34 เล็กน้อยอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามเกษตรกรควรตรวจตราสภาพของดินอย่างสม่ำเสมอ หากบางพื้นที่ ประสบปัญหาสภาพดินเป็นกรด สามารถเติมปูนขาวลงไปในดินเพื่อให้เกิดสมดุลได้โดยไม่มี ผลข้างเคียงใด ๆ การเจริญเติบโตของพืชจะไม่ออกมาเป็นไปตามธรรมชาติจะมีการขยายพันธุ์ที่ รวดเร็วเกินไปเป็นจํานวนมากคล้ายกับห่วงโซ่อาหาร 6) ผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ แหล่งน้ำที่เป็นกรดไม่ก่อให้เกิดปัญหากับมนุษย์ เท่าไรนัก แต่อย่างไรก็ตามปัญหาที่สําคัญไม่ได้อยู่ที่ความเป็นกรดของน้ำ แต่อยู่ที่สารพิษที่ละลายมา จากดินลงสู่แหล่งน้ำต่างหาก ในสวีเดนมีทะเลสาบมากกว่าหนึ่งหมื่นแห่งที่ได้รับผลกระทบจากฝนกรด ทําให้มีสารปรอทละลายอยู่เป็นจํานวนมาก ประชาชนบริเวณแถบนั้นได้รับการเตือนโดยทางการไม่ให้ รับประทานปลาที่จับมาจากแหล่งน้ำเหล่านั้น สําหรับในอากาศกรดเหล่านี้อาจรวมตัวกับสารเคมี อื่น ๆ ก่อให้เกิดหมอกควันที่เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจและทำให้หายใจได้ลําบาก โดยเฉพาะกับคนที่มีโรคหอบหืด หรือโรคทางเดินหายใจอื่น ๆ อยู่แล้วอาการอาจกําเริบรุนแรงจนถึง แก่ชีวิตได้ 2.4.3 การแก้ไขและป้องกันปัญหาฝนกรด การลดปัญหาฝนกรดสามารถทําได้โดยการลดปริมาณก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์และออกไซด์ ของไนโตรเจนที่จะเข้าสู่บรรยากาศจากโรงงานไฟฟ้า ยานพาหนะ และโรงงานอุตสาหกรรมทั่วไป วิธีที่ ง่ายที่สุดคือการลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลโดยการประหยัดพลังงาน การใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มี ประสิทธิภาพ การใช้ระบบขนส่งมวลชน อีกทางเลือกหนึ่งคือการคัดเลือกเชื้อเพลิงที่จะนํามาใช้ เชื้อเพลิงที่น่าจับตามองในการป้องกันปัญหาฝนกรดมากที่สุดเห็นจะเป็นก๊าซธรรมชาติ เนื่องจากก๊าซ ธรรมชาติปลอดจากซัลเฟอร์และมีไนโตรเจนอยู่เพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตามก๊าซธรรมชาติมีราคาค่อน ข้างแพง มีปริมาณน้อยกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่น ๆ จึงเป็นปัญหาสําหรับประเทศที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ ใน การเลือกใช้เชื้อเพลิงที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมไว้ การใช้เตาเผาใหม่ก็สามารถลดปริมาณก๊าซออกไซด์ ของไนโตรเจนได้เช่นกัน (มหาวิทยาลัยรามคําแหง, 2556) 2.5 ผลกระทบของมนุษย์จากปัญหาสิ่งแวดล้อม 2.5.1 ปัญหาสิ่งแวดล้อม หมายถึง การที่สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปในทางลบอันเนื่องจาก กิจกรรมของมนุษย์และการเปลี่ยนแปลงนั้นสะสมเพิ่มขึ้น จนเกินขีดความสามารถในการปรับตัวของ สิ่งแวดล้อมจะรับได้ผลที่เกิดขึ้นคือความเสื่อมโทรมของทรัพยากรและปัญหามลพิษ เช่น คุณภาพน้ำ คุณภาพอากาศ คุณภาพดิน การสูญพันธุ์พืชและสัตว์ การสูญเสียความงามของทิวทัศน์ สามารถ จำแนกปัญหาสิ่งแวดล้อมได้เป็น 2 ลักษณะใหญ่ ๆ ดังนี้ (โครงการตำราวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์, 2565) 1) ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เกิดจากการนำ ทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ประโยชน์เพื่อสนองความต้องการที่ไม่สิ้นสุดของมนุษย์ทำให้ทรัพยากร ธรรมชาติที่มีอยู่ลดลงหรือหมดไปอย่างรวดเร็วจนธรรมชาติไม่อาจสร้างขึ้นทดแทนได้ ทำให้เกิดปัญหา การขาดแคลนทรัพยากร เช่น การลดลงของพื้นที่ป่าไม้ การลดลงของแร่และพลังงาน การลักลอบล่า สัตว์ป่า ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ ส่งผลต่อเนื่องทำให้เกิดความสูญเสียความ หลากหลายทางชีวภาพและสิ่งแวดล้อมเสียสมดุล 2) ปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อม เกิดจากที่สิ่งแวดล้อมเกิดการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบ ไปในทางเสื่อมลง โดยมนุษย์เป็นตัวการสำคัญ ตามธรรมชาติสิ่งแวดล้อมจะสามารถปรับตัวเอง (Self-
35 recovery) ให้คือสู่สภาวะสมดุลธรรมชาติได้ หากไม่ถูกรบกวนจากมนุษย์อีก แต่การเปลี่ยนแปลงที่ สะสมตัวขึ้นจนเกินขีดความสามารถในการรองรับได้ของสิ่งแวดล้อม (Carrying capacity) หรือ สมรรถนะการยอมมีได้ของสิ่งแวดล้อมนั้น เมื่อสิ่งแวดล้อมถูกรบกวน มีการปนเปื้อนของมลสารหรือ วัตถุมีพิษมากจนสิ่งแวดล้อมไม่สามารถฟื้นตัวเองตามธรรมชาติได้จึงทำให้เกิดปัญหามลพิษ สิ่งแวดล้อมตามมา เช่น อากาศมีก๊าซพิษจากท่อไอเสียรถยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม หรือกิจกรรม อื่น ๆ ของมนุษย์ปะปนอยู่ ทำให้สภาพอากาศไม่เหมาะกับการดำรงอยู่ของมนุษย์และสิ่งมีชีวิต เรียกว่า เกิดปัญหามลพิษทางอากาศ หรือเมื่อแหล่งน้ำมีการปนเปื้อนของสารพิษหรือมลสารจากน้ำ ตามบ้านเรือนและโรงงานอุตสาหกรรมถือว่าเป็นปัญหามลพิษทางน้ำ 2.5.2 ปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาสิ่งแวดล้อมเกิดจากเหตุและปัจจัยหลายประการ สรุปสาเหตุหลักได้ดังนี้ 1) การเพิ่มจำนวนประชากร (Population growth) เมื่อมีประชากรมากขึ้น ความ ต้องการบริโภคทรัพยากรจะเพิ่มมากขึ้นทุกทางไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร ที่อยู่อาศัยและพลังงาน ทำให้ มนุษย์มีความพยายามที่แสวงหาและนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ประโยชน์มากขึ้น ส่งผลโดยตรงต่อ อัตราการทำลายทรัพยากรธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน 2) การขยายตัวทางเศรษฐกิจ (Economic growth) ความเจริญทางเศรษฐกิจทำให้ มาตรฐานในการดำรงชีวิตสูงตามไปด้วย มีการบริโภคทรัพยากรจนเกินกว่าความจำเป็นขั้นพื้นฐาน ของชีวิต มีความต้องการเครื่องอำนวยความสะดวกสบายมากขึ้น นอกจากนี้ระบบเศรษฐกิจแบบทุน นิยมที่เน้นการแข่งขันทางการตลาดเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ผลักดันให้เกิดการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมมากขึ้น 3) ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี(Technological progress) ความก้าวหน้าทาง เทคโนโลยีช่วยส่งเสริมให้มีการนำทรัพยากรมาใช้ได้ง่ายและมากขึ้น จากการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือ เครื่องใช้ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพในการทำงานสูง ในบางกรณีการนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นผลดีต่อ เศรษฐกิจแต่มีผลเสียต่อการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การใช้เลื่อยไฟฟ้าตัดต้นไม้ นอกจากนี้ปัญหา ที่ตามมาจากการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาใช้อาจจะทำให้เกิดปัญหาของเสียหรือมลสาร ปัจจัยนี้เป็น ตัวเร่งให้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถูกทำลายอย่างรวดเร็วและง่ายขึ้น 4) การขาดความรู้และความเข้าใจ (Lack of knowledge) ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมถูกทำลายจากความไม่รู้และความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม ตลอดจนการขาดความตระหนักในความเป็นเจ้าของและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่าง ถูกวิธีและให้เกิดประโยชน์คุ้มค่าที่สุดตามหลักการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ 2.6 ข้อตกลงระหว่างประเทศด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและการทําลายชั้นโอโซนเป็นปัญหาระดับโลก องค์การ สิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme : UNEP) จึงได้จัดตั้ง คณะกรรมการประสานงานเรื่องชั้นโอโซนขึ้น ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากองค์กรต่าง ๆ เช่น องค์การ อุตุนิยมวิทยาโลก องค์การอนามัยโลกและองค์กรเอกชนที่เกี่ยวข้องและมีการจัดตั้งข้อตกลงระหว่าง ประเทศด้านสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
36 2.6.1 อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) ในช่วงทศวรรษที่ 1980 หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ได้เชื่อมโยงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากกิจกรรมของมนุษย์กับความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จากผลการศึกษาทาง วิทยาศาสตร์นําไปสู่การตระหนักถึงปัญหาและความกังวลของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น จึงได้มีการจัด ประชุมนานาชาติขึ้นและนําไปสู่การจัดตั้งคณะกรรมการการเจรจาระหว่างรัฐบาลด้านกรอบของ อนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Negotiating Committee for a Framework Convention on Climate Change: INC) ในปี พ.ศ. 2533 และต่อมา INC ได้ ยกร่างอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) ขึ้นและได้มีการลงมติรับรองในวันที่ 9 พฤษภาคม 2535 ณ สํานักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติ นครนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้นได้เปิดให้ มีการลงนามในระหว่างการประชุม Earth Summit ในเดือนมิถุนายน 2535 ณ กรุงริโอ เดอจาเนโร ประเทศบราซิล ซึ่งมีประเทศต่าง ๆ รวม 154 ประเทศได้ร่วมลงนามและมีผล บังคับใช้เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2537 (ค.ศ. 1994) ประเทศไทยลงนามในอนุสัญญานี้ ตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2532 และให้สัตยาบันเข้าเป็นภาคีเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2537 (สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย, 2564) 1) วัตถุประสงค์ของอนุสัญญาฯ วัตถุประสงค์ของอนุสัญญานี้ตั้งขึ้นเพื่อให้ประเทศต่าง ๆ ในโลกควบคุมปริมาณการ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่บรรยากาศ เพื่อป้องกันการเกิดปรากฏการณ์เรือนกระจกหรือภาวะโลก ร้อน ซึ่งจะมีผลกระทบต่อระบบนิเวศต่าง ๆ ของโลก และส่งผลกระทบต่อการดําเนินชีวิตของมนุษย์ โดยในอนุสัญญามีการกําหนดปริมาณก๊าซที่เป็นระดับที่จะรักษาไว้เป็นตัวเลขแน่นอน ด้วยหลักการ ป้องกันไว้ก่อน หลักความรับผิดชอบร่วมกันในระดับที่แตกต่าง หลักการสื่อสารด้านข้อมูลข่าวสาร และหลักการให้การช่วยเหลือกลุ่มที่ด้อยกว่า จากหลักการทั้งหมดที่กล่าวมาก่อให้เกิด ข้อตกลงหรือ กฎข้อบังคับอื่นตามมา ได้แก่ พิธีสารเกียวโต หน่ว ยงานรับผิ ดช อบ ได้แก่ The Secretariat of the United Nations Framework Convention on Climate Change และสํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 2) หลักการของอนุสัญญาฯ ในการดําเนินการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของอนุสัญญาฯ ประเทศภาคีสมาชิกต้อง ปฏิบัติตั้งอยู่บนหลักการพื้นฐาน ดังนี้ ประเทศภาคีควรจะปกป้องระบบภูมิอากาศเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ ทั้งในปัจจุบันและอนาคตบนหลักการของความเท่าเทียม การรับผิดชอบร่วมกันในระดับที่แตกต่างกัน และ ความสามารถของแต่ละประเทศ นอกจากนี้ประเทศอุตสาหกรรมต้องเป็นผู้นําในการต่อสู้กับ ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความต้องการของประเทศกําลังพัฒนาที่มีสภาวะเปราะบางต่อผลกระทบ ที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศควรจะได้รับการพิจารณาอย่างเต็มที่ ประเทศภาคีควรมีมาตรการป้องกันไว้ก่อนเพื่อคาดการณ์ ปกป้องหรือลด สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น โดยนโยบายและ
37 มาตรการต่าง ๆ ในการรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศควรจะมีความคุ้มค่าในการ ลงทุนเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อโลกโดยมีค่าใช้จ่ายต่ำสุด ประเทศภาคีควรจะให้การส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยนโยบายและ มาตรการต่าง ๆ ที่จะปกป้องการเปลี่ยนแปลงระบบภูมิอากาศจากการกระทําของมนุษย์นั้น ควรจะ เป็นมาตรการที่เหมาะสมต่อสภาวการณ์ของแต่ละประเทศ ประเทศภาคีควรจะมีความร่วมมือในการส่งเสริมการสนับสนุนทาง การเงินและการเปิดกว้างของระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศซึ่งจะนําไปสู่การเจริญเติบโตและการ พัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะประเทศกําลังพัฒนา (สํานักงานนโยบายและแผน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม, 2556) 2.6.2 พิธีสารเกียวโต (Kyoto protocol) พิธีสารเกียวโต คือ พิธีสารที่จัดตั้งขึ้นภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) เพื่อเพิ่มความเข้มข้นของพันธกรณี โดยจํากัดการปล่อยก๊าซเรือน กระจกของประเทศอุตสาหกรรม หรือที่เรียกว่าประเทศในกลุ่มภาคผนวกที่ 1 (Annex 1 Countries) ให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี พ.ศ. 2533 ประมาณร้อยละ 5 โดย จะต้องดําเนินการให้ได้ภายในช่วงปี พ.ศ. 2550-2555 (ค.ศ. 2008-2012) มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2548 (ค.ศ. 2005) ประกอบไปด้วย 28 มาตรา พิธีสารเกียวโตตั้งชื่อขึ้นตามสถานที่ใน การเจรจาที่เมืองเกียวโต เมืองหลวงเก่าของประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2540 และมีการ กําหนดชนิดก๊าซเรือนกระจกที่อยู่ภายใต้พิธีสารฯ 6 ชนิดคือ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มีเทน (CH4) ไนตรัสออกไซด์ (NO) ไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFCs) เปอร์ฟลูออโรคาร์บอน (PCFs) และซัลเฟอร์ เฮกซาฟลูโอไรด์ (SF) โดยการลดก๊าซเหล่านี้ให้คิดเทียบเป็นปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หลังจากอนุสัญญาฯ มีผลบังคับใช้แล้ว จะต้องมีการประชุมสมัชชาประเทศภาคี อนุสัญญา (Conference of the Parties : COP) ขึ้นทุกปี ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศภาคี สมาชิกร่วมกัน รักษาความเข้มข้นของปริมาณก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยเพื่อให้ระบบ นิเวศธรรมชาติสามารถปรับตัวได้และเพื่อเป็นการประกันว่าจะไม่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทาง อาหารและการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนแต่ไม่ได้กําหนดระดับหรือปริมาณก๊าซที่จะรักษาปริมาณไว้เป็น ตัวเลขที่แน่นอนและเพื่อบรรลุเป้าหมายของการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน โดยแบ่งประเท ศภาคี สมาชิกเป็นกลุ่มประเทศต่าง ๆ 3 กลุ่ม (พิธีสารเกียวโต, 2559) ได้แก่ 1) ประเทศในภาคผนวกที่ 1 (Annex I countries) หมายถึง กลุ่มประเทศที่พัฒนา แล้ว ในประเทศกลุ่ม Organization for Economic Co-operation and Development (OECD) และประเทศในกลุ่มยุโรปกลาง ยุโรปตะวันออกและประเทศรัสเซียที่ เรียกว่า “กลุ่มประเทศกําลัง เปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจ เป็นระบบตลาดเสรี” หรือ Economic in Transition: EIT ซึ่งมี พันธกรณีในการจํากัดและการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกให้อยู่ในระดับ เดียวกับปี พ.ศ. 2533 2) ประเทศในภาคผนวกที่ 2 (Annex II countries) หมายถึง กลุ่มประเทศ OECD ที่ เป็นสมาชิกภาคผนวกที่ 1 ซึ่งมีพันธะพิเศษในการกระจายเงินทุนเพื่อช่วยประเทศ ที่กําลังพัฒนาใน การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้านการถ่ายทอด เทคโนโลยี และวิธีการปฏิบัติ 3) ประเทศนอกภาคผนวกที่ 3 (Non-Annex 1) หมายถึง ประเทศที่กําลังพัฒนา (Developing country) ทั้งหมดไม่มีพันธกรณีในการลดก๊าซเรือนกระจก มีทั้งสิ้น 150 ประเทศ
38 การดําเนินการของประเทศไทย ประเทศไทยได้ลงนามในพิธีสารเกียวโต เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 และได้ให้สัตยาบันเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2545 คณะรัฐมนตรีมีมติ เห็นชอบการปฏิบัติตามพันธกรณีในพิธีสารเกียวโตกรณีการใช้คาร์บอนเครดิตในประเทศไทยเมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2545 อย่างไรก็ตามประเทศไทยในฐานะภาคีในกลุ่มประเทศกําลังพัฒนาในกลุ่ม Non-annex จึงไม่มีพันธกรณีในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ประเทศไทยได้นํากลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism: CDM) ซึ่งเป็นกลไกภายใต้พิธีสารเกียวโตมาดําเนินงาน โดยมีองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์กร มหาชน) หรือ อบก. ทําหน้าที่เป็น Designated National Authority of Clean Development Mechanism (DNA-CDM) Office ทําหน้าที่วิเคราะห์ กลั่นกรองโครงการกลไกการ พัฒนาที่สะอาด และให้ความเห็นแก่คณะกรรมการบริหารองค์การก๊าซเรือนกระจกว่าโครงการต่าง ๆ ที่ดําเนินงานใน ประเทศไทยควรจะได้รับความเห็นชอบ และออกหนังสือรับรองโครงการ (Letter of Approval: LoA) ให้กับผู้พัฒนาโครงการหรือไม่ ซึ่งโครงการดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ การพัฒนาที่ ยั่งยืนทั้งด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม (สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม, 2556) 2.6.3 อนุสัญญาเวียนนา เพื่อการปกป้องชั้นบรรยากาศโอโซน (The Vienna Convention for the Protection of the Ozone Layer) ในปี พ.ศ.2524 โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme : UNEP) ได้จัดตั้งคณะทํางานด้านกฎหมายและวิชาการ เพื่อวางโครงร่างสําหรับการ ปกป้องชั้นบรรยากาศโอโซน โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้นานาประเทศร่วมกันดําเนินการป้องกันชั้น โอโซนในบรรยากาศมิให้ถูกทําลายและร่วมกันแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากรูโหว่ของชั้นโอโซน โดยสนับสนุนให้เกิดการวิจัยและความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข่าวสารระหว่างประเทศต่าง ๆ นอกจากนี้อนุสัญญาฯ ยังประกอบด้วยข้อตกลงระหว่างประเทศที่จะลดและเลิกการใช้สารเคมีที่ ก่อให้เกิดการทําลายชั้นโอโซนอีกด้วย รวมถึงการดําเนินการควบคุมตามอนุสัญญาที่จะกําหนดขึ้นใน อนาคตด้วย แม้ว่าอนุสัญญาเวียนนาจะไม่ได้มีข้อกําหนดที่ต้องปฏิบัติเพื่อลดการผลิตและการใช้สารแต่ อนุสัญญาเวียนนาก็จัดเป็นอนุสัญญาที่สําคัญในประวัติศาสตร์ฉบับหนึ่งที่ประเทศต่าง ๆ ยอมรับ มาตรการป้องกันในการเจรจาระหว่างประเทศและเห็นพ้องกันในการที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นต่อ สิ่งแวดล้อมโลกก่อนที่จะมีผลการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์และเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงขึ้น โดยได้มีประเทศต่าง ๆ จํานวน 28 ประเทศร่วมกันให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาดังกล่าวครั้งแรกในเดือน มีนาคม พ.ศ. 2528 ปัจจุบันอนุสัญญาเวียนนามีสมาชิก 198 ประเทศ (ข้อมูลเมื่อ 30 กันยายน 2566) ประเทศ ไทยให้ภาคยานุวัตรเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาเวียนนาเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2532 (สารานุกรมเสรี, 2566) 2.6.4 พิธีสารมอนทรีออล (Montreal protocol) พิธีสารมอนทรีออล คือ สนธิสัญญาสากลที่ถูกกําหนดขึ้นเพื่อควบคุม ยับยั้ง และรณรงค์ให้ลด การผลิตและการใช้สารทําลายชั้นบรรยากาศโอโซน เพื่อรักษาชั้นบรรยากาศโอโซนที่เริ่มจะสูญสลาย ไปเนื่องจากสารเหล่านี้ ได้แก่ กลุ่มสารประกอบประเภทไฮโดรคาร์บอน-ฮาโลเจนซึ่งเป็นสารที่มี ส่วนผสมของคลอรีนหรือโบรมีนประกอบอยู่ด้วย
