134 ดําเนินงานประสบความสําเร็จ ควรมีการถ่ายทอดองค์ความรู้ไปยังร้านอาหารหรือครัวอื่น ๆ หรือ หน่วยงานที่เกี่ยว โดยเน้นการสื่อสารแบบสองทาง เช่น แผนการตลาด แผนกอาหารและเครื่องดื่ม แผนกจัดซื้อ เป็นต้น นอกจากนี้อาจมีการสื่อสารกับหน่วยงานภายนอก เช่น แผนกขายและการตลาด เผยแพร่ข้อมูลความสําเร็จในการลดขยะอาหารของโรงแรมให้ลูกค้ากลุ่มที่สนใจในเรื่องสิ่งแวดล้อม ทราบหรือการประชาสัมพันธ์ในสื่อออนไลน์ต่าง ๆ นอกจากกลยุทธ์ข้างต้น (ธนาคารกรุงเทพ, 2566) กล่าวไว้ใน SME Social Planet เรื่อง 4 นวัตกรรมลด Food Waste 1) การใช้สติกเกอร์ Stix Fresh นวัตกรรมที่สามารถคงความสดหรืออายุการเก็บ รักษาผลไม้ก่อนเน่าเสียได้นานถึง 14 วัน ถูกคิดค้นขึ้นโดยบริษัท Ryp Labsได้รับรางวัล Best Sustainability Initiative และBest Packaging Technology จาก World Food Innovation Awards 2019 2) แอปพลิเคชัน Food Story ระบบบริหารจัดการร้านอาหารที่มีระบบ Waste Management ช่วยแจ้งเตือนเวลาวัตถุดิบเหลือน้อย และใกล้จะต้องสั่งเพิ่มในปริมาณที่เหมาะสมช่วย ลดปัญหาขยะและเพิ่มกำไรให้กับร้านอาหาร โดยแก้ปัญหา “วัตถุดิบเหลือใช้” ได้เป็นอย่างดี เช่น การคำนวณผักสด 10 กิโลกรัม ผ่านทางฟีเจอร์ของ Food Story POS ซึ่งได้ผลลัพธ์ของการนำผักสด มาปรุงอาหารได้จริง 30 จาน โดยไม่ขาดหรือเกิน เป็นต้น เป็นระบบบริหารจัดการร้านอาหารที่จะ ช่วยให้ร้านอาหารเติบโตอย่างยั่งยืน 3) Flash food และ Too Good to Go แอปพลิเคชันแสดงรายการสินค้าใกล้จะ หมดอายุFlash food จับมือกับร้านค้าปลีก ร้านอาหาร และร้านท้องถิ่น มอบส่วนลดของอาหารที่ ใกล้จะหมดอายุซึ่งการใช้งานแอปพลิเคชันเพียงผู้ใช้เลือกร้านค้าจากแผนที่บนหน้าจอโทรศัพท์ เลือก ซื้อสินค้าที่ต้องการ จากนั้นก็ไปรับสินค้าที่โซนของ Flash food ในร้านค้าได้เลย ซึ่งผู้ใช้จะได้รับ ข้อความแจ้งเตือนเกี่ยวกับอาหารต่าง ๆ ในแต่ละวัน 4) Inno Waste เครื่องแปรรูปขยะสดให้กลายเป็นปุ๋ยผงคุณภาพดีสตาร์ทอัพคนรุ่น ใหม่ของไทยประดิษฐ์เครื่องแปรรูปขยะสดในครัวเรือนและชุมชน รวมไปถึง ภัตตาคาร ร้านอาหารต่าง ๆ ให้กลายเป็นปุ๋ยผงคุณภาพดีสำหรับปลูก พืช ผัก ผลไม้ ต้นไม้ออกจำหน่าย อย่างไรก็ตาม การใช้เทคโนโลยีเพื่อลดขยะอาหารเป็นการลงทุนที่ค่อนข้างสูงและอาจไม่ เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก แต่สําหรับธุรกิจขนาดใหญ่แล้วนอกจากการลดขยะอาหารและมลพิษแล้ว เทคโนโลยีดังกล่าวยังช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ที่จําเป็นอีกด้วย 5.7 อุปสรรคในการจัดการขยะอาหารในธุรกิจโรงแรม แม้ว่าการลดการสูญเสียอาหารและขยะอาหารจะก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางด้านอาหารและสิ่งแวดล้อม แต่กลับพบว่าการดําเนินการในเรื่องดังกล่าวยังไม่อยู่ใน ระดับที่น่าพอใจแต่กลับพบว่ามีปัจจัยที่เป็นปัญหาและอุปสรรคสําคัญ ได้แก่
135 ตารางที่ 5.1 ปัญหาและอุปสรรคในการจัดการขยะอาหารในโรงแรม ขั้นตอน อุปสรรค การลดปริมาณอาหาร (Reduce) ความตระหนักของหัวหน้าพ่อครัวต่อขยะ อาหาร เช่น การสั่งวัตถุดิบเกินปริมาณที่จำเป็น การตัดแต่งวัตถุดิบในการตกแต่งอาหารเพื่อให้ดู สวยงาม แรงต้านจากพนักงานที่ต้องทำงานเพิ่ม เช่น การชั่งน้ำหนักอาหารที่ต้องทิ้ง ต้นทุนในการพัฒนาระบบ เช่น ความจำเป็น ในการซื้ออุปกรณ์ในการชั่ง ตวง วัด เป็นต้น ทัศนคติของลูกค้าด้านคุณภาพการบริการ เช่น ขนาดของภาชนะที่ใส่อาหารที่เล็กลง การนำไปบริโภคต่อ (Reuse) • ปัจจุบันมีเพียง Scholars of Sustenance หรือ SOS ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกําไรที่รับ อาหารส่วนเกินที่มีคุณภาพดีที่กําลังจะถูกทิ้ง จากหน่วยงานเอกชนต่าง ๆ อาทิ ซุปเปอร์มาร์ เก็ต โรงแรมชั้นนำในกรุงเทพฯ และส่งมอบ ให้แก่ผู้ด้อยโอกาส ศูนย์ช่วยเหลือผู้ไร้บ้าน รวมถึงผู้ยากไร้ด้วยระบบขนส่งที่มีมาตรฐาน • ความรับผิดชอบของ SOS ในการถูกฟ้องร้อง หากอาหารที่นําไปกระจายส่งผลต่อสุขภาพของ ผู้บริโภค ขาดข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรหรือชุมชนที่ ต้องการรับบริจาคอาหาร การนำไปแปรรูป (Recycle) • พนักงานไม่คัดแยกขยะ • การผูกขาดของบริษัทเอกชนที่ให้บริการ จัดเก็บและรีไซเคิลขยะในบางพื้นที่ ซึ่งองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นให้สัมปทานจัดเก็บขยะแก่ ผู้ให้บริการรายเดียวทําให้มีราคาสูงเกินควร • ผู้จัดเก็บขยะไม่ต้องการให้มีการแยกขยะ เพราะต้องการเอาขยะไปแยกและนําไปขายเอง การเผาเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้า (Recovery) จะต้องดําเนินการโดยผู้ประกอบการที่มี เตาเผาที่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้บางองค์กรยังขาดความตระหนักในเรื่องดังกล่าว และไม่เชื่อว่าจะได้รับประโยชน์ จากการลดขยะอาหารหลายแห่งไม่เชื่อว่าการลงทุนในการดําเนินการไม่ช่วยแก้ไขในเรื่องดังกล่าว จากรายงานซึ่งเก็บข้อมูลจากโรงแรม 42 แห่ง ใน 15 ประเทศพบว่า ค่าเฉลี่ยของอัตราส่วน ผลประโยชน์ต่อต้นทุนของการลดขยะอาหารอยู่ที่ 7.1 ในระยะเวลา 3 ปี, โรงแรมร้อยละ 70% ได้รับ
136 ทุนจากการดําเนินการด้านการลดขยะอาหาร คืนภายใน 1 ปี และร้อยละ 95% ได้รับทุนคืนภายใน 2 ปีโรงแรมสามารถประหยัดเงินประมาณ 4 เซนต์ (Cent) สําหรับต้นทุนสินค้าที่ขายในทุกดอลลาร์ (Dollar) เป็นต้น 5.8 ประโยชน์จากการดำเนินการขยะอาหารในธุรกิจโรงแรม การจัดการกับขยะอาหารที่มีประสิทธิภาพนอกจากจะช่วยให้ธุรกิจได้รับประโยชน์ในการลด ค่าใช้จ่ายจํานวนมหาศาล โดยขึ้นอยู่กับกฎระเบียบในแต่ละพื้นที่ช่วยลดต้นทุนและสร้างผลกําไรที่ เพิ่มขึ้น การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและบุคลากรมีทักษะการปฏิบัติงานที่ดีขึ้นและยังส่งเสริม ภาพลักษณ์ของโรงแรม ทําให้ความสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ดีขึ้น ความเสี่ยงและหนี้สินที่ลดลง โรงแรมหลายแห่งมุ่งไปที่การประหยัดพลังงานไฟฟ้า รวมถึงการลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการดําเนินการ ในขณะค่าใช้จ่ายในครัวจัดเป็นแหล่งต้นทุนที่ใหญ่ที่สุดแหล่งหนึ่งของโรงแรม การแก้ปัญหาขยะมี ระยะเวลาคืนทุนที่สั้นกว่า ประหยัดได้มากกว่า อีกทั้งไม่รบกวนกับการดําเนินการใด ๆ ของโรงแรมอีก ด้วย ในด้านมิติทางสังคมผลที่ได้คือ ช่วยลดมลพิษจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจาก การขนส่ง ลดการใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง ลดการใช้สารเคมี ประโยชน์ด้านสุขภาพและความ ปลอดภัย เพิ่มคุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่นดีขึ้น ผู้คนในพื้นที่หันมาใส่และให้ความสําคัญด้าน สิ่งแวดล้อมมากขึ้นทําให้เกิดความมั่นคงทางด้านอาหาร มิติทางเศรษฐกิจ รวมถึงกิจในเชิงพื้นที่ ท่องเที่ยว การลดปริมาณขยะจนเป็นศูนย์จากความร่วมมือของทุกภาคส่วน อีกทั้งจะช่วยเสริมสร้าง ภาพลักษณ์ของธุรกิจโรงแรมในการเป็นจุดขายที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็น นักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม 5.9 บทสรุป ในแต่ละปีอาหารที่ผลิตได้ในโลกส่วนหนึ่งกลายเป็นเศษอาหารเหลือทิ้งถึง 1 ใน 3 หรือ ประมาณ 1,300 ล้านตัน ขณะที่มีประชากรทั่วโลกต้องเผชิญความหิวโหยถึง 870 ล้านคน และ ประชาชนหลายพันล้านคนใน ประเทศยากจนยังคงอดอยากหิวโหย “ขยะอาหาร” จะเป็นประเด็นที่ อยู่ในกระแสความสนใจของประชาชนมากขึ้นอย่างรวดเร็วรองจากปัญหาขยะพลาสติก ขยะอาหาร คือ อาหารเกินจากความต้องการของผู้บริโภค ร้านอาหารมีการกักตุนสินค้าเกินความพอดีหรือถูกทิ้ง ให้เสียหรือหมดอายุหรือบริโภคไม่หมด นอกจากนี้ขยะอาหาร คือ การสูญเสียในขั้นตอนการเตรียม เป็นอาหารเพื่อบริการหรือบริโภค และของเหลือจากการบริโภคแล้วต้องทิ้ง การผลิตที่ก่อให้เกิดขยะอาหารปริมาณมาก จึงควรมีการดําเนินการด้านการลดปริมาณขยะ อาหารตามหลัก 4 R ได้แก่ 4 R Reduce 2 Reuse Recycle และRecovery และสําหรับแนวทางการ กําจัดขยะอาหารได้แก่ การป้องกัน การจัดสรรอาหารที่ยังสามารถบริโภคได้เพื่อประโยชน์สูงสุด การ นํามาผลิตเพื่อใช้ใหม่ การกําจัดเพื่อนําพลังงานมาใช้ใหม่ การกําจัด โดยการป้องกันถือว่าเป็นแนวทาง ที่ดีสุดที่ควรปฏิบัติ ในขณะที่การกําจัดด้วยการฝังกลบเป็นวิธีที่ควรหลีกเลี่ยงเนื่องจากส่งผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อมและการดํารงชีวิตของประชาชนมากที่สุด โดยสาเหตุหลักของขยะอาหารมาจากสาเหตุ ต่าง ๆ อาทิ การเน่าเสีย ขยะอาหารจากขั้นตอนการผลิต ไลน์บุฟเฟ่ต์ที่ผลิตอาหารมากเกินไป รวมถึง อาหารที่แขกไม่รับประทานหรือรับประทานเหลือ เพื่อให้การลดปริมาณขยะอาหารมีประสิทธิภาพทุก ฝ่ายควรมีความร่วมมือกัน ตลอดจนโรงแรมต้องสร้างความตระหนักให้กับทุกฝ่าย อาทิ พนักงาน
137 โรงแรม หัวหน้าพ่อครัวตลอดจนแขกของโรงแรม โดยให้ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับขยะอาหารและ ผลกระทบที่เกิดจากขยะอาหาร 5.10 กิจกรรมเสริมการเรียนรู้ ให้นักศึกษาแบ่งกลุ่ม และศึกษาโรงแรมที่มีการจัดการขยะอาหาร กลุ่มละ 1 แห่ง และศึกษา กระบวนการในการจัดการขยะอาหาร รวมถึงนโยบายหลักด้านการจัดการขยะอาหารของโรงแรม และนำเสนอหน้าชั้นเรียน พร้อมทั้งมีการสาธิตแนวทางการจัดการขยะอาหารเบื้องต้น กลุ่มละ 1 ตัวอย่าง 5.11 คำถามท้ายบทที่ 5 1. ให้นักศึกษาอธิบายความแตกต่างระหว่าง “การสูญเสียอาหาร” และ “ขยะอาหาร” มาพอเข้าใจ 2. สถานการณ์ขยะอาหารปัจจุบันในธุรกิจโรงแรม เป็นอย่างไรบ้าง และมีแนวโน้มในอนาคต อย่างไร 3. สาเหตุใดบ้างที่ทำให้เกิดขยะอาหารในธุรกิจโรงแรม 4. ธุรกิจโรงแรมมีแนวทาง 4R แนวทางนี้ คืออะไร และมีแนวทางอย่างไร 5. ประโยชน์ที่ได้จากการจัดการขยะอาหารในโรงแรมคืออะไร 5.12 เอกสารอ้างอิง กะรัตลักษณ์ เหลี่ยมเพชร. (2562). Food Waste ปัญหาร่วมระหว่างเราและโลก. สถาบันวิจัยเพื่อ การพัฒนาประเทศ (ทีดีอาร์ไอ). (ออนไลน์). Available: https://tdri.or.th/2019/10/food-waste/. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 15 พฤศจิกายน 2566). -----------. (ม.ป.ป.). ขยะอาหาร เรื่องใกล้แต่ใหญ่กว่าที่คิด. สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ (ทีดี อาร์ไอ). (ออนไลน์). Available: https://tdri.or.th/foodwaste/. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 15 พฤศจิกายน 2566). คณะทำงานความร่วมมือไทย ร่วมกับ องค์กรอาหารและการเกษตรแห่งประชาชาติ. ชูนโยบายความ มั่นคงทางอาหารและโภขนาการ ด้วยระบบอาหารที่ยั่งยืน ฟื้นเศรษฐกิจฐานราก ลด ค่าใช้จ่ายสุขภาพ ก้าวข้ามวิกฤตโควิด-19. (ม.ป.ป.). (ออนไลน์). Available: https://www.thaihealth.or.th/wp-content/uploads/2021/07/732.pdf. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 15 พฤศจิกายน 2566). ชัยนันต์ ไชยเสน. (2564). การจัดการขยะอาหารในครัวของโรงแรมเพื่อเพิ่มประสิทธาพในการจัดการ วัตถุดิบ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม. วารสารหาดใหญ่วิชาการ. 19(2), 371-378. ธนาคารกรุงเทพ. (2566). 4 นวัตกรรม ลด Food Waste. (ออนไลน์). Available: https://www.bangkokbanksme.com/en/23-4up-innovation-to-save-the-worldreduce-food-waste. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 15 พฤศจิกายน 2566).
138 ศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน. (2564). Food Waste Index Report 2021. (ออนไลน์). Available: https://www.sdgmove.com/2021/03/17/food-waste-indexreport-2021/. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 15 พฤศจิกายน 2566). ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา. (2564). ขยะอาหาร Food Waste กองขยะที่ถูกซ่อนไว้. (ออนไลน์). Available: https://sciplanet.org/content/8436. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 15 พฤศจิกายน 2566). สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย. (2562). รายงานการวิจัย การศึกษาแนวทางการบริหาร จัดการอาหารส่วนเกินเพื่อลดปัญหาขยะอาหารที่เหมาะสมกับประเทศไทย. กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). (ออนไลน์). Available: https://tdri.or.th/2019/09/food-waste-management/. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 15 พฤศจิกายน 2566). สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล. (2562, 26 พฤศจิกายน). โลกทิ้งข้างอาหารดี ๆ มากเหลือเกิน. กรุงเทพธุรกิจ. (ออนไลน์). Available: https://www.bangkokbiznews.com/blogs/columnist/123728. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 15 พฤศจิกายน 2566). อรุษ นวราช. (2561). สามพราน ริเวอร์ไซด์ ต้นแบบจัดการ Food Waste ธุรกิจโรงแรม. (ออนไลน์). Available: https://www.thipost.net/main/detail/1117. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 15 พฤศจิกายน 2566). Bureau Veritas. (2021). ลดขยะอาหารอย่างไรให้ได้ผลตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน. (ออนไลน์). Available: https://www.bureauveritas.co.th/magazine/HOW-TO-REDUCE-FOODWASTE-THROUGHOUT-THE-VALUE-CHAIN. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 15 พฤศจิกายน 2566). Food and Agriculture Organization of the United Nations. (2018). The future of food and agriculture: Trends and challenges. (ออนไลน์). Available: http://www.fao.org/3/i6583e/i6583e.pdf. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 15 พฤศจิกายน 2566). Food Intelligence Center. (2560). วิกฤตการสูญเสียอาหารและขยะอาหาร (Food Loss and Food Waste). (ออนไลน์). Available: https://fic.nfi.or.th/early_warning-detail.php?smid=1565. (สืบค้นข้อมูล วันที่ 15 พฤศจิกายน 2566). National Geographic. (2022). ขยะอาหาร (Food Waste) และการสูญเสียอาหาร (Food Loss). (ออนไลน์). Available: https://ngthai.com/science/40756/food-waste-food-loss/. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 15 พฤศจิกายน 2566). Sustainable Hospitality Alliance. Food Waste. (Online). Available: https://sustainablehospitalityalliance.org/wp-content/uploads/2021/06/Foodwaste-factsheet.pdf. (cited 15 November 2023).
