The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการสอน 01172315

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ouaypon.t, 2021-01-16 05:54:35

เอกสารประกอบการสอน 01172315

เอกสารประกอบการสอน 01172315

Keywords: Physical Education

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 101

ประจาวัน เป็นวิธีการที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสศึกษาและวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียของกิจกรรมการกีฬา
และการออกกาลงั กายต่างๆ ในเรื่องทีเ่ กีย่ วกับบทบาทของกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้ที่จะมีผลต่อชีวิตมนษุ ย์
สังคมโดยส่วนรวมได้อย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น และตามปกติแล้วการมอบหมายงานหรือโครงการน้ี
มักจะมอบหมายให้ทาเพิ่มเติมนอกเวลาเรียนการมอบหมายงานหรือโครงการให้ผู้เรียนทาน้ี สามารถ
มอบหมายให้ผ้เู รียนทาได้ทั้งผ้เู รียนในระดับช้ันประถมศึกษาและในระดบั ชั้นมัธยมศึกษา โดยให้ชนิดของ
งานหรือโครงการที่จะมอบหมายนั้น ได้มีความยากง่ายหรือลึกซึ้งตามระดบั วัยอายุและในขณะเดียวกัน
ก็ได้คานึงถึงเวลาที่จะต้องใช้ด้วย ข้อควรระวังในการมอบหมายงานหรือโครงการให้ผู้เรียนที่สาคัญมี
ดงั ต่อไปนี้คือ

4.1 ครูควรระลึกไว้เสมอว่าการมอบหมายงานหรือโครงการในการเรียนการสอนในวิชา
พลศึกษาน้ัน เป็นเพียงกิจกรรมเพิ่มเติมส่วนหนึ่งนอกเวลาเรียนเท่าน้ัน ดังน้ันการมอบหมายงานหรือ
โครงการดังกล่าวน้ีไม่สามารถที่จะมอบหมายเพื่อทดแทนการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาในเวลาเรียน
ได้

4.2 งานหรือโครงการที่จะมอบหมายให้ผู้เรียนทานั้น ควรจะเป็นงานหรือโครงการที่มี
ความหมายต่อผ้เู รียนหรือเกีย่ วข้องกบั กิจกรรมการเรียนของผ้เู รียนหรือเปน็ กิจกรรมที่มีความเกี่ยวข้อง
กบั ชีวิตจริงของผ้เู รียน

4.3 งานหรือโครงการที่จะมอบหมายให้ผู้เรียนทานั้น ควรจะมีความเหมาะสมกับเวลา
วยั ระดับช้ัน ความรู้ความสามารถ และประการณ์ของผ้เู รียน

4.4 งานหรือโครงการที่จะมอบหมายน้ัน ควรจะเป็นสิ่งที่จะช่วยเพิ่มพูนความรู้และ
ประสบการณ์การเรียนร้ใู นสิง่ ที่ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบตั ิแล้วจากการเรียนเป็นสาคญั

4.5 เมื่อได้มอบงานและโครงการให้ผู้เรียนได้ทาแล้วครูควรจะได้มีการประเมินผลงาน
และถ้าเป็นไปได้ควรจะให้ผ้เู รียนได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ต่างๆ ที่ครูเห็นว่าดีและ
คิดว่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้เรียนคนอืน่ ๆด้วย

5. วิธีการสอบแบบใหก้ ารบ้าน
วิธีการสอนแบบให้การบ้านเป็นวิธีการสอนที่สามารถใช้ได้ดีในวิชาพลศึกษาอย่างหนึ่ง เพราะ
เป็นวิธีการสอนที่สามารถช่วยและส่งเสริมให้การเรียนการสอนบรรลผุ ลได้ดียิง่ ขึ้นด้วย การให้ผ้เู รียนได้
นาความรู้ประสบการณ์และสิ่งทีเ่ รียนไปใช้ในชีวิตประจาวนั จริงๆ และในขณะเดียวกันก็จะช่วยให้ผู้เรียน
ได้มีการเรียนร้ตู ามจดุ ประสงค์ทีว่ างไว้จริงๆ ด้วยตวั อย่างของการบ้านที่ครสู ามารถมอบหมายให้ผ้เู รียน
ทาได้นั้น ได้แก่ การพัฒนาความสามารถในการดึงข้อในเวลาหนึ่งสัปดาห์ โดยมีการแสดงตารางการ
ปฏิบัติงานประจาวันประกอบการพัฒนา ความสามารถในการยิงลูกโทษในกีฬาบาสเกตบอลในหนึ่ง
สัปดาห์และมีตารางการปฏิบัติประจาวันประกอบด้วยเช่นเดียวกัน ความสามารถในการพัฒนา
สมรรถภาพทางกายโดยใช้อัตราการเต้นของชีพจรเป็นเกณฑ์โดยมีตารางการปฏิ บัติงานประจาวัน

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 102

ประกอบด้วยเช่นเดียวกัน หลักสาคัญในการมอบการบ้านให้ทาที่สาคัญมีความคล้ายคลึงกับการ
มอบหมายงานหรือโครงการให้ผู้เรียนทาดงั ต่อไปน้ี

5.1 การบ้านที่ครูมอบให้ผู้เรียนน้ันเป็นเพียงงานเพิ่มเติมส่วนหนึ่งที่ครูมอบให้ผู้เรียนได้
นาไปฝึกหัดนอกเวลาเรียนเพือ่ ช่วยส่งเสริมให้การเรียนได้บรรลุจุดประสงค์การเรียนร้ใู ห้ดียิ่งขึ้นเท่านั้น

5.2 การบ้านที่จะมอบให้ทานั้น ควรจะเป็นการบ้านที่ผู้เรียนสามารถที่จะปฏิบัติใน
บริเวณบ้านได้ในเวลาว่างจริงๆ เช่น มีสถานทีแ่ ละอปุ กรณ์ทีส่ ามารถปฏิบตั ิได้

5.3 การบ้านควรจะอยู่ในขอบข่ายของความสามารถความรู้ประสบการณ์วัยและมี
ความเป็นไปได้จริงๆ

5.4 การบ้านควรจะมีพอเหมาะพอควร ไม่ควรจะเป็นภาระที่หนักเกินไปทาให้การ
ดาเนินงานในกิจการงานในชีวิตประจาวนั ต้องเป็นไปด้วยความยากลาบาก

5.5 ถ้าหากเป็นไปได้ ควรจะทาให้การบ้านที่มอบหมายน้ันเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม
นันทนาการประจาวนั ด้วยหรืออีกนัยหนึง่ ทาให้กิจกรรมน้ันได้มีความสนกุ สนานควบค่กู นั ไปด้วย

6. วิธีสอบแบบทดลอง
วิธีสอนแบบทดลอง เปน็ วิธีการสอนที่สามารถนามาใช้ประกอบในการเรียนการสอนวิชา พล
ศึกษาได้ดีอีกวิธีหนึ่ง ในการที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้เข้าใจในภาพพจน์จากการอธิบายของครูและเห็นภาพ
ของวิถีของการเคลื่อนไหวในกิจกรรมต่างๆได้อย่างเป็นรูปธรรม ทาให้ผู้เรียนได้เข้าใจและเกิดความคิด
รวบยอดในสิ่งเหล่านั้นได้ง่ายและชัดเจนยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ผู้เรียนสามารถที่จะทดลองดูได้ในหลกั การ
ที่ว่าการออกกาลงั กายมีผลทาให้อตั ราการเต้นของชีพจรเร็วขึ้น หรือในหลักการทีว่ ่าการออกกาลงั กาย
เป็นประจาทุกวันทาให้สมรรถภาพของร่ายกายดีขึ้น นอกจากน้ีผู้เรียนสามารถที่จะเปรียบเทียบผลของ
การออกกาลังกายระหว่างบุคคลสองคน คนหนึ่งออกกาลังกายเป็นประจาและอีกคนหนึ่งไม่เคยออก
กาลังกายเลย เพื่อยืนยันให้เห็นเป็นรูปธรรมในหลักการที่ว่าคนที่ออกกาลังกายอยู่เสมอเป็นประจาทุก
วันจะมีร่างกายที่แขง็ แรงกว่าและมีสุขภาพดีกว่าคนที่ไม่เคยออกกาลงั กายเลยเปน็ ต้น
7. วิธีการสอนแบบการใชค้ าถาม-คาตอบ
วิธีการสอนแบบการใช้คาถาม-คาตอบ สามารถนามาใช้ในการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาได้
บ้างในบางโอกาสเพื่อเป็นการทบทวนสิ่งที่ได้เคยเรียนไปแล้ว หรือเพื่อดึงความสนใจของผู้เรียนให้มี
ความอยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่จะเรียนให้มีมากยิ่งขึ้นและในขณะเดียวกันก็ช่วยทาให้ผู้เรียนได้ใช้
ความคิดและความริเริ่มในสิ่งที่จะเรียนใหม่น้ันด้วย แต่อย่างไรก็ตามการใช้วิธีการสอนแบบน้ีจะต้อง
เป็นไปด้วยความระมัดระวังและรวบรัด ทั้งน้ีเพื่อเป็นการประหยัดเวลาการเรียนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะ
มากได้ หลกั สาคญั ในการใช้วิธีการสอนแบบนี้มีดังน้คี ือ

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 103

7.1 ควรเปน็ คาถามทีร่ วบรัดใช้เวลาน้อย
7.2 คาถามควรจะชัดเจนและง่ายต่อการเข้าใจ
7.3 คาถามควรจะกระตุ้นความคิดและการใช้เหตุและผลในการตอบมากกว่าคาถามที่
ต้องการคาตอบเพียง "ใช่" หรือ "ไม่ใช่"
7.4 คาถามควรจะกระตุ้นให้เกิดความสร้างสรรค์มากกว่าการใช้ความจา
7.5 คาตอบของผู้เรียนที่มีความถูกต้องหรือแม้จะถูกต้องเป็นบางส่วนก็ควรจะได้รับคา
ชมเชยสาหรบั คาตอบทีผ่ ิดก็ควรจะแจ้งให้ผู้เรียนทราบเหตผุ ลด้วย
7.6 ครูไม่ควรจะถามซ้าหลายครั้งทั้งน้ีเพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้มีความตั้งใจฟงั มากยิ่งขึ้น
7.7 ถ้าเป็นคาถามที่เกี่ยวข้องกับทักษะควรให้ผู้เรียนได้มีโอกาสในการอธิบายพร้อมกับ
สาธิตประกอบด้วย
8. วิธีการสอนโดยการใช้ตาราเรียนประกอบ
วิธีการสอนโดยใช้ตาราเรียนประกอบน้ัน ถ้ารู้จักใช้และใช้ถูกต้องกับโอกาสแล้ว ก็สามารถจะ
เป็นประโยชน์ในการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาได้อย่างดีวิธีหนึ่ง ตามปกติแล้ววิธีการเรียนการสอน
แบบน้มี ักจะนามาใช้เสริมเพื่อให้ผ้เู รียนได้ไปศึกษาและค้นคว้าเพิม่ เติมนอกเวลาหลงั จากได้เรียนในเวลา
เรียนแล้ว ตาราเรียนน้ีก็จะได้เป็นแหล่งความรู้ในด้านต่างๆ ของกิจกรรมที่เรียน เช่น ในด้านประวัติ
ความเป็นมา วิธีการเล่น มารยาทการเล่น ลักษณะของการเปน็ ผู้เล่นและผ้ดู กู ีฬาทีด่ ี การมีน้าใจนกั กีฬา
ระเบียบและกติกาการเล่น วิธีการเล่นหรืออื่นๆ ที่เป็นรายละเอียดทีไ่ ด้เรียนมาแล้ว และทีค่ รูไม่สามารถ
ที่จะชี้แจงในเวลาเรียนในสนามได้หมด หรือที่ครูต้องการให้ผู้เรียนได้รู้เพิ่มเติม หรือที่ผู้เรียนอยากจะ
เรียนรู้เพิ่มเติมนอกเวลาเรียนด้วยตนเองให้กว้างขวางยิง่ ขึ้น ครูสามารถที่จะใช้ตาราเรียนดังกล่าวนี้เป็น
แหล่งอ้างอิงเพือ่ ให้ผ้เู รียนได้ใช้ศึกษาเพิ่มเติมหลงั เลิกเรียนได้
9. วิธีการสอนแบบการแกป้ ญั หา
วิธีการสอนแบบการแก้ปัญหาน้ี เป็นวิธีการสอนที่สามารถนามาใช้ได้ดีในวิชาพลศึกษาอีกวิธี
หนึง่ เพราะเปน็ วิธีการสอนทีเ่ ปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดริเริ่มโดยการได้คิดเองได้ หาวิธีเองได้
ทดลองทาเอง และได้ลงมือปฏิบัติจริงด้วยตนเอง สาหรับครูนั้นก็จะเป็นเพียงผู้ตั้งปัญหา ป้อนปัญหา
จัดสภาพการณ์และให้คาแนะนาชี้แจงให้วิธีการต่างๆ ที่ผู้เรียนได้คิดเองน้ันให้สามารถปฏิบัติได้โดย
ถูกต้องและมีความสมบูรณ์ดียิ่งขึ้นอีกเท่าน้นั ดงั นั้น วิธีการสอนแบบนี้จึงอาจกล่าวได้ว่าเปน็ วิธีสอนทีใ่ ช้
ผ้เู รียนเป็นศูนย์กลาง โดยเปน็ การเริม่ ต้นจากตวั ผู้เรียนเองอย่างแท้จริง ถ้าหากสามารถนามาใช้ได้อย่าง
ถูกต้องและเหมาะสมแล้วจะเป็นวิธีการสอนที่สามารถช่วยให้ผู้เรียนได้บรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้
เกือบทุกด้าน เช่นเดียวกันกับวิธีการสอนโดยให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติจริง ตามที่ได้กล่าวมาแล้ววิธีการสอน
แบบการแก้ปัญหาสามารถนามาใช้ในการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาได้เกือบทุกกิจกรรมเริ่มตั้งแต่ใน
การสอนทักษะการเคลื่อนไหวเบ้ืองต้น ทักษะของกีฬาต่างๆ วิธีการเล่นกีฬาต่างๆ ได้ ตัวอย่างเช่น การ

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 104

สอนกิจกรรมที่เกีย่ วกับทักษะการเคลือ่ นไหวเบ้ืองต้น เช่น ทักษะการเคลือ่ นไหว การกระโดด ครูอาจจะ
ต้ังปัญหาให้ผ้เู รียนได้คิดและหาวิธีการกระโดดว่า "ผ้เู รียนจะมีวิธีการกระโดดแบบไหนจึงจะได้ไกลที่สุด
แล้วลองกระโดดดูว่าสามารถที่จะกระโดดได้ไกลโดยวิธีนั้นจริงหรือเปล่า" จากปัญหาน้ีผู้เรียนแต่ละคน
อาจจะมีวิธีการกระโดดแต่ละอย่าง เช่น ผู้เรียนบางคนอาจจะยืนอยู่กับที่แล้วกระโดดไปข้างหน้าด้วย
สองเท้าพร้อมกันผู้เรียนบางคนอาจจะมีวิธีการวิ่งมาแล้วกระโดดหรือผู้เรียนบางคนอาจจะยืนอยู่กับที่
แล้วกระโดดก้าวเท้าทีละก้าวหลังจากที่ได้ให้ผู้เรียนกระโดดด้วยวิธีที่คิดมาน้ันซ้าๆ คนละ 2-3ครั้งหรือ
หลายๆคร้ังแล้ว ครจู ึงให้คาแนะนาในวิธีแต่ละอย่างว่าวิธีไหนควรจะกระโดดอย่างไรและวิธีไหนเป็นวิธีที่
สามารถกระโดดได้ไกลที่สุดในวิธีการอย่างไรเพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้ฝึกในการกระโดดต่อไป ในการสอน
ทักษะการเคลื่อนไหวเบ้ืองต้นอย่างอื่นๆ ครูก็อาจจะใช้ปัญหาในการเริ่มต้นเช่นเดียวกันหรือในทักษะ
บางอย่างผู้เรียนอาจจะไม่สามารถทาได้ ครูอาจจะชี้นาด้วยการต้ังคาถามว่า "ให้ผ้เู รียนลองทาแบบนี้ดซู ิ
ว่าจะดีขึ้นกว่าวิธีที่ทานั้นไหม" ก็ได้หรือในการสอนที่เกี่ยวกับทักษะการยิงประตูในกีฬาบาสเกตบอลครู
กอ็ าจจะต้ังปัญหาให้ผ้เู รียนคิดและหาวิธีการยิงประตูในกีฬาบาสเกตบอลทีด่ ีและแม่นยาที่สุด แล้วครูก็
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้คิดและทดลองวิธีการยิงประตูหลายๆคร้ังแล้วครูช่วยแนะนาและชี้แจงวิธีการยิง
ประตูที่ดีและแม่นยาเพื่อให้ผู้เรียนได้ทาการฝึกหัดยิงประตูต่อไปเช่นเดียวกัน หรือบางทีครูอาจจะตั้ง
คาถามชี้นาผ้เู รียนในวิธีการยิงประตแู บบต่างๆเหล่าน้ันด้วยก็ได้หรือการสอนเกี่ยวกับกลวิธีของการเล่น
เกมบาสเกตบอลอาจจะเริ่มจากการที่ได้จัดแบ่งกลุ่มให้ผู้เรียนได้มีการเล่นเกมบาสเกตบอลเป็นคู่ๆ ไป
แล้วเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วก็ให้ผู้เรียนหยุดการเล่นช่ัวคราวเพื่อช่วยกันวิเคราะห์และสารวจผลการเล่น
ของแต่ละคนในกล่มุ ของตนเองว่าเปน็ อย่างไร เช่น การส่งลกู และรบั ลูกว่าส่งได้หรือรบั ได้ทุกคร้ังหรือไม่
หรือการยิงประตลู งกีค่ ร้ังไม่ลงกี่คร้ัง โดยแต่ละกลุ่มควรจะหาจุดอ่อนและจุดแข็งของกล่มุ ของตนเองมา
อย่างละ 5 ประเด็น เพื่อจะได้นาไปช่วยกันฝึกซ้อมและปรับปรุงให้การเล่นที่จะมีต่อไปให้ได้ดียิ่งขึ้น
หลังจากการที่ผู้เรียนได้เล่นและวิเคราะห์เกมการเล่นเรียบร้อยแล้วถ้ามีเวลาเหลือครูอาจจะให้ผู้เรียน
ฝึกซ้อมในส่วนที่เปน็ จดุ อ่อนของกล่มุ เพื่อเตรียมพร้อมทีจ่ ะเล่นให้ดีขึ้นต่อไป

10. วิธีการสอนเพื่อพัฒนาสมรรถภาพทางกาย
ในกรณีที่การสอนนั้นต้องการเน้นเพื่อพัฒนาหรือเพื่อเพิ่มสมรรถภาพทางกายควรจะสอนโดย
ใช้หลักการทีส่ าคญั ดงั ต่อไปน้ี

10.1 การสอนน้ันควรใช้หลักของการเพิ่มงานมากกว่าเดิม (Overload Principle) หลัก
ของการเพิ่มงานมากกว่าปกติ ถือว่ามีความสาคัญในการที่เพิ่มสมรรถภาพทางกายเป็นอย่างมาก
เพราะเป็นหลักการที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันกับหลักของการใช้และไม่ใช้ (Law of Use and Disuse) คือ
เป็นการทาให้กล้ามเน้ือได้ทางาน แต่เป็นการทางานทีม่ ีจานวนงานเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม การที่กล้ามเน้ือ
ได้ทางานมากกว่าเดิมก็เป็นการพยายามของกล้ามเน้ือในการที่จะทางานให้ได้มากขึ้น การใช้ความ
พยายามหรืออกแรงมากขึ้นจึงทาให้สมรรถภาพของกล้ามเน้อื หรือของร่างกายโดยส่วนรวมเพิม่ ขึ้นตาม

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 105

ด้วย เช่น ในการเพิ่มสมรรถภาพของกล้ามเนื้อแขนในการดึงข้อครูก็จะต้องให้ผ้เู รียนได้มีการเพิม่ จานวน
การดึงข้อทุกคร้ังที่มีการดึงข้อหรือในการที่จะเพิ่มสมรรถภาพในทางด้านความทนทานของการทางาน
ประสานกันของระบบการหายใจและระบบไหลเวียนด้วยการวิ่งระยะทาง 600 เมตรจากที่ผ้เู รียนเคยวิ่ง
ได้ในเวลา 4.00 นาทีในครั้งต่อๆไปจะต้องวิ่งให้ได้ภายใน 3.59 นาทีหรือ 3.58 หรือ 3.57 นาที
ตามลาดบั เปน็ ต้น

10.2 หลักของการเพิ่มงานให้มากกว่าเดิมน้ีเป็นการเพิ่มงานให้มากขึ้นเฉพาะส่วนที่เรา
ต้องการให้มีสมรรถภาพเพิ่มขึ้นเท่าน้ัน ทั้งน้ีเพราะว่าสมรรถภาพทางด้านร่างกายนั้นเป็นองค์รวมของ
ปัจจัยหลายๆด้านประกอบกัน เช่น พลังหรือความแข็งแรงของกล้ามเน้ือ (Muscular Strength) ความ
ทนทานของกล้ามเน้ือ (Muscular Endurance) พลังการดีดตัวอย่างเร็วและแรงของกล้ามเน้ือ (Muscular
Power)ความทนทานของการทางานประสานกันระหว่างระบบหายใจและระบบไหวเวียน (Cardio-
Respiratory Endurance) ความเร็ว (Speed) ความคล่องตัว (Agility) ความอ่อนตัว (Flexibility) และ
ความสามารถในการทรงตัว (Balance) ดังนั้นการที่จะเพิ่มสมรรถภาพให้ปัจจัยด้านหนึ่งด้านใดเพิ่มขึ้น
น้ันจะต้องเพิ่มงานให้กล้ามเน้ือหรือส่วนของร่างกายส่วนนั้นได้ทางานในด้านนั้นให้มากกว่าเดิมด้วย
สมรรถภาพของปัจจัยในกล้ามเนื้อหรือร่างกายส่วนนั้นๆจึงจะเพิ่มขึ้นตามด้วย

10.3 กิจกรรมต่างๆในการเป็นอยู่ของชีวิตประจาวันน้ัน ไม่มีจานวนงานที่หนักเพียง
พอที่จะเข้าข่ายในการเพิ่มให้งานมากกว่าเดิมตามหลักการที่กล่าวน้ีได้ ท้ังน้ี เพราะว่าในกิจกรรมต่างๆ
ของชีวิตประจาวันนั้น ไม่สามารถที่จะทาให้มีการใช้แรงงานหรือมีการออกกาลังกายที่สามารถทาให้
ระบบต่างๆ ของร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงได้มากกว่าเดิมเท่าที่ควร จึงทาให้ไม่สามารถจะเพิ่ม
สมรรถภาพของร่างกายให้มากกว่าเดิมได้

10.4 หลักของการเพิ่มงานให้มากกว่าเดิมน้ีถ้าจะให้ได้ผลดีจะต้องมีงานที่เพิ่มให้มาก
ขึ้นๆตามลาดับจากน้อยไปหามากเรื่อยๆมิฉะนั้นแล้วจะทาให้เกิดการบาดเจ็บ เช่น เกิดการฉีกขาดของ
กล้ามเนื้อหรือเปน็ อนั ตรายอย่างอื่นได้

10.5 ผ้เู รียนแต่ละคนอาจจะมีอตั ราพัฒนาการทางด้านสมรรถภาพของร่างกายช้าหรือ
เร็วแตกต่างกันไป ทั้งน้ีเพราะว่าผู้เรียนแต่ละคนอาจจะมีลักษณะหรือส่วนประกอบของร่างกายที่
แตกต่างกันไปในแต่ละคนดังนั้นในการพัฒนาสมรรถภาพของผู้เรียนแต่ละคนจึงต้องให้เป็นไปตาม
เอกลกั ษณ์ของแต่ละคนทีม่ ีอย่นู ้นั

10.6 ผ้เู รียนทีม่ ีสขุ ภาพดีและไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเกีย่ วกับหวั ใจมาก่อน การออกกาลงั กาย
ที่เป็นไปตามหลักการที่ถูกต้องจะไม่เป็นอันตรายแก่ร่างกายหรือเป็นอันตรายแก่หัวใจได้ แต่อย่างไรก็
ตาม เพื่อความไม่ประมาทการออกกาลังกายนั้น ครูควรให้นักเรียนเริ่มออกกาลังกายด้วยวิธีการเบาๆ
ก่อนแล้วจึงค่อยเพิม่ จานวนให้หนักขึ้นและหนกั ขึ้นตามลาดับ

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 106

11. วิธีการสอนเพื่อพฒั นาทักษะการกีฬา
ในกรณีที่การเรียนการสอนนั้นเป็นการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาทักษะการกีฬาของผู้เรียน
โดยเฉพาะครคู วรจะใช้หลักการทีส่ าคญั ต่อไปน้ีเปน็ แนวทางคือ

