48
ภาษาบซี ู
ชนเผ่าพื้นเมืองบีซู เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมที่อยู่ในพื้นท่ี
จังหวัดเชียงราย โดยมีการเปิดเผยตัวตนให้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป
เมือ่ ปี พ.ศ.๒๕๔๘ ที่ชนพน้ื เมืองบซี ูได้เข้าร่วมกับเครือข่ายชนพื้นเมือง
แห่งประเทศไทย ท่ีจัดงานเดินรณรงค์ในจงั หวัดเชยี งใหม่ เพือ่ ใหส้ งั คม
รับรู้วา่ มีกลุ่มชาติพันธุ์บีซู เป็นชนเผ่าพ้ืนเมืองอยู่ในจงั หวัดเชยี งราย
ของประเทศไทย
ชนเผ่าพื้นเมืองบีซู คาดว่าเป็นกลุ่มชนดั้งเดิมในพื้นที่จังหวดั
เชียงราย มักถูกเรียกรวมกับกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะหรือละว้า
จากการศึกษาของนักวิชาการในอดีตพบว่าชาชาติพันธุ์บีซู
มีการตั้งถิ่นฐานอยู่ในจังหวัดเชียงรายเกือบทั้งหมด และมีการ
อ้างอิงถึงการตั้งถิ่นฐานได้ชัดเจนนัก โดยในจังหวัดเชียงรายนั้น
มกี ลุ่มชาติพันธท์ุ ่พี ูดภาษาบีซตู ้ังถน่ิ ฐานอยู่ ๕ หมู่บ้าน
ชนเผ่าพื้นเมืองบีซูจังเป็นที่รู้จักในกลุ่มนักวิชาการดา้ นภาษา
มายาวนาน ซึ่งต่อมากระทรวงวัฒนธรรมได้ประกาศขึ้นทะเบียน
ภาษาบีซูเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ ประจำปี
พ.ศ. ๒๕๕๗
ภาษาบีซูมีพยัญชนะต้น ๒๙ หนว่ ยเสยี งมี ๔ หน่วยเสียงท่ีคนรนุ่ ใหม่ไม่ออกเสียง ไดแ้ ก่ ฮน ฮม ฮุย
และฮล สระมี ๑๐ หนว่ ยเสียง ความสนั้ ยาวของเสียงสระไมม่ ีนัยสำคัญทางความหมาย ซงึ่ เปน็ เอกลกั ษณข์ องภาษา
ตระกลู ทิเบต-พมา่ กล่าวคือจะออกเสยี งสระเสยี งสน้ั หรอื ยาวกไ็ ด้ ไมไ่ ดท้ ำให้ความหมายเปล่ยี นไป เช่น ยะ - ยา “ไร่”
ซึ่งตา่ งจากภาษาไทยท่ีการออกเสียงสระส้นั หรอื ยาว ทำให้ความหมายเปลี่ยนแปลงวรรณยุกต์มี ๓ หน่วยเสยี ง ได้แก่
เสียงระดบั กลาง ระดับต่ำตกและระดับสงู ข้นึ การเรยี งคำในประโยคมลี ักษณะแบบ ประธาน – กรรม - กรยิ า
ผทู้ ่ถี ือปฏบิ ตั ิมรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม
ช่ือ นายอุ่นเรือน วงค์ภักดี
ท่ีอยู่ หมู่ท่ี ๗ บา้ นดอยชมภู ตำบลโปง่ แพร่
อำเภอแม่ลาว จงั หวัดเชียงราย
หมายเลขโทรศัพท์ ๐๙๓-๒๖๒-๑๕๙๑
49
ฟ้อนเล็บ เป็นศิลปะการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์ทาง
ภาคเหนือโดยเฉพาะ รูปแบบการฟ้อนมอี ยู่ ๒ แบบ คอื แบบพ้ืนเมือง
หรือฟ้อนเมือง และแบบค้มุ เจ้าหลวง กระบวนทา่ รำเปน็ ลลี าทา่ ฟ้อน
ที่มีความงดงามเช่นเดียวกับฟ้อนเทียน นิยมฟ้อนในเวลากลางวัน
สำหรับชื่อชุดการแสดงจะมีความหมายตามลักษณะของผู้แสดง
ทีจ่ ะสวมเล็บยาวสีทองทกุ นิว้ ยกเวน้ น้ิวหวั แม่มอื การแสดงฟ้อนเล็บ
ของอำเภอแม่ลาว มีลักษณะเด่นอยู่ที่ การแสดงไม่ได้จำกัดจำนวน
ผู้แสดง หากทางงานเทศกาลหรือประเพณีใด ต้องการคนแสดง
จำนวนมาก ทางชมรมเครือข่ายพรอ้ มทีจ่ ะเตรยี มการแสดงใหไ้ ด้
การแต่งกาย
แต่งกายแบบไทยชาวภาคเหนือสมัยโบราณ
คือ เกล้าผมทัดดอกไม้และอุบะ นุ่งผ้าตามแบบชาวเหนือ
สวมเสอื้ ทรงกระบอกแขนยาว คอกลมห่มสไบเฉียง นุ่งผ้าซ่ิน
ลายขวาง และ สวมเลบ็ มือยาว ๘ นว้ิ เว้นแตน่ ้วิ หวั แมม่ ือ
ดนตรีฟอ้ นเลบ็
เครื่องดนตรีที่ใช้ในการฟ้อนเป็นวงกลองตึ่งนง วงต๊ก
เส้ง หรือวงปพี่ าทย์ลา้ นนา (นยิ มิ ใชก้ บั ฟ้อนเล็บแม่ครูบัวเรียว)
ซ่งึ เปน็ ดนตรีของชาวภาคเหนอื แต่ถ้าเปน็ วงต๊กเส้ง จะเพิม่ ส้ิง
มาด้วย เวลาดนตรีบรรเลงเสียงปี่ดังไพเราะเยือกเย็นมาก
ทว่ งทำนองเชอ่ื งช้า เสียงกลองจะตีดัง ต๊ก สว่า ตึ่ง นง อยา่ งน้ี
เรื่อยไป ส่วนช่างฟ้อนก็จะฟ้อนช้าๆ ไปตามลีลาของเพลง
เพลงทใี่ ชบ้ รรเลงฟอ้ นเลบ็ จะแบง่ ตามท้องถิน่ หลกั ของแตล่ ะที่
จะใชเ้ พลงฟอ้ นเลบ็ ตา่ งกนั ดงั นี้ เพลงมอญเชยี งแสน เพลงแม่
ดำโปน และเพลงแหย่ง
ผ้ทู ถ่ี ือปฏิบัติมรดกภมู ปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม
ชือ่ นางมาลัย ทะรยิ ะ
ที่อยู่ ๒๑๘ บา้ นปา่ ก่อดำ หมทู่ ี่ ๑๐ ซอย ๖
ตำบลปา่ ก่อดำ อำเภอแมล่ าว จังหวดั เชยี งราย
หมายเลขโทรศพั ท์ ๐๘๖-๐๔๕-๕๑๕๗
50
ตาพยา่ นาเจ่อ นาบทือ ยา่ ง
(ความเชื่อในเรื่องการนับถอื หอเส้อื บ้าน)
ชนเผ่าพื้นเมืองบีซูในอดีตนัน้ เป็นชนเผ่าที่นับถือผีบรรพบุรษุ โดยมีความเชื่อเกี่ยวกับพิธีไหว้ผี
บรรพบุรุษสืบทอดมา แม้ปัจจุบันเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่นับถือพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด แต่ก็ยังมีพิธีกรรม
เก่ียวกับการไหวผ้ บี รรพบรุ ุษอยเู่ ช่นเดมิ
ความเชื่อในเรื่องการนับถือหอเสื้อบ้าน ชาวบีซูมีการนับถือหอเสื้อบ้านโดยมีความเชื่อว่า
มีความศักดิ์สิทธิ์ สามารถช่วยดูแลรักษาให้คนเราอยู่รอดปลอดภัย เช่น บ่าวสาวที่แต่งงานได้ลูกคนแรกก่อน
ต้องถวายหมู ๑ ตัว ที่หอเสื้อบ้านเพื่อขอพรให้ลูกที่เกิดออกมาให้มีร่างกายสมบรูณ์ แข็งแรง มีสติปัญญาที่ดี
และมีร่างกายครบท้ัง ๓๒ ประการ ให้ดูแลเลี้ยงดูง่ายหรือเวลาทีลูกหลานไปเรียนหนังสอื ต่างจังหวัดต้องไปไหว้
หอเสอื้ บา้ นทบี่ ้านปตู่ ้ัง ซงึ่ เป็นผ้ดู แู ลหอเสอ้ื บ้าน เพอ่ื ใหเ้ ดนิ ทางมคี วามปลอดภยั และโชคดเี วลาออกไปต่างจังหวัด
เพื่อให้เดินทางโดยมีความปลอดภัยไปทำงานให้ประสบความสำเร็จ มีความเจริญรุ่งเรืองนอกจากนั้นในปีหน่ึง
ชาวบ้านก็ต้องมีการถวาย ๓ คร้งั คอื เดอื น ๔ หนง่ึ ครัง้ เดอื น ๘ หนึ่งครัง้ เดือน ๑๒ หน่งึ ครงั้ โดยจะมีการถวายไก่
สรุ าขาว ข้าวตม้ มดั ผลไม้ และของหวาน
การจัดตง้ั หอเสอื้ บ้าน
๑) การเส่ยี งทายเพ่ือเลอื กสถานที่สรา้ งหอ
▪ ผทู้ ่จี ะเส่ียงทายตอ้ งเป็นผเู้ ฒา่ ผ้แู ก่ ในหมบู่ ้าน
▪ กอ่ นทจ่ี ะทำการเสยี่ งทายตอ้ งจัดเตรียมขา้ วเปลือก
เมล็ดท่สี มบรู ณใ์ ส่ภาชนะ
▪ จากน้นั ยกข้นึ เหนอื หวั ตงั้ สจั จะอธษิ ฐาน
ถามปพู่ ญาแตล่ ะทิศวา่ ป่พู ญาชอบอยูท่ ิศไหน
▪ ถ้าชอบทิศใดใหเ้ กบ็ เมลด็ พันธ์ขุ ้าวได้เป็นคู่ เกบ็ ได้
๔ คู่ กถ็ อื ว่าตามนัน้
51
๒) ลักษณะของหอเส้ือบ้าน
๒.๑ หอเส้ือบ้านหอใหญ่
▪ การสร้างหอเสื้อบ้านหอใหญ่ เสาที่ใช้ในการสร้าง
หอเสื้อบ้านหอใหญ่จะใชเ้ สา ๖ ตน้ หลงั คามงุ ด้วยหญา้ คา
▪ ห้ิง คอื ท่วี างของใช้สอยของปู่พญาโดยยกพ้ืนขึ้นสูง
▪ ของใช้ที่วางบนหิ้งของปู่พญา มีหมอน เสื่อ ขันใส่
หมากพลู แจกันดอกไม้ และนำ้ ตน้
▪ ของกินทถี่ วายหอเส้อื บ้านมี หมาก เม่ยี ง บุหร่ี น้ำ ข้าว อาหาร ผลไม้ ขา้ วตม้ และขนม
๒.๒ หอเสื้อบ้านหอเลก็
▪ ทำด้วยเสาไม้เนื้อแข็ง นอกนั้นจะเป็นไม้ไผ่ เสาที่ใช้ในการ
สร้างหอเสอ้ื บา้ นหอเลก็ จะใช้เสา ๔ ต้น ยกพ้นื หลังคามุงด้วย
หญา้ คา
▪ ของที่เป็นบรวิ ารอยู่ในหอเสอ้ื หอเลก็ มี รปู ป้ัน ตา ยาย นางรำ
และมา้ สีขาว ๒ ตวั
▪ ของกินที่ถวายหอเสื้อบ้านหอเล็กมี ข้าว ไก่ต้ม ๑ ตัว ขนม
ของหวาน และผลไม้
ในการทำพิธีจะมี ปู่ตั้ง (ผู้ประกอบพิธีกรรม) คือ ผู้นำการทำพิธีไหว้เจ้า ลักษณะของปู่ต้ัง
จะต้องเป็นคนที่น่าเชื่อถือ และเป็นคนชนเผ่าบีซูเท่านั้น วิธีการจัดหาเสี่ยงทาย คือ ให้ชาวบ้านเสนอชื่อคน
ในหมู่บ้านบีซูมาประมาณ ๓ – ๔ คน โดยการเสี่ยงทายเก็บเมล็ดข้าว ให้ปู่ตั้งเป็นคนเสี่ยงทาง ถามอังจาวว่า
ชอบอยู่กบั คนไหน ถา้ ชอบต้องเกบ็ เมลด็ ข้าวให้ได้ ๔ คูเ่ ทา่ นน้ั ถ้าไดช้ ่อื ใครคนน้ันจะต้องยอมรบั เปน็ ปตู่ ง้ั คนใหม่
หน้าท่ขี องปู่ต้งั ปู่พญา คือ เปน็ ผูด้ แู ลสถานทหี่ อเส้ือบ้าน เปลีย่ นน้ำทกุ วนั พระ เปล่ยี นแจกนั ดอกไม้
และถวายผลไม้ทุกวันพระ ชว่ งเขา้ พรรษาทกุ ๆ วนั พระ จะต้องอันเชิญองั จาวไปวดั โดยในตอนเชา้ ชาวบ้านจะเอา
ข้าว อาหาร ขนม ผลไม้ และกรวยดอกไม้ เอาไปใสใ่ นตะกรา้ ของปพู่ ญา และปู่ตงั้ จะเอาของทช่ี าวบา้ นใสใ่ นตะกร้า
ไวเ้ อาไปถวายให้ปพู่ ญา ตลอดระยะเวลา ๓ เดือนช่วงเขา้ พรรษา
ผู้ท่ถี อื ปฏิบตั ิมรดกภมู ปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม
ช่ือ นายคำมา วงคล์ วั ะ
ที่อยู่ หมู่ ๗ บา้ นดอยชมภู ตำบลโป่งแพร่
อำเภอแม่ลาว จังหวดั เชียงราย
หมายเลขโทรศพั ท์ ๐๖๕-๖๔๗-๑๐๘๔
52
ลาพี ซ่าทอ หรือ ลาบพริกสมุนไพร
เป็นอาหารพ้ืนถน่ิ ของชนเผ่าพนื้ เมืองบซี ู ลาบพริกสมุนไพร
เป็นอาหารที่สามารถทำได้ง่าย เมื่อเข้าเดินทางเข้าป่า
เพราะขั้นตอนการทำไม่ยุ่งยาก และผักสามารถหาตาม
พื้นบ้านได้ รสชาติของลาบพริกสมุนไพร ต้องมีความเผ็ด
เค็ม หอม นำผักที่ใช้เป็นส่วนประกอบเป็นผักสด และผัก
ที่นำมามีประโยชน์ทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง
และมสี รรพคณุ ในการป้องกันโรค
สว่ นประกอบ
1. ผกั ไผ่ เก็บยอดอ่อนหรือใช้ใบแก่ ประมาณ 1 หยิบมือ
2. กระเทยี ม 1 - 2 หัว
3. พริกขีห้ นู 5 – 7 เม็ด ตามความชอบ
4. พรกิ หนมุ่ ซื้อจากตลาดหรอื ปลกู เอง 10 – 15 เมด็
5. ยอดส้มป่อย เก็บได้บริเวณริมรั้วในหมู่บ้าย ใช้ยอด
ประมาณ 1 กำมอื
6. ใบต้นหอม (หอมแป้น) เก็บได้บริเวณที่มีน้ำชุ่มชื้นใน
หมู่บ้าน ใช้ใบประมาณ 1 กำมือ
7. ใบขงิ หรือหวั ขิง ปลกู กินเองในครอบครัว ใช้ใบ 1 กำมอื หรอื ใชห้ ัวขิง 1 หวั เล็ก
8. ตะไครป้ ระมาณ 3 – 4 ตน้ ปลกู กินเองในครอบครวั
9. ปลารา้ แห้ง ซ้ือจากตลาด ประมาณ 5 – 10 ตวั
10. เกลือ ซ้อื จากตลาด ใชต้ ามความเหมาะสม
11. ผักลวกกินคกู่ นั กับลาบพรกิ เชน่ มะเขอื ใบชงโค ใบมันสำปะหลงั ถั่วฝกั ยาว หรอื ผกั ตามชอบ
อุปกรณท์ ใ่ี ช้
1. กระบอกไมไ้ ผผ่ า่ ครงึ่ เลอื กลำไม้ไผท่ ่ีแกแ่ ล้วตั้งตรง
ตดั ใหไ้ ด้ขนาดยาวประมาณ 1 ศอก หรือ 1 ปลอ้ ง
ผา่ ครึง่ แล้วนำมาใช้ได้เลย
2. มดี ปลายแหลม ขนาดยาว
53
ขน้ั ตอนการทำ
1. นำตะไคร้มาสับในกระบอกไมไ้ ผเ่ ป็นลำดับแรก จะทำให้
เวลาสบั แล้วไมก่ ระเด็นออกมา
2. นำพริกหนุ่ม, ยอดส้มปอ่ ย, ใบขิงหรอื หวั ขิง, กระเทียม,
เกลอื , หอมแปน้ , ใบผักไผ่ สับให้ละเอียดในกระบอกไม้
ไผ่
3. นำปลารา้ แห้ง และพริกขห้ี นูสบั ใหล้ ะเอียด
4. นำมารับประทานพร้อมกับผักสดต่างๆ และผักลวก
ตามท่ีชอบ รบั ประทานกับข้าวเหนยี ว
เคลด็ ลบั
▪ การใช้กระบอกไม้ไผ่ผา่ เพอื่ เวลาสับผักจะไม่กระจายออกนอกเขยี ง
▪ การใช้เขยี งทั่วไป อาจทำใหม้ กี ลนิ่ คาวจากเขียงที่ใชเ้ ปน็ ประจำ
▪ ควรเรม่ิ จากการสบั ผกั ทมี่ คี วามแขง็ ก่อน เพือ่ ความละเอียด
ผทู้ ถี่ ือปฏิบตั ิมรดกภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรม
ชอ่ื นางสาวยพุ ารตั น์ ติคำ
ทอี่ ยู่ บา้ นเลขที่ ๑ หมู่ที่ ๗ บ้านดอยชมภู ตำบลโปง่ แพร่
อำเภอแม่ลาว จงั หวดั เชียงราย
หมายเลขโทรศัพท์ 086-086-7382
54
ไม้กวาดดอกหญ้า เกิดจากการนำเอาความคดิ
ผสมผสานกับจินตนาการ บวกกับได้ประยกุ ต์วัสดทุ ม่ี อี ยู่ในทอ้ งถน่ิ
มาทำเป็นไม้กวาดจากดอกหญ้า เป็นการดัดแปลงวัตถุดิบที่มีอยู่
ให้เกิดประโยชน์และสร้างรายได้ โดยให้เป็นผลิตภัณฑ์ชุมชน
ซึ่งเป็นการนำวัตถุดิบที่อยู่ใกล้ตัว นำมาดัดแปลงเป็นสิ่งของ
เครื่องใช้ในครัวเรือน จากขั้นตอนการผลิตที่ง่ายๆ และค่อยพัฒนา
ประยุกตใ์ ช้ตามวสั ดทุ ่มี ีอยู่ พรอ้ มคำนึงถงึ ประโยชนข์ องการใช้สอย
และทำสืบทอดจากบรรพบุรุษ จนถึงปัจจุบัน ซึ่งกรรมวิธีต่างๆ
ที่มาจากกระบวนการและขั้นตอนการผลิตล้วนมาจากสติปัญญา
และการใช้ภูมิปัญญา ของบรรพบุรุษ ผลิตภัณฑ์ที่ได้ และนำมา
ใชส้ อยกับชีวิตประจำวนั
ดอกหญ้าไม้กวาด หรือเรียกว่า“ดอกหญ้าก๋ง” จัดเป็นพืชล้มลุกตระกูลหญ้า มีลำต้นตั้งตรง
ลำต้นแตกกอคล้ายกอไผ่ ลำต้นมีลักษณะทรงกลม แบ่งเป็นข้อปล้องชัดเจน ดอกหญ้าไม้กวาดเป็นพืชที่เกิดข้นึ
ตามธรรมชาติ อยู่ตามเชิงเขาหรือพื้นที่สูง ส่วนใหญ่จะเก็บได้ในช่วงเดือนธันวาคม–เมษายน ซึ่งช่วงที่ดอกออก
มากทีส่ ดุ จะอยูใ่ นช่วงตน้ เดือนมกราคม และสามารถเกบ็ เกยี่ วเอาดอก ก่ิงกา้ น มาทำเปน็ ไมก้ วาด ทำความสะอาด
ภายในครวั เรอื น
แม่บญุ รอด ปิดทะเหล็ก ไดน้ ำวตั ถุดบิ ทีใ่ ช้ทำ ไม้กวาด
จึงได้นำความรู้ วิธีการทำไม้กวาดดอกหญ้า มาเผยแพร่ให้กบั
คนในครอบครัว ญาติพี่น้องได้ทำใช้ในครัวเรือน และขาย
ให้กับคนในหมู่บ้าน และเมื่อมีผู้ผลิตมากขึ้น เหลือใช้
ในครัวเรือนจึงนำออกขายให้กับเพื่อนบ้าน ต่างหมู่บ้าน
ต่างตำบลและออกเป็นวงกว้าง นอกจากนั้นยังมีพ่อค้ามา
รับซื้อเพื่อไปจำหน่าย ทำให้เรื่องการทำไม้กวาดกลายเป็น
อาชีพหลัก และเป็นอาชีพเสริมของหลายครอบครัวสร้าง
รายไดใ้ ห้กับตนเอง เป็นอาชพี ทที่ ำรายได้ตลอดทง้ั ปี
ลกั ษณะเดน่ ที่เป็นอตั ลักษณข์ องข้อมูล
▪ ไม้กวาดของที่นี่ เมื่อได้รับดอกหญ้ามาแล้วจะทำ
การคัดดอกหญ้าอย่างพิถีพิถัน จะไม่ใช้ดอกหญ้า
ที่แก่ เนื่องจากหญ้าแก่จะมีความแห้งและกรอบ
จะทำให้เวลาใชก้ วาดพ้ืน ดอกหญ้าจะรว่ งตกได้
▪ แต่ละข้ันตอนการมัดประกอบ ตอ้ งใชค้ วามชำนาญ
▪ มีการสรา้ งลวดลายแบบดัง้ เดิมและแบบสมัยใหม่
55
อปุ กรณก์ ารทำไม้กวาดดอกหญา้
๑. เข็มเยบ็ กระสอบ
๒. เชอื กฟาง
๓. ไม้ไผ่ ความยาวประมาณ ๘๐ ซม.
