อยอดมาจากการทอผ้า เมื่อวันเวลาผ่านไป
ลายผ้าทอเรม่ิ มีการซำ้ กนั มากขึ้น แตค่ วามคดิ สรา้ งสรรค์ยังไมส่ ิ้นสุด และชาวบ้าน
เริ่มมีการปักชื่อใส่เสื้อผ้าของตน เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ต่อมามีการปักเป็น
สัญลักษณ์ แทนการปักชื่อ โดยจะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน
กอ่ เกดิ เป็นลวดลายสวยงาม จงึ ต่อยอดมาเปน็ การสร้างมูลคา่ ของผ้าทอโดยการนำ
ผ้าทอมาปักเป็นลายที่ประกอบมาจากเอกลักษณ์ในแต่ละบุคคลบวกกับความงาม
ของธรรมชาตมิ าเป็นลวดลายตา่ งๆ ทำใหผ้ ้าแต่ละผนื จึงมีลวดลายท่แี ตกต่างกันไม่
เคยซ้ำกัน ซง่ึ กลายเป็นผ้าท่มี ีเพยี งชน้ิ เดยี วในโลก
ผ้าปักด้วยมือ มีเป็นงานฝีมือเพื่อใช้แต่งเสื้อผ้าในงานเทศกาลสำคัญต่าง ๆ วิถีชีวิตของชุมชน
จะมีการปักผ้าด้วยมือ เพื่อเป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญางานฝีมือไว้ และก่อให้เกิดรายได้ จึงมีการรวมตัวกัน
ตงั้ เป็นกล่มุ ผา้ ปักด้วยมือข้ึน มลี ักษณะเดน่ ทเ่ี ป็นเอกลักษณ์คือการปักตามจินตนาการของผู้ปักที่พบเห็นได้จาก
ธรรมชาติ และสิ่งที่อยู่รอบตัว ปักออกมาเป็นลวดลายต่างๆ เช่น ลายทุ่งนา ลายเม็ดข้าว ลายหอยเชอร่ี
ลายภูเขา ลายต้นไม้ใบหญ้า ลายดอกไม้ ลายใบไม้ ผ้าปักมือแต่ละชิ้นส่วนใหญ่ เน้นสีสันที่สดใส เช่น สีชมพู
สีฟ้า สีแดง สีม่วง สีเหลือง สีเขียว สีน้ำเงิน สีน้ำตาล การปักไม่มีรูปแบบ หรือมาตรฐานตายตัวถือเป็น
เอกลักษณแ์ ละอตั ลักษณ์ของงานผ้าปักมือ
วสั ดุอปุ กรณ์การทำผ้าปักมือ

1. ผ้าปักคอสตสิ ตาละเอยี ด (สีดำหรอื สีขาว)

2. เข็ม

3. ด้าย

4. ปากกาเขยี นกระจก

5. กรรไกร

วธิ ีการทำผา้ ปักมือ

1. ตดั ผ้าครอสติสตาละเอียดให้ได้ขนาดตามทต่ี ้องการ

2. ใชป้ ากกาเขียนกระจกวาดแบบลงบนผ้าครอสติส

3. เลือกดา้ ยตามสีทต่ี ้องการ

4. ปักตามรอยท่ีวาดไว้บนผา้ ครอสตสิ ตามจนิ ตนาการ

5. นำผา้ ท่ปี กั ไดไ้ ปตัดเยบ็ ลงบน กระเปา๋ เสอ้ื กางเกง เปน็ ตน้

ปัจจุบันผ้าปักมือได้รับการส่งเสริมจากหลายหน่วยงาน ผ้าปักมือได้รับความสนใจจากผู้บริโภคมาก

ยิ่งขึ้น เนื่องจากมีเพียงชิ้นเดียวในโลก ทางกลุ่มผ้าปักมือบ้านสันทางหลวงได้ถ่ายทอดการปักให้คนในหมู่บ้าน

เป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และเพิ่มรายได้ให้กับตนเองและครอบครัว ปัจจุบันทางกลุ่มได้ผลิตผ้าปักมือ

ในรปู แบบของขวัญของฝากมากย่ิงขึ้น พรอ้ มใส่เร่ืองเล่าและจินตนาการการทำผ้าปักมือของผ้าแต่ละชิ้นเพิ่มเสน่ห์

ของผา้ ปักเป็นการสรา้ งสรรค์ผลงานให้ออกมาเป็นท่ีสนใจมากยิ่งขึ้น

ผู้ทถี่ อื ปฏิบตั ิมรดกภูมปิ ัญญาทางวัฒนธรรม
ชอ่ื นางสงั เวียน ปรารมภ์
ท่อี ยู่ เลขท่ี ๑๑๓ หมทู่ ่ี ๑๒ ช่อื หม่บู า้ นสันทางหลวง

ตำบลจนั จว้าใต้ อำเภอแมจ่ ัน จงั หวดั เชียงราย

หมายเลขโทรศัพท์ 086-9225679

154

ผา้ ทอมอื สันทางหลวงใต้

วัฒนธรรมการทอผ้าผูกพันกับชาวบ้านสันหลวงใต้มาเป็นระยะเวลา
ยาวนาน ผ้าทอเป็นสื่อสัญลักษณ์ของคนในชุมชน ในอดีตเด็กผู้หญิง
ทุกคนจะถูกหัดให้รู้จักการทอผ้า หรือการเย็บปักถักร้อย การทอผ้าเป็นบทบาท
ทางสังคมและวัฒนธรรม การค้าขาย มีการใช้ผ้าในประเพณี และพิธีกรรมต่างๆ

การสืบทอดความคิด ความเชื่อแบบแผนทางสังคม การทอผ้าเป็นวัฒนธรรมอย่าง
หนึ่งที่สืบทอดกันมา นอกจากคุณค่าทางศิลปะแล้วยังเป็นการแสดงถึงแบบแผน
ความเป็นอยู่ในสังคมการสืบทอด หรือถ่ายทอดในสมัยโบราณผู้คนเรียนรู้หนังสือ
น้อย การถ่ายทอดต้องอาศัยความจำจากการปฏิบัติ จึงทำให้เกิดความชำนาญ
ไม่มีการบันทึกเปน็ ภาพหรือลายลักษณอ์ ักษรแตอ่ ย่างใด มีเพียงการถ่ายทอดจาก
แม่สู่ลูก หรอื เครอื ญาตใิ กลช้ ิด เปน็ มรดกภมู ิปญั ญาทส่ี บื ทอดกนั มาจากรนุ่ สรู่ ุน่

ผลิตภัณฑ์ผ้าทอมือของบ้านสันหลวงใต้ที่โดดเด่น คือ ผ้าลายจก ใช้เวลาทอประมาณ 3 - 4 วัน ต่อหนึ่งผืน

และผ้ายกดอก 4 ตระกอ มีลักษณะที่โดดเด่น คือลายจะอยู่ในตัวของมันเอง เวลาทอลายจะปรากฏขึ้นโดยไม่ต้องเก็บ

ดอก และลายเกาะ น้ำไหล ทอดว้ ยเทคนิค “เกาะ” หรอื “ล้วง” เกดิ ลวดลาย ทพ่ี ลิ้วไหวเหมอื นสายนำ้

วสั ดุ - อปุ กรณ์

❖ กกี่ ระตุก ❖ เคร่ืองกรอระวิง

❖ ฝา้ ย ❖ เครอ่ื งกรอระวิงหลอด

เล็ก

❖ เคร่ืองโวน้ ฝา้ ย ❖ ฟนั หวี
❖ กระสวย ❖ ก่ีทอผ้า

ขัน้ ตอนการผลิตทอผา้
1. นำฝ้าย (สีตามตอ้ งการ) ไปใสใ่ นเครื่องระวงิ ปัน่ ใส่หลอดใหญ่
2. นำไปใสเ่ คร่ืองโว้นฝา้ ย หรือเดินดา้ ยเพอ่ื หาความยาว
3. เดนิ ดา้ ยเสร็จนำไปใส่ฟนั หวีเพื่อหวดี ้าย
4. นำด้ายที่หวแี ล้วไปใสใ่ นก่ี
5. เกบ็ ตระกรอเพอ่ื ทำใหเ้ ปน็ ลายขดั พ้ืนฐาน
6. พนั ด้ายสตี ามตอ้ งการใสห่ ลอดเล็ก โดยใส่เครื่องระวิงหลอดเลก็
7. นำดา้ ยท่ใี สห่ ลอดเลก็ ใส่ในกระสวย และนำไปพงุ่ ทก่ี ่ขี ณะทอผ้า
8. ทอจนไดค้ วามยาวที่ตอ้ งการ หรือทำลวดลายจก ลายเกาะ หรอื ขิด

ผู้ที่ถือปฏบิ ตั ิมรดกภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรม

ช่ือ นางสนุ า ตาฟู
ท่อี ยู่ เลขท่ี 150 หมู่ 3 บา้ นสันหลวงใต้

ตำบลจอมสวรรค์ อำเภอแมจ่ ัน จงั หวดั เชียงราย
โทรศัพท์ 086 915 6181

155

การฟอ้ นดาบ การฟอ้ นเจงิ

การฟ้อนดาบ ฟ้อนเจิง นับเป็นการรำอาวุธชนิดหนึ่ง คือ
การร่ายรำด้วยเชิงดาบและมือเปล่าในท่าทางต่างๆ ซึ่งมักจะแสดงออก
ในลีลาของนักรบ ซึ่งท่าในการฟ้อนดาบ ฟ้อนเจิงนี้มีหลายสิบท่า รวมท้ัง
ใช้ดาบและมือเปล่า สำหรับการใช้ดาบนั้นก็ใช้ตั้งแต่ดาบเดี่ยว ดาบคู่
และ ใช้ดาบ ๔ เล่ม ๘ เล่ม ๑๒ เล่ม ซึ่งผู้ฟ้อนจะต้องมีความสามารถ
เป็นพิเศษ และก่อนที่จะมีการฟ้อนดาบ ฟ้อนเจิง ก็ต้องมีการฟ้อนตบมะ
ผาบเสยี ก่อน เป็นการฟ้อนด้วยมือเปลา่ ท่ใี ช้ลีลาทา่ ทางยัว่ เยา้ ให้คู่ปรปักษ์
บันดาลโทสะ โดยถือหลักว่าคนที่มีโทสะจะขาดความยั้งคิด และเมื่อนั้น
ย่อมจะเสียเปรียบคนทีใ่ จเย็นกว่า

เม่อื เหน็ ว่ามคี วามกล้าหาญพอแล้วกเ็ ข้าปะทะกันได้ และการฟ้อนดาบฟ้อนเจิงน้ัน อาจจะใช้มือเปล่าได้
ในทา่ ทางตา่ งๆ ทต่ี ้องใชค้ วามรวดเร็ววอ่ งไว การเกร็งกล้ามเนอ้ื ทกุ สว่ นเป็นการปลุกตัวเองไปก่อนท่ีจะเริ่มต่อสู้จรงิ ๆ

ฟ้อนดาบ ฟอ้ นเจงิ เป็นนาฏกรรมที่สะท้อนรปู แบบศิลปวัฒนธรรมอย่างหนึง่ ของคนไทยทางภาคเหนือ
ทน่ี ำเอาเรอ่ื งราวของศิลปะป้องกันตวั ซง่ึ เม่อื ครั้งอดตี ผูช้ ายชาวลา้ นนามกั จะมีการแสวงหาเรียนรู้ “เจิง” เพ่ือใช้
เป็นเครื่องมือในการป้องกันภัยให้กับตัวเอง ด้วยรูปแบบและลีลาท่าทางในการแสดงออกที่มีทั้งความเข้มแข็ง
สง่างาม ซึ่งสลับท่าทางไปมา ยากในการที่จะทำความเข้าใจ การฟ้อนดาบฟ้อนเจิงเป็นศิลปะการฟ้อนที่แสดง
ให้เห็นถึงชั้นเชิง ลีลาการต่อสู้ อันเป็นภูมิปัญญาของบรรพชนไทย มีการต่อสู้ทั้งรุกและรับ หลอกล้อกัน
อย่างสนุกสนาน ประลองไหวพริบปฏิภาณกัน เอาชนะกันอย่างมีชั้นเชิงให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ข่มเหง
เอาเปรยี บกัน สำหรบั การเรียนฟ้อนดาบ ฟอ้ นเจิงนัน้ ผเู้ รยี นต้องหามื้อจน๋ั วันดี เปน็ วนั อุดมฤกษ์ ไปขอเรียนกับ
ครูที่มีความสามารถ โดยต้องมีการขึ้นขันหรือ การจัดเครื่องคารวะ คือกรวยดอกไม้ธูปเทียน พลู หมาก
ขา้ วเปลอื ก ข้าวสาร สุรา ผา้ ขาว ผ้าแดง กลว้ ย อ้อย มะพรา้ ว และค่าครูตามกำหนด ครบู างทา่ นอาจเสี่ยงทาย
โดยให้ผู้จะสมัครเป็นศิษย์นำไก่ไปคนละตัว ครูเจิงคือผู้สอนฟ้อนเจิงจะขีดวงกลมที่ลานบ้านแล้วเชือดคอไก่
และโยนลงในวงนั้น หากไกข่ องผใู้ ดด้ินออกไปตายนอกเขตวงกลม ก็คือวา่ ผคี รูไม่อนุญาตใหเ้ รียน และหากเรียน
จนสำเร็จแลว้ ครูเจิง อนุญาตให้นำวชิ าไปใชไ้ ด้เรียกวา่ ปลดขนั ตงั้ โดยทำพธิ ยี กขันตงั้ ให้แกศ่ ิษย์ เป็นเสร็จพิธี

กล่าวโดยสรุปวัฒนธรรมการฟ้อนดาบ ฟ้อนเจิง คือ ท่าทางที่ใช้ในการแสดงอย่างมีชัน้ เชงิ มีทั้งท่าทาง

ที่เป็นการร่ายรําตามกระบวนท่าต่าง ๆ ตามแบบแผนที่แสดงออกถึงศิลปะในการต่อสู้ หรือเพื่อใช้ในการแสดง

โดยท่ารํามีทั้งที่เป็นหลักสากล หรือท่ารําของแต่ละคนใช้ความสามารถในการแสดงเฉพาะตัว พลิกแพลง

ดัดแปลง ประยุกต์ให้ดูสวยงาม ทั้งนี้สามารถฟ้อนโดยปราศจากอาวุธ หรือประกอบอาวุธ เช่น หอก ดาบ

และไม้ค้อน เป็นต้น ทั้งหมดล้วนเป็นศิลปะของชาวล้านนาไม่ว่าจะใช้แสดงในงานบวช หรือประเพณีสำคัญ

จึงควรคู่แก่การอนุรักษ์ไว้ให้กับลูกหลานได้เรียนรู้และสืบทอดต่อไปอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นการนำเอาเรื่องราวของ

ศิลปะป้องกันตัว ซึ่งเมื่อครั้งอดีตผู้ชายชาวล้านนามักจะมีการแสวงหาเรียนรู้ “เจิง” เพื่อใช้เป็นเครื่องมือใน

การป้องกันภัยให้กับตัวเอง ด้วยรูปแบบและลีลาท่าทางในการแสดงออกที่มีทั้งความเข้มแข็ง ผสมผสาน

กบั ศลิ ปะการฟอ้ นรำอย่างลงตวั

ผูท้ ี่ถอื ปฏิบัติมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม
ชือ่ นายนครินทร์ ใจธรรม
ทอี่ ยู่ เลขที่ 11 หม่ทู ่ี 6 บา้ นสนั นายาว ตำบลศรคี ำ้

อำเภอแมจ่ นั จงั หวดั เชียงราย
หมายเลขโทรศัพท์ 087-1934357

คำ ข วั ญ อำ เ ภ อ แ ม่ ส า ย

เหนือสุดยอดในสยาม
ลือนามพระธาตุเจ้าดอยตุง

ผดุงวัฒนธรรมล้านนา
เปิดมรรคาสู่อินโดจีน

สภาวัฒนธรรมอำเภอแม่สาย

157

อำเภอแมส่ ำย

ประวตั ิควำมเป็นมำ

“อำเภอแม่สำย” เป็นอำเภอชำยแดนที่ต้ังอยู่เหนือสุดของประเทศไทย
ชอื่ น้ีไดม้ ำจำกช่ือแม่นำ้ สำยเล็ก ๆ ซึ่งมีต้นนำ้ อยู่ในเขตประเทศพมำ่ แล้วไหล
ลงมำเป็นเส้นก้ันพรมแดน ระหว่ำงไทยกบั พม่ำตั้งแต่เหนือถ้ำผำจมไปจนถงึ
แม่น้ำรวกในเขตตำบลเกำะช้ำงทำงตะวันออก มีข้อสันนิฐำนว่ำชื่อเดิมของ
แมน่ ้ำนี้คือแมน่ ำ้ ใส ซึง่ นำ่ เชื่อถือ เพรำะแม่นำ้ น้ีใสจนมองลงไปเหน็ กน้ แมน่ ้ำ

แมส่ ำยเป็นหมู่บ้ำนมำต้ังแต่ปีใดไม่ปรำกฏ ทรำบแต่ว่ำชื่อหมู่บ้ำนแม่สำยนี้ มมี ำตง้ั แต่กอ่ นเปล่ียนแปลงกำรปกครอง
พ.ศ.2476 ซ่ึงแมส่ ำยเป็นท้องถ่ินเก่ำแก่และสำคัญ ตำมประวัติศำสตร์กำรตั้งถิ่นฐำนอยู่ในเขตทร่ี ำบลุ่มเชียงแสน-เชียงรำย
ยุคแรกเร่มิ เคยเป็นหมู่บ้ำนขนำดเลก็ แต่กำรเปน็ ชอ่ งทำงเดินทำงผ่ำนเทอื กเขำแดนลำวท่ีเรียกว่ำ “ฮ่องลึก” ทำให้
ที่นี่กลำยเป็นด่ำนพรมแดนธรรมชำติ มีผู้คนหลำกหลำยชำติพันธ์อำศัยทั้งบนพ้ืนรำบและภูเขำ มีกำรเดินทำงผ่ำน
และโยกย้ำยกลุ่มไปมำตลอด ทำให้เกิดชุมชนบ้ำน เมืองเก่ำแก่หรือเป็นเวียงโบรำณท่ีเชิงเขำต่อกับทุ่งรำบให้เมืองแม่สำย
ในปัจจุบัน ท่ีเรียกว่ำ “เวียงพำงคำ” ตำมบันทึกในตำนำนสิงหนวัติ เชื่อว่ำเมืองแม่สำย แต่เดิมคือ “เมืองศรีทวง”
หรือ “เวยี งสตี่ วง” ซ่งึ ต่อมำได้ช่อื ว่ำ “เวยี งพำนคำ” อย่ทู ิศตะวนั ตกเฉียงเหนือของเวยี งโยนกนครเชียงแสน ตำมชือ่
ของช้ำงที่พระพรหมกุมำร (พระมหำกษัตริย์พระองค์แรกที่ได้รับสมัญญำนำมมหำรำช คือ “พระเจ้ำพรหมมหำรำช”)
ใชเ้ ป็นพำหนะในกำรออกสรู้ บกับพระยำขอมจนไดร้ ับชัยชนะ รวมทง้ั อำคำรที่กำรอำเภอแม่สำยน้นั ต้ังอย่ทู ี่ ตำบล
เวยี งพำงคำ ซ่งึ คำดว่ำเพ้ียนมำจำก “เวยี งพำนคำ” นั่นเอง นอกจำกนีใ้ นพื้นที่ หมู่ที่ 3 ต.เวียงพำงคำ ยงั มบี ำ้ นเวยี งพำน
และวัดเวียงพำน ตัง้ อยอู่ ีกดว้ ย สภำพเมืองเก่ำยังปรำกฏรอ่ งรอยคูเมอื งและกำแพงเมืองโบรำณ ใหเ้ หน็ ในปัจจุบันนี้

ผู้คนจำกแม่สำยพื้นเพเดิมอพยพคนจำกลำพูนมำอยู่เชียงแสนตั้งแต่เมื่อเปล่ียนแปลงไปในช่วงเป็นระบบ
มณฑลเทศำภิบำลในรำวสมัยรัชกำลท่ี5 คนท่ีมำส่วนมำกเป็นลูกหลำนชำวเมืองยอง ที่อพยพลงไปกับ พระยำกำวิละ
(สมัยรัชกำลพระพุทธยอดฟำ้ จุฬำโลกมหำรำช) ตำมนโยบำยเก็บผักใส่ซ้ำเก็บข้ำใส่เมือง ตำมคำเล่ำลือถึงพื้นทร่ี ำบ
อนั อดุ มสมบูรณว์ ำ่ “ต้นขำ้ วใหญร่ ำวตน้ ตะไคร้” ปลกู อะไรก็งอกงำมดีและเปน็ ทำงผำ่ นท่จี ะเดินทำงไปสู่ “เมอื งไต”
ชำวไทยองเหล่ำนี้มิได้อำศัยอยู่เฉพำะในเขตอำเภอเชียงแสนเท่ำน้ัน แต่แพร่อำณำบริเวณถึงเขตอำเภอแม่จันและ
แมส่ ำยในปจั จุบันด้วย โดยเฉพำะอำเภอแม่สำย อพยพมำอยตู่ ำบลเกำะชำ้ งมำกเปน็ พิเศษ ซงึ่ คนเหลำ่ นี้เป็นชำวนำ
ที่รู้จักสร้ำงระบบชลประทำนเป็นอย่ำงดมี ำนำนตั้งแต่กอ่ นมีอำณำจกั รเชียงรุ่งในอดีตแล้ว กำรมำตั้งรกรำกแถบลุ่ม
แม่น้ำสำยตอนล่ำงกับแมน่ ้ำรวก ทำให้มีกำรขุดลำเหมืองเรียก “เหมืองแดง”เพอื่ ชักน้ำจำกแม่น้ำสำยเข้ำนำต้งั แต่
บ้ำนเหมืองแดงเปน็ ต้นไป มำหล่อเลี้ยงบำงส่วนของทุ่งรำบเชียงแสน-แม่จันอันอดุ มสมบูรณ์ ปำกเหมืองแดงที่หนำ้
ถ้ำผำจมคือ หัวฝำยของชำวนำฟำกตะวันออกของถนนท้ังมวล กำรดูแลฝำยทำให้มีคนแวะเวียนมำบริเวณน้ี
อย่ำงสม่ำเสมอ นำ่ เช่อื ว่ำน่เี ป็นอีกเหตุปจั จยั หนึ่งของกำรเกิดชมุ ชนรมิ ฝัง่ เหมอื งแดงและแมน่ ำ้ สำยขน้ึ

เมื่อมีกำรจัดรูปแบบกำรปกครองตำม พ.ร.บ ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 ได้แบ่งกำรปกครอง
ออกเป็น ตำบล หมู่บ้ำน เรียกว่ำ “เมืองเวียงพำงคำ” ข้ึนอยู่กับอำเภอแม่จัน คร้ัน พ.ศ. 2481 ยกฐำนะเป็นกิ่ง
อำเภอ โดยไม่ปรำกฏหลกั ฐำนว่ำใครเปน็ ปลดั ก่ิงอำเภอเปน็ คนแรก (ในปลำยปี พ.ศ. 2584 เกดิ สงครำมโลกครั้งท่ี
2) แต่ปลัดก่ิงอำเภอคนสุดท้ำยก่อนเป็นอำเภอน่ำจะเป็น มหำแสง มณวิฑูร ซ่ึงภำยหลังเป็นนักวิชำกำรด้ำน
วฒั นธรรมท่มี ชี ือ่ เสยี งบคุ คลหนึ่ง ซง่ึ แมส่ ำยอย่ใู นฐำนะเป็นกง่ิ อำเภอได้ประมำณ 12 ปี
จำกรำชกิจจำนเุ บกษำ ตอนที่ 21 เล่มท่ี 67 เม่อื วนั ท่ี 11 เมษำยน 2493 ประกำศสำนักนำยกรัฐมนตรี เรือ่ งยก
ฐำนะก่ิงอำเภอแม่สำย อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงรำย ขึ้นเป็น “อำเภอแม่สำย” ทั้งนี้ ตั้งแต่วันท่ี 1 พฤษภำคม
พ.ศ.2493 ประกำศ ณ วันที่ 5 เมษำยน 2493 จอมพล ป.พิบูลสงครำม นำยกรัฐมนตรี ซึ่งมีนำยสน่ัน สุวิเศษศักดิ์
เป็นนำยอำเภอคนแรกเมื่อวันท่ี 19 มิถุนำยน พ.ศ.2493 และได้สร้ำงท่ีว่ำกำรปกครองอำเภอแม่สำยหลังแรก
เมื่อวันที่ 14 มกรำคม พ.ศ.2494 ปัจจุบันน้ีอำเภอแม่สำยมี 8 ตำบลโดยแยกส่วนตะวันตกของอำเภอแม่สำย

158

ออกเป็น “ตำบลเวียงพำงคำ” แยกสว่ นใตข้ อง “ตำบลเกำะชำ้ ง”ออกเปน็ “ตำบล
ศรีเมืองชุม” แยกส่วนตะวันออกของ “ตำบลโป่งผำ” ออกเป็น”ตำบลบ้ำนด้ำย”
และแยกส่วนทำงใต้ของ “ตำบลโป่งผำ” ออกเป็น “ตำบลโป่งงำม” ทำให้ได้
ตำบลใหมอ่ ีก 4 ตำบลรวมกับ 4 ตำบลเดมิ เปน็ 8 ตำบล

และเหตกุ ำรณส์ ำคญั อกี ประกำรหนึ่งท่ียงั คงจำรกึ ในหัวใจของพสกนิกร
อำเภอแม่สำย จังหวัดเชียงรำย ท่ีกลำยเป็นภำพท่ีถูกใช้เพื่อระลึกถึงวนั สำคัญนั่น
คือ กำรเสด็จพระรำชดำเนินประพำสหัวเมืองฝ่ำยเหนือเป็นครั้งแรก ของ
พระบำทสมเด็จปรมินทรภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยสมเด็จพระนำงเจ้ำสิริกิติ์
พระบรมรำชินีนำถ ท่ีจังหวัดเชียงรำย เม่ือวันท่ี 10 มีนำคม พ.ศ.2501 และ
เสด็จพระรำชดำเนินต่อไปยังชำยแดนอำเภอแม่สำย ไปเย่ียมรำษฎรอำเภอแม่สำย
ครงั้ แรก ในวันท่ี 11 มีนำคม 2501 โดยประทบั รถพระทีน่ ั่ง ไปจอดหน้ำทว่ี ่ำกำร
อำเภอแม่สำย จำกน้ันพระองค์ท่ำนได้ทรงยืนท่ีหนำ้ ระเบียงท่ีว่ำกำรอำเภอแม่สำย ทรงโบกพระหัตถใ์ ห้รำษฎรท่ีมำรอ
รบั เสด็จโดยชำวบ้ำนส่งเสยี ง 'ทรงพระเจรญิ ' ดังกกึ กอ้ ง

คำขวญั อำเภอแม่สำย

“เหนอื สุดในสยาม ชายแดนสามแผน่ ดนิ ถ่นิ วฒั นธรรมล้านนา

เปิดมรรคาส่อู นิ โดจนี แผ่นดินพระเจ้าพรหมมหาราช”

ลกั ษณะทำงกำยภำพ

๑. สภำพทวั่ ไป

เป็นอำเภอชำยแดนต้ังอยู่เหนือสุดของจงั หวัดเชียงรำยและเหนือสุดของประเทศไทย อยบู่ น

ทำงหลวงหมำยเลข 1 พหลโยธิน มีระยะทำงห่ำงจำกจังหวัดเชียงรำย 63 กิโลเมตร และห่ำงจำก

กรุงเทพมหำนคร 891 กิโลเมตร มีอำณำเขตติดกับประเทศสำธำรณรัฐสหภำพพม่ำ และมี

เสน้ ทำงเชอ่ื มโยงสู่ประเทศสำธำรณรฐั ประชำชนจนี ตอนใต้โดยถนนสำย R3B จงึ เป็นอำเภอท่ีมี

ควำมสำคญั ทง้ั ด้ำนเศรษฐกิจ กำรคำ้ กำรลงทุน กำรทอ่ งเทีย่ ว และควำมสัมพันธ์ระหว่ำงประเทศ
อำณำเขตตดิ ต่อ
- ทิศเหนือ ติดตอ่ กับรัฐฉำน ประเทศสหภำพสำธำรณรัฐสหภำพเมยี นมำ โดยมีแมน่ ้ำสำย
และแมน่ ำ้ รวกกนั้ ระหว่ำงประเทศ รวมระยะทำง 29 กม.
- ทศิ ตะวันออก ติดกบั รัฐฉำน ประเทศสหภำพสำธำรณรัฐสหภำพเมียนมำอำเภอเชยี งแสน
- ทิศใต้ ตดิ ต่อกบั อำเภอชยี งแสน อำเภอแมจ่ ันและอำเภอแมฟ่ ำ้ หลวง
- ทศิ ตะวันตก ตดิ ตอ่ กบั รัฐฉำน ประเทศสหภำพสำธำรณรัฐสหภำพเมียนมำ โดยมีเทือกเขำแดนลำว
ก้ันระหวำ่ งประเทศ รวมระยะทำง 15 กม.
๒. สภำพภูมิประเทศ
มีขนำดพนื้ ที่ประมำณ 285 ตร.กม. หรือ 178,125 ไร่ ทิศตะวันตกเปน็ ภเู ขำ เรยี กว่ำเทอื กเขำแดนลำว
หรอื ดอยนำงนอน เป็นป่ำสงวนแห่งชำติ มีพื้นทปี่ ระมำณ 38,475 ไร่ ร้อยละ 21.60ของพื้นทีอ่ ำเภอ พื้นทร่ี ำบ
มีประมำณ 139,650 ไร่ หรือร้อยละ 78.40 แบ่งเป็นพื้นท่ีทำกำรเกษตร 121,781 ไร่ หรือร้อยละ 68.37
เป็นท่อี ยูอ่ ำศยั และอน่ื ๆ ประมำณ 17,869 ไร่ หรอื ประมำณร้อยละ 10.13
๓. ลักษณะภมู อิ ำกำศ
เปน็ แบบมรสุมเขตร้อนแบ่งออกได้ 3 ฤดู คือ
1. ฤดรู อ้ น ระหว่ำงเดือน มนี ำคม ถึง เมษำยน อุณหภูมิเฉลีย่ ประมำณ 28 องศำเซลเซยี ส
2. ฤดูฝน ระหวำ่ งเดอื น กรกฎำคม ถึง ตลุ ำคม อณุ หภมู ิเฉลี่ยประมำณ 27 องศำเซลเซยี ส
3. ฤดหู นำว ระหวำ่ งเดือนพฤศจกิ ำยน ถึง กมุ ภำพันธ์ อณุ หภูมเิ ฉล่ยี ประมำณ 10 องศำเซลเซียส