11.1 การสอนทักษะการเคลื่อนไหวต่างๆ ทั้งทักษะการเคลื่อนไหวเบ้ืองต้นและทักษะ
การกีฬาดังได้กล่าวมาแล้วว่า วัยเด็กเป็นวัยที่อยู่ในระยะที่ง่ายต่อการเรียนรู้และการพัฒนาทักษะการ
กีฬามากที่สุด ดังนั้นถ้าเป็นไปได้การสอนทักษะกีฬานั้น ควรจะสอนเมื่อยังอยู่ในวัยเด็กที่ยังมีอายุน้อย
โดยเริ่มให้เดก็ ได้มีโอกาสเคลื่อนไหวในกิจกรรมการเคลือ่ นไหวเบ้ืองต้นต่างๆ ด้วยท่าทางที่มีการใช้ส่วน
ต่างๆ ของร่างกายให้เป็นไปตามธรรมชาติก่อน การเคลื่อนไหวส่วนต่างๆของร่างกายตามธรรมชาติ
เหล่าน้ีต่อไปก็จะนามาแห่งการมีทักษะการเคลื่อนไหวเบ้ืองต้นอันเป็นทักษะที่นาไปสู่ทักษะการกีฬา
ต่างๆในโอกาสต่อไปทักษะต่างๆที่นาไปใช้ในกิจกรรมนันทนาการต่างๆเพื่อความสนุกสนานใน
ชีวิตประจาวันเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนั้นส่วนใหญ่แล้วเป็นทักษะการกีฬาที่ได้มีการเรียนรู้และได้มีใน
ระยะ 12 ปีแรกของชีวิตทั้งสิ้นดงั น้ันครผู ู้สอนหรือผ้มู ีส่วนเกีย่ วข้องกับผ้เู รียนจึงต้องระลึกไว้เสมอว่าการ
วางพื้นฐานในทักษะการกีฬาต่างๆให้แก่ผู้เรียนต้ังแต่ผู้เรียนอยู่ในวัยช้ันประถมศึกษาจึงเป็นสิ่งที่มีความ
จาเป็นและมีความสาคัญมาก

11.2 การเรียนทักษะที่จะได้ผลดีควรให้ผู้เรียนได้มีโอกาสฝึกหัดในใจด้วย โดยให้ผู้เรียน
ได้ทบทวนวิเคราะห์ทกั ษะทีเ่ รียนไปแล้วในใจ พร้อมกับการมีจินตนาการการเคลื่อนไหวในทักษะน้นั ๆ ใน
ใจไปด้วยการทีผ่ ้เู รียนได้ฝึกหัดคิด และจินตนาการในการเคลือ่ นไหวทักษะน้ัน จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถ
เรียนร้แู ละปฏิบตั ิในทกั ษะน้นั ได้ดีขึ้น

11.3 การเรียนร้เู กี่ยวกับทักษะการกีฬาก็เช่นเดียวกนั กับการเรียนรู้อย่างอื่นๆ คือการให้
แรงเสริมไปในทางบวก เช่น การชมเชยหรือการให้รางวัลจะทาให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และได้มีทักษะกีฬาที่
เรียนได้เร็วยิ่งขึ้น ดังน้ัน การสอนการเรียนทักษะกีฬาแต่ละคร้ัง ควรจะหลีกเลี่ยงการตาหนิหรือการทา
โทษให้มากที่สดุ การตาหนิหรือการทาโทษนั้น นอกจากจะไม่ช่วยให้การเรียนการสอนไม่ได้ผลดีแล้วยัง
จะเป็นการทาให้ผู้เรียนมีความวิตกกังวลทาให้ไม่สามารถควบคุมสมาธิในการเรียนได้เป็นผลให้การ
เรียนไม่ดีตามไปด้วย

11.4 การเรียนรู้ทักษะกีฬาใดๆน้ันถ้าหากว่าต้องการให้ทักษะกีฬาน้ันคงอยู่เป็นระยะ
เวลานาน ครูควรจะให้ผู้เรียนได้มีการเรียนรู้หรือได้ฝึกจนกระทั่งถึงจุดหนึ่งที่ผู้เรียนสามารถทาได้โดย
อตั โนมัติ การเรียนรู้ทักษะกีฬาที่ผู้เรียนสามารถปฏิบัติได้โดยอัตโนมัติมากเพียงใด คุณภาพของทักษะ
จะมีมากและอย่ไู ด้เป็นระยะเวลานานต่อไปอีกมากเท่าน้ัน

11.5 การเรียนรู้ทักษะการกีฬาอย่างหนึ่งอย่างใดก็จะเป็นการเรียนรู้ในทักษะกีฬาน้ันๆ
การเรียนรู้จะไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ในทักษะกีฬาอย่างอื่นถ้าต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
ทักษะกีฬาอย่างอื่นครกู จ็ ะต้องจดั ประสบการณ์อย่างอืน่ ให้ผ้เู รียนได้เรียนรู้ในทักษะกีฬาอื่นอีกต่างหาก

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 107

11.6 การเรียนรู้ทักษะกีฬาจะดียิ่งขึ้นถ้าครูจัดสภาพการณ์ของการเรียนรู้ทักษะกีฬา
น้ันๆ ให้พร้อมที่จะอานวยความสะดวกให้แก่ผู้เรียนเช่นสถานที่และอุปกรณ์หรืออื่นๆเพื่อจะเรียนได้
อย่างเพียงพอผ้เู รียนสามารถลงเล่นหรือฝกึ ฝนกีฬาหรือทกั ษะนั้นๆได้ตลอดเวลา

11.7 เพื่อเป็นการป้องกันมิให้ผู้เรียนต้องห่วงและพะวงกับรายละเอียดปลีกย่อยของ
ทกั ษะที่เรียนมากเกินไป การเรียนร้ทู ักษะกีฬาของผ้เู รียนในระยะแรกๆ ครูควรจะเน้นทีค่ วามสามารถใน
การที่จะทาได้มากกว่าในรายละเอียดปลีกย่อย เมือ่ ผู้เรียนสามารถทาได้แล้วจึงค่อยเน้นในคุณภาพและ
รายละเอียดของทกั ษะกีฬาต่อไป

11.8 ผู้เรียนแต่ละคนมีอตั ราการเรียนรู้ในทักษะการกีฬาที่แตกต่างกันไป ทั้งน้ีก็อาจจะ
เนื่องจากภูมิหลัง ส่วนประกอบของปัจจัยต่างๆของร่างกายและความสามารถในการจินตนาการของ
ผ้เู รียนแต่ละคน

11.9 ในการเรียนรู้ทักษะกีฬาถ้าผู้เรียนได้มีการเรียนรู้ทักษะน้ันในวิธีการที่ผิดๆมาก่อน
แล้วก่อนที่ผู้เรียนจะสามารถเรียนรู้ทักษะน้ันอย่างถูกต้องได้ ผู้เรียนจะต้องมีเวลาแก้หรือลบวิธีการที่
ผิดๆ ทีเ่ คยเรียนร้มู าแล้วน้นั ก่อนแล้วจึงจะสามารถเรียนร้ทู ักษะน้นั ในวิธีการทีถ่ กู ต้องใหม่ต่อไปได้

11.10 ผลการวิจัยที่อาจจะนามาใช้เป็นประโยชน์ในการสอนทักษะกีฬาบางอย่างได้เช่น
-วอลเลย์บอล ผลการวิจัยพบว่า การสอนวอลเลย์บอลโดยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และ
เข้าใจในหลักของการเคลื่อนไหวจะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ทกั ษะกีฬาวอลเลย์บอลได้ดีและรวดเร็วยิ่งข้นึ
-ยิมนาสติก ผลการวิจัยพบว่า การสอนยิมนาสติกโดยการใช้วิดีโอจะช่วยให้ผู้เรียน
สามารถเรียนรู้ในทกั ษะยิมนาสติกได้เรว็ และดียิ่งขึ้น
-เทนนิส ผลการวิจัยพบว่า การสอนเทนนิสโดยวิธีการสอนทักษะแบบรวมท้ังหมด
ได้ผลดีกว่าการสอนแบบแยกทกั ษะออกเปน็ ส่วนๆ
-ยืดหยุ่น ผลการวิจัยพบว่า การสอนยืดหยุ่นโดยการใช้ภาพยนตร์ประกอบการสอน
ได้ผลไม่แตกต่างกบั การสอนแบบไม่ต้องใช้ภาพยนตร์
-ซอฟท์บอล ผลการวิจัยพบว่า การสอนโดยให้ผู้เรียนได้เข้าใจในหลักการของการ
เคลือ่ นไหวช่วยให้ผู้เรียนได้มีการเรียนร้ใู นทักษะซอฟท์บอลได้ดียิ่งขึ้น
-แบดมินตัน ผลการวิจัยพบว่า ในระยะแรกของการเรียนการสอนโดยการกระจาย
เวลาออกไปวนั ละ 30 นาทีได้ผลดีกว่าการสอนวันละหนึ่งชว่ั โมงสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
-บาสเกตบอล ผลการวิจัยพบว่า การฝึกหัดในใจช่วยให้มีการเรียนรู้ในการยิงประตู
บาสเกตบอลจากเส้นเขตโทษได้ผลดียิ่งขึ้น
- กอล์ฟ ผลการวิจัยพบว่า การสอนกอล์ฟโดยวิธีรวมทักษะได้ผลดีกว่าการสอนโดย
วิธีแยกทกั ษะ

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 108

เบสบอล ผลการวิจัยพบว่า การสอนเบสบอลโดยให้ผู้เรียนได้รู้ผลของการเรียนได้ผลดี
ในด้านความสามารถเกี่ยวกบั ความเรว็ และความแม่นยา

12. วิธีการสอนแบบคิดคน้ การเคลื่อนไหว
วิธีการสอนแบบคิดค้นการเคลื่อนไหว (Movement Exploration หรือ Movement Education)
เนื่องจากการสอนวิชาพลศึกษาด้วยวิธีการสอนโดยการคิดค้นการเคลื่อนไหวน้ี เป็นวิธีการสอนโดยให้
ผู้เรียนได้มีโอกาสสารวจและคิดหาวิธีการเคลื่อนไหวในท่าทางต่างๆ ด้วยตนเองและนามาปฏิบัติเองได้
ตลอดเวลา ดังน้ัน จึงเป็นวิธีการสอนที่นอกจากจะเปน็ การช่วยในพัฒนาการทางด้านร่างกายและทกั ษะ
การเคลื่อนไหวเบ้ืองต้นต่างๆ ได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังจะเป็นวิธีการสอนที่สามารถสนองความต้องการให้
เป็นไปตามความสามารถของความนึกคิดและความรู้สึกของผู้เรียนแต่ละคน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้
แก้ปัญหาด้วยตนเอง คิดหาประสบการณ์ในการเคลื่อนไหวให้กับตนเองและด้วยตนเอง และใน
ขณะเดียวกันก็เป็นวิธีสอนที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนแต่ละคนได้มีความคิดสร้างสรรค์ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
การสอนโดยวิธีการคิดค้นการเคลื่อนไหวน้ี มักจะเริ่มต้นด้วยการที่ครูต้ังคาถามนาเพื่อให้ผู้เรียนได้คิด
เองปฏิบัติเองหาวิธีการตอบคาถามต่างๆด้วยท่าทางการเคลื่อนไ หวตามความนึกความคิดและ
ความสามารถของแต่ละคนน้ันๆ เช่น ครูจะต้ังคาถามเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวว่า "ร่างกายของผ้เู รียนแต่
ละคน สามารถจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดได้บ้างให้ ทาตัวอย่างให้ดูประกอบด้วย" ผู้เรียนแต่ละคน
อาจจะทาการเคลื่อนไหวร่างกายประกอบคาตอบในลักษณะที่แตกต่างกันไป เช่น บางคนอาจจะมีการ
เคลื่อนไหวเป็นคาตอบด้วยการกระโดด หรือก้าวเท้าไปข้างหน้าไปข้างหลังไปข้างๆ จากคาตอบของ
ผู้เรียนหลายๆ คนน้ี ครูอาจจะให้ผู้เรียนได้ทาหรือฝึกหัดซ้าหลายๆ ครั้งแล้วช่วยกันเลือกว่าวิธีไหนเป็น
วิธีที่ดีหรือเป็นวิธีที่ไปข้างหน้าได้เร็วกว่า หรือครูอาจจะตั้งคาถามว่าในขณะน้ีผู้เรียนอยู่ด้านนี้ของสนาม
หรือของห้องเรียนถ้าผู้เรียนต้องการจะไปอีกด้านหนึ่งของสนามหรือของห้องผู้เรียนจะไปได้อย่างไร ให้
ทาหรือแสดงท่าทางประกอบด้วย ผู้เรียนแต่ละคนอาจจะมีคาตอบพร้อมกับแสดงท่าประกอบแตกต่าง
กันไป บางคนอาจจะแสดงด้วยการเดิน การวิ่ง การกระโดด ครูก็อาจจะคิดหาคาถามที่ง่ายๆ ก่อนแล้ว
ค่อยๆ เพิ่มความยากให้เหมาะสมกับวัยหรือระดับช้ันประถมศึกษาตอนต้นหรือช้ันประถมศึกษาตอน
ปลายของผู้เรียนเพื่อจะก่อให้ผู้เรียนได้เกิดการสร้างสรรค์และพัฒนาการทั้งด้านร่างกายด้านความคิด
ด้านทักษะการเคลือ่ นไหวเบ้ืองต้นและอื่นๆ ตามที่ครเู หน็ สมควร
จะเห็นได้ว่าวิธีการสอนพลศึกษาดังที่ วรศักดิ์ เพียรชอบ เสนอท้ัง 12 วิธีการนั้น ครูพลศึกษา
ควรศึกษารวมทั้งทาความเข้าใจ และเลือกนาไปใช้ให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์สงู สดุ กับผู้เรียนต่อไป
อย่างไรก็ตาม การจะใช้วิธีการสอนแบบใดในการสอนพลศึกษาให้มีประสิทธิภาพนั้น คงต้องอาศัย
องค์ประกอบหรือปัจจัยต่างๆ หลายประการจึงจะสามารถทาให้การสอนพลศึกษาประสบผลสาเร็จได้
ซึง่ ในการนี้ วรศักดิ์ เพียรชอบ (2527) ได้เสนอแนะเกีย่ วกบั การสอนพลศึกษาไว้นานมาก ซึ่งก็ยังคงเป็น
ข้อเสนอแนะที่ดีที่ครูพลศึกษายังคงใช้เป็นหลกั คิดและข้อควรปฏิบตั ิ คือ

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 109

1. การสอนแต่ละคร้ังควรกาหนดจุดม่งุ หมายที่แน่ชดั เวลาสอนควรระลึกถึงจุดหมายที่
กาหนดไว้

2. ให้ผ้เู รียนทกุ คนได้มีส่วนร่วมอย่างทวั่ ถึงกันโดยจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมและมี
อปุ กรณ์อย่างเพียงพอผ้เู รียนจะมีโอกาสได้ฝึกได้เรียนอย่างทั่วถึง

3. ทาบทเรียนให้สนุกสนานโดยครูจะต้องมีการเตรียมอุปกรณ์และสถานที่ให้พร้อม
และเพียงพอแต่ท้ังน้ีครูต้องสามารถจัดกิจกรรมและบรรยากาศของการเรียนการสอนให้เป็นไปอย่าง
เปน็ กนั เอง และครผู ้สู อนก็ควรมีความสนกุ สนานกบั การเรียนการสอนน้ันๆ

4. ครูผู้สอนวิชาพลศึกษาไม่จาเป็นต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถในการเล่นกีฬาประเภท
ต่างๆ ได้เป็นอย่างดีแต่ควรเป็นผู้ที่สามารถสาธิตหรือวิเคราะห์ลักษณะท่าทางของการเคลื่อนไหวใน
ส่วนต่างๆของร่างกายในทกั ษะที่สอนนั้นให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจได้ตามลาดบั ข้นั ตอน

5. ครูผู้สอนจะต้องมีเจตคติที่ดีต่อผู้เรียนทุกคน คือ จะต้องมีความรักความเอ็นดู
เมตตาและความหวังดีกับผ้เู รียนทกุ คนด้วยความบริสุทธิ์ใจ

6. ครูควรทาความเข้าใจในการที่ผู้เรียนมีเสียงดังว่าเสียงแบบใดเป็นเสียงที่เกิดจาก
ความสนุกสนานหรือตื่นเต้นจากการเรียนวิชาพลศึกษา หรือเสียงดังแบบใดที่เกิดขึ้นจากเหตุอื่นทาให้
เกิดการรบกวนการเรียนการสอนปกติ การเรียนพลศึกษาจะเต็มไปด้วยความสนุกสนานตื่นเต้นและ
ผ้เู รียนสามารถออกเสียงได้บ้างพอสมควรควบค่กู ันไป

7. ถ้าหากว่าครูผู้สอนใช้นกหวีดผู้เรียนควรจะได้ทราบว่าสัญญาณนกหวีดอย่างไร
หมายความว่าอย่างไร การใช้นกหวีดก็ควรจะให้เหมาะสมหรือใช้เมื่อจาเป็นเท่านั้นครูไม่ควรใช้นกหวีด
พรา่ เพรื่อจนเกินไป

8. ครูควรเคารพและเชื่อในความสามารถของผู้เรียนว่าผู้เรียนทุกคนสามารถจะทาได้
และเรียนได้ถ้าได้รบั การสอนหรือช่วยเหลือโดยถูกต้องแต่ความสามารถมากหรือน้อยช้าหรือเรว็ นั้นเป็น
อีกประเด็นหนึง่

9. ผู้เรียนที่เรียนวิชาพลศึกษาเป็นผู้เรียนที่มีความพร้อมที่จะเล่นหรือออกกาลังกาย
ฉะนั้นครไู ม่ควรใช้เวลานี้พดู หรือบรรยายให้ผ้เู รียนฟงั มากเกินไป

10. ความสาเร็จในการเรียนเป็นหัวใจสาคัญที่จะสามารถทาให้ผู้เรียนมีความรักและ
ความพยายามในการเรียนวิชาพลศึกษา ฉะนั้นครูผู้สอนควรใช้วิธีการสอนหลายๆ อย่างเพื่อให้ผู้เรียน
แต่ละคนได้มีความสาเร็จในการเรียนตามความสามารถของตน

11. การสอนครูควรจะเนน้ ในท่าทีถ่ กู ตอ้ งและควรหมุนเวียนช่วยเหลือผ้เู รียนได้ทว่ั ถึงกนั
12. ถ้ามีการอธิบายกติกาการเล่นควรอธิบายส้นั ๆพอเข้าใจหรือถ้าหากเป็นไปได้ควรให้
โอกาสผ้เู รียนได้มีโอกาสเข้าร่วมอภิปรายกติกาหรือปัญหาหลงั จากผ้เู รียนได้เล่นหรือได้เรียนแล้ว

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 110

13. การสอนวิชาพลศึกษาทุกครั้ง ควรปลูกฝังคุณธรรมในตัวผู้เรียนควบคู่กันไปด้วย
เช่น ความสามคั คี ความร่วมมือ ความมีน้าใจเป็นนักกีฬา

14. ในการสอนวิชาพลศึกษาทุกคร้ัง ครูจะต้องระลึกอยู่เสมอว่าเราสอนผู้เรียนเพื่อให้
ผ้เู รียนได้รบั การศึกษาโดยวิธีการของพลศึกษา

15. ครูพลศึกษาต้องสอนและช่วยเหลือให้ผ้เู รียนสามารถบรรลเุ ป้าหมายที่กาหนดไว้
ซึ่งสอดคล้องกับ วิสูตร กองจินดา (2530) ที่ได้กล่าวว่าการเรียนรู้กิจกรรมพลศึกษาจะบังเกิด
ผลดีได้น้นั ครพู ลศึกษาต้องสามารถจัดกิจกรรมพลศึกษาให้สอดคล้องกับหลักการต่อไปน้ี

1. ให้ผู้เรียนทราบถึงเป้าหมายของบทเรียนทุกครั้งก่อนมีการเรียนการสอนให้ผู้เรียนรู้
ความม่งุ หมายและคุณค่าของบทเรียน

2. ควรคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล รวมท้ังการเรียนของแต่ละบุคคลและ
ความรู้ความสามารถของแต่ละบุคคลแตกต่างกัน ท้ังน้ีอาจเป็นผลเนื่องจากสภาพทางกายความรู้
พื้นฐานเจตคติระดบั สติปัญญาหรือสิ่งแวดล้อม

3. ควรจัดระยะเวลาให้เหมาะการฝึกทักษะ ขึ้นกับระยะเวลาและความบ่อยครั้งต้อง
ไม่ให้นานจนเหนื่อยเกินไป

4. ให้ผู้เรียนได้เห็นการปฏิบัติจากการสาธิตการแสดงตัวอย่างให้เด็กได้เห็น เป็นสิ่งเร้า
และสร้างความเข้าใจในการเรียนรู้

5. ควรคานึงถึงความถูกต้องของทักษะให้ผู้เรียนทราบหรือเกิดความเคลื่อนไหวตนเอง
เรียนรู้ในสิ่งที่ถูกต้องและแก้ปัญหาข้อผิดพลาดต้ังแต่เริ่มฝึก เพื่อป้องกันมิให้ทาเป็นนิสัยซึ่งจะแก้ไขได้
ยาก

6. ในการเรียนควรมีการเสริมด้วยวัสดุและอุปกรณ์ทางโสตทัศนศึกษาซึ่งจะช่วยให้
ผ้เู รียนเหน็ ความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่างๆในการฝึก

7. ควรใช้หลักจิตวิทยาเพื่อสร้างแรงจูงใจ สร้างความพึงพอใจในการเรียนและจัดให้มี
การแข่งขันเพื่อเปน็ การเร้าใจให้ผ้เู รียนอยากแสดงออก

8. จดั สิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม เพราะบรรยากาศที่ดีจะช่วยให้ผู้เรียนมีความสนกุ สนาน
และพึงพอใจในกิจกรรม

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 111

การสอนทกั ษะ
1. ความมงุ่ หมาย
ทกั ษะ (Skill) คือ ความสามารถทีเ่ กิดข้นึ จากการฝึกฝนหรือการปฏิบัติจากการเรียนร้แู ละความ

ชานาญ การเคลื่อนไหวขึ้นอยู่กับการฝึกฝนและประสบการณ์ในการแสดงออก การเรียนรู้ทักษะกีฬา
แสดงทักษะให้ได้ผลที่แน่นอนสูงสุด โดยใช้พลังงานน้อยที่สุด มีองค์ประกอบที่สาคัญ 3 ประการคือ
ประสิทธิภาพ (Effectiveness) ความคงเส้นคงวา (Consistency) และประสิทธิผล (Efficiency)(ณฐั ยา แก้ว
มุกดา, 2548)

ในจุดมุ่งหมายของการสอนทักษะนั้นณัฐยา แก้วมุกดา (2548) ได้กล่าวว่า ความมุ่งหมายน้ัน
เป็นความประสงค์ ความตั้งใจ และความมุ่งหมายที่สะท้อนให้เห็นถึงผลระยะยาวที่ปรากฏปลายทางที่
เราประสงค์ให้เกิดในสิง่ ใดสิ่งหนึ่งดงั น้ันในหลักการและปรชั ญาของการจัดกิจกรรมการเรียนร้พู ลศึกษา
นั้น ก็ต้องมีจุดมุ่งหมายในการที่จะช่วยผู้เรียนได้มาซึ่งความรู้ ทักษะที่จาเป็น และการมีทัศนคติที่ดีใน
การเข้าร่วมกิจกรรมทางกายซึ่งคงไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในขณะการเรียนการสอนเท่าน้ัน แต่ต้องช่วยให้
ผู้เรียนสามารถนาความรู้และทักษะที่จาเป็นไปใช้ตลอดช่วงชีวิตของเขาเองได้ ดังนั้นเพื่อประโยชน์ใน
การเป็นแนวทางในการปฏิบัติในการนาไปสู่การบรรลุผลปลายทางของพลศึกษา การตั้งวัตถุประสงค์
ของการจัดกิจกรรมการเรียนร้พู ลศึกษา จึงประกอบไปด้วยการต้ังวตั ถุประสงค์ 4 ระดบั ดังนี้

1.1 วัตถุประสงค์ที่เกิดขึ้นทันทีทันใด (Immediate Control Objective) ผู้เข้าร่วม

กิจกรรมพลศึกษาจะได้รบั ประโยชน์ในขณะที่กาลงั เรียน
1.1.1 มุ่งให้เกิดสมรรถภาพทางทาง (Physical Fitness) ผู้เล่นมีความแข็งแกร่ง

(Strength) มีความอดทน (Endurance) มีความเร็ว (Speed) มีความคล่องแคล่วว่องไว (Agility) มีความ
อ่อนตัว (Flexibility) มีการทรงตัวที่ดี (Balance) มีอานาจบังคับตัว เป็นผลให้อวัยวะทาหน้าที่ได้ดีและ
ทางานอย่างมีประสิทธิภาพ

1.1.2 มุ่งให้เกิดความรู้และความเข้าใจ มุ่งหมายให้ผู้เรียนมีความเข้าใจ เกิด
ความรู้ในกิจกรรมที่ได้เรียนรู้ ถึงประโยชน์และวิธีการเล่น การฝึกหัด กฎ กติกา ของกิจกรรมที่เข้าร่วม

1.1.3 มุ่งให้เกิดทัศนคติ ความซาบซึ้ง และคุณธรรมทางจิตใจ ทาให้มีผลเกิด
คุณธรรมทางจิตใจสูง ไม่เอารัดเอาเปรียบบคุ คลอืน่ โอบอ้อมอารี เสียสละ มีน้าใจนักกีฬา