139 สาระสำคัญ 6.1 เกริ่นนำ 6.2 ความหมายของขยะมูลฝอย 6.3 ประเภทและแหล่งกำเนิดของขยะมูลฝอย 6.4 ผลกระทบจากขยะมูลฝอย 6.5 สถานการณ์ขยะมูลฝอย 6.6 หลักการจัดการขยะมูลฝอย 6.7 ขยะมูลฝอยในโรงแรม 6.8 การจัดการขยะมูลฝอยในโรงแรม 6.9 ประโยชน์ของการจัดการขยะมูลฝอยในโรงแรม 6.10 บทสรุป 6.11 กิจกรรมเสริมการเรียนรู้ 6.12 คำถามท้ายบทที่ 5 6.13 เอกสารอ้างอิง ที่มา: กรมยุทธศาสตร์บริการ บทที่ 6 การกำจัดขยะมูลฝอยในโรงแรม
140 6.1 เกริ่นนำ ปัญหาขยะมูลฝอยเป็นปัญหาสําคัญที่อยู่คู่กับสังคมไทยมายาวนานตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบัน และมีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงมากขึ้น ปริมาณขยะมูลฝอยเพิ่มขึ้นทุกปีตามอัตราการเพิ่มขึ้นของ จํานวนประชากร การขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการอุปโภคบริโภคของ ประชาชน อีกทั้งปริมาณขยะมูลฝอยที่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้องเพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำมาก หากมอง ผิวเผินอาจคิดว่าไม่มีผลกระทบต่อการดํารงชีวิตของมนุษย์มากนัก เนื่องจากผลกระทบโดยตรงกับ มนุษย์อาจไม่รุนแรง แต่ในความเป็นจริงปัญหาขยะมูลฝอยก่อให้เกิดผลต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก และกระทบต่อสุขภาพอนามัยของมนุษย์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งนี้ขยะมูลฝอยเป็นหนึ่งในปัจจัย สําคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ อากาศเสีย น้ำเสีย พาหะนําโรคต่าง ๆ และก่อให้เกิด ภาวะโลกร้อน ทั้งนี้ปัญหาขยะมูลฝอยเกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ขยะจากการบริโภคอาหาร การ ส่งเสริมการท่องเที่ยวและการส่งเสริมพัฒนาอุตสาหกรรมต่าง ๆ แม้ว่าขยะบรรจุภัณฑ์ที่ทําจาก สามารถนํามารีไซเคิลได้จะมีแนวโน้มลดลงในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด 19 แต่สัดส่วนของขยะที่ กําจัดไม่ถูกต้องกลับมีจํานวนเพิ่มขึ้น จากข้อมูลสถิติปัญหาขยะโลก ในปี 2562 โดย Verisk Maplecroft Environment Dataset ระบุว่าสถานการณ์ขยะโลกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง เนื่องจากปริมาณขยะมูลฝอยที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี ซึ่งมากกว่า 2.1 พันล้านตัน และมีเพียง 323 ล้านตัน หรือ 16 % เท่านั้นที่ถูกนําไปใช้ซ้ำหรือรีไซเคิล (กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม, 2564) ปริมาณขยะ ที่มากขึ้นมีสาเหตุมาจากการดํารงชีวิตที่สะดวกสบาย สังเกตได้ว่าในประเทศที่ด้อยพัฒนามีการสร้าง ขยะน้อยกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว เนื่องจากความยากจนทําให้ไม่มีกําลังจับจ่ายซื้อของและบังคับให้มี การนําสิ่งของต่าง ๆ กลับมาใช้ใหม่ให้มากที่สุด การจัดการขยะที่ไม่ดีก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพและ คุณภาพสิ่งแวดล้อม และเป็นภาระต่อธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศส่งผลให้การจัดการและลด ปริมาณขยะได้กลายเป็นวาระสําคัญในหลายประเทศในการเสนอแนวทาง และที่มาตรการในการ จัดการขยะเหลือศูนย์ (Zero Waste Management) ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหนึ่งในผลกระทบที่มองเห็นได้มากที่สุดของโรงแรมที่มีต่อ สิ่งแวดล้อมคือขยะ และตั้งแต่ต้น ปี พ.ศ 2565 เป็นต้นมา สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 คลี่คลายลงและการท่องเที่ยวค่อย ๆ กลับมาอีกครั้งช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาขณะที่อุตสาหกรรมการ ท่องเที่ยวและโรงแรมเริ่มตระหนักถึงความสําคัญของ “ความยั่งยืน” แต่จากเหตุการณ์การแพร่ ระบาดของโควิด 19 ทําให้มีองค์ประกอบที่โรงแรมต้องพิจารณาและ ให้ความสําคัญกับการรักษา มาตรฐานด้านสุขอนามัยมากขึ้น หรือการใช้ของเพียงครั้งเดียวแล้วทิ้ง รวมถึงการจัดการขยะติดเชื้อ ต่าง ๆ โดยปกติแล้วการดําเนินธุรกิจโรงแรมนั้นก่อให้เกิดขยะมูลฝอยจํานวนมากจากการ ให้บริการ และใช้สินค้าต่าง ๆ ของแขกผู้เข้าพัก ขยะในโรงแรมมีทั้งขยะที่สามารถนํากลับมาใช้ใหม่ใช้ซ้ำ รวมถึง ขยะอันตรายและขยะมีพิษต่าง ๆ เมื่อแขกเดิมออกจากโรงแรมและมีแขกใหม่เข้ามา โรงแรมสิ่ง จําเป็นต้อง เปลี่ยนอํานวยความสะดวกและหลายอย่างจึงมีขยะมากมายเกิดขึ้นทุกวัน แขกของ โรงแรมสร้างขยะประมาณ 1 กิโลกรัมต่อคืน และโรงแรมต้องจัดสรรพื้นที่หลังบ้านเพื่อจัดเก็บและคัด แยกขยะ ความสําคัญของการจัดการขยะในโรงแรมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผนวกกับรูปแบบการ ท่องเที่ยวแบบ Next Normal ที่ใส่ใจเรื่องสุขอนามัยมากขึ้นถือเป็นความท้าทายของอุตสาหกรรม โรงแรมที่จะหาวิธีจัดการกับขยะมูลฝอยที่เพิ่มมากขึ้น
141 6.2 ความหมายของขยะมูลฝอย (Solid waste) (พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535, 2560) ได้ให้ความหมายของคําว่า “ขยะมูล ฝอย” หรือ “มูลฝอย” ว่าหมายถึง เศษกระดาษ เศษผ้า เศษอาหาร เศษสินค้า ถุงพลาสติก ภาชนะใส่ อาหาร เถ้า มูลสัตว์หรือซากสัตว์รวมตลอดถึงสิ่งอื่นใดที่เก็บกวาดจากถนน ตลาด ที่เลี้ยงสัตว์หรือที่อื่น (กรมควบคุมมลพิษ, 2559) ได้อธิบายไว้ว่า ขยะหรือมูลฝอย (Solid waste) คือ เศษกระดาษ เศษ ผ้า เศษอาหาร เศษสินค้า เศษวัตถุถุงพลาสติก ภาชนะที่ใส่อาหาร เถ้า มูลสัตว์ซากสัตว์หรือสิ่ง อื่นใด ที่เก็บ กวาดจากถนน ตลาด ที่เลี้ยงสัตว์หรือที่อื่น และหมายความรวมถึงมูลฝอยติดเชื้อ มูลฝอย ที่เป็นพิษ หรือ อันตรายจากชุมชนหรือครัวเรือน ยกเว้นวัสดุที่ไม่ใช้แล้วของโรงงานซึ่งมีลักษณะและ คุณสมบัติที่ กําหนดไว้ตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน (สมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม, 2562) ขยะมูลฝอย (Waste) หมายถึงสิ่งของเหลือทิ้ง จากกระบวนการผลิตและอุปโภคซึ่งเสื่อมสภาพจน ใช้ การไม่ได้หรือไม่ต้องการใช้แล้ว บางชนิดเป็น ของแข็งหรือกากของเสีย (Solid Waste) มีผลเสียต่อสุขภาพทางกาย และจิตใจเนื่องจากความ สกปรกเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคทําให้เกิดมลพิษและทัศนะอุจาด (Kanti L., 2000 อ้างใน สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคและควบคุมมลพิษที่ 12 อุบลราชธานี, 2565) ขยะมูลฝอย หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่ใช้ในกิจกรรมการดําเนินชีวิตของมนุษย์และถูกทิ้งขว้าง เนื่องจากไม่ สามารถใช้งานได้อีกต่อไป หรืออาจไม่เป็นที่พึงประสงค์ของผู้ใช้ หรืออาจด้วยเหตุผลอื่น ที่ทําให้สิ่งเหล่านั้น กลายสภาพเป็นสิ่งที่หมดคุณค่าหรือไม่เป็นประโยชน์ต่อการดําเนินชีวิต (ธเรศ ศรีสถิตย์, 2553) ขยะมูลฝอย หมายถึง เศษสิ่งของวัสดุที่ไม่มีผู้ใดต้องการ เช่น เศษ อาหาร สิ่งของเครื่องใช้ วัสดุจาก การเกษตร อุตสาหกรรม หรือแม้แต่ซากพืช ซากสัตว์ที่ถูกทิ้งอยู่ตาม สถานที่สาธารณะก็จัดว่าเป็นมูลฝอยเช่นกัน ขยะมูลฝอยบางประเภทที่ถูกทิ้งยังคงมีประโยชน์อยู่โดย อาจเป็นสิ่งที่บุคคลกลุ่มอื่นต้องการ เช่น เสื้อผ้า เก่า พลาสติกเก่า ขวดเก่า โลหะต่าง ๆ เป็นต้น สรุปได้ว่า ขยะมูลฝอย หมายถึง สิ่งที่เหลือจากกิจกรรมในการดําเนินชีวิตของมนุษย์ ไม่เป็นที่ ต้องการหรือไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป บางชนิดเป็นกากของเสียหรือบางชนิดเป็นของแข็ง สามารถ ส่งผลต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจและสภาพแวดล้อม 6.3 ประเภทและแหล่งกำเนิดของขยะมูลฝอย 6.3.1 ประเภทของขยะมูลฝอย ขยะมูลฝอยสามารถจําแนกได้หลายประเภท มีนักวิชาการและหน่วยงานหลายแห่งได้แบ่ง ประเภทของขยะมูลฝอย ดังนี้ (สํานักจัดการกากของเสียและสารอันตราย, 2555) ได้จัดแบ่งประเภทของขยะมูลฝอยชุมชน ออกตามลักษณะทางกายภาพได้เป็น 4 ประเภท ได้แก่ (ปิยชาติ ศิลปสุวรรณ, 2557) 1) ขยะย่อยสลาย (Compostable waste) หรือ มูลฝอยย่อยสลาย คือขยะที่เน่า เสียและย่อยสลายได้เร็ว สามารถนํามาหมักทําปุ๋ยได้ เช่น เปลือกผักผลไม้ เศษผัก เศษอาหาร ใบไม้ เศษเนื้อสัตว์ เป็นต้น แต่จะไม่รวมถึงซากหรือเศษของพืช ผัก ผลไม้หรือสัตว์ที่เกิดจากการทดลองใน ห้องปฏิบัติการ โดยที่ขยะย่อยสลายนี้เป็นขยะที่พบมากที่สุด คือ พบมากถึง 64% ของปริมาณขยะ ทั้งหมดในกองขยะ 2) ขยะรีไซเคิล (Recyclable waste) หรือ มูลฝอยที่ยังใช้ได้ คือของเสียบรรจุภัณฑ์ หรือวัสดุเหลือใช้ซึ่ง สามารถนํากลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ได้ เช่น กระดาษ พลาสติก แก้ว กล่อง
142 เครื่องดื่ม กระป๋องเครื่องดื่ม เศษโลหะ อะลูมิเนียม ยางรถยนต์ เป็นต้น ขยะรีไซเคิลพบมากเป็น อันดับที่สองในกองขยะหรือ ประมาณ 30% ของปริมาณขยะทั้งหมดในกองขยะ 3) ขยะอันตราย (Hazardous waste) หรือ มูลฝอยอันตราย คือ ขยะที่มี องค์ประกอบหรือปนเปื้อนวัตถุ อันตรายชนิดต่าง ๆ ซึ่งได้แก่ วัตถุระเบิด วัตถุไวไฟ วัตถุออกซิไดซ์ วัตถุมีพิษ วัตถุที่ทําให้เกิดโรค วัตถุกรรมมันตรังสี วัตถุที่ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม วัตถุ กัดกร่อน วัตถุที่ก่อให้เกิด การระคายเคือง วัตถุอย่างอื่นไม่ว่าจะเป็นเคมีภัณฑ์หรือสิ่งอื่นใดที่อาจทําให้ เกิดอันตรายแก่บุคคล สัตว์พืช ทรัพย์สินหรือสิ่งแวดล้อม เช่น ถ่านไฟฉาย หลอดฟลูออเรสเซนต์ แบตเตอรี่โทรศัพท์เคลื่อนที่ ภาชนะบรรจุสารกําจัดศัตรูพืช กระป๋องสเปรย์บรรจุสีหรือสารเคมีเป็นต้น ขยะอันตรายนี้เป็นขยะที่พบน้อยที่สุด คือเพียง 3% ของปริมาณขยะทั้งหมดในกองขยะ 4) ขยะทั่วไป (General waste) หรือ มูลฝอยทั่วไป คือ ขยะประเภทอื่น นอกเหนือจาก ขยะย่อยสลาย ขยะรีไซเคิล และขยะอันตราย มีลักษณะที่ย่อยสลายยากและไม่คุ้มค่า สําหรับการนํากลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ เช่น ห่อพลาสติกใส่ขนม ถุงพลาสติกบรรจุผงซักฟอก พลาสติก ห่อลูกอม ซองบะหมี่กึ่งสําเร็จรูป ถุงพลาสติกเปื้อนเศษอาหาร โฟมเปื้อนอาหาร ฟอยล์เปื้อนอาหาร เป็นต้น ขยะทั่วไปมีปริมาณใกล้เคียงกับขยะอันตราย คือประมาณ 3% ของปริมาณขยะทั้งหมด ภาพที่ 6.1 องค์ประกอบหลักขยะมูลฝอยในประเทศไทย ที่มา: กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม (ม.ป.ป.) (กรมยุทธศาสตร์บริการ, ม.ป.ป.) ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการคัดแยกขยะไว้ คือ 1) ถังสีเขียว ใช้สำหรับรองรับขยะย่อยสลาย (Compostable waste) เช่น เศษ อาหาร เศษพืชผัก เปลือกผลไม้ ใบไม้ เป็นต้น ขยะเหล่านี้เป็นอินทรียวัตถุที่มีความชื้นสูงและย่อย สลายได้ดีตามธรรมชาติ ซึ่งสามารถนำไปทำปุ๋ยหมักได้
143 2) ถังสีเหลือง ใช้สำหรับรองรับขยะรีไซเคิล (Recyclable waste) เช่น แก้ว กระดาษ โลหะ อะลูมิเนียม พลาสติก เป็นต้น เมื่อรวบรวมขยะเหล่านี้แล้วสามารถนำไปขายให้กับร้าน รับซื้อของเก่า เพื่อป้อนเข้าสู่โรงงานแปรรูปขยะต่อไป 3) ถังสีส้ม ใช้สำหรับรองรับขยะอันตราย (Hazardous waste) เช่น หลอดฟลูออ เรสเซนต์ ถ่านไฟฉาย กระป๋องสีสเปรย์ กระป๋องยาฆ่าแมลง กระป๋องน้ำยาทำความสะอาดสุขภัณฑ์ เป็นต้น ขยะเหล่านี้ต้องคัดแยกไว้ต่างหากเพื่อนำไปกำจัดตามวิธีที่เหมาะสมต่อไป 4) ถังสีน้ำเงิน ใช้สำหรับรองรับขยะทั่วไป (General waste) เช่น พลาสติกห่อลูกอม ซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ถุงพลาสติกเปื้อนอาหาร โฟมเปื้อนอาหาร เป็นต้น สีเขียว: ขยะย่อยสลาย สีเหลือง: ขยะรีไซเคิล สีส้ม: ขยะอันตราย สีน้ำเงิน: ขยะทั่วไป ภาพที่ 6.2 ประเภทภาชนะที่รองรับขยะที่ทำการคัดแยก ที่มา: กรมยุทธศาสตร์บริการ (ม.ป.ป.) http://otop.dss.go.th/index.php/en/knowledge/interesting-articles/272-2019-10-11-03- 34-10, 2567 6.3.2 แหล่งกำเนิดของขยะมูลฝอย ขยะมูลฝอยเกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ในการดํารงชีวิตประจําวันของมนุษย์ ขยะมูลฝอยมี ลักษณะแตกต่างกันตามแหล่งกําเนิด ซึ่งแหล่งกําเนิดที่สําคัญของขยะมูลฝอยได้แก่ (กรมควบคุม มลพิษ, 2559) 1) ขยะมูลฝอยจากอาคารบ้านเรือน ที่อยู่อาศัย หรือขยะมูลฝอยจากชุมชน (Maniple waste) ประกอบด้วยขยะจากกิจวัตรประจําวันจากบ้านเรือน อาคารสํานักงาน สถาบันการศึกษา โรงแรม คอนโดมิเนียม ตลาดนัด สวนสาธารณะ ฯลฯ 2) ขยะมูลฝอยจากกิจกรรมภาคอุตสาหกรรม (Industrial waste) เกิดจากการผลิต สินค้าโรงงาน อุตสาหกรรมและสถานประกอบการต่าง ๆ แยกได้เป็น 2 ส่วน คือ ขยะมูลฝอยทั่วไปที่ ไม่ได้เกิดจากกระบวนผลิตสินค้าโดยตรง เช่น ขยะมูลฝอยที่เกิดจากสํานักงานและโรงอาหารภายใน โรงงาน ซึ่งถือเป็นขยะมูลฝอยจากชุมชนประเภทหนึ่ง คือขยะมูลฝอยที่เกิดจากขั้นตอนของ กระบวนการผลิตสินค้า (Process waste) ซึ่งมีทั้งขยะที่ไม่เป็นอันตราย (Industrial non-hazardous waste) เช่น เศษไม้ เศษหนัง และขยะมูลฝอยที่เป็นอันตราย (Industrial hazardous waste) เช่น กรด ด่าง กาก สี ตะกอนน้ำมันมัน ตะกอนโลหะหนัก เป็นต้น
144 3) ขยะมูลฝอยจากกิจกรรมภาคเกษตรกรรม (Agricultural waste) เป็นขยะที่เกิด จากกิจกรรมต่าง ๆ ใน ภาคเกษตรทั้งการเพาะปลูก การทําไร่นา การเลี้ยงสัตว์ เช่น ซากสัตว์ มูลสัตว์ เศษหญ้า ใบไม้ ภาชนะบรรจุสารเคมีภัณฑ์ที่เสื่อมสภาพ เช่น ภาชนะบรรจุสารเคมีกําจัดศัตรูพืช 4) ขยะมูลฝอยจากสถานพยาบาล (Hospital waste) เป็นขยะที่มีแหล่งกําเนิดมา จากโรงพยาบาล สถานี อนามัย คลินิกทั้งคนและสัตว์ ขยะประเภทนี้มีเชื้อโรคปนในปริมาณที่ ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้สัมผัส เช่น เข็มฉีดยา ผ้าเช็ดแผล เป็นต้น รวมถึงขยะมูลฝอยจาก ห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ 6.4 ผลกระทบจากขยะมูลฝอย การจัดการขยะมูลฝอยที่ไม่ถูกต้องนํามาซึ่งปัญหาต่าง ๆ ดังนี้ 1) ปัญหาสุขภาพ การไม่แยกขยะ และพื้นที่เทขยะที่ไม่ถูกต้อง ก่อให้เกิดเชื้อโรคจากสารเจือ ปน อาทิ เชื้อจากไมโครพลาสติก (พลาสติกขนาดเล็กมาก ๆ ที่แตกจากการย่อยสลายไม่สมบูรณ์) และ สารเคมี อันตราย เช่น สารตะกั่วและโลหะหนักในขยะอิเลกทรอนิกส์ซึมลงดิน ซึ่งสามารถกลับคืนมาสู่ คนและสัตว์ พืชผัก อาหารทะเล เนื้อสัตว์ รวมถึงน้ำ อีกทั้งการกําจัดขยะที่ไม่ถูกวิธีเช่นการเผาโดยไม่ ควบคุม ยังก่อให้เกิดสารไดออกซินซึ่งสร้างมลพิษในดิน อากาศ ทั้งในรูปแบบฝุ่นละออง ก๊าซพิษและ กลิ่นไม่พึงประสงค์ หากสูดดมหรือสัมผัสจะก่อให้เกิดอันตราย 2) ปัญหาเศรษฐกิจ ในแต่ละปีมีข้อมูลระบุว่างบประมาณในการจัดการขยะมากถึง 13,000 ล้านบาท/ปี ซึ่งยังไม่รวมค่าใช้จ่ายในการรักษาเมื่อเกิดโรค รวมทั้งการจัดการดินเสียและน้ำท่วมจาก การอุดตันของ ขยะอีกด้วย 3) ปัญหาสิ่งแวดล้อม การเก็บรวบรวมและการกําจัดขยะมูลฝอยที่ไม่ถูกวิธีเป็นสาเหตุสําคัญ ที่ทําให้เกิด มลพิษของน้ำ มลพิษของดิน และมลพิษของอากาศ การปล่อยขยะทิ้งค้างไว้เมื่อมีฝนตกลง มาจะไหลชะนําความสกปรก เชื้อโรค สารพิษจากขยะไหลลงสู่แหล่งน้ำ ทําให้แหล่งน้ำเกิดเน่าเสียได้ นอกจากนี้ ขยะมูลฝอยยังส่งผลกระทบต่อคุณภาพดิน ซึ่งมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับคุณลักษณะของขยะ มูลฝอย ทั้งนี้หากขยะมีซากถ่านไฟฉาย ซากแบตเตอรี่ ซากหลอดฟลูออเรสเซนต์จํานวนมากก็จะส่งผล ต่อปริมาณโลหะหนักพวกปรอท แคดเมียม ตะกั่วในดินจํานวนมากมาก ส่งผลเสียต่อระบบนิเวศน์ใน ดิน นอกจากนี้สารอินทรีย์ในขยะมูลฝอยเมื่อมีการย่อยสลายจะทําให้เกิดสภาพความเป็นกรดในดิน และเมื่อฝนตกมาชะกองขยะมูลฝอยจะทําให้น้ำเสียจากกองขยะมูลฝอยไหลปนเปื้อนดินบริเวณ รอบ ๆ ทําให้เกิดมลพิษของดินได้ การปนเปื้อนของดินยังเกิดจากการนํามูลฝอยไปฝังกลบหรือการ ยักยอกนําไปทิ้งทําให้ของเสียอันตรายปนเปื้อนในดิน ถ้ามีการเผาขยะมูลฝอยกลางแจ้งทําให้เกิดควัน มีสารพิษทําให้คุณภาพของอากาศเสีย ส่วนมลพิษทางอากาศจากขยะมูลฝอยนั้น อาจเกิดขึ้นได้ทั้งจา กมลสารที่มีอยู่ในขยะและพวกแก๊สหรือไอระเหยที่สําคัญก็คือ กลิ่นเหม็นที่เกิดจากการเน่าเปื่อย และ สลายตัวของ อินทรีย์สารเป็นส่วนใหญ่ 6.5 สถานการณ์ขยะมูลฝอย ปี 2565 ประเทศไทยมีขยะมูลฝอยเกิดขึ้น 25.70 ล้านตัน หรือ 70,411 ตัน/วัน กระจายตัว ตามภูมิภาคต่าง ๆ มีอัตราการเกิดขยะมูลฝอย เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรตามทะเบียนราษฏร์ ปี พ.ศ. 2565 ของกรมการปกครอง เฉลี่ยเท่ากับ 1.07 กิโลกรัม/คน/วัน (กรมควบคุมมลพิษ, 2565)
145 ตารางที่ 6.1 ปริมาณและอัตราการเกิดขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2561-2565 ปี พ.ศ. ปริมาณขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้น (ล้านตัน) อัตราการเกิดขยะมูลฝอย (กิโลกรัม/คน/วัน) 2561 27.93 1.15 2562 28.71 1.18 2563 25.37 1.05 2564 24.98 1.03 2565 25.70 1.07* หมายเหตุ: *เป็นตัวเลขอัตราการเกิดขยะมูลฝอยเมื่อเทียบกับประชากรตามทะเบียนราษฎร์ ปี พ.ศ.2565 ที่มา: รายงานสถานการณ์สถานที่กำจัดขยะมูลฝอยของประเทศไทย ปี พ.ศ.2565, กรมควบคุมมลพิษ ภาพที่ 6.3 อัตราการเกิดขยะมูลฝอยระหว่างปี พ.ศ.2561-2565 ที่มา: รายงานสถานการณ์สถานที่กำจัดขยะมูลฝอยของประเทศไทย ปี พ.ศ.2565, กรมควบคุมมลพิษ เมื่อพิจารณาภาพรวมการจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ ปริมาณขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้น 25.70 ล้านตันถูกจัดการกันเองโดยบ้านเรือนและชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลหรือพื้นที่ที่องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นยังไม่มีการให้บริการเก็บขน 1.70 ล้านตัน (ร้อยละ 7 ของปริมาณขยะมูลฝอยที่ เกิดขึ้น) ถูกคัดแยกเพื่อนำกลับไปใช้ประโยชน์จากบ้านเรือนและแหล่งกำเนิด 4.00 ล้านตัน (ร้อยละ 15 ของปริมาณขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้น) โดยกระบวนการซาเล้งและบ้านเรือนนำไปขายให้กับร้านรับซื้อ ของเก่า ขยะมูลฝอยที่เหลือประมาณ20.00 ล้านตัน (ร้อยละ 78 ของปริมาณขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้น) ถูกเก็บขนโดยรถบรรทุกเก็บขนขยะมูลฝอยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือเอกชนซึ่งได้รับ อนุญาตหรือมอบหมายจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการให้บริการเก็บขนแทนเพื่อไปยังสถานที่ คัดแยกขยะมูลฝอยหรือสถานที่กำจัดขยะมูลฝอย และขยะมูลฝอยประมาณ 4.80 ล้านตัน (ร้อยละ 19 ของปริมาณขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้น) ถูกคัดแยกในระหว่างการเก็บขนและสถานที่คัดแยกขยะมูลฝอย ส่วนที่เหลือประมาณ 15.20 ล้านตัน (ร้อยละ 59 ของปริมาณขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้น) ถูกนำไปกำจัด ณ สถานที่กำจัดขยะมูลฝอย มีขยะมูลฝอยได้รับการกำจัดอย่างถูกต้องประมาณ 9.80 ล้านตัน (ร้อย