๔. ดอกหญ้า
๕. ตะปขู นาด ๑ นิว้ จำนวน ๒ ตวั
ขั้นตอนการทำไมก้ วาด
๑. นำดอกหญ้ามาทำความสะอาดและตากแดดให้แห้งคัดเลือก
เฉพาะดอกหญ้าทมี่ ีคณุ ภาพดี ไมแ่ ก่
๒. นำดอกหญา้ ปริมาณ ๑ กำมือ มัดใหเ้ ป็นวงกลม
๓. นำเข็มเยบ็ กระสอบ ซึ่งร้อยเชือกฟางไวแ้ ลว้ แทงเขา้ ตรงกลางมดั
ดอกหญา้ แลว้ ถกั ขึ้นลงแบบหางปลา ให้ได้ ๓ ชัน้ พรอ้ มจัดดอก
หญา้ ให้มีลกั ษณะแบน
๔. ตดั โคนดอกหญ้าให้เสมอกนั
๕. นำดา้ มไม้ไผ่เจาะรทู หี่ ัวไว้สำหรบั ห้อยเชือก และเจาะรตู รงปลาย
นำมาเสียบเข้าตรงกลางมัดดอกหญ้า
๖. นำเชือก หรอื ฟางมดั ดอกหญา้ ไว้ด้วยกนั โดยนำเชอื กมาสอดตรง
รทู เี่ จาะ เพอื่ ปอ้ งกันไมใ่ หด้ อกหญ้าหลดุ ออกจากกัน
1. ตอกตะปทู ีเ่ ตรยี มไว้ เพอื่ ใหด้ อกหญา้ ตดิ กับด้ามไม้ไผ่ และมคี วาม
แข็งแรงขึ้น
** เคลด็ ลับทำใหไ้ มก้ วาดแข็งแรง ควรนำดอกหญ้าตากแดดให้แห้งสนทิ ก่อนมดั จะไดไ้ ม้กวาดท่ีมี
ความแข็งแรง ไมห่ ลดุ ง่าย เมื่อถึงเวลาใช้งาน
ผู้ท่ีถือปฏบิ ัติมรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรม
ช่อื นางบญุ รอด ปดิ ทะเหลก็
ท่อี ยู่ หมู่ ๕ บา้ นแมผ่ ง ตำบลป่ากอ่ ดำ อำเภอแมล่ าว
จงั หวัดเชยี งราย
หมายเลขโทรศพั ท์ ๐๘๔-๑๗๐-๓๗๓๐
คำขวัญอำเภอเทิ ง
พระธาตุจอมจ้อคู่บ้าน
น้ำลาวหงาวอิงคู่เมือง
ภูชี้ฟ้าลือเลื่ อง
งามประเทืองดอกเสี้ยวบาน
สภาวัฒนธรรมอำเภอเทิง
อำเภอเทิง 57
ประวตั คิ วำมเปน็ มำ
เมืองเทิงหรือเวียงเทิงเป็นเมืองขนาดใหญ่ ต้ังอยู่บนเนินเขาคลุมทั้งสองฟากน้าแม่อิง ควบคุมเส้นทาง
คมนาคมที่ส้าคัญในลุ่มน้าอิง ภายในเขตเมืองท้ังสองฝั่งแม่น้ามีซากวัดวาอาราม เศษภาชนะดินเผาเคลือบและ
ไม่เคลือบอยู่ทั่วไป นอกจากนั้นยังพบพระพุทธรูปและชิ้นส่วนพระพุทธรูปสกุลช่างพะเยาตามที่ต่าง ๆ ทั่วไป
อ้าเภอเทิงมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เริ่มมีการกล่าวถึงตั้งแต่สมัยขุนเจ๋ือง ราชโอรสขุนจอมธรรม ผู้ปกครอง
เมืองภูกามยาว (จังหวัดพะเยาในปัจจุบัน) ประมาณ จ.ศ. 482 (พ.ศ. 1663) เป็นหัวเมืองท่ีส้าคัญของ
เมืองภูกามยาว โดยเมืองเทิงอยู่ในความปกครองของราชวงศม์ งั รายราวพุทธศตวรรษท่ี 20-21
ต่อมาการปกครองไดแ้ ตกสาขาแยกเมืองออกปกครองมากขึ้น เมืองเทิงจดั อยใู่ นเขตปกครองของบริเวณ
นครน่าน ตามพระราชบัญญตั ิปกครองท้องท่ี ร.ศ. 116 (พ.ศ. 2438) เรียกว่า กิ่งแขวงเมืองเทิง เป็นหัวเมือง
ของบริเวณน่านเหนอื (หัวเมืองชั้นนอกที่อย่หู ่างไกลเรียกว่า "บริเวณ" มีข้าหลวงบริเวณดูแล) ก่ิงแขวงเมืองเทิง
ได้จัดแบ่งหมู่บ้านต่าง ๆ เป็น 14 แคว้น เช่น แคว้นเวียงเทิง มีเจ้าหลวงเทิง (ไชยสาร) เป็นบุตรของเจ้าพรหม
สุรธาดาแห่งนนั ทบุรีศรนี ครนา่ นเป็นเจ้าหลวงเมืองเทิงองค์สุดท้าย แคว้นบ้านหงาว แคว้นตับเต่า แคว้นนา้ แพร่
แคว้นบ้านเอียน และแคว้นบ้านง้ิว ในพ.ศ. 2442 กระทรวงมหาดไทยจึงให้พระยามหาอ้ามาตยาธิบดี
(เสง วิริยศิริ) เม่ือครั้งเป็นพระยาศรีสหเทพราชปลัดทูลฉลอง ข้ึนมาจัดวางระเบียบการปกครองในมณฑล
ตะวันตกเฉียงเหนือ อันเนื่องแต่ได้ใช้พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องท่ี ร.ศ. 116 แล้วนั้น และ
เพ่ือที่กระ ทรวง มหาดไ ทยจะ ไ ด้ตราข้อบัง คับส้าหรับปกครอง มณฑลตะ วัน ตกเ ฉียง เหนือข้ึน ใช้ใน ปี ต่ อ ไ ป
ปีน้ีพระยามหาอ้ามาตยาธิบดีได้มาท่ีจังหวัดน่าน พร้อมด้วยพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช (คร้ังนั้นยังเป็น
เจ้าสุริยะพงษ์ผริตเดช) เจ้าผู้ครองนคร พระยาสุนทรนุรักษ์ (เล่ือง ภูมิรัตน์) ข้าหลวงประจ้าเมืองและเจ้านาย
ท้าวพญาทั้งปวงประชุมปรึกษาตกลงวางระเบียบราชการขึ้นใหม่ การปกครองท้องที่ใหม่ ได้แบ่งเขตแขวงเมือง
นา่ นออกเปน็ 8 แขวง แขวงนา้ องิ คอื หน่ึงในแขวงทั้ง ๘ คือรวม เมืองเทงิ เมืองเชียงคา้ เมืองเชยี งแลง เมอื งงาว
เมอื งเชียงของ เมอื งเชียงเค่ียน เมอื งลอ เมืองมิน ให้มที ี่วา่ การแขวงต้งั ที่เมืองเทิง ในปี พ.ศ. 2457 แตต่ ่อมาได้
แยกการปกครองจากจังหวัดน่านมาขึ้นตรงต่อจังหวัดเชียงราย ในปี พ.ศ. 2475 แบ่งการปกครองออกเป็น
10 ต้าบลอ้าเภอเทิง หมายถึงอ้าเภออยบู่ นทร่ี าบสงู มีน้าแมอ่ งิ ไหลจากจังหวดั พะเยา ผา่ นอา้ เภอเทงิ ไปลงแม่น้า
โขงท่ีอ้าเภอเชียงของ จากลุ่มน้าแม่อิงน้ีเอง แสดงว่ายุคโบราณดึกด้าบรรพ์ บ้านเมืองที่อยลู่ ุ่มน้าแมอ่ ิงย่อมเกย่ี ว
ดองเป็นเครือญาติ แล้วมีลักษณะสังคมและวัฒนธรรมเดียวกัน เทิง ในช่ืออ้าเภอเทิง หมายถึงบริเวณที่สูง
เห็นได้จากแผ่นดินบริเวณน้ันยกตัวขึ้นสูงกว่าบริเวณอื่น ดูได้จากถนนที่ไปจากจังหวัดพะเยา เมื่อจะเข้าอ้าเภอ
เทิง ถนนจะค่อยๆ ลาดสูงข้ึน บริเวณอ้าเภอเทิงเป็นเขตที่สูง มีคนอยู่อาศัยร่วมสมัยกับเมืองพะเยา ,
เมืองเชียงราย ต้ังแต่ยุคก่อนรับพุทธศาสนา หรือก่อน พ.ศ. 1700 แล้วเติบโตเร่ือยมาจนรับพุทธศาสนา
ถงึ มคี นู ้าคันดินเปน็ บ้านเมอื งลุม่ น้าองิ แล้วมฝี มี ือช้านาญท้าพระพุทธรูปหินทรายจ้านวนมากมายท้งั ลุ่มน้าอิง
กล่าวถึงเมืองเทิง(เมืองเติง) เมืองทเลิง(เมืองต๊ะเลิง) เมืองเธิง(เมืองเทิง) เมืองเซิง หรือเมืองเชิง
เม่ือตะก่อน(แตก่ อ่ น)เมืองเทิงเปน็ เมืองท่ีมอี ้านาจเฉพาะ เจ้าเมืองเทงิ องค์สุดทา้ ยคอื เจ้าหลวงเทิง (ไชยสาร) เปน็
บุตรของเจ้าพรหมสุรธาดา หรือเจ้าฟ้าอัทธวรปัญโญ ต่อมาเป็นเจ้าเมืองน่านเพราะไปสวามิภักด์ิ ร.1
แห่งกรุงสยาม เมืองเทิงจึงถูกรวมกับเมอื งน่าน จนถึงในสมัยร.5 แห่งสยามได้แยกไปรวมกับเมืองแถวๆน้ันเปน็
น่านเหนือต่อมาแยกเป็นจังหวัด (น่าจะอยู่ในอ้าเภอพะเยา) แต่มาเม่ือแยกพะเยาออกจากจังหวัดเชียงราย
ชอื่ เมืองเทิงกต็ ิดไปทางเชยี งรายจนกลายเปน็ อา้ เภอหนง่ึ ไป
ในตา้ นานพระเจ้าเลยี บโลกทพ่ี ระองคเ์ สด็จมาแล้วประทานพระเกศาธาตุ ซ่งึ บรรจอุ ยูใ่ นพระธาตุจอมจ้อ
และท้านายว่าต่อไปนี้จะมีเมอื งชอื่ เมืองเทิง อนั หมายถึงการมาถึงของพระพุทธองค์ ทีเ่ มืองเทิงเปน็ แหล่งท่ีค้นพบ
พระพุทธรูปหินทราย อันเป็นฝีมือช่างสกุลพะเยา อันแสดงถึงว่าในอดีตถูกครอบง้าทางศิลปวัฒนธรรมจาก
เมืองภูกามยาว เมืองเทิงเป็นเมืองน้อยแต่ก้าลังคนมากเมืองเทิงจึงถือเป็นเมืองท่ีมีฐานะเป็นเมืองโทนคือไม่ใช่
เมืองขึ้น หมายถึงขึ้นโดยตรงต่อเมืองเชียงใหม่ (ขอยกตัวอย่างเมืองขึ้น เช่นเมืองวังเหนือ/ปัจจุบันอยู่บริเวณ
จงั หวัดลา้ ปาง เมอื งวังเหนือข้นึ ตอ่ เมอื งเชียงราย ดงั นั้นเมอื งโทนคอื เมืองเชยี งราย)เชน่ เดยี วกัน เมอื งเทิงก็เหมอื น
เมืองน่าน เมืองแพร่ เมืองละคอน เมืองเชียงราย เมืองเชียงแสน คือเป็นเมืองโทน อาณาเขตเมืองเทิงน้ัน
ในปจั จุบันถูกแบง่ เขตเปน็ อา้ เภออีก 2 อ้าเภอ คอื อ้าเภอเทงิ แบง่ ไปเป็นอา้ เภอขุนตาล (ส่วนหนง่ึ ทางทศิ ใต้และ
ตะวันตก) และ(กง่ิ )อา้ เภอพญามงั รายทั้งหมด
เมืองเทิงก่อนหน้านนั้ ส้าคัญมากเพราะสืบเชื้อสายมาจากเจ้าเมืองน่าน หรือเป็นลูกหลานเจ้าเมือ5ง8น่าน
มาปกครองหัวเมืองเทิง ทา้ ใหป้ ระวัติ ยังไมช่ ดั เจน เน่อื งจากเปน็ ชว่ งสงคราม และการต่อสไู้ ม่วา่ จะเปน็ การกบฏ
เง้ียว หรือกับพม่า แต่มีหลักฐานส้าคัญคือบรรดาลูกหลานที่สืบสกุลมาจากเจ้าเมืองเหล่านั้นต่างนับถึอกันเป็น
ญาติกันมาอยา่ งเหนียวแน่น ดังต่อไปน้ี นามสกุล ณ น่าน กิติลือ มหาวงศ์นันท์ มหาวงศ์ วงศ์วุฒิ ต้นค้า (ต้นค้า
ไม่พบแล้ว) วุฒิพรม ซึ่งจะสังเกตได้จากผู้หลักผู้ใหญใ่ นอ้าเภอเทิงส่วนมากก็มาจากสกุลนี้ และจะไปอยู่ในต้าบล
รอบนอกท่ีเป็นแวน้ แคว้นในสมัยก่อนก็มี ปู่ย่าตาทวด ของนามสกุลเหล่านี้ ชาวบ้านอ้าเภอเทิงส่วนมากจะเรยี ก
ค้าน้าหน้านามว่า พ่อนายแม่นาย อันหมายถึงลูกหลานเจ้าเมืองเม่ือก่อน ซ่ึงต้องเทียบเคียงกับเอกสารกับทาง
เมืองน่าน หรือพงศาวดารเมืองน่าน เพราะว่าเป็นเหตุการณ์ก่อนท่ีเมืองน่านท่ีเป็นรัฐอิสระ จะสวามิภักดิ์ต่อ
กรงุ รตั นโกสินทร์ ดังนนั้ เมืองเทงิ ตอนน้นั จงึ ถือว่าเป็นเมอื งส้าคญั ของเมืองนา่ น
อ้าเภอเทิง มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เร่ิมมีการกล่าวถึง ตั้งแต่สมัยขุนเจื๋อง ราชโอรสขุนจอมธรรม
ผู้ปกครองเมืองภูกามยาว (จังหวัดพะเยาในปัจจุบัน) ประมาณจุลศักราช ๔๘๒ (พ.ศ.๑๖๖๓) เป็นหัวเมืองที่
ส้าคัญของเมืองภูกามยาวนคร ต่อมาการปกครองได้แตกสาขาแยกเมืองออกปกครองมากขึ้น เมืองเทิงจัดอยูใ่ น
เขตปกครองของบริเวณนครน่าน ตามพระราชบัญญัติปกครองท้องที่ ร.ศ.๑๑๖ (พ.ศ.๒๔๘๓) เรียกว่า
“กิ่งแขวงเมืองเทิง” เป็นหัวเมืองของบริเวณน่านเหนือ (หัวเมืองช้ันนอกท่ีอยู่ห่างไกลเรียกว่า “บริเวณ”
มีขา้ หลวงบริเวณดแู ล) ก่ิงแขวงเมืองเทงิ ไดจ้ ัดแบง่ หมู่บ้านต่างๆ เปน็ ๑๔ แคว้น คอื
๑. แคว้นเวยี งเทิง ๒. แคว้นบ้านหงาว
๓. แคว้นตับเต่า ๔. แควน้ บา้ นแพร่
๕. แคว้นบ้านเอยี น ๖. แคว้นบา้ นง้ิว
๗. แควน้ บา้ นแมต่ า้ ๘. แควน้ บ้านเกยี๋ ง
๙. แคว้นแมต่ ๊าก ๑๐. แควน้ บ้านปลอ้ ง
๑๑. แควน้ บ้านเชยี งเคี่ยน ๑๒. แคว้นบา้ นปา่ ตาล
๑๓. แควน้ บา้ นสัก ๑๔. แคว้นบ้านดอนไชย
พ.ศ.๒๔๔๗ ทางราชการไดโ้ อนเมอื งเทงิ และเชียงของ จากบรเิ วณนา่ นเหนือข้นึ กบั เมอื งเชียงรายเฉพาะ
ก่ิงแขวงเมอื งเทิง มพี ระยาพศิ าลครี เี มฆ เป็นผปู้ กครอง ระยะเวลานานเทา่ ใดไมป่ รากฏหลักฐาน และพ.ศ.๒๔๕๗
ทางราชการได้ยกฐานะกิ่งแขวงเวียงเทิงเป็น “อ้าเภอเทิง” ข้ึนต่อจังหวัดเชียงราย มีนายอ้าเภอเทิงคนแรกชื่อ
ขนุ วฒั นานุการ (ร.อ.ท.โปะ๊ วัฒนะสมบตั ิ)
ลักษณะทางกายภาพ
ที่ตง้ั
อ้าเภอเทิง จังหวัดเชียงราย อยู่ทางทิศตะวันออกของจังหวัดเชียงราย ระยะทางห่างจากตัวจังหวัด
ประมาณ ๖๕ กิโลเมตร ระยะทางห่างจากกรุงเทพ ๘๙๑ กิโลเมตร ลักษณะพื้นท่ีโดยประมาณ ๗๙๕ ตาราง
กิโลเมตร ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มและที่ราบเชิงเขาสลับกับพื้นที่ภูเขาแยกเป็นที่ราบ ๔๕๖
ตารางกโิ ลเมตร พน้ื ทภ่ี ูเขา ๓๑๕ ตารางกโิ ลเมตร ลักษณะภูมิอากาศมี ๓ ฤดู คือ ฤดูฝน ฤดหู นาว และฤดูร้อน
อุณหภูมิเฉล่ียสูงสุด ๓๐.๗๐ ในเดือนเมษายน ต้่าสุด ๑๘.๖๐ ในเดือนธันวาคมและมกราคม พื้นที่มีความ
เหมาะสมในการปลูกขา้ ว พชื สวน และพืชไร่ โดยมีอาณาเขตตดิ ต่อท้ัง ๔ ทศิ ดงั นี้
ทิศเหนือ ตดิ ตอ่ กับ อ้าเภอพญาเม็งราย อ้าเภอขุนตาล อา้ เภอเวยี งแก่น อ้าเภอเวยี งชยั จังหวัดเชียงราย
และสาธารณรัฐประชาธปิ ไตยประชาชนลาว
ทิศใต้ ติดต่อกับ อ้าเภอภูซาง อ้าเภอจุน อ้าเภอเชียงค้า จังหวัดพะเยา และอ้าเภอป่าแดด จังหวัด
เชยี งราย
ทิศตะวันออก ติดต่อกับ อ้าเภอภูซาง อ้าเภอเชียงค้า จังหวัดพะเยา และสาธารณรัฐประชาธิปไตย
ประชาชนลาว
ทิศตะวันตก ติดต่อกับ อ้าเภอเมืองเชียงราย อ้าเภอป่าแดด อ้าเภอเวียงชัย อ้าเภอพญาเม็งราย
จงั หวดั เชียงราย
ทั้งน้ี มีแนวเขตตดิ กับสาธารณรัฐประชาธปิ ไตยประชาชนลาวประมาณ ๑๖ กิโลเมตร
59
แหล่งทอ่ งเทยี่ ว
๑. ภชู ฟ้ี ้า
อย่ใู นเขตบา้ นร่มฟ้าไทย หมทู่ ่ี ๒๔ ต้าบลตับเต่า อ้าเภอเทิง วนอทุ ยาน ภูชี้ฟ้า เป็นจุดชมวิวทะเล
หมอกและพระอาทิตย์ที่สวยงามท่ีสุดแห่งหนึ่ง มีลักษณะเป็นยอดเขาที่แหลมช้ีข้ึนไปบนท้องฟ้า อยู่สูงจาก
ระดับนา้ ทะเลประมาณ ๑,๖๒๘ เมตร โดยมีหนา้ ผาเปน็ แนวยาวขึน้ ไปทางฝ่ังประเทศลาว เบอื้ งล่างเป็นหมู่บ้าน
ลาวเชยี งตอง บนยอดภชู ้ฟี ้าเป็นท่งุ หญา้ กว้างแซมด้วยทงุ่ โคลงเคลง ที่มีดอกสชี มพอู มม่วง ออกดอกบานระหว่าง
เดือนกรกฏาคม – มกราคม การเดินทางจากเชียงราย ระยะทาง ๑๑๑ กิโลเมตร โดยใชเ้ ส้นทางเชียงราย – เทงิ
ระหวา่ งทาง ขึน้ ภชู ้ีฟา้ ในฤดหู นาวจะเหน็ ดอกเสย้ี วบานสะพรงั่ สวยงามตลอดเส้นทาง
ภูช้ีฟ้า อยู่สูงจากระดับน้าทะเลประมาณ 1,628 เมตรโดยมีหน้าผาเป็นแนวยาวยื่นไปทางฝ่ัง
ประเทศลาว เปน็ ยอดเขาสงู ที่สดุ ในเทือก เขาดอยผาหมน่ ดา้ นทตี่ ิดสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ยอด
ภชู ีฟ้ า้ มีลกั ษณะเป็นผาที่มีแหลมย่นื ขึ้นไปบนฟ้าจึงเรียกวา่ ภูชี้ฟา้ โดยมองเห็นภเู ขาช้ีขึ้นไปบนฟ้าทีม่ ลี ักษณะเป็น
ภูเขาสูงท้ามุม 45 องศา ซึ่งด้านบนมีพ้ืนที่ราบให้เดินเที่ยวชมประมาณ 1 กิโลเมตร
ด้านหน้าเป็นหน้าผาสูงมองเห็นหมู่บ้านเชียงตองในประเทศลาว มีจุดชมวิวยอดนิยม
อยู่ 2 จุด คือบริเวณ ยอดภูและบริเวณ ลานก่อนถึงยอดซึ่งจะเห็นภูเขาช้ีได้อยา่ งชดั
เจร ไฮไลต์ส้าคัญ ของการมาเท่ียวภูชี้ฟ้า คือ มาเฝ้ารอชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเล
หมอกสุด อลังการคลอภูขาที่สวยงาม ชมเอกลักษณ์ทางธรรมชาติ ท่ีไม่มีใครเหมือน
น่ันคือ ลักษณะภูเขา ที่ชี้ไปบนฟ้า หากนักท่องเที่ยวเดินทาง มาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ –
มีนาคม จะเป็นช่วงเวลา ที่ดอกเส้ียวหรือ ชงโคป่าจะผลิดอกสีขาวบานสะพร่ังเต็มเชิงเขา หากมาเยือน ภูชี้ฟ้า
ในช่วงปีใหม่ยัง ได้ชม งานปีใหม่ที่ชาวม้งจะแต่งตัวม้งครบถ้วนทั้งหญิงและชาย จุดเด่นของงานคือ การโยนลูก
ช่วงหรือลูกหิน ระหว่าง หนมุ่ - สาว
๒. น้าตกตาดหมอก 60
ตั้งอยู่ในพื้นที่ของหมู่18 บ้านธาตุ ต้าบลตับเต่า ห่างจากถนนลาดยางสายหลัก ประมาณ 3.5
กิโลเมตร เป็นแหล่งท่องเท่ียวที่ทาง องค์การบริหารส่วนต้าบล ตับเต่าได้สนับสนุน และส่งเสริมเป็นแหล่ง
ทอ่ งเทยี่ ว เช่ือมตอ่ กบั น้าตก ตาดห้วยใคร้ ซง่ึ อยู่หา่ งจากน้าตกห้วยใครประมาณ 10 กม. น้าตกตาดหมอก เปน็
น้าตกขนาดกลาง ความสูงข้องน้าตกมปี ระมาณ 10 ช้ัน สูงต้่าลดหลั่นกันไป บางช้ันสูงถึง 30 เมตร ป่าบริเวณ
เข้าสู่น้าตกค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การท้าการท่องเท่ียวการเกษตรเชิงอนุรักษ์ ก่อนถึงน้าตกทางเข้า
ทั้งสองข้างทางเป็นพนื้ ที่การเกษตรของชาวบ้านทคี่ วรส่ง เสริมเพอื่ เสริมการทอ่ งเท่ยี วได้อีกทางหน่ึง โดยผลผลิต
ส่วนใหญ่เป็นผลไมย้ ืนต้นเช่น ส้ม ส้มโอ เงาะ เป็นต้น และก่อนถึงน้าตกมีพ้ืนท่ีสาธารณะของหมู่บ้าน ประมาณ
100 ไร่ คาดวา่ จะอ่างกกั เก็บน้า น้าตกตาดหมอก เปน็ นา้ ตกทส่ี วยงาม และรอนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมความงาม
ที่ ยงั ไม่เคยน้าเสนอมาก่อน สายน้าทีเ่ ยน็ ฉ้า่ และมนี ้าตก เปน็ ชั้นๆ ข้ึนไปจน ถึงชัน้ สงู สดุ ส้าหรับนกั ทอ่ งเที่ยวที่
อยาก พักผ่อน กับธรรมชาติ ที่สวยงาม ท่ามกลางแมกไม้ใน ผืนป่าแห่งนี้ไม่ควรพลาด สายน้าที่ทอดสูงเป็น
ละอองหมอก ลมท่ีพัดพริ้ว ไอน้ากระทบ ในบรรยากาศที่เรียกว่าคืนชีวิตสู่ธรรมชาติ คงไม่มีใครปฏิเสธ กับ
ความสุข ความสบายใจ และความว่างเปล่าของชีวิต เชิญท่านมาส้าผัส กล่ินไอแห่งธรรมชาติ ณ ต้าบลต่้าเต่า
ดินแดนที่รอคุณ คน้ หา
๓. น้าตกตาดไคร้
ตั้งอยู่ในพื้นที่ของหมู่ท่ี ๒๒ บ้านไคร้เดชบุญเรือง ต้าบลตับเต่า ห่างจากถนนลาดยางสายหลักทาง
หลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๑๕๕ สายเทิง – ผาแล เป็นระยะทางประมาณ ๕ กิโลเมตร และเดินเท้าเข้าไป
ประมาณ ๒๐๐ เมตร เป็นแหล่งน้าตกขนาดกลาง มีน้าไหลตลอดปี สภาพป่าบริเวณน้าตกเป็นป่าอุดมสมบรู ณ์
ฤดูที่เหมาะแก่การเดินทางท่องเที่ยวคือช่วงเดือน ตุลาคม – พฤษภาคม รวมระยะเวลา ๗ เดือน และ
