เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 151
4.2 แบบตาราง (ดังตวั อย่างแผนการจดั การเรียนรรู้ ูปแบบที่ 2 แบบตาราง)
ตัวอย่างแผนการจดั การเรียนรู้รูปแบบที่ 2 แบบตาราง
แผนการจัดการเรียนรู้ท…ี่ …
เรื่อง………………………………………………………….....…..……………..เวลา…………..คาบ
วิชา……………………………………………..ช้นั ………….......…………….ภาคเรียนที…่ ………..
สอนวนั ท…ี่ ………..เดือน………………………….พ.ศ…………ชื่อผู้สอน……….......…………….
สาระสาคญั จดุ ประสงค์ เน้ือหา กิจกรรมการ สื่อ-อุปกรณ์ การวัดผล
ปลายทาง/นา เรียน
ทาง
กิจกรรมเสนอแนะ…………………………………………………………………………………..…………………………………………….
………………………………………………………………………………………………...…….……………………………………………………….
4.3 แบบกึง่ ตาราง (ดงั ตวั อย่างแผนการจดั การเรียนร้รู ูปแบบที่ 3 แบบกึ่งตาราง)
ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้รปู แบบที่ 3 แบบกงึ่ ตาราง
แผนการจดั การเรียนรทู้ ี…่ .........
เรื่อง……………………………………………...............…………………เวลา……………….คาบ
วิชา……………………………………...………..ช้นั …………..........………..ภาคเรียนที…่ ………
สอนวนั ท…ี่ …..เดือน………......……..พ.ศ………..ชือ่ ผ้สู อน………………........………………….
สาระสาคญั ………………………............…………………………………………………………………………………………..
เน้ือหา………………………………............…………………………………………………………………………………………….
จุดประสงค์ปลายทาง…………………………………………………………………………......................................
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 152
จดุ ประสงค์นาทาง กิจกรรมการเรียนการสอน สือ่ การเรยี นการ การวดั ผล / ประเมนิ ผล
สอน
กิจกรรมเสนอแนะ………………………………………………………………………………...................................................
...........................................................................................................................................................
ดังจะเห็นได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้มีหลายรูปแบบ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของ
หน่วยงาน หรือสถานศึกษาหรือผู้สอนที่จะเลือกใช้รูปแบบที่คิดว่าเหมาะสมและสะดวกต่อการไปใช้ได้
อย่างมีประสิทธิภาพ (พงษ์ศักดิ์ นุชสวาสดิ์, 2556) อย่างไรก็ตาม รูปแบบของแผนจัดการเรียนรู้ที่นิยม
ใช้โดยท่ัวไปมีดังนี้
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 153
1. แผนการจัดการเรียนรู้แบบบรรยายหรือแบบเรียงหัวข้อ แผนการจัดการเรียนรู้
ชนิดน้ีจะเป็นการเขียนรายละเอียดขององค์ประกอบแต่ละองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้
ตามลาดับโดยใช้ความเรียงเป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมแต่มีข้อจากัดในกรณีที่รายละเอียดอยู่คนละ
หน้ากนั เนือ่ งจากยากต่อการมองเห็นความสมั พันธ์ของแต่ละองค์ประกอบ
2. แผนการจัดการเรียนรู้แบบตาราง แผนการจัดการเรียนรู้ชนิดน้ีเป็นการนา
รายละเอียดของแต่ละองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้มาเขียนลงในตารางภายในหน้าเดียวกัน
เพื่อให้ง่ายต่อการมองเห็นความสัมพันธ์ของแต่ละองค์ประกอบแต่มีข้อจากัดในด้านพื้นที่ของการเขียน
และภาระในการตีตาราง
5. แผนการจดั การเรียนรู้พลศึกษา
กรรวี บุญชัย (2555) ได้กล่าวว่าแผนการจัดการเรียนรู้ก็คือ แผนการสอนหรือบันทึก
การสอนในอดีตน่ันเอง แต่เนื่องจากปัจจุบันมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญจึงเปลี่ยนคาว่าการสอนเป็นการ
เรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา โดยเฉพาะในส่วนของรายวิชาวิชาพลศึกษาน้ัน
ครูพลศึกษาต้องเข้าใจและสามารถจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดีและมีประสิทธิภาพโดยรายละเอียด
ของการจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้พลศึกษา ครูพลศึกษาต้องเข้าใจ ศึกษาและรวบรวมข้อมูล
ดังต่อไปนี้
1. ข้อมูลของระดับช้นั ทไี่ ด้รบั มอบหมายให้สอน
2. กิจกรรมกฬี า (Sport Activity) ที่โรงเรียนจัดใหใ้ นแต่ละช้นั ปี เช่น ยิมนาสตกิ
แชร์บอล บาสเกตบอล กรีฑา ว่ายน้า บาสเกตบอล วอลเลย์บอล เทนนิส
3. ศึกษานโยบายของโรงเรยี น
4. ศึกษานโยบายของกล่มุ สาระ/วิชาพลศึกษา
5. ศึกษาคาอธิบายรายวิชา
6. ศึกษาลกั ษณะของผ้เู รียนทไี่ ด้รบั ผิดชอบ
7. ศึกษาแนวทางในการจดั การเรียนรู้
8. ศึกษาแนวทางในการประเมินผลการเรียนรู้
9. การวางแผนรายปี (Yearly Plan)
10. การศึกษาการจดั ทาหน่วยการเรียนรู้ (Units of Learning)
11. การจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้ (Daily Lesson Plans)
สาหรับการการกาหนดหน่วยการเรียนรู้และการจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้
(LessonPlans) นั้น กรรวี บุญชยั (2555) ได้กล่าวไว้ดงั นี้
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 154
1. กาหนดหน่วยการเรียนรู้เป็นผลจากการออกแบบหน่วยการเรียนรู้ยิ่ง
ออกแบบหน่วยการเรียนรู้ได้ละเอียดชัดเจนเพียงใด การกาหนดหน่วยการเรียนรู้ก็จะยิ่งชัดเจนมากขึ้น
เท่าน้ัน และส่งผลไปถึงการจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้ด้วย
2. การจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้ (Lesson Plans) เป็นข้ันตอนสุดท้ายของ
การจัดทาสาระหลักสูตร ข้ันตอนน้ีถือเป็นหัวใจสาคัญอีกประการหนึ่ง เพราะหากครูไม่สามารถจัดทา
ได้ ก็หมายถึงว่าครูไม่สามารถนามาตรฐาน/ตัวชี้วัดไปสู่ตัวผู้เรียนและในทางกลับกันก็ไม่สามารถทาให้
ผู้เรียนมีคุณภาพตามผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง รวมทั้งมาตรฐานการเรียนรู้คุณภาพของผู้เรียนและ
มาตรฐานการเรียนร้กู ารศึกษาข้นั พื้นฐานของแต่ละกล่มุ สาระได้ตามความเป็นจริง
3. การเขียนจุดประสงค์การเรียนรู้แต่ละข้อไว้ในแผนการจัดการเรียนรู้แต่ละ
แผนหรือในการสอนแต่ละคร้ัง ต้องยึดหลักการเขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมเป็นสาคัญ เพื่อความ
สะดวกในการสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียน โดยเฉพาะระดับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือการเกิด
การเรียนรู้ตามที่ผู้สอนต้องการ หรือเกณฑ์การเรียนรู้หรือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ซึ่งคุณสมบัติ
ของจดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรมประกอบไปด้วย
3.1 ระบุพฤติกรรมที่ต้องการให้ผู้เรียนแสดงออกมาโดยใช้คากริยาที่
ทาให้ผ้เู รียนแสดงกริยาออกมาให้เหน็ อย่างชัดเจน เช่น เขียนกระโดด วิง่ เปรียบเทียบ สาธิต ฯลฯ
3.2 ระบุเงื่อนไขหรือคาขยายพฤติกรรมตามข้อ 1 เพื่อให้การแสดง
กริยาหรือพฤติกรรมของผู้เรียนชัดเจนขึ้นและผู้สอนก็สามารถเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น เช่นอธิบายวิธีการ
แปรงฟนั ฯลฯ วิธีแปรงฟนั คือคาขยายอธิบาย
3.3 ระบุเกณฑ์การเรียนรู้หรือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียน
โดยกาหนดเปน็ ตวั เลขหรือจานวนนบั เช่น อธิบายรูปแบบการเคลื่อนไหวได้ 2ใน3 รูปแบบ สาธิตวิธีรบั -
ส่งบอลได้ถูกต้อง เป็นต้น เกณฑ์จะเป็นอย่างไรสูง-ต่าเพียงไรขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้สอนโดยมี
หลกั การดงั นี้
3.3.1 กาหนดให้มีความยากง่ายเหมาะสมกับวุฒิภาวะและ
ความจาเปน็ ของผ้เู รียน
3.3.2 กาหนดให้สอดคล้องกับเรื่องที่สอนและผลการเรียนรู้ที่
ต้องการ
3.3.3 ควรกาหนดให้มีระดับกลางเพื่อให้ผู้เรียนส่วนใหญ่ทาได้
และให้ค่อนข้างยากเล็กน้อยเพือ่ ท้าทายหรือจงู ใจแต่หากยากเกินไปทาไม่ได้กอ็ าจเสียกาลงั ใจ
3.3.4. การสอนเรื่องเดียวกันในครั้งต่อๆไปควรกาหนดเกณฑ์
ให้สูงกว่าคร้ังแรกๆจะได้ช่วยเพิ่มระดบั ความสามารถของผ้เู รียนให้สงู ขึ้น
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 155
สาหรับแนวทางจัดการศึกษาของมาตรฐานการเรียนรู้ และจุดประสงค์การเรียนรู้ของ
พลศึกษานั้น เราสามารถสังเกตลักษณะของสิ่งที่คาดหวังในการจัดการเรียนรู้ด้วยกันใน 3 ด้าน ดังน้ี
(กรรวี บุญชยั , 2555)
1. ด้านความรู้ (Knowledge-K)
2. ด้านเจตคติคณุ ธรรมค่านิยม (Affective-A)
3. ด้านทกั ษะ (Psychomotor-P) การปฏบิ ัติ (Practice-P) และด้านกระบวนการ
(Process-P)
โดยคากริยาทีม่ กั ใช้เขียนสิง่ ที่คาดหวงั ในแต่ละด้านมีดงั น้ี
ความรู้ เจตคติ ทกั ษะ/กระบวนการ
รู้ เห็นคณุ ค่า หลีกเลีย่ ง
เข้าใจ ยอมรบั ป้องกนั
วิเคราะห์ ภมู ิใจ มีทกั ษะ
จาแนก มีค่านิยม ออกกาลังกาย
เปรียบเทียบ มุ่งมัน่ ควบคุม
ประยกุ ต์ ชืน่ ชม แสดง
ประเมิน ส่งเสริม สามารถปฏิบตั ิ
ซึ่งในส่วนของระดับและประเภทของผลการเรียนรู้และจุดประสงค์การเรียนรู้สรุปรายละเอียด
ได้ดังนี้ (กรรวี บุญชัย, 2555)
ระดับและประเภทของผลการเรียนรู้ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
1. ด้านความรู้ บรรยายอธิบายเขียนให้คาจากัดความ
1.1 รู้ บอก จบั คู่ ย่อความ สรุปความ แปลความ
1.2 เข้าใจ ตีความหมาย คาดคะเน เปรียบเทียบ
1.3 ประยุกต์หรือใช้ การนาเอากฎกติกาหลกั การวิธีการไปใช้
1.4 วิเคราะห์ อธิบายเหตุผล แยกตวั ประกอบ
1.5 สงั เคราะห์ จดั รวบรวมรปู แบบ จดั หมวดหมู่
1.6 ประเมินผล การจัดโปรแกรม การกาหนดโครงการ การเสนอ
แบบฝกึ ใหมต่ ัดสิน ประเมินค่า ให้เหตุผล
2. ดา้ นเจตคติ ตั้งใจฟงั เอาใจใส่ กระตือรือร้น
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 156
1. ยอมรบั ยอมรับเห็นประโยชน์ปฏิบตั ิตาม
2. ตอบสนอง กฎระเบยี บปฏิบตั ิตามหลักการ
3. รู้คณุ ค่า การนาไปใช้เคร่งครดั กระตือรือรน้ ปฏบิ ตั ิตน
เป็นประจา
4. จัดรวบรวม จัดหมวดหมู่ มีค่านิยม ชอบปฏิบตั ิ
5 .มีคุณลักษณะทีด่ ี/ค่านิยมขั้นสงู มีบุคลิกภาพกิจนิสยั ปฏิบตั ิประจาสมา่ เสมอ ยึด
ม่ันหลกั การทกุ คร้ัง
3. ดา้ นทกั ษะ
1. รู้คาศพั ท/์ รวู้ ิธีการเคลื่อนไหว สาธิต บอก อธิบาย แสดง
2. เคลือ่ นไหวแบบไม่เคลือ่ นที่ เอียง เหวี่ยง ก้ม บิด เงย หงาย หมุน เขย่ง
3. เคลือ่ นไหวแบบเคลือ่ นที่ วิง่ เต้น กระโดด ควบม้า
4. เคลือ่ นไหวประกอบอปุ กรณ์ ทุ่มลูกน้าหนกั ตีลูกขนไก่
5. จดั รูปแบบของการเคลื่อนไหว ผสมผสาน 1-4
6. เคลื่อนไหวร่วมกบั ผ้อู ืน่ ส่งลกู ให้เพื่อนแข่งขนั แกไ้ ขข้อบกพร่อง
7. แกป้ ญั หาการเคลื่อนไหว แก้ไขข้อบกพร่อง ยิงประตูได้ขณะถูกสกดั ก้นั
4. ด้านสมรรถภาพทางกาย
1. รู้คาศัพท/์ รวู้ ิธี คากริยาที่ใช้คล้ายคลึงกับพฤติกรรมด้านทกั ษะ
2. ออกกาลงั กายตามคาศพั ท/์ วิธี คากริยาที่ใช้คล้ายคลึงกบั พฤติกรรมด้านทักษะ
3. มีสมรรถภาพทางกาย คากริยาที่ใช้คล้ายคลึงกบั พฤติกรรมด้านทักษะ
4. กาหนดรปู แบบ/โปรแกรมออกกาลังกาย คากริยาทีใ่ ช้คล้ายคลึงกับพฤติกรรมด้านทักษะ
5. ประเมิน คากริยาที่ใช้คล้ายคลึงกับพฤติกรรมด้านทักษะ
6. แก้ปัญหา คากริยาที่ใช้คล้ายคลึงกบั พฤติกรรมด้านทกั ษะ
5. คุณลกั ษณะทีพ่ ึงประสงค์
1. ปฏบิ ตั ิ เป็นผ้นู า-ผ้ตู ามมีความซือ่ สตั ย์มีน้าใจนักกีฬา
2. มีอารมณ์ม่ันคง อดทนอดกล้นั ควบคุมตนเอง
3. มีความสัมพนั ธ/์ มนษุ ยสมั พันธ์ ให้ความร่วมมือมีส่วนร่วม เชือ่ ถือ ผ้ฟู ังที่ดี
4. ประสบความสาเร็จตามเป้าหมาย ทาตามทีถ่ นัด/ต้องการ/พอใจทาสาเร็จ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 157
สาหรับแผนการจัดการเรียนรู้พลศึกษา กรรวี บุญชัย (2555) ได้กล่าวว่าแผนการ
จัดการเรียนรู้พลศึกษาน้ัน สามารถใช้รูปแบบ (Forms) ได้หลายประเภท ทั้งอยู่กับสถานศึกษาหรือ
ครูผู้สอน อย่างไรก็ตามควรต้องมีรายละเอียดดังตัวอย่างของรูปแบบแผนการจัดการเรียนรู้พลศึกษา
รายละเอียดดังตัวอย่างรปู แบบที่ 1 และ 2
รปู แบบที่ 1 : แผนการจดั การเรียนรู้
กล่มุ สาระสขุ ศึกษาและพลศึกษา ช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 6
หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 1 เรื่องการเคลื่อนไหว เวลา 8 ช่วั โมง
เรื่องการเคลอื่ นไหวตามจังหวะเพลง เวลา 3 ชว่ั โมง
สาระที่ 3: การเคลื่อนไหวการออกกาลงั กายการเล่นกีฬาไทยและกีฬาสากล
มาตรฐานพ 3.1 : เข้าใจมที ักษะในการเคลื่อนไหว กิจกรรมทางกาย การเล่นเกม และกีฬา
ตวั ชี้วัด (ศึกษาตัวชี้วดั ในหลักสูตรโดยศึกษาตวั ชี้วดั ให้ตรงระดับช้นั จากสาระทีเ่ กี่ยวข้อง)
มาตรฐานพ 3.2: รกั การออกกาลังกาย การเลน่ เกมและการเลน่ กฬี า ปฏบิ ัติเปน็ ประจาอย่าง
สม่าเสมอ มีวินยั เคารพสิทธิกฎกติกา มนี ้าใจนักกีฬา มีจิตวิญญาณในการแข่งขัน และชื่นชมใน
สนุ ทรียภาพของการกีฬา
ตัวชีว้ ัด(ศึกษาตวั ชี้วดั ในหลกั สตู รโดยศึกษาตัวชี้วัดให้ตรงระดบั ช้นั และสาระทีเ่ กี่ยวข้อง)
สาระที่ 4 การสร้างเสริมสขุ ภาพ สมรรถภาพ และการป้องกันโรค
มาตรฐานการเรียนรู้ พ 4.1 : เหน็ คณุ คา่ และมีทกั ษะในการสร้างเสริมสุขภาพ การดารงสุขภาพ
การป้องกนั โรค และการสรา้ งเสริมสมรรถภาพเพื่อสขุ ภาพ
ตัวชีว้ ัด (ศึกษาตัวชี้วดั ในหลักสูตรโดยศึกษาตัวชี้วัดให้ตรงระดบั ช้นั และสาระทีเ่ กี่ยวข้อง)
สาระสาคญั .....................................................................................................................................
ผลการเรียนรทู้ ี่คาดหวัง....................................................................................................................
จดุ ประสงค์การเรยี นร้.ู .....................................................................................................................
สาระการเรียนร.ู้ ..............................................................................................................................
กระบวนการเรียนร.ู้ .........................................................................................................................
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 158
กระบวนการวัดผลประเมนิ ผลประกอบด้วยวิธีการและเครื่องมือ.........................................................
เกณฑ์การประเมิน..........................................................................................................................
สือ่ /แหล่งการเรียนร.ู้ ........................................................................................................................
บนั ทึกผลหลงั การสอน....................................................................................................................
ปัญหา/อุปสรรค.............................................................................................................................
แนวทางแก้ไข................................................................................................................................
ใบความรู้เรือ่ ง..............................................................................................................................
แบบประเมินเรือ่ ง........................................ ...............................................................................
ใบงานที่....................................................... ..........................................................................
******************************************************************************
รปู แบบที่ 2 : แผนการจดั การเรียนรู้
แผนที.่ .............. เรือ่ งการสร้างเสริมสมรรถภาพทางกายเพื่อสุขภาพ เวลา 1 ช่วั โมง
ช้นั ………………………………………… จานวนผ้เู รียน……………………………… คน
ผ้เู รียนชาย………..คนผ้เู รียนหญิง…….คน
วันที…่ ……………. เดือน……………………………………………… พ.ศ .……………….
สาระที่ 3การเคลื่อนไหวการออกกาลังกายเกมกีฬาไทยและกีฬาสากล
มาตรฐานพ 3.1เข้าใจมีทกั ษะในการเคลื่อนไหว กิจกรรมทางกาย การเล่นเกมและกีฬา
มาตรฐานพ 3.2รักการออกกาลงั กาย การเล่นเกมและการเลน่ กีฬา ปฏบิ ัติเปน็ ประจาฯ
ตัวชี้วดั (ศึกษาตัวชี้วดั ในหลักสูตรโดยศึกษาตัวชี้วัดให้ตรงระดบั ช้นั และสาระทีเ่ กี่ยวข้อง)
สาระที่ 4 การสรา้ งเสริมสขุ ภาพสมรรถภาพและการปอ้ งกนั โรค
มาตรฐานพ 4.1เหน็ คณุ ค่าและมีทกั ษะในการสร้างเสริมสุขภาพ
ตวั ชีว้ ดั (ศึกษาตวั ชี้วัดในหลักสูตรโดยศึกษาตวั ชี้วัดให้ตรงระดบั ช้นั และสาระที่เกี่ยวข้อง)
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 159
จุดประสงคก์ ารเรียนร:ู้
สาระการเรยี นรู้
สาระสาคัญ
1. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….
2. ……………………………………………………………………………………………………………………………….……………….