159

แหลง่ เรียนรู้/แหลง่ ท่องเท่ียว

1. พระบรมรำชำนุสำวรยี พ์ ระเจำ้ พรหมมหำรำช

องค์อนุสรณ์สถำนแห่งนี้ประดิษฐำนอยู่ ณ ท่ีว่ำกำรอำเภอแม่สำย สร้ำงเพื่อเป็นกำรรำลึกถึง
พระมหำกรุณำธิคุณท่ที ่ำนทรงมตี ่อชำวแม่สำยตลอดมำ มีกำรกล่ำวว่ำท่ำนทรงสร้ำงเมืองแม่สำยแห่ง
นี้ขึ้น นับว่ำเป็นมหำรำชองค์แรกในประวัติศำสตร์ชำติไทย หำกใครมีโอกำสไปแม่สำยควรจะแวะมำ
สักกำระหรือถ่ำยรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้ ที่สำคัญแต่ละปีจะมีพิธีบวงสรวงเพ่ือให้ประชำชนได้
รว่ มกนั กรำบไหว้เป็นสิริมงคล ในช่วงเดอื นมนี ำคมของทกุ ปี
2. พระธำตดุ อยตุง
ตง้ั อยบู่ ริเวณกิโลเมตรท่ี 17.5 บนทำงหลวงหลำยเลข 1149 เป็นที่บรรจุพระรำกขวัญ
เบ้ืองซ้ำย (กระดูกไหปลำร้ำ) ของพระพุทธเจ้ำนำมำจำกมัธยมประเทศ นับเป็นคร้ังแรกที่
พระพุทธศำสนำลัทธิลังกำวงศ์ ได้มำประดิษฐำนที่ล้ำนนำไทย เม่ือก่อสร้ำงพระสถูป
บรรจุพระบรมสำรรี ิกธำตุ นีไ้ ดท้ ำธงตะขำบ (ภำษำพืน้ เมืองเรียกว่ำ ตงุ ) ใหญย่ ำวถงึ พนั วำ
ปกั ไวบ้ นยอดดอย ถ้ำหำกปลำยธงปลวิ ไปไกลถงึ เมืองไหน ก็จะกำหนดเปน็ ฐำนพระสถูป
เหตุนี้ดอยซ่ึงเป็นท่ีประดิษฐำนปฐมเจดีย์แห่งล้ำนนำไทย จึงปรำกฏนำมว่ำ ดอยตุง พระธำตุดอยตุงเป็นปูชณียสถำน
ที่สำคัญ เม่ือถึงเทศกำลนมัสกำรพระธำตุดอยตุงจะมีพุทธศำสนิกชนทั้งชำวไทยและเพ่ือนบ้ำนจำกประเทศใกล้เคียง
เชน่ ชำวเชยี งตุงในรัฐฉำน สหภำพเมยี นมำ ชำวหลวงพระบำงเวียงจนั ทน์ เดินทำงเข้ำมำนมัสกำรทุกปี

3. ดำ่ นพรมแดนถำวรแม่สำย –ท่ำขเ้ี หลก็
เป็นประตูประเทศไทยกับประเทศสำธำรณรฐั สหภำพเมียนมำ ซ่ึงอำเภอแม่สำยเป็นจุด
เหนอื สดุ แดนสยำม เป็นชำยแดนเช่ือมต่อเมอื งท่ำข้ีเหลก็ ประเทศสำธำรณรัฐสหภำพเมียน
มำ ใช้ในกำรเดินทำงเพื่อกำรท่องเท่ียว กำรค้ำ กำรลงทุน และกำรไปมำหำสู่กับประเทศ
เพ่ือนบำ้ นโดยจะทำกำรเปดิ ด่ำน ในเวลำ 06.30 น. และปิดด่ำนในเวลำ 18.30 น. ของทุก
วัน ซึง่ ในแตล่ ะปีจะมนี กั ท่องเท่ยี วเดนิ ทำงมำเปน็ จำนวนไมน่ อ้ ยกว่ำหน่ึงล้ำนคนต่อปี

4. พระธำตุดอยเวำ
พระธำตุดอยเวำ ตั้งอยู่หมู่ 1 ตำบลเวียงพำงคำ กอ่ นถงึ ชำยแดนแม่สำยประมำณ 100 เมตร

บนดอยริมฝั่งแม่น้ำแม่สำยตำมประวัติกล่ำวว่ำ พระองค์เวำหรือเว้ำผู้ครองนครโยนกนำคพันธ์ุ
เป็นผ้สู ร้ำงเพอ่ื บรรจุพระเกศำธำตุองค์หนงึ่ เมื่อ พ.ศ. 364 นบั เป็นพระบรมธำตุท่ีเกำ่ แก่องค์หน่ึง
รองมำจำกพระบรมธำตุดอยตุงนอกจำกนี้บนดอยเวำยังเป็นจุดท่ีสำมำรถชมทิวทัศนข์ องอำเภอ
แม่สำยและท่ำขึ้เหล็กทำงฝั่งพม่ำได้อย่ำงชัดเจนสำมำรถนำรถขึ้นไปจนถึงพระธำตุได้ และท่ีพระธำตุดอยเวำ มีพระเจ้ำอินทร์
สำน เป็นพระพทุ ธรูปทส่ี ำนด้วยไมไ้ ผ่ เป็นทเี่ คำรพบูชำของชำวพุทธในละแวกนน้ั

5. วัดหริ ัญญำวำส (พระสงิ ห์สำนชนะมำร พระสำนด้วยไม้ไผอ่ งคใ์ หญท่ ส่ี ุดในโลก)
เปน็ ลกั ษณะพระสงิ ห์หนงึ่ เชียงแสน (โบรำณ) ที่ทำจำกไมไ้ ผ่ชนิดหนึ่งที่มีถ่ินกำเนิดจำกประเทศ

พมำ่ อยูบ่ นภูเขำสูงมีชื่อตำมทอ้ งถ่ินว่ำ “ไม้มุง” นำมำจกั สำนเป็นองค์พระซง่ึ ใช้ภูมิปัญญำท้องถ่ินมี
ขนำดหน้ำตักกว้ำง 9.9 ศอก ถือว่ำเป็นพระไม้ไผ่ท่ีมีขนำดใหญ่ท่ีสุดในโลกองค์พระสำนนี้หลังจำก
สำนเสร็จ ทำด้วยน้ำยำงรักมีลักษณะเป็นสีดำเพ่ือเป็นกำรรักษำเน้ือไม้ให้อยู่คงทนถำวร
ยำวนำน พระไมไ้ ผ่สำนนี้นิยมสำนในประเทศพม่ำ ผคู้ นในรฐั ฉำนมักนยิ มสร้ำงและมักเรียกชื่อพระไม้
ไผ่สำนนี้ว่ำ “พระเจ้ำอินทร์สำน” เพรำะมีควำมเชื่อว่ำพระอินทร์มำช่วยสำนพระนี้โดยใช้ระยะเวลำอันสั้นเพียงคืนเดียวก็
สำเร็จสำหรับพระสิงห์สำนชนะมำรองค์น้ี ได้สำนสำเร็จแล้ว โดยใช้เวลำ 99 วันตั้งอยู่ท่ีวัดหิรัญญำวำส ตำบลเกำะช้ำง
อำเภอแม่สำย จังหวัดเชยี งรำย

160

6. ถ้ำผำจม
ต้ังอยู่หมู่ 1 ตำบลแม่สำย อยู่ห่ำงจำกตำบลแม่สำย ไปทำงทิศเหนือประมำณ

1.5 กิโลเมตร ถ้ำผำจมตั้งอยู่บนดอย อีกลูกหน่ึงทำงทิศตะวันตกของดอยเวำ ติดกับ
แม่น้ำสำยเคยเป็นสถำนท่ีซ่ึง พระภิกษุสงฆ์น่ังบำเพ็ญเพียรภำวนำ เช่น พระอำจำรยม์ นั่
ภรู ิทัตโต ปจั จุบนั มรี ปู ปั้นพระอำจำรย์มน่ั ภรู ิตโต ประดษิ ฐำนไวบ้ นดอยดว้ ยภำยใน
ถำ้ ผำจมมี หินงอกย้อยอยู่ตำมผนังและเพดำนถ้ำสวยงำมวจิ ติ รตระกำรตำ
7. ถ้ำปลำ
เป็นถ้ำหน่ึงท่ีมีน้ำไหลภำยในถ้ำเคยมีปลำชนิดต่ำง ๆ ทั้งใหญ่น้อย
ว่ำยออกมำให้เห็น เป็น ประ จำภำยในถ้ำยัง มีพระพุทธรูป ศิลปะ พ ม่ำ
สร้ำงขึ้นโดยพระภิกษุชำวพม่ำประชำชนทั่วไปเรยี กว่ำ พระทรงเครือ่ ง
เปน็ ทีเ่ ลอื่ มใสของประชำชนในแถบน้ี

8. ถ้ำเสำหนิ พญำนำค
เป็นถ้ำที่อยู่ปลำยสุดของ

แหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้อยู่ในควำมรับผิดชอบของหมู่ที่ 3 บ้ำนถ้ำปลำ กำร
เดินทำงไปถ้ำนี้สำมำรถไปได้ ท้ังทำงน้ำและทำงบกโดยกำรเดินลัดเลำะ
ตำมขอบอ่ำงเก็บน้ำทำงทิศใต้ปำกถ้ำวัดควำมกว้ำงได้ ประมำณ 4.70
เมตรสงู ประมำณ 2.40 เมตรลักษณะของถำ้ เป็นโพรงสงู ขึ้นในแนวดิ่งหิน
งอกมีลักษณะเป็นแท่ง ซ้อนกันคล้ำยเสำบ้ำนชำวบ้ำนจึงเรียกถ้ำนี้วำ่ ถ้ำ
เสำหิน ซึ่งมลี กั ษณะเปน็ 3 ชนั้
11. วนอทุ ยำนถ้ำหลวง
ถ้ำหลวง เป็นถ้ำหินปูนขนำดใหญ่ เชื่อกันว่ำมีควำมยำวมำกท่ีสุดในประเทศ
ไทยเน่อื งจำก มคี วำมยำวกวำ่ 7 กิโลเมตร ปำกถำ้ เปน็ ห้องโถงกวำ้ งมำกภำยในถ้ำ
จะพบกับควำมงำมของ เกล็ดหินสะท้อนแสง หินงอก หินย้อย ธำรน้ำและถ้ำลอด
ถ้ำหลวงยังรอคอยควำมท้ำทำยกำรสำรวจจำกนักท่องเท่ียวอยู่ตลอดเวลำเพรำะ
สำรวจไปไดไ้ มถ่ ึงทห่ี มำยก็ตอ้ งลำ่ ถอยออกมำดว้ ยพบกบั อุปสรรคควำมยำกลำบำก
ภำยในถ้ำและยังมีถ้ำเล็ก ๆ อีก 3 แห่งในบริเวณเดียวกัน ถ้ำพระ เป็นถ้ำขนำดเล็กภำยในชำวบ้ำนได้สร้ำงพระพุทธรูป
ประดิษฐำนไว้เพื่อสักกำรบูชำปัจจุบันยังมีพระภิกษุธุดงมำปฏิบัติธรรมอยู่เป็นประจำ ถ้ำเลียงผำ เป็นถ้ำที่มีควำมลึกมำก
มีควำมชุ่มชื้นตลอดเวลำ พื้นถ้ำบำงแห่งเป็นดินผุ มักมีสัตว์ป่ำมำดื่มน้ำและอำศัยอยู่เป็นประจำนอกจำกถ้ำดังกล่ำวแล้ว
ภำยในวนอทุ ยำนฯ ยังมถี ำ้ มลั ติกำเทวี ถำ้ พญำนำค ซึง่ มีควำมงำมแตกต่ำงกนั ไป ซงึ่ ถ้ำเหล่ำนอ้ี ยหู่ ่ำงจำกอำเภอแม่สำยเพียง
5 กโิ ลเมตร และแยกจำกทำงหลวงหมำยเลข 110 เขำ้ ไปประมำณ 3 กิโลเมตร นับวำ่ ไมไ่ กลมำกนัก
12. ขนุ น้ำนำงนอน
เป็นแหล่งสถำนที่ท่องเท่ียวเชิงนิเวศวิทยำ เกิดจำกตำน้ำบริเวณเชิงเขำ
ไหลรวมกันเป็นแอ่งน้ำขนำดใหญ่ และบนหน้ำผำเหนือบึงน้ำยังเป็นท่ีตั้งของ
ถ้ำทรำยทอง ถำ้ นมี้ ีควำมพิเศษตรงที่เปน็ ถ้ำลอด ภำยในถำ้ ยงั ไมไ่ ดม้ ีกำรสำรวจ
จึงมีควำมเป็นธรรมชำติอยู่สูงปรำศจำกกำรรบกวน ขุนน้ำนำงนอน
เป็นแหล่งนำ้ ธรรมชำติ ทอี่ ดุ มสมบูรณด์ ว้ ยพรรณไม้ใหญ่นำนำชนิด บรรยำกำศ
ร่มร่ืน ชุ่มช่ืน มีอำหำร เครื่องด่ืมไว้บริกำรนักท่องเที่ยว กำรเดินทำง
สะดวกสบำย มีถนนตัดเข้ำไปจนถึงเขตวนอุทยำน เปิดให้บริกำรตลอดท้ังปี
นกั ทอ่ งเท่ียวมกั เข้ำมำพักผ่อน เล่นนำ้ คลำยรอ้ นกันในช่วงฤดูรอ้ น

161

ตำนำนพระธำตดุ อยตงุ
ทิวเขำท่ีทอดยำวทำงด้ำนทิศตะวันตกของอำเภอแม่สำย จังหวัด

เชียงรำยเป็นพรมแดนธรรมชำติที่กั้นระหว่ำงประเทศไทยกับพม่ำ มีชื่อ

เรียกว่ำทิวเขำแดนลำว หรือเทือกเขำดอยตุง บริเวณพ้ืนที่น้ีมีกลุ่มดอย

สลับซับซ้อน เป็นแหล่งชุมชนโบรำณท่ีปรำกฏเร่ืองรำวในตำนำนเล่ำขำน

สบื ต่อกนั มำหลำยยุคหลำยสมัย

ทิวเขำกลุ่มหนึ่งท่ีทอดตัวเรียงเป็นรูปสำมเส้ำ ดอยทำงทิศใต้เป็นท่ีประดิษฐำนพระธำตุซ่ึงเป็นที่เคำรพนับถือ

และเชื่อกันอย่ำงกว้ำงขวำงว่ำเป็นปฐมธำตุเจดีย์แห่งล้ำนนำที่สร้ำงข้ึนเม่ือปี พ.ศ.1454 โดยพระเจ้ำอุชุตรำชแห่ง

นครโยนกนำคพันธ์ุ นั่นคือ พระมหำชินธำตุเจ้ำบนดอยตุง ด้วยควำมเชื่อที่ว่ำภำยใต้พระมหำสถูปท้ังสององค์ของ

พระมหำชนิ ธำตุเจ้ำดอยตุงเป็นที่ประดิษฐำนพระรำกขวัญเบื้องซ้ำยและพระบรมสำรีรกิ ธำตุสว่ นอ่นื ๆ ปรำกฏเปน็ ควำมเช่ือ

สืบทอดบันทึกไว้ในเอกสำรตำนำนที่กล่ำวอ้ำงถึงกำรนำพระบรมสำรีริกธำตุมำสู่ดอยตุงและกำรสถำปนำพระมหำสถูป

ระบศุ กั รำชในตำนำนไกลโพน้ ถึงยุคพุทธกำล เนน้ ย้ำควำมศกั ดส์ิ ิทธิ์สงู สุดผูกพันตำนำนกบั ควำมเชอ่ื เลอื่ มใสทีย่ ำวนำนมำ

ตำนำนเกีย่ วกบั พระธำตุดอยตงุ ปรำกฏอยู่ในตำนำนพ้นื เมอื งของล้ำนนำเปน็ ควำมเชื่อปรัมปรำของจำรีตกำร

สืบทอดประวัติควำมเป็นมำแหง่ ดินแดนท่ีแสดงให้เห็นถึงกำรเสื่อมสลำยและควำมรงุ่ โรจนข์ องอำณำจักรชุมชนใน

บริเวณอันกว้ำงใหญ่ของลุ่มแม่น้ำโขง แม่น้ำกกและแม่น้ำสำยท่ีเก่ียวเน่ืองกับอิทธิพลของพุทธศำสนำที่แพร่ขยำย

เข้ำสู่ดินแดนบรเิ วณนี้

ตำนำนทเ่ี ล่ำสบื ต่อกนั มำของพระธำตุดอยตุงมีอย่วู ่ำ ที่บรเิ วณพระธำตุดอยตุง ประกอบด้วยยอดเขำหลำยลูก

สลับซบั ซอ้ นกนั อยู่ บริเวณนี้เปน็ ทอ่ี ยขู่ องอำรยชนกลมุ่ หนง่ึ ท่เี รยี กวำ่ วริ งั คะ บำ้ ง ลัวะ บ้ำง พวกนี้มหี วั หน้ำช่ือปู่เจำ้

ลำวจก มีเมียชื่อ ผ่ำเจ้ำลำวจก สมัยพุทธกำล พระพุทธเจ้ำเคยเสด็จมำประทับอยู่ท่ียอดเขำลูกหน่ึงทรงมะนำวตัด

และทำนำยว่ำในอนำคตจะมีพระอรหันต์นำพระธำตุของพระองค์มำประดิษฐำน ณ ที่นี้ ซ่ึงต่อไปภำยหน้ำจะเปน็

บ้ำนเป็นเมือง มกี ษตั รยิ ค์ ้ำชูพุทธศำสนำตรำบช่ัว 5,000 พระวัสสำ

ในปี พ.ศ. 2470 องค์พระธำตุทรุดโทรมมำก ครูบำเจ้ำศรีวิชัย กับประชำชนเมืองเชียงรำยจึงได้บูรณะขนึ้

ใหม่ โดยสรำ้ งเป็นเจดยี ์องค์ระฆังขนำดเลก็ 2 องค์ บนฐำน 8 เหลยี่ ม ตำมศิลปะแบบล้ำนนำ กำรบูรณะคร้งั หลงั สุด

มีข้ึนเม่ือปี พ.ศ.2516 โดยกระทรวงมหำดไทยได้สร้ำงพระธำตุองค์ใหม่ข้ึนครอบพระเจดียเ์ ดิมไว้ พระธำตุดอยตุง

เป็นโบรำณสถำนท่ีสำคัญทำงพระพุทธศำสนำ สร้ำงมำแต่โบรำณกำล หลักฐำนแรกท่ีพระพุทธศำสนำ เข้ำมำ

ประดิษฐำนในล้ำนนำ ตำมประวัติได้กล่ำวไว้พระมหำกัสสะปะเถระได้อัญเชิญพระบรมสำรีรกิ ธำตุ ส่วนพระธำตุ

รำกขวญั เบื้องซ้ำย หรือกระดกู ไหปลำร้ำข้ำงซ้ำยขององค์สมเด็จพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำ มำมอบถวำยแด่พระเจ้ำอุชุตรำช

เจ้ำผู้ครองนครนำคพันธ์โยนกชัยบุรี รัชกำลที่ ๓ แห่งรำชวงศ์สิงหนวัติ เป็นประธำนบรรจุพระบรมสำรีริกธำตุ

ณ ดอยดินแดง หรือดอยตุงในปัจจุบัน เม่ือแรกก่อสร้ำงพระสถูปเจดีย์บรรจุพระบรมสำรีริกธำตุ ได้ทำธงตะขำบ

หรือภำษำพ้ืนเมืองเรียกว่ำ “ตุง” ใหญ่ยำวหลำยพันวำ ปักไว้บนยอดดอยดินแดงคู่กับพระธำตุ ตุงขนำดมหึมำนี้

ได้ทอดร่มเงำปกคลุมบ้ำนเมือง ท่ีตั้งอยู่บนที่รำบเบือ้ งล่ำง ให้มีควำมร่มเยน็ ยอดเขำอันเป็นท่ีต้ังองค์พระธำตุ จึง

ไดร้ บั กำรเรยี กสืบต่อกันมำว่ำ “ดอยตุง”

ผู้ท่ีถอื ปฏิบัติมรดกภมู ปิ ญั ญำทำงวัฒนธรรม

ทั้งนี้ ตำนำนพระธำตุดอยตุงถูกเผยแพร่ ช่อื พระพุทธวิ งศ์วิวัฒน์

ในหลำกหลำยรูปแบบทั้งรูปแบบหนังสือ ท่ีอยู่ หมู่ ๒ บำ้ นหว้ ยไคร้ ตำบลหว้ ยไคร้

และรูปแบบออนไลนผ์ ำ่ นทำงเวบ็ ไซตต์ ่ำง ๆ อำเภอแมส่ ำย จงั หวดั เชยี งรำย ๕๗๑๓๐

หมำยเลขโทรศพั ท์ -

162

ฟ้อนเล็บกล่มุ พฒั นำสตรอี ำเภอแม่สำย

ฟ้อนเล็บ เป็นกำรฟ้อนชนิดหน่ึงของชำวไทยในภำคเหนือ
ผู้ฟ้อนจะสวมเล็บยำว ลีลำท่ำรำของฟ้อนเล็บคล้ำยกับฟ้อนเทียน

ต่ำงกันที่ฟ้อนเทียนมือทั้งสองถือเทียน ตำมแบบฉบับของกำรฟ้อน
ได้นำลีลำท่ำฟ้อนอันเป็นแบบแผนมำจำกคุ้มเจ้ำหลวงมำฝึกสอน

จดั เปน็ ชุดกำรแสดงที่น่ำชมอีกชุดหน่ึง แต่เดิมเรียก "ฟ้อนเล็บ" ดว้ ย
เห็นว่ำเป็นกำรฟ้อนที่เป็นเอกลักษณ์ของ "คนเมือง" ซึ่งหมำยถึง
คนในถ่ินลำ้ นนำท่ีมเี ชือ้ สำยไทยวน

เน่ืองจำกกำรเป็นกำรแสดงที่มักปรำกฏ ในขบวนแห่ครัวทำนของวัดจึงมีช่ือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่ำ "ฟ้อนแห่ครัวทำน"
ต่อมำมีกำรสวมเล็บท่ีทำด้วยทองเหลืองทั้ง 8 น้ิว (ยกเว้นน้ิวหัวแม่มือ) จึงได้ช่ือว่ำ "ฟ้อนเล็บ" กำรฟ้อนได้ถือว่ำเป็น

กำรแสดงออกถึงวฒั นธรรมและขนบประเพณีของชำวเหนือ ซง่ึ มีลกั ษณะเฉพำะทัง้ กำรแตง่ กำย จงั หวะ และลีลำ ทำ่ ทำง
กำรฟ้อนรำ เพลงและดนตรีท่ีใช้ประกอบ จึงนบั เปน็ ศลิ ปะและวฒั นธรรมของชำวภำคเหนือท่ีทรงคุณค่ำอย่ำงแทจ้ รงิ

ฟ้อนเล็บเป็นกำรฟ้อนของชำวไทยภำคเหนือกำรแสดงจะมีดนตรีบรรเลงประกอบ โอกำสที่แสดง ในงำน

เทศกำลหรืองำนนกั ขัตฤกษต์ ่ำง ๆ ฟ้อนเล็บเป็นศิลปะกำรแสดงท่ีเป็นเอกลักษณ์ทำงภำคเหนือโดยเฉพำะรูปแบบ
กำรฟ้อนมีอยู่ ๒ แบบ คือแบบพื้นเมืองหรือฟ้อนเมือง และแบบคุ้มเจ้ำหลวง นิยมฟ้อนในเวลำกลำงวัน สำหรับ

ชอื่ ชดุ กำรแสดงจะมคี วำมหมำยตำมลกั ษณะของผูแ้ สดงท่ีจะสวมเลบ็ ยำวสีทองทกุ นิว้ ยกเวน้ นิ้วหัวแมม่ ือ
เครอ่ื งแตง่ กำย กำรแตง่ กำยแต่เดิมจะนุ่งผ้ำซ่ิน สวมเส้อื แขนยำวทรงกระบอกคอกลม หรือคอจีนผ่ำอก เกล้ำผมมวย
โดยขมวดมวยดำ้ นท้ำยทอย ทัดดอกไมป้ ระเภทดอกเอื้อง จำปำ กระดังงำ หำงหงส์ หรือลีลำวดี สวมเลบ็ ท้ังแปดน้ิว

ต่อมำมกี ำร ดัดแปลงให้สวยงำมโดยประดับลกู ไม้ หรอื ระบำยที่คอเสื้อ หม่ สไบเฉียงจำกบ่ำซำ้ ยไปเอวขวำทับด้วยสงั วำล
ติดเข็มกลัด สวมกำไลขอ้ มอื กำไลเท้ำ เกล้ำผมแบบญป่ี นุ่ ทัดดอกไมห้ รืออำจเพ่มิ อบุ ะห้อยเพ่อื ควำมสวยงำม

ทำ่ รำ มกี ำรแบ่งท่ำรำออกเปน็ ๔ ชุด คอื
❖ ชดุ ท่ี ๑ ประกอบด้วยท่ำ จีบหลงั (ยงู ฟ้อนหำง) บงั พระสุริยำ วนั ทำ บวั บำน กังหันร่อน
❖ ชุดท่ี ๒ ประกอบด้วยทำ่ จีบหลัง ตระเวนเวหำ รำกระบี่ส่ที ่ำ พระรถโยนสำร ผำลำเพียงไหล่ บัวชฝู ัก กงั หันร่อน

❖ ชุดท่ี ๓ ประกอบดว้ ยทำ่ จีบหลัง พรหมสหี่ นำ้ พิสมัยเรยี งหมอน กังหนั รอ่ น
❖ ชุดที่ ๔ ประกอบด้วยท่ำ จบี หลัง พรหมสีห่ น้ำ พสิ มัยเรยี งหมอนแปลง ตำกปีก

ดนตรี เคร่ืองดนตรีที่ใช้ในกำรฟอ้ นเป็นขบวนกลองยำว ซึ่งเปน็ ดนตรขี องชำวภำคเหนือ ได้แก่ กลองแอร์ กลองตะโลด้ โป๊ด
ฉำบ ฆ้องโหม่งใหญ่ ฆ้องโหม่งเล็ก ฉ่ิง ปี่ เวลำดนตรีบรรเลง 1.เสียงปี่ดังไพเรำะเยือกเย็นมำก ท่วงทำนองเชอื่ งช้ำ
เสยี งกลองจะตดี ัง ตะ ตึ่ง นง ตง่ึ ตก๊ ถง่ อยำ่ งนีเ้ รอื่ ยไป ส่วนช่ำงฟอ้ นกจ็ ะฟ้อนช้ำๆ ไปตำมลลี ำของเพลง

เพลงทใ่ี ชบ้ รรเลง สำหรบั เพลงทใ่ี ชบ้ รรเลง กแ็ ลว้ แตผ่ เู้ ป่ำแนจะกำหนดอำจใช้เพลงแหยง่ เพลงเชียงแสน เพลงหริ
ภญุ ชัยหรอื ลำวเสี่ยงเทยี น แต่ส่วนใหญจ่ ะใช้เพลงแหย่งเพรำะชำ่ งฟ้อนคุ้นกบั เพลงน้ีมำกกวำ่ เพลงอนื่

ฟ้อนเล็บ เป็นศิลปะกำรแสดงในอำเภอแม่สำย ผทู้ ถี่ ือปฏิบตั ิมรดกภูมปิ ญั ญำทำงวัฒนธรรม
ที่ไม่ว่ำจะมกี ำรจัดงำนประเพณี เทศกำล มักจะ ชอ่ื กลมุ่ พัฒนำสตรอี ำเภอแม่สำย
ถูกยิบยกมำเป็นแสดง นอกจำกน้ียังคงควำม ทีอ่ ยู่ ตำบลเวียงพำงคำ อำเภอแมส่ ำย
เปน็ เอกลักษณ์อีกด้วย
จงั หวดั เชยี งรำย ๕๗๑๓๐
หมำยเลขโทรศพั ท์ -

