184 ออกแบบอื่น ๆ (ประหยัด 10-20%) (Harish Arun และ Kumar, 2016 อ้างใน อลิสา ฤทธิชัยฤกษ์, 2564) ระบบ IOT ที่ใช้ในธุรกิจจะช่วยให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยใช้อุปกรณ์ อัจฉริยะและระบบประหยัดพลังงานสามารถลดต้นทุนด้านพลังงานของโรงแรมได้ระหว่าง 20 ถึง 25% โรงแรมหลายแห่ง ใช้ไฟอัจฉริยะ อุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิและอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น หลอด คอมแพคฟลูออเรสเซนต์และไฟ LED เพื่อลดการใช้พลังงาน การใช้เทคโนโลยีการทําความร้อนและ ความเย็นขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ เป็นต้น ระบบ Smart HVAC จะเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสําหรับแสงสว่าง การใช้เซ็นเซอร์เพื่อ ตรวจสอบระบบ HVAC ยังช่วยประหยัดเวลา และลดความต้องการในการบํารุงรักษาศูนย์ควบคุมสามารถให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับแสงสว่างรวมถึง การใช้พลังงานต่อโคม การปรับอุณหภูมิห้องได้อัตโนมัติและปิดไฟและทีวีโดยอัตโนมัติเมื่อแขกออก จากห้อง 7.11 บทสรุป หลังวิกฤติการณ์พลังงานของโลกที่เกิดขึ้นครั้งแรกในทศวรรษที่ 1970 หลายประเทศได้ ตระหนักถึง ความสําคัญของการใช้พลังงานอย่างประหยัด รวมถึงประเทศไทยที่กําลังพัฒนาอย่าง ต่อเนื่องและมีความจําเป็นต้องใช้พลังงานในการขยายตัวของอุตสาหกรรมและสาธารณูปโภคต่าง ๆ ความจําเป็นและความต้องการพลังงานที่เพิ่มมากขึ้นทําให้มีการนําเข้าน้ำมัน ถ่านหินและก๊าซ ปิโตรเลียมเหลว ส่งผลให้เกิดปัญหาราคาน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติราคาสูงขึ้น ธุรกิจโรงแรมและที่พัก เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมการบริหารที่มีความสําคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศและมีการขยายตัวอย่าง ต่อเนื่อง ในการดําเนินธุรกิจดังกล่าวมีความจําเป็นต้องอํานวยความสะดวกแก่ผู้เข้าพักซึ่งเกี่ยวข้องกับ การใช้พลังงานจํานวนมาก และบางครั้งที่ก่อให้เกิดความสิ้นเปลืองพลังงานจากพฤติการรมจากการ ปฏิบัติงานและพฤติกรรมของแขกที่เข้าพัก เช่น การปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าใน ห้องพักทิ้งไว้ขณะที่ไม่มีผู้อยู่ ในห้องพักเช่นนี้เป็นการสูญเสียพลังงานโดยเปล่าประโยชน์ดังนั้นจึงเป็นเรื่องจําเป็นที่โรงแรมต้องมี การบริหารจัดการด้านพลังงานไฟฟ้าเพื่อเป็นการลดต้นทุน เนื่องจากค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเป็นต้นทุน ที่สําคัญที่สุดในการดําเนินธุรกิจโรงแรม นอกจากนี้การจัดการด้านพลังงานที่ดีของโรงแรม ยังช่วย ส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กรในการเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ในการดําเนินงาน ด้านการจัดการพลังงานจะต้องมีการวางวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ชัดเจน การวางแผนปฏิบัติงาน และการประเมินผลและเปรียบเทียบประสิทธิภาพจากการดําเนินการ โดยวิธีการอนุรักษ์และประหยัด พลังงานไฟฟ้าในโรงแรมสามารถทําได้ทั้งแบบที่มีค่าใช้จ่ายและไม่มีค่าใช้จ่าย การใช้พลังงานของ โรงแรมส่วนใหญ่มาจากด้านการใช้พลังงานแสงสว่าง ระบบปรับอากาศความร้อน และความเย็น นอกจากการนําเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการอนุรักษ์ประหยัดพลังงานในระบบต่าง ๆ แล้ว พนักงานใน โรงแรมทั้งที่เกี่ยวข้องโดยตรง และทางอ้อมเพื่อลดการใช้พลังงาน นอกจากนี้แล้วโรงแรมควรมีการ แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการดําเนินการดังกล่าวให้แขกผู้เข้าพักทราบถึงวัตถุประสงค์ในการดําเนินการด้าน การอนุรักษ์พลังงานของโรงแรมเพื่อให้แขกผู้เข้าพักได้เป็นส่วนหนึ่งของการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อม
185 7.12 กิจกรรมเสริมการเรียนรู้ ให้นักศึกษาแบ่งกลุ่มอภิปราย หัวข้อ “การลดการใช้พลังงานในธุรกิจโรงแรม เพื่อเพิ่ม ภาพลักษณ์ที่ดีของโรงแรมด้วยการเป็นส่วนหนึ่งของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม” โดยให้นักศึกษา ค้นหา ข้อมูลโรงแรมที่มีการจัดการด้านพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ คนละ 1 แห่ง และนำเสนอหน้าชั้น เรียน 7.13 คำถามท้ายบทที่ 7 1. อธิบายความหมายของการจัดการพลังงานในธุรกิจโรงแรม 2. ปัจจัยการใช้พลังงานในพื้นที่ที่แตกต่างกันภายในโรงแรม มีอะไรบ้าง อธิบาย 3. ให้บอกถึงแนวคิดในการอนุรักษ์พลังงาน ว่ามีกี่แนวคิด อะไรบ้าง 4. การบริหารจัดการด้านการใช้พลังงานในโรงแรมมีแนวทางอย่างไรบ้าง 5. ประโยชน์ที่โรงแรมจะได้รับจากการจัดการพลังงาน มีอะไรบ้าง อธิบาย 6. การอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้าในระบบไฟฟ้าแสงสว่างในโรงแรม สามารถทำได้กี่วิธี อะไรบ้าง 7. การนำระบบ Internet of Things (IoT) มาใช้งานเพื่อประหยัดพลังงาน มีแนวทาง อย่างไร อธิบาย 7.14 เอกสารอ้างอิง กรมพลังงานทดแทนและการอนุรักษ์พลังงาน. (ม.ป.ป.). ข้อมูลพลังงานทดแทน. (ออนไลน์). Available: http://services.dede.go.th/opendata/. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 12 ตุลาคม 2566). กระทรวงพลังงาน. (2566). รายงานสถานการณ์พลังงานของประเทศไทย เดือนมกราคม-กรกฎาคม 2566. (ออนไลน์). Available: https://kc.dede.go.th/knowledge-view.aspx?p=505. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 12 ธันวาคม 2566). กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา. (2563). สถิติด้านการท่องเที่ยว. (ออนไลน์). Available: https://www.mots.go.th/news/category/411. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 12 ตุลาคม 2566). เจนจิรา คุ้มเมือง. (2558). วิทยานิพนธ์ นโนบายการจัดการการอนุรักษ์สิ่งวแดล้อมและพลังงานของ โรงแรมในอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี. บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยศิลปากร. ปัทมา ศิริธัญญา. (2549). โครงการงานรวบรวมองค์ความรู้และสร้างระบบต้นแบบ. แบบเสนอ โครงการวิจัยสถาบันถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชน. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา. ไพรวัล อินชิด และคณะ. (2564). การเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานไฟฟ้าภายในอาคาร กรณีศึกษา อาคารโรงแรมขนาดใหญ่ (2,000 kva). วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (น.40-53). มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. เยาวภรณ์ เลิศกุลทานนท์. (2565). การพัฒนาการบริการนวัตกรรมเพื่อเพิ่มคุณค่าการบริการให้แก่ ลูกค้าของธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย. (วิทยานิพนธ์ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาการ จัดการการท่องเที่ยว).มหาวิทยาลัยนเรศวร. รัตนา ศิลาเดช และคณะ. (2555). แนวทางการพัฒนาการดำเนินงานพลังงานชุมชน จังหวัด ม ห า ส า ร ค า ม . Graduate Research Conference 2 0 1 2 . ( น . 1 1 4 8-1 1 5 6 ) . มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
186 ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา. (2565). IoT คืออะไร ใครรู้บ้าง. (ออนไลน์). Available: https://sciplanet.org/content/10575. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 12 ตุลาคม 2566). สมศักดิ์ มีนคร. (2555). รายงานวิจัย เรื่อง การศึกษารูปแบบการจัดการพลังงานที่เหมาะสมในพื้นที่ อำเภออัมพวา. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา. สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์. (ม.ป.ป.). พระราชบัญญัติการส่งเสริมและอนุรักษ์ พลังงาน พ.ศ.2535. (ออนไลน์). Available: https://www.opsmoac.go.th/nongkhaidwl-files-411391791877 (สืบค้นข้อมูลวันที่ 12 ตุลาคม 2566). อลิสา ฤทธิชัยฤกษ์. (2564). การจัดการขยะในธุรกิจที่พัก. เอกสารประกอบการสอนรายวิชา HLM 4201 การจัดการธุรกิจโรงแรมอย่างยั่งยืน. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา. Booking.com. (2565). การลดการใช้พลังงานและใช้พลังงานสีเขียว. (ออนไลน์). Available: https://partner.booking.com/th. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 12 ตุลาคม 2566). Energy Auditor Thai. (2017). คู่มือฝึกอบรมการเประเมินศักยภาพการอนุรักษ์พลังงาน. (ออนไลน์). Available: http://energyauditorthai.com/wp-content/uploads/2017/01/02.pdf. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 12 ตุลาคม 2566). Praornpit Katchwattana. (2022). วิกฤตพลังงาน ผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนกับโอกาส ปฏิวัติและใช้พลังงานสีเขียวในไทยเร็วขึ้น. (ออนไลน์). Available:https://www.salika.co/2022/04/27/world-energy-crisis-thailandclean- energy-solution/. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 12 ตุลาคม 2566).
187 สาระสำคัญ 8.1 เกริ่นนำ 8.2 สถานการณ์น้ำ 8.3 การใช้ทรัพยากรน้ำในโรงแรม 8.4 การจัดการทรัพยากรน้ำในโรงแรม 8.5 แนวทางการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำในโรงแรม 8.6 แนวทางการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำในพื้นที่ดำเนินงานในโรงแรม 8.7 ประโยชน์จากการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำในโรงแรม 8.8 บทสรุป 8.9 กิจกรรมเสริมการเรียนรู้ 8.10 คำถามท้ายบทที่ 8 8.11 เอกสารอ้างอิง ที่มา: https://sonhaiviet.com/aenwthaang-kaar-nuraks-thraphyaakr-nam/ บทที่ 8 การจัดการทรัพยากรน้ำในโรงแรม
188 8.1 เกริ่นนำ น้ำเป็นปัจจัยที่จําเป็นต่อสรรพชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์ทั้งสําหรับการอุปโภคและ บริโภค อุตสาหกรรม การคมนาคม การเกษตร การท่องเที่ยวและนันทนาการ เป็นต้น แม้ว่าน้ำเป็น ทรัพยากรหมุนเวียนแต่ 97 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณน้ำทั้งหมดบนโลกเป็นน้ำทะเลในมหาสมุทร มีเพียง 3 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้นที่เป็นน้ำจืด และหากแบ่งน้ำจืดออกเป็น 100 ส่วน ประมาณ ร้อยละ 68.7 ถูก กักเก็บในรูปแบบของน้ำแข็ง หิมะร้อยละ 30.1 เป็นน้ำใต้ดิน และร้อยละ 0.9 เป็นความชื้นในดินและ ชั้นบรรยากาศ ดังนั้นจึงเหลือน้ำจืดเพียง 0.3 ส่วนเท่านั้นที่เป็นน้ำผิวดินที่มนุษย์สามารถนํามาใช้ ประโยชน์ได้ในขณะที่ประชากรและเศรษฐกิจโลกเติบโตและพัฒนาขึ้น แต่ทรัพยากรน้ำทั่วโลกกลับ เผชิญปัญหาวิกฤตจากการถูกคุกคามและทําลายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ น้ำเสียและ มลพิษเสี่ยงต่อวิกฤตน้ำในอนาคตของโลก สภาวะโลกร้อนที่ส่งผลกระทบต่อวัฏจักรของน้ำบนโลกเกิด ความผันแปรของพายุหมุนเขตร้อนเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ภาวะฝนแล้ง ฝนทิ้งช่วงยาวนานหรือภาวะน้ำ ท่วมหนักส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมซึ่งเป็นรากฐานที่สําคัญของความมั่นคง ทางด้านเศรษฐกิจของโลก จากปัญหาขาดแคลนน้ำของโลกทําให้องค์การสหประชาชาติรณรงค์ให้ นานาประเทศทั่วโลกช่วยกันอนุรักษ์น้ำ โดยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 เป็นต้นมามีการกําหนดให้วันที่ 22 มีนาคมของทุกปีเป็นวันอนุรักษ์น้ำของโลก (World Wide Fund For Nature, ม.ป.ป.) ทั้งนี้ผล การศึกษาการจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกโดยองค์การอาหารและเกษตรแห่ง สหประชาชาติ พบว่าประเทศไทยเป็น 1 ใน 10 ของประเทศที่ใช้น้ำมากที่สุดในโลกรองจากอินเดีย จีน สหรัฐอเมริกา ปากีสถาน และญี่ปุ่น โดยน้ำที่นําไปใช้ส่วนใหญ่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมเกษตร อาหารและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและโรงแรม (สํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวง อุตสาหกรรม, 2562 อ้างใน เดชา สีดูกา, 2563) จํานวนโรงแรมและอัตราการเข้าพักในช่วงฤดูกาล ท่องเที่ยวทําให้ความต้องการ ใช้น้ำสูงขึ้นในภาคธุรกิจโรงแรม เช่นในจังหวัดภูเก็ตพบว่าความต้องการ ใช้น้ำสําหรับนักท่องเที่ยวทั้งหมดมีปริมาณสูงถึง 595,545.5 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน (ระหว่างเดือน พฤศจิกายน-เมษายน) ขณะที่หลายประเทศทั่วโลกกําลังเผชิญกับการขาดแคลนน้ำและความแห้งแล้ง กลับพบว่าการใช้น้ำเป็นสัดส่วนที่สําคัญของค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคของโรงแรมเช่นเดียวกัน ดังนั้นแล้ว อุตสาหกรรมโรงแรมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างรวดเร็วจําเป็นต้อง ร่วมมือกันเพื่อลดความเสี่ยงด้านการขาดแคลนทรัพยากรน้ำและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ธุรกิจโรงแรมมีหน้าที่ในการจัดเตรียมน้ำที่ปลอดภัยในการบริโภคและอุปโภคทั้งแก่ลูกค้า แขกและ พนักงานขณะเดียวกันก็จําเป็นต้องใช้ทรัพยากรน้ำอย่างมีคุณค่า ตลอดจนบําบัดน้ำเสียก่อนปล่อยลงสู่ แม่น้ำตามธรรมชาติอีกด้วย 8.2 สถานการณ์ทรัพยากรน้ำ ปัญหาการขาดแคลนน้ำส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วโลกมากกว่า 40 % แม้ว่าประชาชน 2,100 ล้านคน ได้รับการเข้าถึงการสุขาภิบาลน้ำที่ดีขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2533 แต่ยังพบว่ามีการขาดแคลน อุปกรณ์สําหรับน้ำดื่มที่ปลอดภัยซึ่งเป็นปัญหาหลักที่ส่งผลกระทบต่อทุกทวีป การทําให้มีน้ำดื่มที่ ปลอดภัยและราคาเหมาะสมภายในปี พ.ศ.2573 ต้องมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม โดย จัดให้มีสิ่งอํานวยความสะดวกด้านสุขอนามัยและส่งเสริมสุขอนามัยในทุกระดับปกป้องและฟื้นฟู ระบบนิเวศที่เกี่ยวข้องกับน้ำ เช่น ป่าไม้ ภูเขาและแม่น้ำนอกจากนี้ความร่วมมือระหว่างประเทศควรมี
189 การส่งเสริมให้มีการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพและสนับสนุนเทคโนโลยีการบําบัดน้ำในประเทศที่กําลัง พัฒนา (United Nations, ม.ป.ป) รายงานสถานการณ์น้ำของโลกระบุว่าประชากรโลก 1 ใน 5 คน ไม่สามารถเข้าถึงน้ำสะอาด ขาด แคลนน้ำดื่ม ประชากรครึ่งหนึ่งของโลกขาดแคลนน้ำสะอาดตามหลักสุขาภิบาล และในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ประชากรมากกว่า 5 ล้านคนตายด้วยโรคที่เกิดจากน้ำไม่สะอาด สถาบันจัดการน้ำระหว่าง ประเทศ (IWMI) คาดการณ์ว่าในราวปี ค.ศ. 2025 ประชากร 4,000 ล้านคน ใน 48 ประเทศ (2 ใน 3 ของประชากรโลก) จะเผชิญกับปัญหาความขาดแคลนน้ำ ขณะที่ธนาคารโลกประมาณการว่าอีก 30 ปี ข้างหน้า ครึ่งหนึ่งของประชากรโลกจะเผชิญกับภาวะขาดแคลนน้ำ หากยังคงมีการใช้น้ำที่ฟุ่มเฟือย อย่างเช่นในปัจจุบัน (World Wide Fund For Nature, ม.ป.ป.) ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรโลก (WRI) ได้เผยถึงสถานการณ์ขาดแคลนน้ำที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นในขณะนี้และอาจนําไปสู่สถานการณ์ ที่เรียกว่า “day zero” หรือสถานการณ์น้ำหมด เมืองที่เคยเกิดกับประเทศแอฟริกาใต้ในปี 2018 (The Guardian, 2020) ในช่วงหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมาอัตราการใช้น้ำของประชากรทั่วโลกเพิ่มขึ้น มากกว่า 2 เท่าของอัตราการเพิ่มจํานวนประชากรโลกและมนุษย์ยังมีการใช้น้ำเพิ่มขึ้นในทุกกิจกรรม จากการศึกษาของ Massachusetts Institute of Technology คาดการณ์ว่า ในปี 2593 หลาย ประเทศในภูมิภาคเอเชียประสบกับวิกฤตปัญหาการขาดแคลนน้ำ จากสภาพภูมิอากาศที่มีการ เปลี่ยนแปลงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและจํานวนประชากรที่เพิ่มขึ้น (รัตนาภรณ์สิงห์ศักดา, 2563) นอกจากนี้ ข้อมูลจากเว็ปไซด์กรีนพีซประเทศไทยยังกล่าวถึงวิกฤตน้ำที่จะเกิดขึ้น อาทิ (ธารา บัวคําศรี, 2563) 1) ร้อยละ 25 ของประชากรโลกประสบกับวิกฤตน้ำในปัจจุบันและจะเพิ่มเป็นร้อย ละ 60 ภายในปี พ.ศ. 2568 2) ประชากรมากกว่า 2 พันล้านคน อาศัยอยู่ในประเทศที่ประสบกับวิกฤตน้ำใน ระดับสูง 3) ประชากรราว 4 พันล้านคนทั่วโลกเผชิญกับการขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรงอย่าง น้อยที่สุด 1 เดือนต่อปี คาดว่าจํานวนนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 4.8 ถึง 5.7 พันล้านคนภายในปี พ.ศ. 2593 ก่อให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากรระหว่างผู้ใช้น้ำ โดยที่น้ำจืดร้อยละ 60 มาจากลุ่มน้ำที่มีแม่น้ำไหลผ่าน หลายประเทศ เป็นต้น ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาประเทศไทยเองได้เผชิญกับปัญหาเกี่ยวกับน้ำอย่าง ต่อเนื่อง อาทิ รายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์ Bangkok Post ออนไลน์ ปี 2020 รายงานถึงภาวะความ แห้งแล้งครั้งเลวร้ายที่ประเทศไทยต้องเผชิญมากที่สุดในรอบสี่ทศวรรษ เนื่องจากราวครึ่งหนึ่งของ บรรดาอ่างเก็บน้ำในประเทศมีน้ำต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของศักยภาพที่กักเก็บน้ำไว้ได้ น้ำในแม่น้ำต่ำในระดับ ที่ทําให้น้ำเค็มจากทะเลรุกเข้ามาถึงพื้นที่ตอนบนของแม่น้ำและส่งผลกระทบต่อแหล่งน้ำบริโภค (Bangkok Post, 2020) ยังไม่รวมถึงสถานการณ์ภัยแล้งและอุทกภัยที่รุนแรงขึ้น ปัญหาแหล่งน้ำเสื่อม โทรมและปนเปื้อนสารพิษอันมีสาเหตุมาจากชุมชนเมือง ภาคอุตสาหกรรม และภาคเกษตรกรรม วิกฤตน้ำดังกล่าวไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจ และสังคม แต่ยังส่งผลกระทบต่อ การดํารงวิถีชีวิตของประชาชนอย่างมากและมีแนวโน้มที่จะรุนแรงมากขึ้น วิกฤตดังกล่าวเกิดจาก หลายปัจจัยร่วมกัน อาทิ การขาดแคลนน้ำที่เป็นไปตามธรรมชาติ (physical shortage) การขาดการ บริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีหรือพอเพียงต่อการจัดสรรน้ำ ปริมาณความ
