The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการสอน 01172315

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ouaypon.t, 2021-01-16 05:54:35

เอกสารประกอบการสอน 01172315

เอกสารประกอบการสอน 01172315

Keywords: Physical Education

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 1

เอกสารประกอบการสอน

รายวิชา 01172315:หลักและวิธีสอนพลศกึ ษา
(Principles and Methods of Teaching Physical Education)

โดย
ผศ.ดร.อวยพร ตง้ั ธงชยั
ภาควิชาพลศึกษา คณะศึกษาศาสตร์
มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 2

คานา

สภาพสังคมปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงท้ังทางด้านวิทยาการและเทคโนโลยีไปอย่างไม่หยุดย้ัง
ดงั น้ันระบบการจัดการศึกษา ซึ่งรวมถึงการจัดทาหลกั สตู รสาหรับนามาใช้ในการจัดการเรียนการสอน
จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนและพัฒนารูปแบบเพื่อให้เหมาะสมในการนามาใช้จัดการเรียนรู้ให้กับเยาวชน
ของชาติ ท้ังน้ีก็เพื่อให้สอดคล้องและสอดรับกับวิวัฒนาการของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมการ
เรียนร้ใู นศตวรรษที่ 21

ในการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 ซึ่ง
เป็นหลักสูตรอิงมาตรฐานนั้น ในกล่มุ สาระการเรียนร้สู ุขศึกษาและพลศึกษา โดยเฉพาะในวิชาพลศึกษา
ถือว่าเป็นรายวิชาที่ดาเนินการจัดการเรียนรู้ตอบสนองพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542
และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 โดยเฉพาะใน มาตรา 6 ที่ว่า... การจัดการศึกษาต้องเป็นไป
เพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งทางร่างกายจิตใจสติปัญญาความรู้และคุณธรรมมี
จริยธรรมและคุณธรรมในการดารงชีวิตสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข... ซึ่งข้อความใน
มาตรา 6 น้ี ตรงกับหลักการและความหมายของคาว่า “พลศึกษา” อย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ทาหน้าที่ครูพลศึกษาหรือผู้ที่อยู่ในสาขาวิชาชีพพลศึกษา นอกจากความรู้
ความเข้าใจเกีย่ วกบั พระราชบญั ญัติการศึกษาแห่งชาติและหลกั สตู รแล้ว ยงั ต้องศึกษาองค์ความรู้ต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับบริบทของวิชาชีพพลศึกษาที่จาเป็น ซึ่งต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นเอกสารฉบับน้ีจัดทา
ขึ้นเพื่อใช้เป็นเอกสารประกอบการสอนรายวิชาหลักและวิธีสอนพลศึกษา รหัสวิชา 01172315 โดยได้
รวบรวมท้ังประมวลการสอนและองค์ความรู้ของเน้ือหาวิชาที่เกีย่ วข้องสาหรับใช้เป็นเน้ือหาประกอบใน
การเรียนการสอนรายวิชาดังกล่าว อาทิเช่น นิยามและจุดมุ่งหมายของการสอนพลศึกษา จิตวิทยาการ
สอนพลศึกษา หลักสูตรและการพัฒนาหน่วยการเรียนรู้พลศึกษา ทั้งน้ีก็เพื่อประโยชน์ต่อการเรียนใน
รายวิชาดังกล่าว รวมท้งั ให้นิสิตที่อย่ใู นสาขาวิชาพลศึกษามีความร้คู วามเข้าใจในองค์ความรู้ และบริบท
ของการจัดการเรียนการสอนพลศึกษาอย่างถ่องแท้ โดยผู้เขียนได้เรียบเรียงเน้ือหาของเอกสาร
ประกอบการสอนฉบับน้ีและใช้ประกอบการเรียนการสอนมาต้ังแต่ภาคต้นและภาคปลาย ปีการศึกษา
2556 รวมท้งั ภาคต้นของปีการศึกษา 2557 และได้ปรับปรงุ เรื่อยมา ทั้งน้ีก็เพือ่ ให้เอกสารฉบบั น้มี ีความ
สมบรู ณ์และสามารถนาไปใช้งานและใช้ประโยชน์ต่อการจัดการเรียนร้ใู นรายวิชาน้ี

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 3

ผ้เู ขียนหวังเปน็ อย่างยงิ่ ว่าเอกสารประกอบการสอนฉบับน้ีจะมีประโยชน์กับนิสิต อาจารย์ผ้สู อน
ตลอดจนผ้สู นใจเกีย่ วกับเน้อื หาวิชาหลักและวิธีการสอนพลศึกษา หากมีข้อผิดพลาดประการใด ผ้เู ขียน
ขอน้อมรบั คาแนะนาเพื่อปรับปรุงเอกสารเล่มน้ีให้ดีขึ้นต่อไป

สุดท้ายน้ีผู้เขียนขอกราบขอบพระคุณคุณพ่อ คุณแม่ และบูรพาจารย์ของผู้เขียนที่ได้ถ่ายทอด
องค์ความรู้ แนวคิดและแนวปฏิบัติที่ดีเกี่ยวกับการเป็นครูพลศึกษา ขอขอบคุณ รศ.ดร. กรรวี บุญชัย
ผศ.ดร.จุฑามาศ บัตรเจริญ ผศ.ดร. ณัฐยา แก้วมุกดาและอ.ดร.สมคิด ปราบภัย ที่ช่วยให้กาลังใจและ
คาแนะนาต่างๆ และที่สาคัญ ผศ.ดร. อรพรรณ บุตรกตัญญู ที่เป็นกัลยาณมิตรที่ดี คอยช่วยเหลือและ
ให้กาลงั ใจตลอดมา

ผศ.ดร .อวยพร ต้งั ธงชยั
อาจารย์ประจาสาขาวิชาพลศึกษา
ภาควิชาพลศึกษา คณะศกึ ษาศาสตร์

กันยายน พ.ศ. 2561

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 4

สารบญั หน้า

เรือ่ ง

คานา 2

ส่วนที่ 1 : ประมวลการสอน 6
ประมวลการสอน 7
ส่วนที่ 2 : เนื้อหารายวิชา 19
บทที่ 1 นิยามและจดุ มุง่ หมายของการสอนพลศึกษา 20
21
นิยามของการสอน 21
ความสาคัญของการสอน 23
นิยามและจดุ มุ่งหมายการสอนพลศึกษา 27
ปรชั ญาและหลักการพลศกึ ษา 35
บทที่ 2 จิตวิทยากบั การสอนพลศึกษา 36
หลักการเรยี นร้แู ละทฤษฎีการเรยี นรู้ 47
วิธีจงู ใจให้เกิดการเรียนรู้ 49
ความสาคัญของจิตวิทยากบั การสอนพลศึกษา 54
ลักษณะและความต้องการทางด้านการออกกาลังกายของผ้เู รียนวยั ต่างๆ 59
บทที่ 3 หลกั สูตรพลศึกษา 60
พระราชบัญญตั ิการศึกษาแห่งชาติ 64
ความหมายความสาคัญและองค์ประกอบของหลักสตู ร 68
หลกั สูตรพลศึกษา 76
หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 80
สาระหลักสตู รกลุ่มสาระการเรยี นร้สู ุขศึกษาและพลศึกษา 84
บทที่ 4 วิธีสอนและรปู แบบการสอนพลศึกษา 85
วิธีการสอนและรปู แบบการสอน 88
การจัดการเรยี นร้แู บบเน้นผ้เู รียนเป็นสาคญั 94
วิธีสอนพลศึกษา 110
การสอนทักษะ

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 5

สารบัญ (ต่อ) หนา้
เรื่อง

บทที่ 5 หลกั การจดั และบริหารชนั้ เรียนวสั ดุอุปกรณ์และสิ่งอานวยความสะดวก 118
ความหมายและจดุ มุ่งหมายการจัดช้นั เรียนและระเบียบการเรียนวิชาพลศึกษา 119
หลักการจัดช้นั เรียนและระเบียบการเรียนวิชาพลศึกษา 120
เทคนิคการควบคมุ ช้นั เรียน 128
การจดั การบริหารสถานที่ วัสดุอปุ กรณ์ 131
และเครื่องอานวยความสะดวกทางพลศึกษา
136
บทที่ 6 การพัฒนาหน่วยการเรียนรูแ้ ละแผนการจัดการเรียนรู้ 137
ความสาคัญของหน่วยการเรียนรู้ 137
การพัฒนาและออกแบบหน่วยการเรียนรู้ 143
การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ 144
การวางแผนการสอน 145
แผนการจดั การเรียนรู้พลศึกษา 160
161
บทที่ 7 การประเมินผลทางพลศึกษา 170
หลักการประเมินผลตามหลักสูตรการศึกษาข้นั พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551
หลักของการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ 174
กล่มุ สาระการเรียนร้สู ุขศึกษาและพลศึกษา 181
การให้คะแนนและการตดั สินระดับคะแนนสาหรับวิชาพลศึกษา 182
183
บทที่ 8 บทบาทและลกั ษณะของครพู ลศึกษาทีด่ ี 188
ความหมายคาว่า “คร”ู
จรรยาบรรณครแู ละมาตรฐานวิชาชีพครู
บทบาทและลกั ษณะของครพู ลศึกษาที่ดี

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 6

สว่ นที่ 1
ประมวลการสอน

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 7

คณะ ศึกษาศาสตร์ แผนการสอน Course Syllabus
รหัสวิชา 01172315 ภาควิชา พลศึกษา
จานวน 3 หน่วยกติ ชือ่ วิชา (ภาษาไทย) หลกั และวิธีสอนพลศึกษา
3(3-0-6) (ภาษาอังกฤษ) Principles and Methods of Teaching
Physical Education

เนือ้ หาวิชา (Course description)

นิยามและจุดมุ่งหมายของการสอน จิตวิทยาการสอนพลศึกษาหลักสตู รพลศึกษา แบบและวิธี
สอน การจัดช้นั เรียน การพฒั นาหน่วยการเรียนร้แู ละแผนการจัดการเรียนรู้ การประเมินผลและการให้
ระดบั คะแนนวิชาพลศึกษา

Definition and purpose of teaching. Psychology in teaching physical education. Physical
education curriculum. Styles and methods of teaching. Class management. Developing units of
learning and lesson plan. Evaluating and grading in physical education.

วิชาพื้นฐานทตี่ ้องมีมาก่อน: 01162221

จดุ ประสงคข์ องวิชา

1. นิสิตเข้าใจเกี่ยวกับความหมายและจุดมุ่งหมายของการสอนพลศึกษาในโรงเรียนในระดับ
ประถมศึกษาและมัธยมศึกษา

2. นิสิตเข้าใจเกีย่ วกับ พ.ร.บ.การศึกษา พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิม่ เติม (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2545
3. นิสิตเข้าใจเกี่ยวกับหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551
4. นิสิตรู้ และเข้าใจเกี่ยวกับการจัดทาหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา

และสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวปฏิรูปการศึกษา และปฏิรูปการเรียนรู้ได้อย่าง
มีประสิทธิภาพ
5. นิสิตรู้เกี่ยวกับหลักและวิธีการสอนพลศึกษาแบบต่าง ๆ รวมท้ังจิตวิทยาการสอนพลศึกษา
และสามารถนาไปทดลองใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสดุ
6. นิสิตรู้การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับพัฒนาการของผู้เรียนในแต่ละช่วง
ช้นั
7. นิสิตสามารถพัฒนาหน่วยการเรียนรู้และจัดทาแผนการเรียนรู้วิชาพลศึกษาได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 8

8. นิสิตสามารถเลือกใช้วิธีการประเมินผลการเรียนรู้ด้านความรู้ ทักษะ กระบวนการ
สมรรถภาพทางกาย คุณธรรม จริยธรรม และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ได้สอดคล้องกับ
พ.ร.บ. พ.ศ. 2542 และที่แก้ไข เพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551และการให้ระดับคะแนนพลศึกษาอย่างได้เหมาะสม

หวั ข้อวิชา (Course outline)
1. นิยามและจุดมุง่ หมายของการสอนพลศึกษา
- นิยามของการสอน
- ความสาคญั ของการสอน
- นิยามและจดุ มุ่งหมายการสอนพลศึกษา
- ปรัชญาและหลักการพลศึกษา
2. จิตวิทยากับการสอนพลศึกษา
- หลักการเรยี นร้แู ละทฤษฎีการเรยี นรู้
- วิธีจูงใจให้เกิดการเรียนรู้
- ความสาคญั ของจิตวิทยากับการสอนพลศึกษา
- ลกั ษณะและความต้องการทางด้านการออกกาลงั กายของผ้เู รียนวัยต่างๆ
3. หลักสูตรพลศึกษา
- พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
- ความหมายความสาคัญและองค์ประกอบของหลกั สตู ร
- หลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551
- สาระหลักสตู รกล่มุ สาระการเรียนร้สู ขุ ศึกษาและพลศึกษา
4. วิธีสอนและรปู แบบการสอนพลศึกษา
- วิธีการสอนและรปู แบบการสอน
- การจดั การเรียนรแู้ บบเนน้ ผู้เรยี นเปน็ สาคัญ
- วิธีสอนพลศึกษา
- การสอนทกั ษะ
5. หลักการจดั และบริหารช้ันเรียนวัสดุอุปกรณแ์ ละสิ่งอานวยความสะดวก
- ความหมายและจดุ มุ่งหมายการจัดช้ันเรียนและระเบียบการเรียนวิชาพลศึกษา
- หลักในการจัดช้ันเรียนและระเบียบการเรียนวิชาพลศึกษา
- เทคนิคการควบคมุ ช้นั เรียน
- การจดั การบริหารสถานที่ วัสดุอุปกรณ์และเครื่องอานวยความสะดวก
ทางพลศึกษา

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 9

6. การพฒั นาหน่วยการเรียนรูแ้ ละแผนการจัดการเรียนรู้
- ความสาคญั ของหน่วยการเรยี นรู้
- การพัฒนาและออกแบบหน่วยการเรียนรู้
- การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้
- การวางแผนการสอน
- แผนการจดั การเรียนรู้พลศึกษา

7. การประเมินผลทางพลศึกษา
- หลกั การประเมินผลตามหลกั สูตรการศึกษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551
- หลักการวดั และประเมินผลการเรียนรกู้ ล่มุ สาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา
- การให้คะแนนและการตดั สินระดับคะแนนสาหรบั วิชาพลศึกษา

8. บทบาทและลักษณะของครูพลศึกษาทีด่ ี
- ความหมายคาว่า “คร”ู
- จรรยาบรรณครแู ละมาตรฐานวิชาชีพครู
- บทบาทและลักษณะของครูพลศึกษาทดี่ ี

9. ปัญหาพิเศษ/แลกเปลี่ยนประสบการณ์
- การฝกึ ประสบการณ์วิชาชีพครู การสอนพลศึกษาในโรงเรียน
- วิเคราะห์ปญั หาและสภาพของการสอนพลศึกษาในปัจจุบันและอนาคต

วิธีการสอน
การบรรยายการเรียนการสอนแบบร่วมมือ การฝึกคิด การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การอภิปราย

การฝึกปฏิบัติ การเรียนผ่านระบบการเรียนรู้ e-Learning การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง/กลุ่ม
การนาเสนอเฉพาะบุคคล การนาเสนอการทางานกลุ่มการจัดทาสมุดบันทึก: กิจกรรมการเรียนรู้
(Class Notes: Learning Materials) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้เกิดปัญญา
การเชิญวิทยากรมาให้ความรู้และประสบการณ์การสอนในโรงเรียน การศึกษานอกสถานที่

อุปกรณ์สื่อการสอน
เอกสารประกอบคาบรรยายV.D.O. (การสอนพลศึกษาในช่วงช้ันต่างๆ)สมุดบันทึก:

กิจกรรมการเรียนรู้ ใบงาน

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 10

การวดั ผลสมั ฤทธิ์ในการเรียน จานวนเปอร์เซ็นต์

1. การมีส่วนรว่ มกิจกรรมในชั้นเรียน 20

2. การจดั ทาแผนการเรียนรู้ และการฝึกปฏิบตั ิภาคสนาม

(ทดลองสอน กล่มุ ละ 2 คน) 15

3. การจัดทาแผนการเรียนร:ู้ เฉพาะบุคคล

(บนั ทึกการสอน: Lesson Plan) 10

4. ประเมนิ ผลใบงาน 25

5. สอบปลายภาค 30

รวม 100

หมายเหตุ 20 คะแนน
การพิจารณาคะแนน 20 คะแนน
17 คะแนน
การมีส่วนร่วมในช้นั เรียน 15 คะแนน
ขาดเรียน 0 คร้ัง 13 คะแนน
11 คะแนน
1 ครั้ง 9 คะแนน
2 คร้งั ไม่มีสิทธิสอบปลายภาค (Final)
3 คร้ัง
4 คร้งั
5 ครั้ง
มากกว่า 5 ครั้ง

การประเมินผลการเรียน

วิธีการตดั เกรด ใช้เกณฑก์ ารพิจารณาดงั น้ี A
86 คะแนนขึ้นไป B+
81-85 B
76-80 C+
71-75 C
66-70 D+
61-65 D
56-60 F
ต่ากว่า 56

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 11

การให้โอกาสนอกเวลาเรียนแก่นิสิตเข้าพบและให้คาแนะนาในดา้ นการเรียน

ผศ.ดร.อวยพร ต้ังธงชยั ห้องทางานตกึ 3 ห้อง 107

โทรศัพท์ Office: 02-942-8671 Fax: 02-942-8671

Mobile Phone: 086-408-8290

E-Mail: [email protected]: [email protected]

Web site: http://ped.edu.ku.ac.th/cped/main.php

เอกสารอ่านประกอบ
กระทรวงศึกษาธิการ. 2544. หลักสตู รการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2544. กรุงเทพมหานคร:

โรงพิมพ์องค์การรบั ส่งสนิ ค้าและและพสั ดภุ ณั ฑ์ (ร.ส.พ.).
. 2551. หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551. กรงุ เทพมหานคร:
โรงพิมพ์องค์การรบั ส่งสนิ ค้าและและพสั ดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.).
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. 2544. คู่มือการจัดการเรียนรกู้ ลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษา
และพลศึกษา. กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์องค์การรับส่งสนิ ค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.).
. 2545. สาระและมาตรฐานการเรียนรกู้ ลมุ่ สาระการเรียนรสู้ ขุ ศึกษาและการศึกษาใน
หลักสตู รการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2544.กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์องค์การรบั ส่ง
สินค้าและพัสดภุ ัณฑ์ (ร.ส.พ.).
กรรวี บญุ ชัย และสุดจิต เขียวอุไร. 2540. กายบริหาร (Stretching) ของ Bob Anderson.
กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์ศาสนา.
. 2540. คิเนสิโอโลยีเบือ้ งต้น. กรุงเทพมหานคร: สานักพิมพม์ หาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
ทิศนา แขมมณี. 2553. ศาสตรก์ ารสอน องคค์ วามรูเ้ พือ่ การจดั กระบวนการเรียนรูท้ ีม่ ี
ประสิทธิภาพ. กรงุ เทพมหานคร: ด่านสทุ ธาการพิมพ์.
ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์. 2548. จิตวิทยาการศึกษา. กรุงเทพมหานคร: พิมพ์ดี.
พรรณี ชูชัย เจนจติ . 2538. จิตวิทยาการเรียนการสอน. พิมพ์ครงั้ ที่ 4. กรุงเทพมหานคร: ตน้ อ้อ
แกรมมี.่
วรศกั ดิ์ เพียรชอบ. 2540. หลกั การพลศึกษา. กรงุ เทพมหานคร: ศนู ย์พฒั นาหนงั สือ กรมวิชาการ
กระทรวงศึกษาธิการ แปลจาก J. F. Williams. 1964. The Principles of Physical Education.
Philadelphia: Saunders.
_______. 2541. หลักการพลศึกษา.กรุงเทพมหานคร: ไทยวฒั นาพานิช.

