84 คุณลักษณะของโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ให้ความสำคัญกับเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ (กมล รัตนวิระกุล, 2558) 1) การออกแบบอาคารโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และประหยัดพลังงาน (Green Building) 2) การใช้พลังงานทางเลือก เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ Solar power เพื่อลดการใช้ ไฟฟ้า 3) การควบคุมคุณภาพและการบำบัดน้ำทิ้งตามกฎหมายและข้อบังคับทางราชการ 4) มาตรการความปลอดภัย การเก็บรักษา การใช้และการจัดการเชื้อเพลิง แก๊ส สารพิษ 5) มีนโยบายและมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม สร้างจิตสำนึกให้กับเจ้าหน้าที่ทุกระดับ 6) มีการจัดการของเสีย เริ่มตั้งแต่การคัดแยกขยะ 7) ใช้น้ำอย่างประหยัด เลือกใช้ก๊อกน้ำและสุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ 8) การบำบัดน้ำเสีย น้ำทิ้งจากแหล่งต่าง ๆ อย่างถูกวิธีไม่สร้างมลพิษแก่แหล่งน้ำ 9) ใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ เลือกใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงานหลอดประหยัดไฟ รณรงค์ให้ลูกค้าร่วมประหยัดพลังงาน 10) นโยบายการจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสำหรับสินค้าใช้ในสำนักงาน และบริการลูกค้า 11) คำนึงถึงที่มาของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสิ่งแวดล้อม 12) มีมาตรการควบคุมคุณภาพอากาศภายในอาคาร ไม่ปล่อยควันพิษ 4.3.3 วัตถุประสงค์ 1) ลดต้นทุนจากการใช้ทรัพยากร และพลังงานอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพตาม แนวปฏิบัติที่ดี 2) ร่วมอนุรักษ์และรักษาทรัพยากรธรรมชาติ มีการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดี 3) ยกระดับมาตรฐานการบริการให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 4) เตรียมความพร้อมสู่การประเมินมาตรฐานสิ่งแวดล้อมระดับสากล 4.3.4 ประโยชน์ของโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โรงแรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมีประโยชน์ช่วยจัดการในเรื่องสิ่งแวดล้อมได้หลายด้าน ได้แก่ 1) ด้านการอนุรักษ์พลังงาน เช่น ระบบไฟฟ้าที่จะถูกหรี่ลงในช่วงกลางคืน การติดตั้ง ฉนวนใต้หลังคาอาคารเพื่อลดความร้อน ควบคุมชั่วโมงการทำงานของเครืองปรับอากาศเพื่อประหยัด พลังงาน 2) ด้านการอนุรักษ์น้ำ เช่น ลดระดับคลอรีนให้เหลือเพียง 10% การติดตั้งก๊อกน้ำ แบบประหยัดน้ำ การตรวจสอบการรั่วไหลของน้ำอย่างสม่ำเสมอ รณรงค์ให้พลักงานหลีกเลี่ยงการ เปิดก๊อกน้ำขณะล้างอาหาร 3) ด้านการจัดการของเสีย เช่น น้ำเสียจากทุกส่วน จะเข้าสู่กระบวนการบำบัดน้ำ เสียก่อนปล่อยทิ้งลงสู่สิ่งแวดล้อม การรณรงค์ไม่ให้ทิ้งขวดแกล้ว การใช้จุลินทรีย์สำหรับระบบบำบัด น้ำเสีย
85 4) ด้านการอนุรักษ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม เช่น การติดตั้งเครื่องกรองอากาศในห้องพัก การแยกชั้นปลอดบุหรี่และสูบบุหรี่ โรงแรมถูกสร้างด้วยพื้นที่เปิดโล่งจำนวนมากเพื่อลดการใช้ เครื่องปรับอากาศ 5) ด้านการรีไซเคิล เช่น การแยกและการขายขวดกระดาษ กระดาษแข็งให้กับ บริษัทรีไซเคิล การนำดอกไม้มาใช้ซ้ำ การจำหน่ายอาหารที่หลือให้เป็นอาหารสัตว์ การใช้กระดาษมี ระบบการนำกลับมาใช้ซ้ำ 4.3.5 เกณฑ์โรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย 7 หมวด ดังนี้(คู่มือโรงแรมที่ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม, 2561) หมวดที่ 1 นโยบายด้านการบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หมายถึง หลักการ หรือวิธีปฏิบัติที่สถานประกอบการใช้เป็นแนวทางในการดําเนินงานด้านการบริการที่เป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อม เช่น การจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การจัดการสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์ พลังงาน การมีส่วนร่วมกับท้องถิ่นและชุมชน เป็นต้น โดยผู้บริหาร และพนักงานร่วมดําเนินการให้ บรรลุวัตถุประสงค์และ เป้าหมายที่กําหนดไว้ หมวดที่ 2 การพัฒนาบุคลากร หมายถึง วิธีการหรือกระบวนการ หรือกิจกรรม ต่าง ๆ ที่ดําเนินการเพื่อเพิ่มพูนให้บุคลากรในสถานประกอบการ เกิดความรู้ ความสามารถและทักษะ ในการทํางานด้านการบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น การจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การจัดการสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์พลังงาน การมีส่วนร่วมกับท้องถิ่นและชุมชน เป็นต้น เพื่อ เสริมสร้างเจตคติที่ดีในการปฏิบัติงานและให้มีการดําเนินงานบรรลุเป้าหมายที่วางไว้อย่างมี ประสิทธิภาพ หมวดที่ 3 การรณรงค์ประชาสัมพันธ์หมายถึงการสื่อสารข้อมูล และข่าวสารด้าน การบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น การจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การจัดการ สิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์พลังงาน การมีส่วนร่วมกับท้องถิ่นและชุมชน เป็นต้น ไปสู่กลุ่มเป้าหมาย (ผู้บริหาร พนักงาน และผู้ใช้บริการ) เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจอันดี ความร่วมมือ การสนับสนุนจาก กลุ่มเป้าหมายและเพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของสถานประกอบการ หมวดที่ 4 การจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หมายถึง การจัดซื้อหรือจัด จ้างผลิตภัณฑ์หรือบริการ ซึ่งคำนึงถึงความเหมาะสมด้านคุณภาพ ราคา ระยะทาง การส่งมอบสินค้า หรือบริการตามที่กำหนด และการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยพิจารณาตลอดทั้งวัฏจักรชีวิตของ ผลิตภัณฑ์การจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว หมวดที่ 5 การจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงาน หมายถึง การดําเนินงานใด ๆ ที่ สามารถใช้ทรัพยากรได้แบบยั่งยืน หรือมีการกําจัดของเสียและมลพิษให้หมดไป หรือเสื่อมสภาพไป หรือไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมโดยรอบ เช่น การลดการใช้น้ำ การอนุรักษ์พลังงาน การจัดการ พื้นที่สีเขียว การบําบัดน้ำเสีย การลดและกําจัดขยะ การป้องกันมลภาวะทางอากาศและเสียง เรื่อง เกี่ยวกับอาชีวอนามัยและความปลอดภัย หมวดที่ 6 การมีส่วนร่วมกับท้องถิ่นและชุมชน หมายถึง การมีส่วนร่วมของสถาน ประกอบการกับท้องถิ่นและชุมชนในพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ ทั้งการร่วมรับรู้ร่วมคิด ร่วม ดําเนินการในกิจกรรมด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น การอนุรักษ์และฟื้นฟู ทรัพยากรธรรมชาติ การรักษาสิ่งแวดล้อมและการสร้างคุณค่าด้านประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ศิลปวัฒนธรรม และเอกลักษณ์ของท้องถิ่น เป็นต้น
86 หมวดที่ 7 การประเมินประสิทธิภาพเพื่อการปรับปรุง (เฉพาะสำหรับสถาน ประกอบการที่ได้รับการประเมินระดับ G-Gold และต้องการต่ออายุการรับรอง) ดำเนินงานด้านการ ให้บริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อนำข้อมูลดังกล่าวไปปรับปรุงการดำเนินงาน ตารางที่ 4.1 เกณฑ์โรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย 18 ประเด็น 46 ตัวชี้วัด ดังนี้ ประเด็น ตัวชี้วัด หมวดที่ 1 นโยบายด้านการบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 1.1 การกำหนดนโยบาย 1.1.1 มีนโยบายและเป้าหมายด้านการบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 1.1.2 มีนโยบายและเป้าหมายด้านการอนุรักษ์พลังงาน 1.2 ค ณ ะ ท ำ ง า น แ ล ะ แผนการดำเนินงาน 1.2.1 มีการแต่งตั้งผู้บริหารรับผิดชอบการบริการที่เป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อม 1.2.2 มีการแต่งตั้งคณะทำงานด้านสิ่งแวดล้อม “Green Team” และมี การกำหนดความรับผิดชอบของแต่ละแผนกเพื่อรองรับการบริการที่เป็น มิตรกับสิ่งแวดล้อม 1.2.3 ความถี่การประชุมของคณะทำงานด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อกำหนด ทิศทางกิจกรรม แผนงาน และการติดตามความก้าวหน้าในการ ดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง หมวดที่ 2 การพัฒนาบุคลากร 2.1 การฝึกอบรม 2.1.1 มีการจัดอบรมให้กับพนักงาน และหรือส่งพนักงานไปอบรมเรื่อง การบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในสถานประกอบการประเภท โรงแรม 2.1.2 ร้อยละของพนักงานที่ได้รับการอบรมเมื่อเทียบกับจำนวนพนักงน ทั้งหมดภายใน 1 ปีที่ผ่านมา 2.2 การศึกษาดูงาน 2.2.1 มีการศึกษาดูงานให้กับคณะทำงานด้านสิ่งแวดล้อม “Green Team” เรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์พลังงาน 2.2.2 ร้อยละของคณะทำงานด้านสิ่งแวดล้อม “Green Team” ที่ได้รับ การศึกษาดูงานภายใน 1 ปีที่ผ่านมา หมวดที่ 3 การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ 3.1 การรณรงค์ ประชาสัมพันธ์แก่พนักงาน 3.1.1 มีการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้และสร้างความตระหนักเกี่ยวกับ การจัดการสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์พลังงานกับพนักงานในรอบปีที่ ผ่านมา 3.1.2 มีการรณรงค์เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการจัดการสิ่งแวดล้อมและ อนุรักษ์พลังงานกับพนักงานในรอบปีที่ผ่านมา 3.2 การรณรงค์ ประชาสัมพันธ์แก่ผู้ใช้บริการทั่วไป 3.2.1 มีการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้และสร้างความตระหนักเกี่ยวกับ การจัดการสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์พลังงานของโรงแรมผ่าน โปสเตอร์ แผ่นพับ การ์ดหรือสติกเกอร์ในห้องพัก กระดาษเอกสาร หรือ นิทรรศการ
87 ประเด็น ตัวชี้วัด 3.2.2 มีการจัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการจัดการ สิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์พลังงานให้แก่ผู้ใช้บริการ หมวดที่4 การจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 4.1 การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหรือ วัสดุท้องถิ่น 4.1.1 ร้อยละของสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่ใช้ใน โรงแรม 4.1.2 ร้อยละของผลิตภัณฑ์หรือวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่นหรือในจังหวัดที่ สถานประกอบการตั้งอยู่ แบ่งเป็น ข้าว อาหารสด อาหารแห้ง ผัก และ ผลไม้ที่มีการใช้ในโรงแรม 4.2 การจัดซื้อจัดจ้าง 4.2.1 มีการรายงานข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตร กับสิ่งแวดล้อมต่อผู้บริหารของโรงแรม หมวดที่ 5 การจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงาน 5.1 การจัดการน้ำ 5.1.1 มีการดำเนินกิจกรรมการลดการใช้น้ำสำหรับผู้ใช้บริการและ พนักงาน 5.1.2 มีการใช้อุปกรณ์ประหยัดน้ำ หรือการจัดการน้ำในบริเวณต่าง ๆ ที่ มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับสถานประกอบการ 5.1.3 มีการนำน้ำที่ผ่านการใช้แล้ว หรือน้ำที่ผ่านการบำบัดฟื้นฟูคุณภาพ แล้วมาใช้ประโยชน์ ที่เหมาะสมและปลอดภัยเพื่อลดการใช้น้ำ 5.1.4 มีการรายงานข้อมูลสถิติการใช้น้ำหรือค่าใช้จ่ายที่เป็นระบบ เพื่อ ประโยชน์ในกาติดตามการใช้น้ำหรือการอนุรักษ์น้ำต่อผู้บริหาร 5.2 การจัดการน้ำเสีย 5.2.1 มีการจัดการเศษอาหาร น้ำมัน และไขมันก่อนเข้าสู่ระบบน้ำเสีย อย่างมีประสิทธิภาพ 5.2.2 มีระบบบำบัดน้ำเสีย หรือวิธีการจัดการน้ำเสียที่เหมาะสม 5.3 การจัดการขยะ 5.3.1 มีการดำเนินการเพื่อลดการเกิดขยะ (reduce) สำหรับผู้ใช้บริการ พนักงาน และบริษัทคู่ค้า ซึ่งจัดหาสินค้าและบริการให้กับโรงแรม 5.3.2 มีการใช้ซ้ำ (reuse) สำหรับผู้ใช้บริการและพนักงานในโรงแรม 5.3.3 มีการคัดแยกเพื่อนำกลับไปใช้ใหม่ สำหรับผู้ใช้บริการและ พนักงาน 5.3.4 มีระบบรวบรวมและส่งขยะกำจัดอย่างเหมาะสม 5.3.5 มีการรายงานข้อมูลและสถิติด้านการจัดการขยะต่อผู้บริหาร 5.3.6 ร้อยละของปริมาณขยะที่นำกลังมาใช้ประโยชน์ 5.4 การจัดการพลังงาน 5.4.1 มีกิจกรรมการลดการใช้พลังงานในสถานประกอบการ 5.4.2 มีการใช้เทคโนโลยีหรืออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประหยัดพลังงาน ในบริเวณต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับสถานประกอบการ 5.4.3 มีการประหยัดพลังงานของผู้เข้าใช้บริการหรือพนักงานในการ เดินทาง
88 ประเด็น ตัวชี้วัด 5.4.4 มีการรายงานข้อมูลและสถิติการใช้พลังงานหรือค่าใช้จ่ายด้าน พลังงานเพื่อการติดตามใช้หรือการลดใช้พลังงานต่อผู้บริหาร 5.4.5 มีการกำหนดเป้าหมายลดการใช้พลังงานและปฏิบัติได้ตาม เป้าหมายที่ตั้งไว้ 5.5 การจัดการอากาศและ เสียง 5.5.1 มีการจัดการพื้นที่เพื่อป้องกันเสียงรบกวนสู่ภายนอก 5.5.2 มีการป้องกันกลิ่น ควัน และฝุ่นละออง 5.6 อาชีวอนามัยและความ ปลอดภัย 5.6.1 มีการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย 5.7 การจัดการพื้นที่สีเขียว และภูมิทัศน์ 5.7.1 สัดส่วนของพื้นที่ว่างหรือพื้นที่ที่ไม่มีอาคารปกคลุมต่อพื้นที่ โรงแรม 5.7.2 สัดส่วนของพื้นที่สีเขียวต่อพื้นที่โรงแรม 5.7.3 มีการปลูกไม้ท้องถิ่นและมีการใช้ประโยชน์ในการตกแต่งพื้นที่ โรงแรม หรือมีการขยายกล้าไม้เพื่อเพาะปลูกในโรงแรม หมวดที่ 6 การมีส่วนร่วมกับท้องถิ่นและชุมชน 6.1 ก า ร ม ี ส ่ ว น ร ่ว มกับ ท้องถิ่นและชุมชน 6.1.1 ร้อยละของพนักงานที่มีภูมิลำเนาในจังหวัด หรือมีการย้าย ทะเบียนบ้านเข้าภายในองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นที่โรงแรมตั้งอยู่ 6.1.2 ความถี่ในการมีส่วนร่วมและสนับสนุนกิจกรรมของท้องถิ่นและ ชุมชนด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม หรือ อนุรักษ์และฟื้นฟู ทรัพยากรธรรมชาติ 6.1.3 ความถี่ในการมีส่วนร่วมและสนับสนุนกิจกรรมของท้องถิ่นและ ชุมชนด้านประวัติศาสตร์ ประเพณีศิลปวัฒนธรรม เอกลักษณ์ของ ท้องถิ่น 6.1.4 มีการใช้และส่งเสริมผลิตภัณฑ์ที่ใช้และของที่ระลึกที่เป็นของ พื้นเมืองหรือหาได้ในท้องถิ่น แต่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์จากป่าหรือทะเล หมวดที่ 7 การประเมินประสิทธิภาพเพื่อการปรับปรุง (เฉพาะสถานประกอบการที่ได้รับการประเมินระดับ G-Gold และต้องการต่ออายุการรับรอง) 7.1 การสำรวจความพึง พอใจ 7.1.1 มีการสำรวจความพึงพอใจต่อการให้บริการที่เป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อมและนำผลการสำรวจไปปรับปรุง การดำเนินงาน (*บังคับ) 7.2 การประเมินการระบาย ก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่า 7.2.1 มีการประเมินการระบายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (*บังคับ)
89 ภาพที่ 4.16 การแบ่งระดับผลการประเมินการบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ของสถานประกอบการโรงแรม (Green Hotel) ที่มา: คู่มือโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม, 2561 การแบ่งระดับผลการประเมิน แบ่งออกเป็น 3 ระดับ ตามช่วงคะแนน ดังนี้ 1) ระดับทอง (ระดับดีเยี่ยม) ร้อยละ 80 ขึ้นไป 2) ระดับเงิน (ระดับดีมาก) ร้อยละ 70-79 3) ระดับทองแดง (ระดับดี) ร้อยละ 60-69 4.4 โครงการใบไม้สีเขียว (มูลนิธิใบไม้เขียว, 2566) ได้ให้คำนิยาม โรงแรมใบไม้เขียว ไว้ว่า คือโรงแรมที่มีระบบการ จัดการความยั่งยืน มีทีมงานที่จะส่งเสริมบทบาทและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อน ระบบดังกล่าวสู่การปฏิบัติในทุกขั้นตอนของการดำเนินงาน เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ของโรงแรม โดยให้ ความสำคัญที่การจัดการที่ต้นทาง การป้องกันแทนการแก้ปัญหาการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าและมี ประสิทธิภาพ รวมถึงการใช้พลังงานทดแทนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและผลกระทบจากการ เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศควบคู่กับการฟื้นฟูระบบนิเวศ การสร้างเสริมคุณค่าทางศิลปะ วิถีชีวิตยั่งยืน วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ รวมทั้งการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง 4.4.1 การก่อตั้งมูลนิธิใบไม้เขียว วันที่ 17 มีนาคม 2541 ถือเป็นวันก่อกำเนิดของมูลนิธิใบไม้เขียว ซึ่งถือว่าเป็นวันแห่งความ ภาคภูมิใจ ของคณะกรรมการส่งเสริมกิจกรรมสิ่งแวดล้อมเพื่อการท่องเที่ยว หรือ คสสท. ประกอบด้วยองค์กรที่มีวิสัยทัศน์ด้านการพัฒนาธุรกิจการท่องเที่ยวและการโรงแรม องค์กรที่กล่าวถึง นั้น คือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมโรงแรมไทย โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สำนักงานการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศ ไทย สมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม และการประปานครหลวง มูลนิธิใบไม้เขียว ได้ก่อตั้งขึ้นด้วยความตระหนักถึงบทบาท หน้าที่ความรับผิดชอบและความ ตั้งใจจริงของทั้ง 6 องค์กร ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมคุณภาพสิ่งแวดล้อม (ประเทศไทย) ( ADEQ) สมาคมโรงแรมไทย United Nation Environment Programme (UNEP) และ การประปานครหลวง รวมทั้งองค์กรที่ได้ให้การสนับสนุนในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การจัดสัมมนา การจัดการ ฝึกอบรม การจัดมาตรฐาน การตรวจสอบ และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจในการ แก้ปัญหา ป้องกัน พัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพการใช้พลังงาน น้ำและทรัพยากรธรรมชาติเพื่อให้