สาระยอ่ ย
1. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
2. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
กิจกรรมการเรียนรู้
กิจกรรม วิธีสอน สือ่ /อปุ กรณ์ การวดั และ
ประเมินผล
ข้นั เตรียม (........นาที)
ข้ันอธิบายและสาธิต (…….นาที)
ขั้นฝึกหดั (......นาที)
ขนั้ ใช้ (.......นาที)
ขน้ั สรปุ (......นาที)
---------------------------------------------------
ทีม่ า : http://www.uniqueteachingresources.com/Quotes-About-Teachers.html
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 160
บทที่ 7
การประเมินผลทางพลศึกษา
หลักการประเมินผลตามหลกั สูตรการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน
พุทธศกั ราช 2551
หลักของการวัดและประเมินผลการเรียนร้กู ลุ่มสาระการเรียนรู้
สขุ ศึกษาและพลศึกษา
การให้คะแนนและการตัดสินระดบั คะแนนสาหรบั วิชาพลศึกษา
ทีม่ า : https://myccs.ccs.k12.in.us/teachers/chardwic/explanation
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 161
หลักการประเมินผลตามหลักสตู รการศึกษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551
1. ความหมายของการวดั และการประเมินผล
การวดั ผลและประเมินผลเป็นข้นั ตอนหนึ่งของการจดั การเรียนการสอน ภายหลงั จากที่
โรงเรียนได้ดาเนินการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรแล้ว ก็ต้องมีการวัดผลและประเมินผลว่า
ผู้เรียนได้เรียนตรงตามเป้าหมายหลักสตู รหรือไม่ และการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนมีคุณภาพ
และได้มาตรฐานหรือไม่ ซึ่งมีนกั การศึกษาให้ความหมายของการวดั ผลและประเมินผลไว้ดงั นี้
จิราภรณ์ ศิริทวี (2535) กล่าวถึง การประเมินผล (Evaluation) ว่าหมายถึงกระบวนการ
ตัดสินใจ การวินิจฉัยคุณค่าของสิ่งที่ต้องการวัดอย่างมีหลักเกณฑ์ โดยอาศัยความยุติธรรมเป็นพ้ืนฐาน
ดังนั้น การประเมินจะถูกต้องแน่นอนและแม่นยาเพียงใดขึ้นอยู่กับองค์ประกอบสาคัญ 2 ประการ คือ
ประสิทธิภาพของกระบวนการวัดและความยตุ ิธรรมปราศจากอคติของผ้ปู ระเมิน
สมบูรณ์ ตันยะ (2545) กล่าวว่า การวัดผลการศึกษา หมายถึง กระบวนการในการ
กาหนดหรือหาจานวนปริมาณอันดับ หรือรายละเอียดของคุณลักษณะหรือพฤติกรรม ความสามารถ
ของบุคคลโดยใช้เครื่องมือเป็นหลักในการวัดกระบวนการดังกล่าว จะทาให้ได้ตัวเลขหรือข้อมูล
รายละเอียดต่างๆ ทีใ่ ช้แทนจานวนและลกั ษณะที่เกิดขึ้น
กรรวี บุญชัย (2552) กล่าวว่า การวัด (Measurement) เป็นวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
เพื่อใช้เป็นพ้นื ฐานในการตัดสินใจและการประเมินผล (Evaluation) หมายถึง ขบวนการตัดสินใจซึง่ อาศัย
การวัดเปน็ เครื่องมือตรวจสอบว่าวัตถปุ ระสงค์ที่กาหนดไว้บรรลุหรือไม่
จากความหมายการวัดและประเมินผลที่กล่าวมาข้างต้นพอสรปุ ได้ว่า การวดั ผลน้นั เปน็
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อใช้เป็นพื้นฐานในการตัดสินใจ สาหรับการประเมินผลเป็นขบวนการ
ตัดสินใจ ซึง่ ต้องอาศยั การวัดเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบว่าวตั ถปุ ระสงค์ทีก่ าหนดไว้บรรลุหรือไม่
2. ประโยชนข์ องการวัดและประเมินผล
สาหรับประโยชน์การวัดและการประเมินผล พร้อมพรรณ อุดมสิน(2531) กล่าวถึง
ประโยชน์ไว้ดังน้ี
2.1 ประโยชน์ด้านการเรียนการสอน ได้แก่ ใช้ในการจัดตาแหน่งใช้ในการ
วินิจฉัยใช้ในการประเมินผลเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน ใช้ในการประเมินผลเพื่อเปรียบเทียบและใช้
ในการเพิม่ แรงจงู ใจ
2.2 ประโยชน์ในการแนะแนว
2.3 ประโยชน์ในการบริหาร
2.4 ประโยชน์ในการวิจัย
ส่วนสานักนิเทศและพฒั นามาตรฐานการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ (2544) กล่าวถึง
ประโยชน์การวัดผลประเมินผลน้ัน ใช้เพื่อจัดตาแหน่ง เพื่อการวิจัย เพื่อการประเมินผลการเรียนรู้และ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 162
เพือ่ การทานาย ดงั นั้น ประโยชน์ของการวัดผลและประเมินผลคือ ทาให้ครูทราบคณุ ภาพผ้เู รียนและผล
การประเมินยังสามารถนามาใช้ปรับปรุงวิธีการสอนของครู ปรับปรุงการเรียนของผู้เรียน นอกจากน้ัน
ยังสามารถนามาใช้เป็นข้อมูลในทางการบริหารงานของฝ่ายวิชาการ ดังน้ัน กระบวนการการวัดและ
ประเมินผล จึงเป็นสิ่งที่ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน การประเมินผลเป็นกระบวนการซึ่งใช้การวัด
เป้าหมายของการวดั คือ รวบรวมข้อมลู สาหรับการประเมินผล ดังนั้น การวดั และการประเมินผลจึงเป็น
ส่วนหนึ่งของการจดั การเรียนร้ใู ห้แก่ผ้เู รียนซึง่ ต้องดาเนินการควบคู่กันไป
3. การวัดและการประเมินผลตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศกั ราช
2551
ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2)
พ.ศ. 2545 ได้กล่าวถึงการประเมินผลการเรียนรู้ไว้ในมาตรา 26 ว่าให้สถานศึกษาจัดการประเมิน
ผ้เู รียนโดยพิจารณาจากพฒั นาการของผ้เู รียน ความประพฤติ การสังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วม
กิจกรรม และการทดสอบควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการสอนตามความเหมาะสมของแต่ละระดับ
และรปู แบบการศึกษา (กระทรวงศึกษาธิการ, 2545)
ซึ่งสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน (2551) ได้กล่าวถึงการวัดและ
ประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ว่าเป็น
กระบวนการตรวจสอบผลการเรียนรู้ และพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของผ้เู รียน ตามมาตรฐานการเรียนรู้ /
ตัวชี้วัดของหลักสูตร นาผลไปปรับปรุงพัฒนาการจัดการเรียนรู้และใช้เป็นข้อมูลสาหรับการตัดสินผล
การเรียน สถานศึกษาต้องดาเนินการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างมีคุณภาพและ
ประสิทธิภาพ มีกระบวนการจัดการที่เป็นระบบ และกระบวนการปฏิบัติงานที่มีคุณภาพ เพื่อให้ผลการ
ประเมินถูกต้องตามสภาพความรู้ความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียน และถูกต้องตามหลักการวัดและ
ประเมินผลการเรียนรู้ รวมท้ังสามารถรองรับการประเมินภายในและการประเมินภายนอกตามระบบ
ประกันคณุ ภาพการศึกษาได้
3.1 หลกั การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสตู ร
สถานศึกษาควรกาหนดหลักการวัดและประเมินผลการเรียนร้ไู ว้ดังนี้
3.1.1 สถานศึกษาเป็นผู้รับผิดชอบการวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ของ
ผ้เู รียนโดยเปิดโอกาสให้ผู้ทีเ่ กีย่ วของมีส่วนร่วม
3.1.2 การวัดและการประเมินผลการเรียนร้มู ีจดุ มุ่งหมายเพื่อพฒั นาผ้เู รียนและ
ตดั สินผลการเรียน
3.1.3 ในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้นั้น ต้องสอดคล้องและครอบคลุม
มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัดตามกล่มุ สาระการเรียนร้ทู ี่กาหนดในหลกั สูตรสถานศึกษา และจัดให้มีการ
ประเมินการอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขียนคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ ตลอดจนกิจกรรมพัฒนาผ้เู รียน
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 163
3.1.4 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจัดการ
เรียนการสอน ต้องดาเนินการด้วยเทคนิควิธีการทีห่ ลากหลาย เพือ่ ให้สามารถวดั และประเมินผลผ้เู รียน
ได้อย่างรอบด้าน ท้ังด้านความรู้ ความคิด กระบวนการ พฤติกรรมและเจตคติเหมาะสมกับสิ่งที่
ต้องการวัด ธรรมชาติวิชา และระดับช้ันของผู้เรียน โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเที่ยงตรงยุติธรรม
และเชื่อถือได้
3.1.5 การประเมินผู้เรียน พิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติ
การสังเกตพฤติกรรม การเรียนรู้ การร่วมกิจกรรม และการทดสอบควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการ
สอนตามความเหมาะสมของแต่ละระดับและรูปแบบการศึกษา
3.1.6 เปิดโอกาสให้ผู้เรียนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ตรวจสอบผลการประเมินผล
การเรียนรู้
3.1.7 ให้มีการเทียบโอนผลการเรียนระหว่างสถานศึกษาและระหว่างรูปแบบ
การศึกษาต่างๆ
3.1.8 ให้สถานศึกษาจัดทาเอกสารหลักฐานการศึกษาเพื่อเป็นหลักฐานการ
ประเมินผลการเรียนรู้ รายงานผลการเรียน แสดงวุฒิการศึกษา และรบั รองผลการเรียนของผ้เู รียน
โดยการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 น้ัน ได้กาหนดระดับของการดาเนินงานไว้เป็น 4 ระดับ คือ การวัดและประเมิน
ระดับช้ันเรียน การวัดและประเมินระดับสถานศึกษา การวัดและประเมินระดับเขตพื้นที่การศึกษา และ
การวัดและประเมินระดับชาติ โดยระดบั ที่มีความเกี่ยวข้องกับผู้สอนมากที่สุดและเป็นหัวใจของการวัด
และประเมินผลการเรียนรู้ผ้เู รียน คือ การวดั และประเมินผลระดับช้นั เรียน
3.2 คาทีใ่ ชใ้ นการวัดและประเมินผลการเรียนรู้
สาหรับการสร้างความเข้าใจที่ตรงกันสานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน ได้ให้นิยามศัพท์ของคาต่างๆที่ใช้ในการวัดและ
ประเมินผลการเรียนรู้ไว้ดังนี้ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551)
3.2.1 การวัด (Measurement) หมายถึงการกาหนดตัวเลขให้กับวัตถุสิ่งของ
เหตุการณ์ปรากฏการณ์หรือพฤติกรรมต่างๆของผู้เรียน ซึ่งการจะได้มาซึ่งตัวเลขนั้นอาจต้องใช้
เครื่องมือวดั เพื่อให้ได้ตวั เลขทีส่ ามารถแทนคุณลักษณะต่างๆที่ต้องการวดั
3.2.2 การประเมิน (Assessment) หมายถึงกระบวนการเก็บข้อมูลตีความ
บนั ทึกและใช้ข้อมูลเกี่ยวกับคาตอบของผ้เู รียนทีท่ าในภาระงาน/ ชิ้นงานว่าผ้เู รียนรู้อะไรสามารถทาอะไร
ได้และจะทาต่อไปอย่างไรด้วยวิธีการและเครือ่ งมือทีห่ ลากหลาย
3.2.3 การประเมินค่า/การตัดสิน (Evaluation) หมายถึงการนาเอาข้อมูลต่างๆ
ที่ได้จากการวัดหลายๆ อย่างมาเป็นข้อมูลในการตัดสินผลการเรียน โดยการเปรียบเทียบกับเกณฑ์
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 164
(Criteria) ทีส่ ถานศึกษากาหนดเพื่อประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียนว่า ผู้เรียนมีความเก่งหรืออ่อนเพียงใด
บรรลเุ ป้าหมายทีต่ ้องการมากน้อยเพียงใด ซึ่งคือการสรุปผลการเรียนน้นั เอง
3.2.4 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ในช้ันเรียน (Classroom Assessment)
กระบวนการเก็บรวบรวมวิเคราะห์ตีความบันทึกข้อมูลที่ได้จากการวัดและประเมิน ทั้งที่เป็นทางการ
และไม่เป็นทางการ โดยในการดาเนินการดังกล่าวเกิดขึ้นตลอดระยะเวลาของการจัดการเรียนการสอน
นับต้ังแต่ก่อนการเรียนการสอน ระหว่างการเรียนการสอน และหลงั การเรียนการสอนโดยใช้เครือ่ งมือ
ทีห่ ลากหลายเหมาะสมกับวยั ของผ้เู รียน มีความสอดคล้องและเหมาะสมกบั พฤติกรรมที่ต้องการวดั นา
ผลที่ได้มาตีค่าเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่กาหนดในตัวชี้วัดของมาตรฐานสาระการเรียนรู้ของหลักสูตร
ข้อมูลที่ได้น้ีนาไปใช้ในการให้ข้อมูลย้อนกลับ เกี่ยวกับความก้าวหน้าจุดเด่นจุดที่ต้องปรับปรุงให้แก่
ผู้เรียนการตัดสินผลการเรียนรู้รวบยอดในเรื่อง หรือหน่วยการเรียนรู้หรือในรายวิชาและการวางแผน
ออกแบบการจัดการเรียนการสอนของครู
3.3 ประเภทการวดั และการประเมินผลการเรียนรู้
นอกจากน้ี สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สานักงานคณะกรรมการ
การศึกษาข้ันพื้นฐาน (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) ยังกล่าวถึงประเภทของการวัดและประเมินผล
การเรียนรู้ ซึง่ พอสรปุ รายละเอียดได้ดงั น้ี
3.3.1 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้จาแนกตามข้ันตอนการจัดการ
เรียนการสอนก่อนเรียนระหว่างเรียนและหลังเรียนมี 4 ประเภทซึ่งมีความแตกต่างกันตามบทบาท
จุดมุ่งหมายและวิธีการวดั และประเมินดงั นี้
3.3.1.1 ก า ร ป ร ะ เ มิ น เ พื่ อ จั ด ว า ง ต า แ ห น่ ง (Placement
Assessment) เป็นการประเมินก่อนเริ่มเรียน เพื่อต้องการข้อมูลที่แสดงความพร้อม ความสนใจ ระดับ
ความรู้และทักษะพื้นฐานที่จาเป็นต่อการเรียน เพือ่ ให้ผู้สอนนาไปใช้กาหนดวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้
วางแผนและออกแบบกระบวนการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับผ้เู รียนท้ังรายบคุ คลรายกล่มุ และรายช้นั
เรียน
3.3.1.2 การประเมินเพื่อวินิจฉยั (Diagnostic Assessment) เป็น
การเก็บข้อมูล เพื่อค้นหาว่าผู้เรียนรู้อะไรมาบ้างเกี่ยวกับสิ่งที่จะเรียนสิ่งที่รู้มาก่อนน้ีถูกต้องหรือไม่จึง
เป็นการใช้ในลักษณะประเมินก่อนเรียน นอกจากน้ียังใช้เพื่อหาสาเหตุของปัญหาหรืออุปสรรคต่อการ
เรียนรู้ของผู้เรียนเป็นรายบุคคลที่มักจะเป็นเฉพาะเรื่อง เช่น ปัญหาการออกเสียงไม่ชัดแล้วหาวิธี
ปรับปรุงเพื่อให้ผ้เู รียนสามารถพัฒนาและเรียนรู้ขึ้นต่อไปวิธีการประเมินใช้ได้ท้งั การสงั เกต การ
สอบถามพดู คุย หรือการใช้แบบทดสอบกไ็ ด้
3.3.1.3 การประเมินผลย่อย (Formative Assessment) เป็น
การประเมินเพือ่ พฒั นาการเรียนรู้ (Assessment for learning) ทีด่ าเนินการอย่างต่อเนื่องตลอดการเรียน
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 165
การสอน โดยมิใช่ใช้แต่การทดสอบระหว่างเรียนเป็นระยะๆ อย่างเดียว แต่เป็นการที่ครูเก็บข้อมูลการ
เรียนร้ขู องผ้เู รียนอย่างไม่เป็นทางการด้วย ขณะทีใ่ ห้ผ้เู รียนทาภาระงานตามทีก่ าหนด ครสู ังเกต ซกั ถาม
จดบันทึก แล้ววิเคราะห์ข้อมูลว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้หรือไม่ จะต้องให้ผู้เรียนปรับปรุงอะไรหรือผู้สอน
ปรับปรุงอะไร เพื่อให้เกิดความก้าวหน้าในการเรียนรู้ตามมาตรฐาน/ตัวชี้วัด การประเมินระหว่างเรียน
ดาเนินการได้หลายรูปแบบ เช่น การให้ข้อแนะนา ข้อสังเกตในการนาเสนอผลงาน การพูดคุยระหว่าง
ผ้สู อนกบั ผ้เู รียนเปน็ กล่มุ หรือรายบุคคล การสมั ภาษณ์ ตลอดจนการวิเคราะห์ผลการสอบ เป็นต้น
3.3.1.4 การประเมินสรุปผลการเรียนรู้ (Summative Assessment) มัก
เกิดขึ้นเมื่อจบหน่วยการเรียนรู้ เพื่อตรวจสอบผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตามตัวชี้วัดและยังใช้เป็นข้อมูล
ในการเปรียบเทียบกับการประเมินก่อนเรียน ทาให้ทราบพัฒนาการของผู้เรียน การประเมินสรุปผล
การเรียนรู้ยังเป็นการตรวจสอบผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนตอนปลายปี/ปลายภาคอีกด้วย การประเมิน
สรุปผลการเรียนรู้ใช้วิธีการและเครื่องมือประเมินได้อย่างหลากหลาย โดยปกติมักดาเนินการอย่างเป็น
ทางการมากกว่าการประเมินระหว่างเรียน
3.3.2 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้จาแนกตามวิธีการแปลความหมาย
ผลการเรียนรู้มี 2 ประเภททีแ่ ตกต่างกนั ตามลกั ษณะการแปลผลคะแนนดงั น้ี
3.3.2.1 การวัดและประเมินผลแบบอิงกลุ่ม (Norm-Referenced
Assessment) เป็นการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ เพื่อนาเสนอผลการตัดสินความสามารถหรือ
ผลสมั ฤทธิข์ องผ้เู รียนโดยเปรียบเทียบกันเองภายในกล่มุ หรือในช้นั เรียน
3.3.2.2 การวัดและประเมินผลแบบอิงเกณฑ์ (Criterion-Referenced
Assessment) เป็นการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ เพื่อนาเสนอผลการตัดสินความสามารถหรือ
ผลสัมฤทธิข์ องผ้เู รียนโดยเปรียบเทียบกบั เกณฑ์ที่กาหนดขึ้น
3.4 เกณฑก์ ารวัดและประเมินผลการเรียนรู้และตัดสินผลการเรียน
สาหรับเกณฑ์การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ในส่วนของการตัดสินผลการ
เรียนในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานพุทธศักราช 2551 กาหนดหลักเกณฑ์การวัดและ
ประเมินผลการเรียนรู้ เพื่อตัดสินผลการเรียนของผู้เรียนดังน้ี (สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา,
2551)
3.4.1 ตัดสินผลการเรียนเป็นรายวิชาผู้เรียนต้องมีเวลาเรียนตลอดภาค
เรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของเวลาเรียนท้งั หมดในรายวิชาน้นั ๆ
3.4.2 ผู้เรียนต้องได้รับการประเมินทุกตัวชี้วัดและผ่านตามเกณฑ์ที่
สถานศึกษากาหนด
3.4.3 ผ้เู รียนต้องได้รับการตดั สินผลการเรียนทุกรายวิชา
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 166
3.4.4 ผู้เรียนต้องได้รับการประเมินและมีผลการประเมินในระดับผ่าน
ตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากาหนดในการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนคุณลักษณะอันพึงประสงค์และ
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ ผู้สอนต้องตรวจสอบความรู้
ความสามารถที่แสดงพัฒนาการของผู้เรียนอย่างสม่าเสมอและต่อเนื่อง อีกท้ังต้องสร้างให้ผู้เรียน
รับผิดชอบการเรียนรู้ของตนด้วยการตรวจสอบความก้าวหน้าในการเรียนของตนเองอย่างสม่าเสมอ
เช่นกนั
ตัวชี้วัดซึ่งมีความสาคัญในการนามาใช้ออกแบบหน่วยการเรียนรู้น้ัน ยังเป็นแนวทาง
สาหรับผู้สอนและผู้เรียนใช้ในการตรวจสอบย้อนกลับว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้หรือยังการประเมินใน
ช้นั เรียน ซึ่งต้องอาศยั ทั้งการประเมินผลย่อยเพือ่ การพฒั นาและการประเมินผลรวมเพือ่ สรุปการเรียนรู้
จะเป็นเครือ่ งมือสาคัญในการตรวจสอบความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของผู้เรียน สถานศึกษาโดยผู้สอน
กาหนดเกณฑ์ที่ยอมรับได้ในการผ่านตัวชี้วัดทุกตัวให้เหมาะสมกับบริบทของสถานศึกษา กล่าวคือ ให้