ทางเข้าก่อนถงึ บริเวณน้าตกมพี ื้นท่เี กษตรกรรมของชาวบ้านในทอ้ งถ่นิ
4. วัดพระธาตุจอมจ้อ
วัดพระธาตจุ อมจ้อ เปน็ หน่งึ ในพระธาตุ 9 จอม และยังเปน็ พระธาตุคู่บ้านคู่เมือง
ของอา้ เภอเทงิ ต้งั อยทู่ ่ี ม.20 บา้ นเวียงจอมจ้อ ตา้ บลเวียง อ้าเภอเทงิ หางจากทีว่ ่าการอ้าเภอเทงิ
ไปทางทิศตะวันตกประมาณ 1 กิโลเมตร ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงลังกาแบบสถาปัตยกรรมล้านนา
พระธาตจุ อมจอ้ เป็นพระธาตุศักดิ์สิทธิทอี่ ยู่ค่เู มืองเทิงมาตงั้ แต่สมัยโบราณกาล ประวัตพิ ระธาตจุ อมจอ้ จากคัมภีร์
เกา่ แก่ทต่ี ้งั โดยนักปราชญ์ผชู้ า้ นาญในด้านภาษาบาลขี องอ้าเภอเมืองเทงิ (เมืองเถิง) ในสมยั น้นั ไดก้ ล่าววา่ ในกาล
สมัยเมอ่ื พระพุทธเจ้าเสด็จมาสุวรรณภูมิ พระองค์ไดพ้ ักอยใู่ ตต้ น้ อโศกบนดอยใกล้นา้ แม่อิง มีพญานาคตนหน่ึง รู้
วา่ พระพุทธองค์เสด็จมาจึงเขา้ ไปเฝา้ พระพุทธเจ้า ทลู ถามความต่างๆแลว้ จึงนา้ จ้อค้า ๓ ผืนแล้วจ้อแก้วอกี ๓ ผืน
มาถวายพระพุทธองค์ พระอานนท์จึงขอทูลพระธาตุให้พระยานาคตนนั้น พระพุทธองค์จึงน้าพระหัตถ์ลูบ
พระเศียรได้พระเกศาธาตุเส้นหนงึ่ จึงโปรดใหพ้ ญานาคไว้พญานาคจึงนา้ ความแจ้งให้เจ้าเมืองเทิงสร้างพระธาตุ
ไว้ท่กี ลางดอยเพอื่ บรรจพุ ระเกศาธาตุ ต่อมาจงึ มีการขนานนามพระธาตนุ ั้นว่า พระธาตจุ อมจอ้
5. ศนู ยส์ ่งเสรมิ การเกษตรดอยผาหม่น
เป็นสถานที่ เพาะปลูกไม้เมืองหนาวหลายชนิด เช่น ดอกทิวลิป
ลิลล่ี ดอกชัลเวียสีแดง ต้นคริสต์มาตย์สีแดง หลากสีหลายพันธ์ุ นอกจากน้ียังมี
ทศั นียภาพที่สวยงามเหน็ ภูเขานอ้ ยใหญเ่ รียงสลับกนั อย่างสวยงาม สีเขยี วขจีของ
ต้นไม้ แสดงให้เห็น ถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้โดยรอบ ไฮไลต์ที่ส้าคัญของ
ทีน่ ่ี กค็ งเปน็ การเปิดให้เข้าชมแปลงดอกทิวลิปหลากสี ดอกลิลลี่ และยงั มีดอกไมเ้ มอื งหนาวอกี มากมาย บนเน้ือ
ท่ีกว่า 5 ไร่ โดยจะมี จัดเทศกาล ดอยทิวลิปบาน ที่ ดอยผาหม่น ในช่วงหน้าหนาวของทุกปี
ดอกทิวลิปบานแล้วจะอยู่ได้ราว 1 สัปดาห์เท่านั้น และเป็นดอกไม้ท่ีชอบ อากาศหนาวจะอยู่ในอณุหภูมิที่ 10-
15 องศาเซียลเซียส ศูนย์ส่งเสริมการเพาะปลูกไม้เมืองหนาว จึงได้ส่งเจ้าหน้าที่ ไปศึกษาอยู่ที่ประเทศ
เนเธอรแ์ ลนด์ เพอ่ื ศึกษาและทดสอบในการน้าทวิ ลปิ เข้ามาปลกู ในเมืองไทย ทวิ ลปิ ของที่ดอย ผาหม่นมีสายพันธุ์
เป็นร้อยสายพันธุ์แต่ท่ีทดสอบแล้วปลูกได้ในเมืองไทยมีอยู่ 30 สายพันธ์ุ ส่วนท่ีน้ามาทดลองปลูกม ี 11 สาย
พนั ธ์ทุ ่ีทนทานรับกับสภาพอากาศบนดอยได้ การปลูกต้องใชห้ นอ่ ทนี่ ้าเข้าจาก เนเธอรแ์ ลนด์ และใช้ครัง้ เดียว ซงึ่
อุณหภูมจิ ะเปน็ ตวั ก้าหนดการออกดอก
จ๊อ61ย
“จ๊อย” คือการน้าค่าวมาแต่ง แต่ไม่มีการบันทึกแน่ชัดว่ามีมาต้ังแต่ในสมัยไหน โดยมีมาตั้งแต่โบราณกาล
ไม่สามารถระบุได้ชดั เจน โดยสมัยก่อนผู้ชายจะไปเท่ียวหาผู้หญิง จะไมม่ เี พลงท้าให้เหงา เกดิ ความกลัวผีและเข้าไม่ให้
การสื่อสารระหว่างชายหญิง จึงท้าให้เกิดการจ๊อยขึ้น ซึ่งมีการสอนกันภายในหมู่บ้านจึงเกิดเป็นการจ๊อย จากน้ัน
ต่อมาจึงมีคนน้ามาต่อให้จ๊อยมีความยาวขึ้น
๑. บทจอ๊ ยโดยทัว่ ไป เน้อื หาของบทจ๊อยมักกลา่ วคร้่าครวญแสดงความรักของบ่าวที่มีตอ่ สาว กล่าวถึง
บรรยากาศในยาม ค้่าคืน
๒. บทจ๊อยประเภท " ค่าวว้อง " นอกจากบทจ๊อยท่ีแสดงความในใจของบ่าวแล้ว ยังมีบทจ๊อยลักษณะ
พิเศษคือมีลักษณะเป็นบทส้ัน ๆ ท่ีสามารถร้องวนไปวนมาไม่รู้จบได้ ( เช่นเดียวกับ " ซอว้อง ") เรียกว่า" ค่าวว้อง "
ซ่งึ เน้ือหาจะไม่เกย่ี วกับความรัก แตจ่ ะกล่าวถึงเร่ืองราวของชวี ิตในสงั คม ซงึ่ ถ้าดูอย่างผิวเผนิ จะเปน็ บทจ๊อยท่ีสนุก ๆ
ไม่มีสาระอะไร แต่ถ้าพจิ ารณาอย่าง ลึกซง้ึ แล้วก็จะทราบว่าเนื้อหาจะแสดงถึงความขัดแยง้ ในสงั คมบางอย่าง
๓. บทจ๊อยประเภท " ค่าวก้อม " ค่าวก้อมมีลักษณะเป็นบทจ๊อยสั้น ๆ มักมีเนื้อหาค่อนแคะผู้หญิง
โดยบา่ วจะจ๊อยด้วยอารมณ์ขนั เป็นการยัว่ โมโหสาว ท้าใหบ้ รรยากาศในการเดินไปแอว่ สาวครืน้ เครง สนุกสนาน
จ๊อย” จึงเป็นการขับล้านา้ อย่างหนง่ึ ของภาคเหนอื เป็นถ้อยค้าที่กล่าวออกมาโดยมีสัมผัสคล้องจองกนั
เป็นภาษาพ้ืนเมือง ออกเสียงสูง ๆ ต้่า ๆ เป็นท้านองเสนาะ ฟังแล้วจะเกิดความไพเราะ สนุกสนานไปตาม
ท่วงท้านองจ๊อย จัดอยูใ่ นวรรณกรรมประเภท “ค่าว” และ ”ซอ” โดยท่ัวไป “จอ๊ ย” จะเป็นการขับล้าน้าท่ีหนุ่ม
ชาวเหนอื ขับร้องเพือ่ จะได้มเี สียงร้อง เปน็ เพ่อื นขณะเดนิ ทางไปแอ่วสาวในเวลากลางคนื การจ๊อยไมจ่ ้าเป็นต้อง
มีเครือ่ งดนตรีประกอบเหมือนอยา่ งซอ แต่บางครงั้ บา่ วอาจจะดีดซงึ ดดี เป๊ียะหรอื สสี ะล้อคลอไปด้วยก็ได้ ในอดีต
การท่ีหนุ่มสาวจะตกลงปลงใจยินยอมมาใช้ชีวิตร่วมกันฉันท์สามีภรรยานั้น จะต้องเร่ิมต้นมาจากการได้พบประ
พดู จา ดอู ปุ นสิ ยั ซงึ่ กันและกันนานพอสมควร เม่อื เหน็ ว่ามีอปุ นิสยั ที่คลา้ ยคลึงกนั หรือ มีความพอใจซ่งึ กนั และกัน
ก็จะมีการหมน้ั หมายแตง่ งานกนั
ลักษณะเด่น
1. การอ่านแบบธรรมดา เรยี กวา่ “คา่ ว”
2. ถ้ามีการอนิ้ เสียงข้ึนไป เรยี กว่า “คา้ คา่ ว”
3. ถา้ อิ้นเสียงให้ยาวข้ึนไปอีก เรยี กวา่ “จอ๊ ย”
ท้านองจอ๊ ย
1. วิงวอน มีลักษณะทา้ นองท่หี ้วยโหน
2. โก่งเฮวบง มีลกั ษณะทา้ นองทขี่ ้ึนๆ ลงๆ
3. ม้ายอ่ ง มีลักษณะทา้ นองที่เร็ว
รูปแบบการอา่ น
❖ อ่านท้านองโกง่ เฮยี วบง
การอ่านแบบลีลาช้ามีเอื้อน และใช้เสียงยาวสั้นไป
ตามจงั หวะดนตรี โดยนยิ มอ่านเรือ่ งตา่ ง ๆ ใหค้ นฟัง เชน่ อ่านคา่ วซอ ตามเรือนเย็น (บ้านทมี่ ศี พ) หรือตามบ้าน
ทีน่ ิยมฟงั นยิ ายเรือ่ งจักร ๆ วงศ์ ๆ ถ้าเปรยี บเทยี บกับภาคกลางคือการอ่านทา้ นองเสนาะ
❖ อา่ นทา้ นองวิงวอน
การอ่านแบบต้องการให้ผู้ฟังเกิดความสงสารเมตตา เพราะลีลาเสียงเป็นท้านองสลดสังเวช
นิยมอ่านตอนเศร้าในเรอื่ งละครทีต่ ้องการจะให้สะเทือนอารมณ์ของผ้ฟู ัง
ผ้ทู ีถ่ อื ปฏิบตั มิ รดกภมู ปิ ัญญาทางวัฒนธรรม
ชอื่ นางสาคร พรมไชยา
ที่อยู่ 11 หมู่ 15 บา้ นสันติราษฎฐ์ ต้าบลงิ้ว
อ้าเภอเทงิ จงั หวดั เชยี งราย รหสั ไปรษณยี ์ 57160
หมายเลขโทรศพั ท์ 089 431 0383
พณิ อสี ำน 62
"พณิ อสี าน" เป็นเครื่องเสียงชนดิ นงึ่ ทอ่ี ยู่ค่กู ับคนอีสาน โดยภาคอีสานจะเน้นในเร่ือง พิณและแคน ซึง่ แคนจะ
เป็นการเป่า ส่วนพิณจะเป็นการบรรเลงด้วยการดีด ท้ามาจากธนู ซึ่งเป็นเคร่ืองดนตรีท่ีมีสายขึงเป็นรูปคันธนูใช้ดีด
เล่น พิณ จะมีหลายชนิดแตกต่างตามท้องที่ ในภาคอีสานของประเทศไทย และมีลักษณะคล้าย "ซึง" ของภาคเหนือ
หรอื มีรปู รา่ งคล้ายกีตาร์แตม่ ีขนาดเล็กกว่า จัดเปน็ เครือ่ งดนตรีประเภทเคร่ืองสาย โดยท่วั ไปมี 3 สาย ในบางท้องถ่ิน
อาจมี 2 หรือ 4 สาย
พิณอีสานจะมีเสียงกังวานสดใส สามารถบรรเลงเพลงได้ทั้งจังหวะอ่อนหวาน เศร้ารันทด และสนุกสนาน
คร้ืนเครง เข้าถึงอารมณ์แบบพื้นบ้าน พิณจึงเป็นเคร่ืองดนตรีช้ินเอกอีกช้ินหน่ึงของคนอีสาน มักใช้เล่นกับวง
ซอ โปงลาง แคน หมอลา้ กลองยาวและจะมีเครอื่ งดนตรปี ระกอบจังหวะ เชน่ กลอง กรับ ฉิ่ง ฉาบ โหวด
ทั้งน้ีภาคอีสานมีความหลากหลายด้านวัฒนธรรม ประเพณี แต่แคนและพิณถือเป็นเครื่องดนตรีหลัก
เพลงท่ีเลน่ ก็จะเป็นเพลงสนุกสนาน ร่าเรงิ เพ่ือกระตุ้นความรู้สกึ ให้กระปร้ีกระเปร่าสู้กับสภาพอากาศที่ค่อนข้างแห้ง
แล้ง ซ่ึงเป็นกลุ่มวัฒนธรรมแถบอีสานเหนือเป็นส่วนใหญ่ ในสมัยก่อนไม่นิยมประสมวงหรือการบรรเลงด้วยกันจะมี
เฉพาะประเภทกลองยาวแลเคร่ืองดนตรีผู้ไทเท่านั้น ส่วนมากนิยมเล่นเครื่องดนตรีต่าง ๆ เป็นเอกเทศหรือเล่นเดียว
ต่อมาภายหลังได้มีการประสมวงพิณ วงแคน วงโปงลาง ท่ีนิยมเล่นในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ส่วนวงดนตรีพื้นบ้าน
ทีเ่ ปน็ ของชาวบ้าน จะมีน้อยมากที่พอมีอยู่บ้างก็คือ วงเพชรพิณทองซงึ่ น้ามาเลน่ ร่วมกับวงดนตรีลูกทุง่ จนเปน็ ท่ีนิยม
แพร่หลาย และแพร่มายงั ภาคเหนือในปัจจุบัน
เสียงพิณอีสาน ที่ไพเราะ หวาน ซึ่ง สามารถดีเพลงเศร้า และตีให้มีความสนุกสนานคร้ืนเครงได้
ตามอารมณ์พื้นบ้าน ผูท้ รี่ ับฟังจะมีอารมณร์ ่วม และพณิ อสี าน ท้าจากไม้ทีม่ นี ้าหนักเบา คือ ไมข้ นนุ ไม้ประดู่ จงึ เป็น
เหตุท้าให้การดีดพิณอีสานมีเสียงที่ทุ้มกังวาน มีน้าหนักเบา ส้าหรับตัวพิณอีสาน ที่มีขนาดใหญ่และลึกจะมีเสียงดัง
กว่าตวั พณิ ท่ีมีขนาดเล็กและตื้น
ขน้ั ตอนการดดี พณิ อีสาน
ผู้ดีดพิณอีสานสามารถน่ังหรือยืนดีดก็ได้ ท่าน่ังควรวางตัวพิณไว้ขาขวาหรือขาซ้ายที่ถนัด สามารถน่ังได้
หลายแบบ เช่น น่ังขดั สมาธิ นัง่ พับเพียบ ตามแต่ผูท้ ี่ดีดถนดั การก้ามือซ้ายท่ี คอพณิ ควรกา้ อย่างหลวม เพ่อื สามารถ
เคลอื่ นยา้ ยนว้ิ ไปตามคอพิณได้สะดวก โดยใช้หัวแม่มอื ซ้ายซ้าย
วธิ กี ารบรรเลง
พิณอีสานต้องใช้สายผ้าหรือหนังผูกสายล้าตัวและปลายคันทวนแล้วเอาสายคล้องคอไวัให้ ต้าแหน่งของพิณ
อยู่ในระดับราบ มือขวาถือที่ดีดไว้ด้วยนิ้วช้ีและหัวแม่มือ การดีดพิณไม่นิยมดีดรัวเหมือนดีดแมนโดลินส่วนมาก
ดีดหนักเบาสลับกันไปเป็น จังหวะ ถ้าบรรเลงจังหวะช้าหรือปานกลางมักนิยมดีดลงทางเดียวจังหวะเร็วมักดีดท้ัง
ขึ้นและลง สายพิณทีใ่ ชเ้ ป็นหลกั ในการด้าเนินท้านองมีสองสาย คอื สายเอกและสายทุ้ม
โอกาสทใ่ี ชบ้ รรเลงพิณอสี าน
1. ใชเ้ ปน็ เพือ่ นแกเ้ หงา ชาวบา้ นทมี่ ีความช้านาญมกั หยบิ พิณมาดดี ในยามว่าง
2. ใชเ้ ปน็ นันทนาการระหว่างเพอื่ นฝงู ตามชนบทท่ีห่างไกล นนั ทนาการของชาวบ้านมักอาศยั ดนตรพี ืน้ เมือง
เปน็ พนื้ เพราะเป็นของทีม่ รี าคาถกู หรอื ไม่ต้องเสียคา่ ใช้จ่ายแต่อย่างไร
3. ใช้คบงันหรอื ฉลองงาน ไม่วา่ ชาวบ้านรวมกลกู่ ันที่ใด ดนตรีมกั เข้าไปมีบทบาทเสมอ เสียงดนตรพี น้ื เมืองมี
เสียงไมค่ ่อยดงั นกั จะใชม้ มุ ใดมุมหนึ่งฟังดนตรใี หส้ นกุ สนานกย็ ่อมทา้ ได้
ชือ่ เพลงทใ่ี ชบ้ รรเลงหลักๆ
เพลงปู่ป่านหลาน เป็นแนวเพลงเศร้า เกี่ยวกับการเล่าเร่ืองราวการเดินทางไกลในทุ่งกุลา หรื มีความหมาย
อกี ประการหน่ึงวา่ คนอีสานจะท้านาอย่างไรในเนื้อเพลงด้วย
ผ้ทู ถ่ี ือปฏบิ ตั ิมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม
ช่ือ นายภานุเดช ทิสวนนอก
ทอี่ ยู่ หมู่ 4 ต้าบลสนั ทรายงาม
อ้าเภอเทิง จงั หวัดเชียงราย ๕๗๑๖๐
หมายเลขโทรศัพท์ 085 706 4114
63
ลำบเปด็ (อำหำรอสี ำน)
"ลาบเป็ด" เกิดจากภูมิปัญญาชาวบ้านแต่ด้ังเดิมมาจากภาคอีสาน โดยตามประเพณีลงแขกเกี่ยวข้าว
เป็นประเพณไี ทยอกี อยา่ งหน่งึ ของชาวนาไทย ซึ่งชาวอีสานสว่ นใหญ่ จะชว่ ยงานกนั คนละมือละไม้ใช้เวลาไม่นาน
งานก็สา้ เรจ็ ลุลว่ งไปได้สมปรารถนา จึงได้ทา้ ลาบเป็ดรับประทานรว่ มกัน ตามญาติพ่ีนอ้ ง สกู่ นั กนิ ทง้ั น้สี า้ หรับอีก
ต้านานกล่าวว่า เกิดจากความนิยมเลี้ยงเป็ดไก่ ตามบ้านเรือน เพื่อกินไข่ เม่ือแม่เป็ดแก่ไม่ออกไข่แล้ว จึงน้ามา
เชือดท้าลาบเป็ด ซึง่ มกั จะมเี นื้อเหนียว หนงั หนา กรบุ กรอบ ปรงุ รสจัด ดับกลิน่ สาบเป็ด ดว้ ยเครอื่ งลาบสมุนไพร
กล่ินหอม เป็นภมู ิปัญญาทที่ า้ ให้เป็ดแกก่ ลายเปน็ อาหารอร่อย
ลาบเป็ดน้ันเป็นเมนูอาหารอสี านท่ีมรี สชาติแซบ่ นวั และมีกล่ินเฉพาะของเป็ดที่แตกต่างจากหมูและไก่
นอกจากน้เี นื้อเป็ดของทีอ่ ้าเภอเทิง ต้าบลสนั ทรายงาม จะไมม่ กี ลน่ิ สาป เพราะจะเนน้ การน้าเปด็ มาท้าเมนูลาบ
จึงต้องอาศัยรสจัดจ้านและกล่ินของสมุนไพรเป็นตัวช่วย ท้าให้ลาบเป็ดเป็นอาหารอสี านของอ้าเภอเทงิ อีกหนึ่ง
เมนทู ี่อร่อย และมีความหอมสมุนไพร
ทั้งนี้ ลาบเป็ดจะนิยมรับประสานกับผักสด ผักต้ม ผักลวก ผักแห้ง ผักดอง รวมถึงผลไม้บางประเภท
ก็สามารถนา้ มาแกล้มได้ ลาบเป็ดของอา้ เภอเทงิ โดยนายสว่าง เรอื งบญุ ก้านนั ตา้ บลสนั มะเค็ด มกี ารเร่ิมต้นจาก
ร้านเล็กๆ ธรรมดาๆ แต่ด้วยฝีมือมีรสชาติที่ถูกใจ ท้าให้มีผู้คนช่ืนชอบอย่างมาก จนเกิดเป็นภูมิปัญญาของ
อา้ เภอเทงิ ดา้ นความรู้และการปฏบิ ัติเกย่ี วกบั ธรรมชาติและจักรวาล (อาหาร)
ลาบเปด็ ของอา้ เภอเทงิ จะมลี ักษณะเดน่ โดยการน้าเป็ดเทศมาทา้ เพราะเป็ดเทศ เป็นเป็ดพน้ื เมอื งพันธุ์
เน้ือที่เล้ียงง่าย เติบโตเร็วสามารถใช้อาหารและวัตถุดิบท่ีมีในท้องถิ่นได้เป็นอย่างดีให้ผลตอบแทนในระยะเวลา
อันส้นั เพราะถ้าเปน็ เป็ดอ่นื จะไมม่ ีความอรอ่ ย จงึ ต้องเป็นเป็ดเทศเท่าน้ัน
ขัน้ ตอนการท้าลาบเป็ด
1.เร่ิมจากการช้าแหละเอาเนอื้ เปด็ เทศออก เอากระดกู ไว้ต้มนา้ ซุป แยกหนงั ออก เน้ือเอาหั่นซอยบางๆ
2.ตม้ น้าเปล่า ใส่ขา่ /ตะไคร้/ใบมะกรูด/รากผกั ชี ใส่เกลอื 2-3 ชอ้ นโตะ๊ น้าเดือดกใ็ ส่ชนิ้ ส่วนเป็ดที่แยก
ไวล้ งไปต้ม หร่ีไฟลงตุ๋นไปเรอ่ื ย ๆ จะได้เปอื่ ย เคร่อื งในพอสกุ กน็ า้ มาซอยบางๆไว้ใสใ่ นลาบ
3.หอมแดงซอยบางๆ แลว้ นา้ ไปเจยี วให้เหลอื งหอม พักไว้ ทอดใบมะกรูด พกั ไว้ หนังเปด็ ซอยชน้ิ บางๆ
น้ามาเจยี วตอ่ ให้เหลืองกรอบ พกั ไว้
4. ได้เครื่องครบแล้ว ก็น้าเนื้อเป็ดท่ีสับไว้กับเคร่ืองในที่ต้มหั่นไว้แล้ว ทุบกระเทียมใส่ 5-6กลีบ
แล้วนา้ ไปรวนใช้ไฟแรงปานกลาง ใส่นา้ ซปุ 1-2 ทัพพี คนๆใหเ้ นอื้ เป็ดพอสุก ไม่ต้องใหส้ ุกมาก เพราะเนื้อจะแข็ง
5. ปรงุ รสดว้ ย น้าปลา,มะนาว อยา่ งละ 2-3 ช้อนโตะ๊ ใสผ่ งนวั พรกิ ปน่ กับขา้ วควั่ ตามดว้ ยต้นหอมผกั ชี
โรยด้วย หอมเจียวหอมๆและหนงั เป็ดทอดกรอบๆ คนๆให้เขา้ กนั
ขนั้ ตอนการท้าน้าซุปลาบเปด็
1. น้ากระดูกเป็ดเทศ มาต้มครึง่ วนั 12 ช่วั โมง
2. ลอกเอาเฉพาะหนังเปด็ มาต้ม โดยการตม้ แยกระหวา่ งกระดกู และหนัง
3. จากนน้ั น้าหนังทต่ี ้มแลว้ หันเปน็ ชน้ิ ๆ
4. นา้ มารวมกับนา้ ซุปท่ตี ม้ กระดกู เป็ดเทศ
ผู้ที่ถอื ปฏิบตั มิ รดกภมู ิปญั ญาทางวฒั นธรรม
ชือ่ นายสวา่ ง เรืองบญุ
วัน เดือน ปเี กิด 16 กนั ยายน 2509
ท่ีอยู่ 131 หมู่ 6 ตา้ บลสันทรายงาม
อ้าเภอเทิง จังหวดั เชยี งราย ๕๗๑๖๐
หมายเลขโทรศัพท์ 085 706 4114
ผำ้ ไหมจำกตวั ไหม 64
วงจรชีวิตของตัวไหม
วงจรชีวิตของตัวไหมเริ่มจากไข่ฟักเป็นตัวหนอนไหม
ในระยะเป็นหนอนไหมจะมีการลอกคราบ 4 คร้ัง พอไหมสุก
จะพ่นเส้นใยห่อหุ้มตัวเองแล้วตัวหนอนก็จะเข้าดักแด้อย่ภู ายใน
รงั นน้ั เมื่ออายคุ รบดักแดก้ ็กลายเปน็ ตวั ผีเส้ือไหมเจาะรงั ออกมา
ผสมพันธ์ุและวางไข่ฟักเป็นหนอนต่อไปวนเวียนกันอยู่เช่นน้ี
(ตัวไหมในระยะที่เป็นดักแด้อยู่ในรังและระยะท่ีเป็นผีเสื้อไหม
จะไม่กินอาหารเลย
วงจรชีวติ ของตัวไหม
❖ ระยะไข่ 10-12 วนั
❖ ระยะตวั หนอน 19-25 วนั
❖ ระยะท้ารัง 2 วนั
❖ ระยะดักแด้ 10-12 วัน
❖ รวมระยะเวลาจากไข่จนเปน็ ผีเสอื้ ประมาณ 41-51 วนั
ผ้าไหมไทย เป็นผ้าไหมซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่าง
จากผ้าไหมทั่วไป คือมีแสงแวววาวเป็นมันเล่ือม เน้ือผ้าฟูไม่
เรียบ อ่อนนุ่ม มีน้าหนัก บางชนิดเป็นปุ่มปมอันเน่ืองมาจาก
ระดับคุณภาพซ่ึงเกิดในกระบวนการผลิตแต่ก็ท้าให้ได้รับความ
นิยมของคนบางกลุ่มเพราะดแู ลว้ มีความแปลกตา
การเตรียมการก่อนการเล้ียงไหมชาวบ้านจะต้องเตรียมการก่อนที่จะเริ่มต้นการเล้ียงไหมในแต่ละรุ่น