1.1.4 มุ่งให้เกิดทักษะ เมื่อผู้เรียนได้เข้าร่วมกิจกรรมทางพลศึกษาชนิดใดๆแล้ว
ต้องมุ่งหมายให้ผู้เรียนได้รบั ทักษะ ความชานาญในการเล่น

1.2 วัตถุประสงค์ที่เกิดขึ้นระดับที่สอง (Intermediate Control Objective) มุ่ง

หมายให้ผู้เรียนมีการพฒั นาทางด้านต่างๆ หลังการฝึกฝน
1.2.1 ส่งเสริมพัฒนาทางด้านร่างกายและอวัยวะต่างๆ เพิ่มประสิทธิภาพใน

การทางานของอวัยวะทุกช้นิ ทาให้ร่างกายแขง็ แรง ทาให้สุขภาพดี มีสมรรถภาพในการเคลื่อนไหว

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 112

1.2.2 ส่งเสริมการประสานงานของประสาทและกล้ามเน้ือ ทาให้ระบบทางาน
สมั พันธ์กนั

1.2.3 ส่งเสริมการพฒั นาทางด้านความรู้ การตัดสินใจ การวิเคราะห์ มีเหตุผล
1.2.4 ส่งเสริมพัฒนาการทางด้านอารมณ์ ช่วยให้เราควบคุมอารมณ์ได้ ให้มี
อารมณ์มน่ั คง มีความอดทน ร้แู พ้ รู้ชนะ ร้อู ภัย
1.3 วัตถุประสงค์ที่เกิดขึ้นภายหลัง (Remote Adjustment Objective) มุ่งหมาย
ส่งเสริมให้ผ้เู รียนได้เกิดการพัฒนา หลงั จากการเข้าร่วมกิจกรรมพลศึกษาแล้ว
1.3.1 ส่งเสริมให้เป็นผ้ทู ี่มีสุขภาพดี
1.3.2 ส่งเสริมให้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
1.3.3 ส่งเสริมให้มีความประพฤติดี เป็นผู้นาผู้ตาม รู้จักความรับผิดชอบ ให้
ความร่วมมือ มีน้าใจนกั กีฬา เคารพกฎ กติกา
1.4 วัตถุประสงค์สูงสุด (Ultimate Aim) จุดมุ่งหมายที่เกิดขึ้นสูงสุด คือ ต้องใช้
กิจกรรมทางกายมาเป็นสื่อในการเรียนรู้ และสามารถนาความรู้ไปใช้ในชีวิตประจาวันเป็นอย่างดี ช่วย
ให้ผ้เู รียนได้พฒั นาทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม
2. หลักเกณฑใ์ นการเลือกกิจกรรมพลศึกษา
สุพิตร สมาหิโตและเจริญ กระบวนรัตน์ (ม.ป.ป.) ได้กล่าวว่าในการเรียนการสอนพลศึกษานั้น
ครูพลศึกษาจะต้องมีหลักเกณฑ์ในการเลือกกิจกรรมพลศึกษาเพื่อใช้ในการจัดกระบวนการเรียนรู้
ให้กบั ผู้เรียน ซึง่ หลักเกณฑ์ในการเลือกกิจกรรมพลศึกษาควรมีลกั ษณะดงั ต่อไปนี้
2.1 ควรเป็นกิจกรรมทีม่ ีคณุ ค่าตามวตั ถุประสงค์
2.2 เป็นกิจกรรมที่มีความสนุกสนานและส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ใช้ความพยายามของตน
ในการเรียนทักษะ
2.3 เปน็ กิจกรรมทีส่ ามารถปรบั ให้เหมาะกบั เพศวัยตลอดจนความสนใจของเด็ก
2.4 เปน็ กิจกรรมทีอ่ าศยั การเคลื่อนไหวเบ้ืองต้นเช่นการวิ่งการเดิน เปน็ ต้น
2.5 เป็นกิจกรรมทีเ่ หมาะสมกับอปุ กรณ์และสถานที่
2.6 กิจกรรมน้ันควรจะสามารถนาไปใช้ในโอกาสต่อไป
2.7 เปน็ กิจกรรมทีม่ ีคณุ ค่าต่อสขุ ภาพและสวสั ติภาพของผ้เู รียน
2.8 กิจกรรมทีจ่ ัดควรให้สอดคล้องกับปรัชญานโยบายและการบริหารของโรงเรียน
2.9 เป็นกิจกรรมทีช่ ่วยส่งเสริมการแสดงออกของแต่ละบุคคล
2.10 เปน็ กิจกรรมทีช่ ่วยส่งเสริมลักษณะของประชาธิปไตย

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 113

2.11 กิจกรรมน้ันควรคานึงถึงหลักการทางสรีรวิทยาให้มาก ควรทราบว่าเด็กวัยไหนมี
ความเจริญทางกล้ามเน้ือเป็นอย่างไร ควรคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล คานึงถึงความสามารถ
ของเด็กแต่ละคน

2.12 หลักทางจิตวิทยาก็เป็นองค์ประกอบอีกประการหนึ่งที่ควรจะได้ยึดถือเป็นหลัก
คือ ควรจะได้เลือกกิจกรรมที่เด็กสามารถเล่นได้โดยง่าย ไม่สลับซับซ้อนมากเกินไปและในการจัด
กิจกรรมบางครั้ง ก็ควรจะให้เด็กได้เล่นรวมกันบ้างระหว่างเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย เพราะจะเป็น
หนทางอย่างหนึ่งที่จะช่วยส่งเสริมความต้องการของเดก็ โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นและควรเปิดโอกาสให้เด็ก
ได้มีการแข่งขนั กันบ้าง เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เด็กได้มีความต้องการในการเข้าร่วมกิจกรรมการแข่งขัน
ควรจะจดั เปน็ ทีม

นอกจากน้ี สุพิตร สมาหิโตและเจริญ กระบวนรัตน์(ม.ป.ป.)ได้กล่าวถึงการสอนทักษะใน
กิจกรรมการเรียนร้พู ลศึกษานั้น ควรจะประกอบไปด้วย 3’ D ดังรายละเอียดต่อไปนี้

1. การสาธิต (Demonstration)
การเรียนรู้ส่วนใหญ่ จะเริม่ มาจากการได้มองเห็น การได้ยิน จนถึงกับกล่าวได้
ว่าการมองเห็นรูปภาพรูปหนึ่งมีคุณค่าเท่ากับการได้ยินหรือได้อ่านคาหลายคา (One picture is worth
many word.) แต่การได้รับประสบการณ์จากการฝึกจริงๆ นั้นมีค่ามากกว่าการเห็นรูปภาพมากมายนัก
จากคากล่าวเหล่าน้ี หมายถึงว่าเมื่อผู้เรียนได้เลียนแบบสิ่งที่เขาได้พบเห็นมานั้น หมายความว่า เขาได้
เรียนจากประสบการณ์โดยลองผิดลองถูกมาแล้ว ครูจะต้องเป็นผู้สาธิตวิธีการที่ถูกต้องมากที่สุด
เพื่อให้ผู้เรียนได้เห็น เพื่อผู้เรียนจะได้ปฏิบัติตามได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการเตรียมตัวใน
การสาธิตของครนู ้ันเปน็ สิง่ ที่สาคัญและจาเป็นมาก หากครูมีปัญหาไม่สามารถสาธิตวิธีการที่ถกู ต้องให้
ผ้เู รียนได้ ครูควรจะแก้ปัญหาโดยการเลือกผู้เรียนคนที่มีทกั ษะดีมาสาธิตให้เพือ่ นๆ ดแู ทนครู ซึ่งวิธีการ
น้อี าจจะเป็นวิธีการทีไ่ ม่เหมาะสม แต่ยงั เปน็ การดีกว่าทีค่ รจู ะสาธิตทกั ษะที่ผิดๆให้ผู้เรียนดู ด้วยเหตนุ ี้จึง
เห็นว่าการสาธิตน้ันเป็นสิง่ ทีจ่ าเป็นมากต่อการเรียนทกั ษะวิชาพลศึกษา
2. การวินิจฉัย (Diagnosis)
ในการสอนผู้เรียนท้ังช้ันย่อมเป็นของธรรมดาที่จะต้องมีผู้เรียนส่วนหนึ่งที่มี
ความสามารถทางด้านกลไกด้อยกว่าคนอื่น ซึ่งอาจจะเนื่องมาจากสาเหตุความผิดปกติทางด้าน
ร่างกายหรือความผิดปกติทางด้านจิตใจ หรืออาจจะเนื่องมาจากสาเหตุความผิดปกติทางด้าน
ความสัมพันธ์ของอวัยวะต่างๆ โดยโครงสร้างของร่างกาย ถ้าในช้ันเรียนมีผู้เรียนเหล่าน้ันอยู่ด้วยครู
จะต้องมีความเชี่ยวชาญในการวินิจฉัยถึงสาเหตุแห่งความผิดปกติดังกล่าว ครูบางคนมีความสามารถ
สงู ในการให้คาแนะนาเกีย่ วกับรูปแบบของการเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ในการให้
คาแนะนาเพือ่ ให้เดก็ ได้ปฏิบตั ิตามน้นั กอ็ าจจะใช้สญั ลกั ษณ์ง่ายๆ ส้นั ๆ ครจู ะต้องเข้าใจหลกั จิตวิทยาว่า

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 114

ควรจะให้กาลังใจแก่เด็กผู้เรียนได้อย่างไร ผู้เรียนเหล่านั้นจึงจะไม่เกิดความรู้สึกว่าตนเองมีปมด้อย
ตนเองไม่เหมือนเพื่อนๆคนอื่นๆ การวินิจฉัยทีด่ ีน้นั จะต้องเปน็ การช่วยให้ผ้เู รียนนั้น

2.1 สามารถปฏิบตั ิต่างๆได้โดยไม่เปน็ อันตรายต่อสขุ ภาพร่างกาย
2.2 มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบของการเคลือ่ นไหวที่ถูกต้อง
2.3 เกิดประสบการณ์เกีย่ วกบั ทกั ษะทางด้านกลไก
2.4 เกิดการจดจาในทักษะทีต่ นเองค้นพบและสามารถนาไปปฏิบตั ิได้

3. การชี้แนะหรือการแนะแนวทาง (Direction)
หน้าที่ในการแนะแนวทางของรูปแบบทักษะใหม่ๆให้กับผู้เรียนเป็นหน้าที่ข้ัน
ต่อไปของครู เพราะในการเรียนรู้ของผู้เรียนน้ันไม่เพียงแต่ครูจะส่งเสริมให้ผู้เรียนขจัดปัญหาของตนเอง
ทีไ่ ด้พบเห็นเท่าน้ันแต่จะต้องแนะนาให้ผู้เรียนสนใจสิ่งรอบๆ ตัว เพื่อเพิม่ พูนประสบการณ์ด้วย ด้วยเหตุ
น้จี ะเป็นการช่วยให้เด็กผ้เู รียนได้รับความสาเร็จได้รวดเร็วยิง่ ขึ้น เมื่อผู้เรียนปฏิบัติตามคาแนะนาของครู
และประสบความสาเร็จแล้ว ก็จะเป็นการช่วยกระตุ้นทาให้ผู้เรียนมีกาลังใจในการปฏิบัติสิ่งนั้นซ้าๆ
เพื่อที่จะได้รับชัยชนะต่อไป อย่างไรก็ตามครูพลศึกษาพึงระลึกอยู่เสมอว่าผู้เรียนแต่ละคนมีลักษณะที่
แตกต่างกัน จึงเปน็ หน้าทีข่ องครทู ี่จะต้องช่วยเหลือผ้เู รียนได้ค้นพบความสามารถที่มีอย่ใู นตัวตนของเขา
เอง
3. ข้ันตอนของการสอนทกั ษะทางด้านพลศึกษา
นักวิชาการพลศึกษาได้ระบุข้นั ตอนการสอนพลศึกษาแตกต่างกนั ไป อาทิเช่น
วิสูตร กองจินดา (2530) ได้กล่าวไว้ว่าการสอนพลศึกษาจะได้ผลดีน้ันควรประกอบไปด้วย4
ข้นั ตอนดังต่อไปน้ี
1. ขั้นอบอุ่นร่างกาย เป็นการเตรียมตัวผู้เรียนให้พร้อมที่จะเล่นกิจกรรมต่างๆ เป็น
การกระตุ้นระบบต่างๆ ของร่างกายให้เกิดความพร้อมและช่วยให้ร่างกายมีสรรถภาพดียิง่ ขึ้นอีกด้วยใน
ชั่วโมงพลศึกษาควรจะอบอ่นุ ร่างกายดงั น้ี
1.1 ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาทีสาหรับอบอุ่นร่างกาย
1.2 ควรเริ่มด้วยท่าบริหารช้าๆ และเบาๆ ก่อนแล้วจึงเร่งความเร็วและหนักขึ้น
เป็นลาดบั
1.3 ท่าบริหารควรบริหารร่างกายให้ครบทกุ ส่วน
2. ขั้นอธิบายและสาธิต การอธิบายและสาธิตเป็นวิธีสอนที่จะให้ผู้เรียนได้รับความรู้
ความเข้าใจในสิ่งที่สอน สามารถนาไปเป็นแนวทางในการฝึกหัดและเล่นต่อไป ครูควรเปิดโอกาสให้
ผู้เรียนได้ทดลองปฏิบัติทักษะต่างๆ ด้วยตนเอง เพื่อให้ผู้เรียนได้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และสารวจ
ความสามารถของตนเอง รู้จักพึ่งตนเองและขณะผู้เรียนทดลองทักษะต่างๆ ด้วยวิธีการของตนเองอยู่

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 115

นั้น ครูควรตั้งปัญหาชี้แนะในจุดสาคัญต่างๆ ควบคู่ไปด้วยกันการอธิบายและสาธิตทักษะวิธีการเล่น
ต่างๆ ควรจะสอนจากง่ายไปยาก

3. ขั้นฝึกหัด ในข้ันน้ีเป็นข้ันที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะการฝึกหัด ซึ่งจะทา
ให้ผู้เรียนได้นาเอาความรู้และทักษะที่เรียนมาแล้ว ไปใช้เล่นด้วยความสนุกสนาน การสอนในข้ันน้ีจะให้
ได้ผลดีต้องคานึงถึง

3.1 จานวนอุปกรณ์สาหรับฝึกหัด ควรจะมีเพียงพอเพื่อจะสามารถฝึกหัดได้
พร้อมๆกนั ไป

3.2 แบบฝึกทักษะควรจะใช้แบบฝึกเฉพาะสาหรบั กีฬาประเภทน้นั ๆ
3.3 ระหว่างฝึกทักษะ ควรสอดแทรกการแข่งขันเข้าด้วย จะทาให้การฝึกมี
ความสนกุ สนาน
3.4 ฝึกจากง่ายไปหายากและจากอย่กู บั ทีไ่ ปยังท่าเคลื่อนที่
4. ข้ันสรุปเป็นการสรุปประเมินผลบทเรียนในช่ัวโมงเป็นข้ันตอนที่ควรจะทาก่อนจะ
หมดเวลาประมาณ 5-8 นาที ในการสรุปน้ีอาจทาได้โดยคัดเลือกผู้เรียนออกมาเล่นหรือแสดงในสิ่งที่
ครไู ด้สอนไปแล้ว หรืออาจสรปุ โดยวิธีการสงั เกตของครูแล้วแจ้งให้ผู้เรียนทราบ
จุฑามาศ บัตรเจริญ (2556) กล่าวว่า กระบวนการสอนทักษะในวิชาพลศึกษาน้ัน มีข้ันตอนที่
แตกต่างกันออกไป ต้ังแต่ 3-7 ข้ันตอน แต่โดยทั่วไปกับการสอนพลศึกษาในทุกระดับช้ัน นิยมการสอน
แบบ 5 ข้นั ดงั ต่อไปนี้
1. ข้ันนาเข้าสู่บทเรียน/ข้ันการอบอุ่นร่างกาย การกล่าวนาเข้าสู่บทเรียนควรพูด
ส้นั ๆ เข้าใจได้ง่ายและพดู ตรงๆ โดยบอกผู้เรียนว่าช่ัวโมงนี้จะเรียนเรื่องอะไร ทาไมถึงต้องเรียน เช่น วันนี้
ครูจะสอนเรื่องการทรงตัว เพราะการทรงตัวจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถน่ัง เดิน วิ่ง และเคลื่อนไหวทา
กิจกรรมต่างๆ ได้โดยไม่หกล้มหรือเสียการทรงตัวได้ง่าย อีกท้งั ยงั ช่วยให้ผ้เู รียนมีทิศทางการเคลื่อนไหว
ที่สง่างาม หลังจากน้ันก็จะทาการอบอุ่นร่างกายโดยการอบอุ่นร่างกายในชั่วโมงพลศึกษาแบ่งออกเป็น
2 ตอนได้แก่การอบอ่นุ ร่างกายทั่วไปก่อนการเล่น และการอบอ่นุ ร่างกายแบบเฉพาะ
2. ข้ันการอธิบายสาธิต ก่อนทาการสอนทักษะใด ครูจะต้องอธิบายและสาธิตให้
ผ้เู รียนดวู ่าทาอย่างไร การอธิบายสาธิตจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติตามทิศทางทีค่ รูกาหนดให้
และเป็นการตรวจสอบว่า ผู้เรียนเข้าใจหรือไม่ทางที่ดี อาจทาการอธิบายและสาธิตในแต่ละทักษะและ
ให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติทันที เมื่ออธิบายสาธิตจะต้องพูดออกเสียงดังและชัดเจนหันหน้าเข้าหาผู้เรียน
อธิบายข้นั ตอนอย่างถูกต้อง มีบางครั้งทีค่ รอู ธิบายอาจจะต้องใช้ผู้เรียนช่วยสาธิตประกอบ
3. ขั้นการฝึกปฏิบัติทักษะ หลังจากที่ครูได้อธิบายสาธิตไปแล้ว ผู้เรียนจะแยกฝึก
อาจจะฝึกคนเดียว จับคู่ หรือกล่มุ ย่อยแล้วแต่กิจกรรมทีค่ รจู ัดให้ ถ้าพบว่าผ้เู รียนส่วนใหญ่ปฏิบัติทักษะ
ไม่ถูกต้อง ให้หยุดทาการฝึกทันที แล้วทาการอธิบายสาธิตใหม่

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 116

4. ขั้นการนาไปใช้ ครูอาจจะให้ผู้เรียนทดลองฝึกในห้องเรียน หลังจากที่ผู้เรียน
สามารถกระทาได้อย่างถูกต้องแล้ว ครูก็นาผู้เรียนออกไปฝึกซ้อมในสนามต่อไป จัดให้มีการแข่งขนั กัน
แล้วให้ผู้เรียนดวู ่าการฝึกนั้นยังบกพร่องหรือไม่อย่างไรโดยให้ผู้เรียนดูการปฏิบัติของเพือ่ นๆ ด้วยกันเอง
และให้ข้อมูลย้อนกลับแก่เพื่อนด้วย เพื่อที่จะให้เพื่อนๆได้กระทาได้อย่างถูกต้อง ครูอาจจะให้ผู้เรียนคน
หนึ่งลองฝึกปฏิบัติ แล้วครูก็เป็นผู้ให้ข้อมูลย้อนกลับผู้เรียนคนอื่นๆ ก็เป็นผู้สังเกตการณ์และจดจาสิ่งที่
เพื่อนๆ ทาและฟังข้อมูลย้อนกลับที่ครูให้ด้วย หลังจากนั้นผู้เรียนก็วิเคราะห์การกระทาของตนเองและ
ตรวจสอบว่าตัวเองทาถูกต้องหรือไม่เอง สุดท้ายก็สามารถลงทาการแข่งขันได้จริงๆ แต่ครผู ู้สอนก็ยังคง
ให้ข้อมลู ย้อนกลบั อีกเรือ่ ยๆ แม้กระทั่งในขณะทีท่ าการแข่งขัน

5. ข้ันสรุป เป็นข้ันสุดท้ายของการเรียนการสอน เพื่อการย้าเน้ือหาสรุปบทเรียนให้
ผู้เรียนมีความเข้าใจที่ถูกต้อง และตรงตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ด้วย ข้ันสรุปน้ีควรใช้เพียงระยะส้ันๆ
เช่นเดียวกับข้ันนาเข้าสู่บทเรียน การสรุปน้ีจึงควรครอบคลุมเน้ือหาสาคัญท้ังหมดโดยย่อและใช้เวลา
น้อย

4. รูปแบบการจดั แถวในการสอนพลศึกษา
ในส่วนของรูปแบบการจัดแถวในการสอนพลศึกษาน้ัน สุพิต สมาหิโตและเจริญ กระบวนรัตน์
(ม.ป.ป.) ได้กล่าวว่าการสอนกิจกรรมพลศึกษานั้นมีรูปแบบของการสอนที่แตกต่างไปจากการสอนวิชา
อื่นๆ เพราะผู้เรียนจะต้องมีการปฏิบัติจริงในสนาม ซึ่งจะต้องใช้พื้นที่มากการแบ่งกลุ่มของผู้เรียนเพื่อ
ฝึกทักษะน้ันจะต้องแบ่งออกไปให้ผู้เรียนได้มีที่ว่างเฉพาะตัวมากๆ และในแต่ละกลุ่มหรือแต่ละแถวก็
ควรจะมีผู้เรียนจานวนจากัดในระหว่าง 6-10 คนเมื่อแบ่งกลุ่มออกไปแล้วก็อาจจะมีการแต่งต้ังให้มี
หัวหน้ากลุ่มเพื่อคอยช่วยเหลือครูและเพื่อนๆในกลุ่มแทนครู หัวหน้ากลุ่มเหล่าน้ีจะถูกเลือกโดยครูก่อน
ในครั้งแรกต่อจากนั้นกอ็ าจจะเปิดโอกาสให้เพื่อนๆ ในกล่มุ เป็นผู้เลือกในครั้งต่อๆ ไป สาหรับระยะเวลา
ของการเป็นหัวหน้ากล่มุ น้นั กข็ ึ้นอย่กู ับข้อตกลงระหว่างครูกบั ผู้เรียน หรือระหว่างผู้เรียนด้วยกันเอง
ซึ่งบทบาทหน้าทีข่ องหวั หน้ากล่มุ ควรมีลกั ษณะดังนี้

- สารวจผ้ทู ีม่ าเรียนในแถวของตน
- ช่วยเหลือครูในการวางโปรแกรมการเรียนประจาวันประจาสปั ดาห์และประจาภาค
- ช่วยเหลือครูในการสาธิตทกั ษะต่างๆและช่วยเหลือเพื่อนๆทีย่ ังทาทกั ษะไม่ได้
- ช่วยเหลือครูในการประเมินผลโปรแกรมการเรียน
- สร้างรปู แบบของการเปน็ ผู้นาและผ้ตู ามที่ดีเพื่อเปน็ แบบอย่างแก่เพื่อนคนอื่นๆ
- ช่วยเหลือครูในการสารวจอุปกรณ์ก่อนและหลังการนาออกไปใช้นอกจากน้ีก็ควรจะ
ได้ช่วยเหลือครใู นการซ่อมแซมอปุ กรณ์ด้วย