146 ละ 38 ของปริมาณขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้น) และส่วนที่เหลือประมาณ 5.40 ล้านตัน (ร้อยละ 21 ของ ปริมาณขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้น) ถูกนำไปกำจัดอย่างไม่ถูกต้อง ภาพที่ 6.4 ภาพรวมการจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ ปี พ.ศ.2565 ที่มา: รายงานสถานการณ์สถานที่กำจัดขยะมูลฝอยของประเทศไทย ปี พ.ศ.2565, กรมควบคุมมลพิษ แผนยุทธศาสตร์ 20 ปี (พ.ศ.2556-2570) กรุงเทพมหานคร ได้กำหนดเป้าหมายลดปริมาณ ขยะให้เหลือน้อยที่สุด หรือเป็นศูนย์ เพื่อลดภาระการกําจัดขยะปลายทาง แต่ตลอดช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เริ่มยุทธศาสตร์ ปริมาณขยะของกรุงเทพไม่ได้ลดลงตามเป้าหมาย มียกเว้นช่วงการระบาดของโค วิด -19 (พ.ศ. 2563-2564) ที่ ปริมาณขยะลดลง ปัญหาสําคัญคือการไม่คัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง ซึ่ง ในจํานวนขยะ 10,706 ตันต่อวัน สามารถ แยกขยะเพื่อรีไซเคิลได้เพียง 3,672 ตันต่อวันเท่านั้น เท่ากับว่ามีขยะที่ต้องนําไปกําจัดถึงร้อยละ 90 ซึ่งการจัดการขยะแบ่งได้เป็น 3 ระยะได้แก่ (Thaipublica, 2022) 1) ระยะที่ 1 การจัดการขยะต้นทาง คือการคัดแยกขยะ ซึ่งประชาชนทั่วไปยังไม่มี การคัดแยกขยะ โดยมากขยะจะถูกแยกโดยซาเล้ง หรือเจ้าหน้าที่เก็บขนขยะที่มาแยกขยะในรถ (ขยะ รีไซเคิล เช่น ขวดพลาสติก กระดาษ 2,845 ตันต่อวัน และขยะอินทรีย์ นําไปทําปุ๋ยได้ 821 ตันต่อวัน) ทําให้แต่ละวันสามารถแยกขยะได้เพียง 3,672 ตันต่อวัน 2) ระยะที่ 2 การจัดการขยะที่กลางทาง กทม.มีรถเก็บขนมูลฝอยจํานวน 2,140 คัน เป็นรถของกทม. 495 คัน รถเช่า 1,571 คัน เรือเก็บมูลฝอย 111 ลํา มีพนักงานเก็บขนมูลฝอยรวม ทั้งสิ้น 10,454 คน ซึ่งการจัดเก็บจะไม่ให้เหลือขยะตกค้างในแต่ละวัน 3) ระยะที่ 3 การจัดการขยะที่ปลายทาง โดยการจัดการขยะ ปลายทางกรุงเทพฯ โดยใช้วิธีการฝังกลบ เผา หรือ สร้างโรงไฟฟ้าขยะและนําไปทําปุ๋ยอินทรีย์
147 ภาพที่ 6.5 ปริมาณขยะในกรุงเทพมหานคร ปี 2556-2565 ที่มา: https://thaipublica.org/2022/05/bangkok-agenda06-2565/, 2567 ภาพที่ 6.6 การจัดการขยะในกรุงเทพมหานคร ที่มา: https://thaipublica.org/2022/05/bangkok-agenda06-2565/, 2567 นอกจากนี้จากสถิติงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science Advances เดือนตุลาคม ปี 2563 พบว่า ประเทศไทยสร้างขยะพลาสติกต่อประชากรสูงเป็นอันดับที่ 5 ของโลก โดยมีปริมาณขยะ พลาสติก 4,796,494 ตัน/ปี (หรือราว 69.54 กิโลกรัม/ปี/คน) และมีสัดส่วนขยะพลาสติกในขยะทั่วไป มากเป็นอันดับที่ 3 ของโลก ปริมาณพลาสติกในประเทศไทย แบ่งเป็นประเภทถุงพลาสติก 1.11 ล้าน ตัน ขวดพลาสติก 0.40 ล้านตัน แก้ว กล่องและถาดพลาสติก 0.23 ล้านตัน ตามลําดับ (แนวหน้า, 2565) จากการศึกษาของทีมนักวิจัยมหาวิทยาลัย จอร์เจีย พบว่าประเทศไทยยังติดอันดับ 5 ของโลก (อันดับ 1 คือ จีน อันดับ 2 อินโดนีเซีย อันดับ 3 ฟิลิปปินส์อันดับ 4 เวียดนาม อันดับ 5 ไทย) ที่มี
148 ขยะในทะเลมากที่สุดทั้งที่ประชากรในประเทศน้อยกว่าประเทศอื่นแต่ กลับมีขยะในทะเลมากกว่า 1 ล้านตัน โดยแบ่งเป็นขยะต่าง ๆ อาทิ หลอดเครื่องดื่ม ถุงพลาสติก บุหรี่ เป็นต้น ปัญหาขยะทะเล นอกจากทําลายทัศนียภาพแล้ว ยังสร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศใต้ท้องทะเล และคร่าชีวิตสัตว์ ทะเลหายากอีกด้วย โดยเฉพาะลูกโลมาและเต่าทะเลไทยที่เสียชีวิตจากพลาสติกไปปีละกว่า 100 ตัว ข้อมูลจาก (คลังความรู้ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง, 2565) ในวันเก็บขยะชายหาดสากล ปี 2565 สรุปผลการดำเนินกิจกรรมวันเก็บขยะชายหาดสากลชายฝั่ง International Coastal Cleanup Day เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2565 โดยสำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 1-10 ใน 21 จังหวัดชายฝั่งทะเล ประกอบด้วย จังหวัดระยอง จันทบุรี ตราด ชลบุรี สมุทรปราการ ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ชุมพร สุราษฎร์ธานี พัทลุง สงขลา ระนอง ตรัง สตูล สมุทรสาคร สมุทรสงคราม กรุงเทพมหานคร นราธิวาส ปัตตานี กระบี่ สามารถเก็บขยะจากระบบนิเวศทางทะเล และชายฝั่ง ได้จำนวนทั้งสิ้น 180,640 ชิ้น / 11475.87 กิโลกรัม (11.48 ตัน) มีขยะที่พบมากที่สุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย 1) ถุงก๊อปแก๊ป ร้อยละ 34.41 2) ขวดเครื่องดื่ม (พลาสติก) คิดเป็นร้อยละ 19.65 3) ห่อ/ถุงอาหาร (ทอฟฟี่, มันฝรั่งอบกรอบ อื่น ๆ) คิดเป็นร้อยละ 14.68 4) ถุงพลาสติกอื่น ๆ คิดเป็นร้อยละ 13.67 5) ขวดเครื่องดื่ม (แก้ว) คิดเป็นร้อยละ 9.27 ปริมาณขยะที่ต้องกําจัดให้เหลือน้อยที่สุด ที่ผ่านมาเรามีเพียงการรณรงค์ทิ้งขยะในถังแต่ไม่ แยกประเภทขยะซึ่งแตกต่างจากพฤติกรรมการแยกขยะของประเทศที่พัฒนาแล้ว ทั้งนี้การลดขยะให้ เป็นศูนย์หรือน้อยที่สุดตั้งแต่ต้นทางเป็นวิธีการที่ใช้ในต่างประเทศ ทําให้ต้นทุนในการกําจัดขยะลดลง ไม่ต้องลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าขยะหรือการฝังกลบที่จะสร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่นตามมา อีกทั้งภาครัฐ ควรรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนให้ความสําคัญและร่วมมือต่อการแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง เพราะว่าการจัดการขยะมูลฝอยที่ไม่ถูกต้องจะทําให้เกิดมลพิษ เหตุเดือดร้อนรําคาญ ตลอดจนการ เพิ่มขึ้นของอุณภูมิในชั้นบรรยากาศของโลก 6.6 หลักการจัดการขยะมูลฝอย ขยะมูลฝอยที่เพิ่มขึ้นจนกลายเป็นปัญหาสําคัญทั้งในส่วนภูมิภาค ระดับประเทศและระดับ โลก ตั้งแต่ การรวบรวมและการเก็บขนขยะมูลฝอยที่ยังมีขยะตกค้างจํานวนมากและก่อให้เกิดกลิ่น เน่าเหม็น สถานที่กําจัดขยะที่ไม่เพียงพอ การกําจัดขยะมูลฝอยที่ไม่ถูกวิธีเหล่านี้ก่อให้เกิดผลกระทบ ต่อทั้งสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ดังนั้นควรมีการจัดการขยะมูลฝอยที่ถูกต้องและเหมาะสม การจัดการ จัดขยะมูลฝอยควรพิจารณาดําเนินการ ตามลําดับขั้นของการจัดการขยะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยลําดับแรกเริ่มจากหาทางลดปริมาณขยะและการใช้ซ้ำเพื่อไม่ให้เกิดขยะ จากนั้นพิจารณานําวัสดุ ในขยะที่ทิ้งจากชุมชนมารีไซเคิล หรือหมักทําปุ๋ย สําหรับขยะที่ไม่สามารถรีไซเคิลควรเข้าสู่ กระบวนการเปลี่ยนขยะให้เป็นพลังงาน ส่วนขยะจากกระบวนการต่าง ๆ จึงนําไปฝังกลบ กระบวนการเหล่านี้นอกจากจะเป็นวิธีการลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ แล้วยังช่วยลดการใช้พลังงาน ลดพื้นที่ฝังกลบและลดปริมาณมลพิษด้วย
149 ภาพที่ 6.7 กระบวนการจัดการขยะมูลฝอยตามแนวคิดสมัยใหม่ ที่มา: ภิศักดิ์ กัลยาณมิตร และวชิรวัชร์ งามละม่อม, 2561 จากภาพ แสดงลําดับขั้นของการจัดการขยะตามแนวคิดสมัยใหม่ 5 ขั้นตอน ซึ่งลําดับที่มี ความสูงที่สุดแสดงถึง ความยั่งยืนมากที่สุด และเป็นทางเลือกที่มีความเหมาะสมมากที่สุดส่วนการ กําจัดด้วยการฝังกลบเป็นทางเลือกสุดท้าย รายละเอียดดังนี้ 1) การลดปริมาณขยะมูลฝอย ณ แหล่งกําเนิด (Reduce) เป็นการจัดการขยะมูล ฝอยที่เกิดขึ้นจากแหล่งกําเนิด เช่น บ้านเรือน โรงแรม สถานศึกษา เพื่อรอการเก็บรวบรวมไปกําจัด ทําลาย ขั้นตอนแรก ซึ่งมีประเด็นความสําคัญและรับผิดชอบโดยตรงของบุคคลหรือเจ้าของสถานที่ ต่าง ๆ สําคัญ 2 ประการคือ การลดขยะและการคัดแยกขยะตั้งแต่แหล่งกําเนิด ซึ่งมิได้หมายถึงแค่การ ลดปริมาณแต่ยังหมายถึงระดับความเป็นพิษ (Toxicity) ของขยะมูลฝอยอีกด้วย ทั้งนี้การลดปริมาณ ขยะตั้งแต่ต้นทาง มีหลายวิธี อาทิ เลิกใช้หรือหลีกเลี่ยงสินค้าหรือบรรจุภัณฑ์ที่สร้างขยะ หรือเลือก บรรจุภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษหรือสามารถใช้ซ้ำได้ 2) การนํากลับมาใช้ใหม่ (Reuse) คือการนําวัสดุเดิมที่มีอยู่มาใช้ซ้ำอีกครั้งหนึ่งในรูป แบบเดิมหรืออาจ นํามาซ่อมแซมเพื่อใช้ประโยชน์อื่น ๆ แก่บุคคลอื่น และการเลี่ยงการผลิตหรือบรรจุ ภัณฑ์พลาสติก ประเภทใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง (Single use) แต่ใช้บรรจุภัณฑ์ที่ใช้ซ้ำได้หลายครั้ง ถือเป็น การยืดอายุการ ใช้งานเพื่อเป็นการลดปริมาณขยะ 3) นํากลับมาใช้ใหม่ (Recycling) โดยนําเอาวัสดุต่าง ๆ เช่น แก้ว กระดาษ อะลูมิเนียม ไม้ มาแปรรูปเพื่อ นํากลับมาใช้ใหม่ เพื่อเป็นการลดขยะมูลฝอยและการใช้พลังงาน ตลอดจนลดมลพิษต่าง ๆ โดยการคัดแยกขยะที่สามารถนําไปรีไซเคิลแต่ละประเภท ได้แก่ แก้ว กระดาษ พลาสติก โลหะ/อโลหะ เพื่อให้ง่ายต่อการนําไปรีไซเคิล และการรีไซเคิลด้วยการขาย บริจาค เข้าธนาคารขยะ แลกไข่ เป็นต้น นอกจากนี้การรีไซเคิลยังรวมถึงการนําขยะอินทรีย์และขยะจากสวน มาหมักทําปุ๋ย (Composting) 4) ผลิตพลังงาน (Energy recovery) หรือการเปลี่ยนขยะให้เป็นพลังงาน (WasteTo-Energy) คือ การ ใช้ประโยชน์จากขยะในด้านพลังงาน เป็นวิธีการนําขยะที่ไม่สามารถรีไซเคิล ได้มาเปลี่ยนให้เป็น พลังงานความร้อน พลังงานไฟฟ้า หรือเชื้อเพลิงโดยผ่านกระบวนการต่าง ๆ ได้แก่
150 การเผาในเตา (Combustion) แก๊สซิฟิเคชัน (Gasification) ไพโรไลซิส (Pyrolysis) การหมักก๊าซ ชีวภาพ (Anaerobic Digestion) และการดึงก๊าซจากการฝังกลบขยะ (Landfill gas) (กรมพัฒนา พลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน, ม.ป.ป.) 5) กําจัดขั้นตอนสุดท้าย (Final disposal) เป็นขั้นตอนสุดท้ายของลําดับ ความสําคัญของการจัดการขยะ ขยะที่เหลือจากขั้นตอนด้านบน จะมีปริมาณที่น้อยลงแล้วจึงจะนํามา ฝังกลบอย่างถูกวิธีสามารถทําการฝังกลบกากอุตสาหกรรมหรือของเสียไม่อันตราย (Sanitary Landfill) และฝังกลบสําหรับกากของเสียอันตราย โดยการฝังกลบอย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตามการ ฝังกลบส่งผลให้เกิดการชะล้าง ซึ่งสร้างมลพิษให้กับแหล่งน้ำใต้ดินและคุณภาพของดิน นอกจากนี้การ กําจัดขยะด้วยการฝังกลบยังทําให้เกิดก๊าซมีเทน (CH4) ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่แรงกว่าก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) อีกด้วย จากขั้นตอนข้างต้นเห็นได้ว่า 3 ขั้นตอนแรกเป็นหลักการ 3R ซึ่ง เป็นการจัดการขยะมูลฝอยโดยเน้นการจัดการแบบครบวงจรทั้ง 3 ระยะ คือ ระยะต้นทาง ระยะกลาง ทางและระยะปลายทาง ซึ่งระยะต้นทางมีความสําคัญที่สุดเป็นวิธีที่ถูกที่สุดแต่มีความยากมากที่สุด นั่นคือการลดและคัดแยกขยะ ซึ่งต้องใช้ความร่วมมือของประชาชนและผู้ประกอบการที่เป็นผู้สร้าง ขยะที่ต้องร่วมมือร่วมใจกันลดปริมาณขยะให้เหลือน้อยที่สุดเป็น ลําดับแรกมุ่งการการใช้วัตถุดิบหรือ ทรัพยากรการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ หลังจากนั้นหากเกิดของเสียแล้วต้องพยายามหาแนวทางการ นํากลับไปใช้ซ้ำหรือใช้ใหม่ให้ได้มากที่สุด ส่วนการกําจัดขยะมูลฝอยเป็นกระบวนการสุดท้ายของวงจร ชีวิตขยะมูลฝอยซึ่งเป็นการเป็นไว้ในหลุฝังกลบที่ปลอดภัยหรือเผาทําลายในเตาเผาให้หมดสภาพของ ขยะมูลฝอย ทั้งสองวิธีต้องมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและ ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง นอกจากหลักการ 3R ในบางพื้นที่อาจมีการใช้หลักการ 7R ซึ่งได้แก่ Reduce ลดใช้, Reuse ใช้ซ้ำ Refill การเติม, Return การคืน, Repair/Repurpose การซ่อมแซม/การเปลี่ยนวัตถุประสงค์ การใช้งาน Replace การแทนที่และ Recycle รีไซเคิล ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและบริบทของ แต่ละพื้นที่ หลักการสําคัญที่สุดที่ควรคํานึงถึงคือการลดขยะให้มากที่สุดและใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มี ให้เกิดประโยชน์สูงสุดจนมีขยะไปสู่หลุมฝังกลบน้อยที่สุดนั่นเอง 6.7 ขยะมูลฝอยในโรงแรม โรงแรมเป็นผู้ใช้ทรัพยากรหลักและมีส่วนอย่างมากในการก่อให้เกิดขยะ โดยทั่วไปขยะจาก โรงแรมมีทั้งขยะเปียก (อินทรีย์ย่อยสลายได้) และขยะแห้ง ขยะเปียกประกอบด้วยเศษอาหารเป็น หลัก แขกของโรงแรมสร้างขยะมากถึง 1 กิโลกรัมต่อวันโดยเฉลี่ย (International Hotel Environmental Initiative: IHEI, 2013) และเพิ่มมากขึ้นเป็นสองเท่าในวันที่แขก check out ออก จากโรงแรม คิดเป็นปริมาณขยะหลายล้านตันทั่วโลกในแต่ละปี การจัดการขยะและลดปริมาณขยะใน ธุรกิจโรงแรมจึงเป็นเรื่องสําคัญ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการจัดการขยะมูลฝอยประกอบด้วยปัจจัยต่าง ๆ เช่น การกําจัดและการขนส่งขยะ ตลอดจนต้นทุนแรงงานที่เกี่ยวข้อง การจัดการของเสียที่มี ประสิทธิภาพมากขึ้นสามารถช่วยประหยัดสําหรับธุรกิจ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับที่ตั้งของธุรกิจและกฎระเบียบ การจัดการของเสียในพื้นที่นั้น อย่างไรก็ตามปริมาณขยะที่เกิดขึ้นจะขึ้นอยู่กับขนาดและประเภทของ โรงแรม รวมถึงสิ่งอํานวยความสะดวกในการจัดการขยะ ทั้งนี้ International IHEI ระบุด้วยว่าขยะมูล ฝอยจากโรงแรมขนาดเล็กสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุดเนื่องจากโรงแรมขนาดเล็กมัก
151 ไม่ค่อยใส่ใจต่อความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและส่วนใหญ่ใช้วิธีฝังกลบขยะเป็นวิธีหลักในการกําจัด ขยะ เนื่องจากขาดงบประมาณ ความรู้ รวมถึงการตัดสินใจที่ไม่ดีพอ ความสะดวกสบายและการบริการเป็นหัวใจหลักของโรงแรมมาโดยตลอดและการให้ ความสําคัญกับสุขอนามัยก็เป็นส่วนสําคัญ ซึ่งหมายความว่ามีขยะจํานวนมากเกิดจากการให้บริการ เหล่านี้ ตั้งแต่แชมพูและโฟมอาบน้ำ โลชั่นบํารุงผิวแบบใช้ครั้งเดียวและรองเท้าแตะในห้องพักที่หุ้ม ด้วยพลาสติกไปจนถึงบุฟเฟต์ อาหารเช้าที่มีบริการอาหารหลากหลายคอยต้อนรับแขกผู้ใช้บริการ ดังนั้นในการดําเนินธุรกิจทําให้มีการสร้างขยะจํานวนมากและหลายประเภท เช่น เศษอาหาร อุปกรณ์ อาบน้ำ บรรจุภัณฑ์ กระดาษแข็ง ผ้าปูที่นอน ผ้าเช็ดตัวและของเหลว รวมถึงใบเสร็จ กระดาษบัตร ลงทะเบียนและใบแจ้งหนี้ เป็นต้น การสร้างขยะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้โดยเฉพาะในธุรกิจโรงแรมแต่ การกําจัดของขยะมูลฝอยและของเสียอย่างถูกต้องมีความสําคัญต่อธุรกิจเป็นอย่างมาก เพราะ นอกจากเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมแล้วยังช่วยประหยัดต้นทุนทรัพยากรและเวลาของธุรกิจอีกด้วย ตารางที่ 6.2 ประเภทของขยะมูลฝอยของโรงแรม ที่มา: Lucas et.Al, 2018 อ้างใน อลิสา ฤทธิชัยฤกษ์, 2564 หมวดหมู่ลักษณะของขยะ ขยะอนิทรีย์เศษอาหารจากเนื้อสตัว์และพืช (เปลอืกผลไม้การเตรียมอาหาร การตัดแต่ง กงิ่ต้นไม้ดอกไม้ใบไม้และหญ้า พลาสติก ขวด, ถงุ , บรรจุภณัฑอ์าหาร, ถว้ยพลาสติก, โฟม, ฟองน้้า, บรรจุภณัฑ์ เครื่องส้าอางค์, ผลติภณัฑท์ ้าความสะอาดปลอดสารพิษ บรรจุภณัฑ์, ลงั, ไม้ แขวนเสอื้ แกว้ขวดเครื่องดื่ม แกว้บรรจุภณัฑใ์สผ่ลติภณัฑอ์าหารและยา โลหะ กระป๋องเครื่องดื่ม ผลติภณัฑอ์าหารกระป๋อง ฝอยขดัหม้อ CRLR: cloths, rages, leather, and rubber เศษกระดาษทิชชจูากเครื่องอบผา้ตีนตุ๊กแก เสอื้ผา้ชิ้นสว่นของเสอื้ผา้ผา้ เชด็ท้าความสะอาด ถงุมือ หมวก สารเคมีปนเปื้อน แบตเตอรี่ยาขดัรองเท้า บรรจุภณัฑย์า บรรจุภณัฑส์ารพิษ เสอื้ผา้อาบเคมี ปากกาหมึกซมึเครื่องส้าอางโดยทั่วไปและโคมไฟ สารปนเปื้อนทาง ชวีภาพ กระดาษช้าระ ผา้เชด็ ปาก ส้าลพีันกา้น ของมีคม (เขม็กระบอกฉดียา หลอด ใบโกนหนวด) ไม้จิ้มฟัน ผา้ออ้มและผา้อนามัย สงิ่ปะปน บรรจุภณัฑ์Tetra pack, สติกเกอร์ติดซองยา, บรรจุภณัฑอ์าหารลามิเนต, บรรจุภณัฑก์ระดาษ A4, สกอ๊ตเทป, ป้าย, ไฟแชก็ อนื่ๆ กน้บุหรี่, เศษสบู่, จุก, ริบบิ้นเครื่องพิมพ์, กระดาษคาร์บอน, แปรงสฟีัน, เครื่องกรองน้้า, กระเบื้องไม้, ไม้ขดีไฟ
152 โรงแรมเป็นสาเหตุหลักของการผลิตขยะ ซึ่งขยะส่วนใหญ่เกิดจากห้องพักแขกและครัว หาก จัดการจัดขยะไม่ดีจะส่งผลกระทบต่อสังคมเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมได้ อย่างไรก็ตามพบว่าปัจจุบัน ยังคมโรงแรมหรือที่พักราคาประหยัดหลายแห่งที่ผู้บริหารแทบไม่สนใจต่อการลดปริมาณขยะหรือการ นําขยะกลับมาใช้ใหม่เพราะค่าใช้จ่ายที่สุดและเห็นว่าเป็นเรื่องเสียเวลาหรือจากการศึกษาของ (กัลยภรณ์ ก้วยเจริญพานิชก์, 2562) ระบุว่าถึงแนวทางในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การลดปริมาณขยะ และการลดการใช้พลังงาน กรณีศึกษาของโรงแรม 5 ดาวแห่งหนึ่งในย่านสุขุมวิท ทางโรงแรมได้ ปรับเปลี่ยนจากการใช้กล่องบรรจุภัณฑ์ในร้านอาหารที่ทำมาจากพลาสติกมาเป็นวัสดุที่สามารถย่อย สลายได้ตามธรรมชาติและยังมีการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนภายในโดยนำน้ำที่ใช้แล้วมาผ่านกรรมวิธีไว้ ใช้สำหรับการ Flushing ในห้องน้ำของห้องพัก รดน้ำต้นไม้และยังมีการคัดแยกขยะแต่ละประเภทเพื่อ นำไปทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีการนำอาหารที่เหลือในแต่ละมื้อส่งผ่านทางบริษัทตัวแทนเพื่อนำไป แปรรูปเป็นอาหารสัตว์นอกจากนี้ยังทำการตั้งเวลาการใช้เครื่องไฟฟ้าและเครื่องปรับอากาศ พร้อมทั้ง ปฏิบัติตามวิธีมาตรฐานของ ISO 50001 โดยมีการดูแลรักษา ซ่อมบำรุงเครื่องจักรและล้าง เครื่องปรับอากาศอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มีประสิทธิภาพการใช้งานอย่างเต็มที่ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัย ของ (เมทิตา อังศุเมธ, 2564) ได้ทำการศึกษาเรื่องแนวทางการจัดการขยะอาหารสำหรับงานอีเวนต์ใน มุมมองของผู้ให้บริการสถานที่จัดงาน ว่าในกระบวนการจัดการขยะอาหารในงานเลี้ยง ควรมีการ วางแผนตั้งแต่ก่อนงานจัดเลี้ยง ระหว่างงานจัดเลี้ยง และหลังงานจัดเลี้ยง โดยให้มีการคำนวณตั้งแต่ การเตรียมวัตถุดิบ การวางแผนและการควบคุมการผลิตอาหาร การออกอาหารและหมุนเวียนอาหาร ที่คงเหลือจากการผลิต รวมถึงหลังจัดงานจะนำอาหารที่ยังรับประทานได้ส่งต่อให้แก่ผู้ขาดแคลน ส่วน ขยะอาหารจะทำการคัดแยกและส่งต่อเพื่อแปรรูปเป็นอาหารสัตว์ (Farm Feed) ต่อไป จะเห็นได้ว่า ในปัจจุบันผู้ประกอบการบริการมีส่วนรับผิดชอบโดยตรงในการสร้างขยะ แต่ก็มี การวางแผนและการเตรียมการกำจัดขยะอาหาร และการคัดแยกขยะอย่างเหมาะสม เพื่อรองรับการ ขยายตัวของธุรกิจโรงแรมและสังคมเมืองที่รวดเร็ว การเกิดปัญหาขยะล้นเมือง และส่งผลกระทบต่อ ระบบนิเวศ และอันตรายต่อมนุษย์ ทั้งนี้กิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์และแขกผู้เข้าพักในโรงแรมทําให้ เกิดขยะปริมาณมาก การรวบรวม กําจัดและทิ้งขยะที่ไม่ถูกต้อง เหล่านี้เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดอันตราย ต่อสภาพอากาศ และสุขอนามัยของมนุษย์ 6.8 การจัดการขยะมูลฝอยในธุรกิจโรงแรม เนื่องจากโรงแรมเป็นสาเหตุหลักของการเกิดขยะจํานวนมาการจัดการขยะมูลฝอยจะต้องทํา อย่างเป็นระบบตั้งแต่กระบวนการเกิดขยะกระทั่งการกําจัดหรือทําลายและเพื่อเป็นการลดปริมาณ ขยะการจัดการขยะมูลฝอยในโรงแรมควรเริ่มจากการกําหนดนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมโดยผู้บริหาร และฝ่ายจัดการของโรงแรมเพื่อให้การดําเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จากนั้นจึงเป็นขั้นตอน การดําเนินการของหน่วยงานในพื้นที่ที่จะนําขยะไปกําจัดหรือทําลายต่อไป กําหนดกําหนดข้อปฏิบัติต่าง ๆ ที่ชัดเจนในนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของโรงแรม ซึ่งได้แก่ (กมล รัตนวีระกุล, 2558) 1. การลดและการคัดแยกขยะมูลฝอยตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งถือเป็นหน้าที่ของพนักงานภายใน โรงแรมทุกคนแบ่งได้ 2 ส่วนดังนี้ 1.1 การลดขยะตั้งแต่ต้นทางเพื่อให้มีขยะที่ต้องนําไปกําจัดหรือทําลายน้อยที่สุด เท่าที่จะทําได้ โดยมีวิธีต่าง ๆ ดังนี้