90 เกิดความสมดุล และพัฒนาคุณภาพให้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้การเจริญเติบโตของธุรกิจสิ่งแวดล้อมและ ทรัพยากรธรรมชาติ เจริญเติบโตควบคู่กันได้อย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรที่ให้การสนับสนุน ได้แก่ สถานทูตอังกฤษมูลนิธิอาเซียน United States-Asia Environmental Partnership (USAEP), กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ, กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม, คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, โรงเรียนตรีทศ ทรี, เจนเนอเรชั่น ดุสิตกรุ๊ป, โรงแรมฮิลตัน อินเตอร์เนชั่นแนล บางกอก ณ ปาร์คนาย เลิศ, บริษัท เมย์ แฟร์ อินน์ จำกัด, บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และโรงแรมชั้นนำต่าง ๆ โครงการที่มูลนิธิใบไม้เขียวดำเนินการเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการใช้พลังงานและพัฒนา คุณภาพสิ่งแวดล้อมของธุรกิจการท่องเที่ยวและการโรงแรมนี้ คือ โครงการใบไม้เขียว ซึ่งอยู่ในความ ดูแลของคณะกรรมการส่งเสริมกิจกรรมสิ่งแวดล้อมเพื่อการท่องเที่ยว หรือ คสสท. ซึ่งได้จัดทำแบบ ประเมินการรักษาสิ่งแวดล้อมในการดำเนินงานโรงแรมไว้ให้ โรงแรมตรวจสอบการปฏิบัติงานของคน เพื่อให้คณะกรรมการ คสสท. ได้ตรวจสอบและประเมินผลเปรียบเทียบกับมาตรฐานที่คณะกรรมการ คสสท. ได้จัดทำจากโรงแรมอ้างอิงจากผลการประเมินนี้ คณะกรรมการ คสสท. จะได้จัดอันดับ โรงแรมต่าง ๆ เพื่อมอบเกียรติบัตรใบไม้เขียว (The Green Leaf Certificate) ทั้งหมด 1-5 ใบ ตามลำดับความสามารถในการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในโรงแรม มูลนิธิใบไม้เขียว เชื่อมั่นถึงศักยภาพ ความมุ่งมั่นของเจ้าของ ผู้ประกอบการ ผู้ปฏิบัติการ และผู้มีสนับสนุนด้านการดำเน้นธรุกิจโรงแรมที่ จะร่วมกันจัดการดำเนินธุรกิจ เพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังให้เป็นที่ประจักษ์แก่องค์กรต่าง ๆ ทั่วโลก โดยให้การสนับสนุนการท่องเที่ยวเพื่อสิ่งแวดล้อมของคนไทยเพื่อความเจริญเติบโตอย่างมั่นคงของ ธุรกิจท่องเที่ยวต่อไปในอนาคต
91 4.4.2 ความเป็นมาของมูลนิธิใบไม้เขียว กิจรรมก่อนก่อตั้งมูลนิธิโดยการออกนิทรรศการการรักษา สิ่งแวดล้อมและพลังงานในโรงแรม พ.ศ.2538- 2539 มาตรฐานแรกเปรียบเสมือนแนวทางในการประเมินความมุ่งมั่น ของโรงแรมในการอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2540 พิธีมอบเกียรติบัตรใบไม้เขียวครั้งแรก ณ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ พ.ศ.2541 ก่อตั้งมูลนิธิใบไม้เขียวอย่างเป็นทางการ กิจกรรมเสริมสร้างวัฒนธรรมด้านสิ่งแวดล้อมของโรงแรม / เดินสาย “หนึ่งร้อยแปดวิธี เพื่ออนุรักษ์พลังงานใน 5 พื้นที่ การท่องเที่ยว พ.ศ.2541- 2542 จัดทำกิจกรรมทั่วประเทศไทย เรียกว่า เสวนาโต๊ะกลม โดยการ สนับสนุนขององค์กรและโรงแรมชั้นนำที่เกี่ยวข้อง พ.ศ.2542- 2543 Training the auditor สำหรับการตรวจโรงแรมใบไม้เขียว และ ประกาศใช้มาตรฐานใบไม้เขียว รุ่นที่ 2 พ.ศ.2545 พ.ศ.2548 โรงแรมปลอดบุหรี่
92 ประกาศใช้มาตรฐานรุ่นที่ 3 ที่มุ่งประเมินทั้งการะบสนการและผล ด้านการดำเนินการสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2549 พ.ศ.2550 “โรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” โดยมูลนิธิใบไม้เขียว พ.ศ.2551 “โรงแรมสร้างเสริมสุขภาพ” ประกาศใช้มาตรฐานรุ่นที่ 3 ที่มุ่งประเมินทั้งการะบสนการและผล ด้านการดำเนินการสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2549 โครงการ สร้างความร่วมมือระหว่างภาคีในห่วงโซ่ อุปทานการท่องเที่ยวยุโรป-ไทย พ.ศ.2552 พ.ศ.2553 พัฒนาเครือข่ายโรงแรมปลอดบุหรี่สู่โรงแรมสร้างเสริมสุขภาพ - พัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการการท่องเที่ยว ภาคธุรกิจ โรงแรม ในพื้นที่เกาะช้าง องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่ พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. และ GIZ - มาตรฐานโรงแรมสีเขียวของอาเซียนและกระบวนการให้ การรับรองมาตรฐาน พ.ศ.2554
93 ภาพที่ 4.17 สรุปภาพรวมความเป็นมาของมูลนิธิใบไม้เขียว ที่มา: มนษิรดา ทองเกิด, 2567 4.4.3 วิสัยทัศน์และพันธภิจ วิสัยทัศน์ มาตรฐานใบไม้เขียวมู่งสู่มาตรฐานสากล พันธกิจ พัฒนาคุณภาพมาตรฐาน การบริการที่ทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม และเพื่อการจัดการ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อลดโลกร้อน คำขวัญ รักษ์สิ่งแวดล้อมวิถีคาร์บอนต่ำ Save Environment Low Carbon วัฒนธรรมองค์กร 1) การทำงานเป็นทีม 2) มีใจให้บริการเพื่อสร้างโลกที่สมบูรณ์ 3) ยินดีให้ความช่วยเหลือเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดี 4) มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่ปฏิบัติได้จริง 5) คาร์บอนต่ำทุกขั้นตอน ปณิธาน เป็นสถาบันต่อยอดสู่มาตรฐานสากลสำหรับธุรกิจการท่องเที่ยว เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ 1) เพื่อสร้างมาตรฐานการดำเนินงานสิ่งแวดล้อมในธุรกิจโรงแรม ทั้งใน ระดับประเทศและระดับสากล 2) เพื่อสร้างมาตรฐานด้านการดำเนินงานสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว 3) เพื่อสร้างองค์กรให้เป็นองค์กรที่มีการเรียนรู้และปฏิบัติจริง พ.ศ.2556 โรงแรมปลอดบุหรี่พัฒนาการที่ยั่งยืน “Zero Carbon Resort 2 พื้นที่กรุงเทพ/ประจวบคีรีขันธ์/กระบี่/ กาญจนบุรี/พื้นที่รับผิดชอบ กรุงเทพฯ และประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ.2557 จักรยานสร้างเสริมสุขภาพเพื่อการเดินทางที่เป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อมในแหล่งท่องเที่ยวที่น่าอยู่ พ.ศ.2559 จัดกิจกรรมภายใต้โครงการฟื้นฟูธุรกิจท่องเที่ยว พลิกฟื้นเศรษฐกิจ ภายหลังการระบาดของ COVID-19 พ.ศ.2563
94 4) ขยายผลการผลิตเพื่อผลิตมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และอื่น ๆ วัตถุประสงค์ของมูลนิธิใบไม้เขียว 1) เพื่อพลักดันให้ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยวในประเทศมีการพัฒนามาตรฐาน การดำเนินงานและส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม 2) เพื่อพัฒนามาตรฐานการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในธุรกิจโรงแรมและการ ท่องเที่ยว ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้บริการและมีการพัฒนาประสิทธิภาพของเทคโนโลยี 3) เพื่อส่งเสริมการมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อมในธุรกิจโรงแรม และการท่องเที่ยว 4) เพื่อพัฒนาแนวทางการเสริมสร้างศักยภาพของธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว แบบยั่งยืน ข้อดีด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับโรงแรมที่เข้าร่วมสมาชิกโครงการ 1) มีการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยประหยัดการลงทุนของธุรกิจและของ ประเทศ 2) สารเคมีที่มีพิษจะถูกใช้น้อยที่สุด จนสามารถกำจัดและแทนที่ด้วยอินทรีย์สาร 3) มีการจัดการการใช้พลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติและการกำจัดของเสียอย่างมี ประสิทธิภาพ 4) การดำเนินธุรกิจเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุดหรือไม่เกิดเลย 5) ทำให้เกิดความเข้าใจถึงปัญหาการแก้ปัญหาและการป้องกันสิ่งแวดล้อมและ ทรัพยากร ธรรมชาติมากขึ้น ผลประโยชน์ที่โรงแรมสมาชิกจะได้รับ 1) ทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการจัดการธุรกิจได้โดยตรง 2) ได้รับข่าวสารและวารสารซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อมและ บุคลากรของธุรกิจ 3) เข้าร่วมกิจกรรมกับมูลนิธิฯ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายหรือจ่ายในอัตราพิเศษ 4) ได้รับการบันทึกชื่อลงในสมุดบันทึกโรงแรมใบไม้เขียว ซึ่งเผยแพร่ไปทั่วโลก 5) ผลประโยชน์อื่น ๆ จากมูลนิธิฯ ซึ่งจะแจ้งให้ทราบเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง 4.4.4 มาตรฐานโรงแรมใบไม้สีเขียว ในการจัดทำมาตรฐานการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจโรงแรม และการ ท่องเที่ยวของโครงการใบไม้เขียว ได้แบ่งการจัดการเป็น 3 ขั้นตอน คือ(มูลนิธิใบไม้เขียว, 2566) 1) Screening Questionnaire การตรวจสอบโรงแรมที่เข้าร่วมโครงการฯ ว่ามีการ ดำเนินขั้นตอนที่จำเป็นทางด้านกฎหมายหรือไม่ ซึ่งหากผ่านขั้นตอนนี้ จะได้รับประกาศนียบัตรรับรอง การเข้าร่วมโครงการใบไม้เขียว หรือ Green Leaf Letter of Participation 2) Qualifying Questionnaire การพิจารณาในเรื่องขอบเขตของความเหมาะสม ของการดำเนินกิจกรรมสิ่งแวดล้อมในโรงแรม 3) Grading Questionnaire การตรวจสอบการปฏิบัติการทุกแผนกในการดำเนิน ธุรกิจ เพื่อตรวจสอบว่าขั้นตอนต่างๆ นี้ ได้ทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร โดยในขั้นตอนที่
95 สามนี้ ประกอบด้วยคำถามรวม 11 หมวด (172 ข้อ) เพื่อใช้เป็นแนวทางในการตรวจสอบพัฒนาการ และความก้าวหน้าในการให้บริการของสถานประกอบการ ซึ่งประกอบด้วยหมวดต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ หมวดที่ 1 นโยบายและการสื่อสาร หมวดที่ 2 การพัฒนาบุคลากร หมวดที่ 3 คณะกรรมการ หมวดที่ 4 เป้าหมาย และแผนปฏิบัติการ หมวดที่ 5 การจัดการของเสีย หมวดที่ 6 ประสิทธิภาพและการใช้พลังงาน หมวดที่ 7 ประสิทธิภาพการใช้น้ำ หมวดที่ 8 ครัว และห้องอาหาร หมวดที่ 9 ห้องซักรีด หมวดที่ 10 การจัดซื้อ หมวดที่ 11 คุณภาพอากาศภายในอาคาร มลพิษทางอากาศ และเสียง หมวดที่ 12 น้ำ และคุณภาพน้ำ หมวดที่ 13 สปา และการนวดเพื่อสุขภาพ หมวดที่ 14 สถานที่ออกกำลังกาย สระว่ายน้ำ และกิจกรรมกลางแจ้ง หมวดที่ 15 ความปลอดภัยในโรงแรม หมวดที่ 16 ผลกระทบต่อระบบนิเวศ หมวดที่ 17 การมีส่วนร่วมกับชุมชน และองค์กรท้องถิ่น หมวดที่ 18 การส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม 4.4.5 การให้ค่าค่ะแนนมาตรฐานของโรงแรมใบไม้เขียว ตารางที่ 4.2 ตารางคะแนนมาตรฐานของโรงแรมใบไม้เขียว คะแนนมาตรฐานของโรงแรมใบไม้เขียว เล่ม 1 น้อยกว่าร้อยละ 45.34 ได้รับเกียรติบัตรใบไม้เขียว จำนวน 1 ใบ ตั้งแต่ร้อยละ 45.34-55.89 ได้รับเกียรติบัตรใบไม้เขียว จำนวน 2 ใบ ตั้งแต่ร้อยละ 55.90-66.44 ได้รับเกียรติบัตรใบไม้เขียว จำนวน 3 ใบ ตั้งแต่ร้อยละ 66.45-77.99 ได้รับเกียรติบัตรใบไม้เขียว จำนวน 4 ใบ มากกว่าร้อยละ 77.99 ได้รับเกียรติบัตรใบไม้เขียว จำนวน 5 ใบ คะแนนมาตรฐานของโรงแรมใบไม้เขียว เล่ม 2 น้อยกว่าร้อยละ 52 ได้รับเกียรติบัตรใบไม้เขียว จำนวน 1 ใบ ตั้งแต่ร้อยละ 52-56.8 ได้รับเกียรติบัตรใบไม้เขียว จำนวน 2 ใบ ตั้งแต่ร้อยละ 56.9-61.7 ได้รับเกียรติบัตรใบไม้เขียว จำนวน 3 ใบ ตั้งแต่ร้อยละ 61.8-66.5 ได้รับเกียรติบัตรใบไม้เขียว จำนวน 4 ใบ มากกว่าร้อยละ 66.5 ได้รับเกียรติบัตรใบไม้เขียว จำนวน 5 ใบ ที่มา: มูลนิธิใบไม้เขียว, 2566
96 ภาพที่ 4.18 ตัวอย่างใบเกียรติบัตรใบไม้เขียว โรงแรมกระบี่ รีสอร์ท ที่มา: https://www.krabiresort.net/awards.php, 2567 4.5 ความรับผิดชอบต่อชุมชนและสังคม Corporate Social Responsibility: CSR 4.5.1 ความหมายของความรับผิดชอบต่อสังคม (พิพัฒน์ นนทนาธรณ์, 2553) ให้ความหมาย ความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ว่าเป็นการ ดําเนินงานขององค์กรที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคมทั้งภายในและภายนอกองค์กรด้วยการดําเนินงานที่ สร้างความสมดุลแก่เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันและการ พัฒนาอย่างยั่งยืน (นภดล ชิวปรีชา, 2553) ความรับผิดชอบต่อสังคม คือ การดําเนินธุรกิจตาม โดยคํานึงถึง ประโยชน์ของผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงต่อความสําเร็จขององค์กร กฎหมายและจริยธรรม ได้แก่พนักงานผู้ ถือหุ้น ลูกค้า คู่แข่งขัน เจ้าหนี้ ตลอดจนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบธุรกิจ ทางตรงและ ทางอ้อม ได้แก่ ชุมชน รัฐบาล กลุ่มรณรงค์ สื่อมวลชน สาธารณชน โดยดําเนินการ อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ธุรกิจต้องแสดงบทบาทเป็นผู้นําในสิ่งที่ถูกต้อง และเป็นประโยชน์ต่อสังคม ชุมชน และ สิ่งแวดล้อม (สุพานี สฤษฎ์วานิช, 2553) ได้ให้ความหมายว่า CSR คือคํามั่นของบริษัทที่จะส่งเสริมการ พัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนโดยทํางานร่วมกับลูกจ้างและครอบครัวของพวกเขา ชุมชนและสังคมโดย กว้างเพื่อจะพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของสังคมโดยรวม (ญาณสิทธิ์ ยอดพฤติการณ์, 2557) ได้ให้ความหมายของ CSR วาเป็นคำย่อมาจาก ภาษาอังกฤษว่า Corporate Social Responsibility หรือบรรษัทบริบาล หมายถึง การดำเนิน กิจกรรม (Activity) ภายในและภายนอกองค์ร ที่คำนึงผลกระทบต่อสังคมทั้งในองค์กรและในระดับ ใกล้และไกลด้วยการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในองค์กรหรือทรัพยากรจากภายนอกที่จะทำให้อยู่ร่วมกันใน
97 สังคมได้อย่างปกติสุข ทั้งนี้ คำว่า กิจกรรมในความหมายข้างต้น หมายรวมถึง การคิด การพูด และ การกระทำซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ การวางแผน การตัดสินใจ การสื่อสาร การประชาสัมพันธ์ การบริหาร จัดการ และการดำเนินงานขององค์กร (รัตติมา เวชรัตน์, 2564) ให้ความหมายไว้ว่า ความรับผิดชอบต่อสังคมของโรงแรมระดับ 4 ดาว หมายถึง ความรับผิดชอบของผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมที่ได้ระดับ 4 ดาว ที่มีต่อสังคมและ สิ่งแวดล้อมในการบริหารจัดการด้านการประกอบกิจการด้วยความเป็นธรรม ด้านการต่อต้านการ ทุจริตคอร์รัปชั่น ด้านการเคารพสิทธิมนุษยชน ด้านการปฏิบัติต่อแรงงานอย่างเป็นธรรม ด้านความ รับผิดชอบต่อผู้บริโภค ด้านการดูแลสิ่งแวดล้อม และด้านการร่วมพัฒนาชุมชนหรือสังคม สรุปได้ว่า ความรับผิดชอบต่อสังคม หมายถึง การดำเนินกิจกรรมภายในและภายนอกที่ คำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมด้วยการใช้ทรัพยากรที่อยู่ในองค์กรหรือทรัพยากรจากภายนอกองค์กร เป็นการร่วมมือกันระหว่างการดำเนินธุรกิจกับความใส่ใจด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับผู้มีส่วนได้ ส่วนเสียและทำให้อยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างปกติสุข 4.5.2 ระดับของ Corporate Social Responsibility: CSR 1) ในระดับของลูกค้า ตัวอย่าง CSR ของกิจการ ได้แก่ การสร้างผลิตภัณฑ์ที่เน้น คุณค่ามากกว่ามูลค่า ความรับผิดชอบในผลิตภัณฑ์ต่อผู้บริโภค การให้ข้อมูลขององค์กรและตัว ผลิตภัณฑ์อย่างเพียงพอและอย่างถูกต้องเที่ยงตรง มีการให้บริการลูกค้าอย่างตรงไปตรงมา เป็นต้น 2) ในระดับของคู่ค้า ตัวอย่าง CSR ของกิจการ ได้แก่ การแบ่งปันหรือการใช้ ทรัพยากรร่วมกันหรือการรวมกลุ่มในแนวดิ่งตามสายอุปทาน ความรอบคอบระมัดระวังในการผสาน ประโยชน์อย่างเป็นธรรมไม่เอารัดเอาเปรียบต่อคู่ค้า เป็นต้น 3) ในระดับของชุมชนและสภาพแวดล้อม ตัวอย่าง CSR ของกิจการ ได้แก่ การ สงเคราะห์เกื้อกูลชุมชนที่องค์กรตั้งอยู่ การส่งเสริมแรงงานท้องถิ่นให้มีโอกาสในตำแหน่งงานต่าง ๆ ในองค์กร การสนับสนุนแนวทางการระแวดระวังในการดำเนินงานที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานที่อาจส่งผลกระทบต่อชุมชนที่องค์กรตั้งอยู่และการเรียนรู้วัฒนธรรม ท้องถิ่นเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข เป็นต้น 4) ในระดับของประชาสังคม ตัวอย่าง CSR ของกิจการ ได้แก่ การสร้างความร่วมมือ ระหว่างกลุ่มหรือเครือข่ายอื่น ๆ ในการพัฒนาสังคม การตรวจตราดูแลมิให้กิจการเข้าไปมีส่วน เกี่ยวข้องกับการล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชน การรับฟังข้อมูลหรือทำประชาพิจารณ์ต่อการดำเนินกิจการ ที่ส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม และการทำหน้าที่ในการเสียภาษีอากรให้รัฐอย่างตรงไปตรงมา เป็น ต้น 5) ในระดับของคู่แข่งขันทางธุรกิจ ตัวอย่าง CSR ของกิจการ ได้แก่ การดูแลกิจการ มิให้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแข่งขันด้วยวิธีการทุ่มตลาด การดำเนินงานในทางต่อต้านการทุจริต รวมทั้ง การกรรโชก และการให้สินบนในทุกรูปแบบ เป็นต้น 4.5.3 หลัก 10 ประการในการทำธุรกิจโรงแรมอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม (Hawkins and Bohdanowwicz, 2011) สรุปหลักสิบประการในการทําธุรกิจโรงแรมอย่าง มีความรับผิดชอบต่อสังคม ออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้ ส่วนที่ 1 คือ The Environment หลีกเลี่ยงการใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือยและการอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อม มีองค์ประกอบ 3 หลักการ ได้แก่ 1. หลักการข้อที่ 1 หลีกเลี่ยงการใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือยและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