163

ประเพณบี วงสรวงพระเจ้ำพรหมมหำรำช
พระเจ้ำพรหมมหำรำช พระองค์พรหมรำชหรือพรหมกุมำร เป็นรำชบุตร
ของพระองค์พังครำช กษัตรยิ ์เมืองโยนกนครไชยบุรีรำชธำนีศรีชำ้ งแส่น
ประสูติรำว พ.ศ. 1555 ถึง พ.ศ. 1632 ซึ่งเป็นเมืองในท่ีลุ่มแม่นำ้ กก
แต่มีหลักฐำนท้องถิ่นระบุว่ำพระองค์ประสูติใน พ.ศ. 1655 ที่เวียงสี่ทวง
(ตำบลเวียงพำงคำ อำเภอแม่สำย จังหวัดเชียงรำยในปัจจุบัน) และ
ส้ินพระชนม์ใน พ.ศ. 1732 พระองค์มีพระปรีชำสำมำรถด้ำนกำรรบ
สำมำรถตีเอำเมืองโยนกนครไชยบุรีรำชธำนีศรีช้ำงแส่น คืนได้จำก
พระยำขอม (ขอมดำ จำกเมืองอุโมงคเสลำนคร) ซ่ึงยกทัพมำชิงเมือง
โยนกในสมยั พระองค์พังครำช พระองค์เป็นมหำรำชผปู้ ระเสริฐ ไดท้ ำนบุ ำรุง
บ้ำนเมืองให้เจริญรุ่งเรืองข้ึน กว่ำแต่ก่อนทุกๆ ด้ำนเป็นอันมำกในกำร
ปกปกั ษร์ กั ษำบำ้ นเมืองใหอ้ ยรู่ อด มคี วำมม่ันคงแขง็ แรงพอท่ีจะต่อสู้กับ
อริรำชศัตรู พระองค์ทรงเสริมสร้ำงป้อมคูประตูหอรบ ขยำยอำณำเขต
ให้กว้ำงขวำงยิ่งข้ึน คุณธรรมควำมดีอันเป็นพ้ืนฐำนแห่งมหำบำรมี
บุญญำธิกำรของพระองค์ จ้ำบรรเจิดซำบซึ้งสิงอยู่ในจิตใจชำวไทยลำน
นำ และไทยในทุกแว่นแคว้นแห่งดินแดนสุวรรณภูมิ พระองค์จึงทรง
ได้รับสมัญญำนำมจำกดวงใจอันเบิกบำนผ่องใส เต็มไปด้วยควำม
จงรักภักดขี องชำวไทยในยุคน้ัน และยุคต่อมำวำ่ “องคป์ ฐมมหำรำชไทย”
ดังน้ัน จังหวัดเชียงรำย ได้กำหนดจัดประเพณีบวงสรวงพระเจ้ำพรหมมหำรำช ระหว่ำงวันท่ี ๒๓ - ๒๔ กุมภำพันธ์
เป็นประจำทุกปี บริเวณหน้ำพระบรมรำชำนุเสำวรีย์พระเจ้ำพรหมมหำรำช ณ ท่ีว่ำกำรอำเภอแม่สำย จังหวัดเชียงรำย
โดยมีส่วนรำชกำร ภำคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน พ่อค้ำ นักเรียน นักศึกษำ และประชำชนชำวแม่สำย
ได้ร่วมกันประกอบพิธีถวำยเคร่ืองสักกำระแบบล้ำนนำ และบวงสรวงพระเจ้ำพรหมหำรำช สำหรับในพิธีมีกำรตกแต่ง
นำเอำเคร่ืองสักกำระ ประกอบด้วยเครื่องบวงสรวง บำยศรีเทพบำนศรีพรหม บำยศรีหลัก บำยศรีตอ บำยศรีปำกชำม
เคร่ืองสักกำระพำนพุ่มดอกไม้สดเครื่องบูชำอัญเชิญ หมำกเบ็ง สุ่มปู ตน้ เทียน ต้นอ้อย เครอ่ื งเซน่ ไหว้ อำหำรคำวหวำน
หลำกหลำยชนิดมำถวำยสักกำระแด่พระองค์ท่ำนอันเป็นเครื่องหมำยแห่งควำมกตัญญูอยู่รู้คุณเพื่อเปน็ กำรเทดิ พระเกียรติ
และนอ้ มรำลึกถงึ พระมหำกรณุ ำทีค่ ุณของพระองค์ท่ำนอกี ดว้ ย

สำหรับในพธิ มี กี ำรตกแต่งนำเอำเคร่ืองสักกำระ ประกอบดว้ ยเครือ่ งบวงสรวง บำยศรีเทพบำนศรพี รหม บำยศรีหลัก
บำยศรตี อ บำยศรปี ำกชำม เคร่ืองสกั กำระพำนพมุ่ ดอกไม้สดเครอ่ื งบูชำอญั เชิญ หมำกเบ็ง ส่มุ ปู ตน้ เทยี น ตน้ ออ้ ย
เครื่องเซ่นไหว้ อำหำรคำวหวำนหลำกหลำยชนิดมำถวำยสักกำระแด่พระองค์ท่ำนอันเป็นเคร่ืองหมำยแห่งควำมกตัญญู
อยู่รู้คุณเพ่ือเป็นกำรเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกถึงพระมหำกรุณำที่คุณของพระองค์ท่ำนอีกด้วย พร้อมท้ังมี
กลุ่มสตรีในอำเภอแม่สำย กว่ำ 1,000 คน ฟ้อนเพ่ือถวำยแด่พระเจ้ำพรหมมหำรำช เพื่อเป็นกำรเทิดพระเกยี รติ
และนอ้ มรำลกึ ถงึ พระมหำกรุณำธิคุณของพระเจ้ำพรหมมหำรำชทพี่ ระองค์ทรงกอบกู้เอกรำชให้รอดพน้ จำกกำรปกครอง
ของขอมดำ และไดร้ วบรวมหัวเมอื งน้อยใหญส่ ร้ำงบ้ำนแปลงเมืองเป็นอำณำจักรลำ้ นนำ

ผู้ทีถ่ ือปฏิบตั ิมรดกภูมิปัญญำทำงวัฒนธรรม
ช่ือ นำงสำวกฤตพร สุขสกั
ทีอ่ ยู่ ๖๘ หมู่ ๘ ตำบลแม่สำย

อำเภอแม่สำย จงั หวดั เชียงรำย ๕๗๑๓๐
หมำยเลขโทรศัพท์ ๐๕๓ ๗๓๑๒๘๘

164

ข้ำวแรมฟนื หรอื ขำ้ วฟืน
ข้ำวแรมฟืนหรือข้ำวแรมคืนเป็นอำหำรที่เป็นที่นิยมในหมู่ชำวไทล้ือ
ไทเขิน และไทใหญ่ และได้แพร่หลำยมำจนถึงภำคเหนือของประเทศไทย
ทำจำกข้ำวโม่ละเอียด นำไปกวนกับน้ำปูนใสจนสุก ตักใส่ภำชนะให้แข็งตัว
แลว้ จึงตดั แบง่ รบั ประทำน ถำ้ ใสแ่ ต่ข้ำวอย่ำงเดียวมีสีขำวเรียกขำ้ วฟืนขำว ใส่ถ่ัว
ลันเตำโม่พร้อมกับข้ำวจะได้สีเหลืองเรียกข้ำวฟืนถ่ัว ถ้ำใส่ถั่วลิสงโม่พร้อมข้ำว
จะได้สีม่วงอ่อน เรียกข้ำวฟืนถั่วดิน กำรรับประทำนมีได้ หลำยแบบ
ถ้ำรับประทำนเป็นอำหำรคำว จะผสมกับถั่วลิสงค่ัว งำ พริก ซีอิ๊วขำวหรือซีอ๊ิวดำ
และผักต่ำง ๆ ถ้ำรับประทำนเป็นอำหำรหวำน จะกินกับน้ำกะทิ ถ้ำรับประทำน
เป็นอำหำรว่ำงจะนำไปทอดแล้วจม้ิ กับน้ำจ้ิมรสเปร้ียวหวำน
ข้ำวแรมฟืน นับเป็นอำหำรของชำวไทใหญ่ซ่ึงอพยพมำจำกสิบสองปันนำ
วำ่ กันว่ำชอื่ เพย้ี นมำจำก “ขำ้ วแรมคนื ” บำงคนกว็ ำ่ ชือ่ ข้ำวแรมฟนื นนั้ เพี้ยนมำ
จำกคำว่ำ "Liang Fen" (เหลียงเฟ่ิน) ซ่ึงเป็นภำษำจีน เพรำะท่ีจีนก็มีอำหำร
ลักษณะแบบนี้เช่นกนั ถ้ำไปเดินตลำดเช้ำท่แี ม่สำยจะเห็นข้ำวแรมฟืนหลำยสี
เพรำะทำมำจำกวัตถุดิบต่ำงกนั สูตรด้งั เดิมจะเป็นข้ำวเจ้ำ ซ่ึงเป็นขำ้ วแรมฟืน
สีขำว ถ้ำทำจำกถ่ัวลันเตำหรือถั่วเหลืองจะได้ข้ำวแรมฟืนสีเหลือง และถ้ำทำ
จำกถ่ัวลิสง จะได้ขำ้ วแรมฟืนสมี ่วงออ่ น
สว่ นประกอบ ข้ำวแรมฟนื มสี ว่ นประกอบด้วยกนั 3 ส่วน คือ
❖ ตวั แปง้ ทีท่ ำจำกกำรโม่ข้ำวเจำ้ จนเป็นน้ำแป้ง (ปัจจบุ นั นี้ใช้แป้งข้ำวเจ้ำ สะดวกตำมยุคสมัย) นำมำเค่ียวกบั ไฟออ่ น ๆ
จนเหนียว และใสช่ ำมหรือภำชนะก้นลึก ทิง้ เอำไว้ขำ้ มคืน (จึงเป็นชอ่ื เรียกวำ่ "ข้ำวแรมคืน" แต่ผคู้ นเรียกเพ้ยี นไปมำ
ตำมกำลเวลำ เลยกลำยเป็น "ข้ำวแรมฟืน") จำกนน้ั นำมำตดั เปน็ กอ้ นสเ่ี หลย่ี มขนำดใหญ่กว่ำลูกเตำ๋ พอประมำณ
❖ น้ำรำด แบ่งออกเป็น 5 น้ำ คือ น้ำผักกำดดองเปร้ียว (น้ำส้มผักกำด) น้ำสู่หวำน+ส้ม ทำมำจำกน้ำตำลอ้อย
(สตู รสิบสองปันนำ) และนำ้ ตำลออ้ ยหมักจนเปร้ียว น้ำมะเขือเทศ นำ้ ขิง และน้ำถว่ั เนำ่
❖ เครอื่ งเคียง+ เครอ่ื งปรุง ไดแ้ ก่ พรกิ ค่ัวกระเทยี ม ถ่วั ลสิ งป่น ผกั ลวก (ถัว่ งอก กะหล่ำปลี ถัว่ ฝกั ยำวซอย) ผักชี
ซอยละเอียด เกลอื ป่น ซอี ิ๊วขำว และซีอวิ๊ ดำ
ขน้ั ตอนกำรทำ ข้ำวแรมฟนื ทำมำจำกข้ำวเจ้ำ ถว่ั ลนั เตำ หรอื ถว่ั ลิสง เตรียมโดยนำมำแช่น้ำ
จนอ่อนตัว จำกนั้นนำมำบดจนละเอียด แล้วนำมำผสมกับน้ำให้มีควำมเข้มข้นพอควร
โดยสำหรับขำ้ วแรมฟนื ขำ้ วต้องมีกำรผสมกบั น้ำปูนใสหรอื แคลเซยี มคลอไรด์เพ่ือชว่ ยในกำร
แข็งตัว จำกนั้นนำมำต้มจนสุกและมีควำมข้นหนืดพอเหมำะแล้วจึงต้ังทิ้งไว้ข้ำมคืนหรือ
แรมคืน (ซึ่งอำจเป็นที่มำของคำว่ำขำ้ วแรมฟืนนัน่ เอง) ในระหว่ำงนแี้ ปง้ จะเย็นตัวลงจนแขง็
เป็นเจลขุ่นและมีสีตำมธรรมชำติของวัตถุดิบ เวลำรับประทำนก็เพียงนำมำตัดเป็นช้ินเล็ก ๆ
รำดน้ำปรงุ รสขลุกขลิกรสชำตอิ อกเปรี้ยวหวำน อำจเพิม่ พริกคว่ั และถวั่ บด สำหรับข้ำวแรมฟืน
ถว่ั ลันเตำยังนยิ มนำมำทอดในนำ้ มันได้เปน็ ข้ำวแรมฟนื ทอดทกี่ รอบนอกนมุ่ ในและมีรสชำตอิ ร่อย
ผู้ท่ีถอื ปฏิบตั ิมรดกภูมิปญั ญำทำงวัฒนธรรม
ช่อื นำยมำนิตย์ ประกอบกจิ
หมำยเหตุ ข้ำวแรมฟืน นับเป็นอำหำรท่ีมี ทีอ่ ยู่ 76/2 หมู่ 5 บำ้ นป่ำเหมอื ดรงุ่ เจริญ
คณุ ค่ำทำงโภชนำกำรอยมู่ ำก ถือวำ่ เปน็ อำหำร
มังสวิรัติและอำหำรเจ เพรำะไม่มีเนื้อสัตว์เป็น ตำบลเวยี งพำงคำ อำเภอแม่สำย
ส่วนผสมเลย แถมมีผัก แป้งและสมุนไพรที่มี จังหวดั เชยี งรำย ๕๗๑๓๐
ประโยชนต์ อ่ ร่ำงกำยด้วย หมำยเลขโทรศัพท์ 085 722 1383

165

ลำบหมอู ำขำ่ (ซำ่ แบย)

อำข่ำ เป็นอีกกลุ่มชำติพันธ์ุที่มีประเพณี วัฒนธรรม จำรีต
ควำมเช่ื อ และภู มิ ปั ญญำท่ี สื บทอดต่ อกั นมำยำวนำน

จนกลำยเป็นวิถีชีวิต ประจำวัน โดยมีประเพณีและพิธีกรรมต่ำง ๆ
ซ่ึงล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตแบบสังคมเกษตรกรรมของ

ชำวอำข่ำ สำหรับอำหำรของอำข่ำถือเป็นอำหำรคลีนขนำน
แท้ เป็นอำหำรเพื่อสุขภำพ เพรำะจะกินผักสดที่ปลูกหรือ
ข้ึนเองตำมธรรมชำติ เช่น ผักกำดเขียว น้ำเต้ำ ฟักเขียว ฟักทอง

บวบ ผักกูด ผักโขม หน่อไม้ หอมชู มะเขือ พริก แตง ถ่ัว ฯลฯฯกินกับน้ำพริกต่ำง ๆ เช่น น้ำพริกมะแขว่น น้ำพริกถ่ัวลิสง
น้ำพริกงำขำว น้ำพรกิ มะเขือเทศเนำ้ พรกิ ปลำ ฯลฯ หรือนำผักสดมำต้ม ทำแกงจืด ผดั ผัก หำกมีเนอื้ สตั ว์กจ็ ะนำมำ

ปรุงเปน็ อำหำรต่ำง ๆ ท้ังอำหำรแบบดั้งเดิมของอำขำ่ หรือทำแบบอำหำรเหนอื เช่น ลำบ ออ่ ม ค่ัว เปน็ ต้น สำหรบั
ลำบหมูของอำข่ำ ซึง่ มีวัตถุดบิ สำคัญคือหอมชู นิยมทำกินกันในเกือบทกุ งำนเลีย้ งตำ่ ง ๆ

ลำบหมูอำข่ำ นั้นจะมีควำมแตกต่ำงจำกลำบอีสำนหรือลำบอื่น ๆ

ทวั่ ไป โดยลำบหมูอำข่ำจะใส่สว่ นผสมทไ่ี ม่เยอะมำก โดยมวี ตั ถุดิบสำคัญคือ
รำกหอมชู ซ่ึงชำวอำข่ำนิยมใช้ผสมในอำหำรแทบทุกประเภท โดยเฉพำะ

ลำบหมทู ่ีใช้หอมชูสับรวมกับเนือ้ และเลือดสัตว์ ผักไผ่ ตะไคร้ และเคร่อื งเทศ
อีกหลำยชนิด ก่อนนำไปห่อใบตองย่ำงหรือค่ัวจนหอม เป็นเมนูลำบท่ีอร่อย
และสะท้อนวถิ ีชวี ติ บนยอดดอยได้เปน็ อย่ำงดี

สว่ นประกอบ

❖ หมสู ับตดิ มันเลก็ น้อย ❖ รำกหอมชู

❖ ผกั ชีฝร่ัง ❖ ต้นหอมผักชี

❖ ตะไคร้ ❖ ผักไผ่

❖ กระเทียม ❖ พริกขหี้ นู

❖ เครือ่ งปรุงรส

ขนั้ ตอนกำรทำ

๑. นำหมูสับรวมกับรำกหอมชู ผักชีฝรั่ง ผักไผ่ ตะไคร้ ต้นหอมผักชี กระเทียม และพริกขี้หนูให้ละเอียด

และคละเคำ้ ให้เขำ้ กัน

๒. จำกนั้นนำหมูสับข้ำงต้นไปนำไปห่อใบตองย่ำงหรือคั่วในกระทะไฟปำนกลำง พร้อมด้วยใส่เกลือ

และเครอื่ งปรุงรสตำมท่ตี ้องกำรหรือตำมควำมชอบ

๓. เม่ือค่ัวจนหมสู บั และทุกอย่ำงสกุ แลว้ หรือเมอ่ื นำมำยำ่ งจนสุกทว่ั หมดแล้ว ก็สำมำรถนำมำรบั ประทำนไดเ้ ลย

ผทู้ ีถ่ ือปฏิบัติมรดกภมู ปิ ัญญำทำงวัฒนธรรม
ชอ่ื นำงสำวผกำกำนต์ รุ่งประชำรัตน์
ทีอ่ ยู่ บ้ำนผำหมี หมู่ ๖ ตำบลเวยี งพำงคำ

อำเภอแม่สำย จงั หวดั เชียงรำย ๕๗๑๓๐
หมำยเลขโทรศัพท์ 089 449 7942

166

ผ้ำปักชำตพิ ันธุ์ไตหยำ่

เนื่องจำกพื้นท่ีของจังหวัดเชียงรำย มีกลุ่มชนชำติพันธุ์อำศัยอยู่
ท้ังตำมที่รำบและบนดอยสูง แต่ละกลุ่มจะมีศำสนำ ควำมเช่ือ ประเพณี และ

วัฒนธรรมแตกต่ำงกันไป ตำมแต่วิถีด้ังเดิมท่ีบรรพบุรุษได้ปฏิบัติ
สืบทอดกันมำ กำรแต่งกำยมีควำมเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละชนชำติพันธ์ุ

จดุ เด่นทสี่ ำมำรถบ่งบอกได้เลยว่ำคนท่ีแต่งชุดน้ีเป็นชำติพนั ธุ์ใด ประกอบกบั
ในพ้นื ท่อี ำเภอแม่สำย มีชำตพิ นั ธุไ์ ตหยำ่ อำศยั อยเู่ ป็นจำนวนมำก เครื่อง
แต่งกำยของกลุ่มชำติพันธุ์ไตหย่ำ มีควำมโดดเด่นและแปลกตำมำกกวำ่

ชำตพิ ันธุอ์ ่ืน ๆ เพรำะไมค่ อ่ ยได้พบเห็นบ่อยนกั
ปัจจุบันกำรแต่งกำยของชำวไตหย่ำจะแต่งกำยตำมสมัยนิยม ส่วนกำรแต่งกำยในชุดประจำกลุ่มชนในงำนประเพณี

เช่น งำนชุมนุมประจำปี เคร่อื งแต่งกำยของสตรีชำวไตหย่ำจะประกอบด้วยผ้ำซน่ิ 2 ผนื ซ้อนกัน ผืนแรกเรียกว่ำ ผ้ำไต่เซิน
เป็นผ้ำพื้นสีดำ ประดับด้วยร้ิวผ้ำสีต่ำง ๆ เย็บเป็นแถบชำยซิ่น ส่วนผ้ำผืนที่ 2 เรียกว่ำ ผ้ำเซิน เป็นผ้ำพ้ืนสีดำประดับ
ชำยผ้ำด้วยริ้วผ้ำสีแต่ไม่เย็บด้ำนข้ำงให้ติดกัน ใช้สวมทับผืนแรกโดยพันรอบตัวให้ชำยผ้ำขนำนผืนแล้วคำดเข็มขัดทับ

ส่วนช่วงเอวข้ึนไปมีผ้ำ 3 ชิ้น คือ ผ้ำไว้ใช้คำดเอวจะประดับด้วยริ้วผ้ำสีต่ำง ๆ ทั้งผืน จำกน้ันสวมทับด้วยเส้ือตัวที่สอง
เรียกว่ำ ซ่ือแย่ง ซึ่งเป็นเสื้อไม่มีแขน คอปิด ไม่มีปกผ่ำหน้ำเฉียงมำทำงซ้ำย ส่วนเสื้อตัวที่สำม เรียกว่ำ ซื่อหลุง มีลักษณะ

เปน็ เสื้อสวมทับแขนยำว ไมม่ ีปก ผ่ำหนำ้ ตรง ควำมยำวของเส้ือจะยำวประมำณ 2 ใน 3 ของควำมยำวช่วงบนของผู้สวมใส่
ส่วนกำรแตง่ กำยของผ้ชู ำยไตหย่ำ ประกอบดว้ ยกำงเกงขำตรงสดี ำหรอื สีครำม เสอื้ คอจีนแขนยำวสดี ำ ไม่ประดบั ลวดลำยใด ๆ

คุณณฐภัทร จันทำพูน ซ่ึงเป็นบุคคลท่ีมีควำมช่ืนชอบในชุดชำตพิ ันธุ์ และประกอบธรุ กิจด้ำนผ้ำของกลุ่มชำตพิ นั ธุ์

ในชว่ งแรกๆได้หำผ้ำชุดชำติพนั ธ์ุจำกชนเผ่ำโดยตรงซ่ึงมีรำคำแพง ประกอบกับปญั หำกำรสอ่ื สำรกับชนเผ่ำ จงึ มีแนวคิด
ทจี่ ะเกบ็ ข้อมูลควำมรดู้ ้ำนกำรแตง่ กำยชดุ ชำติพันธุ์ แล้วนำมำออกแบบ ตัดเย็บ และจัดจำหนำ่ ยเอง ทั้งแบบดั้งเดิม

และแบบประยกุ ต์ใหท้ นั สมัย และชดุ ท่ีมคี วำมโดดเดน่ มำกอย่ำงหนงึ่ คือ ชดุ ผ้ำตดั ชำติพนั ธ์ไุ ตหยำ่

วัสดุ - อุปกรณ์ ❖ เครื่องเงนิ

❖ ผำ้ พืน้ สดี ำ ❖ ผ้ำกนุ้
❖ ดน้ิ ทอง ❖ ดนิ้ เงนิ
❖ พู่แดง

ขัน้ ตอนกำรผลิต

ขั้นตอนกำรผลิตชุดไตหยำ่ สำหรบั เสือ้ ประกอบดว้ ย

1. วดั ตัว

2. สร้ำงแบบ/กดรอย

3. สรำ้ งลำยปัก/กดรอย ผูท้ ี่ถอื ปฏิบตั ิมรดกภมู ิปญั ญำทำงวฒั นธรรม
4. ปกั ลำย ชอื่ นำยณฐภัทร จนั ทำพนู
ท่ีอยู่ 183 หมู่ 1 บ้ำนห้วยไคร้ ตำบลหว้ ยไคร้
5. ตัดตำมแบบ
6. ประดับตกแต่งด้วยเครื่องเงนิ อำเภอแมส่ ำย จงั หวัดเชียงรำย ๕๗๑๓๐
๗. ประดับดิน้ เงิน ดน้ิ ทอง ผำ้ ก้นุ หมำยเลขโทรศพั ท์ 089 449 7942

๘. ประดับพู่แดง

167

ชดุ ชำติพนั ธไ์ุ ทใหญ่
ไทใหญ่ คือกลมุ่ ชำตพิ ันธุ์ในตระกูลภำษำไท-กะได ซึ่งเป็นกลุ่มชำติพันธ์ุขนำดใหญ่
อันดับสองของพม่ำ ส่วนมำกอำศัยในรัฐฉำน ประเทศพม่ำและบำงส่วนอำศัยอยู่
บริเวณดอยไตแลง ชำยแดนประเทศไทย-ประเทศพม่ำ คนไทใหญ่ท่ีได้อพยพเข้ำสู่
ประเทศไทยเพอ่ื หนีปญั หำทำงกำรเมอื งและกำรหำงำน ชำวไทใหญ่จะเรียกตนเองว่ำ
ไต๊ หรอื ไต (ตำมสำเนียงไทย) พ่นี อ้ งไต๊ในพม่ำมีหลำยกลุ่ม เชน่ ไต๊คนื ไตแ๊ ลง ไตค๊ ัมตี
ไตล๊ อื้ และไต๊เมำ แต่กลมุ่ ใหญท่ สี่ ดุ คือ ไต๊โหลง ไต๊ = ไทย และ โหลง (หลวง) = ใหญ่
ซงึ่ คนไทยเรยี ก ไทใหญ่ เหตุฉะนั้นจะเห็นได้ว่ำภำษำไต๊ และภำษำไทยคล้ำยกันบ้ำง
แต่ไม่เหมือนกัน ชำวไทใหญ่ตั้งบ้ำนเรือนอยู่บริเวณพม่ำ ลำว ไทย และในเขต
ประเทศจีนตอนใต้ ในประเทศไทยพบชำวไทใหญ่อำศัยอยู่ในพ้ืนท่ีจังหวัดเชียงรำย
เชียงใหม่ เพชรบูรณ์ และแม่ฮ่องสอน สำหรับกำรแต่งกำยของชำวไทใหญ่ โดยส่วนมำก
แลว้ จะเนน้ กำรสวมใส่ทม่ี สี ีสันสดใส ซงึ่ สีดำ สีเทำ จะไม่ค่อยมี ซึ่งจะใช้กำรออกแบบ
เส้ือผ้ำไทใหญ่มำในของเจ้ำฟ้ำต่ำง ๆ แต่ละชุด แต่ละองค์จะไม่เหมือนกัน จะแยก
ออกไปเปน็ ชุดไทลอื้ ชดุ ไทใหญ่ โดยจะแยกออกไปตำมแตร่ ัชกำล
กำรทอผ้ำชุดไทใหญ่ ถือเป็นศิลปะและหัตถกรรมหรืองำนฝีมืออย่ำงหน่ึงที่มีมำตั้งแต่สมัยโบรำณ เป็นกรรมวิธีกำร
ผลิตผืนผ้ำโดยใช้เส้นด้ำยพุ่งและเส้นด้ำยยืนมำขัดประสำนกันจนได้เป็นผืนผ้ำ นอกจำกเป็นขั้นตอนกำรผลิต
เคร่ืองนุ่งห่ม หนึ่งในปัจจัยส่ีของมนุษย์แล้ว ยังถือเป็นงำนศิลปะประเภททัศนศิลป์ด้วย เน่ืองจำกมีกำรให้สีสันและ
ลวดลำยต่ำง ๆ ในผนื ผำ้ ในอดีตผ้หู ญิงจะทำเคร่ืองใช้ต่ำง ๆ ในบ้ำนเอง งำนสำคัญอย่ำงหนงึ่ คอื กำรทำเสื้อผ้ำ ผ้ำน่งุ ผ้ำ
หม่ ไวใ้ ชก้ นั ในครอบครวั ในพิธีกรรมตำ่ ง ๆ ก็ต้องใช้ผ้ำ ผ้ำทอจึงเปน็ ส่งิ จำเปน็ สำหรับชีวิต
กำรแต่งกำยของชำวไทใหญ่มีเอกลักษณ์ท่ีเด่นชัด คือ ถ้ำเป็นผู้ชำยจะนุ่งกำงเกงขำก๊วยหรือเป็นกำงเกงเป้ำใหญ่
เรียกเป็นภำษำไทใหญ่ว่ำ โก๋นโห่งโย่ง และสวมเสื้อแขนยำว คอกลมมีปกเล็กน้อยหรือบ้ำงก็ไม่มี ผ่ำกลำงอกตลอดแนว
และมีกระดุมแบบถักด้วยมือตำมแนวสำบเส้ือ เสื้อดังกล่ำวมักจะใช้สวมเป็นเสื้อตัวนอก ส่วนเส้ือตัวในไม่จำกัดแบบ
แตส่ ่วนใหญ่เพ่ือควำมเรยี บร้อยจะนิยมใส่เสื้อเช้ิตคอปกสีขำว ท้งั เสอ้ื และกำงเกงทำมำจำกผ้ำฝ้ำยทอมือ และจะโพกหัว
ด้วยผ้ำสีชมพูอ่อน ๆ ส่วนกำรแต่งกำยของผู้หญิง สวมเสื้อแขนยำวหรือแขนสำมส่วน นิยมตัดให้พอดีตัว นุ่งผ้ำถุงยำวหรือ
ซ่นิ ถึงตำตุ่ม นงุ่ โดยวิธีป้ำยผ้ำแล้วบิดเก้ียวม้วนลงให้กระชับและมีกำรโพกหัวคล้ำย ๆ ผ้ชู ำยด้วยผ้ำเช่นเดียวกัน แต่ไมไ่ ด้
กำหนดสผี ้ำ
วัสดุ อุปกรณ์
❖ จักรเยบ็ ผำ้ /จักรโพง้ ❖ สำยวดั ❖ กรรไกร
❖ สร้ำงแบบ/กระดำษกดลำย ❖ กระดำษ ❖ ลูกกล้งิ ผำ้
❖ ดนิ สอ ❖ ด้ำยเย็บ ❖ เขม็
ขน้ั ตอนกำรผลติ ผำ้
ข้นั ตอนกำรผลิตชดุ ไทใหญ่ สำหรบั เสอ้ื ประกอบด้วย
1. วดั ตัว 5. ตดั ตำมแบบ
2. สร้ำงแบบ/กดรอย 6. เย็บเขำ้ ตวั ผู้ทถ่ี อื ปฏิบัตมิ รดกภูมิปญั ญำทำงวฒั นธรรม
3. สรำ้ งลำยปกั /กดรอย 7. เย็บกระดุมเสือ้ ชอื่ กลมุ่ ฟืน้ ฟูวัฒนธรรมไทยใหญ่
4) ปักลำย 8. สอยกระดุมเสอ้ื ทอ่ี ยู่ 76/2 หมู่ ๕ ตำบลเวยี งพำงคำ
ข้นั ตอนกำรผลติ ผ้ำถุงไทใหญ่ ประกอบดว้ ย
1. สรำ้ งแบบ 3. เย็บเอว อำเภอแมส่ ำย จังหวัดเชียงรำย ๕๗๑๓๐
หมำยเลขโทรศัพท์ -