153 1.1.1 เลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถใช้ซ้ำได้ บรรจุภัณฑ์ขนาดใหญ่หรือ บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น ตะกร้า หรือถุงผ้า 1.1.2 การใช้ซ้ำ โดยนําขยะมูลฝอยหรือเศษวัสดุมใช้ใหม่หรือใช้ซ้ำ 1.1.3 การซ่อมแซม โดยการนําวัสดุหรืออุปกรณ์ที่ชํารุดมาซ่อมแซมเพื่อให้ ใช้งานได้อีกครั้ง เช่น คอมพิวเตอร์ รถเข็นผ้า 1.1.4 การแปรสภาพและนํากลับมาใช้ใหม่ โดยผ่านกระบวนเพื่อผลิตเป็น ของชิ้นใหม่ หรือนํามาแปรสภาพตามกระบวนการของแต่ละประเภทเพื่อสามารถนํากลับมาใช้ได้ใหม่ หรือใช้ประโยชน์ใหม่ เช่น พลาสติก กระดาษ ขวด โลหะต่าง ๆ 1.1.5 หลักเลี่ยงการใช้วัสดุที่กําจัดหรือทําลายยาก หรือวัสดุที่ใช้ได้เพียงครั้ง เดียว เช่น โฟม 1.2 การคัดแยกขยะ เป็นกระบวนการสําคัญที่ทําให้การจัดการขยะเป็นระบบและ มีประสิทธิภาพมากขึ้น การคัดแยกขยะช่วยให้สะดวกต่อการนําขยะไปใช้ให้เป็นประโยชน์หรือกําจัด รายละเอียด ดังนี้ 1.2.1 ขยะมูลฝอยที่ย่อยสลายง่าย เช่น เศษอาหาร เปลือกผักผลไม้ สามารถนําไปหมักเพื่อเป็นปุ๋ยสําหรับใช้ในสวนของโรงแรม 1.2.2 ขยะรีไซเคิล เช่น แก้วน้ำกระดาษ กระป๋องอลูมิเนียม สามารถนํามา แยกและแปรรูปกลับมาใช้ใหม่ได้เพื่อเป็นการประหยัดทรัพยากรและพลังงาน 1.2.3 ขยะอันตราย เช่น ถ่านไฟฉาย หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ กระป๋องยา ฆ่าแมลง ขยะประเภทนี้จําเป็นต้องแยกทิ้งเพราะบางชนิดติดไฟได้ง่ายหรือระเบิดได้ง่าย 1.2.4 ขยะทั่วไปหรือขยะที่ไม่สามารถแยกประเภทได้ เช่น ถุงขนม เปลือก ลูกอม ถุงพลาสติก 2. การเก็บรวบรวมขยะมูลฝอย คือ การเก็บขนขยะมูลฝอยจากถังขยะตามจุดต่าง ๆ ใน โรงแรมแล้วรวบรวมไปไว้ที่ห้องเก็บขยะแห้งปละขยะเปียกเพื่อรอเจ้าหน้าที่ขนขยะมานําไปยังสถานที่ กําจัดขยะต่อไป 3. การเก็บกักขยะมูลฝอย ขยะอันตรายต้อวมีการเก็บกักก่อนส่งไปกําจัดอย่างถูกวิธีและ ปลอดภัย 4. การขนส่งขยะมูลฝอย อาจเป็นการขนส่งขยะมูลฝอยไปยังสถานที่กําจัดหรือทําลายหรือไป ไว้ในที่ใดที่หนึ่งก่อนนําไปทําลาย (สถานีขนถ่ายขยะ) 5. การแปรสภาพขยะมูลฝอย การแปรสภาพขยะมี 3 ลักษณะ ได้แก่ 5.1 การอัดขยะเป็นฟอนหรือก้อน เพื่อลดพื้นที่ให้น้อยลงในการเก็บขนขยะ และลด ค่าใช้จ่ายในการ ขนส่งขยะไปกําจัด 5.2 นําวัสดุที่ใช้แล้วมาใช้ใหม่ 5.3 นําผลผลิตที่แปรสภาพมาใช้ประโยชน์ต่าง ๆ เช่น การแปรสภาพขยะด้วยการ ย่อยสลายทาง ชีวภาพทําให้ได้ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยอินทรีย์และได้ก๊าซมีเทนเพื่อเป็นเชื้อเพลิงสําหรับหุงต้ม 6. การกําจัดหรือทําลายขยะมูลฝอย เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการจัดการขยะมีวิธีการต่าง ๆ ดังนี้ 6.1 การเทกองบนพื้น เป็นวิธีที่ง่ายและค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด เนื่องจากมิได้มีการ ดําเนินการใด ๆ เป็นวิธีที่ควรหลีกเลี่ยงเพราะไม่ถูกสุขลักษณะ เมื่อมีปริมาณมาก ๆ จะถูกกําจัดโดย
154 การเผาทิ้งหรือเรียกว่าเผาในที่โล่ง ทําให้เกิดควันไฟและขี้เถ้าส่งผลให้เกิดมลพิษทางอากาศ และ สุขภาพของประชาชน 6.2 การฝังกลบตามหลักสุขาภิบาล โดยขุดหลุมเพื่อฝังกลบขยะแล้วนําขยะมูลฝอย มาเกลี่ยบนพื้นดินให้กระจายทั่ว บดอัดให้แน่นแล้วนําดินมากลบและบดอัดให้แน่นอีกรอบเป็นชั้น ๆ จนกว่าสถานที่ฝังกลบจะเต็มแล้วจึงปิดหลุมฝังกลบด้วยการบดดินให้แน่นแล้วปลูกพืชคลุมดินป้องกัน น้ำกัดเซาะหรือ น้ำไหลบ่า อาจมีการปูรองก้นด้วยวัสดุเพื่อป้องกันน้ำไหลซึมชะขยะมูลฝอยไป ปนเปื้อนน้ำใต้ดิน 6.3 การฝังกลบด้วยวิธีพิเศษ (การฝังกลบอย่างปลอดภัย) เป็นการฝังกลบเฉพาะ สําหรับขยะอันตรายเท่านั้น ต้องใช้เงินลงทุนสูงและมีผู้เชี่ยวชาญดําเนินการ โดยมีการปูรองก้นด้วย วัสดุพิเศษที่อายุทนทานไม่ฉีกขาดง่าย เพื่อป้องกันการรั่วไหลของสารอันตราย ขยะเหล่านี้ต้องบรรจุ ในภาชนะที่ปิดสนิทและจัดวางในหลุมฝังกลบอย่างเป็นระบบเพื่อป้องกันการกระแทกระหว่างการฝัง กลบ ซึ่งเป็น สาเหตุของการรั่วไหล 6.4 การเผาขยะในเตาเผา เป็นวิธีเผาขยะมูลฝอยในเตาเผาที่มีอุณหภูมิสูง เพื่อให้ เกิดการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์ ลักษณะของเตาเผาจะแตกต่างกันตามองค์ประกอบของขยะ ขยะที่เผา ง่ายเตาเผาไม่จําเป็นต้องใช้อุณภูมิสูง หากมีขยะที่เผาไหม้ยากและมีความชื้นสูง เตาเผาต้องมีอุณภูมิ ความร้อนสูง มาก ๆ เตาสําหรับเผาขยะจําเป็นต้องใช้เทคโนโลยีที่สามารถควบคุมการเผาไหม้ควันไอ เสียอุณหภูมิเศษผงหรือฝุ่นละอองที่ปนกับควันเพื่อป้องกันมลพิษทางอากาศ ขี้เถ้าที่เหลือจาก ขบวนการเผาไหม้ ต้องนําไปกําจัดหรือทําลายที่สถานที่ฝังกลบต่อไป UNESCO, Sustainable Travel Pledge (ปฏิญญาเพื่อการเดินทางอย่างยั่งยืน ยูเนสโก, ม.ป.ป. อ้างใน อลิสา ฤทธิชัยฤกษ์, 2564) ได้เสนอแนวทางในการจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพเพื่อ ประหยัดต้นทุนในโรงแรม 10 วิธีได้แก่ 1) ดําเนินการตรวจสอบขยะมูลฝอย คือการสรุปปริมาณขยะที่เกิดจากการ ดําเนินงานของโรงแรม พร้อมทั้งแยกประเภทและแหล่งที่มาของขยะมูลฝอย 2) กําจัดการใช้สิ่งของที่ใช้แล้วทิ้ง สินค้าประเภทใช้ครั้งเดียวเป็นสิ่งของหลักที่ โรงแรมจําเป็นต้องใช้ ดังนั้นโรงแรมควรหาวิธีหลีกเลี่ยงสิ่งของเหล่านั้น โดยเฉพาะพลาสติก เนื่องจาก สิ่งของเหล่านี้สร้างขยะจํานวนมาก เช่น ขวดบรรจุผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในห้องน้ำแบบใช้แล้วทิ้งควร เปลี่ยนเป็นแบบที่เติมได้แทน 3) เลือกซื้อสิ่งของที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์และสินค้าหลาย ประเภทที่ลดการสร้าง ขยะและไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โรงแรมควรพิจารณาการซื้อสินค้าจาก ผู้ผลิตที่มีทางเลือกเกี่ยวกับสินค้าสีเขียว รวมถึงการปฏิเสธสินค้าที่มีพลาสติกหรือบรรจุภัณฑ์ที่เป็น พลาสติก เพื่อลดการเกิดขยะ 4) แยกประเภทของขยะ สิ่งที่โรงแรมควรให้ความสําคัญคือการคัดแยกประเภทของ ขยะอย่างถูกต้องทั้งนี้การคัดแยกขยะเป็นสิ่งที่พนักงานสามารถทําได้ และสามารถเชิญชวนและให้ ข้อมูลแก่แขกเพื่อปฏิบัติเช่นเดียวกัน การคัดแยกขยะนั้นเพื่อให้แน่ใจว่าขยะมูลฝอยชิ้นใดสามารถนํา กลับมาใช้ใหม่ถ้าเป็นไปได้ รวมถึงการกําจัดขยะแต่ละประเภทอย่างเหมาะสม ดังนั้นบริเวณสาธารณะ ของโรงแรมควร มีการจัดวางถังขยะแต่ละประเภทพร้อมป้ายที่เห็นชัด เพื่อให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมใน การทิ้งขยะอย่างถูกต้อง ทั้งนี้ในส่วนของห้องพักอาจจัดถังขยะประเภทติดเชื้อและขยะทั่วไปแล้วจึงให้ พนักงานแม่บ้านทําการคัดแยกขยะอีกครั้ง
155 5) การซ่อมแซมและการนํากลับมาใช้ใหม่ การนําสิ่งของกลับมาใช้ใหม่หรือการ ซ่อมแซมเป็นวิธีที่ดีที่สุด วิธีหนึ่งในการจัดการกับขยะ แม้ว่าจะไม่สามารถใช้ได้กับขยะทุกชิ้นแต่ขยะใน หลายพื้นที่ของโรงแรม สามารถนํากลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อีกมากกว่าที่คนส่วนใหญ่คิด เช่น การ นําเอาเฟอร์นิเจอร์เก่าหรือที่เสียและไม่สามารถซ่อมได้มาดัดแปลงเป็นสิ่งของอื่น ขวดโหลและขวด แก้วสามารถนํามาใช้ในการตกแต่งบริเวณโถงต้อนรับของโรงแรม ทั้งนี้อาจให้พนักงานมีส่วนร่วมใน การคิดสร้างสรรค์จาก สิ่งของที่ใช้การไม่ได้แล้วเหล่านั้น 6) จัดหาวัตถุดิบในท้องถิ่น การเลือกซื้อและใช้วัตถุดิบภายในพื้นที่ก่อให้เกิด ประโยชน์หลายด้าน อาทิ วัตถุดิบแบบออร์แกนิกที่ปลูกในท้องถิ่นจะช่วยเพิ่มคุณภาพ ยืดอายุการเก็บ รักษาและช่วยสนับสนุนชุมชน นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสที่ดีที่ช่วยให้การเปลี่ยนรายการอาหารได้ นําเสนอผลิตผลตามฤดูกาลใน ท้องถิ่น พร้อมทั้งช่วยลดขยะและระยะทางขนส่งอาหารที่ไม่จําเป็นอีก ด้วย 7) เพิ่มประสิทธิภาพของแผนกบริการส่วนหน้า แผนกต้อนรับของโรงแรมอาจเป็น แหล่งขยะมูลฝอยที่สําคัญโดยเฉพาะกระดาษต่าง ๆ หากต้องการลดปริมาณขยะไม่จําเป็น ควรนํา เทคโนโลยีเข้ามาใช้ใน การดําเนินงานของปผนก เช่น การส่งรายงานช่วงเช้าและดึกแบบ อิเล็กทรอนิกส์ อีเมลและออกใบแจ้งหนี้อิเล็กทรอนิกส์ให้แก่แขก อย่างไรก็ตามหากจําเป็นต้องใช้ กระดาษตรวจสอบให้แน่ใจว่าใช้ กระดาษรีไซเคิลและการพิมพ์ทั้งสองด้าน 8) การทําปุ๋ยหมัก การทําปุ๋ยหมักเป็นปัจจัยสําคัญในการลดและจัดการของขยะมูล ฝอย ร้อยละของขยะ มูลฝอยของโรงแรมส่วนใหญ่มาจากในครัวและสวนของโรงแรม เช่น ขยะเปียก จากพืชผักผลไม้ ใบไม้ ดังนั้นหากนําขยะมูลฝอยเหล่านั้นมาทําปุ๋ยหมัก ถือเป็นการใช้ของเสียนั้นให้ เกิดประสิทธิผลได้ ปุ๋ยหมักที่ได้สามารถนํามาใช้กับโรงแรมในชุมชน หรือสําหรับแขกได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังเป็นการป้องกันไม่ให้วัสดุอินทรีย์ถูกนําไปฝังกลบซึ่งการสลายตัวของขบะเหล่านั้นเป็น สาเหตุการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 9) การใช้วัตถุดิบให้คุ้มค่า วางแผนรายการอาหารที่จะให้บริการแขกอย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถทําอาหารจากวัตถุดิบที่ซื้อมาให้ได้มากที่สุด ช่วยให้โรงแรมไม่ต้องซื้อวัตถุดิบและของ เกินความจําเป็น นอกจากนี้ลองดัดแปลงและสร้างสรรค์กับวัตถุดิบที่มักจะต้องทิ้ง เช่น เปลือกผลไม้ที่ สามารถนําไปแต่งกลิ่นเครื่องดื่ม เศษผักที่สามารถนําไปทําน้ำสต็อกได้ หรือขอบขนมปังที่สามารถ ดัดแปลงเป็นครูตองค์ (Croutons) เพื่อโรยหน้าสลัด 10) การบริจาคเพื่อการกุศลในท้องถิ่น หากโรงแรมมีอาหารเหลือหรือผลิตผล จํานวนมาก ทั้งจากบุฟเฟต์ อาหารเช้า หรือจากการจัดเลี้ยง ให้หาองค์กรการกุศลในท้องถิ่นหรือ ธนาคารอาหารที่คุณสามารถ บริจาคอาหารได้ วิธีนี้จะทําให้อาหารไม่สูญเปล่า อีกทั้งยังช่วยเหลือผู้คน ที่ขัดสนในพื้นที่ นอกจากนี้ โรงแรมสามารถนําเครื่องนอนและเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่ต้องการแล้วไปบริจาค ให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ เช่น การบริจาคผ้าขนหนูหรือผ้าปูเตียงที่เก่าแล้วแต่สภาพยังดีให้กับสถานี อนามัย เป็นต้น 6.9 ประโยชน์ของการจัดการขยะมูลฝอยในโรงแรม แรงกระตุ้นสําคัญที่ทําให้ผู้บริหารโรงแรมสนับสนุนการจัดการขยะคือผลประโยชน์ที่ทาง โรงแรมจะได้รับรวมถึงการลดต้นทุนและยิ่งโรงแรมสร้างขยะน้อยและมีการจัดการขยะที่ดียังช่วย ส่งเสริมภาพลักษณ์ของโรงแรมในด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทําให้ธุรกิจ
156 ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางพร้อมโอกาสในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน (Choosak Choosri, 2016) ประโยชน์อื่น ๆ ได้แก่การปล่อยก๊าซคาร์บอนจากการขนส่งขยะลดลง ต้นทุนที่ลดลง เนื่องจากข้อกําหนดในการสั่งซื้อที่ น้อยลงจากซัพพลายเออร์ ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับผู้มีส่วนได้ส่วน เสีย ความเสี่ยงและหนี้สินที่ลดลงและประโยชน์ด้านสุขภาพและความปลอดภัย นอกจากนี้หาก โรงแรมสามารถนําขยะมาแปรรูปเพื่อใช้ใหม่ และยังก่อให้เกิดประโยชน์ภาพรวมต่องบประมาณของ ประเทศด้านการจัดการขยะมูลฝอย เนื่องจากแต่ละปีรัฐบาลต้องเสียค่ากําจัดขยะมูลฝอยหลายล้าน บาท ช่วยในการประหยัดพื้นที่รองรับและกำจัดมูลฝอยของประเทศเพราะการนําขยะไปรีไซเคิลช่วย ลดปริมาณขยะที่ต้องกําจัดทิ้งได้ถึง 4.94 ล้านตันต่อปี ซึ่งประหยัดพื้นที่ฝังกลบถึง 1,500 ไร่ ประหยัด พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติสําหรับการผลิต เช่น ลดพลังงานในการตัดต้นไม้เพื่อทํากระดาษหรือ เชื้อเพลิง ลดการขุดทรายเพื่อผลิตแก้ว เป็นต้น ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อเปรียบเทียบ กับการนําขยะมูลฝอยไปฝังกลบหรือเผาในเตาเผาก่อให้เกิดอาชีพและการจ้างงาน เช่น อาชีพคัดแยก ขยะ ผู้ผลิตแปรรูปวัสดุเหลือใช้ ผู้จําหน่ายสินค้ารีไซเคิล เป็นต้น (กรมควบคุมมลพิษ, 2559) 6.10 บทสรุป ปัญหาขยะซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่มีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงมากขั้น ประกอบกับการ ขยายตัวของอุตสาหกรรมบริการ การขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว ทำให้อัตราการเพิ่มขึ้นของขยะ เพิ่มขึ้นมากด้วยเช่นกัน ซึ่งขยะและของเสียเหล่านี้ทำให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของ ประชาชน ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาขณะที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและโรงแรมมองเห็นถึงผลกระทบ ที่เกิดขึ้นกับทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม และตั้งแต่ต้นปี 2565 เป็นต้นมา หลังจากที่มีการแพร่ระบาด ของสถานการณ์ โควิด 19 การท่องเที่ยวค่อย ๆ กลับมาอีกครั้ง ทำให้อุตสาหกรรมโรงแรมมองเห็นถึง ความสำคัญของความยั่งยืนและการรักษามาตรฐานด้านสุขอนามัยมากขึ้น และเรียนรู้ที่จะจัดการขยะ มูลฝอยตั้งแต่กระบวนการเกิดขยะ จนกระทั่งการกำจัดหรือทำลายเพื่อเป็นการลดปริมาณขยะ โดย โรงแรมจะเริ่มตั้งแต่การกำหนดนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมจากผู้บริหารและฝ่ายจัดการของโรงแรม เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และลงไปถึงขั้นตอนการดำเนินการของหน่วยงานใน พื้นที่ที่จะนำขยะไปกำจัดหรือทำลาย แรงกระตุ้นที่สำคัญที่ทำให้ผู้บริหารโรงแรมสนับสนุนการจัดการ ขยะคือผลประโยชน์ที่ทางโรงแรมจะได้รับรวมถึงการลดต้นทุน อีกทั้งยังสามารถช่วยส่งเสริม ภาพลักษณ์ของโรงแรมในด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ พลังงานและสิ่งแวดล้อมและแสดง ความรับผิดชอบต่อชุมชน สังคมเพื่อให้เกิดความยั่งยืนได้ 6.11 กิจกรรมเสริมการเรียนรู้ ให้นักศึกษาแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3 คน และออกแบบแนวทางการสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์จาก วัสดุเหลือใช้ คนละ 1 อย่าง พร้อมอธิบายต้นทางของขยะ และประโยชน์การใช้งาน โดยสามารถ นำไปใช้งานได้จริง 6.12 คำถามท้ายบทที่ 6 1. ให้นักศึกษาให้คำจำกัดความของ ขยะมูลฝอย มาพอเข้าใจ 2. ประเภทของขยะมูลฝอยมีกี่ประเภท อะไรบ้าง พร้อมยกตัวอย่างแต่ละประเภทให้เห็นภาพ ชัดเจน
157 3. แหล่งกำเนิดของขยะมูลฝอย เกิดมาจากแหล่งใดบ้าง อธิบาย 4. ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการจัดการขยะมูลฝอยแบบไม่ถูกต้องมีอะไรบ้าง อธิบาย 5. มีขยะชนิดใดบ้างที่ถูกพบมากที่สุด 5 อันดับแรกจากการเก็บขยะจากระบบนิเวศชายฝั่งใน ปัจจุบัน 6. ให้นักศึกษาอธิบายถึงลำดับขั้นของกระบวนการจัดการขยะตามแนวคิดสมัยใหม่ 7. การจัดการขยะมูลฝอยในโรงแรมมีข้อกำหนดในการปฏิบัติอย่างไรบ้าง อธิบาย 8. UESCO ได้เสนอแนวทางในการจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้ประหยัดต้นทุนของ โรงแรม อย่างไรอธิบายเป็นข้อ ๆ 9. อธิบายประโยชน์ของการจัดการขยะในโรงแรมมาพอเข้าใจ 6.13 เอกสารอ้างอิง กมล รัตนวีระกุล. (2558). การจัดการสิ่งแวดล้อมในโรงแรม. กรุงเทพฯ: มูลนิธิเพื่อสถาบันพัฒนา ผู้ประกอบการโรงแรมไทย. กรมควบคุมมลพิษ. (2559). คู่มือประชาชน การคัดแยกขยะมูลฝอยอย่างถูกวิธีและเพิ่มมูลค่า. พิมพ์ ครั้งที่ 8. กรุงเทพฯ: บริษัท ฮีซ์ จำกัด. กรมควบคุมมลพิษ. (2564). คู่มือการลดและคัดแยกชยะมูลฝอยภายในบ้านและที่ทำงาน. (ออนไลน์). Available: https://www.pcd.go.th/wp-content/uploads/2021/09/pcdnew-2021- 09-16_14-17-09_739673.pdf. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 25 พฤศจิกายน 2566). กรมควบคุมมลพิษ. คู่มือแนวทางและข้อกำหนดเบื้องต้นการลดและใช้ประโยชน์ขยะมูลฝอย. (ออนไลน์). Available: http://infofile.pcd.go.th/waste/2018_03. pdf?CFID=1792856 &CFTOKEN=4 1292535. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 21 ธันวาคม 2566). กรมควบคุมมลพิษ. (2565). รายงานสถานการณ์สถานที่กำจัดขยะมูลฝอยชุมชนของประเทศไทย ปี พ.ศ.2565.(ออนไลน์). Available: https://www.pcd.go.th/wpcontent/uploads/2023/04/pcdnew-2023-04-11_03-13-24_292638.pdf. (สืบค้น ข้อมูลวันที่ 25 พฤศจิกายน 2566). กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน. (ม.ป.ป.). ขยะ: สำคัญที่การจัดการเพื่อให้ได้ทั้งการ กำจัดและพลังงาน. (ออนไลน์). Available: https://webkc.dede.go.th/testmax/node/2108 (สืบค้นข้อมูลวันที่ 24 พฤศจิกายน 2566). กัลยภรณ์ ก้วยเจริญพานิชก์. (2562). แนวทางการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การลดปริมาณขยะและการลด การใช้พลังงาน กรณีศึกษาของโรงแรม 5 ดาว แห่งหนึ่งในย่านสุขุมวิท. การประชุมนำเสนอ ผลงานวิจัยระดับชาติ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ครั้งที่ 9: (น.1782-1795). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. International Hotels Environmental Initiative: IHEI. (2 0 1 3 ) . International Hotels Environmental Initiative Project. (Online). Available: www.ihgple.com. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 25 พฤศจิกายน 2566).
