เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 51
3.4 ช่วยให้ครรู ู้วิธีจัดสภาพแวดล้อมของห้องเรียนให้เหมาะสมแก่วยั และข้นั พัฒนาการ
ของนักเรียน เพื่อจงู ใจให้นกั เรียนมีความสนใจและอยากจะเรียนรู้
3.5 ช่วยให้ครูทราบถึงตัวแปรต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของนักเรียน เช่น
แรงจูงใจ อตั มโนทศั น์ และการต้ังความคาดหวงั ของครูทีม่ ีต่อนกั เรียน
3.6 ช่วยครูในการเตรียมการสอนวางแผนการเรียน เพื่อทาให้การสอนมีประสิทธิภาพ
สามารถช่วยให้นกั เรียนทกุ คนเรียนร้ตู ามศกั ยภาพของแต่ละบุคคล โดยคานึงหัวข้อต่อไปนี้
3.6.1 ช่วยครูเลือกวัตถุประสงค์ของบทเรียนโดยคานึงถึงลักษณะนิสัยและ
ความแตกต่างระหว่างบุคคลของนักเรียนที่จะต้องสอน และสามารถที่จะเขียนวัตถุประสงค์ให้นักเรียน
เข้าใจว่าสิ่งที่ครูคาดหวังให้นักเรียนรู้มีอะไรบ้าง โดยถือว่าวัตถุประสงค์ของบทเรียนคือสิ่งที่จะช่วยให้
นักเรียนทราบว่า เมื่อจบบทเรียนแล้วนกั เรียนจะสามารถทาอะไรได้บ้าง
3.6.2 ช่วยครูในการเลือกหลักการสอนและวิธีสอนที่เหมาะสม โดยคานึงถึง
ลักษณะนิสยั ของนักเรียนและวิชาที่สอนและกระบวนการเรียนร้ขู องนกั เรียน
3.6.3 ช่วยครูในการประเมินไม่เพียงแต่เฉพาะเวลาครูได้สอนจนจบบทเรียน
เท่านั้นแต่ใช้ประเมินความพร้อมของนักเรียนก่อนสอน ในระหว่างที่ทาการสอนเพื่อจะทราบว่านักเรียน
มีความก้าวหน้าหรือมีปญั หาในการเรียนรู้อะไรบ้าง
3.7 ช่วยครูให้ทราบหลักการและทฤษฎีของการเรียนรู้ที่นักจิตวิทยาได้พิสูจน์แล้วว่า
ได้ผลดี เช่น การเรียนร้จู ากการสังเกตหรือการเลียนแบบ (Observational Learning หรือ Modeling)
3.8 ช่วยครูให้ทราบถึงหลักการสอนและวิธีสอนที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งพฤติกรรม
ของครูที่มีการสอนอย่างมีประสิทธิภาพว่ามีอะไรบ้าง เช่น การใช้คาถาม การให้แรงเสริม และการทา
ต้นแบบ
3.9 ช่วยครูให้ทราบว่านักเรียนที่มีผลการเรียนดีไม่ได้เป็นเพราะระดับเชาวน์ปัญญา
เพียงอย่างเดียว แต่มีองค์ประกอบอื่นๆ เช่น แรงจูงใจ (Motivation) ทัศนคติหรือ อัตมโนทัศน์ของ
นกั เรียนและความคาดหวังของครูทีม่ ีต่อตัวนักเรียน
3.10 ช่วยครูในการปกครองช้ันและการสร้างบรรยากาศของห้องเรียน ให้เอื้อต่อการ
เรียนรู้และเสริมสร้างบุคลิกภาพของนักเรียน ครูและนักเรียนมีความรักและไว้วางใจซึ่งกันและกัน
นักเรียนต่างก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทาให้ห้องเรียนเป็นสถานที่ที่ทุกคนมีความสุขและนักเรียนรัก
โรงเรียนอยากมาโรงเรียน
เนื่องจากการศึกษามีบทบาทสาคัญในการช่วยให้เยาวชนพัฒนาการท้ังทางด้านเชาวน์ปัญญา
และทางบุคลิกภาพ เพื่อช่วยให้เยาวชนมีความสาเร็จในชีวิต ทุกประเทศจึงหาทางส่งเสริมการศึกษาให้
มีคุณภาพ มีมาตรฐานความเป็นเลิศ ความรู้เกี่ยวกับจิตวิทยาการศึกษาจึงสาคัญในการช่วยท้ังครูและ
นักการศึกษาผู้มีความรับผิดชอบในการปรับปรุงหลักสูตรและการเรียนการสอน อีกท้ังพฤติกรรมของ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 52
มนุษย์น้ันมีความซับซ้อนเนื่องจากมีปัจจัยต่างๆจานวนมากที่เกี่ยวข้องและรวมท้ังปัจจัยเหล่าน้ันยังมี
อิทธิพลในการกาหนดลักษณะพฤติกรรมในการทาความเข้าใจในถึงพฤติกรรมของมนุษย์ ครูพลศึกษา
จึงควรต้องศึกษาปจั จยั พ้นื ฐานที่มีอิทธิพลต่อการกาหนดพฤติกรรมมนุษย์ด้วย
4. ปัจจยั พื้นฐานที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมมนษุ ย์
ปจั จัยพนื้ ฐานทีม่ ีอิทธิพลต่อพฤติกรรมมนุษย์ (รวีวรรณ โปรยร่งุ โรจน,์ 2551) มี
รายละเอียดดงั น้ี
4.1 ปจั จัยพนื้ ฐานดา้ นชีวภาพ ประกอบด้วย
4.1.1 พันธุกรรม หมายถึง สิ่งที่เป็นลักษณะต่างๆของสิ่งมีชีวิตที่ได้รับการ
ถ่ายทอดมาจากสิ่งมีชีวิตรุ่นก่อนหน้า โดยสามารถถ่ายทอดส่งต่อจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่งได้หรือ
พันธุกรรม คือเป็นการถ่ายทอดลักษณะต่างๆของสิ่งมีชีวิตจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง (รุ่นลูกรุ่นหลาน)
ได้ เช่น คนรุ่นพ่อแม่สามารถถ่ายทอดลักษณะต่างๆลงไปยังสู่รุ่นลูกรุ่นหลานของตนได้ โดยลักษณะที่
ถกู ถ่ายทอดแบ่งเป็นประเภทหลักๆได้คือ ลักษณะเชิงคุณภาพและลกั ษณะเชิงปริมาณ แต่อย่างไรก็ตาม
ส่วนหนึ่งที่ทาให้ลักษณะเราแตกต่างออกไปนอกเหนือพันธุกรรมก็คือ อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมหรือ
สภาพแวดล้อมซึ่งจะได้กล่าวถึงในลาดบั ต่อไป
4.1.2 การทางานของระบบในร่างกาย ในการศึกษาทางจิตวิทยาจาเป็น
อย่างยิ่งที่จะทาความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมต่างๆของมนุษย์ ซึ่งการที่มนุษย์จะแสดงพฤติกรรมใดๆ
ออกมาน้ันเป็นเพราะระบบการทางานของร่างกาย ไม่ว่านักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์ซึ่งได้
ทาการศึกษาค้นคว้ามาเป็นระยะเวลายาวนาน ต่างมีความคิดเห็นตรงกันว่า ร่างกายมนษุ ย์สัตว์หรือพืช
ทั้งหลายจะมีโครงสร้างที่ประกอบขึ้นจากหน่วยที่เล็กที่สุดที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
จนกระทั่งถึงส่วนประกอบที่ใหญ่ที่สุด แต่ละส่วนจะมีการทางานที่สัมพันธ์กัน โดยไม่มีส่วนใดที่สามารถ
ทางานอย่างอิสระ ยกเว้นเม็ดเลือดโดยประมาณได้ว่า 75 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ของร่างกายส่วนใหญ่
ประกอบด้วยน้าส่วนทีเ่ หลือเป็นสารประกอบทางเคมีสารประกอบเหล่าน้รี วมตัวกันเป็นเซลล์หลายร้อย
ชนิดซึ่งเป็นหน่วยพื้นฐานที่เล็กที่สุดของร่างกาย มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้างสลับซับซ้อนที่สุดใน
บรรดาสิ่งมีชีวิตท้ังหลายบนพื้นโลก โดยเฉลี่ยแล้วร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยเซลล์ 80– 100ล้านล้าน
เซลล์ แต่ละชุดจะถูกกาหนดให้มีการเจริญเติบโตและทาหน้าที่เฉพาะ โดยเซลล์ชนิดเดียวกันจะรวมตัว
เปน็ เน้ือเยื่อ เน้ือเยื่อหลายๆประเภทเมือ่ มาทางานร่วมกันเรียกว่าอวยั วะ แต่ละอวัยวะเมือ่ ทางานร่วมกนั
เรียกว่าระบบ ดังน้ันเมื่อเซลล์มารวมกลุ่มเป็นเน้ือเยื่อพิเศษ เช่น กล้ามเน้ือ เส้นประสาท กระดูกฯลฯ
เน้ือเยื่อเหล่าน้ีจะทางานร่วมกันเป็นอวัยวะและในที่สุดอวัยวะเหล่าน้ีจะถูกจัดสรรเป็นระบบต่างๆของ
ร่างกาย เช่น ระบบกล้ามเน้อื ระบบต่อมต่างๆ และระบบประสาท ซึ่งระบบต่างๆในร่างกายนั้นจะมีการ
ทางานทีส่ มั พันธ์กนั เพื่อให้มนษุ ย์สามารถดารงชีวิตได้อย่างปกติ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 53
4.1.3 ระบบต่อมไร้ท่อ ระบบต่อมไร้ท่อเป็นระบบที่สาคัญอย่างยิ่งในการ
ควบคุมการทางานของร่างกาย ระบบต่อมไร้ท่อประกอบด้วย กลุ่มเซลล์หรืออวัยวะที่มีหน้าที่สร้างและ
หล่ังสารเคมีที่เรียกว่าฮอร์โมน ฮอร์โมนเกือบทั้งหมดจะถูกขนส่งไปสู่อวัยวะทั่วร่างกายโดยทางระบบ
ไหลเวียนโลหิต แต่จะออกฤทธิห์ รือมีผลต่ออวัยวะหรือเซลบางชนิดเท่านั้น
4.2 ปจั จัยพืน้ ฐานดา้ นจิตวิทยา ประกอบด้วย
4.2.1 แรงจูงใจ คือ พลังผลักดันให้คนมีพฤติกรรมและยังกาหนดทิศทางและ
เป้าหมายของพฤติกรรมน้ันด้วย คนที่มีแรงจูงใจสูงจะใช้ความพยายามในการกระทาไปสู่เป้าหมายโดย
ไม่ลดละ แต่คนที่มีแรงจูงใจต่าจะไม่แสดงพฤติกรรมหรือไม่ก็ล้มเลิกการกระทาก่อนบรรลุเป้าหมาย
แรงจูงใจของมนุษย์มีมากมายหลายอย่าง เราถูกจูงใจให้มีการกระทาหรือพฤติกรรมหลายรูปแบบเพื่อ
หาน้ามาดื่มและอาหารมากิน เพื่อสนองความต้องการทางกาย แต่ยังมีความต้องการมากกว่าน้ัน เช่น
ต้องการความสาเร็จ ต้องการเงินคาชมเชย อานาจและในฐานะที่เป็นสัตว์สังคม คนยังต้องการมี
อารมณ์ผูกพันและอย่รู วมกล่มุ กบั ผ้อู ื่น แรงจงู ใจจึงเกิดขึ้นได้ท้งั จากปัจจัยภายในและปจั จัยภายนอก
4.2.2 การเรียนรู้ คือ ไม่ว่าเราจะทาอะไรทุกอย่างก็เกิดการเรียนรู้ได้ท้ังน้ัน
เพียงแต่ต้องใช้ความคิดไปด้วยกับการทาสิ่งนั้นๆคือ ทาไปคิดไป ข้อสาคัญคือใช้ความคิดให้เป็นหรือไม่
ความคิดที่ดีสร้างสรรค์มันก็เกิดประโยชน์ แต่ความคิดไม่ดีหรือไม่รู้เท่าทันก็เกิดโทษได้ สารสนเทศ
เกี่ยวกับเรียนรู้จากสื่อต่างๆ เช่น ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์และอินเตอร์เน็ตอื่นๆก็เป็นการเรียนรู้ได้
เหมือนกันแต่การเรียนร็ตามความหมายในทางจิตวิทยา หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของ
บุคคลอย่างค่อนข้างถาวร อันเป็นผลมาจากการฝึกฝนหรือการมีประสบการณ์พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง
ที่ไม่จัดว่าเกิดจากการเรียนรู้ ได้แก่ พฤติกรรมที่เป็นการเปลี่ยนแปลงช่ัวคราวและการเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมที่เนื่องมาจากวฒุ ิภาวะ การเรียนรู้น้ันอาจมีความหมายลึกซึ้งมากกว่าน้ี อาจเป็นการส่งั สอน
หรือการบอกเล่าให้เข้าใจและจาได้เท่านั้น ไม่ใช่เรื่องของการทาตามแบบ ไม่ได้มีความหมายต่อการ
เรียนในวิชาต่างๆเท่านั้น แต่ความหมายคลุมไปถึงการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมอันเป็นผลจากการ
สังเกตพิจารณาไตร่ตรอง แก้ปัญหาทั้งปวงและไม่ชี้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงน้ันเป็นไปในทางที่สังคม
ยอมรับเท่านั้น การเรียนรู้เป็นการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม การเรียนรู้เป็นความเจริญงอกงามเน้น
ว่าการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เป็นการเรียนรู้ต้องเนื่องมาจากประสบการณ์หรือการฝึกหัดและ
พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปน้ัน ควรจะต้องมีความคงทนถาวรเหมาะแก่เหตุเมื่อพฤติกรรมด้ังเดิม
เปลี่ยนไปส่พู ฤติกรรมที่ม่งุ หวังก็แสดงว่าเกิดการเรียนรู้แล้ว
4.3 ปัจจยั พื้นฐานดา้ นสังคมวิทยา ประกอบด้วย
4.3.1 อิทธิพลของสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมคือทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว
มนุษย์ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตรวมท้ังที่เป็นรูปธรรม (สามารถจับต้องและมองเห็นได้) และนามธรรม
(ตัวอย่างเช่น วัฒนธรรม แบบแผนประเพณี ความเชื่อ) มีอิทธิพลเกี่ยวโยงถึงกันเป็นปัจจัยในการ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 54
เก้ือหนุนซึ่งกันและกัน ผลกระทบจากปัจจัยหนึ่งจะมีส่วนเสริมสร้างหรือทาลายอีกส่วนหนึ่งอย่าง
หลีกเลี่ยงมิได้ สิ่งแวดล้อมเป็นวงจรและวฎั จกั รที่เกี่ยวข้องกันไปท้ังระบบ
4.3.2 อิทธิพลของกลุ่ม มนุษย์เป็นสัตว์สังคมจึงต้องการรวมกลุ่มกับบุคคล
อืน่ ๆเพือ่ ทากิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ละกล่มุ จะมีขนาดต่างกันไปคนๆหนึง่ อาจเปน็ สมาชิกของกลุ่ม
หลายๆกลุ่มได้ในขณะเดียวกัน ในการรวมกลุ่มสมาชิกแต่ละกลุ่มมักจะถูกกาหนดสถานภาพและ
บทบาทสถานภาพเป็นการกาหนดระดับช้ันของสมาชิกในกลุ่ม สถานภาพของบุคคลอาจได้มาจาก
หลายทาง เช่น สถานภาพโดยกาเนิด สถานภาพครอบครัว สถานภาพการทางาน แล้วในการรวมกลุ่ม
จะต้องมีบรรทัดฐานซึ่งเป็นกฎกติกาของกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติที่สมาชิกส่วนใหญ่ยอมรับว่าสิ่ง
ใดควรป ฏิบั ติและสิ่ งใ ดเป็น ข้อห้ าม สถาน ภาพบ ท บา ทและบร รทั ดฐานล้ วน เป็ นสิ่ งที่ท าใ ห้ม นุษ ย์ มี
พฤติกรรมทีแ่ ตกต่างกันท้ังสิ้น
ลกั ษณะและความตอ้ งการทางดา้ นการออกกาลังกายของผู้เรียนวยั ต่างๆ
1. ลักษณะและพัฒนาการพืน้ ฐาน สามารถสรุปรายละเอียดได้ดงั น้ี
1.1 ช่วงวัยประถมศึกษาหรือชว่ งวัยเด็ก
สุรางค์ โค้วตระกูล (2545) ได้กล่าวถึงพัฒนาการทางด้านร่างกายของเด็กวัย
ประถมศึกษาไว้ดงั น้ี
1. การเจริญเติบโตของร่างกายของเด็กวัยประถมศึกษาจะช้ากว่าเด็ก
วัยอนุบาลโดยท่ัวไปเด็กจะมีรูปร่างสูงและค่อนข้างจะผอมลงกว่าวัยอนุบาลอายุระหว่าง 9 - 10 ปี
เด็กชายและเด็กหญิงจะมีขนาดเท่าๆกันท้ังน้าหนักตัวและส่วนสูง เด็กชายจะโตกว่าเด็กหญิง แต่ตอน
หลังระหว่างอายุ 12 - 13 ปีเดก็ หญิงจะโตกว่าเด็กชาย
2. เดก็ หญิงที่มีความเจริญเติบโตทางร่างกายเร็วกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน
มักจะมีปัญหาทางการปรับตัว จะรู้สึกว่าตนโตกว่าเพื่อนและมีการแยกตัวออกจากเพื่อนสาหรับ
เดก็ ชายทีม่ ีความเจริญเติบโตเรว็ กว่าเพื่อนร่วมวัยเดี่ยวกนั จะมีการปรบั ตัวได้ดี
3. การพัฒนาการของกล้ามเน้ือกระดูกและประสาทจะเพิ่มขึ้น
เด็กชายมีพัฒนาการของกล้ามเน้ือเร็วกว่าเด็กหญิง การใช้ทักษะของการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับกล้ามเน้ือ
ใหญ่ๆใช้การได้ดีมีการใช้และบังคับใช้กล้ามเน้ือต่างๆได้ดีขึ้น และกล้ามเน้ือมีการทางานที่ประสานงาน
กนั ได้ดี
4. การประสานงานระหว่างมือและตาของเด็กวัยน้ีจะดีขึ้น เด็ก
สามารถทีจ่ ะอ่านเขียนและวาดรปู ได้ดีขึ้น
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 55
5. เด็กวัยน้ีบางทีจะปฏิบัติกิจกรรมอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยและมักจะ
ประกอบกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งอยู่เสมอเด็กวัยน้ีมักจะใช้เวลาส่วนมากอยู่กับเพื่อนทั้งในโรงเรียนและ
นอกโรงเรียน
ซึ่ง นิคม ภู่สะอาด (2546) ได้แสดงข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาการทางด้านร่างกาย
ของเด็กวัยประถมศึกษา ซึ่งเป็นวัยที่ต้องให้ความสาคัญเกี่ยวกับการพัฒนาการทางด้านร่างกายเป็น
อย่างมากและการสร้างความพร้อมทางด้านร่างกายให้กับเด็กในวัยเรียน ถือเป็นสิ่งที่จาเป็นอย่างยิ่ง
ดงั นั้นผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการทางด้านร่างกาย จะต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่อง
การพัฒนาการของเด็กในวัยเรียนน้ี ตลอดจนทราบความพร้อมและขีดความสามารถของการ
เคลื่อนไหวและประกอบกิจกรรมต่างๆของเด็กวัย
สาหรับเรื่องน้ี ถนอมวงศ์ กฤษณ์เพ็ชร์ (2547) ได้กล่าวถึงการเจริญเติบโตและ
พัฒนาการกับการออกกาลังกายและเล่นกีฬาของเด็กวัยเรียนช่วงอายุ 6 - 12 ปีไว้ดังรายละเอียด
ต่อไปนี้
1. เด็กหญิงโตเรว็ กว่าเด็กชายในวัยเดียวกนั
2. เดก็ หญิงจะมีสะโพกกว้างขึ้น
3. กล้ามเนื้อมดั ใหญ่จะทางานได้ดีกว่ามัดเล็ก
4. การพัฒนาการประสานงานร่วมกันของระบบประสาทและกล้ามเน้ือจะมี
มากขึ้น
5. เป็นวัยที่มีการคล่องแคล่วว่างไวและความอ่อนตัวดีมาก
6. ควรเพิ่มกิจกรรมที่ต้องใช้ความเร็วให้มากขึ้นแต่ต้องใช้ระยะทางสั้นๆ
7. เดก็ หญิงจะอ้วนกว่าเด็กชายจึงสามารถฝึกหดั ว่ายน้าได้ดีกว่า
8. เด็กชายและเด็กหญิงสามารถเรียนกิจกรรมพลศึกษาและกีฬาด้วยกนั ได้
9. ควรจดั กิจกรรมออกกาลงั กายและกีฬา เช่น เดิน วิ่ง กระโดด ขว้าง ปา กาย
บริหาร การเคลื่อนไหวร่างกาย เกมเบ็ดเตล็ด ยืดหยุ่นข้ันพื้นฐาน กิจกรรมเข้าจังหวะ กายบริหาร
ประกอบดนตรี กรีฑาเบ้ืองต้น เทเบิลเทนนิส กิจกรรมสร้างเสริมและทดสอบสมรรถภาพทางกายแบบ
ง่าย เกมนาไปสู่กีฬาใหญ่
10. เดก็ วัยน้ีจะมีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อตา่ มาก
11. การฝึกความอดทนในเด็กวัยน้ียังฝึกไม่ได้และไม่ควรจัดกิจกรรมที่ต้องใช้
เวลานาน
12. ไม่ควรเน้นในการฝึกความแขง็ แรงและความอดทนกล้ามเนื้อ
13.ไม่แนะนาให้มีการฝึกเพื่อเพิ่มความแข็งแรงกล้ามเน้ือให้มีขนาดใหญ่
(Body-Building)
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 56
นอกจากน้ี ศรีเรือน แก้วกังวาล (2549) ยังได้กล่าวถึงพัฒนาการทางกายของเด็กใน
ระยะวัย 6 ถึง 12 ขวบว่า เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปช้าๆแต่สม่าเสมอ พัฒนาการทางกายไม่มีลักษณะ
เด่นพิเศษ ในระหว่างน้ีเป็นระยะที่เด็กหญิงโต“เร็วกว่า” เด็กชายวัยเดียวกันทั้งในด้านความสูงและ
น้าหนกั ลักษณะเช่นนี้ยงั คงดารงสืบไปจนกระทั่งย่างเข้าส่วู ัยรุ่นตอนปลาย เด็กชายจึงโตทันและล้าหน้า
เด็กหญิง การทางานประสานกันของกล้ามเน้ือใหญ่น้อยและประสาทสัมผัสละเอียดอ่อนดีขึ้นมากการ
พัฒนาทางสติปัญญาที่ต้องใช้อวัยวะประเภทน้ีเป็นสื่อ จึงทาได้แล้วเด็กสามารถเล่นเกมที่ซับซ้อนและ
ทากิจกรรมการเล่นชนิดสร้างสรรค์ได้ (Creative plays) เช่น การวาดภาพการปั้นรูป การทาการฝีมือ
การแกะสลกั ฯลฯ
1.2 ชว่ งวัยมัธยมศึกษาหรือช่วงวัยรุ่น
แบ่งเปน็ 3 ระยะคือช่วงอายปุ ระมาณ 12-15 ปีเปน็ วัยแรกรุ่นช่วงอายุ 16-17 ปี
เป็นระยะวัยรุ่นตอนกลาง และช่วงอายุ 18-25 ปีเป็นระยะวัยรุ่นตอนปลาย ซึ่งนิสิตนักศึกษาใน
ระดับอุดมศึกษานับเป็นวัยรุ่นตอนปลาย ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะในด้านต่างๆ ทุกด้าน เช่น
ทางกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา เพื่อจัดกิจกรรมต่างๆให้เหมาะสมกับช่วงวัยน้ี ศรีเรือน แก้วกังวาล
(2549) ได้กล่าวถึงพัฒนาการทางกาย พัฒนาการทางอารมณ์ พัฒนาการทางสังคม และพัฒนาการ
ทางความคิดในช่วงวัยน้ี พอสรุปได้ดงั นี้
1. พัฒนาการทางกาย พัฒนาการทางกายเป็นไปในแง่ของความงอก
งามเจริญเติบโตถึงขีดสมบูรณ์ เพื่อทาหน้าที่อย่างเต็มที่ความเจริญเติบโต มีท้ังส่วนภายนอกที่มองเห็น
ได้ง่าย เช่น ส่วนสูง น้าหนัก รูปหน้า ส่วนสัดของร่างกาย ฯลฯ และความเจริญภายใน เช่น การทางาน
ของต่อมบางชนิด โครงกระดูกแข็งแรงขึ้น การผลิตเซลล์สืบพันธ์ุในเด็กชาย การมีประจาเดือนใน
เด็กหญิง ฯลฯ ความเจริญเติบโตทางกายมีช่วงหนึ่งซึ่งเป็นระยะพัก เมื่อผ่านพ้นช่วงน้ีไปแล้วมีการ
เปลีย่ นแปลงทางร่างกายรวดเรว็ การสะสมไขมนั ในร่างกายมีมากกว่าวยั เด็ก ระบบการย่อยอาหารและ
การใช้ประโยชน์จากอาหารทางานเรว็ และมากกว่าเดิม กล้ามเน้ือของเดก็ ชายเจริญมากขึ้น อวัยวะเพศ
เริม่ ทางาน การทางานของกล้ามเนื้อกบั ประสาทสัมผัสต่างๆของเดก็ ยงั ไม่เข้ารูปเข้ารอย เดก็ จึงเล่นกีฬา
หรือทางานที่ต้องใช้ความสามารถทางกล้ามเน้ือประสาทสัมผัสและการประสานงานของกล้ามเน้ือ กับ
ประสาทสมั ผัสได้ไม่ส้ดู ี สขุ ภาพโดยทว่ั ไปของเดก็ วัยน้ีดีกว่าวยั ที่ผ่านมา