อปุ กรณ์การเล้ียงไหม มีดงั นี้
1. กระดง้ เลีย้ งไหม
2. มดี
3. เขียง
4. ตาข่ายถ่ายมูล
5. จอ่
6. ตะแกรงรอ่ น
7. ตะเกยี ง
8. ถังน้า
9. เขง่ หรอื ตะกร้าเก็บใบหม่อน
10. รองเท้าแตะ
11. สารโรยตัวไหม
12. ปูนขาว
การสาวไหม 65
1. การต้มรังไหม มีวัตถุประสงค์เพื่อท้าให้ sericin หรือ กาวไหมอ่อนตัวแล้วจะดึงเอาเส้นใยออกจาก
รังไหมได้ง่ายขึ้น เส้นใยสามารถคลายตัวออกอย่างเป็นระเบียบ และสางหาเงื่อนได้สะดวก น้าท่ีใช้ต้มรังไหม
ควรเป็นน้าสะอาด ไม่ขุ่น มีความเป็นกรด-ด่างปานกลาง เช่น น้าฝน น้าประปาท่ีใส่โอ่งเก็บไว้นาน ต้มให้ร้อน
แต่ไม่เดือด โดยสังเกตเห็นไอน้าที่ปากหม้อ และฟองอากาศเล็ก ๆ ลอยออกมาทั่วปากหม้อ หรือใช้น้ิวจุ่มดู
รู้สึกว่าร้อน มีอุณหภูมิประมาณ 82-89 องศาเซลเซียส น้ารังไหมท่ีเตรียมไว้ลงต้มในหม้อ 2 ก้ามือใหญ่
(ประมาณ 120-150 รัง) ใช้ไม้คีบกดรังไหมให้จมน้าไปมา 4-5 ครั้ง นาน 1-2 นาที เรียกว่า การต้มรังไหม
จากนั้นยกไม้คบี เกลย่ี รงั ไหมขนึ้ ปมเส้นไหมจะหลดุ จากรงั ไหมตดิ ไมค้ บี ขน้ึ มา
2. การพันเกลียวเส้นไหม เม่ือเส้นไหมติดไม้คีบเกลี่ยรังไหมข้ึนมา ใช้มือรวบเส้นไหมที่ติดกับไม้คีบดึง
ขนึ้ มา แล้วสอดเส้นไหมใสร่ ตู รงกลางพวงสาว ดงึ ข้ึนไปพนั กับลูกรอกของพวงสาว 1 รอบ และพันเกลียวเส้นไหม
7-9 รอบ แลว้ ดงึ เสน้ ไหมผา่ นพวงสาวไหมลงภาชนะทีเ่ ตรยี มไว้ และท้าการสาวไหม หรอื ดึงเส้นไหม จนเสน้ ไหม
เปลือกนอกหมด ภาชนะท่ีเตรียมไว้ใส่เส้นไหมโดยมีวัสดุท่ีมีน้าหนักพอประมาณทับไว้ เช่น เมล็ดนุ่น ข้าวสาร
เมด็ มะขาม เพ่อื ช่วยให้เส้นไหมไม่พนั กันเวลากรอเสน้ ไหมไปทา้ เขด็ หรือไจไหม
ผู้ทถ่ี ือปฏบิ ตั มิ รดกภมู ปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม
ชื่อ นางจุฑาทพิ หยงสตาร์
ทอ่ี ยู่ 34 หมู่ 12 ต้าบลเวยี ง
อ้าเภอเทิง จังหวดั เชยี งราย ๕๗๑๖๐
หมายเลขโทรศัพท์ 086 191 5552
เสอื่ ก66ก
การทอเสื่อมีมายาวนานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากชาวบ้านส่วนใหญ่ท้าอาชีพเกษตรกรรม
เมื่อว่างจากการท้าเกษตรกรรม ก็จะมีการประกอบอาชีพเสริม วิธีการทอเส่ือหรือในภาษาอีสานเรียกว่า
การต่้าสาด เพื่อนา้ มาใช้ในชวี ติ ประจา้ วนั และสร้างรายได้ บางครวั เรือนกท็ า้ เปน็ อาชีพหลกั เพ่ือสรา้ งรายได้ให้แก่
ครอบครวั การทอเสอื่ เป็นภมู ิปัญญาของคนในทอ้ งถ่ิน ทนี่ า้ เอาตน้ กก ตน้ ไหล หรือตน้ ผอื มาสอย พึ่งแดดใหแ้ ห้ง
แลว้ นา้ ไปยอ้ มสตี ามทต่ี อ้ งการ จากนน้ั นา้ ไปทอเป็นผนื ๆ เพ่ือนา้ ไปใช้งาน
ลักษณะของต้นกก
ต้นกกจะมีลักษณะเหมือนหญา้ แต่กกจะมีล้าตน้ เป็น ทรงสามเหลี่ยมหรอื สามมุม นอกจะมีลักษณะเป็น
ฝอยๆ ลา้ ต้นจะไม่แตกกง่ิ เหมือนพชื ชนดิ อน่ื ตน้ กกมกั จะเกิดข้นึ ในทช่ี ้นื แฉะ ข้ึนตามหนอง บึง
ลักษณะของตน้ ไหล
ไหลเป็นไม้ล้มลุก มีลักษณะเป็นทรงกลม แตกกอ ล้าต้นเหนียว ใบแพออกเป็นแฉกตรง ไม่ห้อยรูปเหมือนกก
เป็นไมท้ ช่ี อบแดดนยิ มปลกู ในดินที่ช้นื ส่วนมากชาวบา้ นจะปลกู ไวข้ ้างบ้านของตวั เอง เวลาจะใชง้ านกจ็ ะสะดวก
ลกั ษณะของต้นผือ
ตน้ ผือจะมลี ักษณะคล้ายตน้ กกมาก จะมลี ักษณะเหมือนหญ้า ดอกจะมีลักษณะเป็นฝอยๆ มลี า้ ต้นตัน
และเป็นทรงสามเหลี่ยมเหมือนกันกับต้นกกแต่เหลี่ยมจะมีความคมกว่าล้าต้นไม่แตกกิ่ง มักเกิดตามท่ีชุ่มช้ืน
ขนึ้ ตามหนอง บึง หว้ ย
วิธีการทอเส่อื
ขั้นตอนที่ 1 การสอยต้นกก
❖ ตัดตน้ กกสด
❖ คัดเลือกต้นกกทีม่ ีขนาดเท่ากันไวด้ ว้ ยกนั
❖ นา้ ตน้ กกท่ีขาดแลว้ มาซอยเป็นเส้นเล็กดว้ ยใชม้ ีดแหลมปลายคม
❖ นา้ เส้นกกที่สอยแลว้ มาผึง่ ดดให้แห้ง
❖ พอตากเสร็จแล้วกม็ ัดเป็นมดั มดั แลว้ รอการย้อมสี
ขัน้ ตอนท่ี 2 การยอ้ มสี
❖ เลือกซอ้ื สีสา้ หรบั ย้อมกกสีต่างๆ ที่มีสสี นั สวยงาม เชน่ สแี ดง สชี มพู สีเหลอื ง สมี ว่ ง สเี ขียว เป็นตน้
❖ ก่อไฟด้วยไฟที่ใชต้ ้องสม้่าเสมอ
❖ นา้ ปีบ๊ ใสน่ ้าพอประมาณทว่ มเสน้ กกน้ามาตง้ั บนเตารอให้น้าเดือด พอน้าเดอื ดก็นา้ สีทีเ่ ลือกมาเทลง
❖ น้าเสน้ กบที่ขัดเลือกแล้วลงยอมจนเพียงพอ ท่ีจะใชใ้ นการทอ
❖ น้าเสน้ กกทยี่ ้อมสีแล้วลงล้างในนา้ เปล่าแลว้ น้าไปตากแดดจนแหง้ พอแหง้ แลว้ ก็น้ามามัดรวมกัน
โดยแยกเปน็ สีแต่ละสี
ข้นั ตอนท่ี 3 วธิ ีการทอเสื่อ
❖ กางโฮงสา้ หรับทอเสือ่
❖ นา้ เชอื กไนลอนสา้ หรับถอดเส้ือมาโยงใสฟ่ ืมจนเสรจ็
❖ ฟืม ทใี่ ช้ต้องมขี นาดเท่ากบั เส้นกก แตฟ่ ืมแต่ละฟมื ก็อาจจะใชท้ อลายไมเ่ หมือนกัน
❖ น้าเส้นกกท่ีย้อมสีมาตากจนแหง้ นา้ มาทอเสือ่
❖ เลือกสีและลายท่ีจะทอ จากน้นั กเ็ รม่ิ ทอจนได้เป็นแผ่นผนื
❖ เพราะทอเสรจ็ ก็ตัด แลว้ น้าไปตากแดดเพ่ือให้สตี ิดทนนาน หลงั จากนนั้ นา้ ไปเก็บไวใ้ นท่ีร่ม
ผทู้ ่ีถือปฏบิ ัติมรดกภูมปิ ัญญาทางวัฒนธรรม
ชื่อ กลมุ่ ผ้าไหม - เสื่อกกบ้านรอ่ งริม
ทอ่ี ยู่ 34 หมู่ 12 ตา้ บลเวยี ง อ้าเภอเทิง
จงั หวดั เชียงราย ๕๗๑๖๐
หมายเลขโทรศัพท์ 086 191 5552
คำ ข วั ญ อำ เ ภ อ พ ญ า เ ม็ ง ร า ย
ชื่อเป็นสง่า คุ้มพญาเด่น
ร่มเย็นตาดควัน มิ่งขวัญปูล้าน
สภาวัฒนธรรมอำเภอพญเม็งราย
อำเภอพญำเมง็ รำย 68
ประวัติควำมเป็นมำ
อดีตพื้นที่อำเภอพญำเม็งรำยท้ังหมดอยู่ในเขตปกครองของอำเภอเทิง จังหวัดเชียงรำย ประกอบด้วย
เขตปกครอง 3 ตำบล คือ ตำบลไม้ยำ ตำบลแม่เปำ และตำบลแม่ตำ ด้วยเหตุทั้ง 3 ตำบล ต้ังห่ำงจำกอำเภอเทงิ
กำรคมนำคมไม่สะดวกยำกแก่กำรดูแลบริกำรประชำชน และมีพ้ืนที่กว้ำงขวำงถึง 620 ตำรำงกิโลเมตร ทำงรำชกำร
เล็งเห็นว่ำในอนำคตต่อไปพ้ืนท่ีตรงน้ีน่ำจะเป็นศูนย์กลำงเชื่อมติดต่อกับอำเภอใกล้เคียงได้ และมีแนวโน้มจะ
เจริญรุ่งเรืองเป็นเมืองที่มีควำมสำคัญเมืองหนึง่ จึงได้ขอดำเนินกำรจัดตั้ง “กิ่งอำเภอ” เม่ือตกลงจะยกฐำนะพื้นที่
ตำบลแมเ่ ปำ ตำบลแม่ตำ และตำบลไม้ยำ ขึ้นเปน็ กิ่งอำเภอ และเป็นอำเภอตอ่ ไปกต็ อ้ งตง้ั ชอ่ื อำเภอ แต่ไมร่ ูจ้ ะต้งั ชอ่ื
อำเภออะไรจึงจะเหมำะสมและเป็นชื่อกลำงๆ เมื่อได้ประชุมปรึกษำผู้นำตำบล หัวหน้ำหน่วยงำน หัวหน้ำส่วนรำชกำร
หลำยฝำ่ ย มคี วำมเห็นรว่ มกนั ว่ำควรใช้ชือ่ ว่ำ “พญาเม็งราย” ดว้ ยเหน็ ว่ำพื้นทีท่ ้ังหมดเคยเปน็ บำ้ นเมอื งแหลง่ ชุมชน
โบรำณมำแล้ว มิไดเ้ ป็นบ้ำนเมอื งใหม่ ดังปรำกฏซำกโบรำณสถำนรอ่ งคอื เวยี ง (คูเมือง) อยู่ทว่ั ไป หลักฐำนเหล่ำนั้น
ปรำกฏให้เห็นต้งั แต่พ้นื ทตี่ ำบลไมย้ ำข้นึ ไปจนถึงตำบลแม่เปำ และตำบลแม่ตำ ซำกวดั โบรำณที่ยังเหลอื ให้เหน็ อย่ำงเด่นชัด
ได้แก่ พระธำตุปูล้ำน พระธำตุปูตุ๋ง วัดร้ำงอีกมำกมำยแสดงให้เห็นร่องรอยว่ำเคยเป็นชุมชนโบรำณท่ีมีผู้อยู่อำศัย
หนำแน่นและเจริญรุ่งเรืองมำก่อน นอกจำกน้ันยังได้รบั ทรำบคำเล่ำขำนสืบต่อกนั มำว่ำ บริเวณหน่ึงในหมู่บ้ำนสันปำ่ สัก
ตำบลแม่เปำ (ขณะนั้น) เป็น “คุ้มพญำเม็งรำย” บ้ำงก็เล่ำว่ำเป็น “ซุ้มตั้งไก่ป่ำ” ของพญำเม็งรำยผู้สร้ำงเมืองเชียงรำย
เมื่อสืบค้นตำนำนพงศำวดำรประวัติศำสตร์เกี่ยวกับอำณำจักรล้ำนนำและพระรำชประวัติพญำเม็งรำย (มังรำย)
ปฐมกษัตริย์รำชวงศ์มังรำยผู้สร้ำงเมืองเชียงรำย เชียงใหม่ และสถำปนำ “รำชอำณำจักรล้ำนนำ” ก็พบว่ำ
เม่ือ พ.ศ.1811 พญำมังรำยได้ยกทัพไปตีเมืองผำแดงเชียงของ (ปจั จุบนั คืออำเภอเชยี งของ) เมื่อตีได้แลว้ กแ็ ต่งตั้ง
เสนำปกครองแล้วกลับไปประทับท่ีเมืองฝำง ควำมในตำนำนเมืองเหนือปรำกฏเพียงเท่ำน้ี แต่เม่ือนำมำผนวกกับ
คำเล่ำขำนว่ำมี “ซุ้มต้ังไก่” หรือ “คุ้มพญำเม็งรำย” ในบริเวณบ้ำนสันป่ำสัก ตำบลแม่เปำ (ขณะน้ัน) จึงสันนิษฐำนว่ำ
คร้ังเมื่อพญำมังรำยยกทัพไปตีเมืองเชียงของน่ำจะใช้เส้นทำงเสด็จผ่ำนมำบริเวณนี้ จึงปรำกฏคำเล่ำขำนสืบมำ
ด้วยควำมภำคภูมิใจว่ำบริเวณตรงน้ีเคยมีพญำมังรำยมำประทับอยู่ แม้จะเป็นกำรประทับเพียงชั่วครำวก็ตำมที
แต่ด้วยบุญบำรมีของพระองค์ท่ำนก็ทำให้ไพร่เมือง (รำษฎร) ร่มเย็นเป็นสุขและภูมิใจหำท่ีสุดมิได้ จึงได้เล่ำขำน
สืบกันมำยำวนำนเป็นเวลำกว่ำ 700 ปี ท่ีประชุมจึงมีมติอัญเชิญพระนำม “พญำเม็งรำย” มำตั้งเป็นช่ือกงิ่ อำเภอ
เพ่ือให้เป็นสิริมงคลแก่กิ่งอำเภอและประชำชนว่ำ “กิ่งอาเภอพญาเม็งราย” โดยได้รับกำรยกฐำนะเมื่อวันท่ี 5
พฤษภำคม 2524 โดยมีนำยนพพร ต้อนรับ เป็นปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้ำก่งิ อำเภอเป็นคนแรก สถำนท่ีตั้งอำเภอ
และส่วนรำชกำรต่ำง ๆ ตง้ั อยใู่ นหมบู่ ำ้ นสนั สะลกี ตำบลแม่เปำ เกือบทงั้ หมดในเวลำนน้ั
ปัจจุบัน อำเภอพญำเม็งรำยได้รับกำรยกฐำนะข้ึนเป็นอ ำเภอ
เม่ือวันท่ี 13 สิงหำคม 2530 โดยมีนำยประยูร วงษ์พำนิช เป็นนำยอำเภอคน
แรก มีพ้ืนที่กำรปกครอง จำนวน 5 ตำบล คือ ตำบลไม้ยำ ตำบลแม่ตำ ตำบล
ตำดควัน (แยกออกจำกตำบลแม่ตำ) ตำบลแม่เปำ และตำบลเม็งรำย(แยกออก
จำกตำบลแม่เปำ) ประชำชนชำวอำเภอพญำเม็งรำยได้พร้อมใจกันสละทรัพย์
แรงกำย แรงใจในกำรสร้ำง “คุ้มพญำเม็งรำย” และ “พระบรมรูปพญำเม็งรำย
ประทับนัง่ ” และอญั เชญิ ไปประดิษฐำนในคมุ้ ณ บำ้ นสนั ปำ่ สัก หมู่ 3 ตำบลเม็ง
รำย อำเภอพญำเม็งรำย จังหวัดเชียงรำย ไว้เป็นท่ีสักกำรบูชำและเป็นมิ่งขวัญ
แก่ชำวอำเภอพญำเม็งรำย ดังนั้น จึงมีคำขวัญว่ำ “ชื่อเป็นสง่า คุ้มพญาเด่น
รม่ เย็นตาดควนั มิ่งขวัญปูลา้ น” (อำจำรยอ์ นิ สม มลู ต๊ะ ผ้แู ต่ง)
คำขวญั อำเภอพญำเมง็ รำย
“ชอื่ เป็นสง่า คุ้มพญาเดน่ รม่ เยน็ ตาดควัน มิ่งขวัญปูลา้ น”
69
ลกั ษณะทำงกำยภำพ
อำเภอเมืองเชียงรำยตงั้ อยูท่ ำงตอนกลำงของจงั หวัด มอี ำณำเขตติดตอ่ กบั อำเภอและจังหวดั ข้ำงเคียง ดงั น้ี
- ทศิ เหนือ ตดิ ต่อกับอำเภอเชียงของ
- ทิศตะวนั ออก ตดิ ตอ่ กบั อำเภอขนุ ตำล
- ทศิ ใต้ ติดต่อกับอำเภอเทิง
- ทิศตะวนั ตก ตดิ ตอ่ กบั เวยี งชยั และอำเภอเวียงเชยี งร้งุ
แหล่งเรียนรู้/แหล่งท่องเท่ยี ว
1. ค้มุ พญาเม็งราย
ต้ังอยู่ที่บ้ำนสันป่ำสัก หมู่ 3 ตำบลเม็งรำย อำเภอพญำเม็งรำย จังหวัดเชียงรำย
อยู่ห่ำงจำกตัวอำเภอพญำเม็งรำย ประมำณ 4 กิโลเมตร เป็นท่ีสักกำระเคำรพ
นับถือของประชำชนอำเภอพญำเม็งรำยและอำเภอใกล้เคียง เป็นสถำนที่
ศักด์ิสิทธิ์ เคำรพนับถือ และในปีมหำมงคลที่พระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัวทรงมี
พระชนมำยุครบ 80 พรรษำ ชำวอำเภอพญำเม็งรำยได้จัดทำจตุคำมรำมเทพ
รนุ่ “คุ้มพญำเม็งรำยมหำรำชำโชค 50” ขึ้น เพือ่ นำรำยไดม้ ำบรู ณะคมุ้ พญำเม็งรำย
เพื่อให้สมพระเกียรติแลสวยงำม ให้เป็นสถำนท่ีท่องเท่ียวและสถำนท่ียึดเหนี่ยวจิตใจพ่อแม่พ่ีน้องชำวอำเภ
อพญำเม็งรำย และไดม้ ีกำรสมโภชค้มุ พญำเมง็ รำยหลังใหม่ เมือ่ วนั ท่ี 18 เมษำยน 2551
2. วัดพระธาตปุ ลู ้าน
ตั้งอยู่ทบี่ ำ้ นหว้ ยปลู ้ำน หมู่ 14 ตำบลไมย้ ำ อำเภอพญำเม็งรำย อยูห่ ่ำงจำกตัว
อำเภอประมำณ 8 กิโลเมตร ตั้งอยู่บนเนินเขำ เป็นท่ีสักกำระ เคำรพนับถือของ
ประชำชนบ้ำนห้วยก้ำงปูล้ำน หมู่ 14 ตำบลไมย้ ำ และประชำชนชำวอำเภอพญำเม็งรำย
เป็นอย่ำงมำก เป็นสถำนที่ศกั ด์ิสิทธ์ิเป็นท่ีเคำรพนับถือ พระธำตุปูล้ำนเปน็ วัดเก่ำแก่
ที่มีองค์เจดีย์อำยุร่วม 700 ปี และมีสถำปัตยกรรมเก่ำแก่ให้ศึกษำ มีกำรบูรณะเม่ือปี
พ.ศ. 2549 - 2550 โดยครบู ำพรชัย วรปัญโญ รว่ มดว้ ยพน่ี อ้ งชำวอำเภอพญำเมง็ รำย
3. วดั หมอกมุงเมือง
ตัง้ อยู่ทบ่ี ำ้ นห้วยเดือ่ หมู่ 1 ตำบลไมย้ ำ อำเภอพญำเมง็ รำย จงั หวัดเชียงรำย เปน็ สถำนที่
บำเพ็ญศำสนกิจของพระสงฆ์และประชำชนชำวตำบลไม้ยำ โดยมีครูบำพรชัย วรปัญโญ
เปน็ เจำ้ อำวำส ภำยในอโุ บสถมพี ระพทุ ธรปู ปำงไสยำสน์ ซ่ึงมลี กั ษณะงดงำมประดิษฐำนอยู่
4. อา่ งเก็บห้วยก้าง
ตั้งอยู่บำ้ นห้วยกำ้ งรัฐ หมู่ 6 ตำบลไม้ยำ อำเภอพญำเมง็ รำย จังหวดั เชียงรำย
เปน็ สถำนทีพ่ ักผอ่ นหย่อนใจของตำบลไม้ยำ แวดลอ้ มไปดว้ ยป่ำไม้ท่ีอดุ มสมบูรณ์
บริเวณอ่ำงเก็บน้ำมีร้ำนค้ำ และร้ำนอำหำรไว้บริกำรสำหรับผู้มำท่องเที่ยว และ
ที่สำคัญเป็นแหล่งกักเกบ็ น้ำไว้ใชใ้ นกำรทำกำรเกษตรของเกษตรกรตำบลไม้ยำ
5. วนอทุ ยานนาตกตาดควนั
ตั้งอยู่ที่บ้ำนแม่ตำน้ำตก หมู่ 6 ตำบลตำดควัน อำเภอพญำเม็งรำย จังหวัด
เชียงรำย มีสภำพป่ำท่ีค่อนข้ำงสมบูรณ์ จัดเป็นวนอุทยำนน้ำตกตำดควันเมื่อปี
พ.ศ.2545 เป็นแหลง่ ทอ่ งเทยี่ วและพกั ผ่อนหย่อนใจ น้ำตกตำดควนั เกดิ จำกลำห้วย
ที่ไหลมำจำกอำเภอเวียงเชียงรุ้ง จังหวัดเชียงรำย ซ่ึงอยู่ทำงทิศตะวันตกผ่ำนบ้ำนเย้ำ
แม่ตำ ตำบลตำดควัน น้ำตกมีควำมสูงชัน และสวยงำม และในฤดูหนำวจะเกิด
ละอองนำ้ มีลักษณะคล้ำยหมอกควันสขี ำวปกคลุม จึงได้ช่ือว่ำ “น้ำตกตำดควัน”
กำรเป่ำแคนมง้ 70
แคนม้ง หรือเก้งชนเผ่ำม้ง เป็นสมบัติล้ำค่ำที่สืบทอดกันมำ
ตั้งแต่สมัยอดีตจนถึงปัจจุบัน แคนม้ง คือเคร่ืองดนตรีประเภทเป่ำ
ที่สำคัญในชีวิตจิตใจของชำวม้ง เป็นสมบัติแห่งวัฒนธรรมชนเผ่ำ
และมีควำมหมำยเหมือนเป็นสำยสัมพันธ์เช่ือมระหว่ำงมนุษย์และ
โลกแห่งจิตวิญญำณ ดังน้ันแม้จะมีกำรอพยพย้ำยถิ่นฐำนไปอยู่
ท่ีไหน แต่เสียงแคนม้ง ก็ยังคงดังข้ึนในชีวิตชุมชนและตำนำน
เกีย่ วกบั แคนมง้ ก็ได้รับกำรเลำ่ ขำนใหแ้ กช่ นรุ่นหลัง
ชนเผ่ำม้ง เป็นคนท่ีรักดนตรี ชำวม้ง เรียกดนตรีช้ินนว้ี ำ่ “เก้ง” คนพื้นรำบเรียกกันว่ำ “แคน” แต่เดิมดนตรีท่ี
เรียกว่ำเก้ง ใช้ในกำรเป่ำเพื่อส่งวิญญำณของผู้ตำย เม่ือได้ยินเพลงจำกแคน แสดงถึงมีกำรตำย มีกำรลั่นกลอง
ประกอบ เมอื่ มีกำรตำยชำวม้งตอ้ งนำศพไปฝงั บนเขำ ผูน้ ำขบวนจะเดนิ เป่ำแคนเพอ่ื สง่ วิญญำณผ้ตู ำยใหไ้ ปสู่สวรรค์
ปัจจบุ ันกำรแสดงกำรเป่ำแคนมง้ ไดป้ รำกฏในงำนเทศกำลรนื่ เรงิ ต่ำง ๆ
และประกอบกับท่ำรำท่ีมีควำมอ่อนช้อยสวยงำม โดยเรียกว่ำ“รำแคน”
ซึ่งกำรรำแคนน้นั ก็มีหลำยทำ่ และแต่ละท่ำจะส่ือถึงควำมหมำยที่แตกต่ำงกนั
เสียงแคนสำมำรถสะท้อนอำรมณ์ควำมรู้สึกต่ำงๆ ท้ังควำมรักระหวำ่ งมนุษย์
ควำมรักธรรมชำติ ควำมรักของคนในครอบครัว สะท้อนคำอวยพรปีใหม่
หรือคำเชื้อเชิญเพื่อนฝูงไปเท่ียวงำนเทศกำลปีใหม่ซ่ึงเป็นงำนประเพณี
ทีจ่ ดั เปน็ ประจำทกุ ปขี องชำวชนเผำ่ ม้ง
ชำวม้งถือว่ำ หำกเป็นผู้ชำยต้องรู้จักเป่ำแคนและรำแคนได้หลำกหลำยท่ำและต้องใช้ขำได้อย่ำงคล่องแคล่ว
ซ่ึงกำรรำแคนมีลักษณะแข็งแกร่งเหมือนกำรแสดงมวย แต่ก็ต้องมีควำมอ่อนช้อย กำรฝึกเป่ำแคนก็ไม่ง่ำยอยู่แล้ว
และกำรเปำ่ และรำพร้อมกนั ย่ิงยำกกวำ่ หลำยเท่ำ ดังนัน้ จึงเปน็ เอกลกั ษณข์ องกำรเป่ำแคนมง้ ที่หนุ่มชำวมง้ ต้องฝึก
เป่ำแคนรำแคนต้ังแต่เด็กเพื่อที่จะสำมำรถเล่นได้ดีเม่ือเป็นหนุ่ม เป็นควำมเช่ือของชำวม้งว่ำผู้ชำยเผ่ำม้ง ถ้ำอยำก
ไดร้ บั กำรรบั รองว่ำโตเป็นหนุ่มแล้วต้องร้จู ักเป่ำแคน
สำหรับชนเผ่ำม้ง เสียงแคนเสมือนเสียงแห่งจิตใจที่สะท้อนคุณค่ำวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชนเผ่ำตน
กำรรำแคนต่ำง ๆ ล้วนแต่สะท้อนลีลำเนื้อร้องท่ีสนุกรื่นเริงและมีควำมหมำยเป็นมงคลเพื่ออวยพรให้ทุกคน
มคี วำมสุขและมคี วำมผูกพันใกล้ชดิ กนั มำกข้ึน
แคนม้ง หรือ เก้ง เป็นเครื่องดนตรีชั้นสูงของกลุ่มชำติพันธุ์ม้ง เป็นเคร่ืองดนตรีที่อยู่ในตระกูลเครื่องลม
ประเภททีม่ ที ่อเสียง ภำยในท่อมีลิน้ ทองเหลืองติดเข้ำไปกับตัวท่อ บรรเลงโดยวธิ กี ำรเป่ำเสยี งและดูดเสียง บทบำท