98 2. หลักการข้อที่ 2 การเตรียมการสําหรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ซึ่งธุรกิจจะต้อง สร้างความร่วมมือกับองค์กรท้องถิ่นและคนในท้องถิ่นในการรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันเหล่านี้ 3. หลักการข้อที่ 3 การพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งธุรกิจที่ เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมบริการอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมควรดําเนินธุรกิจอย่างไม่ก่อให้ เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ส่วนที่ 2 คือ People and Communities การทําธุรกิจที่เคารพความคิดเห็นของของคนที่ เกี่ยวข้องทั้งในระดับทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับภูมิภาค ระดับประเทศและระดับโลก มีองค์ประกอบ 4 หลักการ ได้แก่ 4. หลักการข้อที่ 4 มีการระบุผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของธุรกิจ (Stakeholders) ว่า ประกอบไปด้วยใครบ้างและให้ความสําคัญกับความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเหล่านั้น ธุรกิจจะต้อง หาจุดกลางระหว่างการทําธุรกิจและรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาและ ความขัดแย้ง 5. หลักการข้อที่5 ธุรกิจในอุตสาหกรรมบริการที่ต้องการทําธุรกิจอย่างมีความ รับผิดชอบต่อสังคมต้องมีการขอความร่วมมือจากห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ได้แก่ ผู้ผลิตและ จําหน่ายวัตถุดิบ ผู้กระจายสินค้า ผู้ค้าปลีกและผู้บริโภค 6. หลักการข้อที่ 6 ธุรกิจในอุตสาหกรรมบริการที่ต้องการทําธุรกิจอย่างมีความ รับผิดชอบต่อสังคม ควรให้พนักงานและลูกค้ามีส่วนร่วมในการปฏิบัติที่ส่งเสริมความยั่งยืนด้าน สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจและสังคม ซึ่งในปัจจุบันมีผู้บริโภคหรือลูกค้าบางกลุ่มที่ต้องการใช้บริการ ธุรกิจ ที่มีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อสังคม 7. หลักการข้อที่ 7 มีส่วนก่อให้เกิดนโยบายสาธารณะที่ส่งเสริมความยั่งยืนด้าน สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจและสังคม ส่วนที่ 3 คือ Fairness and Transparency การสร้างความน่าเชื่อถือขององค์กรโดยการทํา ธุรกิจอย่างมีความโปร่งใส มีองค์ประกอบ 3 หลักการ ได้แก่ 8. หลักการข้อที่ 8 สร้างคุณค่าในการทําธุรกิจเพื่อสังคมและการสื่อสารที่มี ประสิทธิภาพ โดยธุรกิจจะต้องระบุความหมายของ ธุรกิจเพื่อสังคมและมีข้อปฏิบัติที่ชัดเจน หลังจาก นั้นก็มีการประกาศให้ผู้ที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่าง ๆ ทราบ 9. หลักการข้อที่ 9 สร้างความน่าเชื่อถือโดยการดําเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสโดยมี การ รายงานผลการปฏิบัติการต่อลูกค้าพนักงานและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง 10. หลักการข้อที่ 10 ยึดหลักการทําการทําธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบสังคมเป็น หัวใจหลักขององค์กร เป็นการสร้างตําแหน่งทางการตลาด ความน่าเชื่อถือได้ขององค์กร และสร้าง ชื่อเสียงให้องค์กรในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทําธุรกิจเพื่อสังคม 4.5.4 กิจกรรมเกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อสังคม (Philip Kotler and Nancy Lee, 2005) นักวิชาการด้านความรับผิดชอบต่อสังคมได้กล่าว ไว้ว่าความรับผิดชอบต่อสังคม หรือ CSR คือข้อตกลงที่กําหนดขึ้นมาเพื่อพัฒนาสังคมให้ความ เป็นอยู่ ที่ดีขึ้น โดยดําเนินธุรกิจอย่างรอบคอบและการแบ่งปันช่วยเหลือของทรัพยากรองค์กร โดยแบ่ง กิจกรรมด้านความรับผิดชอบต่อสังคม 7 กิจกรรม ได้แก่
99 1) การส่งเสริมการรับรู้ประเด็นด้านสังคม เป็นการจัดหาเงินทุน สิ่งของหรือ ทรัพยากร อื่นขององค์กร เพื่อขยายการรับรู้หรือความห่วงใยต่อประเด็นสังคมนั้น โดยองค์การอาจ เริ่มกิจกรรมหรือเข้าร่วมมือกับองค์กรอื่น 2) การตลาดที่เกี่ยวโยงกับประเด็นทางสังคมเป็นการอุดหนุนหรือบริจาครายได้ ส่วน หนึ่งจากการขายสินค้าหรือบริการเพื่อช่วยเหลือหรือร่วมแก้ปัญหาทางสังคมจําเพาะหนึ่ง ๆ ซึ่งมักมี ช่วงเวลาที่จํากัดในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เพื่อนํารายได้ไปสนับสนุนกิจกรรมการกุศลนั้น ๆ โดยเปิด โอกาสให้ผู้บริโภคได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือการกุศลผ่านการซื้อสินค้าหรือบริการ โดยไม่ต้องเสีย ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม 3) การตลาดเพื่อมุ่งแก้ไขปัญหาสังคม เป็นการสนับสนุนการพัฒนาหรือการทําให้ เกิดผลจากการรณรงค์เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและสร้างความตระหนักในด้าน สาธารณสุข ด้านความปลอดภัยด้านสิ่งแวดล้อมหรือด้านสุขภาวะ 4) การบริจาคเพื่อการกุศลเป็นการช่วยเหลือไปที่ประเด็นทางสังคม โดยตรงใน รูปแบบ การบริจาคเงินหรือสิ่งของมักเป็นไปตามกระแสความต้องการจากภายนอกหรือมีผู้เสนอให้ ดำเนินการ 5) การอาสาช่วยเหลือชุมชน เป็นการสนับสนุนหรือจูงใจให้พนักงานคู่ค้าร่วมสละ เวลาและแรงงานในการทํางานให้แก่ชุมชนที่องค์กร ตั้งอยู่เพื่อตอบสนองต่อประเด็นทางสังคมที่ องค์กรให้ความสนใจองค์กรอาจริเริ่มกิจกรรมเองหรือทําร่วมกับองค์กรอื่น ๆ 6) การประกอบธุรกิจอย่างรับผิดชอบต่อสังคม เป็นการดําเนินกิจกรรมทางธุรกิจ อย่างพินิจพิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนในเชิงการป้องกันโดยการหลีกเลี่ยงการก่อให้เกิดปัญหาทางสังคม หรือ ในเชิงร่วมกันแก้ไขด้วยการเยียวยาปัญหาทางสังคมนั้น ๆ ด้วยกระบวนการทางธุรกิจ 7) การพัฒนาและส่งมอบสินค้าและบริการตามกําลังซื้อของคนในระดับฐานรากเป็น การใช้กระบวนการทางธุรกิจในการผลิตและจําหน่ายสินค้าหรือบริการสู่ตลาดในราคาที่ไม่แพงเหมาะ กับกําลังซื้อของผู้บริโภคในระดับฐานรากให้สามารถเข้าถึงสินค้าหรือบริการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility : CSR) ถูกกล่าวถึง อย่างกว้างขวางในแวดวงธุรกิจโรงแรมส่งผลให้มีการตื่นตัวเกี่ยวกับการสร้างกิจกรรม ความรับผิดชอบ ต่อสังคมนําไปสู่ภาพลักษณ์ที่ดีของกิจการสิ่งที่สามารถทําให้ธุรกิจโรงแรม ให้ความสนใจเกี่ยวกับ กิจการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นปัจจัยสนับสนุนที่ผลักดัน ให้กิจการประสบผลสําเร็จได้แต่ ความรับผิดชอบต่อสังคมยังเป็นเรื่องใหม่ที่สามารถตีความได้หลากหลายประเด็น ดังนั้น จําเป็นต้อง ทําความเข้าใจและค้นหาความหมายที่แท้จริงของคําว่าความรับผิดชอบต่อสังคม รวมถึงแนวทางใน การปฏิบัติให้มีความเหมาะสม (ชุติมา รุ่นเจริญ, 2556) และเพื่อเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ องค์กรทางด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมรูปแบบของกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม พบว่า ผู้ใช้บริการธุรกิจโรงแรมให้ความสําคัญกับ 5 ประเด็นหลัก อันได้แก่ ด้านการกับดูแลองค์กร ด้านสิทธิมนุษยชน ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการมีส่วนร่วมและพัฒนาชุมชนและความรับผิดชอบต่อ ผู้บริโภค (ธณษ์วรรณ ร่างใหญ่, 2560)
100 4.5.3 กรณีศึกษาตัวอย่างเกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อสังคม ชุมชนในภาคธุรกิจโรงแรม 1) ความรับผิดชอบต่อสังคม และการพัฒนาอย่างยั่งยืน ของบริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำ กัด (มหาชน) ให้ความสำคัญกับการบริหารงานให้ เติบโตตามเป้าหมายองค์กรควบคู่ไปกับการดำ เนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม มีความรับผิดชอบต่อ สังคม รวมถึงการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการนำ นวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจ เพื่อ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและนำ พาองค์กรและสังคมไปสู่ความยั่งยืน ครอบคลุมมิติ ด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม นับตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา บริษัทฯ ได้ริเริ่มการนำ นวัตกรรมมาต่าง ๆ มาใช้ในการบริหารจัดการองค์กรเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และการบริการที่ มีประสิทธิภาพตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เพื่อพัฒนาบุคลากรในองค์กร เพื่อสร้าง กิจกรรมพัฒนาชุมชน เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม ด้วยการบริหารการใช้พลังงาน การจัดการน้ำ ของ เสีย และคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลักมาตลอด นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังทำงานร่วมกับ พนักงาน ผู้บริหาร คู่ค้า ลูกค้าอย่างใกล้ชิด และร่วมมือกับชุมชนเพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน และสร้างความเติบโตทางธุรกิจแบบยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งบทพิสูจน์หนึ่งถึงความมุ่งมั่นในการดำ เนินธุรกิจเพื่อเป็นองค์กรแห่งความยั่งยืน คือ การได้รับคัดเลือกจากตลาดหลักทรัพย์ให้อยู่ใน รายชื่อหุ้นยั่งยืน Thailand Sustainability Investment 2018 และความมุ่งมั่นในการ ดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมที่โดดเด่น คือ การที่ธุรกิจโรงแรมและ รีสอร์ทในเครือเซ็นทารา จำนวน 15 แห่ง ได้รับรางวัลประกาศนียบัตรระดับทอง และเงินด้านสิ่งแวดล้อมจากเอิร์ธเช็ค องค์กรผู้เชี่ยวชาญชั้นนำ ของโลกด้านการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมให้กับองค์กรใน อุตสาหกรรมท่องเที่ยว รวมถึงความมุ่งมั่นในการช่วยเหลือและสนับสนุนชุมชนและสังคม โดย กลุ่มธุรกิจอาหารในนาม เซ็นทรัลเรสตอรองส์ กรุ๊ป ได้รับรางวัล “องค์กรที่สนับสนุนงานด้านคน พิการดีเด่นประจำปี 2561 โดยปีนี้รับรางวัลต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 พร้อมด้วยโรงแรมเซ็นทาราแก รนด์บีชรีสอร์ทและวิลล่าหัวหิน ในปี 2561 บริษัทมีการพิจารณากำหนดโครงสร้างการดำเนินงานด้านความยั่งยืน โดย คณะกรรมการความเสี่ยงและกำกับดูแลได้เห็นชอบในการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อการพัฒนา ความยั่งยืน โดยประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ทำหน้าที่เป็นผู้นำ ในการ ขับเคลื่อนและผลักดันให้เกิดการดำเนินงานด้านความยั่งยืนแบบบูรณาการ ซึ่งคณะทำงานเพื่อ การพัฒนาความยั่งยืน ทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ของกลุ่มธุรกิจโรงแรม และ ธุรกิจอาหาร เพื่อรายงานผลการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมต่อ คณะกรรมการความเสี่ยงและกำกับดูแล ซึ่งมีหน้าที่ในการสนับสนุนและดูแลการดำเนินงาน ด้านความยั่งยืน โดยมีการจัดประชุมในทุก ๆ 3 เดือน เพื่อพิจารณาทบทวน และติดตามผลการ ดำเนินงานของบริษัทให้สอดคล้อง บรรลุเป้าหมายตามแนวทางการดำเนินธุรกิจ นำไปสู่การ สร้างสัมฤทธิ์ผลแห่งการพัฒนาอย่างยั่งยืนครอบคลุมมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
101 บริษัทได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์กรหรือหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้ง ผู้บริหารของบริษัทได้เข้าร่วมเป็นกรรมการขององค์กรหรือหน่วยงานต่าง ๆ ดังนี้ สมาคมโรงแรมไทย หอการค้า ไทย สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย หอการค้าไทย-อเมริกา หอการค้าไทยอังกฤษ สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยว ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (PATA) สมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ(ไทย) Thailand Incentive and Convention Association สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาชิกโครงการแนวร่วมปฏิบัติ (Collective Action Coalition) ของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต (Thailand’s Private Sector Collective Action Coalition Against Corruption: CAC) ที่มา: รายงานประจำปี 2561 บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) https://centel.listedcompany.com/misc/SD/sd_report-2018-th/doc.pdf, 2567
102 2) ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม รอยัล คลิฟ โฮเต็ล กรุ๊ป รอยัล คลิฟ โฮเต็ล กรุ๊ปเป็นผู้บุกเบิกกิจกรรมด้านความรับผิดชอบต่อสังคมมากมายในเมืองพัทยา ทีมผู้บริหารมุ่งมั่นในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมผ่านโครงการต่าง ๆ มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งโรงแรมเมื่อปีพ.ศ. 2516 รอยัล คลิฟได้ริเริ่มก่อตั้งโรงบำบัดน้ำเสียของตนเองมาตั้งแต่ช่วงปีพ.ศ. 2517 ซึ่งเป็นระยะเวลา ยาวนานก่อนที่เมืองพัทยาจะก่อตั้งโรงบำบัดน้ำเสียของเมือง นอกจากนี้เรายังเป็นรีสอร์ทแห่งแรกที่ได้รับการ รับรองมาตรฐานสากลระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ISO 14001:2004 สำหรับการบริหารจัดการเรื่อง สิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรฐานสากลระบบ ISO9001:2008 สำหรับมาตรฐานระบบบริหารงานคุณภาพ และ TIS22300-2551 ความสำเร็จเหล่านี้ทำให้รอยัล คลิฟได้รับการยอมรับจากทั่วโลกในฐานะโรงแรมที่เป็นมิตร ต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยความสำเร็จด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทำให้เราได้รับการคัดเลือกและได้รับรางวัลอันทรง เกียรติด้านสิ่งแวดล้อมมากมาย อาทิ รางวัล Asia Responsible Enterprise Awards (AREA) ประจำปีพ.ศ. 2563 ในสาขาสิ่งแวดล้อม, รางวัลสถานประกอบการที่ปฏิบัติตามมาตรการในรายงานการวิเคราะห์ ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมีการจัดการสภาพแวดล้อมดีเด่น (EIA Monitoring Award) จากกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประจำปีพ.ศ. 2543, 2545, 2548, 2550, 2551 และ 2552, รางวัล Kuoni Green Planet Award ประจำปีพ.ศ. 2548 – 2549 และ 2550 – 2551 และรางวัล Best Green Hotel recognition ปีพ.ศ. 2551 อีกหนึ่งรางวัลที่เราภาคภูมิใจคือรางวัลที่ได้รับจากกระทรวงการพัฒนา สังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ยกย่ององค์กรของเราเนื่องจากเปิดโอกาสให้ผู้พิการเข้าร่วมทำงานใน ครอบครัวของรอยัล คลิฟด้วยเช่นกัน การตอบแทนสังคม การตอบแทนให้กับสังคม โดยเฉพาะเด็กด้อยโอกาส ยังคงเป็นหนึ่งในหลายกิจกรรมที่รอยัล คลิฟ มุ่งมั่นทำมาตลอด เราทำงานร่วมกับกลุ่มอาสาสมัครเพื่อช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสในด้านการเงินและ สนับสนุนในด้านสิ่งของที่จำเป็น อาทิ มูลนิธิสงเคราะห์เด็ก พัทยา และโรงเรียนสอนคนตาบอด รวมถึงมีการ มอบทุนการศึกษาให้กับเด็กด้อยโอกาส ในแต่ละปีทีมผู้บริหารระดับสูงของรอยัล คลิฟจะเดินทางไปเยี่ยม โรงเรียนและองค์กรการกุศลต่าง ๆ เพื่อรับทราบถึงปัญหาและหาแนวทางการช่วยเหลือเด็ก ๆ โดยในการ เยี่ยมแต่ละครั้ง เราจะนำอาหาร เสื้อผ้า และหนังสือไปมอบให้ที่โรงเรียนเช่นกัน ในปีพ.ศ. 2552 รอยัล คลิฟ ได้ว่าจ้างสถาปนิกและวิศวกรที่มีชื่อเสียงมาปรับปรุงพื้นที่ส่วนกลางของโรงเรียนสอนคนตาบอดพัทยา ยิ่งไป กว่านั้นคณะกรรมการบริหารได้สมทบทุนเพื่อสร้างโรงพยาบาลเมืองพัทยาและบ้านพักสำหรับผู้ป่วย HIV ใน จังหวัดระยองอีกด้วย นอกเหนือจากกิจกรรมดังกล่าวมาแล้วนั้น รอยัล คลิฟได้ทำงานร่วมกับองค์กร สมาคม และชมรมต่างๆ เพื่อสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือชุมชน องค์กรการกุศล และมูลนิธิ
103 กิจกรรมที่ผ่านมา ซีอีโอของรอยัล คลิฟร่วมบริจาคเงินในแคมเปญระดมเงินบริจาคเพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS Challenge) จำนวน 300,000 บาท รอยัล คลิฟร่วมกับชมรมเฟอร์รารี่อย่างเป็นทางการในประเทศไทยบริจาคเงินสด 250,000 บาท เพื่อช่วยเหลือ เด็กๆ ในมูลนิธิสงเคราะห์เด็กพัทยาและมูลนิธิคุณพ่อเรย์ รอยัล คลิฟร่วมกับชมรมลัมโบร์กินีประเทศไทยบริจาคเงินสด 200,000 บาท เพื่อช่วยเหลือเด็กๆ ในมูลนิธิคุณ พ่อเรย์ ทีมผู้บริหารรอยัล คลิฟ พร้อมด้วยมิสเวิลด์ประจำปี 2018 และคณะผู้จัดงานมิสเวิลด์ร่วมบริจาคเงิน และ เวชภัณฑ์เพื่อช่วยเหลือเด็กทุพพลภาพ และนักเรียนหลายร้อยคนที่มูลนิธิสงเคราะห์เด็ก พัทยา ทีมผู้บริหารระดับสูงของรอยัล คลิฟจัดตั้งกิจกรรมเพื่อสังคมประจำปี โดยการบริจาคเงิน 400,000 บาทแก่ มูลนิธิสงเคราะห์เด็ก พัทยา และอีก 400,000 บาทแก่มูลนิธิคุณพ่อเรย์ ผู้บริหารของรอยัล คลิฟ โฮเต็ล กรุ๊ปได้มอบทุนการศึกษาประจำปีให้แก่บุตรหลานของพนักงาน มูลค่ากว่า 500,000 บาท ซีอีโอรอยัล คลิฟนำทีมผลิตหน้ากากอนามัยและเฟสชิลป้องกันเชื้อโรคกว่า 2,000 ชิ้น เพื่อแจกจ่ายให้แก่ โรงพยาบาลและองค์กรการกุศลในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมพัทยาให้เป็นเมืองสีเขียวและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เราจึงได้จัดทำโครงการปลูกต้นไม้ให้แก่เมือง โดยบริษัทที่มาจัดงานประชุม หรืองานอีเวนต์ต่างๆ ( M.I.C.E) ที่เรา จะสามารถเลือกสถานที่ปลูกต้นหางนกยูงใน นามของบริษัทได้ นอกจากนี้เรายังได้นำส่วนหนึ่งของกำไรมาสนับสนุนการปลูกต้นไม้นี้อีกด้วย ที่มา: ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม รอยัล คลิฟ โฮเต็ล กรุ๊ป พัทยา https://www.royalwingsuites.com/th/csr-and-green-initiatives/, 2567
104 4.6 แนวคิด 7 ประการเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 7 Greens Concept (สิริภัทร์ โชติช่วง และคณะ, 2561) แนวคิด 7 Greens เกิดจากหน่วยงานด้านการท่องเที่ยว ของแต่ละประเทศที่เริ่มรณรงค์การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมกันอย่างจริงจังและใช้เป็นยุทธศาสตร์ ทางการแข่งขันในเวทีโลก ซึ่งอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ดังนั้น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจึงจำเป็นต้องมีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้ประกาศ “โครงการปฏิญญารักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อการท่องเที่ยว อย่างยั่งยืน ปี 2551-2553” ภายใต้กรอบแนวความคิด ด้าน 7 Greens (Kasemsup, 2009) ซึ่งเป็น แนวคิดในการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาการท่องเที่ยว เป็นแนวทางในการดำเนินกิจการที่เกี่ยวกับ การท่องเที่ยวทั้งระบบและการป้องกันหรืออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เป็นการแสดงศักยภาพทางการ ท่องเที่ยวในรูปแบบการรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนและเป็นการท่องเที่ยวแบบใหม่เน้น เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นแนวคิดที่นำไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อให้เกิดผลสำคัญ 2 ประการ คือ ลดผลกระทบจากสภาวะโลกร้อนและสร้างรูปแบบการท่องเที่ยวยั่งยืน 4.6.1 แนวคิด 7 Greens มีองค์ประกอบดังนี้ 1) Green Hearts (หัวใจสีเขียว) การมีทัศนคติความรู้สึกนึกคิด การรับรู้และ ตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งแวดล้อมและภัยคุกคามจากภาวะโลกร้อนที่มีต่อการท่องเที่ยว พร้อมมีการ ปฏิบัติเพื่อป้องกันรักษาและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ด้วย ความรู้ความเข้าใจและวิธีการที่ถูกต้องและเหมาะสม 2) Green Logistics (รูปแบบการเดินทางสีเขียว) วิธีการเดินทางและรูปแบบการ ให้บริการในระบบการคมนาคมหรือการขนส่งทางการท่องเที่ยวจากแหล่งพำนักหรือแหล่งอาศัย ไปยัง แหล่งท่องเที่ยวที่เน้นการประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานทดแทน การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม 3) Green Attractions (แหล่งท่องเที่ยวสีเขียว) แหล่งท่องเที่ยวที่มีการบริหาร จัดการตามกรอบนโยบายและการด าเนินงานในทิศทางของการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งให้ความ ระมัดระวังอย่างชัดเจนในการปกป้องรักษาสิ่งแวดล้อมและช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างถูก วิธี 4) Green Communities (ชุมชนสีเขียว) แหล่งท่องเที่ยวชุมชนทั้งในเมืองและ ชนบทที่มีการบริหารจัดการการท่องเที่ยวในทิศทางที่ยั่งยืน พร้อมทั้งมีการดำเนินงานที่เน้นการ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมและวิถีชีวิตอันเป็นอัตลักษณ์ของ ชุมชน 5) Green Activities (กิจกรรมสีเขียว) กิจกรรมท่องเที่ยวที่มีความสอดคล้อง กลมกลืนกับคุณค่าของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมของแหล่งท่องเที่ยวเป็น กิจกรรมที่ให้ความ เพลิดเพลินหรือความสนุกสนาน ให้โอกาสในการเรียน รู้และเพิ่มพูนประสบการณ์แก่นักท่องเที่ยวโดย ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด 6) Green Services (การบริการสีเขียว) สนับสนุนการเสนอขายรูปแบบการ ให้บริการของธุรกิจท่องเที่ยวต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นที่พัก ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกที่สามารถสร้าง ความประทับใจแก่นักท่องเที่ยว มาตรฐานและคุณภาพที่ดีภายใต้การคำนึงถึงสภาพแวดล้อมที่มีการ ดูแลอย่างเหมาะสม