190 ต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้น พฤติกรรมการใช้น้ำรวมทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อน (World Wide Fund For Nature, ม.ป.ป.) 8.3 การใช้ทรัพยากรน้ำในโรงแรม น้ำเป็นทรัพยากรที่จําเป็นสําหรับการดําเนินการในธุรกิจโรงแรม การเข้าพักของแขกมีความ เกี่ยวข้องกับน้ำทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางตรง เช่น เพื่อความสะอาด สุขอนามัยและความ สะดวกสบายของแขก ทางอ้อม เช่น การดําเนินการของโรงแรมต้องอาศัยคู่ค้าด้านการเกษตรในการ ส่งวัตถุดิบประเภทต่าง ๆ ซึ่ง ล้วนแต่ต้องอาศัยน้ำในปริมาณที่เพียงพอ ทั้งนี้พื้นที่หลักที่มีการใช้น้ำ ของโรงแรมขนาดเล็กหรือขนาดกลาง ได้แก่ ห้องพักแขก ห้องซักรีด ห้องครัว ห้องอาหาร สระว่ายน้ำ สปา พื้นที่สีเขียว สวนหย่อม (เดชา สีดูกา 2556) โดยร้อยละ 10 ของค่าสาธารณูปโภคในโรงแรมส่วน ใหญ่คือ “ค่าน้ำ” ซึ่งค่าน้ำในโรงแรมเกิดจากค่าน้ำที่นํามาใช้ และค่าการบําบัดน้ำเสีย ดังนั้นการใช้น้ำ อย่างประหยัดจึงเป็นช่วยลดปริมาณการบําบัดน้ำเสีย ซึ่งก่อให้เกิดมลพิษทางน้ำ การบริหารจัดการน้ำ ที่ดีจะช่วยให้โรงแรมสามารถลดปริมาณการใช้น้ำต่อแขกต่อคืนได้สูงสุดถึง 50 เปอร์เซ็นต์ (International Tourism Partnership, 2008 อ้างใน อลิสา ฤทธิชัยฤกษ์, 2564) สําหรับโรงแรมใน สหรัฐอเมริกา น้ำเป็นค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคที่สูงเป็นอันดับสองของธุรกิจ คิดเป็น 24.7% ของ ค่าใช้จ่ายทั้งหมด เมื่อประกอบกับข้อเท็จจริงที่ว่าการขาดแคลนน้ำคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อ 40% ของประชากรโลกภายในปี 2573 ดังนั้นแรงจูงใจด้านการลดต้นทุนและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจึงเป็น แรงจูงใจที่ดีที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะอุปโภคและบริโภคน้ำอย่างมีคุณค่า (Katrina Visser, 2019) ปริมาณการใช้น้ำในธุรกิจโรงแรมและที่พักมีส่วนสําคัญในการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และ ส่งผลกระทบต่อแหล่งน้ำ คาดว่าปริมาณการใช้น้ำต่อนักท่องเที่ยวต่อวันจะอยู่ระหว่าง 84 ถึง 2,000 ลิตรหรือมาก ถึง 3,423 ลิตรต่อห้องต่อวัน อย่างไรก็ตามปริมาณน้ำใช้ของแขกในโรงแรมสามารถ ประเมินตามขนาดของโรงแรม ซึ่งกรณีศึกษาจากหลายประเทศพบว่ามีมีผลที่แตกต่างกันอย่างมาก เช่น โรงแรมขนาดกลางในประเทศไทยใช้น้ำเฉลี่ย 700/ลิตร/คน/วัน และที่ประเทศออสเตรเลียอยู่ที่ 750 ลิตร (Bohdanowicz and Martinac, 2007 ใน เดชา สีดูกา, 2556) ขณะที่บนเกาะลังกาวีใน มาเลเซีย โรงแรมขนาดกลางปริมาณการใช้น้ำ 500 ลิตร/คน/วัน (Tang, 2012 ใน เดชา สีดูกา, 2556) นอกจากนี้ผลการศึกษาของ (สุภารัตน์ พิลางาม, 2560) พบว่าปริมาณการใช้น้ำของโรงแรมใน กรุงเทพฯ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1,210 ลิตร/ห้องพัก/วัน ขณะที่จากการศึกษาของ (ศิริรัตน์ กวยระคาร, 2556) พบว่าการใช้น้ำของโรงแรมในขนาดกลางและขนาดใหญ่ในเทศบาลเมืองป่าตอง จังหวัดภูเก็ต อยู่ที่ 450.33 ลิตร/ห้อง/วัน ทั้งนี้การใช้น้ำของโรงแรมมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับปัจจัยและบริบท ของโรงแรม เช่น ขนาดของโรงแรม ประเภทของโรงแรม ทําเลที่ตั้ง ระดับการให้บริการ รูปแบบการ บริหารจัดการ สิ่งอํานวยความสะดวกในโรงแรม รวมถึงความผันแปรตามจํานวนแขกผู้เข้าพักในแต่ละ ช่วง เป็นต้น (เดชา สีดูกา, 2556) การเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจํานวนห้องพักและอัตราการเข้าพักที่สูงขึ้นใน ฤดูกาล ท่องเที่ยวทําให้โรงแรมจําเป็นต้องวางแผนจัดการน้ำเพื่อปริมาณน้ำเพียงพอต่อการใช้งานและ ไม่ส่งผลกระทบต่อนักท่องเที่ยว เช่น ความต้องการใช้น้ำของนักท่องเที่ยวในฤดูกาลท่องเที่ยวใน จังหวัดภูเก็ตต่อวันสูงถึง 395,545.5 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน (การประปาส่วนภูมิภาค ภูเก็ต, 2554) ขณะที่ปริมาณน้ำประปาที่ผลิตและสามารถให้บริการต่ำกว่าร้อยละ 50 ของประชากร รวมถึงน้ำ บาดาลจากพื้นที่ชายฝั่งมีศักยภาพต่ำเพราะเป็นแหล่งน้ำบาดาลเค็มเนื่องจากการรุกล้ำของน้ำทะเล
191 บริเวณพื้นที่ป่าชายเลน ดังนั้นโรงแรมในภูเก็ตจจึงต้องใช้แหล่งน้ำสํารองจากรถน้ำเอกชน ซึ่งทําให้ ต้นทุนสูงขึ้น 8.4 การจัดการทรัพยากรน้ำในโรงแรม ในพื้นที่ที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างรวดเร็ว อาทิ เชียงใหม่ ภูเก็ต ชลบุรี พบว่ามีความเสี่ยงต่อการเผชิญกับปัญหาขาดแคลนน้ำและปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อการบริโภคและ อุปโภค ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในพื้นที่และสําหรับธุรกิจโรงแรมเองโดยปกติจะมีการกําหนด นโยบายในการบริหารจัดการด้านการใช้น้ำโดยเป็นข้อกําหนด 2 ลักษณะ ได้แก่ 1) การประกาศนโยบายการใช้น้ำเป็นลายลักษณ์อักษรโดยเจ้าของกิจการ หรือ คณะกรรมการบริหารโรงแรม 2) การประกาศใช้ที่ได้รับการรับรองทางการท่องเที่ยวและการโรงแรม (International Certificate Program) ซึ่งเป็นการรับรองมาตรฐานที่ครอบครอบคลุมด้านการจัดการ สิ่งแวดล้อมของ โรงแรม อาทิ การใช้น้ำ การบําบัดน้ำเสีย การใช้พลังงาน เป็นต้น (กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, 2554 อ้างใน เดชา สีดูกา, 2556) ขณะเดียวกันกับการจัดตั้งวัตถุประสงค์ด้านการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โรงแรมจะต้อง ตระหนักถึง สิ่งต่อไปนี้ (International Tourism Partnership, 2008 อ้างใน อลิสา ฤทธิชัยฤกษ์, 2564) 1) ตอบสนองความต้องการของแขกขณะที่หลีกเลี่ยงการใช้น้ำอย่างสิ้นเปลือง แม้ว่า แขกจะมีความตระหนักถึงการใช้น้ำมากกว่าหลายสิบปีที่ผ่านมา แต่แขกยังคาดหวังว่าทุกครั้งที่เปิด ฝักบัว แรงดันและปริมาณของน้ำจะต้องเพียงพอ ดังนั้นโรงแรมอาจจะติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดน้ำที่ เหมาะสม รวมถึงการให้ข้อมูลแก่แขกเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการประหยัดน้ำ 2) การปรับปรุงประสิทธิภาพ มีวิธีการหลายวิธีที่จะช่วยในการประหยัดการใช้น้ำ การวัดประสิทธิภาพการใช้น้ำควรเป็นมาตฐานอันดับต้น ๆ ที่โรงแรมต้องดําเนินการโดยเฉพาะพื้นที่ หลักที่ใช้น้ำ อาทิ ห้องครัว ห้องน้ำ สปาและสระว่ายน้ำ โรงแรมควรมีขั้นตอนการตรวจสอบระบบน้ำ รั่วรวมถึงวิธีการแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างรวดเร็ว 3) จัดตั้งหน่วยงานที่ดูแลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการใช้น้ำ ติดตั้งมิเตอร์ย่อยในแผนก ต่าง ๆ เพื่อรับผิดชอบด้านการใช้น้ำ รวมถึงการคิดค่าใช้จ่ายสําหรับการใช้น้ำของหน่วยงานอิสระที่อยู่ ในบริเวณโรงแรม 4) มาตรฐานการปฏิบัติงาน สร้างและใช้มาตรฐานการปฏิบัติงานสําหรับแต่ละแผนก การตั้งค่าเป้าหมายและติดตามผลอย่างต่อเนื่อง 5) ติดตั้งเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตรวจสอบเทคโนโลยีที่มีอยู่อย่างต่อเนื่องและประเมิน ว่าจะสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดําเนินงานโรงแรมของคุณหรือไม่ 6) การตั้งค่ามาตรฐานสูงสําหรับโครงการใหม่ เมื่อวางแผนการปรับปรุง ต่อเติม หรือ สร้างอาคารใหม่ สิ่งสําคัญคือตั้งแต่เริ่มแรก คือรวบรวมมมาตรการประสิทธิภาพการใช้น้ำในรูปแบบ ของฝักบัวและห้องส้วมไหลต่ำที่ช่วยประหยัดน้ำ เป็นต้น 7) การจัดอบรมพนักงาน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าพนักงานทุกคนได้รับการฝึกอบรม อย่างเหมาะสมในทุกด้านของการอนุรักษ์น้ำและนําการฝึกอบรมไปปฏิบัติจริง
192 8.5 แนวทางการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำในโรงแรม เพื่อให้การดําเนินการตามวัตถุประสงค์ด้านทรัพยากรน้ำ โรงแรมจะต้องมีแผนการปฏิบัติซึ่ง โรงแรมจะต้องลงทุนเวลา ทรัพยากรในการวางแผนการจัดองค์กร การฝึกอบรม และการติดตามอย่าง รอบคอบ โดยมีขั้นตอนพื้นฐานคือ (เดชา สีดูกา, 2556) 1) ดําเนินการตรวจสอบการใช้น้ำในโรงแรมในโรงแรมซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงพื้นที่ หลักที่มีการใช้น้ำปริมาณมาก และพื้นที่ใดสามารถประหยัดน้ำได้ 2) แนวทางสําหรับการใช้ทรัพยากรน้ำให้เกิดประสิทธิภาพ มีดังนี้ 2.1) ลงทุนติดตั้งเทคโนโลยีใหม่ 2.2) การวางแผนและปฏิบัติเพื่อที่จะนําน้ำเสียหรือน้ำที่บําบัดแล้วมาใช้ให้ เกิดประโยชน์ 2.3) ลดหรือหลีกเลี่ยงการใช้น้ำจากรูปแบบต่าง ๆ ของโรงแรมเท่าที่เป็นไป ได้ หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้ควรใช้น้ำอย่างคุ้มค่ามากที่สุด 2.4) ลงทุนติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดน้ำ เช่น อุปกรณ์ประหยัดน้ำหรือก๊อกน้ำ ฉลากเขียว ซึ่งก๊อกน้ำปิดน้ำอัตโนมัติช่วยประหยัดน้ำได้ถึงร้อยละ 40 เทียบกับก๊อกน้ำที่ปิดด้วยมือ ทั้งนี้เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของอุปกรณ์การใช้น้ำประเภทต่าง ๆ ได้มีการกําหนดอัตราการ ไหลเวียนของน้ำของอุปกรณ์ 2.5) ลงทุนระบบเก็บกักน้ำฝน สํารองใช้เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ขาดแคลนน้ำ 2.6) เจ้าของหรือผู้บริหารควรให้ความสําคัญและตระหนักถึงการบริหาร จัดการน้ำในโรงแรม 2.7) สร้างจิตสํานึกให้แก่พนักงาน แขกผู้เข้าพักให้ตระหนักต่อการใช้น้ำ และสร้างโอกาสร่วมกันในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ 2.8) ในบางพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำฝนจํานวนมาก โรงแรมสามารถเก็บกักน้ำฝน และตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำเพื่อนําใช้ในห้องสุขา ล้างทําความสะอาดพื้นและรดน้ำต้นไม้โดยต้องน้ำ นั้นต้องผ่านค่ามาตรฐานคุณภาพน้ำก่อนนําไปใช้งานตามความเหมาะสม 8.6 แนวทางการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำในพื้นที่ดำเนินงานในโรงแรม ข้อมูลจากสํานักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกา (The U.S. Environmental Protection Agency :EPA) ห้องสุขาของโรงแรมเป็นพื้นที่ที่มีการใช้น้ำมากที่สุดคิดเป็นสัดส่วนร้อย ละ 30 รองลงมาคือ แผนกซักรีด ร้อยละ 16 และภูมิทัศน์รอบโรงแรมที่ร้อยละ 14 (National Geographic, ม.ป.ป.) อย่างไรก็ตามสัดส่วนการใช้น้ำของพื้นที่ในโรงแรมแต่ละแห่งอาจมีความ แตกต่างกันขึ้นอยู่กับขนาด รูปแบบการให้บริการและลักษณะการดําเนินงาน เช่น โรงแรมหรูหรามีผ้า หลายประเภทที่ต้องใช้งานมากกว่าโรงแรมทั่วไปทําให้ปริมาณผ้าที่ต้องซักรีดมีจํานวนมากหรือบาง โรงแรมอาจไม่มีแผนกซักรีด โรงแรมบางแห่งมีอ่างแช่ตัวในห้องพักทุกห้อง เป็นต้น อย่างไรก็ตามใน พื้นที่สําคัญ ๆ ที่มีการใช้น้ำสามารถดําเนินการในการประหยัดน้ำดังนี้ 8.6.1 ห้องน้ำในห้องพักแขก จากข้อมูลของ the International Tourism Partnership การใช้น้ำในห้องพักแขกจัดเป็น ปริมาณการใช้น้ำสูงสุด โดยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าหนึ่งในสามของการใช้น้ำทั้งหมดของโรงแรม (Katrina Visser, 2019) ดังนั้นโรงแรมควรมีมาตรการที่ชัดเจนในการดําเนินการดังนี้
193 1) การฝึกอบรมพนักงาน พนักงานควรตรวจสอบการรั่วไหลของอุปกรณ์จ่ายน้ำของ ห้องน้ำในห้องพักแขก รายงานให้ผู้เกี่ยวข้องทราบทันทีหากมีการรั่วซึมของน้ำ การทําความสะอาด ภายในห้องน้ำควรมีถังสําหรับรองน้ำแทนการเปิดน้ำจากก๊อกให้ไปเรื่อย ๆ ควรทําความสะอาดอ่าง อาบน้ำหรืออ่างล้างหน้าก่อน เพื่อจะได้นําน้ำกลับมาใช้ได้อีกในการทําความสะอาดโถสุขภัณฑ์ หากใช้ น้ำยาทําความสะอาดเข้มข้น ควรเจือจางตามคําแนะนําของซัพพลายเออร์ การผสมน้ำน้อยหรือมาก เกินไปจะทําให้ประสิทธิภาพการทําความสะอาดลดลง 2) การวัดปริมาณน้ำ ติดตั้งมิเตอร์ย่อยเพื่อวัดการใช้น้ำ โดยมีการตรวจสอบการใช้ น้ำรายเดือนและการจดบันทึกเพื่อดูความแตกต่างในการใช้น้ำในแต่ละฤดูกาล เพื่อนํามาปรับปรุง และตั้งเป้าหมายในการลดการใช้น้ำที่สามารถทําได้จริง โดยการใช้ข้อมูลอ้างอิงจากบันทึกเพื่อ เปรียบเทียบ 3) การบํารุงรักษา ดําเนินการตรวจสอบก๊อกน้ำ ฝักบัว กลไกของโถส้วม น้ำล้นจาก ที่เก็บน้ำและข้อต่อท่อเป็นประจํา เพื่อตรวจหารอยรั่วโดยเร็วที่สุดและซ่อมแซมทันที ตรวจสอบยา แนวรอบก๊อกและอุปกรณ์ อาบน้ำเพื่อดูว่ามีรอยรั่วที่พื้นผิวด้านล่างหรือไม่ โถส้วมที่รั่วสามารถเสียน้ำ ได้ถึง 750 ลิตรต่อวัน หากไม่แน่ใจว่าโถส้วมรั่วหรือไม่ ให้ทดสอบด้วยการเติมสีผสมอาหารลงในถัง เก็บน้ำของโถส้วมเพื่อตรวจหารอยรั่ว สีผสมจะปรากฏในโถชักโครกหากมีการรั่ว ตรวจสอบการติดตั้ง อุปกรณ์ไม่ให้มีรอยรั่วซึม รวมถึงท่ออยู่ในสภาพดีและน้ำไหลเวียนผ่านระบบอย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วย ลดเวลาที่น้ำต้องไหลเพื่อให้ได้อุณหภูมิที่ต้องการ นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงของการปนเปื้อนเชื้อ ลีจิโอเนลลา (Legionella) เป็นแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดปอด 4) การให้ข้อมูลแขก สื่อสารกับแขกเกี่ยวกับความสําคัญของทรัพยากรน้ำจืดในพื้นที่ และให้แขกมีโอกาสที่จะใช้น้ำที่เหมาะสม กระตุ้นให้แขกใช้การอาบน้ำฝักบัวมากกว่าการแช่น้ำในอ่าง การรณรงค์ปิดน้ำระหว่างแปรงฟันซึ่งช่วยในการประหยัดน้ำได้ถึง 9 ลิตรต่อครั้ง รวมถึงการใช้ผ้าปูที่ นอนและผ้าเช็ดตัวซ้ำ 5) การใช้อุปกรณ์เพื่อช่วยประหยัดน้ำ อาทิเช่น วาล์วลดแรงดันน้ำ ตัวจำกัดการ ไหลน้ำที่ปรับได้ ก๊อกน้ำแบบกรองอากาศ ก๊อกแบบเปิด-ปิด ก๊อกน้ำแบบเซนเซอร์ ฝักบัวแบบ ประหยัดน้ำ วาล์วไหลแบบสุญญากาศ โถสุขภัณฑ์แบบใช้น้ำน้อย ระบบกดชักโครกแบบสองปุ่ม นอกจากการติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อให้การใช้น้ำมีประสิทธิภาพ ในปัจจุบัน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีช่วยให้มีการพัฒนาโปรแกรม และแอพพลิเคชั่นต่างๆที่ทําให้โรงแรม สามารถคํานวนการใช้น้ำของธุรกิจของตน เช่น ในปี 2559 The International Tourism Partnership (ITP) ริเริ่มวิธีการที่เรียกว่า the Hotel Water Measurement Initiative (HWMI) ซึ่ง เป็นวิธีการคํานวณปริมาณน้ำที่ใช้ในโรงแรมต่อห้องที่ถูกครอบครองต่อคืนของแขกที่ และต่อพื้นที่ของ พื้นที่ประชุมต่อชั่วโมง หรือกิจกรรมที่เกิดขึ้นทั้งหมดของโรงแรม อาทิ ห้องอาหาร ห้องซักรีด พื้นที่ให้ เช่า สปา สนามกอล์ฟ สวน และแผนกหลังบ้านของโรงแรม เป็นต้น ซึ่งโปรแกรมดังกล่าวช่วยให้ โรงแรมทุกแห่งทั่วโลกสามารถวัดและรายงานการใช้น้ำได้อย่างสม่ำเสมอและยังเป็นมาตรฐานในการ รายงานการใช้น้ำของโรงแรมซึ่งเป็นแนวทางที่เป็นสากลมากขึ้น โครงการดังกล่าวเป็นการพัฒนา ร่วมกันของกลุ่มโรงแรม 18 กลุ่ม อาทิ Hilton Worldwide, InterContinental Hotels Group และ Mandarin Marriott International หลังจากนั้นมีโรงแรมกว่า 15,000 แห่งทั่วโลกเข้าร่วมโครงการ ดังกล่าว ในปัจจุบันลูกค้าของโรงแรมรวมถึงนักลงทุนจํานวนมากต้องการทราบข้อมูลการใช้น้ำของ โรงแรม ปัญหาทรัพยากรน้ำขาดแคลนในเมืองใหญ่ๆ เช่น Cape Town กลายเป็นปัญหาที่ทุกคนให้
194 ความตระหนัก ดังนั้น HWMI ช่วยให้โรงแรมเข้าใจและลดการใช้น้ำในเชิงรุก และป้องกันการขาด แคลนน้ำที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ข้อมูลที่ได้จาก HWMI สามารถใช้กับมาตรฐานกับตัวชี้วัดมาตรฐานความยั่งยืน ของโรงแรม Cornell (CHSB) ซึ่งเป็นมาตรฐานการตรวจวัดประจําปีด้านพลังงานน้ำและคาร์บอนที่ ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมโรงแรมอีกด้วย (Sustainable Tourism Alliance, ม.ป.ป) ทั้งนี้ปริมาณน้ำใช้ในห้องพักแขกคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าหนึ่งในสามของการใช้น้ำ ทั้งหมดของโรงแรม ด้วยเหตุนี้ Hosteling International USA ได้เปิดตัวโครงการ Million Gallon Challenge ที่มีการติดตั้งหัวฝักบัวอัจฉริยะที่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงหากมีการใช้น้ำในปริมาณที่มากขึ้น รวมถึง แอพพลิเคชั่นเชื่อมต่อหน้าจอมือถือของแขก เพื่อให้แขกสามารถดูได้ว่าตนใช้น้ำปริมาณเท่าไร เทคโนโลยีนี้กระตุ้นให้แขกใช้เวลาในการอาบน้ำน้อยลง และส่งผลต่อการใช้น้ำที่ตามมา (Katrina Visser, 2019) ภาพที่ 8.1 ป้ายรณรงค์ให้แขกอาบน้ำโดยใช้เวลาให้น้อยลงเพื่อประหยัดทรัพยากรน้ำ ที่มา: https://giovfranco.com/hisanfranciscocitycenter, 2567 ภาพที่ 8.2 แอพลิเคชันสำหรับตรวจสอบปริมาณการใช้น้ำบนมือถือของแขก ที่มา: https://partner.booking.com/en-us/click-magazine/trends-insights/untappinghotel-water-consumption-solutions, 2567
195 ภาพที่ 8.3 ป้ายรณรงค์การประหยัดทรัพยากรน้ำในโรงแรม โรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย ที่มา: https://www.heritagechiangrai.com/th/sustainability/, 2567 โดยทั่วไปเวลาที่แขกเข้าพักที่โรงแรม แขกจะใช้น้ำมากกว่าเวลาอยู่ที่บ้านถึง 2.5 เท่า จาก การดําเนินการติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวของเครือโรงแรม HI USA ในสหรัฐอเมริกา พบว่าระยะเวลาการ อาบน้ำของแขกสั้นลงถึง 1 นาที (โดยเฉลี่ยแขกใช้เวลา 7 นาที) หากสามารถทําให้แขกทั้งหมดของ โรงแรมใช้น้ำจากฝักบัว ได้น้อยลง 30 วินาที จะช่วยประหยัดน้ำได้ถึงหนึ่งล้านแกลลอน (1 แกลลอน เท่ากับ 4.54 ลิตร) เทคโนโลยีดังกล่าวนอกจากจะช่วยประหยัดน้ำและพลังงานแล้วยังช่วยให้เกิดผล แบบยั่งยืนต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการอาบน้ำของแขก (Katrina Visser, 2019 และ GiovFranco, 2019) นอกจากนี้การนําระบบเทคโนโลยีดิจิทัล IoT หรือ Internet of Things มาใช้เป็นมาตรวัดน้ำ ใช้จะช่วยให้สามารถตรวจสอบการใช้น้ำได้ในราคาประหยัด (De Freitas Melo D et. AL., 2017) ห้องน้ำอัจฉริยะที่ติดตั้งฝักบัวอัจฉริยะ อ่างล้างหน้าอัจฉริยะ ห้องสุขาแบบควบคุมการไหล ช่วยลดการ ใช้น้ำในโรงแรม ฝักบัวอัจฉริยะจะส่งผลให้การใช้น้ำมีประสิทธิภาพมากขึ้น ฝักบัวรีไซเคิลที่พัฒนาโดย OrbSys ช่วยประหยัด การใช้น้ำ 90% และประหยัดพลังงาน 80% (Rakib Ahemed and Mahfida Amjad, 2019) เมื่อเทียบกับฝักบัวทั่วไปหรือการใช้ IoT เพื่อตรวจสอบคุณภาพน้ำและเทคโนโลยีการ สํารวจระยะไกลเพื่อให้มั่นใจในคุณภาพน้ำและการตรวจสอบน้ำแบบเรียลไทม์ (Pereira-Doel และ คณะ ,2019) ศึกษาโรงแรมในสเปนที่มีเทคโนโลยีอัจฉริยะ ติดตั้งอยู่ในห้องส่วนตัว 20 ห้อง ผลการวิจัยระบุว่าผลการใช้น้ำแบบเรียลไทม์ทําให้เวลาในการอาบน้ำของแขก ลดลงโดยเฉลี่ย 12.06% เทียบเท่ากับน้ำ 40.91 วินาทีและ 6.14 ลิตร