2. ตดั ตำมรอย 4. ตดิ ตะขอ

168

ผลติ ภัณฑผ์ ำ้ กลมุ่ ตัดเยบ็ ชุมชนห้วยไครพ้ ฒั นำ

ผ้ำกลุ่มตัดเย็บชุมชนห้วยไคร้พัฒนำ เกิดจำกวิสัยทัศน์และพลัง

ควำมสำมัคคีของกลุ่มแม่บ้ำนของชุมชนบ้ำนหัวยไคร้พัฒนำ ผ้ำแต่

ละช้ินถูกสร้ำงสรรค์แตกต่ำงกัน เป็นลวดลำยท่ีไม่ค่อยซ้ำกัน ซึ่งผู้

ปักสำมำรถออกแบบและปกั ลวดลำยตำมควำมชอบหรอื ควำมถนัด

ผ้ำส่วนใหญ่เป็นผ้ำฝ้ำย ผ้ำพ้ืนเมือง และผ้ำจำกสีเปลือกไม้ ทำให้

สวมใส่สบำยไม่ระคำยเคืองผิวของผู้สวมใส่ ผลิตภัณฑ์จำกผ้ำต่ำงๆ

มีควำมสวยงำม แข็งแรงคงทน และสะดวกต่อกำรใช้งำน รวมทั้ง

กำรออกแบบเส้ือผ้ำหรือผลิตภัณฑ์จำกผ้ำท่ีทันสมัย ไม่ซ้ำใคร และ

สำมำรถออกแบบได้ตำมควำมต้องกำรของลูกค้ำอกี ดว้ ย

กลมุ่ ตัดเย็บชมุ ชนห้วยไคร้พัฒนำ เกดิ จำกวิสยั ทัศน์และพลงั ควำมสำมัคคีของกลุ่มแมบ่ ้ำนของชุมชนบ้ำนหัวยไคร้พัฒนำ

โดยได้รับกำรสนับสนุนงบประมำณจำกกองทุนเงินล้ำนในกำรจดั ซ้ือจักรเย็บผ้ำ และปี พ.ศ.25๖๓ ได้รับกำรสนับสนุน

จำกสำนกั งำนสง่ เสริมกำรศึกษำนอกระบบและกำรศึกษำตำมอธั ยำศัย (กศน.) อำเภอแม่สำย จัดฝึกอบรมตดั เย็บผ้ำเพ่ือ

เรียนรู้และพัฒนำทักษะด้ำนกำรตัดเย็บรูปแบบต่ำง ๆ เป็นกำรส่งเสริมอำชีพและเป็นกำรเพ่ิมรำยได้ให้แก่ตนเองและ

ครอบครัว โดยใช้ทุนทำงวฒั นธรรมควำมรู้ด้ำนกำรตัดเย็บเส้ือผ้ำท่ีกลุ่มแม่บำ้ นมีอยู่แล้วมำสร้ำงอำชพี สร้ำงรำยได้

ผำ้ แตล่ ะชิน้ ถูกสร้ำงสรรค์แตกต่ำงกนั เป็นลวดลำยท่ีไมค่ อ่ ยซ้ำกัน ซ่ึงผูป้ ักสำมำรถออกแบบ

และปกั ลวดลำยตำมควำมชอบหรือควำมถนัด โดยส่วนมำกลวดลำยจะแสดงถึงวิถีกำรดำรงชีวิต

หรือสิ่งใกล้ตัว เช่น ลำยเมล็ดข้ำว ลำยเท้ำไก่ และลำยดอกไม้ เป็นต้น ผ้ำส่วนใหญ่เป็นผำ้ ฝ้ำย

ผ้ำพนื้ เมอื ง และผำ้ จำกสีเปลอื กไม้ ทำใหส้ วมใส่สบำยไม่ระคำยเคืองผิวของผู้สวมใส่ ผลติ ภณั ฑ์

จำกผ้ำต่ำง ๆ มีควำมสวยงำม แข็งแรงคงทน และสะดวกต่อกำรใช้งำน รวมทั้งกำรออกแบบ

เสื้อผ้ำหรือผลิตภัณฑ์จำกผ้ำท่ีทันสมัย ไม่ซ้ำใคร และสำมำรถออกแบบได้ตำมควำมต้องกำร

ของลูกคำ้ อกี ดว้ ย นอกจำกจะนำมำผ้ำมำตัดเย็บเป็นเสอื้ ผ้ำสำเรจ็ รปู แล้ว ทำงกลมุ่ ตัดเยบ็

ชุมชนหว้ ยไคร้พฒั นำ ยงั มีกำรนำผ้ำปกั มำพฒั นำเป็นผลิตภัณฑ์จำกผ้ำ อำทิ เสอ้ื ชุดเดรส กระเป๋ำ หมอน ยำ่ ม เป็นตน้

วสั ดุ - อปุ กรณ์

❖ จักรเยบ็ ผำ้ /จกั รโพง้ ❖ สำยวดั ❖ กรรไกร ❖ กระดำษ ❖ ผำ้ ปกั สำหรบั ตดั เย็บ

❖ สรำ้ งแบบ/กระดำษกดลำย ❖ ลกู กลงิ้ ผ้ำ ❖ ดินสอ ❖ ด้ำยเย็บ ❖ เขม็

ขั้นตอนกำรผลิต

1. สมำชิกกลุ่มตัดเย็บชุมชนห้วยไคร้พัฒนำปักผ้ำลวดลำยตำมที่แต่ละคน

ชอบหรอื ตอ้ งกำร

2. นำผำ้ แตล่ ะผนื ที่สมำชกิ กลุม่ ปกั เสร็จแล้วเขำ้ สู่กระบวนกำรตดั เย็บ

3. ออกแบบตัดเย็บตำมควำมต้องกำรของลูกค้ำหรือออกแบบตำมควำม

เหมำะสมของผลิตภัณฑ์ผ้ำ และลวดลำย ผู้ที่ถือปฏิบัติมรดกภูมปิ ัญญำทำงวัฒนธรรม
๔. ตัดตำมแบบ ชอื่ นำงประภำกร พลสทิ ธ์ิ

๕. ไดผ้ ลผลติ ภัณฑ์จำกผ้ำพร้อม ทีอ่ ยู่ 21/1 หมู่ 10 บ้ำนหว้ ยไคร้พัฒนำ ตำบลหว้ ยไคร้
จำหนำ่ ยต่อไป อำเภอเวียงชัย จงั หวัดเชียงรำย ๕๗๒๑๐

หมำยเลขโทรศัพท์ 085 722 1383

คำ ข วั ญ อำ เ ภ อ แ ม่ ฟ้ า ห ล ว ง

พระตำหนักดอยตุงล้ำค่า
สมเด็จย่าเป็นมิ่งขวัญ

เผ่าพันธุ์หลากหลาย มากมายชาดี
งามสดสีซากูระบาน

สภาวัฒนธรรมอำเภอแม่ฟ้าหลวง

170

อำเภอแมฟ่ ้ำหลวง

ประวัติควำมเปน็ มำ

ประวัติศาสตร์การจดั ต้งั อาเภอ

อำเภอแม่ฟ้ำหลวง ได้รับกำรประกำศจัดตั้งเป็นก่ิงอำเภอแม่ฟ้ำหลวง เม่ือวันท่ี 1 เมษำยน 2535 ตำม
ประกำศกระทรวงมหำดไทย ลงวันท่ี 13 มีนำคม 2535 โดยแยกกำรปกครองออกจำกอำเภอ แม่จัน และได้รับ
พระรำชทำนชื่อ “ กิ่งอำเภอแม่ฟ้ำหลวง” จำกสมเด็จพระศรีนครินทรำบรมรำชชนนี และได้รับกำรยกฐำนะเป็น
“อำเภอแมฟ่ ำ้ หลวง” เมื่อวันที่ 5 ธันวำคม 2539

ประวัตศิ าสตร์ทสี่ าคัญของอาเภอ

เม่ือปี 2530 สมเด็จพระศรีนครินทรำ บรมรำชชนนี มีพระรำชดำริจะสร้ำงบ้ำนที่ดอยตุง ต่อมำ

เม่ือวันที่ 26 ธันวำคม 2530 พระตำหนักดอยตุงจึงเริ่มดำเนินกำรก่อสร้ำง พร้อมกันนี้ ยังมีพระรำชกระแสรับส่ัง

ว่ำ “จะปลูกป่ำบนดอยสูง” จึงกำเนิดเป็น โครงกำรพัฒนำดอยตุงข้ึน โครงกำรพัฒนำดอยตุงเริ่มดำเนินกำร

โดยควำมรว่ มมือจำกหนว่ ยรำชกำรทุกส่วน เชน่ กรมปำ่ ไม้ กรมชลประทำน หน่วยงำนดำ้ นปกครอง นอกจำกทำกำร

ปลูกป่ำฟื้นฟูสภำพพ้ืนท่ีแล้วยังมีกำรฝึกอำชีพเพ่ือ ยกระดับคุณภำพชีวิตของชำวเขำบนดอยตุง ซึ่งประกอบด้วย

ชำวเขำเผ่ำอำข่ำลำหู่ ไทยใหญ่ และจนี ฮอ่ ขณะเดยี ว กันยงั คงรกั ษำขนบธรรมเนยี มประเพณีของตนไว้

ลักษณะทำงกำยภำพ

ทีต่ ้งั

อำเภอแม่ฟ้ำหลวง ตั้งอยู่ท่ีบริเวณกิโลเมตรท่ี 1 ถนนสำยขำแหย่ง – ป่ำเมี่ยง หมู่ที่ 4 ตำบลแม่ฟ้ำหลวง

ตง้ั อย่ทู ำงทิศเหนือของจังหวัดเชียงรำย หำ่ งจำกจงั หวดั เชียงรำยประมำณ 60 กโิ ลเมตร ใช้เวลำเดนิ ทำงประมำณ 1 ชว่ั โมง

พิกดั ที่ตง้ั NC 839405 มแี นวพรมแดนตดิ ต่อประเทศสำธำรณรัฐสหภำพพม่ำ ระยะทำงยำวประมำณ 93 กโิ ลเมตร

อาณาเขตติดต่อ

ทศิ เหนือ ตดิ เขต ตดิ ต่อกบั ประเทศสำธำรณรัฐสหภำพพม่ำ

ทิศใต้ ตดิ เขต ติดตอ่ กับอำเภอแมจ่ ัน จังหวัดเชียงรำย

ทศิ ตะวนั ออก ติดเขต ติดตอ่ กบั อำเภอแม่สำย อำเภอแม่จัน จังหวัดเชยี งรำย

ทิศตะวันตก ติดเขต ติดต่อกบั ประเทศสำธำรณรัฐสหภำพพม่ำ

ลักษณะภูมปิ ระเทศ

อำเภอแม่ฟำ้ หลวงมพี ื้นทมี่ ีเนอ้ื ที่ จำนวน 641.404 ตำรำงกโิ ลเมตร หรอื ประมำณ 400,876 ไร่ สภำพ

โดยทั่วไปเป็นภูเขำสูงมีเทือกเขำสลับซับซ้อน พื้นที่ลำดเอียงจำกตะวันตกไปทำงตะวันออก ระดับควำมสูงจำกน้ำ

ทะเลปำนกลำง ประมำณ 900 – 1,500 เมตร

แยกเป็น

พน้ื รำบระหว่ำงภูเขำ 6,055 ไร่ ร้อยละ 1.51

ภูเขำ 394,688 ไร่ รอ้ ยละ 98.46

พืน้ น้ำ 135 ไร่ รอ้ ยละ 0.03

ลกั ษณะดิน

ชดุ ดิน ในพนื้ ทอ่ี ำเภอแม่ฟ้ำหลวง เป็นชุดดนิ บ้ำนจ้อง ชุดดนิ เชียงของ ชุดดินโชคชัย ชดุ ดินแม่แตง ชุดดิน

หนองมด ชุดดินปำกช่อง ชุดดินสงู เนนิ

ลกั ษณะเด่น กลุม่ ดนิ เหนียวลกึ ถึงลึกมำกที่เกิดจำกวัตถตุ น้ กำเนิดดิน เนอ้ื ละเอียด ปฏกิ ริ ิยำ

ดินเป็นกรดจดั กำรระบำยน้ำดถี ึงดปี ำนกลำง ควำมอดุ มสมบูรณ์ต่ำ

ปัญหำ ควำมอุดมสมบูรณ์ต่ำ ขำดแคลนน้ำ และเกิดกำรซะล้ำงพังทลำยสูญเสียหน้ำดินในพ้ืนที่ลำดชัน

พ้ืนทด่ี ินเป็นกรดจัดมำก

171

แนวทำงกำรจัดกำร ปลูกพืชไร่หรือผัก เลือกพื้นท่ีค่อนข้ำงรำบเรียบ ปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก
1-2 ตัน หรือไถกลบพืชปุ๋ยสด (หว่ำนเมล็ดถ่ัวพร้ำ 8 -10 กิโลกรัมต่อไร่ เมล็ดถ่ัวพุ่ม 6 – 8 กิโลกรัม/ไร่ หรือ
ปอเทือง 4 – 6 กิโลกรัม/ไร่ ไถกลบระยะออกดอก ปล่อยไว้ 1 – 2 สัปดำห์) ร่วมกับกำรใช้ปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยอินทรยี ์
น้ำมีระบบอนุรักษ์ดนิ และน้ำ เชน่ ไถพรวนและปลูกพืชตำมแนวระดับ มวี สั ดุคลมุ ดิน ปลกู พืชสลับเป็นแถบ พัฒนำ
แหล่งน้ำและจดั ระบบกำรให้น้ำในแปลงปลูก พน้ื ทที่ ่ีเปน็ กรดจัดควรใชว้ ัสดุปนู 200 – 300 กโิ ลกรัม/ไร่

ลักษณะภมู ิอากาศ อุณหภูมเิ ฉลย่ี ฤดกู าล
อำเภอแม่ฟ้ำหลวง พ้ืนท่ีส่วนใหญ่เป็นป่ำไม้และเป็นภูเขำสูง จึงทำให้มีอำกำศหนำวเย็นในฤดูหนำว
อณุ หภูมิเฉล่ียทง้ั ปปี ระมำณ 24.4 องศำเซลเซยี สในฤดรู ้อนมี อำกำศรอ้ น อุณหภมู สิ งู สดุ เฉลย่ี 31.1 องศำเซลเซียส
โดยในเดือนเมษำยนมีอำกำศร้อนท่ีสุด อุณหภูมิสูงท่ีสุดท่ี เคยตรวจวัดได้ 41.8 องศำเซลเซียส อวันที่ 12
พฤษภำคม 2559 ส่วนในฤดหู นำวมีอำกำศหนำวเยน็ อณุ หภมู ติ ำ่ สดุ เฉล่ีย 19.3 องศำเซลเซยี ส ดยมอี ำกำศหนำว
ท่ีสุดอยู่ในเดือนมกรำคม อุณหภูมิต่ำที่สุดวัดได้ 1.0 องศำเซลเซียสเมื่อวันท่ี 25 ธันวำคม 2542 ฤดูกำลของ
อำเภอแม่ฟ้ำหลวง พิจำรณำตำมลักษณะลมฟ้ำอำกำศของประเทศไทย แบ่งออกเป็น 3 ฤดู ดังนี้ ฤดูร้อน
เรมิ่ ประมำณกลำงเดือนกุมภำพันธถ์ ึงกลำงเดือนพฤษภำคม มอี ำกำศร้อนอบอ้ำวทั่วไป โดยเฉพำะ ในเดือนเมษำยน
เป็นเดือนท่ีมีอำกำศร้อนอบอ้ำวมำกท่ีสุดในรอบปี ฤดูฝน เร่ิมประมำณกลำงเดือนพฤษภำคมถึงกลำงเดือนตุลำคม
ซ่ึงเป็นระยะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ พัดปกคลุมประเทศไทย อำกำศจะเริ่มชุ่มชื้นและมีฝนตกชุกตั้งแต่ประมำณ
กลำงเดอื นพฤษภำคมเป็นต้นไป เดือนทม่ี ีฝนตกมำกที่สุดคือเดือนสงิ หำคม ฤดหู นำว เร่มิ ประมำณกลำงเดือนตุลำคม
ถงึ กลำงเดอื นกุมภำพันธ์ ซง่ึ เป็นช่วงทม่ี รสุม ตะวนั ออกเฉียงเหนือพัดปกคลมุ ประเทศไทย อำกำศโดยทัว่ ไปจะหนำว
เย็นและแหง้ เดอื นท่มี ีอำกำศหนำวท่ีสุด คือเดือนมกรำคม
1. ฤดูรอ้ น เรมิ่ ต้นประมำณกลำงเดือนกุมภำพันธ์ถึงกลำงเดอื นพฤษภำคม มอี ณุ หภมู ิ เฉลย่ี 35.0 - 39.9
องศำเซลเซียส มีอำกำศรอ้ นอบอำ้ วทว่ั ไป โดยเฉพำะในเดือนเมษำยนเปน็ เดอื นทีม่ ีอำกำศร้อนอบอ้ำวมำกท่ีสุดในรอบปี
2. ฤดูฝน เรม่ิ ตน้ ประมำณกลำงเดือนพฤษภำคมถึงกลำงเดือนตุลำคม ซึ่งเป็นระยะทีม่ รสุมตะวันตกเฉียงใต้
พดั ปกคลุมประเทศไทย อำกำศจะเริ่มชุ่มชื้นและมีฝนตกชุกตง้ั แต่ประมำณกลำงเดือนพฤษภำคมเปน็ ต้นไป เดอื นที่มี
ฝนตกมำกทสี่ ุดคือเดือนสิงหำคม
3. ฤดูหนำว เริม่ ตน้ ประมำณกลำงเดือนตุลำคมถงึ กลำงเดอื นกุมภำพันธ์ซง่ึ เป็นช่วงทมี่ รสุมตะวันออกเฉียงเหนือ
พัดปกคลมุ ประเทศไทย อำกำศโดยทัว่ ไปจะหนำวเย็นและแหง้ เดือนท่ีมีอำกำศหนำวท่ีสุด คอื เดอื นมกรำคม
ที่มำ : กรมอุตนุ ยิ มวทิ ยำ พ.ศ. 256๓
แหลง่ ท่องเท่ียว
ตารางที่ 1 แหล่งท่องเที่ยวในอาเภอแมฟ่ ้าหลวง

ตาบล แหลง่ ท่องเทยี่ ว เชิงเกษตร
ทางวัฒนธรรม ทางธรรมชาติ เชงิ นิเวศ

แมฟ่ ้าหลวง วดั หว้ ยน้ำข่นุ พระตำหนักดอยตงุ ดอยช้ำงมูบ ศูนย์เกษตรท่ีสงู
เทอดไทย บ้ำนขุนส่ำ วนอุทยำนสนั พญำไพร่ - ไรช่ ำบ้ำนพญำไพร่
แมส่ ลองใน วดั ก๋ำคำ , วัดเวียง - สถำนีพฒั นำเกษตรทีส่ ูง
คำกำขำว ดอยหวั แม่คำ
แม่สลอง - โครงกำรหลวง
นอก วดั สนั ติคีรญี ำณสังวรำรำม ดอยแม่สลอง ดอยแม่สลอง
/อนสุ รณ์สถำนกองพล 93

ทม่ี ำ : อำเภอแมฟ่ ้ำหลวง , พฤษภำคม 256๓

172

บอ่ ฉ่อง ตุ๊ “เตน้ กระทุ้งกระบอกไม้ไผ่”

“บ่อ ฉ่อง ตุ๊” หรือ เต้นกระทุ้งกระบอกไม้ไผ่ เป็นกำร
แสดงของชำตพิ ันธอ์ุ ำข่ำ มักพบเหน็ กำรเต้นกระทงุ้ กระบอก
ไม้ไผ่ได้ในประเพณีโล้ชิงช้ำ ซ่ึงเป็นประเพณีท่ีจัดข้ึนเพ่ือ
รำลึกถึงพระคุณแห่ง เทพธิดำ “อ่ึมซำแยะ” ผู้ประทำน
ควำมอุดมสมบูรณใ์ ห้กบั พืชพรรณธัญญำหำร โดยเฉพำะข้ำว
ให้มีผลผลิตเจริญงอกงำมรอกำรเก็บเกี่ยว เพื่อให้เป็นกำร
ผ่อนคลำยช่วงเสร็จสิ้นกำรเพำะปลูกและผลผลิตกำลังเจรญิ
งอกงำมของชำติพันธ์ุอำข่ำ ชำวอำข่ำสืบทอดประเพณีน้ีมำ
เป็นเวลำกว่ำ 2,700 ปี
กำรเต้นกระทงุ้ กระบอกไม้ไผ่จะเกดิ ขึ้นใน วันที่ ๒ ของกำรจดั ประเพณโี ล้ชงิ ชำ้ ทจ่ี ดั ข้นึ ในชว่ งปลำยเดอื นสิงหำคม
- เดือนกันยำยนเป็นประจำทุกปี ซ่ึงจะตรงกับช่วงท่ีผลผลิตกำลังงอกงำมและพร้อมท่ีจะเก็บเก่ียวในอีกไม่กี่วัน
ในระหวำ่ งนอ้ี ำขำ่ จะดำยหญ้ำในไร่ขำ้ วเป็นครั้งสุดท้ำย หลังจำกดำยหญำ้ แลว้ กร็ อกำรเก็บเกย่ี ว ตรงกับเดือนของอำข่ำ
คือ “ฉ่อลำบำลำ” ชำวอำข่ำถือว่ำประเพณีนี้ เป็นพิธีกรรม ท่ีมีคุณค่ำมำกด้วยภูมิปัญญำที่ใช้ในกำรส่งเสรมิ ควำมรแู้ ล้ว
ยังเกี่ยวพันกับกำรดำรงชีวิตประจำวันของชำติพันธุ์อำข่ำอีกมำกมำย ทั้งยังเป็นประเพณีทีให้ควำมสำคัญกับผู้หญิง
ผหู้ ญิงอำข่ำจะพร้อมใจกนั แต่งกำยดว้ ยเครื่องทรงต่ำงๆ อยำ่ งสวยงำมเปน็ กรณพี ิเศษในประเพณนี ี้ เพื่อยกระดบั ช้ันวั
ยสำวตำมขนั้ ตอน แสดงใหค้ นในชมุ ชนไดเ้ ห็น พรอ้ มทัง้ ขนึ้ โล้ชิงช้ำ และรอ้ งเพลงท้งั ลักษณะเด่ียวและคู่
ในกำรจดั ประเพณีดงั กล่ำวแต่ละปีของอำข่ำ จะตอ้ งมีฝนตกลงมำ ถำ้ ปีไหนเกิดฝนไม่ตก ชำวอำข่ำถือว่ำไม่ดี
ผลผลิตท่ีออกมำจะไม่งอกงำม มีระยะเวลำในกำรจัดรวม 4 วันด้วยกัน สองวันแรกของพิธีโล้ชิงช้ำ ถือเป็นวันเตรียม
ตัวของชำวบ้ำนที่ต้องตำข้ำวไว้ให้พอกิน เย็บเสื้อผ้ำเครื่องแต่งกำยตลอดจนจัดหำ สิ่งท่ีจำเป็นและทำธุระส่วนตัวให้
เรยี บร้อย เพรำะในสองวนั หลงั ของเทศกำลมีข้อห้ำมไม่ใหต้ ำข้ำว ห้ำมเยบ็ เสื้อผำ้ และออกไปนอกหมูบ่ ้ำน แม้แต่กำร
ใช้จำ่ ยเงนิ ซ้อื สิ่งของกไ็ ม่ได้ แต่ไม่หำ้ มกำรรบั เงนิ
วนั ที่ 1 จา่ แบ
เปน็ วันแรกของพธิ ีกรรม ผูห้ ญิงอำขำ่ จะแต่งตวั ดว้ ยชดุ ประจำเผ่ำเตม็ ยศ แลว้ ออกไปตกั นำ้ ทบ่ี อ่ น้ำศกั ดิ์สทิ ธิ์
เพ่ือจะนำมำใช้ในกำรประกอบพิธีกรรมทำงศำสนำ และจะเป็นพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ผู้หญิงจะไปตักน้ำบริสุทธ์ิ
ที่แหล่งน้ำศักด์ิสิทธิ์ของหมู่บ้ำน นำน้ำศักด์สิทธิ์แช่ข้ำวสำรเหนียวไว้ตำเป็นอำหำรเซ่นไหว้บูชำที่เรียกว่ำ "ข้ำวปุก"
(จะใช้ข้ำวเหนยี วหรือข้ำวดอยที่ผ่ำนกำรนง่ึ มำตำในครกใหญ่ผสมกบั งำดำ และเกลือปั้นเป็นก้อนกลมและบบี ให้แบน
แลว้ นำไปห่อใบตอง)
วันที่ 2 วันสร้างชิงชา้
เปน็ วันสร้ำงชิงช้ำใหญข่ องหมู่บำ้ น ฝำ่ ยชำยจะรวมตัวกันออกไปตดั ไม้ทำรกมำทำเสำชงิ ชำ้ แตล่ ะบ้ำนจะทำ
ชงิ ช้ำเล็ก ๆ ดว้ ยไมไ้ ผ่ ให้แกล่ กู หลำน ทห่ี น้ำบำ้ นของตนเอง หลงั จำกทำชิงช้ำเสร็จในตอนเย็น ชว่ งกลำงคนื จะมีกำร
เตน้ รำฉลองชิงช้ำ ดว้ ยกำร “เต้นกระทุ้งกระบอกไมไ้ ผ”่ หรอื ทช่ี ำวอำข่ำเรยี กวำ่ “บ่อ ฉอ่ ง ต”ุ๊ อย่ำงสนุกสนำนจนถึง
รุ่งเชำ้ ของวนั ใหม่ จำกนั้นนักเต้นจะไดร้ ับเชิญจำกเจ้ำบ้ำน เพ่อื เลีย้ งอำหำรเคร่ืองดืม่ กันอยำ่ งอิม่ หนำสำรำญ
วนั ท่ี 3 วัน ลอ้ ดา อา่ เผว่
ถือเป็นวันพิธีใหญ่ มีกำรเล้ียงฉลองกันทุก
ครวั เรือน พร้อมทง้ั มกี ำรเชิญผู้อำวโุ ส หรือแขกตำ่ งหม่บู ำ้ น
มำร่วมรบั ประทำนอำหำรในบ้ำนของตน

173

วนั ท่ี 4 จา่ ส่า
เป็นวันสุดท้ำยของพธิ กี รรม สำหรับในวันนี้จะไม่มีกำรประกอบพธิ ีกรรม นอกจำกพำกันมำ โล้ชิงช้ำ เพรำะ
เป็นวันสุดท้ำยที่จะได้โล้ในปีน้ี พวกหนุ่มสำวก็จะใช้ลำนสำวกอด มำน่ังพูดคุยกันและเปลี่ยนกันดึงชิงช้ำ โดยเฉพำะ
หนุ่มๆ ต้องแสดงควำมสำมำรถในกำรโหนชิงช้ำให้สูง เพ่ือให้เป็นท่ีสนใจของสำว ๆ พร้อมร้องเพลงเก้ียวพำรำสี
เปน็ ภำษำประจำเผ่ำ สว่ นเดก็ ๆ จะมีชิงชำ้ ของพวกเขำท่หี นำ้ บำ้ นไวเ้ ล่นเชน่ กนั
แต่หลังจำกตะวันตกดิน หรือประมำณ 18.00 น. ผู้นำศำสนำก็จะทำกำรเก็บเชือกของชิงช้ำ
โดยกำรมำมัดติดกับเสำชิงช้ำ ถือว่ำบรรยำกำศในกำรโล้ชิงช้ำก็จะได้จบลงเพียงเท่ำนี้ และหลังอำหำรค่ำก็จะทำกำร
เก็บเคร่อื งเซ่นไหว้ตำ่ งๆ เข้ำไว้ท่ีเดมิ ถือว่ำเสร็จสน้ิ พิธกี รรม
มีกำรจัดกำรแสดงข้ึนทุกปี ในงำนเทศกำลประเพณีโล้ชิงช้ำ ของ อำเภอแม่ฟ้ำหลวง จังหวัดเชียงรำย เพ่ือ
ร่วมกันอนรุ ักษ์และสืบสำนวัฒนธรรมประเพณีอันดีงำมของกลุ่มชำติพันธุ์ รวมท้ังยังดึงดูดนักท่องเท่ียวชำวไทยและ
ชำวตำ่ งติ ทำให้เกิดรำยได้แกช่ ุมชนและกระตุ้นเศรษฐกิจ ภำยในงำนนอกจำกน้ัน จะมีกำรจัดกำรแสดงต่ำง ๆ แลว้ ยงั
มกี ำรแข่งขันตำข้ำวปุก ขนมโบรำณของชำติพันธ์ุอำขำ่ กำรแสดงเดนิ แฟช่ันโชว์ชุดแต่งกำยชำตพิ นั ธอุ์ ำข่ำ ฯลฯ ครบ
ครันอีกทัง้ ยงั พบกำรเตน้ กระทุ้งกระบอกไม้ไผไ่ ด้ใรงำนเทศกำล ประเพณี หรืองำนร่นื เริงตำ่ ง ๆ ของชำวอำข่ำ อำเภอ
แมฟ่ ำ้ หลวง จังหวดั เชยี งรำย

ผู้ท่ีถอื ปฏิบตั ิมรดกภูมปิ ญั ญำทำงวัฒนธรรม
ชื่อ นำยจำลอง เชอหมน่ื

กลุ่มพันธ์อุ ำข่ำอำเภอแมฟ่ ำ้ หลวง
ทอ่ี ยู่ ๒๔/๑ หมู่ ๒๒ บำ้ นแสนใจพัฒนำ

ตำบลแม่สลองใน อำเภอแม่ฟ้ำหลวง
จังหวดั เชียงรำย 57๑10
หมำยเลขโทรศพั ท์ ๐๙๓ ๓๐๙ ๗๔๗๗

174

ค๊ำ ทอ้ ง อำ่ เผว่ (ประเพณปี ีใหมล่ ูกขำ่ ง)