ของแคนมง้ ในสงั คมวัฒนธรรมชำวม้ง ถูกนำมำใช้ ๒ ลกั ษณะคอื
กำรนำแคนม้งมำบรรเลงงำนศพ ซึ่งเชื่อว่ำกำรบรรเลงเพลงมง้ เป็นเครื่องนำทำงดวงวิญำณของผู้ตำยไปหำ
บรรพบุรุษอีกภพหนึ่ง บทเพลงท่ีบรรเลงมีเนื้อหำควำมหมำยบอกเรื่องรำวให้ดวงวิญญำณรับรู้ สื่อสำรระหว่ำงโลกของ
มนุษยก์ ับโลกวญิ ญำณ
กำรนำแคนม้งมำบรรเลงบทเพลงทั่วไป เช่น ช่วงปีใหม่ม้ง ซึ่งมีเนื้อหำ และควำมหมำยเกี่ยวกับวิถีชีวิต
ควำมเปน็ อยู่ กำรเปรยี บเทียบเปรยี บเปรย เชน่ เพลงเกย่ี วกบั สำวสองคนที่ไม่มำหำกัน มีควำมหมำย ๒ ลกั ษณะคือ
๑) ต่ืนมำตอนเช้ำๆ มีไก่ตัวผู้อยู่หน้ำบ้ำน ไก่ขันร้องเป็นภำษำมนุษย์วำ่ อยำกได้สำวสวยมำเป็นคู่ แต่สำวคน
น้นั ไม่มำอยู่ด้วย เรำได้แต่เฝ้ำมองหำอย่ำงไรก็ไม่เจอ
๒) ไก่ตัวหน่ึงนำกระดง้ ฝัดข้ำวมำฝัดหำดูว่ำมีสำวอยู่ไหม ฝัดไปเรื่อย ๆ ก็ไม่เจอสำว ไปหำท่ีไหนก็ไม่เจอ จำกน้นั
เดินเขำ้ ไปหำที่สวนกหุ ลำบ ระหว่ำงนั้นไกต่ วั ผู้น้นั ก็โดนหนำมตำร้องเสียงดงั ลั่นบ้ำน
71
ขน้ั ตอนและวิธีกำรเป่ำแคนม้งในพิธีศพ
๑) ผู้ทำพิธีสวด เร่ิมพิธีสวดช้ีนำวิญญำณผู้ตำย ณ จุดท่ีเคยฝังรกของผู้ตำย (หำกมีกำรฝังรกไวห้ ลำยแหง่ จะมี
กำรสวดทุกจุดท่ีเคยฝังรก) เม่ือสวดเสร็จจึงมีกำรเป่ำแคนม้ง และตีกลอง ซ่ึงบทเพลงใช้สำหรับงำนศพเท่ำนั้น
กำรเป่ำแคนม้งให้ผู้เสียชีวิตไปแล้ว เป็นกำรเป่ำสื่อสำรกับผู้ตำยว่ำได้เสียชีวิตไปแล้ว และช้ีทำงแก่วิญญำณผู้ตำย
ให้ทรำบวำ่ จะเดนิ ทำงไปพบบรรพบุรุษที่ไหน เมือ่ พบภยั ศัตรจู ะต่อสอู้ ย่ำงไร กำรข้ำมนำ้ ข้ำมภูเขำสงู จะทำอย่ำงไร
กำรไปเกดิ ใหม่ต้องทำอย่ำงไร
๒) ช่วงเวลำในพิธีศพ กอ่ นรับประทำนอำหำรทกุ มื้อต้องเป่ำแคนม้ง ตีกลองพร้อมกับยิงปนื ๓ นดั และอกี เวลำหนึ่ง
ตอนเทย่ี งคนื ให้ปฏบิ ัติเหมอื นกนั จนกวำ่ จะจบพธิ ีศพ
๓) พิธีศพช่วงเวลำกลำงวัน ต้องเป่ำแคนม้ง เพื่อนำทำงวิญญำณผู้ตำยสู่ปรโลก ใช้บทเพลงนำทำงชื่อว่ำ “ช่องเก๋”
บทเพลงน้ีไม่เพียงเพือ่ นำทำงวญิ ญำณเท่ำน้ันยงั เป็นกำรสรำ้ งบรรยำกำศในงำนพธิ ี และทำให้ญำติพี่นอ้ งผู้ตำยรู้สกึ
สบำยใจหมดกงั วล ใหม้ คี วำมเชือ่ วำ่ วญิ ญำณจะไม่มีควำมทุกข์ ควำมยำกลำบำกตอ่ ไปอกี
๔) พิธีศพช่วงเวลำกลำงคืน ควำมหมำยของบทเพลงจะสื่อสำร เชิญชวนแขกอยู่เป็นเพ่ือนตลอดท้ังคืน สร้ำงบรรยำกำศ
ใหค้ ึกคัก อวยพรแขกทม่ี ำรว่ มงำนใหม้ คี วำมสุข
๕) พิธฆี ำ่ ววั ในช่วงตอนเยน็ ก่อนวนั ฝงั บรรดำญำตหิ ำพื้นที่ฆำ่ วัว และนำวัวเท่ำจำนวนลกู ชำยของผตู้ ำย จะทำ
พิธสี วดให้วัวเป็นผนู้ ำวิญญำณผู้ตำยไปสสู่ วรรค์ แลว้ จึงบรรเลงเปำ่ แคนม้ง และตกี ลอง เมือ่ เสรจ็ พิธจี ะร้อื หนังกลอง
ทิง้ ไว้บรเิ วณนัน้
ขอ้ หำ้ มของกำรเป่ำแคนมง้
๑) บทเพลงในพิธศี พไมน่ ยิ มนำมำเปำ่ เล่น ใช้เป่ำเฉพำะพิธีศพ
๒) เม่อื เปำ่ แคนมง้ ในพธิ ีศพตอ้ งตีกลองเสมอ ชำวมง้ เช่อื ว่ำ
เสยี งแคนเปรียบเสมอื นสิ่งคอยชนี้ ำทำงอยู่ข้ำงหนำ้ วญิ ญำณ
ผู้ตำย สว่ นกลองเสมอื นเพ่อื นที่มพี ลังคอยเดนิ ตำมอยู่ขำ้ งหลัง
๓) เพลงที่ใช้เป่ำในเวลำกลำงวันห้ำมใช้เป่ำในเวลำกลำงคืน
และเพลงทใี่ ช้เป่ำในเวลำกลำงคืนห้ำมใชเ้ ป่ำในเวลำกลำงวนั
กำรแสดงเป่ำแคนม้ง ได้นำมำแสดงในงำนกำรจัดกิจรรมมรดก
ภูมิปัญญำทำงวัฒนธรรม ภำยใต้โครงกำรจัดทำฐำนข้อมูลด้ำนศำสนำ
วัฒนธรรม และจำรีตประเพณีท้องถ่ิน ประจำปี 2564 ในวันท่ี 17
ธันวำคม 2564 ณ ศูนย์เรียนรู้กำรพัฒนำระบบกำรดูแลผู้สูงอำยุ
โดยชุมชนท้องถิ่น เทศบำลตำบลป่ำตำล อำเภอขุนตำล จังหวัดเชียงรำย
แสดงโดย นำยอำณกร แซ่โซง้ อำยุ 15 ปี นกั เรยี นโรงเรียนแม่หลวงอุปถัมภ์
ไทยคีรี หมู่ 5 ตำบลแม่เปำ อำเภอพญำเมง็ รำย จังหวัดเชียงรำย
ผูท้ ่ีถือปฏิบัติมรดกภมู ปิ ญั ญำทำงวฒั นธรรม
ช่ือ นำยอำณกร แซ่โซง้
ทอี่ ยู่ เลขท่ี ๒๓๑ หมู่ 5 บ้ำนขุนหว้ ยแมเ่ ปำ
ตำบลแม่เปำ อำเภอพญำเม็งรำย
จงั หวดั เชียงรำย 572๙0
หมำยเลขโทรศัพท์ 093 708 3645
72
ตม้ ไก่สมุนไพรสูตรโบรำณชนเผ่ำม้ง
ในปัจจุบันกลุ่มชำติพันธ์ุม้งส่วนใหญ่ยังคงนิยม รับประทำน
อำหำรม้งเหมือนเช่นในอดีต ซ่ึงเป็นอำหำรที่มีรสชำติจืด โดยไม่นิยม
ใส่เครื่องปรุงอำหำรใด ๆ อีกท้ัง ชำวบ้ำนยังนิยมนำพืชผักและ
สั ต ว์ เ ล้ี ย ง ข อ ง ต น เ อ ง มำประกอบเป็ นอำหำรในชี วิ ตประจ ำวั น
โดยมีเมนูอำหำรประจำของ ชำวม้ง เช่น ฟักทองต้มจืด ผักขมต้มจืด
ไกต่ นุ๋ สมนุ ไพรสูตรม้ง ขำ้ วมง้ แบบโบรำณท่ีทำจำกข้ำวโพด ผดั หรอื
ต้มผักพันธ์ุเมืองหนำว หมูซีกรมควัน และข้ำวเหนียวปิ้งสูตรม้ง
เปน็ ต้น
ต้มไก่สมุนไพรสูตรโบรำณ เป็นอำหำรเพ่ือสุขภำพท่ีนิยมทำกินกันหลังจำกทำไร่ทำสวน เพรำะเชื่อกันว่ำเป็นยำแก้
ปวดกลำ้ มเนอื้ และทำนเฉพำะในกลมุ่ ชำตพิ นั ธ์มุ ง้ โดยมีกำรรกั ษำภูมิปัญญำและสบื ทอดองค์ควำมรู้จำกร่นุ หนง่ึ ไปสู่อีกรุ่น
หน่ึงอย่ำงต่อเนื่อง สรรพคุณหลัก คือ บำรุงร่ำงกำย บำรุงกำลัง บำรุงกล้ำมเนื้อและเส้นเอ็น บำรุงโลหิต บรรเทำอำกำร
ปวดเม่ือยเนื้อตัว ปวดหลังและปวดเอว ส่วนสรรพคุณรองลงมำ ได้แก่ ผู้หญิงที่เลี้ยงลูกอ่อนจะช่วยในกำรขับนำ้ นมได้ดี
และมคี วำมเชอ่ื วำ่ หำกเจบ็ ปวดตรงไหนของร่ำงกำยก็ใหท้ ำนตรงน้ันจะทำให้หำยจำกอำกำรเจ็บปวดได้
ต้มไก่สมุนไพรสูตรโบรำณชำวม้ง เป็นอำหำรท่ีประกอบด้วยพชื สมุนไพรท้องถ่ินชนิดต่ำง ๆ มำกกว่ำ 10 ชนิด
โดยมีพืชสมุนไพรที่สำคัญและขำดไม่ได้ 5 ชนิด ได้แก่ ตะไคร้ เย้ชวนด่ัว จิงจูไฉ่ ว่ำนท้องใบม่วง และว่ำนน้ำ
เล็ก โดยพชื สมุนไพรแต่ละชนิดจะใส่ในปริมำณทม่ี ำกนอ้ ยแตกต่ำงกันไป ขนึ้ อยู่กบั ควำมชน่ื ชอบในรสและกลนิ่ ของ
ตัวพืชสมนุ ไพรนนั้ ๆ เช่น ตะไคร้ 2 ตน้ จิงจไู ฉ่ 1 กำมอื เย้ชวนดว่ั 3 เป็นต้น
วัตถุดิบหลักท่ีสำคัญ
❖ ไกก่ ระดูกดำ ❖ ตะไคร้ ❖ เย้ชวนด่ัว ❖ จงิ จูไฉ่
❖ วำ่ นท้องใบมว่ ง ❖ วำ่ นน้ำเลก็ ❖ เก็กฮวยป่ำ ❖ ผกั แพวแดง
❖ ช่วั เลียะ ❖ กำ้ มปูหลุด ❖ ชะซ้ง ❖ จิเตอเนง
❖ โสมคน ❖ ตเี ม ❖ ตีล่อ ❖ ก้อทู
เครื่องปรุง เกลอื พริกไทยดำ และสมุนไพรตำมธรรมชำติ
วิธีทำ
1. เตรียมวัตถุดิบให้พร้อม (ไก่กระดูกดำ สมุนไพรต่ำง ๆ เกลือ พริกไทยดำ
และนำ้ สะอำด)
2. ต้ังนำ้ ใสต่ ะไครล้ งไป ต้มใหเ้ ดือดจำกน้ัน ใส่ไก่ลงไปต้มต่อไปอกี 15 นำที
3. ใส่เกลือ และสมุนไพรต่ำง ๆ ต้มต่อไปอีกประมำณ 5 นำที แล้วยก
หม้อลง
4. นำพรกิ ไทยดำมำบดแลว้ ใสล่ งไป พร้อมรบั ประทำนได้
ผู้ทีถ่ อื ปฏิบตั ิมรดกภมู ิปญั ญำทำงวัฒนธรรม
ช่อื นำงสำวปรำณี พทิ กั ษ์จริ เดช
ทอ่ี ยู่ ๑๑๗ หมู่ 11 ตำบลแมเ่ งนิ อำเภอเชยี งแสน
จงั หวัดเชยี งรำย ๕๗๑๕๐
หมำยเลขโทรศัพท์ 065 019 9679
กำรตดั เย็บเส้อื ผำ้ 73
กำรตัดเย็บผ้ำ เป็นงำนฝีมือด้ังเดิมท่ีมกี ำรสืบทอดภมู ิปัญญำด้ำนกำรตัดเย็บ
จำกปู่ย่ำซ่ึงมีอำชีพตัดเย็บผ้ำท่ีเปน็ ผู้ที่มีควำมรคู้ วำมชำนำญด้ำนกำรตัดเย็บ
อย่ำงประณีต ต่อมำนำงธนำวดี จันทร์แก้ว ได้มีกำรเชิญชวนเพ่ือนบ้ำนเข้ำมำ
ฝึกกำรตัดเย็บ และได้สอนกำรตัดเย็บจนเกิดควำมชำนำญ จึงเกิดควำมรัก
ควำมสนใจในด้ำนนี้ และได้มีกำรรวมตัวกันจัดต้ังเป็นกลุ่มตัดเย็บเส้ือผ้ำ
บ้ำนแม่ตำต้นโพธิ์ หมู่ 11 เพื่อให้สมำชิกใชเ้ วลำวำ่ งใหเ้ กิดประโยชนจ์ ำกกำร
ประกอบอำชีพหลักมำทำอำชพี เสรมิ ในกำรตัดเย็บเส้อื ผ้ำ ซง่ึ สำมำรถเป็น
อำชีพเสริมท่ีสร้ำงรำยได้แก่ครอบครัวที่ม่ันคงได้ ตลอดจนเพ่ือรวมกลุ่มสมำชิกใช้เวลำว่ำงให้เกิดประโยชน์หลังทำ
กำรเกษตร และเพื่อเป็นกำรสรำ้ งงำนสร้ำงอำชีพและสรำ้ งรำยได้ใหก้ ับชมุ ชน/ท้องถน่ิ ได้เป็นอย่ำงดี
ส่ิงสำคัญของผลิตภัณฑ์ คือ กำรเลือกลำยผ้ำ และกำรออกแบบลำยผ้ำตำมควำมต้องกำรของลูกค้ำ ท้ังใน
จังหวัดและต่ำงจังหวัด เช่น ลูกค้ำที่สั่งตัดเสื้อเป็นทีม ต้องกำรลำยผ้ำรูปไหนเป็นพเิ ศษ ทำงกลุ่มก็สำมำรถทำและ
ตกแต่งลำยผ้ำให้เป็นที่ต้องกำรของลูกค้ำได้ ภำยใต้กระบวนกำรตัดเย็บท่ีพิถีพิถัน ประณีต เส้นด้ำยต้องเหนียว
ผ้ำสีไม่ซดี กระดมุ คงทน ผำ้ ซับในเหนยี ว และไม่หดเสียทรงเสียรูป
ขั้นตอนกำรตัดเยบ็ เสือ้ ผ้ำ
1. การวดั ตัว ใชเ้ ชอื กผูกเอวเพอ่ื ใหร้ ู้ตำแหนง่ ของเอว ยนื ตวั ตรง
2. การเตรียมผา้ กอ่ นตัด บำงคร้งั ผำ้ ท่ซี ื้อมำอำจถกู ตัดหรือชำยผำ้ ฉกี ทำให้เสน้ ดำ้ ยของเน้อื ผ้ำเสียรูปทรง แก้ไขได้
โดยดงึ มมุ ทุกมมุ ของผำ้ ใหเ้ ปน็ มุมฉำก
3. การสร้างแบบตัด จะต้องสร้ำงแบบตัดมำตรฐำน โดยใช้อุปกรณ์ได้แก่ กระดำษสร้ำงแบบ ดินสอดำ ยำงลบ
ไมบ้ รรทัด กรรไกร ดนิ สอสีน้ำเงินหรอื แดง
4. การตัดผ้าตามแบบ วำงแบบกระดำษลงบนผ้ำท่ีวำงบนโต๊ะเรียบ สำหรับผ้ำลำย ก่อนตัดควรดูให้แน่ใจก่อน
เพื่อเวลำท่ีต่อลำยจะได้เนียนสนิท จำกน้ันใช้เข็มหมุดกลัดกระดำษให้ติดกับผ้ำแล้วเผื่อเย็บโดยรอบด้วยกำรกด
ลูกกลิ้งลงบนกระดำษกดรอยไว้ทุกด้ำน ประมำณด้ำนละ 2 เซนติเมตร หรือ 1 นิ้ว และตัดผ้ำเป็นชิ้น ๆ ตำมแบบ
ท่กี ลดั ไว้
5. การทาเคร่ืองหมายบนผ้า มีอุปกรณ์สำคัญ คือ ลูกกลิ้ง กระดำษกดรอย และชอล์กเขียนผ้ำ ทำเคร่ืองหมำย
ที่ต้องกำรให้ปรำกฏบนผ้ำส่วนใหญ่ ได้แก่ กลำงหน้ำและกลำงหลังของเสื้อ ตะเข็บต่ำง ๆ เกล็ดกระโปรง กำงเกง
หรอื เส้อื รอยเผอื่ เย็บ ตำแหน่งตดิ กระเปำ๋ เปน็ ต้น ถำ้ มจี ักรเย็บผ้ำก็ใหเ้ ยบ็ กันลยุ่ ผ้ำแตล่ ะช้นิ ก่อน
6. การเนาผ้า เป็นกำรทำแนวเย็บผ้ำและยึดผ้ำแต่ละช้ินให้ติดกันเพ่ือป้องกันกำรเลื่อนของตำแหน่งผ้ำเวลำเย็บ
ซ่งึ เม่ือเย็บเสร็จกจ็ ะเลำะด้ำยที่เนำไวแ้ ลว้ ออกไป
7. การเย็บประกอบรูปร่าง โดยใช้เข็มสอยกับด้ำย หรือใช้จักรเย็บผ้ำ รวมถึงกำรติดกระดุม เย็บรังดุม ติดตะขอ ซิป
และสอยเก็บริม
ผู้ที่ถอื ปฏิบัติมรดกภมู ิปัญญำทำงวฒั นธรรม
ชื่อ นำงธนำวดี จันทรแ์ ก้ว
ท่ีอยู่ 29 หมู่ 11 ตำบลแมต่ ำ อำเภอพญำเม็งรำย
จังหวัดเชยี งรำย 572๙0
หมำยเลขโทรศพั ท์ 089 266 7231
คำขวัญอำเภอขุ นตาล
พระแสนแซ่คู่บ้าน
พระธาตุขุนตาลคู่เมือง
รอยพระบาทลือเลื่ อง
ขุนตาลเมืองคนดี
สภาวัฒนธรรมอำเภอขุนตาล
75
อำเภอขนุ ตาล
ประวัตอิ ำเภอขุนตาล
อำเภอขุนตาล มีประวตั คิ วามเปน็ มายาวนานมหี ลักฐานทางโบราณคดีและเอกสารตำนานตา่ งๆ
ระบวุ า่ เคยมกี ล่มุ ชนมาตง้ั รกรากตั้งแตส่ มยั ก่อนประวัตศิ าสตร์ ในบริเวณม่อนกองหนิ หรอื บริเวรม่อนศิลา
อาสน์ บา้ นพระเนตร และบริเวณลำหว้ ยตา้ ตำบลตา้ จากน้นั ชมุ ชนชนเผ่าก่อนประวตั ศิ าสตร์ซึ่งน่าจะเป็น
ชนเผา่ ลวั ะ ได้อพยพไปอย่ยู งั บริเวณอนื่ ๆ ทีอ่ ุดมสมบูรณ์กว่า
ในสมยั ต่อมามีชุมชนไทยวน คนเมืองทน่ี บั ถือพทุ ธศาสนาเขา้ มาตงั้ รกรากในบรเิ วณหนองอี่กว้ิ
บา้ นพระเนตร และบรเิ วณปา่ ใกล้กับวดั อภัยภิมุข (ตา้ หลวง) ในปัจจบุ ัน มหี ลกั ฐานคือจารกึ วดั พระเนตร ที่จารกึ
ใน พ.ศ. 2046 และจารกึ ฐานพระเจ้าแสนแซ่ วัดอภัยภมิ ขุ ท่จี ารึกเมื่อ พ.ศ. 2059 แสดงให้เหน็ วา่ มีชุมชน
คนเมืองที่นับถือพุทธศาสนาเป็นปึกแผนมานานไม่ต่ำกว่า 500 ปี หลังจากนั้นบ้านเมืองในบริเวณน้ี
นา่ จะประสบกับโรคอหวิ าหรอื ไม่ก็ภัยจากสงครามจงึ รา้ งไปอีกคำรบหนึ่ง
ต่อมาหลังจากที่กองทัพล้านนาขับไล่พม่าพ้นเมืองเชียงแสน ดินแดนอำเภอขุนตาล
เรมิ่ มีประชาชนจากเมอื งต่าง ๆ ในลา้ นนา อาทิ เมอื งน่าน เมอื งแพร่ เมอื งลำปาง อพยพมาตั้งบ้านเรือนอกี ครงั้
ในยุคตน้ กรุงรัตนโกสนิ ทร์ ในการอพยพมาครั้งนีบ้ ริเวณบ้านต้า บ้านป่าบง บ้านน้ำแพร่ และบ้านยางฮอม
นา่ จะเปน็ ชมุ ชนแรกๆ ตอ่ มาก็ขยายออกเป็นหลายๆ หมบู่ า้ น นอกจากคนเมอื งแล้ว ยังมชี าวไทยองอพยพ
มาจากเมอื งลำพนู มาอาศัยในหมบู่ ้านป่าตาล ชาวไทยองถือเป็นไทลอื้ กลมุ่ หนึ่งตงั้ ช่อื หมู่บา้ นตามช่อื เดมิ ในลำพูน
คือ บา้ นป่าตาล ตอ่ มามกี ารสรา้ งพระธาตขุ นุ ตาล จึงใช้ชอ่ื วา่ อำเภอขุนตาลในทสี่ ุด ชาวไทลื้ออีกกลุ่มอพยพ
มาจากแคว้นสิบสองปันนาผ่านประเทศลาว เข้าเมืองน่านแล้วอพยพต่อมาที่เมืองเชยี งคำ จังหวัดพะเยา
เพอ่ื เสาะหาทีท่ ำกินท่อี ุดมสมบรู ณ์ จากนน้ั จงึ อพยพมาอยู่ที่บ้านห้วยหลวง
นอกจากกลุ่มคนไท อันประกอบด้วย
ไทยวน ไทลื้อ แล้วยังมีชาวไทยภูเขา 2 เผา่ ทอี่ พยพเข้ามา
เป็นกลุ่มหลังสุดคือ ชาวเย้า (เมี่ยน) และชาวแม้ว (ม้ง)
ที่อพยพมาตั้งบ้านเรือนในช่วงสงครามระหว่างพรรค
คอมมิวนิสต์ (พ.ค.ท.) และรัฐบาลไทย ซึ่งต่อมาชาวม้ง
บางสว่ นไดเ้ ข้าร่วมกบั พ.ค.ท. ตอ่ สชู้ ิงอำนาจรฐั กบั รฐั บาล
และต่อมาได้กลับใจเข้าร่วมเป็นผู้ พัฒ นาชาติไ ท ย ใ น
ปี พ.ศ. 2525 หลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ 9 ทรงประทับรอย
พระบาทลงบนดอยพญาพิภกั ด์ิ - เทอื กเขาดอยยาวผาหมน่
สงครามจึงยุติ ชาวอำเภอขนุ ตาลจึงอยสู่ ุขสงบตั้งแต่นน้ั เป็นต้นมา
อำเภอขุนตาลจัดตงั้ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เมอ่ื วนั ท่ี 1 เมษายน พ.ศ. 2535 โดย
แบง่ พน้ื ที่ปกครองออกจากอำเภอเทิง ตั้งเป็นกง่ิ อำเภอขนุ ตาล และไดร้ บั การยกฐานะเป็นอำเภอขนุ ตาล เมื่อปี
พ.ศ. 2539 มีผลบงั คับใช้ตงั้ แตว่ ันท่ี 5 ธนั วาคม พ.ศ. 2539
ช่ือ “ขุนตาล” ที่นำมาต้งั เป็นช่ือของอำเภอขุนตาลน้ันไดม้ าจากหลักฐานทีป่ รากฏชัดแจ้งในปัจจุบัน
ว่า “ขุนตาล” นั้นน่าจะมาจากชื่อของพระธาตุขุนตาลอันเปน็ ปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นทีเ่ คารพของ
ประชาชนในบริเวณนี้ และทุกๆ ปใี นวันมาฆบูชาจะมกี ารสรงนำ้ และจดั กิจกรรมเป็นพทุ ธบูชาในชว่ งเทศกาล
ต่างๆ
76
แผนท่อี ำเภอขุนตาลโดยสังเขป
คำขวัญอำเภอขนุ ตาล
“ พระแสนแซค่ ู่บา้ น พระธาตุขุนตาลค่เู มอื ง รอยพระบาทลือเลือ่ ง ขุนตาลเมืองคนดี ”
ลักษณะทางกายภาพ
1. สภาพทั่วไป
อาณาเขตติดตอ่
▪ ทิศเหนือ ตดิ ตอ่ กับ ตำบลหว้ ยซอ้ และตำบลบญุ เรอื ง อำเภอเชยี งของ
▪ ทิศใต้ ตดิ ต่อกบั ตำบลเวยี ง และตำบลสันทรายงาม อำเภอเทิง
▪ ทศิ ตะวันออก ติดต่อกบั ตำบลปอ อำเภอเวยี งแกน่ และตำบลตบั เต่า อำเภอเทิง
▪ ทิศตะวนั ตก ติดตอ่ กบั ตำบลสนั ทรายงาม อำเภอเทิง ตำบลเม็งราย และตำบล
แมต่ ำ๋ อำเภอพญาเม็งราย
เน้ือท่ี
พนื้ ท่ที ้งั หมด 255.5 ตารางกิโลเมตร หรอื ประมาณ 159,687.60 ไร่ มีพ้ืนทีเ่ ป็นลำดบั ที่ 17 ของ
จงั หวัดเชยี งราย
77
2. สภาพภูมปิ ระเทศ
ลักษณะพน้ื ทโี่ ดยทว่ั ไปส่วนใหญเ่ ปน็ ที่ราบเชิงเขาจากทิศเหนือถึงทศิ ใต้ มลี ำน้ำอิงไหลโดย
ท่วั ไปเปน็ บรเิ วณที่ราบเชิงเขามีลกั ษณะพน้ื ท่ีลาดเอยี งจากแนวเทือกเขาดอยยาว ด้านทศิ ตะวันออกไปทาง
ทิศตะวันตกจรดถงึ แมน่ ำ้ อิง พืน้ ท่โี ดยรวมเปน็ แนวยาวตามเทือกเขาดอยยาว ขนานไปกบั เส้นทางหลวงแผน่ ดนิ
หลายเลข 1020 สภาพพ้ืนทีแ่ บง่ ออกเป็น 2 ลักษณะ คือ พนื้ ทีภ่ เู ขา ส่วนใหญ่อยู่ทางทิศเหนอื ทศิ ตะวันออก
และทางทศิ ตะวนั ตกของอำเภอ พน้ื ทรี่ าบลุ่มนำ้ และท่ีราบเชงิ เขา กระจายอยู่ทว่ั ไประหวา่ งหบุ เขาที่ทอดตัว
ตามแนวลำน้ำ ได้แก่ ท่รี าบลุม่ แม่นำ้ สายต่าง ๆ ซ่ึงเปน็ พนื้ ท่ีท่มี คี วามอุดมสมบรู ณ์เหมาะสำหรบั การเพาะปลูก
ทำการเกษตร
3. ลักษณะภมู ิอากาศ
ลักษณะภูมิอากาศเป็นแบบรอ้ นช้นื มี 3 ฤดู ได้แก่ ฤดูร้อน เรมิ่ ตั้งแตก่ ลางเดอื นกมุ ภาพนั ธ์ ถงึ