196 ภาพที่ 8.4 ทรัพยากรน้ำในโรงแรม ที่มา: https://partner.booking.com/en-us/click-magazine/trends-insights/untappinghotel-water-consumption-solutions, 2567 8.6.2 งานซักรีด กิจกรรมในแผนกซักรีดเป็นกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยรวมถึงร้อยละ 30 ของ โรงแรม โดยมาจากการใช้พลังงาน และน้ำ มลพิษที่เกิดจากสารเคมีต่าง ๆ โดยปกติห้องพักหนึ่งห้อง มีปริมาณผ้าประมาณ 4 กิโลที่ต้องทําความสะอาดและใช้น้ำปริมาณมากถึง 60 ลิตร ซึ่งผ้าปูที่นอน และผ้าเช็ดตัวจะเปลี่ยนทุกวันสําหรับลูกค้าที่เข้าพักเป็นเวลาหลายวัน อย่างไรก็ตามโรงแรมสามารถ ลดการปฏิบัติดังกล่าวลงเหลือ 1 ถึง 2 ครั้งต่อสัปดาห์หรือตามคําขอของลูกค้า ตัวเลือกดังกล่าวช่วย ให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการลดการใช้น้ำทางอ้อมได้จากการสื่อสารเป็นลายลักษณ์อักษรจากทางโรงแรม ลูกค้ากว่า 70% มักให้ความร่วมมือและสนับสนุนการการดําเนินงานดังกล่าว ทั้งนี้โรงแรม ควรเลือกใช้ผ้าเช็ดตัว ผ้าปูที่นอน ผ้าคลุมที่นอนที่มีความทนทานและมีฉลากด้านสิ่งแวดล้อมหรือ ผู้ผลิตที่มีการดําเนินการ เรื่องสิ่งแวดล้อม เช่น การเลือกผ้าปูที่นอนที่รีดง่ายจะช่วยประหยัดพลังงาน จากการรีด ไม่ควรเลือกใช้ผ้าลินิน เนื่องจากยับง่ายและใช้เวลารีดนาน การวางตะกร้าผ้าที่ทําจาก วัสดุธรรมชาติไว้ในห้องห้องน้ำเพื่ออํานวยความสะดวกแก่แม่บ้าน การฝึกอบรมและให้คําแนะนําแก่ แม่บ้าน เช่น การจัดการผ้าปูที่นอนที่แขกไม่ต้องการเปลี่ยนการจัดการกับผ้าเช็ดตัวที่สกปรก ปัจจัย 3 ประการที่สําคัญเพื่อให้การนําผ้าเช็ดตัวและผ้าปูที่นอนกลับมาใช้ใหม่ได้สําเร็จ ได้แก่ ประการที่ 1 ผู้เข้าพักจะได้รับข้อมูลและคําแนะนําที่ชัดเจน ประการที่ 2 ติดตั้งชั้นวางผ้าขนหนูที่มีขนาดเหมาะสมและใช้งานง่าย ประการที่ 3 การฝึกอบรมพนักงาน การ์ดหรือประกาศที่ส่งเสริมให้แขกใช้ผ้าปูที่นอนและผ้าเช็ดตัวซ้ำควรวางไว้ในตําแหน่งที่โดด เด่นและเห็นได้ชัด เช่น ในห้องพัก ห้องน้ำและสมุดข้อมูลโรงแรม ข้อมูลสําคัญที่ต้องแสดงบนป้าย/ การ์ดหรือประกาศดังกล่าว ได้แก่ 1. คุณค่าของน้ำและความจําเป็นในการอนุรักษ์น้ำ 2. ลดการใช้น้ำโดยการนํากลับมาใช้ใหม่ 3. การขอความร่วมมือจากแขกในการช่วยโรงแรมอนุรักษ์การใช้น้ำจากการใช้ผ้าปูที่ นอนและ ผ้าเช็ดตัวซ้ำ 4. ให้ข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากหน่วยงานซักรีด ปกติผู้เข้าพักจะระบุการใช้ผ้าขนหนูโดยแขวนผ้าเช็ดตัวไว้บนราวแขวนผ้าเช็ดตัวในห้องน้ำ ในขณะที่การใช้ผ้าปูที่นอนถูกระบุโดยการไม่ขอให้เปลี่ยนผ้าปูที่นอน จากการสํารวจของผู้จัดการฝ่าย
197 ความยั่งยืนของบริษัท TUI Benelux ได้ทําการทดสอบการมีส่วนร่วมของแขกในการใช้ผ้าซ้ำ พบว่า การระบุข้อความในการ์ดมีผลต่อการใช้ผ้าซ้ำของแขก ซึ่งโดยทั่วไปการ์ดจะระบุถึงผลกระทบด้าน สิ่งแวดล้อมเพื่อกระตุ้นให้แขกเกิดความกังวลร่วม แต่หากเปลี่ยนเป็นข้อความที่เน้นถึงลักษณะนิสัย หรือพฤติกรรมที่บ้าน พบว่าแขกให้ความร่วมมือมากยิ่งขึ้น เช่น “Reuse me again tomorrow. Just like at home.” (ใช้ฉันอีกครั้งสําหรับวันพรุ่งนี้ เหมือนเวลาที่อยู่บ้าน) โดยปกติคนเรามักจะซัก ผ้าเช็ดตัวทุกสามหรือสี่วัน ดังนั้นแขกส่วนใหญ่จึงยอมรับได้หาก จะปฏิบัติเช่นเดียวกันในวันหยุด จาก การทดลองเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนของโรงแรม “TUI MAGIC LIFE” ซึ่ง เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว มีห้องพักประมาณ 700 ห้อง รองรับแขกได้ทั้งหมด 1,800 คน โดยติดป้ายต่าง ๆ ใน ภาษาสเปน อังกฤษและเยอรมัน ซึ่งแบ่งเป็นป้ายที่มีการเตือนแขกในลักษณะคุกคามหรือสร้างความกังวลเรื่อง สิ่งแวดล้อมจากการใช้ผ้าเช็ดตัว และป้ายที่เน้นย้ำที่นิสัยตามที่กล่าวมาข้างต้น ผลการทดสอบแสดงให้ เห็นว่า ห้องที่มีป้ายที่เน้นลักษณะนิสัยที่บ้านอัตราการใช้ผ้าเช็ดตัวเพิ่มขึ้นเป็น 49.4% เทียบกับ 38.6% ในป้ายที่มี ลักษณะคุกคามและผ้าเช็ดมือมีอัตราการใช้ซ้ำเพิ่มขึ้นจาก 43.1% เป็น 56.3% (Christian Rapp, 2017) ภาพที่ 8.5 แสดงป้ายข้อความลักษณะต่าง ๆ และร้อยละความร่วมมือของแขก ที่มา: https://www.tuigroup.com/en-en/media/press-releases/2017/2017-08-08-studyon-the-re-use-of-hotel-towels, 2567
198 ไม่ว่าโรงแรมจะเลือกใช้ข้อความลักษณะใดก็ตาม โรงแรมควรสื่อสารกับแขกด้วยการใช้ภาษา ที่เข้าใจง่าย หลีกเลี่ยงคํายาก ๆ ใช้คําอธิบายให้เรียบง่ายที่สุด โรงแรมไม่จําเป็นต้องใช้คําว่า "เป็นมิตร กับสิ่งแวดล้อม" หรือ "อนุรักษ์น้ำ” ก็ได้เพียงแต่ระบุให้ชัดเจนว่าต้องการให้แขกทําอะไร หรือใช้ เทคนิคการเลือกประโยคแบบต่าง ๆ เพื่อชักจูงแขก งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าการเชื่อมโยงการกระทําสิ่งที่ แขกมักทําที่บ้านดีกว่าการส่งข้อความด้านสิ่งแวดล้อมโดยตรง เช่น “Use your towel again, just like you do at home” หรือ “Make yourself at home and please reuse your towel” หรือ การแสดงข้อมูลของแขกอื่นซึ่งจากการศึกษาพบว่าข้อมูลเกี่ยวกับจํานวนแขกที่นําผ้าเช็ดตัวมาใช้ซ้ำ เป็นแรงจูงใจให้ผู้อื่นทําเช่นเดียวกัน เช่น “60 % ของแขกในช่วงสุดสัปดาห์เลือกที่จะไม่ทําความ สะอาดห้องพักระหว่างการเข้าพัก” หรือ “80% ของแขกโรงแรมเราใช้ผ้าเช็ดตัวซ้ำอีกครั้ง” นอกจากนี้อาจเลือกใช้ถ้อยคําที่ทําให้แขกรู้สึกดี โดยแสดงให้แขกเห็นว่าการกระทําของพวกเขามี ผลกระทบเชิงบวกและมีความยั่งยืนได้อย่างไร โดยให้ข้อมูลเชิงบวก ไม่คุกคาม ไม่ทําให้แขกรู้สึก ละอายใจแต่ต้องทําให้แขกรู้สึกดี อีกวิธีหนึ่งในการสนับสนุนให้แขกใช้ผ้าเช็ดตัวหรือผ้าปูที่นอน คือการให้รางวัลเล็ก ๆ น้อย หรื สิ่งจูงใจแก่แขกสําหรับแขกที่ใช้ผ้าปูที่นอนติดต่อกันเกินสองวัน เช่น การเสนอเครื่องดื่มฟรี ขนม เล็กน้อย ส่วนลดสําหรับค่าอาหารและเครื่องดื่มในโรงแรม ขณะที่โรงแรมบางแห่งบริจาคเงินเพื่อการ กุศลสําหรับผ้าเช็ดตัวที่นํากลับมาใช้ใหม่แต่ละผืน ทั้งนี้โรงแรมควรพิจารณาวิธีที่เหมาะสมเพื่อนํามาใช้ สําหรับดําเนินการในธุรกิจของตน หนึ่งในปัจจัยสําคัญที่ทําให้การดําเนินการสําเร็จคือการจัดให้มีที่แขวนผ้าที่เหมาะสมในการ จัดเก็บและทําให้ผ้าเช็ดตัวแห้งก่อนที่จะนํากลับมาใช้ใหม่ และอยู่ในตําแหน่งที่แขกสามารถหยิบมา ใช้ได้สะดวก (ความสูง ประมาณช่วงเอวถึงไหล่ และมีพื้นที่กว้างเพียงพอ) นอกจากนี้ประสิทธิผลของ การใช้ผ้าขนหนูและเครื่องนอน ซ้ำขึ้นอยู่กับการปฏิบัติงานของพนักงานในแผนกแม่บ้าน พนักงาน จะต้องได้รับการฝึกอบรมและปฏิบัติตาม ขั้นตอนการจดบันทึกเป็นเรื่องจําเป็น รวมถึงวันที่แขกแต่ละ ห้องต้องการให้เปลี่ยนผ้าปูที่นอนและต้องมั่นใจว่าพนักงารจะไม่เก็บหรือเปลี่ยนผ้าเช็ดตัวหากแขก แขวนผ้าเอาไว้ ท้ายสุดแล้วแขกจะให้ความร่วมมือต่อเมื่อมีแรงจูงใจหรือทําให้เชื่อว่ามีส่วนร่วมต่อการ อนุรักษ์ทรัพยากรและปกป้องสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่เป็นการประหยัดต้นทุนสําหรับโรงแรม ดังนั้นจึงควร การกล่าวถึงการประหยัดน้ำ การป้องกันการใช้สารเคมี การประหยัดพลังงาน ซึ่งช่วยให้ประหยัด ต้นทุนการซักรีดในโครงการด้านสิ่งแวดล้อมของโรงแรม โดยถ่ายทอดสิ่งนี้ให้แขกทราบอย่างชัดเจน 1) ใช้กําหนดเวลาในการเปลี่ยนชุดผ้าเครื่องนอนโดยระบุวันสําหรับแขกคนเดิม เว้น แต่จะมีการร้องขอให้เปลี่ยนบ่อยขึ้น 2) ดําเนินการเปลี่ยนผ้าเช็ดตัวเมื่อแจ้งความประสงค์ โดยมีขั้นตอนในการแจ้งการ ซักผ้าเช็ดตัวให้ผู้เข้าพักทราบอย่างชัดเจน แม้ว่าการรณรงค์ใช้ผ้าเช็ดตัวซ้ำและการปฏิเสธการดูแลทําความสะอาดของแขกเป็นสิ่งที่ช่วย ในการ อนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ แต่มีการวิจัยแสดงให้เห็นว่าแขกใช้น้ำมากกว่า 2.5 เท่าเมื่อเข้าพักที่ โรงแรม ดังนั้น โรงแรมควรรณรงค์การใช้น้ำอย่างมีสติเพื่อตระหนักถึงการใช้น้ำของตน เช่น การให้ ข้อมูลด้านการประหยัดน้ำ โดยให้แขกอาบน้ำในระยะเวลาที่สั้นลง หรือการใช้เทคโนโลยีหัวฝักบัวที่ใช้ ไฟเพื่อแสดงการใช้น้ำของแขกในแบบเรียลไทม์เมื่อมีการใช้น้ำที่มากเกินไป เป็นต้น (Booking.com, ม.ป.ป.)
199 ขณะเดียวกันการลดการใช้น้ำในแผนกซักรีดของโรงแรมที่มีห้องพักจํานวนมากหรือโรงแรม ขนาดใหญ่ สามารถทําได้โดยการลงทุนติดตั้งเครื่องซักผ้าแบบ “อุโมงค์” หรือเครื่องซักผ้า แบบต่อเนื่องที่เหมาะกับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ใช้ทําความสะอาดผ้าเช็ดตัวและเสื้อผ้าปริมาณมาก ระบบทั้งหมดเป็นระบบคอมพิวเตอร์และผู้ปฏิบัติงานสามารถเปลี่ยนปริมาณของสารเคมีทําความ สะอาดด้วยส่วนต่อประสานแบบกดปุ่ม สามารถทํางานได้อย่างต่อเนื่องและประหยัดน้ำกว่าเครื่องซัก ผ้าโดยทั่วไป 8.6.3 สระว่ายน้ำของโรงแรม แม้ว่าสระว่ายน้ำของโรงแรมใช้น้ำเพียงร้อยละ 1 ของการใช้น้ำทั้งหมดของโรงแรม แต่ก็มี การใช้น้ำปริมาณมาก ดังนั้นปัจจัยสําคัญในการบริหารจัดการควรเริ่มจากการดูแลรักษาและการซ่อม บํารุงอย่าง สม่ำเสมอ การทําความสะอาดที่มีประสิทธิภาพเป็นประจํา และการตรวจหารอยรั่วใน เชิงรุก นอกจากนี้ยังมียังมีวิธีการอื่น ๆ เช่น การติดตั้งฝักบัวสระว่ายน้ำเป็นแบบ "ปุ่มกด' ซึ่งสามารถ ประหยัดน้ำได้มากกว่าฝักบัวแบบดั้งเดิม การใช้คลอรีนโดยใช้ระบบบําบัดน้ำแบบอื่น เช่น โอโซน เกลือหรือไฟฟ้าและเพื่อเป็นการประหยัด น้ำประปาโรงแรมสามารถหมุนเวียนน้ำทิ้งจากสระน้ำมาล้าง พื้น 8.6.4 พื้นที่ครัวของโรงแรม ภายในครัวโรงแรมสามารถนําน้ำล้างในอ่างล้างที่สะอาดที่สุดกลับมาใช้ใหม่ และหลีกเลี่ยง การล้างแบบระบบน้ำล้น หากมีอาหารแช่งแข็งที่ต้องละลายควรปล่อยให้ละลายในอากาศแทนการ แช่งในน้ำ รวมถึงการลดจํานวนการใช้เครื่องล้างจาน โดยตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีปริมาณจานเต็ม ความสามารถของเครื่องก่อนเปิดเครื่อง 8.6.5 พื้นที่สีเขียวของโรงแรม พื้นที่สีเขียวเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ของธุรกิจโรงแรม ดังนั้นยิ่งโรงแรมมีพื้นที่สีเขียวจํานวนมาก อาทิ สวนหย่อมสนามหญ้ายิ่งต้องใช้น้ำปริมาณมาก ดังนั้นโรงแรมควรพิจารณาการนําน้ำที่ผ่านการ บําบัดแล้วมาใช้ รวมถึงน้ำฝนและน้ำที่เหลือจากกิจกรรมอื่น เช่น น้ำล้างผักผลไม้จากในครัว เป็นต้น เลือกปลูกพืชหรือไม้ท้องถิ่นที่เหมาะสมกับสภาพอากาศและต้องการน้ำน้อย เนื่องจากการดูแลพืชที่ไม่ มีถิ่นกําเนิดในท้องถิ่นต้องใช้น้ำปริมาณมาก อีกทั้งพืชท้องถิ่นยังรองรับความหลากหลายทางชีวภาพใน ท้องถิ่น และทําให้ผู้เข้าพักได้รับประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้น 8.7 ประโยชน์จากการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำในโรงแรม ในการดําเนินธุรกิจโรงแรมการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพนอกจากจะเป็นการลดต้นทุนในการ ดําเนินการแล้วยังก่อให้เกิดประโยชน์ต่าง ๆ ดังนี้ (Booking.com และ Innovation Lighthouse, ม.ป.ป.) 1) เป็นการสงวนน้ำใช้ในชุมชน เนื่องจากน้ำเป็นทรัพยากรที่มีค่า Booking.com ระบุว่าเกือบ 20% ของประชากร โลกอาศัยอยู่ในภูมิภาคที่ขาดแคลนน้ำ ซึ่งหมายความว่าทรัพยากรน้ำในพื้นที่ดังกล่าวใกล้ถึงขีดจํากัด หรือเกินขีดจํากัดด้านความยั่งยืนแล้ว ดังนั้นธุรกิจโรงแรมควรตระหนักและแสดงความรับผิดชอบในใช้ ทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า เพื่อเป็นการอนุรักษ์และสงวนน้ำไว้ใช้สําหรับชุมชน 2) การลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint)
200 การใช้น้ำส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในวงกว้างเนื่องจากการซักล้าง 10 กิโลกรัม ใช้น้ำอย่างน้อย 50 ลิตรและใช้ไฟฟ้า 1.2 กิโลวัตต์/ชั่วโมง นอกจากนี้สารทําความสะอาดบางชนิด สามารถปล่อยคาร์บอน ฟุตพริ้นท์ประเภทก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกือบ 1 กิโลกรัม หากลดการซักผ้า ได้ร้อยละ 3 จะช่วยประหยัดน้ำได้ 129,000 ลิตร และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 1,676 kg ดังนั้น ปริมาณผ้าซักรีดในโรงแรมซึ่งมีจํานวนมากจึงเป็นสาเหตุสําคัญของการสร้างก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจก (Christian Rapp, 2017) 3) ความร่วมมือของลูกค้า ผลการสํารวจของ Booking.com พบว่าผู้เดินทางทั่วโลกร้อยละ 40 ใช้ผ้าเช็ดตัวซ้ำ และร้อยละ 26 งดรับบริการทําความสะอาดห้องพักรายวันเพื่อลดการใช้น้ำให้เหลือน้อยที่สุด นอกจากนี้ระหว่างการทดสอบของโครงการที่พักแบบยั่งยืนระยะเวลา 3 เดือน พบว่าร้อยละ 67 ของ ผู้เข้าพักแขวนการใช้ผ้าเช็ดตัวซ้ำ 4) ค่าน้ำเป็นค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคที่สําคัญของธุรกิจโรงแรม ดังนั้นหาก สามารถลดค่าใช้จ่าย ดังกล่าวได้จะช่วยประหยัดต้นทุนให้แก่ธุรกิจได้ ถึงแม้ว่าค่าน้ำจะมีราคาไม่สูง เท่ากับค่าไฟฟ้าแต่ในความเป็นจริงแล้วการประหยัดน้ำสามารถนําไปสู่การประหยัดพลังงานได้ เช่นเดียวกัน เนื่องจาก ทรัพยากรที่สําคัญทั้งสองมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดการเชิญชวนแขกให้ใช้ ผ้าเช็ดตัวหรือผ้าปูเตียงซ้ำ นอกจากเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานแล้ว ยังรวมถึงการ ประหยัดพลังงานและสารทําความสะอาดที่ใช้อีกด้วย ปริมาณการซักรีดของแต่ละโรงแรมแตกต่างกัน ไปตามขนาดเตียง ขนาดผ้าขนหนู ความหนาแน่นของสิ่งทอ จํานวนรายการที่จัดเตรียมไว้ต่อห้อง ระดับของที่พัก เช่น สําหรับห้องพักที่มีอัตราการเข้าพัก 75% ต่อปี และมีผ้าที่ต้องซัก 4 กิโลกรัมต่อ คืน ค่าซักรีดประมาณ 50 ยู โร ต่อ 1 กิโลกรัม ค่าซักรีดต่อปีเท่ากับ 479 ยูโร ดังนั้นค่าซักรีดสําหรับ ห้อง 100 ห้อง โรงแรมอาจมีราคาอยู่ที่ 47,900 ยูโรต่อปี ดังนั้นหากมีการนําผ้ากลับมาใช้ใหม่เพียง 5% จะช่วยให้ประหยัดได้ถึง 2,400 ยูโรต่อปี (Ecosystem Europe) ความต้องการใช้น้ำของกลุ่มธุรกิจโรงแรมที่เพิ่มขึ้นจึงเป็นปัญหาสําคัญ เนื่องจากความ ต้องการใช้ น้ำประปาของจังหวัดภูเก็ตนั้นมีมากกว่ากําลังผลิตน้ำประปาทั้งหมด ในปัจจุบันปริมาณ น้ำประปาที่ผลิตได้ สามารถให้บริการในสัดส่วนต่ำกว่าร้อยละ 50 ของประชากร อีกทั้งแหล่งน้ำ บาดาลในพื้นที่ชายฝั่งล้วนมีศักยภาพต่ำ เนื่องจากเป็นแหล่งน้ำบาดาลเค็มซึ่งเกิดจากการรุกล้ำของน้ำ ทะเลบริเวณพื้นที่ป่าชายเลน ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมจึงหันไปใช้แหล่งน้ำสํารองอื่น ๆ เช่น ซื้อน้ำ จากรถน้ำเอกชน จึงทําให้มีต้นทุนในการดําเนินการที่สูงขึ้น ในปัจจุบันจึงมีผู้ประกอบการธุรกิจ โรงแรมเริ่มหันมาศึกษาปริมาณการใช้น้ำเฉลี่ยรวมของแขกที่เข้าพักในโรงแรม (ลิตร/คน/วัน) โดย ประเมินตามอัตราการเข้าพักของโรงแรม เป็นกรณีศึกษาในหลายประเทศ ซึ่งผลการศึกษามีความ แตกต่างกันอย่างมากขึ้นอยู่กับขนาดและสิ่งอํานวยความสะดวก รูปแบบการบริหารจัดการที่แตกต่าง กัน นอกจากนี้ยังมีการศึกษาปริมาณการใช้น้ำในพื้นที่ต่าง ๆ ของโรงแรม เช่น ห้องพักแขก ห้องครัว ห้องอาหาร สระว่ายน้ำห้องส่วนกลางสุขา ห้องซักรีด และพื้นที่เล่นสกี ซึ่งล้วนเป็นพื้นที่ที่มีอิทธิพลต่อ การใช้น้ำ (เดชา สีดูกา (2563) 8.8 บทสรุป อุตสาหกรรมโรงแรม เป็นส่วนหนึ่งของภาคบริการที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และจำเป็นต้อง ร่วมมือกันเพื่อลดความเสี่ยงเรื่องของการขาดแคลนทรัพยากรน้ำ ซึ่งในภาคส่วนธุรกิจโรงแรมมมีความ
201 จำเป็นต้องใช้น้ำที่ปลอดภัยในการบริโภค และอุปโภคให้สำหรับแขกที่เข้าใช้บริการ ขณะเดียวกัน ก็จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรน้ำที่มีอย่างมีคุณค่า ตลอดจนบำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยลงสู่แหล่งน้ำตาม ธรรมชาติ ในปัจจุบันมีการกำหนดนโยบายในการบริหารจัดการน้ำออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ การ ประกาศนโยบายการใช้น้ำเป็นลายลักษณ์อักษรโดยเจ้าของกิจการหรือคณะกรรมบริหารโรงแรม และ การประกาศใช้ที่ได้การรับรองการท่องเที่ยวและการโรงแรม ซึ่งเป็นมาตรฐานการรับรองที่ครอบคลุม ด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมของโรงแรม อีกทั้งมีแนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำในโรงแรมตาม ขั้นตอนพื้นฐาน คือ ดำเนินการตรวจสอบการใช้น้ำในโรงแรมซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงพื้นที่หลักที่มีการใช้ น้ำในปริมาณมากและพื้นที่ใดสามารถประหยัดน้ำได้และแนวทางสำหรับการใช้ทรัพยากรน้ำให้เกิด ประสิทธิภาพ เช่น การติดตั้งเทคโนโลยีสมัยใหม่ การวางแผนปฏิบัติก่อนจะนำน้ำไปใช้ ลดหรือ หลีกเลี่ยงการใช้น้ำหรือใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด ติดตั้งอุปกรณ์ที่ช่วยประหยัดน้ำ ผู้บริหารและพนักงานให้ ความสำคัญและตระหนักถึงการบริหารจัดการน้ำ สร้างจิตสำนึกให้แก่แขกที่เข้าพักและสร้างโอกาส ร่วมกันในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ ซึ่งจะทำให้เกิดการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นการลด ต้นทุนในการดำเนินการสงวนน้ำใช้ในชุมชน ลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ รวมถึงส่งเสริมเรื่องภาพลักษณ์ใน การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของโรงแรมอีกทางหนึ่ง 8.9 กิจกรรมเสริมการเรียนรู้ ให้นักศึกษาทุกคนเขียนบรรยาย เรื่อง “น้ำในชีวิตประจำวัน และการใช้น้ำอย่างมี ประสิทธิภาพ” และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นโดยให้นำเสนอแลกเปลี่ยนกัน 8.10 คำถามท้ายบทที่ 8 1. ธุรกิจโรงแรมมีวิธีการจัดการทรัพยากรน้ำในโรงแรมอย่างไร และโรงแรมจะต้องคำนึงถึงสิ่ง ใดบ้าง 2. แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำในโรงแรม ในพื้นที่สำคัญมีพื้นที่ใดบ้าง และมีการ ดำเนินการในการประหยัดน้ำอย่างไร 3. นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีใดบ้างในปัจจุบัน ที่นำมาปรับใช้เพื่อช่วยให้ในการอนุรักษ์ ทรัพยากรน้ำในโรงแรม 4. ให้นักศึกษายกตัวอย่างโรงแรมที่มีการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมอธิบาย วิธีการดังกล่าวให้ชัดเจน 5. ประโยชน์จากการอนุรักษ์น้ำในภาคธุรกิจโรงแรม มีอะไรบ้าง อธิบาย 8.11 เอกสารอ้างอิง การประปาส่วนภูมิภาคภูเก็ต. (2561). ข้อมูลการใช้น้ำสำหรับพลเมือง. (ออนไลน์). Available: http://www.pwa.co.th/province/index. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 22 พฤศจิกายน 2566). เดชา สีดูกา. (2563). วอเตอร์ฟุตพริ้นท์ของพื้นที่การบริการลูกค้า กรณีศึกษาสถานประกอบการ ธุรกิจโรงแรม จังหวัดภูเก็ต. วารสารสิ่งแวดล้อม. 24(4) หน้า 1-9. เดชา สีดูกา. (2556). การใช้น้ำของโรงแรม กรณีศึกษาจังหวัดภูเก็ต. วิทยานิพนธ์ วิทยาศาสตร มหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.