39 นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าสารเคมีบางชนิด เช่น คลอโรฟลูออโรคาร์บอน หรือ CFCs ที่มนุษย์ สังเคราะห์ขึ้นและนํามาใช้กันอย่างแพร่หลาย ได้ขึ้นไปทําลายชั้นโอโซนทําให้เกิดช่องว่างในชั้น บรรยากาศสตราโตสเฟียร์ ชั้นโอโซนมีความสําคัญเนื่องจากเป็นเสมือนเกราะป้องกัน ไม่ให้รังสีอุลตร้า ไวโอเลต ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกตกลงมาในบรรยากาศโลกได้ประกอบกับมีการค้นพบรูรั่ว ของชั้นโอโซนที่แอนตาร์กติกในปลายปี พ.ศ. 2528 ทําให้หลายส่วนตระหนักถึงภัยของปัญหานี้และ เห็นว่า จําเป็นต้องมีมาตรการลดการใช้สารทําลายโอโซนอย่างเข้มงวดขึ้น ในปีเดียวกันนี้จึงได้เกิด อนุสัญญาเวียนนาขึ้น ซึ่งเป็นอนุสัญญาที่ว่าด้วยเรื่องการป้องกันชั้นโอโซนในบรรยากาศโลก โดย โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ หลังจากนั้นอีก 2 ปี พิธีสารมอนทรีออลจึงถูกจัดทําขึ้นเมื่อ 16 กันยายน พ.ศ. 2530 เป้าหมายของอนุสัญญาเวียนนาเน้นในเรื่องการประสานความร่วมมือด้านการวิจัย การเฝ้า สังเกตการณ์ชั้นโอโซนอย่างเป็นระบบการติดตามการผลิตสาร CFCs และการแลกเปลี่ยนข้อมูล ระหว่างกัน ส่วนพิธีสารมอนทรีออลมีเป้าหมายเพื่อให้ประเทศต่าง ๆ ร่วมกันจัดทําแผนดําเนินการ กําหนดมาตรการควบคุมการผลิต การใช้ การจํากัด การลดหรือเลิกใช้สารเคมีที่ทําลายชั้น โอโซน ได้แก่ คลอโรฟลูออโรคาร์บอน ฮาลอน คาร์บอนเตตระคลอไรด์ เมทิลคลอโรฟอร์ม และเมทิลโบรไมด์ รวมทั้งติดตามตรวจสอบและประสานงานเพื่อดําเนินการลดและเลิกใช้สารเคมีที่ทําลายชั้นโอโซนตาม วัตถุประสงค์อย่างเป็นรูปธรรมและที่มีผลบังคับทางกฎหมาย พิธีสารมอนทรีออลมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2532 หลังจากนั้นได้มีการ ปรับแก้มาตรการควบคุมการใช้สารทําลายโอโซนอีก 5 ครั้งได้แก่ ในการประชุมที่ลอนดอน พ.ศ. 2533 โคเปนเฮเก้น ปี พ.ศ. 2535 เวียนนา ปี พ.ศ. 2538 มอนทรีออล ปี พ.ศ. 2540 และที่ปักกิ่ง ปี พ.ศ. 2542 สําหรับประเทศไทยได้ร่วมลงนามเป็นสมาชิกอนุสัญญาเวียนนาและพิธีสารมอนทรีออล ไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 มาตรการควบคุมตามพิธีสารมอนทรีออล หลักประกอบด้วยการควบคุม ปริมาณการใช้และการผลิตไม่ให้เพิ่มขึ้นตามลําดับความจําเป็น ซึ่งมีระยะเวลาและปริมาณควบคุม แตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่มสารและความจําเป็นของประเทศนั้น ๆ เมื่อควบคุมปริมาณการใช้แล้ว จะต้องดําเนินการยกเลิกการใช้และผลิตในระยะเวลาที่กําหนด ซึ่งหน่วยงานรับผิดชอบ ได้แก่ United Nations Environment Programme: UNEP และกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม 2.7 บทสรุป ปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อมวลมนุษยชาติคือ ปัญหา สิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ซึ่งปัญหาสิ่งแวดล้อมระดับโลกนี้ เกิดขึ้นจากการกระทําของมนุษย์เป็นส่วนใหญ่ มนุษย์ทํากิจกรรมต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม ขึ้น กิจกรรมต่างๆ มาจากชุมชน อุตสาหกรรม การคมนาคม และเกษตรกรรม ไม่ว่าจะเป็นการเผา ไหม้จะก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากในชั้นบรรยากาศ ส่งผลทําให้เกิดปรากฏการณ์เรือน กระจกมีผลทําให้เกิดภาวะโลกร้อน นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการลดลงของโอโซน ฝนกรด ซึ่งล้วน แล้วแต่มาจากการกระทําของมนุษย์ทั้งสิ้น ดังนั้น เราจำเป็นต้องเรียนรู้เกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมของ โลก ผลกระทบของมนุษย์กับปัญหาสิ่งแวดล้อมเพื่อที่จะช่วยให้เราทราบถึงสาเหตุและวิธีการป้องกัน ปัญหาสิ่งแวดล้อมของโลกสามารถนําไปปฏิบัติเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการลดและป้องกันปัญหา สิ่งแวดล้อมของโลกที่เราอาศัยอยู่ได้
40 2.8 กิจกรรมเสริมการเรียนรู้ 1. ในฐานะที่นักศึกษาเป็นประชากรโลก จงเสนอความคิดเห็นในการปฏิบัติตนเพื่อลดภาวะ โลกร้อน และปรากฎการณ์การลดลงของโอโซน 2. วิเคราะห์ข่าวปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยให้นักศึกษา ศึกษาปัญหาสิ่งแวดล้อมจากข่าวเรื่อง ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่นักศึกษาสนใจจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ คนละ 1 ข่าว และวิเคราะห์ตามหัวข้อตามที่ กำหนดให้ และนำเสนอหน้าชั้นเรียน (ภาคผนวก 3) 2.9 คำถามท้ายบทที่ 2 1. ปรากฎการณ์เรือนกระจกคืออะไร และก๊าซเรือนกระจกมีกี่ชนิด อะไรบ้าง 2. ภาวะโลกร้อนมีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง 3. จงยกตัวอย่างผลกระทบที่เกิดจากภาวะโลกร้อน และแนวทางป้องกันแก้ไข 4. ภาวะโลกร้อนเกี่ยวข้องกับปรากฎการณ์เรือนกระจกอย่างไร 5. สารมลพิษใดที่ทำให้โอโซนลดลง จะมีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและมนุษย์อย่างไร 6. ปรากฏการณ์การลดลงของโอโซน แหล่งที่มาของสารมลพิษนี้มาจากแหล่งใด 7. เราจะมวิธีป้องกันไม่ให้โอโซนชั้นบรรยากาศลดลงได้อย่างไร 2.10 เอกสารอ้างอิง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2556). ฝนกรด. (Online). Available: http://ajutarut.files.wordpress.com/2013/07/ir16pdf (สืบค้นข้อมูลวันที่ 26 ธันวาคม 2566). คณะกรรมการวิชาสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีและชีวิต. (2551). สิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี และชีวิต. พิมพ์ ครั้งที่ 9. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. โครงการตำราวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ มูลนิธิ สอวน. 2565. ภูมิศาสตร์กายภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: บริษัท ด่านสุทธาการพิมพ์ จำกัด. ชัชพล ทรงสุนทรวงศ์. (2555). มนุษย์กับสิ่งแวดล้อม. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. มหาวิทยาลัยรามคำแหง. (2556). ปรากฎการณ์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ. (Online). Available: http://e-book.ram.edu/e-book/g/GE410/chapter12.pdf (สืบค้นข้อมูลวันที่ 15 ธันวาคม 2566). ลินน์ เชอรี่ และแกรี บราซ. (2555). การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ. กรุงเทพฯ: นานมีบุ๊คพับลิเคชั่น. วันโอโซนสากลในเปิดประตูสู่โลกวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2556). (Online). Available: http://www.vcharkarn.com/varticle/38186 (สืบค้นข้อมูลวันที่ 15 ธันวาคม 2566). สถาบันสิ่งแวดล้อม. (2564). อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ. (Online). Available: https://www.tei.or.th/th/environment_news_detail.php?eid =1463 (สืบค้น ข้อมูลวันที่ 15 ธันวาคม 2566). สารานุกรมเสรี. (2566). อนุสัญญาเวียนนาว่าด้วยเรื่องการคุ้มครองชั้นโอโซน. (Online). Available: https://th.wikipedia.org/wiki/ (สืบค้นข้อมูลวันที่ 15 ธันวาคม 2566).
41 สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. (2556). อนุสัญญา สหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ. (Online). Available: http://www.onep.th.th/library/index.php?option=com_content&view=article&i d=65:2012-04-11-06-53-59 (สืบค้นข้อมูลวันที่ 15 ธันวาคม 2566). สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน. (2559). พิธีสารโตเกียว. (Online). Available: https://www.eppo.go.th/index.php/th/planpolicy/climatechange/unitednation /kyotocol-protocol/kyotocol-protocoll (สืบค้นข้อมูลวันที่ 15 ธันวาคม 2566). อัล กอร์. (2553). โลกร้อนฉบับคนรุ่นใหม่. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มติชน
42 ที่มา: มนษิรดาทองเกิด, 2562 บทที่ 3 การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม สาระสำคัญ 3.1 เกริ่นนำ 3.2 ความหมายของการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 3.3 สาเหตุที่ต้องมีการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 3.4 แนวคิดในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 3.5 กลยุทธ์ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 3.6 การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 3.7 มาตรการในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 3.8 แนวทางที่เกี่ยวข้องในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม 3.9 บทสรุป 3.10 กิจกรรมเสริมการเรียนรู้ 3.11 คำถามท้ายบทที่ 3 3.12 เอกสารอ้างอิง
43 3.1 เกริ่นนำ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีความสําคัญต่อมนุษย์ในหลาย ๆ ด้านโดยเฉพาะเป็น ปัจจัยสี่ในการดํารงชีวิต ได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค และที่อยู่อาศัย และมนุษย์เองเป็นผู้ ดัดแปลงและใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาทําให้การใช้ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น ซึ่งความเจริญก้าวหน้าทาง เทคโนโลยีส่งผลให้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่เริ่มลดปริมาณลงและบางชนิดใกล้หมดสิ้น เกิดปัญหา การขาดแคลน ทรัพยากรธรรมชาติและก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ควบคู่ไปกับการพัฒนา เศรษฐกิจของ ประเทศ ดังนั้นเพื่อให้มีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นปัจจัยสําคัญของ การพัฒนาประเทศใช้ในการพัฒนาประเทศในอนาคตต่อไป จึงควรมีการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการมีความรัดกุม ระมัดระวังและคํานึงถึงการอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อสงวนและรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไว้ใช้ต่อไป ตราบนานเท่านานควบคู่ไปกับการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป 3.2 ความหมายของการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การจัดการ (Management) หมายถึง การดําเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งด้านการจัดหา การเก็บรักษา การซ่อมแซม การใช้อย่างประหยัด และการสงวนรักษา เพื่อให้ กิจกรรมที่ดําเนินการนั้น สามารถให้ผลยั่งยืนต่อมวลมนุษย์และธรรมชาติ โดยหลักการแล้ว "การ จัดการ" จะต้องมีแนวทางการดําเนินงานและขั้นตอน รวมทั้งจุดประสงค์ในการดําเนินงานที่ชัดเจน แน่นอน (การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, 2556) การจัดการ หมายถึง การดําเนินการที่มีรูปแบบและเป็นขั้นตอน มีลักษณะเป็นกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ มีจุดเริ่มต้น มีทิศทางเดินของสิ่งที่จะดําเนินการและมีจุดสิ้นสุดของงานตาม วัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้ (เกษม จันทร์แก้ว, 2547 อ้างใน ศศินา ภารา, 2550) การจัดการสิ่งแวดล้อม (Environmental Management) หมายถึง กระบวนการสร้าง ศักยภาพการคงสภาพความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและการควบคุมกิจกรรมการจัดการ เพื่อเอื้อ ประโยชน์ต่อมนุษย์ต่อไป (เกษม จันทร์แก้ว, 2547) การจัดการสิ่งแวดล้อม คือ การดําเนินงานเพื่อสนองความต้องการของมนุษย์โดยไม่มี ผลกระทบต่อระบบสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้เพื่อจะได้มีทรัพยากรไว้ใช้ตลอดไปหรือการกําหนดกิจกรรมใน การนําทรัพยากรมาใช้ (ศศินา ภารา, 2550) การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (Natural Resources and Environmental Management) หมายถึง การดําเนินงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมตามหลักการอนุรักษ์ มีบุคคล องค์กร หน่วยงานต่าง ๆ เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องเพื่อ พัฒนาการใช้ประโยชน์ในทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อคุณภาพ สิ่งแวดล้อม (ศศินา ภารา, 2550) การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หมายถึง การดําเนินงานต่อ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการจัดหา การเก็บรักษา การ ซ่อมแซม การใช้อย่างประหยัดและการสงวนรักษาเพื่อให้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั้น สามารถเอื้ออํานวยประโยชน์แก่มวลมนุษย์ได้ใช้ตลอดไปอย่างไม่ขาดแคลนหรือมีปัญหาใด ๆ หรือ
44 อาจจะหมายถึง กระบวนการจัดการ แผนงาน หรือกิจกรรมในการจัดสรรและการใช้ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อสนองความต้องการในระดับต่าง ๆ ของมนุษย์และเพื่อให้ บรรลุเป้าหมายสูงสุดของการพัฒนาคือ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ สังคมและคุณภาพสิ่งแวดล้อม โดย ยึดหลักการอนุรักษ์ด้วยการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างฉลาด ประหยัดและก่อให้เกิด ผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุดเท่าที่จะทําได้ (การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, 2556) จากความหมายข้างต้น จึงกล่าวได้ว่า การดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ที่เกิดขึ้นทั้งใน ครัวเรือน ชุมชน ภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรม การผลิตสินค้าบริการทุกกิจกรรมที่ก่อให้เกิดของเสีย ขึ้น กิจกรรมที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจะต้องมีการดําเนินงานป้องกัน แก้ไขผลกระทบที่ เกิดขึ้นจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หมายถึง การนํา ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมาใช้ตอบสนองความต้องการของมนุษย์ โดยมีการวางแผนการใช้ ที่ดีและเหมาะสม มีผลกระทบทางลบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมทั้งทางตรงและทางอ้อมน้อยที่สุด การ นําทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ต้องยึดหลักการอนุรักษ์เสมอ มีบุคคล องค์กร หน่วยงานต่าง ๆ เข้ามามี ส่วนเกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาการใช้ประโยชน์ในทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน และไม่ก่อให้เกิดความ เสียหายต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม 3.3 สาเหตุที่ต้องมีการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งสําคัญที่ก่อให้เกิดปัจจัยสี่ สิ่งอํานวยความสะดวกมี ความสําคัญต่อการดํารงชีวิตของมนุษย์ มีความจําเป็นอย่างยิ่งในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมเนื่องจากสาเหตุดังนี้ 1) ประชากรของโลกเพิ่มจํานวนมากขึ้น ก่อให้เกิดความต้องการใช้ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น ในการสนองความต้องการของมนุษย์และมีการใช้ ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสิ้นเปลือง 2) ทรัพยากรธรรมชาติมีอยู่อย่างจํากัด ไม่เพียงพอกับความต้องการของมนุษย์ ทรัพยากรธรรมชาติเป็นปัจจัยจําเป็นที่มนุษย์ต้องนํามาใช้ในการดํารงชีวิต แต่ยิ่งนับวัน ทรัพยากรธรรมชาติยิ่งลดปริมาณลงเรื่อย ๆ และสิ่งแวดล้อมก็มีคุณภาพเสื่อมโทรมลง ธรรมชาติไม่ สามารถฟื้นฟูตนเองได้ทันต่ออัตราการทําลายที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ระยะเวลาในการการฟื้นฟูของ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมขึ้นอยู่กับชนิดของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 3) ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบางชนิดเป็นสิ่งที่ใช้แล้วหมดสิ้นไป เช่น แร่ ธาตุ ดังนั้นมนุษย์ต้องช่วยกันอนุรักษ์และจัดการกับทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อป้องกันการขาดแคลน และเพื่อมนุษย์จะได้ใช้ทรัพยากรได้นานเท่านาน 4) ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน ก่อให้เกิดการทําลาย ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างรวดเร็ว ทําให้เกิดการสูญเสียอย่างไม่สิ้นสุด มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยี 5) ค่านิยมและพฤติกรรมการบริโภคของมนุษย์ มนุษย์มีพฤติกรรมในการบริโภคที่ สูงขึ้น หรือเกิดค่านิยมในการบริโภคเปลี่ยนไป เป็นสังคมบริโภควัตถุนิยมเกินความจําเป็นขั้นพื้นฐาน ของมนุษย์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ถูกทําลายโดยขาดการวางแผนการใช้และการ ป้องกันแก้ไข จึงก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับประเทศและระดับโลก เช่น เกิด