2. พัฒนาการทางอารมณ์ ความเปลี่ยนแปลงและความเจริญเติบโต
ทางร่างกายท้ังภายในและภายนอก ส่งผลต่อแบบแผนอารมณ์ของเด็กวัยแรกรุ่นและวัยรุ่นมีอารมณ์
เปลี่ยนแปลงง่าย สับสน อ่อนไหว มีความเข้มของอารมณ์สูง ไม่มั่นคง ระดับความเข้มของอารมณ์แต่
ละอย่างน้ัน ขึ้นอยู่กับบุคลิกภาพด้ังเดิมของเด็ก ขึ้นอยู่กับตัวเร้าที่ทาให้เด็กเกิดอารมณ์ เด็กแต่ละคน
เริ่มแสดงบุคลิกอารมณ์ประจาตัวออกมาให้ผู้อื่นทราบได้อย่างเด่นชัด เช่น อารมณ์ร้อน อารมณ์ขี้วิตก
กังวล อารมณ์อ่อนไหวง่าย เจ้าอารมณ์ ขี้อิจฉา ฯลฯ จึงมักเรียกลักษณะอารมณ์ของเด็กวัยรุ่นวัยน้ีว่า
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 57
เป็นแบบพายุบุแคม (Storm and Stress) อารมณ์ที่เกิดกับเด็กวัยรุ่นนั้นมีทุกประเภท เช่น รัก ชอบโกรธ
เกลียด อิจฉาริษยา โอ้อวด แข่งดี ถือดี เจ้าทิฐิ อ่อนไหว หลงใหล วุ่นวายใจ เห็นอกเห็นใจ สับสน
หงุดหงิด ฯลฯ อย่างไรก็ดีเด็กวัยรุ่นที่มีพัฒนาการในวัยที่ผ่านมาด้วยดีและสามารถปรับตัวได้ดีก็ไม่
จาเป็นว่าต้องมีสภาพของอารมณ์ที่สับสนหรือมีลักษณะเป็นพายุบุแคม หรือถ้ามีก็เป็นช่วงส้ันๆไม่
รุนแรง
3. พฒั นาการทางสังคม พัฒนาการในวัยรุ่นเป็นสังคมกลุ่มเพื่อนร่วมวัย การ
เปลี่ยนแปลงทางร่างกายอย่างรวดเร็วและมากมายเป็นแรงกระตุ้นให้เด็กรวมกลุ่ม เพราะสามารถร่วม
ทุกข์ร่วมสุข แก้ไขและเข้าใจปัญหาของกันและกันดีกว่าคนต่างวัย กลุ่มยังสนองความต้องการทาง
สังคมด้านต่างๆ เช่น การเป็นบุคคลสาคัญ การต่อต้านผู้มีอานาจ การหนีสภาพน่าเบื่อหน่ายของบ้าน
ฯลฯ เมื่อเด็กรวมกลุ่มจะสร้างกฎระเบียบ ภาษา ประเพณีประจากลุ่ม เพื่อใช้กับสมาชิกในกลุ่มเท่าน้ัน
และสมาชิกคนใดไม่ปฏิบัติตามก็ต้องหากลุ่มใหม่ต่อไป การรวมกลุ่มของเด็กเป็นไปตามธรรมชาติไม่มี
ใครตั้งกฎเกณฑ์ไว้ให้ทา เช่น เป็นกลุ่มที่เข้าได้กับแนวนิยมแบบบุคลิกภาพ ฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม
ของครอบครัวตนเอง ค่านิยม ฯลฯ และเด็กในวยั น้จี ะสนใจเพศตรงข้ามเปน็ พิเศษ
4. พฒั นาการทางความคิด ในวัยน้ีจะมีการเจริญเติบโตทางสมองถึงขีดเต็มที่
จึงสามารถคิดได้ในทุกๆแบบและทุกๆแบบของวิธีคิด หากเด็กได้รับการศึกษาอบรมมาตามข้ันตอน
ด้วยดี ระยะน้ีเปน็ ระยะที่เด็กจะแสดงความปราดเปรื่องอย่างชัดเจน และเห็นความแตกต่างของเด็กวัยน้ี
กับวัยอื่นๆได้ชดั การเรียนรู้เรื่องยากๆเรื่องที่เป็นนามธรรมซับซ้อน เด็กก็สามารถเข้าใจได้อย่างไรก็ตาม
พึงระลึกไว้เสมอว่า คุณภาพของความคิดของเดก็ ขึ้นอยู่กับคุณภาพของสมอง พันธกุ รรม การเรียนรู้ใน
วัยที่ผ่านมาและบทเรียนทางวิชาการต่างๆที่เด็กได้มีโอกาสเรียนรู้ตลอดจนสิ่งแวดล้อมที่เอื้อ ต่อ
พัฒนาการทางความคิดของเด็ก
2. ความตอ้ งการทางดา้ นการออกกาลังกายของผเู้ รียนวัยต่างๆ
ความต้องการด้านการออกกาลังกายของผู้เรียนวัยต่างๆ นั้น สารอง คุณวุฒิ (2545)
ได้ให้ข้อเสนอแนะว่า การออกกาลังกายต้องเลือกวิธีออกกาลงั กายให้เหมาะกับอายุ ร่างกายของคนเรา
จะมีการเจริญเติบโตตามอายุและจะหยุดการเจริญเติบโตเมือ่ อายุ 20 ปีโดยประมาณ และเมื่ออายุ 30
ปีขึ้นไปความสามารถของร่างกายจะลดลง ท้ังด้านความทนทาน ความว่องไว กาลังของกล้ามเน้ือ
ดังนั้นการเล่นกีฬาประเภทใช้กาลังมากๆหรือทักษะมากๆ ต้องคานึงถึงอายุ ไม่เช่นน้นั การเล่นกีฬาหรือ
การออกกาลงั กายอาจเป็นสาเหตุทีท่ าให้เกิดการบาดเจ็บได้ หรือคนที่มีโรคประจาตัวก็เช่นเดียวกัน ถ้า
ออกกาลังกายโดยไม่คานึงถึงความสามารถของร่างกายแล้วอาจจะเกิดอันตรายได้เช่นกัน กล่าวโดย
สรุป การเล่นกีฬาหรือการออกกาลังกายจึงควรปฏิบัติให้เหมาะสมกับเพศและอายุ ซึ่งรายละเอียดมี
ดังน้ี
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 58
- อายุ 1-3 ปี เน้นการออกกาลังกายเป็นคร้ังคราวเพื่อให้เด็กเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมรอบตัว
และเกิดการพัฒนาการของร่างกายโดยใช้กิจกรรมทกั ษะการเคลื่อนไหวพื้นฐาน เช่น เดินวิง่ กระโดด
- อายุ 3-6 ปี ควรได้ใช้ทุกส่วนของร่างกายในการออกกาลังกายเพื่อพัฒนากล้ามเน้ือและ
ระบบหายใจ เช่น การวิ่ง การว่ายน้า การถีบจักรยาน การเล่นกายบริหาร กิจกรรมเลียนแบบ และเกม
เบ็ดเตล็ด
- อายุ 7-11 ปี เน้นการออกกาลังกายทุกส่วนของร่างกายเพื่อให้เกิดความคล่องแคล่วและเกิด
การประสานงาน เช่น การเล่นกีฬา การถีบจักรยาน การว่ายน้า และเล่นเกมที่ยากขึ้น รวมถึงกิจกรรม
ทีน่ าไปส่กู ารเล่นกีฬา-
- อายุ 12-17 ปี เน้นการออกกาลังกายให้ครบทุกส่วนของร่างกายโดยเน้นสมรรถภาพของ
ร่างกายและพัฒนาทางกลไกให้มีการทางานที่สัมพันธ์กัน เช่น การวิ่ง การถีบจักรยาน การเล่น
บาสเกตบอลวอลเลย์บอล ว่ายน้า เต้นแอโรบิค เต้นรา แบดมินตนั
- อายุ 18-35 ปี การออกกาลงั กายควรเน้นเพื่อฝึกให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดของร่างกายและ
เน้นการฝึกทักษะที่ยากและซับซ้อนเพื่อเป็นพื้นฐานความสามารถของร่างกายส่งเสริมให้มีการออก
กาลังกายทุกรูปแบบหรือการออกกาลังกายเพื่อเข้าสังคมกิจกรรมการออกกาลังกายควรเน้นความ
หลากหลายเพื่อพัฒนากล้ามเน้ือให้ครบทุกส่วนของร่างกายและเน้นการออกกาลังกายให้เป็นกิจวัตร
ประจาวันหรืออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วนั ๆละ 20-30 นาที
- อายุ 36-59 ปี การออกกาลังกายต้องมีหลายรูปแบบและสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการ
ออกกาลงั กายให้เหมาะสมกับร่างกาย เวลา สถานที่ เนือ่ งจากเป็นวัยที่มีภาระหน้าที่ในการทางานและ
ครอบครัวส่วนใหญ่มักจะมีข้ออ้างว่าไม่มีเวลา แต่ร่างกายมีความต้องการที่จะให้ดูแลรักษาและฟื้นฟู
สภาพร่างกายที่เสื่อมถอยและถ้าไม่ได้ออกกาลงั กายมานานควรปรึกษาแพทย์หากอายุ 40 ปีขึ้นไปควร
ตรวจร่างกายและการทางานของหัวใจด้ว ควรเล่นกีฬาหรือออกกาลงั กายที่เคยทาแต่ลดความเร็วและ
ความหนักลง เช่น ว่ายน้า ถีบจักรยาน กายบริหาร วิ่งเหยาะ แต่ถ้าวันที่ไม่ได้ออกกาลังกายควรมี
กิจกรรมที่ออกแรงเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเน้ือโดยทางานบ้าน การยกแขนขึ้น-ลง การ
บิดลาตัว การก้มเงย
- อายุ 60 ปีขึ้นไป การออกกาลังกายในวัยน้ีมีข้อจากัดต้องยึดแนวปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
มิฉะนั้นอาจจะเกิดโทษต่อสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มออกกาลงั กาย โดยเฉพาะการทางานของ
หัวใจกิจกรรมการออกกาลังกายควรเบาๆ เช่น การเดิน การวิ่ง รามวยจีน กายบริหารประกอบดนตรี
ไม่ควรออกกาลงั กายทีใ่ ช้แรงมากในระยะส้นั ๆ
------------------------------------------------------
ที่มา:http://mitchell.d11.org/Pages/Physical-Education.aspx
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 59
บทที่ 3
หลกั สูตรพลศึกษา
พระราชบญั ญัติการศึกษาแห่งชาติ
ความหมายความสาคัญและองค์ประกอบของหลักสูตร
หลักสตู รพลศึกษา
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐานพุทธศกั ราช 2551
สาระหลกั สตู รกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา
ที่มา : http://netnz.org/course/l2-physical-education/
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 60
พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติที่ถูกร่างขึ้น จนประกาศออกใช้น้ันให้อะไรกับประชาชนชาว
ไทยบ้างเป็นคาถามที่ต้องการคาตอบ และแม้ว่านักการศึกษาและผู้ที่เกี่ยวข้องจะให้คาตอบอย่าง
มากมาย อย่างไรก็ตามคงไม่สามารถตอบได้คลอบคลุมทกุ ประเด็นข้อสงสัย แต่สิ่งหนึง่ ทีท่ ุกคนสามารถ
รบั รู้และเข้าใจได้ก็คือ สิทธิและโอกาสของคนไทย ต่อการมีส่วนร่วมในการได้รับการศึกษาพื้นฐานที่เปิด
โอกาสให้ประชาชนท่ัวไปมีโอกาสได้รับการศึกษาได้อย่างเท่าเทียมกัน ดงั น้ันพระราชบัญญตั ิการศึกษา
แห่งชาติ จึงนับเป็นโอกาสคร้ังสาคัญที่การศึกษาของไทยมีการเปลี่ยนแปลงซึ่งก็จะส่งผลต่อคุณภาพ
ของพลเมืองไทยในอนาคตของศตวรรษที่21
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาตินั้นถือได้ว่าเป็นกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ เริ่ม
ประกาศใช้ต้ังแต่พ.ศ. 2542 จวบจนถึงปจั จุบนั โดยมีท้งั ส้นิ 3 ฉบบั ดงั น้ี
1. พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ใหไ้ ว้ ณ วนั ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2542
2. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเตมิ (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2545 ให้ไว้
ณ วนั ที่ 19 ธนั วาคม พ.ศ. 2545
3. พระราชบญั ญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2553 (ฉบับท3ี่ ) พ.ศ. 2553 ให้ไว้ ณ วนั ที่ 12
กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ปัจจุบันได้มีการปรับเปลี่ยนและแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ซึ่งก็เพื่อให้
ระบบการบริหารและการจัดการศึกษามีประสิทธิภาพและเกิดความคล่องตัวในการบริหารงานมาก
ยิ่งขึ้น ซึ่งผู้ที่ประกอบวิชาชีพครูหรือผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียต่อการจัดการศึกษาต้องศึกษาและควรทา
ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในหลากหลายประเด็นที่ปรากฏอยู่ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ เช่น
ในพระราชบญั ญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิม่ เติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ได้กาหนด
ความมุ่งหมายของการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ท้ังทางร่างกาย จิตใจ
สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรมและคุณธรรมในการดารงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้
อย่างมีความสุข สาหรบั แนวทางในการจัดการศึกษา ต้องยึดหลกั ว่าผ้เู รียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้
และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้
ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ โดยสถานศึกษาจัดเน้ือหาสาระและ
กิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน จัดการประเมินผู้เรียนโดยพิจารณาจาก
พัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติ การสังเกตพฤติกรรม การเรียน การเข้าร่วมกิจกรรม และการ
ทดสอบควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการสอนตามความเหมาะสมของแต่ละระดบั และรูปแบบ ท้ังน้ีเพื่อ
พัฒนาคุณภาพการศึกษาให้สามารถตอบสนองความต้องการของบุคคลในสังคมไทยได้ (สานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติสานกั นายกรัฐมนตรี, ม.ป.ป.)
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 61
ในพระราชบัญญตั ิการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และทีแ่ ก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545
(สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ,ม.ป.ป.) มีหลายมาตราที่สาคัญและเกี่ยวข้องการจัดการ
เรียนการสอน รวมท้ังเป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ในรายวิชาพลศึกษา ซึ่งพอสรุปสาระและ
ประเดน็ สาคัญๆ ได้พอสังเขป ดังน้ี
...มาตรา 6 การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งทาง
ร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรมและคุณธรรมในการดารงชีวิต
สามารถอย่รู ่วมกบั ผ้อู ืน่ ได้อย่างมีความสขุ …
ซึ่งจากมาตรา 6 จะเห็นได้มีความสอดคล้องกับความหมายของคาว่า พลศึกษาที่ว่าพลศึกษา
นั้น เป็นกระบวนการศึกษาที่ใช้กิจกรรมทางกายเปน็ สือ่ ในการพัฒนาผู้เรียนท้ัง 5 ด้าน อันได้แก่ พัฒนา
ทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สงั คม และสติปัญญา เพือ่ ความเป็นมนษุ ย์ทีส่ มบูรณ์
...มาตรา 7 ในกระบวนการเรียนรู้ต้องมุ่งปลูกฝังจิตสานึกที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเมืองการ
ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รู้จักรักษาและส่งเสริม
สิทธิหน้าที่เสรีภาพ ความเคารพกฎหมาย ความเสมอภาคและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มี
ความภาคภูมิใจในความเป็นไทย รู้จักรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมและของประเทศชาติ การ
กีฬา ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย และความรู้อันเป็นสากล ตลอดจนอนุรักษ์
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีความสามารถในการประกอบอาชีพ รู้จักพึ่งตนเองมี
ความริเริ่มสร้างสรรค์ ใฝ่รู้ และเรียนร้ดู ้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง…
จากมาตรา 7 จะเห็นได้ว่าวิชาพลศึกษานั้นเกีย่ วข้องกับมาตราดังกล่าว โดยมีบทบาทสาคัญใน
การส่งเสริมการกีฬาทั้งกีฬาไทยและกีฬาสากล โดยเฉพาะการอนุรักษ์กีฬาไทยและการละเล่นไทยซึ่ง
ปรากฏในสาระการเรียนรู้ที่เป็นกรอบเน้ือหาหรือขอบข่ายองค์ความรู้ที่ 3 ที่ว่าด้วยเรือ่ งการเคลื่อนไหว
การออกกาลงั กาย การเล่นเกม กีฬาไทยและกีฬาสากล โดยมีมาตรฐานการเรียนรู้ทีผ่ ้เู รียนจะได้เรียนรู้
การเคลื่อนไหวในรูปแบบต่างๆ การเข้าร่วมกิจกรรมทางกายและกีฬาทั้งประเภทบุคคลและประเภททีม
อย่างหลากหลายทั้งไทยและสากล การปฏิบัติตามกฎ กติกา ระเบียบ ข้อตกลงในการเข้าร่วมกิจกรรม
ทางกายและกีฬา รวมท้ังความมีน้าใจนกั กีฬา
...มาตรา 10 การจัดการศึกษาต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษา
ข้ันพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
การจัดการศึกษาสาหรับบุคคลซึ่งมีความบกพร่องทางร่างกายจิตใจสติปัญญาอารมณ์
สั ง ค ม ก า ร สื่ อ ส า ร แ ล ะ ก า ร เ รี ย น รู้ ห รื อ มี ร่ า ง ก า ย พิ ก า ร ห รื อ ทุ พ พ ล ภ า พ ห รื อ บุ ค ค ล ซึ่ ง ไ ม่
สามารถพึ่งตนเองได้หรือไม่มีผ้ดู ูแลหรือด้อยโอกาส ต้องจัดให้บุคคลดงั กล่าวมีสิทธิและโอกาส
ได้รับการศึกษาข้ันพื้นฐานเป็นพิเศษ การศึกษาสาหรับคนพิการในวรรคสองให้จัดตั้งแต่แรก
เกิดหรือพบความพิการโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายและให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิได้รับสิ่งอานวยความ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 62
สะดวก สือ่ บริการและความช่วยเหลืออืน่ ใดทางการศึกษา ตามหลกั เกณฑ์และวิธีการทีก่ าหนด
ในกฎกระทรวง การจัดการศึกษาสาหรับบุคคลซึ่งมีความสามารถพิเศษต้องจัดด้วยรูปแบบที่
เหมาะสมโดยคานึงถึงความสามารถของบคุ คลน้นั …
จากมาตรา 10 ที่ให้ความสาคัญกับบุคคลซึ่งมีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา
อารมณ์ สังคม การสือ่ สารและการเรียนรู้หรือมีร่างกายพิการหรือทุพพลภาพหรือบุคคลซึ่งไม่สามารถ
พึ่งตนเองได้หรือไม่มีผู้ดูแลหรือด้อยโอกาส ให้มีสิทธิ์เท่าเทียมกับบุคคลปกติ ดังนั้นจึงมีความจาเป็น
อย่างยิ่งที่สถานศึกษาต้องจัดรายวิชาพลศึกษาให้บุคคลที่มีความความบกพร่องดังกล่าวให้ได้รับ
การศึกษาในรายวิชาน้ีด้วย ซึ่งอาจจัดทาในรูปแบบของโครงการพลศึกษาสาหรับเด็กพิเศษหรือจัดทา
เปน็ โปรแกรมพลศึกษาพิเศษ (Adapted Physical Education Programs)
...มาตรา 22 แนวการจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถทุกคนมี
ความสามารถในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญที่สุด
กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตาม
ศกั ยภาพ…
จากมาตรา 22 แนวคิดการจดั การเรียนรู้ ทีย่ อมรับว่าบุคคลหรือผ้เู รียนมีความแตกต่างกนั และ
ทกุ คนสามารถเรียนรู้ได้ เปน็ รูปแบบในการจัดการเรียนร้ทู ีเ่ น้นผ้เู รียนเป็นสาคัญ ในการจัดการเรียนการ
สอนพลศึกษา ครูพลศึกษาจึงควรต้องมีความเชื่อพื้นฐานคือ เชื่อว่าทุกคนมีความแตกต่างกันทุกคน
สามารถเรียนรู้ได้และเชื่อว่าการเรียนรู้เกิดได้ทุกที่ ทุกเวลาดังนั้นในการจัดการเรียนการสอน
ครูพลศึกษาต้องสามารถดาเนินการจัดกระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ โดยให้ผู้เรียนได้รับ
ประสบการณ์และมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนที่มากที่สุดเพื่อให้ผู้เรียนน้ันสามารถพัฒนาศักย ภาพ
ของตนเองได้อย่างเตม็ ทีน่ ้ันเอง
...มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดาเนินการ
ดังต่อไปนี้
(1) จัดเน้ือหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียนโดย
คานึงถึงความแตกต่างระหว่างบคุ คล
(2) ฝึกทักษะกระบวนการคิดการจัดการการเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ความรู้มาใช้
เพื่อป้องกันและแก้ปญั หา
(3) จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงฝึกการปฏิบัติให้ทาได้คิดเป็นทาเป็น
รกั การอ่านและเกิดการใฝ่ร้อู ย่างต่อเนือ่ ง
(4) จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่างๆอย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน
ปลูกฝังคุณธรรมค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา
(5) ส่งเสริมสนับสนุนให้ผ้สู อนสามารถจัดบรรยากาศสภาพแวดล้อมสือ่ การเรียนและอานวย
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 63
ความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วน
หนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ท้ังน้ีผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการ
สอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่างๆ
(6) จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานที่มีการประสานความร่วมมือกับบิดามารดา
ผ้ปู กครองและบุคคลในชมุ ชนทุกฝ่ายเพื่อร่วมกันพัฒนาผ้เู รียนตามศักยภาพ…
จากมาตรา 24 ในการจัดการเรียนการสอนวิชาพลศึกษา ครูผู้สอนจะต้องจัดเน้ือหาสาระให้