202 ธารา บัวคำศรี. (2563). สถานการณ์น้ำในวิกฤตโลกร้อน. (ออนไลน์). Available: http://www.greenpeace.org/thailand/story/11595/climate-coal-world-waterday-2020/. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 22 พฤศจิกายน 2566). รัตนาภรณ์ สิงห์ศักดา. (2563). การขาดแคลนน้ำ ปัญหาที่ทุกคนต้องช่วยกัน. (ออนไลน์). Available: http://api.dtn.go.th/files/v3/5e96a210ef4140b16555bf53/download. (ส ื บ ค้ น ข้อมูลวันที่ 22 พฤศจิกายน 2566). ศิริรัตน์ กวยระคาร. (2556). แบบจำลองการใช้น้ำประปาสำหรับภาคธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว เทศบาลเมืองป่าตอง จังหวัดภูเก็ต. วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต. สาขาวิชา เทคโนโลยีการจัดการสิ่งแวดล้อม. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. สุภารัตน์ พิลางาม. (2560). การใช้น้ำประปาและการคาดการณ์การใช้น้ำของโรงแรมใน กรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์ สภาปัตยกรรมศาสตร์. คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม. (2562). ไทยติด 1 ใน 10 ใช้น้ำเปลืองมาก ที่สุดในโลก. (ออนไลน์). Available: http://www.edtguide.com/forum.php. (สืบค้น ข้อมูลวันที่ 20 พฤศจิกายน 2566). Bangkok Post. (2020). Thailand tackles worst drought in 40 years. (Online). Available: http//www.bangkokpost.com/business/1853069/nation-tackles-worst-droughtin-40-years. Retrieved November 22, 2023. Booking.com & Innovation Lighthouse. (ม.ป.ป.). การลดการใช้น้ำ. (ออนไลน์). Available: http://partner.booking.com/th/ความช่วยเหลือ/คู่มือ/ลดการใช้น้ำ. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 22 พฤศจิกายน 2566). Christian Rapp. (2017). Study on the re-use of hotel towels: Force of habit saves laundry and cuts pressure on the environment. (Online). Available: http://tuigroup.com/en-en/media/press-releases/2017-08-08-study-on-the-reuse-of-hotel-towels. Retrieved November 22, 2023. De Freitas Melo D, De Souza Lage E, Rocha AV, De Jesus Cardoso B. (2017). Improving the consumption and water heating efficiency in smart buildings. 2017 13th International Conference and Expo on Emerging Technologies for a Smarter World (CEWIT). Pp 1-6. (Online). Available: http//doi.org/10.1109/CEWIT.2017.8263304. Retrieved November 22, 2023. GiovFrance. (2019). Green Hostels: HI San Francisco City Center Review. (Online). Available: http://giovfranco.com/hisanfranciscocitycenter. Retrieved November 22, 2023. Greentourism.eu. (ม. ป. ป. ). Installation of efficient water fittings. (Online). Available: http://www.greentourism.eu/en/BestPractice/Details/11. Retrieved November 22, 2023.
203 Holt, C.E. (2010). Water & wastewater systems. In A. Pizam (Ed.), International encyclopedia of hospitality management (pp. 682-683). Kidlington: Butterworth-Heinemann. National Geographic. (ม.ป.ป.). Hotels Save Energy with a Push to Save Water. (Online). Available: http://nationalgeographic.com/science/articale/140224-hotels-saveenergy-with-push-to-save-water. Retrieved November 22, 2023. Pereira-Doel P, Font X, Wyles K, Pereira-Moliner J. (2019). Showering smartly. A Feld experiment using water-saving technology to foster pro-environmental behavior among hotel guests hotels. E-Rev tour Res (ERTR) 17(3): pp.407-425. Sustainable Tourism Partnership. (ม.ป.ป.). Hotel Water Measurement Initiative (HWMI). (Online). Available: http://sustainablehospitalityalliance.org/resources/hotelwatermeasurementinitiative/#text=HWIMI%enbles%20a%20hotel%20property ,of%20meeting%20space%20per%20hour. Retrieved November 22, 2023. The Guardian. (2020). Extreme water stress affects a quarter of the world’s population, say experts. (Online). Available:http://www.theguardian.com/globaldevelopment/2019/aug/06/extr eme-water-stress-affects-a-quarter-of-the-worlds- population-say-experts. Retrieved November 22, 2023. United Nations. (ม.ป.ป.). #Envision2030: 17 goals to transform the world for persons with disabilities. (Online). Availablehttp://www.un.org/development/desa/disabilities/envision2030.html. Retrieved November 22, 2023. World Wide Fund For Nature. (ม.ป.ป.). สถานการณ์น้ำจืดของโลกและประเทศไทย. (ออนไลน์). Available: http://www.wwf.or.th/what_we_do/wetlands_and_production_landscape/fres hwater/. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 22 พฤศจิกายน 2566).
204 บทที่ 9 การออกแบบโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สาระสำคัญ 9.1 เกริ่นนำ 9.2 แนวคิดการพัฒนาธุรกิจโรงแรมอย่างยั่งยืน 9.3 การออกแบบโรงแรมเพื่อความยั่งยืน 9.4 การออกแบบโรงแรมแบบคาร์บอนต่ำ 9.5 การออกแบบที่พักเชิงนิเวศ 9.6 นวัตกรรมการออกแบบโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 9.7 บทสรุป 9.8 กิจกรรมเสริมการเรียนรู้ 9.9 คำถามท้ายบทที่ 9 9.10 เอกสารอ้างอิง ที่มา: https://www.booking.com/hotel/th/island-escapeby-burasari.th.html?activeTab=photosGallery
205 9.1 เกริ่นนำ ในปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเกิดขึ้นอย่างมากมายและรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยหลักสำคัญของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนี้เกิดจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทั่วโลก ซึ่งตอนนี้เริ่มส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตของผู้คนและอาคารต่าง ๆ ในปัจจุบันสามารถปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้กับโลกนี้ถึง 40% ต่อปีถ้าจะเปลี่ยนแปลงการลดการปล่อยก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ในอุตสาหกรรมการก่อสร้างเป็นหนึ่งในความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก แต่ ตอนนี้มีหลายเทรนด์ที่ได้รับความนิยมและได้ผลที่ดีมากในการที่จะทำให้สถาปัตยกรรมนั้นมีความ ยั่งยืน รักษ์สิ่งแวดล้อมโดยช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของอาคารและอุตสาหกรรมการ ก่อสร้างการออกแบบโรงแรมเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการสร้างความแตกต่างในอุตสาหกรรมโรงแรม ซึ่งเป็นการคิดค้นสร้าง พัฒนา ปรับปรุง รูปแบบและกระบวนการให้บริการใหม่ที่ตอบสนองกับความ ต้องการของลูกค้าที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เป้าหมายระยะยาวของการพัฒนาการจัดการ ทรัพยากรอย่างยั่งยืนต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นหลักทำให้โรงแรมต่างหันมาปรับตัวและเร่งพัฒนา ด้านการออกแบบอาคารโรงแรมที่ตอบโจทย์กับพฤติกรรมของลูกค้าที่มาใช้บริการและเป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อมมากขึ้น 9.2 แนวคิดการพัฒนาธุรกิจโรงแรมอย่างยั่งยืน จากประเด็นเรื่องของสิ่งแวดล้อม โลกร้อน การใช้พลังงาน การสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ การจำกัดขยะ การลดปริมาณการสูญเสียอาหาร และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัสดุที่ย่อยสลายง่าย สิ่งเหล่านี้ ส่งผลกระทบที่เกิดขึ้นกับโลก และส่งผลกระทบกับมนุษย์มากขึ้นทุกวัน ซึ่งจากปัญหา ดังกล่าว ทำให้เกิดแรงผลักดันผ่านความร่วมมือของประเทศต่าง ๆ ทั้งองค์กรภาครัฐและเอกชนไป จนถึงภาคประชาชนของแต่ละประเทศที่ต้องมาร่วมมือและผลักดัน 9.2.1 ESG หรือ การนำแนวคิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน กับภาคธุรกิจบริการธุรกิจ การโรงแรม และการท่องเที่ยว ผ่านความรับผิดชอบ 3 ด้าน ได้แก่ 1) E- Environment ความรับผิดชอบขององค์กร/บริษัทต่อสิ่งแวดล้อม 2) S – Social ความรับผิดชอบต่อสังคมด้วยการสร้างหลักเกณฑ์เพื่อชี้วัดในเรื่อง การจัดการด้านต่าง ๆ ระหว่างผู้มีส่วนได้เสียในองค์กร ทั้งเรื่องความสัมพันธ์และการสื่อสาร 3) G – Governance หลักการที่ใช้ชี้วัดการกำกับดูแลเพื่อให้การบริหารจัดการมี ประสิทธิภาพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสีย การที่แต่ละองค์กรหันมาให้ความสำคัญกับ ESG เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือทางธุรกิจที่ สะท้อนผ่านการแสดงออกถึงบทบาทความรับผิดชอบที่มีต่อผู้มีส่วนได้เสียรอบด้าน จากงาน Webinar โดย CBRE ในหัวข้อ Reimagining and Future-proofing Your Hotel in the Post-Pandemic เมื่อ 14 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา ได้มีการพูดถึงประเด็นในเรื่องบทบาทของ ESG ต่อธุรกิจโรงแรมด้วยเช่นกัน และได้มีการสำรวจที่สะท้อนความคาดหวังของนักท่องเที่ยวไว้ดังนี้ 1) 61% ต้องการเดินทางท่องเที่ยวในแบบที่มีแนวทางความยั่งยืนหลังจากเกิดวิกฤติ โควิด-19 2) 73% มีโอกาสที่จะเลือกที่พักที่มีแนวทางแบบยั่งยืน (Sustainable Policy) 3) 68% อยากเห็นว่าเงินที่จับจ่ายใช้สอยในแต่ละพื้นที่กระจายไปสู่ชุมชนที่โรงแรม นั้นตั้งอยู่
206 ภาพที่ 9.1 ตัวอย่างตัวชี้วัดที่สำคัญ ESG ที่มา: https://hospitalityinsights.ehl.edu/esg-hotel-real-estate, 2567 ตัวอย่างแนวคิดการพัฒนาธุรกิจโรงแรมอย่างยั่งยืน ดังนี้ กลุ่มโรงแรมเครือ Accor จากความต้องการและพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวนั้น ให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืนมาก ขึ้นตลอด Customer Journey นอกจากนี้ยังมีการยกตัวอย่างแผนการปฏิบัติงานภายใต้แนวคิด ESG อย่างเป็นรูปธรรมของเครือโรงแรม Accor ให้ดูเป็นตัวอย่างว่าได้ดำเนินการไปแล้วในส่วนใดบ้าง เช่น 1) การลดปริมาณคาร์บอน 2) การเลิกใช้พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง 3) การร่วมมือกับองค์กร หน่วยงาน พันธมิตรต่าง ๆ 4) การสร้างการรับรู้ การฝึกอบรมพนักงาน Jean-Jacques Morin รองซีอีโอและ CFO และ Brune Poirson ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่าย ความยั่งยืน หารือเกี่ยวกับความมุ่งมั่นของกลุ่มที่มีต่อ ESG โดยมุ่งเน้นไปที่ประเด็นสำคัญประการหนึ่ง นั่นก็คือ คาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์และกำหนดนโนบายความท้าทายด้าน ESG เช่น เกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่ช่วยให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินเพิ่มเติมได้ กลายเป็น ประเด็นสำคัญสำหรับบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลก และยิ่งกว่านั้นนับตั้งแต่เริ่มวิกฤตด้านสุขภาพ เพื่อปรับตัว ตามนั้น กลุ่มของเรากำลังเร่งการเปลี่ยนแปลงไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนและยืนยันคุณค่าด้านสิ่งแวดล้อม นี่เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของเราในการส่งมอบโมเดลการบริการที่ยั่งยืนมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยสร้าง ผลกระทบเชิงบวกทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลก เพื่อให้มั่นใจว่ามีส่วนร่วมมากกว่าที่ทำได้บทบาท ของเราในการกำหนดอนาคตของการเดินทางและทำให้มีความยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งหมายถึงการบูรณา การเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ให้เป็นพื้นฐานในกลยุทธ์ ในบรรดาประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม ESG ที่สำคัญการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถือเป็นสิ่ง สำคัญอันดับแรกสำหรับกลุ่มของ Accor ตั้งเป้าที่จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 โดยมีเป้าหมายระดับกลางและเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้มีการจัดทำดัชนีการออกพันธบัตรครั้งแรกตาม เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (พันธบัตรที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืน) (Accor Group, 2021) กลุ่มบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ส่วนการบริหารงานของบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เป็นกลุ่มบริษัทที่ ดำเนินธุรกิจด้านการลงทุนใน 3 กิจการหลัก ประกอบด้วย (1) ธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ (2)
207 ธุรกิจภัตตาคาร อาหารและเครื่องดื่ม และ (3) ธุรกิจการจัดจำหน่ายและผลิตสินค้า กิจการส่วนใหญ่ จะอยู่ในประเทศไทย และได้ขยายไปในประเทศต่าง ๆ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย จีน มัลดีฟส์ สหรัฐ อาหรับเอมิเรตส์ ศรีลังกา รวมถึงออสเตรเลีย ไมเนอร์ ได้กำหนดเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 2561 เพื่อตอบสนอง ประเด็นสำคัญของบริษัทและเป้าหมายเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ โดยมีการติดตาม ปรับปรุงและเพิ่มเติมเป้าหมายให้สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจ นางชมพรรณ กุลนิเทศ รองประธานฝ่ายบริหารการลงทุนและความยั่งยืน บริษัท ไมเนอร์ โฮลดิ้ง (ไทย) จำกัด กล่าวว่า “การทำเรื่อง Sustainability จะสอดคล้องกับกลยุทธ์องค์กรต้องเป็นกล ยุทธ์ที่ไปกับธุรกิจได้ เป็นกลยุทธ์ที่จะเข้าไปอยู่ในกระบวนการทำงานต่าง ๆ ของไมเนอร์ไม่เช่นนั้น Sustainability ไม่เกิดจะไม่เป็น Sustainability อย่างแท้จริง เริ่มจากจุดนี้แล้วค่อย ๆ มองว่าธุรกิจ เราเกิดมาเพื่ออะไร สามารถสร้าง impact ให้คนกลุ่มไหนได้บ้าง หรือ stakeholders คนกลุ่มไหนได้ บ้าง อะไรที่ผู้มีส่วนได้เสียต้องการ ถ้าเราทำก็ดีสำหรับบริษัทด้วย เริ่มจากตรงจุดนี้ นอกจากนี้ยังเป็น การเชื่อมโยง Business Strategy เข้ากับความต้องการของ Stakeholders มีการมองว่ามี Trend อะไร และ Risk อะไรที่เกี่ยวข้อง และจะมีการขับเคลื่อนอย่างไรให้ออกมาเป็น Sustainability Strategy นี่คือวิวัฒนาการของไมเนอร์ เริ่มจากความเข้าใจน้อยเป็นความเข้าใจมากขึ้นในเรื่อง Sustainability” ไมเนอร์ให้ความสำคัญกับเรื่อง Sustainability Strategy โดยมองทั้งเรื่อง Trend ของโลก และความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมหรือแม้แต่เทคโนโลยีว่ามีอะไรบ้างที่จะ ส่งผลกระทบต่อ sustainability และมองด้วยว่า ถ้ามีความเสี่ยงเกิดขึ้นจะมีโอกาสอะไรบ้างในความ เสี่ยงนั้น โดยเชื่อมโยงกับกลยุทธ์ที่ได้มีการพัฒนาไว้แล้ว ทั้งนี้ ไมเนอร์ได้วาง Sustainability Strategy ใน 3 เสาหลัก (1) คน (2) ห่วงโซ่คุณค่าหรือ Value Chain (3) สิ่งแวดล้อม แล้วยังมียุทธศาสตร์เสริม (enabler) ที่เป็นตัวสนับสนุน คือ การเป็น บริษัทที่มีธรรมาภิบาล (Corporate Good Governance) และความรับผิดชอบต่อสังคมอีกตัวคือ Share Value ในการสร้างคุณค่าร่วมกับทั้งองค์กร กล่าวคือหลังจากที่ทำเรื่อง Sustainability แล้ว จะต้อง win win คือได้ประโยชน์กันทุกฝ่าย ธุรกิจก็ต้องได้ Stakeholders ได้ สิ่งแวดล้อมได้ ดังนั้น กลยุทธ์องค์กรเรื่อง Sustainability คือต้องการให้ Sustainability เป็นตัวที่ช่วย สนับสนุน Performance ของธุรกิจเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของธุรกิจให้เติบโตไปได้อย่างยั่งยืนซึ่ง เป็น Vision ของไมเนอร์ขณะที่ 3 เสาหลัก กับ 2 Enabler ของเราเป็นตัวช่วยให้เกิดขึ้น “3 เสาหลัก” กลยุทธ์ Sustainability 1) เสาหลักที่ 1 คน ไมเนอร์ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนให้เป็นคนที่มี ความสามารถไม่ว่าจะเป็นคนในชุมชน ในสังคมที่ไมเนอร์ทำธุรกิจอยู่หรือเป็นพนักงานตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงผู้บริหาร คนเก่ง คนมีความสามารถ (Talent) ต่าง ๆ มีการมองว่าคนเหล่านี้ได้รับการสนับสนุน พัฒนาศักยภาพ และจะเข้าไปช่วยได้อย่างไร ทั้งในเรื่องการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพ (Learning & Development) เช่น ในชุมชนมีโครงการช่วยโรงเรียน หรือให้ทุนนักเรียน โดยเฉพาะชุมชนรอบ โรงแรมจะมีการออกไปทำกิจกรรมร่วมกับโรงเรียน บางครั้งนักเรียนก็มาดูงานโรงแรม มาทำกิจกรรม ที่โรงแรม ถ้ากำลังจะมาเป็นพนักงาน ก็จะมีโปรแกรม MCU (Minor Corporate University) ที่ทำงานร่วมกับวิทยาลัยอาชีวศึกษาต่าง ๆ ในการทำหลักสูตรการศึกษาให้ตรงกับชีวิตจริงมากขึ้น