158 คลังความรู้ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง. (2565). ขยะทะเล. (ออนไลน์). Available: https://km.dmcr.go.th/c_260/d_19575. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 25 พฤศจิกายน 2566). ธเรศ ศรีสถิตย์. (2553). วิศวกรรมการจัดการมูลฝอยชุมชน. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ปิยชาติ ศิลปสุวรรณ. (2557). ขยะมูลฝอยชุมชน ปัญหาใหญ่ที่ประเทศกำลังเผชิญ. สำนักวิชาการ สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา. ______. พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 เพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2560. (ออนไลน์). Available: http://obtbangsaotong.go.th/uploads/data20%E0%B8%893%20 2560.pdf. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 25 พฤศจิกายน 2566). ภิศักดิ์ กัลยาณมิตร และคณะ. (2558). เทคโนโลยีที่เหมาะสมในการจัดการขยะ กำจัดขยะ การสร้าง และการใช้ประโยชน์จากขยะของประเทศญี่ปุ่น. ปทุมธานี: คณะมนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์. สมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม. (2562). ความหมาย ประเภท องค์ประกอบและสาเหตุของขยะ มูลฝอย. (ออนไลน์). Available: https://adeq.or.th/. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 25 พฤศจิกายน 2566). สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคและควบคุมมลพิษที่ 12 อุบลราชธานี. (2565). รายงานการศึกษา องค์ประกอบขยะมูลฝอย ณ สถานที่กำจัดขยะมูลฝอย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565. (ออนไลน์). Available:https://www.mnre.go.th/attachment/iu/download.php?WP=qUIcnKt 0pQMgZKqCGWOghJstqTgcWat0pQEgAKpjGQEgG2rDqYyc4Uux. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 25 พฤศจิกายน 2566). สำนักจัดการกากของเสียและสารอันตราย กรมควบคุมมลพิษ. คู่มือแนวทางการลด คัดแยก และใช้ ประโยชน์ขยะมูลฝอย สำหรับอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน. (ออนไลน์). Available: http://www.mt.mahidol.ac.th/MT_Green/images/knowledge/แ น ว ทางการ ลดคัดแยก%20. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 22 ธันวาคม 2566). สำนักจัดการกากของเสียและสารอันตราย. ความรู้ด้านการลด คัดแยก และนำขยะมูลฝอยกับมาใช้ ใหม่. (ออนไลน์). Available: http://www.pcd.go.th/info_serv/waste_3R.htm. (สืบค้น ข้อมูลวันที่ 25 พฤศจิกายน 2566). สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย. (2565, 4 มิถุนายน). กรมอนามัยเผยสถิติวิจัย ไทยสร้างขยะมากเป็น อันดับ 3 ของโลก. แนวหน้า. (ออนไลน์). https://www.naewna.com/likesara/658088. (สืบค้น ข้อมูลวันที่ 25 พฤศจิกายน 2566). อลิสา ฤทธิชัยฤกษ์. (2564). การจัดการขยะในธุรกิจที่พัก. เอกสารประกอบการสอนรายวิชา HLM 4201 การจัดการธุรกิจโรงแรมอย่างยั่งยืน. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา. อาณัติ ต๊ะปินตา. ขั้นตอนในการจัดการขยะมูลฝอย. ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการจัดการขยะมูลฝอย กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2553, หน้า 69-76.
159 Choosak Choosri. (2016). A Zero Waste Management Model for Small Hotel: A case study in the Koh Samui, Koh Pha Ngan Surat Thani. Doctor of Philosophy, Integrated Tourism Management. National Institute of Development Administration. (Online). Available: https://repository.nida.ac.th/server/api/core/bitstreams/831de3aa- 08d8- 4126-9f2d-33d5ad767ad2/content. Retrieved November 18, 2023. ThaiPublica. (2565). วาระซ่อมกรุงเทพฯ: แผนจัดการขยะกทม. 20 ปี ยังคง “ล้นเมือง” ต่อไป. (ออนไลน์). Available: https://thaipublica.org/2022/05/bangkok-agenda06-2565/. (สืบค้นข้อมูลวันที่ 25 พฤศจิกายน 2566).
160 สาระสำคัญ 7.1 เกริ่นนำ 7.2 ความหมายของการจัดการพลังงาน 7.3 สถานการณ์ด้านพลังงาน 7.4 พลังงานในโรงแรม 7.5 แนวคิดในการอนุรักษ์พลังงาน 7.6 การจัดการด้านการใช้พลังงานและการอนุรักษ์พลังงานในโรงแรม 7.7 ประโยชน์จากการจัดการพลังงาน 7.8 การอนุรักษ์พลังงานในระบบต่าง ๆ ของโรงแรม 7.9 การอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้าในระบบไฟฟ้าแสงสว่าง 7.10 การใช้เทคโนโลยี IOT (Internet of Things) เพื่อประหยัดพลังงาน 7.11 บทสรุป 7.12 กิจกรรมเสริมการเรียนรู้ 7.13 คำถามท้ายบทที่ 7 7.14 เอกสารอ้างอิง ที่มา: https://www.acslocks.com/th/hotel-energy-saving/ บทที่ 7 การจัดการพลังงานในโรงแรม
161 7.1 เกริ่นนำ นอกจากปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่ผู้คนทั่วโลกตระหนักและให้ความสําคัญ ยังพบว่า “วิกฤตพลังงาน” เป็นอีกหนึ่งสถานการณ์ที่ทั่วโลกกําลังเผชิญความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่ม จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ทําให้เกิดปัญหา “พลังงานขาด แคลน” การสํารองก๊าซธรรมชาติในยุโรปอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมาสามารถผลิต พลังงานลมได้น้อยลง ในทวีปยุโรปจะมีการใช้พลังงานสะอาดแต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการใน ปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านั้นผลจากสงคราม ระหว่างรัสเซียและยูเครนซึ่งดําเนินมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 ทําให้รัสเซียซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับสามของโลกรองจาก สหรัฐอเมริกา และซาอุดีอาระเบียบถูกคว่ำบาตรจากหลายประเทศในยุโรป แม้ว่าสหภาพยุโรปต้อง พึ่งพาก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียถึง 40% ของการบริโภค แต่เมื่อเกิดความขัดแย้งสหภาพยุโรปได้ ประกาศว่าจะทยอยลดการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียเป็นศูนย์ภายในปี 2573 ทันที เป็นที่ทราบกันดีว่า รัสเซียเป็นประเทศผู้ผลิตพลังงานหลักของโลก ดังนั้นการตัดขาดช่องทางการค้าน้ำมันของรัสเซียย่อม ก่อให้เกิดความกังวลต่อปริมาณน้ำมันและพลังงานอื่น ๆ ที่จะทวีความรุนแรงและส่งผลด้านวิกฤต พลังงานทั่วโลกและต่อเศรษฐกิจของไทยที่ต้องพึ่งพาการนําเข้าพลังงานถึง 75% ของความต้องการ พลังงาน นอกจากการเผชิญหน้ากับวิกฤตพลังงานรอบใหม่แล้วยังมีวิกฤตพลังงานจากหลายด้าน ซึ่งจะส่งกระทบในหลายด้าน อาทิ ราคาน้ำมันสูงขึ้น ราคาวัตถุดิบสูงขึ้น ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ท่องเที่ยวสูงขึ้น (Praornpit, 2022) อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นการเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสและทดแทน การนําเข้าพลังงานจากรัสเซีย หลายประเทศเร่งสร้างเทคโนโลยีผลิตพลังงานสะอาดและลดความ ต้องการใช้พลังงานฟอสซิล ตลอดจนการใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น ในปี 2562 ก่อนการแพร่ระบาดของไวรัส Covid 19 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาใน ประเทศไทยกว่า 39.79 ล้านคน และสร้างรายได้กว่า 3.1 ล้านล้านบาท (กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยว และกีฬา, 2563) จากสถิติค่าใช้โดยเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยพบว่า อัตรา ค่าที่พักเป็นค่าใช้จ่ายสูงสุดของนักท่องเที่ยว ทั้งนี้จํานวนห้องพัก ณ เดือนกันยายน ปี 2562 มีจํานวน 757,103 ห้อง (ศูนย์วิจัยออมสิน, 2562 อ้างใน เยาวภรณ์ เลิศกุลทานนท์, 2565) ใช้พลังงานไฟฟ้า ประมาณ 30,000-40,000 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง (หน่วย) ต่อปี หากโรงแรมสามารถลดค่าใช้จ่ายด้าน พลังงานลงได้โดยการอนุรักษ์พลังงานด้วยวิธีง่าย ๆ เช่น การใช้แสงสว่างอย่างมีประสิทธิภาพ การให้ พนักงานมีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงาน เป็นต้น ธุรกิจโรงแรมเป็นธุรกิจที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง เพื่ออํานวยความสะดวกแก่ผู้มาใช้บริการ มีการใช้พลังงานอย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงมีความจําเป็นต้องมี การจัดการด้านพลังงานและรณรงค์การอนุรักษ์พลังงานเพื่อลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายด้านพลังงานใน โรงแรม หากทําได้อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยลดต้นทุนการดําเนินงานมีกําไรมากขึ้น ส่งผลให้ พนักงานได้ค่าตอบแทนสูงขึ้นและมีความสุขพร้อมให้บริการแขก นอกจากนี้ยังช่วยลดการใช้พลังงาน ในภาพรวมของประเทศ และการรณรงค์ด้านการอนุรักษ์พลังงานอย่างจริงจังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดี และเป็นจุดขายให้แก่โรงแรมในฐานะสมาชิกที่ดีของสังคมที่มีส่วนช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น ทั่วโลก 7.2 ความหมายของการจัดการพลังงาน ตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 พลังงาน หมายถึง ความสามารถในการทํางานที่มีอยู่ในตัวของสิ่งของสิ่งที่อาจให้งานได้ ได้แก่ พลังงานหมุนเวียนและ
162 พลังงานสิ้นเปลือง และให้รวมถึงสิ่งที่อาจให้งานได้ เช่น เชื้อเพลิง ความร้อน และไฟฟ้า เป็นต้น (สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, ม.ป.ป.) การจัดการพลังงาน หมายถึง ระบบการดําเนินงานภายในองค์กรซึ่งประกอบด้วย บุคลากร ทรัพยากร นโยบาย และขั้นตอนการดําเนินการ โดยมีการทํางานประสานกันอย่างมีระเบียบและแบบ แผนเพื่อปฏิบัติงานที่กําหนดไว้หรือเพื่อให้บรรลุ หรือรักษาเป้าหมายที่กําหนดไว้ (กรมพัฒนาพลังงาน ทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน, ม.ป.ป.) การจัดการพลังงาน หมายถึง ระบบการดำเนินงานภายในองค์กรซึ่งประกอบด้วย บุคลากร ทรัพยากร นโยบาย และขั้นตอนการดำเนินการ โดยมีการทำงานประสานกันอย่างมีระเบียบแบบแผน เพื่อปฏิบัติงานที่กำหนดไว้หรือเพื่อให้บรรลุหรือรักษาเป้าหมายที่กำหนดไว้ (Energy Auditor Thai, 2017) การจัดการพลังงาน หมายถึง การกําหนดนโยบาย เป้าหมาย ผู้รับผิดชอบในการนําไปปฏิบัติ การวางแผนจะต้องรอบคอบ ต้องมีความรู้ความเข้าใจและมีการติดตามประเมินผลเพื่อนําไปสู่การ ปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้การจัดการพลังงานนั้นมีประสิทธิภาพและบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งไว้โดย ต้องครอบคลุมและให้ ความสําคัญในทุก ๆ มิติทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมทั้ง วัฒนธรรม โดยมีการบริหารจัดการ ที่ดีมีพหุภาคีร่วมทุกขั้นตอนเป็นตัวขับเคลื่อน (สมศักดิ์มีนคร, 2555) สรุปได้ว่า การจัดการพลังงาน หมายถึง การดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดและ วางแผนเพื่อควบคุมทรัพยากรทางด้านการผลิตและการใช้พลังงานให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพให้ เป็นไปตามวัตถุประสงค์ มีการใช้อย่างเหมาะสมและคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด 7.3 สถานการณ์ด้านพลังงาน ประเทศไทยมีการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายในช่วงเดือนมกราคม-กรกฎาคม ปี 2566 ปริมาณ 49.989 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคิดเป็นมูลค่า การใช้พลังงานรวมกว่า 997,338 ล้านบาท (กระทรวงพลังงาน, 2566) ประเทศไทยมีเป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก ต่อการใช้พลังงานขันสุดท้ายที่ร้อยละ 30 ภายในปีพ.ศ. 2580 (AEDP2018) โดยในช่วงม.ค.-ก.ค. ของปี2566 ประเทศไทยมีการใช้พลังงานขันสุดท้าย 49,989 ktoe (ktoe หมายถึง Final Modern Energy Consumption การใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ขั้นสุดท้าย, พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ) เป็น พลังงานทดแทนจํานวน 7,761 ktoe คิดเป็นสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนร้อยละ 15.53 ของการใช้ พลังงานขั้นสุดท้าย โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่จํานวนประชากรและ เศรษฐกิจเติบโตขึ้น ความต้องการพลังงานก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่พลังงานที่ใช้กันนั้นยังคงมี ที่มาหลัก ๆ จากแหล่งพลังงานที่ไม่หมุนเวียน เช่น เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่จะหมดไป ในที่สุดแล้ว ยังก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHGs) จํานวนมากซึ่งดักความร้อนในชั้น บรรยากาศและเร่งให้เกิดภาวะโลกร้อนเร็วขึ้น วิกฤตดังกล่าวส่งผลกระทบรอบด้านโดยตรงต่อทั้งภาค ส่วนอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือนทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพสิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นทางตรง หรือทางอ้อม อีกทั้งนักวิชาการด้านเศรษฐกิจคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันจะสูงขึ้นจะผู้บริโภคไม่มีกําลัง ซื้อและสังคม โลกจะเผชิญภาวการณ์ขาดแคลนน้ำมันอย่างแน่นอนในปี พ.ศ. 2583 ดังนั้นเพื่อเป็น การเตรียมการสําหรับ อนาคตทั่วโลกจึงแสวงหาพลังงานทดแทน (ปัทมา ศิริธัญญา, 2549 อ้างใน
163 รัตนา ศิลาเดชและคณะ, 2555) นอกจากนี้สืบเนื่องจากสภาวะสงครามระหว่างประเทศรัสเซีย และยูเครน ส่งผลกระทบทําให้ราคาน้ำมันและพลังงานทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประเทศไทย ได้รับผลกระทบจากการที่มีต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนของค่าสาธารณูปโภค เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน ค่าก๊าซและมีการคาดการณ์ว่าจะมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแนวทางการแก้ไข ปัญหาด้านพลังงานจากสภาวะที่ประสบปัญหาในปัจจุบัน ผู้ประกอบการหรือภาคอุตสาหกรรมควร ร่วมมือกันในการลดใช้พลังงานลง โดยใช้พลังงานทางเลือกให้มากขึ้นจะทําให้ลดการพึ่งพานําเข้า พลังงานและช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถขับเคลื่อนธุรกิจไปได้ นอกจากนี้การลดการใช้ทรัพยากร พลังงานที่ไม่หมุนเวียนจะช่วยอนุรักษ์แหล่งพลังงานและลดผลกระทบด้านลบที่เกี่ยวข้องกับการใช้ เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น มลพิษทางอากาศ ปัจจุบันพลังงานหมุนเวียนมีบทบาทสําคัญต่ออุตสาหกรรม ท่องเที่ยว เนื่องจากพลังงานหมุนเวียนมีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานมากกว่า อีกทั้งมีส่วนสนับสนุน เป้าหมายด้านความยั่งยืน รวมถึงการลดต้นทุนด้านพลังงานขององค์กรอีกด้วย ภาพที่ 7.1 ภาพรวมการใช้พลังงานขั้นสุดท้าย ปี 2562-2565 ที่มา: กระทรวงพลังงาน, 2566 (รายงานสถานการณ์พลังงานของประเทศไทย) ภาพที่ 7.2 สถานการณ์ด้านพลังงานทดแทน มกราคม-กรกฎาคม 2566 ที่มา: กระทรวงพลังงาน, 2566 (รายงานสถานการณ์พลังงานของประเทศไทย)