ท้าทายการเรียนรู้ ไม่ยากหรือง่ายเกินไป เพือ่ ใช้เปน็ เกณฑ์ในการประเมินว่า สิ่งทีผ่ ู้เรียนร้เู ข้าใจทาได้น้ัน
เป็นที่น่าพอใจบรรลุตามเกณฑ์ที่ยอมรับได้ หากยังไม่บรรลุจะต้องหาวิธีการช่วยเหลือเพื่อให้ผู้เรียน
ได้รับการพัฒนาสูงสดุ การกาหนดเกณฑ์น้ี ผ้สู อนสามารถให้ผู้เรียนรวมกาหนดด้วยได้เพือ่ ให้เกิดความ
รับผิดชอบร่วมกันและสร้างแรงจูงใจในการเรียน การประเมินเพื่อการพัฒนาส่วนมากเป็นการประเมิน
อย่างไม่เป็นทางการ เช่น สังเกตหรือซกั ถามหรือการทดสอบย่อย ในการประเมินเพื่อการพัฒนาน้ี ควร
ให้ผู้เรียนได้รบั การพฒั นาจนผ่านเกณฑ์ที่ยอมรับได้ ผู้เรียนแต่ละคนอาจใช้เวลาเรียนและวิธีการเรียนที่
แตกต่างกัน ฉะนั้น ผู้สอนควรนาข้อมูลที่ได้มาใช้ปรับวิธีการสอน เพื่อให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาเต็ม
ศักยภาพ อันจะนาไปสู่การบรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ในท้ายที่สุดอย่างมีคุณภาพ การประเมินเพื่อการ
พัฒนาจึงไม่จาเป็นต้องตัดสินให้คะแนนเสมอไป การตัดสินให้คะแนนหรือให้เป็นระดับคุณภาพ ควร
ดาเนินการโดยใช้การประเมินสรปุ ผลรวม เมือ่ จบหน่วยการเรียนรู้และจบรายวิชาเท่านั้น(สานักวิชาการ
และมาตรฐานการศึกษา, 2551)
3.5 องค์ประกอบของการวดั และประเมินผลการเรียนรตู้ ามหลักสตู ร
ในการตัดสินผลการเรียนตดั สินเป็นรายวิชา โดยใช้ผลการประเมินระหว่างภาค
และปลายภาคตามสัดส่วนที่สถานศึกษากาหนด ทุกรายวิชาต้องได้รับการตัดสินและให้ระดับผลการ
เรียน ท้ังน้ี ผู้เรียนต้องผ่านทุกรายวิชาพื้นฐานโดยองค์ประกอบของการวัดและประเมินผลการเรียนรู้
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ของสานักวิชาการและมาตรฐาน
การศึกษาสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐานกระทรวงศึกษาธิการ (2551) ประกอบการวัด
และการประเมินในองค์ประกอบต่อไปน้ี
3.5.1 การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ ผ้สู อนวดั และ
ประเมินผลการเรียนรู้ผู้เรียน เป็นรายวิชาตามตัวชี้วัดในรายวิชาพื้นฐานและตามผลการเรียนรู้ใน
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 167
รายวิชาเพิ่มเติมตามทีก่ าหนดในหน่วยการเรียนรู้ ผู้สอนใช้วิธีการที่หลากหลายจากแหล่งข้อมูลหลายๆ
แหล่งเพื่อให้ได้ผลการประเมินที่สะท้อนความรู้ความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียน โดยวัดและประเมิน
การเรียนร้อู ย่างต่อเนื่องไปพร้อมกบั การจัดการเรียนการสอน โดยสงั เกตพัฒนาการและความประพฤติ
ของผู้เรียน สังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรมผู้สอน ควรเน้นการประเมินตามสภาพจริง เช่น
การประเมินการปฏิบัติงาน การประเมินจากโครงงาน หรือการประเมินจากแฟ้มสะสมงาน ควบค่ไู ปกับ
การใช้การทดสอบแบบต่างๆ อย่างสมดลุ ต้องให้ความสาคัญกับการประเมินระหว่างเรียนมากกว่าการ
ประเมินปลายปี/ปลายภาค และใช้เป็นข้อมูลเพื่อประเมินการเลื่อนช้ันเรียนและการจบการศึกษาระดับ
ต่างๆ
3.5.2 การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และการเขียน ซึ่งเป็นการประเมิน
ศักยภาพของผู้เรียนในการอ่านหนังสือ เอกสารและสื่อต่างๆ เพื่อหาความรู้เพิ่มพูนประสบการณ์เพื่อ
ความสุนทรีย์และประยุกต์ใช้ แล้วนาเน้ือหาสาระที่อ่านมาคิดวิเคราะห์นาไปสู่การแสดงความคิดเห็น
การสงั เคราะห์ สร้างสรรค์การแก้ปัญหาในเรื่องต่างๆและถ่ายทอดความคิดนั้นด้วยการเขียนทีม่ ีสานวน
ภาษาถูกต้อง มีเหตุผลและลาดับข้ันตอนในการนาเสนอ สร้างความเข้าใจแก่ผู้อ่านได้อย่างชัดเจนตาม
ระดับความสามารถในแต่ละระดบั ช้นั การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และการเขียน สถานศึกษาต้อง
ดาเนินการอย่างต่อเนื่องและสรุปผลเป็นรายปี/รายภาค เพื่อวินิจฉัยและใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนา
ผ้เู รียนและประเมินการเลื่อนช้นั เรียน ตลอดจนการจบการศึกษาระดับต่างๆ
3.5.3 การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เป็นการประเมินคุณลักษณะที่
ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนอันเป็นคุณลักษณะที่สังคมต้องการในด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม
จิตสานึก สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุขท้ังในฐานะพลเมืองไทยและพลโลก
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานพุทธศักราช 2551 กาหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 8
คุณลักษณะในการประเมินให้ประเมินแต่ละคุณลักษณะแล้วรวบรวมผลการประเมินจากผู้ประเมินทุก
ฝ่ายและแหล่งข้อมูลหลายแหล่ง เพื่อให้ได้ข้อมูลนามาสู่การสรุปผลเป็นรายปี/รายภาค และใช้เป็น
ข้อมลู เพื่อประเมินการเลื่อนช้นั เรียนและการจบการศึกษาระดับต่างๆ
3.5.4 การประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เป็นการประเมินการปฏิบัติกิจกรรม
และผลงานของผู้เรียนและเวลาในการเข้าร่วมกิจกรรมตามเกณฑ์ที่กาหนดไว้ในแต่ละกิจกรรมและใช้
เป็นข้อมลู ประเมินการเลื่อนช้นั เรียนและการจบการศึกษาระดับต่างๆ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้
ของผู้เรียนต้องอยู่บนหลักการพื้นฐานสองประการ คือ การประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียน และเพื่อตัดสิน
ผลการเรียนในการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผ้เู รียนให้ประสบผลสาเร็จนั้น ผ้เู รียนจะต้องได้รับการ
พัฒนาและประเมินตามตัวชี้วัด เพื่อให้บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ สะท้อนสมรรถนะสาคัญและ
คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ในทุก
ระดับการวัดและประเมินผลการเรียนรู้เป็นกระบวนการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโดยใช้ผลการประเมิน
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 168
เป็นข้อมูลและสารสนเทศที่แสดงพัฒนาการความก้าวหน้าและความสาเร็จ ทางการเรียนของผู้เรียน
ตลอดจนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาและเรียนรู้อย่างเต็มตาม
ศกั ยภาพ
3.6 การวดั และประเมินผลการเรียนรูใ้ นระดับชนั้ เรียนและระดับสถานศึกษา
ดังที่กล่าวมาแล้ว การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551แบ่งออกเป็น 4 ระดับได้แก่ ระดับช้ันเรียน ระดับสถานศึกษา
ระดับเขตพื้นที่การศึกษา และระดับชาติ โดยในที่น้ีจะกล่าวเฉพาะการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ใน
ระดับช้ันเรียนและระดับสถานศึกษา ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสาคัญและมีความเกี่ยวข้องกับครูผู้สอนมาก
ทีส่ ุด พอสรปุ รายละเอียดได้ดังน้ี
3.6.1 การประเมินระดับช้ันเรียน เป็นการวัดและประเมินผลที่อยู่ใน
กระบวนการจัดการเรียนรู้ ผู้สอนดาเนินการเป็นปกติและสม่าเสมอในการจัดการเรียนการสอนใช้
เทคนิคการประเมินอย่างหลากหลาย เช่น การซักถาม การสังเกต การตรวจการบ้าน การประเมิน
โครงงานการประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน แฟ้มสะสมงาน การใช้แบบทดสอบฯลฯ โดยผ้สู อนเป็นผ้ปู ระเมิน
เองหรือเปิดโอกาสให้ผู้เรียนประเมินตนเอง เพื่อนประเมินเพื่อน ผู้ปกครองร่วมประเมิน ในกรณีที่ไม่
ผ่านตัวชี้วัดให้มีการสอนซ่อมเสริมการประเมินระดับช้ันเรียน เป็นการตรวจสอบว่าผู้เรียนมีพัฒนาการ
ความก้าวหน้าในการเรียนรู้ อันเป็นผลมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนหรือไม่ และมากน้อย
เพียงใด มีสิ่งที่จะต้องได้รับการพัฒนาปรับปรุงและส่งเสริมในด้านใด นอกจากน้ียังเป็นข้อมูลให้ผู้สอน
ใช้ปรบั ปรุงการเรียนการสอนของตนด้วย ทั้งน้ี โดยสอดคล้องกบั มาตรฐานการเรียนร้แู ละตัวช้ีวดั
3.6.2 การประเมินระดับสถานศึกษาเป็นการประเมินที่สถานศึกษา
ดาเนินการเพื่อตัดสินผลการเรียนของผู้เรียนเป็นรายปี/รายภาค ผลการประเมิน การอ่าน คิดวิเคราะห์
และเขียนคุณลักษณะอันพึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน นอกจากน้ี เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับ
การจัดการศึกษาของสถานศึกษาว่า ส่งผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนตามเป้าหมายหรือไม่ ผู้เรียนมีจุด
พัฒนาในด้านใด รวมทั้งสามารถนาผลการเรียนของผู้เรียนในสถานศึกษาเปรียบเทียบกับเกณฑ์
ระดับชาติ ผลการประเมินระดับสถานศึกษา จะเป็นข้อมูลและสารสนเทศเพื่อการปรับปรุงนโยบาย
หลักสูตร โครงการหรือวิธีการจัดการเรียนการสอน ตลอดจนเพื่อการจัดทาแผนพัฒนาคุณภาพ
การศึกษาของสถานศึกษาตามแนวทางการประกันคุณภาพการศึกษาและการรายงานผลการจัด
การศึกษาต่อคณะกรรมการสถานศึกษา สานักงานเขตพื้นที่การศึกษา สานักงานคณะกรรมการ
การศึกษาข้นั พื้นฐาน ผ้ปู กครองและชมุ ชน
ข้อมูลการประเมินในระดับต่างๆ ข้างต้น เป็นประโยชน์ต่อสถานศึกษาในการ
ตรวจสอบ ทบทวน พัฒนาคุณภาพผู้เรียน ซึ่งถือเป็นภาระความรับผิดชอบของสถานศึกษาที่จะต้อง
จัดระบบดูแลช่วยเหลือ ปรับปรุง แก้ไข ส่งเสริม สนับสนุนเพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพบน
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 169
พื้นฐานความแตกต่างระหว่างบุคคลที่จาแนกตามสภาพปัญหาและความต้องการ ได้แก่ กลุ่มผู้เรียน
ท่ัวไป กลุ่มผู้เรียนที่มีความสามารถพิเศษ กลุ่มผู้เรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่า กลุ่มผู้เรียนที่มี
ปัญหาด้านวินัยและพฤติกรรม กลุ่มผู้เรียนที่ปฏิเสธโรงเรียน กลุ่มผู้เรียนที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจและ
สงั คมกล่มุ พิการทางร่างกายและสติปัญญา เปน็ ต้น ข้อมูลจากการประเมินจึงเปน็ หวั ใจของสถานศึกษา
ในการดาเนินการช่วยเหลือผู้เรียนได้ทันท่วงทีเป็นโอกาสให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาและประสบ
ความสาเร็จในการเรียนสถานศึกษาในฐานะผู้รับผิดชอบจัดการศึกษา จะต้องจัดทาระเบียบว่าด้วยการ
วัดและประเมินผลการเรียนของสถานศึกษาให้สอดคล้องและเป็นไปตามหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติที่
เปน็ ข้อกาหนดของหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน เพือ่ ให้บุคลากรทีเ่ กี่ยวข้องทุกฝ่ายถือปฏิบัติ
ร่วมกัน
3.7 การตดั สินและรายงานผลการเรียน และเกณฑ์การจบการศึกษา
3.7.1 การตดั สินและรายงานผลการเรียน
สาหรับเกณฑ์การวัดและประเมินผลการเรียนการตัดสินการให้ระดับและการ
รายงานผลการเรียนนั้นมีรายละเอียดพอสรปุ ได้ดังนี้
3.7.1.1 การตัดสินผลการเรียน ในการตัดสินผลการเรียนของกลุ่ม
สาระการเรียนรู้ การอ่าน คิดวิเคราะห์และการเขียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์และกิจกรรมพัฒนา
ผู้เรียนน้ัน ผู้สอนต้องคานึงถึงการพัฒนาผู้เรียนแต่ละคนเป็นหลักและต้องเก็บข้อมูลของผู้เรียนทุกด้าน
อย่างสม่าเสมอและต่อเนื่องในแต่ละภาคเรียน รวมท้ังสอนซ่อมเสริมผู้เรียนให้พัฒนาจนเต็มตาม
ศักยภาพ
3.7.1.2 การให้ระดับผลการเรียนในการตัดสินเพื่อให้ระดับผลการ
เรียนรายวิชาให้ใช้ตัวเลขแสดงระดับผลการเรียนเปน็ 8 ระดบั หรือระดับคณุ ภาพการปฏิบัติของผู้เรียน
เป็นระบบตัวเลข ตัวอักษร ระบบร้อยละ และระบบที่ใช้คาสาคัญที่สะท้อนมาตรฐานการประเมินการ
อ่าน คิดวิเคราะห์และการเขียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์น้ัน ให้ระดับผลการประเมินเป็นดีเยี่ยม
ดีและผ่านการประเมิน กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนจะต้องพิจารณาทั้งเวลาการเข้าร่วมกิจกรรม การปฏิบัติ
กิจกรรม และผลงานของผู้เรียนตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากาหนด และให้ผลการเข้าร่วมกิจกรรมเป็น
ผ่านและไม่ผ่านการประเมิน
3.7.1.3 การรายงานผลการเรียน ถือเป็นการสื่อสารให้ผู้ปกครองและ
ผู้เรียนทราบความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของผู้เรียน ซึ่งสถานศึกษาต้องสรุปผลการประเมินและจัดทา
เอกสารรายงานให้ผู้ปกครองทราบเป็นระยะๆ หรืออย่างน้อยภาคเรียนละ 1 คร้ัง การรายงานผลการ
เรียนสามารถรายงานเป็นระดบั คุณภาพการปฏิบัติของผู้เรียน ที่สะท้อนมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระ
การเรียนรู้
3.7.2 เกณฑก์ ารจบการศึกษา
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 170
สาหรับเกณฑ์การจบการศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 นั้น ได้กาหนดเกณฑ์กลางสาหรับการจบการศึกษาเป็น 3 ระดับคือระดับ
ประถมศึกษา ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น และระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย รายละเอียดดงั น้ี
3.7.2.1 ผ้เู รียนเรียนรายวิชาพื้นฐานและรายวิชา/กิจกรรมเพิ่มเติม ตาม
โครงสร้างเวลาเรียนที่หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐานกาหนด
3.7.2.2 ผู้เรียนต้องมีผลการประเมินรายวิชาพื้นฐานผ่านเกณฑ์การ
ประเมินตามทีส่ ถานศึกษากาหนด
3.7.2.3 ผู้เรียนมีผลการประเมินการอ่านคิดวิเคราะห์และเขียนใน
ระดบั ผ่านเกณฑ์การประเมินตามทีส่ ถานศึกษากาหนด
3.7.2.4 ผู้เรียนมีผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ในระดับ
ผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่สถานศึกษากาหนด
3.7.2.5 ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและมีผลการประเมิน
ผ่านเกณฑ์การประเมินตามทีส่ ถานศึกษากาหนด
สาหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น การศึกษาเฉพาะทางการศึกษาสาหรับผู้มี
ความสามารถพิเศษ การศึกษาทางเลือก การศึกษาสาหรับผู้ด้อยโอกาส การศึกษาตามอัธยาศัยน้ัน
เกณฑ์การจบการศึกษาให้คณะกรรมการของสถานศึกษาเขตพื้นที่การศึกษาและผู้ที่เกี่ยวข้อง
ดาเนินการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักเกณฑ์ในแนวปฏิบัติการวัดและประเมินผลการเรียนรู้
ของหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐานสาหรบั กล่มุ เป้าหมายเฉพาะ
หลกั ของการวดั และประเมินผลการเรียนรู้กล่มุ สาระการเรียนรสู้ ขุ ศึกษาและพลศึกษา
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (2545) ได้กล่าวว่า การวัดและประเมินผลการเรียนรู้น้ัน ถือเป็น
ส่วนหนึ่งของการจัดการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน ซึ่งต้องดาเนินการควบคู่กันไปการบูรณาการการวัดและ
การประเมินผลกับการจัดการเรียนรู้ จึงจะส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนหลายประการ อาทิเช่น
ได้ข้อมูลย้อนกลับที่จะช่วยติดตามกากับดูแลความก้าวหน้าของผู้เรียน นาผลมาปรับแนวทางการจัด
กิจกรรมให้สอดคล้องกับสภาพผู้เรียน ช่วยให้ผู้เรียนตระหนักในความสามารถและพัฒนาการเรียนรู้
ของตนเองอย่างต่อเนื่องและมีคุณภาพ สามารถค้นพบความรู้ใหม่และคิดแก้ปัญหาด้วยตนเองได้และ
ตามทีพ่ ระราชบัญญตั ิการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ. 2545 มาตรา 26
กาหนดชัดเจนให้สถานศึกษาจัดการประเมินผู้เรียนโดยพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความ
ประพฤติ การสังเกตพฤติกรรม การเรียน การร่วมกิจกรรมและการทดสอบควบคู่ไปกับกระบวนการ
เรียนการสอนตามความเหมาะสมของแต่ละระดบั และรปู แบบการศึกษา
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 171
ดงั น้ันในการจัดการเรียนการสอน จนถึงการตดั สินผลการเรียนของผ้เู รียน ผ้สู อนจะต้องวดั และ
ประเมินผลการเรียนรู้ของผ้เู รียน ด้วยการเก็บรวบรวมข้อมลู ที่เกีย่ วกับผ้เู รียนจากหลายๆ ด้านก่อนทีจ่ ะ
ตัดสินใจให้ระดับผลการเรียน ด้วยการวัดและประเมินผลการเรียนรู้เป็นกระบวนการพัฒนาคุณภาพ
ผ้เู รียนโดยใช้ผลการประเมินเป็นข้อมูลและสารสนเทศที่แสดงพัฒนาการความก้าวหน้าและความสาเร็จ
ทางการเรียนของผู้เรียน ตลอดจนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาและ
เรียนรู้อย่างเต็มตามศักยภาพ ดังนั้น เพื่อให้การวัดและประเมินผลการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้
สุขศึกษาและพลศึกษาสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติและหลักสูตรแกนกลางฯ การ
วัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนในวิชาพลศึกษา จึงต้องอยู่บนหลักการพื้นฐานสองประการคือ
การประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียนและเพื่อตัดสินผลการเรียน ในการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน
ให้ประสบผลสาเร็จนั้น ผู้เรียนจะต้องได้รับการพัฒนาและประเมินตามตัวชี้วัดเพื่อให้บรรลุตาม
มาตรฐานการเรียนรู้ และสามารถสะท้อนสมรรถนะสาคัญ รวมทั้งคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของ
ผู้เรียน ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ในทุกระดับไม่ว่าจะเป็นระดับช้ันเรียน
ระดบั สถานศึกษาระดับเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาและระดบั ชาติ
1. หลักในการวดั และประเมินผล
โดยหลักการในการดาเนินการวัดและการประเมินผล เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการ
พัฒนาคุณภาพของผู้เรียนสูงสุด และสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติแห่งชาติ พ.ศ.
2542 ที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ. 2545 ครูพลศึกษาจึงควรดาเนินการวัดและประเมินผลโดย
คานึงถึงหลกั การต่อไปน้ี (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, ม.ป.ป.)