กลางเดือนพฤษภาคม อุณหภมู ิเฉลยี่ 28 องศาเซลเซียส ฤดฝู น เรมิ่ ตัง้ แต่กลางเดอื นพฤษภาคม ถึง กลางเดือน
กมุ ภาพนั ธ์ อณุ หภูมิเฉลี่ย 10 องศาเซลเซียส ปรมิ าณน้ำฝนตกมากทสี่ ดุ ในชว่ งเดือนสงิ หาคม ฝนตกนอ้ ยที่สุด
ในเดอื นกุมภาพนั ธ์ และฤดูหนาว
ขอ้ มลู แห่งเรียนรู้
แหล่งทอ่ งเทย่ี ว
คุ้มพญาเม็งราย
เป็นท่ีสักการะเคารพนบั ถือของประชาชนอำเภอพญาเม็งราย
และอำเภอใกล้เคียงเปน็ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เคารพนับถือ และในปี
มหามงคลท่ีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุครบ
80 พรรษา ชาวบ้านอำเภอพญาเมง็ รายได้จดั ทำจตุคามรามเทพรนุ่
“คุ้มพญาเม็งรายมหาราชาโชค 50” ขึ้นเพื่อนำรายได้มาบูรณะ
คุ้มพญาเม็งรายเพื่อให้สมพระเกียรติและสวยงาม ให้เป็นสถานที่
ท่องเท่ยี ว และสถานทยี่ ึดเหน่ียวจติ ใจชาวอำเภอพญาเมง็ ราย และไดม้ ี
การสมโภชคุม้ พญาเม็งรายหลังใหม่ เมือ่ วันที่ 18 เมษายน 2551
วัดพระธาตปุ ลู า้ น
เป็นทีส่ กั การะ เคารพนับถือของประชาชนบ้านห้วยก้าง
ปูล้าน และประชาชนชาวอำเภอพญาเม็งรายเป็นอย่างมาก
เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธ์ิเป็นที่เคารพนบั ถือ พระธาตุปูล้านเป็น
วัดเก่าแก่ที่มีองค์เจดีย์อายุร่วม 700 ปี และมีสถาปัตยกรรม
เก่าแก่ให้ศึกษา มีการบูรณะเมื่อปี พ.ศ. 2549 - 2550
โดยครูบาพรชยั วรปญั โญ รว่ มดว้ ยพีน่ ้องชาวอำเภอพญาเม็งราย
78
วดั หมอกมงุ เมือง
ตงั้ อยทู่ ี่บ้านหว้ ยเดื่อ หมู่ 1 ตำบลไม้ยา อำเภอพญาเม็งราย
จังหวัดเชียงราย เป็นสถานที่บำเพ็ญศาสนกิจของพระสงฆ์
และประชาชนชาวตำบลไม้ยา โดยมีครูบาพรชัย วรปัญโญ เป็น
เจ้าอาวาส ภายในอุโบสถมีพระพุทธรูปปางไสยาสน์ ซึ่งมีลักษณะ
งดงามประดษิ ฐานอยู่
อ่างเก็บห้วยก้าง
เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของตำบลไม้ยา รายล้อม
ไปด้วยป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ บริเวณอ่างเก็บน้ำมีร้านค้า และ
ร้านอาหารไว้บริการสำหรับผู้มาท่องเที่ยว และที่สำคัญเป็น
แ ห ล ่ ง ก ั ก เก ็ บ น ้ ำไว ้ใ ช้ ใน ก าร ทำก าร เก ษตร ขอ ง เก ษตรกร
ตำบลไมย้ า
วนอทุ ยานนำ้ ตกตาดควนั
มีสภาพป่าทค่ี อ่ นขา้ งสมบูรณ์ จดั เป็นวนอทุ ยานน้ำตกตาด
ควันเมือ่ ปี พ.ศ.2545 เป็นแหลง่ ท่องเทีย่ วและพักผ่อนหย่อนใจ
น้ำตกตาดควันเกิดจากลำห้วยที่ไหลมาจากอำเภอเวียงเชียงรุง้
จังหวัดเชยี งราย ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกผ่านบ้านเย้าแม่ต๋ำ ตำบล
ตาดควัน น้ำตกมีความสูงชัน และสวยงาม และในฤดูหนาวจะเกดิ
ละอองน้ำมลี ักษณะคลา้ ยหมอกควนั สีขาวปกคลมุ จงึ ได้ชอ่ื ว่า “นำ้ ตก
ตาดควนั ”
อ่างเกบ็ นำ้ ตำบลตาดควนั
มเี นื้อทป่ี ระมาณ 698 ไร่ สามารถบรรจนุ ำ้ ได้ 6.7 ล้าน
ลูกบาศกเ์ มตร อา่ งเก็บนำ้ ตาดควนั เกิดจากการไหลรวมตัวของ
ลำห้วยตาดควันและลำน้ำแม่ต๋ำ ซึ่งหล่อเลี้ยงผู้คนในตำบล
ตาดควัน และตำบลใกล้เคียง มีจุดชมวิวและมีแพสำราญ
ซงึ่ ได้รบั งบประมาณจากโครงการอยู่ดมี ีสุข ไวบ้ รกิ ารเพือ่ ล่องชม
ทศั นียภาพอา่ งเก็บน้ำ ชมพชื สวนทางการเกษตรของชาวตำบล
ตาดควนั และวถิ ีชีวติ ของชาวบา้ นในการหาปลาเพอื่ ยงั ชีพ
79
การขับซอ เปน็ การขับขาน หรือ การร้องร้อยกรอง
ที่เป็นภาษาคำเมืองหรือภาษาถิ่นเหนือมีฉันทะลักษณ์เฉพ า ะ
จัดเป็นศิลปะการแสดงพ้ืนบ้านของล้านนาที่เป็นภูมิปัญญาทาง
ภาษา ทไี่ ดส้ รา้ งสรรคไ์ ว้อย่างงดงามและทรงคุณคา่ แฝงด้วยคตธิ รรม
คำสอน แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความสัมพันธข์ องมนุษยก์ บั มนุษย์ ธรรมชาติ
และส่ิงที่อยูเ่ หนือธรรมชาตไิ ว้อย่างชดั เจน สะทอ้ นให้เหน็ เอกลักษณ์
ทางวัฒนธรรมที่สำคัญ มีความสัมพันธ์กับวิถีความเป็นอยู่ของ
ชาวลา้ นนาในดา้ นต่างๆ
การซอของแตล่ ะทอ้ งถน่ิ มีเครอ่ื งดนตรปี ระกอบและท่วงทำนองที่แตกตา่ งกัน และซอโต้ตอบ
ระหว่างชา่ งซอชายและช่างซอหญงิ ภาษาถิ่นเรยี กว่า “ค่ถู อ้ ง” มที ั้งการซอตามบทและปฏิภาณไหวพริบของ
ช่างซอ โดยนำเอาข้อมลู หรอื เหตกุ ารณต์ ่างๆ มาพรรณนาโวหาร ซงึ่ แฝงดว้ ยคติธรรมและคตโิ ลกตามลกั ษณะ
ของฉนั ทะลกั ษณข์ องแต่ละทำนองซอ
ซอเป็นเพลงพ้นื บา้ นท่ีเป็นภูมปิ ัญญาสบื ทอดมาจากบรรพบรุ ษุ ถึงช่ัวลูกช่วั หลานจนถึงทกุ วนั นี้
เป็นศลิ ปะทีใ่ ห้ความบนั เทงิ เพิม่ ความมชี วี ิตชีวาใหก้ บั งานกุศลหรอื งานรื่นเรงิ ทั่วไป ซอจงึ เป็นศิลปะพ้ืนบ้าน
คู่กับล้านนา ไม่ว่าจะเป็น หมอลำ ลำตัด เพลงอีแซว เพลงฉ่อย เพลงบอก หรือซอ ต่างก็เป็นการขับร้อง
ที่ใช้ภาษาถิ่นท่ีสะทอ้ นถึงศลิ ปะการแสดงพื้นบ้านของแต่ละภาคที่มคี วามโดดเด่นในการรอ้ งดน้ กลอนสด
โดยไม่มกี ารเตรียมหรอื แตง่ เนอ้ื ร้องไวล้ ่วงหน้า ศลิ ปนิ ตอ้ งมีความชำนาญ ความเช่ียวชาญจงึ สามารถด้นกลอน
สดๆ ไดแ้ ละตอ้ งมีการฝึกฝนดว้ ยความวริ ยิ ะอตุ สาหะ
นายศราวุฒิ เตมีศักด์ิ หรือ ครูดน เป็นผู้มีความรู้
ความเช่ยี วชาญดา้ นซอพ้ืนเมือง ท้งั การประพันธ์บทซอและ
การขับซอทุกทำนอง ด้วยน้ำเสียงที่มีพลังไพเราะ และมี
ปฏิภาณไหวพรบิ ดี สามารถประพันธซ์ อ ท่มี ีเน้ือหา เกี่ยวกับ
คติธรรม คุณธรรม ขอ้ คิด และแนวปฏบิ ัติ ด้วยความมงุ่ ม่ันท่ี
จะสืบสานการขับซอพื้นเมอื ง จึงไดถ้ า่ ยทอดความรูแ้ กน่ กั เรยี น
โรงเรียนเทศบาลปา่ ตาลและผู้สนใจ ซ่งึ ได้ท้ังสาระและความ
บันเทงิ ที่สามารถนำไปปรับใชก้ ับชีวิตประจำวันได้ ผลงานเป็น
ท่ปี ระจักษ์และยอมรับในพ้ืนทอี่ ำเภอขนุ ตาล
การขับซอนัน้ มีอยู่ ๒ ลกั ษณะซ่งึ แบง่ ตามเครื่อง
ดนตรีที่ใชใ้ นการบรรเลงประกอบ โดยแตล่ ะลกั ษณะ
นั้นจะมีวธิ ีการและข้ันตอนดังน้ี
๑. ซอซึง เรียกอีกอย่างว่า ซอเข้าซึง นิยมให้
ช่างซอเป็นหัวหน้าคณะ มีต้นแบบหรือกำเนิดท่ี
จังหวัดนา่ น จึงเรียกอีกอย่างวา่ ซอน่าน แต่นิยมซอ
ในเขตจงั หวดั แพร่ น่าน พะเยา ปจั จุบันซอนา่ น เปน็ ที่
นิยมท่วั ไป ชา่ งซอขับซอชา้ กว่าซอเชียงใหม่ มที ำนอง
ลอ่ งนา่ น ดาดแพร่ ลบั แล โดยไม่ต้องใช้ทำนองอ่ืนเป็น
ทำนองเช่ือม
80
๒. ซอป่ี เป็นการซอที่ใช้เคร่ืองดนตรีปี่จุมเป็นหลัก ซอปี่จึงเรียกอกี อย่างหนึ่งวา่ ซอเข้าปี่
นิยมให้ช่างซอหญิงเป็นหัวหน้าคณะ มีต้นแบบหรือกำเนิดทีจ่ ังหวัดเชียงใหม่ จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งวา่
ซอเชียงใหม่ นิยมซอในจังหวดั เชยี งใหม่ ลำพูน ลำปาง เชยี งราย แพร่ และแมฮ่ อ่ งสอน ในการขบั ซอขับซอเร็ว
บางคร้ังฟังไม่ค่อยทนั มซี อทำนองตัง้ เชยี งใหม่ ละม้าย เชยี งแสน จะปุ ออ่ื พมา่ (เชยี งใหม่) เสเลเมา (เง้ียว)
พระลอ เป็นต้น การเปลีย่ นทำนองและการใช้ทำนองค่อนขา้ งเคร่งครดั
ผู้ทถี่ ือปฏิบัติมรดกภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรม
ชอื่ นายศราวุฒิ เตมศี ักด์ิ
ที่อยู่ โรงเรียนเทศบาลตำบลปา่ ตาล
หมายเลขโทรศพั ท์ 080-1280126
81
กลุม่ ทอผา้ บ้านทุง่ ศรีเกิด
หมู่บ้านทุ่งศรี เป็นอีกหมู่บ้านหนึ่งที่มีการสืบทอด
ภูมิปัญญาด้านการทอผ้ามาจากบรรพบุรุษ โดยเดิมทีเป็น
การทอผ้าฝ้ายที่ทำเองทุกกระบวนการ ตั้งแต่ปลูกต้นฝ้าย
จนกระทั่งทอ แต่ในยุคสมัยในปัจจุบันไม่มีที่ดินสำหรับปลูก
ตน้ ฝา้ ย เน่ืองจากไปเปน็ บ้านเรอื นและท่นี า เสียส่วนใหญ่จงึ มกี าร
ทอผ้า โดยซื้อฝ้ายจากผู้จำหน่ายมาใช้แทน ชาวบ้านส่วนใหญ่
ประกอบอาชีพทำนา หรือเกษตรในยามที่ว่างจากการทำนา
ชาวบ้านจะรวมตัวกันหาอาชีพเสริมเพื่อเป็นการเพิ่มรายได้
ให้กบั ครอบครวั
ดว้ ยเหตุนี้ นางณฐมน จนั รยิ า ซงึ่ มคี วามรคู้ วามสามารถ
ดา้ นการทอผา้ จงึ ได้ชักชวนชาวบา้ นทม่ี ีความสนใจตรงกัน ต้ังกล่มุ
ทอผ้าข้ึนมาและมีผู้เข้ารว่ มเปน็ สมาชิก 13 คน ทำให้มีกลุ่มทอผา้
ของหมบู่ ้านเกดิ ขึ้น จนถงึ ปัจจบุ ัน
ลักษณะเด่นทเ่ี ปน็ อตั ลกั ษณ์
ซิน่ มดั ก่าน เอกลักษณ์เฉพาะตัวของบ้านทุ่งศรีเกิด คือผา้ ที่มีลวดลายของการมัดย้อมจาก
เส้นฝา้ ยธรรมชาติแลว้ นำมาผ่านการย้อมสธี รรมชาติ ผ้าซิน่ มดั กา่ นมักจะสะทอ้ นวิถีชีวติ และวัฒนธรรมของ
คนในชุมชน ท่แี ฝงไปดว้ ยคติ ความเชอื่ ในดา้ นตา่ งๆ ปัจจุบันมกี ารพัฒนาแปรรูปเปน็ ผลติ ภัณฑ์ ทเ่ี สริมรายได้
ใหแ้ กช่ มุ ชนดว้ ย ปจั จุบนั ได้นำมาปรบั ปรุงใหม้ ีรปู แบบและลักษณะทแ่ี ตกตา่ งออกไปจากของเดมิ โดยคิดนำ
ลายมุกมาผสมผสานกันอย่างลงตวั มคี วามสวยงาม และมคี วามโดดเดน่ เป็นเอกลักษณข์ องชมุ ชน
ข้นั ตอน/วธิ กี าร
1. นำฝา้ ยมาแชน่ ้ำขา้ วแปง้ 1 ช่ัวโมง
2. นำมาผงึ่ แดด
3. นำมากวกั
4. ดึงเส้นใหย้ าวประมาณ 100 เมตร
5. ต่อกับพมื ท่ีทอ
6. นำมาทอเปน็ ผ้าตามลวดลายทต่ี อ้ งการ
ผ้ทู ถี่ อื ปฏบิ ตั ิมรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรม
ชื่อ แม่บวั เรียว อโนราช
ทอี่ ยู่ เลขท่ี 181 หม่ทู ี่ 3 บ้านทุ่งศรเี กดิ ตำบลยางฮอม
อำเภอขุนตาล จงั หวดั เชยี งราย
หมายเลขโทรศัพท์ 084 – 3655997
82
การทำเทยี น ลดเคราะห์ สบื ชะตา รบั โชค
เป็นพธิ กี รรมทชี่ าวบา้ นทางเหนือของประเทศไทย เชอ่ื กนั ว่าเมื่อไดม้ กี ารทำพิธกี ารบูชาเทียน
น้ีแล้ว จะชว่ ยปอ้ งกันและปดั เปา่ ความโชครา้ ยและเคราะหร์ า้ ยตา่ งๆ ทอี่ าจเกิดขนึ้ กับตนเองให้รอดพ้นจาก
ภัยอันตรายต่างๆ และทำให้มีโชคลาภและอายุยืนยาว ความเชื่อในเรื่องการบูชาเทียนนี้ไม่ได้มีเฉพาะ
ชาวล้านนาทางภาคเหนอื เทา่ นน้ั แตย่ ังมีอีกหลายภาค หลายประเทศท่ีมคี วามเช่อื แบบเดยี วกนั แตใ่ นพิธีการ
ทำเทยี นน้นั อาจคล้ายคลึงกันหรือแตกตา่ งกันออกไป ซ่งึ เป็นสงิ่ ท่ีพุทธศาสนกิ ชนร้จู ักคุ้นเคยเปน็ อย่างดี
เทียนท่จี ะใชใ้ นการพิธีบูชาเทยี นนี้ แบ่งออกได้ 3 ประเภทใหญๆ่ ดงั น้ี
1. การบชู าเทียนสะเดาเคราะห์ ใช้จดุ เพ่ือปัดเป่าส่ิงชั่วร้าย
และภยั อนั ตรายท่จี ะเกิดขนึ้ ออกไปจากตนเอง
2. การบชู าเทียนสบื ชะตา ใชจ้ ุดเพือ่ ตอ่ อายุตนเอง ให้มีอายุ
ยนื ยาวและมสี ขุ ภาพร่างกายที่แข็งแรงไมป่ ่วยไข้
3. การบูชาเทียนรบั โชค ใหจ้ ุดเพอ่ื เป็นการเสรมิ ดวงชะตาตาม
ราศี ทางด้านโชคลาภใหม้ โี ชค มีลาภแก่ตนเอง ถูกหวย
รวยทรพั ย์ ได้ขายท่ีดนิ ทส่ี วน ท่นี า ท่บี ้าน เปน็ ตน้
การบชู าเทยี นเป็นพธิ กี รรมทางศาสนาของชาวล้านนาไทย ซง่ึ มีคติความเชือ่ ของชาวล้านนา
หรอื ชาวบ้านทางภาคเหนอื ของประเทศไทยว่า เป็นสงิ่ ท่ที ำกันมาตง้ั แต่สมยั อดีตจนถงึ ปจั จุบัน ซ่ึงเช่ือกันว่า
การกระทำเชน่ น้ี จะทำใหเ้ กิดแตง่ สงิ่ ทด่ี ๆี ขึ้นกับชวี ิตของตวั เอง และตามความตอ้ งการของผทู้ ำ
ผทู้ ีถ่ ือปฏิบัติมมรดกภูมปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม
ชอื่ พระอาจารยว์ ิเศษสิษฏ์ จารปุ ณุ ณวโํ ส
ท่ีอยู่ 239หมู่ 7 ตำบลต้า อำเภอขนุ ตาล จังหวัด
เชียงราย
หมายเลขโทรศพั ท์ 062-0041372
83
ฟอ้ นพื้นบ้าน “มิง่ ขวัญครี ีศรีขนุ ตาล”
การฟ้อนม่ิงขวัญครี ศี รขี นุ ตาลเปน็ การฟอ้ นที่เป็นเอกลักษณ์
ของอำเภอขนุ ตาล ซง่ึ เป็นการเลา่ ถึงประวัติอำเภอขุนตาลตามคำขวัญ
คอื “พระแสนแซ่คูบ่ า้ น พระธาตขุ ุนตาลคเู่ มือง รอยพระบาทลอื เล่ือง
ขุนตาลเมืองคนดี” ในรูปแบบค่าว และลีลาฟ้อนแบบทางเหนือ
ประกอบเพลงซงึ่ เป็นลลี าการฟ้อนที่สวยงามแบบล้านนา
มกี ารแตง่ กายตามวัฒนธรรมพื้นบา้ นของอำเภอขนุ ตาล เป็น
ลิขสิทธิ์ผลงานทางวิชาการของอาจารย์รัชนีกรณ์ เหล่าภักดี และ
ลขิ สิทธิข์ องนักเรียนโรงเรียนผู้สูงวยั เทศบาลตำบลปา่ ตาล ท้ังยังเป็น
ผลงานทีส่ ร้างช่อื เสยี งใหอ้ ำเภอขนุ ตาล จะใชก้ ารฟ้อนชุดนี้อีกชุดหนึ่ง
เป็นชุดฟ้อนพื้นบ้านเพื่อต้อนรับผูม้ าเยือนอำเภอขนุ ตาล
การสบื สาน สร้างสรรค์ และพฒั นาต่อยอด
โรงเรยี นผู้สูงวัยเทศบาลตำบลปา่ ตาล อำเภอขุนตาล เปน็ ตน้ แบบ สบื สาน สืบทอด แกอ่ นุชน
รุ่นต่อรุ่น คอื เด็กนักเรียน กลุ่มพัฒนาสตรีแมบ่ า้ น ท่ีเป็นศิลปะวนั ธรรมการฟอ้ นพื้นบ้านล้านนาทางเหนือ
และสร้างจิตสำนึกให้กลุ่มต่างๆ ให้มีต่อวฒั นธรรมท้องถิ่น โดยสอดแทรกการแสดงแบบล้านนาท้องถิ่น
ในงานตา่ งๆ ของชมุ ชน
ให้โอกาสผ้ทู ี่สนใจได้มโี อกาสในการสัมผสั ฝกึ ซ้อมการฟอ้ นมิง่ ขวัญคีรีศรีขนุ ตาล อีกทัง้ จัดเวที
ใหท้ กุ กลมุ่ มโี อกาสแสดงออกระดับอำเภอถึงวัฒนธรรมท้องถ่นิ ที่มีอยู่ นอกจากนี้ อำเภอขนั ตาลยงั ได้ประสาน
เทศบาลตำบลป่าตาล ส่งเสรมิ การฟอ้ นครี ีศรีขนุ ตาล ให้เป็นนวัตกรรมการออกกำลงั กายเพอ่ื สุขภาพประจำ
ตำบล โดยมีการประชาสัมพันธ์ผ่านสือ่ ทางวิทยุกระจายเสียงทีข่ ้าพเจ้าทำหน้าทีน่ ักจัดการายวิทยุชมุ ชน
เพ่อื คนท้องถนิ่ ตำบลป่าตาล ผา่ นส่อื Application Line ผ่านกลุม่ ต่างๆ เพ่ือให้เกดิ การซึมซับอย่างต่อเนื่อง
และสบื ทอดต่อไป
ผู้ทถ่ี อื ปฏิบตั ิมรดกภมู ปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม
ชอื่ นางศรวี รรณา รู้ทำนอง
ทอ่ี ยู่ 28 หม่ทู ่ี 10 ตำบลป่าตาล อำเภอขุนตาล
จังหวดั เชียงราย 57340
หมายเลขโทรศัพท์ 087-175-8685
84
สมุนไพรหมอสนั่น
พ่อสนั่น กิตตศิ ักดิ์เจริญ เป็นผู้มีความรู้เรื่องสมุนไพร
และภูมิปัญญาในการรักษาโรค ได้บริหารจัดการพื้นที่รอบๆ
บรเิ วณบ้านของตนเอง โดยไดน้ ำพืชสมนุ ไพรหลากหลายชนดิ มา
ขยายพนั ธ์เุ พ่อื นำไปผลิตเป็นยาสมุนไพรต้ังแต่ปี พ.ศ. 2549
สมุนไพรหมอสนน่ั เป็นภูมิปญั ญาท้องถิ่นด้านสมุนไพรที่ได้รับ
การยอมรับ โดยพ่อหมอสนั่นได้รับรางวัลและเกียรติบัตร
มากมาย
สมุนไพรหมอสนน่ั มีผลิตภณั ฑ์มากมายหลากหลาย อาทิเชน่
1. นำ้ มนั ไพลสด
สรรพคณุ : ใชท้ านวดบรรเทาอาการปวดตามร่างกาย เคล็ดขัดยอก เสน้ เอ็นตึง
แก้เส้นเอน็ พกิ าร ฟกชำ้ ปวดบวมตามข้อ
สว่ นประกอบสำคญั : ไพลสด,ขมน้ิ ชนั ,หญ้าเอ็นยืด,กระดกู ไก่ดำและสมุนไพรอน่ื ๆ
2. สมุนไพรดองเหลา้
สรรพคณุ : ช่วยบรรเทาอาหารปวดหลัง ปวดเอว ช่วยให้เจรญิ อาหาร
บำรงุ ร่างกาย
ส่วนประกอบสำคัญ : ฮอ่ สะพายควาย และสมุนไพรอนื่ ๆ
3. ยาหมอ่ งไพลสด
สรรพคุณ : บรรเทาเคลด็ ขดั ยอก แก้ปวดเม่อื ย วงิ เวยี นศรีษะ
สว่ นประกอบสำคญั : ไพลสด
4. ลกู ประคบสมนุ ไพร
สว่ นประกอบสำคัญ : ไพล, ผิวมะกรูด, ขมิ้น, ใบสม้ ป่อย, ตะใคร้บ้าน,
ใบมะขาม, พมิ เสน, การบูร, เกลอื แกง
ผู้ทถ่ี ือปฏิบตั ิมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม
ชื่อ นายสนัน่ กติ ติศักดิ์เจริญ
ท่ีอยู่ บ้านเลขท่ี 14 หมู่ที่ 15 ตำบลยางฮอม
อำเภอขุนตาล จังหวดั เชียงราย
หมายเลขโทรศพั ท์ -
คำ ข วั ญ อำ เ ภ อ เ ชี ย ง ข อ ง
หลวงพ่อเพชรคู่เมือง
ลือเลื่ องปลาบึกหาดไคร้
แหล่งผ้าทอน้ำไหล
ประตูใหม่อินโดจีน
สภาวัฒนธรรมอำเภอเชียงของ
อำเภอเชยี งของ 86
ประวตั ิควำมเป็นมำ
เชียงของเคยรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยหิรัญนครเงินยาง (เชียงแสน) ช่ือในภาษาบาลีคือ "ขรราช" ต่อมามีฐานะ
เป็นเมืองช่ือ "เมืองเชียงของ" ขึ้นอยู่ในความปกครองของเมืองน่าน โดยกษัตริย์น่านได้ต้ังให้เจ้าอริยวงศ์เป็น
เจ้าเมืองเชียงของ เมื่อปี พ.ศ. 1805 และปกครองเมืองเชียงของ สืบต่อมาจนถึงเจ้าเมืองคนสุดท้าย คือ