สอดคล้องกับความสนใจของผู้เรียน โดยผู้เรียนมีโอกาสที่จะเสนอเน้ือหาสาระที่ผู้เรียนต้องการและ
สนใจเรียน ครูพลศึกษาต้องจัดกิจกรรมที่ทาให้ผู้เรียนได้มีโอกาสใช้ความคิดในการแก้ไขปัญหาต่างๆ
จากประสบการณ์ที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมที่จดั ให้
...มาตรา 26 ให้สถานศึกษาจัดการประเมินผู้เรียนโดยพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน
ความประพฤติ การสังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรมและการทดสอบควบคู่ไปใน
กระบวนการเรียนการสอนตามความเหมาะสมของแต่ละระดับและรูปแบบการศึกษา ให้
สถานศึกษาใช้วิธีการที่หลากหลายในการจัดสรรโอกาสการเข้าศึกษาต่อและให้นาผลการ
ประเมินผ้เู รียนตามวรรคหนึ่งมาใช้ประกอบการพิจารณา…
จากมาตรา 26 ว่าด้วยเรื่องของการประเมินผู้เรียน ซึ่งในการจัดการเรียนการสอนวิชา
พลศึกษาน้ัน จาเป็นต้องคานึงถึงวิธีการวัดและการประเมินผลการเรียนที่หลากหลายที่สามารถวัดการ
เรียนร้ไู ด้ครอบคลมุ ทุกองค์ประกอบไม่ว่าจะเปน็ ทางด้านพุทธิพิสยั จิตพิสัย ทักษะพิสยั รวมท้งั ทางด้าน
สมรรถภาพทางกาย เพื่อมาใช้ในการพิจารณาผลการเรียนรู้ของผู้เรียนโดยคานึงถึงการพัฒนาการใน
ด้านต่างๆ ของผ้เู รียนรวมท้งั ในเรือ่ งความประพฤติ พฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรมทางกาย
...มาตรา 30 ให้สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนทีม่ ีประสิทธิภาพ รวมท้งั ส่งเสริม
ให้ผ้สู อนสามารถวิจยั เพือ่ พฒั นาการเรียนร้ทู ี่เหมาะสมกบั ผ้เู รียนในแต่ละระดบั การศึกษา…
จากมาตรา 30 เป็นความจาเป็นอย่างยิ่งของการพัฒนาการเรียนการสอนที่ควรต้องมีการ
ศึกษาวิจยั เพือ่ จกั ได้นาข้อมูลที่ได้จากการวิจัยมาใช้ในการพัฒนารปู แบบการเรียนการสอนให้ดีขึ้นและมี
ประสิทธิภาพ นอกจากน้ีในการแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในช้ันเรียนท้ังจากปัญหาที่เกิดกับผู้เรียนท้ัง
ช้ันเรียนหรือรายบุคคล กระบวนการวิจัยจะสามารถให้ข้อมูลที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือได้โดยนามาใช้
ประกอบการตดั สินใจในการแก้ไขปญั หานั้นๆ
กล่าวโดยสรุป จุดมุ่งหมายของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ เน้นย้าว่าการจัดการศึกษา
นั้นต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ท้ังร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และ
คุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดารงชีวิตสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ซึ่งถ้า
พิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่าสอดคล้องกับความมุ่งหมายของวิชาพลศึกษา ที่มุ่งเน้นในการพัฒนาคนให้
เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ โดยใช้กิจกรรมทางกายเป็นสื่อในการพัฒนาผู้เรียนทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 64
อารมณ์ สงั คมและสติปัญญา ดังนั้นพลศึกษาจึงมีบทบาทสาคญั ที่ช่วยส่งเสริมและพัฒนาผ้เู รียนให้เป็น
บุคคลที่มีประสิทธิภาพ รวมท้ังเป็นบุคคลที่สมบูรณ์ในทุกด้านสมดังเจตนารมณ์ของการจัดการศึกษา
ของชาติ
ความหมายความสาคญั และองค์ประกอบของหลักสตู ร
1. ความหมายของหลักสตู ร
ในการจัดการเรียนการสอนน้ัน หลักสูตรและกระบวนการพัฒนาหลักสูตรถือได้ว่ามี
ความสาคัญอย่างมาก ด้วยหลักสูตรเปรียบเสมือนผู้นาทางไปสู่จุดมุ่งหมายของการศึกษาในแต่ละ
ระดับดังน้ันผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาจึงต้องให้ความสาคัญต่อการจัดทาและพัฒนา
หลักสตู รเป็นอย่างยิ่ง
ความหมายของคาว่า “หลกั สูตร” น้ัน จากการรวบรวมข้อมลู มีผ้ใู ห้ความหมายไว้ดังนี้
Taba (1962) กล่าวว่า หลกั สตู ร คือ แผนการเรียนทีป่ ระกอบด้วยจดุ ประสงค์ท่ัวไปและ
จดุ มุ่งหมายเฉพาะการเลือกสรรและการจดั เน้ือหาวิธีการเรียนการสอนและการประเมินผล
ส่วน Good (1973) ได้ให้ความหมายของหลักสูตรไว้ 3 ประการ ดงั นี้ คือ
1. หลักสูตร หมายถึง เน้ือหาวิชาที่จัดไว้เป็นระบบให้ผู้เรียนได้ศึกษา เพือ่ สาเร็จ
หรือรบั ประกาศนียบัตรในสาขาวิชาหนึ่ง
2. หลักสูตร หมายถึง เค้าโครงสร้างทั่วไปของเน้ือหาหรือสิ่งเฉพาะที่จะต้อง
สอน ซึง่ โรงเรียนจดั ให้แก่เดก็ เพื่อให้สาเร็จการศึกษาและสามารถเข้าศึกษาต่อในทางอาชีพต่อไป
3. หลักสูตร หมายถึง กลุ่มวิชาและการจัดประสบการณ์ที่กาหนดไว้ให้ผู้เรียน
ได้เรียนภายใต้การแนะนาของโรงเรียนและสถานศึกษา
Hass (1993) กล่าวว่าหลักสูตรคือการจัดวางแผนการศึกษาและการจัดมวล
ประสบการณ์ทั้งหมดให้แก่ผ้เู รียนภายใต้การดาเนินงานของโรงเรียนที่ดี
นอกจากน้ี สุจริต เพียรชอบ (2521) ยังกล่าวว่าหลักสูตรคือมวลประสบการณ์หรือ
กิจกรรมต่างๆ ที่ทางโรงเรียนจดั ขึ้นท้ังในและนอกช้ันเรียนเพือ่ ให้ผ้เู รียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
และช่วยให้เกิดการพฒั นาทุกด้าน
ส่วน วาสนา คุณาอภิสิทธิ์ (2539) กล่าวว่าหลักสูตรหมายถึงโครงร่างที่กาหนดให้
ผู้เรียนได้เรียนรู้และพัฒนาตนเองตามแผนการศึกษา กิจกรรมที่บรรจุไว้ในโครงร่าง เป็นกิจกรรมที่มี
คุณค่าและให้ประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้เรียน ซึ่งเป็นทั้งกิจกรรมวิชาการและกิจกรรมเสริมหลักสูตร
นอกจากน้ัน หลักสูตรยังครอบคลุมถึงการกาหนดจุดมุ่งหมายกิจกรรมการเรียนการสอน วิธีการสอน
การใช้สื่อการเรียนการสอนและการประเมินผลด้วย การพัฒนาหรือการสร้างหลักสูตรจึงต้องทาใน 4
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 65
เรื่องคือ เอกสารหลักสูตร กระบวนวิธีสอนของครู กระบวนการเรียนของผู้เรียน และการจัดกิจกรรม
ต่างๆ ของโรงเรียนไปพร้อมๆกนั
ใจทิพย์ เช้อื รัตนพงษ์ (2539) ให้ความหมายหลักสตู รว่า คือ SOPEA ประกอบด้วย
S คือ Subject Matter ได้แก่ เน้อื หาทีใ่ ช้ในการเรียนการสอน
O คือ Object ได้แก่ วัตถปุ ระสงค์
P คือ Plans ได้แก่ แผนสาหรับจัดโอกาสการเรียนรู้หรือประสอบการณ์แก่
นกั เรียนทีค่ าดหวงั
E คือ Learner’s Experience ได้แก่ ประสบการณ์ทั้งปวงของผู้เรียนมาจัดโดย
โรงเรียน
A คือ Education Activities ได้แก่ กิจกรรมทางการศึกษาที่จัดให้กับผ้เู รียน
ชมพันธ์ุ กุญชร ณ อยุธยา (2540) ได้อธิบายความหมายของหลักสูตรว่ามีความ
แตกต่างกันไปต้งั แต่ความหมายทีแ่ คบสดุ จนจนถึงกว้างสดุ ซึง่ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ความหมาย ดงั น้ี
1. หลกั สตู ร หมายถึง แผนประสบการณ์การเรียน คือ มองหลักสตู รในลกั ษณะ
ที่เป็นเอกสาร หรือโครงการการศึกษาที่สถาบันการศึกษาได้วางแผนไว้ เพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษาตามแผน
หรือโครงการที่กาหนดไว้ หลักสูตรตามความหมายน้ีรวมถึง แผนการเรียนหรือรายวิชาต่าง ๆ ที่
กาหนดให้เรียนรวมท้ังเน้ือหาวิชาของรายวิชาต่าง ๆ กิจกรรมการเรียนการสอนและการประเมินผล ซึ่ง
ได้กาหนดไว้ในแผน รวมถึงการนาหลักสูตรไปใช้หรือการเรียนการสอนที่ปฏิบัติจริง แต่ท้ังแผน
ประสบการณ์การเรียนกบั การสอนที่ปฏิบัติจริงมีความสมั พันธ์กนั อย่างใกล้ชิด
2. หลักสตู ร หมายถึง ประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียนที่สถาบันการศึกษา
จัดให้ ซึ่งหมายรวมถึงประสบการณ์การเรียนและการนาหลักสูตรไปใช้ด้วย แนวคิดน้ีสอดคล้องกับ
แนวคิดของท้ัง Taba (1962) ที่เห็นว่า หลักสูตรประกอบด้วยจุดมุ่งหมายประสบการณ์ทางการศึกษา
หรือเน้ือหาการจัดประสบการณ์ทางการศึกษาหรือจัดการเน้ือหาและกิจกรรมการเรียนการสอนและ
การประเมินผล
ธารง บัวศรี (2542) กล่าวว่า หลักสูตร คือ แผนซึ่งได้ออกแบบจัดทาขึ้นเพื่อแสดง
จุดมุ่งหมายการจัดเน้ือหาสาระกิจกรรมและมวลประสบการณ์ในแต่ละโปรแกรมการศึกษา เพื่อให้
ผ้เู รียนมีพัฒนาการในด้านต่าง ๆ ตามจดุ หมายทีไ่ ด้กาหนดไว้
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าหลักสูตรหมายถึงการจัดมวลประสบการณ์ต่างๆ ซึ่งครอบคลุมถึงการ
กาหนดจุดมุ่งหมายเน้ือหาสาระกิจกรรมการเรียนการสอน วิธีการวัดและประเมินผลการเรียน รวมทั้ง
ประสบการณ์ต่างๆ ภายใต้การดาเนินงานที่มีประสิทธิภาพของทางโรงเรียนที่จัดให้กับผู้เรียนท้ังในและ
นอกห้องเรียน ท้ังน้ีกเ็ พื่อม่งุ พฒั นาผ้เู รียนให้มีความสามารถและเกิดการพฒั นาในทุกๆด้าน
2. ความสาคญั ของหลักสตู ร
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 66
ด้วยหลักสูตรเปรียบเสมือนเสาหลักของการจัดการเรียนการสอนในระบบศึกษา ที่จะ
เป็นตัวกาหนดกรอบและแนวทางในการดาเนินงานเกี่ยวกับการจัดการศึกษา ดังน้ัน หลักสูตรจึงมี
ความสาคัญยิ่งในการจัดการศึกษาทุกระดับ เพราะเป็นโครงร่าง กาหนดกรอบแนวทางการปฏิบัติที่จะ
นาไปสู่การจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อการดาเนินชีวิต รวมท้ังเป็น
แนวทางในการให้การศึกษา ให้วิชาความรู้ การถ่ายทอดวฒั นธรรม การปลูกฝังเจตคติและค่านิยม การ
สร้างความเจริญเติบโต ความสมบูรณ์ทางร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ
การพัฒนาผู้เรียนในทุกๆด้าน เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาไปในทิศทางที่สอดคล้องกับความมุ่งหมายทาง
การศึกษาที่กาหนด ซึ่งในเรื่องความสาคัญของหลักสูตรพงษ์ศักดิ์ ภูกาบขาว (2540) กล่าวถึง
ความสาคญั ของหลกั สูตรไว้ดังน้ี
1. หลกั สตู รย่อมเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานของครู
2. หลักสูตรย่อมเป็นแนวทางในการส่งเสริมความเจริญงอกงามพัฒนาการ
ของเด็กตามจุดมุ่งหมายของการศึกษา
3. หลักสูตรย่อมกาหนดแนวทางในการจัดประสบการณ์ว่าเด็กควรได้รับสิ่ง
ใดบ้างที่เป็นประโยชน์แก่เด็กโดยตรงและแก่สังคม
4. หลักสูตรย่อมกาหนดว่าเน้ือหาวิชาอะไรบ้างที่จะช่วยให้เด็กมีชีวิตอยู่ใน
สังคมอย่างราบรืน่ เปน็ พลเมืองดีของประเทศชาติและบาเพญ็ ประโยชน์แก่สงั คม
5. หลักสูตรย่อมกาหนดวิธีการดาเนินชีวิตของเด็กให้เป็นไปด้วยความราบรื่น
และผาสุก
6. หลักสูตรย่อมกาหนดแนวทางความรู้ ความสามรถ ความประพฤติ ทักษะ
และเจตคติในอันที่จะอย่รู ่วมกนั ในสังคม และบาเพ็ญประโยชน์ต่อชุมชนและประเทศ
สุนีย์ ภู่พันธ์ (2546) กล่าวถึงความสาคญั ของหลักสูตรพอสรุปได้ดังน้ี
1. หลกั สตู รเปรียบเสมือนเบ้าหลอมพลเมืองให้มีคณุ ภาพ
2. หลักสตู รเปน็ โครงการและแนวทางในการให้การศึกษา
3. หลักสูตรเป็นแนวทางในการส่งเสริมความงอกงามและพัฒนาการของเด็ก
ตามจุดม่งุ หมายการศึกษา
4. หลักสูตรเป็นเครื่องกาหนดแนวทางในการจัดประสบการณ์ว่าผู้เรียนและ
สงั คมควรจะได้รบั สิง่ ใดบ้างที่เป็นประโยชน์แก่เด็กโดยตรง
5. หลักสูตรเป็นเครื่องมือกาหนดว่าเน้ือหาวิชาอะไรบ้างที่จะช่วยให้เด็กมีชีวิต
อย่ใู นสังคมอย่างราบรืน่ เปน็ พลเมืองทีด่ ีของประเทศและบาเพญ็ ตนให้เปน็ ประโยชน์แก่สงั คม
6. หลักสูตรเป็นเครื่องกาหนดว่าวิธีการการดาเนินชีวิตของเด็กเป็นไปด้วย
ความราบรืน่ ผาสกุ เปน็ อย่างไร
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 67
7. หลักสูตรย่อมกาหนดแนวทางความรู้ ความสามารถ ความประพฤติ ทักษะ
และเจตคติของผู้เรียนในอันที่อยู่ร่วมกันในสังคมและบาเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อชุมชนและชาติ
บ้านเมือง
3. องค์ประกอบของหลกั สตู ร
องค์ประกอบของหลักสูตรนับว่าเป็นส่วนสาคัญที่จะทาให้ความหมายของหลักสูตร
สมบูรณ์และสามารถใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอน การประเมินผล และการปรับปรุงการ
เรียนการสอนหรือการพัฒนาหลักสูตรได้ ซึ่งในเรื่องน้ี Taba (1962) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของ
หลักสตู รใดๆ นั้น ควรประกอบด้วย
1. วตั ถปุ ระสงค์ทวั่ ไปและวตั ถุประสงค์เฉพาะ
2. เน้ือหาและจานวนช่วั โมงสอนแต่ละวิชา
3. วิธีการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน
4. วิธีการประเมินผล
สาหรับธารง บัวศรี (2542) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบทีส่ าคัญของหลกั สูตรน้ันควรมี
1. เป้าประสงค์และนโยบายการศึกษา (Education Goals and Policies) ซึ่ง
หมายถึง สิ่งทีร่ ัฐต้องการตามแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติในเรื่องที่เกี่ยวกบั การศึกษา
2. จุดหมายของหลักสูตร (Curriculum Aims) หมายถึง ผลส่วนรวมที่ต้องการ
ให้เกิดแก่ผ้เู รียนหลงั จากเรียนจบหลักสตู รไปแล้ว
3. รูปแบบและโครงสร้างหลักสูตร (Types and Structures) หมายถึง ลักษณะ
และแผนผงั ที่แสดงการแจกแจงวิชาหรือกล่มุ วิชาหรือกล่มุ ประสบการณ์
4. จุดประสงค์ของวิชา (Subject Objectives) หมายถึง ผลที่ต้องการให้เกิดแก่
ผ้เู รียนหลงั จากที่ได้เรียนวิชาน้นั ไปแล้ว
5. เน้ือหา (Content) หมายถึง สิ่งที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ทักษะและ
ความสามารถที่ต้องการให้มีรวมท้ังประสบการณ์ที่ต้องการให้ได้รบั
6. จุดประสงค์ของการเรียนรู้ (Instructional Objectives) หมายถึง สิง่ ที่ต้องการ
ให้ผ้เู รียนได้เรียนรู้ได้มีทักษะและความสามารถหลงั จากที่ได้เรียนรู้เน้ือหากาหนดไว้
7. ยุทธศาสตร์การเรียนการสอน (Instructional Strategies) หมายถึงวิธีการ
จดั การเรียนการสอนทีเ่ หมาะสมและมีหลกั เกณฑ์เพือ่ ให้บรรลุผลตามจุดประสงค์ของการเรียนรู้
8. การประเมินผล (Evaluation) หมายถึง การประเมินผลการเรียนรู้เพื่อใช้ใน
การปรับปรงุ การเรียนการสอนและหลกั สูตร
9. วัสดุหลักสูตรและสื่อการเรียนการสอน (Curriculum Materials and
Instructional Media) หมายถึง เอกสารสิ่งพิมพ์ แผ่นฟิล์ม แถบวีดิทัศน์ และวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ รวมท้ัง
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 68
อุปกรณ์โสตทัศนศึกษา เทคโนโลยีการศึกษาและอื่นๆ ที่ช่วยส่งเสริมคุณภาพและประสิทธิภาพการ
เรียนการสอน
หลักสูตรพลศึกษา
1. หลกั สตู รการศึกษาของชาติ
พลศึกษาได้ถูกบรรจุไว้ในหลกั สตู รการศึกษาของไทยต้ังแต่ปีพุทธศักราช 2503 ในปีที่
ประเทศไทยได้เริ่มประกาศใช้หลักสูตร สาหรับการพัฒนาหลักสูตรของชาติได้มีพัฒนามาเป็นระยะๆ
ซึ่งการจัดทาหลักสูตรพลศึกษาก็ปรับเปลี่ยนและพัฒนาไปตามหลักสูตรของชาติ อาทิเช่น (จุฑามาศ
บตั รเจริญ, 2556)
1.1 หลักสูตรการศึกษาพุทธศักราช 2521 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2533) ซึ่งมีอยู่ 3
ฉบับ รายละเอียดดงั น้ีคือ
1.1.1 หลักสูตรประถมศึกษา 2521 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2533)เป็น
หลักสูตรแบบบูรณาการ โดยมีหลักการ เพื่อเป็นการจัดการศึกษาข้ันพื้นฐานแก่ปวงชน มุ่งให้นักเรียน
นาประสบการณ์ที่ได้จากการเรียนไปใช้ประโยชน์ในการดารงชีวิต และมุ่งสร้างเอกภาพของชาติ โดยมี
เป้าหมายหลักร่วมกันแต่ให้ท้องถิ่นมีโอกาสจัดหลักสูตรบางส่วนให้เหมาะสมกับสภาพและความ
ต้องการได้ จุดหมายของหลักสูตรก็เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้พร้อมที่จะทาประโยชน์ให้แก่สังคม
ตามบทบาทและหน้าที่ของตนในฐานะพลเมืองดี ตามระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มี
พระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยให้ผู้เรียนมีความรู้และทักษะพื้นฐานในการดารงชีวิต ทันต่อการ
เปลี่ยนแปลง มีสขุ ภาพสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ ทางานเป็น และครองชีวิตอย่างสงบสุข โครงสร้าง
มวลประสบการณ์ทีจ่ ดั ให้นกั เรียนเกิดการเรียนร้มู ี 5 กลุ่มดงั น้ี
กลุ่มที่ 1 กลุ่มทักษะที่เป็นเครื่องมือการเรียนรู้ ประกอบด้วย ภาษาไทยและ
คณิตศาสตร์
กลุ่มที่ 2 กลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต ว่าด้วยกระบวนการแก้ไขปัญหา
ของชีวิตและสงั คม โดยเน้นทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อการดารงอยู่และการดาเนินชีวิตทีด่ ี
กลุ่มที่ 3 กลุ่มสร้างเสริมลักษณะนิสัย ว่าด้วยกิจกรรมที่เกี่ยวกับการสร้าง
เสริมนิสัยค่านิยม เจตคติ และพฤติกรรม เพื่อนาไปสู่การมีบคุ ลิกภาพที่ดี
กลุ่มที่ 4 กลุ่มการงานและพื้นฐานอาชีพ ว่าด้วยประสบการณ์ทั่วไปในการ
ทางานและความร้พู ้นื ฐานในการประกอบอาชีพ
กลุ่มที่ 5 กลุ่มประสบการณ์พิเศษ ว่าด้วยกิจกรรมตามความสนใจของผู้เรียน
สาหรับระดบั ช้นั ป.5 – ป.6 เช่น ภาษาอังกฤษ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 69
ท้ังน้ี วิชาพลศึกษาจัดอยู่ในกลุ่มสร้างเสริมลักษณะนิสัย ซึ่งมีรายละเอียดของ
การจัดการศึกษาในกลุ่มสร้างเสริมลกั ษณะนิสยั ที่มีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนเกิดพัฒนาค่านิยม เจตคติ
พฤติกรรมและบุคลิกภาพ เน้นการเป็นคนช่างคิด ช่างทา และปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้ โดยใช้
กิจกรรมจริยศึกษา ศิลปศึกษา พลศึกษา ดนตรี และนาฏศิลป์ ลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด และ
ผ้บู าเพ็ญประโยชน์ท้ังน้เี พือ่ ให้บรรลุจุมุ่งหมาย การจัดการเรียนการสอนจึงต้องปลูกฝังให้มีคุณลกั ษณะ
ดงั น้ี
1. มีความรู้ความเข้าใจในหลักการเกี่ยวกับความดีความงาม การรักษาสุขภาพ
กายและจิต
2. มีความสามารถในการวิเคราะห์ วิจารณ์ แก้ปัญหา มีความสามารถในการ
แสดงออก และสามารถทางานร่วมกับผ้อู ื่นได้
3. มีความเสียสละ สามัคคี มีวินัย ประหยัด ซื่อสัตย์ กตัญญูกตเวที รักการ
ทางาน เห็นคณุ ค่าของการออกกาลังกาย
4. มีความสนใจแสวงหาความรู้และรูปแบบการทางานใหม่ๆ มีความคิดริเริ่ม
สร้างสรรค์ ใช้ความร้ใู นการตดั สินใจและแก้ปัญหาเพือ่ การทางานและการดารงชีวิต
5. ปรับปรุงตนเองให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ สามารถนาความรู้ไป
แก้ปญั หาและพัฒนาบุคลิกภาพของตนเองได้
1.1.2 หลักสูตรมัธยมศึกษาศึกษาตอนต้น 2521 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.