1.1 เน้นกระบวนการประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียน (Formative Evaluation) และ
เพื่อการตัดสินผลการเรียน (Summative Evaluation) ครอบคลุมทั้งด้านความรู้ทักษะรวมท้ังคุณธรรม
จริยธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์หรือตามปรชั ญาของวิชา โดยให้ความสาคัญท้งั ด้านความรู้คณุ ธรรม
กระบวนการเรียนร้แู ละการบรู ณาการความรู้ตามความเหมาะสม
1.2 เน้นการนาผลการประเมินมาใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนปรับปรุงการจัด
กิจกรรมการเรียนการสอนของตน และปรับกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนเพื่อความสาเร็จตาม
จดุ หมายของหลักสูตร
1.3 เน้นการประเมินด้วยวิธีการที่หลากหลาย สอดคล้องกับกระบวนการ
เรียนรู้ที่จัดให้ผู้เรียนตามสภาพจริงหรือใกล้เคียงสถานการณ์ที่เป็นจริง (Authentic Learning and
Assessment) สะท้อนความสามารถและการแสดงออกของผ้เู รียน (Student Performance) อย่างชัดเจน
1.4 เน้นการบูรณาการการประเมินผลควบคู่ไปกับการสอนและกระบวนการ
เรียนร้ขู องผ้เู รียนโดยประเมินจากคณุ ภาพของงานและกระบวนการทางานของผ้เู รียน
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 172
1.5 เน้นการให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการกาหนดเกณฑ์การประเมินส่งเสริมให้มี
การประเมินตนเองประเมินโดยเพือ่ นกลุ่มเพื่อนและประเมินโดยผู้มีส่วนเกีย่ วข้อง
ทั้งน้คี รูผ้สู อนพลศึกษาต้องดาเนินการวัดและประเมินผลผ้เู รียน เพือ่ เป็นการตรวจสอบ
ความก้าวหน้าของผู้เรียนในการจัดการเรียนการสอน โดยต้องมีการใช้เทคนิคในเก็บรวบรวมข้อมูลที่
หลากหลาย อาทิเช่น การซักถาม การสังเกต แฟ้มสะสมงาน การใช้แบบทดสอบ เป็นต้น ซึ่งข้อมูลที่
เก็บรวบรวมมา สามารถนามาใช้ในการประเมินผลผู้เรียนให้ได้สอดคล้องตรงตามเจตนารมณ์ของ
หลกั สูตร
2. ลกั ษณะการประเมินทางพลศึกษา
กรรวี บญุ ชยั (2550) ได้แบ่งการประเมินทางพลศึกษาไว้ 2 ลกั ษณะดงั นี้
2.1 การประเมินเชิงปริมาณ (Quantitative Evaluation) เป็นการประเมินที่ทา
การวัดออกมาเป็นจานวนตัวเลข เช่น การวัดความเร็วในการวิ่ง 100 เมตร จะได้เป็นระยะเวลา ซึ่งวัด
ด้วยนาฬิกาจับเวลา การวัดระยะทางในการยืนกระโดดไกล จะได้ผลเป็นระยะทางจากการวัดด้วยเทป
วดั และการทาลุก-น่ัง 1 นาทีจะได้จานวนคร้งั ที่ปฏิบตั ิได้
2.2 การประเมินเชิงคุณภาพ (Qualitative Evaluation) เป็นการประเมินความ
ถูกต้อง ความสวยงามของการปฏิบัติหรือความสามารถในกีฬาชนิดต่างๆ ที่ไม่สามารถประเมินในเชิง
ปริมาณได้ เช่น ยิมนาสติก ลีลากระโดดน้า การเต้นรา กิจกรรมเข้าจังหวะ ดาบสากล หรือท่าทางการ
เหวี่ยงไม้กอล์ฟ ส่วนใหญ่จะเป็นการประเมินด้วยการสังเกตของครูผู้สอน (Subjective Test) ซึ่งจะมีผล
ต่อการให้คะแนน เพราะบางคร้งั การให้คะแนนอาจจะขึ้นอย่กู บั ความพึงพอใจของผ้ใู ห้คะแนนแต่ละคน
3. มาตรฐานการประเมินทางพลศึกษา
สาหรับมาตรฐานของการประเมินน้ัน กรรวี บุญชัย (2552) ได้กล่าวถึงมาตรฐาน
สาหรับการประเมิน (Standard for Evaluation) ซึง่ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ
3.1 มาตรฐานการประเมินแบบอิงเกณฑ์/การอิงบรรทัดฐาน (Criterion
Referenced) เป็นมาตรฐานที่กาหนดไว้ ซึ่งคาดว่าผู้เรียนทุกคนหรือส่วนใหญ่สามารถบรรลุได้ผู้เรียน
บรรลุระดับการปฏิบัติที่ต้องการ ไม่ได้เปรียบเทียบผู้เรียนแต่ละคน ไม่สนใจในการเปรียบเทียบกับคน
อืน่ ๆ แต่เปรียบเทียบกับมาตรฐานหรือเกณฑ์ ในการกาหนดเกณฑ์น้ันจะอาศัยจากเกณฑ์หรือกลุ่มหรือ
จากการพิจารณาของผ้เู ชี่ยวชาญเป็นหลัก
3.2 มาตรฐานการประเมินแบบอิงปกติวิสัย (Norm Referenced) มีการ
เปรียบเทียบคะแนนระหว่างผู้เรียนด้วยกันโดยเป้าประสงค์คือ ต้องการทราบว่าผู้เรียนประสบ
ความสาเร็จมากน้อยแค่ไหน เมื่อตรวจสอบคะแนนของตนเองกับคะแนนของผู้เรียนคนอื่นๆใน
แบบทดสอบเดียวกัน การรายงานผลน้ันบอกได้ว่าผู้เรียนคนน้ันปฏิบัติทักษะดีแค่ไหนเมื่อเปรียบเทียบ
กับผู้เรียนคนอื่นๆ ในเพศเดียวกันกล่มุ อายหุ รือช้นั เรียนเดียวกัน
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 173
ซึ่งในการวัดและการประเมินทางพลศึกษานั้น วาสนา คุณาอภิสิทธิ์ (2541) ได้ให้
ข้อเสนอแนะดงั น้ี
1. การวัดพฒั นาการทางด้านกลไกและสมรรถภาพทางกาย สามารถแบ่งออกได้เปน็
1.1 การตรวจสอบทางการแพทย์ผู้เรียนควรได้รับการตรวจร่างกายจากแพทย์โดยตรง
อย่างน้อยปีละคร้งั
1.2 การวัดสมรรถภาพทางกายเป็นการวัดสมรรถภาพทางกายของผู้เรียนโดยรวมแต่
ไม่ใช่การวัดสมรรถภาพเพื่อการกีฬาเป็นสมรรถภาพเพื่อสุขภาพ (Health Related Fitness) หมายถึง
สถานภาพทางสมรรถภาพ เพื่อแสดงถึงความเป็นผู้มีสุขภาพดีหรือไม่เพียงใดของผู้เรียนแต่ละคน
เพราะผ้เู รียนแต่ละคนจะมีลักษณะเฉพาะของตนเอง
2. การวัดพฒั นาการทางด้านทักษะ
ด้วยการสอนพลศึกษาเป็นเรือ่ งของการสอนทักษะปฏิบัติ เพื่อเป็นการนาทางในการพฒั นาการ
ด้านอื่นๆ ฉะนั้น จึงต้องมีการทดสอบทักษะในกิจกรรมต่างๆแต่ละประเภทโดยแยกออกไปทาการ
ทดสอบตามกลุ่มอายุ ความสามารถ หรือระดับช้ันของผู้เรียน จะทาในลักษณะใดก็ได้พิจารณาตาม
ความเหมาะสมการทดสอบทกั ษะกีฬามีดงั น้ี
2.1 การทดสอบทกั ษะท่ัวๆไปเป็นการทดสอบสมรรถภาพทางกายที่เกี่ยวข้องกับกีฬา
ต่างๆโดยเฉพาะหรือเป็นการทดสอบความสามารถทางกลไกโดยจะทาการวัดความสามารถในการ
เรียน (Motor Educability) และประสิทธิภาพทางกลไก (Motor Efficiency) เป็นต้น
2.2 การทดสอบทักษะกฬี าโดยตรงเปน็ การทดสอบทักษะกีฬาในแตล่ ะประเภทที่ผ้เู รียน
ได้เรียนในหลักสตู รท้ังวิชาบงั คับและวิชาเลือกเช่นฟุตบอลบาสเกตบอลแบดมินตันเป็นต้น
2.3 การทดสอบทักษะด้วยการใช้แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเองถ้าไม่ใช่แบบทดสอบ
มาตรฐานที่มีผู้ทาเอาไว้ หรือว่ากีฬาบางชนิดยังไม่มีใครสร้างขึ้นหรือมีแบบทดสอบแต่ไม่เหมาะสม
ครูผู้สอนสามารถสร้างแบบทดสอบทักษะขึ้นมาเองได้ ทั้งน้ีเพื่อให้เหมาะสมแม่นยา มีความบกพร่อง
น้อยทีส่ ดุ และสอดคล้องกบั สภาพการณ์ในการสอนจริง
‘
2.4 การทดสอบทกั ษะด้วยเทคนิคการวดั ผลแบบอื่นๆ การวดั ทักษะผ้เู รียนนอกจากจะ
กระทาได้ด้วยการปฏิบัติแล้วทักษะบางอย่างที่ยากต่อการวัดให้ตรงตามจุดหมาย ก็อาจใช้วิธีการอื่นๆ
ได้ เช่น การให้คะแนนโดยใช้ตารางประมาณค่า (Rating Scales) การทาแผนภูมิแสดงถึงความก้าวหน้า
ในทักษะของผ้เู รียน
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 174
3. การวัดพัฒนาทางความรแู้ ละเจตคติ
เป็นกระบวนการทดสอบที่ต่างจากการวัดสมรรถภาพทางกายและการวัดทักษะ เพราะมีเรื่อง
ของสติปัญญาและความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้องมากกว่าการเคลื่อนไหวหรือทักษะกลไก ซึ่งควรมีวิธีการ
ดาเนินการดงั นี้
3.1 การวดั ความรู้กีฬาบางชนิดมีแบบทดสอบมาตรฐานโดยเฉพาะอย่แู ล้วแต่ที่ดีที่สุด
ครูควรสร้างขึ้นมาเอง
3.2 การวัดเจตคตินั้นต้องใช้เทคนิคแตกต่างจากการวัดความรู้ เทคนิคการวัดทัศนคติ
ความรู้สึก ความซาบซึ้ง ควรใช้วิธีการ เช่น การตอบคาถามส้ันๆ การให้แสดงทัศนคติ การสารวจโดย
ครู
4. การวัดพัฒนาการทางสงั คมหรือคณุ ลกั ษณะที่พึงประสงค์
พัฒนาการทางสังคมน้ัน เป็นจุดมุ่งหมายของการสอนวิชาพลศึกษาข้อหนึ่งที่สาคัญและ
จาเป็นต้องมีการวดั ผลและประเมินผลผ้เู รียนซึ่งมีรายละเอียดดงั น้ี
4.1 การวัดการปรับตัวเข้ากับสังคมน้ัน อาจทาได้โดยใช้แบบทดสอบที่เป็นมาตรฐาน
อาทิเช่นแบบทดสอบการปรับตวั ของเบล (Bell Adjustment Inventory)
4.2 การวัดเจตคติและความสนใจต่อสังคม เป็นการให้ความร่วมมือกันระหว่างฝ่าย
แนะแนวกบั ครูพลศึกษา เกณฑ์การให้คะแนนผ้เู รียนมาจากการทาแบบทดสอบประเภทต่างๆโดยเฉพาะ
แบบเลือกตอบนั้น จะไม่มีปัญหาในทางปฏิบัติแต่อย่างใด ถ้าหากการจัดสอบกระทาได้อย่างยุติธรรม
และข้อสอบนั้นมีคุณภาพตามหลักวิชา แม้ข้อสอบแบบเลือกตอบที่มีคุณภาพจะสร้างค่อนข้างยาก แต่
การนาไปใช้สะดวกกว่าข้อสอบประเภทอื่นๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อสอบอัตนัย ผู้สอนส่วนใหญ่จึงละเลย
การทดสอบแบบอตั นัยมานาน ทาให้เกิดปัญหาด้านการใช้ภาษา การคิดไม่เป็น การไม่สามารถนาเสนอ
ในการสร้างเครื่องมือประเมินผลการเรียนรู้ด้วยข้อสอบเชิงอัตนยั หรือประเมินจากผลงานการนาเสนอ
ผลงาน จาเป็นต้องมีการกาหนดเกณฑ์การประเมินหรือเกณฑ์การให้คะแนนเกณฑ์ดังกล่าวจะอธิบาย
ระดบั คุณภาพการงาน/ระดับการปฏิบัติของผู้เรียน (สิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนหรือสิ่งที่ผู้เรียนทาได้) ช่วยให้
ผู้เรียนเห็นข้อบกพร่องและพัฒนาตนเองได้ ในขณะที่ผู้สอนก็สามารถปรับปรุงกิจกรรมการเรียนรู้ได้
ตรงกบั สภาพและปัญหาในการเรียนร้ขู องผ้เู รียน
การใหค้ ะแนนและการตัดสินระดบั คะแนน (เกรด) สาหรับวิชาพลศึกษา
1. การให้คะแนน
องค์ประกอบที่จะวัดเพื่อนาผลมาประเมินผลให้คะแนนผู้เรียนในวิชาพลศึกษา นั้น
วรศักดิ์ เพียรชอบ (2548) ได้กล่าวว่า หลักและปรัชญาของการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาน้ันคือ การ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 175
เรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือเล่นกีฬาหรือออกกาลงั กายในกิจกรรมพลศึกษาด้วยตนเองจริงๆ
เมื่อผู้เรียนได้ลงเล่นกีฬาแล้ว ผู้เรียนจะมีการพัฒนาการในพฤติกรรมด้านต่างๆ ควบคู่ไปพร้อมด้วยกัน
คือ ด้านสมรรถภาพทางกาย ด้านความรู้ความเข้าใจ ด้านทักษะการกีฬา ด้านคุณลักษณะอันพึง
ประสงค์การมีน้าใจนกั กีฬา และด้านเจตคติ
ทั้งน้ีผลที่เป็นไปตามหลักการและกระบวนการต่างๆทางพลศึกษาที่ว่าเมื่อผู้เรียนได้ลงมือเล่น
กีฬาจริงๆด้วยตนเองแล้ว จะเกิดสิง่ ดงั ต่อไปน้ีกบั ผ้เู รียน
1. ผ้เู รียนจะมีการออกกาลงั กายทาให้ร่างกายแข็งแรง
2. ผู้เรียนจะมีการใช้ความรู้ความเข้าใจในวิธีการเล่นหลักการของการเล่นกีฬาที่ง่ายๆ
ไปใช้กับการเล่นทาให้มีความเข้าใจดีขึ้น
3. ผู้เรียนจะมีความเคลื่อนไหวส่วนต่างๆของร่างกายทาให้ทีทักษะการเคลื่อนไหวและ
ทักษะในการเล่นกีฬาดีขึ้น
4. ผู้เรียนจะมีการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับกติกาการเล่นการมีน้าใจนักกีฬาทาให้
เป็นคนมีระเบียบวินัยมีน้าใจนกั กีฬามากขึ้นและ
5. ผ้เู รียนจะมีความสนุกสนานในการออกกาลงั กายและเล่นกีฬาทาให้ผ้เู รียนมีความรกั
มีความชอบความสนใจและเห็นคณุ ค่าของการเล่นกีฬามากขึ้น
ดังน้ันในการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาที่ถูกต้องตามหลักการแล้ว ผู้สอนจาเป็นที่จะต้อง
กาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ให้ครอบคลุมพฤติกรรมทุกๆด้าน ประกอบไปด้วย 5 ด้าน คือ ด้าน
ร่างกาย ด้านจิตใจ ด้านอารมณ์ ด้านสติปัญญา และด้านสังคม พลศึกษาสามารถที่จะพัฒนาผู้เรียนได้
ครบทั้ง 5 ด้าน ตามที่ได้กล่าวมาและในทานองเดียวกันเมื่อการเรียนการสอนของครู ได้มีการกาหนด
จุดประสงค์การเรียนรู้ การวัดการประเมินผลเพื่อให้คะแนนผู้เรียนในวิชาพลศึกษาที่ถูกต้อง จึงจาเป็น
จะต้องประเมินจากคะแนนที่ได้จากการวดั ผลตามจดุ ประสงค์การเรียนร้ทู ้งั 5 ด้านดงั กล่าวเช่นเดียวกัน
ด้วยเหตุน้ีองค์ประกอบที่จะต้องนามาพิจารณาในการวัดเพื่อนาผลมาประเมินให้คะแนนผู้เรียน
ในวิชาพลศึกษาจึงประกอบไปด้วย (วรศกั ดิ์ เพียรชอบ, 2548)
1. ดา้ นสมรรถภาพทางกาย
การประเมินสมรรถภาพทางกายที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ เป็นจุดประสงค์สาคัญที่
เกี่ยวกับสมรรถภาพทางกายที่มีผลต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของคนเรา เน้นองค์ประกอบที่
เกี่ยวข้องกับสขุ ภาพ คือ ส่วนประกอบของร่างกาย (Body Composition) หรือสดั ส่วนระหว่าง ความผอม
กับความอ้วน ประสิทธิภาพของระบบไหลเวียนโลหิต ความแข็งแรง ความอดทนของกล้ามเน้ือและ
ความอ่อนตัว ในขณะที่คะแนนจากแบบทดสอบสมรรถภาพที่เกี่ยวข้องกบั กีฬา จะขึ้นอยู่กับ พันธุกรรม
ยากที่จะพัฒนาผู้เรียนเกือบทุกคน สามารถพัฒนาคะแนนองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพได้ด้วย
โปรแกรมการเสริมสร้างที่เปน็ ระบบและด้วยแรงจงู ใจทีเ่ หมาะสม
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 176
2. ด้านความรู้และความเข้าใจหลักการและวิธีการในวิชาพลศึกษาเบื้องต้นที่
งา่ ยๆ
การประเมินด้านความรู้ ซึ่งถือเป็นกระบวนการได้มาและการใช้ความรู้ เช่น การคิด
การจาได้ การระลึกได้ การสร้างสรรค์และความเข้าใจ การจาแนกจุดประสงค์ในด้านน้ีโดยทั่วไปจะใช้
การจาแนกจุดประสงค์ทางการศึกษาของ Bloom ระดับต่างๆของจุดประสงค์เป็นการเรียงลาดับ
กระบวนการด้านความรู้จากต่าไปหาสูงระดับต่างๆ ที่จัดเรียงลาดับเหล่าน้ี สามารถจัดให้ตรงกันกับ
ความสามารถด้านความรู้ของผู้เรียนในช่วงต่างๆ ของการพัฒนา เพื่อที่จะจัดกิจกรรมด้านความรู้ให้ได้
อย่างเหมาะสมและกาหนดจุดประสงค์ที่เป็นไปได้จริง การพัฒนาเทคนิคที่จะใช้วัดและประเมินผลด้าน
ความรู้ที่เหมาะสม ควรจะมีการสอนถึงความรู้เกี่ยวกับกติกา กลวิธี เทคนิค กระบวนการ ความ
ปลอดภัย อปุ กรณ์ และแนวความคิดที่เป็นพื้นฐานของการเคลื่อนไหวและสมรรถภาพในโปรแกรมการ
สอนน้ัน การใช้กระบวนการต่างๆ ที่เที่ยงตรงและเชื่อได้ช่วยให้เรารู้ได้ว่า ผ้เู รียนบรรลุวตั ถปุ ระสงค์ด้าน
ความรู้หรือไม่
3. ดา้ นทกั ษะการเคลื่อนไหวและการกีฬาเบือ้ งต้น
ทักษะเป็นจุดประสงค์ที่เป็นรูปแบบการเคลื่อนไหวพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับทักษะและ
ทักษะเฉพาะอย่างที่จาเป็นในกีฬาชนิดหนึ่งๆ องค์ประกอบของสมรรถภาพที่เกี่ยวข้องกับทักษะ
ประกอบด้วยการทรงตัว ความเร็ว ความคล่องแคล่วว่องไว การประสานสมั พันธ์ และพลงั ที่เกีย่ วเนื่อง
เกี่ยวกับการเล่นกีฬา จุดประสงค์ด้านทักษะนอกจากจะเป็นลักษณะต่างๆที่วัดได้ด้วยแบบทดสอบ
ความสามารถทางกลไกแล้ว ยังมีแบบทดสอบอีกจานวนมากที่ใช้ในการวัดทักษะสาหรับกีฬาชนิดใด
ชนิดหนึ่งอีกด้วย เราสามารถวัดความสามารถในการยิงลูกโทษในกีฬาบาสเกตบอล การพัทลูกกอล์ฟ
หรือการเสิร์ฟเทนนิสได้ถกู ต้องแม่นยา
4. ดา้ นคุณลักษณะอนั พึงประสงค์
ด้านคุณลักษณะตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน ซึ่งได้กาหนด
คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ของผ้เู รียนไว้ 8 ข้อ ดังต่อไปนี้
1. รกั ชาติศาสน์กษัตริย์
2. ซื่อสัตย์สุจริต
3. มีวินัย
4. ใฝ่เรียนรู้
5. อย่อู ย่างพอเพียง
6. มุ่งมั่นในการทางาน
7. รกั ความเป็นไทย และ
8. มีจิตสาธารณะ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 177
5. ด้านเจตคติที่เกี่ยวกับการเห็นความสาคัญและคุณค่าของกีฬาและการออก
กาลงั กาย
จุดประสงค์ด้านเจตคติ เป็นการพัฒนาทักษะด้านอารมณ์และสงั คมการมีน้าใจนกั กีฬา
ความร่วมมือ อัตมโนทัศน์และเจตคติที่ดีต่อกิจกรรมทางกาย การประเมินทางด้านเจตคติ สามารถทา
ได้ด้วยเครื่องมือการวัดผลต่างๆ เช่น แบบสารวจเจตคติ แบบสารวจสังคมมติ มาตราวัดอัตมโนทัศน์
และการวัดค่านิยม การให้น้าหนักคะแนนขององค์ประกอบที่จะวัดในแต่ละด้าน เพื่อนาผลมาประเมินก็