45 ภาวะโลกร้อน ภัยธรรมชาติที่รุนแรงมากขึ้น มลพิษสิ่งแวดล้อมด้านต่าง ๆ เกิดการสูญเสียความ หลากหลายทางชีวภาพ เป็นต้น 6) ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องส่งเสริมความเจริญทางด้าน เศรษฐกิจ และ มีประโยชน์ต่อการดํารงชีวิต หากประเทศใดรู้จักการจัดการและอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้คงอยู่หรือยืดอายุการใช้งานออกไปได้มากเท่าใด จะทําให้ ประเทศนั้นมีเศรษฐกิจที่มั่นคง ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีและดํารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่าง สะดวกสบาย 3.4 แนวความคิดในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีแนวความคิดหลักในการดําเนินงาน ดังนี้คือ 3.4.1 มุ่งหวังให้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ประกอบกันอยู่ในระบบ ธรรมชาติมีศักยภาพที่สามารถให้ผลิตผลได้อย่างยั่งยืนถาวรและมั่นคง คือ มุ่งหวังให้เกิดความเพิ่มพูน ภายในระบบที่จะนํามาใช้ได้ โดยไม่มีผลกระทบกระเทือนต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 3.4.2 ต้องมีการจัดองค์ประกอบภายในระบบธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อมหรือระบบ นิเวศให้มีชนิดปริมาณและสัดส่วนของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแต่ละชนิดเป็นไปตามเกณฑ์ มาตรฐานตามธรรมชาติเพื่อให้อยู่ในภาวะสมดุลของธรรมชาติ 3.4.3 ต้องยึดหลักการของอนุรักษ์วิทยาเป็นพื้นฐาน โดยจะต้องมีการรักษา สงวน ปรับปรุง ซ่อมแซม และพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติในทุกสภาพทั้งในสภาพที่ดีตามธรรมชาติในสภาพที่ กําลังมีการใช้และในสภาพที่ทรุดโทรมลง 3.4.4 กําหนดแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในการควบคุมและกําจัดของเสียมิให้เกิดขึ้น ภายในระบบธรรมชาติ รวมไปถึงการนําของเสียนั้น ๆ กลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างต่อเนื่อง 3.4.5 ต้องกําหนดแนวทางในการจัดการเพื่อให้คุณภาพชีวิตของมนุษย์ดีขึ้น โดย พิจารณาถึงความเหมาะสมในแต่ละสถานที่และแต่ละสถานการณ์ 3.5 กลยุทธ์ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะต้องมีแนวทางและมาตรการต่าง ๆ ที่ต้อง ดําเนินการให้สอดคล้องกันไป ซึ่งขึ้นกับสถานภาพของปัญหาที่เกิดขึ้น และเป็นอยู่ในขณะนั้น แนวทาง และมาตรการดังกล่าว จะมีลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใด หรือมีทุกลักษณะประกอบกัน ดังนี้ 3.5.1 การรักษาและฟื้นฟู เพื่อการปรับปรุงแก้ไขทรัพยากรธรรมชาติ และ สิ่งแวดล้อมที่ประสบปัญหาหรือถูกทําลายไปแล้ว โดยจะต้องเร่งแก้ไข สงวนรักษามิให้เกิดความเสื่อม โทรมมากยิ่งขึ้น และขณะเดียวกันจะต้องฟื้นฟูสภาพแวดล้อมที่เสียไปให้กลับฟื้นคืนสภาพ 3.5.2 การป้องกัน โดยการควบคุมการดําเนินงาน และการพัฒนาต่าง ๆ ให้มีการ ป้องกันการทําลายสภาพแวดล้อมหรือให้มีการกําจัดสารมลพิษต่าง ๆ ด้วยการวางแผนป้องกันตั้งแต่ เริ่มดําเนินโครงการ 3.5.3 การส่งเสริม โดยการให้การศึกษา ความรู้และความเข้าใจต่อประชาชน เกี่ยวกับความสัมพันธ์ในระบบทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือระบบนิเวศเพื่อให้เกิดจิตสํานึก ทางด้านสิ่งแวดล้อม มีความคิดที่จะร่วมรับผิดชอบในการป้องกันรักษาทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมที่มีอยู่
46 3.6 การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนเป็นการ ดําเนินการที่เริ่มต้นขึ้นจากพื้นฐานของการอนุรักษ์ 3.6.1 ความหมายของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ(Natural resources Conservation) หมายถึง การรู้จักใช้ ทรัพยากรธรรมชาติอย่างชาญฉลาดให้เป็นประโยชน์ต่อมหาชนมากที่สุดและใช้เป็นเวลานานที่สุด ทั้งนี้ต้องให้สูญเสียทรัพยากรธรรมชาติโดยเปล่าประโยชน์น้อยที่สุดและจะต้องกระจายการใช้ ประโยชน์โดยทั่วถึงกันด้วย (รุ้งเพชร แข็งแรง, 2556) การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (Environmental and Natural Resources Conservation) หมายถึง การใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างฉลาด โดยใช้ ให้น้อยเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยคํานึงถึงระยะเวลาในการใช้ให้ยาวนาน และก่อให้เกิดผล เสียหายต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด รวมทั้งต้องมีการกระจายการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างทั่วถึง อย่างไรก็ตามในสภาพปัจจุบันทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีความเสื่อมโทรมมากขึ้น ดังนั้น การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจึงมีความหมายรวมไปถึงการพัฒนาคุณภาพ สิ่งแวดล้อมด้วย การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ จะมีลักษณะของการจัดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติแต่ละ ประเภทอย่างฉลาด ทรัพยากรธรรมชาติชนิดใดหาอยากหรือลดจํานวนน้อยลง ถ้านํามาใช้ประโยชน์ อาจทําให้เกิดผลเสียหายได้ในสภาพนี้จะต้องนําหลักของการสงวนมาใช้ และในการใช้อย่างประหยัด และพยายามเพิ่มปริมาณให้เพียงพอก่อนที่จะนําไปใช้ในอนาคตสิ่งที่สําคัญคือ ควรหาวิธีการที่จะทําให้ มีทรัพยากรธรรมชาติไว้ใช้ตลอดไป 3.6.2 หลักการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หลักการที่ 1 การใช้แบบยั่งยืน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทุกประเภทต้องมี แผนการใช้แบบยั่งยืน (Sustainable Utilization) ซึ่งต้องวางแผนการใช้ตามสมบัติเฉพาะตัวของ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั้น ๆ พร้อมทั้งเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมที่จะนําทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมาใช้ปริมาณการเก็บเกี่ยวเพื่อการใช้ ช่วงเวลาที่จะนําไปใช้และการกําจัด บําบัดของเสียและมลพิษให้หมดไปหรือเหลือน้อยจนไม่มีพิษภัย หลักการที่ 2 การฟื้นฟูสิ่งเสื่อมโทรม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์ สร้างขึ้น เมื่อมีการใช้แล้วย่อมเกิดการเสื่อมโทรมเพราะการใช้เทคโนโลยีไม่เหมาะสม เก็บเกี่ยวมากเกิน ความสามารถในการปรับตัวของระบบมีสารพิษเกิดขึ้น เก็บเกี่ยวบ่อยเกินไปและไม่ถูกต้องตาม กาลเวลา จําเป็นต้องทําการฟื้นฟูให้ดีเสียก่อนจนทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อมนั้น ๆ ตั้งตัวได้ จึงสามารถนําไปใช้ในโอกาสต่อไปอาจใช้เวลาในการฟื้นฟู การกําจัด การบําบัดหรือการทดแทนเป็นปี หลักการที่ 3 การสงวนของหายาก ทรัพยากรธรรมชาติบางชนิดมีการใช้มากเกินไปหรือมีการ แปรสภาพเป็นสิ่งอื่นทําให้บางชนิดของทรัพยากรสิ่งแวดล้อมหายาก ถ้าปล่อยให้มีการใช้เกิดขึ้นแล้ว อาจทําให้เกิดการสูญพันธุ์ได้ จําเป็นต้องสงวนหรือเก็บไว้เพื่อเป็นแม่พันธุ์หรือเป็นตัวแม่บทในการผลิต ให้มากขึ้น จนแน่นใจว่าได้ผลผลิตมากพอแล้วก็สามารถนํามาใช้ประโยชน์ได้ สิ่งที่ต้องคํานึงในการ อนุรักษ์และจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สิ่งที่ต้องคํานึงถึงเพื่อให้เหมาะสมและได้รับ ประโยชน์สูงสุด มีดังนี้
47 1) การอนุรักษ์และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ต้องคํานึงถึงทรัพยากรธรรมชาติ อื่นควบคู่กันไปเพราะทรัพยากรธรรมชาติต่างก็มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์และส่งผลต่อกันอย่างแยก ไม่ได้ 2) การวางแผนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างชาญฉลาดต้องเชื่อมโยงกับการ พัฒนาสังคมเศรษฐกิจ การเมืองและคุณภาพชีวิตอย่างกลมกลืน ตลอดจนรักษาไว้ซึ่งความสมดุลของ ระบบนิเวศควบคู่กันไป 3) การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย ทั้งประชาชนในเมืองใน ชนบทและผู้บริหารทุกคนควรตระหนักถึงความสําคัญของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมตลอดเวลา โดย เริ่มต้นที่ตนเองและท้องถิ่นของตน ร่วมมือกันทั้งภายในประเทศและทั้งโลก 4) ความสําเร็จของการพัฒนาประเทศนั้นขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์และความ ปลอดภัยของทรัพยากรธรรมชาติ ดังนั้นการทําลายทรัพยากรธรรมชาติจึงเป็นการทําลายมรดกและ อนาคตของชาติด้วย 5) ประเทศมหาอํานาจที่มีความเจริญทางด้านอุตสาหกรรมมีความต้องการ ทรัพยากรธรรมชาติเป็นจํานวนมากเพื่อใช้ป้อนโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศของตน ดังนั้นประเทศ ที่กําลังพัฒนาทั้งหลายจึงต้องช่วยกันป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์ของประเทศมหาอํานาจ 6) มนุษย์สามารถนําเทคโนโลยีต่าง ๆ มาช่วยในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติได้ แต่การจัดการนั้นไม่ควรมุ่งเพียงเพื่อการอยู่ดีกินดีเท่านั้น ต้องคํานึงถึงผลดีทางด้านจิตใจด้วย 7) การใช้ทรัพยากรธรรมชาติในสิ่งแวดล้อมแต่ละแห่งนั้น จําเป็นต้องมีความรู้ในการ รักษาทรัพยากรธรรมชาติที่จะให้ประโยชน์แก่มนุษย์ทุกแง่ทุกมุม ทั้งข้อดีและข้อเสียโดยคํานึงถึงการ สูญเปล่าอันเกิดจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติด้วย 8) รักษาทรัพยากรธรรมชาติที่จําเป็นและหายากด้วยความระมัดระวังพร้อมทั้ง ประโยชน์และการทําให้อยู่ในสภาพที่เพิ่มทั้งทางด้านกายภาพและเศรษฐกิจเท่าที่ทําได้ รวมทั้งจะต้อง ตระหนักเสมอว่าการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มากเกินไปจะไม่เป็นการปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม 9) ต้องรักษาทรัพยากรที่ทดแทนได้ โดยให้มีอัตราการผลิตเท่ากับอัตราการใช้หรือ อัตราการเกิดเท่ากับอัตราการตายเป็นอย่างน้อย 10) หาทางปรับปรุงวิธีการใหม่ๆ ในการผลิตและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมี ประสิทธิภาพอีกทั้งพยายามค้นคว้าสิ่งใหม่มาใช้ทดแทน 11) ให้การศึกษาเพื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงความสําคัญในการรักษาทรัพยากร 3.7 มาตรการในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มาตรการการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสามารถกระทําได้หลายวิธี ทั้ง ทางตรงและทางอ้อม ดังนี้ 3.7.1 การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยทางตรง เป็นวิธีการที่จะปฏิบัติ ต่อทรัพยากรธรรมชาติโดยตรงเพื่อถนอมรักษาและใช้ทรัพยากรอย่างฉลาดที่สุด มีวิธีการที่สําคัญ มี 8 วิธี ดังนี้ 1) การถนอม เป็นการพยายามใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างประหยัดใช้เท่าที่มีเพื่อ รักษาทรัพยากรธรรมชาติทั้งปริมาณและคุณภาพให้มีอยู่นานที่สุดโดย เช่น การสร้างเขื่อนเพื่อ ถนอม น้ำไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง การเลือกจับปลาที่มีขนาดโตมาใช้ในการบริโภค ไม่จับปลาที่มีขนาดเล็กเกินไป
48 เพื่อให้ปลาเหล่านั้นได้มีโอกาสโตขึ้นมาแทนปลาที่ถูกจับไปบริโภคแล้ว การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ อย่างประหยัด พยายามทําให้มีทรัพยากรไว้ใช้เป็นเวลานาน ๆ ทั้งปริมาณและคุณภาพ เช่น ไม่จับปลา ในฤดูวางไข่ การเก็บปลาไว้ด้วยการย่างรวมควัน ทําปลาเค็ม การทําอาหารกระป๋องต่าง ๆ เช่น ผลไม้ กระป๋อง ภาพที่ 3.1 การสร้างเขื่อนเพื่อถนอมนําไว้ใช้ ในช่วงฤดูแล้ง (เขื่อนแม่งัด จังหวัดเชียงใหม่) ที่มา ://www.thairath.co.th/agriculture/agricultural-policy/2726740l, 2567 2) การบูรณะหรือซ่อมแซมหรือให้กลับฟื้นตัว เป็นการบูรณะซ่อมแซม ทรัพยากรธรรมชาติที่เกิดความเสียหายให้มีสภาพเหมือนเดิมหรือเกือบเท่าเดิม บางครั้งอาจเรียกว่า พัฒนาก็ได้ เช่น ป่าไม้ถูกทําลายหมดไปควรมีการปลูกป่าขึ้นมาทดแทนจะทําให้มีพื้นที่บริเวณนั้น กลับคืนเป็นป่าไม้อีกครั้งหนึ่ง การบูรณะวัดเป็นการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติที่เสื่อมสภาพลงไปแล้ว ให้กลับดีดังเดิมหรือเทียบเท่าของเดิมสามารถนํามาใช้ประโยชน์ได้อีก ภาพที่ 3.2 การบูรณะวัดสวนดอก พระอารามหลวงที่สำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ ที่มา: https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/526859, 2567 3) การปรับปรุงให้มีคุณภาพดีกว่าธรรมชาติ หมายถึง กระบวนการต่อเนื่องจากการ บูรณะ การบูรณะเป็นเพียงการฟื้นฟูให้กลับอยู่ในสภาพเดิม แต่การปรับปรุงให้มีคุณภาพดีกว่า ธรรมชาตินั้น เป็นการกระทําสิ่งที่มีอยู่เดิมแล้วให้ดียิ่งขึ้นอีก สามารถนํามาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น และ มีคุณภาพดีกว่าเดิม เช่น การปรับปรุงดินเปรี้ยวหรือดินเค็มที่ใช้เพาะปลูกไม่ได้ผลให้กลับสามารถใช้ เพาะปลูกได้ผลดีขึ้น
49 4) การนํากลับมาใช้ใหม่ สิ่งของบางอย่างเมื่อมีการใช้แล้วครั้งหนึ่งสามารถที่จะ นํามาใช้ซ้ำได้อีกซึ่งเรียกว่าการ Reuse เช่น ถุงพลาสติก กระดาษ เป็นต้น หรือสามารถที่จะนํามาใช้ ได้ใหม่โดยผ่านกระบวนการต่าง ๆ ซึ่งเรียกว่าการรีไซเคิล เช่น การนํากระดาษที่ใช้แล้วไปผ่าน กระบวนการต่าง ๆ เพื่อทําเป็นกระดาษแข็ง เศษเหล็กสามารถนํากลับมาหลอมแล้วแปรสภาพสําหรับ การใช้ประโยชน์ใหม่ได้ ขวดพลาสติกบางประเภทสามารถนํามาหลอมใหม่และขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ ใหม่ได้ซึ่งเป็นการลดปริมาณการใช้ทรัพยากรและการทําลายสิ่งแวดล้อมได้ 5) การสํารวจหาแหล่งทรัพยากรธรรมชาติเพิ่มเติม เพื่อเตรียมไว้ใช้ประโยชน์ใน อนาคต เช่น การสํารวจแหล่งน้ำมันในอ่าวไทยทําให้ค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติเป็นจํานวนมาก สามารถนํามาใช้ประโยชน์ทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว อีกทั้งช่วยลดปริมาณการนําเข้าก๊าซ ธรรมชาติจากต่างประเทศ 6) การประดิษฐ์ของเทียมขึ้นมาใช้ เพื่อหลีกเลี่ยงหรือลดปริมาณในการใช้ ทรัพยากรธรรมชาติชนิดอื่น ๆ ที่นิยมใช้กันเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่แท้จริง ซึ่งจะ เป็นการทําลายทรัพยากรธรรมชาติที่กําลังจะหมดให้เหลือน้อยลงหรือหมดสิ้นไป ของเทียมที่ผลิต ขึ้นมา เช่น ยางเทียม ผ้าเทียม ผ้าไหมเทียมและวัสดุสังเคราะห์อื่น ๆ เป็นต้น 7) การใช้สิ่งอื่นทดแทน เป็นวิธีการที่จะช่วยให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติน้อยลง และไม่ทําลายสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก การใช้ใบตองแทนโฟมการใช้พลังงาน แสงแดดแทนแร่เชื้อเพลิง การใช้ปุ๋ยชีวภาพแทนปุ๋ยเคมี เป็นต้น ตัวอย่างของการใช้สิ่งอื่นทดแทน ภาพที่ 3.3 การใช้ใบตองห่ออาหารแทนการใช้โฟม ที่มา: https://naturalpalm.com, 2567 ภาพที่ 3.4 การรณรงค์ใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก ที่มา: https://www.punpro.com/p/reduce-plastic, 2567
50 8) การปรับปรุงการผลิตและการใช้ทรัพยากรให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ หมายถึง การใช้เทคนิคและวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้สามารถผลิตและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่าง คุ้มค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรัพยากรประเภทที่ใช้แล้วหมดไปนํากลับมาใช้ใหม่อีกไม่ได้ เช่น แร่ เชื้อเพลิงต่าง ๆ หรือการใช้แร่ธาตุทําเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ ก็ต้องพยายามทําให้มีประสิทธิภาพ ไม่ให้เหลือเศษ เช่น การนําชานอ้อยหรือเศษไม้อัดมาทําไม้อัด ภาพที่ 3.5 ไม้อัดจากชานอ้อย ที่มา: http://otop.dss.go.th/index.php/compiled-file/other-otop-product/116-bagasse, 2567 3.7.2 การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยทางอ้อม สามารถทําได้หลายวิธี ดังนี้ 1) การพัฒนาคุณภาพประชาชน โดนสนับสนุนการศึกษาด้านการอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ถูกต้องตามหลักวิชา ซึ่งสามารถทาได้ทุกระดับอายุทั้งในระบบ โรงเรียนและสถาบันการศึกษาต่าง ๆ และนอกระบบโรงเรียนผ่านสื่อสารมวลชนต่าง ๆ เพื่อให้ ประชาชนเกิดความตระหนักถึงความสําคัญและความจาเป็นในการอนุรักษ์ เกิดความรักความหวง แหนและให้ความร่วมมืออย่างจริงจัง 2) การใช้มาตรการทางสังคมและกฎหมาย การจัดตั้งกลุ่ม ชุมชน ชมรม สมาคม เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ตลอดจนการให้ความร่วมมือทั้งทางด้าน พลังกาย พลังใจ พลังความคิดด้วยจิตสานึกในความมีคุณค่าของสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรที่มีต่อตัว เรา เช่น กลุ่มชมรมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของนักเรียน นักศึกษาในโรงเรียนและ สถาบันการศึกษาต่าง ๆ มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าและพรรณพืชแห่งประเทศไทย มูลนิธิสืบ นาคะเสถียร มูลนิธิโลกสีเขียว เป็นต้น 3) ส่งเสริมให้ประชาชนในท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ช่วยกันดูแล รักษาให้ คงสภาพเดิมไม่ให้เกิดความเสื่อมโทรมเพื่อประโยชน์ในการดารงชีวิตในท้องถิ่นของตน การ ประสานงานเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและความตระหนักระหว่างหน่วยงานของรัฐ องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นกับประชาชนให้มีบทบาทหน้าที่ในการปกป้อง คุ้มครอง ฟื้นฟูการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด 4) ส่งเสริมการศึกษาวิจัย ค้นหาวิธีการและพัฒนาเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการกับ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การใช้ความรู้ทางเทคโนโลยี สารสนเทศมาจัดการวางแผนพัฒนา การพัฒนาอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ให้มีการประหยัดพลังงาน
51 มากขึ้น การค้นคว้าวิจัยวิธีการจัดการ การปรับปรุง พัฒนาสิ่งแวดล้อมให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืน เป็นต้น 5) การกําหนดนโยบายและวางแนวทางของรัฐบาลในการอนุรักษ์และพัฒนา สิ่งแวดล้อมทั้งในระยะสั้นและระยะยาวเพื่อเป็นหลักการให้หน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง ยึดถือและนำไปปฏิบัติ รวมทั้งการเผยแพร่ข่าวสารด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมทั้งทางตรงและทางอ้อม 6) การให้การศึกษาแก่คนทุกระดับชั้นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติจะดําเนินการ เฉพาะเพียงหน่วยงานของรัฐบาล หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือเอกชน สมาคม ชมรม หรือกลุ่มสนใจบาง กลุ่ม ย่อมไม่ได้ผลเท่าที่ควรถ้าประชาชนส่วนใหญ่ไม่ให้ความร่วมมือด้วย การช่วยให้พลเมืองเข้าใจถึง ความสําคัญและรู้จักวิธีการใช้ทรัพยากรอย่างฉลาดตามหลักและวิธีการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ 7) การโฆษณาทางสื่อมวลชน ได้แก่ หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ และสื่อมวลชน อื่น ๆ โดยการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการใช้และการอนุรักษ์ทรัพยากรประเภทต่าง ๆ เพื่อให้ ประชาชนได้ทราบหรือกระตุ้นเตือนให้ประชาชนเห็นความสําคัญและความจําเป็นที่จะต้องช่วยกัน อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติไว้ 3.8 แนวทางที่เกี่ยวข้องในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในการพัฒนาประเทศจะต้องมีการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมเพื่อให้สามารถใช้ทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งมีการป้องกัน ปัญหามลพิษที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย จึงมีแนวคิด แนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ได้แก่ มาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO14000 การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ฉลากสิ่งแวดล้อม คาร์บอนเครดิต องค์กรสิ่งแวดล้อม กฎหมายสิ่งแวดล้อม และสิ่งแวดล้อมศึกษา ดังนี้ 3.8.1 มาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO14000 ปัจจุบันเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมขึ้นในระดับประเทศและรุนแรงถึงระดับโลกจากการพัฒนา อุตสาหกรรมเพื่อการพัฒนาประเทศดังนั้นทั่วโลกจึงได้มีการเคลื่อนไหวเพื่อการบํารุงรักษาและการ ปรับปรุงคุณภาพสิ่งแวดล้อม และปกป้องสุขภาพของมวลมนุษยชาติ โดยการมีมาตรการในการรักษา สิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมกับองค์กรธุรกิจต่าง ๆ องค์การร ะหว ่า งป ร ะเ ท ศว ่ าด ้ว ย มา ตรฐ าน ( International Organization for Standardization: ISO) ได้มีการดําเนินการเพื่อจัดวางระบบมาตรฐานใหม่คือ ISO 14000 โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อวางมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อมและแนะนําหน่วยงานในเรื่องของระบบการ จัดการสิ่งแวดล้อมซึ่งสามารถรวมเข้ากับระบบบริหารอื่น ๆ ของหน่วยงานเพื่อที่จะช่วยให้หน่วยงาน เหล่านั้นประสบความสําเร็จในเรื่องของระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมพร้อมกับความสําเร็จทางธุรกิจ มาตรฐาน ISO 14000 คือมาตรฐานสากลว่าด้วยการจัดการสิ่งแวดล้อมเป็นมาตรฐาน ที่กําหนดให้องค์การมีการจัดตั้งระบบการบริหารที่คํานึงถึงสิ่งแวดล้อมขององค์การนั้น ๆ ซึ่งไม่ขัดต่อ กฎหมายและข้อบังคับด้านสิ่งแวดล้อมขององค์การนั้น ๆ ISO 14000 เป็นชุดของมาตรฐานที่ประกอบไปด้วยมาตรฐานหลายเล่มเริ่มต้นตั้งแต่ หมายเลข 14001 จนถึง 14100 โดยแต่ละเล่มเป็นเรื่องของมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการ สิ่งแวดล้อมทั้งสิ้น โดยจะครอบคลุมถึงการฝึกอบรมพนักงาน การจัดการด้านความรับผิดชอบและ