ตำมคำพูดท่ีชำว “ค๊ำ ท้อง อ่ำ เผ่ว” ซึ่งก็แปลออกเป็น
ควำมหมำยว่ำ “พธิ ปี ีใหม่” หรอื ประเพณปี ีใหม่ จดั ขึ้นประมำณ
เดือนธันวำคมของทุกปี ตรงกับเดือนอำข่ำ คือ “ท้องลำบำลำ”
คนทั่วไปนิยมเรียกประเพณีนี้ว่ำปีใหม่ลูกข่ำง ประเพณี
น้ีมีประวัติเล่ำกันมำว่ำ เป็นประเพณีท่ีแสดงให้เห็นถึง
กำรเปลี่ยนแปลงฤดูกำลทำมำหำกิน ซึ่งภำยหลังจำกที่มี
กำรเก็บเก่ียวพืชพันธ์ุจำกท้องไร่นำ เสร็จแล้วจะเข้ำสู่ฤดูแห่ง
กำรพกั ผอ่ น ชำวอำขำ่ ถือว่ำประเพณนี ้ีจะเปน็ กำรเปล่ียนแปลง
วนั ปใี หมห่ รือเปลี่ยนฤดูกำล ซึง่ เป็นกำรสง่ ท้ำยปีเก่ำต้อนรับปีใหม่ ฉะน้นั คนทกุ คนก็จะมีอำยุเพิ่มขนึ้ ประเพณีปีใหม่
ของอำขำ่ เกิดขึน้ ภำยหลังจำกที่มีกำรเก็บเกีย่ วพืชพันธุ์ จำกไร่นำหมดแล้ว หลังจำกกำรตรำกตรำทำงำนมำหนัก 1 ปี
เต็ม อันเป็นกำรฉลองผลผลิตท่ีเก็บเก่ียวมำไว้ในบ้ำนเรียบร้อยแล้ว ประเพณีปีใหม่เล่นลูกข่ำงของชำวอำข่ำจะมี
กำรประกอบพิธีกรรมทำงศำสนำอยู่ 4 วัน ปีใหม่ลูกข่ำง ถือเป็นประเพณีของผู้ชำย โดยผู้ชำยทั้งเด็ก และผู้ใหญ่
สำหรับจุดเด่นของประเพณีปีใหม่ลูกข่ำงของชำวอำข่ำน้ัน ช่วงเทศกำลดังกล่ำว เพศชำยจะมีกำรทำ ลูกข่ำง “ฉ่อง”
แล้วมีกำรละเล่นแข่งตีลูกข่ำงตลอดในช่วงพิธีกรรม เพ่ือฉลองกำรเปล่ียนแปลงวัยท่ีมีอำยุมำกขึ้น พร้อมทั้งชุมชน
แตล่ ะครัวเรอื น ก็จะมกี ำรแลกเปล่ยี นดืม่ เหล้ำกนั ในชุมชน ดงั สภุ ำษิตท่ีว่ำ “คำ๊ ท้อง จ้ี ฉ”ี่ แปลวำ่ ประเพณี ยกเหล้ำ
ฉะนั้น หำกประเพณีน้ถี ้ำมีคนเมำเหล้ำกถ็ ือวำ่ เป็นเรอ่ื งปกติ และเป็นกำรเร่มิ ต้นกินข้ำวท่ีเก็บไว้ใน ฉำงข้ำว ส่วนเพศ
หญิงก็จะเล่นกำรทอยสะบ้ำ และผู้อำวุโสจะมีกำรพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อปฏิบัติด้ำนวัฒนธรรม กฎจำรีตต่ำง ๆ พร้อม
กันน้ีหำกครอบครัวใดท่ีติดหนี้สินเงิกองกลำงของชุมชุนก็จะต้องมำชดใช้ในช่วงเทศกำลปีใหม่น้ีด้วย และหำก
ครอบครัวใดที่ต้องกำรจะย้ำยครอบครัวตนเองออกไปจำกชุมชน เพื่อไปตั้งในชุมชนอ่ืนก็จะต้องนำเหล้ำมำริน
เพือ่ บอกกลำ่ วอำลำในวงอำวโุ สอันเป็นกำรแจ้งย้ำยออก อีกท้งั ถ้ำครอบครัวที่อยำกจะย้ำยเข้ำมำอยู่ก็จะต้องนำเหล้ำ
มำริน ให้ผู้อำวุโสอันเป็นกำรแจ้งย้ำยเข้ำมำ ด้วยเหตุนี้ประเพณีปีใหม่ “ค๊ำ ท้อง อ่ำ เผ่ว” ของชำวอำข่ำ จึงถือว่ำ
เปน็ ประเพณีที่สำคัญเป็น 1 ในจำนวนประเพณใี หญ่ 9 ประเพณีของชำวอำขำ่ ทีม่ กี ำรปฏบิ ัติ สืบทอดกันมำ
กำรประกอบพธิ ใี ช้เครือ่ งเซ่นต่ำง ๆ ดงั น้ี
1. ไก่ขนดำ จะเปน็ เพศผู้หรือเพศเมียก็ได้ หำ้ มใช้ไก่ขนสขี ำว เพรำะอำข่ำถอื ว่ำไม่บรสิ ทุ ธ์ิ
2. ขำ้ วเหนียวดำ (ข้ำวปกุ )
3. ข้ำวเหนยี วทไี่ ม่ดำ อำข่ำเรียกวำ่ (ห่อส้อ)
4. น้ำชำ
5. เหล้ำจำกกระบอกไมไ้ ผ่ทำข้ึนมำเพอ่ื ใช้ประกอบพิธอี ำข่ำ เรียกวำ่ จ้ีน่ำ จี้ จุ๊
โดยกำรทำพิธนี ัน้ จะมกี ำรแบ่งแยกออกไปเป็นแตล่ ะวันดงั นี้
วันท่ี 1 (ตรงกับวันท่ี 30 ธันวำคม 2547) จะมีกำรประกอบพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษในช่วง ตอนบ่ำย โดยใช้
เครอื่ งเซ่นไหวต้ ำมทีก่ ลำ่ วมำแล้ว ซง่ึ มีข้นั ตอนกำรประกอบพธิ ใี นแตล่ ะครอบครัว
วนั ที่ 2 (ตรงกบั วันที่ 31 ธันวำคม 2547) จะเป็นกำรทำลกู ข่ำง โดยใช้ไมเ้ นือ้ แข็ง ขนำดเสน้ ผ่ำศนู ย์กลำงของ
ลูกข่ำงเมื่อทำเสร็จแล้วมีขนำดควำมกว้ำงประมำณ 5-7 เซนติเมตร ปลำยแหลม ด้ำนบนจะตัดเรียบตั้งกับพื้นได้
ขนำดลูกข่ำงน้ีจะทำข้ึนให้มขี นำดควำมพอดีกบั ผู้เล่น เม่ือทำเสร็จแล้ว ก็จะมีกำรละเล่นโดยมีวิธีกำรเล่น 2 ประเภท
คือ กำรแบ่งฝ่ำย และตั้งลูกข่ำงเป็นแถว ขว้ำงให้ถูกลูกขำ่ ง ของฝ่ำยตรงกนั ข้ำง วิธีท่ีสอง คือกำรเล่นโดยกำรใช้เชือก
ปั่นให้ลูกข่ำงหมุนแล้วตีลูกข่ำงโดยวิธีกำรหมุนเช่นกัน ซ่ึงสำมำรถดูวิธีกำรได้ในชุมชนนอกจำกนี้ ในวันท่ีสองของ
เทศกำลป้ใี หม่เลน่ ลูกข่ำง ในตอนกลำงคืน จะมกี ำรเลน่ กระบอกไมไ้ ผ่ โดยมีเดก็ ผใู้ หญ่ วธิ ีกำรเลน่ กจ็ ะเปน็ กำรกระทุ้ง
ไม้ไผ่ ตี กลอง ฉิ่ง ฉำบ ซ่งึ ชำวอำข่ำ ถอื ว่ำสนุกสนำนกำรกระทงุ้ กระบอกไมไ้ ผ่น้ีจะเล่นตลอดคืน

175

วันที่ 3 ( ตรงกับวันที่ 1 มกรำคม 2547) อำข่ำเรียกว่ำเป็นวัน “ล้อดะอ่ำแผ่ว” ซ่ึงมีควำมหมำยคือกำร
ทำพิธี เพ่ือตอนรับวันใหม่หรือปีใหม่นั้นเอง และหลังจำกวันน้ีเป็นต้นไป คนทุกคนก็จะมีอำยุเพิ่มมำกขึ้นไป
ดังนั้นอำยุของอำข่ำหำกผู้ใดเกิดวันที่ 2 ของเทศกำลน้ีถือว่ำจะนับอำยุเป็น 1 ปี แม้เกิดมำ มีอำยุเพียง 1 วัน
และตรงขำ้ มหำกผู้ใดเกิดมำหลังวันที่ 3 กจ็ ะถอื ว่ำจะมีอำยุที่สมบูรณ์โชคดี และในวนั ท่ี 3 นี้ ครอบครวั ทุกหลัง
จะมีกำรประกอบอำหำรเลี้ยงกัน มีกำรสู่เหล้ำด่ืมกันจนมีภำษิตอำข่ำคือ “ค้ำ ท๊อง จี้ ฉ่ี” แปลว่ำ ประเพณี
ดื่มเหล้ำน้ันเอง ตลอดทั้งวันผู้อำวโุ สก็จะมีกำรแลกเปลี่ยนปัญหำวฒั นธรรมของชุมชน มีกำรแข่งขันกำรละเลน่
พ้ืนบ้ำนในตอนกลำงวัน เช่น เล่นลูกสะบ้ำในกลุ่มผู้หญิงและเล่นลูกข่ำงในกลุ่มผู้ชำย มีกำรเต้นรำพ้ืนบ้ำน
ในเวลำกลำงคนื

ในอำเภอแม่ฟ้ำหลวง จะมีกำรจัดประเพณีลูกข่ำงข้ึนทุกปี เพื่อเผยแพร่ให้ชำวไทยและคนในชุมชนท่ี
เข้ำร่วมกจิ กรรม ไดต้ ระหนกั ถึงควำมสำคญั ของประเพณปี ใี หม่ลกู ข่ำง ซ่งึ เปน็ ประเพณีทมี่ ีจดุ เดน่ เป็นเอกลักษณ์
ของชุมชน ท่ีมีควำมเส่ียงต่อกำรสูญหำย อีกทั้ง ลูกหลำนชำวอำข่ำได้มีส่วนร่วมในกำรอนุรักษ์ ฟ้ืนฟู สืบสำน
ต่อยอด ประเพณีดังกล่ำว อีกท้ังช่วงปลำยเดือนธันวำคมถึงต้นมกรำคมชำวไทยภูเขำที่เชียงรำยจะมีงำน
เทศกำลและประเพณีที่สำคัญอย่ำงหน่ึงซ่งึ เปน็ ทน่ี ิยมของนักทอ่ งเทยี่ วทจี่ ะไปเขำ้ ร่วม

ผทู้ ่ีถือปฏิบตั ิมรดกภูมปิ ญั ญำทำงวฒั นธรรม
ชื่อ นำยจำลอง เชอหมื่น

กลมุ่ พันธอ์ุ ำข่ำอำเภอแมฟ่ ำ้ หลวง
ที่อยู่ ๒๔/๑ หมู่ ๒๒ บำ้ นแสนใจพฒั นำ

ตำบลแม่สลองใน อำเภอแม่ฟ้ำหลวง
จงั หวัดเชยี งรำย 57๑10
หมำยเลขโทรศัพท์ ๐๙๓ ๓๐๙ ๗๔๗๗

176

ยำผักกำดดอย
"ยำผัก" เมนูชำวอำข่ำจำกป่ำจังหวัดเชียงรำย อำเภอแม่ฟ้ำ
หลวง เป็นอำหำรของคนรักสุขภำพ เพรำะมีควำมหลำกหลำย
มีหนำ้ ตำทีเ่ ป็นเอกลักษณ์น่ำจดจำของยำผัก โดยมีสำรอำหำรเยอะ
และเป็นประโยชนอ์ ย่ำงยิ่งต่อร่ำงกำย ซึ่งส่วนใหญ่น้นั พืชท่ีชำวอำ
ข่ำนิยมปลูกกันมำกคือ ผัก พริก ถ่ัว โดยปลูกตำมรั้วบ้ำน
หรือบริเวณใกล้แหล่งน้ำ เวลำต้องกำรผักสดก็เก็บได้สะดวก
ชำวอำข่ำจึงมีวิถีชีวิตท่ีอยู่ร่วมกับป่ำ ธรรมชำติ อำหำรจึงเป็น
อำหำรทเี่ กดิ ขึ้นตำมวิถชี วี ิตของชนเผ่ำอำขำ่
อำหำรอ่ำข่ำส่วนใหญ่จะปรุงจำกผัก มีน้ำพริกหลำยอย่ำง เนื้อสัตว์จะกินในโอกำสพิเศษหรือ
เม่ือมีพิธีกรรม ทำให้อำหำรอำข่ำจะอุดมไปด้วยผักสีเขียวและวิตำมินซี มีวิถีชีวิตกำรกินกำรอยู่ท่ีคล้ำยๆ กัน
คอื ในมอื้ อำหำรของชำวอำขำ่ จะตอ้ งมผี กั นำ้ พรกิ ผกั ดอง และแกงหรือซุปน้ันจะมีส่วนผสมของผกั และสมุนไพร
ซง่ึ อำหำรประเภทโปรตนี จะมีไมม่ ำกเช่นไก่ ไข่ หรือปลำทีไ่ ดจ้ ำกในลำห้วย
ชำวอำข่ำจะไม่ประรับทำนรสหวำน อำหำรจึงไม่มีกำรปรุงน้ำตำลจะเน้นรสเผ็ด หอม เค็ม เป็นหลัก
รวมไปถึง รสขม ควำมหวำนล้วนมำจำกผักที่สดใหม่ ส่วนรสเปร้ียวได้จำกมะนำว ซีหมะหรือผักดอง
จำกวัฒนธรรมกำรกินอำหำรของชำวอำข่ำนั้น ทำใหช้ ำวอำข่ำไม่คอ่ ยป่วย ท้งั ๆ ท่อี ยบู่ นท่รี ำบสงู อำกำศหนำว
เยน็ เพรำะได้รบั วิตำมินจำกผกั และสมนุ ไพรมำกมำย รวมทง้ั ยงั ได้ออกกำลังกำยจำกกำรทำงำนอย่ำงสมำ่ เสมอ
แม้วำ่ ในบำงพืน้ ที่วัฒนธรรมเมอื งจะเข้ำไปแทนที่ แต่วฒั นธรรมอำหำรกำรกินอย่ำงสมดุลยงั คงอยู่สืบให้รุ่นลูกรุ่
นหลำนต่อไป
วัตถดุ บิ หลกั
1. กระเทียม
2. พรกิ ขห้ี นู
3. ครก
4. ขิง
5. ผกั กำด
ข้นั ตอน/วิธีกำรทำ
1. นำพรกิ ขีห้ นแู หง้ ไปเผำ่ เลก็ นอ้ ยใหม้ ี
ควำมหอม
2. ใส่กระเทยี ม พรกิ ข้หี นแู ห้ง ขงิ ในโครก
3. โครกส่วนผสมให้ละเอียด
5. ใส่งำลงไปในครก (โดยใส่งำให้เยอะกวำ่ พรกิ และขิง)
6. นำผักกำดไปลวด
7. จำกน้ันนำผกั กำดท่ลี วดแลว้ ไปใสภ่ ำชนะ และนำเครือ่ งปรงุ ท่โี ครกเสร็จแล้วมำคลุกเคล้ำใหเ้ ขำ้ กัน
ผ้ทู ่ีถือปฏิบัติมรดกภมู ปิ ญั ญำทำงวัฒนธรรม
ชอ่ื นำยจำลอง เชอหมืน่
เคล็ดลับ กลุ่มพนั ธุ์อำข่ำอำเภอแมฟ่ ้ำหลวง
1. ต้องนำงำไปค่ัวให้หอมกอ่ นนำมำตำ ทอ่ี ยู่ ๒๔/๑ หมู่ ๒๒ บำ้ นแสนใจพัฒนำ
2. ตอ้ งตำงำให้ละเอียดที่สุด ตำบลแม่สลองใน อำเภอแม่ฟำ้ หลวง

จงั หวัดเชียงรำย 57๑10
หมำยเลขโทรศัพท์ ๐๙๓ ๓๐๙ ๗๔๗๗

177

ผำ้ อำข่ำ

กำรปั กผ้ ำขอ ง ช ำว อำ ข่ ำได้ จิ น ตน ำก ำ ร ลว ด ลำ ยม ำ จ ำ ก
วิถีชีวิตประจำวันของตนเอง และอีกส่วนหน่ึงได้รับกำรถ่ำยทอด

วิธกี ำรปกั ผ้ำมำจำกบรรพบุรุษ ชำวอำข่ำสว่ นใหญ่จะปักผ้ำเพ่ือสวมใส่
เอง เนื่องจำกกำรปักผ้ำเป็นงำนฝีมือ ต้องใช้เวลำในกำรปักนำน

ลำยปักมีควำมละเอียด ประณีต จึงทำให้มีรำคำแพง ผู้หญิงจะปัก
เสื้อผ้ำ ให้คนในครอบครัว และปักเพ่ือสวมใส่เอง ชำวอำข่ำให้
ควำมสำคัญกับชุดประจำเผ่ำ ประกอบไปด้วย เสื้อ กระโปรง หรือ

กำงเกง ผำ้ รัดนอ่ ง เขม็ ขัด และหมวก ซ่ึงหมวกจะนยิ มใช้เพียง
ใบเดียวตลอดช่ัวชีวิต โดยเฉพำะ หมวกที่ทำจำกเคร่ืองเงินแท้ มีรำคำแพง และไม่สำมำรถประเมินรำคำได้ส่วนเสื้อ

ประจำเผำ่ นนั้ ชำวอำข่ำจะมี ประมำณ ๒ – ๓ ตัว ตอ่ คน ผหู้ ญิงชนเผ่ำอำข่ำเม่ือแต่งตัวครบสมบรู ณ์ จะมคี วำมสวยงำม
เปน็ อยำ่ งมำก

กำรปกั ผ้ำของชำวอำข่ำ ส่วนใหญ่จะมีกำรออกแบบลวดลำยบนผืนผ้ำ

ในรูปทรงเรขำคณิต เช่น รูปสำมเหล่ียม และส่ีเหลี่ยมส่วนลวดลำย
ธรรมชำติได้จินตนำกำรมำจำกสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัว เช่น ผีเส้ือ นก

ภูเขำ ดอกไม้ และต้นไม้ เป็นต้น ลวดลำยท่ีเป็นเอกลักษณ์ของชำวอำข่ำ
ได้แก่ ลำยผีเส้ือ (ลำยอำลูเหม่ล้ำ) ซ่ึงลำยน้ีชำวอำข่ำทุกกลุ่ม นำมำใช้ใน
กำรปักตกแต่งเส้ือผ้ำ สันนิฐำนว่ำ ลำยนี้ได้จินตนำกำรมำจำกผีเส้ือที่ได้

พบเห็นขณะเดินทำงไปทำไร่ทำนำ จึงได้นำมำประยุกต์เป็นลวดลำย
ในกำรปักผ้ำ และนำมำประดับตกแต่งบนเสือ้ กระโปรง กำงเกง และผ้ำรัดนอ่ ง ทำให้เกดิ ควำมสวยงำมอย่ำงย่ิง

ชนเผำ่ อำข่ำเป็นชนเผ่ำท่ีมีเคร่อื งแต่งกำยเป็นเอกลักษณ์สวยงำมประณีตโดยจะปลูกต้นฝ้ำยจำกนั้นจะเก็บดอกฝ้ำย
ท่ีบำนแล้วมำปั่นและดึงให้เป็นเส้นด้ำยจำกน้ันถึงค่อยมำกรอและทอออกมำเป็นผืนแบบแพรวำ หน้ำผ้ำไม่กว้ำงนัก
หลังจำกได้ผ้ำมำแล้วก็จะนำไปปักให้มีลวดลำยสวยงำมก่อนจะนำไปตัดเย็บเป็นเสื้อกว่ำจะได้ผ้ำ 1 ผืนน้ันต้องใช้

เวลำนำนเป็นปีนับตงั้ แต่ปลูกฝ้ำย จนมำเปน็ เสื้อลำยปักสวย ๆ

วัสดุ - อุปกรณ์

❖ เสน้ ด้ำยจำกฝ้ำย ❖ เคร่ืองทอผ้ำ

❖ ด้ำยสำหรบั ปักลวดลำย ❖เขม็ เยบ็ ผ้ำ

❖ ส่ิงของประดบั ตกแต่งในกำรปัก อำทิ ลกู ปัด ไหมพรม

ขนไก่ เคร่อื งเงนิ กระดงิ่ เปน็ ต้น

ขน้ั ตอนกำรผลติ ผ้ำ ผู้ท่ีถอื ปฏิบัติมรดกภมู ิปญั ญำทำงวฒั นธรรม
1. ป่นั ฝ้ำยและดึงเปน็ เส้นดำ้ ย
ช่อื นำยจำลอง เชอหม่นื
2. กรอดำ้ ยเป็นม้วน ทีอ่ ยู่ ๒๔/๑ หมู่ ๒๒ บ้ำนแสนใจพัฒนำ
3. นำไปทอ
4. นำผ้ำที่ไดไ้ ปปกั ลวดลำย ตำบลแม่สลองใน อำเภอแม่ฟำ้ หลวง
จงั หวัดเชียงรำย 57๑10
หมำยเลขโทรศพั ท์ ๐๙๓ ๓๐๙ ๗๔๗๗


ลุ่


พั

คำ ข วั ญ อำ เ ภ อ เ ชี ย ง แ ส น

ถิ่นอมตะ พระเชียงแสน
แดนสามเหลี่ยม

เยี่ยมน้ำโขง จรรโลงศิลปะ

สภาวัฒนธรรมอำเภอเชียงแสน

179

อำเภอเชียงแสน

ประวัติควำมเปน็ มำ

ประวัตคิ วามเป็นมาของเมอื งเชยี งแสนปรากฏอยู่ในเอกสารตานานหลายฉบับ ซงึ่ เรอ่ื งราวสว่ นใหญ่จะมี
ความคล้ายกัน โดยปรากฏเรื่องราวของชุมชนโบราณในเขตท่ีราบลุ่มจังหวัดเชียงราย ในระยะก่อนสร้างเมือง
เชยี งแสน ซึง่ คาดว่าน่าจะเรมิ่ ตน้ เมอ่ื ราวพุทธศตวรรษที่ 17 จากการทีพ่ ระเจ้าสงิ หนวัติกมุ ารได้อพยพลงมาจาก
นครไทยเทศ ซึ่งอยู่ในทางตอนเหนือล่องมาตามแม่น้าโขงและมาต้ังบ้านเมืองข้ึน ชื่อว่า นาคพันธ์สิงหนวัตินคร
ในแผ่นดินของพระเจ้าสิงหนวัติกุมารน้ันได้มีการรวบรวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่นได้รวมเอาชาวมิลักขุ
และปราบปรามพวกกลอมหรือขอมใหอ้ ยู่ใตอ้ านาจ หลังจากนั้นกไ็ ดม้ ีกษัตริย์หลายพระองค์ครองเมืองโยนกนาคพันธ์ุ
สืบมาจนกระท้ังถึงรัชการพระเจ้ามหาชัยชนะก็เกิดอาเพศ จนบ้านเมืองล่มสลายกลายเป็นหนองน้าต่อมา
ได้ปรากฏเร่ืองรวมอีกช่วงหน่ึง เป็นส่วนท่ีกล่าวถึงปู่เจ้าลาวจกหรือลวจังกราชว่าได้ลงมาจากยอดภูเขา และได้
สถาปนาเป็นปฐมกษัตริย์ในราชวงศ์ลาวจังกราช ขึ้นปกครองแว่นแคว้นไชยวรนครเชียงราวหรือแคว้นโยนก
ซ่ึงก็คือบ้านเมืองในบริเวณที่ราบลุ่มจังหวัดเชียงรายทุกวันน้ี ต่อมาได้สร้างเมืองหิรัญนครเงินยางและมีการขยาย
ชุมชนออกไปโดยรอบ ได้มีการสร้างเมืองเชียงราย เมืองเชียงของและขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง
กษตั ริย์ในราชวงค์ลวจังกราชได้สืบราชสมบัติตดิ ต่อกันมาหลายพระองค์ จนกระท่ังถงึ รัชกาลของพระเจ้ามังราย
จึงได้รวบรวมบ้านเมืองในแคว้นโยนกจนเกิดเป็นปึกแผ่นทรงสร้างเมืองเชียงรายและเสด็จไปประทับอยู่ท่ีเมืองเชียงราย
ต่อมาทรงยกทพั ไปตแี ค้วนหริภญู ไชยได้ และสถาปนาอาณาจักรล้านนาข้นึ พร้อม ๆ กับการสรา้ งเมืองเชียงใหม่
ขน้ึ เป็นราชธานใี น พ.ศ. 1839

สาหรับเรื่องราวของเมืองเชียงแสนนน้ั มีหลักฐานปรากฏอยู่ในเอกสารอย่างชัดเจนวา่ พระเจ้าแสนภู
พระราชนัดดาของพระเจ้ามังราย ทรงสร้างเมืองข้ึนบริเวณซากเมืองรอยเก่าริมฝั่งแม่น้าโขงเม่ือ พ.ศ. 1871
และขนานนามว่าเมืองหิรัญนครชัยบุรีศรีช้างแสน ซึ่งก็เชื่อกันว่าเมืองรอยเก่านั้นก็คือเมืองหิรัญนครเงินยาง
น้ันเอง หลังจากท่ีพระเจ้าแสนภูได้ข้ึนมาครองราชย์ในเมืองเชียงใหม่แล้วต่อมาทรงย้ายมาอยู่ท่ีเมืองเชียงแสน
ตลอดพระชนม์ชีพและกษัตริย์ล้านนาองค์ต่อมาคือพระเจ้าคาฟูก็ประทับท่ีเมืองเชียงแสน สาเหตุท่ีพระเจ้าแสนภู
สร้างเมืองและประทับอยู่เมืองเชียงแสนนนั้ เพราะเป็นเหตุผลด้าน ยุทธศาสตร์ในการป้องกันข้าศึกที่มาทางด้านเหนือ
และเพ่ือควบคุมหัวเมืองต่าง ๆ ของล้านนาตอนบนไว้ให้อย่ภู ายใตพ้ ระราชอานาจ

ด้วยเหตุนี้ในสมัยล้านนาตอนต้นศูนยก์ ลางของอาณาจักรและพระศาสนา จงึ อยทู่ ี่เมอื งเชียงแสน ดงั นนั้
จงึ ปรากฏมรี อ่ งรอยโบราณสถานในสมัยลา้ นนา ตอนตน้ อยู่ในเขตเมืองเชียงแสนคอ่ นขา้ งมาก อยา่ งไรก็ตามตอน
ปลาย พุทธศตวรรษที่ 19 ในสมัยของพระเจ้าผายูกษัตริย์ราชวงค์มังรายลาดับที่ 7 ได้กลับไปประทับที่เมือง
เชียงใหม่ แตเ่ มอื งเชียงแสนก็ยงั มคี วามสาคญั ในเขตลา้ นนาตอนเหนอื ตลอดมา

ในช่วงเวลาท่ีล้านนาตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่า ในพ.ศ.2244 พม่าได้แบ่งแยกการปกครอง
ล้านนาออกเป็น 2 ส่วน เพื่อป้องกันกบฏส่วนแรกได้แยกเมืองเชียงแสนออกจากอานาจของเมืองเชียงใหม่ให้
เมืองเชียงแสนได้ขึ้นตรงต่อกรงุ อังวะ ถือเป็นประเทศราชมณฑลหน่งึ และอยู่ภายใต้อานาจของข้าราชการพมา่
โดยตรง โดยให้เมืองต่าง ๆ เหล่านี้ คือ เมืองกาย เมืองไร เมืองเลน เมืองแหลว เมืองพยาก เมืองเชียงราย และ
เมืองหลวงภคู า เมอื งแพร่ เมืองนา่ น เมืองนครลาปาง เมอื งฝาง เมืองสาด เมืองเชียงของ และเมืองเทงิ ขน้ึ อยู่กับ
เมืองเชยี งแสน สว่ นเมือทเ่ี หลอื ข้นึ อยู่กบั เมอื งเชียงแม่ในชว่ งเวลาน้ฐี านนะของเมืองเชยี งแสนไดม้ ีความสาคัญข้ึน
อีกครั้งและได้เป็นฐานท่ีม่ันสาคัญของพม่าในการควบคุมบ้านเมืองและดินแดนล้านนา พม่าควบคุมเมืองเชียง
แสนไว้จน พ.ศ.2347 พระยากาวิละเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่กับกรมหลวงเทพหริรกั ษ์กับพระยายมราชได้ยก
ทับเข้าตีเมืองเชียงแสนได้สาเร็จ และได้กวาดต้อนผู้คนจานวน 22,000 ครอบครัวจัดแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม
กลุ่มแรกให้ย้ายถ่ินฐานในเมอื งต่าง ๆ ของล้านนา เช่น เชียงใหม่ นครลาปาง น่าน และเวียงจันทร์ อีกกลุ่มหน่งึ
ส่งไปยังเมืองกรุงเทพซ่งึ พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราชได้โปรดเกล้าฯให้ไปตั้งบ้านเรอื นอยทู่ ี่
ตาบลเสาให้จังหวัดสระบุรี และท่ีตาบลคูบัว จังหวัดราชบุรี ต่อนั้นเมืองเชียงแสนจึงกลายเป็นเมืองร้าง

180

จนกระท่ังรัชกาล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯให้เจ้าอินทวิไชย บุตรเจ้าบุญมา
เจ้าผู้ปกครองเมอื งลาพนู นาราษฎรชาวงเมืองลาพูน และราษฎรชาวเมืองเชียงใหมจ่ านวน ประมาณ 1,500 ครอบครัว
ข้ึนไปต้ังถิ่นฐาน และฟื้นฟูเมืองเชียงแสนและได้พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาราชเดช ดารงตาแหน่ง
เจ้าเมืองเชียงแสน เมืองเชียงแสนจึงได้ฟ้ืนฟูนับต้ังแต่น้ันเป็นต้นมาประมาณ พ..ศ. 2442 ได้มีการย้ายศูนย์การปกครอง
ไปอยทู่ ่ี ตาบลกาสา ซึง่ ปัจจบุ ันคอื อาเภอแม่จัน ตัง้ เปน็ อาเภอขึ้นต่อจังหวัดเชียงราย ส่วนเมืองเชียงแสนยุบลงเป็น
กิ่งอาเภอเชยี งแสนหลวง และต่อมาได้เปน็ อาเภอเชยี งแสน จงั หวัดเชียงราย เม่ือปพี .ศ. 2500 มาจนทุกวนั นี้