2533) เป็นหลักสูตรพื้นฐานเบ้ืองต้นให้แก่นักเรียนสาหรับการศึกษาในระดับต่อไป จึงเป็นหลักสูตรที่
ค่อนข้างจะมุ่งให้รู้ถึงสิ่งต่างๆ ค่อนข้างกว้าง ท้ังน้ี เพื่อให้นักเรียนได้สารวจและทาความเข้าใจในความ
สนใจและความต้องการของตนเองให้มากขึ้น แต่ถ้าไม่ศึกษาต่อก็สามารถออกไปประกอบอาชีพได้ตาม
ควรแก่อัตภาพ ลักษณะของหลักสูตรในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจึงเป็นไปได้ท้ังแบบเน้ือหาวิชา แบบ
หมวดวิชากว้าง แบบบูรณาการ แบบแกน และแบบอื่นๆ ลักษณะของหลักสูตรพลศึกษาก็จะจัดให้
คล้อยตามลกั ษณะของหลกั สูตรวิชาพลานามัย มีจุดประสงค์ ดังนี้
1. เพื่อให้มีทกั ษะการออกกาลงั กาย การเล่นกีฬา การดูแลสขุ ภาพ และสวัสดิ-
ภาพ
2. เพื่อให้มีความรู้ความสามารถเกีย่ วกับการพฒั นาและรักษาสมรรถภาพทาง
กายและจิตสขุ ภาพและสวสั ดิภาพ
3. เพื่อให้เหน็ คุณค่าของการออกกาลังกาย การเล่นกีฬา การดแู ลสุขภาพ และ
สวสั ดิภาพ
4. เพือ่ ให้มีระเบียบวินยั มีน้าใจนกั กีฬา และมีสขุ นิสยั ที่ดี
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 70
1.1.3 หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย 2521 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2533)
อย่างไรก็ตาม จากระยะเวลาที่ใช้หลักสูตรมาเป็นระยะประมาณ10 ปี คณะกรรมการจัดทาหลักสูตร
ของชาติได้พบข้อจากดั หลายประการ ดังรายละเอียดระบุไว้ดงั น้ี
1. การกาหนดหลักสูตรจากส่วนกลางไม่สามารถสะท้อนสภาพความต้องการ
ของท้องถิ่นและสถานศึกษา
2. การจัดหลักสูตรและการเรียนรู้คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยียังไม่สามารถผลักดันให้ประเทศไทยเป็นผู้นาด้านคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี
3. การนาหลกั สูตรไปใช้ยงั ไม่สามารถสร้างพ้นื ฐานทางการคิด
4. การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศยังไม่สามารถติดต่อสื่อสารและค้นคว้าหา
ความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1.2 หลักสูตรระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย พุทธศักราช 2524 (ฉบับปรับปรุง
พุทธศักราช 2533) หลักสูตรระดับมัธยมศึกษาตอนปลายมีความต่อเนื่องกับหลักสูตรระดับ
มัธยมศึกษาตอนต้น โดยเฉพาะจะเน้นเรื่องความถนัดและความพึงพอใจที่จะได้ประสบการณ์หรือการ
ยึดเป็นอาชีพต่อไป กิจกรรมพลศึกษาต่างๆ ที่จดั ให้นักเรียนระดบั น้จี ะคล้ายคลึงกบั นกั เรียนมัธยมศึกษา
ตอนต้น แต่ให้เลือกเรียนได้มากกว่า และเมื่อเลือกแล้วก็ต้องเรียนอย่างลึกซึ้งกว่ากันด้วย หลักสูตรจึง
เป็นแบบประสบการณ์หรือแบบแผน โดยการศึกษาวิชาพลานามัย มีจดุ ประสงค์ดงั ต่อน้ี
1. เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจหลักการปฏิบัติตนให้มีสุขภาพดีทั้งทางร่างกาย
จิตใจ อารมณ์ และสงั คม
2. เพื่อให้มีทักษะในการดูแลรักษาสุขภาพ สวัสดิภาพ การสร้างเสริม
สมรรถภาพทางกายและจิต และนาไปปฏิบัติจนเป็นสุขนิสัย
3. เพือ่ ให้มีคุณธรรม เห็นคณุ ค่าของกิจกรรมพลศึกษา กีฬา การรักษาสขุ ภาพ
และสวัสดิภาพ
4. เพื่อให้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือและส่งเสริมกิจกรรมพลศึกษา กีฬา และ
การสาธารณสุขของสงั คม
1.3 หลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐานพุทธศักราช 2542 นั้น สถานศึกษาหรือผู้สอน
เป็นผ้จู ัดทาขึ้นเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น สภาพแวดล้อมทางสงั คมของสถานศึกษา โดยยึดหลัก
มาตรฐานจากหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐานและหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานโครงสร้าง
กาหนดเป็น 3 ระดับ ดงั น้ี
1. ระดบั ประถมศึกษา (ป.1 – ป.6)
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 71
2. ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น (ม.1 – ม.3)
3. ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.4 – ม.6)
การอธิบายตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง มีมาตรฐานการเรียนรู้ที่มีความ
ชัดเจน โดยการอธิบายแยกเป็นแต่ละช้ัน ทาให้เข้าใจได้ง่าย และในการจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้
สามารถทาได้ง่ายและครอบคลมุ เน้ือหาตามทีก่ าหนด
1.4 หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544 นั้น กาหนดวัตถุประสงค์ของ
กลุ่มวิชา โดยกาหนดไว้เป็นภาพรวม 3 ด้าน คือ พุทธิพิสัย ทักษะพิสัย จิตพิสัย ทั้งน้ีจะแตกต่างกันไป
ตามหลักสูตร สาหรับมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระซึ่งหมายถึง ผลการเรียนรู้ของกลุ่มสาระต่างๆ จะ
ครอบคลุม 3 ด้านคือความรู้ ทักษะ/กระบวนการ คุณธรรมจริยธรรมและค่านิยม โดยจุดประสงค์ของ
การเรียนรู้รายวิชา จะกาหนดไว้ในคาอธิบายรายวิชาตามโครงสร้างของหลักสูตร ที่มีลักษณะค่อนข้าง
ตายตัว นอกจากน้ียังมีมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงช้ัน ซึ่งหมายถึง ผลการเรียนรู้ที่เกิดแก่นักเรียนเมื่อจบ
ช้นั เรียน ป. 3 ป.6 ม.3 และ ม.6 ซึ่งยังได้ให้เน้ือหารายวิชาทีห่ ลักสตู รกาหนดไว้ในคาอธิบายรายวิชาว่า
จะเรียนอะไรบ้าง ท้ังน้ีมีสาระการเรียนรู้ช่วงช้ันกาหนดเป็น ช่วงช้ันละ 3 ปีเพื่อความยืดหยุ่นของ
สถานศึกษาและจุดประสงค์การเรียนรู้ปลายทางกลุ่มโรงเรียนเป็นผู้กาหนดร่วมกัน โดยผลการเรียนรู้ที่
คาดหวงั สถานศึกษาเป็นผู้กาหนดครอบคลุมทั้ง 3 ด้าน ท้ังน้ีมีการวางแผนในการจดั ประสบการณ์ การ
เรียนรู้ โดยจดั ทาเป็นโครงการสอนรายปี รายภาค มีการวางแผนการประเมิน ยึดจดุ ประสงค์การเรียนรู้
มีการจัดทาแผนการสอนรายคาบ การวางแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ การจัดทาหน่วยการ
เรียนร้บู ูรณาการและการวางแผนการประเมินยึดมาตรฐานการเรียนรู้
2. องค์ประกอบของหลกั สตู รพลศึกษา
การจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรในส่วนที่เกี่ยวกับพลศึกษานั้นมีการปรับเปลี่ยน
ซึ่งขึ้นอยู่กับในช่วงเวลาน้ันๆระบบการจัดการศึกษาของชาติใช้หลักสูตรการศึกษาฉบับใด แต่
กระบวนการจัดทาหลักสูตรพลศึกษาก็ยังต้องใช้หลักการ ปรัชญา แนวคิด รวมท้ังทฤษฎีต่างๆที่
เกี่ยวข้องกับศาสตร์เฉพาะทางของพลศึกษาในการเป็นแนวทางในการจัดทาหลักสูตร อย่างไรก็ตาม
วาสนา คุณาอภิสิทธิ์ (2539) ได้กล่าวเกีย่ วกับองค์ประกอบของหลกั สตู รพลศึกษาที่ดีน้ัน ควรจะต้องมี
องค์ประกอบสาคญั 4 ประการด้วยกัน ซึง่ ได้แก่
1. หลักสูตรพลศึกษาควรมีจดุ มุ่งหมายที่มีท้งั จดุ ม่งุ หมายท่วั ไปและจดุ ม่งุ หมายเฉพาะ
วิชา
2. หลกั สตู รพลศึกษาควรมีเนื้อหาวิชาและจานวนทีจ่ ะสอนแต่ละวิชา
3. หลักสูตรพลศึกษาควรมวี ิธีการทีด่ ีในการนาหลกั สตู รไปใช้ในกระบวนการเรียน-
การสอน
4. หลักสตู รพลศึกษาควรมวี ิธีการประเมินผลหลกั สตู รที่ได้มาตรฐาน
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 72
นอกจากน้ี วาสนา คุณาอภิสิทธิ์ (2541) ยังเพิ่มเติมเกี่ยวกับลักษณะของหลักสูตร
พลศึกษาที่ดีว่าควรมีลกั ษณะกว้างๆดังต่อไปนี้
1. เป็นโครงการศึกษาในโรงเรียนที่สามารถนาไปใช้ในโรงเรียนได้จริง
2. จดั กิจกรรมโดยให้ผ้เู รียนได้เกิดพัฒนาการครบถ้วนทกุ ด้านตามจดุ ม่งุ หมายของ
การศึกษาและพลศึกษา
3. ส่งเสริมแนวความคิดของการปกครองระบอบประชาธิปไตย
4. แสดงความเข้าใจในธรรมชาติของสงั คมและความแตกต่างระหว่างบุคคลของผ้เู รียน
5. จัดกิจกรรมต่างๆเพื่อส่งเสริมสุขภาพความสามารถในการประกอบอาชีพการเป็น
พลเมืองดีการรู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์และมีศีลธรรมจริยธรรม
6. จัดรวบรวมโปรแกรมต่างๆไว้ด้วยกนั เพื่อให้ผ้เู รียนสามารถถ่ายโยงไปใช้ได้จากระดับ
หนึง่ ไปส่อู ีกระดบั หนึง่ ด้วยการสอนแบบต่อเนือ่ ง
3. รูปแบบของหลกั สตู รพลศึกษา
สาหรับแนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบของหลักสูตรพลศึกษานั้น Melograno(1996) (อ้างใน
สณุ ิสา พัฒนาจรานนท์, 2542) ได้แบ่งรปู แบบของหลกั สตู รพลศึกษาออกเป็น 9 ประเภทดงั นี้
1. การศึกษาการเคลื่อนไหว (Movement Education) ในการค้นหาองค์ประกอบ
สาหรบั วิชาพลศึกษาน้ัน การตอบคาถามพื้นฐาน 2 ประการได้ จะช่วยให้การกาหนดเน้ือหาพื้นฐานของ
รูปแบบของการเคลื่อนไหวได้ กล่าวคือมนุษย์เราสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างไร และทาไมมนุษย์ต้อง
เคลื่อนไหวดังนั้นการกาหนดหน่วยการเรียนรู้ ควรเริ่มต้นด้วยการแนะนาพื้นฐานของการเคลื่อนไหว
โดยเฉพาะในระดับประถมศึกษาจะเน้นการสารวจทักษะการเคลื่อนไหวเช่นการเล่นเกมส์และ
ยิมนาสติกผ้เู รียนจะคิดวิธีที่จะใช้ร่างกายของตนเองเพื่อให้เกิดผลสาเร็จอย่างใดอย่างหนึ่งหลักสตู รควร
จะมีโครงสร้างจากการตอบคาถามต่อไปนี้
1.1 จะมีการเคลื่อนไหวได้ที่ไหน
1.2 ส่วนไหนของร่างกายทีจ่ ะต้องเคลือ่ นไหว
1.3 จะเคลื่อนไหวได้อย่างไร
1.4 ทาอย่างไรจึงจะเคลือ่ นไหวได้ดีขึน้
2. การศึกษาเกี่ยวกับสมรรถภาพ (Fitness Education) จากการเพิ่มขึ้นของ
แนวโน้มที่เดก็ และเยาวชนของชาติมีพฤติกรรมการใช้รปู แบบชีวิตที่อยู่ประจาที่มากขึ้น เบือ่ หน่ายสังคม
และสภาพแวดล้อมทาให้ยากต่อการเป็นผู้ตื่นตัวและกระตือรือร้น ดังน้ันการมีร่างกายที่แข็งแรง
สมบูรณ์จึงเป็นสิ่งสาคัญต่อการอยู่ดีมีสุขและช่วยให้มีสุขภาพดีขึ้นเป็นลาดับ รวมท้ังการมีชีวิตที่
คล่องแคล่วและกระตือรือร้นก็จะช่วยให้สามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆได้ ดังนั้นการตั้ง
วตั ถปุ ระสงค์ของการศึกษาเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ จึงต้องประกอบด้วย องค์ความร้เู กีย่ วกบั ผล
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 73
ของการออกกาลงั กาย ความสามารถในการวางโปรแกรมการออกกาลังกายด้วยตนเองเพื่อให้ร่างกาย
มีสมรรถภาพที่ดี โดยหลักการจัดกิจกรรมต้องช่วยพัฒนาสมรรถภาพร่างกายและความจาเป็นที่จะ
ดารงให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ดังนั้นเพื่อบรรลุจุดประสงค์เหล่าน้ีหลักสูตรควรได้รับออกแบบอย่างดี
ซึ่งควรประกอบด้วยเนื้อหาดังต่อไปนี้
2.1 องค์ประกอบที่สัมพันธ์กับสมรรถภาพ (การยืดหยุ่น ความทนทานของ
ระบบไหลเวียนโลหิต ความแขง็ แรง ความทนทานของกล้ามเนื้อและส่วนประกอบของร่างกาย)
2.2 องค์ประกอบที่สัมพันธ์กับการเคลื่อนไหว (การทรงตัว ความสัมพันธ์
ความเรว็ ความว่องไวและพลงั )
2.3 วิธีการประเมนิ สาหรบั การวิเคราะหแ์ ละกาหนดกจิ กรรมขององค์ประกอบ
ท้ังหมด
2.4 การประยกุ ต์หลกั การฝกึ ซ้อมและการสร้างสมรรถภาพ
2.5 โภชนาการอาหารและการควบคมุ นา้ หนัก
2.6 การจดั การความเครียด
2.7 การจัดการวิถีชีวติ รวมท้งั การวางแผนโปรแกรมการสร้างสุขภาพของแต่
ละบุคคล
3. การศึกษาพฒั นาการ (Developmental Education) ในความเปน็ จริงแล้วนกั การ
ศึกษามีภาระหน้าที่ที่จะต้องสร้างสภาพการณ์การเรียนรู้ ซึ่งต้องสร้างความตระหนักและสนับสนุน
ศกั ยภาพส่วนบคุ คล เพื่อให้ผ้เู รียนมีพัฒนาการของกระบวนการเติบโต การศึกษาจึงควรเสริมสร้างและ
เพิ่มความรู้ความรู้สึกชื่นชมและทักษะทางการเคลื่อนไหว ซึ่งในการเรียนพลศึกษานั้น การให้
ความสาคัญกับกระบวนการพัฒนาเป็นสิ่งสาคัญ โดยทักษะพื้นฐานน้ันควรต้องเริ่มสอนในระดับ
ประถมศึกษาแล้วตามด้วยกิจกรรมต่างๆที่มีความซับซ้อน หรือการเรียนในกีฬาประเภทบุคคลและ
ประเภททีมตามมา ทั้งน้ี การได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ น้ัน นอกจากผู้เรียนจะได้รับความรู้แล้ว ยัง
ส่งผลให้ผ้เู รียนได้รับการพฒั นาด้านทศั นคติและทกั ษะด้านการเคลื่อนไหวโดยการพัฒนาต้องไม่มีความ
แตกต่างระหว่างบคุ คล ดังนั้นหลักสูตรจึงควรต้องวางแผนเพือ่ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังนี้
3.1 เกิดการพฒั นาการทางร่างกาย
3.2 เกิดการพัฒนาการความสมั พันธ์ระบบประสาทกบั กล้ามเน้อื
3.3 เกิดการพฒั นาการด้านสติปญั ญา
3.4 เกิดการพฒั นาการด้านสงั คมและอารมณ์ส่วนบคุ คล
4. กิจกรรมเพื่อการศึกษา (Activity – Based Education) สาหรับการจัดกิจกรรม
เพื่อการศึกษา ได้มีการนาเสนอกิจกรรมหลากหลายชนิดเพื่อการพัฒนาการและสอดคล้องกับความ
ต้องการที่เปลี่ยนแปลงของผู้เรียน ในการเลือกกิจกรรมควรพิจารณาถึงความสนใจของครู
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 74
ความสามารถของครู การเลือกของผู้เรียน สิ่งอานวยความสะดวกและเครื่องมืออุปกรณ์รวมทั้ง
ช่วงเวลาและวัฒนธรรมในท้องถิ่นด้วย
5. พัฒนาการทางสังคมและมนุษยธรรม(Humanisticand Social development)
การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทางสังคมทาให้เกิดการเน้นพัฒนาการทางด้านสังคมและการศึกษาควร
เน้นเรือ่ งความผาสุกของทุกคน ซึ่งการศึกษาเพื่อพัฒนาการด้านสังคมและมนุษยธรรมจะเน้นการรู้จัก
ตนเองและทุกคนมีทางเลือกเพื่อใช้เปน็ พื้นฐานในการช่วยพฒั นาความเจริญเติบโตของแต่ละคน เพื่อให้
สามารถค้นหาเอกลักษณ์เฉพาะตัวของตนเอง กิจกรรมพลศึกษาจะสามารถใช้เป็นสื่อกลางที่จะช่วย
พัฒนาทางด้านอารมณ์เช่น ช่วยในเรื่องของการเคารพตนเอง การรู้จักตนเองในสภาพที่เป็นจริงรู้และ
เข้าใจในความหมายของการเป็นส่วนบุคคล รวมท้ังและเข้าใจตนเอง นอกจากกิจกรรมพลศึกษาช่วย
พัฒนาทางด้านสังคม เช่น เรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างกัน เรือ่ งของการแบ่งปันการให้ความร่วมมือ
ความอดทนอดกล้ัน ซึ่งครูจะมีลักษณะเป็นผู้คอยให้ความช่วยเหลือและเป็นที่ปรึกษามากกว่าจะออก
คาสั่งและควบคุมกากับ ในการสร้างความมีวินัยในตนเอง ผู้เรียนจะได้รับอนุญาตให้ใช้และพัฒนา
โปรแกรมกิจกรรมของตนเอง ผู้เรียนเป็นผู้จัดเก็บบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับความมุ่งหมายความรู้สึกและ
พฤติกรรมของตนเองได้ ซึ่งหลักสูตรควรมีการวางแผน โดยเกี่ยวข้องกับกระบวนการของการรับรู้
ข้อมูลและพัฒนาการทางสังคมในประเด็นที่สาคัญๆต่อไปน้ีความรับผิดชอบการควบคุมตนเองการมี
ส่วนร่วมความรบั ผิดชอบต่อตนเองและการเอาใจใส่
6. กีฬาศึกษา (Sport Education) จากมุมมองที่ว่าสุขภาพและพลังชีวิตของเราถูก
กาหนดโดยบทบาทของการกีฬาเนื่องจากการกีฬามีรูปแบบการเล่นและการแข่งขันที่ต้องทักษะ
ระดับสูง กีฬาจึงแทบจะเป็นหัวใจสาคัญของวิชาพลศึกษา ในกีฬาศึกษาน้ันผู้เรียนจะได้รับการสอนให้
เป็นผ้เู ล่น ซึง่ จะเน้นเกี่ยวกบั ทกั ษะกฎ กติกา กลยุทธ์ ความชื่นชมในการเล่นกีฬา ในหลกั สูตรกีฬาศึกษา
ผู้เรียนจะเข้าร่วมเล่นกีฬา ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นภายในช้ันเรียน นอกช้ันเรียน หรือระหว่างเรียนในช่วงเวลา
เรียนหรือนอกเวลาเรียนกไ็ ด้ ซึ่งหลกั สูตรสามารถออกแบบโดยยึดลักษณะสาคญั 6 ประการ ในการจัด
กีฬาศึกษา ดงั น้ี
6.1 ฤดูกาลของกีฬาศึกษา อาจจะจัดตามฤดูกาลของการเล่นกีฬา โดยมิได้
จัดเป็นหน่วยการเรียน แต่ท้ังน้ีต้องมีการฝึกซ้อมและการแข่งขันและสุดท้ายสามารถประเมิน
ความสาเร็จได้
6.2 การรับเข้าเป็นสมาชิกผู้เรียนสามารถเป็นสมาชิกของทีมหรือคลับและ
เป็นอย่ตู ลอดฤดูการเล่นหรือการแข่งขัน
6.3 มีการจัดการแข่งขันอย่างเป็นทางการในช่วงฤดูกาลของกีฬา โดยต้องมี
การกาหนดการแข่งขันอย่างเปน็ ทางการและมีรายละเอียดของช่วงเวลาการฝึกซ้อมกีฬา
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 75
6.4 ต้องมีการเข้าร่วมอย่างต่อเนื่อง มีการจัดแข่งขันซึ่งผู้เล่นจะต้องฝึกซ้อม
เพือ่ ให้กาเข้าร่วมการแข่งขนั บรรลเุ ป้าหมาย
6.5 มีการจดบันทึกและเผยแพร่สิ่งที่ได้รับ จากการกาหนดมาตรฐานและการ
สร้างจดุ ม่งุ หมายของผ้เู ล่นและของทีม
6.6 มีการเฉลิมฉลอง ซึ่งบรรยากาศการเฉลิมฉลองของการกีฬาจะช่วยเพิ่ม
คุณค่าทางสังคมทีส่ าคัญในตวั ของผ้เู ข้าร่วมกีฬา
7. วนกีฬาและผจญภัยศึกษา (Wilderness Sports and Adventure Education)
เป็นการจัดการเรียนร้ทู ี่ให้ผ้เู รียนได้ทดลองลงมือปฏิบัติจริงโดยเฉพาะการได้ใกล้ชิดกบั ธรรมชาติผ้เู รียน
จะได้เรียนรู้สิ่งที่เป็นนามธรรมมากกว่าสิ่งที่เป็นรูปธรรม ซึ่งในวิชาพลศึกษาเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้
พัฒนาศักยภาพของตนเองโดยไม่มีข้อจากัดวนกีฬาเป็นกีฬา หรือการจัดกิจกรรมกลางแจ้งที่ช่วย
ส่งเสริมและท้าทายต่อความแข็งแรงของร่างกาย ยกตัวอย่างเช่น กิจกรรมการออกค่าย กิจกรรมการ
เดินป่า กิจกรรมการเดินทางไกล หรือกิจกรรมการขี่จักรยานสาหรับการศึกษาผจญภัย ซึ่งกิจกรรมที่
กล่าวมา เปน็ การจดั สร้างสภาพการณ์เพื่อท้าทายให้ผ้เู รียนแก้ปญั หาด้วยตนเองหรือช่วยกนั เป็นกลุ่มใน
การแก้ไขปัญหาภายใต้ความกดดันหลักสูตรเพื่อการศึกษาประเภทน้ีจึงควรครอบคลุมวัตถุประสงค์
ต่อไปนี้
7.1 เพื่อพฒั นาทักษะกีฬากลางแจ้ง และความพอใจกบั สภาพการแข่งขนั
7.2 เพื่อประยุกต์ความร่วมมือส่วนบุคคลให้สัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมและ
กิจกรรมทางพลศึกษา
7.3 เพื่อให้สามารถควบคุมความกดดัน โดยการยอมรับกิจกรรมทางพลศึกษา
ซึ่งเสี่ยงและท้าทาย
7.4 เพือ่ พฒั นาความตระหนักของความเกี่ยวข้องระหวา่ งมนษุ ยก์ ับธรรมชาติ
7.5 เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเกิดการเรียนร้ทู ีจ่ ะให้ความร่วมมือกบั
ผ้อู ื่น
8. ความคิดรวบยอดโดยใช้ฐานการศึกษา (Conceptually Based Education)โดย
ปกติผ้เู รียนมักจะตั้งคาถามทาไมและอย่างไร ดงั น้ันหลักสูตรจึงควรต้ังอยู่บนพื้นฐานของแนวคิดนี้จะใช้
กิจกรรมใดนั้น ควรเน้นความรู้และความเข้าใจรวมทั้งการแก้ปัญหา ซึ่งจากแนวคิดนี้จะทาให้ผ้เู รียนเกิด