105 7) Green Plus (ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม) การแสดงออกของ บุคคล กลุ่มบุคคลและองค์กรในการสนับสนุนแรงกายหรือสติปัญญาหรือบริจาคทุนทรัพย์ เพื่อร่วมมือ ดำเนินการในการปกป้องรักษาและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมของแหล่งท่องเที่ยวหรือกิจกรรมที่ช่วยลดภัย คุกคามอันเกิดจากภาวะโลกร้อน 4.6.2 แนวคิด 7 Greens กับธุรกิจโรงแรม 1) การสร้างหัวใจสีเขียว สำหรับผู้ประกอบการเรื่องที่พัก แนวปฏิบัติของผู้ที่เกี่ยวข้องในธุรกิจที่พัก ทำได้โดยการแสดงออกถึงความสำคัญของ การอนุรักษ์ทรัพยากรท่องเที่ยว ทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของท้องถิ่น รวมทั้งการปรับตัว เพื่อรับมือกับภาวะโลกร้อน โดยการ - ปรับปรุงหรือพัฒนานโยบาย และปณิธานขององค์กร ที่สะท้อนถึงการ รักษาสิ่งแวดล้อม และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก - ปรับปรุงหรือพัฒนาแผนการดำเนินงานขององค์กร ให้เป็นไปตามนโยบาย และปณิธาน - ปรับปรุงหรือพัฒนากรอบจรรยาบรรณให้บุคลากรในสถานประกอบการ ได้ยึดถือและนำไปปฏิบัติเพื่อการรักษาสิ่งแวดล้อม และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก - เคารพและปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ของแหล่งท่องเที่ยว และความเชื่อของท้องถิ่นที่มีต่อสิ่งแวดล้อม - จัดทำคู่มือแนวทางปฏิบัติและข้อปฏิบัติสำหรับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร 2) การสร้างรูปแบการเดินทางสีเขียว สำหรับผู้ประกอบการที่พัก แนวปฏิบัติของผู้ประกอบการทำได้โดย ปรับเปลี่ยนวิธีดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและ สามารถ ลดการใช้พลังงานหรือใช้พลังงานทดแทน - ผู้ประกอบการพัฒนาระบบการบริหารจัดการธุรกิจที่พัก (เช่น กำหนด นโยบาย มีแผนงานและกิจกรรม) ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหรือคำนึงถึงความยั่งยืนในระยะยาวและ เป็นธุรกิจที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซ เรือนกระจกมากที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ - ผู้ประกอบการปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับ คุณภาพสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทุกฉบับ - พนักงานหรือทีมงานในองค์กรได้รับการฝึกอบรม เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ และวิธีปฏิบัติด้านการป้องกันและดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม - ผู้ประกอบการธุรกิจที่พัก ให้ข้อมูลความรู้แก่ผู้ใช้บริการ/นักท่องเที่ยว เกี่ยวกับนโยบายและปณิธานการดำเนินธุรกิจ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและบทบาทในการลดภาวะ โลกร้อน (เช่น อาจจัดให้มีป้ายสื่อความหมาย หรือแผ่นพับ หรือ DVD ในยานพาหนะ เป็นต้น) - มีการจัดซื้อจัดจ้างที่เน้นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น วัตถุดิบ ที่ใช้ในการปรุงเป็นอาหาร/เครื่องดื่ม ของที่ระลึก สินค้าอุปโภค-บริโภคอื่น ๆ เป็นต้น - ลดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่สามารถย่อยสลายได้หรือย่อยสลายได้ยาก รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่ใช้ ครั้งเดียวแล้วทิ้ง - มีการตรวจวัดการใช้พลังงานของรถยนต์ และมีมาตรการลดปริมาณการ ใช้พลังงานพร้อมพยายามปรับเปลี่ยนมาใช้พลังงานทดแทน
106 - หมั่นตรวจซ่อมบำรุงเครื่องยนต์ เครื่องทำความเย็น-ความร้อน และ อุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงสุดและใช้พลังงานน้อยที่สุด - มีการตรวจวัดการใช้น้ำและมีมาตรการลดปริมาณการใช้น้ำ เช่น การใช้โถ ชักโครกที่มีการ ใช้น้ำ สองระดับและจำกัดการไหลของน้ำบริเวณอ่างล้างมือ เป็นต้น - พนักงานขับรถ/ขับเรือ ต้องผ่านหลักสูตรการฝึกอบรมที่เน้นถึงความ ปลอดภัยและการขับขี่แบบประหยัดพลังงาน - มีการบำบัดน้ำเสียและน้ำทิ้งอย่างมีประสิทธิภาพ - จ้างงานคนท้องถิ่นและจัดให้มีการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มพูนความรู้และทักษะ เกี่ยวกับการบริหารจัดการทางการท่องเที่ยว 3) การสร้างแหล่งท่องเที่ยวสีเขียว สำหรับผู้ประกอบการที่พัก แนวปฏิบัติที่ 1 มีการปฏิบัติที่มุ่งเน้นการรักษาสิ่งแวดล้อมและการปล่อยก๊าซเรือน กระจก - มีการป้องกัน ตรวจสอบ และแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการ พัฒนา/ก่อสร้าง ระบบสาธารณูปโภค-สาธารณูปการ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ รวมทั้งจาก ผู้ประกอบการนำเที่ยว กิจกรรม และพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง - ไม่สนับสนุนให้นักท่องเที่ยวซื้อสินค้า/ของที่ระลึกที่ทำจาก ทรัพยากรธรรมชาติที่หายากหรือกำลังสูญพันธุ์หรือมีแนวโน้มลดน้อยลง เช่น เปลือกหอย ปะการัง กล้วยไม้ป่า เป็นต้น - ใช้ชนิดพันธุ์พืชท้องถิ่นในการตกแต่ง และฟื้นฟูภูมิทัศน์ พร้อมหลีกเลี่ยง การนำชนิดพันธุ์พืชต่างถิ่น (alien species) มาปลูกในพื้นที่ หรือนำสัตว์ต่างถิ่นมาปล่อยหรือเลี้ยงใน พื้นที่ - การนำสัตว์ป่ามาใช้แสดงให้นักท่องเที่ยวชม (เช่น ช้าง นก โลมา ฯลฯ) จะต้องได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องและการเลี้ยงดูสัตว์จะต้องให้เป็นไปตามระเบียบ หรือข้อกำหนดของ ทางราชการ - ไม่มีการกักขังสัตว์ป่า ยกเว้นกฎหมายจะอนุญาตและต้องปฏิบัติอย่าง ถูกต้องเหมาะสม สัตว์ป่าหวงห้ามหรือสัตว์ป่าคุ้มครอง ควรมอบให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย เป็นผู้ดูแลจัดการ - ให้การสนับสนุนการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและพื้นที่ อนุรักษ์ประเภทต่าง ๆ และการดำเนินการใด ๆ ต้องไม่เป็นการรบกวน หรือก่อให้เกิดผลกระทบต่อ ระบบนิเวศธรรมชาติน้อยที่สุด - ปลูกเสริมต้นไม้ท้องถิ่นในพื้นที่เพื่อการฟื้นฟูระบบนิเวศ สร้างความร่มรื่น และช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณโซนบริการ - มีการจัดซื้อจัดจ้างที่เน้นเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทั้งวัสดุ ก่อสร้าง สินค้าทุน อาหาร และสิ่งอุปโภค-บริโภคต่าง ๆ - ลดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ หรือย่อยสลายยากและ สินค้าที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีก
107 - มีการตรวจวัดการใช้พลังงานทุกชนิด ทุกประเภท รู้แหล่งที่มาและมี มาตรการลดปริมาณการใช้พลังงานโดยรวมพร้อมทั้งใช้พลังงานทดแทน ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานน้ำ เป็นต้น - มีการตรวจวัดการใช้น้ำ รู้แหล่งที่มาและมีมาตรการลดปริมาณการใช้น้ำ โดยรวม - จัดให้มียานพาหนะขนส่งนักท่องเที่ยวที่ปลอดคาร์บอน หรือปล่อยก๊าซ คาร์บอนน้อยที่สุด สำหรับใช้บริการแก่นักท่องเที่ยว เมื่อเดินทางเข้ามาถึงพื้นที่ เช่น มีบริการ รถจักรยาน หรือระบบขนส่งมวลชนลักษณะอื่นๆ ที่สามารถอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว อย่างมีประสิทธิภาพ - มีการตรวจวัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากแหล่งที่มาต่างๆ ภายในพื้นที่ พร้อมทั้งมีกระบวนการ และวิธีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากแหล่งต่างๆ เหล่านั้น - มีการบำบัดน้ำเสียและน้ำทิ้ง (Waste water) อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น มีบ่อบำบัดน้ำเสียที่ได้มาตรฐานก่อนปล่อยลงลำห้วย แม่น้ำ หรือทะเลและหากกระทำได้ก็นำกลับมา ใช้เพื่อกิจกรรมอื่น ๆ เช่น รดน้ำต้นไม้ ล้างรถ ล้างเรือ เป็นต้น - มีการจัดการของเสียและขยะ (Solid waste) ตั้งแต่เรื่องการลดปริมาณ ของเสียและขยะ ให้น้อยที่สุดโดยเฉพาะของเสียและขยะที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้อีก ไปจนถึงการ แยกขยะของเสียและการกำจัดขยะอย่างถูกวิธีและก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกน้อยที่สุด - ลดการใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายทุกชนิด ได้แก่ ยากำจัดวัชพืช สีทาบ้าน น้ำยาฆ่าเชื้อโรคในสระว่ายน้ำ และน้ำยาทำความสะอาดให้เหลือน้อยที่สุดและพยายามทดแทนโดย การใช้สารที่ไม่มีพิษมีภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม - ลดมลภาวะทางเสียงและแสง มลภาวะอันเกิดจากน้ำไหลบ่าหน้าดิน การ กัดชะพังทลายของดินการใช้สารประกอบที่ทำลายโอโซน และสารพิษตกค้างในอากาศและดิน แนวปฏิบัติที่ 2 มีการปฏิบัติที่มุ่งเน้นให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้านสังคม และเศรษฐกิจ แก่ชุมชนโดยรอบ โดยลดการเกิดผลกระทบทางลบน้อยที่สุด - ส่งเสริม และสนับสนุนให้ชุมชนโดยรอบ เข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผน พัฒนาแหล่ง ท่องเที่ยว และให้บริการทางการท่องเที่ยว - ให้การสนับสนุนโครงการพัฒนาด้านสังคมที่เป็นประโยชน์ต่อท้องถิ่นโดย ส่วนรวม เช่น การศึกษา สุขอนามัย น้ำอุปโภค-บริโภค ความสะอาด เป็นต้น - จ้างคนท้องถิ่นเข้าทำงานในหน้าที่ต่าง ๆ และจัดให้มีการฝึกอบรมเพื่อ เพิ่มพูนความรู้ และทักษะตามความจำเป็น - รับซื้อสินค้า และการบริการจากท้องถิ่นเท่าที่สามารถจะกระทำได้และให้ ราคาที่เป็นธรรม - ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการรายย่อย หรือร้านค้ารายย่อยในชุมชน และการบริการที่มีความยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลิตภัณฑ์และการบริการซึ่งทำมาจากวัตถุดิบ หรือ ภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น อาหารและเครื่องดื่ม เครื่องหัตถกรรม ศิลปะการแสดง และผลิตภัณฑ์ทางการ เกษตร เป็นต้น
108 - ให้การสนับสนุนชุมชน จัดทำกฎกติกา หรือจรรยาบรรณ สำหรับการ ปฏิบัติในเรื่องต่าง ๆ ของชุมชนรวมทั้งการรักษาสิ่งแวดล้อมและลดการใช้พลังงานในชีวิตความเป็นอยู่ ที่ไม่จำเป็น - ต่อต้านการทำประโยชน์เชิงพาณิชย์กับคนในท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับเด็กและเยาวชน เช่น การใช้แรงงาน การค้าประเวณี เป็นต้น - ให้ความเท่าเทียมและเสมอภาคในเรื่องการจ้างงานผู้หญิงและชนกลุ่ม น้อย หลีกเลี่ยงการ ใช้แรงงานเด็ก - ให้ความเคารพต่อกฎหมายแรงงาน - ให้ความเคารพต่อกฎหมายแรงงาน/คุ้มครองแรงงานและจ่ายอัตราค่าจ้าง ขั้นต่ำให้เพียงพอกับการ ดำรงชีวิต - การให้บริการพื้นฐานแก่นักท่องเที่ยว เช่น น้ำอุปโภค-บริโภค ไฟฟ้า ความ ปลอดภัย สุขอนามัย ฯลฯ ต้องไม่สร้างความเดือดร้อน หรือเป็นปัญหาต่อชุมชนใกล้เคียง 4) การสร้างกิจกรรมสีเขียว สำหรับผู้ประกอบการที่พัก สร้าง และสนับสนุนกิจกรรมภายในโรงแรมและที่พักที่มีความสอดคล้องกลมกลืนกับ คุณค่าของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมของแหล่งท่องเที่ยวเป็นกิจกรรมที่ให้ความเพลิดเพลินหรือ สนุกสนานให้โอกาสในการเรียนรู้และเพิ่มพูนประสบการณ์แก่ผู้เข้าพัก โดยส่งผลกระทบต่อทรัพยากร และสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด 5) การสร้างชุมชนสีเขียว สำหรับผู้ประกอบการที่พัก สถานประกอบการที่พัก สามารถมีการบริหารจัดการในทิศทางที่ยั่งยืน พร้อมมีการ ดำเนินงานที่เน้นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมและวิถีชีวิตอัน เป็นอัตลักษณ์ของชุมชนบริเวณโดยรอบสถานประกอบการนั้นสามารถเป็นได้ทั้งผู้สร้างและผู้ทำลาย ไปพร้อม ๆ กัน 6) การสร้างบริการสีเขียว สำหรับผู้ประกอบการที่พัก แนวปฏิบัติที่ 1 ผู้ประกอบการที่ให้บริการทางการท่องเที่ยวทุกแขนงมีการพัฒนา หรือปรับปรุงระบบการบริหารจัดการธุรกิจและการบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกชนิดต่าง ๆ โดย - มีนโยบาย ปณิธานและแผนงานที่ให้ความสำคัญต่อความยั่งยืนในระยะ ยาว ทั้งในเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรมและเศรษฐกิจ รวมทั้งการหลีกเลี่ยง/ลดละ/ทดแทนการ ปฏิบัติที่เป็น - เคารพและปฏิบัติตามกฎหมาย/อนุสัญญา/ข้อตกลงระหว่างประเทศและ กฎระเบียบในประเทศที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ - บุคลากรหรือพนักงานที่เกี่ยวข้องได้รับการฝึกอบรมให้มีความรู้และทักษะ ในการปฏิบัติเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม รวมถึงวิธีปฏิบัติที่หลีกเลี่ยง/ลดละ/ ทดแทน การปล่อยก๊าซเรือนกระจก - มีการออกแบบ/ก่อสร้างอาคาร และระบบสาธารณูปโภค-สาธารณูปการ สอดคล้องกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมโดยคำนึงถึงหลักการออกแบบ/ก่อสร้างที่ยั่งยืน (sustainable design/construction) และ เปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุ เด็กเล็กและคนพิการสามารถใช้ได้อย่างสะดวก และปลอดภัย
109 - มีแผนและแนวทางปฏิบัติในการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ เช่น เชื้อเพลิง ไฟฟ้า น้ำ อย่างประหยัดและก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดเชิงธุรกิจและการบริการ - มีแผนและแนวทางปฏิบัติในการจัดซื้อสินค้าและการบริการที่ไม่ส่งผล กระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด - มีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยว ทรัพยากรหรือสิ่งแวดล้อมและ กิจกรรมท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียง รวมทั้งเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม - มีแผนการตลาดและประชาสัมพันธ์ โดยใช้ประเด็นด้านการบริการที่เป็น มิตรกับสิ่งแวดล้อมและร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสถานบริการ - การประชาสัมพันธ์และการตลาดต้องถูกต้องตรงกับความเป็นจริงทั้งหมด และต้องไม่สัญญาเสนอสิ่งหนึ่งสิ่งใด ให้แก่นักท่องเที่ยวโดยไม่สามารถกระทำได้จริง - มีการประเมิน/ตรวจวัดความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวหรือผู้มาใช้บริการ อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง พร้อมทั้งมีการแก้ไขปรับปรุงสิ่งที่จำเป็นตามความเหมาะสม แนวปฏิบัติที่ 2 มีการปฏิบัติที่มุ่งเน้นการรักษาสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซ เรือนกระจกชนิดต่าง ๆ - มีการป้องกัน ตรวจสอบและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมอันเกิดตาม ธรรมชาติและจากการพัฒนาหรือก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกและระบบสาธารณูปโภคในบริเวณ สถานประกอบการอย่างสม่ำเสมอ เช่น การตัดต้นไม้ การพังทลายของดิน น้ำป่าไหลบ่า ความเสื่อม โทรมของชายหาด เป็นต้น - ไม่ขยายขอบเขตของสถานประกอบการลุกล้ำพื้นที่สาธารณะประเภท ต่าง ๆ เช่น พื้นที่ป่า ชายหาด ลำห้วย ลำธาร ทางเท้าหรือถนน เป็นต้น ใช้พันธุ์พืชท้องถิ่นในการ ตกแต่งหรือฟื้นฟูภูมิทัศน์ (หลีกเลี่ยงการนำพืชต่างถิ่นเข้ามาปลูก) ในสถานประกอบการ - การนำสัตว์มาใช้แสดงให้นักท่องเที่ยวชมจะต้องได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง และการเลี้ยงดูสัตว์ต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามหลักวิชาการและเป็นไปตามระเบียบของทางราชการ ไม่นำทรัพยากรธรรมชาติที่หายากหรือกำลังสูญพันธุ์หรือมีแนวโน้มลดน้อยลง เช่น เปลือกหอย ปะการัง กล้วยไม้ป่า ฯลฯ มาจำหน่ายให้แก่นักท่องเที่ยว - ไม่มีการกักขังสัตว์ป่ายกเว้นกฎหมายจะอนุญาตและต้องปฏิบัติอย่าง ถูกต้องเหมาะสม ถ้าเป็นสัตว์ป่าหวงห้ามหรือสัตว์ป่าคุ้มครองควรมอบให้พนักงาน เจ้าหน้าที่ตาม กฎหมายเป็นผู้ดูแลจัดการแทน - ให้การสนับสนุนการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและพื้นที่ อนุรักษ์ประเภทต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับสถานประกอบการ - มีการจัดซื้อสินค้า หรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และช่วยลด การใช้พลังงาน หรือปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยที่สุด ประกอบด้วย 1. เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ 2. เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ 3. เลือกซื้อผลิตภัณฑ์แบบที่เติมได้ 4. เลือกซื้อสินค้าที่ใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถส่งกลับคืนได้ 5. เลือกซื้อสินค้าที่ทำจากวัสดุรีไซเคิล