208 และรับนักเรียนเข้ามาฝึกงาน โดยระหว่างที่มาฝึกงานได้เงินเดือนแต่ที่ได้มากกว่านั้น คือ การฝึกงาน จริงทำให้มีทักษะ ความชำนาญจริงเพื่อเพิ่มคุณค่าในตัวเองได้ 2) เสาหลักที่ 2 ห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) “ห่วงโซ่คุณค่าต้องยั่งยืนไปด้วยกัน” เราเริ่มจากซัพพลายเออร์ ในด้านการซื้อ การจัดหา มองถึงเรื่อง Sustainable Supply Chain หรือ อะไรที่ยั่งยืนมากกว่า ทั้งผลิตภัณฑ์ วัตถุดิบต่าง ๆ ขณะเดียวกัน ก็มีหน้าที่ในการที่จะต้องให้ความรู้ หรือสร้างซัพพลายเออร์ให้ยั่งยืนด้วย เริ่มจากง่าย ๆ คือ ให้ถูกกฎหมายก่อน ซึ่งเกี่ยวข้องกับสิทธิ มนุษยชน อาชีวอนามัยความปลอดภัย กฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม จะมีการเชิญซัพพลายเออร์เข้ามา สัมมนา รวมทั้งการพูดคุยกับ Supply Chain ถึงวิสัยทัศน์ของไมเนอร์ในอนาคตจะเติบโตไปขนาด ไหน จะมีการใช้อะไร นอกจากนี้ ไมเนอร์ยังมองเรื่อง Sustainable Partnership การเติบโตของไมเนอร์ มาจากการที่มี Partnership ที่ดี จึงต้องมองว่า Treat Partnership Fairy และเติบโตไปด้วยกันเป็น เรื่องที่สำคัญก็ต้องกลับมาดูว่ามีการพัฒนากันอย่างไร ชวนกันไปในเรื่อง Sustainability ที่ต้องไป ด้วยกัน เรื่องคนก็ไปด้วยกัน ในอนาคตก็เริ่มดูเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมแล้วว่ามีอะไรที่เราทำกับ พาร์ทเนอร์แล้วจะช่วยเรื่องสิ่งแวดล้อมได้ด้วย นอกจากตอบสนองความต้องการของลูกค้าแล้วยังเป็น การให้การศึกษาด้วยเพราะบางครั้งลูกค้ายังไม่พร้อม แต่ต้องบอกลูกค้าแล้วว่าเราทำตรงนี้ทำไม เช่น การลดการใช้หลอดพลาสติกและพลาสติก จะมีลูกค้าบางรายไม่เข้าใจ ใช้หลอดกระดาษมันเปื่อย ก็ต้องพยายามให้พนักงานของเราให้ความรู้กับลูกค้าด้วย ภาพที่ 9.2 เสาหลักที่ 1, 2 ของกลยุทธ์ Sustainability บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ที่มา: https://thaipublica.org/2022/11/building-esg-driven-society-52/, 2567
209 3) เสาหลักที่ 3 สิ่งแวดล้อม “ดูแล-ฟื้นฟู-ป้องกัน” เสาหลักนี้ จะมองถึงภาพรวม ของการดำเนินธุรกิจว่ามีการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไรบ้าง และลดผลกระทบเหล่านี้ อย่างไรได้บ้าง ส่วนที่สอง คือการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในฝั่งธุรกิจโรงแรมที่ใกล้ชิดธรรมชาติ ค่อนข้างมาก ถ้าไม่ช่วยรักษาหรืออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบริเวณนั้น ลูกค้าก็ไม่มาเหมือนกัน อาทิ การ ท่องเที่ยวมัลดีฟท์แล้วปะการังตายหมดลูกค้าก็ไม่มา ดังนั้น ก็เป็นหน้าที่ของเราในการอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อม และพยายามฟื้นฟูให้ดีที่สุดในด้านการประกอบธุรกิจ ส่วนเรื่อง Net Zero Carbonization ต้องยอมรับว่าหลายบริษัทหรือหลายประเทศ ยังมีการลงนามให้สัญญา โดยหวังว่าในอนาคตจะมีเทคโนโลยีที่มาช่วยได้ สำหรับไมเนอร์คาดการณ์ ว่าในปี 2050 ต้องทำให้ได้ หนทางอาจจะยังไม่เคลียร์ แต่ต้องพยายามขับเคลื่อนไปตรงนั้นให้ได้ ในเรื่องความยั่งยืนนั้นไม่จำเป็นต้องมีต้นทุนค่าใช้จ่ายเสมอไป และจะมีผลตอบแทน ทางธุรกิจไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง หลายครั้งทำแล้วไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงกว่าสิ่งที่ทำอยู่ก่อน บางครั้ง ประหยัดค่าใช้จ่ายได้ด้วย เช่น การใช้พลังงานหมุนเวียน ช่วยลดค่าใช้จ่าย หรือเรื่องของคน ถ้าดูเรื่อง การพัฒนาคนตั้งแต่เขายังไม่ได้มาทำงาน จนในที่สุดมาทำงานกับเราผลพลอยได้ มีทั้งการลดค่าใช้จ่าย ในการฝึกอบรม การคัดเลือกคน และไม่ต้องสรรหาคนบ่อย ก็คุ้มที่จะลงทุน และได้ตอบแทนสังคม ด้วย อาจเป็นเพราะไมเนอร์เป็นธุรกิจบริการ เราไม่มีการลงทุนด้านเทคโนโลยีใหญ่ ๆ ทำให้มีข้อ ได้เปรียบในจุดนี้ ภาพที่ 9.3 เสาหลักที่ 3 ของกลยุทธ์ Sustainability บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ที่มา: https://thaipublica.org/2022/11/building-esg-driven-society-52/, 2567
210 ส่วนเรื่อง Good Corporate Governance โดยวางเป้าหมายจากเกณฑ์ของ IOD ต้องได้ excellent score ให้ได้ตลอด ซึ่งได้มาหลายปีแล้ว แต่กฎเกณฑ์ก็มีการพัฒนาและยากขึ้น เช่นเดียวกัน ก็ต้องตามให้ทัน การสร้างคุณค่าร่วม Share Value สิ่งที่ทำคือ Minor Sustainability Award โดย ขอให้แต่ละธุรกิจส่งสิ่งที่เขาทำเข้ามา โดยมีเงื่อนไขว่าสิ่งที่ส่งเข้ามาต้องสร้าง Business Impact ขณะเดียวกันต้องสร้าง Impact ให้กับสังคมหรือสิ่งแวดล้อมด้วย และต้องคำนวณออกมาให้ได้ด้วยว่า impact ที่สร้างเป็นอย่างไร และมีตัวชี้วัดชัดเจน ไม่ใช่คิดแล้วยังไม่ทำ ต้องทำแล้วโชว์ให้ได้ด้วย โดย ส่งแอพพลิเคชั่นเข้ามาเพื่อโปรโมทว่าคุณทำอะไรได้บ้าง โดยมีรางวัล Minor Sustainability Award เพื่อขยายผลให้คนอื่นในองค์กรได้ทราบเรื่องด้วยเช่นกัน “เรื่อง sustainable มันเป็น journey คงไม่มีวันที่จะบรรลุจุดสูงสุด เป็นเรื่องที่ต้องทำไป เรื่อย ๆ ทำตัวให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวัน เรามองภาพอย่างนั้นจริง ๆ ฝ่ายบริหารก็มองภาพนี้เหมือนกัน คือ ไม่ใช่ตั้งเป้าแล้วพอได้ตามเป้าก็จบแต่ต้องพัฒนาต่อยอดไปเรื่อย ๆ และหวังว่าจะทำให้ดีที่สุด สำหรับลูกหลานในอนาคต ขณะเดียวกันถ้าบริษัทอยู่ไม่ได้ ก็ไม่มีใครมาดูเรื่องความยั่งยืน ดังนั้น บริษัทก็ต้องอยู่ต้องทำธุรกิจได้นี่เป็นปัจจัยสำคัญเรื่อง Sustainable จึงต้องอยู่ในกระบวนการทำงาน จริง ๆ ต้องทำทุกวันแล้วได้ผลกระทบคือถ้ารอให้ได้กำไรแล้วทำก็คงไม่ยั่งยืน” (ชมพรรณ กุลนิเทศ, 2565) โรงแรมศิวาเทล กรุงเทพฯ โรงแรมย่านใจกลางเมือง ที่ดำเนินกิจการบนพื้นที่ของครอบครัวจนมาถึงผู้บริหารรุ่นที่ 3 ที่แม้จะปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจแล้ว แต่ยังคงไว้ซึ่งแนวคิดที่ยึดมั่นมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ ในเรื่องของการ รับผิดชอบต่อสังคมและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดังเช่นภาษิตดั้งเดิมที่ผู้บริหารทุกรุ่นยึดเป็นหลักใน การทำธุรกิจคือ Clean Green Smart ให้สะท้อนออกมาในการดำเนินธุรกิจตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยที่โรงแรมศิวาเทล กรุงเทพฯ มีหลักการ แนวคิดในการดำเนินธุรกิจเพื่อให้เกิดความยั่งยืน อย่างต่อเนื่อง ดังนี้ 1) กระจายความเสี่ยง สร้างภูมิคุ้มกันให้ธุรกิจ เริ่มต้นจากอพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ ใจกลางเมืองในรุ่นคุณปู่ จนพัฒนาเป็นโรงแรม 8 ชั้น ในชื่อฮอลิเดย์ แมนชั่น และได้มีการเปลี่ยนแปลงในปี 2552 ในช่วงที่การท่องเที่ยวเติบโตแบบก้าว กระโดด จึงขยายเป็นตึก 32 ชั้น เกิดเป็นศิวาเทลทาวเวอร์ขึ้น ซึ่งในตัวตึกจะแบ่งเป็น 3 ส่วน คือส่วน ของออฟฟิศให้เช่า ส่วนของอพาร์ตเมนต์ และส่วนของโรงแรมศิวาเทล กรุงเทพฯ ด้วยวิสัยทัศน์ของ คุณปู่ที่มองว่าธุรกิจท่องเที่ยวเป็นธุรกิจที่ค่อนข้างมีความอ่อนไหว มักได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ แวดล้อมต่าง ๆ การที่ทำตึกให้รองรับการใช้งานแบบ Mixed-use จึงเป็นการช่วยกระจายความเสี่ยง และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวธุรกิจให้มีรายได้จากหลากหลายทาง ทำให้ศิวาเทลสามารถผ่านพ้น จากทุกวิกฤติการณ์มาได้ 2) ปรับเปลี่ยนเพื่อตอบโจทย์ เดิมโรงแรมได้วางตำแหน่งทางธุรกิจไว้เป็น Business Hotel ด้วยที่ตั้งของโรงแรม อยู่ในย่านเพลินจิต แต่พบว่ากลุ่มลูกค้าส่วนมากกลับเป็นกลุ่มครอบครัวหรือคู่รักที่มาเพื่อการพักผ่อน จริง ๆ และใช้เวลาในห้องค่อนข้างมาก จึงได้มีการปรับปรุงห้องทั้งหมดให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าโดย ปรับให้มีความสบายมากขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งแนวคิดการประหยัดพลังงาน โดยมีการวางระบบภายใน แบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตั้งแต่โครงสร้างอาคารเดิม เช่น ในห้องพักจะใช้ไฟที่เป็นไฟ LED และใช้
211 เครื่องปรับอากาศที่เป็นระบบควบคุมอุณหภูมิได้ด้วยตัวเอง เพื่อที่ลูกค้าจะสามารถเลือกที่จะปิดหรือ เปิดเครื่องปรับอากาศเฉพาะที่ได้ นอกจากนี้สิ่งของเครื่องใช้ในห้องพักยังเป็นผลิตภัณฑ์โอทอปจากชุมชนหรือของดี จังหวัดต่าง ๆ โดยนำมารวมกับแนวคิดเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น กล่องกระดาษชำระ ถังขยะ หรือว่าซองใส่อุปกรณ์ในห้องน้ำล้วนเป็นงานจักสานที่ทำจากเตยปาหนันจากนครศรีธรรมราชหรือ แม้แต่เสื่อที่ใช้จะเป็นเสื่อผักตบชวาที่เป็นแบรนด์ของอโยธยา 3) สร้างแบรนด์ด้วยการสร้างคุณค่า ในช่วงที่โรงแรมอยู่ในภาวะการแข่งขันสูง ศิวาเทลเลือกที่จะไม่วิ่งตามเทรนด์หรือทำ สงครามราคา แต่หันมาเน้นเรื่องคุณค่าสินค้าและการบริการของตน จากการเรียนรู้หลักปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียงและนำมาปรับใช้เรื่องการรู้จักตน จากการวิเคราะห์จุดยืนของแบรนด์ที่เน้นในเรื่องคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่เพื่อ จะได้มีศักยภาพในการส่งต่อความสุขไปยังผู้อื่นต่อไป สิ่งที่เด่นชัดคือเรื่องของอาหารในโรงแรมที่ไม่ได้ เน้นแค่ความอร่อยแต่ทำจากวัตถุดิบออร์แกนิคและปราศจากสารเคมีจากชุมชนและเกษตรกรรายย่อย โดยตรง ในเมนูอาหารเช้าสำหรับลูกค้าจะมีแผนที่ประเทศไทยบอกเล่าถึงวัตถุดิบแต่ละอย่าง เพื่อให้ ลูกค้าได้เข้าใจแหล่งที่มาและเพลิดเพลินกับอาหารที่ทำจากวัตถุดิบออร์แกนิคและวัตถุดิบอินทรีย์ได้ ทั้งหมด อีกสิ่งหนึ่งที่ศิวาเทลใส่ใจคือการลดใช้ขยะ การใช้บริการในโรงแรมจะไม่มีการใช้ พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ทั้งสบู่และแชมพูจะเป็นออร์แกนิคซึ่งไม่มีสารเคมีอันตรายที่จะตกค้างใน ตัวลูกค้า รวมถึงจะไม่ปนเปื้อนลงไปในแม่น้ำลำคลอง ชุดของใช้ในห้องน้ำจะอยู่ในขวดแบบเติมน้ำดื่ม ในห้องพักก็จะใช้เป็นขวดแก้ว เนื่องจากธุรกิจโรงแรมเป็นธุรกิจที่ผลิตขยะมาก จากวันที่ศิวาเทลเคย ผลิตขยะออกมาเดือนละประมาณเกือบเก้าพันกิโลกรัม จนถึงวันนี้สามารถลดการใช้ขยะในโรงแรมได้ ถึง 80% การที่ศิวาเทลเป็นโรงแรมที่มุ่งเน้นและให้ความสำคัญในเรื่องการบริหารการพัฒนา อย่างยั่งยืนทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าทุกการใช้จ่ายเพื่อพักผ่อนมีความหมาย เพราะความสุขของลูกค้าจะถูก แบ่งปันไปยังชุมชนและเกษตรกรผ่านอาหารที่รับประทานและยังได้ร่วมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไปพร้อม กัน ทั้งหมดคือคุณค่าและความหมายที่เหนือกว่าเรื่องราคาที่ลูกค้าสัมผัสได้ ศิวาเทลมองว่าการทำธุรกิจที่มีส่วนทำให้ชีวิตผู้อื่นและสิ่งแวดล้อมดียิ่งขึ้นเป็นสิ่งที่ทำ ให้มีความภูมิใจมากกว่าผลกำไรและเป็นคุณค่าที่จะส่งต่อไปถึงลูกหลานยิ่งไปกว่านั้นยังยินดีที่จะให้ โรงแรมอื่น ๆ นำโมเดลนี้ไปใช้เพราะเชื่อว่าจะเป็นผลดีต่อสังคมและประเทศ 4) เรียนรู้อยู่เสมอ เพื่อพัฒนาระบบการจัดการที่ยั่งยืน ศิวาเทลจึงมีการเข้าร่วมการอบรมในโครงการ ต่าง ๆ อยู่เสมอ เช่น โครงการ Green Hotel หรือ Green life เพื่อให้ได้ทราบระบบและแนวทางที่ ปฏิบัติอย่างมีมาตรฐานที่สามารถนำมาใช้ในการทำงานได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการบันทึกการใช้ พลังงาน การจัดการน้ำเสียและการจัดการขยะ ทั้งยังใส่ใจเรื่องความสุขของพนักงานเพราะเชื่อว่าหาก พนักงานมีความสุขแล้วจะสามารถส่งต่อความสุขให้ลูกค้าผ่านทางบริการพร้อมทั้งสร้างจิตสำนึกเรื่อง อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อให้มีเป้าหมายเดียวกัน รวมทั้งปรับเปลี่ยนความคิดว่าการทำการเกษตรและการหมักขยะเป็นเรื่องยุ่งยาก และต้องใช้พื้นที่มาก โดยเรียนรู้เรื่องการปลูกพืชผักสวนครัวในโรงแรม สามารถนำมาใช้ได้อย่าง
212 สะดวกรวดเร็วและช่วยลดรายจ่ายได้อีกทางหนึ่ง จากนั้นก็หันมาดูแลเรื่องการลดขยะเศษอาหารโดย การนำมาหมักเป็นปุ๋ยใช้เองและขยะหมักนี้ยังนำมาใช้เป็นดินปลูกผักได้อีกด้วย 5) จุดยืนชัดเจน สามารถต่อยอดได้ การมีจุดยืนการทำงานชัด ทำให้การต่อยอดบริการหรือสินค้าได้ง่ายขึ้น แม้ใน สถานการณ์ที่มีผลกระทบต่อการท่องเที่ยว ศิวาเทลก็พร้อมที่จะให้บริการใหม่ ๆ โดยดำเนินงานจาก แก่นงานเดิม หลังจากนี้ศิวาเทลวางโครงการขยายธุรกิจไปในส่วนการขายวัตถุดิบออร์แกนิคและมี แผนที่จะปรับมุมหนึ่งของร้านอาหารให้กลายเป็นมินิออร์แกนิคบาร์ มี Farmer lunch talk ที่ให้ เกษตรกรมาทำเมนูร่วมกับเชฟเพื่อเล่าเรื่องราวเบื้องหลังวัตถุดิบให้ลูกค้าฟัง รวมถึงการวางแผนจัด ทริปเยี่ยมชมฟาร์มเกษตรกร และมีแนวคิดที่จะนำภูมิปัญญาไทย มานำเสนอในรูปแบบที่ร่วมสมัยและ เพิ่มมูลค่ามากขึ้นซึ่งจะต่อยอดเป็น Workshop ให้ลูกค้าต่อไป (SMEone, ม.ป.ป.) ภาพที่ 9.4 แนวคิดการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนของโรงแรมศิวาเทล กรุงเทพฯ ที่มา: https://www.smeone.info/posts/view/4993, 2567
213 9.2.2 การปรับตัวของธุรกิจโรงแรม แนวทางในการพัฒนาธุรกิจโรงแรมให้ยั่งยืนนั้น หลักการที่สำคัญต้องเริ่มจาก “เจ้าของ กิจการ” คือเรื่องการกำหนดทิศทางของธุรกิจโรงแรมในระยะยาวที่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของ ชุมชน อำเภอ จังหวัด ภูมิภาคและเป้าหมายประเทศไทยให้ไปในทิศทางเดียวกัน ภายใต้แนวคิดว่าด้วยความรับผิดชอบและการสร้างหลักเกณฑ์เพื่อกำกับและชี้วัดความ คืบหน้าในการทำงานใน 3 ส่วน คือ Environmental, Social และ Governance นั้น สำหรับโรงแรม ที่พักขนาดเล็กเป็นการเริ่มต้น โดยตั้งเป้าหมายที่สอดคล้องกับขนาดธุรกิจและเป้าหมายของจังหวัด หรืออาจใช้กรอบของ COP27 ที่ประเทศไทยร่วมประชุมและรับเรื่องกรอบเวลามาเป็นกรอบใหญ่ใน การทำงานด้วย โรงแรมที่พักขนาดเล็กถึงขนาดกลางที่ต้องการจะเริ่มทำงานในแนวทางยั่งยืนอย่างจริงจัง ควรเตรียมงานและลงมือทำ ดังนี้ 1) การกำหนดนโยบายและทิศทางธุรกิจภายใต้กรอบการพัฒนา 5 ปี ระยะกลาง และ 10 ปี ระยะยาว เพื่อจะได้เห็นทิศทางในการก้าวเดินไป 2) วางโครงสร้างหน่วยงานที่รับผิดชอบ ทั้งทีมปฏิบัติการ ทีมขับเคลื่อน ทีมกำกับดูแลและ การอนุมัติต่าง ๆ 3) กำหนดงบประมาณประจำปี และแต่ละปีต่อไป 4) นโยบายเพื่อการจัดการสิ่งแวดล้อม 5-10% ของรายได้รวม โดยนำมาประเมินผลว่า เพียงพอ หรือมีการใช้อย่างมีประสิทธิภาพมากน้อยอย่างไร 5) กำหนดเป้าหมายและแผนงานกิจกรรมในรายละเอียดทั้ง 3 ส่วน คือ Environmental, Social และ Governance 6) กำหนดตารางการประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าเป็นระยะ ทั้งหมดที่กล่าวข้างต้นนั้น ควรมีการอนุมัติทั้งในหลักการและเป็นลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจน รวมทั้งควรเพิ่มเนื้อหาเรื่อง ESG เข้าไปในวิสัยทัศน์ (Mission) ของโรงแรมด้วย (AMORNPAN SOMSAWASDI, DECEMBER 15, 2022) 9.3 การออกแบบโรงแรมเพื่อความยั่งยืน 9.3.1 แนวคิดการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ในอดีตความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสภาพแวดล้อม คือ การพยายามปรับตัวเพื่อให้อยู่ ร่วมกับสภาพแวดล้อม แต่ปัจจุบันจำนวนประชากรมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ต่างคนก็ต่างมีความต้องการ อย่างไม่มีที่สิ้นสุดแต่ทรัพยากรธรรมชาติมีอยู่ในจำนวนจำกัด มนุษย์บางคนที่ขาดจิตสำนึกจึงไป เบียดเบียนธรรมชาติเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเองเป็นเหตุให้เกิดปัญหาสิ่งแว้ดล้อมที่เกิดขึ้น อย่างทุกวันนี้ ทั้งการตัดไม้ทำลายป่า การเผาผลาญทรัพยากรธรรมชาติ อีกทั้งสร้างอากาศเสีย มลพิษ หรือน้ำเสีย เป็นต้น คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าแนวทางในการช่วยเหลือสิ่งแวดล้อมได้ คือการลดการใช้ ทรัพยากรธรรมชาติให้มากที่สุด โดยเฉพาะพลังงาน แต่เราจะลดการใช้พลังงานได้อย่างไร ในเมื่อที่อยู่ อาศัยและที่ทำงานของเราทุกวันนี้ไม่ได้เอื้อต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเรา หากอากาศร้อนก็ต้องเปิด แอร์ ห้องไม่สว่างก็ต้องเปิดไฟ สิ่งเหล่านี้แสดงถึงการที่ไม่สามารถลดการใช้พลังงานได้เลย หากไม่มี การปรับเปลี่ยนอาคารที่อยู่อาศัยให้เหมาะกับการใช้ชีวิตและประหยัดพลังงาน ก็จำเป็นต้องปรับตัวให้