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 12

_______.2548.รวมบทความเกีย่ วกบั ปรัชญา หลกั การวิธีสอนและการวดั เพือ่ ประเมินผลทาง
พลศึกษา. กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

วาสนา คณุ าอภิสิทธิ์. 2539. การสอนพลศึกษา. กรงุ เทพมหาคร: บริษทั วิทยพฒั น์ จากัด.
วาสนา คุณาอภิสิทธิ์, สุปรารถนา ยุกตะนันทน์, ดลนภา บรู ณะธญั ญ์, กลั ยา คงศรีวิลยั และ

สรุ ีย์ อรรถกร. 2547ก.หนงั สือเรียนสาระการเรียนรพู้ ืน้ ฐาน กลุ่มสาระการเรียนรสู้ ขุ
ศึกษาและพลศึกษา ช่วงช้ันที่ 1 (ป.1-3). กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ครุ ุสภาลาดพร้าว.
. 2547.หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พนื้ ฐาน กลุม่ สาระการเรียนร้สู ุขศึกษาและพลศึกษา
ช่วงชนั้ ที่ 2 (ป.4-6). กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์ครุ ุสภาลาดพร้าว.
.2547ข. หนังสือเรียนสาระการเรียนรพู้ ืน้ ฐาน กลุม่ สาระการเรียนรู้สขุ ศึกษาและ
พลศึกษาชว่ งชั้นที่ 3 (ม.1-3).กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ครุ ุสภาลาดพร้าว.
. 2547ค. หนังสือเรียนสาระการเรียนรพู้ ืน้ ฐาน กลมุ่ สาระการเรียนรู้ สุขศึกษาและ
พลศึกษา ช่วงช้ันที่ 1 (ป.1-3).กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์คุรสุ ภาลาดพร้าว.
วาสนา คุณาอภิสิทธิ,์ ภาวนา อนนตะชยั และอุทัย สุขเสริม. 2547ก.คมู่ ือการจดั การเรียนรกู้ ลมุ่
สาระการเรยี นรสู้ ขุ ศึกษาและพลศึกษาตามหลักสตู รการศึกษาข้นั พื้นฐาน พุทธศักราช
2544 ชว่ งช้ันที่ 1 (ป.1-3).กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.
วาสนา คุณาอภิสิทธิ์, ภาวนา อนนตะชยั , อุทยั สขุ เสริม และสุรีรตั น์ สิริสวัสดิ์. 2547.คูม่ ือการ
จดั การเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรสู้ ขุ ศึกษาและพลศึกษาตามหลักสตู รการศึกษาขัน้
พืน้ ฐานพทุ ธศกั ราช 2544 ชว่ งชั้นที่ 2 (ป.4-6).กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ครุ สุ ภา
ลาดพร้าว.
วาสนา คณุ าอภิสิทธิ,์ กลั ยา คงศรีวิลยั และสรุ ีย์ อรรถกร. 2547.คมู่ ือการจดั การเรียนรู้ กล่มุ
สาระการเรยี นรูส้ ขุ ศึกษาและพลศึกษาตามหลกั สตู รการศึกษาขน้ั พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช
2544 ชว่ งช้นั ที่ 3 (ม.1-3).กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์คุรสุ ภาลาดพร้าว.
วาสนา คุณาอภิสิทธิ์, สปุ รารถนา ยุกตะนันทน์, ดลนภา บรู ณธญั ญ์ และสรุ ีย์ อรรถกร. 2547.
คูม่ ือการจัดการเรียนร้กู ลมุ่ สาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษาตามหลกั สตู ร
การศึกษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ชว่ งชนั้ ที่ 4 (ม.4-6).กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์
ครุ ุสภาลาดพร้าว.
วิริยา บญุ ชัย. 2529. การทดสอบและวดั ผลทางพลศึกษา.กรุงเทพมหานคร: ไทยวฒั นาพานิช.
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ สานักนายกรัฐมนตรี. 2545. พระราชบัญญัติการศึกษา
แหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 และที่แกไ้ ขเพิม่ เติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545.กรงุ เทพมหานคร: บริษทั
พริกหวานกราฟฟิค จากัด.

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 13

Cone, T. P., P. Werner, S.L. Cone & A.M. Woods. 1998. Interdisciplinary Teaching Through

Physical Education. Champaign, Illinois: Human Kinetics.

Gabbard, C., B. LeBlance& S. Lowy. 1994. Physical Education for Children. Englewood Cliffs,
New Jersey: Prentice Hall, Inc.

Harrison, J. M., C.L. Blakemore, & M.M. Buck.2001. Instructional Strategies for Secondary
School Physical Education. Boston Burr Ridge, Illinois: McGraw-Hill.

Hopple, C. J. 1995. Teaching for Outcomes in Elementary Physical Education: A Guide for
Curriculum and Assessment. Champaign, Illinois: Human Kinetics.

Kaardal, K. 2001. Learning by Choice in Secondary Physical Education: Creating a
Goal-Directed Program. Champaign, Illinois: Human Kinetics.

Kirchner, G. 1992. Physical Education for Elementary School Children. Dubuque, Iowa:
McGraw-Hill.

Kirchner, G., & G.J. Fishburne. 1998. Physical Education for Elementary School Children.
Boston: McGraw-Hill.

National Association for Sports and Physical Education. 1995. Moving into the Future
National Physical Education Standards: A Guide to Content and Assessment.
Boston: McGraw-Hill.

Nichols, B. 1994. Moving and Learning the Elementary School Physical Education
Experience.St. Louis: Mosby.

Office of the National Education Commission. 1999. National Education Act B.E. 2542
(1999). Bangkok: National Education Commission.

Pangrazi, R. P. 1997. Teaching Elementary Physical Education: A Handbook for the
Classroom Teacher. Boston: Allyn and Bacon.
. 1998. Dynamic Physical Education for Elementary School Children. Boston: Allyn
and Bacon.

Pangrazi, R. P. & P.W. Darsal. 1991. Dynamic Physical Education for Secondary School
Students. New York: Macmillan Publishing Company.

Sanders, S. W. 1992. Designing Preschool Movement Programs. Champaign, Illinois: Human
Kinetics.

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 14

Siedentop, D. 2004. Introduction to Physical Education, Fitness, and Sport. Boston:
McGraw-Hill.

Summerford, C. 2000. PE-4-ME Teaching Lifelong Health and Fitness. Champaign, Illinois:
Human Kinetics.

Wuest, D.& B. Lombardo. 1994. Curriculum and Instructions: The Secondary School
Physical Education Experience. St. Louis: Mosby.

Zakrajsek, D. B., L.A. Carnes & F.E. Jr. Pettgrew. 2003. Quality Lesson Plans for Secondary
Physical Education. Champaign, Illinois: Human Kinetics.

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 15

ตารางการจดั การเรียนรู้

สัปดาห์ที่ เนื้อหา กิจกรรม วิธีการประเมิน
1. บรรยาย 1. การสงั เกตโดยพิจารณาจาก
(1) ปฐมนิเทศ 2. ถาม-ตอบ
3. ซักถามอภิปราย ภาพรวม
- แนะนาอาจารย์ผ้สู อน ทั่วไป 2. การสังเกตการมีส่วนร่วม
4. ใบงาน
- ลักษณะวิชา 5.การเรียนผ่านระบบ และอภิปรายในประเดน็ ตา่ งๆ
การเรียนรู้ e-Learning 3. ประเมินใบงาน
- ข้อตกลงทางการเรียน

นิยามและจุดมุ่งหมายของการสอน

พลศึกษา

- นิยามของการสอน

- ความสาคญั ของการสอน

- นิยามและจุดมุ่งหมายการสอน

พลศึกษา

- ปรัชญาและหลกั การพลศึกษา

(2) จิตวิทยากับการสอนพลศึกษา 1. บรรยาย 1. การสงั เกตโดยพิจารณาจาก

- หลักการเรยี นร้แู ละทฤษฎีการเรยี นรู้ 2. ถาม-ตอบ ภาพรวม

- วิธีจูงใจให้เกิดการเรียนรู้ 3. ซักถามอภิปราย 2. การสงั เกตการมีส่วนร่วม

- ความสาคญั ของจิตวิทยากบั การสอน ทั่วไป และอภิปรายในประเดน็ ตา่ งๆ

พลศึกษา 4. ใบงาน 3. ประเมินใบงาน

- ลักษณะและความต้องการทางด้าน 5.การเรียนผ่านระบบ

การออกกาลงั กายของผ้เู รียนวยั ต่างๆ การเรียนรู้ e-Learning

(3) หลักสตู รพลศึกษา 1. บรรยาย 1. การสังเกตโดยพิจารณาจาก

- พระราชบัญญตั ิการศึกษาแห่งชาติ 2. ถาม-ตอบ ภาพรวม

- ความหมายความสาคัญและ 3. ซักถามอภิปราย 2. การสงั เกตการมีส่วนร่วม

องค์ประกอบของหลกั สตู ร ท่ัวไป และอภิปรายในประเดน็ ตา่ งๆ

- หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั 4. ใบงาน 3. ประเมินใบงาน

พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 5.การเรียนผ่านระบบ

- สาระหลักสตู รกล่มุ สาระการเรียนรู้ การเรียนรู้ e-Learning

สุขศึกษาและพลศึกษา

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 16

สปั ดาหท์ ี่ เนือ้ หา กิจกรรม วิธีการประเมิน

(4) วิธีสอนและรปู แบบการสอนพลศึกษา 1. บรรยาย 1. การสังเกตโดยพิจารณาจาก

- วิธีการสอนและรปู แบบการสอน 2. ถาม-ตอบ ภาพรวม

- การจัดการเรียนรแู้ บบเนน้ ผู้เรยี น 3. ซักถามอภิปราย 2. การสังเกตการมีส่วนร่วม

เป็นสาคัญ ทั่วไป และอภิปรายในประเดน็ ตา่ งๆ

- วิธีสอนพลศึกษา 4. ใบงาน 3. ประเมินใบงาน

- การสอนทกั ษะ 5.การเรียนผ่านระบบ

การเรียนรู้ e-Learning

(5) หลักการจัดและบริหารชั้นเรียน 1. บรรยาย 1. การสงั เกตโดยพิจารณาจาก

วัสดุอุปกรณแ์ ละสิง่ อานวยความสะดวก 2. ถาม-ตอบ ภาพรวม

- ความหมายและจุดม่งุ หมายการจดั 3. ซักถามอภิปราย 2. การสังเกตการณ์มีส่วนรว่ ม

ช้นั เรยี นและระเบียบการเรยี นวิชา ทั่วไป และอภิปรายในประเด็นตา่ งๆ
พลศึกษา
- หลกั ในการจดั ช้นั เรียนและระเบียบ 4. ใบงาน 3. ประเมินใบงาน

5.การเรียนผ่านระบบ

การเรียนวิชาพลศึกษา การเรียนรู้ e-Learning

- เทคนิคการควบคุมช้นั เรยี น

- การจัดการบริหารสถานที่วสั ดุอปุ กรณ์

เครื่องอานวยความสะดวกทางพลศึกษา

(6) เสวนาเชิงวิชาการ 1. เสวนา 1. การสังเกตโดยพิจารณาจาก

“มมุ มองและประสบการณ์การสอน 2. ซกั ถามอภิปราย ภาพรวม

พลศึกษาในโรงเรียน” ท่ัวไป 2. การสงั เกตการณ์มีส่วนรว่ ม

(เชิญวิทยากร) 3.การเรียนผ่านระบบ และอภิปรายในประเดน็ ตา่ งๆ

การเรียนรู้ e-Learning 3. ประเมินใบงาน

(7) การพฒั นาหน่วยการเรียนรแู้ ละแผนการ 1. บรรยาย 1. การสงั เกตโดยพิจารณาจาก

จัดการเรียนรู้ 2. ถาม-ตอบ ภาพรวม

- ความสาคญั ของหน่วยการเรยี นรู้ 3. ซกั ถามอภิปราย 2. การสังเกตการณ์มีส่วนรว่ ม

- การพฒั นาและออกแบบหน่วย ทว่ั ไป และอภิปรายในประเด็นตา่ งๆ

การเรียนรู้ 4. ใบงาน 3. ประเมินใบงาน

- การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ 5.การเรียนผ่านระบบ

- การวางแผนการสอน การเรียนรู้ e-Learning

- แผนการจัดการเรียนรู้พลศึกษา

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 17

สปั ดาหท์ ี่ เนือ้ หา กิจกรรม วิธีการประเมิน
1. บรรยาย 1. การสงั เกตโดยพิจารณาจาก
(8) การประเมินผลทางพลศึกษา 2. ถาม-ตอบ
3. ซักถามอภิปราย ภาพรวม
- หลักการประเมินผลตามหลักสตู ร ท่วั ไป 2. การสงั เกตการณ์มีส่วนรว่ ม
4. ใบงาน
การศึกษาข้นั พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 5.การเรียนผ่านระบบ และอภิปรายในประเด็นตา่ งๆ
การเรียนรู้ e-Learning 3. ประเมินใบงาน
- การวัดและประเมินผลการเรียนรู้กล่มุ
1. บรรยาย 1. การสังเกตโดยพิจารณาจาก
สาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา 2. ถาม-ตอบ ภาพรวม
3. ซกั ถามอภปิ ราย
- การให้คะแนนและการตดั สินระดับ ทว่ั ไป 2. การสงั เกตการณ์มีส่วนรว่ ม
4. ใบงาน และอภิปรายในประเดน็ ตา่ งๆ
คะแนนสาหรบั วิชาพลศึกษา 5.การเรยี นผา่ นระบบ
การเรียนรู้ e-Learning 3. ประเมินใบงาน
(9) บทบาทและลักษณะของครพู ลศึกษาที่ดี - ใหเ้ ลือกทกั ษะที่จะ
ดาเนินการสอนพร้อม 1. ประเมนิ ตามสภาพจรงิ
- ความหมายคาว่า “คร”ู ท้ังกาหนดวัน/เวลาใน 2. การประเมนิ เพื่อน
การปฏิบตั กิ ารสอน 3. ประเมินตนเอง
- จรรยาบรรณครแู ละมาตรฐานวิชาชีพครู - ใหเ้ ลือกทกั ษะทีจ่ ะ
ดาเนินการสอนพร้อม 1. ประเมนิ ตามสภาพจรงิ
- บทบาทและลกั ษณะของครูพลศึกษาทดี่ ี ทั้งกาหนดวัน/เวลาใน 2. การประเมินเพื่อน
การปฏิบตั กิ ารสอน 3. ประเมินตนเอง
(10) 1. ฝึกปฏบิ ตั ิภาคสนาม - ใหเ้ ลือกทักษะทีจ่ ะ
2. ทบทวนสาระ ดาเนินการสอนพร้อม 1. ประเมนิ ตามสภาพจรงิ
ท้ังกาหนดวัน/เวลาใน 2. การประเมินเพื่อน
(11) 1. ฝึกปฏบิ ตั ิภาคสนาม การปฏิบตั กิ ารสอน 3. ประเมินตนเอง
2. ทบทวนสาระ

(12) 1. ฝึกปฏบิ ัติภาคสนาม
2. ทบทวนสาระ

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 18

สปั ดาหท์ ี่ เนื้อหา กิจกรรม วิธีการประเมิน
- ใหเ้ ลือกทักษะทีจ่ ะ 1. ประเมนิ ตามสภาพจรงิ
(13) 1. ฝึกปฏบิ ตั ิภาคสนาม ดาเนินการสอนพร้อม 2. การประเมินเพือ่ น
ทั้งกาหนดวัน/เวลาใน 3. ประเมินตนเอง
2. ทบทวนสาระ การปฏิบตั กิ ารสอน
- ใหเ้ ลือกทกั ษะทีจ่ ะ 1. ประเมนิ ตามสภาพจรงิ
(14) 1. ฝึกปฏบิ ตั ิภาคสนาม ดาเนินการสอนพร้อม 2. การประเมินเพือ่ น
2. ทบทวนสาระ ทั้งกาหนดวนั /เวลาใน 3. ประเมินตนเอง
การปฏิบตั กิ ารสอน
(15) 1. ฝึกปฏบิ ัติภาคสนาม - ใหเ้ ลือกทักษะที่จะ 1. ประเมนิ ตามสภาพจรงิ
2. ทบทวนสาระ ดาเนินการสอนพร้อม 2. การประเมินเพื่อน
ท้ังกาหนดวนั /เวลาใน 3. ประเมินตนเอง
(16) **ประเมินการเรียนการสอนตาม การปฏิบตั กิ ารสอน
ข้อกาหนดของคณะศึกษาศาสตร*์ * **ตรวจข้อสอบ**
**สอบปลายภาค**

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 19

ส่วนที่ 2
เนื้อหารายวิชา

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 20

บทที่ 1

นิยามและจดุ มงุ่ หมายของการสอนพลศึกษา

นิยามหรือความหมายของการสอน
ความสาคญั ของการสอน
นิยามและจุดมุ่งหมายการสอนพลศึกษา
แนวคิด ทฤษฎี ปรัชญาและหลักการพลศึกษา

ที่มา: https://spacesforlearning.wordpress.com/2012/08/12/why-not-children-as-teachers-not-
just-learners/

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 21

นิยาม หรือความหมายของการสอน
ความหมายของคาว่า “การสอน” น้ันมีผู้ให้ความหมายไว้หลากหลาย ซึ่งก็แตกต่างกันในบริบท

ต่างๆ อาทิเช่น
ไพฑูรย์ สินลารัตน์ (2526) กล่าวว่าการสอนเป็นกระบวนการอนั ประกอบด้วย OLE อันได้แก่ O

= Objective หมายถึงจุดมุ่งหมาย; L = Learning Experience หมายถึง การจัดประสบการณ์การเรียน
การสอนและ E = Evaluation ซึ่งหมายถึงการประเมินผล

สุมน อมรวิวัฒน์ (2533) กล่าวว่าการสอนนั้นคือ สถานการณ์อย่างหนึ่ง ซึ่งต้องมีสิ่งต่อไปน้ี
เกิดข้นึ อันได้แก่มีความสมั พันธ์และปฏิสัมพนั ธ์เกิดขึ้นระหว่างครูกับผู้เรียน ผู้เรียนกับผ้เู รียน ผ้เู รียนกับ
สิ่งแวดล้อมและครูกับผู้เรียนกับสิ่งแวดล้อม โดยความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์นั้น ก่อให้เกิดการเรียนรู้
และประสบการณ์ใหม่และผ้เู รียนสามารถนาประสบการณ์ใหม่น้นั ไปใช้ได้

กาญจนา เกียรติประวัติ (2542) ได้ให้ความหมายของการสอนนั้น หมายถึง กระบวนการต่างๆ
ที่บุคคลได้กระทาเพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเจริญงอกงามในทุกด้านและกระบวนการน้ันจะต้อง
สามารถช่วยให้ผ้เู รียนปรับตัวได้อย่างมีความสขุ

อาภรณ์ ใจเที่ยง (2553) กล่าวว่าการสอนคือกระบวนการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน
เพื่อให้ผ้เู รียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามจุดประสงค์ทีก่ าหนด ซึ่งต้องอาศยั ทั้งศาสตร์และศิลป์
ของผ้สู อน

ดังที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่าการสอนน้ันเป็นกระบวนการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับ
ผู้เรียนและสิ่งแวดล้อมโดยการมีปฏิสัมพันธ์นั้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมตามจุดประสงค์ทีก่ าหนดไว้ ซึง่ ต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ของผ้สู อนโดยมีหลักและวิธีการ
สอนที่ดี มีประสิทธิภาพ ซึ่งสิ่งเหล่าน้ีจะช่วยส่งเสริมให้ครูสามารถสอนให้ผู้เรียนบรรลเุ ป้าหมายที่ต้ังไว้
อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนได้

ความสาคัญของการสอน
คาว่า “การสอน” น้ันมีวิวัฒนาการมาตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบัน วิวัฒนาการและการ

เปลี่ยนแปลงพัฒนาการมาเรื่อยๆ เป็นลาดับตามพัฒนาการของการศึกษาของแต่ละยุคแต่ละสมัย ซึ่ง
การสอนในสมัยโบราณนั้น อาจเริ่มจากที่มนุษย์มีการเรียนรู้จากพ่อแม่บุคคลรอบตัว ตลอดถึงการ
เรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัว ซึ่งมนุษย์จะได้รับความรู้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งความสาคัญ
ของการสอนนั้นสามารถทาให้มนุษย์รู้จักการพัฒนาและปรับปรุงตัวเองให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม รวมท้ัง
สามารถทีจ่ ะปรบั สิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมกบั ตวั เองด้วย