ทักษะและเมื่อต้องประสบกับสถานการณ์ใหม่ๆ ผู้เรียนก็จะสามารถเรียนได้ดีขึ้น ดังน้ันการสอนควรมี
การอธิบายชัดเจนในเน้ือหา หลักการหรือกฎเกณฑ์และลาดับความยากง่าย เพื่อนาไปสู่ความเข้าใจที่
ยากขึ้น ดังน้ันหน่วยการเรียนรู้ในหลักสูตรพลศึกษาจึงควรออกแบบตามแนวคิดทางด้านชีวกลศาสตร์
ตามลาดับ เช่น เรื่องจุดศูนย์ถ่วง ปัจจัยที่สมดุล การประยุกต์ใช้แรง ลักษณะของวัตถุประสงค์ กฎของ
การเคลือ่ นไหว การปรับปรุงและวิเคราะห์การปฏิบตั ิ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 76
9. การศึกษาที่มีความหมายต่อบคุ คล (Personally Meaningful Education) การ
จัดการศึกษาเพื่อให้ผู้เรียนสามารถค้นหาความหมายของบุคคล ซึ่งเป็นหน้าที่สาคัญของการจัด
การศึกษา การมองเห็นความหมายของบุคคลอาจจะเกิดจากภายในหรือเป็นความรู้สึกเช่น ในการเรียน
ยิมนาสติก การยิงลูกบอลเข้าประตู ซึ่งเข้าร่วมกิจกรรมการเคลื่อนไหวต่างๆ สามารถก่อให้เกิด
ประโยชน์ทางด้านอื่นๆตามมา อาทิเช่น การเพิ่มประสิทธิภาพของระบบหายใจ วัตถุประสงค์ของ
หลักสูตรน้ีจะออกแบบ เพื่อตอบสนองกับสิ่งที่ผู้เรียนเห็นว่ามีความหมายต่อตนเอง หรือกล่าวอีกนัย
หนึ่งคือ จากเป้าประสงค์แรกที่ให้ผู้เรียนได้มีการเคลื่อนไหวนั้น และผลของการเข้าร่วมส่งผลและมี
ความหมายกับผู้เรียนอย่างไร ซึ่งหลักสูตรควรออกแบบให้ครอบคลุมวัตถุประสงค์ของพัฒนาการของ
แต่ละบุคคลการจดั การกับสิง่ แวดล้อมและบทบาทของสังคม
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551
หลกั สูตรการศึกษาพื้นฐานของประเทศที่ใช้อยู่ในปัจจุบนั น้ี คือหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ัน
พื้นฐานพุทธศักราช 2551 หลกั สูตรน้ีถูกกาหนดไว้เพื่อเป็นภาพรวมในการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนที่
สถานศึกษาทุกสังกัดที่จัดการศึกษาข้ันพื้นฐานของประเทศ ต้องนาไปใช้เป็นกรอบและทิศทางในการ
ออกแบบหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนในสถานศึกษานั้นๆ ซึ่งสาระสาคัญของหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐานพุทธศกั ราช 2551 (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) พอสรปุ รายละเอียดได้
ดังน้ี
1. วิสัยทศั น์
หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานพุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคนซึ่งเป็นกาลัง
ของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลท้ังด้านร่างกาย มีความรู้คู่คุณธรรม มีจิตสานึกในความเป็น
พลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง
เป็นประมุข มีความรู้และทกั ษะพื้นฐาน รวมท้ังเจตคติที่จาเป็นต่อการศึกษา ต่อการประกอบอาชีพและ
เป็นการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญบนพื้นฐานความเชื่อที่ว่าทุกคนสามารถเรียนรู้
และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ
2. สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียน
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานพุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตาม
มาตรฐานการเรียนรู้ ซึ่งการพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่กาหนดนั้น จะช่วยให้
ผ้เู รียนเกิดสมรรถนะสาคัญ 5 ประการดังนี้
1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสารมีวัฒนธรรมใน
การใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึกและทัศนะของตนเอง เพื่อแลกเปลี่ยน
ข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคมรวมทั้งการเจรจา
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 77
ต่อรอง เพื่อขจัดและลดปญั หาความขดั แย้งต่างๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลกั เหตุผล
และความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพโดยคานึงถึงผลกระทบที่มีต่อ
ตนเองและสงั คม
2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการวิเคราะห์ การคิดสงั เคราะห์ การ
คิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการคิดเป็นระบบ เพื่อนาไปสู่การสร้างองค์ความรู้
หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกบั ตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม
3. ความสามารถในการแก้ไขปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรค
ต่างๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ
เข้าใจความสมั พันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้
มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาและมีการตดั สินใจที่มีประสิทธิภาพ โดยคานึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น
ต่อตนเองสังคมและสิง่ แวดล้อม
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนากระบวนการต่างๆไป
ใช้ในการดาเนินชีวิตประจาวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทางานและการอยู่
ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาความขัดแย้ง
ต่างๆ อย่างเหมาะสมการปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จัก
หลีกเลีย่ งพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผ้อู ื่น
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือกและใช้เทคโนโลยี
ด้านต่างๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมในด้านการเรียนรู้
การสื่อสารการทางาน การแก้ปญั หาอย่างสร้างสรรค์ถูกต้องเหมาะสมและมีคุณธรรม
3. คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานพทุ ธศกั ราช 2551 มุ่งพัฒนาผ้เู รียนให้มีคุณลักษณะอัน
พึงประสงค์เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุขในฐานะที่เป็นพลเมืองไทยและ
พลเมืองโลก (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) ดงั น้ี
1. รกั ชาติศาสน์กษัตริย์
2. ซื่อสัตย์สุจริต
3. มีวินยั
4. ใฝ่เรียนรู้
5. อย่อู ย่างพอเพียง
6. มุ่งมน่ั ในการทางาน
7. รกั ความเปน็ ไทย
8. มีจิตสาธารณะ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 78
หลกั การของหลกั สูตรหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐานพุทธศักราช 2551 ได้ปรบั ปรงุ
เพื่อให้มีความชัดเจนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยปรับหลักการจากเดิมในหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน
พุทธศักราช 2544 จาก 6 ข้อเหลือ 5 ข้อ ซึ่งหลักการของหลักสูตรหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ัน
พื้นฐานพทุ ธศักราช 2551 (จุฑามาศ บตั รเจริญ, 2556) มีดงั นี้
1. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ จุดมุ่งหมายและมาตรฐาน
การเรียนร้เู ปน็ เป้าหมายสาหรบั พัฒนาเดก็ และเยาวชนให้มีความรู้ทักษะเจตคตแิ ละคณุ ธรรมบนพืน้ ฐาน
ของความเปน็ ไทยควบค่กู บั ความเป็นสากล
2. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชนที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่าง
เสมอภาคและมีคุณภาพ
3. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองตอบต่อการกระจายอานาจให้สังคม มีส่วนร่วมใน
การจดั การศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิน่
4. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นท้ังด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและการ
จดั การเรียนรู้
5. เป็นหลกั สูตรการศึกษาที่เน้นผ้เู รียนเปน็ สาคญั
นอกจากน้ีจุดหมายของหลักสูตรหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานพุทธศักราช 2551 มี
การปรบั เพือ่ ให้มีความกระชบั ชัดเจนสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น โดยหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐานมุ่ง
พัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ ซึ่งการ
ปรบั จุดมุ่งหมายจากเดิมในหลักสูตรการศึกษาข้นั พื้นฐานพุทธศกั ราช 2544 จาก 9 ข้อ เหลือ 5 ข้อ โดย
มีเป้าหมายเมือ่ ผ้เู รียนสาเร็จการศึกษาข้นั พื้นฐานแล้ว สิง่ ดงั ต่อไปน้ีต้องเกิดกบั ผู้เรียน คือ
1. มีคุณธรรมจริยธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเองมีวินัยและ
ปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ
พอเพียง
2. มีความรู้ความสามารถในการสื่อสาร การคิดแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยีและมี
ทักษะชีวิต
3. มีสุขภาพกายและสขุ ภาพจิตทีด่ ี มีสขุ นิสัยและรกั การออกกาลังกาย
4. มีความรักชาติ มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลเมืองโลก ยึดม่ันในวิถีชีวิต
และการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
5. มีจิตสานึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนา
สิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทาประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคมและการอยู่ร่วมกันในสังคม
อย่างมีความสขุ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 79
4. โครงสร้างของหลกั สูตร
ตามคาสั่งกระทรวงศึกษาธิการที่ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐานที่ 293/2551
เรื่อง ให้ใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน ลงวันที่ 11 กรกฎาคม 2551 กาหนดให้สถานศึกษา
ในสังกัดจัดการเรียนการสอนโดยใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ดังน้ี
(กระทรวงศึกษาธิการ, 2551)
การจัดการศึกษาระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน
พุทธศกั ราช 2551 ได้แบ่งการศึกษาเปน็ 3 ระดับ ได้แก่
1.ระดับประถมศึกษา (ช้ันประถมศึกษาปีที่ 1-6) เป็นระดับการศึกษาที่มุ่งเน้นทักษะ
พื้นฐานด้านการอ่านการเขียน การคิดคานวณ การคิดพื้นฐาน การติดต่อสื่อสาร
2.ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1-3) เป็นระดับการศึกษาที่มุ่งเน้นให้
ผ้เู รียนได้สารวจความถนัด และความสนใจของตนเอง ส่งเสริมการพัฒนาบุคลิกภาพส่วนตน
3.ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย (ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4-6) เป็นระดับการศึกษาที่มุ่งเน้น
การเพิ่มพูนความรู้และทักษะเฉพาะด้าน สนองตอบความสามารถ ความถนัด และความสนใจของ
ผ้เู รียนแต่ละคน
โดยมี 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ในการจัดการศึกษาระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ซึ่งแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ได้กาหนดองค์ความรู้
ทกั ษะสาคัญและคุณลกั ษณะทีส่ าคัญ ที่เปน็ จุดเน้นในการพัฒนาผ้เู รียน ดงั น้ี
1. กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เน้นพัฒนาผู้เรียนด้านความรู้ ทักษะและ
วัฒนธรรม การใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร ความชื่นชม การเห็นคุณค่าภูมิปัญญา ไทย และภูมิใจในภาษา
ประจาชาติ
2. กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เน้นพัฒนาผู้เรียนด้านการนาความรู้ทักษะและ
กระบวนการทางคณิตศาสตร์ไปใช้ในการแก้ปัญหา การดาเนินชีวิต และศึกษาต่อ การมีเหตมุ ีผล มี เจต
คติที่ดีต่อคณิตศาสตร์ พัฒนาการคิดอย่างเป็นระบบและสร้างสรรค์
3. กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เน้นพัฒนาผู้เรียนด้านการนาความรู้และ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ในการศึกษา ค้นคว้าหาความรู้ และแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ การ
คิดอย่างเปน็ เหตเุ ป็นผล คิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ และจิตวิทยาศาสตร์
4. กลุม่ สาระการเรียนรภู้ าษาต่างประเทศ เน้นพฒั นาผ้เู รียนด้านความรู้ทักษะ เจต-
คติ และวฒั นธรรมการใช้ภาษาต่างประเทศในการสือ่ สาร การแสวงหาความรู้และการประกอบอาชีพ
5. กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เน้นพัฒนาผู้เรียนด้าน
การอยู่ร่วมกันในสังคมไทยและสังคมโลกอย่างสันติสุข การเป็นพลเมืองดี ศรัทธาในหลักธรรมของ
ศาสนา การเหน็ คณุ ค่าของทรพั ยากรและสิง่ แวดล้อม ความรักชาติ และภมู ิใจในความเปน็ ไทย
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 80
6. กล่มุ สาระการเรียนร้สู ุขศึกษาและพลศึกษา เน้นพฒั นาผ้เู รียนด้านความรู้ ทักษะ
และเจตคติในการสร้างเสริมสุขภาพพลานามัยของตนเองและผ้อู ื่น การป้องกันและปฏิบัติต่อสิง่ ต่าง ๆที่
มีผลต่อสุขภาพอย่างถกู วิธีและทกั ษะในการดาเนินชีวิต
7. กล่มุ สาระการเรียนรู้ศิลปะ เน้นพฒั นาผ้เู รียนด้านความร้แู ละทักษะในการคิดริเริ่ม
จินตนาการ สร้างสรรค์งานศิลปะ สนุ ทรียภาพและการเหน็ คุณค่าทางศิลปะ
8. กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี เน้นพัฒนาผู้เรียนด้านความรู้
ทักษะและเจตคติในการทางาน การจัดการ การดารงชีวิต การประกอบอาชีพ และการใช้เทคโนโลยี
5. มาตรฐานการเรียนรู้
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ปรับมาตรฐานการเรียนรู้จาก 76
มาตรฐานลดเหลือ 67 มาตรฐานการเรียนรู้ และได้กาหนดตัวชี้วัดช้ันปีสาหรับการศึกษาภาคบังคับ
(ป.1-ม.3) และตัวชี้วัดช่วงช้ันสาหรับช้ันมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.4-ม.6) เพิ่มขึ้นมาเพื่อช่วยให้การ
จดั การเรียนรู้และการวัดและประเมินผลมีเป้าหมายที่ชดั เจนในแต่ละระดบั ชั้น
6. กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
ในหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 มีการกาหนดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนโดย
แบ่งเป็น 2 ลักษณะคือ กิจกรรมแนะแนวและกิจกรรมผู้เรียน แต่ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ัน
พื้นฐานพทุ ธศกั ราช 2551 มีการปรบั เพิ่มเปน็ 3 ลักษณะดังนี้
1. กิจกรรมแนะแนว
2. กิจกรรมผ้เู รียน
3. กิจกรรมเพือ่ สังคมและสาธารณประโยชน์
7. การวัดและประเมินผลการเรียนรแู้ ละการจบหลักสูตร
7.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานพุทธศักราช 2551 น้ันจะกาหนดเกณฑ์
กลางของการจบหลักสูตร การตัดสินผลการเรียน การให้ระดับผลการเรียน การรายงานผลการเรียน
และเอกสารหลกั ฐานการศึกษา รวมท้งั การจดั ทาแนวปฏิบตั ิการวดั และประเมินผลการเรียน
7.2 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ระดับประถมศึกษาจะ
ตัดสินผลการเรียนเป็นรายปี ส่วนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายตัดสินผลการเรียนเป็น
รายภาค
สาระหลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้สขุ ศึกษาและพลศกึ ษา
กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษาเป็น 1 ใน 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้พื้นฐานที่ผู้เรียน
ทุกคนในระดับการศึกษาข้ันพื้นฐานจาเป็นต้องเรียนรู้ ซึ่งสานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ (2552) กล่าวไว้ว่า สุขศึกษาและ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 81
พลศึกษานั้น เป็นการศึกษาด้านสุขภาพที่มีเป้าหมายเพื่อการดารงสุขภาพการสร้างเสริมสุขภาพและ
การพฒั นาคณุ ภาพชีวิตของบคุ คลครอบครัวและชมุ ชนให้ยั่งยืน โดยเฉพาะพลศึกษาน้ันมุ่งเน้นให้ผ้เู รียน
ใช้กิจกรรมการเคลื่อนไหว การออกกาลังกาย การเล่นเกมและกีฬา เป็นเครื่องมือในการพฒั นาโดยรวม
ท้ังด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สงั คม สติปัญญา รวมท้งั สมรรถภาพทางกายเพื่อสขุ ภาพและกีฬา
ในการจัดสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา มีสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ของกลุ่ม
สาระการเรียนรู้สขุ ศึกษาและพลศึกษาเป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้สาระที่เป็นองค์ความรู้ของกลุ่ม
สาระการเรียนรู้สขุ ศึกษาและพลศึกษาประกอบด้วย 5 สาระและ 6 มาตรฐานดงั น้ี
สาระที่ 1 การเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนษุ ย์
มาตรฐาน พ 1.1 เข้าใจธรรมชาติของการเจริญเติบโตและพฒั นาการของมนุษย์
สาระที่ 2 ชีวิตและครอบครวั
มาตรฐาน พ 2.1 เข้าใจและเห็นคณุ ค่าตนเองครอบครวั เพศศึกษาและมีทกั ษะในการ
ดาเนินชีวติ
สาระที่ 3 การเคลือ่ นไหวการออกกาลังกายการเล่นเกมกีฬาไทยและกีฬาสากล
มาตรฐาน พ 3.1 เข้าใจมีทกั ษะในการเคลือ่ นไหวกิจกรรมทางกายการเล่นเกมและกีฬา
มาตรฐาน พ3.2 การออกกาลังกาย การเล่นเกมและการเล่นกีฬาปฏิบัติเป็นประจาอย่าง
สมา่ เสมอ มีวินัย เคารพสิทธิ กฎกติกา มีน้าใจนกั กีฬา มีจิตวิญญาณในการแข่งขนั และชื่น ชม
ในสุนทรียภาพของการกีฬา
สาระที่ 4 การสรา้ งเสริมสุขภาพสมรรถภาพและการป้องกนั โรค
มาตรฐาน พ 4.1 เหน็ คณุ ค่าและมีทกั ษะในการสร้างเสริมสุขภาพการดารงสุขภาพการ
ป้องกนั โรคและการสร้างเสริมสมรรถภาพเพื่อสุขภาพ
สาระที่ 5 ความปลอดภัยในชีวิต
มาตรฐาน พ 5.1 ป้องกนั และหลีกเลีย่ งปัจจยั เสีย่ งพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพอุบัติเหตุ การใช้ยา
สารเสพติดและความรนุ แรง
โดยเมื่อผู้เรียนจบการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษาในแต่ละระดับ
การศึกษาผู้เรียนจะต้องมีคณุ ภาพดงั น้ี (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551)
เมือ่ จบชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 3 ผู้เรียนตอ้ ง
1. เข้าใจและเห็นความสาคัญของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่มี
ต่อสขุ ภาพและชีวิตในช่วงวัยต่างๆ