214 เข้ากับธรรมชาติ จึงนำมาสู่แนวคิดการออกแบบสถาปัตยกรรม ให้มนุษย์สามาารถอยู่ได้โดยใช้ พลังงานน้อยที่สุด หลักการออกแบบนี้คือ สถาปัตยกรรมสีเขียว (Green Architecture) และ สถาปัตยกรรมแบบยั่งยืน (Sustainable Architecture) โดยจะต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ 1) ความสอดคล้องกับสภาพอากาศ มีการคำนึงถึงการจัดวางพื้นที่ใช้สอยอาคาร ตามทิศทางแดดทิศทางลมธรรมชาติและการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างตกแต่งที่เข้ากับท้องถิ่นนั้น ๆ 2) อยู่สบาย หลักการความอยู่สบายของมนุษย์ต้องคำนึงถึงอุณหภาพ (Thermal Comfort) แสงสว่าง (Visual/Lighting Comfort) เสียง (Acoustical Comfort) และคุณภาพอากาศ ภายใน (Indoor Air Quality: IAQ) 3) ใช้พลังงานธรรมชาติ ซึ่งเป็นพลังงานที่สามารถนำมาใช้ทดแทนได้ (Renewable Energy) เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานจากน้ำ พลังงานจากดิน พลังงานลม พลังงานจากพืชพันธุ์ และพลังงานสัตว์จากมูลสัตว์ ตัวอย่างเช่น บ้านเรือนไทยในสมัยก่อน ที่ออกแบบโดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อม วัสดุ และการ ถ่ายเทอากาศ ทำให้คนสมัยก่อนอยู่บ้านโดยไม่ต้องใช้พลังงานมาก ไม่มีแอร์หรือพัดลมก็สามารถอยู่ได้ ภาพที่ 9.5 ตัวอย่างแนวคิดการอยู่ร่วมกับธรรมชาติและสภาพแวดล้อม ที่มา: https://dsignsomething.com/2016/09/07/green-architecture-vs-sustainablearchitecture, 2567 9.3.2 แนวคิดการออกแบบสถาปัตยกรรมสีเขียว Green Architecture 1) ความเป็นมาของสถาปัตยกรรมสีเขียว ในอดีตความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสภาพแวดล้อมคือ ความพยายามของ มนุษย์ในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ความต้องการความสบายของมนุษย์จึงมีน้อยมากและไม่ อาจเปรียบเทียบได้กับในปัจจุบันและด้วยจำนวนประชากรที่มีอยู่น้อยนิด นอกจากจะบริโภคน้อยแล้ว ยังปล่อยของเสียออกสู่สิ่งแวดล้อมน้อยกว่าด้วย ซึ่งของเสียก็ล้วนเป็นของเสียที่สลายได้เองตาม ธรรมชาติ ทางด้านอาคารก็มีการออกแบบให้สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ตัวอย่างการ ออกแบบอาคารเพื่อแก้ปัญหาสภาพแวดล้อม จะเห็นชัดในเขตภูมิอากาศที่รุนแรง เช่น เขตหนาวและ
215 เขตทะเลทรายเกิดเป็นสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นที่เรียกว่า Vernacular หรือ Bioclimatic Architecture ซึ่งหากทำการศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นทั่วโลกอย่างลึกซึ้ง จะเห็นว่าเป็นนวัตกรรม ทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญของมนุษยชาติทั้งนั้น ทุกองค์ประกอบของการออกแบบสามารถอธิบายด้วย หลักทางฟิสิกส์ได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ หลังเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป รูปแบบสังคมเมืองเริ่มเปลี่ยนไปเกิดชุมชน ทำงานที่หนาแน่นในเมืองและการใช้พื้นที่ดินในเมืองให้เกิดประโยชน์สูงสุดก่อให้เกิดรูปแบบ สถาปัตยกรรมสาธารณะขนาดใหญ่ที่ปิดตัวเองออกจากสภาพแวดล้อมอย่างสิ้นเชิง เริ่มเกิดการคิดค้น งานระบบอาคารขึ้นมา โดยเฉพาะการปรับและการระบายอากาศด้วยเครื่องจักรกล อาคารที่สร้างต้อง อาศัยพลังงานจากแหล่งพลังงานที่มี ซึ่งมักจะมาจากถ่านหินและน้ำมันดิบนั่นเอง รูปแบบอาคารและ เทคโนโลยีอาคารที่ถูกใช้เพื่อความสะดวกสบายของมนุษย์ได้พัฒนาต่อไปอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงใช้ พลังงานจากแหล่งเดิม ๆ เหมือนภาคอุตสาหกรรมและภาคขนส่ง ส่วนทางด้านรูปแบบสถาปัตยกรรม ในที่สุดก็เกิดปรากฏการณ์ของ “สถาปัตยกรรมสมัยใหม่” หรือ Modern Architecture เกิดขึ้น (ซึ่ง พัฒนากลายเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมนานาชาติ International Style ในเวลาต่อมา) นับเป็นการ หันหลังให้แก่การออกแบบที่สอดคล้องกับสภาพภูมิอากาศพื้นถิ่นหรือการออกแบบ Bioclimatic Design อย่างสิ้นเชิงเพราะอาคารต่างเลือกใช้ระบบเครื่องกลในการปรับสภาวะแวดล้อมภายในให้น่า สบายโดยไม่สนใจต่อลักษณะอากาศภายนอกว่าจะเป็นเช่นใด รูปแบบและองค์ประกอบอาคารไม่ สามารถชี้ชัดได้เลยว่ามาจากสภาพภูมิอากาศแบบใด ซึ่งแตกต่างจากสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นที่เคยมีมา นาน แต่ถูกทอดทิ้งจากสถาปนิกพื้นถิ่นที่ได้รับการศึกษาจากต่างแดน กระทั่งวิกฤตการณ์พลังงานครั้งแรกในปี 1973 ที่ทำให้เกิดกระแสการประหยัด พลังงานในอาคารมากขึ้น เกิดรูปแบบการออกแบบอาคารที่เรียกว่า Passive Design ซึ่งจะเน้น ทางด้านการปรับอากาศและการระบายอากาศโดยไม่ใช้เครื่องจักรกลที่ใช้พลังงาน อาคารเหล่านี้จะ เน้นการออกแบบช่องเปิดให้เกิดการระบายอากาศ มีการออกแบบโถงเพื่อใช้เป็น Climate buffer zone รวมทั้งปรับปรุงการใช้ฉนวนกันความร้อนอย่างมีประสิทธิภาพ และเริ่มใช้แผงโซลาร์เซลล์เพื่อ ทำความร้อนให้อาคาร อย่างไรก็ดี มนุษย์มิได้แก้ปัญหาด้วยการลดการใช้พลังงานอย่างแท้จริงแต่ใช้ การต่อสู้แย่งชิงทางการเมืองระหว่างประเทศเพื่อให้พลังงานมีราคาถูกลงจนกว่าเทคโนโลยีจะก้าวทัน เพื่อหาแหล่งพลังงานใหม่ ๆ ราคาถูก ๆ มาให้ใช้ต่อไป ดังนั้นประมาณปี 1980 Passive Design จึงได้สูญหายไปพร้อมกับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับแผงโซลาร์เซลล์ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อาคารทุก หลังล้วนติดตั้งระบบปรับอากาศ โดยไม่ต้องคำนึงถึงการออกแบบให้สอดคล้องกับสภาพอากาศ เพราะ ระบบปรับอากาศจะทำหน้าเอง ถึงแม้มนุษย์จะรู้ว่าน้ำมันดิบจะหมดจากโลกภายในระยะเวลาไม่เกิน 50 ปี แต่ยังมีแร่ยูเรเนียมให้มนุษย์ใช้ผลิตพลังงานนิวเคลียร์อีกจำนวนมหาศาล ปัญหาการขาดแคลน พลังงานจึงไม่มีอีกต่อไปอย่างน้อยก็ในช่วงชีวิตนี้ อย่างไรก็ดี ในปี 1987 นักวิทยาศาสตร์พบว่าสาร CFC ในเครื่องปรับอากาศเป็นตัว ทำลายชั้นโอโซนในบรรยากาศโลกและต่อมาก็พบอีกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยมาจาก โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าเป็นตัวทำให้โลกร้อนขึ้นและทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย จึงได้เกิดกระแส เรียกร้องให้มีการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติกันอย่างจริงจัง ถึงแม้มนุษย์จะยังเดินทางไปไม่ถึงปัญหา พลังงาน แต่ปัจจุบันมนุษย์ได้อยู่ท่ามกลางปัญหาสิ่งแวดล้อมเสียแล้วและผลกระทบที่ตามมาก็จะ เกิดขึ้นในวันนี้หรือพรุ่งนี้ โดยไม่ต้องรอถึงคนรุ่นลูกอีกต่อไปนับแต่นั้นมาก็เกิดคำว่า “การพัฒนาแบบ
216 ยั่งยืน” (Sustainable Development) ซึ่งองค์การสหประชาชาติให้คำจำกัดความว่า “การพัฒนา เพื่อให้โอกาสแก่คนรุ่นปัจจุบันดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่ไปปิดโอกาสในการดำรงชีวิตของคนรุ่นหลัง” ทางด้านอาคารสิ่งปลูกสร้าง ได้เกิดกระแสของสถาปัตยกรรมยั่งยืน (Sustainable Architecture) ขึ้นมาพร้อมกับคำว่า “Embodied Energy” ที่มีการคำนึงถึงการใช้วัสดุก่อสร้าง อาคารที่ใช้พลังงานน้อยทั้งในแง่การผลิต (Production) การก่อสร้าง (Construction) และการย่อย สลาย (Disposition) แต่อย่างไรก็ดี Embodied energy มีสัดส่วนน้อยนิดเมื่อเทียบกับพลังงานที่ อาคารใช้ตลอดช่วงอายุการใช้งานและนอกจากนี้คำว่า “สถาปัตยกรรมยั่งยืน” ก็มีความหมาย คลุมเครือไม่ชัดเจนและมีความขัดแย้งในตัวเองว่าสถาปัตยกรรมหรือสิ่งก่อสร้างที่เกิดขึ้นต่างก็ไม่มี ความยั่งยืนทั้งนั้น แต่หรือถ้ามีก็ควรจะมีความยั่งยืนเพียงใด ดังนั้นจึงเกิดคำว่า อาคารสีเขียว ขึ้นโดยได้นำเอาเรื่อง “เทคโนโลยีที่เหมาะสม” (Appropriate Technology) และแนวคิดการออกแบบ Passive Design (ทั้ง Passive Cooling และ Passive Solar Heating) ในสมัย 1970 เข้ามาประกอบด้วยอย่างชัดเจน โดยความหมายของอาคาร สีเขียวนี้ คือ “การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อช่วยให้อาคารสามารถใช้ประโยชน์จากสภาวะ แวดล้อมตามธรรมชาติ (แสงแดด, ลม, ดิน, น้ำ, พืชพันธ์, สัตว์) ด้วยวิธี Passive อย่างเต็มที่และใช้วิธี Active เท่าที่จำเป็น” 2) นิยามและแนวคิดของสถาปัตยกรรมสีเขียว สถาปัตยกรรมจากธรรมชาติ (Green Architecture) คือ การสร้างสรรค์ออกแบบ สถาปัตยกรรมโดยนำหลักธรรมชาติมาปรับใช้ ผ่านการเลือกวัสดุและวิธีการก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อ สิ่งแวดล้อม เพื่อให้ส่งผลกระทบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด จนนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีมาก ยิ่งขึ้น รวมถึงช่วยลดภาวะโลกร้อนอีกด้วย แนวคิดของการออกแบบ Green Architecture เกิดขึ้นจากแนวคิดการอยู่ร่วมกัน ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ (Human being should live in a harmony with nature) โดยหลัก ในการออกแบบมีด้วยกัน 3 ประการดังนี้ 2.1) การออกแบบให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ เริ่มต้นจากการศึกษาภูมิอากาศของพื้นที่ ทั้งทิศทางลม จนถึงการส่องสว่าง ของแสงแดด จากนั้นจึงเลือกใช้วัสดุและออกแบบพื้นที่ให้เหมาะสมกับภูมิอากาศ เช่น เลือกตำแหน่ง ที่ตั้งของห้องประชุมให้มีแสงสว่างจากภายนอกเข้ามายังห้องประชุม เป็นต้น 2.2) ความสะดวกสบายในการใช้งาน ความสะดวกสบายจากงานออกแบบนั้นสามารถนำมารังสรรค์ได้หลาย ประการ ทั้งพื้นที่การใช้งาน รวมถึงการออกแบบเพื่อควบคุมอุณหภูมิให้พอเหมาะ เช่น การปลูกต้นไม้ ใหญ่ใกล้กับตัวอาคารเพื่อเป็นร่มเงา ลดความร้อนที่เกิดจากดวงอาทิตย์ที่ส่องมายังอาคาร ด้วยร่มเงา ของต้นไม้และ Smart Glass ที่ช่วยควบคุมปริมาณของแสงแดดและความร้อนผ่านกระจก เป็นต้น 2.3) การนำพลังงานธรรมชาติมาปรับใช้ พลังงานธรรมชาติเป็นพลังงานที่ใช้ไม่มีวันหมดอย่าง พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานจากลม ซึ่งพลังงานเหล่านี้สามารถนำมาปรับใช้งานกับการออกแบบได้ เช่น การ ออกแบบพื้นที่สำหรับติดตังแผงโซล่าเซลส์เพื่อรับพลังงานจากแสงอาทิตย์เปลี่ยนมาเป็นพลังงานไฟฟ้า เพื่อนำไฟฟ้ามาใช้ในอาคาร หรือออกแบบระบบทางเดินอากาศให้ลมเข้ามาหมุนเวียนภายในอาคาร เพื่อลดการใช้งานเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น
217 3) รูปแบบการออกแบบของสถาปัตยกรรมสีเขียว 3.1) Building Ecology การออกแบบอาคารโดยคำนึงถึงความสอดคล้อง กับสภาพแวดล้อม เช่น การระบายอากาศ ผ่านการออกแบบอาคารกับระบบการไหลเวียนของอากาศ เพื่อให้อากาศบริสุทธิ์เข้ามาในอาคารมากที่สุด 3.2) Energy Efficiency การออกแบบโดยการเน้นการใช้ประโยชน์ พลังงานจากธรรมชาติ ลดการพึ่งพาพลังงานไฟฟ้า รวมถึงการจัดการพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในอาคาร อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้หลักการ Thermal Mass ในการสะสมพลังงานความร้อนไว้กับวัสดุ ทำให้อุณหภูมิของอาคารเย็นลง รวมถึงการเลือกใช้โคมไฟหรือหลอดไฟ LED ในการส่องสว่างเพื่อ ประหยัดพลังงาน เป็นต้น 3.3) Materials การเลือกใช้วัสดุในการก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น วัสดุจากแหล่งทรัพยากรที่สามารถทดแทนได้ มีความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมในการผลิต เช่น แผ่นผนังสำเร็จรูป (Precast Concrete) และ ฉนวน Polyurethane Rigid Foam เป็นต้น 3.4) Good Design เป็นวิธีการออกแบบที่คำนึงถึงอนาคต เช่น ค่าเสื่อมใน การใช้งานที่ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยความคงทนถาวรของวัสดุส่งผลให้ความต้องการใช้พลังงาน น้อยลง รวมถึงการนำเอาวัสดุเก่ากลับมาใช้ใหม่ ผสมผสานระหว่างการใช้งานและความสวยงามเพื่อ ตอบสนองแนวคิดของสถาปัตยกรรมที่อยู่คู่กับโลกอย่างยั่งยืน (Sustainable Architecture) ภาพที่ 9.6 การดึงรูปแบบของหมู่บ้านชาวประมงมาออกแบบตามแนวคิดสถาปัตยกรรมสีเขียว ที่มา: https://www.baanlaesuan.com/121197/design/lifestyle/hotels/10-design-hotelsdestination/2,2567 ตัวอย่างการปรับใช้หลักการออแบบตามแนวคิดสถาปัตยกรรมสีเขียวกับงาน ออกแบบห้องประชุม เนื่องจากห้องประชุมเป็นพื้นที่ที่ใช้พลังงานสูง จากการใช้พลังงานไฟฟ้าในการ ดำเนินงานทั้งระบบแสง เสียงและภาพ ดังนั้นการออกแบบเพื่อลดการใช้พลังงานจึงสำคัญ
218 ภาพที่ 9.7 การออกแบบห้องประชุมด้วยสถาปัตยกรรมสีเขียว ที่มา: https://avl.co.th/blogs/get-to-know-green-architecture-the-design-of-using-nature/, 2567 การออกแบบห้องประชุมด้วย Green Architecture 1) Building Ecology Building Ecology เป็นหลักที่ว่าด้วยการออกแบบโดยนำสิ่งแวดล้อมมา ปรับใช้ ทั้งการนำอากาศจากภายนอกเข้ามาในตัวอาคารหรือการนำแสงแดดมาช่วยส่องสว่างและ สำหรับการออกแบบ Building Ecology ภายในห้องประชุมนั้น สามารถทำได้ผ่านการออกแบบ ตกแต่งภายในห้องประชุม โดยออกแบบให้สามารถใช้แสงสว่างจากภายนอกเข้ามาส่องสว่างหรือเป็น เสริมการใช้แสงสว่างจากหลอดไฟภายในห้องได้ 2) Energy Efficiency เนื่องจากห้องประชุมเป็นพื้นที่ที่ใช้พลังงานสูง ดังนั้นการออกแบบโดยนำ พลังงานธรรมชาติมาใช้ภายในห้องประชุม จึงเป็นไปในลักษณะการออกแบบเพื่อลดการใช้พลังงาน มากกว่า โดยตัวอย่างงานออกแบบเพื่อลดการใช้พลังงานเช่น ระบบควบคุมความร้อน (ThermoInsulation System) ระบบควบคุมความร้อน (Thermo-Insulation System) คือการติดตั้ง ฉนวนความร้อนบนฝ้าเพดานและผนัง เพื่อลดอุณหภูมิจากภายนอกที่เข้ามาในห้องประชุม ทำให้ห้อง ประชุมไม่ร้อน ช่วยให้เครื่องปรับอากาศไม่ต้องทำงานหนัก และทำให้ประหยัดพลังงาน รวมถึงการ ปรับใช้หลอดไฟ LED ในการส่องสว่างเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ เนื่องจาก ภายในห้องประชุมต้องใช้แสงสว่างในการทำงานอยู่ตลอด 3) Materials การเลือกใช้วัสดุและเทคโนโลยีมาประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ และ ประสิทธิภาพสูงสุดเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยสนับสนุนการออกแบบ Green Architecture โดยภายในห้อง ประชุมสามารถนำและวัสดุเทคโนโลยีมาปรับใช้ได้หลายรูปแบบทั้งวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ วัสดุที่ช่วยให้การประหยัดพลังงาน ยกตัวอย่างเช่น กระจกอัจฉริยะ (Smart Glass) คือกระจกที่ครอบด้วย Electrochromic Technology ที่มีคุณสมบัติพิเศษในการดูดซับหรือสะท้อนสีของแสงบางสีได้ สามารถควบคุมปริมาณ ของแสงและความร้อนจากภายนอกผ่านกระจก ซึ่งช่วยในการควบคุมแสงสว่างจากธรรมชาติที่เข้ามา ในห้องประชุมได้ดีมากยิ่งขึ้น
219 อุปกรณ์สะท้อนแสง (Reflector) เป็นวัสดุที่มีคุณสมบัติในการบังคับทิศทาง ของแสงผ่านโคมไฟ ช่วยในเรื่องการประหยัดพลังงานไฟฟ้าและการกระจายแสงมีลักษณะพื้นผิวทั้ง หยาบและมัน โดยอุปกรณ์สะท้อนแสงที่มีลักษณะหยาบจะกระจายแสงที่ตกกระทบในหลายทิศทาง ส่วนชนิดผิวมันจะสะท้อนแสงไปยังทิศทางตรงกันข้ามของการตกกระทบแสง เพดาน (Green Board) เป็นแผ่นกระดานอัดที่ได้จากการ Recycle จาก กล่องเครื่องดื่ม ซึ่งสามารถนำกลับมาใช้งานใหม่ได้และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายกับ ไม้เนื้อแข็งและทนทานกว่าไม้อัดทั่วไป จึงสามารถใช้ทดแทนกันได้ในงานออกแบบ ไม้สังเคราะห์ เป็นวัสดุที่ใช้ในการออกแบบที่ทดแทนการใช้ไม้จริงเพื่อลด การตัดไม้ อีกทั้งยังมีคุณสมบัติที่ลดข้อจำกัดของไม้จริง เช่น มีอัตราการยืด-หดตัวต่ำกว่าไม้จริงทำให้ อายุการใช้งานนานยิ่งขึ้น หินเทียม เป็นหินสังเคราะห์หรือเรียกว่าหินเทียมเป็นหินที่ผลิตขึ้นมาเพื่อ ทดแทนการใช้หินธรรมชาติ โดยมีคุณสมบัติที่ความแข็งแรง และพื้นผิวหินที่ทนทานกว่าหินธรรมชาติ อะลูมิเนียม เป็นวัสดุในการก่อสร้างที่มีคุณสมบัตินำไฟฟ้า ทนความร้อน ได้ดี อีกทั้งยังช่วยสะท้อนแสง รวมถึงมีความทนทานไม่เป็นสนิม ส่งผลให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน สี (Low VOC) เป็นสีที่มีปริมาณสารอินทรีย์ระเหยต่ำ มีคุณสมบัติยึดเกาะ ได้ดี ทนทานต่อการกระแทก อีกทั้งยังทนต่อสภาวะอากาศ มีอัตราการเสื่อมสภาพต่ำทำให้มีอายุการ ใช้งานได้นาน 4) Good Design หลักการออกแบบ Good Design เพื่อคำนึงถึงค่าเสื่อมในอนาคตสำหรับ ห้องประชุมนั้นสามารถทำได้ตั้งแต่การเลือกใช้วัสดุ Recycle การปรับงานออกแบบที่เน้นเทคโนโลยี มากขึ้น เพื่อลดการเสื่อมสภาพของวัสดุ ยกตัวอย่างเช่น ระบบ Wireless Presentation System ระบบ Wireless Presentation System เป็นระบบการนำเสนอข้อมูลด้วย เทคโนโลยีไร้สาย นำเทรนด์ BYON (Bring Your Own Network) มาปรับใช้ ซึ่งจะเน้นไปที่การลด อุปกรณ์ Hardware และนำ Software เข้ามาทำงานเป็นหลัก ซึ่งสามารถเชื่อมต่อการนำเสนอข้อมูล ได้ผ่านแอพลิเคชันไปยังอุปกรณ์ส่วนบุคคล ตัวอย่างระบบ Wireless Presentation System เช่น Leaning Toolbox เป็นระบบการนำเสนอข้อมูลผ่านการสแกน QR Code เป็นต้น ภาพที่ 9.8 หลักการออกแบบ Good Design ที่มา: https://avl.co.th/blogs/get-to-know-green-architecture-the-design-of-usingnature/, 2567