สาหรับการสอนในระบบโรงเรียน บุคคลที่ทาหน้าที่ในการสอนคือ “ครู” ซึ่งในปัจจุบันวิชาชีพ
ครูถือเป็นวิชาชีพช้ันสูง ที่บุคคลในวิชาชีพน้ี ต้องได้รับการศึกษาอบรมมาโดยเฉพาะเพื่อให้มีความ

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 22

เชี่ยวชาญในการปฏิบัติหน้าที่ในศาสตร์หรือสาขาวิชานั้นๆ โดยต้องมีทั้งความรู้และความสามารถที่
เลือกประยกุ ต์ใช้วิธีการที่เหมาะสม เพื่อช่วยให้ผ้เู รียนเกิดการพัฒนาท้งั ทางด้าน ความรู้ ทกั ษะ และเจต
คติ สนองตอบจุดมุ่งหมายที่ได้กาหนดไว้ ดังนั้นครูจึงต้องมีการพัฒนาและต้องมีการฝึกฝนเพิ่มพูน
ความรู้และทกั ษะทางด้านการสอนอย่ตู ลอดเวลา เพือ่ ให้เกิดประสิทธภิ าพสงู สุดทั้งต่อตนเองและผ้เู รียน

ในความสาคัญของการสอนของครูนั้น สุพิตร สมาหิโตและเจริญ กระบวนรัตน์ (ม.ป.ป.) กล่าว
ว่า การสอนนั้นเปน็ กระบวนการแนะนา แนะแนวทาง เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รวมท้ังเป็นการ
ค้นพบสิ่งที่แปลกใหม่ๆ ซึ่งกันและกัน คือ ระหว่างครูกับผู้เรียนผู้เรียนกับผู้เรียน ซึ่งความสาเร็จที่จะ
เกิดข้ึนเนือ่ งจากการสอนนั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย อาทิเช่น ความกระตือรือร้นของผู้เรียน ความพร้อม
และความสามารถของครู ซึ่งการเตรียมตัวให้พร้อมนั้นมิได้หมายความแต่เพียงว่าครูจะต้องเตรียมการ
สอนว่าจะสอนเน้ือหาอะไรเท่าน้ันแต่ยังหมายถึงว่าจะสอนอย่างไรด้วย ซึ่งการเตรียมตัวว่าจะสอน
อย่างไรนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับประสบการณ์ การค้นคว้า ทดลอง ซึ่งการสอนที่ดีนั้น ต้องสามารถช่วยให้
ผู้เรียนไปถึงจุดหมายปลายทางได้โดยไม่ยากนัก ผู้สอนสามารถมองเห็นพัฒนาการทางด้านการเรียน
ของผู้เรียน ช่วยให้ผู้เรียนมีทัศนคติต่อการศึกษา ช่วยให้ผู้เรียนแต่ละคนมีความคิดสร้างสรรค์ มี
ความคิดกว้างขวาง มีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและในที่สุดก็สามารถนาเอาความรู้เหล่าน้ีไปใช้ให้
เกิดประโยชน์ในชีวิตประจาวันของตนเองได้

วรศักดิ์ เพียรชอบ (2540) ยังได้กล่าวถึงความสาคัญของการสอนน้ันต้องพิจารณาวิธีการสอน
ให้มีความสัมพันธ์กับจุดมุ่งหมายของการสอน ซึ่งถือเป็นหลกั การสอนที่สาคัญอย่างหนึ่ง และการที่จะ
ตอบคาถามที่ว่า ผลของการสอนที่พึงปรารถนาคืออะไรน้ัน คงต้องให้ความสาคัญกับการเลือกวิธีการ
สอนซึ่งต้องมีการพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบของครูผู้สอน ฉะน้ัน ความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด
ระหว่างความมุ่งหมายของการสอนและวิธีการสอน จึงเป็นสิ่งที่ครทู ี่ดีจะต้องพิจารณาตรวจสอบควบคู่
กันไปทุกคร้ังทีม่ ีการสอน ครูทีท่ ุ่มเทเวลาของตวั เองในเฉพาะวิธีการสอนให้เปน็ วิธีการดาเนินการโดยไม่
คานึงถึงความเกีย่ วข้องกับความมุ่งหมายของการสอนน้ัน ถือว่าเป็นผู้ที่ละเลยไม่ใส่ใจต่อหลักการสอน
ที่สาคัญอย่างหนึ่ง ดังน้ันการสอนจึงมีความสาคัญยิ่งที่ส่งผลต่อผู้เรียน ครูจึงจาเป็นต้องเป็นผู้จัด
กระบวนการเรียนร้ทู ี่เหมาะสม เพื่อให้ผ้เู รียนได้รับการพัฒนาตามศกั ยภาพของผ้เู รียนเพือ่ ให้เปน็ ไปตาม
จุดมุ่งหมายทางการศึกษา และวิธีการสอนใดจะดีที่สุดนั้นก็ต่อเมื่อวิธีการสอนนั้นมีความสัมพันธ์กับ
ความมุ่งหมายที่สอนรวมทั้งสนองตอบต่อสภาพการณ์ และเป็นประโยชน์แก่บุคคลแต่ละคนและต่อ
กล่มุ อย่างแท้จริงจึงจะถือได้ว่าเปน็ วิธีการสอนที่ดีทีส่ ดุ

ในปัจจุบัน วิชาชีพครูถือได้ว่ามีความเป็นมาตรฐานของวิชาชีพ ซึ่งก็คงเหมือนกับมาตรฐาน
วิชาชีพช้ันสูงอื่นๆ เช่น มาตรฐานวิชาชีพของแพทย์ วิศวกร สถาปนิก ทนายความ พยาบาล สัตวแพทย์
เป็นต้น ที่ต้องมีการกาหนดให้วิชาชีพนั้นๆเป็นวิชาชีพควบคุม เพื่อเป็นหลักประกันและคุ้มครองให้
ผ้รู ับบริการได้รบั บริการอย่างมีคุณภาพ ดังนั้นการกาหนดให้วิชาชีพครเู ป็นวิชาชีพควบคุมกเ็ ช่นเดียวกัน

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 23

จะสามารถเป็นหลักประกันและคุ้มครองให้ผู้รับบริการทางการศึกษาได้รับการศึกษาอย่างมีคุณภาพ
รวมทั้งจะเป็นการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานวิชาชีพครูให้สูงขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย ด้วยเหตุน้ีในเรื่อง
ความรู้ความสามารถของครูโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความรู้ความสามารถในการสอน จึงมี
ความสาคัญอย่างยิ่ง ครูต้องสามารถปฏิบัติงานการสอนได้ดี มีมาตรฐาน ก่อให้เกิดการพัฒนาผู้เรียน
ทั้งด้านความรู้ความคิด ด้านเจตคติ และด้านทักษะ ทาให้ผู้เรียนเกิดความรู้แจ้ง คิดชอบ และปฏิบัติดี
เกิดการเจริญเติบโตทุกด้านอย่างชืน่ บานและแจ่มใส (สมุ น อมรวิวฒั น์, 2533)

แต่อย่างไรก็ตามการจะประสบความสาเร็จในการสอนของครูหรือไม่นั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับ
ความสามารถของครูในการผสมผสานการสอนที่เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์เข้าด้วยกัน สอดคล้องกับ
คณะกรรมาธิการนานาชาติว่าด้วยการศึกษาในศตวรรษที่ 21 (UNESCO, 1996) ที่กล่าวถึงการสอนว่า
เป็นศาสตร์และศิลป์ เนื่องจากงานของผู้สอนน้ัน ไม่ใช่เพียงแต่ถ่ายทอดข้อมูล หรือแม้กระท่ังความรู้
เท่านั้น แต่ผ้สู อนจะต้องนาเสนอความรู้ ในลักษณะของการเสนอปัญหา ในบริบทใดบริบทหนึ่ง และการ
เสนอปัญหาต่างๆนั้น ต้องดาเนินอย่างถกู ต้อง เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนาวิธีแก้ปัญหานั้นๆ ไปประยกุ ต์ใช้
กับเรื่องอื่นๆ ต่อไปได้ การสอนของครูจึงมีบทบาทสาคัญอย่างมากต่อการจัดการเรียนการสอนใน
ระบบการศึกษา เนื่องจากการสอนเป็นเครื่องมือที่จะส่งเสริมให้ผ้เู รียนรักการเรียนโดยเฉพาะพวกเด็กๆ
จะมีการต้ังใจเรียนถ้าการสอนมีรูปแบบที่ดี การที่ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้โดยเกิดจากการสอนของครู
นอกจากจะเป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความพร้อมที่จะสามารถมุ่งไปสู่จุดหมายปลายทางคือ
ความสาเร็จในชีวิต เขายังสามารถที่จะดารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขและมีคุณค่า แต่ท้ังน้ี
ครูผ้สู อนต้องสามารถปฏิบัติการสอนอย่างชานาญ ต้องครอบคลมุ ทกุ ด้าน ไม่ว่าจะเปน็ การวางแผนการ
เรียนการสอน การออกแบบการเรียนการสอน การจัดการเรียนการสอน การใช้วิธีสอน เทคนิคการ
สอน รูปแบบการเรียนการสอน ระบบการสอน สื่อการสอน การประเมินผลการเรียน การสอน
รวมท้งั การใช้ทฤษฎีและหลักการเรียนรู้และการสอนต่างๆ

นิยามและจุดมงุ่ หมายการสอนพลศึกษา
การสอนในรายวิชาพลศึกษานั้น เริ่มจากความเข้าใจในความหมายของคาว่า “พลศึกษา” ก่อน

ว่ามีความหมายอย่างไร เพื่อที่จะได้เข้าใจพื้นฐานความรู้และเข้าใจจุดมุ่งหมายของพลศึกษาในลาดับ
ต่อไป จากการศึกษาแนวคิด ทฤษฎีของนักการศึกษาท้ังในและต่างประเทศ มีผู้ให้ความหมายของวิชา
พลศึกษาไว้หลากหลาย พอสรุปได้ดงั นี้

ในพจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน (ราชบณั ฑิตยสถาน, 2542) ให้ความหมายของพลศึกษา
ไว้ว่า พลศึกษาคือ การศึกษาทีจ่ ะนาไปสู่ความเจริญงอกงามและพฒั นาการทางร่างกาย

กูด (Good, 1959 อ้างใน จักรพันธ์ ศรีมกุฏ, 2552) ให้ความหมายของพลศึกษาว่า หมายถึง
โครงการจัดการเรียนการสอนและการจัดกิจกรรมทุกประเภทที่ต้องใช้กล้ามเน้ือมัดใหญ่ท้ังหลาย ซึ่ง

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 24

จัดไว้เพื่อที่จะส่งเสริมพัฒนาการของร่างกาย ทักษะการเคลื่อนไหวทางกลไก เกิดเจตคติและนิสยั แห่ง
ความประพฤติอนั ดีงามทีพ่ ึงประสงค์ท้งั หลาย

Bucher (1969) กล่าวว่า พลศึกษาเป็นวิชาที่สัมพันธ์กับการศึกษาแขนงอื่นๆ คือเป็นวิชาที่
ส่งเสริมให้บุคคลได้มีการพัฒนาการทางร่างกาย จิตใจ และสังคม โดยมีกิจกรรมทางพลศึกษา ซึ่งได้
เลือกเฟ้นแล้วเปน็ อย่างดีเป็นสือ่ ที่จะทาให้เกิดการเรียนรู้

Nash (1999) กล่าวว่า พลศึกษาเป็นการศึกษาส่วนหนึ่งในกระบวนการการศึกษาท้ังหมด และ
เป็นการศึกษาที่ใช้กิจกรรมและความแข็งแรงข้ันต่างๆ ที่มีอยู่ในตัวบุคคลแต่ละคน ได้เกิดพัฒนาการ
ทางกาย ทางประสาท ทางสติปัญญา และทางอารมณ์ ซึ่งผลเหล่าน้ีจะเป็นที่ประจักษ์ก็ต่อเมื่อได้จัดให้
มีกิจกรรมพลศึกษาขึ้นตามสถานทีต่ ่อไปนี้ เช่น โรงฝึกพลศึกษา และสระว่ายน้า

วาสนา คุณาอภิสิทธิ์ (2539) กล่าวว่า พลศึกษาเป็นกระบวนการทางการศึกษาเกี่ยวกับ
กิจกรรมต่างๆ ซึ่งช่วยเพิ่มพูนและพัฒนาการของมนุษย์ให้ดีขึ้น หรือกล่าวได้ว่าพลศึกษาคือวิชาที่มุ่ง
ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีพัฒนาการทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และทักษะโดยใช้กิจกรรมการ
ออกกาลังกายหรือกีฬาต่างๆเป็นสื่อของการเรียน

วรศักดิ์ เพียรชอบ (2540) กล่าวว่า พลศึกษาคือ ผลรวมของกิจกรรมทางกายต่างๆของมนุษย์
ทีไ่ ด้เลือกสรรมาแล้วตามชนิดและนามาดาเนินการตามประเภทของผลที่เกิดขึ้น

สุวิมล ต้ังสัจจพจน์ (2540) กล่าวว่า พลศึกษาน้ัน เป็นการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตทั้ง
ทางกาย ทางใจ ทางสุขภาพและสมรรถภาพและยังเป็นการเรียนรู้เพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
การออกกาลังกายที่ถูกต้อง การสร้างคนให้รู้จักวิธีการส่งเสริมสุขภาพ เพื่อให้มีชีวิตที่ยืนยาวและ
กระทาตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม ดังนั้นพลศึกษาต้องพัฒนาทั้งหลักสูตร บทบาทและการเรียน
การสอนที่มุ่งให้ผ้เู รียนสามารถเป็นบคุ คลที่เป็นประโยชน์ต่อสงั คมในฐานะนักสขุ ภาพทีด่ ี

พิชิต ภูติจันทร์ (2547) กล่าวว่า พลศึกษา เป็นศาสตร์ที่มุ่งพัฒนาบุคคลให้มีความเจริญงอก
งามทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม ตลอดจนสร้างเสริมความเปน็ พลเมืองดีของชาติ โดย
ใช้กิจกรรมการเคลื่อนไหวเป็นสื่อกลาง พลศึกษาเป็นส่วนสาคัญของการศึกษา 4 ด้าน ได้แก่ พุทธิ
ศึกษา จริยศึกษา พลศึกษา และหัตถศึกษา

ณฐั ยา แก้วมกุ ดา (2548) กล่าวว่า ตามรูปศพั ท์คาว่าพลศึกษาน้ัน หมายถึง การศึกษาเกีย่ วกับ
ร่างกาย การเล่นกีฬา การบริหารร่างกาย การเล่นเกม ในภาษาอังกฤษใช้คาว่า“Physical Education”
ซึง่ หมายถึง การศึกษาทีม่ ่งุ พฒั นาบุคคลท้งั ทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสงั คมเพื่อให้ผ้เู รียนรู้จัก
ตนเอง (Self – Realization) มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี (Human relationship) มีประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ
(Economic efficientment) และมีความรับผิดชอบในฐานะที่เป็นพลเมืองดี (Civic Responsibility) โดยใช้
กิจกรรมทางพลศึกษาเป็นสือ่ เพือ่ ให้บรรลเุ ป้าหมาย

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 25

ส่วนสานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2552) ได้ระบุความหมายของพลศึกษาไว้ใน
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พ.ศ.2551 ว่า พลศึกษาเป็นวิชาที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนใช้กิจกรรม
การเคลื่อนไหว การออกกาลังกาย การเล่นเกมและกีฬา เป็นเครื่องมือในการพัฒนาโดยรวมทั้งด้าน
ร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม สติปญั ญา รวมท้งั สมรรถภาพเพือ่ สขุ ภาพและกีฬา

จากที่กล่าวมาข้างต้นเกี่ยวกับความหมายของพลศึกษา พอสรุปได้ว่าพลศึกษาน้ันหมายถึง
กระบวนการเรียนการสอนที่ผ่านร่างกายผู้เรียน โดยใช้กิจกรรมทางกายรูปแบบต่างๆเป็นสื่อในการ
ส่งเสริมพัฒนาการของผู้เรียนครบทั้ง 5 ด้าน อันได้แก่ ด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และ
สติปญั ญา เพือ่ ประโยชน์สงู สดุ ของความเป็นมนษุ ย์ทีส่ มบรู ณ์นั้นเอง

ปัจจุบันพลศึกษา เป็นวิชาหนึ่งที่มีอยู่ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ตาม
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พ.ศ.2551 ซึ่งถือได้ว่าเป็นวิชาที่ช่วยพัฒนาผู้เรียนในทุกๆด้าน
เพื่อเป้าหมายสูงสุดคือพัฒนาผู้เรียนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ความสาคัญของพลศึกษาน้ันสามารถเห็น
ได้จากการบรรจุวิชาน้ีไว้ในหลักสูตรของโรงเรียนทุกระดับช้ัน ทั้งในระดับช้ันประถมศึกษาจนถึง
ระดบั ช้ันมัธยมศึกษา อย่างไรก็ตามด้วยความที่ลกั ษณะของวิชาพลศึกษามีความแตกต่างจากวิชาอื่นๆ
ค่อนข้างจะมาก พลศึกษามีแนวคิด ทฤษฎีหลกั การและปรัชญาการสอนทีใ่ ช้เป็นแนวทางปฏิบตั ิและเป็น
รายละเอียดของตนเองโดยเฉพาะ จึงทาให้เป้าหมายการเรียนหรือจุดประสงค์ของการเรียนรู้ สาระและ
เน้ือหา กิจกรรมการเรียนการสอน การวัดและประเมินผลในพลศึกษามีรูปแบบการจัดการเรียน
การสอนที่แตกต่างจากการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาอื่นๆ ซึ่งถ้าพิจารณาจากความหมายของ
พลศึกษาที่ได้รวบรวมมา จะเห็นได้ว่า พลศึกษามีจุดมุ่งหมายคือ การพัฒนาผู้เรียนครบทุกด้าน ท้ัง
ทางด้านร่างกายจิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ซึ่งสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการศึกษาของ
ชาติที่บัญญัติไว้ในมาตรา 6 ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ที่กล่าวว่า...การจัดการศึกษานั้นต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่
สมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและคุณธรรมในการ
ดารงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข...ดังน้ันจุดมุ่งหมายของพลศึกษาจึงตอบสนอง
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติโดยถือเปน็ วิสยั ทัศน์ของพลศึกษาที่ปรากฏอยู่ในหลกั สูตรแกนกลาง
การศึกษาข้นั พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 ที่เป็นรายวิชาที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนใช้กิจกรรมการเคลือ่ นไหว การ
ออกกาลงั กาย การเล่นเกมและกีฬา เป็นเครือ่ งมือในการพฒั นาโดยรวมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์
สังคม สติปัญญา รวมท้งั สมรรถภาพเพื่อสขุ ภาพและกีฬา(กระทรวงศึกษาธิการ, 2551)

อย่างไรก็ตามในบริบทของจุดมุ่งหมายของการสอนพลศึกษานั้น จิรภรณ์ ศิริประเสริฐ (2543)
แสดงความคิดเห็นในประเด็นของความเข้าใจผิดเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการพลศึกษาที่เห็นว่าเป็น
การเรียนการสอนเพื่อเป็นการจัดนันทนาการ การทาให้ผู้เรียนได้รับความสนุกสนาน ได้ใช้พลังงานที่
เหลือ เป็นกิจกรรมนอกห้องเรียน หรือทีเ่ ข้าใจว่าชวั่ โมงพลศึกษาคือ ช่ัวโมงอิสระหรือชั่วโมงที่ผู้เรียนจะ