เช่นเดียวกัน ควรจะให้เปน็ ไปตามหลักการทีว่ ่า การเรียนการสอนวิชาพลศึกษาทีถ่ ูกต้องตามหลกั การที่
แท้จริงนั้นคือ การเรียนการสอนที่ช่วยผู้เรียนได้เป็นคนที่สมบูรณ์ตามพระราชบัญญัติการศึกษา 2542
โดยให้การพฒั นาการในทุกๆ ด้านครบท้งั 5 ด้าน และในขณะเดียวกันพฤติกรรมในด้านต่างๆแต่ละด้าน
เหล่าน้ีล้วนเป็นพฤติกรรมที่มีความจาเป็นและสาคัญต่อความสมดุลขององค์รวมของมนุษย์หรือของ
ผู้เรียนท้ังสิ้น การขาดตกบกพร่องของพฤติกรรมหนึ่งพฤติกรรมใดน้ันย่อมจะทาให้มีผลสะท้อนถึง
พฤติกรรมอื่นๆด้วยและท้ายที่สุดก็จะทาให้มีผลกระทบกระเทือนต่อความสมดุลของมนุษย์หรือผู้เรียน
โดยส่วนรวมด้วย
จากหลักการที่กล่าวมาน้ี วรศักดิ์ เพียรชอบ (2548) กล่าวว่า การกาหนดน้าหนักของ
คะแนนขององค์ประกอบท้ัง 5 ด้านน้ัน ควรจะกาหนดน้าหนักคะแนนในแต่ละด้านเท่าๆกันเหมือนๆกัน
เช่น สมมติว่า ถ้ามีคะแนนเต็มทั้งหมด 100 คะแนนในการวัดผลเพื่อนามาประเมินเพื่อให้คะแนนผู้เรียน
น้ันก็ควรจะให้น้าหนักคะแนนในแต่ละด้านตามที่ได้กล่าวมาแล้วด้านละ 20 คะแนนเท่าๆกัน นอกจากน้ี
ในการประเมินผลที่ได้จากการวัดท้ังในระหว่างภาคเรียนและในปลายภาคเรียน หลักการของการเรียน
การสอนวิชาพลศึกษาที่สาคัญก็คือ เป็นการเรียนการสอนที่ต้องการให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการเล่น
กีฬาและได้ออกกาลังกายจริงๆ ด้วยตนเองเป็นประจาทุกวันหรือทุกครั้งที่มีการเรียนการสอนเมื่อ
ผู้เรียนได้ลงเล่นกีฬาหรือออกกาลังกายจริงด้วยตนเองแล้วผู้เรียนจะได้ประโยชน์หรือคุณค่าจากการ
เล่นกีฬาหรือออกกาลงั กายด้วยทุกคร้ังเสมอ โดยเฉพาะถ้าการเล่นกีฬาหรือออกกาลงั กายนั้นเป็นการ
ดาเนินการที่อยู่ภายใต้การเรียนการสอนที่เป็นไปตามหลักการทีด่ ีของครูด้วยแล้ว นอกจากผ้เู รียนจะได้
มีการพัฒนาการในด้านต่างๆ ตามที่กล่าวมาแล้ว ผู้เรียนยังจะได้ออกกาลังกายทาให้ร่างกายแข็งแรง
เป็นการสนองความต้องการของร่างกายอีกทางหนึ่งด้วย เพราะร่างกายของคนเราน้ันมีความต้องการ
การออกกาลังกายเป็นประจาทุกวันดังคากล่าวที่ว่า “ร่างกายต้องการอาหารเป็นประจาฉันใดการ
ออกกาลังกายก็เป็นความต้องการของร่างกายเป็นประจาฉันน้ัน” ดังน้ันการมีส่วนร่วมในการเล่นกีฬา
หรือการออกกาลังกายของผู้เรียนในการเรียนวิชาพลศึกษาบ่อยๆ หรือเป็นประจาทุกวันนั้นจึงเป็นการ
สนองความต้องการของร่างกายของผ้เู รียนอีกทางหนึ่งควบคู่กันไปด้วย (วรศักดิ์ เพียรชอบ, 2548)
ดงั น้ันเพื่อให้การประเมินผลให้คะแนนผู้เรียนได้ถูกต้องและเป็นไปตามหลักการที่กล่าว
มาน้ี จึงได้กาหนดให้มีการประเมินผลเพื่อให้คะแนนผู้เรียน จะต้องเป็นการประเมินจากคะแนนที่วัดได้
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 178
ทั้งในระหว่างภาคเรียนและในปลายภาคเรียนที่ควบคู่กันไปด้วย หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าให้มีการ
ประเมินจากผลที่วัดได้ทั้งจากการวัดแบบ Formative และแบบ Summative ควบคู่กันไปโดยอัตราส่วน
ของน้าหนักของคะแนนระหว่างภาคเรียนและปลายภาคเรียนนั้น จากที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการได้
ให้นโยบายไว้ว่าในวิชาพลศึกษาน้ัน โรงเรียนควรกาหนดอัตราส่วนคะแนนระหว่างภาคเรียนและคะแนน
ในปลายภาคเรียนเป็นร้อยละ 80 : 20 หรือ 70 : 30 โดยคะแนนในระหว่างภาคเรียนร้อยละ 80 หรือ
ร้อยละ 70 นั้นก็จะเป็นคะแนนที่ได้จากการวัดตามจุดประสงค์การเรียนรู้ท้ัง 5 ด้านเปน็ รายย่อยหลายๆ
คร้ังหรืออาจเป็นคะแนนที่สะสมได้จากการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนอื่นๆที่เป็นไปตาม
จุดประสงค์การเรียนรู้ในแต่ละด้านหรือหลายๆ ด้านรวมกันตลอดภาคเรียนก็ได้ส่วนคะแนนปลายภาค
เรียนน้ันมักจะถือเอาคะแนนการสอบคร้ังสุดท้ายในปลายภาคเรียนทั้ง 5 ด้านๆ ละเท่ากันเช่นเดียวกัน
ดังนั้นคะแนนที่จะนาไปประเมินเพื่อให้คะแนนท้ังเป็นคะแนนระหว่างภาคเรียนและปลายภาคเรียนจึง
เปน็ คะแนนทีไ่ ด้มาจากน้าหนักคะแนนที่ได้จากการวดั ท้งั 5 ด้านๆละเท่าๆกนั (จฑุ ามาศ สิงห์นรา, 2556)
ดังที่กล่าวมา หลักในการประเมินผลเพื่อให้คะแนนผู้เรียนในวิชาพลศึกษา ควรเป็นไป
ตามหลักการของการพลศึกษา คือ มีความยุติธรรมและเป็นประโยชน์แก่ผู้เรียนในแง่ของการศึกษา
อย่างแท้จริง ซึง่ การประเมินผลนั้นควรมีการพิจารณาโดยอาศัยหลักการดงั ต่อไปนี้ (วรศักดิ์ เพียรชอบ,
2548)
1. คะแนนทีใ่ ห้ผู้เรียนน้นั จะต้องมีความแม่นตรง มีความเชื่อถือได้ มีความเปน็ ปรนัยโดย
สามารถบอกถึงการพัฒนาการตามจุดประสงค์การเรียนรู้ในทุกๆ ด้านตามที่ครไู ด้วางไว้เปน็ แนวทางใน
การเรียนการสอนอย่างแท้จริง
2. คะแนนที่ให้ผู้เรียนนั้นจะต้องเป็นคะแนนที่มีความเป็นไปได้และสอดคล้องกับการ
พัฒนาการตามจุดประสงค์การเรียนรู้ในวิชาพลศึกษามิฉะนั้นแล้วคะแนนที่ให้นั้นจะไม่มีความเกี่ยวข้อง
หรือมีความหมายต่อผ้เู รียนแม้แต่น้อย
3. น้าหนักของคะแนนที่ถูกกาหนดให้ในแต่ละด้านน้ัน ควรจะมีความหมายและมี
สามารถที่จะอธิบายให้ผู้เรียนและผู้ปกครองมีความเข้าใจในเหตุและผลของการกาหนดน้าหนักคะแนน
ในแต่ละด้านน้นั ๆ
4. การให้คะแนนน้ันแม้จะเป็นการประเมินผลเพื่อให้คะแนนด้วยการอิงกลุ่ม (Norm -
Referenced Grading) หรือการประเมินผลให้คะแนนด้วยการอิงเกณฑ์ (Criterion-Referenced Grading)
ก็ตามคะแนนน้ัน จะต้องสามารถบอกถึงความแตกต่างระหว่างผู้เรียนที่มีพัฒนาการตามจุดประสงค์
การเรียนร้มู ากและผู้เรียนที่มีพฒั นาการตามจุดประสงค์การเรียนร้นู ้อยได้อย่างชัดเจนด้วยคือ ผ้เู รียนที่
ได้คะแนนสงู ควรจะเป็นผ้เู รียนที่มีพฒั นาการตามจดุ ประสงค์การเรียนร้มู าก ผ้เู รียนที่ได้คะแนนนอ้ ยกว่า
ก็ควรจะเปน็ ผ้ทู ีม่ ีพฒั นาการตามจุดประสงค์การเรียนร้นู ้อยตามด้วย
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 179
5. คะแนนที่ให้ผู้เรียนนั้นควรจะเป็นคะแนนที่ได้จากวิธีการวัดและการประเมินผลที่ได้
จากวิธีการวัดที่มีความประหยัดท้ังในแง่ของค่าใช้จ่ายเวลาบุคลากรและความเป็นไปได้ในสภาพการณ์
จริงของโรงเรียนแต่ละแห่งน้นั ๆด้วย
2. การตดั สินผลการเรียน
วิธีการตัดสินผลการเรียน หรือการทดสอบว่าอยู่ในระดับใด มีหลายวิธีซึ่งจะต้อง
พิจารณาว่าจะใช้แบบใดที่เหมาะสมที่สุด ในการสร้างเกณฑ์ปกติก็เช่นเดียวกัน สามารถนาวิธีการตัด
เกรดแบบต่างๆ มาใช้ได้ ดังที่ บุญส่ง โกสะ (2547) ได้กล่าวไว้ว่าการให้เกรดโดยแบบอิงกลุ่ม (Norm –
Referenced Approach) และการทดสอบแบบอิงกล่มุ มีจุดมุ่งหมายเพือ่ จะจดั ลาดับของผ้เู รียนให้แม่นยา
มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จากคะแนนต่าสุดไปจนถึงคะแนนสูงสุด ระบบน้ีจะใช้โค้งปกติเป็นตัวแทน
ของการ แจกแจงข้อมูล โดยพื้นที่ใต้โค้งทั้งหมด คือ 100 เปอร์เซ็นต์ การให้เกรดวิธีน้ีสามารถทาได้
หลายวิธี (Hastad and Lacy, 1998) รายละเอียดดงั น้ี
1. การให้เกรดโดยใช้เคิร์ฟ (Curve Grading) การให้เกรดวิธีน้ีจะต้ังอยู่บนพื้นฐานของ
ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ของคะแนนในกลุ่ม โดยมีข้ันตอน
ดาเนินการคือ
-ข้ันที่ 1 คานวณค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) สาหรับ
คะแนนของกล่มุ
-ข้ันที่ 2 ถ้าใช้ระบบการให้เกรดแบบตัวอักษร 5 เกรด (A, B, C, D and F) ให้กาหนดช่วงของ
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ดังน้ี
A = มากกว่า 1.5 S.D เหนือ X
B = ระหว่าง +0.5 S.D ถึง +1.5 S.D เหนือ X
C = ระหว่าง -0.5 S.D ถึง +0.5 S.D จาก X
D = ระหว่าง -0.5 S.D ถึง -1.5 S.D ตา่ กว่า X
F = น้อยกว่า -1.5 S.D ต่ากว่า X
การกาหนดเกรดวิธีนี้จะใช้ค่าเฉลี่ยของ T-Scores ท้ังหมด
- ข้นั ที่ 3 กาหนดช่วงของเกรด C (ช่วงของเกรด C จะเริม่ ต้งั แต่เหนือและตา่ กว่าค่าเฉลี่ย)
- ข้นั ที่ 4 สร้างช่วงของเกรด B
- ข้นั ที่ 5 กาหนดช่วงของเกรด A
- ข้นั ที่ 6 กาหนดช่วงของเกรด D เหมือนกับการกาหนดช่วงของเกรด B
- ข้นั ที่ 7 กาหนดช่วงของเกรด F
- ข้ันที่ 8 จัดลาดับใหม่ให้สมบูรณ์ในขบวนการน้ีจะใช้ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ 2 ค่า
เท่านั้นคือ 0.5 และ 1.5 โดยการเพิ่มและการลดจากค่าเฉลีย่
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 180
- ข้นั ที่ 9 สร้างความถีแ่ ละเปอร์เซน็ ต์ของคะแนนจากช่วงของเกรด
2. การให้เกรดโดยวิธีกาหนดเป็นร้อยละ (Percentage Method) เป็นการให้เกรดโดย
การกาหนดร้อยละของผ้เู รียนที่จะได้รับในแต่ละเกรด
2.1 กาหนดจานวนร้อยละของผ้เู รียนซึ่งจะได้รบั ในแต่ละเกรด เช่น
A = 10%
B = 20%
C = 40%
D = 20%
F = 10%
2.2 จัดเรียงลาดับคะแนนดิบ (Raw Scores) ที่ได้จากการทดสอบจากสงู สุดไป
ต่าสุด
2.2.1 กาหนดจานวนผ้เู รียนทีไ่ ด้รบั ในแต่ละเกรด
2.2.2 ให้เกรดเรียงตามลาดับคะแนน
3. การให้เกรดโดยวิธีเปอร์เซ็นต์ไทล์ (Percentile Equivalent Method) การให้เกรดโดย
วิธีนี้เปน็ ที่นิยมมากในการกาหนดเกรดเป็นตัวอักษร
4. การให้เกรดโดยวิธีอาศัยช่องว่างของการกระจาย (Grade in Distribution Method)
การกระจายของคะแนนการทดสอบ ปกติจะมีช่องว่างซึ่งไม่มีคะแนนที่เกิดขึ้น
----------------------------------------------------------------
ที่มา: spt4kids.com/parenting/understanding-physical-therapy-outcome-
measurements-bayley-scales-infant-development/
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 181
บทที่ 8
บทบาทและลกั ษณะของครูพลศกึ ษาทดี่ ี
ความหมายคาว่า “คร”ู
จรรยาบรรณครแู ละมาตรฐานวิชาชีพครู
บทบาทและลกั ษณะของครูพลศึกษาที่ดี
ที่มา : http://www.cartoonstock.com/directory/p/physical_education.asp
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 182
ความหมายคาว่า “ครู”
ครูน้ันได้ชื่อว่าเป็นบุคลากรทางการศึกษาที่มีบทบาทสาคัญในการจัดกระบวนการเรียน
การสอนให้มีประสิทธิภาพ คาว่า “ครู” นั้น มีผู้ให้ความหมายไว้หลากหลาย ดงั น้ี
คารเตอร วี กูด (Carter V. Good. 1973) ได้ให้ความหมายของคาว่า “ครู” ใน 4 ลักษณะคือ
1. ครู คือ ผูที่มีความสามารถใหคาแนะนา เพื่อใหเกิดประโยชนทางการเรียนสาหรับ
ผ้เู รียน หรือ นักศึกษาในสถาบนั การศึกษาต่างๆ ทั้งของรัฐและเอกชน
2. ครู คือ ผูที่มีความรูประสบการณและมีการศึกษามากหรือดีเปนพิเศษในสาขาใด
สาขาหนึ่งที่สามารถชวยใหผูอืน่ เกิดความเจริญกาวหนาได
3. ครู คือ ผูที่เรียนสาเร็จหลักสูตรวิชาชีพจากสถาบันการฝกหัดครูและไดใบรับรอง
ทางการสอนดวย
4. ครู คือ ผูทีท่ าหนาทีส่ อนใหความรูแกศิษย
คาว่า “ครู” ในพจนานุกรมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน (2542) ได้ให้คาอธิบายว่า ครูคือผ้สู ่งั สอน
ศิษย์ผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ศิษย์
ยนต ชุมจิต (2541) ไดอธิบายคาวา “ครู” ดังน้ี
1. ครู เปนผูนาทางศิษยไปสูคณุ ธรรมช้นั สงู
2. ครู คือ ผูอบรมส่ังสอนถายทอดวิชาความรูใหแกศิษยเปนผูมีความหนักแนนควรแก
การเคารพของลูกศิษย
3.ครู คือผูประกอบอาชีพอยางหนึ่งที่ทาหนาที่สอน มักใชกับผูสอนในระดับต่ากว่า
วิทยาลัยและมหาวิทยาลัยหรือสถาบนั อุดมศึกษา
รงั สรรค แสงสุข อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคาแหง (2550) ไดใหความหมายของครวู ่า
1. ครู คือ ผูให ผูเติมเต็ม และผูมีเมตตา
2. ครูคือ ผูที่ใหความรูไมจากัดทุกที่ทุกเมื่อ ครูจึงตองเต็มไปดวยความรูและรูจัก
ขวนขวายหาองคความรูใหม ๆ สะสมความดีมีบารมีมาก และครูที่ดีจะตองไมปดบังความรูควรมีจิต
และวิญญาณของความเปนครู
3. ครูคือ ผูเติมเต็ม การที่ครูจะเปนผูเติมเต็มได ครูควรจะเปนผูแสวงหาความรูตอง
วิเคราะห วิจยั วิจารณและมาบูรณาการความรูตาง ๆ เขาดวยกนั
4. ครูคือ ผูที่มีเมตตา จะตองสอนเต็มทีโ่ ดยไมมีการขี้เกียจหรือปดบังไมใหความรูเต็มที่
ครตู องไมลาเอียง ไมเบียดเบียนศิษย
ปรีชา เผือกขวญั ดี (2554) ได้ให้ความหมายของคาว่าครูไว้ดังนี้
ครูหรือ “ครุ ุ” นน้ั หมายความว่า “ผ้สู ง่ั สอนศิษย์หรือผ้คู วรได้รบั การเคารพ”
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 183
ครู คือ ผ้ทู ีท่ าหน้าที่สอนและให้ความร้แู ก่ศิษย์ เพือ่ ใหศ้ ิษย์เกิดความร้คู วามก้าวหน้าใน
สาขาวิชาชีพนั้นๆ
ครู หมายถงึ ผ้อู บรมสง่ั สอนผ้ถู ่ายทอดความรู้ ผ้สู ร้างสรรค์ภมู ิปัญญาและพฒั นา
ทรพั ยากรมนษุ ย์ เพือ่ นาไปส่คู วามเจริญรุ่งเรืองของสงั คมและประเทศชาติ
จากที่กล่าวข้างต้นพอกล่าวสรุปได้ว่า “ครู” น้ันก็คือผู้ที่อบรมสง่ั สอนถายทอดวิชาความรู้ มวล
ประสบการณ์ต่างๆ รวมทั้ง มีการชี้แนะและชี้นาศิษย์ ทั้งน้ี ก็เพื่อยังประโยชน์สูงสุดให้เกิดขึ้นกับศิษย์
น้ันเอง
จรรยาบรรณครูและมาตรฐานวิชาชีพครู
1. จรรยาบรรณครู
ความหมายของคาว่า “จรรยาบรรณ” ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2542)
ได้ให้ความหมายโดยแยกคาว่า “จรรยา” นั้นหมายถึง ความประพฤติ กิริยาที่ควรประพฤติในหมู่คณะ
เช่น จรรยาครู จรรยาแพทย์ เมื่อรวมคาเป็น “จรรยาบรรณ” น้ันหมายถึง การประมวลและส่งเสริม
เกียรติคณุ ชือ่ เสียงและฐานะของสมาชิก อาจเขียนเป็นลายลกั ษณ์อักษรหรือไม่กไ็ ด้ เพือ่ เป็นหลักปฏิบัติ
ในการประกอบวิชาชีพนั้นๆ ดังน้ัน คาว่า “จรรยาบรรณครู”จึงมีความหมายถึงการประมวลมาตรฐาน
ความประพฤติที่ผู้ประกอบวิชาชีพครูจะต้องประพฤติปฏิบัติ หรือเป็นแนวทางให้ผู้ประกอบวิชาชีพครู
ปฏิบัติอย่างถูกต้องเพื่อผดุงเกียรติและสถานะของวิชาชีพครู ซึ่งถ้าครูกระทาผิดจรรยาบรรณครู
จะต้องได้รบั โทษโดยว่ากล่าว ตกั เตือน ถูกพักงาน หรืออาจถูกยกเลิกใบประกอบวิชาชีพครูได้
คณะกรรมการอานวยการคุรุสภาได้วางระเบียบของจรรยาบรรณของผู้ประกอบ
วิชาชีพครูโดยระเบียบน้ีเรียกว่า ระเบียบคุรุสภาว่าด้วยจรรยาบรรณครู พ.ศ.2539 (สานักงาน
เลขาธิการคุรุสภา, 2539) โดยกาหนดจรรยาบรรณครไู ว้ 9 ประการคือ
1.ครตู ้องรักและเมตตาศิษย์โดยให้ความเอาใจใส่ช่วยเหลือให้กาลังใจแก่ศิษย์
2.ครูต้องอบรมสั่งสอนฝึกฝนสร้างเสริมความรู้ทักษะนิสัยที่ดีงามให้เกิดแก่
ศิษย์
3.ครูต้องประพฤติตนเปน็ แบบอย่างแก่ศิษย์ทั้งกายวาจาจิตใจ
4.ครูต้องไม่กระทาตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกายสติปัญญาจิตใจ
อารมณ์และสงั คมของศิษย์
5.ครูต้องไม่แสวงหาผลประโยชน์ ไม่หวังอามิสสินจ้างจากศิษย์ในการปฏิบัติ
หน้าที่ตามปกติและไม่กระทาการใดๆอันเป็นการหาประโยชน์ให้แก่ตนเองโดยมิชอบ
6.ครูย่อมพัฒนาตนเองท้ังในด้านวิชาชีพบุคลิกภาพและวิสัยทัศน์ให้ทันต่อการ
พฒั นาทางวิชาการเศรษฐกิจสังคมและการเมืองอย่เู สมอ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 184
7.ครยู ่อมรกั และศรทั ธาในวิชาชีพครูและเปน็ สมาชิกที่ดีขององค์กรวิชาชีพครู
8.ครูพึงช่วยเหลือเก้อื กูลครูและชมุ ชนในทางสร้างสรรค์
9.ครูต้องเป็นผู้ประพฤติตนเป็นผู้นาในการอนุรักษ์และพัฒนาภูมิปัญญา
วัฒนธรรมไทย
2.มาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษาของครู
ตามมาตรฐานวิชาชีพของครูที่สานักงานเลขาธิการคุรุสภา (2556) ได้กาหนดใน
มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ มาตรฐานการปฏิบัติงานการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา
ในสาขาวิชาเฉพาะและมาตรฐานการปฏิบัติตนโดยมีรายละเอียดดงั น้ี
1. มาตรฐานความรแู้ ละประสบการณว์ ิชาชีพ
ครูต้องมีคุณวุฒิไม่ต่ากว่าปริญญาตรีทางการศึกษาหรือเทียบเท่าหรือคุณวุฒิอื่นที่
คุรสุ ภารบั รอง โดยมีความรู้ดังต่อไปน้ี
1.1 ภาษาและเทคโนโลยีสาหรับครู
1.2 การพัฒนาหลกั สตู ร
1.3 การจัดการเรียนรู้
1.4 จิตวิทยาสาหรบั ครู
1.5 การวดั และประเมินผลการศึกษา
1.6 การบริหารจัดการในห้องเรียน
1.7 การวิจัยทางการศึกษา
1.8 นวตั กรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษาและ
1.9 ความเปน็ ครู
2. มาตรฐานประสบการณว์ ิชาชีพ ประกอบด้วย
2.1 การฝึกปฏิบัติวิชาชีพระหว่างเรียนและสาระการฝึกทักษะ มีรายละเอียด
ย่อยดงั น้ี
2.1.1 การบูรณาการความรู้ท้ังหมดมาใช้ในการฝึกประสบการณ์วิชา-
ชีพในสถานศึกษา
2.1.2 ฝึกปฏิบัติการวางแผนการศึกษาผู้เรียนโดยการสงั เกตสมั ภาษณ์
รวบรวมข้อมลู และนาเสนอผลการศึกษา
2.1.3 การมีส่วนร่วมกับสถานศึกษาในการพัฒนาปรับปรุงหลักสูตร
รวมท้งั นาหลกั สตู รไปใช้
2.1.4 ฝึกการจดั ทาแผนการเรียนร้กู บั สถานศึกษา
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 185
2.1.5 ฝึกปฏิบัติการดาเนินการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้
โดยเข้าไปมีส่วนร่วมกบั สถานศึกษาและ
2.1.6 การจดั โครงงานทางวิชาการ
2.2 การปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาในสาขาวิชาเฉพาะและสาระการฝึก
ทักษะมีรายละเอียดย่อยดังนี้
2.2.1การบูรณาการความรู้ท้ังหมดมาใช้ในการปฏิบัติการสอนใน
สถานศึกษา
2.2.2การจดั ทาแผนการจัดการเรียนรู้ที่ยึดผ้เู รียนเปน็ สาคญั
2.2.3การจัดกระบวนการเรียนรู้
2.2.4การเลือกใช้การผลิตสื่อและนวัตกรรมที่สอดคล้องกับการ
จัดการเรียนรู้
2.2.5การใช้เทคนิคและยทุ ธวิธีในการจดั การเรียนรู้
2.2.6การวดั และประเมินผลการเรียนรู้
2.2.7การทาวิจยั ในช้ันเรียนเพื่อพฒั นาผ้เู รียน
2.2.8การนาผลการประเมินมาพัฒนาการจัดการเรียนรู้และพัฒนา
คุณภาพผ้เู รียน
2.2.9การบนั ทึกและรายงานผลการจัดการเรียนรู้
2.2.10การสัมมนาทางการศึกษา
3. มาตรฐานการปฏิบัติงาน มีดงั นี้
มาตรฐานที่1 ปฏิบัติกิจกรรมทางวิชาการเกี่ยวกับการพัฒนาวิชาชีพครูอยู่
เสมอ หมายถึง การศึกษาค้นคว้าเพื่อพัฒนาตนเอง การเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ และการเข้าร่วม
กิจกรรมทางวิชาการที่องค์กรหรือหน่วยงานหรือสมาคมจัดขึ้น เช่น การประชุมการอบรมการสัมมนา
และการประชุมปฏิบตั ิการ โดยต้องมีผลงานหรือรายงานที่ปรากฏชัดเจน
มาตรฐานที่ 2 ตัดสินใจปฏิบัติกิจกรรมต่างๆโดยคานึงถึงผลที่จะเกิดกับผู้เรียน
หมายถึง ครูจะต้องเลือกกิจกรรมการเรียนการสอนและกิจกรรมอื่นๆ อย่างชาญฉลาด ด้วยความรัก
และหวังดีต่อผ้เู รียน โดยครูจะต้องคานึงถึงผลประโยชน์ทีจ่ ะเกิดกับผ้เู รียนเปน็ หลกั
มาตรฐานที่ 3 มุ่งมั่นพัฒนาผู้เรียนให้เต็มตามศักยภาพ หมายถึง ครูต้องใช้
ความพยายามอย่างเต็มความสามารถเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ให้มากที่สุด ตามความถนัดความ
สนใจ ความต้องการ โดยวิเคราะห์วินิจฉัยปัญหาความต้องการที่แท้จริงของผู้เรียน ปรับเปลี่ยนวิธีการ
สอนที่จะให้ได้ผลดีกว่าเดิม รวมท้ังส่งเสริมพัฒนาการด้านต่างๆตามศกั ยภาพของผู้เรียนแต่ละคนอย่าง
มีระบบ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 186
มาตรฐานที่ 4 พัฒนาแผนการสอนให้สามารถปฏิบัติได้เกิดผลจริง หมายถึง
การเลือกใช้ปรับปรุงหรือสร้างแผนการสอน บันทึกการสอนหรือเตรียมการสอนในลักษณะอื่นๆที่
สามารถนาไปใช้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผ้เู รียนบรรลวุ ัตถปุ ระสงค์ของการเรียนรู้
มาตรฐานที่ 5 พัฒนาสื่อการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพอย่เู สมอ หมายถึง
การประดิษฐ์ คิดค้นผลิตเลือกใช้ปรับปรงุ เครื่องมืออุปกรณ์ เอกสาร สิง่ พิมพ์เทคนิควิธีการต่างๆเพื่อให้
ผ้เู รียน บรรลุจดุ ประสงค์ของการเรียนรู้
มาตรฐานที่ 6 จัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยเน้นผลถาวรที่เกิดแก่ผู้เรียน
หมายถึง การจัดการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนประสบผลสาเร็จในการแสวงหาความรู้ตามสภาพ
ความแตกต่างของบุคคลด้วยการปฏิบัติจริง และสรุปความรู้ท้ังหลายได้ด้วยตนเองก่อให้เกิดค่านิยม
และนิสยั ในการปฏิบตั ิจนเป็นบุคลิกภาพถาวรติดตวั ผ้เู รียนตลอดไป
มาตรฐานที่ 7 รายงานผลการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนได้อย่างมีระบบ หมายถึง
การรายงานผลการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนที่เกิดจากการปฏิบัติการเรียนการสอนให้ครอบคลุมสาเหตุ
ปจั จยั และการดาเนินงานที่เกีย่ วข้อง โดยครนู าเสนอรายงานการปฏิบัติในเรื่องปัญหาความต้องการของ
ผ้เู รียนทีต่ ้องได้รับการพัฒนาและเป้าหมายของการพฒั นาผ้เู รียนเทคนิควิธีการหรือนวตั กรรมการเรียน
การสอนที่นามาใช้เพื่อการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน และข้ันตอนวิธีการใช้เทคนิควิธีการหรือ
นวัตกรรมน้ันๆ ผลการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามวิธีการที่กาหนดและข้อเสนอแนะแนวทาง
ใหม่ๆในการปรับปรุงและพัฒนาผ้เู รียนให้ได้ผลดียิง่ ขึ้น
มาตรฐานที่ 8 ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้เรียน หมายถึง การแสดงออก
การประพฤติและปฏิบัติในด้านบุคลิกภาพทั่วไป การแต่งกาย กิริยาวาจาและจริยธรรมที่เหมาะสมกับ
ความเป็นครูอย่างสมา่ เสมอที่ ทาให้ผ้เู รียนเลือ่ มใสศรทั ธาและถือเป็นแบบอย่าง
มาตรฐานที่ 9 ร่วมมือกับผู้อื่นในสถานศึกษาอย่างสร้างสรรค์ หมายถึง การ
ตระหนกั ในความสาคัญรับฟังความคิดเหน็ ยอมรบั ในความร้คู วามสามารถให้ความร่วมมือในการปฏิบัติ
กิจกรรมต่างๆ ของเพือ่ นร่วมงานด้วยความเต็มใจ เพือ่ ให้บรรลเุ ป้าหมายของสถานศึกษาและร่วมรับผล
ทีเ่ กิดขึ้นจากการกระทานั้น
มาตรฐานที่ 10 ร่วมมือกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ในชุมชน หมายถึง การ
ตระหนักในความสาคัญรับฟังความคิดเห็น ยอมรับในความรู้ความสามารถของบุคคลอืน่ ในชุมชน และ
ร่วมมือในการปฏิบัติงานเพื่อพัฒนางานของสถานศึกษาให้ชุมชนและสถานศึกษา มีการยอมรับซึ่งกัน
และกนั และปฏิบัติงานร่วมกันด้วยความเตม็ ใจ
มาตรฐานที่ 11 แสวงหาและใช้ข้อมูลข่าวสารในการพฒั นา หมายถึง การค้นหา
การสงั เกต จดจา และรวบรวมข้อมลู ข่าวสารตามสถานการณ์ของสังคมทุกด้าน โดยเฉพาะสารสนเทศ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 187
เกี่ยวกับวิชาชีพครูสามารถวิเคราะห์วิจารณ์อย่างมีเหตุผล และใช้ข้อมูลประกอบการแก้ปัญหาพัฒนา
ตนเองพัฒนางาน และพัฒนาสงั คมได้อย่างเหมาะสม
มาตรฐานที่ 12 สร้างโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในทุกสถานการณ์ หมายถึง การ
สร้างกิจกรรมการเรียนรู้ โดยการนาเอาปัญหาหรือความจาเป็นในการพัฒนาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการ
เรียนและการจดั กิจกรรมอืน่ ๆ ในโรงเรียนมากาหนดเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อนาไปสู่การพัฒนาของ
ผู้เรียนที่ถาวร เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาของครู ที่จะนาวิกฤตมาเป็นโอกาสในการพัฒนา ซึ่ง
จาเป็นต้องมีมุมมองในปัญหาต่างๆ แล้วนามากาหนดเป็นกิจกรรมในการพัฒนาผู้เรียน ฉะน้ัน ครูจึง
ต้องกล้าเผชิญปัญหาต่างๆมีสติในการแก้ปัญหาสามารถมองเห็นแนวทางในทุกๆโอกาสเพื่อ
ความก้าวหน้าของผ้เู รียน
4. มาตรฐานการปฏิบตั ิตน มีดังนี้
-จรรยาบรรณต่อตนเอง
1. ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องมีวินัยในตนเอง พัฒนาตนเอง
ด้านวิชาชีพ บุคลิกภาพ และวิสัยทัศน์ ให้ทันต่อการพัฒนาทางวิทยาการ เศรษฐกิจ สังคม และ
การเมืองอย่เู สมอ
-จรรยาบรรณต่อวิชาชีพ
2. ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องรัก ศรัทธา ซื่อสัตย์สุจริต
รับผิดชอบต่อวิชาชีพ และเปน็ สมาชิกทีด่ ีขององค์กรวิชาชีพ
-จรรยาบรรณตอ่ ผ้รู บั บริการ
3. ผ้ปู ระกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องรัก เมตตา เอาใจใส่ ช่วยเหลือ
ส่งเสริม ให้กาลังใจแก่ศิษย์และผ้รู ับบริการ ตามบทบาทหน้าทีโ่ ดยเสมอหน้า
4. ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้
ทักษะ และนิสยั ที่ถูกต้องดีงามแก่ศิษย์และผู้รับบริการ ตามบทบาทหน้าที่อย่างเต็มความสามารถด้วย
ความบริสุทธิใ์ จ
5. ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี
ทั้งทางกาย วาจา และจิตใจ
6. ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องไม่กระทาตนเป็นปฏิปักษ์ต่อ
ความเจริญทางกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์ และสงั คมของศิษย์และผ้รู บั บริการ
7. ผ้ปู ระกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องให้บริการด้วยความจริงใจและ
เสมอภาค โดยไม่เรียกรบั หรือยอมรบั ผลประโยชน์จากการใช้ตาแหน่งหน้าทีโ่ ดยมิชอบ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 188
-จรรยาบรรณต่อผูร้ ว่ มประกอบวิชาชีพ
8. ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา พึงช่วยเหลือเก้ือกูลซึ่งกันและกัน
อย่างสร้างสรรค์ โดยยึดม่นั ในระบบคณุ ธรรม สร้างความสามัคคีในหม่คู ณะ
-จรรยาบรรณต่อสังคม
9. ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา พึงประพฤติปฏิบัติตนเป็นผู้นาใน
การอนุรักษ์และพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญา สิ่งแวดล้อม รักษา
ผลประโยชน์ของส่วนรวมและยึดม่ันในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น
ประมุข
มาตรฐานวิชาชีพครู จะเป็นหลักเกณฑ์สาคญั ในการกาหนดคณุ สมบัติของผ้ทู ี่จะมีสิทธิ์
ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู หรือการต่อใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ โดยผู้ที่จะได้รับใบอนุญาต
ประกอบวิชาชีพ จะต้องเปน็ ผ้มู ีคุณสมบัติตามมาตรฐานวิชาชีพครดู งั กล่าวข้างต้น จากเกณฑ์มาตรฐาน
วิชาชีพครูที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งถ้าพิจารณาแล้วถือว่าเป็นเกณฑ์คุณภาพ ซึ่งกาหนดลักษณะการแสดง
พฤติกรรมที่นาไปส่คู วามสาเรจ็ และเปน็ การประกันคุณภาพของผ้เู รียนได้อีกทางหนึ่งด้วย
บทบาทและลักษณะของครพู ลศึกษาที่ดี
1. บทบาทและหนา้ ทีข่ องครพู ลศึกษา
หลักการสาคัญของอาชีพครูพลศึกษาน้ัน ควรต้องยึดถือในหลักการและปรัชญาของ
การพลศึกษา ที่ต้องสามารถประยุกต์ใช้กิจกรรมพลศึกษาหรือกิจกรรมทางกายเป็นสื่อในการพัฒนา
ผู้เรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาการในทุกๆ ด้านตามความหมายและหลักการ
รวมทั้งปรัชญาการพลศึกษา คือ พัฒนาท้ังทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สติปัญญาและสังคม ท้ังน้ี
เพื่อจะนาไปสู่การมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน สมดังเจตนารมณ์และอุดมคติของการ
พลศึกษา
อย่างไรก็ตามจากจรรยาบรรณและเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครูที่กล่าวมาในหัวข้อ 8.2
ผู้ที่ประกอบอาชีพครูพลศึกษา จึงควรต้องมีคุณลักษณะด้านสมรรถนะทางวิชาชีพครู ที่องค์กรวิชาชีพ
ระบุไว้อย่างครบถ้วน ซึ่งบทบาทและความรับผิดชอบของครูพลศึกษาก็คงไม่แตกต่างกับครูสาขาวิชา
อืน่ ที่อยู่ในสถานศึกษา ที่ต้องมีหน้าทีแ่ ละความรับผิดชอบในการงานทุกอย่างในโรงเรียน อย่างไรก็ตาม
นอกจากบทบาทและหน้าที่ของผู้ประกอบอาชีพครูตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครูดังกล่าวแล้ว ครู
พลศึกษาอาจจะต้องมีภาระหน้าที่และความรับผิดชอบที่มากกว่าครูที่สอนวิชาอื่นๆ ในห้องเรียน
โดยทั่วไป เพราะว่านอกจากต้องทาหน้าที่และรับผิดชอบในหน้าที่การงานท่ัวๆไปเช่นเดียวกับครูหรือ
นกั การศึกษาคนอื่นๆ แล้ว ครพู ลศึกษายังมีภารกิจทีส่ าคัญและต้องดาเนินการประจาตลอดเวลาควบคู่
กันไปกับจัดการเรียนการสอนพลศึกษา อาทิเช่น การจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรเพื่อให้การเรียนสอน
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 189
ได้ผลดียิ่งขึ้น อันประกอบด้วย การจัดการแข่งขันกีฬาภายในโรงเรียน การจัดการแข่งขันกีฬาระหว่าง
โรงเรียน การจัดกิจกรรมพลศึกษาพิเศษให้กับผ้เู รียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนร้หู รือบกพร่องทาง
ร่างกายที่อยู่ในโรงเรียน กิจกรรมเสริมหลกั สตู รดงั กล่าวนี้ จึงเป็นกิจกรรมที่มีขอบข่ายกว้างขวางและมี
ความเกีย่ วข้องต้องทางานประสานกัน และร่วมมือกันกับบุคคลหลายฝ่าย ทั้งในระหว่างเพื่อนร่วมงาน
และผู้บริหารที่อยู่ภายในโรงเรียนเดียวกันและต่างโรงเรียน วาสนา คุณาอภิสิทธิ์ (2539) ได้กล่าวสรุป
ถึงบทบาทหน้าที่และความรบั ผิดชอบของครพู ลศึกษาพอสรุปได้ดงั นี้
1.1 การสอน ครูพลศึกษามีหน้าที่และความรับผิดชอบเกี่ยวกับการเรียนการสอนใน
หลายรายวิชา ต้องสามารถอธิบาย สาธิต เทคนิคทักษะ ประวัติ ประโยชน์ กติกา แผนการเล่นตลอดจน
การใช้อุปกรณ์ให้เป็นประโยชน์ ต้องจดั บริหารชั้นเรียนสาหรบั การสอนการเล่น การประเมินผลและการ
แนะแนว ต้องพัฒนาทัศนะคติของความมีน้าใจนักกีฬา การจัดสภาพแวดล้อมทางสุขศึกษาและการ
สอนให้บรรลุตามจดุ มุ่งหมายอื่นๆ ของวิชาพลศึกษาอีกด้วย
1.2 การแข่งขันกีฬาภายใน ครูพลศึกษาต้องจัดการแข่งขันภายในโดยทาการจัด
โปรแกรมการแข่งขันกีฬาต่างๆ รวมท้ังสิ่งอานวยความสะดวกที่จะใช้ในการแข่งขันโดยไม่ให้ซ้าซ้อน
ผู้เรียนได้มีโอกาสในการแข่งขันเท่าๆ กันต้องเตรียมการจัดซื้อ จัดลาดับ บารุงรักษา และแนะนา
เกี่ยวกับอุปกรณ์และสิ่งต่างๆ ที่ใช้ประกอบการแข่งขัน ให้คาปรึกษาเกี่ยวกับการแข่งขัน จัดดูแลเรื่อง
ความปลอดภัย จัดเจ้าหน้าทีด่ าเนินงาน จดั ระบบการให้คะแนน ขจัดความขัดแย้งและอาจจะต้องจดั ทา
คู่มือการแข่งขันกีฬาภายในไว้ด้วย นอกจากน้ันอาจต้องทาหน้าที่จัดการแข่งขันกีฬาภายนอกร่วมกับ
โรงเรียนอื่นๆด้วย
1.3 การเป็นผู้ฝึกสอนกีฬา ครูพลศึกษาต้องทาหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอนกีฬาด้วยซึ่งก็
หมายถึงว่าต้องเป็นผู้ที่มีทักษะกีฬาสูงและมีความสามารถในการจูงใจสูงด้วย เหตุผลก็เพราะการสอน
ในช้ันเรียนจะสอนผู้เรียนหลายๆระดับความสามารถปะปนกันไป ตั้งแต่อ่อนจนเก่งแต่การเป็นผู้ฝึกสอน
กีฬาจะต้องสอนผู้เรียนที่มีทักษะดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้นไปอีก และต้องสอนได้อย่างรวดเร็ว ในหน้าที่น้ีครู
พลศึกษาจะต้องโดนกระทบจากหลายฝ่าย เช่น ผู้เรียน คนดู นักข่าว หรือแม้แต่ความต้องการของ
ตนเองที่จะพยายามไม่ให้เกิดการแพ้ ผู้ฝึกสอนจึงต้องมีศีลธรรม หลักการและการเสียสละตนเองอย่าง
สงู ที่จะต่อต้านสิ่งเหล่าน้ีและที่สาคัญที่สดุ คือจะต้องไม่เบี่ยงเบนออกจากจุดม่งุ หมายของวิชาพลศึกษา
อย่างเดด็ ขาด
1.4 การอยู่ค่ายพักแรมและกิจกรรมกลางแจ้ง ครูพลศึกษามีหน้าที่เป็นที่ปรึกษา
ของค่ายหรือควบคุมดูแลการอยู่ค่ายพักแรมและการว่ายน้า สอนให้ผู้เรียนรู้จักการใช้ชีวิตกลางแจ้ง