220 จะเห็นได้ว่า สถาปัตยกรรมสีเขียว Green Architecture หรือสถาปัตยกรรมที่เป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อม เป็นงานออกแบบที่คำนึงถึงอนาคต เน้นให้สถาปัตยกรรมอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่าง ยั่งยืน ผ่านการนำของธรรมชาติมาปรับใช้ในงานออกแบบ ทั้งในส่วนของการนำพลังงานธรรมชาติมา ช่วยในการประหยัดพลังงาน หรือการนำวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ในงานออกแบบซึ่ง Green Architecture เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยทำให้องค์กรสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนพร้อมกับ ธรรมชาติ 9.4 การออกแบบโรงแรมแบบคาร์บอนต่ำ 9.4.1 สังคมคาร์บอนต่ำ Low Carbon Society 1) นิยามและแนวทางในการพัฒนา สังคมคาร์บอนต่ำ คือ สังคมที่ทุกคนและทุกภาคส่วนในสังคมร่วมมือกันลดการ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือลดการปล่อยคาร์บอนในกิจกรรมต่าง ๆ อย่างจริงจังและได้ผลพร้อมกับ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี รักษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืนและมี ความสุข 1.1) แนวทางการพัฒนาสู่สังคมคาร์บอนต่ำ พลังงานทางเลือกในสังคม การประหยัดพลังงานเป็นพื้นฐานแรกของการลดการปล่อยคาร์บอน และ การส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานจากเชื้อเพลิง ชีวภาพ มาทดแทนพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นตัวการใหญ่ของการปล่อยคาร์บอนสร้างปัญหา ภาวะโลกร้อน การรักษาป่าไม้ ป่าไม้คือทรัพยากรที่สำคัญในการช่วยดูดชับคาร์บอนในชั้นบรรยากาศและ กักเก็บไว้ และยังทำหน้าที่เป็นแหล่งอนุรักษ์น้ำ แหล่งอนุรักษ์ดิน แหล่งอนุรักษ์ความหลากหลายทาง ชีวภาพ ซึ่งช่วยให้เรารับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้อย่างดีในอนาคต พื้นที่สีเขียว การเพิ่มพื้นที่สีเขียวมีส่วนทำให้ต้นไม้ที่ดูดชับคาร์บอนเพิ่มขึ้น ช่วยลด อุณหภูมิโดยเฉลี่ยของพื้นที่โดยรอบจากการคายน้ำของต้นไม้ สร้างร่มเงาบังแดดให้แก่อาคาร ช่วยให้ การใช้พลังงานของระบบปรับอากาศในอาคารลดลง ยังไม่นับคุณค่าทางจิตใจที่มนุษย์ต้องการสัมผัส ธรรมชาติเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจและพื้นที่สร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนเมือง Reduce Reuse Recycle การสร้างสังคมคาร์บอนต่ำอาศัยหลักการดูแลสิ่งแวดล้อม 3 ประการที่ เข้าใจง่ายและเรียงตามความสำคัญ คือ Reduce ลดการผลิตและการใช้สิ่งของ ลดการใช้พลังงานที่มากเกินความ จำเป็น Reuse นำสิ่งของต่าง ๆ กลับมาใช้ใหม่ ใช้ซ้ำให้มากที่สุดแทนการใช้ครั้ง เดียวแล้วทิ้ง Recycle นำวัสดุสิ่งของที่อาจใช้ซ้ำไม่ได้แล้วกลับมาแปรรูปให้กลับมาใช้ได้ ใหม่
221 1.2) ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม Eco – Friendly หรือความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นอีกแนวคิดสำคัญของการสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ โดยการใส่ใจต่อสินค้า หรือบริการตลอดทั้งวงจรชีวิต ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การขนส่ง การผลิตหรือแปรรูป บรรจุภัณฑ์ การจัดจำหน่าย การตลาด การใช้งาน การกำจัดเมื่อหมดอายุ โดยขั้นตอนและกระบวนการทั้งหมดนี้ ต้องปล่อยคาร์บอนและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ขยะเป็นส่วนหนึ่งในการปล่อยคาร์บอน สังคมทุกวันนี้เร่งการผลิตเพื่อให้ตัวเลขทางเศรษฐกิจขยับก้าวหน้า ทุกคน ต้องการรายได้และกำไรที่มากขึ้นเรื่อย ๆ สินค้าและบริการมากมายถูกผลิตและโฆษณาสร้างความ ต้องการที่เกินความจำเป็นพื้นฐานของชีวิต สุดท้ายคือขยะมหาศาลรวมถึงขยะเศษอาหารที่จัดการไม่ ถูกต้องที่กำลังล้นโลกและขยะเหล่านี้ทำให้เกิดก๊าซมีเทนปล่อยสู่บรรยากาศ ซึ่งก๊าซมีเทนมีค่า ศักยภาพในการทำให้เกิดภาวะโลกร้อนมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ถึง 28 เท่า การจัดการขยะจึง เป็นสิ่งที่ทำง่ายและใกล้ตัว ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างกว้างขวางขึ้นได้ ภาพที่ 9.9 แนวทางสังคมคาร์บอนต่ำ ที่มา: https://petromat.org/home/low-carbon-society/, 2567 2) ตัวอย่างเมืองคาร์บอนต่ำในต่างประเทศ 2.1) เมืองมาสดาร์ (Masdar City) รัฐอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ใช้พลังงานหมุนเวียนและพลังงานแสงอาทิตย์ โดยไม่ต้องพึ่งเชื้อเพลิง ฟอสซิลทุกผลิตภัณฑ์และผลผลิตที่ได้จากธุรกิจในเมืองนี้จะต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทุกอาคารใน เมืองถูกออกแบบให้มีระยะห่างที่เหมาะสมในการช่วยบังแดดให้กับถนนและทำให้เกิดกระแสลมหมุน ในเมือง ส่วนการเดินทางในเมืองแห่งนี้ระบบขนส่งมวลชนถูกขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาดทั้งหมด รถยนต์ส่วนตัวก็วางแผนให้เป็นรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าและพลังงานทางเลือก นอกจากนั้นในเขตเมือง ชั้นในยังห้ามการนำรถส่วนตัวมาใช้ โดยให้จอดรถไว้บริเวณรอบ ๆ เมือง
222 ภาพที่ 9.10 โครงการเมืองสีเขียว เมืองมาสดาร์ (Masdar City) รัฐอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่มา : บทความเรื่อง มาสดาร์ ซิตี้ เมืองสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม https://mbamagazine.net/index.php/intelligent/env-4-0/, 2567 2.2) Room2 Chiswick Hometel ย่านเวสต์ลอนดอน ประเทศอังกฤษ เปิดให้บริการไปเมื่อเดือนธันวาคม 2564 เป็นโรงแรมแห่งแรกในโลกที่มี การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ การก่อสร้าง ไปจนถึงการ ดำเนินการเมื่อเปิดให้บริการและยังใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าโรงแรมในประเทศอังกฤษ ถึง 89% เป้าหมายได้มาจากการออกแบบให้เป็นอาคารอัจฉริยะ มีห้องแล็บ 2 ห้องในโรงแรมที่มี ระบบเก็บข้อมูลการใช้พลังงานไฟฟ้า การใช้น้ำ คุณภาพของอากาศและพฤติกรรมของแขกที่เข้าพัก ทั้งยังเปิดโรงแรมให้เป็นเหมือนห้องทดสอบการใช้นวัตกรรมใหม่ ๆ ด้านพลังงานของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ พลังงานไฟฟ้าทั้ง 100% ที่ใช้ภายในโรงแรมมาจากพลังงานหมุนเวียน ส่วนระบบให้ความร้อน การ ทำความเย็นและระบบทำน้ำร้อนมาจาก Heat Pump เครื่องทำน้ำร้อนประหยัดพลังงานที่มี ประสิทธิภาพสูงสุดที่สามารถผลิตน้ำร้อนได้ตั้งแต่อุณหภูมิ 40–70 องศาเซลเซียส ร่วมกับการใช้ พลังงานแสงอาทิตย์ มีการติดตั้ง Blue Roof ที่กักเก็บนน้ำฝนได้ 50,000 ลิตรเพื่อช่วยลดน้ำท่วมขัง ในท้องถิ่นได้ส่วนหนึ่ง และติดตั้ง Green Roof ที่ปลูกพืชพรรณต่าง ๆ บนหลังคาได้ เพื่อช่วยเพิ่ม ความหลากหลายทางชีวภาพให้แก่ท้องถิ่น มีถังขยะรีไซเคิลภายในห้องพัก แต่ละห้องเพื่อช่วยคัดแยก
223 ขยะอาหาร ขยะที่นำไปรีไซเคิลได้และขยะอื่น ๆ ได้ตั้งแต่ต้นตอ ใช้ระบบกรองน้ำที่ติดตั้งเทคโนโลยี ใช้พลังงานต่ำที่สามารถลดอุณหภูมิในการทำน้ำร้อนร้อนลงได้ ใช้แบตเตอรี่ลิเทียมอิออนแบบรีไซเคิล เพื่อช่วยป้อนและกักเก็บพลังงานไฟฟ้าภายในอาคาร room2 Chiswick Hometel ยังเลือก พาร์ตเนอร์และซัพพลายเออร์ที่มีนโยบายด้านความยั่งยืน และสั่งทำเฟอร์นิเจอร์ใหม่ทั้งหมดจากไม้ที่ ได้ใบรับรองจาก Forest Stewardship Council หรือ FSC องค์กรพิทักษ์ป่าไม้ที่เข้ามาดูแลจัดการ ส่งเสริมการจัดการป่าไม้อย่างถูกต้องทั่วโลกและปลูกต้นไม้ 4,478 ต้น เพื่อชดเชยคาร์บอนอีกด้วย (การไฟฟ้าแห่งประเทศไทย, 2565) ภาพที่ 9.11 Net Zero โรงแรม Room2 Chiswick Hometel ที่มา: https://room2.com/chiswick/sustainability/, 2567 ภาพที่ 9.12 Carbon Rebalanced โรงแรม Room2 Chiswick Hometel ที่มา: https://room2.com/chiswick/sustainability/, 2567
224 สำหรับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เราได้ชดเชยรอยเท้าของเรากับพันธมิตร ด้านการปลูกป่าตามธรรมชาติในประเทศนิการากัว room2 Chiswick เป็นโฮมเทลแห่งแรกในโลกที่ ชดเชยคาร์บอนทั้งในระดับการปฏิบัติงานและคาร์บอนให้เป็นศูนย์ โดยคำนึงถึงภาพรวมทั้งหมดของ การมีอยู่และการดูแลชุมชนทั่วโลกร่วมกับชุมชนท้องถิ่น ภาพที่ 9.13 Jungle Roof & Bug Hotel โรงแรม Room2 Chiswick Hometel ที่มา: https://room2.com/chiswick/sustainability/, 2567 ภาพที่ 9.14 Blue Roof โรงแรม Room2 Chiswick Hometel ที่มา: https://room2.com/chiswick/sustainability/, 2567 ใต้หลังคา 'สีเขียว' มีหลังคา 'สีน้ำเงิน' โดยจะจับและกักเก็บน้ำฝนได้มากถึง 50,000 ลิตร โดยค่อย ๆ ปล่อยออกสู่ระบบระบายน้ำเพื่อลดโอกาสที่จะเกิดน้ำท่วมในท้องถิ่น
225 ภาพที่ 9.15 ถังขยะรีไซเคิลแบบ 3-in-1 ที่มา: https://room2.com/chiswick/sustainability/, 2567 ภาพที่ 9.16 การเลี้ยงผึ้ง ที่มา: https://room2.com/chiswick/sustainability/, 2567 มีการเลี้ยงผึ้ง 75,000 ตัว และให้อาศัยอยู่บนหลังคา เพื่อส่งเสริมความหลากหลายทาง ชีวภาพในพื้นที่ และอยู่ในกระบวนการผลิตน้ำผึ้งท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โรงแรมได้รับคะแนนระดับ Gold จาก Green Tourism การท่องเที่ยวสีเขียวเป็นการรับรอง ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลและเป็นตัวบ่งชี้ถึงแนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กระบวนการนี้กำหนดเป้าหมายหลักการ 15 ข้อเกี่ยวกับผู้คน โลก และสถานที่ เพื่อให้แน่ใจว่าได้รวม ทุกส่วนของธุรกิจ และส่งผลให้โรงแรมได้รับการยอมรับ และเป็นโรงแรมที่แรกที่มีการจัดการคาร์บอน ต่ำของโลก
226 3) ตัวอย่างแหล่งคาร์บอนต่ำในประเทศไทย 3.1) เทศบาลตำบลเมืองแกลง อำเภอแกลง จังหวัดระยอง (แกลงโมเดล) ส่งเสริมการปลูกไม้ยืนต้นในทุกพื้นที่ว่างของเมือง ลดขยะจากแหล่งกำเนิด และส่งเสริมการจัดการขยะตามแนวคิด “ของเสียไม่เสียของ” ด้านพลังงานมีการปรับปรุงระบบไฟฟ้า เป็นแบบประหยัดพลังงาน ปรับระบบรถเทศบาลบางคันมาใช้ไบโอดีเซล จัดทำโครงการบริการขนส่ง มวลชนภายในเมืองด้วยการใช้รถก๊าซแอลพีจีส่งเด็กนักเรียนและประชาชนในช่วงเช้าและเย็นเพื่อลด การใช้รถส่วนตัว ภาพที่ 9.17 เทศบาลคาร์บอนต่ำ “แกลงโมเดล” ที่มา: บทความ Low Carbon Tourism “แกลงโมเดล” Low Carbon Tourism ท่องเที่ยวรูปแบบ ใหม่ ชวนคุณมาฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมด้วยกัน https://worldbusiness-th.com/14144/, 2567 3.2) Sovena Kiri เกาะกูด จังหวัดตราด โซเนวา คีรี เกาะกูด เป็นรีสอร์ตสุดหรูระดับ 6 ดาว ตั้งอยู่บนพื้นที่ 150 ไร่ รายล้อมด้วยธรรมชาติและให้ความเป็นส่วนตัวสูง ซึ่งมี นายโสนุ ชิฟดาซานี (Sonu Shivdasani) นัก ธุรกิจชาวอินเดียที่เกิดและเติบโตที่อังกฤษ เป็นเจ้าของ ภายใต้แนวคิด “ เป็นมิตรและรักษา สิ่งแวดล้อม ตามคอนเซ็นต์ของโรงแรมในเครือโซเนวา แบรนด์โรงแรมระดับโลก ซึ่งมีรีสอร์ตให้บริการ ที่มัลดีฟส์ 3 แห่ง และประเทศไทย 1 แห่ง ที่เกาะกูด โซเนวา คีรี เกาะกูด ขึ้นชื่อเรื่องของความหรูหรา เงียบสงบและความเป็น ส่วนตัวกลมกลืนกับธรรมชาติ ใช้วัสดุจากไม้ทั้งหมด ซึ่งห้องพักจะเป็นแบบพูลวิลล่า มีตั้งแต่ 1 ห้องนอนไปจนถึง 6 ห้องนอน เดิมมี 34 หลัง ตอนนี้เหลือ 33 หลัง ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 40,000 - 500,000 บาทต่อคืน จากห้องวิลล่าทั้งหมดที่มีอยู่ร่วม 11 รูมไทร์ ปรัชญา “สร้างแรงบันดาลตลอดชีวิตจากประสบการณ์ที่หายาก”
227 “ความหรูหรา” เป็นสิ่งหายาก สังคมปัจจุบันก็หมายถึงความสงบสุข เวลา และสถานที่ ที่โซเนวา คุณจะได้ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครซึ่งจะสอดคล้องกับการตีความความ หรูหราของเรา ความหรูหราที่แท้จริงคือการสัมผัสทรายระหว่างนิ้วเท้าของคุณหรือเพลิดเพลินกับ อาหารค่ำภายใต้ท้องฟ้าที่มีดาวนับพันล้านดวง เป็นการเชื่อมต่อตัวเองกับธรรมชาติ ดังนั้น ประสบการณ์ที่เราสร้างขึ้นสำหรับแขกของเราจึงห่างไกลจากสภาพแวดล้อมในเมืองมากที่สุดเท่าที่จะ เป็นไปได้ เราตั้งใจที่จะมอบประสบการณ์ที่หรูหราอย่างแท้จริงและหาได้ยากที่จะประทับอยู่ในใจของ ผู้เข้าพัก ความยั่งยืน ความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญของค่านิยมของโซเนวาเสมอมา ตั้งแต่การจัดหา วัสดุที่ยั่งยืนและแนวปฏิบัติที่ริเริ่ม “ขยะสู่ความมั่งคั่ง” ไปจนถึงการทำงานร่วมกับชุมชนท้องถิ่นของ เรา เรามีความภูมิใจในความเป็นกลางทางคาร์บอน ภาพที่ 9.18 การจัดการขยะของโรงแรม ที่มา: https://soneva.com/th/about-soneva/, 2567 ภาพที่ 9.19 สวนผักออร์แกนิก ที่มา: https://soneva.com/th/about-soneva/, 2567 รีสอร์ทแต่ละแห่งของโซเนวามีสวนเกษตรอินทรีย์ของตนเองด้วยการปลูกผัก ผลไม้ และสมุนไพรของเราเอง ไม่เพียงแต่มีวัตถุดิบที่สดใหม่และอร่อยสำหรับร้านอาหารของเราเท่านั้น แต่ ยังลดการพึ่งพาการนำเข้าผลิตผลในระยะทางไกลอีกด้วย
228 4) แนวทางการจัดการที่พักคาร์บอนต่ำ โดยมาตรฐานโรงแรมสีเขียวหรือมาตรฐานอื่น ๆ จะเป็นแนวทางที่สําคัญของธุรกิจที่ พักในการดําเนินงานธุรกิจที่พักคาร์บอนต่ำ และแต่ละมาตรฐานจะมีเกณฑ์หรือแนวทางที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามสามารถสรุปแนวทางการดําเนินการธุรกิจที่พักคาร์บอนต่ำ ได้ดังนี้ 4.1) การคิดใหม่ (Rethink) การคิดใหม่เป็นสิ่งที่ธุรกิจที่พักต้องให้ ความสําคัญในการเปลี่ยนมุมมองความคิดของบุคลากรภายในหรือพนักงานทุกคนเป็นอันดับแรก โดย ต้องเริ่มต้นที่ผู้บริหารที่ให้ความสําคัญอย่างแท้จริงและกําหนดเป็นนโยบายที่สําคัญของธุรกิจ ซึ่งต้อง อาศัยกระบวนการมีส่วนร่วมของบุคลากรภายในในการดําเนินการเกี่ยวกับการจัดการที่พักคาร์บอน ต่ำ รวมไปถึงการจัดการฝึกอบรมและพัฒนาด้านการจัดการคาร์บอนต่ำ ผลประโยชน์ที่ได้รับและแนว ทางการบริหารจัดการหรือกล่าวได้ว่าก่อนที่จะดําเนินการใด ๆ เกี่ยวกับการจัดการที่พักคาร์บอนต่ำ ผู้บริหารต้องหาวิธีในการเปลี่ยนกระบวนความคิด (Mindset) ของบุคลากรภายในให้ตระหนักถึง ความสําคัญของการดําเนินการแบบคาร์บอนต่ำ โดยมีแนวทางดังนี้ ผู้บริหารระดับสูงประกาศนโยบายด้านการจัดการคาร์บอนต่ำและลงมือ ทําเป็นต้นแบบ จัดตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการที่พักคาร์บอนต่ำเพื่อขับเคลื่อนและ ส่งเสริมการคิดใหม่ทางด้านการจัดการคาร์บอนต่ำ และสร้างความร่วมมือของบุคลากรทุกคนในการ แยกขยะ ลดการใช้พลังงาน และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการจัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่อํานวย ความสะดวกกิจกรรมการจัดการที่พักคาร์บอนต่ำ อาทิ ถังแยกขยะ ถุงขยะ พื้นที่แยกขยะ เป็นต้น เปิดโอกาสให้บุคลากรทุกระดับมีส่วนร่วมในการนําเสนอโครงการที่ เกี่ยวข้องกับโรงแรมสีเขียว หรือการจัดการคาร์บอนต่ำ โดยอาจจะมีการประกวดและให้รางวัล โครงการที่น่าสนใจและมีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติที่สามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ หากมีนโยบายเกี่ยวข้องกับการแยกขยะและสามารถนําขยะรีไซเคิลไป จําหน่ายได้หรือการลดค่าใช้จ่ายในด้านต่าง ๆ ควรมีการนําเงินรายได้ใส่ส่วนนี้มาเป็นสวัสดิการหรือ เงินกองทุนสําหรับการจัดการคาร์บอนต่ำ อาทิ เงินกู้ปลอดดอกเบี้ย เงินจัดหาอุปกรณ์ เสื้อผ้าหรือ เครื่องมือ การขับเคลื่อนกิจกรรม เพื่อสังคมกับชุมชนรายรอบ เป็นต้น กิจกรรมภายใต้โครงการนี้ต้องเน้นการนําไปใช้จริง ยกตัวอย่างเช่น การ รณรงค์ให้นักท่องเที่ยวแขวนผ้าเช็ดตัวที่ไม่ต้องการซักเพื่อลดการใช้น้ำและพลังงาน พนักงานที่ เกี่ยวข้องต้องไม่เปลี่ยนผ้าเช็ดตัวให้ตามที่นักท่องเที่ยวต้องการ หรือพนักงานกําจัดขยะต้องไม่นําขยะ ที่แยกแล้วไปรวมกัน เป็นต้น 4.2) การสร้างจิตสํานึก (Remind) หลังจากสร้างการคิดใหม่ซึ่งเกี่ยวข้องกับ บุคลากรภายใน สิ่งที่ต้องดําเนินการต่อไปคือ การสร้างจิตสํานึก (Remind) กับนักท่องเที่ยวที่มาใช้ บริการ เนื่องจากในด้านการบริหารธุรกิจ นักท่องเที่ยว คือจุดเริ่มต้นของกระบวนการทางธุรกิจ ทั้งหมด นั่นคือธุรกิจท่องเที่ยว โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมที่พักจะดําเนินการจัดหาสิ่งอํานวยความสะดวก เพื่อให้บริการกับนักท่องเที่ยวตามที่นักท่องเที่ยวต้องการ ดังนั้น ธุรกิจที่พักควรมีการสื่อสารกับ นักท่องเที่ยวเกี่ยวกับการดําเนินการแบบคาร์บอนต่ำ และขอความร่วมมือจากนักท่องเที่ยว โดยมี แนวทางดังนี้