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 26

อะไรก็ได้รวมทั้งความเข้าใจที่ว่าพลศึกษาน้ันเป็นการศึกษาที่เกี่ยวกับร่างกายเท่านั้น ความเข้าใจผิดที่
กล่าวมา ส่งผลกระทบต่อคุณค่าของวิชาพลศึกษา เพราะจุดประสงค์ที่แท้จริงของการจัดการพลศึกษา
ในทุกระดับช้ัน ไม่ว่าจะเป็นระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา วิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัย ต่างมี
จุดประสงค์พื้นฐานเหมือนกันกับจุดประสงค์ทางการศึกษาในรายวิชาอื่นๆ คือมุ่งสนับสนุนจุดประสงค์
ท่ัวๆ ไปของการศึกษา แต่พลศึกษายังมีจุดประสงค์เฉพาะที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรม มีการพัฒนาไปตามศักยภาพสูงสุดที่ผู้เรียนมีอยู่ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาการ
ทางด้านร่างกายและการทางานประสานกันของระบบประสาทและระบบกล้ามเน้ือที่สวยงามและมี
ประสิทธิภาพ มีสมรรถภาพ มีทักษะกลไกการเคลื่อนไหวหรือทางด้านร่างกาย (Body) มีการพัฒนา
ด้านเจตคติ ท่าที อารมณ์ ความรู้สึก ค่านิยม ความสนใจและการปรับตัวของผ้เู รียน หรือทางด้านจิตใจ
(Mind) และมีการพัฒนาด้านกระบวนการทางสมอง สติปัญญา และความนึกคิดหรือทางด้านวิญญาณ
(Soul)

ซึ่งสอดคล้องกับ ณัฐยา แก้วมุกดา (2548) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของพลศึกษาน้ันเป็นการ
พัฒนาบุคคลให้เป็นผู้ที่พร้อมท้ังร่างกายจิตใจและสังคม ให้รู้จักปรับตัวเองด้วยกิจกรรมทางกายเป็น
ส่วนรวม ดังน้ันเป้าหมายโดยทั่วไปของพลศึกษาจึงสอดคล้องกับจุดประสงค์ทั่วไปของการศึกษา คือ
มุ่งพัฒนาทางด้านพุทธิศึกษา (Cognitive Domain) ทางด้านทักษะ (Psycho-motor Domain) และ
ทางด้านทัศนคติที่ดี (Affective Domain) ท้ังน้ีเพื่อให้บุคคลได้ตระหนักในตนเอง รู้จักตนเอง มีมนุษย-
สัมพนั ธ์ มีความสามารถทางเศรษฐกิจ ร้จู กั รับผิดชอบในหน้าทีข่ องพลเมือง ดังน้นั จึงมีความสาคญั และ
จาเป็นอย่างยิ่งสาหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับพลศึกษาต้องทาความเข้าใจเกี่ยวกับความมุ่งหมายของพลศึกษา
ให้ถ่องแท้ เพราะการศึกษาและการทาความเข้าใจถึงความม่งุ หมายของพลศึกษาอย่างถ่องแท้จะช่วยให้
เข้าใจถึงจดุ หมายปลายทางของพลศึกษาได้เปน็ อย่างดี

นอกจากน้ี กระทรวงศึกษาธิการ (2550) ยังได้ระบุว่า พลศึกษานั้นเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มสาระ
การเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษาที่เป็นพื้นฐานสาคัญที่ผู้เรียนทุกคนจาเป็นต้องเรียนรู้ เพราะการมี
สุขภาพดีเป็นคุณลักษณะที่พึงประสงค์ประการแรกของคนไทยที่รัฐบาลได้กาหนดไว้เป็นนโยบายและ
มาตรการในการจัดการศึกษาของประเทศ เพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้สามารถยืนหยัดอย่างไทยใน
ประชาสังคมโลกท้ังปัจจุบันและอนาคต โดยการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรการศึกษาข้ัน
พื้นฐานพุทธศักราช2551 ของกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษานั้น มุ่งเน้นเรื่องการ
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ การป้องกันโรค การส่งเสริม การพัฒนาสขุ ภาพ และการบริหารจัดการ
ชีวิตเพื่อดารงสุขภาพที่ดีอันเป็นรากฐานสาคัญยิ่งในการดาเนินชีวิตที่สมดุล ท้ังทางด้านร่างกาย จิตใจ
อารมณ์ สังคม และจิตวิญญาณ อนั เปน็ องค์ประกอบของการมีสภาวะสุขภาพทีส่ มบูรณ์

ดังที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าพลศึกษา เป็นวิชาที่มีความสาคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาผู้เรียนให้มี
ความเจริญงอกงามและมีพัฒนาการในทุกๆ ด้าน ได้แก่ ด้านร่างกาย ด้านสติปัญญา ด้านสังคม ด้าน

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 27

อารมณ์ และด้านจิตใจ โดยอาศัยกิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายที่เลือกสรรแล้วเป็นสื่อในการเรียนรู้
ซึง่ ผู้เรียนจะต้องมีส่วนร่วมหรือเข้าร่วมการปฏิบัติโดยตรงด้วยตนเอง พลศึกษาจึงเปน็ ส่วนหนึง่ ของการ
เรียนการสอนที่โรงเรียนจาเป็นต้องจัดให้แก่ผู้เรียน ในส่วนของครูผู้สอนพลศึกษานั้น นอกจากต้องมี
ความรู้ความสามารถตามมาตรฐานวิชาชีพแล้ว ครูพลศึกษายังต้องมีความตระหนักและเข้าใจอย่าง
ถ่องแท้ทั้งความหมายและจุดมุ่งหมายของวิชาพลศึกษาอีกด้วย ทั้งน้กี ็เพื่อจะทาให้การจัดการเรียนการ
สอนพลศึกษาน้ันดาเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและคณุ ภาพ

ปรัชญาและหลักการพลศึกษา
การทาความเข้าใจเกี่ยวกับปรัชญาและหลักการทางพลศึกษานั้น ควรเริ่มต้นด้วยคาจากัด

ความของคาเหล่านี้ก่อน ซึ่งตามความหมายที่ปรากฏในพจนานุกรม ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ.2542
พอสรุปได้ดงั นี้

คาว่าปรัชญา (Philosophy) หมายถึง วิชาทีว่ ่าด้วยหลกั ความร้แู ละความจริง
สาหรบั คาว่า หลกั การ (Principle) หมายถึง สาระสาคัญทีย่ ึดถือเปน็ แนวปฏิบัติ
ความสาคัญที่เกีย่ วข้องกับปรัชญาและหลกั การทางพลศึกษานั้น วรศักดิ์ เพียรชอบ (2548) ได้
กล่าวว่า ค่านิยม หลักการ วิธีการและทฤษฎีต่างๆ ทางการพลศึกษาน้ัน ถือได้ว่าเป็นปรัชญาทาง
พลศึกษา คือ เป็นสิ่งที่ได้ผ่านการวิเคราะห์ การทดลอง การพิสูจน์และการกล่ันกรอง พิจารณาด้วย
เหตุด้วยผลอย่างละเอียดลออถี่ถ้วนเป็นอย่างดีและถกู ต้อง ซึ่งเป็นที่ยอมรบั ของวิชาชีพพลศึกษาแล้วว่า
สามารถนามาใช้เป็นแนวทางในการจัดและดาเนินการตลอดการจัดการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาใน
โรงเรียนได้ผลดีและมีประสิทธิภาพ
1. ปรัชญาทางพลศึกษา
ความหมายของ ปรัชญา อาจหมายถึง ความรักในความรู้ (The Love of Wisdom) ซึ่งปรัชญา
น้ันเกิดมาจากความสงสัย อยากรู้ความคิดเห็น ตลอดจนความรู้สึกนึกคิดต่างๆ อย่างมีเหตุผล สาหรับ
ปรัชญาของการพลศึกษาน้ันเกิดจากธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องการการเคลื่อนไหว (Man moves
because he must move) ซึ่งสิ่งเหล่าน้ีทาให้เกิดความคิด เกิดความเข้าใจในเหตุผล และวิธีการ โดย
ปรัชญาด้งั เดิมของการพลศึกษาประกอบด้วย 5 ปรัชญา (ณฐั ยา แก้วมุกดา, 2548)ดังน้ี

1.1 ปรชั ญาอดุ มคตินิยม (Idealism) “A World of Mind” – Plato นกั ปรชั ญาสาขาน้เี ชื่อ
ว่า คนที่มีเหตุผลจะใช้กิจกรรมทางพลศึกษาช่วยเขาในการพัฒนาชีวิตที่ดี ครพู ลศึกษาของอุดมคตินิยม
เชื่อว่าการพัฒนาร่างกายมีข้อจากัดที่จะปรับปรุงความเข้มแข็งของแต่ละบุคคล ซึ่งมีมาแต่กาเนิด
การศึกษาไม่สามารถจะไปเพิ่มเซลล์ประสาทของสมองได้ แต่สามารถจะปรับปรงุ ความสามารถให้ดีขึ้น
สงู สุดไปตามศักยภาพของแต่ละบุคคลได้

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 28

1.2 ปรัชญาสัจจนิยม (Realism) “A World of Things” –Aristotle นักปรัชญาสาขาน้ี
เชื่อว่า ร่างกายประกอบด้วยส่วนต่างๆ ซึ่งต้องพึ่งพาอาศัยกัน จะทาอะไรต้องเป็นส่วนรวมไม่ใช่
ส่วนย่อย มีความพร้อมทางด้านร่างกาย และจิตใจ สติปัญญา ดังนั้นนักพลศึกษาที่เชื่อในปรัชญาน้ีจะ
เชื่อว่า ร่างกายประกบด้วยส่วนต่างๆ ที่ต้องพึ่งพาอาศัยกัน ร่างกายเปน็ ส่วนรวมของร่างกาย จิตใจและ
สติปญั ญา รวมทั้งจะเน้นองค์รวมและความสมบรู ณ์ของตวั บุคคล เปน็ ต้น

1.3 ปรัชญาปฏิบัตินิยม (Experimentalism/Pragmatism) “A World of Experiences or
experiments” –John Deweyนักปรัชญาสาขาน้ีมองโลกว่า เป็นโลกของประสบการณ์ หรือการทดลอง
ปฏิบัติ และยังเชื่อว่าการเรียนรู้เน้นการกระทาแต่พร้อมไปกับการกระทานั้น ความเข้าใจที่แท้จริงจะถูก
พฒั นาตามไปด้วย ต้องระลึกว่า“อะไร”และ “ทาไม” ควบค่ไู ปกับ “อย่างไร” การฝึกหดั กิจกรรม พล
ศึกษา ควรเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยครูพยายามทาให้ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมโดยทั่วถึง ผู้เรียนจะ
ได้รับการแนะนาเกี่ยวกับการปรับปรุงสิ่งต่างๆซึ่งแต่ละคนมีความแตกต่างกัน มีความต้องการที่จะ
พัฒนาคนโดยสมบูรณ์ ร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณบุคคลจะกลายเป็นสมาชิกที่ดี มีความ
กระตือรือร้นทีจ่ ะประกอบกิจกรรมของสังคม ดงั น้ันนกั พลศึกษาทีเ่ ชือ่ ในปรชั ญาน้ีจะต้องจัดกิจกรรมให้
ผู้เรียนได้ปฏิบัติให้มาก เพราะเชื่อว่าผู้เรียนจะมีประสบการณ์และเรียนรู้จากการได้ลงปฏิบัติจริง
ความก้าวหน้าในการสอนต้ังอยู่บนพื้นฐานประสบการณ์เดิม และในเวลาเดียวกัน ก็ทาให้เกิด
ประสบการณ์ใหม่อย่เู รื่อยๆ

1.4 ปรัชญาธรรมชาตินิยม (Naturalism) “The Laws of Nature govern everything in
Life” –Jean Jacques Rousseau นักปรัชญาสาขาน้ีเชื่อว่า มนุษย์เกิดมาในโลก ย่อมเรียนรู้สิ่งต่างๆ จาก
ธรรมชาติ กิจกรรมทางพลศึกษามีส่วนช่วยให้ผู้เรียนแต่ละคนเป็นผู้มีร่างกายแข็งแรง โดยการใช้โลก
ทางกายภาพ ครูยกตัวอย่างแนะนาด้วยเหตุผล เพื่อให้ผู้เรียนสามารถสรุปเองได้ กฎของธรรมชาติ
กาหนดให้ครูและผู้เรียนมีรูปแบบพัฒนาการด้วยการตัดสินใจอย่างมีเหตุผล อัตราการเรียนรู้ขึ้นกับ
ผ้เู รียน เพราะว่ากระบวนการทางการศึกษา บังคับให้ร่างกาย และจิตใจมีความสมดุลกัน มากกว่าที่จะ
ส่งเสริมอันใดอันหนึ่งมากกว่ากัน การเล่นเป็นส่วนที่สาคัญของกระบวนการเรียนรู้ การเล่นสามารถที่
จะเป็นการนาไปสู่กิจกรรมที่เปิดโอกาสให้มีการเล่นแบบบุคคลและกิจกรรมที่เล่นเป็นกลุ่มก็ได้ ผู้เรียน
จะมีโอกาสในการเล่นตามธรรมชาตินน่ั เอง

1.5 ปรชั ญาภาวะนิยม (Existentialism) “The Person is more important than Society”
–Jean Paul Sartre and Karl Jaspers นักปรัชญาสาขาน้ีเชื่อว่า การศึกษาได้รับการมองว่าเป็น
กระบวนการเรียนรู้เกี่ยวกับตนเอง และการพัฒนาทางความเชื่อของตนเองในแต่ละบุคคล ดังนั้นการมี
กิจกรรมพลศึกษาที่ให้ผู้เรียนเลือกตามความถนัดและความสนใจ จะเป็นผลดีต่อผู้เรียน ช่วยให้ผู้เรียน
ได้เกิดการพัฒนาตามความเหมาะสม และคณุ สมบัติเฉพาะตัว ซึ่งการที่ผู้เรียนได้เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ
จะทาให้ผ้เู รียนเกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 29

2. หลักการ
หลักการถือเป็นสาระสาคัญที่มนุษย์ยึดถือเป็นแนวปฏิบัติ ซึ่งการได้มาซึ่งหลักการใดๆนั้นมัก
ได้มาจาก 2 แหล่ง คือจากข้อเท็จจริงทางด้านวิทยาศาสตร์ และจากความเชื่อทางปรัชญาโดยการหย่ัง
เหน็ หรือประสบการณ์ ซึ่งประเดน็ สาคญั ทีเ่ กีย่ วกับการได้มาซึ่งหลักการจากทั้ง 2 แหล่ง (วรศกั ดิ์ เพียร
ชอบ,2540) พอสรปุ ได้ดังนี้
2.1ทีม่ าของหลกั การ

2.1.1 หลกั การทีไ่ ด้จากขอ้ เทจ็ จริงทางวิทยาศาสตร์
ข้อเท็จจริงตามความหมายของทางวิทยาศาสตร์น้ันเปรียบได้กับสิ่งที่เป็นจริง จากการ
พิสูจน์ซึ่งพบว่าสิ่งน้ีความเป็นจริงเป็นอยู่อย่างน้ี และจะเป็นอยู่อย่างน้ีตลอดไปจนกว่าจะมีการพิสูจน์
และค้นพบใหม่ว่าสิ่งน้ีความจริงเป็นอย่างอื่น นักวิทยาศาสตร์ถือว่าความจริงไม่ใช่สิ่งที่ถูกค้นพบขึ้นมา
หากแต่ว่าเป็นความจริงที่สามารถค้นพบและพิสูจน์ได้ ฉะนั้น ความจริงของนักวิทยาศาสตร์จึงไม่ใช่
ความเชื่อ หรือเปน็ ผลสรุปสุดท้ายในทันที หากแต่ว่าเปน็ ความจริงเพียงชั่วคราวทีร่ อการพิสจู น์ต่อไปอีก
เท่าน้ันในขณะที่ความจริงทางวิทยาศาสตร์ยังถือว่าเป็นความจริงเพียงช่ัวคราวน้ี ก็ได้มีข้อมูลทางกาย
วิภาคสรีรวิทยา จิตวิทยา และที่เกี่ยวข้องกับทางวิทยาศาสตร์อื่นๆ ได้มีการพิสูจน์อย่างดีและถี่ถ้วนจน
สามารถที่จะตั้งเป็นหลักการจากความจริงเหล่าน้ีได้มีหลักการเป็นอันมากทางด้านพลศึกษาที่ได้จาก
ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ อาทิเช่น หลกั การพลศึกษาที่ชี้ให้เห็นความแตกต่างทางเพศ ซึ่งก็ส่งผลให้
การจัดกิจกรรมท่าผาดโผนในกีฬายิมนาสติกบางประเภททีจ่ ัดให้ระหว่างผ้เู รียนชายกบั ผ้เู รียนหญิงนน้ั มี
ความแตกต่างกัน ซึ่งเหตุผลของการจัดรูปแบบกิจกรรมที่แตกต่างกันนั้นก็สืบเนื่องจากการได้มาซึ่ง
หลักการจากข้อเท็จจริงทางวิชากายวิภาคและสรีรวิทยาที่ชี้ให้เห็นว่า เด็กหญิงและเด็กชายในแต่ระดับ
วัยนั้น มีลักษณะทางด้านร่างกายต่างกัน การจัดกิจกรรมพลศึกษาจึงต้องมีความแตกต่างกัน หรือ
แม้แต่ตัวอย่างจากความรู้ทางด้านกายวิภาค ก็ช่วยให้มีหลกั การและมีข้อมูลที่เกี่ยวกับการใช้เท้าในการ
เดิน ชีววิทยาก็ช่วยให้มีหลักการและบทเรียนเกี่ยวกับการพัฒนาการในระดับต่างๆ ของอวัยวะต่างๆ ที่
สาคัญของร่างกาย ความรู้ทางด้านจิตวิทยานั้นช่วยทาให้มีหลักการเกี่ยวกับกฎของการเรียนรู้ หรือ
แม้แต่ความรู้ทางด้านมานุษยวิทยากช็ ่วยให้มีหลกั การที่สามารถจะอธิบายการเคลือ่ นไหวที่เกยี่ วกับการ
ปีนป่ายและการห้อยโหนได้ดีขึ้น เป็นต้น ซึ่งหากมีการใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์เหล่าน้ีมาประกอบใน
การจัดกิจกรรมพลศึกษาก็จะยิ่งเป็นเครื่องช่วยรับประกันในหลักการของพลศึกษาที่เป็นข้อเท็จจริง
พิสูจน์ได้ ซึ่งจะช่วยให้การจัดกิจกรรมพลศึกษามีความถูกต้อง รวมท้ังการจัดกิจกรรมพลศึกษานั้นๆ
ได้ผลดียิง่ ขึ้นตามไปด้วย
2.1.2หลักการที่ไดจ้ ากขอ้ มลู ทางปรชั ญา
นอกจากหลกั การที่ได้จากข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์แล้ว หลักการที่ได้มาจากข้อมูล
ทางปรัชญา ซึ่งมาจากความสามารถของการหยั่งเห็นความเข้าใจและประสบการณ์ ซึ่งหลักการที่ใช้