กลา่ วโดยสรุป คอื เมืองเชยี งแสน เดมิ ตามประวัติศาสตร์กล่าวว่า เปน็ อาณาจกั รแรกของลา้ นนา และ
ได้ร้างไป จนกระท่ังพระเจ้าแสนภูเป็นผู้บูรณะเมื่อ พ.ศ. 1871 มีเจ้าเมืองปกครองสืบเนื่องกันมาหลาย
พระองค์ จนถึง พ.ศ. 2442 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชการท่ี 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ให้พระยาเดชดารงย้ายท่ีทาการเมืองเชียงแสน มาต้ังท่ีเมืองกาสา (อาเภอแม่จัน
ในปัจจุบัน) ต่อมาทางราชการเห็นว่าท่ีต้ังอาเภอเชียงแสนต้ังติด กับลาน้าจัน จึงได้เปลี่ยนช่ือจากอาเภอเชียงแสน
“เป็นอาเภอแม่จัน” เมื่อ พ.ศ. 2470 ยกฐานะเมืองเชียงแสนเดิมตั้งเป็น “กิ่งอาเภอเชียงแสน” และได้รับการ
พิจารณายกฐานะจากกิ่งอาเภอ เปน็ “อาเภอเชยี งแสน” เมอ่ื วนั ที่ 10 เมษายน 2501

ลักษณะทำงกำยภำพ

เมืองเชยี งแสนต้ังอยรู่ มิ ฝ่งั แมน่ ้าโขงบริเวณชายแดนดา้ นทิศตะวนั ออกของทีร่ าบลุม่ เชยี งแสน ซ่งึ เปน็ ท่ี
ราบลุ่มขนาดใหญ่ทางตอนบนของจังหวัดเชียงราย และทางฝ่ังตะวันตกของแม่น้าโขง ปัจจุบันเมืองเชียงแสน
ตั้งอยูใ่ นเขตการปกครองของตาบลเวยี ง อาเภอเชียงแสน จังหวัดเชยี งรายดว้ ยความเหมาะสมของตาแหน่งที่ตั้ง
เมือง ซ่ึงเปรียบเสมือนจุดยุทธศาสตร์ทางการปกครอง รวมถึงเป็นเมืองสาคัญทางการค้าระหว่างเมืองทาง
ตอนบนอนั ได้แกจ่ นี และพมา่ ลงมาสพู่ ะเยา ตาก กรงุ เทพฯ และหลวงพระบางจงึ ทาให้เมอื งนเี้ ปน็ พ้นื ทีส่ าคัญมา
แตส่ มัยโบราณตราบถึงปจั จุบนั

สภาพภูมศิ าสตรท์ วั่ ไป
ทิศเหนือและทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นที่ดอนสลับกลุ่มภูเขาเต้ีย ๆ ได้แก่ ดอยมด ดอยป่าแดง
ดอยจอมกิดติ และกลมุ่ ดอยสะโง้ว ติดตอ่ กับเขตอาเภอแม่สาย และอาเภอท่าขีเ้ หล็ก จังหวดั เชียงตงุ สาธารณรัฐ
สังคมนยิ มแห่งสหภาพเมียนมาร์ มลี าน้ารวกเปน็ เสน้ ก้นั พรมแดน
ทิศใต้ เป็นท่ีราบลุ่ม มีบึงสลับกับกลุ่มภูเขาเต้ีย ๆ เช่น กลุ่มดอยจัน ดอยหนองแสงแกว้ หนองบงกาย
และหนองลม่ มีลาน้าคาและแมน่ า้ กก ไหลผา่ นลงสูล่ านา้ โขงติดต่อกับเขตอาเภอแม่จนั
ทศิ ตะวันออก ตดิ แมน่ ้าโขง เป็นเส้นกนั้ เขตแดนกบั สาธารณรัฐประชาธปิ ไตยประชาชนลาว
ทิศตะวันตก เป็นที่ราบลุ่ม มีลาน้าเล็ก ๆ ที่เกิดจากเทือกเขาสูงทางด้านน้ไี หลลงไปรวมกับลานา้ คาซึง่
ไหลผา่ นตลอดแนวตวั เมอื งตดิ ต่อกับเขตอาเภอแม่จนั
ลักษณะเมืองเชยี งแสน
เมอื งเชยี งแสน เป็นเมืองโบราณสัณฐานรปู สีเ่ หลี่ยมผืนผ้าด้านไม่เท่าตัง้ อยู่บนทีร่ าบรมิ ฝัง่ แมน่ า้ โขงด้าน
ทิศตะวนั ตก ในแนวแกนทิศเหนอื -ใต้ ปัจจบุ ันมีกาแพงเมืองลอ้ มรอบ 3 ด้านคือ ด้านทิศเหนือซง่ึ ยาวขนานไป
ตามแม่น้าโขง ทิศตะวันตกและทิศใต้ ซึ่งเป็นด้านสกัด ส่วนทางด้านทิศตะวันออกปัจจุบันไม่หลงเหลือแนว
กาแพงเมือง แต่มีแม่น้าโขงเป็นปราการธรรมชาติอยู่ อย่างไรก็ตามตามพงศาวดารโยนกกล่าวว่าทางด้านทิศ
ตะวันออกนม้ี ีประตูอยู่ 6 ประตู แต่ในปัจจุบันไม่พบหลักฐานดังกล่าวหลงเหลืออยทู่ ั้งนอี้ าจเนอ่ื งจากการเซาะ
พังของแม่นา้ โขงโดยใน พ.ศ. 2513 ยงั คงมอี ยพู่ บเหน็ รอ่ งรอยของป้อมมมุ เมืองของแนวกาแพงบรเิ วณริมตล่ิง
แม่น้าโขง ส่วนแนวกาแพง 3 ด้านที่ยังคงหลงเหลืออยูน่ ี้ ยังพบร่องรอยของประตูเมอื ง 5 แห่ง นอกจากน้นั ยงั
พบป้อมมุมกาแพงเมืองด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนอื อีก 1 แห่งและพบอีก 6 แห่งภายนอกกาแพงเมือง กาแพง
เมืองมีลักษณะช้ันเดียวสูงประมาณ 4 เมตร สภาพของกาแพงยังอยู่ในลักษณะค่อนข้างสมบูรณ์ท้ัง 3 ด้าน
มีร่องรอยของคูเมืองปรากฏอยู่โดยรอบ คาดว่าแนวคูเมืองจะต้องมีทางเช่ือมติดต่อกับแม่น้าโขงได้ภายใน
ตัวเมืองเชียงแสนสภาพพ้ืนท่ีส่วนใหญเ่ ป็นท่ีราบ มีหนองน้าปรากฏอยู่ 1 แห่ง ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ของตวั เมือง เรยี กวา่ “หนองกลางเวียง” ระหวา่ งหนองกลางเวียงกับแม่นา้ โขงมีคนู า้ ขนาดเล็กเชือ่ มตดิ ตอ่ กนั ได้

181
พน้ื ทภี่ ายในเมืองไดถ้ ูกแนวถนนในปัจจุบนั ตัดแบง่ เป็นพ้ืนที่เล็ก ๆ หลายสว่ น แต่ละสว่ นก็พบซากโบราณสถาน
กระจายตัวอยู่โดยทั่วไป ตามตานานและประชุมพงศาวดาร กล่าวว่าภายในกาแพงเมืองนี้มีโบราณสถานอยู่
76 แหง่ ซ่ึงกรมศลิ ปากรไดท้ าการสารวจครบทุกแห่ง เพือ่ วางแผนบูรณะ สร้างคณุ คา่ ใหแ้ กเ่ มืองประวตั ศิ าสตร์
แห่งนมี้ ากยิ่งขน้ึ การกระจายตวั ของโบราณสถานส่วนใหญม่ กั จะเกาะกลุ่มกันไปตามแนวถนน ซ่งึ มอี ยู่หลายสาย
ท่ีน่าจะเป็นเส้นทางมาแต่โบราณ เช่น เส้นทางถนนท่ีเชื่อมระหว่างประตูยางเทิงกับประตูดินขอ เส้นทางถนน
ที่ตัดจากประตูหนองมูตไปยังแม่น้าโขงในบริเวณท่ีสันนิษฐานว่าเป็นประตูท่าวิสุกรรมเส้นทางถนนที่ตัดจาก
ประตูเชียงแสน ไปยังแม่น้าโขงในบริเวณท่ีสันนิษฐานว่าเป็นประตูท่าหลวงเส้นทางถนนที่ตัดจากประตูดิน
ขอไปยังแม่น้าโขงตรงบริเวณที่สันนิษฐานว่าเป็นประตูท่าเสาดินนอกจากน้ัน ถนนรอบเวียงที่ตัดเลียบกาแพงเมือง
ด้านในก็น่าจะเป็นเส้นทางท่มี ีมาแต่โบราณ เพื่อประโยชน์ใช้สอยในการดูแลตรวจตรากาแพงเมือง และส่งกาลัง
บารุงได้สะดวกยามเกิดศึกสงครามภายนอกเมืองเชียงแสนทางด้านทิศเหนือทิศตะวันตก และทิศใต้
ประกอบด้วยบริเวณท่ีราบลุ่มซึ่งมีลาน้าหลายสายไหลผ่านสลับกับบริเวณที่ดอนและแนวเทือกเขาที่ล้อมอยู่
โดยรอบ พบหนองน้าอยู่โดยท่ัวไปในพ้ืนท่ีโดยเฉพาะทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เป็นท่ีราบลุ่มและหนองนา้ ขนาด
ใหญ่ ซ่ึงเป็นท่ีอาศัยของนกอพยพ มีช่ือว่า“หนองบงคาย” และ “เวียงหนอง”ส่วนทางด้านทิศตะวันออกน้ัน
มีแม่นา้ โขงไหลผ่านก้ันเขตแดนไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งมีสภาพพื้นท่เี ปน็ พื้นท่รี าบลุ่ม
สลบั กบั เทือกเขาสูง

แผนท่อี าเภอเชยี งแสน
ที่ต้ังและอำณำเขต

อาเภอเชียงแสนต้ังอยู่ทางทศิ เหนือของจังหวัด มีอาณาเขตตดิ ต่อกับเขตการปกครองขา้ งเคียง ดงั ตอ่ ไปนี้
ทิศเหนือ ติดต่อกับอาเภอแม่สาย รฐั ฉาน (ประเทศพมา่ ) และแขวงบอ่ แกว้ (ประเทศลาว)
ทศิ ตะวันออก ติดต่อกบั แขวงบ่อแก้ว (ประเทศลาว) และอาเภอเชียงของ
ทิศใต้ ตดิ ต่อกบั อาเภอเชียงของ อาเภอดอยหลวง และอาเภอแมจ่ นั
ทิศตะวันตก ตดิ ต่อกบั อาเภอแมจ่ นั และอาเภอแม่สาย

182

แหลง่ ทอ่ งเทยี่ ว

๑. ทะเลสาบเชยี งแสน หรือเขตห้ามล่าสัตวป์ ่าหนองบ่งคาย
เขตหา้ มล่าสัตว์ป่า หนองบงคาย (ทะเลสาบเชียงแสน) อาเภอเชียงแสน
(Nong bong khai non-hunting area) ส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า สานักบริหาร
พ้ืนท่ีอนุรักษ์ท่ี 15 กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธ์ุพืช กระทรวง
ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ความเป็นมาของ เขตห้ามล่าสัตว์ป่า
หนองบงคาย (ทะเลสาบเชียงแสน)เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองบงคายเดิมเป็น
หนองนา้ ขนาดเลก็ ซึง่ ถูกลอ้ มรอบด้วยเนินเขาเตีย้ ๆ โดยรอบเปน็ แอ่งรองรบั
น้าฝนตามธรรมชาติ ทางราชการได้ก่อสร้างเขื่อนน้าล้น เพื่อกักเก็บน้า จึงทาให้หนองน้ามีปริมาณมากข้ึน
มีลกั ษณะเป็นทะเลสาบ ขนาดย่อมเรียกวา่ “ทะเลสาบเชียงแสน”

๒. พระธาตดุ อยเข้า
พระธาตุดอยปูเข้า เป็นวัดและโบราณสถานที่สร้างในสมัยหิรัญ
นครเงินยาง ตั้งอยู่ในอาเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ไม่ไกลจาก
บริเวณพรมแดนสามเหล่ียมทองคา สามารถชมทิวทัศน์ได้จากบริเวณ
ของวัด ตามตานานได้เล่าว่าพระยาลาวจังราช ปฐมกษัตริย์แห่ง
หิรัญนครเงินยาง มีพระราชโอรสสามพระองค์ คือ ลาวก่อ ลาวเกื้อ
และลาวเกา้ มีครนั้ หน่งึ พระราชโอรสทั้งสามพระองค์ได้เสด็จท่องเที่ยว
และพบปขู นาดใหญต่ ัวหนง่ึ จงึ พากันไล่จับ แตป่ ูตัวนั้นไดห้ นเี ข้ารูไป ลาวกอ่ และลาวเกื้อจงึ รับสั่งให้ลาวเก้าน่งั รออยู่
ท่หี ว้ ยระหว่างที่ทั้งสองพระองค์จะตามหาปูยักษ์ตวั น้นั เมอื่ ลาวเก้ารออยนู่ านจึงเสด็จกลับไปทูลพระบิดา พระบิดา
ทรงเห็นว่าโอรสทั้งสามไม่รักใคร่สมานกัน หากอยู่ด้วยกันคงไม่เป็นสุข จงึ ไดม้ ีรบั สง่ั ให้ลาวก่อ ครองเมืองกวาง, ลาว
เก้อื ครองเมอื งผาลานผานอง และ สว่ นลาวเก้า ให้ครองเมอื งของพระองค์เองคือหิรัญนครเงนิ ยาง หลังสถาปนาข้ึน
ครองราชย์ลาวเก้าได้สถาปนาพระนามขึน้ ว่า พระยาลาวเก้าแกว้ เมืองมา เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริยพ์ ระองค์ท่ี
2 ของหิรัญนครเงินยาง เพ่ือราลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าว พระองค์ได้ทรงสร้างพระเจดีย์บนดอยที่ปูยักษ์ตัวดังกล่าว
หนีไปในราวปี พ.ศ. 1302 จงึ เปน็ ทีม่ าของวัดพระธาตุดอยปเู ขา้
๓. จดุ ชมววิ สามเหลยี่ มทองคา
อยู่ห่างจากอาเภอแม่สาย 28 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข
1290 เป็นบริเวณท่ีแม่น้าโขงและแม่น้ารวกมาบรรจบกนั หรอื ทเี่ รียกว่า
สบรวก เป็นพรมแดนระหว่างประเทศไทย ลาว พม่า บริเวณน้ีเคยมี
การค้าฝ่ิน โดยแลกเปลี่ยนกับทองคา ทิวทัศน์ของแม่น้าโขงบริเวณน้ีมี
ความงดงามโดยเฉพาะยามเช้าท่ดี วงอาทิตย์ข้นึ ท่ามกลางสายหมอกด้าน
ฝั่งพมา่ และลาว นกั ท่องเทยี่ วนยิ มนง่ั เรือเท่ียวชมทิวทัศน์จุดบรรจบของ
พรมแดนไทย ลาว และพมา่
๔. วัดมุงเมือง
วัดมุงเมืองมีโบราณสถานที่สาคัญคือ พระเจดีย์ตั้งอยู่บนฐานส่ีเหล่ียมจัตุรัสย่อ
มุมซ้อนกันส่ีช้ัน รองรับฐานปัทม์ย่อมุม ถัดขึ้นไปเป็นเรือนธาตุ มีซุ้มประดิษฐาน
พระพุทธรูปยืนปางเปิดโลกท้ังส่ีด้าน ส่วนยอดเป็นองค์ระฆังกลม มีเจดีย์เล็ก ๆ
ประดับอยู่ท่ีมุมคล้ายเจดีย์ท่ีวัดป่าสัก วัดนี้ไม่ปรากฏหลักฐานการสร้าง จากรูปทรง
ทางสถาปัตยกรรม และพระพุทธรูปยืนปูนปั้นที่ประดิษฐานอยู่ในซุ้มทิศ พอจะ
สนั นษิ ฐานไดว้ า่ น่าจะสร้างขึน้ ภายหลงั วัดป่าสัก เพราะมีวิวฒั นาการทางรูปแบบเพ่ิม
มากย่งิ ข้ึน และนา่ จะมอี ายุอยปู่ ระมาณพุทธศตวรรษที่ 20

183

๕. พิพิธภัณฑสถานแหง่ ชาติเชียงแสน
จัดแสดงโบราณวัตถุท่ีค้นพบและปรากฏอยู่ ของอาณาจักรเชียงแสนท่ีเคย

รุ่งเรืองในอดีตกาล แบ่งการจัดแสดงเป็นส่วน ๆ ไป ส่วนแรกเป็นห้องท่ีประดิษฐาน
พระพุทธรูปท่ีมีพุทธลักษณะหลากหลาย เช่น พระพุทธรูปประทับยืน ศิลปะล้านนา
อายุราวพทุ ธศตวรรษท่ี 19-20 พระพทุ ธรปู ปางอ้มุ บาตร ศิลปะลา้ นนา สร้างเม่ือปี
พ.ศ. 2120 พระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะล้านนา อายุราวพุทธศตวรรษท่ี 19-
20 นอกจากนี้ยังเศษช้ินส่วนประกอบขององค์ปราสาทวัดป่าสัก มีโบราณวัตถุที่ถูก
ค้นพบจากพ้ืนท่ีต่าง ๆ ในจังหวัดเชียงราย และที่นับว่าเป็นส่ิงมหัศจรรย์ท่ีมีคุณค่า
อย่างย่ิงชิ้นหน่ึงของเชียงแสน น่ันคือ “เปลวรัศมี” หรือท่ีชาวบ้านเชียงแสนเรียกวา่
“จิกโมลี” ของพระเจ้าล้านตื้อ ท่ีชาวบ้านงมพบในแม่น้าโขงและนามามอบไว้ให้กับ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงแสนเป็นผู้เก็บรักษาไว้ให้บรรพชนรุ่นหลังได้ราลึกถึง
ประวัติศาสตร์ท่ีรุ่งเรืองของอาณาจักรเชียงแสนและความเจริญก้าวหน้าในด้าน
พระพทุ ธศาสนา

๖. วดั พระธาตเุ จดยี ์หลวง
วดั พระธาตุเจดีย์หลวง อาเภอเชียงแสน เป็นวัดที่เก่าแกข่ องเมอื ง

เชียงแสน สร้างโดยพระเจ้าแสนภู พระราชนัดดาของพ่อขุนเม็งราย
มหาราช ปฐมกษัตริย์ของอาณาจักรล้านนาไท เม่ือ พ.ศ. 1834
(ประมาณกลางพุทธศตวรรษที่ 19 ตามประชุมพงศาวดารภาคท่ี
61) หลังจากน้ันพระเจ้าแสนภูได้เสด็จไปครองเมืองเชียงใหม่แทน
พระราชบิดา คือ พระเจ้าชัยสงครามซ่ึงเสด็จมาประทับยังเมือง
เชยี งราย พร้อมทงั้ นาอัฐของพระราชบิดา คือพอ่ ขนุ เมง็ รายมหาราช
ที่เสด็จสวรรคตท่ีเชียงใหม่กลับมายังเมืองเชียงรายด้วย ต่อมาพระยาเมืองแก้วให้ขุดฐานเจดีย์องค์เดิมและก่อ
เสริมองคเ์ จดยี ์ในปี พ.ศ. 2058
ท้ังน้ีในตานานเมืองเชียงแสนก็มีบันทึกเกี่ยวกับวัดเจดีย์หลวง เช่นกันว่า “วันอังคาร เดือนเพ็ญ 5 ศักราช 651
ตัวแสนภูก่อเจดีย์เก่านั้น สูง 8 วา ถัดนั้นไป 3 ปี วัดพระหลวงเป็นวัดเก้าเมือง เป็นสถานท่ีบรรจุพระธาตุ กระดูกของ
พระพุทธเจา้ มาแตก่ ่อน ทา่ นกส็ ร้างวิหารวดั หลวง กว้าง 8 วา ยาว 17 วา พระเจดีย์ สงู 29 วา กว้าง 14 วา”
๗. วดั พระธาตุจอมกติ ติ
วัดพระธาตุจอมกิตติ อยู่นอกเมืองเชียงแสนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
พ.ศ.2023 พระเจ้าสุวรรณคาล้านให้หมื่นเชียงสงก่อเจดีย์ครอบองค์เดิมไว้และ
พ.ศ. 2227 เจ้าฟา้ เฉลมิ เมืองพรอ้ มด้วยคณะศรัทธาไดร้ ว่ มกันบูรณปฎิสงั ขรณ์เจดีย์
อกี ครง้ั ลักษณะเจดียเ์ ปน็ ทรงปราสาทยอดระฆังที่นิยมสร้างในพุทธศตวรรษท่ี 22

๘. วัดพระธาตุผาเงา
ในอดีตเม่อื วดั สบคาพงั ทลายเพราะน้าโขงกดั เซาะ

คณะศรทั ธาจงึ สร้างวัดพระธาตุผาเงาบนพ้นื ที่วดั โบราณ (ร้าง)
ในบริเวณดอยคา (ดอยจัน) และเม่ือวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ.
2519 ขณะที่ปรับพื้นท่วี หิ ารโบราณ เพือ่ สรา้ งวิหารหลังใหม่
ครอบทพั พบหลวงพ่อผาเงาฝังอย่ใู ตฐ้ านชกุ ชีพระประธา

หลวงพ่อผาเงาเป็นพระพุทธรูปปูนป้ันแสดงปางมารวิชัย
ประทับนั่งขัดสมาธิราบ อายุราวพุทธศตวรรษท่ี 19 – 20
สว่ นพระธาตุผาเงา เป็นเจดยี ์ทรงระฆงั ขนาดเลก็ อยู่เหนือก้อน
หินใหญ่

184

๙. เมอื งโบราณเชยี งแสน
เชยี งแสน เคยเป็นศูนย์กลางอาณาจกั รล้านนาในยุคแรก ๆ

และเป็นเมืองเก่าแก่มากแห่งหนึ่งในภาคเหนือ เดิมชื่อเวียงหิรัญ
นครเงินยาง แม้ปัจจุบันยังมีซากกาแพงเมืองโบราณ 2 ชั้น และ
โบราณสถานหลายแหง่ ปรากฏอย่ใู นทัง้ ในและนอกตวั เมือง ภายใน
เขตกาแพงเมืองเก่าประกอบด้วยวัดร้างและโบราณสถานที่สร้าง
ในระหวา่ งพทุ ธศตวรรษท่ี 18-21 สลบั กับบ้านเรือนชาวบา้ น
การเท่ียวชมควรเริ่มต้นจากพิพธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติเชียงแสน ใกล้กับประตูป่าสัก ติดกันเป็นวัดเจดีย์หลวง
ฝั่งตรงข้ามจะเป็นศูนยข์ ้อมลู การทอ่ งเทีย่ วเชยี งแสน จากจดุ นสี้ ามารถไปเที่ยวชมโบราณสถานต่าง ๆ ได้ในรศั มี
ไมเ่ กนิ 1.5 กโิ ลเมตร

๑๐.หอฝ่นิ อุทยานสามเหล่ียมทองคา
ความเป็นมาดินแดนสามเหล่ียมทองคา คือ จุดท่ีประเทศ

ไทย ลาว และพม่า มาบรรจบกัน เป็นที่ที่แม่น้ารวกไหลมารวมกับ
แม่น้าโขง และยังหมายถึง พื้นท่ีกว้างครอบคลุมบริเวณถึงสาม
ประเทศ และในพ้ืนที่นี้เองมีการปลูกฝิ่น ผลิตเฮโรอีน และลักลอบ
นาออกไปขาย เมอ่ื ไดย้ ินคาวา่ “สามเหลยี่ มทองคา” คนสว่ นมากมกั
นึกถึง ดอกฝ่ิน ชาวไทยภูเขา เทือกเขาท่ีปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก
แม่น้าโขง หรือภาพของป่าเบญจพรรณ แต่ภาพท่ีมักนึกถึงกันมาก
ทีส่ ุดคงเปน็ ภาพของฝิ่นและเฮโลอนี ภาพความลึกลบั น่าสะพรงึ กลวั
ของการปลูกและลักลอบค้าฝิ่น ภาพสงครามกลางเมือง กองทหารสู้รบกับพวกลักลอบค้าฝ่ิน ชาวบ้านยากจน
การกวาดลา้ งโรงงานผลิตเฮโรอนี คาราวานขนฝนิ่ ไปตามเส้นทางในปา่

สามเหล่ียมทองคา คือ แหล่งท่ีมาของปริมาณเฮโลอีนกว่าคร่ึงของจานวนท่ีมีอยู่ท้ังหมดในโลก
สามเหลี่ยมทองคา คือรากเหง้าของอาชญากรรมและการกระทาอันทุจริตท่ีเกิดข้ึนในทวีปเอเชีย แพร่ไปสู่แอฟริกา
ยุโรปและอเมรกิ า ทกุ ๆปี จะมีนักท่องเทีย่ วนบั แสนคนเดนิ ทางมาทีน่ ้เี พียงเพราะชอ่ื สามเหลีย่ มทองคา

ปี พ.ศ. 2531 (1988) สมเด็จพระศรีนครนิ ทราบรมราช
ชนนี ได้ทรงริเริ่มโครงการพัฒนาดอยตุงขึ้นในจุดเหนือสุด
ของประเทศไทย โครงการนี้มีจุดมุ่งหมายท่ีจะฟ้ืนคืนผืนป่า
และฟื้นฟูสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนท่ีอาศัยอยู่ในพ้ืนที่
เทือกเขานางนอนในเขตพน้ื ท่ปี ระเทศไทย และหยุดการปลูก
ปละการเสพฝ่ินในดินแดนแห่งน้ี ในอีกไม่กี่ปีต่อมา สมเด็จ
พระศรนี ครินทราบรมราชชนนี ไดท้ รงรเิ รม่ิ โครงการทีจ่ ะช่วย
ใหก้ ารศึกษาแก่ประชาชนในเรอ่ื งประวตั ิของฝิ่นในดนิ แดน
สามเหลยี่ มทองคาและท่วั โลก ท้งั น้ีเพ่ือเปน็ การปลูกจิตสานึกใหป้ ระชาชนร่วมกันต่อสแู้ ละตอ่ ต้านยาเสพติด ให้
คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า ยาเสพติดประเภทต่างๆ ไม่เฉพาะจะก่อให้เกิดปัญหากับประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นท่ีน้ี
เท่านน้ั แตย่ งั สรา้ งปัญหาให้กับประชากรและสงั คมโลกโดยรวมอีกดว้ ย การรเิ ร่มิ โครงการในพระราชดาริคร้ังนี้
ส่งผลสบื เนอื่ งใหเ้ กดิ หอฝน่ิ อทุ ยานสามเหล่ยี มทองคา
หอฝ่นิ อทุ ยานสามเหลย่ี มทองคา ตงั้ อยบู่ นพื้นทีป่ ระมาณ 250 ไร่ หา่ งจากอาเภอเชียงแสนประมาณ
10 กิโลเมตร หอฝิ่นฯ ซ่ึงล้อมรอบด้วยสวนอันสวยงามของอุทยานสามเหลี่ยมทองคา จะเป็นศูนย์นิทรรศการ
แสดงประวตั คิ วามเปน็ มาของฝ่นิ สมัยทม่ี ีการใช้กันอย่างถกู กฎหมายและผลกระทบของการเสพติดฝิ่น อีกทง้ั ยัง
ทาหน้าที่ศูนย์ข้อมูลเพื่อการค้นคว้าวิจัย และการศึกษาต่อเนื่องในหัวข้อฝ่ิน สารสกัดจากฝ่ินในรูปแบบต่างๆ
และยาเสพตดิ ชนิดอ่ืน ๆ

185

ปลำกระบอก
ในอดีตคนเหนือสมัยโบราณไม่มีตู้เย็น และอุปกรณ์อย่างเช่น ป่ินโต
หรือภาชนะใส่อาหาร ห่อข้าวปลาอาหารไปทาไรท่ านา ทาสวน เมื่อสมัยก่อน
๕๐ ปีให้หลังแต่ละแม่นาจะมีปลามากมาย โดยเฉพาะ “ปลาช่อน” ซึ่งเม่ืออยู่

บนดอยไปทาไร่ก็มักจะนาไม้ไผ่มาตัดเป็นปล้อง แล้วจึงนาปลาช่อนใส่เข้าไป

ในกระบอกไม่ไผ่ สามารถพกพาหรือเก็บไว้กินมืออื่น ๆ ได้อีก โดยชาวบ้าน
ก็จะพกแต่พริก เกลือ หอม ตะไคร้ เพื่อไว้ปรุงรสปลากระบอก ถึงปัจจุบันนี
ไดน้ าเมนนู ีออกมาจาหน่ายแถวริมแมน่ าโขง และปรุงรส เพือ่ เสริมรสชาติให้
อร่อยมากยิ่งขึน เมนูสุดเด็ดของเมืองเชียงแสนแห่งนี พลาดไม่ได้เลยคือ
ปลาช่อนกระบอกไม้ไผ่ เผาร้อน ๆ มีความแปลกและรสชาติที่เด่น จนเป็นที่
รู้จักอย่างแพร่หลาย โดยการนาปลา มาบรรจุไว้ในกระบอกไม้ไผ่ แล้วนามา
เผาใหส้ กุ ทาใหม้ กี ลิน่ ท่หี อม

วัสด/ุ อปุ กรณ์
 ไม้ไผ่บง (ซาง)
 ไม้ไผ่ซาง
 ไม้ข้าวหลาม

เนอื่ งจากการใชอ้ ุปกรณว์ ัสดุทแี่ ตกต่างกัน ทาให้รสชาติไม่เหมือนกนั รสพรกิ แกงป่าจะนิยมใช้ไมไ้ ผ่บง (ซาง) รส
พริกแกงส้ม เฉพาะไม้บง แกงเผด็ จะมกี ะทิ นยิ มใชไ้ มข้ ้าวหลาม แตล่ ะชนดิ ของไม้ไผ่ รสชาตจิ ะต่าง ๆ กนั ไป
เครอ่ื งแกง
 พริกแห้ง  ขา่  ตะไคร้
 กระเทียม  หอมแดง  ขมนิ
 รากผักซี  กะปิ  เกลือ