2. เข้าใจยอมรบั และสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ ความรู้สึก
ทางเพศ ความเสมอภาคทางเพศ สร้างและรักษาสัมพันธภาพกับผู้อื่นและตัดสินใจแก้ปัญหาชีวิตด้วย
วิธีการทีเ่ หมาะสม
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 82
3. เลือกกินอาหารทีเ่ หมาะสมได้สัดส่วน ส่งผลดีต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการตามวยั
4. มีทักษะในการประเมินอิทธิพลของเพศ เพื่อน ครอบครัว ชุมชนและวัฒนธรรมที่มีต่อเจตคติ
ค่านิยมเกีย่ วกับสขุ ภาพและชีวิต และสามารถจัดการได้อย่างเหมาะสม
5. ป้องกันและหลีกเลีย่ งปจั จัยเสี่ยง พฤติกรรมเสีย่ งต่อสุขภาพและการเกิดโรคอบุ ัติเหตุ การใช้
ยาสารเสพติดและความรุนแรง รู้จักสร้างเสริมความปลอดภยั ให้แก่ตนเองครอบครัวและชุมชน
6. สามารถเข้าร่วมกิจกรรมทางกาย กิจกรรมกีฬา กิจกรรมนันทนาการ กิจกรรมสร้างเสริม
สมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพ โดยนาหลกั การของทักษะกลไกมาใช้ได้อย่างปลอดภัยสนุกสนานและ
ปฏิบตั ิเป็นประจาสมา่ เสมอตามความถนดั และความสนใจ
7. แสดงความตระหนักในความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมสุขภาพ การป้องกันโรค การดารง
สุขภาพ การจัดการกับอารมณ์และความเครียด การออกกาลังกายและการเล่นกีฬากับการมีวิถีชีวิตที่
มีสขุ ภาพดี
8. สานึกในคณุ ค่าศักยภาพและความเป็นตวั ของตวั เอง
9. ปฏิบัติตามกฎกติกาหน้าที่ความรับผิดชอบ เคารพสิทธิของตนเองและผู้อื่น ให้ความร่วมมือ
ในการแข่งขนั กีฬาและการทางานเป็นทีมอย่างเป็นระบบด้วยความมุ่งมั่นและมีน้าใจนักกีฬาจนประสบ
ความสาเร็จตามเป้าหมายด้วยความชื่นชมและสนุกสนาน
เมือ่ จบชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 3 ผูเ้ รียนตอ้ ง
1. สามารถดูแลสุขภาพสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรคหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงและพฤติกรรมเสี่ยง
ต่อสขุ ภาพอุบัติเหตุ การใช้ยาสารเสพติดและความรุนแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการวางแผนอย่าง
เป็นระบบ
2. แสดงออกถึงความรักความเอื้ออาทร ความเข้าใจในอิทธิพลของครอบครวั เพือ่ น สังคมและ
วัฒนธรรมที่มีต่อพฤติกรรมทางเพศ การดาเนินชีวิตและวิถีชีวิตที่มีสขุ ภาพดี
3.ออกกาลังกายการเล่นกีฬา การเข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการ กิจกรรมสร้างเสริมสมรรถภาพ
เพื่อสุขภาพ โดยนาหลักการของทักษะกลไกมาใช้ได้อย่างถูกต้องสม่าเสมอด้วยความชื่นชมและ
สนกุ สนาน
4. แสดงความรบั ผิดชอบให้ความร่วมมือและปฏิบตั ิตามกฎ กติกา สิทธิ์ หลกั ความปลอดภัยใน
การเข้าร่วมกิจกรรมทางกายและเล่นกีฬาจนประสบความสาเรจ็ ตามเป้าหมายของตนเองและทีม
5. แสดงออกถึงการมีมารยาทในการดูการเล่นและการแข่งขันด้วยความมีน้าใจนักกีฬาและ
นาไปปฏิบัติในทกุ โอกาสจนเป็นบุคลิกภาพที่ดี
6. วิเคราะห์และประเมินสุขภาพส่วนบุคคลเพื่อกาหนดกลวิธีลดความเสี่ยง สร้างเสริมสุขภาพ
ดารงสุขภาพ การป้องกันโรค และการจดั การกับอารมณ์และความเครียดได้ถกู ต้องและเหมาะสม
7. ใช้กระบวนการทางประชาสงั คม สร้างเสริมให้ชมุ ชนเข้มแข็งปลอดภัยและมีวิถีชีวิตที่ดี
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 83
ดงั ที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า กลุ่มสาระการเรียนรู้สขุ ศึกษาและพลศึกษาเป็นกลุ่มสาระการ
เรียนรู้ที่สาคัญและจาเป็นอย่างยิ่งที่สถานศึกษาต้องจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนเกิด
ความสามารถในการพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพจนมีวิถีชีวิตที่มีสขุ ภาพดี การดารงสุขภาพการสร้างเสริม
สขุ ภาพและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคล ครอบครัวและชุมชนให้ยั่งยืน ดงั น้ันครูพลศึกษารวมท้ัง
บุคลากรที่เกี่ยวข้อง จึงมีบทบาทและหน้าที่สาคัญในการจัดทาและพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา โดย
ต้องจัดทาสาระการเรียนรู้ทีเ่ ป็นกรอบเน้อื หาหรือขอบข่ายองค์ความรู้จากสาระและมาตรฐานที่กาหนด
ในหลักสูตรแกนกลาง และนามาใช้เป็นกรอบแนวทางในการจัดทาหลักสูตรสถานศึกษาตามข้ันตอน
โดยเริ่มตั้งแต่การศึกษาเอกสารหลักสตู รการวิเคราะห์สาระการเรียนรู้ มาตรฐานตัวชี้วัดตามสาระการ
เรียนรู้แกนกลางในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานพุทธศักราช2551 รวมทั้งการกาหนด
โครงสร้างรายวิชา การออกแบบหน่วยการเรียนรู้และแผนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งการจัดทาหลักสูตรใน
ส่วนของกลุ่มสาระการเรียนรู้สขุ ศึกษาและพลศึกษาโดยอิงมาตรฐานตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษา
ข้ันพื้นฐานพุทธศักราช 2551 น้ันสถานศึกษาสามารถดาเนินการในจัดทาหลักสูตรของตนเอง โดยมี
ความยืดหยุ่นในการจัดทาหลกั สตู รสถานศึกษาให้สอดคล้องกับชุมชนและท้องถิ่น ซึ่งการอิงมาตรฐาน
ในการจัดทาจะทาให้มีความชัดเจนและมีความเป็นเอกภาพยิ่งขึ้น ด้วยกระบวนการสร้างหลักสูตร
สถานศึกษาอิงมาตรฐานอย่างแท้จริง ซึ่งก็จะช่วยให้การจัดการเรียนการสอนการประเมินผลการเรียน
ใ รู้มีคณุ ภาพและประสิทธิภาพและสามารถพฒั นาผ้เู รียนได้มาตรฐานเดียวกนั ทั้งประเทศ
ทีม่ า : https://www.wcdsb.ca/programs/secondary/health.html
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 84
บทที่ 4
วิธีสอนและรปู แบบการสอนพลศึกษา
วิธีการสอนและรูปแบบการสอน
การสอนแบบเน้นผ้เู รียนเป็นสาคัญ
วิธีสอนพลศึกษา
การสอนทกั ษะ
ทีม่ า : https://sites.google.com/a/wcsu.net/reading-elementary/our-classrooms/physical-
education
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 85
วิธีการสอนและรูปแบบการสอน
1. วิธีการสอนและรปู แบบการสอน
1.1 วิธีสอน
วิธีการสอนดังที่ปรากฏในเอกสารทางวิชาการศึกษามีมากมายหลากหลายวิธี
จึงเกิดคาถามที่ว่า วิธีสอนคืออะไรกันแน่ ซึ่งในประเด็นน้ี ทิศนา แขมมณี (2552) ได้กล่าวว่า เป็นการ
หาคาตอบที่ชัดเจนได้ยาก และถึงแม้ในหนังสือทางการศึกษาจานวนมากได้กล่าวถึงวิธีการสอนไว้
หลากหลายแตกต่างกัน แต่ล้วนไม่มีคาอธิบายไว้อย่างชัดเจนว่าวิธีสอนคืออะไร วิธีสอนมีคุณสมบัติ
สาคัญ (Critical Attributes) อะไรบ้างจึงจะถือได้ว่าเป็นวิธีสอน คาอธิบายในเรื่องดังกล่าวไม่ปรากฏ
ชัดเจน โดยท่ัวๆ ไปการใช้ศพั ท์คาว่า “วิธีสอน” เป็นการใช้ศัพท์ในลักษณะของการรับรู้กันโดยท่ัวไป ซึ่ง
ในเรื่องน้ี ทิศนา แขมมณี ยังกล่าวอีกว่า ด้วยสภาวการณ์เช่นน้ี ประกอบกับมีคาศัพท์อีกหลายคาที่
ได้รับการนามาใช้ในลักษณะเดียวกันน้ี เช่น รูปแบบการสอน เทคนิคการสอน เทคนิควิธีสอน ระบบการ
สอน ระเบียบวิธีสอน กลเม็ดการสอน กลยุทธ์การสอน ยุทธวิธีสอน ยุทธศาสตร์การสอน ฯลฯ เหล่าน้ี
ก่อให้เกิดความสบั สนในด้านความเข้าใจ และการนาไปใช้เปน็ อย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ทิศนา แขมมณี (2552) ได้ให้คานิยามของคาว่า วิธีสอน ไว้คือ
วิธีการต่างๆ ที่นามาใช้ในการสอนเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ซึ่งแต่ละวิธีมีองค์ประกอบและ
ข้นั ตอนการดาเนินการที่มีลกั ษณะเด่นเปน็ เอกลกั ษณ์ นาไปส่วู ตั ถุประสงค์เฉพาะของวิธีน้ัน เช่น วิธีสอน
แบบบรรยาย มีองค์ประกอบสาคัญคือ ผู้สอน ผู้เรียน สาระที่จะบรรยาย และผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
ส่วนข้ันตอนสาคัญของวิธีสอนน้ี ได้แก่ (1) การเตรียมสาระที่จะบรรยาย (2) การบรรยายสาระโดยการ
พูด บอก เล่า และ (3) การประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน สาหรับลักษณะเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของ
วิธีนี้ คือ การบรรยาย หรือการพดู บอก เล่า ซึง่ เอกลกั ษณ์น้ี มีคุณสมบัติช่วยให้ผู้สอนสามารถถ่ายทอด
เน้ือหาสาระจานวนมากได้ในเวลาจากัด แตกต่างจากวิธีสอนแบบสาธิต ที่มีเอกลักษณ์อยู่ที่การแสดง
หรือทาให้ดู ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนเห็นการปฏิบัติจริงด้วยตาตนเอง ทาให้เข้าใจและจาเรื่องที่สาธิตได้ดี
วิธีการสอนแต่ละวิธีมีจุดเด่นและประโยชน์ทีแ่ ตกต่างกัน
นอกจากน้ี ทิศนา แขมมณี ได้เสนอแนะว่าในการให้คานิยามของคาว่า วิธีสอน
เช่นน้ี เป็นผลจากการคิดวิเคราะห์และเปรียบเทียบกับสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนกว่าดังกล่าวมาใช้ในการ
วิเคราะห์หามโนทัศน์ (Concept) ของวิธีสอนแต่ละวิธี เพื่อช่วยให้ผู้ศึกษาจับหลักได้ว่าอะไรเปน็ ส่วนแก่น
อะไรเป็นส่วนเสริม ความเข้าใจน้ีจะช่วยให้ผู้สอนใช้วิธีสอนอย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพและมั่นใจขึ้น
เนื่องจาก ทิศนา แขมมณีพบว่า ผู้สอนทั้งครูและนิสิตนักศึกษาจานวนมาก มักจะสอนโดยมุ่งเน้นที่
เทคนิคของวิธีสอนมากกว่าแก่นสาคญั ของวิธีสอน เนื่องจากเทคนิคต่างๆ นั้นเหน็ ได้ชัดมากกว่าแก่น ซึ่ง
มักจะซ่อนอยู่ภายใน เช่น วิธีสอนโดยใช้บทบาทสมมติ ผู้สอนจะหาบทบาทสมมติมาให้ผ้เู รียนแสดง แต่
ครูไม่สามารถนาการอภิปรายให้ไปสู่วัตถุประสงค์ได้ วิธีสอนโดยใช้ เกมหรือสถานการณ์จาลอง ผู้สอน
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 86
มีเกมและสถานการณ์จาลองมาให้ผู้เรียนเล่น แต่เล่นแล้วก็จบไม่มีการอภิปรายที่นาไปสู่การเรียนรู้
หรือวิธีสอนโดยการไปทัศนศึกษา ผู้สอนพาผู้เรียนไปทัศนศึกษา แต่ขาดการจัดการเกี่ยวกับการสงั เกต
และบันทึกข้อมูล เพื่อนามาใช้ในการอภิปรายเพื่อการเรียนรู้ เป็นต้น ดังน้ันการที่การสอนขาด
ประสิทธิภาพ ก็เนื่องจากผู้สอนไม่ทราบหรือเข้าใจถึงแก่นองค์ประกอบและข้ันตอนที่ขาดไม่ได้ของวิธี
สอนน้ันๆ ดงั นั้นการจะใช้วิธีสอนแบบใดครูผ้สู อนจึงต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ในวิธีสอนทีต่ นเลือกนามาใช้
ซึ่ง ทิศนา แขมมณี ได้แสดงกรอบสาหรับการวิเคราะห์วิธีสอนที่จะนามาใช้นั้น ครูผู้สอนควรต้อง
วิเคราะห์วิธีสอนในประเด็นต่อไปน้ีได้
1. ความหมายของวิธีสอนน้ันๆ คานิยามเป็นความคิดรวบยอดของวิธีสอนนั้น
ซึ่งประกอบไปด้วยองค์ประกอบและข้นั ตอนสาคญั อันเปน็ ลกั ษณะเด่นที่ขาดไม่ได้ของวิธีนั้น
2. วัตถุประสงค์ของวิธีสอนน้ัน วิธีสอนแต่ละวิธีจะมีลักษณะเด่น ที่มุ่งช่วยให้
การสอนบางจุดหรือบางด้านบรรลุผลได้ดีเป็นพิเศษ เมื่อศึกษาความหมายของวิธีสอน และ
วัตถุประสงค์ของวิธีสอนนั้นแล้ว จะสามารถตัดสินใจในเบ้ืองต้นได้ว่า วิธีนั้นเป็นวิธีที่มีส่วนสอดคล้อง
กบั ความต้องการของตนหรือไม่
3. องค์ประกอบสาคัญของวิธีสอนนั้นส่วนน้ีเป็นการระบุให้เห็นชัดเจนว่า สิ่ง
สาคญั ซึง่ วิธีนั้นจะขาดไม่ได้มีอะไรบ้างเปน็ องค์ประกอบที่เปน็ แก่นของวิธีน้ัน
4. ข้นั ตอนสาคัญของการสอนตามวิธีนั้น เป็นการระบุให้เห็นชัดเจนว่า ข้ันตอน
หลกั ๆ ในการดาเนินการทีจ่ ะขาดไม่ได้ของวิธีน้ันมีอะไรบ้าง เป็นข้นั ตอนทีเ่ ป็นแก่นของวิธีนั้น
5. เทคนิคและข้อเสนอแนะต่างๆ ในการใช้วิธีสอนนั้นให้มีคุณภาพสงู สุด ส่วนน้ี
เปน็ ข้อมูลเสริมเกี่ยวกบั เทคนิคและข้อเสนอแนะต่างๆ ทีจ่ ะช่วยให้วิธีแต่ละวิธีได้ผลสูงสดุ
6. ข้อดีและข้อจากดั ของวิธีสอนน้ันส่วนน้เี ป็นส่วนที่วิเคราะห์ให้เห็นถึงข้อดีและ
ข้อด้อยของวิธีสอนน้ันๆซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้สอนในการตัดสินใจใช้วิธีสอนนั้นๆ ให้เหมาะสมกับ
วตั ถปุ ระสงค์และสถานการณ์ของตน
1.1.1 วิธีสอนแบบต่างๆ
วิธีสอนที่ ทิศนา แขมมณี (2552) นาเสนอมี 14 วิธีคือ
1. วิธีสอนโดยการบรรยาย (Lecture)
2. วิธีสอนโดยการใช้การสาธิต (Demonstration)
3. วิธีสอนโดยใช้การทดลอง (Experiment)
4. วิธีสอนโดยใช้การนริ นยั (Deduction)
5. วิธีสอนโดยใช้การอุปนยั (Induction)
6. วิธีสอนโดยใช้การไปทศั นศึกษา (Field Trip)
7. วิธีสอนโดยใช้การอภิปรายกล่มุ ย่อย (Small Group Discussion)
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 87
8. วิธีสอนโดยใช้การแสดงละคร (Dramatization)
9. วิธีสอนโดยใช้การแสดงบทบาทสมมติ (Role Playing)
10. วิธีสอนโดยใช้กรณตี วั อย่าง (Case)
11. วิธีสอนโดยใช้เกม (Game)
12. วิธีสอนโดยใช้สถานการณ์จาลอง (Simulation)
13. วิธีสอนโดยใช้ศูนย์การเรียน (Learning Center)
14. วิธีสอนโดยใช้บทเรียนแบบโปรแกรม (Programmed Instruction)
จากความหลากหลายของวิธีสอน ครูพลศึกษาจึงต้องให้ความสาคัญต้องทาความเข้าใจและ
วิเคราะห์ดูองค์ประกอบและลักษณะต่างๆ ของวิธีสอนในบริบทของการสอนพลศึกษา เพื่อหาทาง
แยกแยะและจดั ระเบียบความคิดให้เข้าเป็นหมวดหมู่ เพือ่ จะช่วยให้การจัดการเรียนการสอนพลศึกษามี
ความเข้าใจได้ชดั เจนยิง่ ขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการนาประโยชน์ไปใช้ในการพฒั นาการสอนพลศึกษาได้อย่าง
ถูกต้องเหมาะสมและมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
1.2 รปู แบบการสอน
สาหรับการจัดประเภทของรูปแบบการสอนนั้น ทิศนา แขมมณี (2552) ได้
วิเคราะห์รูปแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากลที่ได้รับการพิสูจน์ทดสอบประสิทธิภาพมาแล้วและมีผู้
นิยมนาไปใช้ในการเรียนการสอนท่ัวไป แต่เนื่องจากรูปแบบการเรียนการสอนดังกล่าวมีจานวนมาก
เพื่อความสะดวกในการศึกษาและการนาไปใช้ จึงได้จัดหมวดหมู่ของรูปแบบเหล่าน้ันตามลกั ษณะของ
วตั ถปุ ระสงค์เฉพาะหรือเจตนารมณ์ของรูปแบบ ซึ่งสามารถจัดกล่มุ ได้เป็น 5 หมวดดงั น้ี
1. รปู แบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านพุทธิพิสยั
(Cognitive Domain)
2. รปู แบบการเรียนการสอนที่เน้นการพฒั นาด้านจิตพิสยั
(Affective Domain)
3. รปู แบบการเรยี นการสอนทีเ่ น้นการพฒั นาด้านทักษะพิสยั
(Psycho-Motor Domain)
4. รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพฒั นาทักษะกระบวนการ
(Process Skills)
5. รปู แบบการเรยี นการสอนทีเ่ น้นการบรู ณาการ (Integration)
รูปแบบการเรียนการสอนท้ังหมดน้ี เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่มีลักษณะ
ยึดผ้เู รียนเป็นสาคญั เพียงแต่มีความแตกต่างกันตรงจดุ เน้นของแต่ละด้านที่ต้องการพฒั นาในตวั ผ้เู รียน
และปริมาณของการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน ซึ่งมีมากน้อยแตกต่างกัน อย่างไรก็
ตามการสอนพลศึกษาแต่ละครั้งก็ประกอบไปด้วยองค์ประกอบท้ังทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 88
ทักษะพิสัย รวมท้ังทักษะกระบวนการทางสติปัญญา เพราะองค์ประกอบท้ังหมดมีความเกี่ยวพันกัน
อย่างใกล้ชิด การจัดหมวดหมู่ของรูปแบบเป็นเพียงเครือ่ งแสดงให้เห็นว่ารูปแบบนั้นมีวัตถุประสงค์หลกั
มุ่งเน้นไปทางใดเท่าน้ัน แต่ส่วนประกอบด้านอืน่ ๆ ก็ยงั คงมีอยู่เพียงแค่จะมีน้อยกว่าจดุ เน้นเท่าน้นั
การสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ
ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่2) พ.ศ.2545 ใน
หมวด 4 เกีย่ วกับเรือ่ งแนวการจดั การศึกษาในมาตรา 22 ได้กาหนดไว้ว่า การจัดการศึกษาต้องยึดหลัก
ว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถในการจัดการเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนสาคัญที่สุด
กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ
(กระทรวงศึกษาธิการ,2545) ดงั น้ันการจดั การเรียนการสอนที่เน้นผ้เู รียนเปน็ สาคัญ จึงเปน็ หลักสาคัญ
ที่สามารถสร้างและพัฒนาผู้เรียนให้เกิดคุณลักษณะต่างๆ ที่ต้องการในยุคโลกาภิวัตน์ เนื่องจากเป็น
การจัดการเรียนการสอนที่ให้ความสาคัญกับผู้เรียน ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักเรียนรู้ด้วยตนเอง เรียนใน
เรื่องที่สอดคล้องกับความสามารถและความต้องการของตนเอง และได้พัฒนาศักยภาพของตนเอง
อย่างเต็มที่ ซึ่งแนวคิดการจัดการศึกษาน้ีเป็นแนวคิดที่มีรากฐานจากปรัชญาการศึกษาและทฤษฎีการ
เรียนรู้ต่างๆ ที่ได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่องยาวนาน และเป็นแนวทางที่ได้รับการพิสจู น์ว่าสามารถพัฒนา
ผ้เู รียนให้มีคุณลักษณะตามต้องการอย่างได้ผล (วัฒนาพร ระงับทุกข์, 2542)
การเรียนการสอนที่เน้นผ้เู รียนเป็นสาคญั คือ แนวการจดั การเรียนการสอนที่เน้นให้ผ้เู รียนสร้าง
ความรู้ใหม่และสิ่งประดิษฐ์ใหม่โดยการใช้กระบวนการทางปัญญา (กระบวนการคิด) กระบวนการทาง
สังคม (กระบวนการกลุ่ม) และให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์และมีส่วนร่วมในการเรียน สามารถนาความรู้ไป
ประยุกต์ใช้ได้โดยผู้สอนมีบทบาทเป็นผู้อานวยความสะดวก จัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้ ผู้เรียนการ
จัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ต้องจัดให้สอดคล้องกับความสนใจความสามารถและ
ความถนัด เน้นการบูรณาการความรู้ในศาสตร์สาขาต่างๆ ใช้หลากหลายวิธีการสอนหลากหลายแหล่ง
ความรู้สามารถพัฒนาปัญญาอย่างหลากหลายคือ พหุปัญญารวมท้ังเน้นการวัดผลอย่างหลากหลาย
วิธี (พิมพันธ์ เดชะคุปต์, 2544)
1. การเรียนการสอนโดยเนน้ ผเู้ รียนเปน็ สาคัญกบั การสอนแบบดั้งเดิม
ไพฑูรย์ สินลารัตน์ (2549) ได้กล่าวว่าการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญน้ี
ผู้เรียนจะได้รับการส่งเสริมให้เป็นผู้มีความรับผิดชอบและมีส่วนร่วมต่อการเรียนรู้ของตนเอ ซึ่งแนวคิด
แบบผู้เรียนเป็นสาคัญ จะยึดการศึกษาแบบก้าวหน้าของผู้เรียนเป็นสาคัญ ผู้เรียนแต่ละคนมีคุณค่า
สมควรได้รับการเชื่อถือไว้วางใจ แนวทางน้ีจึงเป็นแนวทางที่จะผลักดันผู้เรียนไปสู่การบรรลุศักยภาพ