การใช้ทักษะกีฬาที่สาคัญที่สุด คือ การสอนให้ผู้เรียนรู้จักวิธีใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่นในบรรยากาศ
ประชาธิปไตย รักสงบ รักธรรมชาติ อนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 190
1.5 การเต้นรา การเต้นราเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมเสมอมาโดยเฉพาะผู้หญิง
และมีความเกี่ยวข้องกับชีวิตของคนมาโดยตลอดต้ังแต่สมัยโบราณถึงปัจจุบัน เพราะเป็นกิจกรรมที่
แสดงถึงความรู้สึกและอารมณ์ เป็นกิจกรรมที่ทาให้คลายความเครียดได้มากครูพลศึกษาจึงต้องสอน
ได้ท้งั กิจกรรมการเคลื่อนไหวพ้ืนฐาน การเต้นราพื้นเมือง การร้องเพลงประกอบการเล่น เกมลีลาศและ
อื่นๆ
1.6 ลีลาศึกษา (Movement Education) ลีลาศึกษาเป็นการเรียนรู้เพื่อการเคลื่อนไหว
และเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อการเรียนรู้ (Learning to Move and Moving to Learn) จึงเป็นการเรียนรู้วิธี
แก้ปัญหาด้วยตนเอง เป็นการสารวจค้นหาสิ่งต่างๆด้วยตนเอง เน้นการเรียนโดยตัวผู้เรียนเป็นสาคัญ
การเรียนรู้วิธีการดังกล่าว จะใช้การเคลื่อนไหวเท่าน้ัน ครูพลศึกษาต้องเข้าใจในการใช้เครื่องมือและ
เข้าใจในหลักการเคลื่อนไหวของมนุษย์ให้สัมพันธ์กับเวลา แรง รูปร่างและการแสดงออก จุดมุ่งหมาย
ของวิชาน้ี ก็เพื่อให้ผ้เู รียนรู้จกั ระมดั ระวงั ตนเองในสิง่ แวดล้อมต่างๆ รู้ถึงความสามารถและขีดจากัดของ
ตนเองและ รู้ถึงองค์ประกอบของการตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ ซึ่งครูจะสังเกตได้จากการให้ผู้เรียนแสดง
ให้ดใู นลักษณะของความเร็ว – ช้า ความหนัก – เบา ความเป็นอิสระ
1.7 การพลศึกษาพิเศษ ครูพลศึกษาต้องจัดกิจกรรมพิเศษให้แก่ผู้เรียนที่มีลักษณะ
ผิดปกติและช่วยให้ผู้เรียนสามารถปรับตัวให้ดีขึ้น ครูพลศึกษาจึงต้องมีความรู้ในกายวิภาคศาสตร์
สรีรวิทยาวิทยาศาสตร์ การเคลื่อนไหว สรีรวิทยาการออกกาลงั กาย จิตวิทยา วิธีสอนและศพั ท์ทางการ
แพทย์ มีความตั้งใจจริงที่จะช่วยเหลือผู้เรียน และรับฟังความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะของแพทย์
เสียก่อน ไม่ใช่ทาการบาบัดด้วยตวั เอง
1.8 งานวิจัย การทางานวจิ ยั มีประโยชน์ต่อการเรียนการสอนและความก้าวหน้าใน
การทางานแม้ครูจะไม่ทาด้วยตนเอง กค็ วรสนใจงานวิจัยของผ้อู ืน่ ซึง่ ส่วนใหญ่จะเปน็ ผ้เู ชีย่ วชาญครู
พลศึกษาควรร้จู กั ตีความผลทีไ่ ด้จากการวิจัยและนามาใช้ประโยชน์ให้ได้
1.9 การปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรม ในสังคมไทยการปลูกฝังให้ประชาชน
พลเมืองมีคุณธรรมหรือความรู้สึกนึกคิดทางจิตใจและจริยธรรม (หรือลักษณะการแสดงออกของ
ร่างกาย) เป็นเรื่องสาคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความสุขของคนในสังคมเดียวกันเมื่อ
สมาชิกแต่ละคนของสงั คมมีจริยธรรมสงู กแ็ สดงว่าสังคมน้นั มีคณุ ธรรมสูงไปด้วย ซึ่งจะเปน็ พื้นฐานของ
ความเจริญก้าวหน้าต่อไป ครูทุกคนจึงควรรับเอาบทบาทของการเป็นผู้ปลกู ฝังคุณธรรมและจริยธรรม
ให้แก่ผู้เรียนไว้อย่างเต็มภาคภูมิ พร้อมทั้งปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างที่ดี ด้วยการปลูกฝังเรื่องดังกล่าว
สามารถกระทาได้ในขณะสอนวิชาพลศึกษาในทกุ ข้นั ตอนของกิจกรรมการเรียน
2. ภาระและหนา้ ทีข่ องครูพลศึกษา
วรศักดิ์ เพียรชอบ (2548) ทีไ่ ด้สรุปภาระงานหรือหน้าที่สาคญั ๆ ทีค่ รพู ลศึกษาควรต้อง
ตระหนักและปฏิบัติในบทบาทหน้าทีส่ าคัญดงั ต่อไปนี้
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 191
2.1. บทบาทหน้าทีแ่ ละความรับผิดชอบเกี่ยวกับการเรียนการสอน
หน้าที่และความรับผิดชอบโดยตรงที่สาคัญยิ่งของครูพลศึกษานั้นคือ หน้าที่และความ
รับผิดชอบในการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรที่วางไว้เช่นเดียวกับครูอื่นๆในโรงเรียน เพื่อให้
ผ้เู รียนได้มีการเรียนร้แู ละพฒั นาการในทกุ ๆด้าน คือด้านสมรรถภาพทางกาย ด้านทักษะการเคลือ่ นไหว
ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ด้านความรู้ความเข้าใจในวิธีการเคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกายด้าน
คุณธรรมประจาตัว เช่น การมีระเบียบวินัย การมีน้าใจนักกีฬา และ ด้านการมีเจตคติที่ดีต่อการ
พลศึกษา ทั้งน้ีเพื่อนาไปสู่การมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีทั้งในปัจจุบันและอนาคตตามเจตนารมณ์
ของอุดมคติของการพลศึกษา ด้วยการได้ลงมือปฏิบัติและลงเล่นกีฬาด้วยตนเอง เพื่อให้นักเรียนมี
สุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต เพื่อให้การเรียนการสอนของครูได้บรรลุตาม
ผลทีไ่ ด้กล่าวมา ครูพลศึกษาจึงควรมีความรบั ผิดชอบในสิง่ ดงั ต่อไปน้ี
2.1.1 ควรจะได้ศึกษาหลักสูตรการเรียนการสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความ
มุ่งหมายของหลกั สตู รที่จะสอนผ้เู รียนให้มีความเข้าใจเปน็ อย่างดีและโดยถ่องแท้
2.1.2 ศึกษาและทาความรู้จักผู้เรียนที่จะสอนให้มีความเข้าใจในลักษณะและ
ธรรมชาติของเขาในทุกๆด้าน คือ ท้ังทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสงั คมตลอดจนความสามารถ
ความต้องการและความสนใจในกิจกรรมพลศึกษาของผ้เู รียนเหล่าน้ัน
2.1.3 วางจุดประสงค์ของการสอนได้ครบทุกๆ ด้านตามหลักการและปรัชญา
การพลศึกษา เพือ่ ให้ผ้เู รียนได้มีการเรียนร้แู ละมีพฒั นาการได้ตามจดุ ประสงค์ทีไ่ ด้วางไว้ทกุ ๆด้าน
2.1.4 วางโครงการสอนประจาปี ประจาภาค ประจาสัปดาห์ และทาแผนการ
สอนประจาคาบหรือประจาช่ัวโมง เพื่อให้สามารถดาเนินการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนมีการเรียนรู้
และมีพัฒนาการในทุกๆด้านเป็นอย่างดี
2.1.5 จัดเตรียมสถานที่ เครือ่ งอานวยความสะดวก อปุ กรณ์และวัสดุการเรียน
การสอนต่างๆ ได้สามารถดาเนินการเรียนการสอนได้อย่างดีทุกคาบหรือทุกช่ัวโมงการเรียนการสอน
ตลอดท้งั สัปดาห์ ทั้งภาคและปีการศึกษา
2.1.6 ศึกษาและทาความเข้าใจในวิธีการสอน การจัดกิจกรรมการเรียนการ
สอน การวัดผลการเรียนรู้และการให้คะแนนในวิชาพลศึกษาให้เป็นไปโดยถูกต้องตามหลักการและ
ปรชั ญาของการพลศึกษาอย่างแท้จริง
2.1.7 ศึกษาวิธีการเรียนการสอนใหม่ๆ เพื่อนามาใช้ในการเรียนการสอนให้
สอดคล้องหลักการและปรชั ญาของการปฏิรปู การศึกษา
2.1.8 จัดเตรียมสถานที่ เครือ่ งอานวยความสะดวก อุปกรณ์การเรียนการสอน
และวสั ดุที่จาเป็นให้พร้อมที่จะดาเนินการเรียนการสอนในแต่ละคาบให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมี
ประสิทธิภาพ
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 192
2.1.9 จัดทาบัญชีรายชื่อ ตลอดจนสารวจสภาพของอุปกรณ์ วัสดุครุภัณฑ์
ต่างๆ ให้มีความทันสมัยอยู่เสมอ หากอุปกรณ์หรือครุภัณฑ์ใดที่ต้องการซ่อมแซมควรจะได้ดาเนินการ
และจดั การซ่อมให้เรียบร้อยและอย่ใู นสภาพที่สามารถใช้ได้ในทันที
2.1.10 จัดทาระเบียบการเบิกจ่ายและรับวัสดุอุปกรณ์ในการเรียนการสอน
ตลอดจนระเบียบ การหยิบยืมไปใช้นอกเวลาการเรียนการสอนเพือ่ ให้เปน็ ไปด้วยความเรียบร้อย
2.1.1 ทาการสอนผู้เรียนโดยใช้กิจกรรมพลศึกษาและการกีฬาที่ได้เลือกเฟ้น
ตามหลกั การและปรัชญาการพลศึกษาเปน็ อย่างดีแล้วเปน็ สือ่ ในการเรียนรู้
2.1.12 ดาเนินการเรียนการสอนให้ผู้เรียนได้มีพัฒนาการด้วยการลงมือเล่น
และการปฏิบตั ิจริงด้วยตนเองในกิจกรรมพลศึกษาต่างๆ เพื่อให้มีพัฒนาการในทกุ ๆด้าน
2.1.13 ดาเนินการวัดเพือ่ ประเมินผลการเรียนของผู้เรียน แล้วทาการให้คะแนน
ผ้เู รียน แล้วให้คะแนน ผ้เู รียนให้เป็นไปตามหลักการและปรชั ญาของการพลศึกษาและการกีฬา
2.1.14 ทาการตรวจและแนะนาผู้เรียนในเรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพ ตลอดจนการ
พัฒนาสมรรถภาพทางการเพือ่ สุขภาพ
2.1.15 จัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาพิเศษเพื่อจะช่วยให้ผู้เรียนที่
มีความสามารถดีและด้อยเป็นพิเศษ เพือ่ ให้ผ้เู รียนเหล่านั้นมีพฒั นาการได้ตามศักยภาพที่เขามีอยู่
2.1.16 จัดกิจกรรมพลศึกษาพิเศษเพื่อให้ผู้เรียนบางคนที่มีความบกพร่องทาง
ร่างกายและที่ไม่มีความสามารถมีส่วนร่วมในกิจกรรมพลศึกษาต่างๆ ตามปกติกับผู้เรียนคนอื่นๆได้
เพื่อให้ผ้เู รียนเหล่าน้ันมีการพัฒนาการตามความสามารถหรือศักยภาพที่มีอย่นู ้นั ๆ
2.1.17 ทาระเบียบเกี่ยวกบั การเรียนการสอน การพัฒนาการของผ้เู รียน เพือ่ ให้
สามารถที่จะชี้แจงแก่ผู้เรียน ครูคนอื่นๆ ผู้บริหารโรงเรียน ผู้ปกครองผู้เรียน หรือผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ ได้
ตลอดเวลา
2.1.18 จัดทาระเบียบข้อบังคับ และวางนโยบายของสาขาวิชาพลศึกษา เพื่อให้
ทุกๆคนในสายวิชาทีเ่ กีย่ วข้องมีความเข้าใจและสามารถปฏิบัติตามเป็นไปในทิศทางเดียวกันได้
2.1.19 ทาการประชาสัมพันธ์การพลศึกษา ด้วยการทาตัวให้เป็นตัวอย่าง โดย
การปฏิบตั ิตามอุดมคติของการพลศึกษาตลอดเวลา
2.1.20 จดั ทาการประเมินผลการดาเนินการ การทางาน กระบวนการเรียนการ
สอนประจาภาคและประจาปีเพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงการดาเนินการในภาคหรือในปีการศึกษา
ต่อไป
2.1.21 หัวหน้าหมวดวิชาพลศึกษาควรจัดประชุมประจาเดือน ประจาภาค
ประจาปี และมีการพฒั นาอาจารย์ในหมวดประจาภาคและประจาปี
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 193
2.2 บทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดโปรแกรมพลศึกษาเพื่อ
เสริมหลกั สูตร
กิจกรรมเสริมหลักสูตรถือว่าเป็นโปรแกรมที่มีความสาคัญต่อการเรียนการสอนวิชา
พลศึกษามาก การเรียนการสอนวิชาพลศึกษาจะได้ผลดีหรือไม่มากน้อยเพียงใดน้ัน สามารถที่จะ
สะท้อนให้เห็นภาพได้จากโปรแกรมการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรน้ีเอง ทั้งน้ีเพราะว่าโปรแกรมเสริม
หลักสูตรของการเรียนการสอนวิชาพลศึกษาน้ี เปรียบเสมือนเป็นห้องปฏิบัติการของวิชาพลศึกษา คือ
เมื่อผู้เรียนได้เรียนในชั่วโมงเรียนแล้ว ผู้เรียนได้นาสิ่งที่เรียนมาแล้วนั้นมาทดลองใช้ในสภาพการณ์จริง
ได้ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และได้รับประสบการณ์ในสิ่งที่เรียนในชั่วโมงเรียนนั้นได้อย่างกว้างขวางและ
มากขึ้นอีก ส่วนใหญ่แล้วกิจกรรมเสริมหลักสูตรของการพลศึกษานั้นมักจะประกอบไปด้วยโปรแกรม
ต่างๆ เช่น โปรแกรมการแข่งขันกีฬาในโรงเรียนโปรแกรมการแข่งขันกีฬาระหว่างโรงเรียน โปรแกรม
การจัดพลศึกษาพิเศษ และโปรแกรมการจัดนันทนาการเพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
ดังนั้น หน้าทีแ่ ละความรับผิดชอบที่ครูพลศึกษาทีส่ าคญั ๆ ทีจ่ ะต้องปฏิบัติมีดงั ต่อไปน้ี
2.2.1 การจัดและการนาเสนอโครงการการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรของวิชา
พลศึกษาในทุกๆด้าน ได้แก่ โครงการแข่งขันกีฬาภายในโรงเรียน โครงการการแข่งขันกีฬาระหว่าง
โรงเรียน โครงการการจัดศึกษาพิเศษ และโครงการการจัดนันทนาการด้านการพลศึกษาและกีฬา ซึ่ง
โครงการแต่ละโครงการเหล่าน้ีจะต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับหลักการและเหตุผล ความมุ่งหมายของ
โครงการ จานวนผู้มีส่วนร่วมในโครงการ วันและเวลาในการจัดโครงการ สถานที่จัดในแต่ละโครงการ
งบประมาณและค่าใช้จ่ายในแต่ละโครงการ ประโยชน์และผลที่จะได้รับจากแต่ละโครงการ และ
ผ้รู บั ผิดชอบในแต่ละโครงการให้เหน็ โดยชัดเจน
2.2.2 นาโครงการเสนอและชี้แจงผู้บริหารโรงเรียนเพื่อผู้บริหารได้ทราบและ
อนมุ ัติในหลกั การให้ดาเนินการได้
2.2.3 ทาการประสานงานกับครพู ลศึกษาทกุ คน ตลอดจนครูในสาขาอื่นๆ เพื่อ
ขอความร่วมมือในการจัดโครงการต่างๆ เหล่านี้ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
2.2.4 จัดทางบประมาณที่จาเป็นจะต้องใช้จ่ายในโครงการต่างๆ และนาเสนอ
เพือ่ ขออนุมัติเงินสาหรบั โครงการต่างๆ
2.2.5 ต้องวางกฎ ระเบียบและกติกาสาหรับการจัดและการดาเนินการของ
โครงการในแต่ละโครงการ เพื่อให้ทุกๆคนมีส่วนเกี่ยวข้อง ตลอดจนผู้เรียนที่จะมาใช้โครงการได้มีความ
เข้าใจโดยท่ัวถึงกัน
2.2.6 จัดทาค่มู ือเพือ่ ให้ครแู ละผ้เู รียนได้ทราบและเป็นแนวปฏิบตั ิโดยทัว่ ถึงกนั
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 194
2.2.7 ในกรณีที่เป็นโครงการการจัดการแข่งขันกีฬาภายในโรงเรียน ควรจะมี
การแบ่งกลุ่มผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรียนมีการกระจายไปตามกลุ่มต่างๆ เพื่อให้ความรู้ ความสามารถ และ
ประสบการณ์ของแต่ละกล่มุ มีความเท่าเทียมกนั ให้มากทีส่ ดุ
2.2.8 ทาการประชุมครูทีจ่ ะมาร่วมงาน ผู้เรียนหรือตัวแทนของผู้เรียนเพื่อซ้อม
ความเข้าใจกันและสามารถดาเนินการไปด้วยความเรียบร้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความมุ่งหมายของการ
แข่งขันกีฬาภายในโรงเรียนและการแข่งขันกีฬาระหว่างโรงเรียนนั้น ผู้เรียนควรจะมีความเข้าใจว่า การ
แข่งขันนั้นไม่ได้เน้นที่การแพ้หรือชนะเป็นสาคัญ หากแต่ว่าเปน็ การแข่งขนั ตามอดุ มคติของการกีฬา คือ
กีฬาเพื่อสขุ ภาพ กีฬาเพือ่ มิตรภาพ และกีฬาเพือ่ ความสนุกสนานมากกว่า
2.2.9 ในกรณีทีเ่ ป็นการแข่งขนั กีฬาระหว่างโรงเรียน ทาการจัดให้มีการแข่งขนั
โดยให้มีผลกระทบกระเทือนต่อการเรียนได้น้อยทีส่ ุด
2.2.10 ต้องจัดทากาหนดการและตารางการแข่งขันท้ังการแข่งขันกีฬาภายใน
โรงเรียนและการแข่งขันกีฬาระหว่างโรงเรียนให้ผ้มู ีส่วนเกีย่ วข้องได้ทราบอย่างท่ัวถึงกัน
2.2.11 จัดทากาหนดการใช้สถานที่และอุปกรณ์เพือ่ การฝึกซ้อมและการแข่งขนั
ภายในโรงเรียนเพือ่ ให้ทุกคนทีเ่ กี่ยวข้องได้มีความเข้าใจโดยทวั่ ถึงทุกคน
2.2.12 จัดทารายชื่อผู้ประสานงานและผู้รับผิดชอบในการจัดการแข่งขันในแต่
ละประเภท และผู้รับผิดชอบในกิจกรรมกีฬาแต่ละชนิดให้ทราบท่ัวถึงกัน เพื่อสะดวกในการติดต่อและ
ประสานงาน
2.2.13 จัดเตรียมสถานที่และอุปกรณ์สาหรับการแข่งขันและการฝึกซ้อมให้
พร้อม เพือ่ ให้สามารถดาเนินการได้ตามตารางทีว่ างไว้โดยเรียบร้อย
2.2.14 จดั เตรียมเจ้าหน้าทีแ่ ละผ้ตู ดั สินในกีฬาชนิดต่างๆให้พร้อม
2.2.15 จดั หาของทีร่ ะลึกและรางวัลในการแข่งขนั
2.2.16 ทาหน้าที่ประชาสัมพันธ์ท้ังการแข่งขันกีฬาภายในโรงเรียนและระหว่าง
โรงเรียนเพือ่ ให้ทกุ คนได้รบั ร้โู ดยทัว่ ถึงกนั ทกุ ระยะ
2.2.17 ทาหน้าที่ประสานงานกับฝ่ายต่างๆ เพื่อให้การแข่งขันได้ดาเนินไปด้วย
ความเรียบร้อย
2.2.18 จดั ทาระเบียบและสถิติของกีฬาต่างๆ
2.2.19 ทาการประเมินผลการจัดกิจกรรมแสริมหลักสูตรในทุกๆ โครงการ
เพื่อจะได้ใช้เป็นแนวทางและปรบั ปรุงการจดั ในคร้งั ต่อไป
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 195
2.3 บทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบในด้านที่เกี่ยวกับการทางานร่วมกับครู
คนอื่นๆ
ตามปกติแล้วในโรงเรียนหนึ่งๆ จะมีครูพลศึกษาหลายคน ฉะน้ันจะให้การทางาน
ได้ผลดีครพู ลศึกษาแต่ละคนควรจะมีความสามารถทางานร่วมกนั ช่วยเหลือกัน ร่วมมือประสานงานกัน
และรับผิดชอบร่วมกันเพื่อให้กิจการงานต่างๆ ทั้งหลายท้ังมวลสามารถดาเนินไปด้วยดีและเรียบร้อย
โดยเฉพาะงานทางด้านพลศึกษา นับต้ังแต่งานสอน และงานทีเ่ กี่ยวกับกิจกรรมเสริมหลกั สูตรที่เกีย่ วกบั