วตั ถดุ ิบ “ปลาช่อน”
วธิ ีทาปลากระบอก
๑. ขอดเกล็ดปลาชอ่ นและควักไสพ้ งุ

๒. นาเกลอื ตามดว้ ยพริกแห้ง กะปิ ขมนิ หอมแดงหัน่ ตะไคร้ห่ัน กระเทียม คนอรก์ ้อน ใสล่ งไปในครกแลว้ ตา
๓. นาปลาที่ขอดเกลด็ แล้วมาปาดตามขวาง ตามลาตัวของปลาช่อน
๔. จากนนั นาพริกแกงท่ตี าเตรยี มไว้มาคลกุ เคล้ากับปลาชอ่ น

๕. ใส่ใบยห่ี รา่ ลงไป

๖. ใส่ปลาช่อนท่ไี ด้ผสมผสานเครือ่ งแกงแล้วลงไปในกระบอกไม้ไผซ่ าง
๗. นาใบเตยมาปิดปากกระบอกไมไ้ ผซ่ างไว้ จากนนั ปิดด้วยในตอง
อีกหนึ่งชนั
๙. นาไปอังไฟใหส้ กุ (เผาไฟเหมอื นขา้ วหลาม) หอมกาลังดี แลว้
นามาปรงุ เปน็ กบั ขา้ วตอ่ ไป

186

ผำ้ ทอพืน้ เมืองลำยเชียงแสน

อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงรำย เป็นเมืองท่ีมีประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่

สมัยโยนก โดยพื้นท่ีอาเภอเชียงแสนมีบริเวณติดกับชายแดนประเทศลาวและพม่า

มีแม่น้าโขงเป็นแนวกั้นพรมแดนท้ัง ๓ ประเทศ ซ่ึงเรียกว่า “สามเหล่ียมทองคา”

ศิลปหัตถกรรมที่โดดเด่นในพื้นที่อาเภอเชียงแสน คือ “ผ้าทอเชียงแสน” ซ่ึงเป็น

ผ้าทอโบราณที่สืบทอดมาจากเมืองหิรัญยาง (เชียงแสน) และในอดีตมีการทอผ้า

ลวดลายเชียงแสนโบราณแต่ขาดผู้สืบทอด ในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ เจ้าอาวาสวัด

พระธาตุผาเงา ได้ก่อต้ัง “พิพิธภัณฑ์ผ้าทอล้านนาเชียงแสน” เพ่ืออนุรักษ์ผ้าทอ

โบราณและส่งเสริมให้มีผู้สืบทอดการทอผ้าลวดลายโบราณเชียงแสน เป็นการสร้าง

รายไดแ้ กช่ ุมชน สง่ เสริมศลิ ปหัตถกรรมโบราณ ส่งเสรมิ การทอ่ งเที่ยวเชิงวัฒนธรรมใน

พื้นที่อาเภอเชียงแสนและมีการจัดตั้ง “กลุ่มทอผ้าพื้นเมืองเชียงแสน วัดพระธาตุผา

เงา”เพ่ือสบื ทอดการทอผา้ เชียงแสนโบราณ เพ่อื ผลิตผา้ ทอเชียงแสนจาหน่าย ซึ่งกลมุ่ ทอ

ผ้าจะใช้พื้นท่ีอาคารพิพิธภัณฑ์เป็นโรงทอผ้าแสดงผ้าทอ ผ้าซ่ิน และผลิตภัณฑ์ แต่

ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มทอผ้ายังไม่มีความหลากหลาย เนื่องจากมีเพียงผ้าผืนและผ้าซ่ิน

พ้ืนเมอื งที่ใช้สวมใส่เท่านัน้ เอกลักษณ์ของผ้าทอ

เชียงแสนคือ ลวดลายโบราณและสีสันของผ้าทอพื้นถิ่น เป็นการทอมือด้วยเส้นฝ้ายและทอโดยใช้ก่ีกระตุก และถอด

แบบลายผ้าทอเชียงแสนโบราณที่พบในพ้ืนท่อี าเภอเชยี งแสน

กลุ่มแม่บ้านสบ คาไ ด้รวมตัว กันจัดตั้งก ลุ มทอ ผ าลายกี่ ก ร ะ ตุก

ลวดลายที่ทอในอดีตได้แกลายน้าไหล ลายกี่ตะขอ ลายตาราง และป

จจุบันพัฒนามาเป็นการทอผาลายเชียงแสน โดยมีวิวัฒนาการทอผา

เรม่ิ จากกี่ทอพื้นเมอื งและในปัจจุบันใชกก่ี ระตุกประกอบด้วย 5 ลาย คอื

๑. ผาทอพืน้ เมอื งลายขอพนั เสา

๒. ผาทอพน้ื เมอื งลายกาแล วัสดุ - อุปกรณ์ ❖ มา้ เดนิ ดา้ ย
❖ ก่ีทอผา ❖ เตาไฟขนาดใหญ่
๓. ผาทอพน้ื เมืองลายไขปลา ❖ ฟนหวี ❖ หมอ้ ต้มยอมสี ❖ กางปนดา้ ย

๔. ผาทอพื้นเมืองลายดอกมะลิ ❖ กระสวย ❖ กะละมังสังกะสีขนาดใหญ่ ❖ อิฐฝ้าย
๕. ผาทอพน้ื เมืองลายเสอ่ื ย่อย

ขน้ั ตอนกำรทอผำ้ ผู้ที่ถอื ปฏิบัติมรดกภมู ิปัญญาทางวัฒนธรรม
๑. เตรียมเส้นฝ้ายดา้ ยยนื ลวงหนา้ ๑๑ วัน ช่อื นางอมั พร ธรรมวงศ์
ท่อี ยู่ เลขท่ี 98 หมู่ 5 บา้ นสบคา
๒. นาเสนด้ายมาฆาดว้ ยน้าตมแปง้ มนั
๓. จากนน้ั เหยียบจนเน้อื แปงเขาถงึ เสนด้าย ตาบลเวยี ง อาเภอเชียงแสน
จังหวัดเชยี งราย 57150
๔. นาไปตากแดดใหแหง้ สนทิ หมายเลขโทรศัพท์ 086 916 6770
๕. หลังจากนั้นนามากรออีก ๗ วนั
๖. เดนิ ดา้ ย ๑ วัน สืบดา้ ย ๒ ดา้ ย

๗. สวนดายสอดจะทยอยกรอเกบ็ ไว
๘. เม่อื เตรียมฝ้ายทงั้ ดา้ ยยืนและด้ายสอดแล้ว

๙. นาหลอดเสนไหมสอดใสเครอื ทอผาไปจนได้ความยาวตามท่ีตอง
การ (ผา ๑ ผนื ยาว ๔ เมตร ใชเวลาทอผา ๑ ผืน ๕๖ ชัว่ โมง)
๑๐. นาผาไหมบรรจลุ งในห่อบรรจภุ ัณฑ์และวางจาหน่าย

187

จกั สำนบ้ำนดอยจำปี
กล่มุ จกั สานบ้านดอยจาปี โดยนายรัตเขต ฐานะมูล ไดเ้ ปน็ นกั เรยี นชาวนาของ
ศูนย์วปิ ัสสนาไร่เชญิ ตะวัน เมอื่ ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ รนุ่ ท่ี ๑ ไดเ้ หน็ เพื่อนร่วมร่นุ แต่ละ
หมบู่ ้าน ออกบูธทไี่ ร่เชิญตะวนั ของท่าน ว. วชริ ะเมธี ซึ่งมตี ะกร้าจักสานหลาย ๆ
อย่างมากมายที่มาวางจาหน่าย และมีการสาธิต จึงได้เกิดไอเดียความคิดท่ี
อยากจะนามาปรับใช้ และอนรุ ักษง์ านสานไม้ไผ่ทางบ้านตนเองขนึ มา โดยท่นี าย
รตั เขต ฐานะมูล นนั ไดท้ างานเป็นประธานผู้สูงอายอุ ยูจ่ ึงได้ชวนเพอื่ น ๆ และคน
ที่จักสานเป็นและเก่งมากในหมู่บ้าน คิดเริ่มต้นจากการสาน “ส้าหวด” ที่คนเหนือ
เราใช้ข้าวเหนยี วแช่กอ่ นจะเอามานึง่ ทุก ๆ เช้า และอยากจะใหค้ นรนุ่ หลังนันได้
เห็นและได้มาฝกึ สาน สบื ทอดและอนรุ ักษ์วัฒนธรรมจกั สานล้านนาเรา
งานจักสานเป็นงานหตั ถกรรมทช่ี าวบ้านทา เพื่อใชใ้ นครัวเรอื นมาแต่โบราณแม้ในปัจจุบัน งานจักสานหรอื
เครื่องจักสานจะมีอยู่น้อย แต่ก็ยังคงมีอยู่ทั่วไป นอกเหนือจากประโยชน์ใช้สอยแล้ว งานจักสานยังสะท้อน
วัฒนธรรม สะท้อนความคิดสร้างสรรค์ และภูมิปัญญาของชาวบ้านได้อีกด้วย ในขณะที่สภาพสังคม เศรษฐกิจ
ปัจจุบันที่เปล่ียนไปจากเดิม การไปมาหาสู่กันระหว่างเมืองกับชนบทติดต่อกันได้สะดวก รวมถึงความ
เจริญกา้ วหน้าทางกระแสวฒั นธรรมตะวันตกเขา้ มาแทนท่ีวัฒนธรรมเดิมทาให้สภาพความเป็นอยู่การดารงชีวิต
ของคนในชุมชนเปล่ียนแปลงไป ซึ่งมีผลกระทบทาใหง้ านจักสานหรอื อาชีพจักสานลดนอ้ ยลงไปเรื่อย ๆ จนถึง
เพอ่ื การส่งเสริมความรดู้ ้านงานจักสานแก่ผู้ที่สนใจในอาชีพ ไดส้ ืบทอดงานจักสานให้คงอยู่ตอ่ ไป การประกอบ
อาชีพในทกุ วันนีมหี ลากหลายทางมีการนาเอาเทคโนโลยีเข้ามาเก่ยี วขอ้ งมากมายและมีความสะดวกสบายมาก
ขึนอยากกินปลาก็เดินไปซืออยู่ตลาด จนคนในยุคปัจจุบันไม่รู้จักกรรมวิธีขันตอนในอุปกรณ์ในการประยุกษ์
เลือกนาภูมิปัญญาพืนบ้านที่ได้จากไม้ไผ่เอาวัสดุธรรมชาติอย่างไม้ไผ่มาใช้ในการทามาหากินไม่รู้จักอุปกรณ์
พนื บ้านอีสาน ทีป่ ่ยู า่ จักรสานขนึ อยา่ งเชน่ สุ่มไก่ การสานกระดง้ กระตบิ ขา้ ว กระชังใสป่ ลาจึงจาเปน็ อย่างมาก
ที่ควรจะศึกษาขันตอนในการทาอุปกรณ์พืนบ้านต่าง ๆ เพ่ือจะได้สืบสานตอ่ ไปคู่ไวใ้ ห้อยกู่ ับคนไทยไปยาวนาน
จากการตงั กลุ่มจกั สานบ้านดอยจาปี ขึนมานัน โดยใชช้ อ่ื ว่า “กล่มุ จักสานบ้านดอยจาปี” ตงั แต่ วันท่ี ๑๒ เดือน
มกราคม ๒๕๕๖ โดยที่นายรัตเขต ฐานะมูล ได้ทางานเป็นประธานวัฒนธรรมตาบลป่าสักนัน จึงได้มีโอกาส
ไปดูงาน หลาย ๆ รูปแบบ จึงทาใหก้ ารจักสานบา้ นดอยจาปีนัน มเี อกลักษณท์ ีโ่ ดดเด่นและงดงาม
วิธกี ารจักสานการจักตอกไผ่
๑. ใช้เล่ือยคันธนูเล่ือยตัดข้อปล้องแรกของไผ่ทิงเพื่อให้ผ่าลาไผ่
ได้สะดวก
๒. ผา่ ลาไผ่ออกมาเป็นเสน้ ๆ
๓. จักตอกเส้นไผ่เป็นตอกยืน ตอกยาว และตอกไผ่ตีน (ส่วนข้อไผ่ท่ีมี
ตาไผ่) ความกว้างของตอกแต่ละแบบโดยประมาณ คอื ตอกยนื ๑.๓–๑.๗ ซม.
ตอกยาว ๐.๘ ซม.และตอกไผ่ตีน ๑.๔–๒.๐ ซม. ซึ่งไผ่หนึง่ ลาเหลาจักตอกได้
ตอกยนื ใช้สานสุ่มไก่ได้ ๑ ใบ และตอกยาวสานสุ่มไก่ได้ ๒ ใบ
๔. ส่วนท่ีเป็นข้อไผ่นามาเหลาเป็นตะขอข้อไผ่หลักหมุดยึดหัวสุ่ม เพื่อ
ไม่ให้สมุ่ ขยับเขยอื่ นในขณะสานขึนรปู
ชนดิ ไผ่
 ไผ่เฮยี ะ
เป็นไม้ที่รู้จักกันดีในภาคเหนือ ขึนท่ัวไปในบริเวณป่าดงดิบหรือป่าผสมผลัดใบท่ีมีไม้สักเฉพาะตาม
ริมห้วยต่าง ๆ ลักษณะเด่นของไผ่ชนิดนีคือ เนือลาบางมากตังแต่โคนถึงยอด มีขนาดปล้องยาวมากประมาณ
๕๐-๗๐ เซนติเมตร สูงประมาณ ๑๘ เมตร ไม้เฮียะเป็นไม้ขนาดย่อมลาเรียวเปลา ชาวบ้านในภาคเหนือนิยม
นามาทาฝาบ้านเครอ่ื งมอื จบั ปลา กระบอกใส่นา และเคร่ืองจกั สาน

188
 ไผ่ข้าวหลาม
มีมากในบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนอื
ขึนกระจายเป็นกลุ่มๆ ในป่าผสมผลัดใบ ช่ือพืนเมืองอาจเรียก
ไม้ข้าวหลาม ไม้ป้างเป็นไม้ขนาดกลาง ชูลาสวยงาม กอไม่แน่น
จนเกินไป ลาต้นตรงสีเขียวนวล เนือบาง ขนาดลาเส้นผ่าศูนย์กลาง
ประมาณ ๕-๖ เซนติเมตร ปล้องยาวประมาณ ๓๐ เซนติเมตร
สูง ๗-๘ เมตร ข้อนูนเล็กน้อย แต่ละลาจะแตกกิ่งย่อยขนาดเล็ก
เท่าๆ กันจานวนมาก และเกือบตงั ฉากกบั ลาเรียวขึนไปคลา้ ยฉตั ร
ไผ่ชนิดนีใช้ประโยชน์ได้หลายอย่างตังแต่ใช้เผาข้าวหลาม และเครื่องจักสานใช้ก่อสร้างบ้านเรือน ทาฟาก ฝา
เพดานบา้ น ทาโรงเรือนสาหรับเลียงสัตว์ จนถงึ นาไปทาเปน็ ตะแกรง แทนเหล็กหรับยึดคอนกรตี ในงานก่อสร้าง
นอกจากไผ่หลายชนิดซ่ึงเป็นไม้ท่ีมีคุณสมบัติเหมาะสมในการนามาทาเคร่ืองจักสานได้ดีแล้วยังมีวัตถุดิบจาก
ธรรมชาติอีกหลายชนิดที่นามาใช้ทาเคร่ืองจักสานไดด้ ี
 หวาย (Rattan)
เป็นไม้ป่าในพืชตระกูลปาล์มนิยมนามาใช้ประโยชน์ในหลายด้านโดยเฉพาะในการ จักสานเครื่องใช้ต่าง ๆ
รวมถึงการนาหนอ่ หวายมาปรงุ อาหารซึ่งให้รสชาตอรอ่ ยเหมือนหนอ่ ไม้ท่ัวไป
วตั ถดุ ิบ
มีพืชพนั ธ์นุ านาชนดิ สามารถนามาทาเคร่ืองมือเครื่องใช้ได้เปน็ อยา่ งดตี วั อย่างวัสดุทน่ี ามาทา เครื่องจัก
สานได้ดีคือ ไม้ไผ่ นามาทาเคร่ืองใช้ในครวั เรือนได้เกือบทุกชนิด เช่นกระด้ง กระเชอ กระชอน สานเป็นเคร่อื ง
ดักจบั สตั ว์นาเชน่ ไซ ข้อง ฯลฯและ สานเป็นฝาเรอื น ฝาบา้ น
เครอื่ งมอื สาหรบั ใช้ในการจกั สาน
มีดที่ใช้ในการจักสาน ถ้าเป็นมีดที่ใช้ในการตัดไม้
จะเปน็ มีดขนาดใหญม่ ีสันหนา ๑/๒ – ๑ ซม. ยาวประมาณ
๔๐ ซม. หรือกวา่ น้กี ไ็ ม่มากนกั เรยี กกันโดยทวั่ ไปว่า มีดโต้
มีดจักตอก เป็นมีดท่ีใช้สาหรับจักตอก มีรูปทรง
เรียวแหลม ขนาดเหมาะมือ คมบาง ชาวบ้านนิยมพกเป็น
มดี ประจาตัวดว้ ย
เหล็กมาด มีสองชนิด เหล็กมาดปลายแหลม และ เหล็กมาดปลายแบน เหลก็ มาดปลายแหลม ใช้เจาะ
ร้อยหวาย สว่ นปลายแบนใช้เจาะร้อยตอก
คีมไม้ ใช้สาหรับคีบขอบกระจาด กระบุง หรือขอบอ่ืน ๆ เพื่อให้แนบสนิมแล้วค้างไว้ด้วยหวายถัก
ทดี่ า้ มคีม เพอื่ ประโยชน์ใหผ้ ู้สานมัดหวายไดแ้ นน่ คมี ไม้
รูร้อยหวาย ทาด้วยเหล็กเจาะเป็นรูตามขนาดที่ต้องการ ต้ังแต่เล็กไปจนใหญ่ใช้สาหรับนาหวายร้อย
เพื่อลบคมหวายและทาให้ทุกเส้นมีขนาดเทา่ กนั

ผทู้ ่ีถือปฏิบตั ิมรดกภูมปิ ัญญาทางวัฒนธรรม
ช่อื นายรตั เขต ฐานะมลู
ทอ่ี ยู่ ๒๓๗ หมู่ ๗ บ้านดอยจาปี ตาบลป่าสกั

อาเภอเชียงแสน จงั หวัดเชยี งราย
หมายเลขโทรศพั ท์ ๐๖๒ ๖๙๒ ๓๘๘๓

คำ ข วั ญ อำ เ ภ อ ด อ ย ห ล ว ง

ดอยหลวงสูงสง่า ธาราสองสาย
หลากหลายประเพณี สี่เผ่าพี่น้อง

แดนทองเกษตรกรรม

สภาวัฒนธรรมอำเภอดอยหลวง

190

อำเภอดอยหลวง

ประวัติควำมเปน็ มำ

อำเภอดอยหลวง เดิมเปน็ ส่วนหนึง่ ของอำเภอแม่จนั จังหวดั เชียงรำย ตอ่ มำทำงรำชกำรโดยกระทรวงมหำดไทย
ไดแ้ บง่ พนื้ ทเ่ี ป็น “กงิ่ อำเภอดอยหลวง” ตำมประกำศกระทรวงมหำดไทยเมอื่ วนั ท่ี ๒๖ มิถนุ ำยน พ.ศ. ๒๕๓๙
โดยมผี ลบงั คับต้งั แต่ ๑๕ กรกฎำคม ในปเี ดียวกนั

และตอ่ มำได้มพี ระรำชกฤษฎีกำยกฐำนะเป็นอำเภอ เม่ือวนั ที่ ๒๔ สิงหำคม ๒๕๕๐ โดยมผี ลบงั คับตั้งแต่
วันท่ี ๘ กนั ยำยนในปเี ดียวกนั ตำมโครงกำรอำเภอเฉลิมพระเกียรติพระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หวั ฯ เนื่องในโอกำส
มหำมงคลเฉลิมพระเกียรติ พระชนมพรรษำ ๘๐ พรรษำ ๕ ธันวำคม ๒๕๕๐

แผนที่อำเภอดอยหลวง
คำขวัญอำเภอดอยหลวง

ดอยหลวงสูงสงา่ ธาราสองสาย หลากหลายประเพณี สี่เผา่ พ่นี ้อง แดนทองเกษตรกรรม
อธบิ ายความหมายของคาขวัญ ไดว้ า่ ...
ดอยหลวงสูงสง่า พื้นท่ีอำเภอดอยหลวงโอบล้อมด้วยภูเขำใหญ่ซึ่งมีควำมสูงประมำณ ๑,๐๔๓ เมตร
จำกระดบั น้ำทะเลปำนกลำง เปน็ แหล่งทรัพยำกรธรรมชำติท่ีมีคุณค่ำทำงพฤกษศำสตร์
ธาราสองสาย มีแม่น้ำสำยสำคัญใหญ่สำยหลักคือ แม่น้ำกก และ แม่น้ำบง ที่เป็นแหล่งต้นน้ำสำคัญ
เพื่อทำกำรเกษตรได้ตลอดทั้งปี
หลากหลายประเพณี เน่ืองจำกอำเภอดอยหลวงมีประชำชนที่อำศัยอยู่หลำกหลำยเช้ือชำติเผ่ำพันธ์ุ
ซึง่ แตล่ ะเผ่ำพนั ธุต์ ำ่ งมีวัฒนธรรมประเพณีท่ีเปน็ เอกลกั ษณข์ องตนเอง จึงผสำนกำรอยู่ร่วมกันอยำ่ งถ้อยทีถ้อยอำศัย
กอ่ เกดิ ใหม้ ปี ระเพณีวฒั นธรรมของอำเภอทีห่ ลำกหลำย
สี่เผ่าพ่ีน้อง อำเภอดอยหลวงจะประกอบด้วยประชำชน หลักๆ ประกอบด้วยชนสี่เผ่ำด้วยกัน คือ
เผ่ำกะเหร่ียง, เผ่ำเมี่ยน (เย้ำ), ชนพื้นเมือง และอีสำน โดยอำเภอดอยหลวงจะมีงำนประจำปีที่แสดงถึง
ควำมสัมพันธข์ องชนเผำ่ คือ งำนประจำปสี ีเ่ ผำ่ พีน่ อ้ ง
แดนทองเกษตรกรรม ประชำชนส่วนใหญ่ในพื้นท่ีอำเภอดอยหลวงจะประกอบอำชีพเกษตรกรรมเป็น
อำชีพหลัก เนื่องจำกพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นท่ีรำบลุ่มแม่น้ำกกซึ่งมีสภำพเหมำะแก่กำรประกอบอำชีพเกษตรกรรม
สำมำรถปลูกพืช เศรษฐกจิ ได้หลำกหลำยชนดิ เช่น ข้ำว หวำย ยำงพำรำ ไมส้ กั ยูคำลปิ ตัส ปำลม์ น้ำมัน เปน็ ต้น

191

ลักษณะทำงกำยภำพ

๑. สภาพทัว่ ไป

อำเภอดอยหลวง เป็นอำเภอท่ีกำลังพัฒนำทำงด้ำนคมนำคม ด้ำนเศรษฐกิจ ด้ำนผังเมืองและเป็นอำเภอท่ี

เป็นเส้นทำงผ่ำนไปยังอำเภอเชียงของ เชียงแสน และพรมแดนประเทศลำว พม่ำ ดอยหลวงเป็นอำเภอนำ่ อยู่โดย

จัด เป็นอำเภอทีอ่ ย่รู ำบล่มุ แมน่ ้ำกก มีภูเขำสงู ซ่ึงเรียกชื่อ ดอยหลวงควำม สูงประมำณ ๑,๐๔๓ เมตร จำกระดบั นำ้

ทะเลปำนกลำง จำกทิวเขำหลวงพระบำง ต้ังอยู่ทิศเหนือของจังหวัดเชียงรำย ห่ำงจำกจังหวัดเชียงรำย ประมำณ

๖๘ กิโลเมตร หำ่ งจำกกรงุ เทพมหำนคร ประมำณ ๘๖๘ กิโลเมตร มเี น้ือที่ ประมำณ ๓๑๑ ตำรำงกิโลเมตร หรอื

ประมำณ 194,375 ไร่ มีอำณำเขตตดิ ต่อ ดงั น้ี

อาณาเขตติดตอ่

- ทศิ เหนือ ตดิ ต่อกับ อำเภอเชยี งแสน จงั หวดั เชียงรำย
- ทศิ ตะวันออก ตดิ ตอ่ กบั อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงรำย
- ทิศใต้ ตดิ ต่อกับ อำเภอเวยี งเชียงร้งุ จงั หวัดเชียงรำย
- ทิศตะวนั ตก ติดต่อกับ อำเภอแมจ่ ัน จังหวัดเชยี งรำย

๒. สภาพภมู ิประเทศ

พ้ืนท่ีส่วนใหญ่เป็นพ้ืนท่ีรำบ ร้อยละ ๖๐ เป็นภูเขำ ร้อยละ ๓๒ เป็นพื้นที่น้ำ ร้อยละ ๘ สำหรับพ้ืนท่ี
บริเวณเทือกเขำมชี น้ั ควำมสงู ประมำณ ๑,๐๔๓ เมตร

๓. ลกั ษณะภมู ิอากาศ

อุณหภมู เิ ฉลีย่ ตลอดปี อยู่ในช่วง ๑๐ - ๔๕ องศำ เซลเซยี ส อุณหภูมติ ่ำสดุ ๑๐ องศำเซลเซียส อุณหภมู ิ
สูงสดุ 45 องศำเซลเซียส ปริมำณน้ำฝน ระหวำ่ งปี ๒๕58 ถึง ๒๕62 เฉลี่ยปลี ะ ๑,๗๗๐.๕๐ มม.

สภำพภมู ิอำกำศ แบง่ เป็น ๓ ฤดู
❖ ฤดูฝน เร่ิมต้งั แต่ ดอื นพฤษภำคม – เดือนตุลำคม
❖ ฤดูหนำว เรมิ่ ต้ังแต่ เดอื นพฤศจกิ ำยน – เดือนกมุ ภำพันธ์

❖ ฤดูรอ้ น เร่มิ ตง้ั แต่ เดอื นมีนำคม – เดอื นเมษำยน

แหลง่ เรยี นรู้/แหลง่ ทอ่ งเที่ยว

๑. หอศลิ ปค์ รูจหู ลงิ
หอศิลป์ครูจูหลิง ปงกันมูล ตั้งอยู่ภำยในโรงเรียนอนุบำล
ดอยหลวง ตำบลปงน้อง อำเภอดอยหลวง จังหวัดเชียงรำย ซ่ึงเป็น
บ้ำนเกิดของนำงสำวจูหลิง ปงกันมูล สร้ำงด้วยงบประมำณ
รำว 2,700,000 บำท จำกทุกฝ่ำย เป็นอำคำรสองช้ันมีชีวประวัติ
และภำพถ่ำยในอดีตของ ครูจูหลิง ภำพวำดของครูจูหลิง ตั้งแต่สมัย
ท่ศี ึกษำอยูท่ ่โี รงเรียนอนบุ ำลดอยหลวง ไปจนจบปรญิ ญำ รวมทั้ง
ขณะที่ไปออกทำงำน และสอนนักเรียนที่โรงเรียนบ้ำนกูจิงลือปะ ตำบลเฉลิม อำเภอระแงะ
จังหวดั นรำธวิ ำส พรอ้ มมีกำรสร้ำง หุน่ เหมือนครจู หู ลิง สวมชุดครู ซึง่ เปดิ ใหก้ ับประชำชน
ท่ีสนใจ และเด็กนักเรียนเข้ำชม โดยในวันที่ 8 มกรำคมของทุกปี เป็นวันคล้ำย
วันเสียชีวิตของครูจหู ลิง หน่วยงำนทั้งภำครัฐและเอกชนในอำเภอดอยหลวงและจังหวดั
เชียงรำยได้จัดงำนระลึกถึงครูจูหลิง ปงกันมูล ณ หอศิลป์ครูจูหลิง ภำยในโรงเรียน
อนุบำลดอยหลวง ตำบลปงนอ้ ย อำเภอดอยหลวง กจิ กรรมประกอบด้วย กำรทำบุญอทุ ศิ ส่วน
กุศล กำรแสดงประวัติ นิทรรศกำรผลงำนของครูจูหลิง กำรประกวดวำดภำพของ
นกั เรียน เปน็ ตน้

192

๒. วัดห้วยสัก
ต้ังอยหู่ มู่ ๑ บำ้ นห้วยสัก ตำบลหนองป่ำก่อ อำเภอดอยหลวง สร้ำงเม่ือ

พ.ศ. 2483 โดยมี นำยแซ ก้ำงยำง ร่วมกับ ชำวบ้ำนช่วยกันสร้ำงวัดสังกัด
คณะสงฆ์มหำนิกำย วัดมีเน้ือที่ 20 ไร่ อำคำรเสนำสนะ ประกอบด้วย
อโุ บสถ ศำลำกำรเปรยี ญ หอสวดมนต์ กุฎิสงฆ์ ปูชนยี สถำนมพี ระพุทธรปู
พระประธำนสรำ้ งด้วยอิฐฉำบปูน ภำยในบริเวณวัดจะมบี ่อน้ำแก้วธรรม
เจดยี ์ หรอื บ่อนำ้ ทพิ ย์ และเจ้ำแม่กวนอิมแกะสลักจำกหินสีขำว
๓. วัดป่าอรญั ญวิเวก
วัดป่ำอรัญญวิเวก หรือวัด "ป่ำลัน" ตั้งอยู่ที่หมู่ 5
บ้ำนป่ำลัน ตำบลปงน้อย อำเภอดอยหลวง จังหวัดเชียงรำย
วั ด ป่ ำ อ รั ญ ญ วิ เ ว ก ห่ ำ ง จ ำ ก ตั ว เ มื อ ง เ ชี ย ง ร ำ ย ป ร ะ ม ำ ณ
39 กิโลเมตร และมีพระธำตุเจดีย์ 9 มงคลเหนือสุดสยำม
ซ่ึงเป็นท่ีเคำรพนับถือของชำวตำบลปงน้อย โดยปัจจุบันมี
หลวงพอ่ ทวี จติ ตฺ คุตโฺ ต เปน็ เจำ้ อำวำส