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 117

สาหรับการจดั รูปแบบแถวในการสอนกิจกรรมพลศึกษาพอสรปุ ได้ดังต่อไปนี้
4.1 การจัดรูปแบบแถวเป็นรูปพัด การจัดแบบน้ีผู้เรียนจะกระจายออกไปเป็นรูปโค้งโดยจะมี
หัวหน้ากลุ่มยืนอยู่ข้างหน้า รูปแบบการจัดเช่นน้ี เหมาะสาหรับการฝึกทักษะประเภทที่มีการขว้างลูก
บอล การรบั ส่งลูกบอล การเตะลกู บอล เปน็ ต้น โดยทีจ่ ะมีครผู ้สู อนเปน็ ผู้คอยให้คาแนะนา
4.2 การจัดรูปแบบแถวเป็นแถว การจัดรูปแบบน้ีเป็นวิธีการจัดที่ง่ายที่สุดสาหรับผู้เรียนที่เริ่ม
เรียนกิจกรรมพลศึกษา เหมาะสาหรบั การฝึกหดั แบบผลดั การยิงประตู หรือการเล่นเกมทีจ่ ะต้องมีการ
ฝึกการเล่นตามลาดบั แต่ละแถวควรมีผู้เรียนไม่เกิน 8 คน
4.3 การจัดรูปแบบแถวเป็นรูปวงกลม การจัดเป็นรูปวงกลมน้ีอาจจะเปลี่ยนแปลงรูปแถวเป็น
รูปพัดก็ได้ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความสามารถของหัวหน้ากลุ่ม เหมาะสาหรับการเล่นเกมและการรับส่งลูก
บอล โดยให้หวั หน้ากลุ่มยืนอย่กู ลางวงเพื่อคอยแก้ไขหากมีผ้เู รียนคนใดคนหนึง่ ทาผิด
4.4 การจัดรปู แถวเพื่อให้ผู้เรียนวิ่งกลับไปกลับมา การจัดกลุ่มแบบนี้เหมาะสาหรับการวิง่ รบั ส่ง
ลกู บอลหรือการเตะลกู บอล
4.5 การจัดรูปแถวแบบซิกแซก การจัดรูปแถวแบบน้ีผู้เรียนจะยืนหันหน้าเข้าหากันผู้เล่นคนที่ 1
จะโยนลกู บอลให้คนที่ 2 คนที่ 2 จะโยนลูกบอลให้คนที่ 3 คนที่ 3 จะโยนลูกบอลให้คนที่ 4 ทาอย่างนี้ไป
เรื่อยๆ วิธีนี้เหมาะสาหรับการรับส่งลูกบอลการเตะลกู บอลการเล่นวอลเลย์บอล เปน็ ต้น
4.6 การจัดรูปแบบแถวเป็นมุม การจัดแถวแบบน้ีหัวหน้ากลุ่มจะยืนหันหน้าไปทางแถวของ
ผู้เรียนแล้วให้ผู้เรียนนับ เมื่อจะเริ่มฝึกทักษะต่างๆให้ผู้เรียนที่นับเลขคี่วิ่งไปทางซ้ายมือ คนที่นับเลขคู่วิ่ง
ไปทางขวามือ การฝึกแบบน้ีผู้เรียนจะได้เคลื่อนไหวตลอดเวลา หัวหน้ากลุ่มจะต้องมีความสามารถใน
การออกคาสั่งเป็นอย่างดี
4.7 การจัดรูปแถวเป็นรูปสี่เหลี่ยม การจัดแถวแบบน้ีผู้เรียนท้ัง 4 กลุ่มจะต้องมาต่อกันเป็นรูป
สี่เหลีย่ ม โดยมีหวั หน้ากล่มุ ทกุ กลุ่มยืนอย่ตู รงบริเวณทางซ้ายของหวั แถวของตนเอง
4.8 การจัดรูปแบบแถวแบบให้ผู้เรียนยืนกระจายกันอยู่ทั่วไป รูปแถวแบบน้ีผู้เรียนจะยืน
กระจายกันอยู่ทั่วไปในสนามบริเวณใดก็ได้ตามความพอใจของผู้เรียนแต่อยู่ในบริเวณที่ครูสามารถจะ
มองเห็นและผ้เู รียนได้ยินการอธิบายของครไู ด้ท้ังน้ีหน้าที่ของหัวหน้ากล่มุ จึงควรมีลกั ษณะดังน้ี
--------------------------------------------------------------------

ทีม่ า : http://www.nutleyschools.org/olc/teacher.aspx?s=92

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 118

บทที่ 5

หลกั การจัดและบริหารชั้นเรียน
วัสดุอปุ กรณแ์ ละสิ่งอานวยความสะดวก

ความหมายและจุดมุ่งหมายการจดั ช้ันเรียนและระเบียบการเรียน
วิชาพลศึกษา
หลักในการจัดช้ันเรียนและระเบียบการเรียนวิชาพลศึกษา
เทคนิคการควบคมุ ช้ันเรียน
การจัดการบริหารสถานที่ วสั ดุอปุ กรณ์
และเครือ่ งอานวยความสะดวกทางพลศึกษา

ทีม่ า: http://www.achievepe.org/middle-school-curriculum

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 119

ความหมายและจุดมุ่งหมาย
1. ความหมายของการจัดชั้นเรียนและระเบียบการเรียนวิชาพลศึกษา
การจัดช้ันเรียนและระเบียบการเรียนวิชาพลศึกษาหมายถึงการจัดบรรยากาศ

สภาพการณ์ ข้อตกลงของช้ันเรียนและระเบียบการเรียนการสอนวิชาพลศึกษา เพื่อให้การดาเนินการ
เรียนการสอนได้เปน็ ไปด้วยความเรียบร้อยและบรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ตามที่ได้วางไว้อย่างดีและมี
ประสิทธิภาพ(วรศักดิ์ เพียรชอบ,2548) ซึ่งวิชาพลศึกษานั้น ต้องมีการจัดช้ันเรียนวางกฎและระเบียบ
การเรียนการสอนไว้เป็นพิเศษโดยเฉพาะ เนื่องจากธรรมชาติและลักษณะการเรียนการสอนในวิชา
พลศึกษานั้นมีความแตกต่างจากการเรียนในวิชาอื่นๆ ที่อยู่ในห้องเรียนท่ัวไปค่อนข้างมาก นับตั้งแต่
ก่อนเริ่มเรียน ผู้เรียนต้องออกจากห้องเรียนไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวให้พร้อมเพื่อจะเรียนในสถานที่จะ
เรียนใหม่ จนกระทั่งเสร็จสิ้นการเรียน แล้วผู้เรียนต้องทาความสะอาดร่างกายและเปลี่ยนเครื่องแต่ง
กายให้เรียบร้อยเหมือนเดิม เพื่อเข้าเรียนในวิชาอืน่ ๆ ในห้องเรียนต่อไป นอกจากน้ีสภาพการณ์ลกั ษณะ
ของวิชา กิจกรรม สถานที่และอุปกรณ์ในการเรียน ตลอดจนกระบวนการเรียนการสอน วิธีการเรียน
การสอนและการมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ของผู้เรียนในระหว่างการเรียนก็มีลักษณะพิเศษกว่าวิชา
อื่นๆ ค่อนข้างมาก ดังนั้นข้อตกลงและระเบียบการเรียนพลศึกษา จึงมีความสาคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยให้
การเรียนการสอนพลศึกษาได้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเสริมสร้างบรรยากาศห้องเรียน เพื่อ
นาไปส่กู ารเรียนการสอนพลศึกษาให้ได้ผลดียิ่งขึ้น

2. จดุ มุ่งหมายของการจัดช้ันเรียนและระเบียบการเรียนวิชาพลศึกษา
สาหรับจุดมุ่งหมายในการจัดช้ันเรียนและระเบียบการเรียนวิชาพลศึกษานั้น วรศักดิ์

เพียรชอบ (2548) ได้กล่าวถึงจุดม่งุ หมายดงั น้ี คือ
2.1 เพื่อช่วยประหยัดเวลาในจัดการเรียนการสอนพลศึกษาแต่ละคร้ัง เนื่องจากการ

เรียนวิชาพลศึกษาในคร้ังหนึ่งๆ หรือคาบหนึ่งๆนั้น จะมีระยะเวลาเรียนเท่าๆกับวิชาอื่นๆที่เรียนใน
ห้องเรียนท่ัวไปคือมีเพียงประมาณ 50 นาทีเท่านั้น แต่ในการเรียนวิชาพลศึกษาน้ันนอกจากผู้เรียนต้อง
เปลี่ยนห้องเรียนไปเรียนในสนามหรือในห้องพลศึกษาแล้ว ก่อนเริ่มเรียนและหลังจากการเรียนผู้เรียน
ยังจะต้องมีกิจกรรมอย่างอื่นๆ ที่จะต้องปฏิบัติอีก เช่น การเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวจากชุดผู้เรียนเป็นชุด
เรียนวิชาพลศึกษา การทาความสะอาดร่างกายหลังจากเสรจ็ สิ้นการเรียน และการเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว
จากชุดเรียนวิชาพลศึกษาเป็นชุดผู้เรียนอีกคร้ังหนึ่ง ดังน้ัน การมีระเบียบและแนวทางปฏิบัติที่แน่นอน
ซึง่ ให้ผ้เู รียนทราบและสามารถปฏิบัติได้ จะทาให้การดาเนินการเรียนการสอนพลศึกษาสามารถดาเนิน
ไปได้ด้วยความรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และประหยัดเวลาเรียนได้อย่างดี

2.2 เพื่อเป็นการรับประกันความปลอดภยั สาหรับผู้เรียนทกุ คน เนื่องจากการมีระเบียบ
และแนวปฏิบัติในการออกจากห้องเรียนและกลบั เข้าส่หู ้องเรียน การขึ้นและลงบนั ได การมีระเบียบการ

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 120

เข้าแถวก่อนเรียนและการเลิกแถวหลังเรียนเหล่าน้ี ควรจะเป็นไปตามลาดับก่อนหลังและมีความเป็น
ระเบียบเรียบร้อย ซึง่ จะช่วยไม่ให้เกิดอนั ตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้

2.3 เพื่อเป็นการสร้างบรรยากาศให้พร้อมที่จะดาเนินการเรียนการสอนให้ได้ใน
ทันทีทันใดโดยไม่เสียเวลา เพราะผู้เรียนแต่ละคนรู้หน้าที่ของตนเองว่าเมื่อถึงเวลาเรียนวิชาพลศึกษา
จะต้องรีบทาอะไรที่ไหนอย่างไรเพื่อให้พร้อมทีจ่ ะเริม่ เรียนได้

2.4 เพื่อเป็นการส่งเสริมความมีระเบียบความมีวินัยความรับผิดชอบ การตรงต่อเวลา
และความมีระเบียบเรียบร้อยให้เกิดขึ้นในตวั ผ้เู รียน

2.5 เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนเป็นผู้มีความรับผิดชอบต่อตนเองและต่อผู้อื่น ผู้เรียนจะได้
เห็นว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคมช้ันเรียน ถ้าหากว่าตนเองไม่ปฏิบัติตามกฎหรือระเบียบที่วางไว้แล้ว
ผลที่เกิดขึ้นจะเป็นผลเสียหรือผลกระทบไม่เฉพาะตัวผู้เรียนเองเท่าน้ัน หากแต่ว่าจะมีผลเสียหรือส่งผล
กระทบถึงบคุ คลอืน่ ๆ ในสงั คมช้นั เรียนท้งั หมดด้วย ดังน้ัน ผ้เู รียนทกุ คนจึงควรร่วมกันรับผิดชอบ

2.6 เพื่อเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์กันที่ดีระหว่างครูและผู้เรียนซึ่งเป็นการสร้าง
บรรยากาศการเรียนการสอนในช้นั เรียนที่ดี

2.7 เพื่อเป็นการสร้างความสามัคคีที่ดีทาให้ครูและผู้เรียน มีความเป็นกันเอง ผู้เรียน
ทุกคนมีความสบายใจมีบรรยากาศที่จะทาไปสู่การเรียนรู้ที่ดี

2.8 เพื่อเป็นหนทางที่จะนาไปสู่ความสามารถในการสนองความต้องการและความ
สนใจของผ้เู รียนแต่ละคนได้ดีและถูกต้องยิ่งขึ้น

2.9 เพื่อเป็นการช่วยให้ครูสามารถใช้เวลาและความสามารถในการที่จะช่วยเหลือให้
ผ้เู รียนแต่ละคนได้มีการเรียนร้แู ละการพัฒนาการตามจดุ ประสงค์การเรียนร้ทู ีไ่ ด้ต้ังไว้ได้ดียิง่ ขึ้น

2.10 เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ครูได้มีการจัดช้ันเรียนและระเบียบช้ันเรียนที่จะนาไปสู่
บรรยากาศของการเรียนร้ขู องผ้เู รียนให้ได้ดีทีส่ ุด

หลักในการจดั ชนั้ เรียนและระเบียบการเรียนวิชาพลศึกษา
1. หลกั ในการจดั ชัน้ เรียน
วรศักดิ์ เพียรชอบ (2548) ได้เสนอแนวทางหรือหลักในการจัดช้ันเรียนเพื่อช่วยให้การ

จัดช้ันเรียนและระเบียบการเรียนวิชาพลศึกษาสามารถดาเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งแนวทาง
หรือหลกั ในการจัดช้นั เรียนและระเบียบการเรียนที่สาคญั มีดังต่อไปน้ี

1.1 ในการจดั ชั้นเรียนและระเบียบชั้นเรียนของพลศึกษาให้ได้ผลดียิ่งขึ้น ครคู วร
มีการแผนระยะยาวไว้ล่วงหน้าว่า ในแต่ละสัปดาห์หรือในแต่ละภาคเรียน ครจู ะมีแผนการเรียนการสอน
อย่างไร และตามแผนแต่ละสัปดาห์หรือแต่ละภาคเรียนน้ันๆ ครูจะให้มีการเรียนการสอนในกิจกรรม

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 121

ใดบ้างจะมีการจัดช้ันอย่างไร และผู้เรียนจะต้องปฏิบัติอย่างไร ทั้งน้ีเพื่อที่จะช่วยให้ทั้งครูและผู้เรียน
สามารถเข้าใจและปฏิบัติได้ตรงกัน ซึ่งกส็ ามารถทาให้การจัดกิจกรรมพลศึกษาเปน็ ไปอย่างราบรืน่

1.2 ครูควรกาหนดลงไปว่า แต่ละกิจกรรมพลศึกษาใดควรจะอยู่ที่ไหนและ
เวลาในแต่ละกิจกรรมก็ควรจะกาหนดให้แน่นอนลงไปว่ากิจกรรมใดควรจะใช้เวลาปฏิบัติมากน้อย
เพียงใด เพื่อผู้เรียนและครูจะได้ทราบและปฏิบัติได้ถูกต้อง เช่น การออกจากห้องเรียนเพื่อไปเปลี่ยน
เครือ่ งแต่งตัว การทาความสะอาดร่างกาย และเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเป็นชุดเรียนในห้องเรียน หลังจาก
เรียนวิชา ควรจะเป็นสถานที่ไหน และให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาเท่าไร ถ้าครูได้มีการวางระเบียบ
และกาหนดลงไปให้แน่นอนแล้ว ผู้เรียนทุกคนก็จะได้ทราบและปฏิบัติได้ถูกต้องด้วยความรวดเร็วและ
พร้อมเพรียงกนั

1.3 ในสภาพการณ์ของโรงเรียนแต่ละแห่งอาจมีความแตกต่างกันมาก เช่น
โรงเรียนบางแห่งอาจจะมีความพร้อมมากกว่าโรงเรียนอีกหลายๆแห่งในด้านสถานที่สาหรับเปลี่ยน
เครื่องแต่งตัว สถานที่สาหรับสอนกิจกรรมต่างๆ หลายๆ กิจกรรมสถานที่สาหรับทาความสะอาด
ร่างกายหลังการเรียนและอื่นๆและโรงเรียนแต่ละแห่ง อาจจะมีระเบียบและแนวทางการจัดช้ันเรียนที่
แตกต่างกันไปตามสภาพการณ์ของแต่ละโรงเรียนนั้นๆ อย่างไรก็ตาม ก็ต้องสามารถจัดการเรียนการ
สอนให้เหมาะสมและสามารถเอ้อื ให้การเรียนการสอนในแต่ละโรงเรียนน้นั ๆ ได้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว
เรียบร้อยและมีประสิทธิภาพให้มากที่สดุ เป็นสาคัญ

1.4 ตามปกติแล้ว การเรียนวิชาพลศึกษาที่ถูกต้องตามหลักการท้ังในด้านการ
บรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ ด้านความปลอดภัยและด้านสุขภาพ ดังนั้น เรือ่ งการแต่งกายในการเรียน
วิชาพลศึกษาน้ัน ควรจะมีชุดการเรียนในวิชาพลศึกษาโดยเฉพาะ ดังน้ัน ในการแต่งตัวเพื่อเรียนวิชา
พลศึกษานั้น ควรจะได้กาหนดให้ผู้เรียนได้ทราบและปฏิบัติโดยชดั เจนและถกู ต้อง

1.5 กิจกรรมต่างๆ ทั้งที่เป็นกิจกรรมประจาที่จะต้องปฏิบัติก่อนเรียนระหว่าง
เรียนและหลังเรียน ควรจะได้มีการเตรียมวางแนวทางการปฏิบัติและทาความเข้าใจกับผู้เรียนไว้ก่อน
เป็นอย่างดี เมื่อถึงเวลาเรียนทุกสิ่งทกุ อย่างสามารถดาเนินไปได้ด้วยความรวดเร็วโดยไม่ต้องเสียเวลา

1.6 ครูจะต้องระลึกไว้เสมอว่าเวลาในการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาน้ันเป็น
เวลาที่ครูได้มีการเตรียมการเพื่อให้ผู้เรียนได้บรรลุตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ได้วางไว้แล้ว ดังน้ัน
กิจกรรมการเรียนการสอนท้ังหลายท้ังมวลที่ครูได้จัดเตรียมการให้ผู้เรียนน้ัน แม้จะเป็นกิจกรรมที่ได้ใช้
ความสนุกสนานเป็นแรงจูงใจที่สาคัญในการเรียนก็ตาม แต่ความสนุกสนานของกิจกรรมการเรียนการ
สอนนั้นจะต้องเป็นกิจกรรมที่จะนาไปสู่การบรรลุผลตามจุดหมายการเรียนรู้ที่ได้วางไว้เป็นสาคัญ
ดงั นั้นระเบียบและข้อปฏิบัติต่างๆ ที่วางไว้จะต้องเป็นสิ่งที่จะช่วยเอื้อต่อการบรรลุผลตามจุดหมายการ
เรียนร้ทู ีไ่ ด้วางไว้น้นั ด้วย

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 122

1.7 สิ่งที่มักจะเป็นจุดความสนใจของผู้เรียนและผู้ปกครองของผู้เรียนเกี่ยวกับ
วิชาพลศึกษาเสมอๆ อย่างหนึ่งคือการวัดผลและการให้คะแนนผู้เรียนในวิชาพลศึกษา ดังน้ัน เพื่อจะได้
เป็นที่เข้าใจของผู้เรียนและของผู้ปกครองของผู้เรียนโดยถูกต้อง ครูควรจะมีระเบียบและแนวทางการ
เรียน สามารถทราบและคาดหวังได้โดยชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนและการวัดผลให้คะแนน
ผ้เู รียนนั้น จะต้องเปน็ ไปตามหลักการของวิชาพลศึกษาที่ครสู ามารถที่จะอธิบายได้ท้งั ในแง่ของหลกั การ
ของวิชาพลศึกษาและในแง่ของความสอดคล้องของจุดประสงค์การเรียนร้ทู ี่ได้วางไว้

1.8 การจัดช้ันเรียนการวางระเบียบและแนวทางในการปฏิบัติต่างๆที่วางไว้
ทกุ ๆ อย่างน้นั ควรจะเปน็ สิง่ ทีม่ ีความเปน็ ไปได้ในการที่ผ้เู รียนจะปฏิบัติได้ด้วย

สาหรบั สุพิตร สมาหิโตและเจริญ กระบวนรัตน์ (ม.ป.ป.) ได้กล่าวถึงการจัดช้นั เรียนว่า
โดยปกติแล้วการจัดช้ันเรียนกิจกรรมพลศึกษาโดยท่ัวไปในแต่ละห้องนั้นจะมีผู้เรียนไม่ต่ากว่า 20 คน
และไม่ควรเกิน 35 คนแต่ปัญหาที่ครูพลศึกษาประสบอยู่ในปัจจุบันน้ีก็คือ การขาดแคลนอุปกรณ์การ
เรียนและสถานที่ ดังน้ัน การวางแผนการจัดช้ันเรียนเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพของบุคลากรอุปกรณ์
และสถานที่เท่าที่มีอยู่น้ัน จึงเป็นสิ่งที่มีความจาเป็นมาก การวางโปรแกรมที่ดีน้ันจะต้องก่อให้เกิด
ประโยชน์ต่อผู้เรียนให้มาก ช้ันเรียนจะต้องมีระเบียบแต่ก็ไม่ควรจะเคร่งครัดมากจนเกินไป ครูควรจะ
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีความคิดในการแสดงออกโดยเสรี ซึ่งแนวปฏิบัติในการจัดช้ันเรียนนั้น สุพิตร
สมาหิโตและเจริญ กระบวนรตั น์ ได้สรุปไว้ดังน้ี

- กอ่ นการเรียน
1. ครจู ะต้องเตรียมบทเรียนทีจ่ ะต้องสอนให้พร้อม
2. หากจาเป็นที่จะต้องใช้อุปกรณ์ประกอบการสอนครูจะต้องดูแลว่าอุปกรณ์

เหล่าน้ันอยู่ในสภาพที่ใช้การได้หรือไม่
3. ครูควรจะแต่งกายให้เหมาะสมกับการสอนกิจกรรมพลศึกษาเพื่อให้เกิด

ความสะดวกความคล่องตวั ในการสอน
4. หากเป็นไปได้ครูควรจะจดจารายชื่อผู้เรียนในช้ันที่สอนด้วยเพื่อประโยชน์ใน

การปกครองชั้นเรียน
- การเรียกชื่อ
การเรียกชื่อผู้เรียนนั้นจะต้องกระทาอย่างรวดเร็วและแม่นยาซึ่งอาจจะ ใช้

วิธีการดงั ต่อไปนี้คือ
1. ให้หัวหน้าห้องเป็นผู้รับผิดชอบในการเรียกชื่อว่าในกลุ่มของตนเองน้ันมีใคร

ขาดเรียนบ้าง ซึ่งผลดีก็คือการเป็นผู้นาของผู้เรียนและทาให้การเรียกชื่อกระทาได้อย่างรวดเร็ว ผลเสีย
ของการกระทาเช่นน้ีก็คือ อาจจะมีการทุจริตกันได้ นอกจากน้ีครูอาจจะเสียประโยชน์ในการจดจา
รายชือ่ ของผ้เู รียน

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 123

2. ครูจะดูจากรายชื่อที่นั่งของผู้เรียนแต่ละคน วิธีน้ีผู้เรียนทุกคนจะต้องมีที่นั่ง
เป็นของตนเองประจาที่ หรือถ้าเป็นกรณีที่ผู้เรียนเข้าแถวอยู่ผู้เรียนก็จะมีลาดับที่ยืนของตนเองคงที่
เอาไว้ ผลดีของวิธีน้ีกค็ ือครูสามารถจดจารายชือ่ ของผู้เรียนได้รวดเร็วและเรียกชือ่ ได้อย่างถูกต้อง ส่วน
ผลเสียกค็ ือ ครจู ะไม่มีโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกการเป็นผ้นู าและจะใช้เวลาในการเรียกชื่อมากกว่าวิธีแรก

3. ครูจะใช้วิธีการเรียกชือ่ ผ้เู รียนที่ละคนหลงั จากน้นั ให้ผ้เู รียนขานรับ ผลดีก็คือ
ครูสามารถทราบได้แน่นอนว่าใครมาเรียนหรือขาดเรียน สาหรับผลเสียคือครูจะต้องใช้เวลามากและ
ผ้เู รียนไม่มีโอกาสได้ฝึกการเปน็ ผ้นู า

- การแบง่ กลมุ่ ผู้เรียน
การแบ่งกลุ่มผู้เรียนเพื่อการเรียนกิจกรรมพลศึกษานั้น เป็นวิธีการที่มี

ประโยชน์มากเพราะผู้เรียนจะสามารถเรียนรู้วิธีการทางานเป็นกลุ่มรู้จักบทบาทของการเป็นผู้นาและผู้
ตามที่ดีการแบ่งกลุ่มผ้เู รียนมีวิธีการต่างๆดงั ต่อไปนี้คือ

1. ครูชี้แจงให้ผู้เรียนทราบถึงประโยชน์และวิธีการทางานเป็นกล่มุ
2. จัดกลุ่มย่อยโดยการนับ 1, 2, 3และ 4 แล้วให้ผู้เรียนที่นับเลขเดียวกันไปอยู่
กล่มุ เดียวกนั
3. ให้ผ้เู รียนเลือกผ้นู าของกลุ่มย่อยแต่ละกล่มุ
4. เมื่อช้ันเรียนแบ่งกลุ่มย่อยออกไปแล้ว หากแต่ละกลุ่มมีผู้เรียนที่มีส่วนสูง
ไม่ได้สัดส่วนกนั ครคู วรจะจับสบั เปลี่ยนเสียใหม่
5. ครแู ยกผ้เู รียนออกไปฝึกทกั ษะเฉพาะแต่ละทกั ษะโดยวิธีหมนุ เวียนกัน
6. ครใู ห้คาแนะนาแก่ผ้เู รียนในแต่ละกล่มุ
7. ครูควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกทกั ษะเฉพาะที่ตนเองยังทาไม่ได้
8. หลงั จากหมุนเวียนกันจนครบทุกสถานีที่ครกู าหนดไว้แล้ว ให้ผู้เรียนได้เลือก
จุดที่ตนเองต้องการเพิ่มพนู ทักษะ
โดยการแบ่งกลุ่มผู้เรียนน้ีครูสามารถนามาใช้กับผู้เรียนได้ตลอดท้ังปี โดยที่ครู
จะต้องพยายามเน้นให้ผู้เรียนได้เข้าใจถึงวิธีการทางานที่จะก่อให้เกิดความมีระเบียบวินัย การรู้จัก
รับผิดชอบในฐานะผ้นู าและผ้ตู ามทีด่ ี ทั้งน้เี พือ่ ให้เป็นไปตามวิถีทางของสงั คมประชาธิปไตย
- การเก็บประวัติผู้เรียน
ประวัติต่างๆ ของผู้เรียนถือว่าเป็นสิ่งที่จาเป็นมากที่ครูจะต้องจัดทาและเก็บ
ข้อมูลไว้ เพราะประวัติจะเป็นสิ่งที่แสดงถึงรายละเอียดของผู้เรียนแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นประวัติการเล่า
เรียน ประวัติทางสุขภาพ ประวัติการแต่งกายในการเรียนกิจกรรมพลศึกษา การมาเรียน การเกิด
อุบัติเหตุและบันทึกประวัติอื่นๆ ซึ่งครูจะต้องเก็บไว้อย่างมิดชิดและนามาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการ
จัดการเรียนการสอน เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกบั สภาพของผู้เรียนให้ได้มากทีส่ ดุ