229 การนําเสนอจุดยืนด้านสิ่งแวดล้อมของธุรกิจในบริเวณพื้นที่ให้บริการส่วน หน้า โดยแสดงถึงนโยบาย และการดําเนินการในระยะเวลาที่ผ่านมา รวมไปถึงการบริการเครื่องดื่ม ต้อนรับ (Welcome drink) การตกแต่งสถานที่และเลือกใช้วัสดุ อุปกรณ์หรือเฟอร์นิเจอร์ที่สอดคล้อง กับแนวทางการดําเนินการแบบคาร์บอนต่ำ เนื่องจากนักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นในขณะที่ใช้บริการ เช็คอินเข้าพักและมีการรับรู้ในเบื้องต้น การขอความร่วมมือนักท่องเที่ยวในการร่วมรักษ์สิ่งแวดล้อม ทั้งในด้าน การแยกขยะ การซัก ผ้าเช็ดตัว การเปลี่ยนผ้าเช็ดตัว การลดการใช้พลังงาน ปิดไฟในส่วนที่ไม่จําเป็น การตั้งค่าอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศ การอาบน้ำในอ่างอาบน้ำ โดยนําเสนอทั้งข้อความเชิญชวน และค่าสถิติให้นักท่องเที่ยวได้รับรู้ เช่น การอาบน้ำด้วยอ่างอาบน้ำ 1 ครั้ง ใช้น้ำกี่ลิตร พลังงาน เท่าไหร่ หรือการซักผ้า 1 ครั้งใช้น้ำเท่าไหร่ เป็นต้น การจัดกิจกรรมแบบคาร์บอนต่ำให้นักท่องเที่ยวมีส่วนร่วม นอกเหนือจาก การนําเสนอจุดยืนด้าน สิงแวดล้อมของธุรกิจแล้ว สิ่งที่สําคัญต่อไปคือ การจัดกิจกรรมที่ดึง นักท่องเที่ยวให้เข้ามามีส่วนร่วมในการดําเนินการ เช่น เย็บถุงผ้า การทําลูกบอล EM การทําปุ๋ยหมัก การปลูกป่า การเดินเก็บขยะริมชายหาด เป็นต้น ที่นอกเหนือจากการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แล้วยังสามารถสร้างภาพลักษณ์ของธุรกิจที่พักด้านการเป็นโรงแรมสีเขียวด้วย 4.3) การลด (Reduce) ธุรกิจที่พักแบบคาร์บอนต่ำสามารถลดการปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่ชั้นบรรยากาศด้วยการลดการบริโภคในด้านต่าง ๆ ดังนี้ ลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงในยานพาหนะด้วยการวางแผนการเดินทาง การควบคุมความเร็วในการขับขี่ยานพาหนะ ตรวจสอบสภาพยานพาหนะอย่างสม่ำเสมอ รวมไปถึง การเตรียมจักรยานให้นักท่องเที่ยวใช้ภายในโรงแรมที่พัก ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าในธุรกิจ โดยใช้ระบบเซ็นเซอร์เปิดปิดไฟใน ช่วงเวลากลางคืน การเปิดไฟ เฉพาะในพื้นที่ใช้งานเท่านั้น รวมถึงการตรวจสอบสภาพเครื่องใช้ไฟฟ้า สายไฟ เต้าเสียบให้อยู่ในสภาพใช้งาน ลดการใช้พลังงานทางอ้อมด้วยการลดปริมาณขยะ หรือลดพลังงานไฟฟ้า ในการทําความสะอาด เสื้อผ้าด้วยการเลือกใช้เสื้อผ้า หรือผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผ้า อาทิ ผ้าเช็ดตัว เสื้อ คลุม ผ้าเช็ดโต๊ะ ผ้าปูโต๊ะ ผ้าปู เตียง ปลอกผ้าห่ม เป็นต้น ที่มีสีขาวอมน้ำตาล ซึ่งเป็นสีที่ธรรมชาติ เนื่องจากไม่ใช้สารเคมีในการฟอกสีและที่สําคัญยังสามารถลดการใช้พลังงานในการทําความสะอาดผ้า ได้ดีกว่าผ้าสีขาว ลดการปล่อยน้ำเสียลงสู่พื้นที่สาธารณะ แม้ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับพลังงาน และปริมาณคาร์บอนโดยตรงแต่การลดการปล่อยน้ำเสียที่ไม่ได้ผ่านการบําบัดลงพื้นที่สาธารณะเป็น ส่วนหนึ่งที่ทําให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และอาจจะส่งผลต่อปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ใน พื้นที่ที่รองรับน้ำเสียจากธุรกิจที่พัก 4.4) การนํามาใช้ซ้ำ (Reuse) การนํามาใช้ใหม่เป็นส่วนหนึ่งของการลดการ ใช้พลังงานด้วยการนําสิ่งของ วัสดุหรืออุปกรณ์สํานักงานมาใช้ใหม่ โดยมีประโยชน์อย่างมากทั้งในแง่ ของการประหยัดต้นทุนในการดําเนินงาน และยังสามารถลดปริมาณขยะได้ โดยสามารถดําเนินการได้ ดังนี้ ใช้กระดาษ 2 หน้า ซึ่งจากข้อมูลของสํานักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร (2553) พบว่าหากสามารถลดการใช้กระดาษได้ 1 รีมสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซ
230 คาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1.12 กิโลกรัม การนําขวดน้ำพลาสติกมาตกแต่งเป็นกระถางต้นไม้สําหรับการจัดวาง สวนแนวตั้ง สามารถปลูกได้ทั้ง ไม้ดอก หรือผัก การนํากระป๋องน้ำอัดลมมาใช้แทนแก้วน้ำ โดยตัดฝาด้านบนออก หรือ นํามาตกแต่งเป็นกระถางต้นไม้เล็ก ๆ การนําน้ำมันพืชใช้แล้วมาใช้แทนน้ำมันจุดตะเกียง การบําบัดน้ำเสียเพื่อนําน้ำทิ้งที่ไม่มีสารเคมีและเชื้อโรค เช่น น้ำล้างมือ และน้ำที่มาจากการชําระร่างกายมาบําบัดก่อนที่จะนํากลับมาใช้ใหม่ในการรดน้ำต้นไม้ ด้านการนํามาใช้ซ้ำนั้น สิ่งที่สําคัญของกระบวนการนี้ คือ การแยกขยะ ระหว่างขยะเปียก ขยะรีไซเคิล และขยะที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ เพื่อวางแผนการบริหารจัดการที่ แตกต่างกัน อาทิ ขยะเปียกนําไปหมักทําปุ๋ยหมัก หรือน้ำ EM ขยะรีไซเคิลสามารถนําไปขายต่อ หรือ นําไปใช้ใหม่ในรูปแบบที่แตกต่างกัน และขยะที่ไม่สามารถย่อยสลายได้จะดําเนินการกําจัดตามระบบ สุขาภิบาลท้องถิ่นต่อไป 4.5) การเปลี่ยน (Replace) การเปลี่ยนวัสดุอุปกรณ์ หรือเครื่องมือเครื่องใช้ ในธุรกิจ หรือในพื้นที่ให้บริการลูกค้าเป็นอีกแนวทางหนึ่งของการจัดการที่พักคาร์บอนต่ำ โดยเน้นลด ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการใช้อุปกรณ์เดิมไม่ว่าจะเป็นค่าไฟฟ้า หรือพลังงานที่สูง ผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อม หรือ วัสดุที่ใช้ในการดําเนินงาน ใช้วัสดุอุปกรณ์ที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีวัตถุดิบจากธรรมชาติ ให้มากที่สุด เพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศได้ โดยมีแนวทาง ดังนี้ เปลี่ยนใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เปลี่ยนใช้น้ำดื่มบรรจุขวดแก้ว หรือการใส่น้ำดื่มใส่เหยือกให้กับ นักท่องเที่ยว เปลี่ยนใช้ภาชนะบรรจุสบู่เหลว แชมพูสระผม ครีมนวดผมแบบเติม เปลี่ยนหลอดไฟฟ้า LED เพื่อลดการใช้พลังงานและค่าใช้จ่าย โดยยังคง ความสว่างเท่าเดิมหรือมากกว่า การเปลี่ยนวัสดุหลังคากันความร้อน ซึ่งสามารถเปลี่ยนใช้หลังคามุงจาก หรือการเปลี่ยนสีหลังคา ให้สามารถดูดซับความร้อนไว้บนหลังคามากกว่าถ่ายเทลงไปในตัวอาคาร การเปลี่ยนวัสดุที่ใช้ในการตกแต่งหรือประดับโรงแรมที่พักมาใช้วัสดุจาก ธรรมชาติมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ไม้แทนพลาสติก แต่ยังคงความสวยงามและเอกลักษณ์ที่ โดดเด่นของธุรกิจ ยกตัวอย่างเช่น การใช้ไม้ไผ่เป็นวัสดุหลักของธุรกิจที่พัก 4.6) การออกแบบใหม่ (Redesign) การออกแบบใหม่เป็นแนวทางการ บริหารจัดการหนึ่งที่เน้นการพัฒนาต่อเติมตามแบบที่พัฒนาขึ้นใหม่ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อการ ออกแบบอาคารหรือพื้นที่ที่สามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ โดย มีแนวทางดังนี้ การใช้พลังจากธรรมชาติด้วยการออกแบบพื้นที่บริการลูกค้า หรือห้องพัก ใหม่ให้เปิดโล่งรับลมและแสงจากภายนอก ทําให้สามารถลดค่าไฟฟ้าได้ รวมไปถึงการสร้างความ ประทับใจให้นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสกับธรรมชาติ การออกแบบระบบบําบัดน้ำเสียใหม่ที่สามารถนําน้ำทิ้งกลับมาใช้ในการ รดน้ำต้นไม้
231 การออกแบบหลังคาทั้งในด้านการใช้วัสดุ หรือสีที่ช่วยเก็บความร้อนไม่ให้ เข้าสู่ภายในตัวอาคาร การออกแบบระบบภูมิสถาปัตย์ และการจัดการสวนให้มีความร่มรื่น และ ลดความร้อนจากแสงแดด 9.5 การออกแบบที่พักเชิงนิเวศ 9.5.1 การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (มนษิรดา ทองเกิด, 2564) ได้กล่าวถึง การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ไว้ว่าเป็นการท่องเที่ยวที่ถือว่า เป็นที่นิยมและได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวอย่างมากในปัจจุบัน โดยเกิดมาจากกระแสการ อนุรักษ์การท่องเที่ยวเชิงนิเวศเป็นการเดินทางไปยังพื้นที่ที่เป็นแหล่งทรัพยากรทางธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมเพื่อชื่นชมธรรมชาติในพื้นที่นั้น ๆ ให้ความสำคัญกับเรื่องการมีส่วนร่วมกับท้องถิ่นและมี จิตสำนึกที่ดีในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (องค์การการท่องเที่ยวโลก, ม.ป.ป.) ได้นิยามการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ไว้ว่า เป็นการท่องเที่ยว ทางธรรมชาติในทุกรูปแบบ โดยมีแรงจูงใจหลักคือการให้นักท่องเที่ยวได้สังเกตและชื่นชมธรรมชาติ ตลอดจนวัฒนธรรมดั้งเดิมที่แพร่หลายในพื้นที่ธรรมชาตินั้น ๆ ในขณะเดียวกันการท่องเที่ยวก็ต้อง สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้แก่ชุมชนท้องถิ่นด้วย (การทองเที่ยวแหงประเทศไทย, 2542) ไดกลาววา การทองเที่ยวเชิงนิเวศ (Ecotourism) ว่า เปนรูปแบบหนึ่งของการทองเที่ยวในปจจุบันที่นานาประเทศใหความสําคัญ เพื่อการมุงไปสูการพัฒนา ที่ยั่งยืนของประเทศและนานาชาติตามหลักปฏิญญาสากลวาดวยการพัฒนาสิ่งแวดลอมที่ยั่งยืน (Environmentally Sustainable Development) โดยใหความสําคัญแกการใหการศึกษา การเรียน รูหรือมุงเนนใหเกิดการอนุรักษมากกวาการจัดการลดหรือปราศจากผลกระทบและนักทองเที่ยวพึง พอใจเทานั้น แตงการทองเที่ยวเชิงนิเวศจะตองเปนการทองเที่ยวที่มีความรับผิดชอบในแหล่ง ท่องเที่ยวธรรมชาติที่มีการจัดการรักษาสิ่งแวดลอม และใหการศึกษาแกนักทองเที่ยว จะเห็นได้ว่า การให้ความหมายของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ซึ่งได้ให้ความหมายที่มีความ สอดคล้องกันว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นธรรมชาติ มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นที่มีความเกี่ยวข้องกับระบบ นิเวศ การเรียนรู้ร่วมกันภายใต้การจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างมีส่วนร่วมของท้องถิ่น เพื่อมุ่งเน้นให้เกิด จิตสำนึกต่อการรักษาระบบนิเวศอย่างยั่งยืน ในขณะเดียวกันต้องสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้แก่ ชุมชนท้องถิ่น และสังคม 9.5.2 ลักษณะที่พักในแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การออกแบบที่พักในแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีส่วนในการ รับผิดชอบต่อระบบนิเวศ สภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ต้องไม่ส่งผลกระทบต่อธรรมชาติ ในขณะเดียวกันควรเอื้อประโยชน์ต่อชุมชนท้องถิ่นทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งที่พักในแหล่งท่องเที่ยว เชิงนิเวศนี้ ถือเป็นการวางแผนพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ภายในแหล่งท่องเที่ยว นอกจาก จะต้องให้ความสำคัญกับผลกระทบต่อสภาพดั้งเดิมและเอกลักษณ์ของพื้นที่แล้ว ยังต้องคำนึงถึงความ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของพื้นที่นั้น ๆ อีกด้วย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (อ้างในปิรันธ์ ชิณโชติbและธีระวัฒน์ จันทึก, 2559) ได้ เล็งเห็นความสำคัญที่จะมีส่วนช่วยส่งเสริมคุณภาพของแหล่งท่องเที่ยว จึงได้มีโครงการจัดทำคู่มือการ พัฒนาและออกแบบสิ่งอำนวยความสะดวกในแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศขึ้น ซึ่งแนวคิดดังกล่าวสามารถ
232 นำมาประยุกต์ขึ้นในการออกแบบที่พักในแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศได้ ภายใต้กรอกวัตถุประสงค์ของ การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีกลุ่มนักวิชาการและผู้ประกอบวิชาชีพด้านการวางแผนและการออกแบบ ตลอดจนองค์กรและสถาบันต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น The World Congress of The International Council on Environmental Design (ICED) และองค์กรอื่น ๆ ได้ร่วมกันกำหนดหลักการที่สำคัญ ในการออกแบบเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ดังนี้ (Lutz, Sanderson et al., 2004) 1) ให้ความสำคัญกับคุณค่าสิทธิของมนุษย์และธรรมชาติอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อให้ องค์ประกอบของทั้งสองส่วนร่วมกันอย่างเกื้อกูลและสามารถคงไว้ซึ่งความหลากหลายของกันและกัน อย่างยั่งยืน 2) ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงภายในองค์ประกอบทุกส่วนของระบบ ธรรมชาติและผลกระทบจากการออกแบบต่อองค์ประกอบแต่ละส่วนทุกระดับ 3) การออกแบบก่อสร้างต้องเคารพในความเป็นอัตลักษณ์ท้องถิ่น/สิ่งที่มีคุณค่าทาง จิตใจกับวัตถุและพิจารณาองค์ประกอบทุกส่วนทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมภายในชุมชน/สังคมที่ เกี่ยวข้องกับงานออกแบบ 4) คำนึงถึงผลทั้งทางตรงและทางอ้อมของการพัฒนาอันเป็นผลมาจากการออกแบบ ต่อความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์และระบบธรรมชาติ 5) สร้างสรรค์สิ่งที่มีคุณค่าในระยะยาว ไม่สร้างปัญหาหรือผลักภาระในการ บำรุงรักษาการบริหารจัดการ ตลอดจนปัญหาด้านความปลอดภัย ให้กับคนรุ่นหลังต้องรับผิดชอบดูแล 6) สนับสนุนให้มีการใช้ทรัพยากรในการพัฒนาอย่างคุ้มค่าและไม่มีของเสีย 7) ออกแบบเพื่อให้มีการใช้พลังงานอย่างประหยัดและคุ้มค่า เช่น การออกแบบ อาคารโดยใช้วัสดุโปร่งแสงประกอบเพื่อลดการใช้แสงสว่างจากไฟฟ้า ควรมีช่องทางให้ลมพัดผ่านเพื่อ ลดการใช้เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น 8) ตระหนักเสมอว่าไม่มีสิ่งใดที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์จะคงอยู่อย่างยั่งยืนและการ ออกแบบไม่สามารถแก้ไขปัญหาในทุก ๆ เรื่องดังนั้น จึงไม่ควรที่จะออกแบบเพื่อที่จะเอาชนะ และ/ หรือควบคุมธรรมชาติหากแต่ควรปล่อยให้ธรรมชาติเป็นแม่แบบหรือผู้ชี้นำการออกแบบ ที่พักตามแนวคิดการดำเนินการเพื่อกำหนดนโยบายการท่องเที่ยวเชิงนิเวศโครงการที่การ ท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้กำหนดขึ้น เพื่อศึกษาแนวการปฏิบัติรูปแบบการท่องเที่ยวและมาตรการ จัดการในรูปแบบการท่องเที่ยวเพื่อรักษาระบบนิเวศในแหล่งท่องเที่ยวเพื่อใช้เป็นแม่แบบให้แก่แหล่ง ท่องเที่ยวอื่น ๆ ดำเนินการศึกษาโดยสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนยีแห่งประเทศไทยจากผล การศึกษาได้มีแนวความคิดเกี่ยวกับการบริการสถานที่พักเชิงนิเวศ (Eco Lodge) โดยพิจารณาจาก (Kerr Forster Associates, 1993) 1) ลักษณะรูปแบบของสถานที่พัก มีการก่อสร้างโดยคํานึงถึงความเป็นท้องถิ่นและ ความ กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมมากน้อยแค่ไหน คือ 1.1) การสะท้อนสภาพดั้งเดิมของพื้นที่ (ลักษณะสถาปัตยกรรม ภูมิ สถาปัตยกรรม การตกแต่งภายใน และองค์ประกอบต่าง ๆ ของสถานบริการ) ว่ามีลักษณะดังเดิมของ พื้นที่มากหรือมี ลักษณะผสมผสานของเดิมกับของใหม่ที่กลมกลืนกันหรือมีลักษณะแบบใหม่เป็นส่วน ใหญ่
233 1.2) กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม (ด้านรูปแบบ ขนาด การจัดวาง องค์ประกอบใน พื้นที่) ว่ามีความกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพื้นที่ ผสมผสานโดยสถานบริการมี ความโดดเด่นแต่ไม่รู้สึกทําลายสภาพพื้นที่ 1.3) การเลือกทําเลที่ตั้ง ของสถานบริการอยู่ในที่เหมาะสม ไม่ทําลาย ธรรมชาติหากมีการดัดแปลงธรรมชาติก็จะต้องไม่ก่อให้เกิดผลกระทบ หรืออยู่ในทําเลที่มีผลกระทบ ต่อสภาพ ธรรมชาติน้อยที่สุด 2) มีการจัดการด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้พลังงาน มีมาตรการประหยัด พลังงาน มากน้อยแค่ไหน การใช้น้ำอย่างประหยัดมากน้อยแค่ไหน การบําบัดน้ำเสีย เหมาะสมตาม หลักวิชาการและนํากลับมาใช้ในพื้นที่หรือจัดการโดยวิธีหนึ่งวิธีใด อย่างไรก็ตามไรการจัดการขยะมูล ฝอยก็ควรต้องมีวิธีการที่ชัดเจน 3) กิจกรรมและการบริการ 3.1) มีกิจกรรมให้การศึกษาสิ่งแวดล้อมประกอบสําหรับผู้ที่มาพักหรือไม่ 3.2) มีการสื่อสารความหมายสิ่งแวดล้อมต่อผู้ที่มาพักในสถานที่และบริเวณ ต่าง ๆ ภายในสถานที่พักหรือไม่ มากน้อยแค่ไหนแค่ไหน 3.3) การบริการมีความสะอาดเป็นที่พอใจถูกสุขลักษณะ 3.4) การลงทุน การลงทุนสร้างที่พัก ควรพิจารณาร่วมทุนกับท้องถิ่นและ ผลตอบแทนที่เอื้อต่อท้องถิ่นมากน้อยอย่างไร มีการใช้แรงงานท้องถิ่นระดับไหน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีแนวคิดเรื่องการบริหารจัดการในแหล่งท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่อาจใช้เป็น แนวทางนําข้อพิจารณามาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสภาพแหล่งท่องเที่ยวชนิดต่าง ๆ ดังนี้ (Ortiz, Castells et al. 2009) 1) เป็นที่พักที่มีขนาดและองค์ประกอบขนาดเล็ก สะอาด ปลอดภัย ร่มรื่น 2) การออกแบบก่อสร้าง ควรใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นประกอบก่อน และมีรูปแบบ สถาปัตยกรรมกลมกลืนกับสถาปัตยกรรมท้องถิ่น 3) ควรนําเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาปรับใช้ เน้นการประหยัดพลังงาน 4) มีการบริหารจัดการโดยครอบครัวหรือชุมชนท้องถิ่น (Community Business) 5) มีการบริหารจัดการเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมต้องเน้นการจัดการขยะ การจัดการของ เสียและเน้นการนําวัสดุกับมาใช้ใหม่ (Recycle) โชติกา ประยุทธเต และคณะ, 2563 ได้ทำการศึกษา แนวทางการออกแบบสถาปัตยกรรม เพื่อการพัฒนาเชิงอนุรักษ์ในพื้นที่ป่าชายเลน พบว่า ในการออกแบบงานสถาปัตยกรรมขาดความรู้ ความเข้าใจและขาดการควบคุมด้านการออกแบบงานสถาปัตยกรรมเพื่อพัฒนาเชิงพื้นที่ที่สอดรับกับ พื้นที่ป่าชายเลน ส่งผลกระทบต่อธรรมชาติและเศรษฐกิจภายในชุมชน จึงได้เสนอแนะให้มีการควบคุม การออกแบบ โดยแบ่งเขตพื้นที่การใช้ประโยชน์ที่ดินเป็น 4 ส่วน ได้แก่ เขตอนุรักษ์ เขตพื้นที่พัฒนา เชิงอนุรักษ์เขตแนวกันชนและเขตการพัฒนาเชิงเศรษฐกิจ ซึ่งจะมีสิ่งก่อสร้างในเขตพื้นที่พัฒนาเชิง อนุรักษ์จนไปถึงเขตพัฒนาเชิงเศรษฐกิจ และเป็นการจัดวางผังอาคารเป็นกลุ่มอาคารขนาดเล็กแทรก อยู่ตามธรรมชาติ เพื่อไม่ให้ทำลายต้นไม้เดิม เป็นโครงสร้างแบบลอยตัวโดยยกพื้นอาคารใต้ถุนสูงจาก พื้นดินและพื้นน้ำที่ไม่ส่งผลกระทบต่อพืชพรรณและสัตว์น้ำ นำรูปหลังคารที่มีลักษณะคล้ายธรรมชาติ และสามารถถ่ายเทอากาศได้ดีมาประยุกต์ใช้เพื่อทำให้เกิดสภาวะอยู่สบาย โดยคำนึงถึงพื้นที่ภายนอก อาคารให้เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติเน้นให้คนได้มีปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติในพื้นที่เปิดโล่ง เลือกใช้