๔. วัดปงสนกุ
เป็นวัดสังกัดคณะสงฆ์มหำนิกำย มีเน้ือที่ 4 ไร่ 2 งำน 50 ตำรำงวำ
สร้ำงเมื่อ พ.ศ. 2450 เดิมชำวบ้ำนเรียกว่ำ วัดปงน้อย ได้รับพระรำชทำน
วิสุงคำมสีมำ เม่ือวันท่ี 10 กรกฎำคม 2515 เขตวิสุงคำมสีมำกว้ำง
20 เมตร ยำว 40 เมตร อำคำรเสนำสนะ ประกอบด้วย พระอุโบสถ ศำลำ
กำรเปรียญ และกฎิสงฆ์ ปชู นยี วตั ถุมี พระประธำน เป็นพระพทุ ธรูปกอ่ อิฐถือปูน
กำรศึกษำมีโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกธรรม เปิดสอนเม่ือ พ.ศ. 2514
และเป็นสถำนที่จัดงำนพระรำชทำนเพลิงศพ ครูจูหลิง ปงกันมูล ปัจจุบันมี
พระสำมอ๊บิ อำนนฺโท เป็นเจำ้ อำวำสวดั
๕. นาตกห้วยดีหมี
น้ำตกห้วยดีหมีตั้งอยู่ท่ีบ้ำนห้วยสัก หมู่ 1 ตำบลหนองป่ำก่ออำเภอดอยหลวง
จงั หวัดเชยี งรำย เปน็ น้ำตกที่สำคัญของหมู่บ้ำน มอี ่ำงเก็บนำ้ ดหี มี ซงึ่ ชำวบำ้ นใช้ในกำรเกษตร

๖. โบราณสถานเวียงพระธาตุกเู่ บยี
ตั้งอยู่หมู่ 10 ตำบลปงน้อย อำเภอดอยหลวง โดยสำนักศิลปำกรท่ี 8

เชียงใหม่ โดย กลุ่มโบรำณคดีได้ลงพ้ืนท่ีตรวจสอบ เมื่อวันที่ 6 สิงหำคม
2558 โดยพบ ร่องรอยโบรำณสถำนท้ังหมด 2 กลุ่ม กลุ่มแรก พื้นท่ีบน
ยอดเนินเขำ ปรำกฏเนินดินฐำนโบรำณสถำนพระธำตุกู่เบี้ย รัศมี 10
เมตรจำกตัวโบรำณสถำน ร่องรอยคูน้ำคันดินล้อมรอบ และกลุ่มท่ี 2
พื้นที่ลำดเนินเขำ ปรำกฏร่องรอยกิจกรรมมนุษย์ดินเผำไฟรูปวงกลม
สันนษิ ฐำนว่ำ ปำกปลอ่ งเตำเผำโบรำณ และยงั พบโบรำณวัตถเุ ป็นช้ินสว่ น
เคร่ืองป้ันดินเผำเคลือบจำกแหล่งเตำอำเภอพำน สำมำรถกำหนดอำยไุ ด้
รำวพุทธศตวรรษที่ ๒๐ – ๒๑ พ้ืนทดี่ งั กล่ำวมีลักษณะเปน็ เวียงพระธำตุ

193

ภาษากะเหร่ยี ง (ปกาเกอะญอ-สะกอ)

"กะเหร่ยี ง" เป็นชำวเขำกล่มุ ใหญ่ท่ีสดุ ในประเทศไทยอำศัยอยู่
หนำแน่นในบริเวณพ้ืนท่ีป่ำเขำทำงทิศตะวันตกของประเทศไทย
บริเวณชำยแดนไทย-พม่ำ และค่อย ๆ เคล่ือนย้ำยมำทำง
ทิศตะวันออกในระยะแรกประมำณ 200 ปที ี่ผ่ำนมำ แต่มเี อกสำร
ที่ถูกบัน ทึกโดยมิช ชัน น ำรีท่ีไ ด้ ศึกษ ำเ ก่ียวกั บอ ำ ณำ จักร ส ย ำ ม
บำงท่ำนพบว่ำกะเหร่ียงตั้งถิ่นฐำนอยู่ในประเทศสยำมมำก่อน
แต่เม่ือคนไทยถอยร่นลงมำจำกทำงเหนือมำสร้ำงบ้ำนแปลงเมือง
อยุธยำ ชำวกะเหร่ียงจึงต้องยอมเสียพ้ืนท่ีให้และร่นไปอำศัยอยู่
ตำมภูเขำทำงด้ำนทิศตะวันออกกับทิศตะวันตกมำจนกระทั่งทุก
วนั นี้

ชำวกะเหรี่ยงที่เรียกตัวเองว่ำปกำเกอะญอ ซึ่งได้ให้ควำมหมำยตรงกับคำว่ำคนหรือมนุษย์ เป็นกลุ่มชนเผ่ำ
ชำติพันธุ์หนึ่งท่ีได้ตั้งถิ่นท่ีอยู่อำศัยเป็นชุมชน หมู่บ้ำนในเขตแดนกำรปกครองของประเทศไทย กะเหรี่ยงหลัก
ที่อยู่อำศัยในเขตแดนกำรปกครองของประเทศไทย ประกอบด้วย ปกำเกอะญอ 4 กลุ่มหลัก คือ 1.จกอร์/สะกอร์
2. โพล่ง/โปว์ 3. กแบ/คะยำ และ 4.ปะโอ/ตองสู กระจำยตัวอยู่ในพื้นที่ต่ำง ๆ ครอบคลุมพื้นท่ี 16 จังหวัด
ในประเทศไทย คือ ภำคตะวันตก 7 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี รำชบุรี นครปฐม
กำญจนบุรี สุพรรณบุรี อุทัยธำนี และภำคเหนือ 9 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดกำแพงเพชร สุโขทัย ตำก แพร่
ลำปำง ลำพูน แม่ฮอ่ งสอน เชยี งใหม่ และเชยี งรำย

ปกำเกอะญอ เป็นคำเรียกตนเอง หมำยถงึ "คน" คำนี้
เกิดขึ้นในบริบทที่ต้องกำรตอบโต้ต่อวำทกรรม "ปัญหำ
ชำวเขำ" ของคนกะเหร่ียงตั้งแต่ต้นทศวรรษ 2530
โดยคนกะเหร่ียงรุ่นใหม่ท่ีได้รับกำรศึกษำจำกท้ังภำครัฐ
และองค์กรศำสนำ นำไปสู่ควำมต้องกำรพัฒนำท้องถิ่น
ตนเองอย่ำงยั่งยืน รวมท้ังเช่ือมโยงกับแนวคิดนำนำชำติ
ในประเด็น "ชนพ้ืนเมือง" จึงเกิดกำรนิยำมอัตลักษณ์
ตัวเองในเชิงบวก คำว่ำ "ปกำเกอะยอ" หรือ "ปกำ
เกอะญอ"
ซึง่ แปลวำ่ "คน" ในภำษำกะเหร่ียงสกอจงึ เกิดขน้ึ ในบริบท
ท่ีต้องกำรลบภำพลักษณ์ของวาทกรรม "ปัญหาชาวเขา"
หรือกะเหร่ียงผู้เป็นปัญหาต่อประเทศ หากแต่ เป็น "คน"
ที่มศี ักดศิ์ รี ศกั ยภาพและวฒั นธรรมทดี่ งี าม

ชนปกาเกอะญอ เป็นกลุ่มชนเผ่าที่มภี าษาพดู และภาษาเขียนเปน็ ของตนเองนอกจากนแ้ี ล้วยังมีขนบธรรมเนียม
ประเพณีและวัฒนธรรมเปน็ ของตนเองซึง่ ได้รับการถ่ายถอดจากบรรพบุรุษในอดีตในรูปแบบของการเลา่ ขานกันมา
และจากประสบการณ์ในการใช้ชีวิตประจาวัน สาหรบั การจดบันทกึ ประวัติศาสตร์หรือสิ่งท่ีเกิดขึ้นในอดีตนนั้ ชนป
กาเกอะญอใชต้ วั อกั ษรตระกลู เดยี วกับตัวหนงั สอื พม่า โดยเรยี กตัวหนงั สือประเภทนว้ี า่ “ลิ วา” สว่ นในประเทศไทย
มีมิสชันนารีชาวผรัง่ เศสได้พัฒนารูปแบบภาษาเขียนจากตัวอักษรโรมันประเภทนเ้ี รยี กว่า “ลิ โร เหม่”

194

ลักษณะเด่น ๆ ของภาษากะเหร่ียงที่แตกต่างจากภาษาไทย
ไดแ้ ก่ โครงสรา้ งพยางค์ เสียงพยัญชนะ และเสยี งสระ รวมทงั้ เสียง

วรรณยุกต์ซึ่งในบางถิ่นจะมีลักษณะน้าเสียงเป็นส่วนประกอบอยู่
ด้วยโครงสร้างพยางค์ ภาษากะเหรย่ี งสะกอไม่มพี ยญั ชนะสะกด ใน
บางถิ่นอาจพบว่ามีพยัญชนะสะกดบ้าง แต่ก็เป็นจานวนน้อยมาก

ด้วยเหตุน้ีเม่ือคนกะเหรีย่ งเรียนพดู ภาษาไทย จะพบว่ามีปัญหาใน
การออกเสียงและการได้ยินพยญั ชนะสะกดของภาษาไทย เช่นคา

วา่ “กัก กดั กับ” เปน็ ต้น เสียงพยญั ชนะและเสียงสระ บางเสยี ง
เสียงพยัญชนะของภาษากะเหรี่ยงสะกอที่แตกต่างจากภาษาไทย
อย่างเด่นชัด คือเสียงกลุ่มเสียดแทรก ได้แก่ เสียงเสียดแทรก

ระหว่างฟัน เส้นเสียงไม่สั่น ออกเสียงเหมือนเสียงต้นใน
ภาษาองั กฤษว่า “Think”

เสยี งเสียดแทรกทเี่ พดานอ่อน เส้นเสียงไม่สน่ั /X/
เสียงเสียดแทรกท่ีเพดานออ่ น เสน้ เสียงส่ัน /Y/
เสียงเสียดแทรกท่ีเพดานแข็ง เส้นเสียงสนั่ /J/

ภาษากะเหรย่ี งในบางที่บางถ่ิน พบเสียงเสียดแทรกอนื่ ๆ
ที่ไม่ปรากฏในภาษา ได้แก่ เสียงเสียดแทรก ท่ีใช้ปลายลิ้น และ

ปมุ่ เหงอื ก เสน้ เสียงส่ัน /Z/ และมเี สยี งเสียดแทรก ที่ใช้ฟนั บนและ
ริมฝีปาก เส้นเสียงสั่น /V/ ภาษากะเหร่ียงสะกอมีพยัญชนะเสียง
ควบกล้า ท่ีภาษาไทยไม่มี ได้แก่ เสียง ย/ j/ และเสียงเสียดแทรก

ที่โคนล้ิน เส้นเสียงสั่น ฬ /Y/ ในคาว่า แพยะ /phje3/ เรียนเก่ง
และ เฬ /Ye2/ ดี,สวยตามลาดับ

ลักษณะเด่นของเสียงสระที่แตกตา่ งจากภาษาไทยคือ ไมม่ ี
ความแตกต่างของสระส้ันยาวท่ีนัยสาคัญ ทาให้คามีความหมาย
เปล่ยี นไป และไม่มีสระประสม

ภำษำกะเหร่ียง (ปกำเกอะญอ-สะกอ) ในชมุ ชนบ้ำนป่ำซำงงำม
ตำบลหนองป่ำก่อ ยังคงใช้กันอยำ่ งแพร่หลำย เปน็ ภำษำทใี่ ช้พูดคุย

กันในชีวิตประจำวัน ทำให้เด็กเล็ก ซึมซับและสำมำรถพูดภำษำ
ภำษำกะเหร่ียง (ปกำเกอะญอ-สะกอ) ได้

ผ้ทู ่ถี อื ปฏิบตั ิมรดกภมู ปิ ญั ญำทำงวฒั นธรรม
ชอื่ กลุ่มพุทธบุตร บ้ำนป่ำซำงงำม และชุมชนบำ้ นปำ่ ซำงงำม
ทีอ่ ยู่ บำ้ นป่ำซำงงำม ตำบลหนองปำ่ ก่อ

อำเภอดอยหลวง จังหวดั เชียงรำย ๕๗๑๑๐
หมำยเลขโทรศพั ท์ 080-131-2446

195

กำรส่งเครำะห์

กำรส่งเครำะห์ เกิดจำกควำมเช่ือของบุคคลท่ีเกิดเหตุกำรณ์

ไม่ปกติข้ึนกับตนเองหรือผู้ใกล้ชิด ต่ำงก็เชื่อกันว่ำเหตุกำรณ์ตำ่ ง ๆ

ที่เกิดข้นึ กับตนเองหรอื ผู้ใกล้ชดิ น้นั เกดิ จำกเครำะหไ์ ด้เขำ้ มำสู่ผู้นั้น

จึงได้หำวธิ ีกำรที่จะขจัดปัดเป่ำเครำะหน์ ั้นให้หมดสิน้ ไป ซึ่งเปน็ กำรขจัด

ควำมวิตกกังวลท่ีเกิดในจิตใจให้หมดส้ินไป เครำะห์ที่เกิดขึ้นน้ัน

เชื่อว่ำเกดิ จำกภตู ผิ ีปีศำจหรือรุกขเทวดำทโี่ นน่ ท่ีนีท่ ำเอำ จึงตอ้ งทำ

กำรส่งเครอื่ งเซน่ ไปวำ่ ย เพ่ือให้เครำะห์น้นั หมดส้ินหรอื เบำลงไป

พิธีกรรมเก่ียวกับความเช่ือของชาวบ้านเกี่ยวกับการนับถือผีสางเทวดา สาหรับใช้เป็นท่ีพ่ึงทางใจแก่

ชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนซึ่งเช่ือว่าตนเองกาลังมีเคราะห์ร้ายอันเกิดจากปัจจัยหลายประการ ส่งผลให้เกิด

ความเช่ือมั่นทาให้เกิดขวญั กาลังใจในการดารงชวี ติ ในสังคมตอ่ ไป

๑. ผปู้ ระกอบพธิ กี รรม ผู้ที่ประกอบพธิ กี รรมส่งเคราะหไ์ ดน้ ้ันจะต้องเป็นผสู้ งู อายุท่ีนา่ นบั ถอื ผา่ นการบวช

เรยี นและถือศีลมาแล้วซ่ึงจะเรียกว่า “หนาน” เป็นผทู้ นี่ ยิ มเคร่งครัดในทางไสยศาสตร์จนเปน็ ทนี่ ับถือของชาวบ้าน

ซึ่งเช่ือกันวา่ คนท่ีไม่ไดผ้ ่านการบวชเรียนมาจะเป็นอาจารย์ไมไ่ ดเ้ พราะ ชาวบา้ นเชือ่ วา่ ผู้ประกอบพธิ กี รรมต้องเป็นผู้

ท่ีส่ือความหมายกับสิ่งศักด์ิสิทธ์ิได้ และต้องเป็นผู้ท่ีสนใจในเรื่องการประกอบพิธีกรรมและมีคาคาอาคมที่เก่ง

ทกุ หมบู่ า้ นมกั จะมีอาจารยป์ ระจาหมู่บ้าน ท้งั นี้ข้ึนอยู่กบั ผู้เขา้ ร่วมพธิ ีว่าจะศรัทธาอาจารย์ท่านใด ก็สามารถเชิญมา

ประกอบพธิ สี ง่ เคราะห์

๒. ผู้เข้ารับการประกอบพธิ ีกรรมส่งเคราะห์ ผู้ท่ีได้รับเคราะห์ร้ายจากการฝันไม่ดี หรือเจ็บป่วยสามวนั ดี

สวี่ ันไข้ หรือ ผทู้ อ่ี ายถุ ึงวัยเบญจเพส ต้องการปดั เป่าเคราะหร์ า้ ยออกจากตวั

3. วัสดุส่ิงของที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรม หมำยถึงวัตถุสิ่งของท่ีนำมำใช้เป็นเครื่องประกอบพิธีกรรม

ส่งเครำะห์ แบ่งออกไดเ้ ป็น 3 ประเภท คอื เคร่ืองบูชำ เคร่ืองเซน่ ไหว้ และภำชนะทีใ่ ส่ ซึง่ มีรำยละเอยี ดดังนี้

(๑) เคร่ืองบูชำ ซ่ึงเรียกว่ำ ขันตั้ง เช่ือว่ำเคร่ืองบูชำเป็นส่ิงท่ีสำมำรถใช้เป็นส่ือในกำรติดต่อระหว่ำง

มนุษย์กับเทวดำ เพอื่ ใหก้ ำรประกอบพธิ เี ป็นไปอย่ำงรำบรน่ื ประกอบดว้ ย

❖ ขนั ❖ หมำก ๑ หัว ❖ พลู ๑ มดั ❖ ธปู ๘ คู่ ❖ ดอกไม้

❖ ผ้ำขำวผ้ำแดงตัดเปน็ รูปสี่เหล่ียมจัตรุ ัสควำมกว้ำง 2 นว้ิ ❖ ข้ำวสำร ❖ เงินค่ำยกครู

(๒) เครอื่ งเชน่ ไหว้ ประกอบด้วย แกงสม้ แกงหวำน ขำ้ วเปลอื ก ข้ำวสำร มะพร้ำว กล้วยลกู ตำล ถำ้ ไมม่ ี

ให้ใช้น้ำตำลแทน อ้อย หมำก พลู เม่ียง บุหร่ี ข้ำวต้ม ขนม ดอกไม้ เทียน อำหำรบำงท่ีอำจเป็นเนื้อดิบ ปลำแห้ง

รูปปั้นคนสัตว์ ผู้ประกอบพิธีกรรมเป็นผู้กำหนดว่ำจะให้ปั้นเป็นรูปสัตว์อะไรบ้ำง โดยเอำวัน เดือน ปีเกิดของ

ผู้เขำ้ รว่ มประกอบพธิ ีกรรมไปใหอ้ ำจำรย์วดั ดูว่ำจะใชเ้ ครอื่ งเซ่นไหว้อะไรบำ้ ง

๔. วันเวลาในการประกอบพิธีกรรม จะประกอบพิธีกรรมในวันเวลำใดก็ได้แล้วแต่สะดวกโดยทำพิธี

ส่งเครำะห์ส่วนตัวหลังจำกทำพธิ ีสง่ เครำะหบ์ ้ำนแลว้ ส่วนคนท่ยี ังไมส่ ะดวกกจ็ ะทำพิธีที่บ้ำนในวนั ถดั ไป เมอ่ื สะดวก

แต่ตอ้ งไปให้อำจำรย์วดั ดดู ว้ ยวำ่ วันดที ่จี ะทำพธิ ีคือวันใด แต่ไม่นิยมประกอบพธิ ีในวันพระ

๕. สถานที่ที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรม นิยมใช้บ้ำนของผู้เข้ำรับกำรส่งเครำะห์เป็นสถำนที่ในกำร

ประกอบพธิ กี รรมกำรส่งตัว๋ เปิ้งต๋ัวจน กำรสง่ แม่เกิด ส่งปแู่ ถนย่ำแถน สง่ หำบสง่ หำม สง่ เครำะห์สว่ นตวั หรอื บำงที

ถำ้ ผทู้ ่ีเขำ้ รับกำรประกอบพธิ กี รรมสำมำรถเดินทำงได้ กจ็ ะใชบ้ ำ้ นของผู้ประกอบพธิ สี ่งกไ็ ดเ้ พอื่ ควำมสะดวกของผู้รับ

กำรสง่ เครำะห์

196

ขันตอนการสง่ เคราะห์ แบง่ ได้เปน็ 2 ข้นั ตอนดงั น้ี
๑. ขั้นเตรียมกำร ผู้เข้ำรับกำรประกอบพิธกี รรมส่งเครำะห์จะต้องจัดเตรียมวัตถุสิ่งของอันได้แก่ เครื่อง
บูชำ เครอ่ื งเซน่ ไหว้ และภำชนะท่ใี ช้เคร่อื งเซ่นไหวใ้ ห้ครบถ้วนพรอ้ มเพรยี งก่อนถึงเวลำท่ีจะประกอบพธิ ีกรรม ดังนี้

1.๑ เตรียมเคร่ืองบูชำ ประกอบด้วย – ขัน, หมำก ๑ หัว, พลู ๑ มัด, ธูป ๘ คู่,ดอกไม้ , ผ้ำขำวผ้ำ
แดงตัดเป็นรูปส่ีเหลี่ยมจัตุรัสควำมกว้ำง 2 นิ้ว , ข้ำวสำร,เงินค่ำยกครูจำนวน ๓๖ บำท หรือแล้วแต่ท่ีอำจำรย์
กำหนด แล้วนำเครอ่ื งบูชำทง้ั หมดใสจ่ ำนหรือจะเป็นพำนก็ได้

๑.๒ เตรียมเคร่ืองสังเวย โดยกำรนำกำบกล้วยเพ่อื ทำกระทงหรือสะโตงเป็นภำชนะใส่เคร่ีองสงั เวย
นอกจำกจะเตรียมเคร่ืองสังเวยแล้ว ยังจะต้องเตรียมน้ำส้มป่อยและใบหนำดมัดรวมกันแล้วนำมำใส่ขันเตรียมรอ
ผู้ประกอบพธิ กี รรม

๒. ข้ันดำเนินกำร จะกระทำก็ตอ่ เมื่อได้เตรียม
วัตถุในกำรส่งเครำะห์เสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อ
ผ้ปู ระกอบพธิ ีกรรมมำถึงจะเริม่ ดำเนินกำรดังน้ี

2.๑ ผู้ประกอบพิธีกรรมยกขันต้ังขึ้นโดย
กำรระลึกถึงคณุ ครบู ำอำจำรยข์ องผปู้ ระกอบพธิ ีกรรม

2.๒ นำกระทงมำวำงตรงหน้ำผู้เข้ำร่วม
ประกอบพิธีกรรม โดยให้น่ังหันหลังให้ผู้ประกอบพิธี
ผู้ประกอบพิธกี รรมจะทำกำรรำ่ ยคำถำปัดเครำะห์ใหอ้ อก
จำกร่ำงกำย จะร่ำยคำถำไปด้วยประพรมน้ำมนต์ไปด้วย
เพื่อปัดเป่ำสิ่งช่ัวร้ำยออกไปจำกร่ำงกำยของผู้เข้ำรับกำร
ประกอบพิธีกรรมสง่ เครำะห์

2.๓ ผู้ประกอบพิธีจะเอำสะโตงหรือ
กระทงออกไปไว้นอกร้วั ทำงทศิ ตะวันตกแล้วผปู้ ระกอบพธิ ี
กล่ำวคำสง่ กระทง(สะโตง) เปน็ เสร็จพิธี

2.๔ หลังจำกเสร็จพิธี ผู้เข้ำร่วมพิธีกรรม
จะนำน้ำส้มปล่อยที่ใช้ในกำรประกอบพิธีลูบที่ศีรษะของ
ตนเอง ที่เหลอื กน็ ำไปอำบเพ่อื เปน็ ศริ ิมงคล

การสง่ เคราะห์ เปน็ พิธีกรรมท่ีเกอื บจะสญู หายไปแลว้ ในปจั จุบนั เนอื่ งจากเมื่อมีคนเจบ็ ไขไ้ ด้ปว่ ย กเ็ ลือกทจี่ ะไป
โรงพยาบาลมากกว่า การส่งเคราะห์จงึ มกี ารถา่ ยทอดกนั ในกลุม่ ของคนท่ียงั คงมคี วามเชอ่ื และในหม่บู า้ นท่อี ยู่
หา่ งไกล ซ่ึงอาจจะยังหลงเหลอื คนบางกลมุ่ ที่ยังคงรักษา สบื ทอดพิธกี รรมนี้ไว้

ผู้ทีถ่ อื ปฏิบัติมรดกภมู ิปญั ญำทำงวัฒนธรรม
ช่อื ลุงหนำนกมล
ท่อี ยู่ บ้ำนทงุ่ กวำงใต้ ตำบลโชคชยั

อำเภอดอยหลวง จังหวดั เชียงรำย ๕๗๑๑๐
หมำยเลขโทรศัพท์ -

197

รำกระทบไม้
“กะเหรี่ยง-กระทบไม้” ถือเป็นกำรละเล่นที่ต้องอำศัยจังหวะกำร
“กระทบไม้” ในภำษำกะเหร่ียงเรียกว่ำ “ติฮัว” ที่ปัจจุบันมีจำนวนผู้
เล่นและจำนวนไม้ไผ่เคำะจังหวะมำกกว่ำหลำยชำติ มีกำรเคำะไม้
พร้อม ๆ กนั หลำยคู่ แต่เดิมกำรละเล่นชนิดน้นี ิยมเล่นหลังจำกว่ำงเว้น
ไร่นำ ผู้หลักผู้ใหญ่จะเปิดโอกำสให้หนุ่มสำวได้เต้นรำเก้ียวพำรำสีกัน
ล่ำสุดได้มีกำรผนวกกำรละเล่นกระทบไม้เข้ำกับกำรแสดงถักเชือก
ประกอบวงดนตรีปี่พำทย์ ใช้ผู้แสดงรวมหลำยสิบคน และเพิ่มกำร
อธิบำยควำมหมำยในเชิงรกั สำมคั คี เป็นกำรฝึกให้เด็กเยำวชนมีสมำธิ
ควำมทรงจำดี และสร้ำงควำมพรอ้ มเพรยี งในหมคู่ ณะ
ชำวกะเหรี่ยงได้รับเอำอิทธิพลวัฒนธรรมมอญด้ำนต่ำง ๆ ที่มีควำมเจริญรุ่งเรืองในอดีตไว้มำก ทั้งด้ำนศำสนำ
ภำษำ นำฏศิลป์ดนตรี และประเพณีพิธีกรรม แต่ในเวลำเดียวกัน วัฒนธรรมกะเหร่ียงบำงอย่ำงก็ได้ปะปนอยู่ใน
วัฒนธรรมมอญด้วย ขณะที่มอญไม่มีกำรละเล่นกระทบไม้โดยตรง แต่ปรำกฏสิ่งคล้ำยกันซึ่งถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์
โบรำณ เปน็ ประเพณีที่มีมำแต่อดีตกำลอยู่ในวรรณคดีเร่ืองรำชำธิรำช (ครองรำชย์ พ.ศ. 1830-49) รวมทง้ั จำรึก
ภำษำมอญวดั โพธิร์ ้ำง จำรึกขึ้นเมื่อรำวปี พ.ศ. 1143 ท่ีปรำกฏคำว่ำ “โต้ง” หรือผู้อำนวยกำรพิธีรำผีซึ่งทำหน้ำท่ี
ผู้นำทำงจติ วิญญำณมำแต่โบรำณ
ในอดีตชำวกะเหร่ียงจะรำกระทบไม้เมื่อมีผู้ตำยเท่ำน้ัน เพรำะชำวกะเหรี่ยงนับถือผี กำรกระทบไม้ถือเป็น
พิธีกรรมหน่ึงท่ีใช้เรียกวิญญำณของผู้ตำย ในกำรประกอบพิธีกรรมเก่ียวกับศพ ในปัจจุบันกำรรำกระทบไม้ได้
เปลี่ยนแปลงรูปแบบของกำรแสดงและเน้นเน้ือหำของกำรแสดงเป็นกำรบอกเล่ำถึงประวัติควำมเป็นมำของกำร
ดำรงชีวติ กำรประกอบอำชพี แบบเศรษฐกิจพอเพียงของบรรพบุรษุ ชุมชนชำวกะเหรย่ี งในอดีตถ่ำยทอดผ่ำนลำไม้ไผ่
โดยคำร้องและท่วงท่ำบ่งบอกถึงกำรประกอบอำชีพทำไร่ กำรฟำดข้ำว กำรถำงหญ้ำ กำรเกี่ยวข้ำว กำรนวดข้ำว
กำรรื่นเรงิ ในงำนเทศกำลต่ำง ๆ แสดงโดยใช้ไม้เคำะประสำนจังหวะเพลงไม้ไผ่ กำรใช้เท้ำลงไปตรงช่องว่ำงแลว้ รีบ
ยกออกตำมจังหวะกำรเคำะ ในขณะที่สำยตำมองสองเท้ำ ควำมหมำยในกำรแสดงชุดน้ีส่ือให้เห็นถึงควำมกลม
เกลยี วเหมอื นเกลยี วเชอื กหลำย ๆ เสน้ ทถี่ กั ทอรวมกัน รวมเปน็ หนึ่งเดียวจะสำเรจ็ ได้ด้วยควำมสำมคั คี
“รำกระทบไม้-กะเหร่ียง” จะแต่งตัวให้กับ
ผู้รำในชุดกะเหรี่ยงโบรำณ ใช้ผู้รำ 4-5 คน
สวมเสื้อและผ้ำถุงแบบกะเหร่ียงรวมทั้งโพก
ศีรษะแบบกะเหร่ียง มีผ้ำคำดอกผืนหนึ่ง
แล้วเชิญวิญญำณผีกะเหร่ียงเข้ำร่ำง รำพร้อม
อุปกรณ์ต่ำง ๆ ตำมข้ันตอน นำสำกตำข้ำว
หรือลำไม้ไผ่ขนำดยำว 2 อัน วำงคู่กันบนขอน
ห่ำงกันพอประมำณ ผู้รำผีสองคนนั่งเคำะสำก
หรอื ลำไมไ้ ผ่บนขอนเป็นจังหวะ ผรู้ ำผอี ีก 3 คน
ร่ำยรำตำมจังหวะและทำนองป่ีพำทย์คล้ำยพิธี ผ้ทู ่ถี อื ปฏิบัติมรดกภมู ิปัญญำทำงวัฒนธรรม
กระโดดสำกของเขมร หรือกำรละเล่นท่ีต้อง ชอ่ื นำงบุษรำรัตน์ คีรีแก้ว
อำศยั จงั หวะ “กระทบไม้” ของหลำยชำติ
กลมุ่ พุทธบุตร บำ้ นป่ำซำงงำม
ทอี่ ยู่ ๖๐ หมู่ ๒ บำ้ นปำ่ เลำ ตำบลหนองป่ำก่อ

อำเภอดอยหลวง จังหวดั เชียงรำย ๕๗๑๑๐

หมำยเลขโทรศพั ท์ 080 131 2446


Click to View FlipBook Version