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 124

2. หลกั การจัดระเบียบสาหรบั ชนั้ เรียนวิชาพลศึกษา
ในการจัดกิจกรรมพลศึกษาน้ัน มีความสาคัญและที่ครูควรจะได้มีการจัดวางระเบียบ

สาหรับช้ันเรียนพลศึกษา ทั้งน้ีก็เพื่อให้การเรียนการสอนได้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยน้ันเอง ซึ่งวรศักดิ์
เพียรชอบ (2548) เสนอสาระสาคญั ๆ มีสรุปรายละเอียดได้ดังน้ี

2.1 การแต่งตัวในการเรียนวิชาพลศึกษา
ในปัจจุบันโรงเรียนแต่ละแห่งมีนโยบายในการแต่งตัว เพื่อเรียนในวิชาพลศึกษาที่
แตกต่างกัน หรือโรงเรียนแต่ละแห่งก็จะมีความพร้อมที่ความแตกต่างกันในเรื่องของสถานที่ที่ใช้ในการ
เปลี่ยนชุดสาหรับเรียนวิชาพลศึกษา ในประเด็นน้ี วรศักดิ์ เพียรชอบ (2548) ให้ข้อคิดเห็นว่า ก่อนที่จะ
ถึงประเด็นของการแต่งตัวเพื่อเรียนวิชาพลศึกษาด้วยชุดอะไรนั้น หรือความพยายามจัดหาสถานที่
สาหรบั เปลีย่ นเครือ่ งแต่งตวั ให้กับผ้เู รียนท้ังชายและหญิงให้ได้น้ัน หรือแม้แต่ประเด็นของความเพียงพอ
ของสถานที่สาหรับใช้เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวนั้น ผู้มีส่วนรับผิดชอบควรจะได้ทราบและตระหนักใน
หลักการและเหตุผลก่อนว่า ทาไมต้องมีชุดสาหรับสวมใส่ในเวลาเรียนวิชาพลศึกษาโดยเฉพาะ ซึ่งควร
ต้องมีความเข้าใจในเบ้อื งต้นทีต่ รงกนั ดงั นี้ คือ

2.1.1 การสวมใส่ชุดสาหรับเรียนวิชาพลศึกษาโดยเฉพาะน้ัน เป็นการช่วยให้
การเคลื่อนไหวส่วนต่างๆของร่างกายในขณะเรียนหรือมีส่วนร่วมในการเล่นกีฬาต่างๆน้ันได้เป็นไปตาม
จังหวะของธรรมชาติของการเคลื่อนไหวอย่างแท้จริงทาให้การเล่นกีฬาหรือการเคลื่อนไหวในกิจกรรม
ต่างๆได้บรรลผุ ลตามทีต่ ้องการ

2.1.2 การสวมใส่ชุดสาหรับเรียนวิชาพลศึกษาโดยเฉพาะน้ัน เป็นการช่วยให้มี
ความปลอดภัยในการเรียนมากยิ่งขึ้น และในขณะเดียวกันก็เป็นการช่วยป้องกันอุบัติเหตุและลด
อันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการเคลื่อนไหวในกิจกรรมต่างๆหรือในการเล่นกีฬาใน
ระหว่างที่มีการเรียนน้นั ๆ

2.1.3 การสวมใส่ชุดสาหรับเรียนวิชาพลศึกษาโดยเฉพาะนั้นถือเป็นการช่วย
ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เป็นผู้ที่มีสุขนิสัยที่ดีคือ หลังจากการเรียนได้เสร็จสิ้นแล้วก็จะมีการเปลี่ยนชุดเรียน
วิชาพลศึกษาที่มีเหงื่อเปียกและเปรอะเปื้อนออกทาความสะอาดร่างกาย แล้วใส่ชุดเรียนในห้องเรียน
ปกติที่สะอาดเพื่อเรียนในห้องเรียนต่อไป การทีผ่ ู้เรียนได้ปฏิบตั ิตนหลังจากการเรียนวิชาพลศึกษาเช่นน้ี
ทุกครั้งจึงนับว่าเป็นโอกาสดียิ่งอย่างหนึ่งในการที่จะช่วยเสริมสร้างสุขนิสัยที่เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนจาก
สภาพการณ์ทีเ่ ปน็ จริงได้เปน็ อย่างดี

2.1.4 การสวมใส่ชุดสาหรับเรียนวิชาพลศึกษาโดยเฉพาะในห้องเรียนน้ันทาให้
ผ้เู รียนมีความร้สู ึกถึงความกระฉับกระเฉงการ มีความพร้อมและความร้สู ึกกระตือรือร้นที่จะมีส่วนร่วม
ในกิจกรรมการเคลือ่ นไหว หรือมีส่วนร่วมในการเล่นกีฬาต่างๆด้วยความม่ันใจมากยิ่งขึ้น เปน็ การสร้าง
ขวัญและกาลงั ใจให้เกิดขึ้นในตัวผ้เู รียน

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 125

2.1.5 การสวมใส่ชุดสาหรับเรียนวิชาพลศึกษาโดยเฉพาะน้ัน เป็นการสร้าง
ความพร้อมเพรียง สร้างความมีระเบียบวินัยให้เกิดขึ้นในตนเอง และท้ายที่สดุ ก็จะทาให้มองดกู ารเรียน
มีความสวยงาม

2.1.6 การสวมใส่ชุดสาหรับเรียนวิชาพลศึกษาโดยเฉพาะน้ัน ช่วยประหยัดชุด
เครื่องแบบผู้เรียนไปในตัวด้วย และหากสวมใส่ชุดเรียนตามปกติเพื่อวิชาพลศึกษาในบางครั้งการเล่น
กีฬาหรือการมีส่วนร่วมในกิจกรรมเคลื่อนไหวต่างๆในระหว่างเรียนนั้นอาจทาให้ชุดที่ใส่เรียนตามปกติ
เกิดการฉีกขาดหรือเกิดการชารุดได้ เพราะในขณะเรียนพลศึกษา ผู้เรียนจาเป็นต้องแสดงออกถึงการ
เคลื่อนไหวรูปแบบต่างๆ หากไม่สวมใส่ชุดที่เหมาะสมกับการเคลื่อนไหวหรือเล่นกีฬาก็อาจเกิดกรณี
ดงั ทีก่ ล่าวมา

นอกจากน้ีการที่จะกาหนดชุดสาหรับสวมใส่เรียนวิชาพลศึกษาเป็นแบบไหนน้ันปัจจัยที่
สาคัญที่ควรจะได้รับการพิจารณาประกอบด้วย คือ ดินฟ้าอากาศ สภาพการณ์ของโรงเรียน
ขนบธรรมเนียมประเพณี และความเชื่อถือทางศาสนาของท้องถิ่นหรือชุมชนที่โรงเรียนนั้นๆตั้งอยู่ด้วย
ก่อนที่จะตัดสินใจว่าควรจะใช้ชุดแบบไหนอย่างไรจึงจะมีความเหมาะสมที่จะใช้ในการเรียนวิชาพล
ศึกษาได้

2.2 การเรียกชื่อและสารวจผเู้ รียนเวลามาเรียนวิชาพลศึกษา
การเรียกชื่อสารวจผ้เู รียนก่อนและหลังจากการเรียนวิชาพลศึกษาในแต่ละคร้ัง

นั้นถือว่าเป็นภาระหน้าที่ความรับผิดชอบของครูผู้สอนวิชาพลศึกษาที่สาคัญยิ่งอย่างหนึ่ง ทั้งน้ีเพราะว่า
นอกจากเพื่อความเรียบร้อยแล้วยังจะเป็นการช่วยให้สามารถทราบได้ว่าก่อนที่จะเริ่มเรียนนั้นมีผู้เรียน
มาเรียนครบตามจานวนหรือไม่ หรือมีผ้เู รียนขาดลาหรือป่วยกีค่ น หรือว่าผู้เรียนที่มาทุกคนน้ันสามารถ
จะลงเล่นในกิจกรรมการเรียนการสอนต่างๆได้ตามปกติเช่นเคยหรือไม่ นอกจากน้ี การสารวจจานวน
ผู้เรียนหลังจากเลิกเรียนน้ัน ก็เพื่อจะได้เป็นการรับประกันและรับรองว่าจานวนผู้เรียนท้ังก่อนและหลัง
เรียนมีจานวนเท่ากัน ไม่มีผ้เู รียนสญู หายในระหว่างการเรียนการสอน

การเรียกชือ่ เพื่อสารวจผ้เู รียนน้นั ครจู ะต้องมีการวางระบบและวิธีการเรียกชือ่
และสารวจให้มีความเป็นไปได้อย่างง่ายดาย รวดเร็ว ประหยัดเวลาและแรงงานให้มากที่สุด ระบบและ
วิธีการเรียกชื่อสาหรับการเรียนวิชาพลศึกษานั้น อาจจะใช้ได้หลายแบบและแต่ละแบบก็อาจจะมีข้อดี
ข้อเสียแตกต่างกันไประบบหรือแบบทีม่ กั นิยมใช้กันมีดงั ต่อไปนี้คือ

วิธีที่ 1 การใช้ระบบหรือวิธีที่ให้ผู้เรียนขานเลขที่หรือให้ผู้เรียนยืนตาม
เลขที่ของตนเองตามบัญชีรายชื่อวิธีน้ีผู้เรียนแต่ละคนจะต้องจาเลขที่ของตนเองตามบัญชีรายชื่อไว้เมื่อ
ถึงเวลาเรียนครูก็สามารถสั่งให้ผ้เู รียนขานเลขที่ของตนเองตามลาดับต้ังแต่เลขที่ 1 ถึงเลขทีส่ ุดท้ายหรือ
ให้ผู้เรียนยืนตามเลขที่ของตนเองถ้าเลขที่ใดไม่ได้มีการขานหรือไม่ได้มีการยืนประจาที่ครูก็สามารถ
ทราบได้ทนั ทีว่าเลขทีเ่ หล่าน้ันเป็นเลขทีข่ องผ้เู รียนที่ไม่ได้มา

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 126

วิธีที่ 2 การใช้วิธีให้ผู้เรียนเข้าแถวตามกลุ่มของตนเองโดยการแบ่ง
ผ้เู รียนออกเป็นกลุ่มๆ และแต่ละกล่มุ มีหวั หน้าและรองหัวหน้าประจากลุ่มไว้ทุกคร้งั ที่ผ้เู รียนมาเรียนวิชา
พลศึกษา ครูสามารถให้ผู้เรียนเข้าแถวตามกลุ่มของตนเองแล้วหัวหน้าหรือรองหัวหน้ากลุ่มเปน็ ผ้แู จ้งให้
ครูทราบว่าผู้เรียนคนใดในกลุ่มไม่มาเรียนและเหตุผลใด วิธีน้ีก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่มีความรวดเร็วและใน
ขณะเดียวกันก็เป็นวิธีที่ช่วยเสริมสร้างคุณสมบัติในการเป็นผู้นาผู้ตามและความรับผิดชอบในตัวผู้เรียน
ด้วย

วิธีที่ 3 วิธีการเรียกชื่อทีละคน โดยครูเป็นผู้เรียกชื่อให้ผู้เรียนขานรับ
เป็นรายบุคคลตามบัญชีเรียกชื่อผู้เรียนทีละคนๆ ไปจนหมด เพื่อให้ครูรู้ว่าใครขาดลาหรือป่วยกีค่ นวิธีน้ี
อาจจะเป็นวิธีที่ต้องเสียเวลามากกว่าวิธีอื่นเกินความจาเป็นได้ แต่เป็นวิธีที่ช่วยให้ครูมีโอกาสได้รู้จักชื่อ
ผ้เู รียนทุกคนเป็นการสร้างความค้นุ เคยและความเปน็ กันเองในระหว่างครูผ้เู รียนให้เกิดขึ้น

ดังที่กล่าวมา ครูสามารถเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่งใน 3 วิธีน้ี หรืออาจจะออกแบบ
พัฒนารูปแบบใหม่ๆก็ได้ ทั้งน้ีก็อาจก็จะขึ้นอยู่กับความคิดสร้างสรรค์ของครู บริบทของโรงเรียน ช้ัน
เรียน เป็นต้น นอกจากน้ีวิธีการเรียกชื่ออาจได้มาจากความคิดร่วมกันระหว่างครูผู้สอนกับผู้เรียนว่าจะ
ออกแบบอย่างไรหรือแบบใดเหมาะสมและดีทีส่ ุด

2.3 การทาสุขปฏิบัติหรือการทาความสะอาดร่างกายหลังจากการเรียนใน
รายวิชาพลศึกษา

ในการจัดเรียนการสอนวิชาพลศึกษาที่ถูกต้องและเป็นไปตามหลักการที่
แท้จริงน้ัน นอกจากจะเป็นการเรียนการสอนที่มุ่งให้บรรลุผลตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่วางไว้แล้ว ก็
ควรทาให้กระบวนการเรียนการสอนนั้นเป็นกระบวนการที่มีการสร้างเสริมสุขนสิ ยั ให้เกดิ ขึน้ ในตวั ผ้เู รยี น
ควบคู่ไปพร้อมๆ กันด้วย ทั้งน้ี เพราะว่าสภาพการณ์ของการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาน้ันเป็น
สภาพการณ์ทีเ่ หมาะสมและเอื้อในการเสริมสร้างสุขนิสัยในตวั ผู้เรียนได้เปน็ อย่างดี ดังนั้น เพื่อเป็นการ
ใช้โอกาสอันดีน้ีให้เป็นประโยชน์และช่วยให้การเรียนการสอนวิชาพลศึกษาได้ผลสมบูรณ์ยิ่งขึ้น การ
เรียนการสอนวิชาพลศึกษา จึงควรจะใช้สภาพการณ์น้ีส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีสุขนิสัยควบคู่ไปพร้อมๆ
กันโดยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสได้ทาสุขปฏิบัติด้วยการทาความสะอาดร่างกายแล้วเปลี่ ยนเครื่องแต่งตัว
เป็นชุดผู้เรียนให้เรียบร้อย พร้อมที่จะเข้าเรียนวิชาต่อไปทุกครั้งหลังจากการเรียน การที่จะทาเช่นน้ีได้
น้ันโรงเรียนจะต้องจัดเตรียมปัจจัยต่างๆ ที่จาเป็นเพื่ออานวยความสะดวกให้ผู้เรียนสามารถที่ทา
สุขปฏิบัติดังกล่าวน้ีได้ หรือโรงเรียนต้องมีความพร้อมท้ังในเรื่องสถานที่และงบประมาณ โดยมีความ
พร้อมทางด้านสถานที่ โดยมีการเตรียมสถานทีอ่ าบน้า สถานที่เปลีย่ นเครื่องแต่งตัว สบ่แู ละผ้าเชด็ ตัวไว้
สาหรับผู้เรียนชายและหญิง เพื่ออานวยความสะดวกให้ผ้เู รียนหลงั เรียนวิชาพลศึกษาอย่างเพียงพอ

สาหรับบางโรงเรียน ความพร้อมทางด้านงบประมาณอาจเป็นปัญหาสาคัญที่
ส่งผลต่อความพร้อมที่จะอานวยความสะดวกให้ดาเนินการเช่นนั้นได้ ครูพลศึกษาจึงจาเป็นต้องหา

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 127

วิธีการดัดแปลงหรือหาวิธีการที่มีความประหยัดง่ายและสามารถนามาปฏิบัติได้เช่นในทุกวันที่มีการ
เรียนวิชาพลศึกษา ผู้เรียนนอกจากจะต้องนาชุดการเรียนวิชาพลศึกษามาโรงเรียนด้วยแล้ว ก็จะต้อง
เตรียมและนาผ้าขนหนูผืนเล็กพอที่จะชุบน้าเช็ดตัวทาความสะอาดร่างกายหลังจากการ เรียนวิชา
พลศึกษาได้ด้วย ส่วนทางโรงเรียนเองก็ควรจะมีก๊อกน้าที่มีจานวนเพียงพอกับจานวนผู้เรียนที่จะรอง
และชุบน้าทาความสะอาดร่างกายได้เพียงพอด้วย ผ้าขนหนูที่ใช้เสร็จแล้วกอ็ าจจะใส่ถงุ พลาสติกใส่กระ
เป๋าเพือ่ นาไปซักและตากที่บ้านให้แห้งเพือ่ ใช้ในวันต่อไปได้ ครผู ้สู อนควรจะได้คอยควบคุมดแู ลให้ผ้เู รียน
ทุกคนได้ทาสุขปฏิบตั ินี้เป็นประจาทุกคร้ังที่มีการเรียนวิชาพลศึกษาก่อนที่จะเปลี่ยนเครือ่ งแต่งตัวเพื่อไป
เรียนวิชาอืน่ ต่อไปโดยถือว่ากิจกรรมสุขปฏิบตั ิน้เี ป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งของการเรียนวิชาพลศึกษาด้วย

2.4 การขาดการลาและการป่วย
หลักและปรัชญาที่สาคัญของการจัดการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาใน

โรงเรียนอย่างหนึง่ กค็ ือ การจดั เพือ่ ให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมพลศึกษาต่างๆ ด้วยการลงมือเล่น
หรือปฏิบัติจริงด้วยตนเอง ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามหลักการน้ีในกระบวนการเรียนการสอนทุกครั้ง ครู
จึงพยายามจัดบทเรียนเพื่อให้ผู้เรียนทุกคนได้ลงมือเล่นหรือปฏิบัติจริงด้วยตนเองให้มากที่สุดอ ย่าง
ท่ัวถึงกัน แต่ในบางคร้ังอาจจะเนื่องจากเหตุจาเป็นหรือเหตุสุดวิสัยบางประการ ทาให้ผู้เรียนบางคนมี
ความจาเป็นต้องขาดหรือลาหรือมีการเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ทาให้ไม่สามารถมาเรียนหรือมีส่วนร่วมด้วย
การลงมือปฏิบัติหรือลงเล่นจริงด้วยตนเองได้ ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมการแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
เหล่าน้ีการเรียนการสอนวิชาพลศึกษา จึงควรมีนโยบายเกี่ยวกับการขาดการลาและการป่วยเหล่าน้ีไว้
ให้ชดั เจนนโยบายเกีย่ วกบั เรือ่ งน้ีทีส่ าคัญมีดงั ตวั อย่างต่อไปน้ี

-การขาดและการลา ถ้าเป็นไปได้การขาดหรือการลาเรียนวิชาพลศึกษาที่ไม่
เกี่ยวข้องกับการเจ็บไข้ได้ป่วยน้ัน ควรจะมีให้น้อยที่สุดอย่างไรก็ตาม ในบางคร้ังการจัดการเรียนสอน
ของครูก็อาจส่งผลต่อการขาดหรือการลาเรียนวิชาพลศึกษาของผู้เรียนได้ กล่าวคือถ้าหากว่าการจัด
กิจกรรมการสอนของครูเป็นการจัดกิจกรรมการสอนที่มีบรรยากาศกระตุ้นการเรียนรู้และผู้เ รียนมี
ความพึงพอใจ ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในเน้ือหาความรู้น้ัน รวมทั้งผู้เรียนสามารถที่จะปฏิบัติ
กิจกรรมนั้นๆได้ด้วยความสนุกสนานแล้วผ้เู รียนก็จะรักและชอบเรียนวิชาพลศึกษา ซึ่งก็จะส่งผลเมือ่ ถึง
วันและเวลาที่เรียนผู้เรียนก็จะอยากมาเรียนวิชาพลศึกษา ผู้เรียนจะขาดหรือลาก็ต่อเมื่อมีเหตุจาเป็น
หรือเหตุสุดวิสัยจริงๆเท่าน้ัน

-ในกรณีที่ผู้เรียนขาดหรือลาอันเนื่องจากเหตุจาเป็นหรือเหตุสุดวิสยั การขาด
หรือการลานั้นอาจจะไม่เป็นปัญหาเกี่ยวกับการเรียนมากนัก ถ้าการสอนนั้นเป็นการสอนที่ได้มีการ
มอบหมายให้ผ้เู รียนได้ทาเพิ่มเติมจากการเรียนกอ็ าจจะให้ผ้เู รียนที่ขาดหรือลานั้นไปศึกษาเพิม่ เติม หรือ
สอบถามจากเพื่อนถึงสาระสาคัญที่ได้เรียน ปัญหาทีส่ าคญั คือในกรณีที่ผู้เรียนชอบขาดหรือลาเรียนทุก
คร้ังที่มีการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาครูพลศึกษา จะต้องรีบค้นหาสาเหตุให้ได้โดยด่วน ซึ่งสาเหตุที่

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 128

เกิดขึ้นน้ีอาจจะเนื่องมาจากสาเหตุหลากหลาย อาทิเช่น เกิดจากการสอนของครู ปัญหาจากทางบ้าน
ของผู้เรียน หรือสาเหตุจากสภาพจิตใจของผู้เรียนเอง ทั้งน้ีเมื่อทราบสาเหตุการขาดหรือลาเรียนที่
แท้จริงครูพลศึกษาและผ้เู กี่ยวข้องจะได้หาหนทางแก้ไขได้ทันท่วงที

-ในบางกรณีผ้เู รียนบางคนอาจจะป่วยอันเนือ่ งจากการมีโรคประจาตวั ทาให้มี
ความจากัดในการออกกาลังกาย ไม่สามารถออกกาลังกายหรือมีส่วนร่วมในกิจกรรมกีฬาต่างๆ
ตามปกติเช่นเดียวกับผู้เรียนคนอื่นๆ ได้ ในกรณีเช่นน้ีทางโรงเรียนควรมีนโยบายไว้ให้แน่ชัดเกี่ยวกับ
ผู้เรียนที่มีโรคประจาตัว เช่น การปรึกษาแพทย์เพื่อออกใบรับรองแพทย์เกี่ยวกับข้อควรระวัง หรือการ
ให้คาแนะนาเกี่ยวกับการออกกาลังกายว่าควรจะมีอย่างไร บางคนอาจจะได้ประโยชน์จากการออก
กาลงั กายในกิจกรรมที่เบาๆได้ หรือบางคนการออกกาลงั กายอาจจาเป็นต้องอยู่ในภายใต้การดูแลของ
ผ้เู ชี่ยวชาญหรือของแพทย์โดยใกล้ชิดเป็นต้น

-ในบางกรณีการป่วยของผู้เรียนเป็นการป่วยที่เกิดขึ้นจากโรคภัยไข้เจ็บเป็น
คร้ังคราวเล็กๆน้อยๆ เช่น ปวดศีรษะ เป็นไข้หวัด หรือปวดท้อง ผู้เรียนที่ป่วยประเภทน้ี บางคนอาจจะ
ต้องนอนพักรักษาตัวที่บ้าน บางคนอาจจะพอมาโรงเรียนได้สามารถเข้าเรียนในวิชาอื่นๆได้แต่ไม่
สามารถที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรมการออกกาลังกายได้ ครูอาจจะให้น่ังพักข้างๆ สนามเพื่อเป็นการ
รับรู้ว่าเพื่อนๆ ผู้เรียนคนอื่นเรียนรู้อะไรและทาอะไรบ้างในวันนั้นได้ หรือในบางกรณีครูอาจจะ
มอบหมายหน้าที่ให้ผ้เู รียนที่ไม่สามารถร่วมกิจกรรมการออกกาลังกายได้น้ัน ทาหน้าที่บางอย่างในการ
เรียนการสอนนั้นด้วยก็ได้ เช่น เป็นผู้นับคะแนนจับเวลา หรือเป็นผู้ช่วยครูในการตัดสิน ผู้เรียนเหล่าน้ีก็
จะได้มีส่วนร่วมและได้เรียนรู้จากการเรียนการสอนน้ันควบคู่กันไปด้วย

-ในบางกรณีผ้เู รียนบางคนอาจจะป่วยหนกั ต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล
หรือที่บ้านเป็นระยะเวลานาน ในกรณีเช่นน้ี เมื่อผู้เรียนคนน้ีหายป่วยและมาโรงเรียนได้แล้วการที่จะให้
ผ้เู รียนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการออกกาลงั กายตามปกติเช่นเดียวกับผู้เรียนคนอืน่ ๆได้ ควรจะให้แน่ใจ
ว่าสามารถจะทาเช่นนั้นได้จริง โดยคาแนะนาจากแพทย์และการเริ่มต้นของการออกกาลงั กายน้ัน กค็ วร
จะเป็นการเริ่มต้นจากกิจกรรมทีเ่ บาๆ ก่อนแล้วจึงค่อยๆ เพิม่ ความหนกั ข้นึ ๆ ตามลาดบั ในวันต่อๆมา

เทคนิคการควบคุมชั้นเรียน
สพุ ิตร สมาหิโตและเจริญ กระบวนรตั น์ (ม.ป.ป.) ได้กล่าวว่าการสอนกิจกรรมพลศึกษานั้นสิ่งที่

ครูต้องคานึงถึงให้มากก็คือ ความมีระเบียบวินัยของช้ันเรียน อย่างไรก็ตามก็ยังมีครูพลศึกษาบางคนที่
มองว่า การที่ครูวางกฎเกณฑ์ความเป็นระเบียบวินัยในช้ันเรียนมากเกินไปนั้น เป็นสิ่งที่ทาให้ผู้เรียนไม่
สามารถทีจ่ ะแสดงออกซึ่งความคิดริเริ่มความคิดสร้างสรรค์ ผ้เู รียนจะปฏิบัติตนเองได้เฉพาะในขอบเขต
ที่ครูกาหนดให้เท่าน้ัน ความมีระเบียบวินัยในช้ันเรียนนั้นไม่ได้หมายถึงว่า ผู้เรียนทุกคนจะต้องปฏิบัติ
ตามคาส่ังของครูตลอดเวลาจนคล้ายๆ กับเป็นหุ่นยนต์ทีถ่ ูกสง่ั ให้ทางาน ถ้าครวู างกฎเกณฑ์ไว้เช่นน้ีแล้ว

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 129

บรรยากาศในช้ันเรียนก็จะเต็มไปด้วยความอึดอัด เฉื่อยชา ไม่เร่งเร้าให้ผู้เรียนอยากเรียน การเรียนรู้
ของผู้เรียนก็จะเกิดขึ้นได้ยาก ในการสอนให้ผู้เรียนมีระเบียบวินัยนั้นครูจะต้องปลูกฝังผู้เรียนต้ังแต่
ผู้เรียนยังเล็กๆ เพื่อให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติสิ่งเหล่าน้ีจนเป็นนิสัยเกิดเป็นความเคยชินให้ผู้เรียนได้เกิด
ความรู้สึกด้วยตัวเองว่า สิ่งเหล่านี้มีความจาเป็นอย่างไรถ้าได้ปฏิบัติแล้วจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

ข้อเสนอแนะต่อไปน้ีเป็นวิธีการที่ครูควรจะปฏิบัติเพื่อที่จะช่วยให้บรรยากาศในห้องเรียนมี
ระเบียบวินัย ทั้งมีส่วนช่วยให้ครกู บั ผ้เู รียนมีความเป็นกนั เองและมีความสัมพนั ธ์ทีด่ ีต่อกัน ซึ่งก็จะช่วยให้
ครสู ามารถดาเนินการจัดการเรียนการสอนให้เปน็ ไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสรุปรายละเอียดได้ดงั น้ี
(สพุ ิตร สมาหิโตและเจริญ กระบวนรัตน์, ม.ป.ป.)