ของตน โดยส่งเสริมความคิดของผู้เรียนและอานวยความสะดวกให้เขาได้พัฒนาศักยภาพของตนเอง
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 89
อย่างเตม็ ที่ การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเปน็ สาคัญ เป็นการจัดกระบวนการเรียนร้แู บบใหม่ที่มี
ลกั ษณะแตกต่างจากการจดั กระบวนการเรียนร้แู บบด้งั เดิมท่ัวไปคือ
1.1 ผู้เรียนมีบทบาทรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตน บทบาทของครูคือผู้สนับสนุน
(Supporter) และเป็นแหล่งความรู้ (Resource person) ของผู้เรียนผู้เรียนจะรับผิดชอบต้ังแต่เลือกและ
วางแผนสิ่งที่ตนจะเรียนหรือเข้าไปมีส่วนร่วมในการเลือก และจะเริ่มต้นการเรียนรู้ด้วยตนเองด้วย
การศึกษาค้นคว้า รบั ผิดชอบการเรียน ตลอดจนประเมินผลการเรียนรู้ด้วยตนเอง
1.2 เน้ือหาวิชามีความสาคัญและมีความหมายต่อการเรียนรู้ในการออกแบบกิจกรรม
การเรียนรู้ปัจจัยสาคัญที่จะต้องนามาพิจารณาประกอบด้วยเน้ือหาวิชาประสบการณ์เดิมและความ
ต้องการของผ้เู รียน การเรียนรู้ที่สาคัญและมีความหมายจึงข้ึนอย่กู บั สิ่งที่สอน (เน้ือหา) และวิธีที่ใช้สอน
(เทคนิคการสอน)
1.3 การเรียนรู้จะประสบผลสาเร็จหากผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอน
ผู้เรียนจะได้รับความสนุกสนานจากการเรียน หากได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ได้ทางานร่วมกันกับ
เพือ่ นๆ ได้ค้นพบข้อคาถามและคาตอบใหม่ๆสิ่งใหม่ ๆ ประเด็นทีท่ ้าทายและความสามารถในเรื่องใหม่ๆ
ที่เกิดขึ้นรวมทั้งการบรรลุผลสาเรจ็ ของงานทีพ่ วกเขาริเริม่ ด้วยตนเอง
1.4 สัมพันธภาพที่ดีระหว่างผู้เรียน การมีสัมพันธภาพที่ดีในกลุ่ม จะช่วยส่งเสริมความ
เจริญงอกงาม การพัฒนาความเป็นผู้ใหญ่ การปรับปรุงการทางานและการจัดการกับชีวิตของแต่ละ
บุคคล สัมพันธภาพที่เท่าเทียมกันระหว่างสมาชิกในกลุ่มจึงเป็นสิ่งสาคัญที่จะช่วยส่งเสริมการ
แลกเปลีย่ นเรียนร้ซู ึ่งกนั และกนั ของผ้เู รียน
1.5 ครูคือผู้อานวยความสะดวกและเป็นแหล่งความรู้ในการจัดการเรียนการสอนแบบ
เน้นผู้เรียนเปน็ สาคญั ครจู ะต้องมีความสามารถทีจ่ ะค้นพบความต้องการที่แท้จริงของผ้เู รียน เปน็ แหล่ง
ความรู้ทีท่ รงคณุ ค่าของผ้เู รียน และสามารถค้นคว้าหาสือ่ วสั ดอุ ปุ กรณ์ที่เหมาะสมกับผู้เรียน สิ่งที่สาคัญ
ที่สุดคือความเต็มใจของครูที่จะช่วยเหลือโดยไม่มีเงื่อนไข ครูจะให้ทุกอย่างแก่ผู้เรียนไม่ว่าจะเป็นความ
เชี่ยวชาญ ความรู้ เจตคติ และการฝึกฝนโดยผู้เรียนมีอิสระที่จะรบั หรือไม่รบั การให้น้นั กไ็ ด้
1.6 ผู้เรียนมีโอกาสเห็นตนเองในแง่มุมที่แตกต่างจากเดิม การจัดการเรียนการสอนที่
เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญมุ่งให้ผู้เรียนมองเห็นตนเองในแง่มุมที่แตกต่างออกไป ผู้เรียนจะมีความมั่นใจใน
ตนเองและควบคุมตนเองได้มากขึ้น สามารถเป็นในสิ่งที่อยากเป็น มีวุฒิภาวะสูงมากขึ้นปรับเปลี่ยน
พฤติกรรมตนให้สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมและมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ต่างๆมากข้นึ
1.7 การศึกษาคือการพัฒนาประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียนหลายๆ ด้านพร้อมกัน
ไปการเรียนรู้ทีเ่ น้นผู้เรียนเป็นสาคัญเปน็ จุดเริม่ ของการพัฒนาผู้เรียนหลายๆด้าน เช่น คุณลกั ษณะด้าน
ความรู้ ความคิด ด้านการปฏิบัติและด้านอารมณ์ความรู้สึก จะได้รับการพัฒนาไปพร้อมๆกันการจัด
กิจกรรมการเรียนการสอนทีม่ ุ่งพฒั นาผ้เู รียนจึงต้องใช้เทคนิควิธีสอนวิธีการเรียนรู้
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 90
2. รปู แบบการสอนทีเ่ นน้ ผเู้ รียนเป็นสาคญั
สาหรับรูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญน้ัน ได้มีการคิดค้น
วิธีการสอนรูปแบบต่างๆ ผ่านการศึกษาวิจัย ซึ่งจากผลการศึกษาวิจัย โดยการสังเคราะห์งานวิจัย
เกี่ยวกับรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญน้ัน สามารถจาแนกรูปแบบการสอนเป็น 3
กลุ่มใหญ่ๆ คือ(กระทรวงศึกษาธิการ,2544) กลุ่มรูปแบบการสอนที่เน้นกระบวนการคิดกลุ่มรูปแบบ
การสอนที่เน้นการมีส่วนร่วม และกลุ่มรูปแบบการสอนที่เน้นการพัฒนาพฤติกรรมและค่านิยม
รายละเอียดดังน้ี
2.1. กลุม่ รูปแบบการสอนทีเ่ นน้ กระบวนการคิด
กล่มุ รปู แบบการสอนทเี่ นน้ กระบวนการคิดทีก่ ระทรวงศึกษาธกิ าร (2544)
เสนอไว้เป็นตัวอย่างมีถงึ 20 วิธีได้แก่
2.1.1 การใช้กระบวนการแก้ปญั หา
2.1.2 การเรียนรู้ “ฉลาดรู้”
2.1.3 การเรียนร้ทู ี่เน้นการพฒั นาคณุ ภาพความคิด
2.1.4 การเรียนร้แู บบสรรค์สร้างความรู้
2.1.5 การสอนโดยใช้ชุดการสอน
2.1.6 การสอนตามแนวพุทธวิธี
2.1.7 การสอนตามแนววฏั จกั รการเรียนรู้
2.1.8 การสอนตามวิธีของเทนนีสัน
2.1.9 การสอนตามหลกั การเรียนร้ขู องกาเย่
2.1.10 การสอนที่เน้นทักษะกระบวนการ
2.1.11 การสอนแบบกระบวนการ
2.1.12 การสอนแบบโครงการ
2.1.13การสอนแบบโครงงาน
2.1.14 การสอนแบบบรู ณาการ
2.1.15 การสอนแบบรอบรู้
2.1.16 การสอนแบบศูนย์การเรียน
2.1.17 การสอนแบบสืบสวนสอบสวน
2.1.18 การสอนแบบอุปนัย
2.1.19 การสอนแบบนิรนัย
2.1.20 การสอนรายบคุ คลหรือการเรียนด้วยตนเอง
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 91
2.2 กลุ่มรูปแบบการสอนที่เนน้ การมีสว่ นรว่ ม
สาหรับรูปแบบการสอนที่เน้นการมีส่วนร่วมเป็นรูปแบบการสอนที่มี
วัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนรู้จักการทางานร่วมกัน รูปแบบการสอนในกลุ่มน้ี กระทรวงศึกษาธิการ
(2544) ได้นาเสนอไว้เป็นตัวอย่างจานวน 10 วิธีได้แก่
2.2.1 การเรียนร้แู บบมีส่วนร่วม
2.2.2 การสอนโดยใช้กจิ กรรมกล่มุ
2.2.3 การสอนที่เน้นการเรียนแบบร่วมมอื
2.2.4 การสอนแบบร่วมมือกนั เรียนรู้
2.2.5 การสอนแบบกลมุ่ สมั พันธ์
2.2.6 การสอนแบบซินดิเคท
2.2.7 การสอนแบบเพื่อนชว่ ยเพื่อน
2.2.8 การสอนแบบสเตด (STAD)
2.2.9 กิจกรรมคิวซีหรือกิจกรรมกลมุ่ สรา้ งคณุ ภาพ (QC)
2.2.10 การสอนแบบซิปปา (CIPPA)
2.3 รปู แบบการสอนที่เนน้ การพฒั นาพฤติกรรมและคา่ นิยม
รปู แบบการสอนทีเ่ น้นการพฒั นาพฤติกรรมที่พึงประสงค์และค่านิยมทีด่ ที ี่
กระทรวงศึกษาธิการ (2544) เสนอไว้เป็นตัวอย่างมี 7 วิธีได้แก่
2.3.1 การใช้สถานการณ์จาลอง
2.3.2 การทาค่านิยมใหก้ ระจ่าง
2.3.3 การปรบั พฤติกรรม
2.3.4 การสร้างเสริมลกั ษณะนิสัย
2.3.5 การสอนที่เน้นการพัฒนาศกั ยภาพ
2.3.6 การสอนแบบนาฏการ
2.3.7 การแสดงบทบาทสมมติ
3. เทคนิคการสอนทีเ่ น้นผ้เู รียนเปน็ สาคัญ
สาหรับเทคนิคการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญนั้น คณะกรรมการปฏิรูปการเรียนรู้
(2543) ได้เสนอแนะไว้หลากหลายวิธี ซึ่งจาแนกได้ดังนี้
3.1 การจัดการเรียนการสอนทางอ้อม ได้แก่ การเรียนรู้แบบสืบค้น แบบค้นพบ แบบ
แก้ปัญหา แบบสร้างแผนผงั ความคิด แบบใช้กรณีศึกษา แบบต้ังคาถาม แบบใช้การตดั สินใจ
3.2 เทคนิคการศึกษาเป็นรายบุคค ได้แก่ วิธีการเรียนแบบศูนย์การเรียน แบบการ
เรียนร้ดู ้วยตนเอง แบบชดุ กิจกรรม การเรียนร้คู อมพิวเตอร์ช่วยสอน
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 92
3.3 เทคนิคการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีต่างๆประกอบการเรียน เช่น การใช้
สิ่งพิมพ์ตาราเรียนและแบบฝึกหัด การใช้แหล่งทรัพยากรในชุมชน ศูนย์การเรียน ชุดการสอน
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน บทเรียนสาเร็จรปู
3.4 เทคนิคการจัดการเรียนการสอนแบบเน้นปฏิสัมพันธ์ประกอบด้วยการโต้วาทีกลุ่ม
(Buzz) การอภิปรายการระดมพลังสมองกลุ่ม แก้ปัญหากลุ่ม ติวการประชุมต่างๆ การแสดงบทบาท
สมมติ กล่มุ สืบค้น ค่คู ิดการฝึกปฏิบตั ิ เป็นต้น
3.5 เทคนิคการจัดการเรียนการสอนแบบเน้นประสบการณ์ เช่น การจัดการเรียนรู้
แบบมีส่วนร่วม เกม กรณีตัวอย่าง สถานการณ์จาลอง ละครกรณีตัวอย่าง สถานการณ์จาลองละคร
บทบาทสมมติ
3.6 เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือได้แก่ ปริศนาความคิด ร่วมมือแข่งขันหรือกลุ่มสืบค้น
กล่มุ เรียนร้รู ่วมกัน กล่มุ ร่วมมือ
3.7 เทคนิคการเรียนการสอนแบบบูรณาการ ได้แก่ การเรียนการสอนแบบใช้เล่าเรื่อง
(Story Line) และการเรียนการสอนแบบแก้ปัญหา (Problem-Solving)
ซึ่งในการประเมินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ คณะการปฏิรูป
การเรียนรู้ (2543 )ได้เสนอตัวดชั นีช้วี ดั การเรียนของผ้เู รียน รวมทั้งดัชนี้ชี้วดั การสอนของครู ไว้ดงั น้ี
ดชั นีชี้วดั การเรียนของผเู้ รียนมีดงั นี้
1. ผ้เู รียนมปี ระสบการณ์ตรงสมั พันธ์กบั ธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม
2. ผ้เู รียนฝกึ ปฏิบตั ิจนคน้ พบความถนดั และวิธีการของตนเอง
3. ผ้เู รียนทากิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรจู้ ากกลุ่ม
4. ผ้เู รียนฝกึ คิดอย่างหลากหลายและสร้างสรรค์จินตนาการ ตลอดจนได้แสดงออก
อย่างชัดเจนและมีเหตผุ ล
5. ผ้เู รียนไดร้ บั การเสริมแรงให้ค้นหาคาตอบแก้ปัญหาท้ังด้วยตนเองและร่วมด้วย
ช่วยกนั
6. ผ้เู รียนได้ฝกึ ค้นรวบรวมข้อมลู และสร้างสรรค์ความร้ดู ้วยตนเอง
7. ผ้เู รียนเลือกทากจิ กรรมตามความสามารถความถนดั และความสนใจของตนเอง
อย่างมีความสุข
8. ผ้เู รียนฝึกตนเองให้มีวนิ ยั และรบั ผิดชอบในการทางาน
9. ผ้เู รียนฝึกประเมินปรับปรุงตนเองและยอมรับผ้อู ืน่ ตลอดจนใฝ่หาความร้อู ย่าง
ต่อเนือ่ ง
ดชั นีชี้วัดการสอนของครมู ีดงั นี้
1. ครูเตรียมการสอนท้งั เน้ือหาและวิธีการ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 93
2. ครจู ดั สิง่ แวดล้อมและบรรยากาศที่ปลกุ เร้าจงู ใจและเสริมแรงให้ผู้เรียนเกิดการ
เรียนรู้
3. ครเู อาใจใส่ผู้เรียนเปน็ รายบคุ คลและแสดงความเมตตาต่อผ้เู รียนอย่างท่วั ถึง
4. ครูจดั กิจกรรมและสถานการณใ์ ห้ผ้เู รียนได้แสดงออกและคิดอย่างสร้างสรรค์
5. ครูส่งเสริมให้ผู้เรียนฝึกคิดฝึกทาและฝกึ ปรับปรุงด้วยตนเอง
6. ครูส่งเสริมกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรจู้ ากกลุ่มพร้อมท้ังสงั เกตส่วนดีและปรับปรุง
ส่วนด้อยของผ้เู รียน
7. ครูใช้สือ่ การสอนเพือ่ ฝึกการคิดการแก้ปญั หาและการค้นพบความรู้
8. ครูใช้แหล่งเรียนร้ทู ีห่ ลากหลายและเชือ่ มประสบการณก์ บั ชีวิตจรงิ
9. ครูฝึกฝนกริ ิยามารยาทและวินยั ตามวิถีวัฒนธรรมไทย
10. ครูสังเกตและประเมินพัฒนาการของผ้เู รียนอย่างต่อเนื่อง
4. แนวคิดและแนวปฏิบัติในการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ทีเ่ นน้ ผเู้ รียนเปน็ สาคญั
ทิศนา แขมมณี (2547) ได้นาเสนอแนวคิดรวมท้ังแนวปฏิบัติในการจัดกิจกรรม ที่เปิด
โอกาสให้ผู้เรียนมีเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอน หรือแนวปฏิบัติในการจัดกิจกรรมการ
เรียนร้ทู ี่เน้นผ้เู รียนเปน็ สาคัญไว้อย่างน่าสนใจ คือ
4.1 กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีนั้น ควรช่วยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมทางด้านร่างกาย
(Physical Participation) คือเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสเคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อช่วยให้
ประสาทการเรียนรู้ของผู้เรียนตื่นตัว พร้อมที่จะรับข้อมูลและการเรียนรู้ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น การรับรู้เป็น
ปัจจัยสาคัญในการเรียนรู้ ถ้าผู้เรียนอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อม แม้จะมีการให้ความรู้ที่ดีๆ ผู้เรียนก็ไม่
สามารถรับได้ ดังจะเห็นได้ว่าถ้าปล่อยให้ผู้เรียนนั่งนานๆ ในไม่ช้าผู้เรียนก็จะหลับหรือคิดเรื่องอื่นๆแต่
ถ้าให้มีการเคลื่อนไหวทางกายบ้างกจ็ ะทาให้ประสาทการเรียนรู้ของผู้เรียนตืน่ ตัวและพร้อมที่จะรับและ
เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ดี ดังน้ัน กิจกรรมที่จัดให้ผู้เรียนจึงควรเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เคลื่อนไหวใน
ลักษณะใดลักษณะหนึง่ เป็นระยะๆ ตามความเหมาะสมกับวยั และระดบั ความสนใจของผ้เู รียน
4.2 กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีนั้น ควรช่วยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมทางสติปัญญา
(Intellectual Participation) คือเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเคลื่อนไหวทางสติปัญญาต้องเป็น
กิจกรรมที่ท้าทายความคิดของผู้เรียน สามารถกระตุ้นสมองของผู้เรียนให้เกิดการเคลื่อนไหว ต้องเป็น
เรือ่ งทีไ่ ม่ยากหรือง่ายเกินไป ทาให้ผ้เู รียนเกิดความสนุกที่จะคิด
4.3 กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีนั้น ควรช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางด้านสังคม (Social
Participation) คือเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับบุคคลหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว
เนื่องจากมนุษย์จาเป็นต้องอยู่รวมกันเป็นหมู่คณะ มนุษย์ต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้ากับผู้อื่นและ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 94
สภาพแวดล้อมต่างๆ การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
ทางด้านสังคม
4.4 กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีน้ัน ควรช่วยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมทางอารมณ์ (Emotional
Participation) คือเป็นกิจกรรมที่ส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของผู้เรียน ซึ่งจะช่วยให้การเรียนรู้น้ันเกิด
ความหมายต่อตนเอง โดยกิจกรรมดงั กล่าวควรเกี่ยวข้องกับผ้เู รียนโดยตรง โดยปกติการมีส่วนร่วมทาง
อารมณ์น้ี มักเกิดขึ้นพร้อมกับการกระทาอื่นๆ อยู่แล้ว เช่น กิจกรรมทางกาย สติปัญญาและสังคมทุก
คร้ังที่ผู้สอนให้ผู้เรียนเคลื่อนที่ เปลี่ยนอิริยาบถ เปลี่ยนกิจกรรม ผู้เรียนจะเกิดอารมณ์ความรู้สึกอาจ
เป็นความพอใจ ไม่พอใจหรือเฉยๆ การออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ
สามารถใช้ได้กับการจัดการเรียนการสอนทุกวิชา เพียงแต่ธรรมชาติของเน้ือหาวิชาที่ต่างกันจะมี
ลักษณะที่เอื้ออานวยให้ผู้สอนออกแบบกิจกรรมที่ส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็น
สาคัญต่างกันนั้นเอง
จากทีก่ ล่าวมาข้างต้น เมือ่ พิจารณาถึงการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนพลศึกษา ทีเ่ น้นผู้เรียน
เป็นผู้ลงมือปฏิบัติเอง ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้โดยผ่านร่างกายของตนเอง โดยใช้กิจกรรมทางกายเป็นสื่อ
ในการพัฒนาผ้เู รียนครบท้งั 5 ด้าน โดยเป้าหมายสูงสดุ คือ การเปน็ มนษุ ย์ที่สมบูรณ์ท้ังทางด้านร่างกาย
จิตใจ อารมณ์ สติปัญญา และสังคมนั้น เป็นรูปแบบที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญอย่างแท้จริง นอกจากน้ียัง
เป็นไปและสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่2)
พ.ศ.2545 มาตรา 22 ที่กาหนดไว้ว่าการจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถใน
การจัดการเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนสาคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้อง
ส่งเสริมให้ผ้เู รียนสามารถพฒั นาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพต่อไป
วิธีสอนพลศึกษา
การจัดการเรียนการสอนวิชาพลศึกษา ถือได้ว่าเป็นกระบวนการที่มุ่งให้ผู้เรียนได้บรรลุ
จุดประสงค์การเรียนรู้หรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเช่นเดียวกับการเรียนการสอนในวิชาอื่นๆที่เรียนใน
ห้องเรียน ดังนั้นวิธีการสอนในวิชาพลศึกษา จึงต้องอาศัยหลกั การและกระบวนการที่เปน็ ปจั จัยสาคัญที่
ทาให้เกิดการเรียนรู้ เช่นเดียวกันกับการเรียนในวิชาอื่นๆในห้องเรียนด้วยเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม
เนื่องจากลักษณะของการเรียนการสอนวิชาพลศึกษานั้น มีหลักการและปรัชญาการเรียนการสอน
จุดประสงค์การเรียนรู้ลักษณะของเน้ือหาวิชากิจกรรมประสบการณ์ที่จัดให้ผู้เรียน สถานที่ และ
อุปกรณ์ต่างๆที่จะใช้ประกอบในการเรียนการสอนในวิชาพลศึกษามีความแตกต่างจากรายวิชาอื่นๆที่
เรียนในห้องเรียนอย่างเหน็ ได้ชัด ดังนั้นครูพลศึกษาจึงต้องสามารถดดั แปลงและประยุกต์ใช้วิธีการสอน
ที่มีรูปแบบและวิธีการต่าง ๆ มาใช้ให้สอดคล้องกับบริบทของเน้ือหาวิชาจุดประสงค์การเรียนรู้และ
สภาพการณ์ของการเรียนการสอนวิชาพลศึกษานั้น ๆ และด้วยการเรียนการสอนในวิชาพลศึกษามุ่งให้
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 95
ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีพัฒนาการตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่แตกต่างกันในหลายๆ ด้านพร้อมๆ
กันกับการลงมือปฏิบัติจริงด้วยแล้ว วิธีสอนที่นามาใช้จึงต้องมีการดดั แปลงให้มีความเหมาะสมเพิม่ มาก
ยิ่งขึ้นอีกตามไปด้วย ครูพลศึกษาจึงต้องประยุกต์ใช้วิธีการสอนต่างๆ ที่หลากหลาย รวมทั้งรู้จัก
ดัดแปลงผสมผสานวิธีการสอนแบบต่างๆ เข้าด้วยกัน จึงจะสามารถทาให้การจัดกิจกรรมพลศึกษา
บรรลุจุดประสงค์การเรียนร้ตู ามทีไ่ ด้วางไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นต่อไป
สาหรับวิธีสอนพลศึกษานั้น วรศักดิ์ เพียรชอบ (2548) ได้เสนอวิธีการสอนพลศึกษาไว้
หลากหลายวิธี ดงั รายละเอียดต่อไปนี้
1. วิธีการสอนแบบบรรยาย
วิธีการสอนแบบบรรยายอาจจะนามาใช้ในการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาได้ในช่วงที่ครูมีความ