110 6. เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากเขียวหรือมีฉลากคาร์บอน (ผลิตภัณฑ์ที่มีกระบวนการ ผลิตที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณน้อย) หรือผลิตภัณฑ์อินทรีย์ ฯลฯ 7. เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากเขียวหรือมีฉลากคาร์บอน (ผลิตภัณฑ์ที่มีกระบวนการ ผลิตที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณน้อย) หรือผลิตภัณฑ์อินทรีย์ ฯลฯ 8. เลือกซื้อสินค้าที่ได้มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม 9. เลือกซื้ออุปกรณ์ที่ประหยัดพลังงาน (เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ติด ฉลากประหยัดไฟเบอร์5 หรือมีฉลากอัตราการใช้ไฟ เป็นต้น) และอุปกรณ์ที่ประช่วยหยัดน้ำ 10. เลือกซื้อยานพาหนะที่ใช้เชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น รถที่ใช้เชื้อเพลิงไฮบริด ไบโอดีเชล เชื้อเพลิงที่เผาไหม้สะอาด เป็นต้น 11. เลือกซื้อสินค้าที่มีการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมครบวงจร (สินค้า ที่ดำเนินการควบคุม ตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ การผลิต และการกำจัดซากผลิตภัณฑ์ที่หมดอายุ แล้ว โดยไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม) 12. มีการกำหนดให้ซื้ออาหารที่ผลิตได้ในท้องถิ่นตามแต่ละฤดูกาล เพื่อลดการใช้พลังงานในการขนส่งและเก็บรักษา - มีการจัดการขยะและสิ่งปฏิกูลในสถานประกอบการ การปฏิบัติต่าง ๆ ประกอบด้วย 1. ใช้สินค้าหรือวัสดุภัณฑ์เป็นแพ็คใหญ่เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้หีบห่อ ที่ไม่จำเป็น 2. ใช้ผลิตภัณฑ์แบบที่ใช้หมดแล้วเติมใหม่ได้ (refillable products) แทนการทิ้งเป็นขยะ 3. ใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติแทนการ ใช้ถุงพลาสติก หรือโฟม เช่น ใช้กระดาษแป้งข้าวโพด กระดาษแป้งมันสำปะหลัง เป็นต้น 4. ลดและหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วทิ้ง เพื่อลดปริมาณ ขยะมูลฝอย เช่น กาแฟ ชา น้ำตาล ครีมเทียม เครื่องปรุงรส ฯลฯ ที่บรรจุในซองขนาดเล็ก 5. หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์บนโต๊ะอาหารที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง เช่น แก้วพลาสติกช้อนส้อม พลาสติก ตะเกียบ เป็นต้น 6. มีการใช้กล่องบรรจุอาหารแทนการใช้ฟิล์มพลาสติกห่ออาหาร 7. มีการลดขยะเปียก เช่น การเก็บอาหารสดให้พอดีกับอายุ ทำอาหารให้มีปริมาณพอดี กับผู้บริโภค โน้มน้าวให้ลูกค้าบริโภคอาหารให้หมด เป็นต้น 8. มีการจัดทำรายการขยะ และแยกขยะที่เกิดจากการดำเนิน ธุรกิจ ได้แก่ ขยะรีไซเคิล ขยะเศษอาหาร ขยะอันตราย ขยะทั่วไป เป็นต้น 9. มีการจัดทำถังสำหรับหมักขยะเปียก (หรือมอบให้ผู้อื่นนำไป จัดการ) เพื่อทำเป็นปุ๋ยหมักแล้วนำกลับมาใช้ในสนามหรือสวนภายในสถานประกอบการ 10. มีการเก็บขยะบริเวณโดยรอบอาคารและบริเวณสนามหรือ สวนอย่างสม่ำเสมอ - มีการจัดการคุณภาพอากาศและเสียง ได้แก่ 1. จัดพื้นที่สูบบุหรี่แยกออกจากพื้นที่อื่น ๆ และมีป้ายบอกอย่าง ชัดเจน
111 2. จัดหาให้เช่าหรือให้บริการยานพาหนะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แก่ลูกค้า เช่น จักรยาน เป็นต้น 3. ป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอก โดยการปลูกต้นไม้เป็นฉนวน หรือสร้างกำแพงกั้น 4. ตรวจสอบและควบคุมการเกิดมลพิษทางอากาศในส่วนต่าง ๆ ของสถานประกอบการ เช่น ห้องพัก ห้องครัว ห้องควบคุมความเย็น เป็นต้น 5. มีการนำวัสดุภัณฑ์กลับมาใช้ใหม่ ที่สำคัญ ได้แก่ 6. ใช้กระดาษทั้งสองหน้าในธุรกิจและการให้บริการ 7. ใช้ถุงผ้า หลีกเลี่ยงหรือลดการใช้ถุงพลาสติก 8. ใช้ถ่านแบบ Rechargeable กับเครื่องไฟฟ้า 9. นำผ้าเช็ดตัว ผ้าปูที่นอน ฯลฯ ที่ไม่สามารถใช้ได้ต่อไปแล้วมาใช้ ประโยชน์ เช่น ผ้าเช็ดถูทำความสะอาด เป็นต้น - มีการประหยัดและการจัดการการใช้น้ำที่ดี ได้แก่ 1. มีการวิเคราะห์หารูปแบบ และประเภทการใช้น้ำหลัก ๆ ของ สถานประกอบการ เพื่อหาแนวทางและวิธีประหยัดน้ำ 2. มีการจดบันทึกค่าน้ำเป็นประจำทุกเดือน 3. ทำการปิดวาล์วน้ำ เมื่อไม่ใช้งาน 4. ทำความสะอาดโดยการปัดกวาดฝุ่นละออง เศษผงต่าง ๆ ออก ก่อน แล้วจึงทำความสะอาด เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำและลดการปนเปื้อนของน้ำทิ้ง 5. มีการสำรวจตรวจสอบ และทำการเปลี่ยนหรือซ่อมแซมอุปกรณ์ ที่ชำรุด หรือ เสื่อมสภาพที่ทำให้เกิดการรั่วไหลของน้ำอย่างสม่ำเสมอ เช่น ปั๊มน้ำ ระบบการจ่ายน้ำ (เช่น ท่อประปา วาล์ว ก๊อกน้ำ) ระบบสุขภัณฑ์ (เช่น หัวฉีดชำระ ขอบยาง และ ลูกลอยชักโครก) เป็น ต้น 6. เลือกใช้อุปกรณ์ที่ประหยัดน้ำ เช่น ก๊อกน้ำ โถชักโครก หัวฉีด ชำระประหยัดน้ำ เป็นต้น 7. ใช้น้ำในการจัดสวนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยออกแบบสวนให้ กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมและมีความชุ่มชื่นเสมอ เลือกปลูกต้นไม้ที่ต้องการน้ำน้อยและมีการกำจัด วัชพืชเป็นประจำ 8. นำน้ำจากการชำระล้างหรือน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วกลับมาใช้ ใหม่ เช่น ใช้ทำความสะอาดลานอเนกประสงค์ ใช้กับโถชักโครก ใช้รดน้ำต้นไม้ เป็นต้น 9. มีการเก็บกักน้ำฝนไว้ใช้ในองค์กร 10. มีมาตรการประหยัดน้ำในส่วนของห้องครัว และส่วนของ ห้องอาหาร เช่น หลีกเลี่ยงการล้างผักและผลไม้โดยวิธีปล่อยให้น้ำไหลผ่าน กำจัดคราบไขมันก่อนทำ ความสะอาดด้วยน้ำ น้ำดื่มที่เหลือในแก้วลูกค้าสามารถนำมาใช้ประโยชน์ต่อได้ 11. มีการกำหนดการเปลี่ยนผ้าเช็ดตัว ผ้าปูที่นอน ฯลฯ เมื่อลูกค้า ขอให้เปลี่ยน 12. มีมาตรการประหยัดน้ำในส่วนสระว่ายน้ำ
112 13. มีการใช้ระบบน้ำหยด/สปริงเกอร์/ฝักบัวรดน้ำต้นไม้แทนการ ใช้สายยาง 14. มีการรดน้ำต้นไม้ในช่วงเวลาที่มีการระเหยต่ำได้แก่ช่วงเวลา เช้าและเย็น 15. มีการนำน้ำที่เหลือจากกิจกรรมซักรีดกลับมาใช้ใหม่ - มีการบำบัดและจัดการน้ำเสียในสถานประกอบการ สิ่งที่ควรปฏิบัติ ได้แก่ 1. มีระบบบำบัดน้ำเสียที่ได้มาตรฐาน และ/หรือไม่มีการระบายน้ำ ทิ้งออกนอกบริเวณ 2. มีการจัดการน้ำเสียเบื้องต้น (pre-wastewater treatments) ก่อนเข้าสู่ระบบบำบัดน้ำเสียเช่น ใช้สารลดคราบน้ำมันและจารบี ใช้ตะแกรงแยกเศษอาหารออกจาก น้ำที่ใช้จากห้องครัว 3. มีการแยกน้ำและน้ำมันออกจากกัน เป็นต้น 4. มีการบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีธรรมชาติโดยใช้พืชหรือจุลินทรีย์ เช่น ใช้พืชดูดซับน้ำเสีย ใช้จุลินทรีย์ในการย่อยของเสียในน้ำ เป็นต้น 5. มีการตรวจสอบระบบบ่อเกรอะ (septic tank) เป็นประจำ (อย่างน้อยทุก ๆ ปี) 6. มีถังบำบัดน้ำเสียสำรอง - มีการประหยัดและจัดการการใช้พลังงานเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งที่ควรปฏิบัติ ประกอบด้วย 1. หลีกเลี่ยงการใช้ยานพาหนะที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง เช่น ใช้ จักรยานแทนการใช้รถยนต์ เป็นต้น 2. มีการใช้ระบบขนส่งมวลชน และ/หรือการใช้รถร่วมกัน (carpooling) 3. มีการตรวจสอบปริมาณการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงต่อวัน/สัปดาห์/ เดือนของสถานประกอบการ เพื่อทำให้ทราบถึงปริมาณการใช้พลังงานที่สิ้นเปลืองและที่สามารถ ประหยัดได้ 4. มีการวางแผนการเดินทางขององค์กร เช่น หลีกเลี่ยงเส้นทางที่มี การจราจรคับคั่ง หาเส้นทางที่เหมาะสมเพื่อลดระยะทางในการเดินทาง เป็นต้น 5. มีตารางการบำรุงรักษารถยนต์และเครื่องยนต์ขององค์กรให้มี ประสิทธิภาพอยู่เสมอ 6. มีการใช้เครื่องยนต์ที่มีการใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพ เช่น เลือกใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อน 4 สูบ ที่ประหยัดน้ำมัน ลดการเกิดมลพิษไฮโดรคาร์บอนและเสียงเบา เป็นต้น 7. มีการใช้เชื้อเพลิงทางเลือก เช่น น้ำมันไบโอดีเซล แก๊สธรรมชาติ หรือรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้า เป็นต้น - มีการประหยัดและจัดการการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย
113 1. มีการแจกแจงประเภทและรูปแบบการใช้พลังงานไฟฟ้าของ สถานประกอบการ เพื่อหาแนวทางและวิธีการประหยัดพลังงานไฟฟ้า 2. มีตารางติดตามการใช้ไฟฟ้าเป็นประจำ (เช่น ประจำสัปดาห์ หรือประจำเดือน) เพื่อทราบถึงปริมาณการใช้พลังงานที่สิ้นเปลืองและที่สามารถประหยัดได้ 3. มีการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น พัดลม มอเตอร์ เครื่องปรับอากาศ ที่มีขนาดเหมาะสมกับความต้องการของธุรกิจ 4. มีตารางการบำรุงรักษาอุปกรณ์ไฟฟ้า (เช่น พัดลม มอเตอร์ เครื่องปรับอากาศ ฯลฯ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด) เช่น การทำความสะอาดเป็นประจำ เป็นต้น 5. มีการลดความต้องการในการใช้พลังงานไฟฟ้าของสถาน ประกอบการ ในช่วงเวลาที่มีค่าไฟฟ้าแพง 6. มีวิธีการใช้เครื่องปรับอากาศอย่างเหมาะสม 7. มีวิธีการใช้ไฟฟ้าเพื่อระบบแสงสว่างอย่างเหมาะสม 8. มีการประหยัดไฟฟ้าจากการใช้เครื่องใช้สำนักงานอย่างถูกต้อง เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องโทรสาร เป็นต้น 9. มีการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพ เช่น หลอด ไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น 10. มีวิธีการใช้ระบบทำความร้อนอย่างเหมาะสม โดย การนำ พลังงานแสงอาทิตย์มาใช้อุ่นน้ำที่ป้อนเข้าสู่หม้อไอน้ำ (solar co- generation) ในการทำน้ำอุ่น/มีการ ใช้ก๊าซ LPG ในการทำความร้อนแทนการใช้ Heater ไฟฟ้า/มีการนำความร้อนจากระบบปรับอากาศ มาใช้ใหม่/มีการตั้งค่าอุณหภูมิความร้อนที่เหมาะสม/มีการหุ้มฉนวนท่อไอน้ำป้องกันการสูญเสียความ ร้อนไปในอากาศ/มีการใช้ผ้าเช็ดมือแทนเครื่องเป่ามือ - หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องปั่นผ้าแห้งหากไม่จำเป็น 1. มีระบบคีย์แท็กประหยัดไฟฟ้า (ช่วยควบคุมการจ่ายไฟฟ้าใน ห้องพัก) 2. ในกรณีที่มีลิฟต์ สถานประกอบการมีการประหยัดไฟฟ้าจาก การใช้ลิฟต์โดย กำหนดให้ลิฟต์หยุดเฉพาะชั้น เช่น หยุดเฉพาะชั้นคี่ เป็นต้น/มีการปิดลิฟต์บางจุด ในช่วงที่มีการใช้งานน้อย เช่น เวลากลางคืน เป็นต้น/รณรงค์ให้ใช้บันไดแทนลิฟต์ในกรณีที่ขึ้นลงน้อย ชั้น/รณรงค์ให้กดปุ่มเรียกลิฟต์เพียงครั้งเดียว - มีการใช้พลังงานทดแทนในองค์กร เช่น การใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ พลังงานลมพลังงานชีวมวล เป็นต้น - มีการจัดการสารเคมีและสารอันตราย ประกอบด้วย 1. มีการจัดทำรายการสารอันตรายที่มีการเก็บและใช้งานอยู่ใน ปัจจุบันและมีการตรวจสอบจำนวนอย่างสม่ำเสมอ 2. มีคู่มือความปลอดภัยในการใช้งานและแสดงข้อมูลพื้นฐานที่ ต้องทราบเกี่ยวกับสารอันตราย ผลกระทบต่อสุขภาพและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่ตามมาเมื่อมีการ ใช้สารอันตรายเหล่านั้น 3. มีการจัดระบบการจัดเก็บสารเคมีอย่างปลอดภัย เช่น มีการติด ป้ายชื่อสารเคมี บรรจุหีบห่ออย่างแน่นหนาและกำหนดรายการสารที่ต้องเก็บไว้เฉพาะที่ เป็นต้น
114 4. มีการตรวจสอบว่าสารอันตรายได้รับอนุญาตให้ใช้ได้ตาม กฎหมาย เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง LPG แอมโมเนีย เป็นต้น 5. มีการตรวจสอบและรักษาสภาพการใช้งานของเครื่องทำความ เย็นและเครื่องปรับอากาศให้มี การปล่อยก๊าซ CFC และ HCFC น้อยที่สุด 6. หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีหรือสารอันตรายในสถานประกอบการ เช่นเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของสารฟอกขาวในปริมาณน้อย (เช่น กระดาษชำระ ตะเกียบ เป็นต้น) /มีการหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีกำจัดแมลง ยากำจัดวัชพืช/มีการใช้ปุ๋ยหมักแทนปุ๋ยเคมีในการ บำรุงสวน/ มีการใช้พืช (ตะไคร้หอม) หรือสารสกัดจากธรรมชาติ ฯลฯ ในการกำจัดแมลงรบกวน (ยุง แมลงวัน แมลงต่าง ๆ) แทนการใช้สารเคมี/ผู้ประกอบการในธุรกิจที่พักมีการปฏิบัติที่ก่อให้เกิด ประโยชน์สูงสุด ด้านสังคม และเศรษฐกิจแก่ชุมชนโดยรอบและสร้างผลกระทบทางลบน้อยที่สุด แนวปฏิบัติที่ 3 ให้การสนับสนุนโครงการพัฒนาที่เป็นประโยชน์ต่อท้องถิ่นโดย ส่วนรวม เช่น การศึกษาสุขอนามัย น้ำอุปโภค-บริโภค ความสะอาด เป็นต้น - ให้การสนับสนุนแก่ชุมชนท้องถิ่นที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการ อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตท้องถิ่นทั้งในรูปตัวเงินและวัสดุอุปกรณ์ - มีส่วนร่วมกับชุมชนท้องถิ่นในการกำหนดทิศทางและแผนพัฒนาการ ท่องเที่ยวชุมชนอย่างยั่งยืน - ให้การสนับสนุนแก่ชุมชน จัดทำกฎกติกาหรือจรรยาบรรณสำหรับการ ปฏิบัติในเรื่องต่าง ๆ รวมถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมและลดการใช้พลังงานในชีวิตความเป็นอยู่ประจำวัน - สนับสนุนชุมชนให้ได้รับการฝึกอบรมด้านความรู้และทักษะการบริหาร จัดการและให้บริการทางการท่องเที่ยวรวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถขายเป็นสินค้า/ของที่ ระลึกที่เป็นเอกลักษณ์หรืออัตลักษณ์ของชุมชน เช่น อาหารและเครื่องดื่ม เครื่องหัตถกรรม ศิลปะการแสดง เป็นต้น - มีการจ้างงานโดยคนท้องถิ่นเข้าทำงานในสถานประกอบการในหน้าที่ต่าง ๆ และจัดให้มีการฝึกอบรม เพื่อเพิ่มพูนความรู้และทักษะตามความจำเป็น - ให้ความเท่าเทียมเสมอภาคในเรื่องการจ้างงานโดยเฉพาะผู้หญิงและชน กลุ่มน้อย หลีกเลี่ยงการใช้แรงงานเด็ก - ให้ความเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน/คุ้มครองแรงงานและจ่าย ค่าจ้างในอัตราที่เพียงพอกับการดำรงชีวิต - รับซื้อสินค้าจากท้องถิ่นเท่าที่สามารถจะกระทำได้ และให้ราคาที่เป็น ธรรม - มีการใช้บริการของชุมชนท้องถิ่น เช่น ร้านอาหาร เครื่องดื่ม ที่พัก พาหนะขนส่ง มัคคุเทศก์ท้องถิ่น เป็นต้น - การให้บริการพื้นฐานแก่นักท่องเที่ยวในสถานประกอบการ เช่น น้ำ อุปโภค ไฟฟ้า สุขอนามัยความปลอดภัย ฯลฯ ต้องไม่สร้างความเดือดร้อนหรือเป็นปัญหาต่อชุมชน ใกล้เคียง (7) การสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม สำหรับผู้ประกอบการ โรงแรม การแสดงออกในการสนับสนุนแรงกายหรือสติปัญญาหรือบริจาคทุนทรัพย์ เพื่อร่วมมือ
115 ดำเนินการในการปกป้องรักษาและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมจากการผลิตสินค้า และบริการหรือกิจกรรมที่จะ ช่วยลดภัยคุกคามอันเกิดจากภาวะโลกร้อน 4.7 แนวคิดการลดการสร้างขยะ 3R สู่แนวคิดสากลเพื่อมุ่งสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน 10R 4.7.1 สถานการณ์ขยะในประเทศไทย ข้อมูลสถานการณ์ขยะมูลฝอยของประเทศไทย ปี พ.ศ.2565 มีปริมาณ 25.70 ล้านตัน ซึ่ง พบว่าขยะมูลฝอยที่ถูกกำจัดไปอย่างไม่ถูกต้อง และขยะมูลฝอยตกค้าง มีปริมาณรวมกันถึง 17.01 ล้านตัน (รายงานสถานการณ์สถานที่กำจัดขยะมูลฝอยของประเทศไทยกรม, 2565) เมื่อพิจารณา ปริมาณขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้น ขยะมูลฝอยมีปริมาณเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา (24.98 ล้านตัน) ร้อยละ 3 เนื่องจากในปี พ.ศ. 2563 -2564 ประเทศไทยอยู่ในช่วงล็อกดาวน์ซึ่งมีการจำกัดกิจกรรม ของประชาชน รวมถึงการเดินทางทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด ของเชื้อไวรัสโคโรน่า (COVID-19) เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า (COVID-19) ได้คลี่คลายลงจากจำนวนของผู้ติดเชื้อที่มีแนวโน้มลดลง ทำให้รัฐบาลได้มีประกาศมาตรการคลายล็อก ดาวน์ประกอบกับมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศและเริ่มเปิดประเทศ ส่งผลให้ ประชาชนกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติมากขึ้น และวิถีการดำเนินชีวิตประชาชนบางส่วนยังคง พฤติกรรมการซื้อและบริโภคในบริการสั่งซื้อสินค้าและอาหารผ่านระบบออนไลน์ ทำให้ขยะมูลฝอย ประเภทบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Single use plastic) ยังคงมีปริมาณสูง รวมทั้ง นักท่องเที่ยวเริ่มทยอยกลับมาเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี 2564 จำนวน นักท่องเที่ยวประมาณ 400,000 คน เป็น 11 ล้านคน ในปี 2565 (กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและ กีฬา, 2565) ทำให้ภาพรวมปริมาณขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้นมีปริมาณเพิ่มขึ้นเช่นกัน ตารางที่ 4.3 ปริมาณและอัตราการเกิดขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้น ปี พ.ศ.2561-2565 หมายเหตุ: เป็นตัวเลขอัตราการเกิดขยะมูลฝอยเมื่อเทียบกับประชากรตามทะเบียนราษฎร์ ปี พ.ศ. 2565
116 อัตราการเกิดขยะมูลฝอย (กิโลกรัม/คน/วัน) ภาพที่ 4.19 อัตราการเกิดขยะมูลฝอยระหว่างปี พ.ศ.2561-2565 ที่มา: รายงานสถานการณ์สถานที่กำจัดขยะมูลฝอยของประเทศไทย กรมควบคุมมลพิษ, 2565 เมื่อพิจารณาภาพรวมการจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ ปริมาณขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้น 25.70 ล้านตัน ถูกจัดการกันเองโดยบ้านเรือนและชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลหรือพื้นที่ที่องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นยังไม่มีการให้บริการเก็บขน 1.70 ล้านตัน (ร้อยละ 7 ของปริมาณขยะมูลฝอย ที่เกิดขึ้น) ถูกคัดแยกเพื่อนำกลับไปใช้ประโยชน์จากบ้านเรือนและแหล่งกำเนิด 4.00 ล้านตัน (ร้อยละ 15 ของปริมาณขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้น) โดยกระบวนการซาเล้งและบ้านเรือนนำไปขายให้กับร้านรับซื้อ ของเก่า ขยะมูลฝอยที่เหลือประมาณ 20.00 ล้านตัน (ร้อยละ 78 ของปริมาณขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้น) ถูกเก็บขนโดยรถบรรทุกเก็บขนขยะมูลฝอยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือเอกชนซึ่งได้รับ อนุญาตหรือมอบหมายจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการให้บริการเก็บขนแทนเพื่อไปยังสถานที่ คัดแยกขยะมูลฝอยหรือสถานที่กำจัดขยะมูลฝอย และขยะมูลฝอยประมาณ 4.80 ล้านตัน (ร้อยละ 19 ของปริมาณขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้น) ถูกคัดแยกในระหว่างการเก็บขนและสถานที่คัดแยกขยะมูลฝอย ส่วนที่เหลือประมาณ 15.20 ล้านตัน (ร้อยละ 59 ของปริมาณขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้น) ถูกนำไปกำจัด ณ สถานที่กำจัดขยะมูลฝอย มีขยะมูลฝอยได้รับการกำจัดอย่างถูกต้องประมาณ 9.80 ล้านตัน (ร้อยละ 38 ของปริมาณขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้น) และส่วนที่เหลือประมาณ 5.40 ล้านตัน (ร้อยละ 21 ของ ปริมาณขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้น) ถูกนำไปกำจัดอย่างไม่ถูกต้อง ภาพที่ 4.20 ภาพรวมการจัดการขยะมูลฝอยของประเทศไทยปี พ.ศ.2565 ที่มา: รายงานสถานการณ์สถานที่กำจัดขยะมูลฝอยของประเทศไทย กรมควบคุมมลพิษ, 2565