52 ระบบต่าง ๆ ที่ต้องทํางาน ซึ่ง ISO 14000 จะครอบคลุมมาตรฐานของระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม มาตรฐานเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ และมาตรฐานที่เป็นเครื่องมือในการประเมินตรวจสอบ ISO 14000 ประกอบด้วยมาตรฐานหลายฉบับ ฉบับที่มีความสําคัญมากที่สุดคือ ISO14001 หรือมาตรฐานระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม (Environmental Management System: EMS) ซึ่งเป็น มาตรฐานเพียงฉบับเดียวในอนุกรม ISO14000 ที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องได้โดยการ ออกใบรับรอง (Certificate) เพื่อเป็นการแสดงว่าองค์กรได้มีการดําเนินธุรกิจที่จะไม่ทําให้สิ่งแวดล้อม เสียหาย 1) สาระสําคัญของมาตรฐานระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม (EMS) มีสาระสําคัญ ดังนี้ 1.1) นโยบายสิ่งแวดล้อม การจัดการสิ่งแวดล้อมเริ่มด้วยผู้บริหารสูงสุดของ องค์กรต้องมีความมุ่งมั่นที่จะดําเนินการอย่างจริงจังและกําหนดนโยบายสิ่งแวดล้อมขององค์กรขึ้น เพื่อเป็นแนวทางสําหรับการดําเนินงานของพนักงานในองค์กร 1.2) การวางแผน เพื่อให้บรรลุนโยบายสิ่งแวดล้อมองค์กรจึงต้องมีการ วางแผนในการดําเนินงาน โดยอย่างน้อยต้องครอบคลุมถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ดังนี้ แจกแจง รายละเอียดของกิจกรรมต่าง ๆ ในองค์กรที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงกิจกรรมที่มีผลกระทบ ต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก แจกแจงข้อกําหนดทางกฎหมายและข้อกําหนดอื่น ๆ ที่องค์กรเกี่ยวข้องและ ต้องปฏิบัติจัดทําวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการจัดการกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จัดทําโครงการการจัดการสิ่งแวดล้อมเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ข้างต้น 1.3) การดําเนินการ เพื่อให้การดําเนินการด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม เป็นไปตามแผนที่วางไว้อย่างน้อยองค์กรต้องดําเนินการให้ครอบคลุมถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ดังนี้ กําหนดโครงสร้างและอํานาจหน้าที่ ความรับผิดชอบในการจัดการสิ่งแวดล้อมเผยแพร่ให้พนักงานใน องค์กรทราบถึงความสําคัญในการจัดการสิ่งแวดล้อม รวมทั้งจัดการฝึกอบรมตามความเหมาะสม เพื่อให้พนักงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสิ่งแวดล้อมมีความรู้และความชํานาญในการดําเนินงาน จัดทําและควบคุมเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสิ่งแวดล้อม ควบคุมการดําเนินงานต่าง ๆ ให้บรรลุ ตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กําหนดไว้ จัดทําแผนดําเนินการหากมีอุบัติเหตุต่าง ๆ เกิดขึ้น รวมทั้ง มีการซักซ้อมการดําเนินการอย่างเหมาะสม 1.4) การตรวจสอบและการแก้ไข เพื่อให้การจัดการสิ่งแวดล้อมได้รับการ ตรวจสอบและแก้ไขอย่างน้อยการดําเนินการขององค์กรต้องครอบคลุมถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ดังนี้ ติดตามและวัดผลการดําเนินการโดยเปรียบเทียบกับแผนที่วางไว้ แจกแจงสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่เป็นไปตาม แผนการจัดการสิ่งแวดล้อม รวมทั้งดําเนินการแก้ไขจัดทําบันทึกต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการ สิ่งแวดล้อม ตรวจประเมินระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมเป็นระยะ 1.5) การทบทวนและการพัฒนา ผู้บริหารองค์กรต้องทบทวนระบบการ จัดการสิ่งแวดล้อมในระยะเวลาที่เหมาะสมเพื่อให้การจัดการสิ่งแวดล้อมมีการพัฒนาอย่างสม่ำเสมอ 2) ประโยชน์ของระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐาน ISO 14000 2.1) เกิดภาพลักษณ์ที่ดีกับองค์กรและแสดงถึงความเป็นผู้นําด้าน สิ่งแวดล้อม 2.2) ช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจํากัด 2.3) ลดต้นทุนในการผลิตในระยะยาว เนื่องจากมีการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ เหมาะสม เช่น การจัดการทรัพยากร การจัดการของเสีย เป็นต้น
53 2.4) มีแผนรองรับสําหรับแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ป้องกันและบรรเทา ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดจากสถานการณ์ดังกล่าว 2.5) ลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งค่า ฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและค่าประกันภัย 2.6) ลดการทําลายสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากกระบวนการผลิต ป้องกันปัญหา ต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งลดมลภาวะที่เป็นพิษก่อนปล่อยลงสู่สิ่งแวดล้อม 2.7) บริหารงานสิ่งแวดล้อมอย่างมีระบบ 2.8) เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดและเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ทางการค้าระหว่างประเทศ 2.9) เพื่อรับการลดหย่อนภาษี 2.10) ผู้บริหารและพนักงานมีสภาพแวดล้อมที่ดีในการปฏิบัติงาน 3.8.2 ฉลากสิ่งแวดล้อม (Eco-labelling) ฉลากสิ่งแวดล้อม หมายถึง ฉลากที่กํากับผลิตภัณฑ์หรือบริการว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดย ในกระบวนการผลิตหรือใช้งานสามารถลดการใช้ทรัพยากรหรือลดการก่อมลพิษ ตามความหมายขององค์กรนานาชาติว่าด้วยการมาตรฐาน (ISO) ฉลากสิ่งแวดล้อม หมายถึง ฉลากที่รับรองหรือให้ข้อมูลทางด้านสิ่งแวดล้อมและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์และการ ให้บริการแก่ผู้บริโภค เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจที่จะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์หรือใช้บริการนั้น ๆ 1) หลักการของฉลากสิ่งแวดล้อม หลักการของฉลากสิ่งแวดล้อมมีดังต่อไปนี้ (อุรศา ศรีบุญลือ, 2544) 1.1) ฉลากสิ่งแวดล้อมต้องแสดงข้อมูลที่ถูกต้อง เชื่อถือได้ สามารถ ตรวจสอบได้ และแสดงถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับกับผลิตภัณฑ์ 1.2) ฉลากสิ่งแวดล้อมต้องไม่ทําให้เกิดการกีดกันทางการค้าและไม่ขัดขวาง การพัฒนาใหม่ๆ ซึ่งนําไปสู่ปรับปรุงผลการดําเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น 1.3) การพัฒนาฉลากสิ่งแวดล้อมต้องได้รับการระดมสมองและความ เห็นชอบจากคณะทํางานและผู้ที่สนใจและมีการยอมรับโดยฉันทามติ โดยต้องพิจารณาทุกปัญหา สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ 1.4) ข้อมูลต่าง ๆ ที่ใช้สนับสนุนฉลากสิ่งแวดล้อมต้องสามารถเผยแพร่แก่ สาธารณชน และผู้ที่สนใจและการแสดงข้อมูลจะต้องพิจารณาถึงความจําเป็นเพื่อความสอดคล้องตาม เกณฑ์หรือมาตรฐานของฉลาก 1.5) การรับรองฉลากสิ่งแวดล้อมต้องขึ้นอยู่บนพื้นฐานของวิธีการทาง วิทยาศาสตร์ 1.6) ผู้ใช้ฉลากสิ่งแวดล้อมต้องสื่อข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมจาก ผลิตภัณฑ์และบริการให้แก่ผู้ซื้อได้ทราบฉลากสิ่งแวดล้อมถือเป็นกลยุทธ์หนึ่งในนโยบายสิ่งแวดล้อม เป็นเครื่องมือในการสื่อสารให้กับผู้บริโภคเกิดความมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ที่ซื้อไปนั้นเป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อมหรือมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์อื่นที่ทําหน้าที่อย่าง เดียวกัน
54 2) ประเภทของฉลากสิ่งแวดล้อม ฉลากสิ่งแวดล้อมแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทดังนี้ 2.1) ฉลากสิ่งแวดล้อมประเภทที่ 1 เป็นฉลากที่บ่งบอกความเป็นมิตรต่อ สิ่งแวดล้อม ซึ่งจะมอบให้กับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกําหนดโดยองค์กรอิสระที่ไม่มีส่วนได้ ส่วนเสีย (Third party) โดยจะพิจารณาผลกระทบสิ่งแวดล้อมแบบใช้วิธีพิจารณาแบบตลอดวัฏจักร ชีวิตในประเทศไทยมีการออกฉลากประเภทที่ 1 ซึ่งรู้จักกันดีในนาม “ฉลากเขียว” และ Green leaf จากมูลนิธิใบไม้เขียว (การผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การผลิตสีเขียว, 2556) ภาพที่ 3.6 สัญลักษณ์มูลนิธิใบไม้เขียว Green Leaf Foundation ที่มา: https://www.greenleafthai.org/green-leaf-programs/, 2567 2.2) ฉลากสิ่งแวดล้อมประเภทที่ 2 เป็นฉลากที่ผู้ผลิต ผู้จัดจําหน่ายหรือ ผู้ส่งออกจะเป็นผู้บ่งบอกความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือแสดงค่าทางสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ ตนเอง (Self-declared Environmental Claims) ซึ่งอาจจะแสดงในรูปของข้อความหรือสัญลักษณ์ รูปภาพ เช่น สามารถย่อยสลายได้ วัสดุที่สามารถแตกสลายได้ ออกแบบเพื่อให้ง่ายต่อการแยกชิ้นส่วน มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน สามารถแปรสภาพใช้ใหม่ได้ ลดการใช้พลังงานในช่วงการใช้งาน สามารถ ใช้ซ้ำและเติมใหม่ได้ วัสดุหมุนเวียน การใช้พลังงานหมุนเวียน เป็นต้น หรือ การแสดงสัญลักษณ์ เช่น สัญลักษณ์แปรใช้ใหม่ (Mobius loop) หรือการรีไซเคิลได้ ตัวอย่างสินค้าในชีวิตประวันที่สามารถพบ เห็น เช่น ถุงของห้าง สรรพสินค้าที่จะประทับตราเองว่าถุงนี้สามารถรีไซเคิลได้ หรือผงซักฟอกบาง ยี่ห้อที่เขียนว่าคืนน้ำใสให้โลกสวย มีตราโลโก้ที่ออกแบบเอง เป็นต้น โดยฉลากนี้จะไม่มีองค์กรกลางใน การดูแลแต่ทางผู้ผลิตจะต้องสามารถหาหลักฐานมาแสดงเมื่อมีคนสอบถาม ดังนั้นฉลากประเภทนี้ ผู้ผลิตสามารถทําการศึกษาหรือประเมินผลได้ด้วยตนเอง ภาพที่ 3.7 สัญลักษณ์ที่พบบนผลิตภัณฑ์ที่สามารถย่อยสลายได้ ที่มา: https://www.eurotech1997.com/content/5766/, 2567 2.3) ฉลากสิ่งแวดล้อมประเภทที่ 3 เป็นฉลากที่บ่งบอกถึงผลกระทบของ ผลิตภัณฑ์ต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีการแสดงข้อมูลสิ่งแวดล้อมโดยรวม (Environmental information) โดยการใช้ เครื่องมือการประเมินผลกระทบตลอดวัฏจักรชีวิตของสิ่งแวดล้อม (Life Cycle Assessment) เข้ามาประเมินตามมาตรฐาน ISO14040 โดยฉลากนี้จะมีหน่วยงานอิสระหรือองค์กร
55 กลางในการทําหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนที่จะประกาศลงกับผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ต่อไป เช่น ฉลากคาร์บอน ฉลากที่รับรองสินค้าเกษตรอินทรีย์และคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ตัวอย่างที่พบฉลากนี้ ได้แก่ เครื่องดื่มโค้กชนิดกระป๋อง มาม่าเส้นน้ำใส น้ำนมถั่วเหลือตราไวตามิลล์ เป็นต้น 2.4) ฉลากสิ่งแวดล้อมประเภทที่ 4 เป็นฉลากที่เรียกว่า Single issue คือ ชูประเด็นเดียว เช่น ประหยัดพลังงานในคอมพิวเตอร์ ประหยัดพลังงานในเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น Energy Star บนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หรือแม้แต่ฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 3) ตัวอย่างของฉลากสิ่งแวดล้อม 3.1) ฉลากเขียว (Green label) ฉลากเขียว คือ ฉลากสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยซึ่งเป็นฉลากประเภท 1 ซึ่งมี องค์กรกลางเป็นผู้ให้การรับรอง การติดฉลากบนสินค้าเพื่อต้องการสื่อสารให้ผู้บริโภครู้ว่าสินค้าที่ ได้รับการรับรองด้วยฉลากนี้เป็นสินค้าที่มีองค์ประกอบ กระบวนการผลิตการใช้ตลอดจนถึงการทิ้ง ทําลายที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าสินค้าประเภทเดียวกันที่ไม่ได้รับการรับรอง ผู้บริโภคหรือ ผู้ใช้สินค้าที่ต้องการสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสามารถเลือกซื้อสินค้าเหล่านี้ได้จากการสังเกต “ฉลากเขียว” ที่ติดแสดงอยู่บนฉลากของสินค้านั้น (กาญจนา ไผ่เพ็ชร, 2555) ภาพที่ 3.8 สัญลักษณ์ฉลากเขียว ที่มา: https://www.tei.or.th/file/library/2022-know-greenlabel-thailand-th_73.pdf, 2567 ข้อกําหนดของผลิตภัณฑ์จะมีการพิจารณาและกําหนดแตกต่างกันไปตาม ประเภทของผลิตภัณฑ์ หรือบริการและความเสียหายของสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากผลิตภัณฑ์ ทั้งในแง่การ ผลิต การใช้ การทิ้งทําลาย คือครบทั้งวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์นั่นเอง ซึ่งจะคํานึงถึงการจัดการ ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด การลดภาวะมลพิษทางสิ่งแวดล้อมทางสิ่งแวดล้อม โดยส่งเสริม ให้มีการผลิต การขนส่ง การใช้ และการกําจัดทิ้งหลังการใช้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการนําขยะ กลับมาใช้ (Reuse) และการแปรใช้ใหม่ (Recycle) ประเทศอื่น ๆ ก็มีการจัดทําฉลากสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกัน โดยอาจใช้ สัญลักษณ์ และชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น กลุ่มสหภาพยุโรปใช้สัญลักษณ์เป็นรูปดอกไม้ ใช้ชื่อว่า “EU Flower” เป็นต้น
56 ภาพที่ 3.9 สัญลักษณ์สิ่งแวดล้อม กลุ่มสหภาพยุโรป EU Flower ที่มา: https://www.researchgate.net/figure/The-EU-ecolabel-flower-Image-reproducedfrom-wwwecolabeleu_fig5_325767060, 2567 โครงการฉลากเขียวของประเทศไทย “ฉลากเขียว” เกิดจากแนวคิดใหม่ที่เห็นว่ามีความจําเป็นที่จะต้องฟื้นฟูและ รักษาสภาพสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการพัฒนาประเทศ อันจะนําไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ประเทศ เยอรมนีเป็นประเทศแรกที่เริ่มโครงการฉลากเขียว เมื่อปี พ.ศ. 2520 ต่อมามีการรวมกลุ่มของประเทศ ทั่วโลกก่อตั้งเครือข่ายฉลากสิ่งแวดล้อม (Global Ecolabelling Network : GEN) เพื่อดําเนินการ โครงการฉลากเขียว ปัจจุบันมีสมาชิกมากกว่า 30 ประเทศ สําหรับประเทศไทยได้เข้าร่วม เป็นสมาชิก ของ GEN ด้วย ประเทศไทยมีการริเริ่มจัดทําโครงการฉลากเขียวเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2536 โดย คณะกรรมการนักธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมไทย (Thailand Business Council for Sustainable Development : TBCSD) การดําเนินการของโครงการได้รับความร่วมมือของสถาบันต่าง ๆ ทั้งใน ส่วนราชการ ภาคธุรกิจ และองค์กรกลางและมีสํานักเลขานุการโครงการฉลากเขียว สถาบัน สิ่งแวดล้อมไทยและสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์ ทําหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการโครงการ ซึ่งจะทํา หน้าที่ประสานงานและดําเนินงานโครงการการอนุมัติใช้ฉลากเขียวและคุ้มครองสิทธิ์ของฉลากเขียว ปัจจุบันจํานวนรวมของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับสิทธิ์ให้ใช้เครื่องหมายฉลากเขียว ได้มีทั้งสิ้น 544 รุ่น 24 กลุ่มผลิตภัณฑ์และ 73 บริษัทผู้ผลิต (สํานักงานเลขานุการโครงการฉลากเขียว สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย, 2556) ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ เช่น ผลิตภัณฑ์พลาสติกแปรใช้ใหม่ หลอดฟลูออ เรสเซนซ์ กระดาษ ผลิตภัณฑ์ซักผ้า ก๊อกน้ำและอุปกรณ์ประหยัดน้ำ สี ผลิตภัณฑ์ทําความสะอาด ถ้วยชาม ผลิตภัณฑ์ลบคําผิด ผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศ เครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องสุขภัณฑ์ เป็นต้น ประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ฉลากเขียว การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ฉลากเขียว เป็นแนวทางหนึ่งที่ผู้บริโภคสามารถ ช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมของโลกให้ดีขึ้น เพราะข้อกําหนดของผลิตภัณฑ์ฉลากเขียวกําหนดโดย พิจารณาตลอด วัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ว่าสามารถจะปรับลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร บ้างข้อดีอีกประการหนึ่งสําหรับผลิตภัณฑ์ฉลากเขียวของประเทศไทย คือผลิตภัณฑ์ที่ได้รับฉลากเขียว จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดีสูงกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไป และมีความปลอดภัยจากสีและสารเคมีที่เป็น อันตราย เนื่องจากมีการอ้างอิงไปยังมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ซึ่งนับเป็นกําไรของผู้บริโภค นั่นคือนอกจากจะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมแล้วผู้บริโภคหรือผู้ใช้ผลิตภัณฑ์จะได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ดีและไม่ต้องเสี่ยงที่จะได้รับสารอันตรายจากการใช้ผลิตภัณฑ์ด้วย 3.2) ฉลากลดคาร์บอน (Carbon reduction label) จากปัญหาการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกที่เป็นสาเหตุทําให้เกิดปัญหาภาวะโลกร้อนซึ่งนานาประเทศได้รับผลกระทบทั่วกัน