พญาจิตวงษ์วรยศรังษี ปี พ.ศ. 2453 (รศ.129) และให้มีฐานะเป็นอาเภอขึ้นกับจังหวดั เชียงรายมาจนถึงปัจจุบัน
โดยแตง่ ต้ังพญาอริยวงษ์ (นอ้ ย จติ ตางกรู ) เปน็ นายอาเภอคนแรกของอาเภอเชียงของ จงั หวดั เชียงราย ในปี พ.ศ.2457
นับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน อาเภอเชียงของ มีนายอาเภอคนท่ี 26 คือ นายทัศนัย สุธาพจน์ ซึ่งดารงตาแหน่ง
จนถึงปัจจุบนั
วันท่ี 24 กมุ ภาพันธ์ 2471 ต้ังตาบลท่าข้าม แยกออกจากตาบลม่วงยาย
วันที่ 23 มกราคม 2481 ต้งั และเปลีย่ นแปลงเขตตาบลในอาเภอเชยี งของ (1,2,3,4)
(1) รวมตาบลในเวียง และตาบลหว้ ยเมง็ แล้วจัดตง้ั เป็น ตาบลเวียง
(2) รวมตาบลท่าขา้ ม และตาบลมว่ งยาย แลว้ จัดตงั้ เป็น ตาบลมว่ งยาย
(3) รวมตาบลบุญเรือง และตาบลต้นปล้อง แลว้ จัดต้งั เป็น ตาบลบุญเรือง
(4) ยบุ ตาบลในเวียง ตาบลต้นปลอ้ ง ตาบลท่าขา้ ม ตาบลห้วยเมง็ และตาบลบญุ เรอื ง (เก่า)
วนั ที่ 10 มถิ ุนายน 2490 ต้ังตาบลครึ่ง แยกออกจากตาบลบุญเรือง
วนั ท่ี 28 พฤศจกิ ายน 2499 จดั ตงั้ สขุ าภิบาลเวียงเชยี งของ ในทอ้ งที่บางสว่ นของตาบลเวยี ง
วนั ท่ี 23 กนั ยายน 2523 ตั้งตาบลศรีดอนชัย แยกออกจากตาบลสถาน
วันท่ี 27 มกราคม 2524 เปลี่ยนแปลงเขตสุขาภิบาลเวียงเชียงของ เพ่ือความเหมาะสมในการบริหาร
กิจการและการทะนุบารุงท้องถ่ิน
วันท่ี 30 มนี าคม 2525 ตงั้ ตาบลหล่ายงาว แยกออกจากตาบลมว่ งยาย
วันท่ี 9 เมษายน 2530 ได้แยกพ้ืนท่ีตาบลม่วงยาย ตาบลปอ และตาบลหล่ายงาว จากอาเภอเชียงของ
ไปตง้ั เป็นกิง่ อำเภอเวยี งแกน่ ขนึ้ กบั อาเภอเชียงของ
วันที่ 21 ตลุ าคม 2531 ตง้ั ตาบลท่าขา้ ม แยกออกจากตาบลปอ
วนั ที่ 24 มกราคม 2532 เปดิ จุดผ่านแดนที่ดา้ นอาเภอเชียงของ จังหวดั เชยี งราย - ห้วยทราย สาธารณรัฐ
ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว
วนั ท่ี 12 กันยายน 2533 ตง้ั ตาบลรมิ โขง แยกออกจากตาบลเวยี ง
วนั ท่ี 9 เมษายน 2536 จดั ตั้งสุขาภบิ าลบุญเรอื ง ในท้องที่บางส่วนของตาบลบญุ เรอื ง
วันที่ 8 สงิ หาคม 2538 ยกฐานะจากกงิ่ อาเภอเวยี งแกน่ อาเภอเชยี งของ เปน็ อาเภอเวียงแกน่
วันที่ 25 พฤษภาคม 2542 ยกฐานะจากสุขาภิบาลเวียงเชียงของ และสุขาภิบาลบุญเรือง เป็นเทศบาล
ตาบลเวยี งเชยี งของ และเทศบาลตาบลบุญเรือง ตามลาดับ
วนั ท่ี 6 กรกฎาคม 2547 ยุบสภาตาบลบุญเรือง รวมกับ เทศบาลตาบลบญุ เรอื ง
วันท่ี 19 เมษายน 2555 เปล่ยี นแปลงชื่อหมู่ท่ี 23 บ้านกาสลองคา ตาบลหว้ ยซ้อ เป็น "บ้านแก่นสะลองคา"
87
แผนที่อำเภอเชยี งของ
คำขวัญอำเภอเวียงชยั แผนทอ่ี าเภอเชยี งของ
หลวงพอ่ เพชรคู่เมอื ง ลอื เล่อื งปลาบึกหาดไคร้
แหลง่ ผา้ ทอนา้ ไหล ประตใู หม่อนิ โดจนี
ลักษณะทำงกำยภำพ
1. สภำพทว่ั ไป
ตำแหนง่ ทตี่ ้งั
อาเภอเชียงของ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอาเภอเมืองเชียงราย ห่างจากอาเภอ
เมืองเชยี งราย 103 กิโลเมตร ทีว่ ่าการอาเภอเชียงของ ตง้ั อยู่ หมู่ 12 ถนนสายกลางตาบลเวยี ง อาเภอเชียงของ
จังหวัดเชยี งราย มีจานวนเนอ้ื ทปี่ ระมาณ 10 ไร่ เป็นที่ดนิ สาธารณะประโยชน์ มอี าณาเขตตดิ ตอ่ ดังน้ี
อำณำเขตตดิ ตอ่
- ทิศเหนือ ตดิ ตอ่ กับ แขวงบอ่ แกว้ (ประเทศลาว)
- ทิศตะวันออก ติดตอ่ กบั แขวงบอ่ แก้ว (ประเทศลาว) และอาเภอเวยี งแก่น
- ทิศใต้ ตดิ ตอ่ กับอาเภอเวียงแกน่ อาเภอขนุ ตาล อาเภอพญาเม็งราย และอาเภอเวียงเชียงรุ้ง
- ทิศตะวนั ตก ตดิ ตอ่ กับอาเภอดอยหลวงและอาเภอเชยี งแสน
ระยะทางหา่ งจากตัวจงั หวดั เชยี งรายประมาณ 103 กิโลเมตร
88
๒. สภำพภูมิประเทศ
สภาพท่ัวไปลักษณะภูมิประเทศพื้นที่ราบ สลับกับเทือกเขา มีพื้นที่ด้านทิศตะวันออกบางส่วนติดกับ
แมน่ า้ โขง ซึง่ ฝั่งตรงข้ามคือ เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแกว้ สาธารณรฐั ประชาธิปไตยประชาชนลาว มีประชากรอาศัย
อยใู่ นพนื้ ท่ีหลายเชอื้ ชาติ เชน่ ไตลือ้ ขมุ ชาวมเู ซอ แมว้ เยา้ โดยกลมุ่ ไทล้ือโดยมากจะอาศัยอยู่ที่ บ้านห้วยเม็ง และ
บ้านศรีดอนชัย อพยพมาจากทาง สิบสองปันนา ทางตอนใต้ของประเทศจีนปัจจุบันยึดอาชีพเกษตรกรเป็นหลัก
เคยทาสวนสม้ กนั จนมชี ่ือเสียงโด่งดงั แต่ปจั จบุ ันดว้ ยโรคภัยเยอะชาวบ้านเลยเลกิ ทาสวนส้มไปหลายราย หนั ไปทาไร่
ข้าวโพดเหมือนกับชาวบ้านใกล้เคียงแทน เช้ือชาติขมุตั้งอยู่ท่ีบ้านห้วยกอกเป็นหม่บู ้านเล็ก ๆ ท่ีมีประชากรไม่มาก
นัก ประชากรในอาเภอเชียงของโดยส่วนมากทาอาชีพเกษตรกรรม เช่น ทานา ไร่ข้าวโพด สวนส้ม สวนลิ้นจ่ี
สวนสม้ โอ และพืชผักต่าง ๆ เปน็ ต้น
แหล่งเรยี นรู้/แหลง่ ทอ่ งเท่ยี ว
๑. พิพธิ ภัณฑป์ ลำนำ้ จดื และภำพวำดสำมมิติ
ตงั้ อยทู่ บ่ี ้านหาดไคร้ หมู่ 7 ตาบลเวยี ง อาเภอเชยี งของ
จงั หวัดเชยี งราย เป็นสถานท่ีแสดงอความเรยี มพนั ธ์ุปลาต่าง ๆ
รวมไปถึงการจัดแสดงภาพเก่าแก่ในอดีต และภาพ 3 มิติ
พรอ้ มกับชมธรรมชาติ และวิถชี วี ติ ชายแดนไทย - สปป.ลาว
๒. ศำลเจำ้ พ่อพญำแก้ว
ต้ังอยู่ที่บ้านสบสม หมู่ ๓ ตาบลเวียง อาเภอเชียงของ จังหวัด
เชียงราย ตามประวัติกล่าวว่า พญาแกว้ ได้เปน็ ผ้นู าราษฎร จานวนหนึ่ง
อพยพมาจากสิบสองปันนา ล่องเรือมาตามลาแม่น้าโขง แล้วมาขึ้นฝั่ง
และสรา้ งบ้านแปงเมืองอยู่บริเวณหม่บู ้านสบสมในปัจจบุ ันนี้ ซึง่ การอพยพ
มาน้ันเมื่อประมาณ ๓๐๐ กว่าปีมาแล้ว ซึ่งสมัยน้ันยังเป็นเมืองร้าง
อยู่ต่อมาชาวอาเภอเชียงของได้สร้างศาลเจ้าพ่อพญาแก้วข้ึนมา
เม่ือวนั ท่ี ๑ มนี าคม ๒๕๑๒ จงึ ได้จดั งานประเพณไี หว้ศาลเจา้ ทกุ ๆ ปี
๓. ทำ่ ผำถำ่ น
ต้ังอยู่ริมแม่น้าโขงในเมืองเชียงของ ตาบลเวียง อาเภอ
เชียงของ ซ่ึงเป็นจุดชมวิวแม่น้าโขงท่ีมีลักษณะเป็นลานกว้าง
มีโขดหินเรยี งราย นักท่องเท่ยี วทม่ี าชมววิ ริมแม่น้าสามารถเดิน
จากท่าผาถ่านไปตามเสน้ ทางคนเดินและจักรยานเลียบแม่นา้ โขง
มีระยะประมาณ 1 กิโลเมตร
๔. กำดกองแก้ว
ต้งั อยู่บนถนนสายกลางตงั้ แต่หน้าวัดหลวงไชยสถาน
จนถึงหน้าวัดพระแก้ว ตาบลเวียง อาเภอเชียงของ
จังหวัดเชียงราย โดยเปิดตลาดทุกวันเสาร์ตั้งแต่เวลา
15.00 - 21.00 น. เป็นศูนย์กลางค้าขายชายแดนสาคัญ
ของเชียงของในอดีตมาถึงปัจจุบันว่าพันปี ถนนสาย
เรื่องราววิถีชีวิต และบรรยากาศของผู้คนชายแดนเมือง
เชียงของ การจัดกิจกรรมย้อนยุคขึ้นเพื่อแสดงอัตลักษณ์
และสร้างตลาดขายสินค้าของคนท้องถิ่นให้เศรษฐกิจ
หมุนเวยี น
๕. ทำ่ จบั ปลำบึกบ้ำนหำดไคร้ 89
ต้ังอยู่ที่เขตเทศบาลตาบลเวียง บ้านหาดไคร้ หมู่ 7
ตาบลเวยี ง อาเภอเชยี งของ จังหวัดเชยี งราย เป็นแหล่งท่ีมี
ชื่อเสียงทางด้านการจับปลาบึกทุกปี ช่วงระหว่างเดือน
เมษายน – พฤษภาคม ซ่งึ เป็นชว่ งทปี่ ลาบกึ จะวา่ ยขน้ึ เหนือ
เพื่อไปวางไข่ ก่อนการจับปลาบึก จะมีพิธีบวงสรวง
เจา้ พอ่ ปลาบึก ทาพธิ ีในวนั ที่ 18 เมษายนของทุกปี
๖. อ่ำงเกบ็ นำ้ ห้วยชำ้ ง/วนอุทยำนแห่งชำติห้วยนำ้ ชำ้ ง
ต้ังอยู่ที่วนอุทยานแห่งชาติ บ้านแฟน ตาบลสถาน
อาเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เป็นอ่างเก็บน้าที่มี
ทิวทัศน์สวยงาม เป็นแหล่งท่องเท่ียวสาคัญของราษฎร
ในท้องถนิ่
๗. สะพำนข้ำมแม่นำ้ โขงแหง่ ที่ 4
ตั้งอยู่ที่หาดบ้านดอนมหาวัน หมู่ 9 ตาบลเวียง
อาเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย กับบ้านดอน เมืองห้วย
ทราย แขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชน
ลาว เป็นสะพานข้ามแม่น้าโขงเชื่อมต่อระหว่างประเทศไทย
กับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ระยะทาง
2.48 กโิ ลเมตร รปู แบบสะพานเป็นคอนกรตี รูปกล่อง
๘. วดั เทพนมิ ิตสุดเขตสยำม
ตง้ั อยูต่ าบลเวยี ง อาเภอเชียงของ จงั หวดั เชียงราย
เปน็ จดุ ชมวิวฝงั่ ไทยทีม่ ที ิวทศั นส์ วยงามระหว่างประเทศ
ไทย – สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
๙. สวนธำรณะปลำบกึ เจด็ สี
ตั้งอยู่ที่บ้านหัวเวียง หมู่ ๑ ตาบล อาเภอเชียงของ
จังหวัดเชียงราย เป็นสถานที่พักผ่อน ออกกาลังกายของ
ชาวอาเภอเชียงของ และเปน็ จุดชมวิวสองฝ่งั ไทย-ลาว
๑๐. น้ำตกหว้ ยเม็ง
ต้ังอย่ทู ี่บา้ นห้วยเมง็ หมู่ 6 ตาบลเวียง อาเภอเชยี งของ
จังหวัดเชียงราย เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม มีความ
หลากหลายทางเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม ของชนเผ่าต่าง ๆ
ที่มีเอกลักษณ์ของกลุ่มชนเผ่าของตนเอง ชนเผ่าต่าง ๆ
แยกเป็น ม้ง ชาวเขาเผ่าม้งบา้ นทงุ่ นาน้อย บ้านทงุ่ พฒั นา
๑๑. พระธำตุเขำเขียว 90
ตงั้ อยทู่ บี่ า้ นครงึ่ เหนือ ตาบลครงึ่ อาเภอเชยี งของ จงั หวัดเชยี งราย
โดยสร้างประมาณเมือ่ ปี พ.ศ. 2410 โดยพระขาขนุ แสนหมวกเหลก็
๑๒. พิพิธภณั ฑล์ อื้ ลำยคำ
ต้งั อยูท่ ีบ่ ้านศรมี งคล หมู่ 14
ตาบลศรดี อนชยั อาเภอเชยี งของ
จังหวัดเชยี งราย โดยมคี ุณสรุ ิยา วงคช์ ยั ลูกหลานไทลื้อรนุ่ ปจั จุบนั ที่
จดั สรา้ งพภิ ัณฑห์ ลังนขี้ ึน้ มา เพอื่ เก็บรักษาผ้าทอไทลื้อ
๑๓. บำ้ นไทลอื้ 100 ปี (ไทยลื้อ เฮือนเออื้ ยคำ)
ตั้งอยู่ท่ีบ้านศรีดอนชัย หมู่ 15 ตาบลศรีดอนชัย อาเภอ
เชียงของ จังหวัดเชียงราย เป็นช่ือของเรือนท่ีพี่สหัสชายา นุช
เทยี น ทายาทรุน่ ทสี่ องเป็นเจ้าของเรอื น ต้งั อย่ถู นนสายหลกั เทงิ -
เชียงของ แสดงประวัติของการอพยพของครัวเรือนในสมัย
สงครามโลกครั้งทส่ี อง
๑๔. วัดพระเจำ้ เข้ำกำด
ตั้งอยู่ท่ีบ้านหลวง ตาบลครึ่ง อาเภอเชียงของ จังหวัด
เชยี งรายเปน็ สถานท่หี ล่อ และเก็บพระพทุ ธรปู สมัยเชียงแสน
โดยฝมี อื ของคนในท้องถ่นิ
๑๕. วนอทุ ยำนห้วยนำ้ ช้ำง
บา้ นแฟน หมู่ 5 ตาบลสถาน อาเภอเชียงของ จงั หวดั เชียงราย
อยู่ในพ้ืนท่ีเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าน้าม้าและป่าน้าช้างประกาศ
จัดต้ังเป็นวนอุทยานห้วยน้าช้าง เนื้อท่ี 14,866 ไร่ ตามประกาศ
กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สัตว์ป่า
๑๖. วัดพระธำตุแม่ยำมอ่ น
ตั้งอยู่ที่บ้านปากอิงใต้ หมู่ 2 ตาบลศรีดอนชัย อาเภอเชียงของ
จังหวัดเชียงรายสถานท่ีแห่งนเี้ ดิมเป็นวัดเก่าของประชาชนสองฝัง่
โขงไทย-สปป.ลาว มีความเชื่อเร่ืองพญานาคเล่าต่อกันมาว่า
ห่างจากวัดฯไปเพียง 300 เมตร ชาวบ้านเคยพบเห็นพญานาค
เล้ือยข้ึนมาจากแม่น้าโขงเมื่อ 16 ปีท่ีผ่านมา แล้วหยุดขวางถนน
รถสัญจรผ่านไปมาต้องจอดรอให้กลับลงแม่นา้ ต่อมาจึงได้ตั้งศาล
เจ้านาคราชให้สถิตย์ เพื่อให้ผู้คนผ่านไปมาได้ลงกราบไหว้ขอพร
และบวงสรวงเป็นประจา ส่วนใหญ่ใช้วัดแม่ย่าม่อนเป็นสถานที่
บวงสรวงเพอื่ ประกอบพธิ ี
ฟ้อนจกไก 91
“ฟ้อนจกไก” เกิดข้ึนมาจาก นางจาเนียร ศักด์ิเรืองฤทธ์ิ
ข้าราชการครูบานาญ ได้ทาการศึกษาค้นคว้า และออกแบบการแสดง
ศิลปวัฒนธรรมของชุมชนในพ้ืนที่ ให้มีความสอดคล้องกับวิถีชีวิตของ
ชุมชนอาเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เดิมประชาชนในพื้นที่จะมี
วิถชี วี ิตผกู พนั กบั แม่นา้ โขงในการหาไก (สาหรา่ ยในแม่น้าโขง) มาทา
เป็นอาหารรับประทานในครัวเรือน และขายในท้องตลาดอาเภอเชียงของ อาเภอเชียงของเป็นอาเภอที่มีช่ือเสียง
“ไก (สาหร่ายในแม่น้าโขง)” ท่ีมีวิธีการทาอาหารไก (สาหร่ายในแม่น้าโขง) ในรูปแบบแห้งและมีความสะอาดน่ารับประทาน
ครูจาเนียร ศักด์ิเรืองฤทธิ์ จึงมีแนวคิดประดิษฐ์ท่าราให้สอดคล้องกับวิธีการเก็บไก (สาหร่ายในแม่น้าโขง) ของบุคคล
ในทอ้ งถน่ิ ข้ึนทจ่ี ะนาวิธีของการหาไก (สาหรา่ ยในแมน่ า้ โขง) เปน็ ท่าฟอ้ นทปี่ ระดษิ ฐ์คิดค้นทาจากวธิ ีการเก็บไก (สาหร่าย
ในแมน่ า้ โขง) ตามข้ันตอนโดยผสมผสานกบั ทา่ แม่บทของนาฏศิลป์ ในท่าตา่ ง ๆ มาประกอบเป็นการแสดงศิลปวัฒนธรรม
การแสดงของชาวเชียงของที่มีเอกลักษณ์ เพ่ือเป็นการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทยผสมผสานกับวิถีชีวิตการประกอบ
อาชีพ และถ่ายทอดความรู้เทคนิคการเกบ็ ไก (สาหร่ายในแม่น้าโขง) ในชมุ ชนของชาวอาเภอเชยี งของ
ทำ่ จกไก (เก็บไก) เป็นการแสดงศิลปวัฒนธรรม
การแสดงของตาบลเวียง อาเภอ
เชียงของ จังหวัดเชียงราย ท่ีมี
เอกลักษณ์วิ ธี ของการหาไก
(สาหรา่ ยในแม่นา้ โขง) เป็นท่าฟอ้ น
ที่ประดษิ ฐ์คิดค้นทาจากวิธีการเก็บไก (สาหร่ายในแม่น้าโขง) ตามข้นั ตอน โดยผสมผสาน
กับท่าแม่บทของนาฏศิลป์ ในท่าต่าง ๆ มาประกอบเป็นการแสดงศิลปวัฒนธรรม
การแสดงของชาวเชียงของ
ท้ังนี้ ได้มีการปลูกฝังเยาวชนในโรงเรียนประถมและมัธยมพ้นื ท่ีอาเภอเชียงของ
โดยสง่ เสรมิ การเรียนรภู้ าควิชานาฏศิลป์ในโรงเรียน ใหน้ ักเรยี นได้แสดงออก
และเหน็ คณุ ค่าและความสาคญั ของการประกอบอาชีพ โดยใช้การแสดงเป็น
ส่ือ ท้ังยังเป็นการส่งเสริมเผยแพร่อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมทางภาคเหนือ
สามารถนาไปใชเ้ ปน็ การแสดงในโอกาสตา่ ง ๆ ได้
ผู้ทถี่ อื ปฏิบตั ิมรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรม
ช่ือ นางจาเนียร ศักดิเ์ รืองฤทธิ์
ทีอ่ ยู่ 171 หมู่ 7 ตาบลเวียง อาเภอเชียงของ
จังหวดั เชียงราย ๕๗๑๔๐
หมายเลขโทรศพั ท์ 084 489 9109/082 234 3132
92
สวดเบิก
การสวดเบิกเป็นการสวดประเภทหน่ึงของชาวล้านนา
สวดเพ่ือเบิกพระเนตรพระพุทธรูปท่ีสร้างขึ้นใหม่ สวดในงานพธิ ี
สมโภชพระพุทธรูป ทางล้านนาเรียกว่า การอบรมพระเจ้า เปิด
ไขตาพระเจ้า การสวดเบิกเป็นการสวดประสานเสียงแบบ
พ้ืนเมืองของพระภกิ ษุและสามเณร โดยพระภิกษุเป็นเสียงกลาง
(เสียงต่า) สามเณรเป็นเป็น เสยี งหนอ้ ย (เสยี งสูง) การสวดเบิก
"สวดเบกิ ล้านนา" นับเปน็ มนตเ์ มืองเหนืออยา่ งหนึ่ง ซง่ึ เชอื่ วา่ การเทศธรรมคาเมอื งนี้ ใชบ้ ทสวดธรรมพธิ ปี ัดเป่า
ส่ิงชั่วร้าย ตามความเชื่อของชาวล้านนาท่ีสืบทอดกันมาแต่โบราณ ประเพณีการเข้าเบิกเป็นประเพณีท่ีเก่าแก่
ปัจจุบันทากันน้อยมากและมักไม่ได้ทาทุกปี โดยประเพณีนี้ทาเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่จะเกดิ ข้ึนในหมู่บ้าน เช่น โรค
ระบาด แต่ถ้าเกดิ เหตรุ า้ ยไปแล้วจะไม่ทาพธิ นี ้ี การทาพิธคี นในหมู่บ้านจะร่วมกนั กาหนดวนั และสถานท่ี ต้องนิมนต์
พระสงฆ์ไว้ล่วงหนา้ หลายวัน เพ่ือพระสงฆจ์ ะได้ฝึกซ้อมการสวดเบิกซึ่งคาสวดแต่เกา่ เดิมน้นั สืบทอดกันมาแบบมุข
ปาฐะ จึงจาเป็นตอ้ งอาศัยเวลาในการฝกึ ฝน ทงั้ น้ีการสวดเบกิ ไดแ้ ปรเปล่ยี นไปตามยุคสมัย ในปจั จบุ ันการสวดเบิก
ไมไ่ ดเ้ กิดข้นึ บนการต่อรองระหวา่ ง สงฆก์ ับชาวบา้ น แตข่ ยบั ขึ้นไปเป็นการต่อรองระหวา่ งสว่ นกลางกับคณะสงฆ์ จะ
เห็นได้จากการปรากฏการสวดเบิกในพิธีสมโภชใหญ่ต่าง ๆ และถือได้ว่าเป็นการรับอิทธิพลจากพุทธศาสนาสาย
มหายานโดยบทสวดจะกล่าวถงึ พระพุทธเจา้ ตงั้ แต่ประสูติ ตรสั รู้ และปรนิ พิ พาน แต่ส่งิ ทส่ี าคญั ท่ีสุดในบทสวด คอื
เร่อื ง “พระพุทธเจ้าชนะมาร”
การเข้าเบิกในอดีตนั้น จะกระทากันบริเวณทางแยกเข้าหมู่บ้าน
โดยพิธีจะเริ่มในตอนหัวค่า ชาวบ้านจะนาน้าส้มป่อย ขมิ้น ดอกไม้ธูปเทียน
ทราย มาร่วมพิธี เมื่อถึงเวลาท่ีสงฆ์มายังบริเวณพิธีโดยไม่จากัดว่ากี่รูป
ชาวบ้านนาดอกไม้ธูปเทียนมารวมกันในที่จัดไว้บูชาพระรัตนตรัย รับศีล