117 เมื่อพิจารณาแนวโน้มขยะมูลฝอยระหว่างปี พ.ศ. 2561–2565 พบว่าเพิ่มมากขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2561–2562 และมีแนวโน้มลดลงในช่วงปี พ.ศ. 2563–2564 เนื่องจากสถานการณ์โรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศลดลง ทำให้ปริมาณ ขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้นลดลง แต่ในปี พ.ศ. 2565 ปริมาณขยะมูลฝอยมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเนื่องจาก มาตรการณ์ผ่อนคลายการเดินทางทั้งภายในและภายนอกประเทศรวมทั้งการกระตุ้นการท่องเที่ยวใน ประเทศ สำหรับการนำขยะมูลฝอยไปกำจัดอย่างถูกต้องมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ในปีพ.ศ. 2563–2565 เช่นเดียวกับการนำขยะมูลฝอยไปใช้ประโยชน์ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ตารางที่ 4.4 ปริมาณขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้น ถูกกำจัดอย่างถูกต้อง และถูกนำกลับมาใช้ประโยชน์ ปี พ.ศ.2561-2565 ที่มา: รายงานสถานการณ์สถานที่กำจัดขยะมูลฝอยของประเทศไทย กรมควบคุมมลพิษ, 2565 ตารางที่ 4.5 การเปลี่ยนแปลงข้อมูลปริมาณขยะมูลฝอยระหว่างปี พ.ศ.2561-2565 ที่มา: รายงานสถานการณ์สถานที่กำจัดขยะมูลฝอยของประเทศไทย กรมควบคุมมลพิษ, 2565 4.7.2 แนวคิดการลดการสร้างขยะ 3R การจัดการ “ของเสีย” ตามหลัก 3R หมายถึง การจัดการของเสียที่ให้ความสําคัญในการลด การเกิดของเสียให้เหลือน้อยที่สุดเป็นลําดับแรก โดยมุ่งเน้นการใช้วัตถุดิบหรือทรัพยากรการผลิตอย่าง มีประสิทธิภาพ ต่อมาเมื่อเกิดของเสียแล้วต้องพยายามหาแนวทางการนํากลับไปใช้ซ้ำ หรือใช้ใหม่ให้ ได้มากที่สุด โดยพิจารณาถึงศักยภาพการใช้ประโยชน์ของของเสียแต่ละประเภทและกฎหมายที่ เกี่ยวข้อง เพื่อให้เหลือของเสียที่จะต้องบําบัดหรือกําจัดในปริมาณน้อยที่สุด โดยเลือกใช้วิธีการกําจัด ของเสียเป็นวิธีสุดท้าย
118 ภาพที่ 4.21 สัญลักษณ์ 3R ที่มา: https://mochammadafifuddin.wordpress.com, 2567 3R เป็นแนวคิดและแนวทางในการปฏิบัติเพื่อการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า สามารถ ช่วยลดปริมาณขยะให้น้อยลง ด้วยการลดการใช้ การนำกลับมาใช้ซ้ำ และการนำขยะกลับมาใช้ใหม่ (Reduce Reuse and Recycle: 3Rs) โดยเริ่มต้นที่การใช้ให้น้อยลง ลดการใช้วัสดุ ผลิตภัณฑ์ ที่ ก่อให้เกิดขยะเพื่อลดปริมาณขยะที่เกิดขึ้น (Reduce) การนำวัสดุ ผลิตภัณฑ์ที่ยังสามารถใช้งานได้ กลับมาใช้ซ้ำ (Reuse) และการนำวัสดุ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานแล้วมาแปรรูป เพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์ ใหม่ หรือ รีไซเคิล (Recycle) 4.7.3 แนวคิด 3Rs ในโรงแรม มาตรฐานของโรงแรมนอกจากมุ่งเน้นพัฒนาด้านการบริการแล้ว การยกระดับและก้าวไปสู่ การเป็นโรงแรมสีเขียวซึ่งเปรียบได้กับการสร้างภาพลักษณ์และการเพิ่มจุดขายให้กับโรงแรมได้มากขึ้น ในทางกลับกันถ้าโรงแรมหากไม่มีมาตรการในการจัดการขยะที่ดีแล้วก็อาจจะส่งผลที่ตามมาทำให้ โรงแรมเกิดความสูญเสียรายได้ รวมถึงทรัพยากรอีกด้วย 1) Reuse: การใช้ช้ำ ใช้ทรัพยากรที่คุ้มค่า ซึ่งทรัพยากรบางอย่างสามารถนำมาใช้ซ้ำได้ เช่น ชุดยูนิฟอร์มตัวเก่า นำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นแทนการทิ้ง กระดาษที่ใช้แล้ว 1 หน้า นำกลับมาใช้ซ้ำ ช่วยลดปริมาณการตัดต้นไม้ ขวดแก้วที่ไม่ใช้แล้ว สามารถนำไปทำเป็นแจกันใส่ดอกไม้ 2) Reduce: ลดการใช้ทรัพยากร อะไรที่ไม่จำเป็น ให้ลดการใช้งาน ลดการใช้โฟมและพลาสติกที่เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโรงแรม ใช้ภาชนะที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ปิดไฟทุกครั้งที่ไม่ใช้งาน ถอดปลั๊กของเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น บางคนเสียบ ปลั๊กพัดลมทิ้งไว้ แม้จะไม่ได้เปิดใช้พัดลม มีถังแยกขยะตามจุดต่าง ๆ 3) Recycle: กลับมาใช้ใหม่ ทรัพยากรที่ใช้หมดแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ หรือนำไป DIY เปลี่ยนสภาพการใช้งาน ใหม่ เป็นการช่วยยืดอายุการใช้งานไปในตัว เศษกระดาษไม่ใช้แล้ว นำไปพับเป็นถุงใส่ของ กล่องบรรจุไข่ไก่ นำไปทำเป็นที่เพาะต้นกล้า ฝาน้ำอัดลมกระป๋องนำไปทำเป็นขาเทียม
119 รวมถึงการใช้ผลิตภัณฑ์ฉลากเขียว ลดการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ที่ทำจากพลาสติก ลดการ ใช้น้ำ ลดการใช้ไฟฟ้า หรือหันมาใช้พลังงานจากโซล่าเซลล์ เพียงเท่านี้เราก็สามารถเก็บรักษา ทรัพยากรด้านพลังงานได้มากขึ้น 4.7.4 แนวคิดสากลเพื่อมุ่งสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน 10R (ณัฐภัทร รัตนวิชัย, 2565) กล่าวว่า แนวคิดและแนวทางในการปฏิบัติเพื่อช่วยลดปริมาณ ขยะให้น้อยลงและเป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดเศรษฐกิจ หมุนเวียน ซึ่งถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม รวมไปถึงประชาชน ทั่วไป นั่นคือ แนวคิด “3R” ประกอบด้วย 1) Reduce เป็นการใช้ให้น้อยลง ลดการใช้วัสดุ ผลิตภัณฑ์ ที่ก่อให้เกิดขยะเพื่อลด ปริมาณขยะที่เกิดขึ้น 2) Reuse เป็นการนำวัสดุ ผลิตภัณฑ์ที่ยังสามารถใช้งานได้ กลับมาใช้ซ้ำ 3) Recycle เป็นการนำวัสดุ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานแล้วมาแปรรูป เพื่อนำกลับมาใช้ ประโยชน์ใหม่ ซึ่งในกระบวนการ Recycle นี้เองจะมีการเพิ่มบทบาทหน้าที่เพื่อการใช้ทรัพยากรที่มี อยู่อย่างคุ้มค่าที่สุด นั่นคือ “บทบาทของ Recycle ใน Circular Economy” ในปัจจุบันมีหลักสากล และแนวคิดเพื่อมุ่งสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนเพิ่มขึ้นอีก 7 หลักการ ซึ่งรวมกับหลักการที่มีอยู่เดิม เรียกว่า หลักการสากล “10R” (ณัฐภัทร รัตนวิชัย,2565) หลักการสากลเพื่อมุ่งสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy Model: 10R) 1) Refuse การปฏิเสธ การไม่ใช้สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่คิดว่าเป็นการทำลาย ทรัพยากรและสร้างมลพิษให้เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม เช่น พลาสติก กล่องโฟมบรรจุอาหาร การเลือกใช้ สารทำความเย็นที่ไม่ทำลายชั้นโอโซน ไม่ใช่สารพิษที่ตกค้างยาวนาน 2) Reduce ลดการใช้ ลดการบริโภคทรัพยากรที่ไม่จำเป็นลง โดยเฉพาะการลดการ บริโภคทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป เช่น เปิดไฟทุกครั้งเมื่อไม่ใช้ ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกครั้งที่ไม่ใช้ งาน ลดการใช้ถุงพลาสติกหรือบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายยาก 3) Reuse การใช้ซ้ำ การดำเนินการโดยที่ผลิตภัณฑ์ส่วนประกอบหรือวัสดุสามารถ นำมาใช้อีกครั้ง โดยไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการผลิตใหม่ หรือการทำให้คืนสภาพใด ๆ หรือหลีกเลี่ยง ผลิตภัณฑ์หรือบรรจุภัณฑ์ประเภทใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง อาทิ ใช้ถุงผ้าแทนการใช้ถุงพลาสติก ใช้ผ้าเช็ด โต๊ะแทนกระดาษชำระ 4) Refurbish การปรับปรุงใหม่ การปรับปรุงความสวยงามของผลิตภัณฑ์ ส่วนประกอบหรือวัสดุซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการทำให้ดูเหมือนเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยผลิตภัณฑ์สามารถ ส่งกลับไปยังบริษัทผู้ผลิต เพื่อให้มีการซ่อมแซมและนำมาขายต่ออีกครั้งหลังจากที่ทำการตรวจสอบ คุณภาพทุกอย่างแล้ว ตัวอย่างเช่น โทรศัพท์มือถือ 5) Recycle การแปรสภาพใช้ใหม่ การจัดการวัสดุเหลือใช้ที่กำลังจะกลายเป็นขยะ การนำสิ่งที่เราไม่สามารถที่จะใช้ซ้ำได้แล้ว ซึ่งอาจจะฉีกขาด แตกหัก กลับไปเข้ากระบวนการแปรรูป ให้เป็นวัตถุดิบ โดยการนำไปผ่านกระบวนการแปรสภาพเพื่อให้เป็นวัสดุใหม่แล้วนำกลับมาใช้ได้อีก และมีคุณภาพเทียบเท่าหรือใกล้เคียงของเดิม ซึ่งวัสดุที่ผ่านการแปรสภาพนั้น อาจจะเป็นผลิตภัณฑ์ เดิม หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ก็ได้ ตัวอย่างเช่น การะดาษที่มีคุณภาพสูงเมื่อใช้แล้วก็สามารถนำไปรีไซเคิล เพื่อใช้เป็นห่อกระดาษราคาถูกลงได้
120 6) Repair การซ่อมแซม การนำสิ่งของเครื่องใช้ผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วน ที่แตกหักเสียหาย มาซ่อมหรือแก้ไขให้อยู่ในสภาพที่ใช้ได้ต่อ รวมถึงการออกแบบให้ผลิตภัณฑ์ง่ายต่อการซ่อมบำรุงจะ เป็นการยืดอายุช่วงชีวิตของการใช้งาน เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ที่ชำรุดก็เอาไปซ่อมให้ใช้งานได้เหมือนเดิม เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ที่เสียแล้ว นำกลับไปซ่อมให้ใช้งานได้ดีดังเดิม ดีกว่าที่จะต้องทิ้งแล้วซื้อใหม่ซึ่งจะ เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรของโลกมากขึ้น 7) Rethink คิดใหม่ การเปลี่ยนความคิดเรื่องการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างถูกต้อง เหมาะสม การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์หรือบริการแบบไม่ยึดติดกับวงจรชีวิต ซึ่งประกอบไปด้วย จุดเริ่มต้น จุดกึ่งกลางและจุดจบ เป้าหมายของการออกแบบหมุนเวียน คือ ต้องดีไซน์ผลิตภัณฑ์ให้ สามารถถูกนำไปต่อยอดต่อไป (be made to be made again) 8) Remanufacture การผลิตใหม่ การนำผลิตภัณฑ์ สินค้าอุตสาหกรรมที่ผ่านการ ใช้งานมาแล้วในระยะหนึ่ง นำกลับาปรับปรุงแปรสภาพให้มีคุณสมบัติเหมือนของใหม่ (same as new) หรือใกล้เคียงของใหม่ให้มากที่สุด เพื่อยืดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ เช่น ชิ้นส่วน รถยนต์ 9) Recovery การนำกลับคืนมาใหม่ กิจกรรมที่มีวัตถุประสงค์หลัก คือให้แน่ใจว่า ผลิตภัณฑ์ ส่วนประกอบหรือวัสดุที่ใช้แล้วถูกนำมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์ โดยการแทนที่ผลิตภัณฑ์ ส่วนประกอบหรือวัสดุใหม่ ในโรงงานหรือเศรษฐกิจในวงกว้าง เช่น การนำพลังงานกลับคืนมาใช้ใหม่ ของเสียจากขยะที่ใช้เป็นเชื้อเพลิง (ถ่าน RDF: Refuse Derived Fuel เชื้อเพลิงแข็งรูปแบบหนึ่งที่ได้ จากการนำขยะชุมชนมาปรับปรุงองค์ประกอบทั้งทางเคมีและกายภาพ) 10) Repurpose การเปลี่ยนวัตถุประสงค์การใช้งาน การใช้ผลิตภัณฑ์ ส่วนประกอบ หรือวัสดุในบทบาที่ไม่ได้ออกแบบเพื่อใช้ในงานนั้น ๆ โดยการเปลี่ยนวัตถุประสงค์ของการใช้งาน ตัวอย่างเช่น การนำขวดพลาสติกมาใช้เป็นกระถางต้นไม้ทำเป็นชั้นวางรองเท้า 4.8 บทสรุป จากแนวคิดของธุรกิจโรงแรมที่ทำให้เราได้ทราบถึงความหมาย ประเภทการดำเนินงานตาม สายงาน มาถึงแนวคิดของโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่อธิบายถึงการใช้ทรัพยากรและพลังงาน ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด และมีส่วนร่วมในการสืบสาน ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่นและการเข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนท้องถิ่น รวมถึงการ จัดการสิ่งแวดล้อมที่ดีเพื่อยกระดับ และมาตรฐานการให้บริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทำให้เกิดการ ก่อตั้งมูลนิธิใบไม้เขียว Green Leaf Foundation เพื่อรับการประเมินมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและรับ รางวัลใบไม้เขียว โดยมีการส่งเสริมให้โรงแรมมีการจัดการที่ดี ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรและพลังงาน อย่างคุ้มค่า เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การประเมิน ซึ่งจะมีเกณฑ์ในการประเมินทั้งหมด 7 หมวด ได้แก่ นโยบายด้านการบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การพัฒนาบุคลากร การรณรงค์การประชาสัมพันธ์ การจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงาน การมีส่วนร่วมกับ ท้องถิ่นและชุมชนและการประเมินประสิทธิภาพเพื่อการปรับปรุง รวมถึงการทำประกอบธุรกิจด้วย ความรับผิดชอบต่อชุมชนและสังคม ส่งเสริมการทำธุรกิจตามแนวคิด 7 Greens ด้วยการสร้างหัวในสี เขียว การสร้างรูปแบบการเดินทางสีเขียว การสร้างแหล่งท่องเที่ยวสีเขียว การสร้างกิจกรรมสีเขียว การสร้างชุมชนสีเขียว และการสร้างบริการสีเขียว รวมถึงการนำแนวคิดการลดขยะ 3R ซึ่งปัจจุบันมี หลักสากลเพื่อมุ่งสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน เพิ่มขึ้นอีก 7 หลักการ ซึ่งรวมกับหลักการที่มีอยู่เดิม เรียกว่า
121 หลักสากล 10R เพื่อนำมาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจมุ่งสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และเกิดประโยชน์อย่างสูงสุด 4.9 กิจกรรมเสริมการเรียนรู้ 1. ให้นักศึกษา ทำการศึกษากรณีศึกษาเรื่อง ความรับผิดชอบต่อชุมชนและสังคม CSR ของ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) และรอยัง คลิฟ โฮเต็ล กรุ๊ป พัทยา ว่ามีการ ดำเนินการในธุรกิจที่ความเกี่ยวข้องกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนแตกต่าง หรือเหมือนกันอย่างไร และมี ปัจจัยใดที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบต่อสังคม 4.10 คำถามท้ายบทที่ 4 1. ธุรกิจโรงแรมมีการแบ่งสายงานอย่างไร อธิบาย 2. ให้นักศึกษาให้ความหมายของโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีแนวคิด เป้าหมาย และคุณลักษณะอย่างไร 3. เกณฑ์โรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วยกี่หมวด อะไรบ้าง อธิบาย 4. อธิบายหลัก 10 ประการในการทำธุรกิจโรงแรมอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม 5. แนวคิด 7 Greens เกิดขึ้นได้อย่างไร มีองค์ประกอบอะไรบ้าง ที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจ โรงแรม 6. สรุปสาระสำคัญของแนวคิดสากลเพื่อมู่งสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน 10R มาพอเข้าใจ 4.11 เอกสารอ้างอิง กมล รัตนวีระกุล. (2558). การจัดการสิ่งแวดล้อมในโรงแรม. กรุงเทพฯ: มูลนิธิเพื่อสถาบันพัฒนา ผู้ประกอบการโรงแรมไทย. กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม. (ม.ป.ป.). (ออนไลน์). Available: https://www.dcce.go.th/news/project.aspx?p=116. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 12 พฤศจิกายน 2566). กรมควบคุมมลพิษ. (2565). รายงานสถานการณ์ที่กำจัดขยะมูลฝอยของประเทศไทย. (ออนไลน์). Available: https://thaimsw.pcd.go.th/report1.php?year=2565. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 13 ธันวาคม 2566). กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม. (2561). คู่มือโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม Green Hotel with BCG. พิมพ์ครั้งที่ 1: บริษัท แกรนด์เทค จำกัด. กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา. (2565). สถิตินักท่องเที่ยว. (ออนไลน์). Available: https://www.mots.go.th/news/category/655. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 13 ธันวาคม 2566). ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (ม.ป.ป.) รอยัล คลิฟ โฮเต็ล กรุ๊ป พัทยา. (ออนไลน์). Available:https://www.royalwingsuites.com/th/csr-and-green-initiatives/. (สืบค้น ข้อมูลวันที่ 12 ธันวาคม 2566). ชุติมา วุ่นเจริญ. (2556). ความรับผิดชอบต่อสังคมกับธุรกิจโรงแรม. วารสารวิทยาการจัดการ, 30(1), 143-158.
122 ณัฐภัทร รัตนวิชัย. (2565). แนวทาง 10R อัปเกรดอุตสาหกรรมสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน. (ออนไลน์). Available: https://petromat.org/home/circular-economy-model/. (สืบค้นข้อมูล วันที่ 13 ธันวาคม 2566). ธณษ์วรรณ ร่างใหญ่. (2560). รูปแบบความจงรักภักดีของลูกค้าธุรกิจโรงแรมในกรุงเทพมหานครและ ปริมาณฑล. วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร, 8(1), 41-51. ธารีทิพย์ ทากิ. (2549). การจัดการงานส่วนหน้าของโรงแรม. กรุงเทพฯ : ซีเอ็ดยูเคชั่น. · นงเยาว์ ใจห้อ. (2551). เอกสารประกอบการสอนรายวิชาหลักการโรงแรม ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ การโรงแรม. มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต. นภดล ชิวปรีชา. (2553). รูปแบบและวิธีการสื่อสารความรับผิดชอบต่อสังคมที่ปรากฎในนิตยสาร เนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย. มหาวิทยาลัยศิลปากร. อนิรุทธิ์ เจริญสุข. (2563). หลักการดำเนินงานโรงแรม. กรุงเทพฯ : ซีเอ็ดยูเคชั่น. พระราชบัญญัติโรงแรม พ.ศ.2547. (ออนไลน์). Available: https://www.dip.go.th/Portals/0/patuemoh/fatu202547.pdf. (สืบค้น ข้อมูลวันที่ 4 ธันวาคม 2567). พิพัฒน์ นนทนาธรณ์. (2553). การจัดการความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร: การสร้างข้อได้เปรียบ ทางการแข่งขันอย่างยั่งยืน. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. การพัฒนาบุคลากรในงานโรงแรมและภัตตาคาร. มหาวิทยาลัย สุโขทัยธรรมธิราช. 2549. มิ่งสรรพ์ ขาวสะอาด และคณะ. (2548). อุตสาหกรรมโรงแรมของประเทศไทย. สถาบันวิจัยและ สังคม. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. รายงานประจำปี (2561). บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน). (ออนไลน์). Available: https://centel.listedcompany.com/misc/SD/sd_report-2018-th/doc.pdf. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 12 ธันวาคม 2566). รัตติมา เวชรัตน์. (2564). ความรับผิดชอบต่อสังคมของธุรกิจโรงแรมระดับ 4 ดาว ใน กรุงเทพมหานครที่มีผลต่อความจงรักภักดีของผู้จัดประชุมสัมมนาชาวไทย. วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์. สถาบันฝึกอบมวิชาการโรงแรมและการท่องเที่ยว (สรท.) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย. การบริหาร และการจัดการโรงแรม. กรุงเทพฯ: ไทยยูเนี่ยนกราฟฟิกส์. 2545. สิริภัทร์ โชติช่วง และคณะ. (2561). ทัศนคติด้าน 7 Greens ที่มีผลต่อการรับรู้ภาพลักษณ์ด้านการ ท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวในเกาะสมุย. วารสารคณะบริหารธุรกิจ เศรษฐศาสตร์และการ สื่อสาร, มหาวิทยาลัยนเรศวร. 13(1), 124-136. สุพานี สฤษฎ์วานิช. (2553). การบริหารเชิงกลยุทธ์. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. Hawkins, R. and Bohdanowwicz, P. (2011). Responsible Hospitality-Theory and Practice. Oxford: Goodfellows. Kasemsup, J. (2009). Environmental preservation for sustainable tourism. Environment Journal, 13(3), 34-42. Kotler, P. and Lee, N. (2005). Corporate Social Responsibility-Doing the Most Good for Your Company and Your Cause. New Jersey: John Wiley and Sons.