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 30

ปรชั ญาพื้นฐานน้นั ได้ถกู นามาใช้ไม่ใช่เฉพาะทางวงการศึกษาเท่าน้นั หากแต่หลกั การนี้ยังเป็นหลักการที่
นามาใช้ในวงการเมืองและองค์กรของสังคมที่เป็นอย่ใู นปจั จบุ นั น้ีมากเช่นเดียวกัน ตวั อย่างเช่น หลกั การ
เกีย่ วกับความมีศักดิ์ศรีของมนุษย์ และหลกั การเกี่ยวกับการมีโอกาสเท่าเทียมกัน ซึ่งล้วนเป็นหลักการ
ที่ได้มาจากความคิดรวบยอดของชีวิตในสังคมระบอบประชาธิปไตยท้ังสิ้น และหลักการในทานองน้ี
มักจะเป็นหลักการที่เป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมของชาติ ดังน้ันหากจะมีการนาเอาระบบการพล
ศึกษาของประเทศใดประเทศหนึ่งไปใช้ในอีกประเทศหนึ่ง จึงมักไม่ค่อยจะได้ผลดีเท่าที่ควร หรือในบาง
กรณีอาจจะเป็นไปไม่ได้เลย ทั้งน้ีเพราะว่าระบบของสังคม การเมือง กาลสมัย ตลอดจนสภาพการณ์
และสิ่งแวดล้อมแต่ละแห่งอาจจะมีความแตกต่างกันมาก ทาให้ไม่สามารถที่จะนาระบบการพลศึกษา
จากประเทศหนึ่งไปใช้ให้ได้ผลดีในอีกประเทศหนึ่งได้ ซึ่งไม่เหมือนกับหลักการที่เกี่ยวกับธรรมชาติของ
ร่างกายมนุษย์ที่ใช้ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์เป็นพื้นฐานน้ัน มักจะไม่ค่อยจะเปลี่ยนแปลงหรือ
แตกต่างออกไปมากนัก อย่างไรกต็ าม หลกั การพลศึกษาทีไ่ ด้จากปรชั ญาที่เกี่ยวกับความมีเสรีภาพของ
บุคคลก็สามารถนามาปรับใช้ได้เช่นกัน เช่น หลักการที่ว่าผู้เรียนทุกคนควรจะได้มีประสบการณ์ในการ
เรียนวิชาพลศึกษาอย่างเพียงพอถ้วนท่ัวทุกคน หรือหลักการในการจัดการแข่งขันกีฬานั้นควรจะต้อง
คานึงถึงประโยชน์ที่ผู้เรียนจะได้รับมากกว่าประโยชน์ของสถาบัน หรือจะเป็นหลักการที่ว่าควรจะสร้าง
ให้ผ้เู รียนมีวินัยในตนเองมากกว่าที่จะใช้อานาจเพือ่ บังคบั ให้ผ้เู รียนมีระเบียบวินัย และรวมทั้งหลกั การที่
ครูควรจะให้ผู้เรียนได้ร่วมจัดและวางแผนในกิจกรรมการเรียนด้วยท้ังน้ีก็เพื่อให้สอดคล้องกับ
ความสามารถของผ้เู รียนทุกคน

อย่างไรกต็ ามณัฐยา แก้วมุกดา (2548) ยงั เหน็ ว่าจากความหมายของหลกั การ ทีอ่ าจได้มาจาก
ท้ังข้อเท็จจริงทางด้านวิทยาศาสตร์หรือได้จากความเชื่อทางปรัชญาโดยที่หลักการที่มีพื้นฐานจาก
ข้อเท็จจริงเป็นที่ยอมรับและมักจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ถึงอย่างไรไม่ว่าจะเป็นหลักการตามเหตุผล
และข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ หรือหลักการจากความคิดรวบยอดทางปรัชญา ต้องสามารถนาใช้
ประโยชน์เพื่อให้เป็นแนวทางการปฏิบัติที่ถูกต้องและเกิดประโยชน์สูงสุดในหลักการของการพลศึกษา
ได้ใน 2 ประเดน็ คือ

2.2 หลักการของการพลศึกษา
2.2.1 หลักการศึกษาเกี่ยวกับร่างกาย (Education of the Physical) ซึ่งจะเน้น

พัฒนาการของร่างกายเป็นผลสุดท้ายโดยตัวของมันเอง นั่นคือการให้ความสาคัญในการพัฒนาทาง
ร่างกาย และทกั ษะทางกายต้องมาก่อน สรุปในหลักการพลศึกษาและการกีฬาทีเ่ ปน็ การศึกษาเกี่ยวกับ
ร่างกายโดยเน้นเป้าหมายที่ตัวกิจกรรมมากกว่า และเป็นการศึกษาพัฒนาร่างกายเพื่อให้ ปฏิบัติ
กิจกรรมได้

2.2.2 หลกั การศึกษาโดยผา่ นทางรา่ งกาย (Education Through the Physical) โดยใช้
กิจกรรมทางกายเป็นสื่อในการเรียนที่ต้องเลือกมาเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการศึกษา การ

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 31

พลศึกษาใช้กิจกรรมการเคลื่อนไหวทางร่างกายเป็นสื่อในการสอน โดยให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติจนเกิด
การเรียนรู้ การศึกษาโดยผ่านทางร่างกายจึงมีการจัดกิจกรรมหลากหลายให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์
การเคลื่อนไหวต่างๆ โดยมีแนวทางการจัดการเรียนการสอนคือ ควรเน้นกิจกรรมทางกายที่ได้
เลือกสรรมาอย่างดีมาเป็นสื่อกลางในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เพือ่ ให้ได้มาของทกั ษะทางกาย
และการพัฒนาทางร่างกายได้ดีเท่ากับการบรรลผุ ลตามวัตถุประสงค์ที่ปลายทางเหมือนการศึกษาอื่นๆ
เป็นต้นว่า ความรู้สึกทางจิตพิสัยทางสังคม และวัตถุประสงค์ทางสติปัญญาโดยผ่านทางกิจกรรมทาง
กายน้ันๆ

ซึ่งในเรื่องน้ีวรศกั ดิ์ เพียรชอบ (2548)ได้ให้ข้อคิดและข้อเสนอแนะเพิม่ เติมเกีย่ วกับหลักการและ
ปรัชญาการพลศึกษาเบ้ืองต้นที่สาคัญและจาเป็นสาหรับครูพลศึกษาที่ต้องตระหนักและระลึกไว้เสมอ
เพื่อจะได้นามาเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพไว้ หลากหลายประเด็นดัง
รายละเอียดต่อไปนี้

2.3 แนวทางจดั การสอนพลศึกษาตามปรชั ญาและหลกั การพลศึกษา
2.3.1 วิชาพลศึกษา เป็นวิชาที่ใช้กิจกรรมพลศึกษาหรือกีฬาเป็นสื่อ เพื่อให้ผู้เรียนได้มี

การเรียนรู้หรือได้พัฒนาการขึ้น ก็ด้วยการที่ผู้เรียนได้โอกาสลงมือเล่นหรือปฏิบัติจริงในกิจกรรม
พลศึกษาหรือกีฬาต่างๆด้วยตัวเองเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

2.3.2 ครูพลศึกษาควรจะต้องจาไว้ในเวลาสอนวิชาพลศึกษา คือ ทุกคาบของการสอน
ครูจะต้องตั้งจุดประสงค์การเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนได้มีพัฒนาการท้ัง 5 ด้านคือ ด้านสมรรถภาพทาง
ร่างกาย ด้านความรู้ความเข้าใจในวิธีการเล่นหรือกติกาการเล่นที่ง่ายๆ ด้านทักษะการเล่นกีฬาที่ง่ายๆ
พอเป็นพ้นื ฐานทีจ่ ะนาไปใช้เล่นตามอตั ภาพของตนเองได้ ด้านคุณธรรม เช่น การมีน้าใจเปน็ นักกีฬาและ
มีระเบียบวินัย ด้านเจตคติ คือ การเห็นคุณค่าและความสาคัญของการเล่นกีฬาและการออกกาลังกาย
และสิ่งที่ครูพลศึกษาจะต้องจาไว้ก็คือ ในทุกคร้ังของการเรียนการสอนวิชาพลศึกษานั้น ครูจะต้องจัด
กิจกรรมพลศึกษาหรือกีฬาให้ผ้เู รียนได้ลงมือเล่นหรือปฏิบัติด้วยตนเองจริงๆ ทกุ ครั้งหรือทุกคาบเสมอ

2.3.3 เหตุผลที่สาคัญในการจัดการให้มีการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาในโรงเรียนคือ
เพื่อสนองความต้องการในการออกกาลังกายของผู้เรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้มีสุขภาพที่แข็งแรง
สมบูรณ์เป็นสาคัญ ทั้งน้ีเพื่อให้เป็นไปตามหลักการที่ว่า ร่างกายของทุกคนทุกเพศ ทุกวัย ต้ังแต่เกิด
จนกระทั่งตายนั้น ล้วนต้องการการออกกาลังกาย เพื่อรักษาไว้ซึ่งสุขภาพและสมรรถภาพของร่างกาย
ให้ดีและสมบูรณ์เสมอ

2.3.4 ในการเรียนวิชาพลศึกษาที่ดีและถูกต้องตามหลักการของการเรียนการสอนวิชา
พลศึกษาในแต่ละคาบ ก็คือครูจะต้องจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนได้บรรลุหรือได้พัฒนาการทั้ง
5 ด้านควบค่กู ัน

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 32

2.3.5 เมือ่ ผู้เรียนได้เรียนจบตามหลักสูตรแล้ว ผู้เรียนควรจะมีพัฒนาการไปในทางด้าน
ไหนอย่างไร ดังน้ัน มาตรฐานการเรียนรู้นั้นก็คือ จุดหมายของหลกั สตู รกลุ่มวิชาสุขศึกษาและพลศึกษา
น่นั เอง

2.3.6 วิชาพลศึกษาเป็นวิชาที่สอนเพื่อให้ผู้เรียนได้นาความรู้ไปใช้และประสบการณ์
ต่างๆในทกุ ๆด้านที่ได้จากการเรียนมาแล้วไปใช้ปฏิบัติเพื่อให้เปน็ ประโยชน์แก่ตนเองในชีวิตประจาวนั ทง้ั
ในระหว่างที่เรียนอยู่ในโรงเรียน หรือหลังจากได้เรียนสาเรจ็ จากโรงเรียนออกไปประกอบอาชีพการงาน
อย่างอื่นแล้วก็ตามและตลอดไปด้วยมากกว่าทีจ่ ะเรียนเพื่อร้หู รือเพือ่ สอบและได้คะแนนเพียงอย่างเดียว

2.3.7 หลักการและอุดมคติของการพลศึกษาที่สาคัญอย่างหนึ่งนั้นคือ การพัฒนาคน
เพื่อเป็นคนทีส่ มบรู ณใ์ นทกุ ด้าน เช่น การที่เปน็ ผู้ทีม่ ีร่างกายที่แข็งแรง มีบคุ ลิกภาพดี มีน้าใจเป็นนักกีฬา

2.3.8 จุดประสงค์การเรียนรู้ทางด้านทักษะกีฬาในชั่วโมงทั้งในระดับช้ันประถมศึกษา
และในระดับมัธยมศึกษา มุ่งเพื่อให้ผู้เรียนได้มีทักษะทางด้านกีฬาให้สามารถนาไปใช้ในการเล่นได้ใน
เวลาว่างตามอัตภาพของตนเองเท่าน้ัน ไม่ใช่เพือ่ ให้เล่นกีฬาให้เก่งให้มากๆ ตามที่มักเข้าใจกัน

2.3.9 จุดประสงค์การเรียนรู้สาหรับผู้เรียนในระดับช้ันประถมศึกษาทางด้านทักษะ
อาจจะมุ่งเน้นการเรียนในด้านทักษะการเคลื่อนไหวเบ้ืองต้นท่ัวๆ ไป และทักษะพื้นฐานของกีฬาเพื่อ
เตรียมพร้อมให้ผู้เรียนสามารถนาไปให้ในการเล่นเกมมูลฐานและเกมที่นาไปสู่การเล่นกีฬาใหญ่ตาม
ระดับความสามารถแต่ละวัย

2.3.10 การเรียนรู้เกี่ยวกับทักษะต่างๆ ทั้งทักษะการเคลื่อนไหวเบ้ืองต้นและทักษะการ
กีฬาควรจะเริ่มให้ผู้เรียนได้เรียนหรือฝึกหัดตั้งแต่วัยเด็ก ทั้งพ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูล้วนเป็นผู้ที่มี
บทบาทสาคัญ

2.3.11 การเปิดโอกาสให้เด็กเล็กๆ ได้มีการพฒั นาในทกั ษะเบ้อื งต้นต่างๆ ในระยะแรกๆ
ควรให้เป็นไปตามธรรมชาติของเด็กเป็นสาคัญ การมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ควรจะให้เป็นไปด้วย
ความสนกุ สนานไม่ควรทาให้เดก็ ร้สู ึกว่าถกู บังคับ มิฉะน้นั แล้วเด็กจะเกิดความเบือ่ หน่ายหรือต่อต้าน

2.3.12 การเรียนการสอนแต่ละคร้ัง ครูควรให้ผู้เรียนมีความเข้าใจในจุดประสงค์การ
เรียนรู้น้ันโดยชัดเจนด้วย ทั้งน้ีเพื่อจะช่วยให้ผู้เรียนได้ทราบว่า ในการเรียนการสอนในคร้ังน้ันๆ ครูมี
ความคาดหวังอะไร

2.3.13 การเรียนรู้ของผู้เรียนน้ันจะขึ้นอยู่กับความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจของ
ผู้เรียนด้วยคือ ทางด้านร่างกายของผู้เรียนเองก็อยู่ในสภาพที่จะเคลื่อนไหวในกิจกรรมต่างๆ ได้เป็น
อย่างดี ส่วนทางด้านจิตใจนั้นผู้เรียนใจจดจ่อรักที่จะเรียน สามารถจะมีส่วนร่วมในกิจกรรมการ
เคลื่อนไหวหรือกีฬาต่างๆด้วยความเตม็ ใจ การเรียนร้จู ึงจะเกิด

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 33

2.3.14 การเรียนการสอนวิชาพลศึกษาที่จะช่วยให้บรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ทั้ง 5
ด้าน ควรมุ่งเน้นที่การจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้ลงมือเล่นและมีส่วนร่วมในสภาพการณ์ของเกมและกีฬา
น้ันด้วยความสนุกสนานควบคู่กนั ไปด้วยให้มากๆ

2.3.15 การเล่นเกมและกีฬาด้วยความสนุกสนานในสภาพจริงในเวลาเรียนน้ัน จะมี
ผลประโยชน์เกิดขึ้นแก่ผ้เู รียนทนั ทีทนั ใดโดยตรงพร้อมๆกนั หลายประการด้วยกัน ในขณะที่ผ้เู รียนได้เล่น
เกมหรือกีฬาน้ันไป ก็จะทาให้ผ้เู รียนได้มีการเรียนร้แู ละพัฒนาการในด้านต่างๆพร้อมๆ กัน

2.3.16 การสอนวิชาพลศึกษาที่ดีและที่จะบรรลุผลตามที่ได้วางไว้นั้น จะต้องเป็นการ
สอนที่มีการใช้หลักการทางด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาเป็นแนวในการสอนด้วยสมอ ท้ังน้ีเพราะว่า
วิทยาศาสตร์การกีฬาจะช่วยบอกให้เรารู้ว่า การเรียนการสอนที่จะทาให้บรรลุผลดีน้ันควรจะใช้หลกั ใน
การสอนผ้เู รียนในแต่ละระดบั น้ัน

2.3.17 สาหรบั วิชาจิตวิทยาการกีฬาจะช่วยบอกให้ร้วู ่าผ้เู รียนกม็ ีความสนใจ มีความรัก
ในการเล่นกีฬาและไม่มีความเบื่อหน่าย แล้ววิชาพลศึกษาก็จะนาหลักการทางจิตวิทยาการกีฬามาใช้
เปน็ หลักเปน็ แนวทางในการเรียนการสอนกิจกรรมกีฬาและการออกกาลังกายเหล่าน้ันต่อไป

2.3.18 ครูผู้สอนวิชาพลศึกษาทุกคนควรที่จะศึกษาความรู้ทางวิทยาศาสตร์การกีฬา
ต่างๆ มาใช้เป็นแนวทางในการเรียนการสอนด้วยทุกครั้ง

2.3.19 ทานองและเนื้อเพลงกราวกีฬา ครูพลศึกษาจึงควรจะได้ใช้ประโยชน์และคุณค่า
ของทานองและเน้อื ร้องเพลงดังกล่าวน้ีช่วยให้การเรียนการสอนวิชาพลศึกษาได้บรรลผุ ลดียิ่งขึ้น

2.3.20 การเรียนการสอนที่จะได้ผลดีน้ัน คือการที่ผู้เรียนมีความสุขและความพอใน
ประสบการณ์และผลทีเ่ กิดขึ้นจากการเรียน ทั้งน้โี ดยหลกั ของจิตวิทยาทีว่ ่า ผ้เู รียนจะชอบเรียนหรือชอบ
เล่นกีฬาหรือฝึกหดั ในกีฬาที่ตนเองมีประสบการณ์ทีด่ ี เช่น สามารถทาได้ดี มีความสาเร็จในกีฬาน้นั ๆ

2.3.21 ครูจึงมีความจาเป็นที่จะต้องใช้วิธีการสอนหลายๆ วิธี เพื่อให้การสอนน้ัน
สามารถบรรลุจดุ ประสงค์ในหลายๆ ด้าน เหล่านั้นไปพร้อมๆ กันด้วย

2.3.22 ครูควรกาหนดเวลาการเรียนการสอนและมีการกระจายเวลาในการเรียนการ
สอนให้มีความพอเหมาะพอดีด้วย คือ ตามหลกั ของจิตวิทยาการกีฬา การเรียนรู้ของผู้เรียนจะได้ผลดี
ขึ้น เมื่อผู้เรียนได้มีโอกาสเรียนบ่อยๆ ครั้งในระยะเวลาส้ันๆ จะทาให้การเรียนรู้ดีกว่า การเรียนเป็น
ระยะเวลายาวนาน

2.3.23 ครูควรคานึงถึงความแตกต่างของอัตราการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละคนด้วย
อัตราความเร็วของการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละคนนั้น คือจะมีความแตกต่างกันท้ังในด้านระยะเวลาการ
เรียนและในระดบั ความยากง่ายของทักษะต่างๆ ตลอดท้ังทางด้านร่างกายและจิตใจ

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 34

2.3.24 การสอนทักษะให้ได้ผลดีนั้น ครูควรอธิบายและสาธิตให้ผู้เรียนเห็นทักษะที่จะ
สอนนั้นในภาพรวมเสียก่อน เมื่อผู้เรียนได้เห็นภาพรวมของทักษะน้ันแล้วจึงทาการแยกแยะให้ผู้เรียน
เห็นในสิ่งปลีกย่อยเปน็ ส่วนๆ ต่อไป

2.3.25 ผ้เู รียนควรจะได้ฝึกหัดหรือปฏิบัติในวิธีการทีถ่ ูกต้องควบคู่กันไปกบั ความเข้าใจ
ในสิง่ ทีเ่ รียนน้นั ด้วย การที่ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงด้วยตนเองน้ันกเ็ ท่ากับว่าผ้เู รียนได้นาสิ่งทีเ่ รียนร้นู ้ัน
ไปทดลองด้วยการฝึก หรือด้วยการนาไปใช้ในสภาพการณ์จริง

2.3.26 เพื่อให้ผู้เรียนได้ทราบสถานภาพของตนเอง ครูควรจะแจ้งให้ทราบเป็นระยะๆ
ถึงผลการเรียนของผู้เรียนแต่ละคนด้วยการที่ทาให้ผู้เรียนได้ทราบผลของการเรียนของตนเองนั้น
อาจจะช่วยให้ผู้เรียนได้มีความพยายามและกาลงั ใจในการที่จะตั้งใจเรียนให้มากขึ้นและผลการเรียนที่ดี
ก็จะตามมา

2.3.27 ในการเลือกและกิจกรรมหรือชนิดของกีฬาเพื่อมาสอนผู้เรียนน้ัน ครูควรจะใช้
หลักการของสรีรวิทยาการกีฬา เป็นแนวทางในการเลือกและจัดกิจกรรมทุกคร้ังที่มีการเรียนการสอน
เพราะกิจกรรมหรือกีฬาแต่ละอย่างน้นั มีผลต่อร่างกายและจิตใจของผ้เู รียนแต่ละวัยแตกต่างกนั ไป

2.3.28 แรงกระตุ้นและแรงจูงใจมีความสาคัญต่อการเรียนการสอนวิชาพลศึกษามาก
ในการเรียนวิชาพลศึกษา ถ้าผู้เรียนมีแรงกระตุ้นหรือแรงจูงใจมาก ผลการเรียนจะดีขึ้นตามด้วย แต่
อย่างไรก็ตามแรงกระตุ้นหรือแรงจูงใจที่เกิดขึ้นจากภายในหรือความรู้สึกของผู้เรียนเองน้ัน จะเป็นแรง
กระตุ้นหรือแรงจูงใจที่มีผลดีเป็นระยะเวลาที่ยาวนานกว่าแรงกระตุ้นหรือแรงจูงใจที่เกิดจากปัจจัย
ภายนอก