ต้องการให้ผ้เู รียนมีความร้แู ละเข้าใจในเรื่องต่างๆ เช่น ประวัติและความเปน็ มาประโยชน์และคณุ ค่าของ
การกีฬา ระเบียบและกติกาการเล่นกีฬาที่ง่ายๆ กลวิธีการเล่นที่ง่ายๆ มารยาทในการเล่นหรือ
เหตุการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับการกีฬา เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจและมีความรู้พร้อมๆกันท้ังช้ันเรียน เช่น ใน
ข้นั ตอนของการสร้างความเข้าใจในสิ่งที่เรียน เพื่อให้สามารถนาไปปฏิบัติได้แต่การนาวิธีการสอนแบบน้ี
มาใช้จะต้องเป็นไปด้วยความระมัดระวังรวบรัดส้ันๆและง่ายๆไม่ต้องใช้เวลามากการเรียนรู้แบบ
บรรยายน้ี เป็นวิธีการเรียนการสอนที่มีจุดอ่อนมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการนามาใช้ในการ
สอนวิชาพลศึกษา ท้ังน้ี เพราะว่าตามหลักการของวิชาพลศึกษานั้น มุ่งเพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยการ
ลงมือปฏิบัติจริงด้วยตนเองเป็นสาคัญ ดังนั้น วิธีการสอนแบบบรรยายน้ีถ้ามีการนามาใช้เกินความ
จาเป็นแล้วอาจจะเปน็ ผลเสียแก่ผู้เรียนมากกว่าประโยชน์ที่ผู้เรียนจะได้รับกไ็ ด้ ดงั นั้น การทีค่ รูผ้สู อนจะ
นาวิธีการสอนแบบบรรยายใช้ในการสอนวิชาพลศึกษาก็ต่อเมื่อมีความจาเป็นจริงๆ เท่าน้ันและการใช้
นั้นควรจะได้คานึงถึงหลกั การที่สาคญั ๆดังน้ีคือ
1.1 ก่อนทาการสอนครูควรเตรียมการไว้ล่วงไว้เป็นอย่างดีว่า สิ่งที่จาเป็นที่ง่ายๆ ที่ผู้เรียนควร
จะรู้เพื่อให้สามารถนากีฬาที่สอนนั้นไปใช้ได้ตามอัตภาพของตนเองนั้นควรจะเป็นอะไรและจะใช้เวลาที่
ส้นั เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายน้ันควรจะทาอย่างไร
1.2 ครคู วรจัดผู้เรียนให้สามารถเห็นครูและได้ยินคาสอนของครูได้โดยชดั เจน
1.3 การบรรยายหรือการอธิบายน้ันควรกระทาเฉพาะในสิ่งทีง่ ่ายๆและทีจ่ าเปน็ สาหรับผู้เรียนใน
ระดบั ที่สอนน้เี ท่าน้ัน
1.4 เตรียมอุปกรณ์ที่จะใช้ประกอบเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจได้รวดเร็วยิ่งขึ้นให้พร้อมที่จะหยิบ
ฉวยออกมาใช้ได้ด้วยความรวดเร็ว
1.5 การบรรยายหรือการอธิบายน้ันควรจะกระทาด้วยความรวดเร็วภายในระยะเวลาที่ส้ันๆแต่
ให้ผ้เู รียนเข้าใจ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 96
2. วิธีการสอนแบบอธิบายประกอบการสาธิต
การสอนแบบอธิบายประกอบการสาธิตน้ีเป็นวิธีการสอนที่สามารถประหยดั เวลาและใช้ได้ดีใน
การเรียนการสอนวิชาพลศึกษามากกว่าวิธีการสอนแบบบรรยายที่ได้กล่าวมาแล้วเพราะว่าเป็นวิธีการ
สอนทีส่ ามารถได้ยินจากหูและเห็นด้วยตาได้โดยเฉพาะในทักษะต่างๆ ในการกีฬาเป็นการช่วยให้ผ้เู รียน
ได้เห็นและเข้าใจในสิ่งที่ครูต้องการให้ผู้เรียนนาไปปฏิบัติได้น้ันคืออะไร และมีวิธีการเคลื่อนไหวส่วน
ต่างๆของร่างกายในทักษะน้ันๆอย่างไรในทันทีทันใด หลักสาคัญของการสอนตามแบบหรือวิธีน้ีมี
ดังน้คี ือ
2.1 ก่อนที่จะทาการสอนครูควรเตรียมการไว้ล่วงหน้าไว้เป็นอย่างดีว่าจุดสาคัญหรือการ
เคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายทีส่ าคัญที่ครูต้องการทีจ่ ะอธิบายและสาธิตให้ผ้เู รียนได้เห็นและเข้าใจ
แล้วนาไปปฏิบตั ิได้เองนั้นคืออะไร เพื่อจะได้ใช้เวลาได้อย่างประหยดั ทีส่ ุด
2.2 ครูควรจัดให้ผู้เรียนอยู่ในตาแหน่งที่ผู้เรียนสามารถจะได้ยินและเห็นการสาธิตจากครูได้
อย่างชัดเจนอย่างท่วั ถึงกัน
2.3 ในกรณีที่ครูจะใช้ผู้เรียนเป็นผู้ช่วยในการสาธิตประกอบการอธิบายของครูผู้เรียนที่จะช่วย
สาธิตประกอบการอธิบาย ควรจะได้รู้วัตถุประสงค์ของการสาธิตน้ันด้วยว่าเป็นการสาธิตเพื่ออะไร มี
ลาดับของการเคลื่อนไหวของร่างกายอย่างไรให้ชัดเจน เพื่อจะได้สามารถทาการสาธิตได้ถูกต้องตาม
อธิบายผ้เู รียนสามารถเหน็ และเข้าใจได้โดยง่ายไม่ต้องเสียเวลา
2.4 อุปกรณ์การสอนหรือวัสดุต่างๆที่มีความจาเป็นจะต้องใช้ประกอบ ควรจะเตรียมให้พร้อม
และสามารถทีจ่ ะหยิบฉวยมาใช้ได้ในทันทีทนั ใด
2.5 ครูควรจะแยกแยะทักษะที่เป็นส่วนประกอบที่เป็นพื้นฐานเบ้ืองต้นที่จาเป็นที่ผู้เรียนควรจะ
ได้ทราบเพื่อให้สามารถนาไปใช้ตามอัตภาพของตนเองได้ว่ามีอะไรและทาอย่างไรให้ผู้เรียนเห็นและ
เข้าใจได้อย่างรวบรัดและชัดเจน หรือถ้าเป็นไปได้อาจจะให้ผู้เรียนลองทาตามคาอธิบายและการสาธิต
นั้นด้วยกจ็ ะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจและสามารถทาได้เร็วยิ่งข้นึ
2.6 เมื่อผู้เรียนได้เห็นและเข้าใจในวิถีการเคลื่อนส่วนต่างๆของร่างกายในทักษะกีฬานั้นๆได้ดี
แล้วครคู วรให้ผ้เู รียนลองทาตามครูในท่ามือเปล่าเพื่อเป็นการซ้อมความเข้าใจอีกคร้งั
2.7 การอธิบายประกอบการสาธิตในวิถีการเคลื่อนไหวของทักษะ เช่น วิถีการเคลื่อนไหวของ
ลูกในทักษะที่เกี่ยวกับการยิงประตู การส่ง การรับลูกบอล การกระโดด การพุ่งแหลน การขว้างจักร
หรืออื่นๆ น้ันครูอาจจะนาแผนผังหรือแผ่นภาพของวิถีการเคลื่อนไหวของทักษะต่างๆเหล่าน้ันมา
ประกอบเพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้เห็นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนเข้าใจง่ายมากยิ่งขึ้นอีก สาหรับภาพวิถีการ
เคลื่อนไหวในวีดีทัศน์หรือในภาพยนตร์นั้นอาจจะไม่สะดวกในการที่จะนามาใช้ประกอบการเรียนใน
สนามในเวลาเรียนจริงถ้าจะใช้อาจจะนามาใช้นอกเวลาเรียนได้
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 97
3. วิธีการสอนแบบการใหผ้ ู้เรียนไดป้ ฏิบตั ิจริง
วิธีการสอนแบบน้ี เป็นวิธีการสอนที่มีหลกั การและความมุ่งหมายเช่นเดียวกบั ของกระบวนการ
ของการปฏิบตั ิจริงเพือ่ ความสนุกสนานตามที่ได้กล่าวมาแล้ว คือ เปน็ กระบวนการสอนที่มุ่งให้ผู้เรียนได้
นาสิ่งที่เรียนรู้มาแล้วมาลงมือปฏิบัติจริงด้วยความสนุกสนาน และเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ของการ
เรียนรู้ที่ได้วางไว้ท้ัง 5 ด้านพร้อมๆ กันอย่างแท้จริงนั่นเอง วิธีการสอนแบบอื่น เช่น การสอนแบบ
บรรยายหรือวิธีการสอนแบบอธิบายและสาธิตประกอบหรือการสอนแบบอื่นๆนั้นส่วนใหญ่จะเน้น
เพื่อให้ผู้เรียนได้มีความรู้มีความเข้าใจในเรื่องของทักษะหรือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการพลศึกษาหรือกีฬา
ก่อน แล้วจึงนาไปปฏิบัติได้ในโอกาสต่อไปมากกว่า แต่การสอนแบบการให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติจริงน้ีเป็น
การให้ผู้เรียนได้ลงมือเล่นด้วยตนเองจริงๆ แล้วผลจะเกิดขึ้นกับผู้เรียนทันทีทันใดในขณะนั้นเอง เช่น
ในขณะที่ผู้เรียนได้เล่นจริงด้วยตนเองนั้น จะทาให้ผู้เรียนได้ออกกาลังกายทาให้มีร่างกายแข็งแรงดีขึ้น
ผ้เู รียนได้ใช้ทกั ษะต่างๆของการกีฬาทาให้ได้ฝึกหดั ทักษะกีฬาต่างๆ เหล่านั้นไปในตวั ด้วย ในที่สดุ กท็ าให้
มีทักษะในการกีฬาดีขึ้นสามารถเล่นกีฬานั้นได้ตามอัตภาพของตนเอง ผู้เรียนได้เล่นกีฬาทาให้มีความรู้
ความเข้าใจในวิธีการเล่นในกติกาการเล่น และสิ่งอื่นๆที่เกี่ยวกับการกีฬาดีขึ้น ผู้เรียนได้ปฏิบัติตาม
ระเบียบการเล่นกติกาการเรียนและการมีน้าใจนักกีฬา ทาให้เห็นความสาคัญของระเบียบการเล่นกติกา
การเล่นและการมีน้าใจนักกีฬาจึ งทาให้เป็นผู้ที่พยายามปฏิบัติตามระเบียบกติกาการเล่นและการมี
น้าใจนักกีฬาและเป็นผ้ทู ี่มีคุณลักษณะประจาตัวในด้านต่างๆ ตามที่กล่าวน้ีมาขึ้นและผู้เรียนได้เล่นกีฬา
ด้วยความสนุกสนานทาให้มีความรักความชอบการกีฬาและเห็นความสาคัญและคุณค่าของการเล่น
กีฬามากขึ้น และพยายามเล่นกีฬาและออกกาลังกายเป็นประจาและสมา่ เสมอมากขึ้น
วิธีการสอนแบบน้ี นอกจากจะเป็นวิธีการสอนวิชาพลศึกษาที่ช่วยให้บรรลุจุดประสงค์การ
เรียนรู้ในทุกๆด้านพร้อมๆ กันทั้ง 5 ด้านตามที่กล่าวแล้ว ยังเป็นวิธีการสอนที่สามารถสนองความ
ต้องการทั้งในด้านร่างกายและจิตใจของผู้เรียน ทาให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงออกท้ังในด้าน
ความสามารถของร่างกายและความรู้สึกนึกคิดในการแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในระหว่าง
การเล่นน้ันได้ดีตลอดเวลาอีกด้วย ดังนั้น วิธีการเรียนการสอบแบบน้ี จึงเป็นวิธีการที่ส่งเสริมให้ผู้เรียน
แต่ละคนได้มีพัฒนาการในด้านต่างๆ ตามธรรมชาติและตามศักยภาพของตนเองในผู้เรียนแต่ละคนได้
อย่างแท้จริง ฉะนั้นเพื่อให้การเรียนการสอนตามแบบหรือวิธีการน้ีบรรลผุ ลตามที่กล่าวน้ีได้ดียิ่งขึ้น จึง
จาเป็นจะต้องจัดให้เป็นไปตามหลักการในข้ันตอนของกระบวนการของการปฏิบัติจริง เพื่อความ
สนุกสนานตามที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนแรกและในขณะเดียวกันก็ควรจะได้นาหลักการในด้านต่างๆ
ดังต่อไปนี้มาเปน็ แนวทางประกอบด้วยคือ
3.1 การจัดการเรียนการสอนแต่ละคร้ัง ครูจะต้องระลึกอยู่เสมอว่า การสอนวิชา
พลศึกษานั้น แม้ว่าเป็นการสอนที่มีการใช้กิจกรรมกีฬา เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล วอลเลย์บอล หรือ
กีฬาอื่นๆ เป็นกิจกรรมในการสอนนั้นก็จริง แต่จะต้องเข้าใจว่าการสอนน้ันไม่ใช่เป็นการสอนฟุตบอล
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 98
หรือบาสเกตบอล หากแต่ว่าการสอนน้ันเป็นการใช้ฟุตบอลเป็นกิจกรรม เพื่อทาให้ผู้เรียนเป็นคนที่
สมบูรณ์มากกว่า ดังน้ันในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาทุกครั้ง ครูจึงพยายามต้อง
จัดให้ผ้เู รียนแต่ละคนได้มีพัฒนาการในทกุ ๆด้านพร้อมๆ กันตามที่ได้กล่าวมาแล้วจึงจะถูกต้อง
3.2 ความสนุกสนานที่เกิดขึ้นจากการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนตาม
กระบวนการสอนน้ี ไม่ใช่เป็นจุดหมายปลายทางของวิชาพลศึกษา หากแต่ว่าความสนุกสนานนั้นเป็น
เพียงวิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้การเรียนการสอนนั้นได้บรรลุจุดหมายการเรียนรู้ที่วางไว้เท่านั้นดังน้ันใน
การจัดการเรียนการสอนทุกคร้ัง ครูจึงจะต้องตั้งจุดประสงค์การเรียนรู้เพื่อความเป็นคนที่สมบูรณ์ให้
ชดั เจนแล้วใช้วิธีการสอนที่มีความสนุกสนานเปน็ แรงจงู ใจเพือ่ ให้บรรลุผลตามทีไ่ ด้วางไว้น้นั
3.3 การมีเสียงดังของผู้เรียนครูผู้สอน ควรเข้าใจว่าเสียงดังน้ัน เป็นเสียงดังที่เกิดขึ้น
จากความสนุกสนานหรือความตืน่ เต้นจากการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนหรือเป็นเสียงดัง
ที่มาจากสาเหตุอื่นที่ควรจะได้รับการแก้ไข ตามปกติของการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอน
วิชาพลศึกษาที่มีความสนุกสนานนั้น ผู้เรียนควรจะสามารถแสดงออกทางเสียงดังควบคู่กันไปกับกิริยา
ท่าทางอย่างอืน่ ได้ตามสมควรด้วย
3.4 ในกรณีที่เป็นการสอนผู้เรียนในระดบั ช้ันประถมศึกษา กิจกรรมที่มักจะที่ใช้ในการ
สอนในระดบั ช้ันน้ีมากก็คือ กิจกรรมการแข่งขนั แบบผลัด และกิจกรรมที่เป็นเกมมูลฐาน หรือถ้าเป็นใน
ระดบั ช้ันประถมศึกษาตอนปลายก็มักจะใช้เกมที่เป็นพื้นฐานนาไปสู่กีฬาใหญ่ ดังน้ันเพื่อเป็นแนวในการ
จัดการเรียนการสอนกิจกรรมดังกล่าวน้ีในระดับช้ันประถมศึกษาให้ได้ผลดียิ่งขึ้น จึงมีหลักการที่
สาคัญๆดังต่อไปนี้คือ
3.4.1 กิจกรรมที่เกี่ยวกับการแข่งขันแบบผลัด กิจกรรมการแข่งขันแบบผลัดน้ี
ครูอาจจะจัดให้มีการใช้ทักษะการเคลื่อนไหวเบ้ืองต้นต่างๆในการแข่งขันกันทักษะการเคลื่อนไหว
เบ้ืองต้นทีจ่ ะนามาแข่งขันกันเหล่านี้ อาจจะเป็นทกั ษะการเคลื่อนไหวเบ้อื งต้นแบบอยู่กบั ที่ แบบเคลื่อนที่
หรือแบบทีม่ ีการใช้อปุ กรณ์หรือวัตถอุ ืน่ ประกอบก็ได้ หลกั สาคญั ในการแข่งขันแบบผลดั มีดงั นี้คือ
3.4.1.1 จานวนผู้เรียนในแต่ละหมู่ที่จะแข่งขันกันต้องมีไม่มากหรือไม่
น้อยเกินไป จานวนทีเ่ หมาะสมดีสาหรบั การแข่งขันแบบผลัดควรจะมีประมาณ 8-10 คน
3.4.1.2 เพื่อให้การแบ่งหมู่มีความชัดเจนและมีความหมายต่อผู้เรียน
ทาให้การแข่งขันได้เปน็ ไปอย่างเรียบร้อยยิ่งขึ้น แต่ละหม่คู วรมีเครื่องหมายทีเ่ ปน็ สี เช่น เสื้อสี หรือเสื้อที่
มีเครื่องหมายเปน็ สีที่ชัดเจนด้วย
3.4.1.3 หมู่แต่ละหมู่หรือแต่ละสีควรจะมีหัวหน้าหมู่หรือรองหัวหน้า
หมู่ของตนเองไว้ด้วย เพื่อจะได้ฝึกหัดการเป็นผู้นาและเป็นผู้ตาม ช่วยกันดูแลความเรียบร้อยควบคู่กัน
ไปด้วย
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 99
3.4.1.4 เส้นเริ่มและเส้นกลับตัวควรมีการทาเครื่องหมายไว้ให้ชัดเจน
และเส้นเริ่มและเส้นกลับตัวน้ัน จะต้องไม่อยู่ใกล้สิ่งกีดขวางหรือกาแพง เพราะอาจจะเป็นอันตรายกับ
ผ้เู รียนในเวลากลับตวั ได้
3.4.1.5 จุดกลับตัวนั้นถ้าเป็นหลักที่ทาด้วยไม้ที่แข็ง ควรจะปักให้แน่น
กบั พ้ืนและมีความสูงกว่าระดับเอว ไม่หักง่าย ท้ังน้ีเพือ่ ป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น
3.4.1.6 ถ้าจานวนผู้เรียนในหมู่หนึ่งหมู่ใดมีจานวนน้อยกว่าหมู่อื่นๆ ให้
แก้ปัญหาด้วยการให้ผ้เู รียนคนหนึ่งคนใดในหมู่ที่มีจานวนน้อยนั้นทาซ้าเพิม่ อีกหนึ่งครั้ง
3.4.1.7 คนสุดท้ายของหมู่ควรจะมีเครือ่ งหมายที่แตกต่างจากคนอื่นๆ
ในหมู่ให้ชัดเจนท้งั นี้ เพือ่ ง่ายในการสังเกตเมือ่ มีการแข่งขนั กนั
3.4.1.8 ก่อนทาการแข่งขนั ครูควรชี้แจงกติกาการแข่งขัน ระเบียบการ
แข่งขัน ลกั ษณะการมีน้าใจนักกีฬา หรือผู้เรียนอาจจะช่วยกนั วางระเบียบกติกาและระเบียบการแข่งขัน
ตลอดจนการมีน้าใจนกั กีฬา ควรให้ทุกคนมีความเข้าใจและปฏิบัติได้ในสิง่ เหล่านี้ดีทกุ คน
3.4.1.9 เพื่อความแน่ใจว่าทุกคนมีความเข้าใจก่อนจะทาการแข่งขัน
ควรให้ผ้เู รียนได้ซ้อมการแข่งขันหนึง่ ครั้งเสียก่อน
3.4.1.10 เพื่อเป็นการปลูกฝังการมีน้าใจนักกีฬาควบคู่กันไปด้วย ควร
ให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติตามกติกาการแข่งขันระเบียบการแข่งขัน และตลอดจนการมีน้าใจนักกีฬาโดย
เคร่งครดั
3.4.1.11 การตัดสินผลการแข่งขันควรจะเป็นไปอย่างยุติธรรมเพื่อ
ความถกู ต้องและยตุ ิธรรม ครอู าจจะมอบหมายให้ผู้เรียนเป็นผู้ช่วยครูในการจดั สินการแข่งขันก็ได้
3.4.1.12 เพือ่ เปน็ การปลูกฝังให้ผ้เู รียนได้มีน้าใจนกั กีฬา ครูควรให้หม่ทู ี่
แพ้การแข่งขันแสดงน้าใจนักกีฬาต่อหมู่ที่ชนะด้วยการปรบมือแสดงความยินดีกับหมู่ที่ชนะการแข่งขัน
และหมู่ทีช่ นะก็แสดงน้าใจตอบด้วยการโค้งคานบั ขอบคุณหมู่ที่แพ้ได้ให้เกียรติ
3.4.2 กิจกรรมที่เกี่ยวกับเกมมูลฐานและเกมที่จะเป็นพื้นฐานนาไปสูกีฬาใหญ่
การจัดกิจกรรมที่เกี่ยวกับเกมมูลฐานและเกมที่จะเป็นพื้นฐานนาไปสู่กีฬาใหญ่เหล่าน้ีก็เช่นเดียวกัน ครู
สามารถที่นาทักษะการเคลื่อนไหวเบ้ืองต้นต่างๆ มาใช้เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนเช่นเดียวกับการ
แข่งขันแบบผลัดที่ได้กล่าวมาแล้ว หลักสาคัญในการสอนเกมมูลฐานและเกมพื้นฐานนาไปสู่กีฬาใหญ่ที่
สาคัญมีดงั ต่อไปน้ีคือ
3.4.2.1 เกมการเล่นที่จะนามาสอนน้ัน ควรจะเป็นเกมการเล่นที่
สามารถช่วยให้บรรลตุ ามจดุ ประสงค์การเรียนร้ทู ีว่ างไว้ได้อย่างแท้จริง
3.4.2.2 เกมที่จะนามาเป็นกิจกรรมการเรียนการสอนน้ัน ควรจะเป็น
เกมทีผ่ ู้เรียนทกุ คนท้งั ห้องเรียนนั้นสามารถทีจ่ ะร่วมเล่นได้พร้อมกันท้ังหมด
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 100
3.4.2.3 ควรจะเป็นเกมการเล่นที่มีการใช้ทักษะที่ง่ายๆ หรือที่ผู้เรียน
เคยเรียนหรือที่เกี่ยวข้องกับทักษะที่เคยเรียนมาก่อนแล้ว และผู้เรียนทุกคนสามารถเล่นได้โดยที่ไม่ต้อง
เสียเวลาในการฝึกฝนก่อน
3.4.2.4 ควรจะเป็นเกมการเล่นที่สามารถดัดแปลงหรือปรับให้มีความ
เหมาะสมได้ตามความสนใจและตามสภาพการณ์ของโรงเรียนได้
3.4.2.5 ควรจะเป็นเกมที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์มากหรือมีราคาแพงหรือ
สถานทีท่ ี่ต้องมีการเตรียมการมากเป็นพิเศษเฉพาะสาหรับการเล่นแต่ละครั้งน้ันๆ
3.4.2.6 ควรจะเปน็ เกมการเล่นที่ไม่มีวิธีการเล่นและไม่มีระเบียบกติกา
การเล่นที่ยุ่งยากสลับซับซ้อนมากเกินไป ครูสามารถอธิบายวิธีการเล่นและระเบียบการเล่นให้ผู้เรียน
เข้าใจได้โดยง่ายเปน็ เวลาอนั ส้นั
3.4.2.7 ถ้าเป็นไปได้ควรจะเป็นเกมการเล่นที่ผู้เรียนสามารถเป็นผู้
ช่วยกันเลือกและวางกติกาการเล่นวิธีการเล่นเองได้ จะเปน็ การเปิดโอกาสให้ผ้เู รียนได้มีส่วนร่วมในการ
วางแผนการเรียนได้ด้วยก็ยิง่ ดี
3.4.2.8 ตัวครูผู้สอนเองก็ควรจะมีความเข้าใจความมุ่งหมายคุณค่า
และประโยชน์ตลอดจนวิธีการเล่นกติกาการเล่นเกมที่นามาสอนนั้นเป็นอย่างดี เพื่อจะได้จัดการเรียน
การสอนน้ันให้เป็นไปและสอดคล้องกับจุดประสงค์ของการเรียนร้ทู ีไ่ ด้วางไว้อย่างแท้จริง
3.4.2.9 ก่อนที่จะเริ่มเล่นควรจะมีความแน่ใจว่า ผู้เรียนทุกคนได้มี
ความเข้าใจในวิธีการเล่นระเบียบและกติกาการเล่นนั้นดีเสียก่อน หรือถ้าจะให้แน่ใจจริงๆควรจะให้มี
การเล่นเพื่อซ้อมความเข้าใจก่อนเล่นจริงสักหนึง่ คร้งั ก่อน
3.4.2.10 ครูพลศึกษาควรจะสร้างบรรยากาศให้ผู้เรียนได้เล่นด้วย
ความสนุกสนานและเต็มกาลังความสามารถ บุคลิกภาพของครูควรจะมีความเป็นกันเองและมีความ
สนกุ สนานกับการเล่นของผ้เู รียนด้วย
3.4.2.11 การเล่นทุกครั้งครูควรกาชับให้ผู้เรียนทุกคนได้ปฏิบัติตาม
ระเบียบกติกาการเล่นและการทาตวั เป็นผ้มู ีน้าใจนกั กีฬาโดยเคร่งครัด
3.4.2.12 ครูควรพยายามส่งเสริมและปลูกฝังความเป็นผู้ที่มีน้าใจ
นักกีฬา ด้วยการให้ผู้เรียนแสดงน้าใจเมื่อเป็นผู้แพ้และเป็นผู้ชนะต่อกันตามหลักการของการมีน้าใจ
นักกีฬาทุกคร้งั เมื่อการเล่นได้สิ้นสดุ ลง
4. วิธีการสอนแบบมอบหมายงานหรือโครงการใหผ้ เู้ รียนไปทาหรือไปศึกษาค้นควา้
การสอนแบบมอบหมายงานหรือโครงการให้ผู้เรียนไปศึกษาหรือค้นคว้าเป็นวิธีการสอนที่ช่วย
กระตุ้นให้ผู้เรียนได้มีความเข้าใจและมีความสนใจในสิ่งที่เรียนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่
เกี่ยวกับคุณค่าและประโยชน์ของวิชาพลศึกษาที่เกี่ยวกับสุขภาพและคุณภาพของชีวิต ความเป็นอยู่