123 สาระสำคัญ 5.1 เกริ่นนำ 5.2 ความหมายของการสูญเสียอาหารและขยะอาหาร 5.3 สถานการณ์ขยะอาหารและอาหารส่วนเกิน 5.4 ขยะอาหารและอาหารส่วนเกินในโรงแรม 5.5 สาเหตุการเกิดขยะอาหารในโรงแรม 5.6 แนวทางการจัดการด้านขยะอาหารในโรงแรม 5.7 ปัญหาและอุปสรรคในการจัดการขยะอาหารในโรงแรม 5.8 ประโยชน์จากการดำเนินการขยะอาหารในโรงแรม 5.9 บทสรุป 5.10 กิจกรรมเสริมการเรียนรู้ 5.11 คำถามท้ายบทที่ 5 5.12 เอกสารอ้างอิง ที่มา: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ 26 มกราคม 2567 บทที่ 5 การจัดการขยะอาหารในโรงแรม
124 5.1 เกริ่นนำ อาหารเป็นปัจจัยในการดํารงชีวิตของมนุษย์ ผู้ผลิตอาหารจึงมีหน้าที่ในการตอบสนองต่อ ความต้องการของผู้บริโภค แต่ทว่าอาหารที่ผลิตออกมาในโลกส่วนหนึ่งกลับกลายเป็นอาหารส่วนเกิน ที่มากกว่าความต้องการของผู้บริโภคจึงทําให้อาหารเหล่านี้กลายเป็นขยะอาหารในที่สุด ปัจจุบันหลาย ประเทศทั่วโลกรวมถึงองค์กรระหว่างประเทศต่างให้ความสําคัญต่อปัญหาขยะอาหารเนื่องจากเป็นที่ ทราบกันดีว่าภาวะโลกร้อนนั้น มิได้มาจากการคาร์บอนไดออกไซด์เพียงอย่างเดียว หากแต่ยังมี “ขยะ อาหาร” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสําคัญที่ก่อให้เกิดภาวะดังกล่าว เนื่องจากวิธีการกําจัดอาหารเหล่านั้น ส่วนใหญ่คือ วิธีการฝังกลบ (Landfill) การปล่อยก๊าซมีเทนที่ทําให้เกิดภาวะก๊าซเรือนกระจกที่ทําให้โลกร้อนมากกว่า คาร์บอนไดออกไซด์ถึง (กะรัตลักษณ์เหลี่ยมเพชร, 2562) ทั้งนี้ในแต่ละปีมีขยะอาหารที่ถูกฝังกลบ (Landfill) ประมาณ 1,300 ล้านตัน ปริมาณ ดังกล่าวสามารถก่อให้เกิดมลพิษ 8% ของก๊าซเรือน กระจกทั้งหมดที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ (สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ), ม.ป.ป.) ข้อมูลจาก “Food Wastage Footprint : Impacts on Natural Resources” โดย องค์การอาหาร และเกษตรแห่งสหประชาชาติ (UNFAO) ระบุว่าในขณะที่เราทิ้งอาหารที่กิน ได้พบว่ามีประชากรทั่ว โลกประมาณ 87,000,000 คนที่เผชิญกับความหิวโหย ทั้งนี้สถานการณ์อาหารของโลก พบว่ามีการมี การสูญเสียอาหารและขยะอาหารตลอดห่วงโซ่อุปทาน ขณะที่โลกผลิตอาหารได้สําหรับประชากร 7,000 ล้านคน แต่พบว่ามีอาหารถูกทิ้งประมาณ 1.3 พันล้านตัน หรือคิดเป็นมูลค่า 1 ล้านล้านเหรียญ สหรัฐ ดังนั้นหากสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้เพียง 1 ใน 4 จะทําให้มีอาหารพอสําหรับคนที่เผชิญ ปัญหาความอดยากได้อีก 870 ล้านคนทั่วโลก (Food and Agricultural Organization of the United Nations, 2018) ในสหราชอาณาจักร มีการประมาณการว่าในแต่ละปี อาหาร 920,000 ตัน ถูกทิ้งที่ร้านค้า โดย 75% เป็นขยะที่หลีกเลี่ยงจากอาหารที่กินได้ในศรีลังกาประมาณว่า 79% ของ ขยะ โรงแรมทั้งหมดเป็นขยะอาหาร อาหารจํานวนมากถูกทิ้งร้างทุกวัน และส่วนใหญ่สามารถนํามาใช้ เป็นอาหารให้กับผู้หิวโหยของโลกได้ นอกจากนี้ยังพบว่าอาหารที่ถูกทิ้ง และพลังงานที่ใช้เพาะปลูก อาหารโดยไม่จําเป็นส่งผลเสียต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในห่วงโซ่อาหารเป็นเหตุให้อาหารมีราคาสูงขึ้น ดังนั้นการสูญเสียอาหารส่วนเกินและขยะอาหารนั้นก่อให้เกิดผลกระทบต่อทั้งด้าน เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมและความมั่นคงของอาหาร “ขยะอาหาร” จัดเป็นประเด็นที่เพิ่งเข้ามาในความสนใจของ โลกในทศวรรษ 2010 ด้วยความพยายามขององค์การอาหารกลายเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ต้องให้ ความสําคัญเพื่อป้องกันและจัดการ ทําให้หลายประเทศโดยเฉพาะประเทศในโลกตะวันตกหันมาให้ ความสนใจอย่างจริงจังด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัย การรณรงค์กระตุ้นสังคม เป็นต้น 5.2 ความหมายของการสูญเสียอาหารและขยะอาหาร สําหรับภาคบริการที่เติบโตและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจโรงแรมเป็น หนึ่งในธุรกิจที่ก่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งจากการใช้พลังงานและทรัพยากรมหาศาล รวมถึง อาหารและวัตถุดิบที่เหลือทิ้งปริมาณมาก ปัจจุบันหลายโรงแรมเริ่มตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น จากอาหารหรือวัตถุดิบที่เหลือทิ้ง และเริ่มลงมือในการจัดระบบการจัดการขยะที่เกิดจากอาหารและ การบริหารจัดการกับวัตถุดิบที่นํามาใช้ หากเป็นโรงแรมที่มีห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ จะมีปริมาณขยะ อาหารจากห้องอาหารมากถึง 400-500 กิโลกรัมต่อวัน (ชัยนันต์ ไชยแสน, 2564) ดังนั้นธุรกิจโรงแรม
125 ควรให้ความสําคัญต่อการจัดการขยะ อาหารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ให้กับธุรกิจมากที่สุด วิธีการศึกษาเกี่ยวกับการสูญเสียอาหาร และขยะอาหารแตกต่างกันในสองประเด็น คือ ประเด็น “ของเสีย” ซึ่งเชื่อมโยงกับแนวคิดสิ่งแวดล้อม และประเด็น “อาหาร” ที่เชื่อมโยงกับแนวคิด ความมั่นคงทางอาหารด้วยสองมุมมองที่แตกต่างกันนี้ส่งผลให้เกิดความสับสนในการให้คํานิยามและ กรอบของการสูญเสียอาหาร และขยะอาหาร (food loss and waste) ทําให้ข้อมูลเปรียบเทียบได้ ยาก การสูญเสียอาหาร (Food Loss: FL) จากบทความเรื่องวิกฤตการสูญเสียอาหารและขยะอาหาร ของ (Food Intelligence Center, 2560) Food and Agriculture Organization of the United Nation: FAO ได้ ใ ห้ ความหมายของ การสูญเสียอาหาร และขยะอาหาร ไว้ว่า ดังนี้ “การสูญเสียอาหาร” (Food Loss) คือ การลดลวของมวลอาหารที่สามารถบริโภคได้ตลอด ห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะอาหารสำหรับการบริโภคของมนุษย์ การสูญเสียอาหารเกิดขึ้นในขั้นตอน การผลิต การเก็บเกี่ยว และการแปรรูปในห่วงโซ่อุปทานอาหาร “ขยะอาหาร” (Food Waste) คือ การสูญเสียอาหารในตอนปลายทางของห่วงโซ่อาหารใน ขั้นตอนการขายปลีกและการบริโภค ซึ่งเชื่อมโยงไปยังพฤติกรรมของผู้ขายปลีกและผู้บริโภคและการ บริโภค (สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล, 2562) ได้กล่าวถึงความหมายของ การสูญเสียอาหาร การที่อาหาร ถูกทิ้งให้เสียหรือหมดอายุ ทิ้งเพราะบริโภคไม่หมด ทิ้งจากการเข้าใจผิดว่าไม่สามารถบริโภคได้ เช่น รับประทานเหลือ อาหารในชั้นวางสินค้าที่ไม่สวยจึงไม่มีคนซื้อ อาหารที่ยังไม่เสียแต่ป้ายบนบรรจุ ภัณฑ์เขียนว่าหมดอายุ (ชัยนันท์ ไชยเสน, 2564) ให้ความหมายของ การสูญเสียอาหาร ไว้ว่า เป็นการสูญเสียและ ก่อให้เกิดขยะในขั้นตอนก่อนได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์อาหารขั้น สุดท้ายของห่วงโซ่การผลิตอาหาร (Food Supply Chain) เช่น ในขั้นตอนการเก็บเกี่ยว (Harvesting) การผลิตและการบรรจุหีบห่อ (Producing) การแปรรูป (Transformation) การกระจายและการขนส่ง (Distribution) รวมถึงขยะ อาหารที่เกิดจากอาหารส่วนเกินจากกระบวนการจําหน่ายอาหาร (Retailing) (National Geographic, 2022) การสูญเสียอาหาร หมายถึง ส่วนของอาหารที่หลุดออกจาก ห่วงโซ่การผลิตเพราะไม่ได้มาตรฐาน ตั้งแต่ในขั้นตอนของการเพาะปลูก เก็บเกี่ยวผลผลิต การแปรรูป รวมถึงระหว่างการขนส่งไปยังเป้าหมายปลายทาง ขยะอาหาร (Food Waste) และอาหารส่วนเกิน (Food surplus) (National Geographic, 2022) กล่าวว่าขยะอาหาร หมายถึง อาหารเหลือทิ้งในตอนปลาย ของห่วงโซ่อาหาร (Food Chain) จากทั้งในส่วนของผู้ค้าปลีกและผู้บริโภค ทั้งเศษอาหารที่ รับประทานไม่หมด อาหารกระป๋องที่หมดอายุ เศษผักผลไม้ตกแต่งจาน รวมไปถึงอาหารเน่าเสียและ หมดอายุจากการบริหารจัดการที่ไม่เหมาะสมของร้านอาหาร ภัตตาคาร และร้านสะดวกซื้อต่าง ๆ (ชัยนันท์ ไชยเสน, 2564) ขยะอาหาร คือ อาหารเกินจากความต้องการของผู้บริโภค ร้านอาหารมีการกักตุนสินค้าเกินความพอดี หรือถูกทิ้งให้เสียหรือหมดอายุหรือบริโภคไม่หมด นอกจากนี้ขยะอาหาร คือ การสูญเสียในขั้นตอนการเตรียม เป็นอาหารเพื่อบริการหรือบริโภคและ ของเหลือจากการบริโภคแล้วต้องทิ้ง
126 (ทีดีอาร์ไอ), ม.ป.ป.) “ขยะอาหาร” (food waste) คือ เศษอาหารที่ไม่สามารถนํามาบริโภค ต่อได้ อาจเป็นสิ่งที่เหลือจากการบริโภค เช่น เปลือกผลไม้ หรือ เป็นอาหารที่เราทิ้งให้หมดอายุจนไม่ สามารถเอามาบริโภคต่อได้ (สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล, 2562) ได้ให้ความหมายของขยะอาหาร ไว้ว่า เป็นการที่อาหารถูกทิ้ง ให้เสียหรือหมดอายุ ทิ้งเพราะบริโภคไม่หมด ทิ้งจากการเข้าใจผิดว่าไม่สามารถบริโภคได้ เช่น รับประทานเหลือ อาหารในชั้นวางสินค้าที่ไม่สวยจึงไม่มีคนซื้อ อาหารที่ยังไม่เสียแต่ป้ายบนบรรจุ ภัณฑ์เขียนว่าหมดอายุ (ทีดีอาร์ไอ), ม.ป.ป.) “อาหารส่วนเกิน” (Food surplus) เป็นอาหารที่เกินจากความต้องการ ของผู้บริโภค แม้จะสามารถนําไปบริโภคต่อได้ แต่คนส่วนมากเลือกที่จะ “ทิ้ง” เช่น ผัก ผลไม้ที่ถูกตัด แต่งเพื่อความสวยงาม หรืออาหารกระป๋องที่เราทิ้งไปโดยที่ยังไม่หมดอายุ การนิยามความหมายของ “การสูญเสียอาหาร” กับ “ขยะอาหาร มีบางส่วนทับซ้อนกันไม่ สามารถแยกได้ทั้งหมด ทั้งการสูญเสียอาหารและขยะอาหารมีความคล้ายคลึงกันและอาจสร้างความ เข้าใจที่ คลาดเคลื่อนได้ดังนั้นจึงนิยามให้ “ขยะอาหาร” ครอบคลุมถึงสิ่งที่ “สามารถป้องกันได้” หรืออย่างน้อยที่สุดก็ “สามารถเลี่ยงได้บางส่วน” ขณะที่ “ของเสีย” (เช่น กระดูก เปลือกแตงโม) หมายถึง สิ่งที่ไม่สามารถกินได้ ทั้งนี้ “ขยะที่สามารถเลี่ยงได้บางส่วน” ขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัยหรือ วัฒนธรรมประเพณี เช่น เปลือกผลไม้บางอย่างสามารถกินได้แต่บางคนก็ปอกทิ้งไปทําให้เป็นขยะ หรือกล้วยสุกเป็นสิ่งที่ เพราะสามารถแปรรูปเป็นอาหารรูปแบบอื่น ๆ ได้ เช่น กล้วยตาก เค้ก เป็นต้น โดยสรุปแล้ว การสูญเสียอาหาร (Food Loss) หมายถึงสิ่งหรือวัตถุดิบอาหารใด ๆ ที่สูญเสีย ไปตั้งแต่การผลิตจนถึงก่อนมือผู้บริโภค ส่วนขยะอาหาร (Food Waste) หมายถึงวัตถุดิบที่สูญเสีย หรือถูกทิ้งในช่วง ปลายห่วงโซ่อาหาร เช่น การสูญเสียอาหารหรือวัตถุดิบอาหารเมื่อถึงมือผู้บริโภค แล้วจะถูกเรียกว่า “ขยะอาหาร” 5.3 สถานการณ์ขยะอาหารและอาหารส่วนเกิน องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (UN) ระบุว่าในแต่ละปีอาหารกว่า 1,300 ล้านตัน หรือ 1 ใน 3 ของอาหารที่ผลิตได้ทั่วโลกกลายเป็นขยะอาหารที่ถูกทิ้งไปอย่างสูญเปล่า (Bureau Veritas, 2021) ขณะที่คนกว่า 830 ล้านคนทั่วโลกกลับประสบภาวะอดอยาก ข้อมูลของ องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า 5 ปีที่ผ่านมาตัวเลขของประชากรที่ขาดแคลนอาหารเพิ่มขึ้นเกือบ 60 ล้านคน ขณะที่มีผู้คนจํานวนมากเผชิญกับความหิวโหย แต่กลับพบว่าในแต่ละปีมีอาหารที่ถูกทิ้ง อย่างไร้ค่าทั่วโลกมากกว่าร้อยละ 30 นอกเหนือจากผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมแล้วขยะอาหาร ยัง ส่งผลทําให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจประมาณ 940 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐต่อปี รวมถึงส่งผล กระทบทางด้านสังคมอีกด้วย ทั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่อาหารที่ถูกทิ้ง แต่ยังหมายถึงต้นทุนทุกอย่างตั้งแต่ การผลิต ผืนป่าที่ถูกทําลายเพื่ออุตสาหกรรมอาหาร ผู้คนที่ต้องอพยพเนื่องจากขาดแคลนน้ำเพื่อ บริโภคจากความต้องการใช้น้ำจํานวนมากของอุตสาหกรรมอาหาร ผืนดินที่ปนเปื้อน อากาศที่เต็มไป ด้วยมลพิษจากการใช้สารเคมีกําจัดศัตรูพืชและยาฆ่าแมลง สุดท้ายคือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน ปริมาณมหาศาลของอุตสาหกรรม เมื่อคํานวนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของทั้งโลกแล้วอาหารที่ถูก ทิ้งทั้งหมดตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงปลายทางปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 8% เทียบเท่ากับการปล่อยก๊าซ เรือนกระจกจากภาคคมนาคมและมากกว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคการบินทั่วโลกถึง 4 เท่า และเนื่องจากระบบอุตสาหกรรมอาหารทั่วโลกยังมีสายการผลิตที่ยาวกว่าระบบอื่น ๆ ผลที่ได้
127 คือการสูญเสียอาหารและขยะอาหารที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ขยะอาหารมีที่มาที่ หลากหลายตั้งแต่ระดับบุคคล ครัวเรือน ร้านอาหาร จนถึงระดับอุตสาหกรรมอาหารขนาดใหญ่ จาก รายงาน (Food Waste Index Report 2021, อ้างใน ศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนา ที่ยั่งยืน, 2564) ของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UN Environment Programme: UNEP) รายงานว่ารายงานเกี่ยวกับสถานะปัจจุบันของขยะอาหารทั่วโลก ประมาณว่ามนุษย์ผลิตขยะ จากอาหารปริมาณ 931 ล้านตันในปี 2019 หรือ คิดเป็น 17% ของอาหารทั้งหมดที่ผลิตมาให้กับ ผู้บริโภค ในประเทศไทยข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ ระบุว่าในปี 2560 ขยะอาหารคิดเป็นร้อยละ 64 ของปริมาณทั้งหมด หรือปริมาณ 17.56 ล้านตัน คิดเป็นปริมาณต่อคนเท่ากับ 254 กิโลกรัมต่อคนต่อ ปี ซึ่งประเทศไทยมีการนําขยะอาหารไปใช้ประโยชน์น้อยมาก เนื่องจากเทศบาลส่วนมากไม่มีการแยก ขยะและในกรุงเทพฯ สามารถรีไซเคิลขยะอาหารได้เพียง 2 % เท่านั้น ซึ่งข้อมูลนี้เป็นเพียงปริมาณ ขยะมูลฝอยที่เก็บโดยเทศบาลเท่านั้น ยังไม่รวมขยะอาหารจากภาคธุรกิจที่จ้างบริษัทเอกชน ดําเนินการ หากแต่ยังไม่มีข้อมูลปริมาณอาหารที่ผลิตและปริมาณการทิ้งขยะอาหาร (สถาบันวิจัยเพื่อ การพัฒนาประเทศไทย, 2562) ขยะอาหารเหล่านี้มาจากอาหารที่เหลือจากการบริโภคทั้งในครัวเรือน อาหารที่เหลือจากการจําหน่ายในร้านค้าปลีก อาหารบุฟเฟ่ต์และอาหารที่ใช้เพื่อปรุงแต่งจานใน ร้านอาหารหรือโรงแรม ขยะที่สร้างขึ้นในภาคการเกษตรและอุตสาหกรรม จากกระบวนการผลิตที่มี วัตถุดิบเหลือใช้และการจัดเก็บวัตถุดิบที่ไม่ดีทําให้เกิดการเน่าเสีย (ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา, 2564) 5.4 ขยะอาหารและอาหารส่วนเกินในธุรกิจโรงแรม ในอดีตปริมาณขยะอาหารจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวนั้นมีปริมาณน้อยกว่าปริมาณขยะ อาหารที่มาจากครัวเรือน แต่ตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมาแนวโน้มของการทานอาหารนอกบ้านและการ ท่องเที่ยวที่ขยายตัวมากขึ้น ทําให้ปริมาณขยะอาหารจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นปริมาณ มาก (United Nations Environment Programme, 2021 อ้างใน ศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมาย การพัฒนาอย่างยั่งยืน, 2564) รายงานว่าในปี 2019 ขยะอาหารจากทั่วโลกมีปริมาณ 931 ล้านตัน แบ่งเป็นขยะอาหารจากครัวเรือนร้อยละ 61 จากธุรกิจบริการ ร้อยละ 26 และการค้าปลีกอีกร้อยละ 13 ตัวเลขดังกล่าวแสดงว่าร้อยละ 17 ของอาหารที่ผลิตทั่วโลกได้กลายเป็นขยะอาหาร ธุรกิจโรงแรม เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการใช้พลังงานและก่อให้เกิดของเสียได้มากที่สุด ดังนั้นการขยายตัวอย่าง รวดเร็วของธุรกิจจึงส่งผลต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในหลายประเทศ โดยปกติแล้วโรงแรมขยะของ โรงแรมแบ่งออกได้เป็นขยะอาหารและขยะที่ไม่สามารถนํากลับมารีไซเคิลได้ 46.2 % กระดาษ 25.3 % กระดาษแข็ง 11.7 % พลาสติก 6.7% แก้ว 5.6% และโลหะ 4.5% โดยขยะอาหารคือขยะที่มี ปริมาณมากที่สุดที่ธุรกิจโรงแรมสร้างขึ้น ขยะอาหารในธุรกิจโรงแรม หมายถึง อาหารหรือเศษอาหารที่ไม่ต้องการและถูกกําจัด เช่น เศษอาหารที่เหลือในจานของแขก เศษอาหารที่เกิดจากการเตรียมระหว่างการประกอบอาหารหรือ แม้แต่อาหารที่ถูกจัดเก็บไว้ ซึ่งเศษอาหารที่ไม่สามารถรับประทานได้ไม่ควรจัดอยู่ในขยะอาหาร เช่น กระดูกสัตว์ เมล็ดพืช น้ำมันตกค้าง สารปรุงแต่งรสธรรมชาติและสารแต่งสีในอุตสาหกรรมที่มีการ แข่งขันสูงผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารและเครื่องดื่ม มักมองหาวิธีปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและลด ของเสีย หรือการเพิ่มผลผลิต ในทางปฏิบัติการจัดการขยะ เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงกระบวนการ
128 เทคนิคต่าง ๆ อาทิ การรับคําสั่งอาหารที่ถูกต้อง การชั่งตวงที่ถูกต้อง การควบคุมขนาดและปริมาณ ของอาหารที่เหมาะสม (Portion size) และผลิตภัณฑ์ที่มีในแต่ละในห้องอาหารของพนักงานที่มีการ ผลิตอาหารจํานวนมากในแต่ละมื้ออาหาร อาทิ น้ำแกง อาหารจานร้อน อาหารประเภท เส้นและ อื่น ๆ ถูกทิ้งเป็นจํานวนมาก หากมีการใช้ระบบการติดตามเศษอาหารจะเป็นประโยชน์ในการช่วยลด ปริมาณขยะอาหารได้เป็นอย่างมาก ทั้งนี้เป้าหมายส่วนใหญ่ของการดําเนินการธุรกิจโรงแรมคือการ สร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้า จากข้อมูลงานวิจัยจาก Life Science ในประเทศโปแลนด์ที่เก็บข้อมูลปริมาณอาหารที่เหลือ จากการบริโภคของแขกในโรงแรมหลายแห่ง (ก่อนเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของ Covid-19) พบว่า 3 ใน 4 ของอาหารที่ผลิตเพื่อบริการแก่แขก ทั้งบุฟเฟต์อาหารเช้า การจัดเลี้ยงและสัมมนา Room Service ถูกทิ้งเป็นขยะอาหาร ซึ่งหมายถึงการกําจัดขยะอาหารดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุที่จะ ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนอีกด้วย ในทศวรรษที่ผ่านมาขั้นตอนการกําจัดขยะอาหารสร้างก๊าซเรือน กระจกกว่าร้อยละ 8 เทียบกับมลพิษที่เกิดจากยานยนต์ที่วิ่งบนถนนที่อยู่ร้อยละ 10 ถือว่าเป็นปริมาณ ที่เกือบจะเท่ากันทีเดียว เช่น จากการดําเนินงานด้านการลดปริมาณขยะอาหารของโรงแรมสามพราน ริเวอร์ไซด์พบว่า ขยะอาหารที่เกิดจากการเน่าเสียจากการเก็บรักษา เนื่องจากหมดอายุ หรือซื้อมาไว้ มากเกินไปรวมกับเศษอาหารที่ต้องทิ้งจากการเตรียมทําอาหาร เช่น การ หั่น การเด็ด การตัด พืชผัก ผลไม้มีปริมาณ 10 % ขณะที่อาหารเหลือจากบุฟเฟต์ไลน์ที่ผลิตมากเกินไปมี ปริมาณ 30% และ อาหารที่เหลือจากจานลูกค้าที่ตักอาหารปริมาณมากเกินไปและรับประทานไม่หมดมีมากถึง 60% (อรุษ นวราช, 2561) การตั้งเป้าหมายเพื่อลดขยะอาหารให้ได้ครึ่งหนึ่งภายในปี 2573 ตามเป้าหมายการพัฒนา อย่างยั่งยืน สําหรับไทยอาจเป็นไปได้ยากแต่ปัจจุบันพบว่ามีผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมในเมืองใหญ่ของ แต่ละภูมิภาค อาทิ เชียงใหม่ กรุงเทพ ภูเก็ต นครราชสีมาและชลบุรี เข้าใจและตระหนักถึง สถานการณ์ปัญหาขยะอาหารและอาหารส่วนเกิน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ไม่แพ้ปัญหาขยะพลาสติก โรงแรมหลายแห่งมีการกําหนดนโยบายด้านการจัดการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายและ นโยบายที่ชัดเจนตลอดจนการตั้งคณะทํางานภายใน หรือการจ้างบริษัทที่ปรึกษาสําหรับนโยบายที่ เกี่ยวข้องกับการจัดการขยะอาหาร โดยทั้งนี้ถือว่าโรงแรมเป็นธุรกิจที่มีระบบนิเวศเกี่ยวกับการบริหาร จัดการขยะอาหารที่ดีที่สุด เนื่องจากได้รับการส่งเสริมจากหน่วยงานรัฐ ได้แก่ สํานักงานส่งเสริมการ จัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน. ซึ่งให้เงินอุดหนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างที่ ปรึกษาในการสํารวจปริมาณและที่มาของขยะอาหารและแนวทางในการลดขยะอาหาร ภายใต้ เงื่อนไขการดําเนินการลดปริมาณขยะอาหารไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของปริมาณขยะอาหารที่ผลิต โดย มีบริษัทที่ปรึกษาคือ Light-blue Environmental Consulting Co., Ltd. ให้ความช่วยเหลือในเรื่อง ของดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม และมีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการขยะอาหารโดยเฉพาะ เช่น การสร้างเทคโนโลยี หรือระบบเพื่อจัดการเกี่ยวกับเศษอาหารและขยะ เป็นต้น ปัจจุบันมีโรงแรมที่เข้า ร่วมโครงการกว่า 10 โรงแรม เช่น โรงแรม Marriott Marquis โรงแรมสามพราน ริเวอร์ไซด์ เป็นต้น โดยบริษัท Light-blue Environmental Consulting Co., Ltd. ให้ความสําคัญกับกิจกรรมด้าน “การป้องกัน” (Prevention) ที่เน้นการลดปริมาณ ขยะอาหาร เช่น ในเครือโรงแรม Marriott International ซึ่งเป็นเครือโรงแรมขนาดใหญ่ที่มีโรงแรมอยู่กว่าหลายร้อยประเทศทั่วโลกได้ ตั้งเป้าหมายลดอาหารเหลือทิ้งให้ได้ประมาณ 50% ภายในปี 2025