2.3.29 การเรียนการสอนวิชาพลศึกษานั้นครูผู้สอนควรจะระลึกไว้เส มอว่า
ความสาเร็จในการเรียนของผู้เรียนน้ันมีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจในการเรียนของผู้เรียนมาก คือ
ถ้าผ้เู รียนมีความพึงพอใจในการเรียนมาก ความสาเร็จในการเรียนของผ้เู รียนก็จะตามมาด้วย

2.3.30 หลักการสาคัญในตอนสุดท้ายที่ครูผู้สอนวิชาพลศึกษาจะลืมไม่ได้ อีกอย่าง
หนึ่ง คือในการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาที่ดีนั้น จะต้องมีการวัดผลเพื่อประเมินดูว่า การเรียนการ
สอนน้ันบรรลุผลตามจุดประสงค์ของการเรียนร้ทู ี่ว่างไว้หรือไม่มากน้อยเพียงใดด้วยเสมอ ดังน้ัน ในการ
ที่ครูจะวัดเพื่อประเมินผลการเรียน หรือในการวัดผลเพื่อให้คะแนนผู้เรียน ครูก็ควรกระทาการวัดและ
ประเมินผลการเรียนน้ันด้วยวิธีการที่ถูกต้องตามหลักการของวิชาพลศึกษาและมีความยุติธรรมแก่
ผ้เู รียนทุกๆ คนด้วย

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 35

บทที่ 2

จิตวิทยากับการสอนพลศึกษา

หลักการเรียนร้แู ละทฤษฎีการเรียนรู้
วิธีจงู ใจให้เกิดการเรียนรู้
ความสาคัญของจิตวิทยากับการสอนพลศึกษา
ลกั ษณะและความต้องการทางด้านการออกกาลงั กายของ

ผ้เู รียนวัยต่างๆ

ที่มา : http://www.appdatedclass.edu.sv/

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 36

หลกั การเรยี นรแู้ ละทฤษฎีการเรียนรู้
1. ความหมายของการเรยี นรู้
ความหมายของคาว่า “การเรียนร้”ู มีผ้ใู ห้ความหมายดงั น้ี
ฮิลการ์ด (Hilgard, 1975) ได้ให้คาจากัดความหรือความหมายของการเรียนรู้ไว้ว่า การเรียนรู้

เปน็ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่แตกต่างไปจากสภาพเดิม
ครอนบัค (Cronbach,1977) กล่าวว่า การเรียนรู้นั้นเป็นการแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมที่มีการ

เปลีย่ นแปลงอันเป็นผลเนื่องมาจากประสบการณ์ที่แต่ละคนได้รบั มา
มาลินี จุฑะรพ (2541) ได้ให้คานิยามเกี่ยวกับการเรียนรู้ไว้ว่า เป็นกระบวนการของการ

เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันเนื่องมาจากประสบการณ์ที่แต่ละบุคคลได้รับมา เป็นการเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมทีค่ ่อนข้างถาวร อันเป็นผลเนือ่ งมาจากการฝึกที่ได้รบั การเสริมแรง

อุบลรัตน์ เพ็งสถิตย์ (2542) กล่าวว่า การเรียนรู้เป็นกระบวนการการเปลี่ยนแปลงของ
พฤติกรรมที่เกิดขึ้นโดยการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนองบ่อยๆ ครั้ง จนในที่สดุ กลายเป็น
พฤติกรรมที่ปรากฏขึ้นอย่างถาวร

สรปุ ได้ว่าการเรียนรนู้ น้ั เปน็ กระบวนการทีก่ ่อให้เกิดการเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมจากเดิม ซึ่งแต่
ละบคุ คลจะมีการเรียนรทู้ ี่แตกต่างกัน ท้งั นี้จะเป็นผลสืบเนื่องมาจากมวลประสบการณท์ ีแ่ ต่ละคนได้รบั

2. หลักการเรียนรู้
2.1 การเปลีย่ นแปลงและลาดบั ข้ันของการเรียนรู้

การเรียนรู้ถือเป็นกระบวนการหนึ่งที่ทาให้มนุษย์มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
ซึ่งเป็นผลมาจากการฝึกและประสบการณ์ แต่มิใช่ผลจากการตอบสนองตามธรรมชาติ เช่น
สญั ชาตญาณหรือวฒุ ิภาวะ หรือจากการเปลีย่ นแปลงชัว่ คราวของร่างกาย (Hilgard and Bower,1975)

บลูม (Bloom,1976) กล่าวว่า การจะเกิดการเรียนรู้ในแต่ละคร้ังนั้นจะต้องมีการเกิด
การเปลี่ยนแปลงใน 3 ประเด็น จึงจะถือได้ว่าเป็นการเรียนร้ทู ีส่ มบรู ณ์ คือ

1. การเปลี่ยนแปลงทางด้านความรู้ ความคิด ความเข้าใจ (Cognitive Domain) ซึ่งเป็น
การเปลีย่ นแปลงทีเ่ กิดขึ้นในสมอง เช่น ความคิดรวบยอด

2. การเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์หรือความรู้สึก (Affective Domain) ซึ่งเป็นการ
เปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจ เช่น ความเชือ่ เจตคติ ค่านิยม

3. การเปลี่ยนทางการเคลื่อนไหวของร่างกาย (Psychomotor Domain) ซึ่งเป็นการ
เปลี่ยนแปลงเพือ่ ให้เกิดทกั ษะและความชานาญ เช่น การว่ายน้า การเล่นกีฬา

ซึง่ ลาดับข้นั ตอนของการเรียนรู้นั้น ครอนบาค (Cronbach,1977) ได้กาหนดสถานการณ์
ทีจ่ ะทาให้เกิดการเรียนรู้ของบุคคลน้ัน ประกอบด้วยลาดับข้นั 7 ข้นั คือ

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 37

1. สถานการณ์ หมายถึง สภาพแวดล้อมต่างๆ ที่ผ้เู รียนต้องเผชิญ
2. ลักษณะประจาตัวบุคคล เป็นคุณสมบัติประจาตัวผู้เรียนที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ได้
เรว็ ขึ้นคุณสมบัติเหล่านี้ ได้แก่ ความสามารถทางสมอง เจตคติ ความสนใจและความพร้อม
3. เป้าหมาย คือ สิง่ ที่ผู้เรียนคาดหวงั ว่าจะได้รบั จากการเรียนร้นู ้นั
4. การแปลความหมาย คือการที่ผ้เู รียนเพ่งเลง็ ความสนใจไปยังสถานการณ์ที่แวดล้อม
แล้วพิจารณาเกีย่ วโยงไปยังประสบการณ์ที่ผ่านมา แล้วเลือกวิธีการตอบสนองที่คาดว่าจะให้ผลสมตาม
เป้าหมายที่วางไว้
5. การกระทาจะเกิดขึ้นภายหลังจากที่ผู้เรียนได้แปลความหมายของสถานการณ์ที่
เผชิญอย่แู ล้วผ้เู รียนจะเลือกกระทาสิง่ ทีค่ าดว่าจะนาไปส่เู ป้าหมายทีส่ ร้างความพอใจให้แก่ตน
6. ผลการปฏิบัติ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาจากการกระทา ถ้าผลของพฤติกรรมเป็นที่น่า
พอใจ และบรรลุเป้าหมายที่มุ่งหวัง ผู้เรียนก็นาพฤติกรรมน้ันไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ที่มีความ
คล้ายคลึงกนั
7. มีปฏิกิริยาต่อความล้มเหลวเมื่อผู้เรียนประสบความล้มเหลวในการแสวงหาความ
พอใจในการมุ่งทิศทางไปสู่เป้าหมายก็จะเริ่มแปลความหมายสถานการณ์ใหม่อีกคร้ังหนึ่งทดลอง
แสวงหาพฤติกรรมเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย และเกิดความพอใจในที่สุดซึ่งการเรียนรู้จะประกอบด้วย
พฤติกรรม 2 ส่วน คือส่วนที่ 1 เป็นพฤติกรรมเดิมก่อนให้การเรียนรู้และส่วนที่ 2 เป็นพฤติกรรม
หลังจากให้การเรียนร้แู ล้ว
2.2 การเรียนรูท้ ีเ่ น้นผ้เู รียนเปน็ สาคัญ
ในทางการศึกษาการเรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรม ต้องประกอบด้วยความเข้าใจเกี่ยวกับ
ความหมายที่แท้จริงของการเรียนรู้ ต้องเข้าใจบทบาทของผู้สอนและต้องเข้าใจบทบาทของผู้เรียน เช่น
ในการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญน้ัน การจัดการเรียนรู้จะสามารถดาเนินการได้
สาเรจ็ หรือไม่น้นั ผ้สู อนควรต้องเข้าใจถึงลกั ษณะของการเรียนร้ทู ี่เน้นผ้เู รียนเปน็ สาคญั เสียก่อนลักษณะ
ของการเรียนร้ทู ี่เน้นผ้เู รียนเป็นสาคัญนั้น ทิศนา แขมมณี (2547) กล่าวไว้น่าสนใจดังน้ี

1. การเรียนรู้เป็นงานเฉพาะบุคคลทาแทนกันไม่ได้ผู้สอนที่ต้องการให้ผู้เรียน
เกิดการเรียนรู้ต้องเปิดโอกาสให้ผ้เู รียนได้มีประสบการณ์การเรียนร้ดู ้วยตวั ของเขาเอง

2. การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสติปัญญา ที่ต้องมีการใช้กระบวนการคิด
สร้างความเข้าใจความหมายของสิ่งต่างๆดังนั้นผู้สอนจึงควรกระตุ้นให้ผู้เรียนใช้กระบวนการคิดทา
ความเข้าใจสิง่ ต่างๆ

3. การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสังคม เพราะในเรื่องเดียวกันอาจคิดได้
หลายแง่หลายมุมทาให้เกิดการขยายเติมเต็มข้อความรู้ตรวจสอบความถูกต้องของการเรียน รู้ตามที่

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 38

สังคมยอมรับด้วยดังนั้นผู้สอนที่ปรารถนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมี
ปฏิสมั พันธ์ทางสงั คมกบั บุคคลอื่นหรือแหล่งข้อมลู อืน่ ๆ

4. การเรียนรู้เป็นกิจกรรมที่สนุกสนาน เป็นความรู้สึกเบิกบานเพราะหลุดพ้น
จากความไม่รู้นาไปสู่ความใฝ่รู้อยากรู้อีก เพราะเป็นเรื่องน่าสนุก ผู้สอนจึงควรสร้างภาวะที่กระตุ้นให้
เกิดความอยากรู้หรือคับข้องใจบ้าง ผู้เรียนจะหาคาตอบเพื่อให้หลุดพ้นจากความข้องใจและเกิด
ความสุขขึ้นจากการได้เรียนร้เู มื่อพบคาตอบด้วยตนเอง

5. การเรียนรู้เป็นงานต่อเนื่องตลอดชีวิต ขยายพรมแดนความรู้ได้ไม่มีที่สิ้นสุด
ผ้สู อนจึงควรสร้างกิจกรรมที่กระตุ้นให้เกิดการแสวงหาความร้ไู ม่รู้จบ

6. การเรียนรู้เป็นการเปลี่ยนแปลง เพราะได้รู้มากขึ้นทาให้เกิดการนาความรู้
ไปใช้ในการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆเป็นการพัฒนาไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นผู้สอนควรเปิดโอกาสให้
ผ้เู รียนได้รบั ร้ผู ลการพฒั นาของตัวเขาเอง

จะเห็นได้ว่าการจัดการเรียนรู้เป็นกระบวนการสาคัญในการนาหลักสูตรสู่การปฏิบัติ
ปัจจุบันหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานของไทย เป็นหลักสูตรที่มีมาตรฐานการเรียนรู้
สมรรถนะสาคัญ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนเป็นเป้าหมายสาหรับเพื่อการพัฒนาเด็ก
และเยาวชน การพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณสมบัติตามเป้าหมายหลักสตู รนั้น ผู้สอนจึงต้องพยายามคัดสรร
กระบวนการเรียนรู้และจัดการเรียนรู้โดยช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ผ่านสาระที่กาหนดไว้ในหลักสูตรทั้ง 8
กลุ่มสาระการเรียนรู้ รวมทั้งปลูกฝังเสริมสร้างคุณลักษณะอันพึงประสงค์พัฒนาทักษะต่างๆอันเป็น
สมรรถนะสาคัญให้ผู้เรียนบรรลุตามเป้าหมาย (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) เมื่อพิจารณาเรื่องของ
การเรียนรู้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นหัวใจสาคัญที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาหรือในทางการศึกษากล่าวอีก
นัยหนึ่งคือ ทาให้ผู้เรียนมีความรู้และมีทักษะตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดช้ันปีที่กาหนดไว้ใน
หลักสูตรหรือในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ รวมทั้งช่วยในการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมและค่านิยมที่พึง
ประสงค์ให้เกิดแก่ผ้เู รียน ซึง่ ครูผ้สู อนควรทราบหลกั การและข้นั ตอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ดังน้ี

2.3 หลักการในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551)
1. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ควรเป็นกิจกรรมที่พัฒนาผู้เรียนไปสู่มาตรฐาน

การเรียนร้แู ละตัวช้ีวดั ช้นั ปีทีก่ าหนดไว้ในหน่วยการเรียนรู้
2. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ควรเป็นกิจกรรมที่นาไปสู่การเกิดหลักฐานการ

เรียนร้ชู ้นิ งานหรือภาระงานทีแ่ สดงถึงการบรรลมุ าตรฐานการเรียนร้แู ละตัวช้วี ดั ช้นั ปีของผ้เู รียน
3. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ผู้เรียนควรมีส่วนร่วมในการออกแบบและจัด

กิจกรรมการเรียนรู้
4. การจัดกิจกรรมการเรียนร้คู วรเป็นกิจกรรมทีเ่ น้นผู้เรียนเปน็ สาคัญ

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 39

5. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ควรเป็นกิจกรรมที่มีความหลากหลายและ
เหมาะสมกบั ผ้เู รียนและเน้อื หาสาระ

6. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ควรเป็นกิจกรรมที่สอดแทรกคณุ ธรรมจริยธรรม
และค่านิยมที่พึงประสงค์

7. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ควรช่วยให้ผู้เรียนเข้าสู่แหล่งการเรียนรู้และ
เครือข่ายการเรียนร้ทู ี่หลากหลาย

8. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ควรเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลงมือ
ปฏิบตั ิจริง

ดังที่กล่าวมาข้างต้น การจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถตาม
มาตรฐานการเรียนรู้สมรรถนะสาคัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามที่กาหนดไว้ในหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน โดยยึดหลักว่าผู้เรียนมีความสาคัญที่สุด โดยเชื่อว่าทุกคนมี
ความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ยึดประโยชน์ที่เกิดกับผู้เรียน กระบวนการจัดการเรียนรู้ต้อง
ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ คานึงถึงความแตกต่างระหว่าง
บุคคลและพัฒนาการทางสมอง เน้นให้ความสาคัญทั้งความรู้และคุณธรรม นอกจากน้ีกระบวนการ
จัดการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญนั้น ผู้เรียนจะต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลายเป็น
เครื่องมือที่จะนาพาตนเองไปสู่เป้าหมายของหลักสูตร กระบวนการเรียนรู้ที่จาเป็นสาหรับผู้เรียน เช่น
กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ กระบวนการสร้างความรู้ กระบวนการคิด กระบวนการเรียนรู้ทาง
สังคม กระบวนการเรียนรู้การเผชิญสถานการณ์และแก้ปัญหา กระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์
จริง กระบวนการปฏิบัติลงมือทาจริง กระบวนการเรียนรู้การจัดการ กระบวนการเรียนรู้การวิจัย
กระบวนการเรียนรู้ตนเอง กระบวนการเรียนรู้การพฒั นาลักษณะนิสัย กระบวนการเหล่านี้เปน็ แนวทาง
ในการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนควรได้รับการฝึกฝนพัฒนา เพราะจะสามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
ได้ดี บรรลุเป้าหมายของหลักสูตร (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) ดังน้ันผู้สอนจึงจาเป็นต้องศึกษาทา
ความเข้าใจในความหมายและกระบวนการเรียนรู้ต่างๆเพือ่ ให้สามารถเลือกใช้กิจกรรรมมาใช้ในการจัด
กระบวนการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้สอนต้องศึกษาหลักสตู รสถานศึกษาให้เข้าใจถึงมาตรฐาน
การเรียนรู้ ตัวชี้วัด สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และสาระการเรียนรู้ที่
เหมาะสมกบั ผ้เู รียน แล้วจึงพิจารณาออกแบบการจัดการเรียนร้โู ดยเลือกใช้วิธีสอนและเทคนิคการสอน
สื่อ/แหล่งเรียนรู้ การวัดและประเมินผล เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพและบรรลุตาม
เป้าหมายที่กาหนด ซึ่งการที่ให้ผู้เรียนมีคุณภาพตามเป้าหมายของหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ ได้
กาหนดกรอบของบทบาทของผู้สอนและผ้เู รียนดังน้ี (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551)

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 40

2.4 บทบาทของผู้สอนและผู้เรียน
2.4.1 บทบาทด้านผสู้ อน
1. ศึกษาวิเคราะห์ผู้เรียนเป็นรายบุคคลแล้วนาข้อมูลมาใช้ในการวาง

แผนการจัดการเรียนรู้ที่ท้าทายความสามารถของผ้เู รียน
2. กาหนดเป้าหมายที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนด้านความรู้ และ

ทักษะกระบวนการทีเ่ ปน็ ความคิดรวบยอดหลักการและความสมั พนั ธ์รวมท้งั คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
3. ออกแบบการเรียนรู้และจัดการเรียนรู้ที่ตอบสนองความแตกต่าง

ระหว่างบคุ คลและพฒั นาการทางสมองเพื่อนาผ้เู รียนไปสู่เป้าหมาย
4. จัดบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้และดูแลช่วยเหลือผู้เรียนให้เกิด

การเรียนรู้
5. จัดเตรียมและเลือกใช้สื่อให้เหมาะสมกับกิจกรรมนาภูมิปัญญา

ท้องถิ่นเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ในการจดั การเรียนการสอน
6. มีการประเมินความก้าวหน้าของผู้เรียนด้วยวิธีการที่หลากหลาย

เหมาะสมกบั ธรรมชาติของวิชาและระดับพฒั นาการของผ้เู รียน
7. วิเคราะห์ผลการประเมินมาใช้ในการซ่อมเสริมและพัฒนาผู้เรียน

รวมทั้งปรบั ปรงุ การจดั การเรียนการสอนของตนเอง
2.4.2 บทบาทของผ้เู รียน
1. กาหนดเป้าหมายวางแผนและรับผิดชอบการเรียนร้ขู องตนเอง
2. เสาะแสวงหาความรู้ เข้าถึงแหล่งการเรียนรู้ วิเคราะห์สังเคราะห์

ข้อความรู้ ตั้งคาถาม คิดหาคาตอบหรือหาแนวแก้ปญั หาด้วยวิธีการต่างๆ
3. ลงมือปฏิบัติจริง สรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้ด้วยตนเอง และนาความรู้ไป

ประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ
4. มีปฏิสัมพันธ์ทางานทากิจกรรมร่วมกับกล่มุ และครู
5. ประเมินและพัฒนากระบวนการเรียนร้ขู องตนเองอย่างต่อเนื่อง

3. ทฤษฎีการเรียนรู้ (Learning theory)
การเรียนรู้นั้นเป็นกระบวนการที่ทาให้คนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ความคิด มนุษย์สามารถ
เรียนรู้ได้จากการได้ยิน การได้สัมผัส การอ่าน การใช้เทคโนโลยี ซึ่งการเรียนรู้ของเด็กและผู้ใหญ่จะ
ต่างกัน เด็กจะเรียนรู้ด้วยการรับประสบการณ์ใหม่ การซักถามในสิ่งที่สงสัย แต่ผู้ใหญ่มักเรียนรู้ด้วย
ประสบการณ์ที่มีอยู่ และการเรียนรู้จะเกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่มีผู้สอนนาเสนอ โดยการปฏิสัมพันธ์
ระหว่างผู้สอนและผู้เรียนนั้น ผู้สอนจะเป็นผู้ที่สร้างบรรยากาศทางจิตวิทยาที่เอื้ออานวยต่อการเรียนรู้