1. พยายามชาเลืองดูผ้เู รียนอย่างทั่วถึงในขณะทีก่ าลังทาการสอน
2. การว่ากล่าวตกั เตือนผ้เู รียนนั้นควรจะเปน็ เรื่องโดยทั่วไปไม่จาเป็นต้องเฉพาะเจาะจง
ว่าจะว่ากล่าวตักเตือนผ้เู รียนคนใดคนหนึง่
3. ครูพยายามยืนอยู่ในจุดที่ใกล้ผู้เรียน ซึ่งสามารถจะมองเห็นพฤติกรรมของผู้เรียนได้
อย่างใกล้ชิด
4. ในขณะที่ครูกาลังสอน หากมีความจาเป็นที่จะต้องเตือนเพื่อให้ผู้เรียนรู้สึกตัวครูก็
สามารถทีจ่ ะทาได้โดยการแตะไหล่ผ้เู รียนแต่เพียงเบาๆ
5. หากมีผู้เรียนคนใดคนหนึ่งที่ทาให้ห้องเรียนขาดระเบียบวินัย ครูผู้สอนก็อาจจะเรียก
ตวั นกั เรียนคนนั้นมาเพือ่ ว่ากล่าวตักเตือน
6. พยายามจัดช้นั เรียนโดยแยกผู้เรียนที่ทาให้เกิดการเสียระเบียบวินัยออกไปห่างๆ แต่
ควรอย่ใู นบริเวณทีค่ รสู ามารถมองเห็นได้
7. ครกู ับผ้เู รียนควรจะมีเวลาสาหรับการอภิปรายปญั หาต่างๆกันบ้าง
8. หากมีผ้เู รียนที่เปน็ ปญั หาอย่มู ากๆ ครจู ะต้องแยกผู้เรียนคนนั้นออกไปโดยสิ้นเชิง
9. หากมีความจาเป็น ครอู าจส่งผู้เรียนทีม่ ีปัญหาไปพบอาจารย์ใหญ่ได้
10. ครคู วรมีโอกาสได้พบปะผู้ปกครองของผ้เู รียน เพื่อปรึกษาหารือเกีย่ วกับพฤติกรรม
ของผ้เู รียนพร้อมกบั หาทางช่วยเหลือ
ข้อเสนอแนะดังที่กล่าวมาข้างต้น เป็นข้อเสนอแนะที่ใช้เพื่อเป็นการแก้ปัญหาต่างๆเมื่อ
เกิดปัญหาขึ้นมาแล้ว แต่โดยสถานการณ์จริง การที่จะช่วยให้ห้องเรียนมีระเบียบวินัยที่ดีน้ัน ครูควรจะ
คิดหาแนวทางในการป้องกันปัญหาไว้ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ขึ้น ซึ่งในประเด็นน้ี สุพิตร สมาหิโตและ
เจริญ กระบวนรัตน์ (ม.ป.ป.) ได้ให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมไว้ดงั น้ี
1. ครูจะต้องเตรียมช้นั เรียนไว้ให้เหมาะสมกับการเรียนกิจกรรมต่างๆให้มากที่สุด
2. การเตรียมกิจกรรมการเรียนการสอนนั้นจะต้องเตรียมไว้ให้มากเกินพอเพราะการ
สอนบางคร้งั อาจจะต้องมีการเปลีย่ นแปลงเพือ่ ความเหมาะสมบ้าง

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 130

3. ครูจะต้องเตรียมสิ่งที่น่าสนใจเพื่อเร่งเร้าให้เด็กเกิดความสนใจในบทเรียนให้มาก
4. ครจู ะต้องมีวิธีการกระต้นุ ให้ผ้เู รียนเกิดการตืน่ ตวั กับการเรียนอยู่เสมอ
5. ครูจะต้องพยายามสร้างสถานการณ์สิ่งแวดล้อมเพื่อให้ผู้เรียนได้รับความสาเร็จใน
สิง่ ที่เขาต้องการ
6. หากมีเหตุการณ์บางสิ่งบางอย่างมากระทบกระเทือนความรู้สึกของครู ครูจะต้อง
พยายามระงับอารมณ์และความรู้สึกต่างๆไว้ให้ได้
7. ครูจะต้องเสียงดังชัดเจน เพื่อที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้ยินเสียงครู และน้าเสียงครจู ะต้อง
เด็ดขาด
8. ครจู ะต้องไม่แสดงอาการโกรธผ้เู รียนคนใดคนหนึ่งจนเห็นเป็นจดุ เด่นอย่างชดั เจน
9. ครจู ะต้องให้ความเปน็ กนั เองต่อผ้เู รียนเท่าทีค่ รจู ะพึงมีต่อศิษย์
10. หลีกเลี่ยงการพดู จาถากถางเย้ยหยัน หรือเสียดสีประชดประชันในห้องเรียน
อย่างไรก็ตามเทคนิคหรือวิธีการที่ครูใช้ควบคุมช้ันเรียนน้ันมีความจาเป็นและสาคัญต่อการ
จัดการสอนพลศึกษา เพราะมีส่วนช่วยส่งเสริมในการสร้างบรรยากาศการเรียนการสอนให้เป็นไปด้วย
ความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ อาทิเช่น หากครูควบคุมหรือปกครองช้ันเรียนด้วยความยุติธรรม
ยึดหลกั ประชาธิปไตย ใช้ระเบียบกฎเกณฑ์ทีท่ ุกคนยอมรบั ยินดีปฏิบัติ ผ้เู รียนก็จะอย่ใู นห้องเรียนอย่างมี
ความสุข เกิดความรู้สึกอบอุ่นพอใจและสบายใจ แต่ในทางตรงกันข้า ถ้าหากครูโลเล ขาดความ
ยุติธรรม เลือกที่รักมักที่ชัง การควบคุมหรือปกครองช้ันเรียนแบบเผด็จการในการเรียนจะเกิด
ความรู้สึกไม่ศรัทธาครู ไม่เห็นคุณค่าของระเบียบกฎเกณฑ์ ส่งผลให้ผู้เรียนไม่สนใจเรียน และไม่อยาก
มาโรงเรียนในที่สุด ดังน้ัน ความรู้ความเข้าใจในเรื่องของเทคนิคและวิธีควบคุมช้ันเรียนของครูจึงมี
ความสาคัญมาก ซึ่งในเรื่องน้ี จุฑามาศ บัตรเจริญ (2556) ได้ยกตัวอย่างหลักที่ควรนามาใช้ในการ
ควบคุมหรือปกครองชั้นเรียน มีดงั น้ี
1. หลักประชาธิปไตย ครูควรให้ความสาคัญต่อผู้เรียนเท่าเทียมกัน ให้ความเสมอ
ภาค ให้อิสระให้โอกาสแก่ทุกคนในการแสดงความคิดเห็น ขณะเดียวกันครูต้องใจกว้างยินดีรับฟัง
ความเห็นของทกุ คน และควรฝึกให้ผู้เรียนปฏิบตั ิตนตามสิทธิหน้าทีร่ ู้จักเคารพสิทธิของผ้อู ืน่ ให้รู้จักการ
อย่รู ่วมกนั อย่างโดยใช้หลกั ของความเป็นประชาธิปไตย
2. หลักความยุติธรรมครูควรปกครองโดยใช้หลักความยุติธรรมแก่ผู้เรียนทุกคนโดย
ท่ัวถึง ผู้เรียนจะเคารพศรัทธาครูและยินดีปฏิบตั ิตามกฎระเบียบของครูยินดีปฏิบตั ิตามคาอบรมส่งั สอน
ของครตู ลอดจนไม่สร้างปัญหาในช้นั เรียน

3. หลักพรหมวิหาร 4 ซึ่งได้แก่ เมตตา กรุณา มทุ ิตา และอุเบกขา รายละเอียดดังน้ี
เมตตา หมายถึง ความรักและเอ็นดูความปรารถนาที่จะให้ผ้อู ื่นเป็นสุข

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 131

กรณุ า หมายถึง ความสงสารคิดจะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
มทุ ิตา หมายถึง ความยินดีด้วยเมื่อผ้อู ื่นได้ลาภยศสุขสรรเสริญ
อเุ บกขา หมายถึง ความเทีย่ งธรรมการวางตัวเป็นกลางการวางใจเฉย
ถ้าครูทุกคนยึดหลักพรหมวิหาร 4 ในการปกครองช้ันเรียน นอกจากจะทาให้ผู้เรียนมี
ความเคารพรักศรัทธาครูและมีความสุขในการเรียนแล้ว ยังเป็นการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมให้แก่
ผ้เู รียนด้วยเป็นต้น

การจดั การบริหารสถานที่ วัสดุอุปกรณแ์ ละเครือ่ งอานวยความสะดวกทางพลศึกษา
1. การจัดการสถานทีแ่ ละวัสดอุ ุปกรณแ์ ละเครื่องอานวยความสะดวกทางพลศึกษา
แนวทางในการวางแผนที่เกี่ยวกับการจัดการสถานที่ วัสดุอุปกรณ์และเครื่องอานวย

ความสะดวกทางพลศึกษานั้น วรศกั ดิ์ เพียรชอบ (2540) ได้เสนอแนะไว้ดังนี้
1.1 สถานที่ ต้องสะดวกต่อการเดินทาง ส่วนวัสดุอุปกรณ์และเครื่องอานวยความ

สะดวกทางพลศึกษาน้นั ต้องพร้อมอานวยความสะดวกและง่ายต่อการนาไปใช้
1.2 สถานที่ควรมีความสวยงามดึงดูดความสนใจ แต่ก็ไม่ฉาบฉวย และควรสามารถ

กระต้นุ ผ้เู รียนหรือบุคคลทีเ่ กีย่ วข้องเหน็ ความสาคญั ในการทีจ่ ะช่วยกันบารุงรกั ษา
1.3 การจดั วัสดุอุปกรณ์และเครื่องอานวยความสะดวกทางพลศึกษา ควรจัดเปน็ ส่วนๆ

หรือเป็นหมวดหมู่ในชุดของประเภทกิจกรรมที่เป็นกลุ่มเดียวกัน มีความเกี่ยวข้องกัน หรือหมวดหมู่ที่
ต้องใช้งานด้วยกันหรือเกี่ยวข้องกนั ท้ังนี้กเ็ พื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและง่ายต่อการนาไปใช้

1.4 ความประหยัดคือให้มีความประหยัดทั้งทางด้านเวลา กาลังงาน และค่าใช่จ่ายให้
น้อยที่สุดและให้การเรียนการสอนดาเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันก็ให้ผู้เรียนได้มีส่วน
ร่วมอย่างถกู สุขลักษณะให้มากทีส่ ุด

1.5 สามารถที่จะเพิ่มขอบข่ายและจานวนของกิจกรรมต่างๆที่จะมีขึ้นในโอกาสข้างหน้า
ได้และในขณะเดียวกันก็จัดให้มีความพร้อมที่บุคคลที่เกี่ยวข้องสามารถจะมีส่วนร่วมได้ด้วยความ
ปลอดภยั

1.6 สถานที่ วัสดุอุปกรณ์และเครื่องอานวยความสะดวกทางพลศึกษา ควรมีการดูแล
ความสะอาดไม่ให้มีกลิ่นความอบั ชื้นมารบกวน มีการแยกกิจกรรมให้เป็นไปตามกล่มุ ของผู้ที่มีส่วนร่วม
และมีการป้องกันมิให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาได้ การควบคุมแสงเสียงความร้อนและการถ่ายเท
อากาศควรจะมีการควบคุมแยกเปน็ ส่วนๆไป

1.7 ความปลอดภัย ความถูกต้องตามสขุ ลักษณะ และสขุ อนามัยในสิ่งต่างๆ ทั้งสถานที่
และของผู้ที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมจะต้องได้รับการพิจารณาเป็นอย่างดี ในการที่จะจัดและการ
บารุงรักษาสถานทีว่ ัสดุอปุ กรณ์และเครื่องอานวยความสะดวกต่างๆ

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 132

1.8 มีการควบคุมดูแลอย่างได้อย่างทั่วถึง ตลอดจนสามารถจัดกลุ่มกิจกรรมต่างๆ ได้
เป็นอย่างดี สามารถที่จะกระทาได้โดยให้ผู้นาที่มีความรับผิดชอบมองเห็นหรือไปยังสถานที่ที่เกี่ยวข้อง
น้ันได้โดยง่ายและรวดเร็ว และในขณะเดียวกันก็มีการแยกกลุ่มสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปโดยชัดเจน ต้อง
มีแนวปฏิบตั ิในการควบคุมดแู ลสถานที่ทีอ่ าจจะมีอันตรายเกิดขึ้นอย่างรดั กมุ

1.9 ความมีประโยชน์ของสถานที่และเครื่องอานวยความสะดวกนั้น จะขึ้นอยู่กับ
ความสามารถที่จะปรับสถานที่เหล่าน้ันให้สามารถใช้ประโยชน์ได้หลายๆ อย่างด้วยความปลอดภัยมี
ความสนุกสนาน และสามารถทาให้การเรียนการสอนดาเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพการที่สามารถใช้
สถานที่ได้ตามทุกฤดูกาล ก็เป็นการเพิม่ ประโยชน์ของการใช้สถานทีม่ ากยิง่ ขึ้นอีก

1.10 ความถูกต้องของสถานที่และเครื่องอานวยความสะดวกน้ัน ควรจะได้เป็นไปตาม
ความต้องการและสอดคล้องกบั หลกั สตู รการเรียน หลักวิชาการ และตามที่กฎหมายได้บงั คับไว้

2. หลักในการจดั การดแู ลอปุ กรณแ์ ละวสั ดุทางพลศึกษา
สาหรับหลักในการจัดการดูแลอุปกรณ์และวัสดุทางพลศึกษานั้น วรศักดิ์ เพียรชอบ

(2548) ได้เสนอแนะไว้ดงั น้ี
2.1 อุปกรณ์และวัสดุทุกประเภทควรจะจัดให้มีพร้อมสาหรับกิจกรรมพลศึกษา และ

กีฬาทุกชนิดที่มีแผนว่าจะจัดให้มีการเรียนการสอนในโรงเรียนได้ ทั้งน้ีรวมท้ังกิจกรรมที่จะมีการเรียน
การสอนตามหลักสูตรของโรงเรียนที่กาหนดไว้ และกิจกรรมที่จะจัดให้มีในลักษณะของกิจกรรมเสริม
หลกั สตู รด้วย

2.2 หลักการของการจัดอุปกรณ์และวัสดุทางพลศึกษาน้ัน ควรจะมุ่งเพื่อความสะดวก
ความง่ายและประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้เรียนเป็นสาคัญ ในแง่ของการนาไปใช้ในการเรียนการสอนและ
การที่ผู้เรียนจะมีการยืมไปใช้ในประกอบกิจกรรมในช่วงเวลาว่างได้ด้วย

2.3 โรงเรียนหรือผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับอุปกรณ์และวัสดุทางพลศึกษา ควรจะได้มี
โครงการส่งเสริมให้ผู้เรียนทุกคนได้มีโอกาสใช้อุปกรณ์และวสั ดทุ ี่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ ด้วยการนาไปใช้
ในการเล่นหรือมีส่วนร่วมในกิจกรรมพลศึกษาหรือกีฬาต่างๆ ในเวลาว่างตามความถนัดและความสนใจ
ของตนเองให้มากทีส่ ุด

2.4 คุณค่าหรือประโยชน์ของอุปกรณ์หรือวัสดุแต่ละอย่างนั้น ควรจะได้พิจารณาในแง่
ของความบ่อยทีผ่ ู้เรียนได้นาออกไปใช้เปน็ สาคญั

2.5 ความคงทนถาวรของอุปกรณ์หรือวัสดุทางพลศึกษาน้ัน ควรจะได้พิจารณาในแง่
ของความบ่อยและความยาวนานทีอ่ ุปกรณ์หรือวัสดุส่วนน้ันได้ถูกนาไปใช้งาน มากกว่าการเก็บรกั ษาไว้

2.6 ผู้ที่รับผิดชอบในด้านที่เกีย่ วกับอุปกรณ์หรือวัสดุทางพลศึกษาควรจะให้การศึกษา
ในวิธีการใช้และวิธีการดูแลรกั ษาอุปกรณ์และวสั ดุทีใ่ ช้เหล่านั้น ในวิธีการที่ถูกต้องควบค่กู ันไปด้วย โดย

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 133

ให้ถือว่าอุปกรณ์หรือวัสดุทุกอย่างที่นามาใช้น้ัน ควรจะได้รับการดูแลรักษาเสมือนกับเป็นสมบัติของ
ตวั เอง

2.7 เพื่อให้การจัดหาอุปกรณ์หรือวัสดุได้ถูกต้อง และเป็นไปตามความมุ่งหมายของ
หลกั สตู รของโรงเรียนตามความต้องการและความสนใจของผู้เรียนอย่างแท้จริง การจัดหาวัสดอุ ุปกรณ์
และเครื่องอานวยความสะดวกทางพลศึกษานั้น ควรจะกระทาโดยความร่วมมือของทุกฝ่ายที่มีส่วน
เกี่ยวข้อง เช่น ผ้บู ริหารสถานศึกษา ครผู ู้สอน หรือตวั ผ้เู รียนเอง

สาหรับอุปกรณ์ที่ใช้ในการสอนพลศึกษามีมากหมายหลากหลายชนิด โดยเฉพาะอุปกรณ์กีฬา
ชนิดต่างๆ ท้ังน้ีก็เพื่อประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอนพลศึกษา อาทิเช่น ในการสอนกีฬา
วอลเลย์บอล ก็จาเป็นจะต้องมีสนามวอลเลย์บอล ลูกวอลเลย์บอล เน็ตวอลเลย์บอล ที่สูบลมลูกบอล
ท้ังน้ีโรงเรียนจะต้องจัดสรรอุปกรณ์เหล่าน้ี โดยมีกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษาเป็น
หน่วยงานในโรงเรียนที่จะต้องเสนอขอซื้ออุปกรณ์กีฬาต่างๆเพื่อนามาใช้ในการเรียนการสอนความ
พร้อมทางด้านวัสดุอุปกรณ์และสิ่งอานวยความสะดวกทางพลศึกษาของแต่ละโรงเรียน อาจมีความ
พร้อมแตกต่างกนั บางโรงเรียนมีปริมาณของอปุ กรณ์และวัสดทางพลศึกษาทีเ่ พียงพอต่อจานวนผู้เรียน
แต่บางโรงเรียนอาจมีไม่เพียงพอ ท้ังน้ีขึ้นอยู่กับงบประมาณของแต่ละโรงเรียน โรงเรียนใดที่ไม่มี
งบประมาณหรืองบประมาณไม่เพียงพอในการจดั ซื้ออปุ กรณ์ ก็จาเปน็ จะต้องมีการประยกุ ต์ใช้วัสดุอืน่ ๆ
มาทดแทนเช่นการใช้ขวดน้าใส่ทรายแทนกรวยเป็นต้นท้ังน้ีขึ้นอยู่กับครูพลศึกษา จะสามารถประยุกต์
อุปกรณ์ต่างๆ เพื่อนามาใช้ในการเรียนการสอนพลศึกษาได้ดีและมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด หรือ
ในกรณีของปัญหาอปุ กรณ์มีแต่ไม่เพียงพอครูพลศึกษาอาจต้องนาเทคนิคการสอนเข้ามาช่วย เช่น การ
แบ่งผ้เู รียนเป็นกล่มุ การใช้อปุ กรณ์ร่วมกนั เป็นคู่

ดังที่กล่าวมา ไม่ว่าจะเป็นสถานที่เครื่องอานวยความสะดวก รวมทั้งอุปกรณ์และวัสดุทาง
พลศึกษา ถือได้ว่ามีความจาเป็นและสาคัญอย่างยิ่งต่อการจัดการเรียนการสอนในวิชาพลศึกษาให้มี
ประสิทธิภาพ ซึ่ง จฑุ ามาศ บัตรเจริญ (2556) สรุปสาระสาคัญๆ ดงั นี้

อปุ กรณส์ าหรับผ้สู อน
ผู้สอนจาเป็นต้องมีอุปกรณ์ในการสอนและแต่งกายให้ถูกต้องเหมาะสมเพื่อให้เป็นตัวอย่างที่ดี
และมีความน่าเชื่อถือ และสิ่งที่ครูพลศึกษาจะขาดไม่ได้เลยก็คือ นกหวีด ซึ่งประโยชน์เพื่อส่งสัญญาณ
และควบคมุ ผ้เู รียนให้มีความเปน็ ระเบียบเรียบร้อย
สนามและสิ่งอานวยความสะดวก
เครื่องอานวยความสะดวกหมายถึง สถานที่สอนพลศึกษาในร่มและกลางแจ้ง สถานที่สาหรับ
เก็บเครื่องแต่งกาย สถานทีอ่ าบน้า ล้างมือ ล้างหน้า ที่ดืม่ น้า เป็นต้น
สนามและสถานทีส่ าหรับประกอบกิจกรรม

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 134

สถานที่สาหรับประกอบกิจกรรมต่างๆทางพลศึกษาได้แก่สนามที่ลักษณะพื้นที่กว้างขวาง
สามารถประกอบกิจกรรมได้หลากหลายชนิด เช่น สนามหญ้า สนามปูนซีเมนต์ ในที่น้ีจะอยู่ในร่มหรือ
กลางแจ้งก็แล้ว แต่ทางโรงเรียนจะสามารถจดั สรรให้

โรงพลศึกษา
โรงพลศึกษาเปน็ สนามเอนกประสงค์ สามารถปรับเปลีย่ นให้ฝึกกีฬาได้หลายชนิด เช่น ฟุตซอล
บาสเกตบอล แอโรบิค ตะกร้อ แชร์บอล วอลเล่ย์บอล นอกจากน้ียังสามารถใช้ทาพิธีเปิด-ปิดการ
แข่งขันกีฬาภายในหน่วยงานได้อีกด้วย
ห้องนา้
การจัดการห้องน้าในสถานศึกษาต้ังแต่ระดับโรงเรียน วิทยาลัย จนถึงมหาวิทยาลัย มีความ
แตกต่างกัน การออกแบบสาหรับห้องน้าและการจัดการห้องน้าให้สามารถใช้บริการได้ดี ย่อมมีความ
แตกต่างกันด้วย นอกจากนั้นทาเลที่ต้ังของสถานศึกษาและการเอาใจใสดูแลของผู้รับผิดชอบใน
สถานศึกษาแต่ละแห่งยังแตกต่างกัน แต่อย่างไรก็ตามการจัดการห้องน้าในสถานศึกษาทุกระดับมีสิ่งที่
เป็นพื้นฐานร่วมกันดงั นี้

1. มีความสะอาด คุณภาพของห้องน้า วัดได้จากความสะอาดของห้องน้าท้ังที่สัมผสั ได้
ด้วยการเห็นและกลิ่นที่สะอาด การใช้น้ายาเคมีสาหรับฆ่าเชื้อโรคและทาความสะอาดเป็นสิ่งจาเป็น
และต้องทาเปน็ ระยะๆ และต่อเนือ่ งอย่เู สมอในแต่ละวนั