129 5.5 สาเหตุการเกิดขยะอาหารในโรงแรม จากข้อมูลการศึกษางานวิจัยเรื่องการจัดการขยะอาหารในครัวของโรงแรมเพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพในการจัดการวัตถุดิบและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม กล่าวว่าปัญหาหลักที่ก่อให้เกิดขยะ อาหารของธุรกิจโรงแรม ประกอบด้วย (ชัยนันท์ ไชยเสน, 2564) 1) การขาดประสิทธิภาพในขั้นตอนการผลิต (Inefficient Product Process) ขยะ อาหารจํานวนมากในครัวเกิดจากเศษวัตถุดิบอาหารที่เหลือจากการหั่น ตัด แต่ง อาทิ เศษผัก ผลไม้ กระดูก ที่ไม่สามารถรับประทานได้ รวมถึงประสิทธิภาพของอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในครัว 2) ทักษะการทํางานของบุคลากร (Labor Skills of Employees) บุคลากรที่ขาด ทักษะความรู้ ความเข้าใจในการปฏิบัติครัว คือสาเหตุสําคัญที่ก่อให้เกิดการสูญเสียในขั้นตอนการผลิต จากการขาดทักษะการหั่น การตัด หรือการปรุงอาหารที่ผิดพลาด การเสิร์ฟอาหารเกินความต้องการ เป็นต้น 3) นโยบายการดําเนินธุรกิจร้านอาหาร (Policy of the Restaurants) หากผู้บริหาร มีการกําหนดนโยบายที่ผิดพลาดย่อมก่อให้เกิดการสูญเสียต้นทุนและกําไร เช่น การสั่งซื้อวัตถุดิบใน ปริมาณเกินการใช้งานจริง เป็นเหตุให้วัตถุดิบเน่าเสีย หมดอายุ หรือเสื่อมสภาพก่อนกระบวนการผลิต การจัดโปรโมชั่นเพื่อส่งเสริมการขายในแต่ละวันที่ไม่สอดคล้องกับจํานวนลูกค้าที่ใช้บริการการ ออกแบบรายการอาหารที่มีหลากหลายเกินไป เหล่านี้เป็นเหตุการขาดประสิทธิภาพในการบริหาร จัดการอย่างเป็นระบบเป็นเหตุให้เกิดปัญหาขยะอาหาร 4) การวางแผนและออกแบบรายการอาหาร (Planning and Designing of the Food Menu) เป็นปัจจัยสําคัญลําดับต้น ๆ ในการบริหารธุรกิจร้านอาหาร ผู้ออกแบบรายการอาหาร ต้องมีความเข้าใจกลุ่มลูกค้าตลอดจนพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าที่มาใช้บริการ เช่น ลูกค้ารับประทาน อาหารไม่หมด เนื่องจากรสชาติหรือปริมาณมากเกินไป อาหารบางรายการไม่มีลูกค้าสั่งเหล่านี้ส่งผล วัตถุดิบคงเหลือที่เน่าเสียและเสื่อมสภาพหรือหมดอายุต่อไป ดังนั้นการวางแผนและออกแบบรายการ อาหารถือเป็นกระบวนการที่ช่วยในการลดขยะอาหารเช่นกัน 5) การส่งมอบสินค้าและรายละเอียดการบริการ (Execution of Products and Services) รูปแบบการบริการอาหาร เช่น อาหารบุฟเฟต์ อาหารจัดเลี้ยง อาหารตามสั่ง ส่งผลต่อการ เกิดขยะอาหาร ดังนั้นจึงควรมีการส่งมอบสินค้าหรือบริการที่มีความเหมาะสม การจัดเตรียมและการ ผลิตอาหารในแต่ละมื้อต้องมีความรอบคอบเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาขยะอาหาร รวมถึงการสื่อสาร ระหว่าง พนักงานให้บริการและพนักงานครัว มีความสําคัญอย่างมาก หากพนักงานบริการรับคําสั่ง จากลูกค้าผิด และนําคําสั่งนั้นมาให้พนักงานครัวผลิตอาหารส่งผลให้การผลิตอาหารนั้นผิดพลาด ตามมาเหล่านี้ก่อให้เกิดการร้องเรียนในการผลิตอาหารใหม่ และเกิดขยะอาหารเหลือทิ้ง ขณะที่ (สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย, 2562) ได้ระบุถึงสาเหตุของการเกิดปัญหา ขยะ อาหารและอาหารส่วนเกินในโรงแรมขนาดใหญ่ของกรุงเทพ ได้แก่ 1) การเน่าเสีย (Spoiled) หรือเสียหายของอาหารที่เป็นวัตถุดิบก่อนการนํามา ประกอบอาหาร 2) การทิ้งอาหารที่เกิดในขั้นตอนของการประกอบอาหารในครัว (Preparation) 3) การทิ้งอาหารที่เหลือจากบุฟเฟต์(Buffet line) ที่ต้องเติมให้เต็มอยู่เสมอ 4) การทิ้งอาหารที่รับประทานไม่หมดในจานอาหารของลูกค้า (Plate)
130 5.6 แนวทางการจัดการด้านขยะอาหารในโรงแรม ในฐานะที่ธุรกิจโรงแรมเป็นหนึ่งในห่วงโซ่การผลิตที่ก่อให้เกิดขยะอาหารปริมาณมากและ แม้ว่าในปัจจุบันจะยังไม่มีการเก็บข้อมูลปริมาณขยะอาหารที่เกิดขึ้นจากภาคเอกชน อ้างถึงแนวคิด ลําดับขั้นการบริหารเพื่อเป็นแนวทางในการลดปริมาณขยะอาหารขององค์กรสหประชาชาติ ภาคเอกชนรวมทั้งธุรกิจ โรงแรมสามารถเลือกดําเนินการได้ 4 แนวทาง หรือ 4R ได้แก่ (สถาบันวิจัย เพื่อการพัฒนาประเทศไทย, 2562) 1) Reduce คือลดปริมาณอาหารที่ต้องทิ้งทั้งที่ยังคงรับประทานได้และที่เป็นขยะ อาหาร 2) Reuse คือนําอาหารที่ยังรับประทานได้ไปบริจาค หรือ นําไปเป็นอาหารสัตว์ 3) Recycle คือนําไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่น เช่น ปุ๋ย หรือ ก๊าซชีวภาพ 4) Recovery คือ การเผาเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้า ทั้งนี้การกําจัดขยะอาหารในโรงแรมขนาดเล็กในต่างจังหวัดจะไม่ประสบปัญหาเหมือน โรงแรมขนาดใหญ่ เนื่องจากมีฟาร์มสุกรคอยรับซื้อเศษอาหารรวมถึงมาตรการของโรงแรมที่นําเศษ อาหาร เศษผักและผลไม้ไปทําปุ๋ย หรือน้ำหมักชีวภาพเพื่อใช้ในโรงแรม ขณะที่โรงแรมขนาดใหญ่ จําเป็นต้องใช้วิธีการที่หลากหลาย เช่น การฝังกลบ การนําอาหารเหลือมาปรุงใหม่ การบริจาคอาหาร ภาพที่ 5.1 ปิรามิดลำดับขั้นของการบริหารจัดการห่วงโซ่อาหารเพื่อลดปริมาณขยะอาหาร ที่มา: รายงานทีดีอาร์ไอ ฉบับที่ 159 ธันวาคม 2562 https://tdri.or.th/wp-content/uploads/2019/11/wb159.pdf, 2567 Sustainable Hospitality Alliance (ม.ป.ป.) ได้เสนอแนะแนวทางในการลดปริมาณขยะ อาหารโดย การเริ่มต้นที่ดีคือการวางนโยบายให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของ สหประชาชาติและดําเนินการดังนี้ 1) การมีส่วนร่วมของพนักงานในโรงแรม จัดให้มีโครงการอบรมเพื่อให้พนักงานเกิด ความรู้ ความเข้าใจ โดยเริ่มจากการลดปริมาณขยะอาหารในห้องครัวพนักงาน ซึ่งพนักงานหลายคน อาจกระตือรือร้นที่จะมีส่วนร่วมกับการเปลี่ยนพฤติกรรมดังกล่าวอยู่แล้ว เนื่องจากความกังวลที่มีต่อ สถานการณ์ความมั่นคงด้านอาหาร ป้องกัน ป้องกัน ลด ลด ทิ้ง การป้องกัน การป้องกันการเกิดขยะอาหารจากห่วงโซ่อาหาร การเพิ่มคุณประโยชน์สูงสุด การบริจาคอาหารส่วนเกินแก่ผู้ยากไร้ และผลิตเป็นอาหารสัตว์ การนำมาผลิตเพื่อใช้ใหม่ การนำขยะอาหารมาผลิตพลังงานเทคโนโลยีหมักย่อยแบบไร้อากาศเพื่อ ผลิตก๊าซชีวภาพ และการนำมาผลิตปุ๋ยเพื่อการเกษตร การกำจัดเพื่อนำพลังงานมาใช้ใหม่ การเผาเพื่อผลิตพลังงาน การกำจัด การเผา การฝังกลบ และทิ้งร่วมกับน้ำเสียเพื่อการบำบัด
131 2) วิเคราะห์การดําเนินงานของโรงแรม ทั้งนี้อาหารส่วนเกินและขยะอาหารสามารถ เกิดขึ้นได้จากการดําเนินงานทุกขั้นตอน ดังนั้นการตรวจสอบกระบวนการจัดส่งและการจัดเก็บของ วัตถุดิบเป็นเรื่องสําคัญ ตลอดจนวิธีการเตรียมและเสิร์ฟอาหารและการดําเนินการอาหารที่เหลือ โรงแรมต้องมั่นใจว่าได้ใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบและผลผลิตที่ซื้อไป เช่น IHG Hotels & Resorts ใน ออสเตรเลียร่วมมือกับ NGO ในท้องถิ่นเพื่อเปลี่ยนเส้นทางอาหารจากการฝังกลบโดยการบริจาค อาหาร 7,260 มื้อให้กับผู้ด้อยโอกาสในปี 2020 3) การจัดทําข้อมูลปริมาณขยะอาหาร โดยการติดตามและวัดปริมาณขยะที่เกิดขึ้น ในแต่ละวันในโรงแรม ปัจจุบันมีผู้ผลิตระบบที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลดังกล่าว อาทิ ระบบการจัดการ ขยะอาหารของ KIRTO ที่เป็นระบบแบบครบวงจร โดยใช้ถังขยะอัจฉริยะติดกับกล้อง AI ทําให้ สามารถวัดปริมาณ และชนิดของขยะอาหารและอาหารส่วนเกินโดยการประมวลผลภาพจากกล้อง วีดีโอ และส่งข้อมูลทั้งหมดไปที่แอปพลิเคชันเพื่อใช้เป็นระบบวิเคราะห์ขยะอาหารต่อไปที่โรงแรม D' Angleterre ซึ่งนําระบบ KIRTO ไปใช้ พบว่าแขกส่วนใหญ่ไม่ทานมะเขือเทศที่ประดับในจาน อาหารประเภทไข่กวนในมื้อเช้าทางโรงแรมจึงนํามะเขือเทศออก ผลคือโรงแรมสามารถหลีกเลี่ยงการ ทิ้งมะเขือเทศได้หลายกิโลกรัมต่อวัน ซึ่งนอกจากเป็นการลดปริมาณขยะอาหารแล้วยังเป็นการช่วยลด ต้นทุนให้แก่โรงแรมได้อีกด้วย นอกจากนี้ WWF (World Wildlife Fund) เองก็กําลังพัฒนาวิธีการ ตรวจสอบขยะมูลฝอยในโรงแรม รวมถึงขยะอาหารอีกด้วย 4) ความร่วมมือกับทุกฝ่าย โรงแรมสามารถสร้างความตระหนักในเรื่องการ ดําเนินการเกี่ยวกับการลดปริมาณอาหารส่วนเกินและขยะอาหารให้แก่แขกของโรงแรม โดยการแจ้ง ให้แขกทราบว่าโรงแรมมีนโยบายการดําเนินการและเป้าหมายอย่างไร รวมถึงผลลัพธ์ที่ได้จะส่งผลต่อ สิ่งแวดล้อมในอนาคตอย่างไร นอกจากนี้ตลอดจนธุรกิจอื่น ๆ ในชุมชน ตัวอย่างเช่น Park Hyatt Zurich ประเทศเยอรมันได้สร้างความตระหนักในการประกอบจากทุกส่วนของสัตว์ รวมถึงส่วนที่ไม่ ต้องการและนําเสนอในร้านอาหารของโรงแรม นอกจากนี้หัวหน้าพ่อครัวยังได้จัดการประชุมระหว่าง พ่อครัวของร้านอาหารในพื้นที่ให้ดําเนินการแบบเดียวกัน (กวินรัศน์ เรืองเอี่ยม และคณะ, 2562) ได้ศึกษาแนวทางการจัดการอาหารที่ถูกทิ้ง (Food Waste) จากการจัดกิจกรรมพิเศษเพื่อความยั่งยืนของธุรกิจอุตสาหกรรมบริการ และเสนอแนวทางใน การดําเนินงานของธุรกิจบริการต่อ การลดปริมาณขยะอาหารไว้ดังนี้ 1) การจัดการเรื่องขยะอาหารต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของบุคลากร เพื่อให้ สะท้อนถึงภาพลักษณ์ด้านความยั่งยืนให้ชัดเจนมากขึ้น 2) องค์กรควรมีการกําหนดและสร้างมาตรการในการจัดการขยะอาหารให้เกิด ประโยชน์และคุณค่าต่อประเทศโดยจัดเป็นโครงการอย่างชัดเจน 3) สร้างจิตสํานึกให้แก่ผู้ใช้บริการในการลดการทิ้งขว้างอาหาร การรับประทาน อาหารให้หมด เป็นต้น การจัดการขยะอาหารให้เป็นศูนย์ของโรงแรมเป็นเรื่องที่ยากและแทบจะเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากลักษณะเฉพาะของการบริการในโรงแรมที่ต้องตอบสนองความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าต่อ คุณภาพอาหาร นอกจากนี้ยังมีการศึกษาเพื่อนําเสนอรูปแบบการจัดการครัวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม Eco- Kitchen เพื่อใช้ในการจัดการปัญหาขยะอาหารในครัวโรงแรม และเพิ่มประสิทธิภาพในการลด ต้นทุนหรือบริหารต้นทุน อย่างคุ้มค่าหรือการจัดการครัวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีเป้าหมาย 2 ประการคือ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และปรับเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทยไปสู่
132 รูปแบบ “BCG Economy Model” (ประกอบด้วย 3 เศรษฐกิจหลัก คือ B-Bio Economy ระบบ เศรษฐกิจชีวภาพ C-Circular Economy ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน และ G-Green Economy ระบบ เศรษฐกิจสีเขียว) ทําให้เกิดรูปแบบนวัตกรรมการจัดการขยะอาหารในครัวของธุรกิจโรงแรมจาม แนวคิดการจัดการระบบในครัวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีกลยุทธ์ในการลดขยะอาหารในครัวของ โรงแรม 13 กลลยุทธ์ดังนี้ 1) การศึกษาพฤติกรรมของลูกค้า (Customer Behavior) โดยศึกษาข้อมูลเบื้องต้น อาทิ สัญชาติ เพศ อายุ การศึกษา และวัตถุประสงค์ในการเดินทาง อาทิ การพักผ่อน การประชุม ธุรกิจ การศึกษา การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพื่อนําข้อมูลมาวิเคราะห์ในการออกแบบและพัฒนา รายการอาหารและปริมาณอาหารที่ต้องการและเหมาะสมกับประเภทของแขกที่เข้าพักเพื่อเป็นการ ลดปริมาณขยะอาหาร 2) การออกแบบและวางแผนรายการอาหาร (Menu Design and Planning) ข้อมูล ที่ได้จากการศึกษาพฤติกรรมของลูกค้า สามารถใช้ในการออกแบบรายการอาหาร โดยสรุปข้อมูล รายการอาหารที่ได้รับ ความนิยม คํานวณยอดขาย กําไรของอาหารแต่ละรายการ การศึกษาแนวโน้ม ของรายการอาหารและเครื่องดื่ม ข้อมูลผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่นตามฤดูกาล จํานวนลูกค้าที่มาใช้บริการ ทั้งลูกค้าของโรงแรมและนอกโรงแรม ช่วงเวลาที่ลูกค้าใช้บริการ เป็นต้น ข้อมูลที่ได้จะช่วยให้ ห้องอาหารสามารถออกแบบรายการอาหาร จํานวนรายการอาหารที่เหมาะสม อีกทั้งยังเป็นการ ทบทวนรายการอาหารทุก 6 เดือนหรือตามฤดูกาลท่องเที่ยวอีกด้วย 3) การกําหนดคุณลักษณะของสินค้า (Product Specifications) หัวหน้าพ่อครัว และผู้จัดการแผนกอาหารและเครื่องดื่ม หรือผู้เกี่ยวข้องต้องกําหนดคุณลักษณะของวัตถุดิบที่ต้องใช้ อย่างเหมาะสม เช่น แหล่งที่มา ขนาด บรรจุภัณฑ์ โดยเลือกวัตถุดิบในท้องถิ่นและเป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อม รวมทั้งวัตถุดิบ ประเภทพร้อมใช้หรือตัดแต่งเรียบร้อยแล้วเพื่อลดขั้นตอนการสูญเสีย วัตถุดิบที่อาจกลายเป็นขยะอาหารจากขั้นตอนระหว่างการจัดเตรียมและประกอบอาหาร 4) การจัดซื้อสินค้า (Purchasing) แผนกจัดซื้อควรพิจารณาเลือกตัวแทนจําหน่ายที่ มีอัตราสูญเสียของวัตถุดิบเป็นเปอร์เซ็นต์ (Yield Test) ของวัตถุดิบน้อยที่สุดเพื่อลดการสูญเสียของ อาหารและขยะอาหารและต้นทุนวัตถุดิบในการจัดซื้อควรสั่งปริมาณที่เหมาะสมหรือรวมยอดการ สั่งซื้อของวัตถุดิบประเภทเดียวกันของแต่ละครัว เพื่ออํานาจในการต่อรองและลดต้นทุนค่าขนส่ง 5) การตรวจรับสินค้า (Receiving) บุคลากรตรวจรับสินค้าต้องมีความรู้ความเข้าใจ คุณลักษณะของสินค้าตามที่กําหนดในเอกสาร ตรวจรับเอกสารตามขั้นตอนมาตรฐานควบคุมดูแล ความปลอดภัยในทุกกระบวนการผลิตอาหารมาตรฐาน HACCP (Hazard Analysis Critical Control Point) เช่น การตรวจสภาพของสินค้าและบรรจุภัณฑ์ วันหมดอายุ อุณหภูมิ เพื่อลดการสูญเสียและ กลายเป็นขยะอาหาร 6) การจัดเก็บและเบิกจ่ายสินค้า (Storage and Issuing) บุคลากรที่ต้องมีรู้ความ เข้าใจในหลักการเพื่อลดการสูญเสียจากสินค้าหมดอายุเน่าเสีย โดยใช้หลักการจัดการสินค้าคงคลัง จามประเภทของสินค้าและอุณหภูมิ หลักใหม่เก็บเก่าใช้ก่อน (First in First out (FIFO) ติดฉลากเพื่อ บอกวันหมดอายุ หรือสินค้าต้องใช้ก่อนเมื่อไร ตรวจสอบการทํางานและอุณหภูมิในพื้นที่เก็บของเป็น ประจํา และทําความสะอาดอยู่เสมอ กําหนดปริมาณการเบิกจ่ายตามการใช้งานจริงเพื่อลดการ สูญเสียเพราะการเบิกสินค้าเกินความจําเป็นทําให้การเก็บรักษาไม่ได้มาตรฐานส่งผลให้สินค้าเน่า เสียก่อนการผลิต
133 7) การจัดเตรียมอาหาร (Food Preparation) พนักงานครัวต้องมีทักษะในการ จัดเตรียมวัตถุดิบ อาทิ การตัด นั่น แต่ง การใช้อุปกรณ์และเครื่องมือในครัว ประมาณการจํานวนการ จัดเตรียมวัตถุดิบที่สอดคล้องกับจํานวนยอดขาย (Production Sheet) สามารถบริหารจัดการเศษ วัตถุดิบที่เหลือแล้วสามารถนําไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้ 8) การผลิตอาหาร (Food Production) สําหรับการบริการอาหารรูปแบบบุฟเฟต์ และงานจัดเลี้ยง พ่อครัวไม่ควรปรุงอาหารปริมาณในครั้งเดียว เช่น ในอาหารเช้าแบบบุฟเฟต์ที่ ให้บริการ 4-5 ชั่วโมง แขกจะลงมาทานอาหารในเวลาที่แตกต่างกัน ดังนั้นพ่อครัวควรให้พนักงานใน ห้องอาหารตรวจเป็นระยะว่ามีจํานวนแขกคงเหลือเท่าไร เพื่อจะปรุงอาหารได้ตามความเหมาะสม และป้องกันอาหารเหลือและกลายเป็นขยะอาหาร 9) การส่งมอบบริการ (Service Delivery) ทักษะการทํางานของพนักงานให้บริการ เป็นเรื่องสําคัญพนักงานต้องมีความรอบคอบ แนะนํารายการอาหาร ทวนรายการอาหารเพื่อป้องกัน ข้อผิดพลาด ตลอดจนการจดรายการอาหารให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้พ่อครัวทําอาหารผิดคําสั่งของลูกค้า นอกจากนี้ควรสอบถามลูกค้าหลังมื้ออาหารหากพบว่าอาหารในจานเหลือเยอะ กรณีการให้บริการ แบบบุฟเฟต์ควรมีภาชนะที่มีหลายขนาด หรืออาจมีพนักงานคอยตักอาหารให้แก่ลูกค้าเพื่อควบคุม ปริมาณที่เหมาะสม 10) การจัดการของเหลือ (Disposal) ภายในครัวของโรงแรมต้องมีมาตรการการ จัดการขยะอาหารอย่างมีระบบ เช่น หากลูกค้าทานอาหารเหลืออาจเสนอให้ลูกค้าบรรจุอาหารกลับ การจัดทําสถิติอาหารเหลือประจําเดือน การนําอาหารบางส่วนจากบุฟเฟต์อาหารเช้าไปยังห้องอาหาร พนักงาน 11) การบันทึกและจัดทํารายงาน (Record and Report) การจัดการบันทึกข้อมูล (Data Base) เพื่อนําไปใช้ในการการวิเคราะห์ และจัดทํารายงานเป็นสิ่งสําคัญที่ช่วยให้การวางแผนมี ความแม่นยํามากขึ้น ช่วยในการลดต้นทุน ลดการสั่งซื้อวัตถุดิบ เป็นต้น ผู้เกี่ยวข้องสามารถเลือกทํา การเก็บข้อมูลได้ด้วยวิธีการตั้งคําถาม 5W1H ได้แก่ What is Wasted อาหารประเภทใดเป็นขยะ อาหาร When it's Wasted ขยะอาหารเกิดขึ้นเมื่อไร Where it's Wasted ขยะอาหารเกิดขึ้นจากที่ ไหน Why It's Wasted ทําไมจึงเกิดขยะอาหาร Which day of the Week-Delivery Day ขยะ อาหารเกิดขึ้น ในช่วงใด How Much is ปริมาณขยะอาหารต่อวันคือเท่าไร Wasted ในปัจจุบันมีการ นําเทคโนโลยี มาใช้ในการช่วยประเมินผลและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก แม่นยําและสะดวกรวดเร็ว 12) การวิเคราะห์และประเมินผล (Analysis and Evaluation) ข้อมูลที่ได้จาก ระบบการตรวจสอบ (Monitoring System) จะเข้าสู่กระบวนการวิเคราะห์และประเมินผลเพื่อแก้ไข ปัญหา ทบทวน ปรับปรุงหรือลดขั้นตอนกระบวนการดําเนินงาน ค้นหาแนวทางการทํางานที่มี ประสิทธิภาพมากขึ้นอาจจะยึดหลัก PDCA คือ วงจรการบริหารงานคุณภาพได้แก่ Plan (วางแผน) Do (ปฏิบัติ) Check (ตรวจสอบ) และ Act (การดําเนินการให้เหมาะสม) นอกจากนี้ ผู้เกี่ยวข้อง สามารถทบทวนมาตรฐานการดําเนินงาน (Service Operating Procedures: SOP) ด้วยการ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยี และการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มเติมความรู้ทักษะในการดําเนินงานเพื่อลดขยะอาหาร ให้เป็นไปตามเป้าหมายและนโยบายที่กําหนดไว้ 13) การสื่อสาร (Communication) โรงแรมอาจเริ่มมาตรการลดขยะอาหารจาก ห้องอาหารใดห้องหนึ่งของโรงแรมเพื่อเป็นต้นแบบในการดําเนินงานและสร้างการรับรู้ โดยตั้ง คณะทํางานที่มีตัวแทนจากครัวต่าง ๆ เพื่อร่วมกันแลกเปลี่ยนข้อมูลและเรียนรู้ร่วมกัน หากกหาร