57 และทําให้ประเทศต่าง ๆ หันมาให้ความสนใจและให้ความตระหนักถึงภาวะโลกร้อนและวิธีลดโลก ร้อน ซึ่งการลดความรุนแรงของภาวะโลกร้อนที่สามารถทําได้ คือ การร่วมมือกันลดการปล่อยก๊าซ เรือนกระจกอย่างมีนัยสําคัญทั้งจากภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรมในฐานะผู้ผลิตภาคบริการ ในฐานะผู้ขับเคลื่อนกิจกรรม รวมทั้งประชาชนในฐานะผู้บริโภค ซึ่งการดําเนินการลดปริมาณการ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในส่วนของผู้บริโภคนั้นสามารถ เชื่อมโยงกับส่วนผู้ผลิต คือ การเลือกซื้อ ผลิตภัณฑ์ที่ห่วงใยรักษาสิ่งแวดล้อม หรือมีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อย และการที่ผู้บริโภคจะ เลือกซื้อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยจําเป็นต้องมีข้อมูลประกอบการ ตัดสินใจเลือกซื้อดังนั้น องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) คณะกรรมการ นักธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมและสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย จึงได้จัดทําโครงการฉลากลดคาร์บอนขึ้น เพื่อ กระตุ้นให้ผู้ผลิตสินค้าพัฒนากระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพโดยตัวฉลากจะแสดงระดับการลดลง ของการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิตสินค้าไว้เป็นข้อมูลสินค้าและเพิ่มทางเลือก ให้กับผู้บริโภคในการมีส่วนร่วมลดก๊าซเรือนกระจก ฉลากลดคาร์บอน คือ ฉลากที่แสดงระดับการลดการปล่อยก๊าซเรือน กระจกออกสู่บรรยากาศต่อหน่วยผลิตภัณฑ์ โดยการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจาก กระบวนการผลิต อันเนื่องมาจากการใช้ไฟฟ้า เชื้อเพลิงฟอสซิลและของเสียในรูปของกากของเสีย น้ำเสียและมลพิษทางอากาศจากวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment : LCA) ผลการ ประเมินจะถูก เทียบเป็นปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2 equivalent) ต่อหน่วย ผลิตภัณฑ์ (องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน, 2556) ผลิตภัณฑ์ที่ติดฉลากลดคาร์บอนได้ แสดงว่าผลิตภัณฑ์นั้นผลิตจากโรงงานที่ กระบวนการผลิตมีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงเมื่อเทียบกับปีฐาน คือ พ.ศ. 2545 อย่างน้อย ร้อยละ 10 สัญลักษณ์ของฉลากคาร์บอน ฉลากลดคาร์บอนจะแสดงข้อมูลให้ผู้บริโภคทราบว่า สินค้าหรือบริการนี้มี การ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับสูง ค่อนข้างสูง ปานกลาง ค่อนข้างต่ำ หรือต่ำ โดยแสดงผลเป็น 5 ระดับ ด้วยหมายเลข 1 - 5 สินค้าที่ได้ฉลากคาร์บอนเบอร์ 5 คือ สินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ บรรยากาศน้อยที่สุดและเป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ หรืออีกนัยหนึ่งคือสินค้าหรือบริการนั้นมีความ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสามารถช่วยบรรเทาปัญหาภาวะโลกร้อนได้ ซึ่งระบบฉลากคาร์บอนนี้มี ความคล้ายคลึงกับฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ของกระทรวงพลังงาน ฉลากลดคาร์บอนในประเทศไทย ข้อดีของการมีฉลากคาร์บอน สิ่งที่ผู้บริโภคจะได้ คือ ทางเลือกใหม่ในการ ซื้อสินค้าและบริการเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้ผลิต ปรับปรุงกระบวนการผลิต การได้มาซึ่งวัตถุดิบ และผลิต สินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อย และมีส่วนร่วมในการช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อน ส่วนสิ่งที่ผู้ผลิต จะได้คือ ลดต้นทุนการผลิตจากการพัฒนากระบวนการผลิตให้มี ประสิทธิภาพดีขึ้น ลดการใช้พลังงาน ฟอสซิล เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน อีกทั้งเป็นการแสดง เจตนารมณ์ในการรับผิดชอบต่อสังคมและ สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่บริษัท 3.3) ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint Label: CF) คาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint ) ภาษาไทยเรียกทั้ง “รอยเท้า คาร์บอน” และ “รอยคาร์บอน” คือ ฉลากที่บ่งบอกปริมาณของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซ เรือนกระจกทั้งหมดที่ปล่อยออกมาจากผลิตภัณฑ์และบริการทั้งกิจกรรมทางตรงและทางอ้อม ตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment : LCA ) โดยเริ่มตั้งแต่การนําเข้าวัตถุดิบ
58 กระบวนการผลิต การประกอบชิ้นส่วนการขนส่ง การใช้งานและการจัดการซากหลังการใช้งาน โดย แสดงในรูปของปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO, equivalent) ผ่านทางฉลากที่ติดไว้กับ ผลิตภัณฑ์บนบรรจุภัณฑ์ เอกสารประชาสัมพันธ์ หรือเว็บไซต์ต่าง ๆ ของผลิตภัณฑ์ (กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2553) สัญลักษณ์ของฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของประเทศ ไทย และสัญลักษณ์ของฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของต่างประเทศ สาเหตุของการเกิดสภาวะโลกร้อน สิ่งหนึ่งที่สําคัญคือการปล่อยก๊าซเรือน กระจก จากภาคอุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งทั่วโลกได้พยายามแก้ปัญหาโดยการประชาสัมพันธ์ให้มีการ แสดงข้อมูล “คาร์บอนฟุตพริ้นท์” (Carbon footprint) บนผลิตภัณฑ์ด้วย โดยจะมีฉลากคาร์บอน (Carbon label) เพื่อเป็นข้อมูลช่วยในการตัดสินใจของผู้บริโภคในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตร กับสิ่งแวดล้อมเพราะเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่ติดบนสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ นั้น เป็นการ แสดงข้อมูลให้ผู้บริโภคได้ทราบว่าตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์เหล่านั้นมีการปลดปล่อยก๊าซเรือน กระจกออกมาในปริมาณเท่าไหร่ ตั้งแต่กระบวนการหาวัตถุดิบ การผลิต การขนส่ง การใช้งานและ การกําจัดเมื่อกลายเป็นของเสีย ซึ่งจะเป็นการสร้างความตระหนักและสร้างการมีส่วนร่วมในการลด การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อลดปัญหาโลกร้อน คาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่ติดบนผลิตภัณฑ์ เป็นการแสดงข้อมูลให้ผู้บริโภคทราบ ว่าตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์นั้น มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาปริมาณเท่าไหร่ต่อหนึ่ง หน่วยผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่ขั้นตอนการได้มาซึ่งวัตถุดิบ กระบวนการผลิต การกระจายสินค้า การใช้งาน และการจัดการของเสียหลังหมดอายุการใช้งาน โดยแสดงผลอยู่ในรูปของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่า (CO2 equivalent) ซึ่งฉลากคาร์บอนจัดอยู่ในฉลากสิ่งแวดล้อม ประเภทที่ 3 (ISO 14025: Type III Environmental Declaration) (นุสรา จริยะสกุลโรจน์, 2565) ประเภทของฉลากคาร์บอน แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ตามวิธีการแสดง ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ คือ ประเภทที่ 1 คือ ฉลากบ่งชี้การปล่อยคาร์บอนต่ำ (Low – Carbon Seal) แสดงข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณที่ต่ำกว่าผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเดียวกัน ประเภทที่ 2 คือ ฉลากบ่งชี้ระดับการปล่อยคาร์บอน (Carbon Rating) แสดงระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ เช่น ระดับเหรียญทอง เงิน และทองแดง หรือ บ่งชี้ระดับการลดลงของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Reduction Rating) แต่ไม่ได้ แสดงข้อมูลตัวเลขปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ประเภทที่ 3 คือ ฉลากระบุขนาดคาร์บอน (Carbon Score) แสดงปริมาณ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นตัวเลขขนาดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ ประเภทที่ 4 คือ ฉลากชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset/Neutral) แสดง การชดเชยคาร์บอน
59 ภาพที่ 3.10 ตัวอย่างฉลากคาร์บอนแต่ละประเภท ที่มา: https://petromat.org/home/carbon-label/, 2567 ภาพที่ 3.11 ตัวอย่างฉลากคาร์บอนในแต่ละประเทศ ที่มา: http://www.environnet.in.th/archives/1496, 2567
60 ภาพที่ 3.12 ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากคาร์บอน ที่มา: https://petromat.org/home/carbon-label/, 2567 3.4) ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 (No.5 Electricity Saving) ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 คือ ฉลากที่บ่งบอกระดับการใช้ไฟฟ้าและข้อมูล เบื้องต้นต่าง ๆ ของเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น ประสิทธิภาพค่าใช้จ่ายต่อปีเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกซื้อ เครื่องใช้ไฟฟ้าได้อย่างเหมาะสมและประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว ฉลากประหยัดไฟจะมีระดับความ ประหยัดตั้งแต่เบอร์ 1 ถึงเบอร์ 5 โดยที่เบอร์ 5 หมายถึงประหยัดไฟมากที่สุด คือมีอัตราการประหยัด พลังงาน (Energy Efficiency Ratio : EER) มากกว่า 11.0 หน่วย ผู้ออกฉลากประหยัดไฟในปัจจุบันคือกระทรวงพลังงาน ซึ่งจะมีตราของ กระทรวงซ่อนอยู่บนฉลาก เริ่มใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) จากเดิมออกโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิต แห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งไม่มีโลโก้ใด ๆ เว้นแต่ปี ค.ศ. ที่ออกบนฉลากเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลาก ประหยัดไฟ ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น พัดลม เป็นต้น ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5
61 ภาพที่ 3.13 สัญลักษณ์ประหยัดไฟเบอร์ 5 แบบใหม่ ที่มา: https://safesavethai.com/articles/, 2567 3.8.3 การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment: EIA) การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หมายถึง การใช้หลักวิชาการในการทํานายหรือคาดการณ์ ผลกระทบสิ่งแวดล้อมทั้งทางบวกและทางลบของการดําเนินโครงการพัฒนาที่จะมีผลต่อสิ่งแวดล้อม ในทุก ๆ ด้าน ทั้งทางทรัพยากรธรรมชาติ ทางเศรษฐกิจ และสังคมเพื่อจะได้หาทางป้องกันผลกระทบ ในทางลบที่อาจเกิดขึ้นให้เกิดน้อยที่สุด ในขณะเดียวกันก็มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติซึ่งส่วนใหญ่ไม่ สามารถฟื้นคืนกลับมาได้อย่างมีประโยชน์ มีประสิทธิภาพสูงสุดและคุ้มค่าที่สุด (สํานักวิเคราะห์ ผลกระทบสิ่งแวดล้อม, 2556) นอกจากนี้รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมยังใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจของ นักบริหารว่าสมควรดําเนินการหรือไม่ การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมจะเป็นประโยชน์อย่างมาก หากได้รับการนํามาในการวางแผนป้องกันปัญหาสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ขั้นตอนศึกษาความเหมาะสมของ โครงการจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นภายหลังดําเนินโครงการไปแล้ว และเป็น วิสัยทัศน์ของนักบริหารโครงการในยุคโลกาภิวัตน์ที่มุ่งเน้นการป้องกันมากกว่าการแก้ไข 1) ระบบการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ประเทศไทยใช้ระบบการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม 4 หมวด เรียกว่า “Four- tier System” ประกอบด้วย 1.1) ทรัพยากรสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ได้แก่ ลักษณะภูมิประเทศ ลักษณะธรณีวิทยา ปฐพีวิทยา อุทกวิทยา น้ำผิวดิน น้ำใต้ดิน ภูมิอากาศ คุณภาพสิ่งแวดล้อมทางด้าน อากาศ เสียง น้ำ ดิน 1.2) ทรัพยากรสิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ ได้แก่ นิเวศวิทยาบนบก ป่าไม้ สัตว์ป่า นิเวศวิทยาทางน้ำ สัตว์น้ำ พืชน้ำ 1.3) คุณค่าการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ ได้แก่ การใช้ประโยชน์ ที่ดิน ชุมชนและการตั้งถิ่นฐาน สาธารณูปโภคและสาธารณูปการ การคมนาคม 1.4) คุณค่าต่อคุณภาพชีวิต ได้แก่ เศรษฐกิจและสังคม การ สาธารณสุข ประวัติศาสตร์ โบราณคดี และสุนทรียภาพ
62 2) ประโยชน์ของการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในโครงการพัฒนา 2.1) สามารถใช้ในการวางแผนสำหรับการใช้ประโยชน์จาก ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยในการมองปัญหาต่าง ๆ ได้กว้างขวาง มากขึ้นกว่าเดิมที่มองเพียงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเป็นประเด็นหลัก อันก่อให้เกิดความเสื่อมโทรม ของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามมา 2.2) เป็นเครื่องมือในการช่วยพิจารณาผลกระทบต่อคุณภาพ สิ่งแวดล้อมและความรุนแรงจากการพัฒนาโครงการ เพื่อให้เจ้าของโครงการสามารถหามาตรการใน การป้องกันและแก้ไขผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นนั้นอย่างเหมาะสมก่อนดําเนินการ 2.3) สามารถแน่ใจว่าได้คาดการณ์ประเด็นปัญหาสําคัญ อันเกิดขึ้น อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการโดยเลือกมาตรการที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติและค่าใช้จ่ายน้อย 2.4) ช่วยเป็นข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจในการลงทุนหรือพัฒนา โครงการ การเตรียมแผนงาน แผนการเงินในการจัดการสิ่งแวดล้อม และสามารถใช้ผลการศึกษาเป็น ข้อมูลที่จะให้ความกระจ่างต่อสาธารณชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันความขัดแย้งของการ ใช้ทรัพยากร 2.5) มีแนวทางในการกําหนดแผนการติดตามตรวจสอบผลกระทบ ต่าง ๆ ทั้งที่เกิดขึ้นภายหลังจากการดําเนินโครงการได้ 2.6) เป็นหลักประกันในการใช้ทรัพยากรที่ยาวนาน 3.8.4 กฎหมายสิ่งแวดล้อม (Environmental law) กฎหมายสิ่งแวดล้อม หมายถึง กฎหมายประเภทหนึ่งที่ตราขึ้นเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เป็นหลัก เนื้อหาครอบคลุมการป้องกันและเยียวยาความเสื่อมโทรมแห่งสุขภาพทั้งของมนุษย์และ อมนุษย์และมักคาบเกี่ยวกับกฎหมายจารีตประเพณี สนธิสัญญา ข้อตกลง พันธกรณี กฎระเบียบ และ นโยบายหลากชนิด กฎหมายสิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องมือที่สําคัญประการหนึ่ง ที่จะมีผลทําให้การจัดการหรือการ อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสบผลสําเร็จ ทั้งนี้เพราะต้องอาศัยกฎหมายเพื่อการ กําหนดนโยบายการจัดการให้การดําเนินงานเป็นไปตามหลักความสมดุลของธรรมชาติมีความ สอดคล้องกับการกําหนดอํานาจหน้าที่ วิธีการประสานงานขององค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและใน ขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องมือในการควบคุมการดําเนินงานให้เป็นไปตามระเบียบและข้อกําหนดอย่าง ชัดเจนด้วย กฎหมายสิ่งแวดล้อม หมายความรวมถึงกฎหมายสิ่งแวดล้อมภายในประเทศและกฎหมาย สิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ กฎหมายสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศมักจะอยู่ในรูปของอนุสัญญา (Conventions) พิธีสาร (Protocols) และแนวปฏิบัติที่มีลักษณะเป็น Soft law เช่น แถลงการณ์ร่วม (Declarations) และบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกาก็ใช้มาตรการทางด้านสิ่งแวดล้อม ในการคว่ำ บาตรสินค้าชนิดที่ได้มาโดยการทําลายสิ่งแวดล้อมและหากประเทศใดมีการทําลายสิ่งแวดล้อมอย่าง รุนแรงก็จะถูกคว่ำบาตรทางการค้าทั้งหมด ส่วนกฎหมายสิ่งแวดล้อมภายในประเทศนั้น หมายถึง กฎหมายภายในของรัฐต่าง ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะพิทักษ์รักษาสิ่งแวดล้อม ควบคุมป้องกันมลพิษ ส่งเสริมให้สิ่งแวดล้อมมีผลทําให้มีสุขภาพอนามัยที่ดี ซึ่งกฎหมายภายในดังกล่าวอาจอยู่ในรูปของ กฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา กฎหมายปกครองหรือกฎหมายมหาชน (ภัทรศักดิ์ วรรณแสง, 2556)
63 1) ความเป็นมาของกฎหมายสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย ก่อนปี พ.ศ. 2518 ประเทศไทยมิได้มีกฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดการปัญหา สิ่งแวดล้อม ในภาพรวมโดยตรง แต่ก็มีกฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยกฎหมายเหล่านั้นแต่ละฉบับมีบทบัญญัติที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในบางเรื่อง ซึ่งเกี่ยวข้องกับ กิจกรรมหลักของหน่วยงานที่ใช้บังคับกฎหมายนั้น เช่น กฎหมายเกี่ยวกับโรงงาน กฎหมายเกี่ยวกับ การสาธารณสุข กฎหมายเกี่ยวกับการเดินเรือและการรักษาแม่น้ำลําคลอง กฎหมายเกี่ยวกับการ ประมง ประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ว่าด้วยละเมิดและทรัพย์ ประเทศไทยได้มีการตรากฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมโดยตรงเป็นครั้งแรก เมื่อมีการ ตรา “พระราชบัญญัติ ส่งเสริมและรักษาคุณภาพและสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2518” ซึ่ง คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและสํานักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติขึ้นมา เพื่อให้ทํา หน้าที่รับผิดชอบเรื่องสิ่งแวดล้อมในภาพรวมทั้งหมด ขณะเดียวกันกฎหมายและหน่วยงานอื่น ๆ ที่มี หน้าที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมในแต่ละเรื่องอยู่เดิมนั้นก็ยังคงทําหน้าที่ ต่อไป คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและสํานักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ทําหน้าที่ ประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมิได้มีอํานาจเพียงพอที่จะดําเนินการส่งเสริมและ รักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อมาได้มีการยกเลิก พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพและสิ่งแวดล้อม แห่งชาติ พ.ศ. 2518 และมีการตรา “พระราชบัญญัติส่งเสริม และรักษาคุณภาพและสิ่งแวดล้อม แห่งชาติ พ.ศ.2535” ซึ่งได้มีการปรับปรุงอํานาจหน้าที่ของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ให้ เหมาะสมยิ่งขึ้น พร้อมทั้งยกเลิกสํานักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ โดยให้ก่อตั้งหน่วยงาน ใหม่ 3 หน่วยงาน เพื่อทําหน้าที่สนับสนุนคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติคือ สํานักงานนโยบาย และแผนสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษ และกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม (อํานาจ วงศ์บัณฑิต, 2545) 2) กฎหมายสิ่งแวดล้อมที่สําคัญในปัจจุบัน กฎหมายสิ่งแวดล้อมที่สําคัญในปัจจุบันมี รายละเอียดดังนี้ 2.1) กฎหมายสิ่งแวดล้อมที่เป็นความผิดทางอาญา หรือที่เรียกว่า “Environmental Crime” แยกฐานความผิดได้ 3 ประการ ได้แก่ ความผิดเนื่องจากการก่อให้เกิด มลพิษ ความผิดฐานละเว้นไม่ปฏิบัติตามมาตรการเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและความผิดฐานกระทําผิด เงื่อนไขที่เจ้าพนักงานอนุญาตหรือคําเตือนที่เจ้าพนักงานแจ้งให้ทราบการกระทําที่จะเป็นความผิด อาญาตามกฎหมายอาญาสิ่งแวดล้อมนี้เป็นความผิดที่ไม่ต้องการเจตนาเป็นองค์ประกอบความผิด 2.2) กฎหมายสิ่งแวดล้อมที่เป็นความรับผิดทางแพ่ง กฎหมายที่กล่าวถึง ความรับผิดทางแพ่งที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมนั้น ได้แก่ ความรับผิดทางแพ่งตามพระราชบัญญัติซึ่งเป็น กฎหมายเฉพาะบทบัญญัติที่สําคัญ ได้แก่ พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม แห่งชาติ พ.ศ. 2535 บัญญัติไว้ในมาตรา 96 และมาตรา 97 ซึ่งให้ผู้ที่เป็นต้นเหตุแห่งความเสียหายที่ เกิดขึ้นแก่สิ่งแวดล้อมและหรือทรัพยากรธรรมชาติเป็นผู้จ่ายค่าเสียหายทั้งหมด ทั้งนี้เป็นไปตามหลัก “ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย” (The Polluter Pays Principle) โดยผู้ก่อให้เกิดมลพิษจะต้องรับผิดชอบใน ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการระบบการกําจัดมลพิษ เช่น ค่าบําบัดน้ำเสีย ค่าเก็บขยะ นอกจากนี้จะต้องรับผิดชอบในค่าเสียหายที่เป็นผลมาจากมลพิษที่ตนเองก่อให้เกิดด้วย เช่น ค่าใช้จ่าย ในการทําความสะอาดและกําจัดน้ำมันที่รั่วไหลจากโรงงานของตน (ภัทรศักดิ์ วรรณแสง, 2556)