164 จากสถานการณ์การใช้พลังงาน และความต้องการพลังงานที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ประเทศไทยจึง ได้มีการกําหนดแผนหรือนโยบายต่าง ๆ ที่มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ระยะเวลา ครอบคลุม ปี พ.ศ. 2561 - 2580 และเพื่อการบริหารจัดการการใช้ทรัพยากรพลังงานที่มี ประสิทธิภาพและจะนําไปสู่การแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศ กระทรวงพลังงานจึงให้มีการ ปรับปรุงแผน 4 แผน ได้แก่ (1) แผนอนุรักษ์ พลังงาน (2) แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงาน ทางเลือก (3) แผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ และ (4) แผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิงให้ สอดคล้องตามแผน PDP2018 7.4 การใช้พลังงานในธุรกิจโรงแรม การศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าการใช้พลังงานของสิ่งก่อสร้างประเภทอาคารใช้พลังงาน 40% ของพลังงานของโลกซึ่งคิดเป็น 30% ของการปล่อย CO2 (Youssef และ Zeqir, 2021 อ้างใน อลิสา ฤทธิชัยฤกษ์, 2564) ทั้งนี้อาคารโรงแรมได้รับการยอมรับว่าเป็นอาคารที่ใช้พลังงานสูง เนื่องจากมีการใช้ไฟฟ้าจํานวนมากในหลายรูปแบบ โดยเฉพาะในห้องพักแขก และการดําเนินการ ตลอด 24 ชั่วโมง ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเป็นต้นทุนที่สําคัญที่สุดในการดําเนินธุรกิจโรงแรม หาก สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้จะช่วยเพิ่มผลกําไรให้แก่ธุรกิจ ดังนั้นผู้บริหารหรือผู้เกี่ยวข้องควร มีการวางแผนการอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้าเพื่อนําไปสู่การควบคุมการใช้เครื่องจักร อุปกรณ์ไฟฟ้าและ แสงสว่างอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อประหยัดพลังานและลดค่าใช้จ่าย ทั้งนี้กลุ่มธุรกิจโรงแรมถือเป็นหนึ่ง ใน กลุ่มอาคารที่มีการใช้พลังงานสูงมากเนื่องจากโรงแรมเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน 365 วันต่อปี ไม่มีวันหยุด ทั้งยังมีบุคลากรและอุปกรณ์เครื่องจักรที่ใช้พลังงานจํานวนมากและสิ่งอํานวย ความสะดวกภายในโรงแรมจัดเป็นหนึ่งในห้าอันดับด้านการใช้พลังงานที่มากที่สุดจากการระบบแสง สว่าง เครื่องปรับอากาศ และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ (อมรรัตน์วีระสัมฤทธิ์, 2545 อ้างใน เจนจิรา คุ้ม เมือง, 2558) พลังงานหลักในการใช้งานประกอบด้วย ไฟฟ้า น้ำมันเชื้อเพลิง และก๊าซหุงต้ม เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่โรงแรมจะมีการใช้พลังงานรวม (พลังงานไฟฟ้ากับพลังงานเชื้อเพลิง) โดยเฉลี่ยประมาณ 28 ล้านเมกะจูล/ปี หรือคิดเป็นค่าใช้จ่ายประมาณ 25 ล้านบาท/ปี (ไพรวัล อินชิด และคณะ, 2564) ทั้งนี้พลังงานเชื้อเพลิงที่ใช้มาจากแหล่งเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งมีผลต่อการอย่างมากในการปล่อยก๊าซ เรือนกระจก นําไปสู่ภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในแต่ละปีคาดว่าโรงแรม มีการปล่อยปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จํานวน 160-200 กิโลกรัมของต่อพื้นที่ห้อง 1 ตารางเมตร ขึ้นอยู่กับส่วนผสมของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการให้พลังงาน ด้วยเหตุผลดังกล่าว การใช้พลังงานจึงควรเป็นสิ่งสําคัญที่ธุรกิจต้องพิจารณาในการดําเนินการ สู่ความยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งการใช้พลังงานส่วนมากของโรงแรมมาจากการสูญเสียพลังงานและการใช้งาน อย่างฟุ่มเฟือย ดังนั้นหากโรงแรมสามารถเปลี่ยนแปลงหรือจัดการเรื่องดังกล่าวได้จะเป็นการเพิ่ม ประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายได้อย่างรวดเร็ว การจําแนกสัดส่วนการใช้พลังงานในระบบต่าง ๆ พร้อมกับรูปแบบการใช้พลังงานที่สะท้อน ให้เห็นค่าสูงสุด ค่าต่ำสุดและค่าพลังงานตามช่วงเวลา ซึ่งโดยทั่วไปสัดส่วนการใช้พลังงานในโรงแรม แบ่งได้เป็นระบบทําความเย็น (Central air conditioning system) 46.65%, ระบบแสงสว่าง (Lighting system) 18.36%, ระบบสุขาภิบาลและของเสีย (Sanitary and Waste system) 5.18%, ระบบเครื่องปรับอากาศ (Split type air conditioning system) 0.89% และ อื่นๆ 28.93% (กรม
165 พัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน, ม.ป.ป.) นอกจากนี้กระทรวงพลังงานยังได้แบ่งพื้นที่ที่มี การใช้พลังงานใน โรงแรมดังนี้ ตารางที่ 7.1 พื้นที่การใช้พลังงานในอาคารโรงแรม พื้นที่สำคัญในโรงแรม การใช้พลังงานในระบบต่าง ๆ ระบบไฟฟ้า ระบบความเย็น และปรับ อากาศ ระบบที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า ระบบทำ ความร้อน มอเตอร์ ปั๊มน้ำ ป้ายโรงแรม ส่วนหน้า ประชาสัมพันธ์ ห้องโถง ห้องครัว ห้องอาหาร/จัดเลี้ยง ห้องประชุม สำนักงาน ห้องพัก ทางเดินภายใน ทางเดินรอบนอก ลิฟท์/บันไดเลื่อน ห้องซักรีด ห้องออกกำลังกาย สระว่ายน้ำ ห้องควบคุม ห้องควบคุมน้ำประปา ห้องบำบัดน้ำเสีย ห้องเครื่องทำความเย็น ที่มา: กระทรวงพลังงาน, ม.ป.ป. (Green Ideas for Tourism, ม.ป.ป. อ้างใน อลิสา ฤทธิชัยพฤกษ์, 2564) กล่าวถึง ปัจจัย การใช้พลังงานในพื้นที่ที่แตกต่างกันภาย โรงแรม ได้แก่ 1) ด้านขนาดของพื้นที่โรงแรม สภาพอากาศภายนอกอาคารและ ระดับของอุณหภูมิ ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อการใช้พลังงานทั้งการทําความร้อน/ความเย็น การระบายอากาศและการปรับ อากาศ 2) ด้านพลังงานจากเครื่องทําน้ำร้อน เนื่องจากพลังงานจากเครื่องทําน้ำร้อนถูกใช้ มากเป็น อันดับสองภายในโรงแรม โดยคิดเป็นร้อยละ 15 ของการใช้พลังงานทั้งหมด ส่วนพลังงาน จากแสงสว่างคิดเป็นร้อยละ 12-18 หรือ ร้อยละ 40 ขึ้นอยู่กับประเภทของที่พัก บริการ ต่าง ๆ เช่น การจัดเลี้ยงและการซักรีด อุปกรณ์ฟิตเนสมักใช้พลังงานความร้อนปริมาณมาก 3) ด้านกายภาพหรือตัวอาคาร อาทิ ขนาดของโรงแรม โครงสร้าง การออกแบบ (สถาปัตยกรรมและการก่อสร้าง) ภูมิศาสตร์และภูมิอากาศ อายุการใช้งานของสิ่งอํานวยความสะดวก ประเภทของระบบพลังงานและระบบน้ำที่ติดตั้ง รวมถึงวิธีการทํางานและการบํารุงรักษาระบบ
166 ประเภทและปริมาณของพลังงานและทรัพยากรน้ำที่มีอยู่ในท้องถิ่น ตลอดจนกฎระเบียบและต้นทุน การใช้พลังงาน 4) ด้านสิ่งอํานวยความสะดวกในโรงแรม ได้แก่ ช่วงระยะเวลาการให้บริการสิ่ง อํานวยความ สะดวกในโรงแรม จํานวนสิ่งอํานวยความสะดวก (จํานวนห้องอาหาร ห้องครัว ฝ่ายซัก รีด สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ศูนย์บริการธุรกิจอื่น ๆ) บริการที่นําเสนอความผันผวนของอัตราการเข้าพัก ความต้องการด้านความสะดวกสบายของแขกที่แตกต่างกัน แนวทางปฏิบัติในการอนุรักษ์พลังงานใน สถานที่ทํางานตลอดจนวัฒนธรรมและความตระหนักในการใช้ทรัพยากรของบุคลากรและแขก ทั้งนี้การประหยัดพลังงานเป็นสิ่งสําคัญ เนื่องจากพบว่าพลังงานส่วนใหญ่เกิดจากการสูญเสีย ที่ไม่จําเป็น จากการศึกษาต่าง ๆ ได้ประมาณการว่าโรงแรมมีศักยภาพในการประหยัดพลังงานได้ อย่างน้อย 10-15 % ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุและขนาดของโรงแรม ตลอดจนประเภทของอุปกรณ์ที่ติดตั้ง และขั้นตอนการบํารุงรักษาและการดําเนินงานที่มีประสิทธิภาพ 7.5 แนวคิดในการอนุรักษ์พลังงาน อ้างจากแนวคิดของศักยภาพในการอนุรักษ์พลังงานของกระทรวงพลังงาน ศักยภาพในการ อนุรักษ์ พลังงานในธุรกิจโรงแรมสามารถแยกได้ 4 แนวคิด ซึ่งได้แก่ (กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและ อนุรักษ์พลังงาน, ม.ป.ป.) 1) การบริหารการจัดการ เป็นวิธีการจัดการด้านการลดระดับการใช้พลังงานโดยไม่ ต้องใช้เงินลงทุน หรือ ใช้เงินลงทุนน้อย เช่น การสร้างจิตสํานึกในการประหยัดพลังงาน การรณรงค์ใน รูปแบบต่าง ๆ การควบคุมการทํางานของอุปกรณ์และเครื่องจักรให้ทํางานอย่างมีประสิทธิภาพมาก ที่สุดโดยกระทบกับสังคมและสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด 2) การลดความสูญเสีย พลังงานจากอุปกรณ์ และระบบในการดําเนินการที่ส่งผลต่อ การสูญเสียพลังงาน ดังนั้นการลดการสูญเสียเป็นอีกปัจจัยในการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ รูปแบบการสูญเสียหลักภายในอาคารโรงแรมแบ่งเป็นการสูญเสียในรูปแบบไฟฟ้าและความร้อน 3) การปรับปรุงประสิทธิภาพของอุปกรณ์และเครื่องจักร เป็นการปรับปรุง ประสิทธิภาพในแง่ของการลงทุน ซึ่งระยะเวลาการคืนทุนอาจมีระยะปานกลางจนถึงระยะยาว ขึ้นอยู่ กับเงินลงทุนและผลทางประสิทธิภาพที่สามารถทําการปรับปรุงได้ บางกรณีการปรับปรุงการใช้งาน อย่างเหมาะสม สามารถช่วยให้อุปกรณ์ทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การใช้เครื่องจักรที่ ภาวะโหลดสูงสุด เป็นต้น 4) การนําความร้อนปล่อยทิ้งกลับมาใช้ใหม่ ความร้อนปล่อยทิ้งถือเป็นพลังงาน สูญเสีย (แตกต่างจากข้อ 2) เนื่องจากมีการนําพลังงานกลับมาใช้ใหม่ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมเป็น การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ 7.6 การจัดการด้านการใช้พลังงานและการอนุรักษ์พลังงานในโรงแรม ในการบริหารและจัดการด้านการใช้พลังงานในโรงแรมนั้นมีหลายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 7.6.1 แนวทางการจัดการด้านพลังงานในโรงแรม การจัดการด้านพลังงานที่มีประสิทธิภาพช่วยลดต้นทุนและสร้างกําไรให้แก่ธุรกิจโรงแรม ขณะเดียวกัน การจัดการดังกล่าวต้องไม่ส่งผลกระทบต่อความสะดวกสบายของแขกเช่นกัน
167 (International Tourism Partnership, 2008 อ้างใน อลิสา ฤทธิชัยฤกษ์, 2564) ได้ให้แนวทางการ จัดการด้านพลังงานดังนี้ 1) วัตถุประสงค์ในการดําเนินการ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย โรงแรมต้องคํานึงถึงสิ่ง ต่อไปนี้ 1.1) สภาพแวดล้อมภายในต้องมีความสะดวกสบาย จุดมุ่งหมายสําคัญคือ การประหยัดพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพแต่คงไว้ซึ่งความสะดวกสบายแก่แขกและพนักงาน วิธี ดังกล่าวช่วยให้ธุรกิจสามารถรักษาแขกไว้ได้อีกทั้งหยัดประหยัดต้นทุนและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม 2) ปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดการด้านพลังงาน โดย 2.1) พนักงานต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวการใช้งานและบํารุงรักษา อุปกรณ์ที่ ใช้พลังงานในโรงแรม และระบบต่าง ๆ ที่ช่วยในการประหยัดพลังงาน 2.2) ตัวอาคาร ระบบและอุปกรณ์ประหยัดพลังงานที่มีประสิทธิภาพจะช่วย ให้การดําเนินการเป็นไปตามเป้าหมายมากขึ้น การจัดการพลังงานเป็นกระบวนการเรียนรู้อย่าง ต่อเนื่อง โรงแรมสามารถพัฒนาอุปกรณ์และระบบการใช้งานอย่างสม่ำเสมอจะก่อให้เกิดมาตรฐานที่ดี เช่นการตรวจวัดประสิทธิภาพอุปกรณ์ที่ใช้งานเป็นประจํา อาทิ เครื่องทําความร้อน เครื่องทําความ เย็น ระบบจัดการอากาศ 3) จัดให้มีการปรับเปลี่ยนทรัพยากร เช่น พนักงาน อุปกรณ์ การใช้พลังงานตาม ความเหมาะสม ของวัน ฤดูกาล จํานวนแขกเข้าพักและสภาพอากาศ 4) จัดให้มีเครื่องวัดปริมาณการใช้ไฟฟ้า (มิเตอร์) ย่อยในแผนกต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบ การใช้พลังงานเกิน โดยแผนกดังกล่าวจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายดังกล่าว 5) พัฒนาและใช้เกณฑ์ประสิทธิภาพสําหรับแต่ละแผนกพร้อมกําหนดเป้าหมายและ ติดตามผลอย่างต่อเนื่อง 6) ตรวจสอบเทคโนโลยีที่นํามาใช้ว่าก่อให้เกิดประสิทธิภาพหรือไม่ 7) การวางเป้าหมายที่สูงกว่าเดิมหากมีการทําโครงการใหม่ เช่น หากมีแผนการ ตกแต่ง หรือ ขยายอาคาร ควรคํานึงถึงการออกแบบเพื่อประหยัดพลังงาน ตรวจสอบการทํางานของ ระบบไฟฟ้า ระบบความร้อน ความเย็นทั้งหมดในหน่วยกิโลวัตต์ชั่วโมงต่อตารางเมตรให้ทํางานอย่างมี ประสิทธิภาพ รวมถึงรายงานต่าง ๆ เช่น ใบรับรองการตรวจสอบรายการปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดต้นทุนด้านพลังงานที่สูงขึ้นและทําให้มาตรฐานการทํางานและความพึงพอใจของ แขกต่ำลง 8) หลีกเลี่ยงอุปกรณ์ที่มีความสิ้นเปลือง เช่นหลีกเลี่ยงการซื้อเครื่องทําความร้อน แบบใช้แก๊ส บรรจุขวด (LPG) กลางแจ้งตามสมัยนิยมเพราะจะต้องใช้เชื้อเพลิงจํานวนมากและความ ร้อน ส่วนใหญ่จะสูญเสียไปโดยรอบอย่างรวดเร็ว 9) ให้ความสําคัญกับการฝึกอบรม เนื่องจากการฝึกอบรมที่ดีถือเป็นการลงทุนที่ดี ที่สุด จัดการฝึกอบรมและความรู้ที่จําเป็นให้แก่พนักงานอยู่เสมอจะทําให้พนักงานมีความมั่นใจและ ความพึงพอใจต่องานที่รับผิดชอบ ซึ่งจะส่งผลต่อการทํางานและการสร้างความพึงพอใจแก่แขก 7.6.2 แผนปฏิบัติการ การวางแผนที่ดีต้องมีการลงทุนทั้งด้านทรัพยากรและเวลา การจัดระเบียบการฝึกอบรมอย่าง ต่อเนื่องและการติดตามผลอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้บรรลุเป้าหมาย
168 1) การตรวจสอบพลังงาน (Energy Audit) ดําเนินการตรวจสอบพลังงานในโรงแรม ทั้งหมดเพื่อให้ทราบว่าต้นทุน ด้านพลังงานที่สําคัญอยู่ที่ใดและที่ไหนที่สามารถประหยัดได้ 2) การเปรียบเทียบเกณฑ์มาตฐาน (Compare with benchmarks) นําข้อมูลการ ใช้พลังงานทั้งหมดของโรงแรมและของแต่ละแผนกเพื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานของ อุตสาหกรรมโรงแรมเพื่อกําหนดศักยภาพในการประหยัดพลังงาน 3) พิจารณาคําแนะนําจากผู้เชี่ยวชาญ (Consider expert advice) ขอคําแนะนํา จากผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยวิเคราะห์ ประเมินผลและให้คําแนะนําขอให้ที่ปรึกษาอิสระตรวจสอบรายการ ค่าใช้จ่ายเงินทุนหลัก 4) ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้ (Establish realistic goals) ใช้ผลการตรวจสอบพลังงาน เพื่อกําหนดเป้าหมายตามจริงสําหรับแต่ละแผนกและทั้งโรงแรม 5) สื่อสารความมุ่งมั่น (Communicate commitment) สื่อสารความมุ่งมั่นของ ผู้บริหารต่อพนักงานและอธิบายวัตถุประสงค์และเป้าหมายให้ชัดเจน แสดงข้อมูลการใช้พลังงานใน ปัจจุบัน ต้นทุนการใช้พลังงานและแนวโน้มการใช้พลังงาน 6) แต่งตั้งผู้ประสานงานด้านพลังงาน (Appoint energy coordinator) แต่งตั้งผู้ ประสานงานด้านพลังงาน (บุคลากรจากแผนกวิศวกรรมเป็นบุคคลที่เหมาะสมที่สุด) กําหนดความ รับผิดชอบภายในแต่ละแผนกและพัฒนาระบบการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ 7) การมีส่วนร่วม (Ensure participation) ตรวจสอบให้แน่ใจว่าพนักงานทั้งหมด มีส่วนร่วม และใช้ประโยชน์จากความรู้ ประสบการณ์และความคุ้นเคยกับโรงแรมในการเสนอแนวคิด และข้อเสนอเกี่ยวกับวิธีลดการใช้พลังงาน 8) การตรวจสอบและการกําหนดเป้าหมาย (Monitoring and targeting) สร้าง ระบบติดตามและกําหนดเป้าหมาย 9) จัดการฝึกอบรม (Provide training) พนักงานต้องเข้าใจวิธีการใช้สาธารณูปโภค อย่างรอบคอบและวิธีใช้งานและบํารุงรักษาอุปกรณ์เพื่อการประหยัดพลังงานสูงสุด 10) ขั้นตอนการดําเนินงานที่มีมาตรฐาน (Standard operating procedures) พัฒนาขั้นตอนการปฏิบัติงานที่มี มาตรฐานและกระตุ้นแรงจูงใจโดยให้ข้อเสนอแนะและให้รางวัลเมื่อ บรรลุเป้าหมาย 11) ตรวจสอบสัญญาการจัดหา (Review supply contracts) ตรวจสอบสัญญาการ จัดหาพลังงานในปัจจุบันเป็นประจํากับผู้ให้บริการของโรงแรมเพื่อให้แน่ใจว่าราคาและอัตราภาษี เหมาะสม 7.6.3 การประเมินและเปรียบเทียบประสิทธิภาพ 1) ควรให้มีการเปรียบเทียบการใช้พลังงานในแต่ละปีของแต่ละแผนก โดยมีเกณฑ์ มาตรฐานเป็นตัวเปรียบเทียบ ทั้งนี้การตรวจสอบจะต้องคํานึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการใช้ พลังงานของโรงแรม อาทิ สภาพภูมิอากาศท้องถิ่น จํานวนผู้เข้าพัก สระว่ายน้ำ แผนกซักรีด เครื่องปรับอากาศ 2) คํานวณการใช้เชื้อเพลิงและไอน้ำในหน่วยกิโลวัตต์ชั่วโมงต่อตารางเมตรประจําปี 3) คํานวณค่าไฟฟ้าในหน่วยกิโลวัตต์ชั่วโมงต่อตารางเมตรของพื้นที่
169 7.7 ประโยชน์จากการจัดการพลังงาน การลดการใช้พลังงานในโรงแรมก่อให้เกิดประโยชน์ต่าง ๆ ดังนี้ (Booking.com, 2565) 7.7.1 ช่วยลดค่าใช้จ่าย จากข้อมูลโรงแรมในยุโรประบุว่าโอกาสในการลดพลังงานมากสุดใน ระบบทําความ ร้อน 20% ระบบทําความเย็นสูงสุด 30% ระบบน้ำร้อนสูงสุด 70% และระบบแสง สว่างสูงสุด 60% ซึ่งช่วยให้โรงแรมประหยัดค่าใช้จ่ายจํานวนมาก จากการดําเนินการของโรงแรม Galt House Hotel แสดงให้เห็นว่าภายหลังการติดตั้งระบบการจัดการพลังงานอัจฉริยะแล้ว ค่า ไฟฟ้ารายปีของห้องพัก ลดลง 39% หรือคิดเป็นค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานได้มากกว่า 100,000 ดอลลาร์ 7.7.2 ช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) การใช้พลังงานที่น้อยลงช่วยลด ปริมาณผลกระทบที่ มีต่อสิ่งแวดล้อม จากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น Host Hotels & Resorts กับโครงการ ด้านการประหยัดพลังงานหลายประเภทในการดําเนินธุรกิจ รวมถึงการรวมถึง การติดตั้งระบบควบคุมอาคารอัตโนมัติ (Building Automation System) การติดตั้งระบบไฟ LED การปรับปรุงเรื่อง HVAC และการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียน ทําให้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือน กระจกลงถึง 35 % ต่อตารางฟุต 7.7.3 ระบบพลังงานอัจฉริยะช่วยเพิ่มความสบายให้ผู้เข้าพักและพนักงาน ปัจจุบันมี ความก้าวหน้าทาง เทคโนโลยีจํานวนมากที่ช่วยให้การใช้พลังงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมากเป็น ระบบอัตโนมัติ เช่น ระบบควบคุมไฟฟ้าอัตโนมัติจะปิดอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อไม่มีใครอยู่ในห้อง ระบบควบคุมอาคาร อัตโนมัติที่ควบคุมเรื่องการทําความร้อน การระบายอากาศ และการปรับอากาศ (HVAC) โดยทําการ ปรับอัตโนมัติตามความชื้นหรือความดันอากาศ ซึ่งนอกจากจะช่วยประหยัดการ ใช้พลังงานแล้ว ยัง ช่วยเพิ่มความสบายให้แก่แขกผู้เข้าพักด้วยการรักษาให้ภายในอาคารมีสภ าพ อากาศสบาย ๆ อยู่เสมอ และยังช่วยให้พนักงานทํางานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น 7.7.4 พลังงานทดแทนช่วยให้ธุรกิจปรับตัวได้ในอนาคต เนื่องจากเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิต พลังงาน เช่น เชื้อเพลิงฟอสซิลไม่ได้พียงส่งผลต่อภาวะโลกร้อนเท่านั้น แต่ยังเป็นทรัพยากรที่มีจํากัด และมีวันต้อง หมดไป ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนทั่วโลกรับรู้ถึงข้อเท็จจริงนี้ จึงมีการลงทุนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในแหล่ง พลังงานหมุนเวียน เช่น ลมและแสงอาทิตย์ ขณะเดียวกันเพื่อให้เข้ากับการใช้พลังงาน ทดแทนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ธุรกิจโรงแรมเองสามารถปรับการดําเนินการเพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิง ฟอสซิลและ หันไปใช้แหล่งพลังงานหมุนเวียนแทน 7.8 การอนุรักษ์พลังงานในระบบต่าง ๆ ของโรงแรม การประหยัดพลังงานที่มีประสิทธิภาพควรเริ่มจากพลังงานสําคัญหลัก ๆ ในโรงแรมซึ่งได้แก่ (International Tourism Partner,2014 อ้างใน อลิสา ฤทธิชัยฤกษ์, 2564) 7.8.1 ระบบปรับอากาศ HVAC (Heating, Ventilation, and Air-conditioning) ระบบ HVAC เป็นระบบความร้อน ความเย็น และการระบายอากาศ โดยเป็นระบบปรับ อากาศขนาด ใหญ่กว่าการแอร์ที่ติดตั้งตามบ้านทั่วไปมีศักยภาพในการถ่ายเทอากาศเพื่อให้มีคุณภาพ อากาศที่ดีขึ้น ระบบนี้จึงเหมาะสําหรับอาคารสํานักงาน ห้างสรรพสินค้า บ้านตั้งแต่ 2 ชั้นขึ้นไป ไปจนถึงอาคารอุตสาหกรรมที่ต้องการควบคุมอุณหภูมิและความชื้นเพื่อการผลิตสินค้า โดยทั่วไป ค่าใช้จ่ายของระบบ HVAC คิดเป็น 20- 50% ของต้นทุนพลังงานทั้งหมดของโรงแรมขึ้นอยู่กับขนาด สภาพอากาศและระดับการให้บริการของโรงแรม นอกจากนี้หากโรงแรมมีการก่อสร้างอาคารใหม่