สวดเบิก เม่ือเสร็จพิธีชาวบ้านจะนาทรายและน้าส้มป่อย ขมิ้นท่ีนามาร่วม
ในพิธีซัดสาดให้ท่ัวหมู่บ้าน เพ่ือเป็นการขับไล่ส่ิงช่ัวร้ายและให้เกิดศิริมงคล
แก่บ้านตน สิ่งท่ีน่าสังเกตคือการสวดเบิกในแต่ละจังหวัดของล้านนาน้ัน จะกระทาในวาระโอกาสที่ต่างกัน
อาทิ แพร่ทาในช่วงหลังปีใหม่เมือง แต่ไม่ใช่ว่าจะกระทาเป็นกิจทุกปี ลาปางทาในช่วงย่ีเป็ง แพร่จัดพิธีสวดเบิก
4 มุมเมือง เพื่อสืบชะตาเมือง เมื่อวันท่ี 18 เมษายน 2558 ที่ผ่านมาและในปีถัดมาเมืองแพร่ก็สมโภชใหญ่
1188 ปี กเ็ สมอื นหนง่ึ ว่าได้ทาการตอ่ ชะตา สะเดาะเคราะห์เมืองเตรยี มย่างเขา้ สู่ศกั ราชใหม่ ในลาปางที่บ้านไหล่หิน
อาเภอเกาะคา ก็มีการ “สวดเบิก” ซึ่งเป็นการสวดทานองของพระสงฆ์ท่ีใช้สวดในการสมโภชพระพุทธรูปและ
เป็นการสวดเบิกในประเพณีย่ีเป็ง ซ่ึงมักจะสวดจนถึงรุ่งเช้าของวันใหม่ เพื่อสร้างความเป็นสิริมงคลให้กับตนเอง
และครอบครัว และเม่ือพิธีการสวดเบิกจบในวารสุดท้ายชาวบ้านที่มาน่งั ฟัง จะแย่งกันดึงด้ายสายสิญจน์ที่ผูกโยง
กบั อาสนะสวดเบกิ กลับบ้าน เพ่ือนาไปผูกขอ้ มือให้แกล่ กู หลานที่อยู่ทางบ้าน หรอื นาไปผูกรถหรือนาติดตัวไปในที่ตา่ ง ๆ
ผ้ทู ่ีถือปฏิบตั ิมรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม
ชอื่ นายธนกลู ธนะวงศ์
ทอี่ ยู่ 1 หมู่ 11 ถนน ตาบลหว้ ยซ้อ
อาเภอเชยี งของ จงั หวดั เชียงราย ๕๗๑๔๐
หมายเลขโทรศพั ท์ 053-194604
ภำพเกำ่ เล่ำเรอื่ ง 93
ภาพเก่าเล่าเรื่องเชียงของ มีประวัติยาวนานมามากกว่าพันปี จึงมี
การได้มาคุยกันของชาวเชียงของว่าควรมีการจัดทาภาพที่เล่าเป็น
โครงการที่จับต้องได้ เก่ียวข้องกับประเพณีที่มีอยู่แล้วของเชียงของ
จะได้ไม่สูญหาย เพราะบ้านทุกหลัง ทุกครัวเรือนจะมีภาพเก่าอยู่แล้ว
และภาพบางภาพสามารถสื่ออะไรได้มากมายในภาพ ๆ เดยี วได้ และเปน็
ภาพที่สามารถเผยแพร่ให้คนส่วนใหญ่ได้รับรู้เกี่ยวกับภาพเก่าเล่าเร่ือง
ของเมอื งเชียงของ
การจัดทาภาพเก่าเล่าเรื่องเชียงของนั้นมีคณะกรรมการและคนนอก อาทิชาวบ้านเมืองเชียงของได้เข้ามารว่ มมือ
กันจัดทา เร่ิมต้นจากในตัวเมืองเชียงของ ชาวบ้านจะมีการบอกเล่าสู่กันฟัง ทาให้คนรุ่นใหม่ ๆ ได้รับรู้ อาทิ พ่อใ
จมรี ูปของพอ่ คา เมือ่ พอ่ คาเสยี เนอื่ งจากมีรูปภาพเกา่ ๆ ท่ีเคยถ่ายพอ่ คาทีเ่ สยี ไปลูกชายของพอ่ ใจจงึ ได้เหน็ รูปคุณปู่
ทาให้ได้รวู้ า่ คนไหนคือปู่
ภาพเก่าเล่าเรื่องปรากฏให้ได้เห็น ถึงแม้จะเป็นภาพเก่า ๆ
ขาวดาแต่ก็คือการเล่าเร่ืองของอดตี กาลทีส่ ามารถใชภ้ าพจรงิ เป็นสื่อ
ให้ได้เรียนรู้ เร่อื งราวไดอ้ ย่างชดั เจนและกบั ข้อความใต้ภาพย่ิงทาให้
ได้รับอรรถรสของการดูภาพเก่าเหล่าน้ีแล้วทาให้ระลึกถึงอดีตได้
ร้ือฟ้ืนความทรงจาที่ผ่านมาและสามารถหยิบนาไปเล่าต่อให้ลูกหลาน
ครอบครัวและเพ่ือน ๆ ได้รับฟังกันอย่างมคี วามสุขทั้งท่ีก่อนหนา้ น้ี
อาจลืมเลือนไปบ้างแล้ว ภาพเหล่าน้ีจึงเป็นภาพท่ีมีมากมา ย
หลากหลายความทรงจาที่เกิดขน้ึ ท่ีเชียงของและยงั มอี กี หลากหลาย
รูปภาพที่ข้อมูลใต้ภาพไม่สมบูรณ์ จึงได้ทาการเก็บรวบรวมข้อมูล
เหล่านเ้ี พื่อให้ออกสู่สายตาทกุ คนต่อไป
แนวคดิ ในการอนรุ กั ษ์ภาพเกา่ เลา่ เรอ่ื งเชียงของ
❖ ถา่ ยทอดความเปน็ เมอื งเก่าให้สอดคล้องกับมิตกิ ารทอ่ งเที่ยว
เชงิ วัฒนธรรมอย่างหย่ังยนื
❖ เข้าไปสง่ เสริมให้ชมุ ชนบา้ นสบสมห้วยไคร้ต่อยอดการพัฒนา
เมอื งเกา่ ไดร้ ะดบั หน่งึ
❖ เปิดกาดกองเกา่ ใหน้ กั ท่องเที่ยวไดเ้ ข้ามาสัมผัสวถิ ิีชีวิต และ
อาหารพน้ื ถิน่ ของชาวเชียงของ
ผูท้ ถ่ี อื ปฏิบตั ิมรดกภูมิปญั ญาทางวฒั นธรรม
ชอื่ นายธนั วา เหลยี่ มพนั ธ์ุ
ทีอ่ ยู่ ๗๘๙ หมู่ ๑ ตาบลเวยี ง อาเภอเชียงของ
จงั หวดั เชียงราย ๕๗๑๔๐
หมายเลขโทรศัพท์ 084 615 5490
94
ขนมพืน้ ถ่ิน
ในอดตี จงั หวดั เชียงราย เปน็ ส่วนหนงึ่ ของอาณาจักรล้านนา ช่วงที่อาณาจักรล้านนามีความเจริญรุ่งเรืองอานาจ
ไดแ้ ผข่ ยายอาณาเขตไปยงั ประเทศเพื่อนบา้ น เช่น พมา่ ลาว ดังนนั้ จึงมผี ู้คนจากดินแดนต่าง ๆ อพยพเข้ามาต้งั ถน่ิ ฐาน
ทาให้ได้รับวัฒนธรรมที่หลากหลายจากชนชาติต่าง ๆ รวมไปถึงวัฒนธรรมด้านอาหาร ซ่ึงมิได้มีแค่เพยี งอาหารคาว
เท่าน้ัน แตภ่ าคเหนือยงั มีอาหารหวาน “ขนม” หรอื ภาษาเหนือท่ีเรียกว่า “เขา้ หนม” อกี หลากหลายเชน่ กัน
ขนมปำด น้ันมีมานานมากกว่า 60 ปี เป็นขนมทีท่ าขึน้ เพื่อนาไปทาบุญทวี่ ดั เทศกาลสงกรานตห์ รอื ปใี หมเ่ มือง
และเล้ียงแขกที่มาเท่ียวบ้านตอนสงกรานต์ ส่วนอีกงานคือ งาน ปอยหรืองานบวช (บวชลูกแก้ว อุปสมบทพระ)
โดย 1 ปี มีเพียง 1 ครั้งเท่าน้ัน ก็จะมีการทาขนมปาดเป็นงานรว่ มสามัคคีของชนในกลุ่มเรียกว่า วันกินขนมปาด
จะทาก่อนงาน 1 วัน เป็นขนมพื้นบ้านของชาวล้านนา บางพื้นท่ีกล่าวกันวา่ เป็นขนมของชาวไทล้ือท่ีอาศัยอยู่ตาม
ท้องถิ่นตา่ ง ๆ ของภาคเหนือ เน่ืองดว้ ยประเพณี งานบวช งานบุญ ของชาวไทล้ือสมัยโบราณ มักนิยมทาขนมปาด
ซ่ึงเป็นขนมลักษณะ คล้ายกับขนมช้ัน แต่จะนิ่มกว่า ซ่ึงเป็นขนมที่นิยมของชาวไทล้ือ แต่ขนมปาดเก็บรักษาได้
ไม่นาน แค่ 2 วัน ก็เน่าเสีย กระทะแรกสาหรับผู้ทาร่วมกันกิน กระทะท่ีสองไว้ทาบุญเล้ียงแขก กระทะท่ีสามห่อ
แจกแขกในงาน เครอ่ื งปรุงหรือส่วนผสมของขนมปาดนัน้ ประกอบด้วยขา้ วเจ้า นา้ อ้อย มะพรา้ วทึนทกึ สว่ นวธิ ีทา
น้นั มีขั้นตอนไม่มากนัก แต่ตอ้ งอาศยั เวลาในการทาเปน็ อย่างมาก เรม่ิ จากนาขา้ วสารมาเค่ียวกับน้าอ้อย ในกระทะ
ใบบัว (ใหญ่) ใหผ้ ู้ชาย 2 คน ใช้พายคน กัน ทิง้ ไวเ้ ยน็ แล้วตัดเป็นคา ๆ ใสก่ ระทงใบตองโรยด้วยมะพรา้ วทนึ ทึกขูดหยาบ ๆ
ขัน้ ตอนและวธิ กี ำรทำขนมปำด
เคร่ืองปรุง/ส่วนผสม
๑. แปว้ ข้าวจ้าว ๑ กโิ ลกรมั ๓. มะพร้าวขดู ผสมเกลอื เลก็ น้อย
๒. นา้ ปูนใส คร่งึ ถ้วยตวง ๔. น้าออ้ ยประมาณ ๑๐ ก้อน
ขัน้ ตอนและวธิ ที ำ
๑. รอ่ นแปง้ เพ่ือเอาเศษผงออกแลว้ นาไปผสมกับน้าอ้อยหรือนา้ ตาลปี๊บ
๒. ใสน่ ้าและคนจนแป้งละลายเข้ากบั นา้ ตาล
๓. ใช้ผ้าขาวบางกรองเศษผงออกเทใสกระทะทองเหลอื ง
๔. กวนด้วยไฟกลางจนแป้งสุกร่อนและเทใส่ถาดทิ้งไว้ให้เย็นแล้วตัดขนดเป็นช้ินส่ีเหล่ียมหรือสามเหล่ียม
ตามใจชอบ จากน้นั โรยหนา้ ด้วยมะพร้าวขดู ผสมเกลือเพ่ือเพิ่มความสวยงาม และรสชาติ
ขนมตม้ แดง เปน็ ขนมเกา่ แก่เช่นเดยี วกบั ขนมตม้ ขาว สมยั กรงุ สุโขทยั ใช้ในพิธีบวงสรวงสังเวยค่กู ับขนมต้มขาว
มีส่วนประกอบของแป้งน้าตาลและมะพร้าว เป็นหลักมีลักษณะเป็นแผ่นแบนไมม่ ีไส้ คลุกกับ มะพร้าวและน้าตาล
ที่เคยี่ วจนเหนียวเป็นสีแดงของ นา้ ตาลปี๊บ มคี วามหวานนอกสลับกับ ขนมต้มขาวจงึ เรียกขนมต้มแดงขนมต้มขาว
เป็นขนมเก่าแก่สมัย กรุงสุโขทัยใช้ในพิธีบวงสรวงสังเวยหรือใส่ในบายศรีไหว้ครู ขนมต้มมีส่วนประกอบของแป้ง
น้าตาล มะพรา้ ว เปน็ หลกั มีลกั ษณะเป็นแปง้ ลกู กลม ๆข้างในมีไสท้ าดว้ ย มะพร้าวเคี่ยวกับนา้ ตาล ตม้ ใหส้ กุ โรยด้วย
มะพรา้ วขูด สีขาว มคี วามหวานขา้ งใน จึงเรียกขนมต้มขาว
ข้นั ตอนและวิธกี ำรทำขนมตม้ แดง
เคร่ืองปรุง/สว่ นผสม
1. แป้งขา้ วเหนียว 1 กโิ ลกรมั
2. น้า 4 ถ้วย
3. มะพร้าวทนึ ทึก 3 ลูก
4. นา้ ตาลป๊ีบ 1 1/2 กโิ ลกรัม
ข้ันตอนและวิธีทำ 95
1. ขดู มะพร้าวทึนทกึ เป็นเส้นฝอย
2. กวนน้าตาลปบี๊ ผสมนา้ 1 ถว้ ย ให้ละลาย ใส่มะพร้าวทเ่ี ตรียมไว้ลงกวนประมาณ 30 นาที (เกอื บเหนยี ว)
3. นวดแป้งข้าวเหนยี วใหเ้ ข้ากนั โดยคอ่ ย ๆ เตมิ นา้ ทีละนอ้ ยจนแปง้ เนยี นเปน็ เน้อื เดียวกนั
4. ปน้ั แป้งเป็นชนิ้ กลมแบน ตม้ ในนา้ เดอื ด จนตัวแป้งลอยข้นึ เหนือนา้ จงึ ตกั ออกมาล้างนา้ แลว้ ตักใสม่ ะพร้าว
ที่กวนไว้แล้ว คนให้เข้ากับเนอ้ื มะพร้าวกวน
ขนมมันสำปะหลัง เป็นขนมที่พบได้ทั่วไปทั้งภาคกลางและภาคเหนือ โดยทางเหนือเรียกขมมันต้าง ส่วนผสม
หลกั เป็นมนั สาปะหลังโม่ละเอยี ด นาไปผสมกบั นา้ ตาลและเกลือ นึ่งให้สกุ
ขั้นตอนและวิธกี ำรทำขนมมันสำปะหลงั
เครื่องปรงุ /สว่ นผสม
1. มันสาปะหลงั ขูดเสน้ 400 กรัม (หนงึ่ ใช้พันธ์ุ 5 นาที)
2. นา้ ตาล 110 กรมั (เป็นรสหวานท่ีหนงึ่ ชอบกินนะคะ ใครชอบหวานจัดเพิ่มได้ถงึ 180 กรมั )
3. เกลอื 1/4 ช้อนชา
4. มะพรา้ วทึนทกึ ขูดเส้น 1/4 ถว้ ย
5. แป้งมนั 1-2 ชอ้ นโต๊ะ (ไมใ่ ส่ก็ได)้
6. น้าเปลา่ หรอื กะทิ 1/2 – 3/4 ถว้ ย
7. มะพรา้ วทนึ ทึกขดู เสน้ สาหรบั คลกุ ขนมเม่อื อบเสร็จประมาณ 1 ถว้ ย
ขนั้ ตอนและวิธีทำ
1. เตรียมมันขูดด้วยการล้างทาความสะอาดมัน ปอกเปลือก หั่นเป็นท่อนๆ ผ่ากลางเอาแกนกลางเล็กๆ
ออกไปแลว้ ขูด ขูดใหเ้ ปน็ เส้นเลก็ ๆ หน่ึงขูดกับทีข่ ูดชีส มันเริดมาก สนุกมาก ชอบๆ
2. มันขดู + นา้ ตาล+เกลือ + แป้ง (ถ้าใส่ )ในอา่ งผสม ใช้มอื นวดจนนา้ ตาลละลาย
3. เตมิ นา้ เปลา่ (หรอื กะท)ิ ตอนแรกเทลงไปซกั 1/2 ถ้วยกอ่ น ใชช้ ้อน
4. เทใส่ถาด น่งึ 15 นาทหี รอื จนสุก พอสุกยกจากเตา พักให้เยน็
5. นงึ่ มะพร้าวขดู ท่ีจะใช้คลกุ ขนมมันต่อประมาณ 5 นาที นง่ึ ครบแลว้ เทใส่ถาด โรยเกลอื
6. เมือ่ ขนมเย็นแล้วใชม้ ดี ตดั เปน็ ชน้ิ ๆ ขนาดและรปู รา่ งตามชอบ นาไปคลุกมะพรา้ วขดู ใส่จาน
ผทู้ ่ถี ือปฏิบตั ิมรดกภูมิปญั ญาทางวฒั นธรรม
ชอ่ื นางระวริ รณ ทองสังข์
ท่อี ยู่ 89/1 หมู่ที่ 16 ตาบลสถาน อาเภอเชียงของ
จังหวัดเชียงราย ๕๗@%๐
หมายเลขโทรศพั ท์ 081 595 3366
จักสำนหวำย 96
บา้ นหลวง ตาบลคร่งึ อาเภอเชยี งของ จงั หวดั เชียงราย คอื ชมุ ชนแห่ง
หน่ึงท่ีมีป่าหวายมากกว่า 600 ไร่อยู่ใกล้ๆกับหมู่บ้าน จึงมีอาชีพ
ตัดหวายควบคู่กับกลุ่มจักสาน หวายในหมู่บ้านหลวง ที่มีมานานกว่า 30 ปี
กลุ่มจักสานหวายบ้านหลวง เป็นการรวมตัวของคนในชุมชน มามากกว่า
30 ปีแล้วและยังอนุรักษ์การจักสานหวายแบบภูมิปัญญาดั้งเดิมสืบทอด
ต่อเน่ืองกันมาจนถึงปัจจุบัน หวายที่ได้แต่ละขนาด ก็เหมาะกับช้ินงาน
แต่ละชนิดต่างกัน เช่นทาโคลงจะต้องมีการดัดตามรูปโคลงของผลิตภัณฑ์
แต่ละชนิด ส่วนงานจักสานท่ีต้องใช้ "ตอก" จาเป็นต้องใช้ความชานาญความสามารถ ความอดทนของผู้เฒ่าผู้แก่
ท่ีมีประสบการณ์มาช้านาน จึงได้งานท่ีประณีตและสวยงาม และด้วยงานที่มีคุณภาพแข็งแรง จึงมีช่ือเสียงและ
เป็นท่นี ยิ มชมชอบจากการบอกต่อ ๆ กนั
“หวาย” คอื พืชเศรษฐกจิ ในสมัยกอ่ นและมีมากมายตามทอ้ งถิ่น และหาไดง้ ่ายในตา่ งจงั หวดั เปน็ พชื ไม้เล้ือย
ท่ีมีอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศไทย คนไทยรู้จักกันอยา่ งดีในฐานะที่หวายเป็นพชื สารพดั ประโยชน์ โดยเฉพาะอยา่ ง
ยง่ิ เก่ยี วกับการทาเฟอร์นิเจอรต์ ่าง ๆ เนอื่ งจากหวายมีความเหนียวและคงทนอยา่ งดีเยยี่ ม นอกจากนแี้ ลว้ "หวาย" ก็
ยงั สามารถนามาตะกรา้ เก้าอี้ โตะ๊ และประโยชน์ใชส้ อยในครวั เรอื น
ปัจจุบันจึงเป็นอาชีพหน่ึงซ่ึงสร้างรายได้ให้กับชุมชนจากการจักสานหวาย ผลิตภัณฑ์สาหรับเอาไปใช้ใน
ชีวิตประจาวันได้จริง ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะหวาย เก้าอ้ีหวาย กล่องสาหรับใช้ทิชชู่ หรือตะกร้าสาหรับไปจับจ่ายตลาด
และผลติ ภณั ฑ์อื่น ๆ อีกมากมาย
ขนั้ ตอนและวธิ ีกำรทำ
1. เร่ิมจากเก็บต้นหวายขนาดพอเหมาะ ลาต้นใหญ่ประมาณหัวแม่มือ ส่วนกลาง ปลายของหวายตัดทิ้ง
เมอ่ื ตดั แลว้ จะต้องไปดงึ ตรงส่วนปลาย เม่อื ได้หวายตามตอ้ งการแลว้ จากน้นั ตัดเป็นท่อน ๆ
2. ออกแบบรปู ทรง
3. ทาฐานตารูปแบบ วัสดแุ ละอุปกรณ์ ❖ ฆอ้ นตีตะปู (ขนาดเลก็ )
4. ขึน้ ลูกกรงเปน็ ช้นั ๆ ❖ หวายหางหนู (เสน้ เลก็ )
6. พันขอบบน ❖ แป้นเจาะรู (ทาจากเหล็ก)
7. จูงนางปากขอบ ❖ หวายนา้ (เสน้ ใหญ)่ ❖ มีดตอก
8. ตึงวงจับหรือมอื จับ ❖ ไมเ้ จลย (ไม้ขนึ้ ตามริมน้า) ❖ ลกู กรง
9. พันงวงจบั หรอื มือจบั ❖ เหล็กปลายแหลม
❖ หวายใหญ่
10. ตกแต่งใหส้ วยงาม ❖ เพนกเปรียบ
❖ ตะปเู ขม็
ผ้ทู ถ่ี ือปฏิบตั ิมรดกภมู ิปัญญาทางวัฒนธรรม
ชอ่ื นายประพัฒน์ แกว้ ตา
ทอ่ี ยู่ 145 หมทู่ ่ี 4 ถนน ตาบลครึ่ง อาเภอเชยี งของ
จงั หวดั เชียงราย ๕๗๑๔๐
หมายเลขโทรศพั ท์ 084 489 9109/082 234 3132
97
เลน่ โกงกำง/ซิกโกง๋ เกง๋
การละเล่นของไทย เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมพ้ืนบ้านเท่า ๆ กันกับเป็น
การสะท้อนวิถีชีวิต ความคิด ความเช่ือของคนในท้องถ่ินนั้น ๆ มาต้ังแต่อดีต
ถึงปัจจุบัน และเน่ืองจากเป็นการ “เล่น” ซ่ึงผู้ใหญ่บางคนอาจไม่เห็นคุณค่า
นอกจากเห็นว่าเป็นแค่เพียงความสนุกสนานของเด็ก ๆ หนาซ้าการละเล่น
บางอย่างยังเห็นว่าเปน็ อันตราย และเปน็ การบ่มเพาะนสิ ัยการพนันอีก เช่น ทอยกอง
หวา่ หากจะมอง เลน่ โกงกาง วเิ คราะห์กันอย่างจริงจงั แลว้ คณุ คา่ ของการละเล่น
ของไทยเราน้ีมีนับเอนกอนันต์ ประโยชน์ทางกาย ฝึกความสังเกต ไหวพริบ และ
การใช้เชาวน์ปญั ญา ฝึกความอดทน คุณคา่ ทางวรรณศิลป์
ในชีวิตประจาวันของชนเผ่าอิ้วเมี่ยน การละเล่นที่แสดงออกถึงความร่ืนเริงตามประเพณี และเทศกาลต่าง ๆ
กล่าวได้ว่าในปัจจุบันแทบจะไม่มีโดยส้ินเชิง โดยเฉพาะการละเล่นในวัยผู้ใหญ่หรือวัยหนุ่มสาว ส่วนการละเล่น
ของเด็ก ๆ มีเพียงไม่ก่ีอย่าง เช่น การเล่นไล่จับกัน ซ่ึงเล่นรวมกันทั้งเด็กชายและหญิง การเล่นลูกข่าง การเดินไม้
โกงกาง ชนเผ่าอ้ิวเม่ียนไม่มีการละเล่นตามประเพณีประจาเทศกาลท่ีมีรูปแบบชัดเจน โดยเฉพาะการละเล่นของ
ชนเผ่าอ้ิวเมี่ยน มักเป็นการละเล่นท่ีอาศัยเล่นในโอกาสของงานพิธีกรรมต่าง ๆ และก็มักจะเป็นพิธีแต่งงานกับ
วันปใี หมเ่ ทา่ นั้น ทส่ี ามารถแสดงการละเลน่ ได้อย่างสนุกสนานเตม็ ที่
วธิ ีกำรประดษิ ฐ์
๑. เอาไมไ้ ผ่ ทอ่ นปลายของไมร้ วก หรือไมซ้ าง ตัดให้สูง ประมาณ ๒-๒.๕ เมตร
๒. ใช้มีดตัดเจาะกิ่งไผ่ท่ีเป็นปมอยู่ข้อตาไผ่ออกให้หมด แต่ต้องเหลือไว้ตรงข้อ
แรกของไม้ไผ่ให้เป็นปมอยู่ เหลาขอ้ อน่ื ๆ ให้เรียบเพือ่ สะดวกในการจบั ถือ
๓. หาปล้องไม้ไผ่ท่ีใหญ่กว่า ๒ ท่อนแรก ตัดให้เหลือข้อปล้องไว้ด้านหนึ่งยาว
ประมาณ๑๕-๓๐ เซนติเมตร จานวน ๒ ท่อน เจาะรู ๒ ด้าน เสร็จแล้วนาไปสวมเข้า
กบั ไม้ ๒ ท่อนแรก โดยให้ไม้ทส่ี วมนนั้ ไปคา้ งติดอยู่กับขอ้ ตาไผ่ท่เี หลอื ไว้ แลว้ ใช้ผ้าพัน
ตรงไม้ ๒ ทอ่ นประกบกันให้แน่น
ไม้โกงกาง/ซิกโก๋งเกง๋ ไม้โกงกางทามาจากไม้ไผ่ ซึ่งจะมีความสูงประมาณ 2 เมตร ตรงขาเหยียบจะสงู ขึน้ มา
จากพ้ืนประมาณ 50 ซม. หรือจะสูงกว่าน้ีก็ได้ แล้วแต่ความต้องการของแต่ละคน ซึ่งเป็นการละเล่นที่ถือว่า
สนุกสนานมากในวยั เดก็ สามารถเลน่ ได้ทกุ ฤดูกาล วธิ ีการเลน่ คือ ขึ้นไปเหยียบแลว้ ก็วิ่งแขง่ กนั
วิธีกำรเล่น
ใช้มอื ถือไมโ้ กง๋ เก๋งตั้งขึ้นใหต้ รง แล้วคอ่ ยกา้ วเทา้ ใดเท้าหน่งึ ข้นึ
เหยียบบนไม้โก๋งเก๋งซ่ึงส่วนใหญ่จะใช้เท้าซ้ายขึ้นก่อน แล้วก้าวเท้า
ขวาตามต้ังตวั ให้สมดุลแลว้ คอ่ ย ๆ ก้าวเท้าใดเทา้ หน่งึ ออกไป ถา้ ล้ม
กข็ ้นึ ใหมเ่ ดินใหมจ่ นคลอ่ ง
ผทู้ ถี่ อื ปฏิบตั ิมรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรม
ชอ่ื นายธนั วา เหลีย่ มพนั ธ์ุ
ที่อยู่ ๗๘๙ หมู่ ๑ ตาบลเวยี ง อาเภอเชียงของ
จงั หวัดเชียงราย ๕๗๑๔๐
หมายเลขโทรศพั ท์ 084 615 5490