64 ปัจจุบันประเทศไทยมีการตราพระราชบัญญัติขึ้นใหม่เพื่อใช้เป็นกฎหมายที่ จะเอื้ออํานวยต่อการควบคุมและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น คือ พระราชบัญญัติ ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ซึ่งพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้ ได้มีผลทําให้ เกิดมาตรการการดําเนินงานต่าง ๆ อาทิเช่น การปรับองค์กรให้มีเอกภาพทั้งในการกําหนดนโยบาย และแผนการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การควบคุมมลพิษ การกระจายอํานาจการบริหาร และการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมออกสู่จังหวัดและท้องถิ่น การกําหนดมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม และมาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกําเนิด การพิจารณาและติดตามตรวจสอบผลกระทบ สิ่งแวดล้อมทั้งก่อนและหลังโครงการพัฒนาการกําหนดสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายของประชาชน และเอกชนที่จะมีส่วนร่วมในการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การนํา มาตรการด้านการเงินการคลังมาใช้เป็นมาตรการเสริมเพื่อให้เป็นแรงจูงใจ และมาตรการบังคับให้ ส่วนราชการท้องถิ่น องค์กรเอกชน และภาคเอกชน เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ภายใต้หลักการ "ผู้ก่อให้เกิดมลพิษต้องมีหน้าที่เสียค่าใช้จ่าย" การกําหนดหรือจําแนกพื้นที่ในการ แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยเร่งด่วน เพื่อการคุ้มครองอนุรักษ์และควบคุมทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม รวมทั้งมีการกําหนดความรับผิดชอบทางแพ่ง การต้องชดใช้ค่าเสียหายหรือสินไหม ทดแทนกรณีทําให้เกิดการแพร่กระจายมลพิษและการเพิ่มบทลงโทษในการไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่ กําหนดขึ้นด้วยทั้งในรูปของการปรับและการระวางโทษจําคุก เป็นต้น นอกจากนี้แล้วยังมีกฎหมายฉบับอื่น ๆ ซึ่งมีบทบัญญัติบางมาตราที่มีส่วน เกี่ยวข้องกับการจัดการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมอีกหลายฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติ โรงงาน 2535 พระราชบัญญัติสาธารณสุข 2535 พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย 2535 พระราชบัญญัติ การผังเมือง พ.ศ. 2518 พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 เป็นต้น รวมทั้งยังมีประกาศ กระทรวง กฎกระทรวง ระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม โดยอาศัยความตามมาตราใน พระราชบัญญัติต่าง ๆ ข้างต้นอีกด้วย (จักรพันธ์ จันทร์เที่ยง, 2556) 3.8.5 องค์กรทางด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย องค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยมีทั้งหน่วยงานภาครัฐและ เอกชนดังรายละเอียด ดังนี้ 1) องค์กรภาครัฐบาล (Governmental organization) มีหลายองค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งระดับ กระทรวง ทบวง กรม โดยมี กระทรวงหลักที่มีหน้าที่ในด้านสิ่งแวดล้อมโดยตรงคือ “กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (Ministry of Natural Resources and Environment)” ถือเป็นหน่วยงานราชการไทยประเภท กระทรวงมีอํานาจหน้าที่เกี่ยวกับการสงวน อนุรักษ์ และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดการการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนและดูแลหน่วยงานราชการอื่นตามที่มี กฎหมายกําหนดให้เป็นอํานาจหน้าที่ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือส่วน ราชการที่สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2545 ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ หน่วยงาน ระดับกรม รัฐวิสาหกิจ และยังมีองค์การมหาชนอีกด้วย
65 1.1) หน่วยงานระดับกรมทางด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ สํานักงาน ปลัดกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรม ป่าไม้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมทรัพยากรธรณี กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล 1.2) รัฐวิสาหกิจ ได้แก่ องค์การจัดการน้ำเสีย องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ องค์การ สวนสัตว์ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ 1.3) องค์การมหาชน มีหลายองค์การ ได้แก่ องค์การบริหารจัดการก๊าซ เรือน กระจก (องค์การมหาชน) และสํานักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากรากฐานชีวภาพ (องค์กรมหาชน) 2) องค์กรภาคเอกชน (Non-Governmental Organization: NGOs) องค์กรเอกชนหรือที่เรียกว่า "NGOS" คือรูปแบบหนึ่งของการรวมกลุ่มของประชาชน เป็นองค์กรที่มิได้ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อทําหน้าที่เป็นองค์กรหรือกลไกการดําเนินงานของรัฐ แต่ดําเนิน กิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของประชาชนและการพัฒนาสังคม การ รวมตัวกันเช่นนี้เป็นสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญของประชาชนที่จะกระทําได้ องค์กรเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมได้เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามกระแสของความเปลี่ยนแปลง ซึ่งถูกผลักดันและพัฒนา รูปแบบให้มีการเคลื่อนไหวในสังคมตลอดมา องค์กรเอกชนเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ที่ทํางานเพื่อ พัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมมีทั้งองค์กรอิสระต่าง ๆ ที่เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายและยังไม่ได้เป็นนิติ บุคคล รวมทั้งองค์กรเอกชนต่างประเทศ มีรูปแบบการดําเนินกิจกรรมที่แตกต่างกันแล้วแต่ลักษณะ การรวมกลุ่มขององค์กรนั้น ๆ เช่น มูลนิธิ สมาคม สถาบัน องค์กร ชมรม เป็นต้น ตัวอย่างองค์กรเอกชนด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย มูลนิธิ คุ้มครองสัตว์ป่าและพรรณพืชแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ มูลนิธิป้องกันควันพิษและ พิทักษ์สิ่งแวดล้อม มูลนิธิโลกสีเขียว มูลนิธิสืบนาคะเสถียร มูลนิธิเพื่อนช้าง สมาคมต่าง ๆ เช่น สมาคม ที่ปรึกษาสิ่งแวดล้อมไทย สมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย สมาคมอนุรักษ์นกและ ธรรมชาติแห่งประเทศไทย สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (กรมส่งเสริม คุณภาพสิ่งแวดล้อม, 2556) 3.8.6 องค์การสิ่งแวดล้อมโลก 1) โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme หรือ UNEP) มีสํานักงานใหญ่อยู่ที่กรุงไนโรบี ประเทศเคนยา ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1972 โดย มีวัตถุประสงค์เพื่อสํารวจและประเมินแนวโน้มที่มีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมในระดับชาติ ระดับภูมิภาคและระดับโลก ตลอดจนเสริมสร้างการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างชาญฉลาดผ่านสถาบัน และองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนา ที่ยั่งยืน โดยการส่งเสริมความร่วมมือในการอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมเพื่อนําไปสู่ความมีสุขภาพ ชีวิตที่ดี ด้วยการไม่ผลักภาระด้านสิ่งแวดล้อมให้อนุชนรุ่นหลังต้องเผชิญเคราะห์กรรมที่เราก่อเอาไว้ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือตั้งใจทําลายสภาพแวดล้อมให้เสื่อมโทรมลงไปตามกาลเวลา 2) องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล หรือ กองทุนสัตว์ป่าโลก (World Wide Fund for Nature: WWF) เป็นองค์การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ โดยยับยั้งการทําลาย สิ่งแวดล้อม และสนับสนุนให้มนุษย์อยู่ร่วมกับธรรมชาติและใช้พลังงานทดแทน ปัจจุบันเน้นการ
66 ทํางานในด้านป่าไม้ ระบบนิเวศวิทยาของพื้นน้ำ มหาสมุทรรวมทั้งชายฝั่งทะเล สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ การ บําบัดสารพิษที่เกิดจากสารเคมี องค์กรแห่งนี้เป็นองค์กรอนุรักษ์อิสระใหญ่ที่สุดในโลกที่มีผู้สนับสนุน มากกว่า 5 ล้านรายจากทั่วโลก ดําเนินงานในกว่า 100 ประเทศ และให้การสนับสนุนใน 1,300 โครงการ องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากลมีสถานะเป็นมูลนิธิ องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากลก่อตั้ง เมื่อ 11 กันยายน พ.ศ. 2504 ที่เมืองมอร์เกส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในไทยมีสํานักงานตั้งอยู่ที่ซอย พหลโยธิน 5 มีสํานักงานสาขาเพื่อดําเนินการและกิจกรรมด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เชิงปลุก จิตสํานึกและให้ความรู้อยู่หลายแห่ง 3) กรีนพีซ (Greenpeace) เป็นองค์การสาธารณประโยชน์ (NGOs) นานาชาติ ที่ดําเนินกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมและสันติภาพ ก่อตั้งในประเทศแคนาดาเมื่อ พ.ศ. 2514 ปัจจุบัน กรีนพืชมีสํานักงานประจําประเทศและภูมิภาคอยู่ใน 41 ประเทศทั่วโลก โดยทุกสํานักงานจะทํางาน ร่วมกับ กรีนพีชสากล (Greenpeace International) ที่กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ชื่อที่ ใช้ดําเนินการในประเทศไทยคือ “มูลนิธิเพื่อสันติภาพเขียว” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกรีนพีซเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีสํานักงานอยู่ 3 ประเทศคือ ประเทศไทยซึ่งเป็นสํานักงานใหญ่ ประเทศ ฟิลิปปินส์ และประเทศอินโดนีเซีย ประเด็นทางด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยที่กรีนพีซเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้กําลังดําเนินการรณรงค์ ได้แก่ การรณรงค์ต่อต้านการใช้ถ่านหินและให้หันมาใช้ พลังงานสะอาดเพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับอันตราย การรณรงค์ต่อต้านการ ใช้พลังงานนิวเคลียร์เพื่อโลกที่ปลอดภัยสําหรับทุกชีวิตและมีสันติภาพ การรณรงค์ต่อต้านสิ่งมีชีวิต ดัดแปลงพันธุกรรม การสนับสนุนเกษตรกรรมอินทรีย์ การสนับสนุนการผลิตที่สะอาดและปฏิเสธขยะ อิเล็กทรอนิกส์ หน่วยศึกษาและเฝ้าระวังมลพิษทางน้ำ การสนับสนุนและร่วมกิจกรรมวันปลอดรถ เป็นต้น 3.8.7 สิ่งแวดล้อมศึกษา (Environmental education) การป้องกันและแก้ไขปัญหาของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นนั้น ปัจจุบัน สามารถกระทําได้หลายวิธีทั้งการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม การออกกฎหมายควบคุมและอีกหลาย ๆ วิธี แต่วิธีการหนึ่งซึ่งถือว่าช่วยให้การดําเนินงานแก้ไขและป้องกันปัญหาสิ่งแวดล้อมบรรลุเป้าหมายได้ อย่างมีประสิทธิภาพและให้ผลในระยะยาวก็คือ การสร้างจิตสํานึกให้เกิดขึ้นในตัวของประชาชนทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการใช้ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม วิธีการที่จะสร้างจิตสํานึกให้ เกิดขึ้นได้วิธีหนึ่งก็คือ การให้การศึกษาซึ่งการให้การศึกษาทางด้านสิ่งแวดล้อมย่อมมีวิธีการที่ หลากหลายแตกต่างกันไป สิ่งแวดล้อมศึกษา คือกระบวนการทางการศึกษาที่เน้นพัฒนาคนให้เห็นคุณค่าของทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนให้เข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมอันเป็น พื้นฐานที่นําไปสู่การพัฒนาเจตคติ ความตระหนักและทักษะในการตัดสินใจเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและ เกิดการสร้างจริยธรรมสิ่งแวดล้อมที่ดีเพื่อเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม (อดิศักดิ์ สิงห์สีโว, 2554) เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของสิ่งแวดล้อมศึกษา คือการพัฒนามนุษย์ให้เกิดการลงมือกระทํา เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น ทั้งโดยการปรับปรุงและแก้ไขปัญหาที่มีอยู่เดิม และการป้องกันปัญหาใหม่ที่ อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยการลงมือกระทํานั้นจะต้องเป็นการกระทําที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจของ ผู้กระทําเอง ไม่ใช่การบังคับให้ทําหรือต้องจําใจทําพฤติกรรมของมนุษย์นั้นเป็นเรื่องที่ยากและต้องใช้ ระยะเวลา ซึ่งกระบวนการในการปรับเปลี่ยนหลายครั้งที่การจัดสิ่งแวดล้อมศึกษาไม่ประสบ
67 ความสําเร็จ เนื่องจากการลงมือกระทําที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียง “กิจกรรม” ไม่ใช่ “พฤติกรรม” ซึ่ง ขั้นตอนหรือกระบวนการในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์ให้ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมนั้น ผู้ดําเนินการควรเน้นให้ครอบคลุมวัตถุประสงค์ทั้ง 5 ข้อของสิ่งแวดล้อมศึกษา คือ ความรู้ ความเข้าใจ ความตระหนัก เจตคติ ทักษะ และการมีส่วนร่วม 1) วัตถุประสงค์ของสิ่งแวดล้อมศึกษา กระบวนการในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์ให้ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมนั้น ผู้ดําเนินการควรเน้นให้ครอบคลุมวัตถุประสงค์ทั้ง 5 ข้อของสิ่งแวดล้อมศึกษา คือ ความรู้ ความเข้าใจ ความตระหนัก เจตคติ ทักษะ และการมีส่วนร่วม ดังรายละเอียดดังนี้ 1.1) ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับพื้นฐานการทํางานของธรรมชาติ รวมทั้ง ระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม สาเหตุของปัญหาสิ่งแวดล้อม ผลกระทบที่เกิด จากการกระทําของมนุษย์ รวมทั้งแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหา 1.2) ความตระหนัก ถึงปัญหาและผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมไปถึง ความรู้สึกรักหวงแหน มีจิตสํานึกและเห็นถึงคุณค่าความสําคัญของทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม 1.3) เจตคติ และค่านิยม ที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม ความตั้งใจจริงและมุ่งมั่นที่จะ ปกป้อง รักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้คงสภาพที่ดี แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่และป้องกันปัญหา ใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต 1.4) ทักษะ ที่ควรให้มีการพัฒนา ได้แก่ ทักษะการสังเกต การชี้บ่งปัญหา การเก็บข้อมูล การตรวจสอบ การวางแผน การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา รวมถึงทักษะในการ ตัดสินใจซึ่งเป็นทักษะที่สําคัญอย่างยิ่งสําหรับสถานการณ์ปัญหาความขัดแย้งด้านสิ่งแวดล้อมของ สังคมไทยในปัจจุบัน 1.5) การมีส่วนร่วม ทั้งในระดับบุคคลและในระดับสังคมที่ใหญ่ขึ้นจะช่วย ให้มนุษย์มีประสบการณ์ในการนําความรู้และทักษะที่ได้รับมาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา สิ่งแวดล้อมและสามารถทํางานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2) กลุ่มเป้าหมายในการได้รับสิ่งแวดล้อมศึกษา หลักการของสิ่งแวดล้อมศึกษาพบว่า เป้าหมายที่แท้จริงของสิ่งแวดล้อมศึกษาคือ การ พัฒนาคุณภาพของประชากรโลก โดยใช้กระบวนการสิ่งแวดล้อมศึกษาซึ่งเป็นกระบวนการเรียนรู้ ตลอดชีวิตที่เริ่มตั้งแต่ระดับก่อนวัยเรียนต่อเนื่องไปทุกระดับทั้งในและนอกระบบโรงเรียน ดังนั้น สิ่งแวดล้อมศึกษาที่ดีจึงไม่ควรจํากัดกลุ่มเป้าหมายอยู่เฉพาะกลุ่มนักเรียนในระบบโรงเรียนเท่านั้น แต่ ควรจะจัดให้กับประชาชนทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาอาชีพตามความเหมาะสม จากงานวิจัยของ Jean Piaget นักจิตวิทยาชาวสวิตเซอร์แลนด์ พบว่าการเรียนรู้ ของ คนจะพัฒนาไปตามลําดับขั้น โดยจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลขึ้นอยู่กับประสบการณ์ พื้นฐาน ทางเศรษฐกิจ จริยธรรม และความรู้เดิม ซึ่งสามารถจัดกลุ่มของพัฒนาการการเรียนรู้ไว้ดังนี้ 2.1) อายุตั้งแต่ 18 เดือนถึง 7-8 ปี (เด็กเล็ก) สามารถใช้ภาษาในการสื่อสาร ใช้วิธีการลองผิดลองถูก สามารถวาดภาพที่ พวกเขาได้เคยสัมผัสมาก่อน รวมทั้งสามารถใช้สิ่งของเพื่อแทนของอีกสิ่งหนึ่ง เช่น ใช้กิ่งไม้แทนสัตว์ แต่ยังไม่สามารถพัฒนากระบวนการคิดโดยใช้เหตุผลและคิดอย่างมีหลักเกณฑ์ได้