170 การต่อเติม หรือการตกแต่งใหม่ควรออกแบบให้มีการสูญเสียความร้อนและความเย็นน้อยที่สุด การ ติดตั้งอุปกรณ์ให้เหมาะสมกับโหลดการทํางานในวันธรรมดา และควรคํานึงถึงประสิทธิภาพการทํางาน ของอุปกรณ์ต่าง ๆ ในฤดูกาลที่ต้องมีโหลดการทํางานที่หนักขึ้นเช่นในฤดูร้อนและฤดูหนาวซึ่งโรงแรม สามารถลดภาระการทํางานของอุปกรณ์ด้วยวิธีการต่าง ๆ อาทิ 1) ลดภาระพลังงานแสงอาทิตย์ 2) ลดปริมาณแสงสว่างและจํานวนกระเบื้อง 3) ลดภาระความร้อนภายใน 4) ลดการใช้อากาศกลางแจ้งในขณะที่ตอบสนองความต้องการของอากาศบริสุทธิ์ 5) ย้ายโหลดหรือภาระการทํางานของอุปกรณ์ไปที่อื่น 6) การควบคุมการทํางานของอุปกรณ์ในช่วงที่มีความต้องการมากที่สุด (Peak Time) ทั้งนี้โรงแรมสามารถลดค่าใช้จ่ายของระบบการทํางานของระบบทําความร้อน ระบบทําความ เย็น และการระบายอากาศด้วยการติดตั้งอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะช่วงที่อุปกรณ์ต้องทํางาน หนัก รวมถึงโอกาสในการนําพลังงานกลับมาใช้ใหม่ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การนําพลังงานที่ปกติแล้วจะ สูญเสียในบรรยากาศ หรือสูญเสียระหว่างการระบายความร้อนและความเย็น การนําความร้อนแฝงใน สระว่ายน้ำกลับมาใช้ใหม่ การใช้ปั๊มความร้อน เป็นต้น นอกจากนี้อาจมีเทคนิคอื่น ๆ อาทิ 7) ใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะในการควบคุมสภาพอากาศ จะช่วยให้ทั้งโรงแรมและผู้เข้า พักได้รับ ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายเนื่องจากระบบการทําความร้อน ระบายอากาศ และปรับอากาศ (HVAC) ใช้พลังงานมาก ในขณะที่เทคโนโลยีอัจฉริยะในการควบคุมสภาพอากาศช่วยให้แขกสามารถ ตั้งโปรแกรมสําหรับเครื่องควบคุมอุณหภูมิของห้องพักได้ 8) การติดตั้งปั๊มความร้อนขั้นสูง ปั๊มความร้อนจากแหล่งอากาศช่วยในการถ่ายเท ความร้อนระหว่างภายในกับภายนอกโรงแรมตามความจําเป็นและช่วยให้ห้องอุณหภูมิเย็นหรืออุ่น ตามความต้องการของแขกซึ่งเป็นระบบที่เหมาะสําหรับพื้นที่ขนาดเล็กและพื้นที่ที่มีการแบ่งส่วนซึ่งไม่ จําเป็นต้องใช้พลังงานของทั้งระบบ HVAC อย่างมีประสิทธิภาพ 9) ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่นิยมใช้กันทั่วไป นอกจากจะช่วยให้ที่พัก คืนสู่สภาวะ ปกติในกรณีที่เกิดไฟฟ้าขัดข้องและในอีกหลายสถานการณ์ แผงโซลาร์เซลล์ให้ประโยชน์ อย่างมากแม้ในพื้นที่ที่มีฝนตกและมีเมฆปกคลุม ไฟฟ้าหมุนเวียนทําให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจก น้อยลง ลดค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภคของโรงแรม นอกจากเทคนิคข้างต้นแล้วโรงแรมยังมีวิธีอื่นอีกหลายวิธีที่จะช่วยลดการใช้พลังงานภายใน โรงแรมอย่างไรก็อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ในโรงแรมมีจํานวนมาก ดังนั้นโรงแรมควรมีการตรวจสอบ การทํางานของอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ดังกล่าวอยู่เป็นประจําเพื่อลดการปัญหาที่อาจเป็นต้นเหตุ ของค่าใช้จ่ายพลังงานที่สูงเกินไป 7.8.2 เครื่องปรับอากาศและระบบทําความเย็นในโรงแรม ระบบปรับอากาศเป็นสิ่งจําเป็นในการสร้างความรู้สึกสะดวกสบายและผ่อนคลายให้แก่แขก ของโรงแรม และยังเป็นระบบที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้ามากเนื่องจากต้องทํางานตลอดเวลา การจัดการ ที่ดีตลอดจนการใช้งาน การบํารุงรักษาระบบทําความเย็นและปรับอากาศที่ถูกต้องเหมาะสมจะช่วยใน การลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้า ซึ่งผู้จัดการด้านพลังงานต้องมีการวางแผนการสื่อสารภายใน องค์กร รวมถึงก่อนการปรับปรุงระบบปรับอากาศควรมีการปรึกษากับวิศกรผู้ออกแบบระบบปรับ
171 อากาศเดิมก่อน รวมถึงวิศกรผู้ออกแบบต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาวิศวกรรมควบคุมสาขาเครื่องกล ระดับสามัญขึ้นไป วิธีประหยัดพลังงานไฟฟ้าในระบบปรับอากาศ 1. ปรับปรุงระบบปรับอากาศที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยการอนุรักษ์พลังงาน 2. ออกแบบอาคาร ระบบปรับอากาศและวัสดุต่าง ๆ เพื่อให้ใช้พลังงานได้อย่างมี ประสิทธิภาพสูงสุด 3. บํารุงรักษาอุปกรณ์ในระบบปรับอากาศสม่ำเสมอ การอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้าในระบบทําความเย็นและปรับอากาศ การอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้าในระบบทําความเย็นและปรับอากาศสามารถทําได้ 2 วิธีคือ วิธีที่ ไม่มีค่าใช้จ่าย และวิธีที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายโดยมีแนวทางการปฏิบัติมีดังนี้ (กรมพัฒนาพลังงานทดแทน และอนุรักษ์พลังงาน, ม.ป.ป.) 1. วิธีการอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้าในระบบระบบทําความเย็นและปรับอากาศแบบไม่มี ค่าใช้จ่าย 1.1 การปรับระดับความเย็นไม่ควรต่ำเกินไป ควรอยู่ในระดับที่ต้องการ กําหนดเครื่องทําความเย็นให้ทํางานเป็นส่วนในบริเวณห้องประชุมหรือสัมมนาที่มีการใช้งานไม่เต็ม พื้นที่ 1.2 ควบคุมปริมาณอากาศภายนอกที่เข้ามาภายในอาคาร 1.3 ติดตั้งเครื่องปรับอากาศให้สูงจากพื้นพอสมควร เพื่อให้ลมเย็นกระจาย ทั่วบริเวณต่าง ๆ 1.4 ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าและหลอดไฟที่ไม่จําเป็น เพราะเป็นการเพิ่มปริมาณ ความร้อนให้กับระบบปรับอากาศ 1.5 ตรวจสอบเครื่องปรับอากาศว่าทํางานปกติหรือไม่เป็นประจําและเพื่อ เป็นแนวทางการอนุรักษ์พลังงาน 1.6 ทําความสะอาดแผ่นกรองอากาศทุกเดือน 1.7 ปิดประตู หน้าต่างและผ้าอ่านให้สนิทขณะที่เครื่องปรับอากาศทํางาน 1.8 ตรวจสอบห้องพักเป็นประจําเพื่อลดการสูญเสียความเย็นตามจุดรั่วที่ อาจเกิดขึ้นได้ 2. วิธีการอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้าในระบบระบบทําความเย็นและปรับอากาศแบบมี ค่าใช้จ่าย 2.1 ติดตั้งฉนวนบุเพดาน 2.2 ติดตั้งกระจก 2 ชั้นเพื่อลดความร้อนจากภายนอก 2.3 ติดตั้งเครื่องควบคุมการจ่ายลม เพื่อช่วยควบคุมอุณภูมิที่เหมาะสม 2.4 ติดตั้งม่านกั้นกันแสงอาทิตย์สําหรับกระจกหน้าต่างเพื่อลดความร้อน จากภายนอก 2.5 ติดตั้งแผ่นสะท้อนความร้อนจากแสงอาทิตย์ 2.6 เลือกใช้เครื่องทําความเย็นประสิทธิภาพสูง ปลูกต้นไม้รอบ ๆ อาคาร โรงแรม
172 (กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน, ม.ป.ป.) ได้ เสนอแนะหลักการพื้นฐานการ อนุรักษ์พลังงานในระบบอากาศเพิ่มเติมในเอกสารการฝึกอบรม “การอนุรักษ์พลังงานในอาคาร ประเภทโรงแรม” ซึ่งได้แก่ 1. การลดความร้อนผ่านกรอบอาคาร อาทิ การบังแสงอาทิตย์ การติดตั้งกระจก ป้องกันความร้อน การบุฉนวน การป้องกันลมรั่วเข้าผ่านกรอบประตูและหน้าต่าง 2. การลดความร้อนจากการเติมอากาศจากภายนอก อาทิ ปรับอัตราการเติมอากาศ ให้เหมาะสมกับจํานวนคน ติดตั้งอุปกรณ์วัดความเข้มข้นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อปรับอัตราการ เติมอากาศโดยอัตโนมัติ หยุดการเติมอากาศเมื่อไม่มีคนใช้งานพื้นที่ปรับอากาศ ติดตั้งอุปกรณ์และ เปลี่ยนความร้อนอากาศ 3. การเพิ่มประสิทธิภาพของอุปกรณ์ อาทิ ติดตั้งเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพสูงทั้ง ขณะเต็มพิกัดและไม่เต็มพิกัด บํารุงรักษาเครื่องจักรอย่างถูกต้องตามคําแนะนําของผู้ผลิตเพื่อ ประสิทธิภาพสูงสุด ทําความสะอาดอุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อน เช่น คอยล์ อีวาเปอเรเตอร์ คอนเดนเซอร์ อยู่เป็นประจํา 4. การเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ อาทิ การใช้อุปกรณ์ปรับความเร็วรอบมอเตอร์ ปรับตั้งอุณหภูมิน้ำเย็นให้สูงขึ้น ปรับตั้งเทอร์โมสตัทให้อุณหภูมิสูงขึ้น สามารถสรุปได้ว่าแนวทางในการอนุรักษ์ได้สองแบบคือ แบบเชิงรับ (Passive) และแบบเชิง รุก (Active) กล่าวคือ แบบเชิงรับ (Passive) เช่น การป้องกันความร้อยเข้าอาคาร การลดการใช้ไฟฟ้า แสงสว่าง เป็นต้น ส่วนแบบเชิงรุก (Active) เช่น การใช้อุปกรณ์ปรับความเร็วของมอเตอร์ การเปลี่ยน อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เป็นต้น การระบายความร้อนที่ดีจะช่วยให้ระบบปรับอากาศทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพในระบบ ปรับอากาศ ขนาดใหญ่จะมีติดตั้ง “หอระบายความร้อน” (Cooling Tower) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ระบาย ความร้อน ดังนั้นควรมีการดูแลรักษาอุปกรณ์ดังกล่าวเพื่อให้สามารถระบายความร้อนได้อย่างมี ประสิทธิภาพ เช่น การติดตั้งให้ถูกต้อง การตรวจเช็คอย่างสม่ำเสมอ การระบายน้ำทิ้ง เป็นต้น 7.8.3 ระบบแสงสว่างของโรงแรม แสงสว่างเป็นสิ่งจําเป็นในการดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ ภายในโรงแรม ทั้งนี้เพื่อความ สะดวกสบายในการดําเนินการ ตลอดจนการประดับตกแต่งเพื่อให้สถานที่มีความสวยงามและน่า ประทับใจ ธุรกิจโรงแรมจําเป็นต้องใช้พลังงงานไฟฟ้าสําหรับแสงสว่างจํานวนมาก จึงควรมีการ วางแผนตั้งแต่การเลือกใช้แสงสว่างอย่างเหมาะสม การติดตั้งระบบการควบคุมแสงสว่างที่ทันสมัยจะ ช่วยให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานและเพื่อให้การใช้พลังงานสําหรับแสงสว่างให้เกิดประสิทธิภาพ ในโรงแรมมีอุปกรณ์เกี่ยวกับไฟฟ้าและแสงสว่างหลายประเภท ในส่วนของอุปกรณ์หลักที่ใช้ และพบเห็นได้บ่อยได้แก่ (กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน, ม.ป.ป.) 1. หลอดไฟ แหล่งกําเนิดแสงสว่างเพื่อส่องสว่างในพื้นที่ใช้งาน 2. โคมไฟ อุปกรณ์ที่ใช้เพื่อควบคุมทิศทางการส่องสว่างให้เหมาะสมและไม่ทําให้เกิด ความไม่สบายในการมองเห็น 3. สวิทช์อุปกรณ์ใช้ในการเปิด-ปิดระบบแสงสว่าง 4. ระบบควบคุม อุปกรณ์ควบคุมการเปิด-ปิดหรือหรี่แหล่งกําเนิดแสงสว่างที่ใช้งาน
173 การเลือกใช้แสงสว่างที่เหมาะสมกับพื้นที่ของโรงแรม ในแง่ของต้นทุน ความร้อนและแสงสว่างคิดเป็นครึ่งหนึ่งของต้นทุนพลังงานทั้งหมด ของโรงแรม แสงสว่างเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ใหญ่ที่สุดของการใช้พลังงานไฟฟ้าในโรงแรม เช่นเดียวกับใน อาคารประเภทอื่น ๆ ระบบ ไฟส่องสว่างคิดเป็น 7% ของการใช้พลังงานทั้งหมดและมากถึง 40% ของการใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทโรงแรม การออกแบบระบบไฟฟ้าแสงสว่างในโรงแรมนั้นควรคํานึงถึงแสงสว่างที่เพียงพอ เหมาะสมกับการออกแบบและสถาปัตยกรรมของโรงแรม พื้นที่แต่ละส่วนอาจมีความต้องการใช้แสง สว่างที่แตกต่างกัน เช่น พื้นที่บริเวณห้องโถง หรือบริเวณต้อนรับต้องใช้แสงที่สามารถควบคุมการ ทํางานได้สําหรับเวลากลางวันและกลางคืนเพื่อให้พื้นที่มีความหรูหรา เป็นต้น การใช้แสงสว่างของ พื้นที่ในโรงแรมสามารถสรุปได้ดังนี้ (กระทรวงพลังงาน, ม.ป.ป.) ภาพที่ 7.3 อุปกรณ์หลอดไฟประเภทต่าง ๆ ที่มา:https://elchm.ssru.ac.th/alisa_ri/pluginfile.php/44/course/summary/%E0%B8%9A %E0%B8%97%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%203.pdf, 2567
174 การลดต้นทุนด้วยหลอดไฟ LED (Light Emitting Diode/Solid State) ปกติโรงแรมส่วนใหญ่มักจะติดตั้งหลอดไฟแบบหลอดไส้และหลอดฮาโลเจน ซึ่งให้ พลังงานเพียง 20 % สําหรับหลอดไฟทั้งสองประเภทที่ถูกเปลี่ยนเป็นแสงสว่าง ขณะที่ 80% สูญเสีย เป็นความร้อน อย่างไรก็ตามด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจึงเกิดทางเลือกเพื่อประหยัดพลังงาน โดยการใช้หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์และแบบ LED ซึ่งเป็นตัวเลือกหลักที่ใช้ในโรงแรมในปัจจุบัน หลอดไส้ หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ โซลิดสเตท / LED Incandescent Compact fluorescent Solid State / LED ภาพที่ 7.4 เทคโนโลยีแสงสว่างแบบประหยัดพลังงาน ที่มา:https://elchm.ssru.ac.th/alisa_ri/pluginfile.php/44/course/summary/%E0%B8%9A %E0%B8%97%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%203.pdf, 2567 หลอดไฟ LED เป็นรูปแบบแสงที่มีประสิทธิภาพมาก ในช่วงเริ่มต้นแสงไฟจาก LED มีสีฟ้าอ่อนซึ่งไม่เหมาะกับการดําเนินงานของโรงแรม ต่อมาจึงมีการพัฒนาเพื่อความเหมาะสมมากขึ้น ข้อดีของหลอดไฟ LED ได้แก่ 1) ประสิทธิภาพการใช้พลังงานจากหลอดไฟ LED เมื่อเปรียบเทียบกับแสง จากหลอดฟลูออเรสเซนต์สามารถประหยัดพลังงานได้อีก 65% และใช้พลังงานน้อยกว่าหลอดไส้ที่ เทียบเท่าถึง 90% 2) อายุการใช้งาน: LED มีอายุการใช้งานยาวนานกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์ ถึง 3 เท่า และมีอายุการใช้งานยาวนานกว่า 35,000 ชั่วโมง 3) คุณภาพแสง: LED สามารถผลิตแสงที่มีอุณหภูมิสีต่างกันได้ ซึ่งเป็นสีของ "สีขาว" ที่แสงปรากฏขึ้น โดยวัดเป็นเคลวิน (K) ยิ่งค่าตัวเลขสูงแสงก็จะยิ่งเป็นสีน้ำเงินและในทาง กลับกัน โดยมีตั้งแต่สีเหลืองอําพันอบอุ่น (1,800K) ไปจนถึงสีน้ำเงินโทนเย็น (8,000K) สีขาวมีหลายสี ให้เลือกสําหรับการใช้งานทั่วไป ได้แก่ สีขาวนวล (2,600 ถึง 2,700K) สีขาวปานกลาง (3,000 ถึง 3,500 K) และสีขาวนวล (4,000 K) 4) หลอดไฟ LED ใช้พลังงานน้อยกว่าหลอดประเภทอื่นและไม่มีโลหะหนัก (ที่พบในหลอดฟลูออเรสเซนต์) จึงทําให้รีไซเคิลได้ง่ายและปลอดภัยยิ่งขึ้นและลดการปล่อยก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ 5) การทํางานของหลอดไฟ LED ทํางานที่อุณหภูมิต่ำกว่าหลอดไส้ (เช่น หลอดฮาโลเจน) อย่างมีนัยสําคัญ หลอดไฟ LED ส่วนใหญ่ทํางานที่อุณหภูมิประมาณ 60-70° C เทียบ กับหลอดฮาโลเจนที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 250 °C ซึ่งส่งผลดีต่อค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานของ เครื่องปรับอากาศและลดความเสี่ยงจากไฟไหม้
175 6) ด้านสุขภาพและความปลอดภัย หลอดไฟ LED ไม่มีสารปรอทหรือ สารพิษอื่นๆ ต่างจากหลอด คอมแพคต์ฟลูออเรสเซนต์ ดังนั้นจึงไม่เป็นอันตรายเมื่อต้องกําจัดหลอดไฟ LED จะไม่ปล่อยรังสีอัลตราไวโอเลตหรืออินฟาเรดเมื่อถูกแสงและให้อันตรายน้อยกว่าสําหรับผู้ที่มี ความไวต่อแสง นอกจากนี้หลอดไฟ LED ยังไม่กะพริบเหมือนกับหลอดหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ 7) การทํางานหลอดไฟ LED ใช้เวลาสั้นมาก (มักจะทันที) เพื่อให้ถึงสภาวะ การทํางานมาตรฐานเต็มรูปแบบเมื่อเปิดเครื่อง จากข้อดีดังกล่าวทําให้เกิดความคุ้มค่า แม้ว่าต้นทุนค่าใช้จ่ายจากการใช้หลอดไฟ LED จะค่อนข้างสูง แต่ ในระยะยาวพบว่ามีความคุ้มค่าและช่วยลดต้นทุนจากการลดการใช้พลังงาน ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนหลอดไฟ ใหม่ และอายุการใช้งานที่มากกว่าหลอดประเภทอื่น 7.9 การอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้าในระบบไฟฟ้าแสงสว่าง โรงแรมสามารถลดการใช้พลังงานไฟฟ้าในระบบแสงสว่างได้ 2 วิธีคือ วิธีที่ไม่มีค่าใช้จ่ายและ วิธีที ต้องเสียค่าใช้จ่าย ซึ่งมีแนวทางการปฏิบัติมีดังนี้ (กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์ พลังงาน, ม.ป.ป.) 7.9.1 การอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้าในระบบไฟฟ้าแสงสว่างแบบไม่มีค่าใช้จ่าย เก็บข้อมูล ระบบแสงสว่างเพื่อตรวจสอบการใช้พลังงานไฟฟ้า 1) หมั่นตรวจสอบและทําความสะอาดหลอดไฟและโคมไฟอยู่เสมอ เนื่องจากฝุ่น ละอองที่เกาะหลอดไฟและโคมไฟจะทําให้แสงสว่างลดน้อยลง 2) ใช้แสงธรรมชาติในเวลากลางวัน (Day Light) ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด 3) เลือกวิธีให้แสงสว่าง 4) ลดการใช้ความสว่างที่เกินความจําเป็น โดย 4.1) ตัดวงจรหลอดในบริเวณที่แสงสว่างมากเกินไป 4.2) หรี่ความสว่างของแสงสําหรับหลอดไฟที่ปรับระดับแสงสว่างได้ 4.3) ปิดไฟในส่วนที่ไม่ได้ใช้งานและระดับความสว่างที่ตรงกับความต้องการ ของแต่ละพื้นที่ 5) ลดชั่วโมงการใช้งานแสงว่างที่ไม่จําเป็น โดย 5.1) สํารวจสภาพการใช้งานระบบแสงสว่างและศักยภาพในการปรับปรุง ของแต่ละแผนก 5.2) จัดสวิตช์ให้เพียงพอและสัมพันธ์กับพื้นที่และเวลาใช้งาน 5.3) จัดทําแผนที่แสดงตําแหน่งเปิด-ปิดสวิตช์ให้ชัดเจน 5.4) จัดทํารายละเอียดค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าแต่ลเดือนแสดงในที่เปิดเผยให้ พนักงานทราบ ทั้งนี้การดําเนินการดังกล่าวภายในโรงแรมจะสําเร็จได้ผู้บริหารต้องกําหนดนโยบาย และเป้าหมายในการดําเนินการที่ชัดเจน จัดการฝึกอบรมและประชาสัมพันธ์ด้านการอนุรักษณ์ พลังงานให้พนังานทุกระดับทราบ แสดงผลจากการดําเนินการ เผยแพร่และนําเทคนิคต่าง ๆ ในการ ดําเนินการผ่านเอกสารเวียนในองค์กร ตลอดจนการดําเนินการอย่างต่อเนื่อง (กรมพัฒนาพลังงาน ทดแทนและอนุรักษ์พลังงานกระทรวงพลังงาน, ม.ป.ป.)