2. มีอุปกรณ์ห้องน้าที่มีคุณภาพได้แก่ โถส้วมโถปัสสาวะ อ่างล้างมือ ก๊อกน้าและสาย
ฉีดชาระ เป็นต้น ซึ่งควรเป็นอุปกรณ์ที่มีความคงทนมีมาตรฐานสาหรับการใช้งานสาธารณะได้ ซึ่งจะ
แตกต่างจากอุปกรณ์ที่ออกแบบสาหรับการใช้งานในบ้านเรือนหรืออาคารที่พักอาศัย การซ่อมบารุง
อปุ กรณ์ให้สามารถใช้งานได้ตลอดเวลามีความจาเป็น และเปน็ ความท้าทายของการจัดการห้องน้าด้วย

3. ควรมีแหล่งจ่ายน้าเพียงพอท้ั งแรงดนั ของน้าและปริมาณของน้า สาหรับห้องน้าต้อง
เพียงพอ โรงเรียนในต่างจังหวัดจานวนมากไม่สามารถให้บริการห้องน้าได้ ถึงแม้จะมีห้องน้าก็ตาม
เพราะขาดแหล่งจ่ายน้าได้ตลอดเวลาที่เปิดเรียนหรือตลอดท้ังปีการศึกษา ปริมาณน้าและแรงดันน้ายัง
เปน็ ปัจจยั สาคญั โยงไปถึงความสะอาดของของห้องน้าอีกด้วย

4. มีระบบระบายน้าเสียและการระบายอากาศที่ดีการอุดตันของท่อระบายน้าเป็น
ปัญหาที่พบบ่อยของห้องน้า การออกแบบระบบการระบายน้าเสีย การถ่ายเทอากาศและใช้มาตรการ
ป้องกันการอุดตันของท่อระบายน้า ต้องมีการดาเนินการอย่างเข้มงวด ท้ังน้ีต้องคานึงถึงการรักษา
สิง่ แวดล้อมและไม่สร้างมลพิษหรือรบกวนผ้ทู ี่อย่ใู กล้และอาจได้รบั ผลกระทบจากห้องน้า

5. มีความปลอดภัย ห้องน้าในสถานศึกษาอาจถูกใช้เป็นที่สาหรับการกระทาผิดต่างๆ
การดูแลเรื่องความปลอดภัย เช่น แสงสว่างที่เพียงพอไม่อยู่ในที่เปลี่ยวเป็นมุมอับหรือไกลเกินไปความ
ปลอดภยั เปน็ พ้นื ฐานของความสาคัญของการจดั การห้องน้าเช่นกัน

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 135

ที่ดื่มนา้
ที่ดื่มน้าภายในโรงเรียน ควรการจัดวางตามสถานที่ต่างๆ ภายในโรงเรียนอย่างเหมาะสม เช่น
บริเวณโรงอาหาร เป็นต้น นอกจากเรื่องของสถานที่จัดตั้งแล้ว สิ่งที่สาคัญที่สุดคือการตรวจสอบ
มาตรฐานของเครื่องทาน้าเย็น หรือเครื่องกรองน้าดื่มที่จัดเตรียมไว้ให้ได้คุณภาพ ไม่เป็นอันตรายต่อ
ผ้เู รียน เช่น การติดตั้งสายดิน การตรวจเชค็ สภาพทุกสัปดาห์ เพราะอาจมีการชารุดเสียหายได้ทกุ เมื่อ
ที่ลา้ งหน้า
ที่ล้างหน้าในที่น้ี หมายถึงสถานที่ล้างหน้าที่จัดให้เพิ่มเติมนอกเหนือจากอ่างล้างหน้าในห้องน้า
เพราะเมื่อเด็กๆ เรียนกิจกรรมต่างๆ เสร็จแล้ว มีความจาเป็นที่จะต้องล้างหน้าหรือล้างมือ ท้ังน้ีเพื่อ
สุขปฏิบตั ิความสะอาดเรียบรอ้ ยของร่างกายก่อนจะไปเรียนต่อไป ทางโรงเรียนจึงควรจัดสถานที่สาหรบั
ทาอ่างล้างหน้าเป็นแนวยาวสาหรับให้ผู้เรียนได้ใช้หลงั จากเสร็จการเรียนกิจกรรมทางพลศึกษา เพราะ
ถ้าปล่อยให้ผ้เู รียนไปล้างในห้องน้าอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอต่อความต้องการ เพราะต้องใช้อ่างล้าง
หน้าจานวนมากสาหรับผู้เรียนหนึง่ ห้อง ดงั น้ันเราจึงควรสร้างอ่างล้างหน้าไว้เพิ่มเติมสาหรบั ผ้เู รียน
------------------------------------------------------------------------

ที่มา: http://www.getdomainvids.com/keyword/play%20carts/

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 136

บทที่ 6

การพัฒนาหน่วยการเรียนรู้และ
แผนการจดั การเรียนรู้

ความสาคัญของหน่วยการเรียนรู้
การพฒั นาและออกแบบหน่วยการเรียนรู้
การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้
การวางแผนการสอน
แผนการจัดการเรียนรู้พลศึกษา

ที่มา : http://www.economistinsights.com/leadership-talent-education/analysis/learning-curve-2014

ความสาคญั ของหน่วยการเรียนรู้

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 137

กระทรวงศึกษาธิการ ได้มีการปรับมาตรฐานการเรียนรู้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ัน
พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ซึง่ เป็นหลักสูตรอิงมาตรฐาน โดยมีการปรับมาตรฐานการเรียนร้แู บบช่วงชั้น
(Internal Benchmarks) เป็นมาตรฐานการเรียนรู้ช้ันปี (Grade Level Benchmarks) ซึ่งมาตรฐานการ
เรียนรู้ช้ันปี จะใช้ในระดับการศึกษาภาคบังคับ และระดับการศึกษามัธยมศึกษาตอนปลายยังคงใช้
มาตรฐานการเรียนรู้แบบช่วงช้ัน ดังน้ัน ถือเป็นสิ่งจาเป็นที่ครูพลศึกษาต้องศึกษารายละเอียดต่างๆให้
อย่างถ่องแท้ นอกจากน้ี ยังต้องเข้าใจในเบ้ืองต้นก่อนว่า เป้าหมายของชาตินั้นต้องการพัฒนาผู้เรียน
อย่างไร รวมทั้งรู้และเข้าใจในธรรมชาติของวิชาพลศึกษาที่อยู่ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและ
พลศึกษาที่ปรากฏอยู่ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 โดยต้อง
ทาการศึกษาลกั ษณะของมาตรฐานการเรียนร้แู ละตัวชี้วัด แล้วนามาวิเคราะห์มาตรฐานและตวั ชี้วัดของ
กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษาที่ตนเองรับผิดชอบอย่างถูกต้อง โดยทาความเข้าใจว่า
มาตรฐานและตัวชี้วัดต้องการให้ผู้เรียนรู้อะไร ทาอะไรได้ จึงจะทาให้ครูพลศึกษาสามารถจัดการเรียน
การสอนพลศึกษาและนาพาผ้เู รียนให้ไปถึงเป้าหมายได้

จากหลักสูตรที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นหลักสูตรอิงมาตรฐาน ดังนั้นการออกแบบในการจัดทา
หน่วยการเรียนรู้ จึงถือเป็นหัวใจของหลักสูตรอิงมาตรฐาน เนื่องจากเป็นข้ันตอนสาคัญในการนา
หลักสูตรสู่การจัดการเรียนรู้โดยมีมาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด เป็นเป้าหมายหลกั ในการพัฒนาผู้เรียน
การออกแบบหน่วยการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพต่อคุณภาพของผู้เรียน จาเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการ
วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด เพื่อกาหนดขอบข่ายสาระที่จะใช้ในการจัดทาหน่วยการเรียนรู้
ตลอดแนว เพื่อให้ผ้เู รียนเกิดการเรียนรู้และปฏิบตั ิได้ (สานกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา, 2552)

การพัฒนาและออกแบบหน่วยการเรียนรู้
ความหมายของคาว่า หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐานน้ันก็คือ หน่วยการเรียนรู้ทีม่ ีมาตรฐานการ

เรียนรู้ / ตวั ชี้วัด เป็นเป้าหมายของหน่วย และองค์ประกอบภายในหน่วยการเรียนรู้ ได้แก่ มาตรฐานการ
เรียนรู้ / ตัวชี้วัด สาระสาคัญ สาระการเรียนรู้ ชิ้นงานหรือภาระงานที่กาหนดให้ผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรม
การเรียนการสอนและเกณฑ์การประเมินผล ทุกองค์ประกอบของหน่วยการเรียนรู้ จะต้องเชื่อมโยงกับ
มาตรฐาน / ตวั ช้ีวัดทีเ่ ปน็ เป้าหมายของหน่วย (สานกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา, 2552)

ดงั นั้น ครูพลศึกษาจึงต้องเข้าใจหน่วยการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สขุ ศึกษาและพลศึกษา
ของตนเอง โดยครูพลศึกษาต้องพิจารณาเลือกตัวชี้วัดที่มีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันทั้งมาตรฐานและ
ตัวชี้วัด สาระ/เน้ือหา และกระบวนการเรียนการสอน ซึ่งไม่ควรใหญ่หรือเลก็ เกินไป โดยท้ังน้ีต้องมีการ
จัดทาและเข้าใจในโครงสร้างรายวิชา ซึ่งเป็นตัวกาหนดขอบข่ายของรายวิชาที่จะจัดสอน ทั้งน้ีเพื่อช่วย
ให้ผู้สอนและผู้เกี่ยวข้องสามารถเห็นภาพรวมของแต่ละรายวิชาว่า ประกอบด้วย หน่วยการเรียนรู้

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 138

จานวนเท่าใด เรื่องใดบ้าง แต่ละหน่วยพัฒนาให้ผู้เรียนบรรลุตัวชี้วัดใด เวลาที่ใช้จัดการเรียนการสอน
และสัดส่วนการเก็บคะแนนของรายวิชาน้ันเป็นอย่างไร ดังตวั อย่าง ตารางการจัดทาโครงสร้างรายวิชา

ตารางตัวอยา่ งการจัดทาโครงสรา้ งรายวิชา

โครงสร้างรายวิชา…………………………………….

รหสั ..........................ชน้ั .........................เวลา..................ช่ัวโมง จานวน ............หนว่ ยกิต

ลาดับ ชือ่ หนว่ ย มาตรฐาน/ตัวชีว้ ัด สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั

ที่ การเรียนรู้ (ช่วั โมง) คะแนน

รวมตลอดภาค / ปี

ปลายภาค/ปี .................................คะแนน (เลือกอยา่ งใดอยา่ งหนึง่ หรือเลือกทง้ั สองวิธี

หรือไมม่ ีการประเมินปลายภาคก็ได้ (ให้เป็นไปตามระเบียบวดั ผลของโรงเรียน)

วิธีการประเมิน เวลา (ช่วั โมง) คะแนน

ชิ้นงาน/ ภาระงาน หรือ

สอบ

อย่างไรก็ตามในการจัดกลุ่มสาระการเรียนรู้หรือองค์ความรู้จานวนมากและเป็นหน่วยใหญ่

เกินไป ในบางครั้งก็อาจะทาให้ยุ่งยากต่อการจัดกิจกรรมและการประเมินผล แต่ถ้าเลก็ เกินไปก็อาจทา

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 139

ให้ผู้เรียนเรียนไม่สามารถสร้างความคิดรวบยอดในการเรียนได้ และการต้ังชื่อหน่วยการเรียนรู้ควรให้
น่าสนใจ สื่อถึงเน้ือหา/ เรื่องราวที่จะเรียนในหน่วยนั้น ๆ ซึ่งในประเด็นน้ี สานักงานวิชาการและ
มาตรฐานการศึกษา (2552) ได้จัดทาแนวทางในการออกแบบหน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน ซึ่งเป็น
ข้นั ตอนสาคัญที่สุดของการจัดทาหลักสูตรสถานศึกษา เนื่องจากเปน็ ส่วนทีน่ ามาตรฐานการเรียนรู้ไปสู่
การปฏิบตั ิในการเรียนการสอนอย่างแท้จริง ผ้เู รียนจะบรรลมุ าตรฐานหรือไม่ อย่างไร ขึ้นอย่กู บั ข้นั ตอน
น้ี ซึ่งรายละเอียดที่ครูพลศึกษาควรรู้และเข้าใจในวิธีการและข้ันตอนในการออกแบบหน่วยการเรียนรู้มี
ดังน้ี (สานกั งานวิชาการและมาตรฐานการศึกษา, 2552)

1.Backward Design ที่ถกู นามาใชอ้ อกแบบ คืออะไร
Backward Design เป็นการออกแบบที่ยึดเป้าหมายการเรียนรู้แบบย้อนกลับ โดยเริ่ม

จากการกาหนดเป้าหมายปลายทางที่เป็นคุณภาพผู้เรียนที่คาดหวังเป็นจุดเริ่มต้น แล้วจึงคิดออกแบบ
องค์ประกอบอื่น เพื่อนาไปสู่ปลายทาง และทุกข้ันตอนของกระบวนการออกแบบ ต้องเชื่อมโยงสมั พันธ์
กนั อย่างเปน็ เหตเุ ปน็ ผล

2.การออกแบบหนว่ ยการเรียนรู้อิงมาตรฐานโดยใช้ Backward Design ทาอยา่ งไร
การนา Backward Design มาใช้ในการออกแบบหน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน มี

ข้นั ตอนทีส่ าคัญ 3 ข้ันตอน ดังน้ี
ข้ันตอนที่ 1 กาหนดเป้าหมายการเรียนรู้ที่สะท้อนมาตรฐานการเรียนรู้ / ตัวชี้วัด หรือ

ผลการเรียนรู้ ซึ่งบอกให้ทราบว่าต้องการให้ผู้เรียนรู้อะไร และสามารถทาอะไรได้ เมื่อจบหน่วยการ
เรียนรู้

ข้ันตอนที่ 2 กาหนดหลักฐาน ร่องรอยการเรียนรู้ที่ชัดเจนและแสดงให้เห็นว่าผู้เรียน
เกิดผลการเรียนร้ตู ามเป้าหมายการเรียนรู้

ข้นั ตอนที่ 3 ออกแบบกระบวนการ/กิจกรรมการเรียนร้ทู ีช่ ่วยพฒั นาผ้เู รียนให้มีคุณภาพ
ตามเป้าหมายการเรียนรู้

3. วิธีการจดั ทาหน่วยการเรียนรู้
การจัดทาหน่วยการเรียนรู้สามารถจัดทาได้ 2 วิธี คือ
วิธีที่ 1 กาหนดประเด็น/หัวเรื่อง แล้วจึงวิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด
แนวคิดหนึ่งของการกาหนดหน่วยการเรียนรู้ คือ การกาหนดประเด็น/หัวเรือ่ ง(Theme)

ซึ่งสามารถเชื่อมโยงการเรียนรู้ต่างๆ เข้ากับชีวิตจริงของผู้เรียน ประเด็นที่จะนามาใช้เป็นกรอบในการ
กาหนดหน่วยการเรียนรู้ ควรมีลกั ษณะดังน้ี

-ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับองค์ความรู้ ความคิดรวบยอด หลักการของศาสตร์ในกลุ่ม
สาระการเรียนรู้ทีเ่ รียน

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 140

-ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับปัญหาทั่วไป ที่อาจเชื่อมโยงไปสู่ผลที่เกิดขึ้นทั้งทางบวกและ
ทางลบจากประเดน็ ปญั หาน้นั

ทั้งน้ี การกาหนดประเดน็ อาจพิจารณาจากคาถามต่อไปน้ี
1. ผ้เู รียนสนใจอะไร/ ปญั หาทีส่ นใจศึกษา
2. ผ้เู รียนมีความสนใจ ประสบการณ์ และความสามารถในเรื่องอะไร
3. หัวเรือ่ งสอดคล้องกับหลกั สูตรสถานศึกษาและความต้องการของชุมชนหรือไม่
4. ผ้เู รียนควรได้รับการพัฒนาทีเ่ หมาะสมในด้านใดบ้าง
5. มีสือ่ /แหล่งการเรียนรู้เพียงพอหรือไม่
6. หวั เรื่องที่เลือกเหมาะสมและสามารถเชื่อมโยงประสบการณ์การเรียนรู้ในกลุ่มสาระ
การเรียนร้ตู ่างๆ ได้หลากหลายหรือไม่
โดยสรุปหน่วยการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ คือ หน่วยการเรียนรู้ที่ทาให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ใน
ความรู้ที่ลึกซึ้ง มีความหมายสามารถนาไปใช้ในชีวิตประจาวันได้ และที่สาคัญจะต้องตอบสนอง
มาตรฐาน/ตวั ชี้วัดด้วย
วิธีที่ 2 กาหนดมาตรฐานการเรียนรู้และตวั ชี้วดั
การสร้างหน่วยการเรียนรู้วิธีน้ี ใช้วิธีการหลอมรวมตัวชี้วัดต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ใน
คาอธิบายรายวิชา
4. การกาหนดเปา้ หมายของหนว่ ยการเรียนรู้
เป้าหมายของหน่วยการเรียนรู้คือ มาตรฐานการเรียนรู้ / ตัวชี้วัด ซึ่งแต่ละหน่วยการ
เรียนรู้ อาจระบุมากกว่าหนึ่งมาตรฐาน/ตัวชี้วัด แต่ไม่ควรมากเกินไป และควรมีมาตรฐาน/ตัวชี้วัดที่
หลากหลายลักษณะ เช่น มาตรฐานที่เป็นเน้ือหา มาตรฐานที่เป็นกระบวนการ เพื่อช่วยให้การจัด
กิจกรรมการเรียนรู้มีความหมายต่อผ้เู รียน สามารถสร้างเป็นแก่นความรู้ได้ชดั เจนขึ้น และนาไปปรับใช้
กับสถานการณ์จริงได้ ท้งั นี้ขึ้นอย่กู บั ความเหมาะสมของธรรมชาติกล่มุ สาระการเรียนรู้
เนือ่ งจากหน่วยการเรียนร้หู นึง่ อาจมี 1 หรือมากกว่า 1 มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ชี้วัด จึง
ควรหลอมรวม แล้วเขียนเป็นสาระสาคัญที่จะพัฒนาให้เกิดคุณภาพเป็นองค์รวมแก่ผู้เรียน และเพื่อให้
การวางแผนจัดกิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้องกับแต่ละมาตรฐาน / ตัวชี้วัด จึงควรวิเคราะห์และ
แยกแยะเป็น 3 ส่วน คือ ความรู้ ทักษะ / กระบวนการ และคุณลักษณะ ท้ังน้ีมาตรฐานการเรียนรู้/
ตัวชี้วัด บางตัวอาจมีไม่ครบท้ัง 3 ส่วน ผู้สอนสามารถนาเน้ือหาจากแหล่งอื่น เช่น สาระท้องถิ่น และ
คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ทีก่ าหนดไว้ในหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐานมาเสริมได้

การกาหนดชิ้นงาน หรือภาระงานที่ผูเ้ รียนปฏิบตั ิ
1. ชิ้นงานหรือภาระงาน หมายถึง สิ่งต่อไปน้ี

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 141

1.1 ชิ้นงาน เช่น
-งานเขียน เช่น เรียงความ จดหมาย โคลงกลอน การบรรยาย การเขียนตอบ

ฯลฯ
- ภาพ / แผนภมู ิ เช่น แผนผงั แผนภูมิ ภาพวาด กราฟ ตาราง ฯลฯ
- สิ่งประดิษฐ์ เช่น งานประดิษฐ์ งานแสดงนิทรรศการ ห่นุ จาลอง ฯลฯ

1.2 ภาระงาน ได้แก่การพูด / รายงานปากเปล่า เช่น การอ่าน กล่าวรายงาน โต้วาที
ร้องเพลง สัมภาษณ์ บทบาทสมมติ เล่นดนตรี การเคลือ่ นไหวร่างกาย ฯลฯ

1.3 งานที่มีลักษณะผสมผสานกันระหว่างชิ้นงาน / ภาระงาน ได้แก่ การทดลอง การ
สาธิต ละคร วีดีทัศน์ ฯลฯ

2. ชิ้นงานหรือภาระงานของหน่วยการเรียนรู้กาหนดขึ้นเพื่ออะไร และกาหนดได้
อย่างไร ชิ้นงานหรือภาระงานเป็นหลักฐาน / ร่องรอย ว่าผู้เรียนบรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ / ตัวชี้วัดใน
หน่วยการเรียนรู้นั้น ๆ อาจเกิดจากผู้สอนกาหนดให้ หรืออาจให้ผู้เรียนร่วมกันกาหนดขึ้นจากการ
วิเคราะห์ตัวชี้วดั ในหน่วยการเรียนรู้

หลกั การกาหนดชิ้นหรือภาระงาน มีดงั นี้
1. ดจู ากมาตรฐานการเรียนรู้ / ตัวชี้วัดในหน่วยการเรียนรู้ ระบุไว้ชัดเจนหรือไม่
2. ภาระงานหรือชิ้นงานครอบคลมุ ตัวช้วี ดั ที่ระบไุ ว้หรือไม่ อาจระดมความคิดจากเพือ่ น
ครู หรือผ้เู รียน หรืออาจปรับเพิม่ กิจกรรมให้เกิดชิ้นงานหรือภาระงานที่ครอบคลมุ
3. ชิ้นงานช้ินหนึง่ หรือภาระงาน 1 อย่าง อาจเชือ่ มโยงกับมาตรฐานการเรียนรู้เดียวกัน
และ / หรือตวั ชี้วัดต่างมาตรฐานการเรียนร้กู นั ได้
4. ควรเลือกตวั ชี้วัดที่จะให้เกิดงานทีจ่ ะส่งเสริมให้ผ้เู รียนได้พฒั นาสติปญั ญาหลาย ๆ
ด้านไปพร้อมกัน เช่น การแสดงละคร บทบาทสมมติ เคลือ่ นไหวร่างกาย ดนตรี เปน็ ต้น
5. เลือกงานที่ผู้เรียนมีโอกาสเรียนรู้และทางานทีช่ อบใช้วิธีทาที่หลากหลาย
6. เป็นงานที่ให้ทางเลือกในการประเมินผลที่หลากหลาย โดยบุคคลต่าง ๆ เช่น
ผ้ปู กครอง ผู้สอน ตนเอง เป็นต้น
ชิ้นงานหรือภาระงานที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของผู้เรียนที่ได้รับการพัฒนาการ
เรียนรู้ของแต่ละเรื่อง หรือแต่ละข้ันตอนของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้นาสู่การประเมินเพื่อปรับปรุง
เพิ่มพนู คุณภาพผ้เู รียน / วิธีสอนสงู ขึ้นอย่างต่อเนือ่ ง

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 142

5. การประเมินผลโดยใช้รบู ริค (Rubric)
การประเมินโดยใช้รูบริค (Rubric) เป็นการประเมินที่เน้นคุณภาพของชิ้นงานหรือภาระ

งานที่ชี้ให้เห็นระดับความรู้ ความสามารถของผู้เรียนการประเมินโดยใช้รูบริค (Rubric) ช่วยในการ
สื่อสารอีกทางหนึ่ง ให้ผู้เรียนมองเห็นเป้าหมายของการทาชิ้นงานหรือภาระงานของตนเอง และได้รับ
ความยุติธรรมในการให้คะแนนของผู้สอน ตามคุณภาพของงาน การประเมิน เป็นการตัดสินว่าเมื่อ
ผู้เรียนสร้างชิ้นงาน/ภาระงานในลักษณะที่เกิดจากการปฏิบัติกิจกรรม (Performance Tasks) ในขณะ
เรียนรู้ว่าชิ้นงาน/ภาระงานนั้นมีคุณภาพหรือไม่ การประเมินดังกล่าวจึงต้องใช้เกณฑ์ที่กาหนดตาม
ธรรมชาติของงานที่ปฏิบัติจึงเรียกว่า เกณฑ์การประเมินโดยใช้รูบริค(Rubric) ซึ่งมีลักษณะใช้เกณฑ์
ประเมินที่เชื่อมโยงกบั ตวั ชี้วัดที่กาหนดในหน่วยการเรียนรู้สามารถอธิบายลักษณะชิ้นงานหรือภาระงาน
ที่คาดหวังได้อย่างชัดเจน รวมท้ังมีคาอธิบายคุณภาพชิ้นงานที่ชัดเจนและบ่งบอกคุณภาพงานในแต่ละ
ระดับ

ดังน้ันทกุ คร้ังทีจ่ บการเรียนร้ใู นแต่ละหน่วยการเรียนรู้ ครูผ้สู อนจะต้องมีการบนั ทึกของ
ตนเองว่า มีมาตรฐาน/ตัวชี้วัดในรายวิชาที่ครูสอนน้ัน มีตัวชี้วัดใดบ้างที่สอนแล้วหรือยังไม่ได้สอน และ
ถ้าสอนแล้วมีตัวชี้วัดใดบ้างที่ผู้เรียนผ่านหรือไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน ครูผู้สอนก็จะสามารถควบคุม
หรือมองเห็นภาพการเรียนการสอนในช้ันเรียนได้ชัดเจนขึ้นว่า ผู้เรียนในช้ันมีความสามารถหรือจะต้อง
พัฒนาในตัวชี้วดั ใดเพิ่มเติมอย่างไรบ้าง อย่างไรก็ตามการประเมินช้ินงานหรือภาระงานอาจใช้วิธีการอื่น
ได้ตามความเหมาะสมกับธรรมชาติของชิ้นงานหรือภาระงาน เช่น การทาแบบ Checklist การทดสอบ
เป็นต้น