68 สิ่งที่ผู้จัดสิ่งแวดล้อมศึกษาควรคํานึงถึงคือ ยังไม่ควรใช้กิจกรรมที่ซับซ้อน เกินไป แต่ควรเน้นกิจกรรมที่ใช้ประสาทสัมผัสในการรับรู้สิ่งแวดล้อม ประสบการณ์นอกห้องเรียน และที่สําคัญจะต้องเริ่มให้เด็กรู้ถึงพฤติกรรมที่เหมาะสมต่อสิ่งแวดล้อม 2.2) อายุตั้งแต่ 7-8 ปี ถึง 11-12 ปี (เริ่มใช้เหตุผล) เด็กจะเริ่มรู้จักใช้เหตุผลในการแก้ปัญหาง่าย ๆ สามารถจัดกลุ่มและแยก ประเภทของต่าง ๆ เข้าใจกฎระเบียบและคําสั่ง แต่ยังมักใช้ข้อเท็จจริงเป็นตัวตัดสินปัญหา สิ่งที่ผู้จัดสิ่งแวดล้อมศึกษาควรคํานึงถึงคือ เด็กพร้อมที่จะรับรู้ข้อมูล เกี่ยวกับ สิ่งแวดล้อมมากขึ้น สามารถแยกประเภท เปรียบเทียบ รวบรวม และอธิบายถึงสิ่งที่พวกเขา ได้ไปสังเกตมา กิจกรรมที่ใช้ควรเน้นด้านความรู้และเจตคติ โดยเปิดโอกาสให้เด็กรับรู้ถึงปัญหา สิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่สามารถใช้กิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะการการคิดที่สูงขึ้นกว่าเดิมได้ เช่น การ สํารวจหาเหตุผล การชี้ตัวผู้กระทําผิด รวมทั้งสามารถใช้กิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กได้ร่วมแสดงความ คิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์สิ่งแวดล้อมและผลกระทบที่ตามมาจากปัญหาสิ่งแวดล้อม 2.3) อายุตั้งแต่ 11-12 ปี ถึง 14-15 ปี (ใช้ความคิดในแง่นามธรรม) เด็กจะ เริ่มคิดในแง่นามธรรม สามารถตั้งสมมติฐานและใช้เหตุผลในการสรุป เริ่มมีกระบวนการคิดแบบผู้ใหญ่ ดังนั้นหากเขาได้รับการสอนหรือการชักจูงที่ดีก็จะสามารถวิเคราะห์เหตุการณ์และความน่าจะเป็น ความสัมพันธ์ การใช้เหตุผลและทักษะการคิดอื่น ๆ ที่สูงขึ้นได้ สิ่งที่ผู้จัดสิ่งแวดล้อมศึกษาควรคํานึงถึง คือ เด็กสามารถเลือกพิจารณาทางเลือกอื่น ๆ ได้ สามารถคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ซับซ้อนขึ้น สามารถ จินตนาการถึงสิ่งที่น่าจะเป็นได้มากกว่าสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามยังควรต้องช่วย ให้เด็กพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และคิดเชิงสร้างสรรค์ ควรทําความเข้าใจถึงบทบาทของพวกเขาที่ มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งทางบวกและทางลบ เด็กในช่วงอายุนี้ยังชอบตัดสินเองว่าอะไรถูกหรือ ผิด ดังนั้นการแสดงละคร การใช้บทบาทสมมติ การจําลองสถานการณ์ การออกแบบสอบถาม การ เขียนเชิงสร้างสรรค์ การอภิปราย และกิจกรรมอื่น ๆ จะช่วยพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กได้เป็นอย่างดี 2.4) อายุตั้งแต่ 14-15 ปีขึ้นไป (การคิดในระดับสูง) เด็กสามารถออกแบบการทดลอง เขียนสมมติฐานที่มีตัวแปรหลายตัวและ ทํากิจกรรมที่ต้องใช้ความคิดที่ซับซ้อนขึ้นได้ สิ่งที่ผู้จัดสิ่งแวดล้อมศึกษาควรคํานึงถึงคือ ยังควรทํากิจกรรมที่ต้องใช้ ทักษะการคิดวิเคราะห์และเชิงสร้างสรรค์ต่อไป ซึ่งรวมถึงการแก้ปัญหา การวิเคราะห์ การเขียนจูงใจ และทักษะในระดับสูงอื่น ๆ เด็กควรจะได้รับรู้ถึงบทบาทของตนในฐานะประชากรที่ต้องมีความ รับผิดชอบ และเริ่มสร้างจริยธรรมของตนเองและควรสนับสนุน ให้เด็กได้มีส่วนร่วมและสนับสนุนการ ประชุมต่าง ๆ การทําวิจัย การเขียนรายงานและการวิเคราะห์สื่อต่าง ๆ 3) กระบวนการสิ่งแวดล้อมศึกษา การนําเนื้อหาสาระเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมไปถ่ายทอดให้กับผู้คนจะต้องมีวิธีการหรือ ระเบียบปฏิบัติที่เหมาะสมจึงจะทําให้การถ่ายทอดความรู้อย่างมีประสิทธิภาพหรือเป็นไปตาม วัตถุประสงค์ที่ต้องการ และระเบียบวิธีที่จะนํามาใช้นี้ก็ล้วนมีอยู่แล้วในศาสตร์ทางการศึกษาขึ้นอยู่กับ ว่าจะเลือกสรรส่วนใดของศาสตร์ทางการศึกษามาร่วมใช้เท่านั้น เช่น หลักสูตรสิ่งแวดล้อมจะมี ลักษณะเป็นสหวิทยาการ การพัฒนาความคิดที่เป็นระบบ คือ มองทุกสิ่งทุกอย่างแบบองค์รวม และ การเรียนรู้ต้องให้ผู้เรียนเป็นผู้กระทําหรือผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
69 ลักษณะกระบวนการสิ่งแวดล้อมศึกษาคือ สิ่งแวดล้อมศึกษาเป็นการเรียนรู้ตลอด ชีวิต ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนค้นหาข้อมูลด้วยตนเองไม่ควรเน้นการจําและการท่องจํา สิ่งแวดล้อมศึกษา เป็นการศึกษาในธรรมชาติ อีกทั้งสิ่งแวดล้อมศึกษาต้องมีเนื้อหาแบบสหวิยาการ สิ่งแวดล้อมศึกษา ต้องให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้างองค์ความรู้ทักษะและค่านิยมจากประสบการณ์ตรง และต้องเรียนเรื่องที่ เกี่ยวกับชีวิตประจําวันเป็นการเรียนแบบแก้ปัญหา เป็นการเรียนแบบวิพากย์สิ่งแวดล้อมศึกษาต้อง เป็นการเรียนเพื่อสร้างปัญญา ซึ่งประกอบด้วยศีล สมาธิ ปัญญา และยังเป็นกระบวนการเรียนเพื่อดับ ทุกข์ (อริยสัจ 4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) โดยสิ่งแวดล้อมศึกษานั้นเป็นการศึกษาสําหรับทุกคน เป็น การศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อสันติ เพื่อความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเป็นการศึกษาเพื่อ พัฒนาคุณธรรมจริยธรรม (วินัย วีระวัฒนานนท์และ อดิศักดิ์ สิงห์สีโว 2551) 3.9 บทสรุป การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ได้ผลและมีประสิทธิภาพนั้น ต้องอาศัย หลักการความรู้ความเข้าใจในระดับสูง และระเอียดรอบคอบ ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่ายทั้ง หน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน กลุ่มคนทุกกลุ่ม จึงจําเป็นต้องเรียนรู้เพื่อให้เกิดความรู้และ ความเข้าใจพื้นฐานของการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ถูกต้อง เพื่อที่จะช่วยให้ ผู้เรียนมีความรู้เบื้องต้นเพื่อจะนํามาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจําวันในการช่วยเป็นส่วนหนึ่งในการ จัดการและรักษาสิ่งแวดล้อมได้ เพราะการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมิได้เป็นหน้าที่ ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นหน้าที่ของทุก ๆ คนที่ต้องช่วยกัน เพื่อที่เราจะได้มีทรัพยากรธรรมชาติไว้ ใช้ได้ตราบนานเท่านาน และอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีตลอดไป 3.10 กิจกรรมเสริมการเรียนรู้ 1. ให้นักศึกษาออกแบบแผนผัง Mind Map เรื่อง แนวทางที่เกี่ยวข้องในการจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และอธิบายมาพอเข้าใจ 2. นักศึกษามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในชีวิตประจำวัน อย่างไรบ้าง มีระยะเวลาในการเก็บข้อมูล 1 สัปดาห์ หลังจากเรียนเนื้อหาในบทที่ 3 (ภาคผนวก 4) 3.11 คำถามท้ายบทที่ 3 1. การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หมายถึงอะไร 2. เพราะเหตุใดเราจึงต้องมีการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 3. นักศึกษามีพฤติกรรมใดบ้างในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยทางตรง และทางอ้อม ให้ตอบมาอย่างน้อย 5 ตัวอย่าง 4. มาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO14000 คืออะไร 5. กฎหมายสิ่งแวดล้อมมีส่วนช่วยในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ อย่างไร 6. จงเสนอแนะแนวทางหรือวิธีการที่เกี่ยวข้องในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมที่นักศึกษาจะนำไปปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวัน
70 3.12 เอกสารอ้างอิง กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม. (2556). องค์กรเอกชนด้านสิ่งแวดล้อม. (ออนไลน์). Available: http://www.deqp.go.th/index.php?option=com_content&view= section&id=15 (สืบค้นข้อมูลวันที่ 20 ธันวาคม 2566). กาญจนา ไฝเพ็ชร. (2555). สินค้าฉลากเขียว. (ออนไลน์). Available: http://www.reo3.go.th/ newversion/images/stories/article56/56_3004.pdf (สืบค้นข้อมูลวันที่ 20 ธันวาคม 2566). การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ใน สารานุกรมไทยสําหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 19 ( 2555). (ออนไลน์) . Available: http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book, php?book=19&chap=1&page=t19-1-infodetail02.html (สืบค้นข้อมูลวันที่ 20 ธันวาคม 2566). การผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม : การผลิตสีเขียว ใน Environment. (2555). (ออนไลน์). Available: http: //www.environnet.in.th/?p=3497. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 20 ธันวาคม 2566). เกษม จันทร์แก้ว (2547). วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม, กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. จักรพันธ์ จันทร์เที่ยง. (2556). กฎหมายสิ่งแวดล้อมกับภาวะโลกร้อน. (ออนไลน์). Available: http://www.learners.in.th/blogs/posts/ 257768 (สืบค้นข้อมูลวันที่ 22 ธันวาคม 2566). พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545. (2555). ราชกิจจานุเบกษา, (ออนไลน์). Available: http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/00102282.PDF. (สืบค้น ข้อมูลวันที่ 22 ธันวาคม 2566). ภัทรศักดิ์ วรรณแสง. (2556). กฎหมายสิ่งแวดล้อม. (ออนไลน์). Available: http://www.dlo.co. th/node/252 (สืบค้นข้อมูลวันที่ 22 ธันวาคม 2566). มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิดถ์. (2554). การพัฒนาที่ยั่งยืนและจริยธรรมสิ่งแวดล้อม, (ออนไลน์). Available: http://human.uru.ac.th/Major_online/Manweb/Text/Envi-6.pdf. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 22 ธันวาคม 2566). มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. (2555). ทฤษฎีใหม่ : แนวทางการจัดการที่ดินและน้ำเพื่อการใช้ ประโยชน์อย่างยั่งยืน. (ออนไลน์) . Available: https://web.ku.ac.th/king72/2542- 09/res05_02.html (สืบค้นข้อมูลวันที่ 22 ธันวาคม 2566). รุ้งเพชร แข็งแรง. (2555). การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแบบยั่งยืน, (ออนไลน์). Available: http: //science.psru.ac.th/teaching/data/envy GEES142_5.pdf. (สืบค้น ข้อมูลวันที่ 22 ธันวาคม 2566). วินัย วีระวัฒนานนท์และ อดิศักดิ์ สิงห์สีโว. (2551). การพัฒนาโรงเรียนสิ่งแวดล้อมศึกษาต้นแบบ รายงานการวิจัย คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. ศศินา ภารา (2550), ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, กรุงเทพฯ : เอ็กซเปอร์เน็ท, สํานักงาน เลขานุการโครงการฉลากเขียว สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย. (2556). ฉลากเขียว. (ออนไลน์). Available: http://www.tei.or.th/greenlabel/th_index.html. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 22 ธันวาคม 2566).
71 สํานักวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม. (2556). การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม, (ออนไลน์). Available: http://www.onep.go.th/ eia/images/3law/35type.PDF. (สืบค้นข้อมูล วันที่ 22 ธันวาคม 2566). องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน), (2556), คาร์บอนฟุตพริ้นท์, (ออนไลน์).Available: http://thaicarbonlabel.tgo.or.th/carbon footprint/index.php?page=3(สืบค้นข้อมูลวันที่ 22 ธันวาคม 2566). ฉลากลดคาร์บอน, (ออนไลน์). Available: http://www.tei.or.th/ carbonreductionlabel/about.html (สืบค้นข้อมูลวันที่ 22 ธันวาคม 2566). อดิศักดิ์ สิงห์สีโว (2554), พื้นฐานสิ่งแวดล้อมศึกษา, มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. อํานาจ วงศ์บัณฑิต. (2545), กฎหมายสิ่งแวดล้อม, กรุงเทพฯ : วิญญูชน. อุรศา ศรีบุญลือ (2544), ฉลากสิ่งแวดล้อมทางเลือกเพื่อสิ่งแวดล้อมสําหรับผู้บริโภค. โปรดักทิวิตี้ เวิลด์ (Productivity World), 6(35), 59-63
72 สาระสำคัญ 4.1 เกริ่นนำ 4.2 แนวคิดธุรกิจโรงแรม 4.3 แนวคิดโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 4.4 โครงการใบไม้สีเขียว 4.5 ความรับผิดชอบต่อชุมชนและสังคม Corporate Social Responsibility: CSR 4.6 แนวคิด 7 ประการเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 7 Green Concept 4.7 แนวคิดการลดการสร้างขยะ 3R สู่แนวคิดสากลเพื่อมุ่งสู่ เศรษฐกิจหมุนเวียน 10R 4.8 บทสรุป 4.9 กิจกรรมเสริมการเรียนรู้ 4.10 คำถามท้ายบทที่ 4 4.11 เอกสารอ้างอิง ที่มา: https://www.homephutoeyriverkwai.com/th/hotel-gallery/ บทที่ 4 การดำเนินงานโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
73 4.1 เกริ่นนำ ธุรกิจที่พักประเภทโรงแรมเป็นธุรกิจที่มีการเจริญเติบโตควบคู่กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และเป็นธุรกิจหนึ่งที่ใช้ทรัพยากรอย่างมากในการให้บริการกับลูกค้า จนก่อให้เกิดแนวคิดการจัดการ โรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อทำการวางมาตรฐานการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมควบคู่ไปกับ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและเกิดการก่อตั้งโครงการใบไม้สีเขียวภายใต้การ ดำเนินการเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการใช้พลังงานและพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อมของธุรกิจการ โรงแรมและการท่องเที่ยว มุ่งเน้นการใช้พลังงานรวมถึงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่า ภายใต้แนวคิดหลัก “รู้ประหยัด รักษ์สิ่งแวดล้อม” และเพื่อตอบสนองความรับผิดชอบต่อชุมชนและ สังคม ด้วยการนำหลักการและแนวคิด ต่าง ๆ เข้ามาประยุกต์ใช้ในการพัฒนามาตรฐานของธุรกิจให้ เกิดความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น แนวคิด 7 ประการเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (7 Green Concept) แนวคิดการลดการสร้างขยะ 3R สู่แนวคิดสากลเพื่อมุ่งสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน 10R เพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้คงอยู่สืบไปคู่กับการประกอบธุรกิจโรงแรมที่เป็น มิตรกับสิ่งแวดล้อม 4.2 แนวคิดธุรกิจโรงแรม 4.2.1 ความหมายของโรงแรม พระราชบัญญัติผู้ประกอบการโรงแรม พ.ศ. 2547 ได้ให้ความหมายของคําว่า โรงแรมว่า หมายถึง สถานที่พักที่จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ในทางธุรกิจเพื่อให้บริการที่พักชั่วคราวสำหรับ เดินทางหรือบุคคลอื่นใด โดยมีค่าตอบแทน ทั้งนี้ ไม่รวมถึง (1) สถานที่พักที่จัดขึ้นเพื่อให้บริการที่พัก ชั่วคราว ซึ่งดำเนินการโดยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรมหาชน หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ หรือเพื่อ การกุศล หรือการศึกษา ทั้งนี้โดยมิใช่เป็นการหาผลกำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน (2) สถานที่พักที่ จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริการที่พักอาศัย โดยคิดค่าบริการเป็นรายเดือนขึ้นไปเท่านั้น (3) สถานที่พักอื่นใดที่กำหนดในกฎกระทรวง มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2545 ให้ความหมายของโรงแรม หมายถึง สถานที่สำหรับ คนเดินทางหรือนักท่องเที่ยวที่มาพักและบริการอาหารและเครื่องดื่ม สถาบันฝึกอบรมวิชาการโรงแรมและการท่องเที่ยว, 2547 ให้ความหมายคำว่าโรงแรม หมายถึง ที่พักที่สร้างขึ้นเฉพาะและแบ่งเป็นห้องพัก มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นแก่นักเดินทาง เก็บค่าเช่าเป็นรายห้อง อนิรุทธิ์ เจริญสุข, 2563 ให้ความหมายโรงแรม ไว้ว่า สถานที่จัดขึ้นเพื่อให้บริการที่ได้รับ ค่าตอบแทนเป็นสินจ้าง กิจกรรมการรับใช้ที่จัดขึ้นเพื่อเป็นการอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้รับบริการและ ส่งผลให้เกิดการขาย ประกอบธุรกิจสำหรับที่พักเพื่อหวังผลกำไรให้บริการด้านที่พักค้างคืนชั่วคราว ที่พักระยะสั้นแก่นักท่องเที่ยว อาจมีการบริการอื่น ๆ เช่น อาหารและเครื่องดื่ม ในระหว่างที่ลูกค้าเข้า พักซึ่งไม่นับรวมถึงสถานที่บางประเภท เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน มหาวิทยาลัยและเรือนจํา จากข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า โรงแรม หมายถึง สถานที่พักที่จัดตั้งขึ้นสำหรับนักเดินทางหรือ บุคคลทั่วไปเพื่อพักค้างคืนชั่วคราวในระยะสั้น โดยมีค่าเช่าตามวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ โดยมิได้ก่อตั้ง ขึ้นจากหน่วยงานส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือหน่วยงานของรัฐหรือเพื่อการกุศล หรือการศึกษา และอาจมีบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ไว้บริการ เช่น อาหารและเครื่องดื่ม
74 4.2.2 ความสำคัญของธุรกิจที่พักแรมในด้านสิ่งแวดล้อม ภาคอุตสาหกรรมการบริการหนึ่งที่ใช้พลังงานอย่างมากแล้วยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมใน หลายด้านไม่ว่าจะเป็นการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ การปล่อยของเสียและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมใน ชุมชนอีกด้วยความสําคัญของธุรกิจที่พักแรมในด้านสิ่งแวดล้อม สามารถสรุปได้ดังนี้ 1) ลดการใช้พลังงาน และจัดการให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น 2) คำนึงถึงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในหลายด้านไม่ว่าจะเป็นการใช้ทรัพยากร ต่าง ๆ การปล่อยของเสียและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในชุมชน 3) ร่วมโครงการที่มูลนิธิใบไม้เขียวดําเนินการเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อมของธุรกิจการท่องเที่ยวและการโรงแรม 4.2.3 ชนิดของโรงแรมและที่พัก โรงแรมถือว่าเป็นธุรกิจที่พักแรมชนิดหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ หลากหลายชนิดเพื่อตอบสนองความ ต้องการของผู้ใช้บริการ ในปัจจุบันชนิดของโรงแรมและที่พักสามารถแบ่งออกได้เป็น 17 ชนิด (นง เยาว์ ใจห้อ, 2551) ดังนี้ 1) โรงแรมธุรกิจ (Commercial Hotels) โรงแรมธุรกิจเป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่ในตัว เมืองหรือเขตชุมชนที่มีศูนย์การค้าหรือย่านธุรกิจต่าง ๆ อยู่อย่างหนาแน่น เป็นบริเวณที่สะดวกต่อการ ทําธุรกิจของผู้เข้าพักประเภทของนักธุรกิจโรงแรมประเภทนี้มุ่งขายห้องพักและบริการด้านธุรกิจ ต่าง ๆ เช่น บริการห้องจัดเลี้ยง ห้องประชุมและบริการศูนย์ธุรกิจ (Business Center Service) ภาพที่ 4.1 Carlton Hotel Bangkok Sukhumvit ที่มา: https://www.guestreservations.com/carlton-hotel-bangkok-sukhumvit, 2566 2) โรงแรมบริเวณสนามบิน (Airport Hotels) โรงแรมบริเวณสนามบิน หมายถึง โรงแรมที่ตั้งอยู่ใกล้กับสนามบิน มีภัตตาคารและห้องอาหาร กลุ่มผู้เข้าพักส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจ เจ้าหน้าที่และลูกเรือของบริษัทสายการบินและผู้โดยสารตกค้างที่มีความจําเป็นต้องค้างคืนในโรงแรม อันเนื่องมาจากสาเหตุต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางทางอากาศ เช่น ต้องรอเปลี่ยนเครื่อง เครื่องบินมีปัญหาขัดข้องต้องเลื่อนกําหนดการบิน นอกจากนี้ผู้จัดการประชุมหลาย ๆ ท่านนิยม เลือกใช้บริการของโรงแรมบริเวณ สนามบินในการจัดการประชุม โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือเพื่อ หลีกเลี่ยงปัญหาการจราจรเป็นการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายของผู้เข้าร่วมประชุม เช่น โรงแรม อมารี แอร์พอร์ต กรุงเทพฯ (ดอนเมือง) และโรงแรมโนโวเทลสุวรรณภูมิ แอร์พอร์ต เป็นต้น (ธารทิพย์ ทากิ, 2549)