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 41

ที่จะให้เกิดขึ้นเป็นรูปแบบใดเช่น ความเป็นกันเอง ความเข้มงวดกวดขัน หรือความไม่มีระเบียบวินัย สิ่ง
เหล่าน้ีผู้สอนจะเป็นผู้สร้างเงื่อนไข และสถานการณ์เรียนรู้ให้กับผู้เรียน ดังน้ัน ผู้สอนจึงต้องพิจารณา
เลือกรปู แบบการสอน รวมท้ังการสร้างปฏิสมั พนั ธ์กับผู้เรียน (วิกิพีเดีย, 2557)

กระบวนการเรียนรู้ (Learning process) นั้นหมายถึง ลาดบั ของการกระทา ซึง่ ดาเนินต่อเนื่องกัน
จนสาเร็จลง (พจนานุกรรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525:34) เมื่อคาว่ากระบวนการและการ
เรียนรู้รวมกัน กระบวนการเรียนรู้จะหมายถึง ลาดับข้ันตอนที่ทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ดังนั้นครูจึง
ต้องเข้าใจเกีย่ วกบั ประเภทและลาดบั ข้นั ของการเรียนรู้

นอกจากน้ี ในเรื่องของทฤษฎีการเรียนรู้ (Learning theory) ที่เป็นความรู้พื้นฐานในการเข้าใจ
เกี่ยวกับการเรียนการสอน ซึ่งทฤษฎีการเรียนรู้เหล่าน้ีเป็นหลักของการสอนและวิธีการสอน ที่นามา
ประยกุ ต์ใช้ในการสอนพลศึกษาได้ ซึง่ สามารถแบ่งเป็น 4 กล่มุ ได้ดงั น้ีคือ

1. กลุ่มทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ซึ่งแบง่ เปน็ ทฤษฎียอ่ ยได้แก่
1.1 ทฤษฎีการเรียนร้กู ารวางเงื่อนไขของพาฟลอฟ (Pavlov)
1.2 ทฤษฎีการเรียนร้กู ารวางเงือ่ นไขของวัตสัน (Watson)
1.3 ทฤษฎีการเรียนร้แู บบวางเงื่อนไขของสกินเนอร์ (Skinner)
1.4 ทฤษฎีการเรียนรู้ของฮัลล์ (Hull)
1.5 ทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์ (Thorndike)

2. กลุ่มทฤษฎีความรูค้ วามเขา้ ใจหรือทฤษฎีปญั ญา (Cognitive Theories) แบง่ ออกเปน็
ทฤษฎีย่อยคือ

2.1 ทฤษฎีกล่มุ เกสต์ตลั ท์ (Gestalt's Psychology)
2.2 ทฤษฎกี ารเรียนร้ขู องทอลแมน (Tolman)
2.3 ทฤษฎีการเรียนร้ขู องบรเู นอร์ (Bluner)
3. กลุ่มทฤษฎีของกลุ่มมนษุ ยนิยม (Humanisticism) แบง่ เปน็ กลมุ่ ย่อยดังน้ี
3.1 ทฤษฎีความต้องการของมาสโลว์ (Maslow)
3.2 ทฤษฎีของโรเจอร์ (Rogers)
3.3 ทฤษฎีของคอมบ์ส (Combs)
4. กลุ่มทฤษฎีผสมผสาน (Integrated Theory) ได้แก่ทฤษฎีของกาเย่ (Gagne) ซึ่งผสมผสาน
ระหว่างทฤษฎีพฤติกรรมนิยมและทฤษฎีความรู้ความเข้าใจทฤษฎีการเรียนรู้ของบลูม (Bloom) และ
ทฤษฎีการเรียนรู้ของเมเยอร์ (Mayer)

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 42

ทฤษฎีทีม่ กั ถูกนามาประยกุ ต์ในการจัดการเรียนทางพลศึกษา มีรายละเอียดดงั น้ี
1. กลุ่มของทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ซึ่งเป็นกลุ่มที่เน้นพฤติกรรมมนุษย์ โดยมี
การพิจารณาถึงพฤติกรรมที่แสดงออกมา ดงั ทฤษฎีต่อไปน้ี

1.1 ทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไขของพาฟลอฟ หรือบางครั้งอาจเรียกอีกชื่อ
หนึ่งคือ ทฤษฎีการวางเงือ่ นไขแบบคลาสสิก (Classical Conditioning Theory) โดยนักจิตวิทยาชาวรัสเชีย
ชื่อพาฟลอฟ (Pavlov) ได้ทาการวิจัยเกี่ยวกับปฏิกิริยาสะท้อน (Reflex or Respondent Behavior) เป็น
พฤติกรรมที่ตอบสนองโดยอัตโนมัติ ทฤษฎีน้ีเป็นการเรียนรู้ถึงกระบวนการต่อเนื่องที่แสดง
ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งกระตุ้นและการตอบสนอง นักทฤษฎีวางเงือ่ นไขแบบคลาสสิกกลุ่มน้ี คานึงว่า
สิ่งมีชีวิต (สัตว์และมนุษย์) เป็นผู้ตอบสนอง ซึ่งสามารถสอนให้เกิดพฤติกรรมเฉพาะอย่าง โดยอาศัย
การกระทาซ้าหรือการวางเงื่อนไข โดยคาว่าการวางเงื่อนไขหมายถึง ความเป็นอัตโนมัติในการ
ตอบสนองต่อสถานการณ์ซึง่ สร้างขึ้นซ้าๆ

ตัวอย่างการทดลองที่มีชื่อเสียงที่สดุ ของพาฟลอฟคือ การสังเกตว่าสุนัขจะน้าลายไหลเมื่อเห็น
ชิ้นเน้ือ ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างการเห็นชิ้นเน้ือกับการเกิดน้าลายไหลของสุนัขเป็นปฏิกิริยาที่เกิด
ต่อเนื่องกันทาให้เกิดกระบวนการต่อเนื่องแบบมีเงื่อนไขโดยชิ้นเน้ือเป็นสิ่งกระตุ้นที่ไม่มีเงื่อนไข
[Unconditioned stimulus (US)] และการเกิดน้าลายไหลเปน็ การตอบสนองทีไ่ ม่มีเงื่อนไข [Unconditioned
response (UR)] พาฟลอฟได้ทาการทดลองโดยใช้การสั่นกระดิ่งคู่ไปกับการให้ชิ้นเน้ือแก่สุนัข หลังจาก
การทดลองหลายครั้ง สุนัขเริ่มเกิดการเรียนรู้ในการตอบสนองต่อเสียงกระดิ่งน่ันคือ สุนัขได้ยินเสียง
กระดิ่งก็จะเกิดอาการนาลายไหล แม้ว่าจะไม่เห็นชิ้นเน้ือก็ตาม ดังน้ันเสียงกระดิ่งจึงเป็นสิ่งกระตุ้นที่มี
เงื่อนไข [conditioned stimulus (CS)] ซึ่งทาให้เกิดการตอบสนองที่มีเงื่อนไข [Conditionedresponse (CR)]
หรือปฏิกิริยาที่ไม่มีเงื่อนไข [Unconditioned reaction(UR)](Pavlov, 1929) ซึ่งพาฟลอฟ กล่าวว่าปัจจัย
สองประการที่สาคญั ต่อการเรียนร้ทู ี่ผ่านกระบวนการต่อเนื่องประกอบด้วยความต่อเนือ่ งและการทาซ้า

1.2 ทฤษฎีการเรียนรู้แบบวางเงื่อนไขของสกินเนอร์หรืออาจเรียกอีกชื่อหนึ่งคือ
ทฤษฎีการเสริมแรง (Reinforcement Theory) (Skinner, 1950) สกินเนอร์ (Skinner) เป็นนกั จิตวิทยาชาว
อเมริกันที่เชื่อว่าเราจะเข้าใจและสามารถควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ได้ดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่า เรารู้เงื่อนไข
ของการเสริมแรง (Reinforcement Contingency) เพียงใดและบุคคลจะแสดงพฤติกรรมเช่นใดขึ้นอยู่กับ
ว่าเขาได้รับผลเช่นไรในอดีต เช่น ผ้เู รียนที่ได้รบั รางวัลเพราะไม่ขาดไม่สายไม่ลา ต่อไปผู้เรียนผ้นู ้ันก็จะมี
พฤติกรรมที่ไม่ขาดไม่สายไม่ลาเสมอ ดังนั้นถ้าเรารู้เงื่อนไขของการเสริมแรงของบุคคลเหล่าน้ีได้ก็
สามารถจะจูงใจได้

กฎแหงการเรียนรูทีไ่ ดจากการทดลองของสกินเนอรก็คือ กฎแหงการเสริมแรง โดยมี 2ประเดน็
สาคญั คือ

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 43

1. ตารางกาหนดการเสริมแรง (Schedule of Reinforcement) เปนการใชกฎเกณฑ์ บา
งอยางเชน เวลา พฤติกรรมเปนตวั กาหนดการเสริมแรง

2. อัตราการตอบสนอง (Response Rate) เปนการตอบสนองที่เกิดจากการเสริมแรง
ตางๆ ซึ่งจะเกิดขึ้นมากนอยและนานคงทนถาวรเพียงใด ยอมแลวแตตารางการกาหนดการเสริมแรง
นั้นๆ

การเสริมแรงสามารถแบงออกได้เปน 4 วิธีคือ
1. การเสริมแรงโดยใชเวลากาหนดแบบแนนอน (Fixed Interval) เปนวิธีที่ใชเวลาที่คงที่
กาหนดเปน็ มาตรฐานวาจะไดทุก 3 นาทีหรือ 6 นาทีเปนตน
2. การเสริมแรงโดยใชพฤติกรรมกาหนดแบบแนนอน (Fixed Ratio) เปนวิธีที่ใชพฤติ-
กรรมการตอบสนองที่คงทีเ่ ปนเกณฑวาจะใหการตอบสนองเกิดขึ้นกี่คร้ัง จึงจะใหการเสริมแรงหนึ่งครั้ง
3. การเสริมแรงโดยใชชวงเวลาไมแนนอนเปนเกณฑ (Variable Interval) เปนวิธีที่
กาหนดโดยใชชวงเวลาที่ไมแนนอนในการใหการเสริมแรงในแตละคร้งั
4. การเสริมแรงโดยใชชวงของพฤติกรรมไมแนนอนเปนเกณฑ (Variable Ratio) เปนวิธี
ทีใ่ ชชวงของพฤติกรรมไมแนนอนกาหนดเปนเกณฑในการใหการเสริมแรงแตละคร้งั
การเสริมแรงตามหลักของสกินเนอรสรุปไดวา ระยะแรกของการศึกษานั้นควรตองใหรางวัล
เมื่อมีการตอบสนองทุกคร้ัง การเรียนรูจึงจะเร็วขึ้นและดาเนินไปอยางไดผลเปนที่นาพอใจแตเมื่อเกิด
การเรียนรูแลว ควรจะเวนการเสริมแรงที่กาหนดแบบแนนอน โดยกลับมาใชการเสริมแรงเปนระยะๆ
ทั้งน้ีเพื่อเปนการชวยใหผูเรียนไดปรับตัวเขากับสถานที่เปนจริงของเหตุการณปจจุบันในชีวิตจริง การ
ตอบสนองของบคุ คล ไมจาเปนตองไดรบั การเสริมแรงทุกคร้ังไป
ความเชื่อของสกินเนอร์นั้น สรุปได้ว่าผลการกระทามีความสัมพันธ์กับพฤติกรรม (Skinner,
1953) ดงั น้ี
A= Activator คือตัวกระตุ้นหรือสญั ญาณที่มาก่อนพฤติกรรม
B= Behavior คือพฤติกรรม
C= Consequence คือผลกรรมสนองตอบต่อพฤติกรรมที่ทาไปถ้าเป็นผลกรรมที่พึง
ประสงค์กเ็ รียกว่า C+ หากไม่พึงประสงค์กเ็ รียกว่า C-
1.3 ทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งคือ ทฤษฎีความสัมพันธ์
ต่อเนื่อง (Connectionism Theory) เจ้าของทฤษฎีน้ี คือ ธอร์นไดค์(Thorndike) ซึ่งกล่าวไว้ว่า สิ่งเร้าหนึ่ง
ย่อมทาให้เกิดการตอบสนองหลาย ๆ อย่าง จนพบสิ่งที่ตอบสนองทีด่ ีทีส่ ดุ ธอร์นไดค์ได้ทดลองเกี่ยวกับ
การเรียนร้โู ดยการเน้นสิง่ เร้าและการตอบสนองโดยใช้การลองผิดลองถูก โดยเขาใช้แมวที่หิวใส่ไปในหีบ
กลและดูการหาทางออกจากหีบกลของแมว เขาค้นพบว่าการเรียนรู้เกิดจากความสัมพันธ์เชื่อมโยง

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 44

ระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง โดยมีสิ่งภายนอกเปน็ ตัวเสริมแรง เขาค้นพบกฎ 3 ข้อในการเรียนร้คู ือ
(Cooper and Sunny, 2009)

1. กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness) เป็นการกล่าวถึงสภาพความ
พร้อมของท้ังทางกายและจิตใจ ซึ่งความพร้อมทางร่างกายน้ันคือ ความพร้อมทางวุฒิภาวะส่วนความ
พร้อมทางจิตใจเป็นความพร้อมที่เกิดจากความพึงพอใจ ซึ่งมนุษย์จะเกิดการเรียนรู้นั้นต้องมีความ
พร้อมท้งั สองอย่างประกอบกนั

2. กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise) เป็นการกล่าวถึงการสร้างความ
ม่ันคงของการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองที่ถูกต้องโดยการฝึกซ้าๆบ่อยๆซึ่งหากปฏิบัติ
ซ้าๆย่อมทาให้เกิดการเรียนรู้และการเรียนรู้นั้นเป็นการเรียนรู้ที่อยู่ได้นานและคงทนถาวรท้ังน้ี
ย่อมขึ้นอยู่กับกฎข้อย่อยอีก 2 ประการคือ กฎแห่งการนาไปใช้ ทาให้การเรียนรู้ถาวรและกฎแห่งการ
ไม่ได้ใช้ทาให้เกิดการลืม

3. กฎแห่งผลที่ได้รับ (Law of Affect) เป็นการกล่าวถึงผลที่ได้รับเมื่อแสดง
พฤติกรรมการเรียนรู้น้ัน ถ้าบุคคลใดพึงพอใจในการเรียนรู้นั้น ย่อมแสดงออกถึงพฤติกรรมนั้นอีก หาก
ไม่พึงพอใจหรือไม่ประสบความสาเร็จในการเรียนร้นู ้นั ๆ ก็ไม่อยากแสดงออกซึ่งพฤติกรรมน้ัน

2. กลุ่มทฤษฎีความรคู้ วามเข้าใจหรือทฤษฎีปัญญา (Cognitive Theories)
2.1 ทฤษฎีการเรียนร้ขู องบรูเนอร์(Brunner's Theory of Learning) บรเู นอร์ (Brunner)

มองเห็นว่าความรู้ความเข้าใจเป็นกระบวนการมิใช่ผลผลิต ครูควรสนใจวิธีการมากกว่าผลที่ได้รับ
กระบวนการก่อให้เกิดการเรียนรู้ จึงไม่ควรสอนแต่เน้ือหา แต่ควรสอนให้คิดอย่างมีเหตุผล ให้ผู้เรียนได้
มีส่วนร่วมในกระบวนการต่างๆทีใ่ ช้แสวงหาความร้แู ละให้เกิดการเรียนรู้ บรูเนอร์พบวิธีการจัดการเรียน
การสอนที่เรียกว่า วิธีการแบบค้นพบและสืบสวนสอบสวน (Method of Discovery and Inquiry) เขาคิด
ว่าความพร้อมของผู้เรียนสามารถจัดกระทาได้โดยไม่ต้องรอให้เกิดความพร้อมตามธรรมชาติ ความ
สนใจของผ้เู รียนเปน็ สิ่งเสริมที่ให้เกิดความพร้อมในการเรียน

หลักการเรียนรขู้ องบรเู นอร์
1. การเรียนร้จู ะต้องเกิดความสร้างสรรค์ (Intuitive) และต้องเกิดอย่างฉบั ไว

(Sharp Insight)
2. การทาความเข้าใจเปน็ พื้นฐานที่จะชว่ ยในการเรียนรู้
3. ต้องจดั สิ่งที่เรียนให้เปน็ ระเบยี บ
4. การมีแนวคิดพื้นฐานจะเชื่อมโยงไปส่เู รียนรู้อืน่ ได้
5. การจดั โครงสร้างจะช่วยให้การเรียนรอู้ ย่างต่อเนื่องไม่เกิดช่องว่างระหว่าง

ความรู้พืน้ ฐานกบั ประสบการณ์ใหม่

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 45

3. กลุ่มทฤษฎีของกลุม่ มนษุ ยนิยม (Humanisticism)
3.1 ทฤษฎีความต้องการของมาสโลว์หรือทีเ่ ราค้นุ เคยกับชื่อว่าทฤษฎีลาดับข้นั ความ

ต้องการของมาสโลว์ (Maslow’s Hierarchy of Needs Theory) เป็นทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความต้องการ
ข้นั พื้นฐานของมนุษย์โดยนักจิตวิทยาชือ่ อับลาฮัม มาสโลว์ (Abraham Maslow) เปน็ ทฤษฎีการจูงใจที่มี
การกล่าวขวัญอย่างแพร่หลาย มาสโลว์มองว่าความต้องการของมนุษย์มีลักษณะเป็นลาดับข้ันจาก
ระดบั ต่าสุดไปยงั ระดบั สูงสุด เมือ่ ความต้องการในระดับหนึ่งได้รับการตอบสนองแล้วมนุษย์ก็จะมีความ
ต้องการอื่นในระดับที่สูงขึ้นต่อไป (Maslow, 1954) สาหรับรายละเอียดของลาดับข้ันความต้องการมี
ดังน้ี

1. ความต้องการทางร่างกาย (Physiological Needs) เป็นความต้องการข้ัน
พื้นฐานของมนุษย์เพื่อความอยู่รอด เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค อากาศ น้าดื่ม
การพกั ผ่อน

2. ความต้องการความปลอดภัยและม่ันคง (Security or Safety Needs) เมื่อ
มนุษย์สามารถตอบสนองความต้องการทางร่างกายได้แล้ว มนุษย์ก็จะเพิ่มความต้องการในระดับที่
สูงขึ้นต่อไป เช่น ความต้องการความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ความต้องการความม่ันคงในชีวิต
และหน้าที่การงาน

3. ความต้องการ ความผูกพัน หรือการยอมรับ หรือความต้องการทางสังคม
(Affiliation or Acceptance Needs) เป็นความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมซึ่งเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง
ของมนุษย์ เช่น ความต้องการให้และได้รับซึ่งความรัก ความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของหมู่คณะ ความ
ต้องการได้รบั การยอมรับ ความต้องการได้รับความชืน่ ชมจากผู้อืน่

4. ความต้องการการยกย่อง (Esteem Needs) หรือความภาคภูมิใจในตนเอง
เป็นความต้องการการได้รับการยกย่องนับถือและสถานะจากสังคม เช่น ความต้องการได้รับความ
เคารพนับถือ ความต้องการมีความรู้ความสามารถ

5. ความต้องการความสาเร็จในชีวิต (Self- Actualization Needs) เป็นความ
ต้องการสูงสุดของแต่ละบุคคล เช่น ความต้องการที่จะทาทุกสิ่งทุกอย่างได้สาเร็จ ความต้องการทาทุก
อย่างเพือ่ ตอบสนองความต้องการของตนเอง

จากทฤษฎีลาดับข้นั ความต้องการของมาสโลว์ สามารถแบ่งความต้องการออกได้เปน็
2 ระดบั คือ