กล่าวโดยสรุป การออกแบบหน่วยการเรียนรู้พลศึกษาอิงมาตรฐาน เพื่อสามารถ
พัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามเป้าหมายของหลักสูตร ควรมีสิ่งที่ครูจะต้องคานึงและถามตัวเองให้ได้
เสมอ คือ

1. ทาการวางเป้าหมายในการเรยี นร้ขู องหน่วยเชื่อมโยงกบั มาตรฐาน/ตวั ชี้วดั หรือไม่
2. ได้กาหนดชิ้นงาน/ภารงาน รวมท้ัง การประเมนิ ช้นิ งาน/ภารงาน ที่สะท้อนว่าผ้เู รียน
บรรลมุ าตรฐาน/ตวั ชี้วัดหรอื ไม่
3. ได้จดั กิจกรรมการเรียนการสอนที่สามารถนาพาให้ผู้เรียนทุกคนทาชิน้ งาน/ภาระ
งานได้หรือไม่ และผ้เู รียนจะเกิดคุณภาพได้ตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่
สาหรับการจัดทาหน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน โดยใช้การออกแบบย้อนกลับ
(Backward Design) น้ันเป็นวิธีหนึ่งที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถช่วยให้การจัดการเรียนการสอนของ
ครูมีประสิทธิภาพ เพราะความเข้าใจที่ลึกซ้งึ (Enduring Understanding) ที่ Grant Wiggins และ McTighe
ได้เขียนไว้น้ัน ได้อธิบายเกี่ยวกับการประเมินว่าเมื่อผู้เรียนเกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งแล้วจะสามารถทาใน
สิง่ ต่อไปน้ไี ด้ คือ

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 143

1. สามารถอธิบาย (Can explain) โดยผู้เรียนสามารถอธิบายเหตุการณ์หรือ
ปรากฏการณ์โดยใช้ข้อมูล ทฤษฎี และองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้อง ด้วยวิธีการและด้วยเหตุและผล (Why
and How) ท้ังยังสามารถแสดงความคิดเห็นที่มากกว่าเพียงคาตอบผิดหรือถกู

2. สามารถแปลความ (Can interpret) โดยผ้เู รียนสามารถแปลความหมายของข้อมูลได้
ชดั เจนตรงประเด็น ชี้ให้เห็นคุณค่า แสดงให้เหน็ ความเชือ่ มโยงส่ชู ีวิตจริง และผลกระทบทีอ่ าจเกิดขึ้น

3. สามารถประยุกต์ใช้ (Can apply) โดยผู้เรียนสามารถนาความรู้สู่การปฏิบัติใน
สถานการณ์ใหม่ ๆ ทีต่ ่างไปจากที่เรียนมาได้อย่างมีทักษะ

4. สามารถมีมุมมองที่หลากหลาย (Can perspective) โดยผู้เรียนเป็นผู้ที่มีมุมมองที่มี
ความน่าเชือ่ ถือ พิจารณาถึงข้อดี ข้อเสีย ความเป็นไปได้ ความแปลกใหม่ รวมถึงความลึกซ้งึ แจ่มชัด

5. สามารถเข้าใจผู้อื่น (Can empathize) โดยผู้เรียนเป็นผู้ที่เข้าใจผู้อื่น สนองตอบและ
ยอมรบั ความคิดเหน็ ของผ้อู ืน่ เป็นผ้ทู ี่มีความละเอียดอ่อนร้สู ึกถึงความร้สู ึกนึกคิดของผ้เู กีย่ วข้อง

6. สามารถรู้จักตนเอง (Can self-knowledge) โดยผู้เรียนเป็นผู้เข้าใจแนวคิด ค่านิยม
อคติ และจุดอ่อนของตนเอง สามารถปรับตัวและแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างชาญฉลาดสามารถนาพา
ผ้เู รียนให้บรรลุมาตรฐาน/ตวั ชี้วัดได้

ดังน้ันการออกแบบหน่วยการเรียนร้อู ิงมาตรฐานตามแนว Backward Designของ Grant
Wiggins and Jay Mctighe. (2005) ที่เชื่อว่าจะทาให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งได้ (อ้างใน กษมา,
2552) ได้ช่วยแก้ปัญหาความไม่เชื่อมโยงระหว่างหลักสตู รกับการประเมินผลของผู้เรียนว่าครูผู้สอนจะ
วัดและประเมินผลผู้เรียนอย่างไรจึงจะแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจที่ลึกซึ้ง (Enduring Understanding)
ตามทีห่ ลักสตู รกาหนด

การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้
กิจกรรมการเรียนรู้ ถือว่าเป็นหัวใจสาคัญที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนา ทาให้ผู้เรียนมี

ความรู้และทักษะตามมาตรฐานและตัวชี้วัดที่กาหนดไว้ในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ รวมทั้งช่วยในการ
ปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมอันพึงประสงค์ที่ต้องการให้เกิดกับผู้เรียน ซึ่งครูผู้สอนอาจจัด
ข้ันตอนการเรียนการสอนตามรูปแบบทฤษฎี วิธีสอน กระบวนการเรียนรู้ เทคนิคการสอน เทคนิคการ
จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลายได้ตามความประสงค์ ถ้าวิธีการดังกล่าวช่วยให้ผู้เรียนบรรลุ
มาตรฐานและตัวชี้วัดที่กาหนดได้ หลักสาคัญในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ครูผู้สอนพึงคานึง คือ
(สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา, 2552)

1. เปน็ กิจกรรมที่พัฒนาผู้เรียนไปส่มู าตรฐานและตวั ชี้วดั ทีก่ าหนดไว้ในหน่วยการเรียนรู้
2.เป็นกิจกรรมที่นาไปสู่การสร้างชิ้นงาน/ภาระงาน ที่แสดงถึงการบรรลุมาตรฐานและตัวชี้วัด
ของผ้เู รียน

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 144

3. สอดคล้องกับความสามารถและธรรมชาติของผ้เู รียนเป็นกลมุ่ หรอื รายบคุ คล หรือผ้เู รียน
พิเศษ

4. เป็นกจิ กรรมที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการออกแบบและจดั กิจกรรม
5. กิจกรรมควรมีความหลากหลาย เหมาะสมกบั ผ้เู รียนและเน้อื หาสาระ
6. มีการสอดแทรกคณุ ธรรม จริยธรรมและค่านิยมอันพึงประสงค์
7. ควรจัดกิจกรรมที่เชือ่ มโยงไปส่ชู ีวิตจริง/ ท้องถนิ่
8. เปิดโอกาสให้ผ้เู รียนได้ลงมือปฏิบตั ิจรงิ
9. ช่วยให้ผู้เรยี นสามารถเข้าส่แู หล่งเรียนร้แู ละเครือข่ายการเรียน
10. ใช้เทคนิคการจัดการเรียนรทู้ ีก่ ระต้นุ การเรียนรใู้ หก้ บั ผู้เรียน
11. การสรปุ ความรู้ สร้างความรู้และขยายความรไู้ ด้ด้วยตนเอง
เมือ่ ครูผู้สอนคิดและออกแบบการเรียนรู้ครบตามข้ันตอนแล้ว ครูจึงต้องนาสิ่งที่คิดออกแบบไว้
แล้วนามาเขียนเรียบเรียงเป็นเอกสารหน่วยการเรียนรู้ทีช่ ัดเจน เพื่อสะดวกต่อการนาไปใช้ ซึ่งมีลกั ษณะ
สาคญั ขององค์ประกอบหน่วยการเรียนรู้ ดังน้ี
1. ชือ่ หน่วยการเรียนรู้
2. มาตรฐานการเรียนร้/ู ตัวชี้วัด
3. สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอด
4. สาระการเรียนรู้

-สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
-สาระการเรียนรทู้ ้องถิ่น (ถ้ามี)
5. สมรรถนะสาคญั ของผ้เู รียน
6. คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
7. ชิ้นงาน/ภาระงาน
8. การวัดและประเมินผล
9. กิจกรรมการเรยี นรู้
10. เวลาเรียน/จานวนช่ัวโมง

การวางแผนการสอน
การวางแผนการสอนน้ันคือ การเตรียมการสอนอย่างเปน็ ลายลกั ษณ์อักษรไว้ล่วงหน้า เพือ่ เป็น

แนวทางการสอนสาหรับครูจะช่วยให้การเรียนการสอนบรรลุจุดประสงค์ที่กาหนดไว้อย่างมี
ประสิทธิภาพ (อาภรณ์ ใจเที่ยง, 2553) ทั้งน้ีข้อมูลที่ผู้สอนต้องเตรียมเพื่อใช้ในการวางแผนการสอน
ได้แก่

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 145

1. การกาหนดจุดประสงค์
2. การคดั เลือกเน้ือหา
3. การกาหนดกิจกรรมการเรยี นการสอน
4. การเลือกสื่อการเรียนการสอน
5. การวัดผลประเมินผล
สาหรับความสาคัญการวางแผนการสอน ซึ่งถือว่าการวางแผนการสอนเป็นงานสาคัญของ
ครูผ้สู อน และการสอนจะประสบผลสาเร็จด้วยดี หรือไม่มากน้อยเพียงใดน้นั ขึ้นอย่กู ับการวางแผนการ
สอนเป็นสาคัญประการหนึ่ง ถ้าผู้สอนมีการวางแผนที่ดี ก็เท่ากับบรรลุจุดหมายปลายทางไปแล้ว
ครึ่งหนึ่ง ซึง่ อาภรณ์ ใจเทีย่ ง(2553) ได้สรุปความสาคัญของการวางแผนการสอนไว้ดงั น้ี
1. ทาให้ผ้สู อนสอนด้วยความมั่นใจ
2. ทาให้เป็นการสอนที่มีคุณค่าค้มุ กบั เวลาทีผ่ ่านไป
3. ทาให้เปน็ การสอนที่ตรงตามหลกั สูตร
4. ทาให้การสอนบรรลุผลอย่างมีประสิทธิภาพดีกว่าการสอนทีไ่ ม่มีการวางแผน
5. ทาให้ผู้สอนมีเอกสารเตือนความจา สามารถนามาใช้เป็นแนวทางในการสอนต่อไป ทาให้ไม่
เกิดความซ้าซ้อน
6. ทาให้ผ้เู รียนเกิดเจตคตทิ ีด่ ีต่อผ้สู อนและต่อวิชาที่เรยี น

แผนการจดั การเรียนรพู้ ลศึกษา
1. ความหมายแผนการจดั การเรียนรู้
คาว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หรือแผนการเรียนรู้ เป็นคาใหม่ที่นามาใช้ตั้งแต่ในหลักสูตร

การศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 เหตุที่ใช้คา “แผนการจัดการเรียนรู้” แทนคา “แผนการสอน”
เพราะต้องการให้ผ้สู อนมุ่งจดั กิจกรรมการเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเปน็ สาคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับ
เป้าหมายของการจัดการศึกษาที่ระบุไว้ในมาตรา 22 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พุทธศักราช 2544 ที่กล่าวไว้ว่า “การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้
และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนสาคัญที่สุด” (อาภรณ์ ใจเที่ยง, 2546) ความหมายของแผนการ
จัดการเรียนรู้มีผ้ใู ห้ความหมายหลากหลาย ดงั น้ี

ณฐั วุฒิ กิจรุ่งเรือง (2545) กล่าวว่า แผนจัดการเรียนรู้ (Lesson Plan) หมายถึง การเตรียมการ
จัดการเรียนรู้ไว้ล่วงหน้าอย่างเปน็ ระบบ และเปน็ ลายลักษณ์อกั ษร เพื่อใช้เปน็ แนวทางในการดาเนินการ
จัดการเรียนรู้ในรายวิชาใดวิชาหนึ่งให้บรรลผุ ลตามจุดมุ่งหมายที่หลักสูตรกาหนด แผนจัดการเรียนรู้มี
2 ระดบั ได้แก่ ระดบั หน่วยการเรียน (Unit Plan) และระดบั บทเรียน

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 146

สถาบันพัฒนาความก้าวหน้า (2545) ได้ให้ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ว่า
เปน็ แผนงานหรือโครงการที่ครผู ้สู อนได้เตรียมการจดั การเรียนร้ไู ว้ล่วงหน้าเปน็ ลายลกั ษณ์อักษร เพื่อใช้
ปฏิบัติการเรียนรู้ในรายวิชาใดวิชาหนึ่งอย่างเป็นระบบระเบียบ โดยใช้เป็นเครื่องมือสาหรับจัดการ
เรียนร้เู พือ่ นาผ้เู รียนไปสู่จดุ ประสงค์การเรียนรู้และจุดหมายของหลักสตู รอย่างมีประสิทธิภาพ

สาหรับทางด้าน กรมวิชาการ (2546) ได้ให้ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ว่า
แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แผนซึ่งครูเตรียมการจัดการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน โดยวางแผนการ
จัดการเรียนรู้ แผนการใช้สื่อการเรียนรู้หรือแหล่งเรียนรู้ แผนการวัดผลประเมินผลโดยการวิเคราะห์
จากคาอธิบายรายวิชาหรือหน่วยการเรียนรู้ ซึ่งยึดผลการเรียนรู้ที่คาดหวังและสาระการเรียนรู้ที่
กาหนด อันสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนร้ชู ่วงช้นั

ซึ่งสุวิทย์ มูลคา (2549) กล่าวถึงแผนการจัดการเรียนรู้ว่าหมายถึง แผนการเตรียมการ
สอนหรือการกาหนดกิจกรรมการเรียนรู้ไว้ล่วงหน้าอย่างเป็นระบบและจัดทาเป็นลายลกั ษณ์อักษร โดย
มีการรวบรวมข้อมูลต่างๆมากาหนดกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายที่
กาหนดไว้ โดยเริ่มจากการกาหนดวัตถุประสงค์จะให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านใดด้านหนึ่ง
(สติปัญญา /เจตคติ / ทกั ษะ) จะจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิธีใด

นอกจากน้ี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (2552) ได้ให้ความหมายของแผนการ
จัดการเรียนรู้ไว้มากมายหลายมุมมองรายละเอียดดงั น้ี

1. แผนการจัดการเรียนรู้เป็นแผนที่จัดทาขึ้นเพือ่ จดั ประสบการณ์ต่างๆให้กับผู้เรียน ซึ่ง
จะเป็นตัวบ่งชี้ว่าผู้เรียนได้เรียนรู้อะไรเพื่ออะไร และอย่างไรประสบการณ์ที่ผู้เรียนได้รับนั้นมีผลทาให้
เกิดพฒั นาการท้งั ในด้านร่างกาย สังคม ปัญญา และจิตใจ

2. แผนการจัดการเรียนรู้นั้น หมายรวมถึงชุดของสิ่งที่ใช้ในการเรียนการสอน (Set of
Materials) จุดประสงค์ที่นาไปปฏิบัติ (Performance Objective) และรวมถึงกิจกรรมท้ังในและนอก
ห้องเรียน

3. แผนการจัดการเรียนรู้นั้น เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนตามที่หลักสูตร
กาหนด

4. แผนการจัดการเรียนรู้น้ัน เป็นแผนหรือโครงการที่จัดทาขึ้นเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มี
ความรู้ความสามารถและคณุ ลกั ษณะทีส่ อดคล้องกับความม่งุ หมายของการศึกษาตามทีก่ าหนดไว้

ส่วน อาภรณ์ ใจเที่ยง (2553) ได้กล่าวถึงความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ว่ามี
ความหมายเช่นเดียวกับแผนการสอนกล่าวคือ เป็นแผนการจัดการกิจกรรมการเรียนรู้ การใช้สื่อการ
เรียนรู้ และการประเมินผล ที่สอดคล้องกบั สาระการเรียนรู้ และจดุ ประสงค์การเรียนร้หู รือผลการเรียน
ที่คาดหวังที่กาหนดไว้ในหลกั สูตร

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 147

จากความหมายทั้งหมดข้างต้น จะเห็นได้ว่าแผนการจัดการเรียนรู้มีความสาคัญมาก
เพราะเป็นการวางแผนของการจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน ซึ่งจะช่วยให้ผู้สอนทราบว่า ในแต่ละสปั ดาห์
หรือแต่ละชั่วโมงครูผู้สอนควรจะสอนรายวิชาใด ขอบข่ายสาระการเรียนรู้ครอบคลมุ เรื่องราวอะไรบ้าง
รวมทั้งการสารวจสภาพปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้สอนเกิดความมั่นใจในการจัดการ
เรียนรู้และสามารถทาการประเมินผลผู้เรียนทาให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ ได้ตาม
เป้าหมายซึ่งลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดีนั้นจะต้องสามารถตอบคาถามในประเด็นต่างๆ
ต่อไปนี้ได้(รจุ ิร์ ภ่สู าระ, 2545)

1. จะให้ผ้เู รียนมีคุณสมบตั ิที่พึงประสงค์อะไรบ้าง
2. จะเสริมสร้างกิจกรรมใดเพื่อที่จะพัฒนาผู้เรียนอะไรบ้าง จึงจะทาให้ผู้เรียน
บรรลุผลตามจดุ ประสงค์
3. ครูจะต้องมีบทบาทอย่างไรในการจดั กิจกรรม ตั้งแต่ครูเป็นศูนย์กลางจนถึง
ผ้เู รียนเปน็ ผ้จู ัดทาเอง
4. จะใช้สื่ออปุ กรณ์อะไรบ้าง จึงจะช่วยให้ผู้เรียนบรรลุวตั ถปุ ระสงค์
5. จะรู้ได้อย่างไรว่าผ้เู รียนเกิดคณุ สมบตั ิตามที่คาดหวังไว้
2. องค์ประกอบของแผนจัดการเรียนรู้
แนวคิดเกี่ยวกับองคป์ ระกอบของแผนจัดการเรียนรู้ อาจคล้ายคลึงกันในองค์ประกอบ
หลักแต่ต้องต่างกันออกไปในบางประเดน็ ซึง่ ข้นึ อย่กู บั วตั ถปุ ระสงค์ของการนาไปใช้ อย่างไรกต็ ามแผน
จดั การเรียนรคู้ วรมีองค์ประกอบสาคญั ดงั ต่อไปนี้ (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคล, 2552)
1. หวั เรื่อง (Heading)
2. สาระสาคญั (Concept)
3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ (Objective)
4. เน้ือหาสาระ (Content)
5. กิจกรรมการเรยี นรู้ (Activities)
6. สื่อการเรียนรู้ (Material & Media)
7. การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ (Assessment)
ซึ่งพิมพันธ์ เดชะคุปต์ (2551) ยงั ได้กล่าวอีกว่าองค์ประกอบสาคญั ของแผนการจัดการ
เรียนร้คู วรมีองค์ประกอบหลัก 3 ประการอันได้แก่
1. วัตถุประสงค์การเรียนร้หู รือจุดประสงค์การเรียนรู้ (Objective) ควรเขียน
เปน็ วตั ถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรม (Behavioral Objective) โดยเน้นใหผ้ ้เู รียนได้พัฒนาในเรื่องต่อไปน้ี

1.1 ความรู้ (Knowledge: K)

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 148

1.2 ทักษะกระบวนการ (Process: P) ทกั ษะกระบวนการคิดและการ
ปฏบิ ัติรวมท้ังการแสดงออก

1.3 เจตคติ (Attitude: A) คือความสนใจพอใจรวมท้งั ลกั ษณะนิสยั
2. ประสบการณ์เรียนรู้ (Learning Experiences) ในส่วนน้ีประกอบด้วย 2 ส่วน
ได้แก่

2.1 เน้ือหาสาระ (Content) ทีต่ ้องการให้ผ้เู รียนไดร้ บั
2.2 กระบวนการจัดการเรยี นรู้ (Process of Learning) เปน็ ข้นั ตอนการ
จดั การเรียนรตู้ ้ังแต่ข้นั นาข้นั กิจกรรมข้นั สรปุ
3. การประเมินผล (Evaluation) เป็นการตีค่าผลการเรยี นร้ขู องผ้เู รียนซึง่ ต้องใช้
ข้อมลู ท้ังเชิงปริมาณและเชิงคณุ ภาพจากการประเมินผลการเรียนรตู้ ามสภาพจรงิ (Authentic
Assessment) หรือการประเมินผลการเรียนรทู้ ีเ่ น้นผ้เู รียนเปน็ ศูนย์กลาง
อาภรณ์ ใจเที่ยง (2553) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของการจัดทาแผนจัดการเรียนรู้ว่า
ควรประกอบด้วยหวั ข้อสาคญั ดังต่อไปนี้
ส่วนนา : รายวิชา/กล่มุ ชนั้ ชือ่ หน่วยการเรียนรู้หรือชือ่ แผนการจัดการเรียนรู้ จานวน
เวลาที่สอน และส่วนเน้ือหาสาคัญ ซึง่ ประกอบด้วย
1. มาตรฐานการเรียนรู้
2. ตวั ชี้วดั ช้นั ปี
3. สาระสาคญั
4. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
5. สาระการเรียนรู้
6. กิจกรรมการเรยี นรู้
8. สื่อและแหล่งเรียนรู้
9. บนั ทึกผลหลังการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้
3. ประโยชนข์ องการทาแผนจัดการเรียนรู้
ประโยชน์ของการจัดทาแผนการจัดการความร้ตู ่อการเรียนการสอนมีดังน้ี
(มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคล, 2552)
1. เพือ่ ให้เห็นความต่อเนื่องของการจดั การเรียนรตู้ ามหลกั สูตร
2. เพื่อให้จดั การเรียนร้ไู ด้สอดคล้องกบั ความถนดั ความสนใจและความ
ต้องการของผ้เู รียน
3. เพื่อให้สามารถเตรยี มวสั ดุอปุ กรณ์และแหล่งเรียนร้ใู ห้พร้อมก่อนทาการ
สอนจรงิ

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 149

4. เพื่อให้ผ้สู อนมีความมนั่ ใจและเชือ่ มนั่ ในการจดั การเรียนรู้
5. เพือ่ ให้เกิดการปรบั ปรงุ วิธีการจดั การเรียนรจู้ ากข้อจากดั ทีพ่ บ
6. เพื่อให้ผ้อู ืน่ สอนแทนได้เมื่อมีเหตุจาเป็น
7. เพื่อเปน็ หลกั ฐานสาหรับการพิจารณาและคณุ ภาพในการปฏิบตั ิการสอน
8. เพื่อเปน็ เครื่องบ่งชี้ความเป็นวิชาชีพของครูผู้สอน (แผนจดั การเรียนร้เู ปน็
ลกั ษณะเฉพาะของวิชาชีพคร)ู
4. รปู แบบของแผนจัดการเรียนรู้
รูปแบบการเขียนแผนการจัดการเรียนร้มู ีหลายรูปแบบ ซึ่ง เศวต ไชยโสภาพ (2545)
ได้ศึกษาค้นคว้าการแบ่งรปู แบบของการเขียนแผนการจดั การเรียนรู้ ซึ่งสามารถแบ่งออกเปน็ 3 รปู แบบ
คือ
4.1 แบบบรรยาย ซึ่งถือเปน็ รูปแบบเปน็ ทางการทีเ่ ปน็ แบบฟอร์มที่คณะกรรมการ
ข้าราชการครูเสนอแนะไว้ (ดงั ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนร้รู ปู แบบที่ 1 แบบบรรยาย)

ตวั อยา่ งแผนการจดั การเรียนรรู้ ูปแบบที่ 1 แบบบรรยาย
เรือ่ ง………………………………………………………………….………………เวลา……….คาบ
วิชา………………………………………………..ช้นั ……………...............ภาคเรียนที…่ ………….
สอนวนั ท…ี่ ……….เดือน…………………พ.ศ………….ชื่อผ้สู อน…………………………………………………………
1. สาระสาคญั
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. เน้ือหา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
3.1 จุดประสงค์ปลายทาง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3.2 จุดประสงค์นาทาง (กระบวนการ)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. กิจกรรมการเรียนการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
5. สื่อการเรียนการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 150

6. การวดั ผลและประเมินผล
6.1 วิธีการวดั และประเมนิ ผล
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
6.2 เกณฑ์การวดั และประเมินผล
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
6.3 เครือ่ งมือวดั และประเมินผล
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
7. กิจกรรมเสนอแนะ (ถ้าม)ี
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
8. ข้อเสนอแนะของหัวหนา้ สถานศกึ ษาหรือผ้ทู ี่ได้รบั มอบหมาย (ตรวจสอบ/นิเทศ/เสนอแนะ/รบั รอง)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชื่อ……………………………………………….
(…………………………...……………….)

ตาแหน่ง…………………………………………...
วนั ที…่ ……เดือน…………..พ.ศ…….

บนั ทึกหลงั สอน
1. ผลการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปญั หา / อปุ สรรค
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ข้อเสนอแนะ / แนวทางแก้ไข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชือ่ ………………………………………..
(………………………………………)

ตาแหน่ง…………………………………….
วนั ที…่ …….เดือน……………พ.ศ…….


Click to View FlipBook Version