75 ภาพที่ 4.2 Novotel Suvarnabhumi Airport Hotel ที่มา: https://www.novotelairportbkk.com/th/, 2566 3) โรงแรมประเภทห้องชุด (Service apartment or Extended Stay Hotels) โรงแรมประเภทห้องชุดคือสถานที่ประกอบการเชิงการค้าที่นักธุรกิจตั้งขึ้น เพื่อบริการผู้เดินทางใน เรื่องของที่พักอาศัย ซึ่งได้รวมลักษณะของห้องชุดและโรงแรมเข้าด้วยกัน คือ มีเครื่องตกแต่งบ้าน มีชุดรับแขก มีอุปกรณ์ครัว พื้นที่ปรุงอาหารและมีสิ่งอํานวยความสะดวกอื่น ๆ ให้เลือกบริการ โรงแรมประเภทนี้ได้แก่ เมย์แฟร์ มาริออท เอ็กซ์คูทีฟ อาพาร์ทเมนท์ กรุงเทพฯ (Mayfair Marriott Executive Apartments) เป็นต้น ภาพที่ 4.3 Mayfair, Bangkok - Marriott Executive Apartments ที่มา: https://www.booking.com/hotel/th/marriott-executive-apartments-mayfairbangkok.th.html?activeTab=photosGallery, 2566 4) โรงแรมตากอากาศ (Resort Hotels) โรงแรมตากอากาศหรือที่เรียกว่า รีสอร์ท หมายถึงโรงแรมที่ตั้งอยู่ในบรรยากาศธรรมชาติและทิวทัศน์ของแหล่งท่องเที่ยวโดยรอบที่จัดให้มี กิจกรรมและบริการต่าง ๆ เอื้อต่อการพักผ่อนหย่อนใจแก่นักท่องเที่ยว เช่น มีกีฬากลางแจ้ง บริการ สปา สระว่ายน้ำ ห้องเล่นเกมส์เพื่อดึงดูดใจนักท่องเที่ยวให้มาพักผ่อนและใช้เวลาในช่วงวันหยุด ประจําปี
76 ภาพที่ 4.4 Centara Grand Mirage Beach Resort Pattaya ที่มา: https://www.centarahotelsresorts.com/centaragrand/th/, 2566 5) โรงแรมประเภทที่พักพร้อมอาหารเช้า (Bed and Breakfast Hotels) โรงแรม ชนิดนี้เรียกอย่างย่อว่า บีแอนด์บี (B&B) ซึ่งเจ้าของบ้านพักหรือเจ้าของอาคารขนาดเล็กบริเวณชาน เมืองได้ ดัดแปลงพื้นที่ใช้สอยของบ้านเป็นห้องพักหลาย ๆ ห้องสําหรับบริการแก่นักเดินทางที่ต้องการ เช่าพักค้างคืน นอกจากนี้ยังจัดสิ่งอํานวยความสะดวกแก่นักเดินทางด้วยบริการอาหารเช้าแบบคอน ติเนนตัล (หมายถึง การบริการอาหารและเครื่องดื่มในเวลาเช้าและไม่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ ได้แก่ ธัญพืช ขนมปัง นม และน้ำผลไม้) โรงแรมประเภทนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักเดินทางที่เน้น ความประหยัด เพราะอัตราค่าห้องพักที่ย่อมเยาและสถานที่ตั้งอยู่ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยว ภาพที่ 4.5 Secret Service Bed and Breakfast Hotel Bangkok ที่มา: https://www.agoda.com/the-secret-service-hotel/hotel/bangkokth.html?cid=1844104&ds=KGLunSPQ1xGzKq3%2B, 2566 6) โรงแรมเพื่อการประชุม (Convention Hotels) โรงแรมเพื่อการประชุม เป็น โรงแรมที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับกลุ่มนักธุรกิจและองค์กรโดยเฉพาะ เพราะนักธุรกิจต้องเดินทางและมี การประชุมขององค์กรบ่อยครั้งในแต่ละปี โรงแรมชนิดนี้มักจะมีจํานวนห้องพักมากตั้งแต่ 500 ห้อง ขึ้นไป เพื่อให้เพียงพอต่อจํานวนนักธุรกิจหรือผู้เข้าประชุมที่มากและมักจะมีจํานวนห้องประชุมพร้อม อุปกรณ์ด้านการประชุมที่ครบครัน บริการอาหารและเครื่องดื่มที่หลากหลาย การจัดเลี้ยง บริการด้าน ธุรกิจ (Business Center) เช่น โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัลลาดพร้าว กรุงเทพฯ เป็นต้น
77 ภาพที่ 4.6 Centara Grand Central Laoprao Bangkok ที่มา: https://www.centarahotelsresorts.com/centaragrand/th, 2566 ภาพที่ 4.7 Miracle Grand Convention Hotel ที่มา: https://miraclegrandhotel.com/photo-gallery/#gallery-8, 2566 7) โรงแรมเพื่อการพนัน (Casino and Gaming Hotels) จุดเริ่มต้นโรงแรมเพื่อการ พนันระดับโลกตั้งอยู่ที่เมืองลาสเวกัส มลรัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา ระดับของการบริการมีตั้งแต่ระดับ เล็กไปจนถึงระดับหรูหรา การขออนุญาตก่อสร้างโรงแรมเพื่อการพนันนี้ขึ้นอยู่กับกฎหมายและ ระเบียบของแต่ละประเทศ ประเทศไทยยังไม่มีการอนุญาตให้สร้างคาสิโนได้ ในประเทศมาเลเซียมี โรงแรมเพื่อการพนัน คือ โรงแรมเกนติ้ง ไฮแลนด์ (Ken ting Highland) เป็นต้น ภาพที่ 4.8 Bellagio Hotel and Casino in Las Vegas ที่มา: https://th.hotels.com/go/usa/bellagio-hotel-and-casino-las-vegas, 2566
78 8) โรงแรมริมทางหลวง (Freeway Hotels and Motel) โรงแรมริมทางหลวงมีจุด กําเนิดในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการขยายถนนเพื่อการเดินทางไปยังรัฐต่าง ๆ ให้สะดวกและรวดเร็วขึ้น จึงทําให้เกิดโรงแรม Motor Hotel หรือ Motel และมีการบริการอาหารและเครื่องดื่ม ตู้เกมส์ สนุก เกอร์ มักตั้งอยู่ในจุดเชื่อมระหว่างเมืองใหญ่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการในการเดินทางทางรถยนต์ ของผู้เข้าพัก ซึ่งเน้นความประหยัดและเรียบง่าย สําหรับประเทศไทยโรงแรมริมทางหลวงยังไม่ค่อย เป็นที่รู้จักมากนัก โรงแรมและรูปแบบการให้บริการไม่เหมือนกับต้นกําเนิดในสหรัฐอเมริกา ถูก นํามาใช้เป็นคําทับศัพท์ภาษาอังกฤษสําหรับโรงแรมม่านรูด ซึ่งเป็นโรงแรมขนาดเล็กที่มีรถหน้า ห้องพักและมีม่านรูดปิดไว้เพื่อความเป็นส่วนตัว ภาพที่ 4.9 The EastLink hotel, Australia ที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/Eastlink_hotel#External_links, 2566 9) โรงแรมบ้านเล็ก (Lodge) โรงแรมบ้านเล็กหมายถึงโรงแรมที่มีขนาดเล็ก มีลักษณะเหมือนบ้านพักอาศัย มักตั้งอยู่ในบริเวณแหล่งท่องเที่ยวหรือบริเวณนอกเมือง เพื่ออํานวย ความสะดวกด้านที่พักแก่นักเดินทาง ต้องการทํากิจกรรมเฉพาะอย่างและเน้นบรรยากาศที่เป็น ธรรมชาติ (ธารทิพย์ ทากิ, 2549) สำหรับประเทศไทยคําว่า "Lodge” ไม่ได้ถูกนํามาใช้ในการเรียกชื่อ โรงแรม ทั้ง ๆ ที่มีโรงแรมบางแห่งให้บริการตามรูปแบบของโรงแรมบ้านเล็ก โดยเฉพาะโรงแรมที่ ตั้งอยู่ในบริเวณแหลังสําคัญ เช่น กฤษดาดอย จังหวัดเชียงใหม่ 10) บ้านรับรอง (Guest House) บ้านรับรองหรือเรียกทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า “เกสท์เฮ้าส์” เป็นบ้านพักที่เกิดจากการจัดสรรพื้นที่ของบ้านให้เป็นห้องพักในจํานวนไม่มากนัก มัก ตั้งอยู่ในย่านชุมชนและแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยม อัตราค่าเช่าพักมีระดับกลางถึงระดับต่ำ เกสท์ เฮ้าส์ที่เป็นที่รู้จักของประเทศไทยคือ บริเวณถนนข้าวสาร 11) ที่พักเยาวชน (Youth Hostels) ลักษณะห้องพักจะมีลักษณะคล้ายกับหอพัก คือมีบริการห้องพักและห้องน้ำรวม ส่วนใหญ่ห้องพักจะเป็นเตียงสองชั้น มีผ้าห่ม หมอน ปัจจุบัน บ้านพักเยาวชนได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง กลุ่มผู้เข้าพักส่วนใหญ่เป็นนักเดินทางวัยรุ่นที่เน้น เพียงความประหยัดและเรียบง่าย ประเทศต่าง ๆ ได้จัดตั้งสมาคมบ้านพักเยาวชนขึ้น และร่วมมือกัน ก่อตั้งเป็นสหพันธ์ภายใต้ชื่อ “สหพันธ์บ้านเยาวชนนานาชาติ” (International Youth Hostel Federation: IYHF) โดยมีสํานักงานกลางอยู่ที่ประเทศอังกฤษ มีประเทศสมาชิก 62 ประเทศ สําหรับ ประเทศไทยมีบ้านพักเยาวชนภายใต้ชื่อ “สมาคมบ้านเยาวชนแห่งประเทศไทย” (Thai Youth Hostels Association)
79 12) โรงแรมแบบจัดสรรเวลา (Time - Share Hotels) โรงแรมแบบจัดสรรเวลาหรือ เรียกทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า “ไทม์แชร์” กําหนดสถานะของผู้เข้าพักให้เป็นสมาชิกโดยการซื้อสิทธิ์ ช่วงเวลาและสมาชิก เวลาในการเข้าพักก่อนล่วงหน้า ปัจจุบันโรงแรมที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ ได้เพิ่มรูปแบบ การบริการโรงแรมในเครือข่ายของตนเองเป็นโรงแรมแบบจัดสรรเวลา อาทิเช่น โรงแรมในเครือลากู น่า ได้จัดตั้งหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบโรงแรมแบบจัดสรรเวลา ภายใต้ชื่อ ลากูน่า ฮอลิเดย์ คลับของ โรงแรมในเครือแมริออท หน่วยงานดูแลชื่อ แมริออท เวเคชั่น คลับ อินเตอร์เนชั่นแนล และของ โรงแรมในเครือฮิลตัน ชื่อ ฮิลตันแกรนด์ เวเคชั่น เป็นต้น 13) คอนโดเทล (Condotels) คอนโดเทล ซึ่งมาคําว่า “คอนโดมิเนียม” หมายถึง อาคารชุดกับคําว่า “โฮเทล" รวมกันหมายถึง สถานที่พักที่ห้องพักมีการออกแบบตามมาตรฐานของ ห้องพักในโรงแรม แต่ตัวอาคารมีลักษณะเหมือนกับอาคารชุด มักตั้งอยู่ตามแหล่งท่องเที่ยวในเขต เมือง 14) โรงแรมบนเรือสําราญ (Cruise Hotels) โรงแรมเรือสําราญหมายถึง ที่พักที่ถูก จัดสรรไว้บนเรือสําราญ การดําเนินการขึ้นอยู่กับการเดินทางของเรือเป็นสําคัญ โรงแรมบนเรือสําราญ (Cruise Hotels) ถือว่าเป็นคู่แข่งที่สําคัญของโรงแรมตากอากาศ (Resort Hotels) เนื่องจากกลุ่ม ลูกค้าเป้าหมายของทั้งสองโรงแรม คือผู้เดินทางเพื่อการพักผ่อนอย่างแท้จริงและมีวันพํานักยาว ภาพที่ 4.10 Celebrity Millennium ที่มา: https://gangwaze.com/cruise-lines/celebrity-cruises/celebrity-millennium, 2566 15) โรงแรมสปาและสุขภาพ (Spa and heath Hotels) ธุรกิจโรงแรมมีการเพิ่ม บริการสปาและสุขภาพเพิ่มขึ้น โดยทั่วไปจะเป็นที่รู้จักในชื่อ รีสอร์ทสปา ซึ่งในโรงแรมจะมุ่งเน้น กิจกรรมบําบัดและผ่อนคลายทั้งอารมณ์และร่างกายอันได้แก่ บริการนวด บริการห้องอบไอน้ำ อ่าง น้ำวน เครื่องดื่มสมุนไพร อาหารสุขภาพ และน้ำมันหอมระเหย เป็นต้น
80 ภาพที่ 4.11 Chivasom Hua Hin https://www.chivasom.com/, 2566 ภาพที่ 4.12 Chivasom Hua Hin https://www.chivasom.com/, 2566 16) โรงแรมบูติก (Boutique Hotels) หรืออาจจะเรียกว่าโรงแรมหรูระดับเล็ก จะมี ความแตกต่างจากโรงแรมหรูหราอื่น ๆ ในด้านสถาปัตยกรรม การตกแต่ง และการออกแบบเพื่อให้ เกิดความรู้สึกพิเศษสําหรับกลุ่มลูกค้าบางกลุ่มโดยทั่วไปโรงแรมบูติกนี้มักจะมีจํานวนห้องไม่เกิน 150 ห้อง กลุ่มลูกค้าอายุ ระหว่าง 20 – 50 ปี (มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด และคณะ, 2548)
81 ภาพที่ 4.13 ศาลารัตนโกสินทร์ กรุงเทพฯ ที่มา: https://www.traveloka.com/th-th/explore/destination/boutique-andinstagramable-hotels-in-thailand-acc/161222, 2566 17) โรงแรม พูล วิลล่า (Pool Villa Hotels) ห้องพักหรือแบบวิลล่าเป็นหลังจะมี สระว่ายน้ำส่วนตัวหรือมีอ่างอาบน้ำจากุสซี่ (Jacuzzi) ส่วนตัว ทั้งนี้โรงแรมประเภท พูล วิลล่า นี้ จะต้องมีห้องลักษณะดังกล่าวไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 หรือครึ่งหนึ่งของจํานวนห้องพักทั้งหมด ภาพที่ 4.14 U Pattaya Pool Villas ที่มา: https://www.uhotelsresorts.com/th/upattaya/accommodation/pool-villa, 2566 4.2.4 การแบ่งสายงานในโรงแรม การแบ่งสายงานในโรงแรม แบ่งเป็นแผนกต่างๆ ซึ่งจะมีอยู่ 2 ส่วนได้แก่ ส่วนที่มีหน้าที่ ให้บริการแขกโดยตรงเรียกว่า ส่วนหน้าบ้าน (front of the house) และส่วนสนับสนุน เรียกว่า ส่วน หลังบ้าน (back of the house) การแบ่งแผนกหลัก ๆ ของโรงแรมมีดังนี้ (อนิรุทธิ์ เจริญสุข, 2563) 1) แผนกบริการส่วนหน้า หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Front Office Department เรียกอย่างย่อว่า F/O หมายถึง แผนกหนึ่งของโรงแรมที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดการกับแขกผู้เข้ามา พักในโรงแรมโดยตรง นับตั้งแต่การต้อนรับ การรับจองห้องพัก การเตรียมห้องพักสำหรับแขกผู้จะมา พัก รวมตลอดถึงการให้การต้อนรับและการจัดบริการต่าง ๆ ให้กับแขกระหว่างที่มาพักอยู่ในโรงแรม
82 อาทิ การบริการด้านข้อมูลข่าวสาร การอำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารกับฝ่ายต่าง ๆ ทั้งใน และนอกโรงแรมจวบจนกระทั่งแขกผู้มาพักได้ออกจากโรงแรมไป 2) แผนกแม่บ้าน เรียกเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า Housekeeping Department หรือ เรียกอย่างย่อได้ว่า HK หมายถึง แผนกหนึ่งของโรงแรมที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดการห้องพักและ พื้นที่บริเวณในโรงแรมทั้งหมด นับตั้งแต่การทำความสะอาด ดูแลซ่อมแซมวัสดุอุปกรณ์ การเตรียม ห้องพักสำหรับแขกผู้จะมาพัก พื้นที่สาธารณะโรงแรม รวมถึงพื้นที่ทำงานแผนกต่าง ๆ แขกหรือผู้มา ใช้บริการจะได้รับผลโดยตรงจากคุณภาพของงาน 3) แผนกบริการอาหารและเครื่องดื่ม หรือ Food and Beverage Service เรียก เป็นภาษาอังกฤษได้ว่า Food and Beverage Service หรือเรียกอย่างย่อได้ว่า F&B หมายถึง การ บริการอาหารและเครื่องดื่มเป็นปัจจัยในการดำเนินงานที่มุ่งผลกำไรสูงสุด จากเดิมให้บริการแค่ลูกค้า ที่มาใช้ในโรงแรมเท่านั้น แต่ปัจจุบันมีการให้บริการลูกค้าจากภายนอกมาใช้บริการในส่วนนี้ถือเป็นสิ่ง สำคัญที่สร้างรายได้ให้กับโรงแรมเป็นจำนวนมาก โรงแรมบางแห่งรายได้แผนกบริการอาหารและ เครื่องดื่ม สร้างรายได้มากกว่าค่าห้องพัก 4) แผนกครัว เรียกเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า Kitchen หรือเรียกอย่างย่อได้ว่า K/C หมายถึง สถานที่ที่ใช้ในการประกอบอาหาร การปรุงอาหาร ทั้งในส่วนของวัตถุดิบและการจัดเก็บ โดยครัวในโรงแรมจะแบ่งเป็นแผนกต่าง ๆ ตามประเภทของอาหาร (Sections) และในแต่ละแผนกจะ แบ่งเป็นแผนกย่อย ตามกรรมวิธีการปรุงอาหาร (Station) 5) แผนกช่าง (Engineering) ช่างในโรงแรมถือว่าเป็นแผนกที่สําคัญและต้องทํางาน ประสานกับทุกฝ่ายทุกแผนก เพื่อให้การบริการในภาพรวมของโรงแรมดีที่สุด และฝ่ายช่างถือว่าเป็น หนึ่งแผนกในฝ่ายสนับสนุนของโรงแรม (Back of the house) 6) ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (Human Resources) หรือเรียกสั้น ๆ ได้ว่า HR เป็นที่ ยอมรับกันว่าในบรรดาทรัพยากรทางการบริหารทั้งหมด คนเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุด ดังนั้นการ บริหารทรัพยากรบุคคลจึงมีความสำคัญมากทั้งในด้านการทำให้โรงแรม มีความมั่นคงและ เจริญก้าวหน้าอันเป็นผลมาจากประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการบริหารทรัพยากรบุคคล 4.3 แนวคิดเกี่ยวกับโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 4.3.1 ความหมาย โรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Hotel) คือ สถานประกอบการประเภทที่พักซึ่ง มีการใช้ทรัพยากรและพลังงานอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ มีการจัดการมลพิษและสิ่งแวดล้อมที่ดี มีส่วนร่วมในการสืบสานศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่นและมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่น (กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม, 2567) โรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หมายถึง สถานประกอบการที่ให้บริการแก่ผู้ใช้บริการ เพื่อให้ความสะดวกสบายและสร้างความพึงพอใจแก่ผู้ใช้บริการซึ่งในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งต้อง คำนึงถึงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและพลังงานที่อาจจะก่อให้เกิดมลภาวะทั้งขยะและน้ำเสีย การ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ อันเป็นสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและ ปรากฏการณ์โลกร้อนที่กำลังกลายเป็นวิกฤติด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ดำเนินโครงการ “การบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประเภทโรงแรม (Green Hotel)” เพื่อส่งเสริม
83 ศักยภาพโรงแรมให้มีการใช้ทรัพยากร พลังงานอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ มีการจัดการ สิ่งแวดล้อมที่ดีและยกระดับมาตรฐานการบริการให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น (อนิรุทธ์ เจริญสุข, 2563) ภาพที่ 4.15 สัญลักษณ์โรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือ Green Hotel ที่มา: https://greenhotelthai.com/th/introduce, 2567 สรุปได้ว่า โรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หมายถึง สถานประกอบการที่ให้บริการแก่ ผู้ใช้บริการเพื่อวัตถุประสงค์ในการพักค้างคืนแบบชั่วคราว ได้รับความสะดวกสบายและสามารถสร้าง ความพึงพอใจให้แก่ผู้ใช้บริการในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ภายในโรงแรม โดยมีการตระหนักถึงการ ใช้ทรัพยากรและพลังงานอย่างคุ้มค้าและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ทรัพยากรและพลังงานดังกล่าว ร่วมถึงการสืบสานศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อส่งเสริม ศักยภาพและยกระดับมาตรฐานการให้บริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 4.3.2 แนวคิด เป้าหมาย และคุณลักษณะ แนวคิดโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือโรงแรมสีเขียว Green Hotel เกิดขึ้น ในประเทศไทยในปลายศตวรรษที่ 1990 เมื่อองค์การสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Program) UNEP ได้สนับสนุนการก่อตั้งมูลนิธิใบไม้เขียว (Green Leaf Foundation) ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ.2541 (ค.ศ.1998) โดยมี สมาคมโรงแรมไทย การท่องเที่ยวแห่งประทศไทย การไฟฟ้าฝ่ายผลิต และการประปานครหลวง เป็น องค์กรหลักในการสนับสนุนการกำหนดมาตรฐานสิ่งแวดล้อมในโรงแรม และมีการประชาสัมพันธ์เชิญ ชวนให้โรงแรมขนาดกลางและขนาดใหญ่ในประเทศไทยเข้าร่วมโครงการเพื่อรับการประเมินมาตรฐาน สิ่งแวดล้อมเพื่อรับรางวัลใบไม้เขียว (Green Leaf Award) (กมล รัตนวิระกุล, 2558) เป้าหมายของโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีดังนี้ 1) ส่งเสริมให้เกิดการใช้ทรัพยากรและพลังงานอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ 2) มีการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดี 3) ขยายเครือข่ายโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อรองรับมาตรการการจัดซื้อจัด จ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของหน่วยงานภาครัฐ และการบริโภคที่เป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อม 4) เตรียมความพร้อมสู่การประเมินมาตรฐานสิ่งแวดล้อมในระดับสากล อันจะทำให้ เกิดการพัฒนา และส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศอย่างยั่งยืน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ต่อไป