1. ความต้องการในระดับต่า (Lower Order Needs) ประกอบด้วย ความ
ต้องการทางร่างกาย ความต้องการความปลอดภัยและมั่นคง และความต้องการความผูกพันหรือการ
ยอมรับ

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 46

2. ความต้องการในระดับสูง (Higher Order Needs) ประกอบด้วยความ
ต้องการการยกย่องและความต้องการความสาเรจ็ ในชีวิต

4. กลุ่มทฤษฎีผสมผสาน (Integrated Theory)
4.1 ทฤษฎีการเรียนรู้ 8 ข้ันตามทฤษฎีของการ์เย่ เจ้าของทฤษฎีคือ โรเบิร์ต กาเย่

(Robert Gagne) เปน็ นักปรชั ญาและจิตวิทยาการศึกษาชาวอเมริกา (1916-2002) ได้เสนอแนวความคิด
เกี่ยวกับการเรียนรู้คือ ทฤษฎีเงื่อนไขการเรียนรู้ (Condition of Learning) โดยทฤษฎีการเรียนรู้ของ
กาเย่จัดอยู่ในกลุ่มผสมผสาน (Gagne’s Eclecticism) ซึ่งเชื่อว่าความรู้มีหลายประเภทบางประเภท
สามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องใช้ความคิดที่ลึกซึ้ง บางประเภทมีความซับซ้อนจาเป็นต้องใช้
ความสามารถในข้ันสูงการเรียนรู้ 8 ข้ันตามทฤษฎีของการ์เย่ (Gagne,Briggs,&Wager,1992)
ประกอบด้วย

1. การจูงใจ (Motivation Phase) การคาดหวังของผู้เรียนเป็นแรงจูงใจในการ
เรียนรู้

2. การรับรู้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ (Apprehending Phase) ผู้เรียนจะรับรู้สิ่งที่
สอดคล้องกับความตั้งใจ

3. การปรงุ แต่งสิ่งทีร่ ับร้ไู ว้เป็นความจา (Acquisition Phase) เพื่อให้เกิดความจา
ระยะส้นั และระยะยาว

4. ความสามารถในการจา (Retention Phase)
5. ความสามารถในการระลึกถึงสิง่ ทีไ่ ด้เรียนรู้ไปแล้ว (Recall Phase)
6. การนาไปประยุกต์ใช้กบั สิ่งที่เรียนร้ไู ปแล้ว (Generalization Phase)
7. การแสดงออกพฤติกรรมที่เรียนรู้ (Performance Phase)
8. การแสดงผลการเรียนรู้กลับไปยังผู้เรียน (Feedback Phase) ผู้เรียนได้
รับทราบผลเรว็ จะทาให้มีผลดีและประสิทธิภาพสูง
โดยองค์ประกอบที่สาคญั ดังน้ีคือ
1. ผ้เู รียน (Learner) คือมีระบบสัมผัสและระบบประสาทในการรับรู้
2. สิ่งเร้า (Stimulus) คือสถานการณ์ต่างๆทีเ่ ป็นสิง่ เร้าให้ผ้เู รียนเกิดการเรียนรู้
3. การตอบสนอง (Response) คือพฤติกรรมทีเ่ กิดขึ้นจากการเรียนรู้
4.2 ทฤษฎีการเรียนรตู้ ามทฤษฎีบลมู (Bloom’s Taxonomy)
บลูม (Bloom,1976) เป็นนักการศึกษาชาวอเมริกันที่เชื่อว่า การเรียนการสอนที่จะ
ประสบความสาเร็จและมีประสิทธิภาพน้ัน ผู้สอนจะต้องกาหนดจุดมุ่งหมายให้ชัดเจนแน่นอน ซึ่งจะ
สามารถทาให้ผู้สอนกาหนดและจัดกิจกรรมการเรียนรวมท้ังวัดประเมินผลได้ถูกต้องแม่นยา ได้มีการ
แบ่งประเภทของพฤติกรรมโดยอาศัยทฤษฎีการเรียนรู้และจิตวิทยาพื้นฐานว่า มนุษย์จะเกิดการเรียนรู้

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 47

ใน 3 ด้านคือ ด้านสติปัญญา ด้านร่างกาย และด้านจิตใจ และได้นาหลักการน้ีจาแนกเป็นจุดมุ่งหมาย
ทางการศึกษาเรียกว่า Taxonomy of Educational Objectives ซึง่ บลมู ได้แบ่งการเรียนรู้เปน็ 6 ระดับคือ

1. ความรู้ความจา (Knowledge) สามารถบอกได้ ซึ่งเป็นระดับล่างสดุ
2. ความเข้าใจ (Comprehend) สามารถอธิบายได้
3. การประยุกต์ (Application) สามารถนาไปใช้ในสภาพการณ์อื่นได้
4. การวิเคราะห์ (Analysis) สามารถแก้ปญั หาตรวจสอบได้
5. การสังเคราะห์ (Synthesis) สามารถนาส่วนต่างๆมาประกอบเป็นรูปแบบ
ใหม่ได้ให้แตกต่างจากรปู เดิมเน้นโครงสร้างใหม่
6. การประเมินค่า (Evaluation) วัดได้และตัดสินได้ว่าอะไรถูกหรือผิด ประกอบ
การตัดสินใจบนพ้นื ฐานของเหตุผลและเกณฑ์ทีแ่ น่ชัด
4.3 ทฤษฎีการเรียนรตู้ ามทฤษฎีของเมเยอร์
การเรียนรู้ตามทฤษฎีของเมเยอร์ (Mayer) นั้น ถูกนามาใช้ในการออกแบบสื่อการเรียน
การสอน การวิเคราะห์ความจาเป็นเป็นสิ่งสาคัญและเกี่ยวข้องกับจุดประสงค์ของการเรียน
(Mayer,2005) ซึง่ สามารถแบ่งออกเปน็ ส่วนย่อยๆ 3 ส่วนด้วยกันคือ
1. พฤติกรรมควรช้ีชัดและสังเกตได้
2. เงื่อนไขพฤติกรรมสาเรจ็ ได้ควรมีเงื่อนไขในการช่วยเหลือ
3. มาตรฐานพฤติกรรมที่ได้น้ันสามารถอย่ใู นเกณฑ์ทีก่ าหนด

วิธีจูงใจใหเ้ กิดการเรียนรู้
1. ความหมายแรงจงู ใจ (Motivation)
ความหมายของแรงจูงใจ (Motivation) น้ันคือ สิ่งซึ่งควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ อันเกิดจาก

ความต้องการ (Needs) แรงกดดัน (Drives) หรือ ความปรารถนา (Desires) ที่จะพยายามดิ้นรนเพื่อให้
บรรลุผลสาเร็จตามวัตถุประสงค์ ซึ่งอาจจะเกิดมาตามธรรมชาติหรือจากการเรียนรู้ก็ได้ (วิกิพีเดีย
,2557) ซึ่งแรงจูงใจจะเป็นพลังแรงภายในของบุคคล (หรือสัตว์) ที่ทาให้คนเรา (หรือสัตว์) เกิด
พฤติกรรมและควบคุมแนวทางของพฤติกรรมให้บรรลจุ ดุ หมาย

สุพิตร สมาหิโตและเจริญ กระบวนรัตน์ (ม.ป.ป.) ได้กล่าวว่าแรงจูงใจคือการกระทาของ
แรงผลักดันภายในร่างกายซึ่งจะทาให้ผู้เรียนบรรลุผลสาเร็จ แรงจูงใจเป็นหัวใจของการเรียนรู้และเป็น
กุญแจสาคัญที่จะก่อให้เกิดความสัมฤทธิ์ผลในประสบการณ์ของการเรียนรู้ทุกชนิด ความปรารถนา
สิ่งจูงใจ ความกดดัน ความเครียด สิ่งเร้า ความสนใจ ความสามารถ สิ่งต่างๆเหล่าน้ีเกิดขึ้นเป็นผล
เนือ่ งมาจากแรงจงู ใจท้ังสิ้น

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 48

2. ประเภทของแรงจูงใจ
แรงจงู ใจแบ่งออกได้ 2 ประเภท ดงั น้ี

2.1 แรงจูงใจภายใน (Intrinsic Motivation) หมายถึงแรงจูงใจที่เป็นแรงที่มาจาก
ภายในตัวบุคคลและเปนแรงขับที่ทาใหบุคคลน้ันแสดงพฤติกรรมโดยไมหวังรางวัลหรือต้องการแรง
เสริมภายนอก เนื่องจากพฤติกรรมที่เกิดขึ้นน้ันมาจากแรงจูงใจที่เกิดจากความสนใจของผูแสดง
พฤติกรรมเอง

Deci and Ryan (อางถึงใน สุรางค โควตระกูล, 2545) ได้แบ่งประเภทของแรงจูงใจ
ภายในออกเปน 3 ประเภทคือ

1. แรงจูงใจภายในที่มาจากความตองการดานจิตวิทยา ที่ต้องการจะเป็นผู้มี
สมรรถภาพตองการทีจ่ ะมีประสบการณ์ว่าตนเป็นผู้ทีม่ ีประสิทธิภาพ

2. แรงจูงใจภายในที่มาจากความตองการที่จะเป็นอิสระเปนตัวของตัวเองตอง
การที่จะเปนผูริเริม่ กิจกรรมของตนเอง

3. แรงจูงใจภายในที่มาจากความตองการที่จะมีความสัมพันธ์ คือมีแรงจูงใจที่
จะเอื้ออาทรผูอื่น มีความรูสึกวาผูอื่นมีความสัมพันธกับตนอย่างบริสุทธิ์ใจและต้องการมีความสัมพันธ
กับตน

2.2 แรงจูงใจภายนอก (Extrinsic Motivation) หมายถึง แรงจูงใจที่เกิดจาก
ภายนอกตวั บุคคล ซึง่ มีผลต่อการกระต้นุ ให้บุคคลแสดงพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งตามความต้องการ
หรือตามจุดมุ่งหมายที่กาหนดไว้ซึ่ง สุรางค โควตระกูล (2545) ยังกล่าวว่าแรงจูงใจภายนอกเป็น
แรงจูงใจที่ไดรับอิทธิพลจากภายนอก เชน มาจากแรงเสริมชนิดตางๆ ต้ังแต่คาชม จนถึงการไดรับ
รางวัลเป็นสิ่งของ หรือเงินและตัวแปรต่าง ๆที่มาจากบุคคลและลักษณะของเหตุการณ์สิ่งแวดลอม
ภายนอก เชน การใหขอมูลย้อนกลับ ความคาดหวังของผูอื่น พฤติกรรมโดยผูอื่น การต้ังเปาหมายใน
การทางานและความคาดหวงั ของผูปกครอง

สาหรับการประยุกต์ใช้แรงจูงใจในการเรียนการสอน หลุย จาปาเทศ (2533) กล่าวว่า
แนวความคิดเรื่องแรงจูงใจถูกนามาใช้มากในด้านการเรียนการสอน เนื่องจากบรรยากาศและสภาพ
การเรียนการสอนที่มีระยะเวลาต่อเนื่องกนั ยาวนานในแต่ละวนั จะทาให้ผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่ายและ
ท้อแท้ได้มาก ดังนั้นครูผู้สอนจะต้องมีความรู้และนาความรู้เรื่องแรงจูงใจมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่
ผู้เรียนให้ได้มากที่สุด โดยเทคนิคและวิธีการจูงใจนั้นจะต้องให้มีความเหมาะสมกับวัย ระดบั การศึกษา
และสภาพแวดล้อมต่างๆด้วย ซึ่งการสร้างแรงจูงใจหรือการจูงใจให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ใน
กระบวนการจัดการเรียนการสอน ยกตัวอย่างเช่น การปรับปรุงเน้ือหาและวิธีการสอนให้น่าสนใจ การ
ใช้สื่อการสอนที่เหมาะสม การใช้เทคนิคในการเร้าความสนใจของผู้เรียน การปรับวิธีการสอนและการ
วดั ผลให้เหมาะสมกับรูปแบบแรงจูงใจของผ้เู รียน การใช้หลักการเสริมแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 49

อย่างไรก็ตามการสร้างแรงจูงใจในการเรียน ถือเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยต่างๆหลายปัจจัย
อาทิ เช่น บรรยากาศในการเรียน วิธีการสอน ลักษณะทางอารมณ์และบุคลิกภาพของครู เน้ือหาที่เรียน
ตลอดจนความต้องการ ความสนใจ เป้าหมายและแรงกดดันต่างๆในตัวผู้เรียน แรงจูงใจเป็น
องค์ประกอบที่สาคัญในการเรียนรู้ความสัมฤทธิ์ผลในการเรียนของผู้เรียน โดยนอกจากจะขึ้นกับ
ความสามารถแล้วยังขึ้นกับแรงจูงใจ ซึ่งหากผู้เรียนที่มีความสามารถสูงแต่ขาดแรงจูงใจในการเรียนรู้ก็
จะมีสัมฤทธิ์ผลในการเรียนต่า หลยุ จาปาเทศ (2533) ยังได้กล่าวอีกว่า ถ้ามองอย่างผิวเผินแล้วอาจจะ
ไม่รู้สึกว่าแรงจูงใจมีอิทธิพลต่อบุคคลท่ัวไปอย่างไร แต่แรงจูงใจมีบทบาทมากในสังคมปัจจุบันซึ่งเป็น
สังคมข้อมูลข่าวสารและการติดต่อถึงกันเป็นไปอย่างรวดเร็ว แหล่งผลิตข้อมูลข่าวสารจะพยายามดึง
ความสนใจของผู้บริโภคอยู่ตลอดเวลา ในระดับครอบครัวก็เช่นกัน พ่อแม่ใช้หลักการจูงใจเพื่อให้ลูก
ขยันเรียน ลูกใช้หลักการจูงใจเพื่อให้พ่อแม่ซื้อของบางอย่างที่ตนต้องการ ดังน้ันความเข้าใจเกี่ยวกับ
การสร้างแรงจูงใจจึงมีความสาคัญกับครูมาก ครูต้องเป็นผู้ที่จัดการเรียนรู้โดยการใช้แรงจูงใจ
(Motivation) เป็นเครื่องช่วยกระตุ้นเพื่อให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในการเรียนจนทาให้ผู้เรียนประสบ
ความสาเรจ็ และบรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ การจดั การเรียนการสอนจึงจะประสบความสาเรจ็ ได้

ความสาคัญของจิตวิทยากับการสอนพลศึกษา
ครูพลศึกษาควรต้องมีความรู้และศึกษาความหมาย ขอบข่าย ความเป็นมาของจิตวิทยา

การศึกษาและประโยชน์ของจิตวิทยาการศึกษาอย่างถ่องแท้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในแนวคิดเข้าใจ
ลกั ษณะของสภาพการณ์ต่างๆ ทีส่ ่งผลต่อการพฒั นาความคิด (จิตตินันท์บุญสถิรกลุ , 2548) ครู พล
ศึกษาควรเข้าใจจุดมุ่งหมายของการศึกษาจิตวิทยาการศึกษา และสามารถนาความรู้เกี่ยวกับจิตวิทยา
การศึกษาไปประยุกต์ใช้ในกระบวนการเรียนการสอน ตลอดจนสามารถนาทฤษฎีและหลักการไป
ประยุกต์ใช้ในการแก้ปญั หาที่อาจเกิดขึ้นในช้นั เรียนของตนเองได้

1. จุดมงุ่ หมายของการศึกษาจิตวิทยาการศึกษา
ปรียาพร วงศ์อนุวตั ร( 2546) ได้กล่าวถึง จุดมุ่งหมายของการศึกษาจิตวิทยาการศึกษา

ไว้ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1.1 เพื่อศึกษาธรรมชาติของผู้เรียนในด้านต่างๆ เช่น บุคลิกภาพ ทัศนคติ

ค่านิยม การปรบั ตวั อารมณ์ เจตคติ การจงู ใจ สภาพจิตใจ
1.2 เพื่อศึกษาปัจจัยสาคัญต่อการเกิดการเรียนรู้ องค์ประกอบของการเรียนรู้

การสร้างความพร้อม และแรงจงู ใจ รวมท้งั การจัดสิง่ แวดล้อมที่ส่งเสริมการเรียนรู้
1.3 เพื่อวิธีการวัดและประเมินผลในด้านต่างๆ ที่มีผลต่อการเรียน เช่นความคิด

รวบยอดความถนดั ความสามารถในการเรียน เชาวน์ปญั ญา ทักษะภาษา การลืม การจา

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 50

2. ประโยชนข์ องจิตวิทยาการศึกษา
ประโยชน์ของจิตวิทยาการศึกษาต่อผู้เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน จิตตินันท์

บุญสถิรกลุ (2548) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของจิตวิทยาการศึกษาไว้ดงั นี้
2.1 ช่วยให้ผู้สอนสามารถเข้าใจตนเอง พิจารณาตรวจสอบตนเองทั้งในด้านดีและ

ข้อบกพร่อง รวมท้ังความสนใจ ความต้องการ ความสามารถ ซึ่งจะทาให้สามารถคิดและตัดสินใจ
กระทาสิง่ ต่างๆได้อย่างเหมาะสม

2.2 ช่วยให้ผู้สอนเข้าใจทฤษฎีวิธีการใหม่ๆ และสามารถนาความรู้เหล่าน้ัน มาจัด
กิจกรรมการเรียนการสอน ตลอดจนนาเทคนิคไปใช้ได้เหมาะสมและเกิดประโยชน์

2.3 ช่วยให้ผู้สอนเข้าใจธรรมชาติความเจริญเติบโตของผู้เรียน และสามารถจัดการ
เรียนการสอนให้เหมาะสมกับธรรมชาติความต้องการ และความสนใจของผ้เู รียนแต่ละวยั ได้

2.4 ช่วยให้ผู้สอนเข้าใจและสามารถเตรียมบทเรียนวิธีสอนวิธีจัดกิจกรรม ตลอดจน
วิธีการวดั ผลประเมินผลการศึกษาให้สอดคล้องกบั ความเจริญเติบโตของผ้เู รียนและตามหลกั การ

2.5 ช่วยให้ผู้สอนเข้าใจ รู้จักวิธีการศึกษาผู้เรียนเป็นรายบุคคลเพื่อหาทางช่วยเหลือ
แก้ปัญหาและส่งเสริมพัฒนาการของผ้เู รียนให้เปน็ ไปอย่างดีที่สดุ

2.6 ช่วยให้ผู้สอนมีสัมพันธ์ภาพที่ดีกับผู้เรียน มีความเข้าใจ และสามารถทางานกับ
ผ้เู รียนได้อย่างราบรืน่

2.7 ช่วยให้ผู้บริหารการศึกษา ได้วางแผนการศึกษา การจัดหลกั สตู ร อุปกรณ์การสอน
และการบริหารได้อย่างถกู ต้อง

2.8 ช่วยให้ผู้เรียนสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้ดีรู้จักจิตใจคนอื่น รู้ความต้องการ
ความสนใจและปรับตวั ให้เข้ากับลกั ษณะเหล่าน้ันได้ ซึ่งสิ่งเหล่าน้ีจะทาให้เราสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้
อย่างปกติสุข

3. ความสาคัญของจิตวิทยา
สุรางค์ โค้วตระกูล (2545) กล่าวถึงความสาคัญของจิตวิทยาที่มีต่อครูผู้สอนไว้

ดังต่อไปนี้
3.1 ช่วยครูให้รู้จักลักษณะนิสัย (Characteristics) ของนักเรียนที่ครูต้องสอน โดยทราบ

หลกั พัฒนาการท้ังทางร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม และบุคลิกภาพเป็นส่วนรวม
3.2 ช่วยให้ครูมีความเข้าใจพัฒนาการทางบุคลิกภาพบางประการของนักเรียนเช่น อัต

มโนทัศน์ (Self-concept) ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรและเรียนรู้ถึงบทบาทของครูในการที่จะช่วยนักเรียนให้
มีอัตมโนทัศน์ ที่ดีและถูกต้องได้อย่างไร

3.3 ช่วยครูให้มีความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างบุคคล เพื่อจะได้ช่วยนักเรียนเป็น
รายบคุ คลให้พัฒนาตามศักยภาพของแต่ละบคุ คล


Click to View FlipBook Version