การแข่งขันกีฬาภายในโรงเรียน การแข่งขันกีฬาระหว่างโรงเรียน การจัดการพลศึกษาพิเศษและการ
จัดการกีฬาเพื่อนันทนาการน้ันเป็นงานที่ต้องอาศัยความร่วมมือกันช่วยเหลือกันจากครูหลายๆคนและ
หลายๆฝ่าย แต่ละคนจะต้องมีความเข้าใจกัน มีความสามารถที่จะทางานประสานกันได้ด้วยดี การจัด
และดาเนินกิจการเหล่านน้นั จึงจะบรรลผุ ลด้วยความเรียบร้อยได้ผลดีและมีประสิทธิภาพ
2.4 บทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบในด้านที่เกี่ยวกับการเคารพต่อนโยบาย
และระเบียบขอ้ บงั คบั ของโรงเรียน
ในการจัดการศึกษาเพื่อให้ได้ผลดีและเป็นไปด้วยความเรียบร้อยของในแต่ละโรงเรียน
นั้นตามปกติแล้วโรงเรียนแต่ละโรงเรียนเหล่าน้ันจะต้องวางนโยบายและระเบียบข้อบังคับของโรงเรียน
ไว้เพื่อให้ครู ผู้ปกครองผู้เรียน เจ้าหน้าที่ ผู้เรียน ตลอดจนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรงเรียนหรือผู้ที่มา
ติดต่อกับโรงเรียนทุกคนได้ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติตนในระหว่างที่อยู่โรงเรียนเสมอ นโยบายและ
ระเบียบข้อบังคับต่างๆที่ได้วางไว้แล้วน้ี ตามหลักการแล้วก็เป็นนโยบายและระเบียบข้อบังคับที่เกิดจาก
ความร่วมมือกันและตกลงกันให้มีขึ้นในระหว่างผู้บริหารและครูทุกคนที่อยู่ในโรงเรียนน้ันเอง นโยบาย
และระเบียบต่างๆของโรงเรียนเหล่าน้ีอาจจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับด้านต่างๆ เช่น การเป็นที่ปรึกษาใน
กิจกรรมเสริมหลักสูตรการเรียนการสอนต่างๆ การดูแลความเรียบร้อยในการรับประทานอาหาร
กลางวัน การใช้สถานทีแ่ ละอุปกรณ์ในการเรียนการสอน หรือเพือ่ จัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรต่างๆ การ
มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ หรือการให้ความร่วมมือกันและประสานงานกันในกิจกรรมต่างๆ ท้ังใน
ระหว่างครูสายวิชาเดียวกันและระหว่างสายวิชาต่างๆ ดังนั้น เมื่อนโยบายและระเบียบได้มีการวางไว้
แล้ว ครู ผู้เรียน เจ้าหน้าที่ ตลอดจนผู้ปกครองผู้เรียนทุกคนควรจะได้มีการปฏิบัติตาม โดยเฉพาะครู
พลศึกษานั้น ควรจะได้ปฏิบัติตามนโนบายหรือระเบียบที่วางไว้โดยเคร่งครัด ทั้งน้ี เพื่อจะได้เป็น
แบบอย่างของผ้เู รียน ผ้ปู กครองและบุคคลอืน่ โดยทว่ั ไปด้วย
2.5 บทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบในด้านที่เกี่ยวกับการเคารพและการทา
ความเขา้ ใจในหลกั สูตรสายวิชาตา่ งๆ ทีม่ ีการเรียนการสอนในโรงเรียน
ครูพลศึกษาควรจะมีความเคารพและมีความเข้าใจในความสาคัญของบทบาทของ
หลักสูตรสายวิชาต่างๆ ที่มีการเรียนการสอนในโรงเรียน ตลอดจนมีความชื่นชมในความสาเรจ็ ของสาย
วิชาต่างๆ เหล่าน้ันด้วยความบริสุทธิ์ใจเช่นเดียวกับในสายวิชาของตนเอง โดยถือว่าสายวิชาต่างๆที่มี
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 196
การเรียนการสอนในโรงเรียนน้ัน เป็นสายวิชาที่มีบทบาทสาคญั ในการให้การศึกษาและพัฒนาผู้เรียนให้
เป็นคนที่สมบูรณ์เช่นเดียวกัน และนอกจากนั้นเมื่อมีโอกาสก็ควรจะได้มีส่วนร่วมและให้ความร่วมมือใน
การจดั กิจกรรมต่างๆ ของสายวิชาอื่นๆ ด้วยความเต็มใจ การให้ความร่วมมือและการช่วยประสานงาน
กับสายวิชาอื่นๆ ได้เป็นอย่างดีเช่นน้ีจะเป็นการสร้างความสัมพันธ์และความเข้าใจกันอันดีในระหว่าง
สายวิชาต่างๆ ไปในตัวด้วย
2.6 บทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบตอ่ วิชาชีพพลศึกษาและกีฬา
หน้าที่และความรับผิดชอบต่อวิชาชีพถือว่าเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบที่สาคัญยิ่ง
อย่างหนึ่งของครูพลศึกษา ท้ังน้ีเพราะว่าครูพลศึกษานั้นเป็นบุคคลที่เป็นหลักสาคัญในการที่จะช่วย
จรรโลงวิชาชีพน้ีไว้ให้มีความเจริญก้าวหน้าต่อไปอีกได้ อาจจะด้วยเหตุผลน้ีเอง จึงมักมีคากล่าวว่า ครู
พลศึกษาในโรงเรียนน้นั เป็นภาพลกั ษณ์ของวิชาพลศึกษาของโรงเรียนโดยตรง คือ ถ้าครูพลศึกษาได้ทา
ตนและปฏิบัติตนตามอุดมคติหรือหลักการและปรัชญาของการพลศึกษา เช่น เป็นผู้ที่มีสุขภาพดี มี
ร่างกายที่แข็งแรง มีน้าใจนักกีฬา มีจิตใจเอื้อเฝื้อเผื่อแผ่โอบอ้อมอารี ชอบช่วยเหลือเพื่อนครูคนอื่นๆ
และผู้เรียน ทาให้ครูพลศึกษาเป็นที่รักและนิยมชมชอบของเพื่อนครูคนอื่นๆ และผู้เรียน เป็นประจาโดย
สม่าเสมอแล้ว จะมีผลต่อการนิยมชมชอบในโครงการพลศึกษาและการกีฬาของโรงเรียนในระหว่างครู
คนอืน่ ๆ และผ้เู รียนในโรงเรียนน้ันด้วยเสมอ ดงั นั้น ครพู ลศึกษาในโรงเรียนควรจะปฏิบัติตนตามอุดมคติ
ของการพลศึกษาตลอดเวลา สาหรับหน้าทีแ่ ละความรับผิดชอบต่อวิชาชีพที่สาคัญทีค่ รพู ลศึกษาควรจะ
กระทาน้ันมีดังน้ี คือ
2.6.1 ก่อนอื่นน้ันครูพลศึกษาจะต้องมีความรักและศรัทธาในวิชาชีพพลศึกษา
อย่างแท้จริง ด้วยการกระทาตนและปฏิบัติตนตามอุดมคติหรือหลักการและปรัชญาของการพลศึกษา
อยู่เสมอตลอดเวลา เพื่อจะได้เป็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมในคุณค่าและคุณประโยชน์ของการพลศึกษา
แก่คนอื่นๆ ที่อยู่ในโรงเรียน การกระทาตนและการปฏิบัติตนตามที่กล่าวมาน้ี จะเป็นการช่วย
ประชาสัมพันธ์ถึงคุณค่าและคุณประโยชน์ของวิชาพลศึกษาในโรงเรียนได้เปน็ อย่างดี
2.6.2 ครูพลศึกษาควรจะหาโอกาสช่วยสร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่วิชาชีพ
ตามกาลังความสามารถที่มีอยู่ด้วยการบุกเบิกศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ทาการศึกษาค้นคว้า และทา
การวิจัยอยู่เสมอเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ใหม่ๆมาใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงการเรียนการสอน หรือ
การจดั และการดาเนินการในวิชาชีพได้เป็นผลดีและมีประสิทธิภาพยิ่งข้นึ
2.6.3 ครูพลศึกษาควรจะช่วยทาการประชาสัมพันธ์ให้แก่วิชาชีพด้วยการแสดง
ความคิดเห็นในทางการเขียนเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ การแสดงความคิดเห็นในที่ประชมุ หรือในทาง
สื่อต่างๆเพื่อให้คุณค่าและคุณประโยชน์ของวิชาชีพได้เป็นที่รู้จักแก่ประชาชนทั่วไป ทั้งน้ีรวมท้ังการทา
ตวั เป็นตัวอย่างตามอดุ มคติของวิชาพลศึกษาทกุ โอกาสและทุกสถานที่ด้วย
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 197
2.7 บทบาทหนา้ ที่และความรบั ผิดชอบที่เกีย่ วกบั ชุมชน
ห น้ า ที่ แ ล ะ ค ว า ม รั บ ผิ ด ช อ บ ที่ ส า คั ญ ข อ ง ค รู พ ล ศึ ก ษ า อ ย่ า ง ห นึ่ ง คื อ ก า ร ส ร้ า ง
ความสมั พันธ์อนั ดีให้เกิดขึ้นระหว่างโรงเรียนกับชมุ ชน ซึง่ อาจจะกระทาได้ดงั ต่อไปนี้
2.7.1 ควรจัดโปรแกรมการพลศึกษาให้ดีขึ้น เพื่อให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมอย่าง
ท่ัวถึงกันทุกคน และทาให้ผู้เรียนได้มีพัฒนาการทุกๆด้าน และบรรลุผลตามหลักการและปรัชญาของ
การพลศึกษาได้อย่างแท้จริง การที่ผู้เรียนทุกคนมีพัฒนาการและได้รับประโยชน์ของวิชาพลศึกษาแล้ว
ผู้เรียนก็จะมีเจตคติที่ดีต่อการพลศึกษาของโรงเรียน และช่วยเผยแพร่ความรู้สึกที่ดีน้ีให้แก่โรงเรียนไป
ในตัวด้วย วิธีการประชาสมั พันธ์โรงเรียนและโปรแกรมพลศึกษาที่ดีทีส่ ุดนั้นก็คือ ตัวผู้เรียนน่ันเอง ที่ทา
ให้พ่อแม่ผู้ปกครองของผู้เรียนมีความเข้าใจในโรงเรียนดีขึ้น และความสมั พันธ์อนั ดีกับโรงเรียนก็จะดีขึ้น
ตามด้วย
2.7.2 ครูพลศึกษาควรมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ที่ชุมชนได้จัดขึ้นท้ังในตอน
เย็นและตอนค่า เช่น กิจกรรมที่สมาคมผู้ปกครองและครูได้จัดขึ้น กิจกรรมเกี่ยวการนิทรรศการต่างๆ
โดยเฉพาะอย่างยิง่ กิจกรรมทีเ่ กีย่ วกับการพลศึกษา
2.7.3 โรงเรียนและชุมชนร่วมกันจัดกิจกรรมต่างๆขึ้น เช่น กิจกรรมทาง
พลศึกษา กิจกรรมคืนสู่เหย้า หรือ อื่นๆ จะช่วยทาให้มีความเข้าใจและมีความสัมพันธ์กันดีขึ้น
จะเห็นได้ว่าบทบาทหน้าที่ของครูพลศึกษาน้ันมีมากมาย จึงสาคัญอย่างยิ่งที่ครู
พลศึกษาจาเป็นต้องตระหนักและรักในสาขาวิชาชีพพลศึกษาและมุ่งมั่นในการพัฒนาตนเองเพื่อให้
สามารถดาเนินการจัดเรียนการสอนในวิชาชีพน้ีให้ได้มาตรฐาน เพื่อให้สามารถสร้างผ้เู รียนที่มีคุณภาพ
ให้กบั สงั คมและประเทศชาติในลาดบั ต่อไป
3. ลักษณะของครูพลศึกษาทีด่ ี
3.1 ลักษณะของครูที่ดี
ครพู ลศึกษาจกั ต้องมีคุณสมบตั ิหรือลักษณะของการเปน็ ครทู ี่ดี ซึ่งในหนังสือพุทธวิธีใน
การสอน โดยพระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยตุ โต) (2540). ได้นาเอาหลกั คาสอนของพระพุทธองค์มาอธิบาย
ถึงลกั ษณะของครูที่ดีมีดังน้ี
1. มีความรู้ความเข้าใจในเน้ือหา และขอบเขตของกฎเกณฑ์และหลกั การต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องและที่จะนามาใช้ในการสอนอย่างชัดเจน ตลอดจนรู้ขีดข้ันความสามารถของบุคคลที่มี
พัฒนาการอย่ใู นระดบั ต่างๆ
2. มีความร้คู วามเข้าใจกระบวนพฤติกรรมต่างๆ ของมนษุ ย์เปน็ อย่างดี
3. รู้วิธีการและกลวิธีปฏิบตั ิต่างๆ ทีจ่ ะนาเข้าส่เู ป้าหมายที่ต้องการ
4. มีความรู้ในวิชาสรีรวิทยาและจิตวิทยาอย่างน้อยให้ทราบองค์ประกอบต่างๆ
และปฏิบัติหน้าที่ของบุคคล และถ้าเป็นไปได้ควรมีความรู้ทั่วไปอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในทาง
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 198
วิทยาศาสตร์ เพื่อรู้จักสภาวะของสิ่งทั้งหลายและมีทัศนคติที่ถูกต้องต่อสิ่งเหล่านั้น อันจะเป็นเครื่อง
เพิ่มพูนประสิทธิภาพในการสอนให้ได้ผลดียิง่ ขึ้น
5. รู้ความแตกต่างระหว่างบุคคลในด้านความโน้มเอียง รวมท้ังแนวความสนใจ
และความถนดั โดยธรรมชาติ
6. รู้ความแตกต่างระหว่างบุคคลในด้านระดบั สติปัญญารวมทั้งความสามารถ
พัฒนาการด้านต่างๆและความพร้อมที่จะเรียนรู้
7. รู้ปัจจัยต่างๆที่เปน็ อปุ สรรคถ่วงหรือส่งเสริมเพิ่มพูนผลสาเรจ็ ของการเรียนรู้
และการฝึกอบรมในระดับต่างๆ กับรู้จักใช้เทคนิคต่างๆเข้าแก้ไขหรือส่งเสริม นาการเรียนรู้และการ
ฝึกอบรมให้ดาเนินก้าวหน้าไปด้วยดี
8. รู้ประวตั ิพ้นื เพเดิม และประสบการณ์ในอดีตของผ้เู รียน
9. พิจารณาสังเกตผู้เรียนในขณะที่เขามีบทบาทอยู่ในชีวิตจริงภายในกลุ่มชน
หรือสังคมสามารถรู้เท่ากัน และเข้าใจพฤติกรรมต่างๆที่เขาแสดงออกในขณะนั้นๆว่าเป็นผู้มีปัญหา
หรือไม่อย่างไรและตนเองสามารถ มองเห็นสาเหตุแห่งปัญหานั้น และพร้อมที่จะเข้าช่วยเหลือแก้ไขได้
ทนั ที
10. รู้ชัดเข้าใจแจ่มแจ้งและแน่ใจว่าผลสัมฤทธิ์ที่เป็นจุดหมายน้ันคืออะไร เป็น
อย่างไร และตนเองสามารถกระทาผลสาฤทธิน์ ั้นให้เกิดขึ้นได้จริงด้วย
ลักษณะของครูที่ดีตามหลักคาสอนในพระพุทธศาสนาอีกแง่มุมหนึ่งเกี่ยวกับ
คณุ ลักษณะของครทู ี่ดีนั้น ควรประกอบไปด้วย (ยนต์ ชุ่มจิต, 2541)
1. ปิโย คือการทาตวั ให้เปน็ ที่รกั แกศ่ ิษย์และบคุ คลทัว่ ไป
2. ครุ คือการเป็นบคุ คลทีม่ ีความหนักแนน่ มีจิตใจที่มนั่ คงน่า
เคารพ
3. ภาวนีโย คือการเปน็ ผ้ทู ีไ่ ดรับการยกย่องว่าเปน็ ผ้ทู ีม่ ีความ
ประพฤติอนั ดีงาม
4. วัตตา คือเป็นผ้ทู ี่มีความมานะในการตักเตือนสั่งสอนโดยไม่
เกรงกลัวว่าจะเกลียดหรือโกรธมีความเฉลียวฉลาดในการใช้คาพดู
5. วจนักขโม คือเป็นผ้ทู ีม่ ีความอดทนต่อถ้อยคาโดยมีเจตนาดีเปน็
ทีต่ ั้ง
6. คัมภีรญั จะกถงั กัตตา คือรู้จกั สอนจากง่ายไปยากหรือมีความลึกซ้งึ ข้นึ เป็น
ลาดบั
7. โนจฏั ฐาเนนิโยชเย คือรู้จกั การแนะนาในทางทถี่ ูกทีค่ วรไม่แนะนาออก
นอกล่นู อกทางไม่ชกั นาศิษย์ไปในทางทีต่ า่ ทราม
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลักและวิธสี อนพลศึกษา 199
3.2 ลักษณะครูพลศึกษาที่ดี
Baley และ Field (1976) ได้กล่าวถึงลักษณะของครูพลศึกษาที่ดีน้นั ควรประกอบด้วย
1. เปน็ ผ้มู ีสขุ ภาพดีท้งั ทางร่างกายและจิตใจ
2. เปน็ ผ้มู ีทักษะพื้นฐานในกีฬาประเภทต่างๆในระดบั ดี
3. เป็นผู้มีความสามารถในการถ่ายทอดในความรู้ทักษะต่างๆให้แก่ผู้เรียนและ
บุคคลอื่นได้เปน็ อย่างดี
4. เป็นผ้มู ีระเบียบวินัยมีบุคลิกลักษณะเหมาะสมกับการเป็นครูพลศึกษา ได้แก่
มีความคล่องแคล่วมีไหวพริบ รู้จักการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเป็นอย่างดี มีเหตุผล อารมณ์ดี เป็น
แบบอย่างที่ดี เปน็ ต้น
5. เป็นผ้ทู ี่รกั ษาสมรรถภาพทางกายให้แข็งแรงอย่เู สมอรวมท้ังเอาใจใส่กับการ
แต่งกายให้สะอาดเรียบร้อยเหมาะสมกบั กาลเทศะในโอกาสต่างๆ
สาหรับ วรศักดิ์ เพียรชอบ (2548) นั้นได้ให้คุณลักษณะของการเป็นครูพลศึกษาที่ดี 9
ประการ คือ
1. เป็นผ้ทู ี่มีความรู้ดีท้งั ในด้านวิชาการทวั่ ไปวิชาการศึกษาและวิชาพลศึกษา
2. เป็นผ้มู ีความรู้ความเข้าใจในหลักการและปรชั ญาการพลศึกษาเป็นอย่างดี
3. เป็นผู้มีความรักและมีความศรัทธาในวิชาชีพพลศึกษาด้วยความบริสุทธิ์ใจ
อย่างแท้จริง
4. เปน็ ผ้มู ีความรบั ผิดชอบสงู
5. เป็นผ้มู ีความคิดริเริม่ สร้างสรรค์และมีความกระตือรือร้นสูง
6. เป็นผ้ทู ีม่ ีบุคลิกภาพและสขุ ภาพดีมีร่างกายทีแ่ ขง็ แรงสมบูรณ์
7. เป็นผ้มู ีน้าใจนักกีฬามีจิตใจโอบอ้อมอารีเอื้อเฟอ้ื เผื่อแผ่
8. เป็นผ้มู ีความสนุกสนานและมีความรักเด็ก
9. เป็นผ้ทู ี่ยึดมนั่ ในจรรยาบรรณของวิชาชีพครูโดยเคร่งครดั
กล่าวโดยสรุปแล้ว ครูพลศึกษาน้ันนับว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทที่สาคัญในการเรียนการสอนวิชา
พลศึกษาเป็นอันมาก คือ การที่ผู้เรียนจะได้มีการเรียนรู้มีพัฒนาการตามหลักการและปรัชญาการ
พลศึกษา และสามารถนาความรู้และประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้จากการเรียนการสอนเหล่าน้ันไปใช้ใน
ชีวิตจริงได้ เพื่อจะได้เป็นพลเมืองที่มีสุขภาพและมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สมบูรณ์ สามารถทาหน้าที่ให้แก่
ตนเอง แก่สงั คม และแก่ประเทศชาติโดยส่วนรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพน้นั ก็จะขึ้นอย่กู บั ครูผ้สู อนและ
คงปฏิเสธไม่ได้ถึงบทบาทหน้าทีท่ ีม่ ีความสาคญั ยิ่งของครพู ลศึกษา ดงั น้ัน ถ้าหากว่าผ้ทู ีอ่ ยู่ในวิชาชีพพล
ศึกษาหรือครูพลศึกษาทุกคนได้รู้บทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบของตนเอง และพยายามทาตน
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 01172315: หลกั และวิธสี อนพลศึกษา 200
และปฏิบัติตนให้เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติให้พร้อมทาให้สามารถปฏิบัติหน้าที่และความรับผิดชอบของตนเอง
ได้เป็นอย่างดีและสมบูรณ์ พร้อมทั้งมีธรรมะเป็นอาภรณ์ประดบั ตัวเพื่อให้เป็นครูพลศึกษาและกีฬาที่มี
ความงามทั้ง กาย วาจา และใจ เป็นที่รัก ที่นิยม เลื่อมใส เชื่อถือของผู้เรียนและผู้ที่พบเห็นโดยทั่วไปดัง
ได้กล่าวมาแล้วก็เปน็ ทีเ่ ชื่อแน่ได้ว่า การเรียนการสอนของครพู ลศึกษาและกีฬาเหล่าน้นั จะบรรลุผลตาม
ความม่งุ หมายของวิชาพลศึกษาและกีฬาตามทีต่ ้องการและที่ได้วางไว้อย่างแน่นอน (วรศกั ดิ์ เพียรชอบ,
2548)
--------------------------------------------------
ผใู้ ดสอนบทความตามหลักสตู ร
คือผูพ้ ดู แทนตารากล้าขยนั
ใคร่ีวาุลกู ความดฝทปกวฝวเ นั
รูไ้ ว้่ถิดผู้น้นั นัเนแหละครู
...หมอ่ มหลวง ปิน่ มาลากุล...
ที่มา: http://www.theptdc.com/2011/07/physical-educator-teacher-what-resources-are-there-
for-me/