176 7.9.2 วิธีการอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้าในระบบไฟฟ้าแสงสว่างแบบมีค่าใช้จ่าย โรงแรมสามารถเลือกใช้อุปกรณ์สําหรับการควบคุมแสงสว่างซึ่งมีหลายประเภท อาทิ โคมไฟ ที่ใช้เพิ่มแสงสว่าง อุปกรณ์ตั้งเวลา (Timer) อุปกรณ์ตรวจจับความเคลื่อนไหว (Presence Detector) และอุปกรณ์ตรวจรับแสงสว่าง (Photocell) เป็นต้น โดยมีรายละเอียดดังนี้ ตารางที่ 7.2 ตัวอย่างอุปกรณ์ควบคุมแสงสว่าง ที่มา:https://elchm.ssru.ac.th/alisa_ri/pluginfile.php/44/course/summary/%E0%B8%9A %E0%B8%97%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%203.pdf, 2567 ในการพิจารณาเลือกระบบควบคุมการทํางานในระบบแสงสว่างอยู่กับลักษณะการใช้งานใน แต่ละพื้นที่ ด้านปัจจัยที่ควรพิจารณาสําหรับการเลือกวิธีการควบคุมและระดับความซับซ้อนของ ระบบควบคุม ได้แก่ ขนาดขออาคาร มาตรฐานของอาคารในการติดตั้งระบบ ระดับการใช้งานของ แสงสว่างในแต่ละพื้นที่และระบบควบคุมอาคาร (กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน, ม.ป.ป.) 7.9.3 ข้อควรปฏิบัติการใช้แสงสว่างในโรงแรม เพื่อให้การจัดการด้านแสงสว่างเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โรงแรมมีข้อปฏิบัติและข้อควร ระวังดังนี้ 1) ลดระดับแสงเท่าที่เป็นไปได้ หากมีหลอดไฟที่ไม่ได้ใช้งานควรถอดออก 2) แบ่งวงจรไฟออกเป็นโซนเพื่อให้ส่องสว่างเฉพาะส่วนในห้องที่ต้องการแสง 3) ปิดไฟเมื่อไม่มีกิจกรรมจําเป็น 4) ติดตั้งสวิตช์ ตัวจับเวลา สวิตช์หรี่ไฟ โฟโตเซลล์ และอุปกรณ์ตรวจจับการ เคลื่อนไหว ตรวจสอบให้ แน่ใจว่าการควบคุมเหล่านี้อยู่ในตําแหน่งที่สะดวก 5) ปฏิบัติงานมากที่สุดในช่วงกลางวันหรือช่วงที่มีแสงสว่างจากธรรมชาติ รวมถึงการ เลือกใช้หลังคาใส เพื่อนําแสงจากธรรมชาติมาใช้แทนหลอดไฟ อย่างไรก็ตามข้อจํากัดของแสง
177 ธรรมชาติคือยากต่อการ ควบคุมและคาดการณ์ล่วงหน้า แสงจ้า (Glare) จากดวงอาทิตย์และที่สําคัญ คือระบบปรับอากาศ ทํางานมากขึ้นจากความร้อน 6) ปรับปรุงการสะท้อนแสงของโคมไฟจากผนัง เพดาน และพื้นโดยใช้แสงที่เบากว่า และสว่างกว่า 7) ทําความสะอาดโคมไฟอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณที่ไขมัน เศษ ผ้า ฝุ่น ความชื้น และ แมลงสามารถบดบังพื้นผิวของหลอดไฟได้เมื่อเวลาผ่านไป 8) พิจารณาการเลือกโป๊ะโคมที่จะใช้อย่างระมัดระวังและเหมาะสม เฉดสีเข้มจะลด ปริมาณแสงที่เข้ามา ในห้อง ดังนั้นจึงควรใช้เฉดสีที่โปร่งแสงมากขึ้นสําหรับห้องพัก 9) ใช้แผนจูงใจที่เสนอโดยรัฐบาลระดับประเทศหรือระดับท้องถิ่นของคุณเพื่อช่วยใน การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ 10) ตรวจสอบกฎหมายและข้อบังคับด้านอาคารก่อนที่จะเริ่มสร้างหรือตกแต่ง อาคารใหม่ เนื่องจากอาจมี ข้อกําหนดที่เป็นประโยชน์และช่วยให้การจัดการด้านพลังงานมี ประสิทธิภาพมากขึ้น 11) พิจารณาการเปลี่ยนหลอดไฟทั้งหมดในระบบพร้อมกัน เนื่องจากจะช่วย ประหยัดแรงงาน รักษา ระดับลูเมนให้สูง และหลีกเลี่ยงการทํางานหนักจากบัลลาสต์ของหลอดไฟที่ กําลังจะหมดอายุ โดย ปกติหลอดไฟสูญเสียแสงสว่าง 20-30% ตลอดอายุการใช้งาน 12) ก่อนเริ่มติดตั้งระบบแสงสว่าง ควรหารือกับผู้ที่ใช้งานจริงในบริเวณดังกล่าว 13) พิจารณาคุณภาพของแสงที่ต้องการเฉพาะสําหรับบางพื้นที่ เช่น หลอด คอมแพคฟลูออเรสเซนต์ให้แสงนวล หลอดไฟ LED ให้แสงธรรมชาติ เป็นต้น 14) เลือกซื้อหลอดไฟจากผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงและเชื่อถือได้ 15) ตรวจสอบนโยบายของบริษัทผู้ผลิตในการรับคืนหลอดไฟเก่าและนโยบายการ จัดการกับขยะมีพิษประเภทหลอดไฟ เนื่องจากหลอดฟลูออเรสเซนต์เกือบทุกประเภทมีส่วนผสมของ ปรอท 16) ตรวจสอบว่าดัชนีการแสดงสี (CRI) ของหลอดไฟเหมาะสมกับการใช้งานหรือไม่ 17) การฝึกอบรมพนักงานและให้คําแนะนําที่เกี่ยวข้องสําหรับระบบไฟและแสง สว่างเพื่อให้พนักงานทุกคนเข้าใจวิธีการทํางาน 18) ตรวจสอบการทํางานนอกเหนือจากระบบการควบคุมอัตโนมัติว่าสามารถทําได้ หรือไม่สําหรับกิจกรรมพิเศษบางประเภทของโรงแรม เช่น งานที่มีพื้นที่แบบเปิดโล่ง 19) ก่อนการเปลี่ยนหลอดไฟสําหรับไฟฉุกเฉินต้องตรวจสอบพลังงานที่ใช้ เนื่องจาก อาจมีแตกต่างระหว่างหลอดประหยัดไฟและชุดแบตเตอรี่และต้องทดสอบหลอดไฟฉุกเฉินอย่าง ละเอียดหลังการเปลี่ยน 20) การทำความสะอาดหลอดไฟต้องถอดออกมาก่อนเพื่อป้องกันไม่ให้หลอดแตก 7.9.4 การควบคุมระบบไฟฟ้าและการจัดการพลังงานในพื้นที่ต่าง ๆ ของโรงแรม การควบคุมระบบไฟฟ้า และการควบคุมระบบภายในห้องพักเป็นการประหยัดพลังงานที่มี ศักยภาพบ่อยครั้งที่มีการเปิดไฟที่ไว้โดยไม่จําเป็น เช่นในช่วงเวลากลางวันหรือเวลาที่แขกไม่ได้อยู่ใน ห้องพักโดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบที่สั่งการด้วยมือ ไฟมักจะถูกทิ้งไว้โดยไม่จําเป็น ดังนั้นการติดตั้งระบบ การควบคุมไฟฟ้าใน ห้องพักจึงก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมาก เช่น หลักการควบคุมแสงเฉพาะบริเวณที่ มีแสงน้อยหรือต้องการแสงจริง ๆ ซึ่งสามารถทําได้ด้วยมาตรการทางเทคนิค เช่น การควบคุมการเข้า
178 ใช้อัตโนมัติ เช่น การใช้ระบบคีย์การ์ดเพื่อควบคุมแสงไฟ เมื่อแขกเข้าห้องและเสียบคีย์การ์ดไฟฟ้าใน ห้องจะสามารถทํางานได้ ขณะที่เมื่อนําคีย์การ์ดออกเวลาแขกออกไปข้างนอกไฟฟ้าในห้องจะดับลง ตัวอย่างการควบคุมระบบไฟฟ้าและการจัดการพลังงานในพื้นที่สําคัญ ๆ ของโรงแรมมีดังนี้ ตารางที่ 7.3 ตัวอย่างการควบคุมระบบไฟฟ้าและการจัดการพลังงานในพื้นที่สำคัญของโรงแรม พื้นที่ แนวทางการควบคุมระบบไฟฟ้าและการจัดการพลังงานของ โรงแรม ห้องพักแขก ร้อยละ 18-40 ของพลังงานที่ใช้ใน โรงแรมทั้งหมดมาจากห้องพักแขก โดยเป็นการใช้เครื่องปรับอากาศ การ ระบายอากาศ และการเปลี่ยนแปลง ความร้อนตามสภาพอากาศและการ เข้าพัก • ติดตามและบันทึกการใช้พลังงานสาธารณูปโภคเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ในแต่ละวัน วิเคราะห์ข้อมูลการใช้พลังงานราย ชั่วโมงเพื่อระบุว่าการ ใช้พลังงานสูงสุดอยู่ในช่วงเวลาใดของวัน และมีการรั่วไหลของ พลังงานหรือไม่ ช่วงที่มีอัตราการเข้าพักน้อย จัดห้องพักแขกให้อยู่ในบริเวณเดียวกัน และปิดพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้งาน โดยเลือกจัดห้องพักแขก ให้เหมาะสมกับ ฤดูกาลและการเข้าถึงของแสง • ในกรณีห้องพักที่ไม่มีระบบควบคุมไฟฟ้าอัตโนมัติ หากแขก check out แล้ว แม่บ้านควรเข้าไปตรวจสอบและทําการปิด อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ แขกเปิดทิ้งไว้ทั้งหมด อาทิ เครื่องปรับอากาศ โทรทัศน์ และแสงไฟ เป็นต้น • ในช่วงอากาศร้อนหรือเย็น ให้ปิดม่าน มู่ลี่ และม่านบังตาเพื่อลด ความร้อนและความเย็นที่เพิ่มขึ้นและลดการสูญเสียพลังงานจากการ ทํางานจากเครื่องปรับอากาศ เครื่องทําความร้อน • ติดตั้งวาล์วสําหรับควบคุมความร้อนอัตโนมัติบนหม้อน้ำ ติดตั้งระบบคีย์การ์ดระบบคีย์การ์ดเพื่อช่วยปิดแหล่งจ่ายไฟอัตโนมัติ เมื่อห้องว่าง และหลีกเลี่ยงการใช้พลังงานที่ไม่จําเป็น เช่น การเปิด โทรทัศน์และไฟฟ้าทิ้งไว้ ระบบดังกล่าวเป็นการเชื่อมต่อวงจรไฟฟ้า ของพักและคีย์การ์ดซึ่งต้องติดตั้ง โดยช่างไฟฟ้ามืออาชีพ เนื่องจาก อุปกรณ์ไฟฟ้าบางอย่างอาจยังคงทํางานอยู่แม้ไม่ได้เสียบคีย์การ์ด เช่น มินิบาร์ หรือเต้าไฟฟ้า • เลือกใช้โทรทัศน์รุ่นใหม่ที่ประหยัดพลังงานมากกว่า และไม่ต้องใช้ โหมด Stand by สําหรับการตั้งค่าทิ้งไว้ พนักงานแม่บ้านมีหน้าที่ รับผิดชอบเกี่ยวกับสภาพห้องในแต่ละวัน และถือเป็นจุดควบคุมหลัก สําหรับการจัดการและบํารุงรักษา พลังงาน การฝึกอบรมพนักงาน อย่างต่อเนื่องและขั้นตอนการรายงานที่ชัดเจนเป็นสิ่งสําคัญ จุด ตรวจสอบสําคัญที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ - ปิดอุปกรณ์ที่ไม่จําเป็นในห้องพัก รวมทั้งไฟ ทีวีในโหมดส แตนด์บาย เครื่องปรับอากาศและเครื่องทําความร้อน - ในกรณีที่มีนโยบายเปิดเครื่องทําความร้อนหรือ เครื่องปรับอากาศไว้สําหรับแขกที่เข้าพัก พนักงานทําความสะอาด ควร ปรับอุณหภูมิเหล่านี้ให้มีอุณหภูมิที่เหมาะสม เช่น 26 °C เมื่อทํา ความเย็น และ 18 °C เมื่อให้ความร้อน - ตรวจสอบประตู หน้าต่าง ทางระบายอากาศ หากชํารุดต้อง รายงานต่อแผนกช่างซ่อมบํารุง - ตรวจสอบห้องน้ำ หากมีสิ่งผิดปกติเช่น น้ำรั่ว ปลั๊กไฟชํารุด
179 พื้นที่ แนวทางการควบคุมระบบไฟฟ้าและการจัดการพลังงานของ โรงแรม ห้องครัว การใช้พลังงานในห้องครัวคิดเป็นร้อย ละ 15 หรือ มากกว่าของการใช้ พลังงานทั้งหมดของโรงแรม ห้องครัว เป็นพื้นที่ที่มีการประหยัดพลังงานได้ น้อยที่สุดทั้งที่มี โอกาสในการ ดําเนินการดังกล่าวได้ดี ทั้งนี้ เนื่องมาจาก สาธารณูปโภคในครัว ส่วนใหญ่มักจะสูญเปล่าจากการ ขาด การวางแผนในขั้นตอนการออกแบบ การใช้ หรือการ ปฏิบัติที่ไม่ดี อุปกรณ์ ไฟฟ้าบางชนิดถูกเปิดใช้งานตั้งแต่ เช้า และทิ้งไว้ตลอดทั้งวันโดยไม่ได้ใช้งาน ต่อ เมื่อเทียบ กับร้านอาหารทั่วไปแล้ว พบว่าห้องครัวในโรงแรมจะใช้ พลังงานมากกว่าสองถึงสามเท่าเพื่อให้ ได้ปริมาณและคุณภาพของอาหารที่ เท่ากัน โดยทั่วไปในครัวมีการใช้ พลังงานไฟฟ้าสําหรับอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ตู้เย็น ห้องแช่ แข็ง ห้องเย็น เครื่องทําน้ำแข็ง เตาอบ เครื่องล้าง จาน เครื่องล้างแก้ว เครื่องทํากาแฟ - ลดระดับความเย็นและความร้อน และปิดผ้าม่านเพื่อ หลีกเลี่ยงแสงอาทิตย์และความร้อนที่ไม่พึงประสงค์ในระหว่างวัน - รายงานให้แผนกซ่อมบํารุงทราบหากพบสิ่งชํารุด หรือ ผิดปกติ Minibar (มินิบาร์) โดยปกติแขกจะเปิดมินิบาร์เพียง 1 ครั้งระหว่าง เข้าพัก 48 ชั่วโมงหรือ 2 วัน ขณะที่มินิบาร์ในห้องพักแขก จัดเป็น ค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าที่ที่สูงมากเนื่องจากมินิบาร์ต้องทํางานตลอด 24 ชั่วโมง 365 วัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพอากาศที่ จําเป็นต้องมี เครื่องปรับอากาศ เนื่องจากเครื่องปรับอากาศต้องทํางานหนักขึ้นเพื่อ เอาชนะความร้อนจากมินิบาร์ รวมถึงต้นทุนใน การจัดซื้อมินิบาร์ใน การดําเนินกิจการยังมีราคาสูงๆเท่ากับการบํารุงรักษาและการเปลี่ยน มินิบาร์หากมีการชํารุดเสียหาย นอกจากนี้การทําความสะอาด การ เติมของ และการตรวจสอบรายการของในมินิบาร์ยังทําให้การทํางาน ของแม่บ้านใช้เวลามาก ยิ่งขึ้น ดังนั้นโรงแรมสามารถเสนอการ ให้บริการมินิบาร์ประเภทเครื่องดื่ม ของ ขบเคี้ยวแบบ Room Service แทน นอกจากนี้เสียง การทํางานของมินิบาร์ยังคงรบกวน แขกพอๆกับการทํางานของเครื่องปรับอากาศ บางครั้งแขกถอด ปลั๊กมินิบาร์ออก และแม่บ้านเองลืมตรวจสอบ การออกแบบและการใช้งานทั่วไป • การออกแบบพื้นที่ห้องครัวและร้านอาหารจะส่งผลต่อต้นทุนการ ดําเนินงาน พื้นที่ใช้สอย บุคลากร การบํารุงรักษา และ การใช้พลังงาน การออกแบบปริมาณงานของห้องครัว (และส่วนประกอบทั้งหมด) ให้ ตรงกับความต้องการที่คาดการณ์ไว้จะทําให้ประหยัดพลังงานได้มาก ที่สุด พิจารณาให้มีแค่ครัวกลาง หรือลดปริมาณครัวน้อยลงขณะที่ ห้องอาหารจํานวนเท่าเดิมได้หรือไม่ ซึ่งนอกจากการประหยัดพลังงาน แล้วยังช่วยลดพนักงานอีกด้วย • ครัวที่มีการปรุงอาหารเฉพาะอย่างสามารถรวมเข้ากับครัวอื่นหรือไม่ เพื่อลดการใช้และจํานวนอุปกรณ์ เลือกใช้แก๊สในห้องครัวแทนการใช้ไฟฟ้า เนื่องจากแก๊สมีราคาถูก กว่าไฟฟ้ามาก (ในหลายประเทศมีบทลงโทษเพิ่มเติม สําหรับค่าความ ต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด ยกเว้นบางกรณีเท่านั้น และขึ้นอยู่กับวิธีการ ผลิตไฟฟ้า) นอกจากนี้แก๊สช่วยลด การปล่อยคาร์บอนและค่าใช้จ่าย ด้านพลังงานได้ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งความร้อนจากแก๊ส สามารถทําให้ ประกอบอาหารได้ทันที ทําให้การเริ่มต้นงานสั้นลง อย่างไรก็ตามกรณีที่สามารถใช้ได้แค่พลังงานไฟฟ้า ให้ตรวจสอบ แหล่งไฟฟ้าที่เกิดจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น ลมหรือพลังงาน แสงอาทิตย์ พิจารณาติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์สําหรับทําน้ำร้อน
180 พื้นที่ แนวทางการควบคุมระบบไฟฟ้าและการจัดการพลังงานของ โรงแรม เครื่องหั่นผัก เครื่อง กําจัดขยะ เป็น ต้น • พิจารณาการการเปลี่ยนไอน้ำจากหม้อไอน้ำของโรงแรมให้เป็น พลังงานไฟฟ้าสําหรับใช้ในครัว แยกการวัดค่าการใช้ไฟฟ้า พลังงาน และน้ำในครัวจากแผนกอื่น ๆ เพื่อเป็นการตรวจสอบและปรับปรุง การใช้ให้ดีขึ้น โดยเฉพาะครัวที่มีขนาดใหญ่มากควรมีการติดมิเตอร์ แยกสําหรับอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานสูง เลือกใช้อุปกรณ์จํานวนและขนาดเท่าที่จําเป็นสําหรับการดําเนินงาน เท่านั้น เช่น การใช้หม้อและกระทะขนาดที่ เหมาะสมเพื่อลดการ สูญเสียความร้อน ขนาดของเตาควรเล็กกว่าหม้อ ลดความร้อนลงเมื่อ ถึงจุดเดือด เป็นต้น ห้ามวางอาหารร้อนหรืออุ่น รวมถึงอุปกรณ์ที่ยังร้อนอยู่ในห้องที่มี ความเย็น ควรละลายอาหารแช่แข็งภายในตู้เย็น หรือในห้องเย็นที่มีอุณหภูมิ เหมาะสม อาหารจะละลายได้ง่ายขึ้นและช่วยลดความต้องการ พลังงานสําหรับตู้เย็น การบํารุงรักษา • ควรตรวจสอบการทํางานของอุปกรณ์เป็นประจําและดูแลเมื่อถึงอายุ การใช้งานเพื่อประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงานความปลอดภัยและ ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการใช้งาน • ตรวจสอบและบํารุงอุปกรณ์ในครัวทั้งหมดอย่างน้อยปีละ 2 ครั้งเพื่อ ประสิทธิภาพและความปลอดภัย • ทําความสะอาดตะแกรงและตัวกรองไขมันทุกวันเพื่อการถ่ายเท ความร้อนที่มากขึ้น และป้องกันการเกิดอัคคีภัย ห้องเย็นและห้องแช่แข็ง • จํากัดปริมาณตู้เย็นที่จําเป็นต้องใช้ ในช่วงที่มีแขกเข้าพักน้อยให้รวม อาหารไว้ในตู้เย็นเดียว และปิดการทํางานของตู้เย็น ที่คาดว่าจะไม่มี การใช้งานอีกอย่างน้อยหนึ่งเดือน อุปกรณ์พัดลมที่ติดในห้องเย็นควรดับทันทีหากมีการเปิดประตูห้อง เย็น ติดตั้งสัญญาณเตือนหากประตูห้องเย็นถูกเปิดทิ้งไว้ เมื่อได้รับสินค้าแช่เย็นหรือแช่แข็ง ให้นําสินค้าไปเก็บในที่เก็บที่ เหมาะสมทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้อาหารสูญเสียความเย็น และ สิ้นเปลืองพลังงานสําหรับการทําความเย็นซ้ำ รวมถึงเป็นมาตรการ ด้านสุขอนามัย นอกจากนี้ห้ามนําอาหารร้อนไป ไว้ในห้องเย็นหรือ อุปกรณ์ให้ความเย็น เปิดประตูตู้เย็น ห้องเย็นหรือห้องแช่แข็งให้น้อยที่สุด เนื่องจาก อุณหภูมิของอากาศในเครื่องสามารถเพิ่มขึ้นได้มากถึง 0.5°C ทุก ๆ วินาทีที่ประตูถูกเปิด หากเป็นอุปกรณ์รุ่นเก่าอาจทําให้เกิดน้ำแข็ง ซึ่ง การละลายน้ำแข็งทําให้สูญเสียพลังงาน เพื่อป้องกันไม่ให้อากาศภายนอกเข้าไปในห้องเย็น ควรมีการติด ม่านพลาสติก หรือ ม่านอากาศ หรือเครื่องเป่าลมไว้เหนือประตูห้อง เย็น
181 พื้นที่ แนวทางการควบคุมระบบไฟฟ้าและการจัดการพลังงานของ โรงแรม อุปกรณ์ทําความเย็นทั้งหมดควรมีฉนวนหุ้มอย่างดีเพื่อป้องกันการ สูญเสียหรือเพิ่มความร้อน ละลายน้ำแข็งบนอุปกรณ์ทําความเย็นอย่างสม่ำเสมอตามคําแนะนํา ของผู้ผลิต และตรวจสอบว่าซีลประตูและปะเก็นบนอุปกรณ์ทั้งหมด ทํางานอย่างถูกต้อง เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการทํางานและ ประหยัดพลังงาน ตรวจสอบว่าเซ็นเซอร์และเครื่องวัดอุณหภูมิให้ในส่วนที่อุ่นที่สุดของ ตู้หรือห้อง รวมถึงตรวจสอบอุณหภูมิภายในห้องหรือตู้อย่างน้อยวันละ ครั้งและจดบันทึกข้อมูล ติดตั้งเครื่องทําน้ำแข็งในที่ร่ม และตั้งเวลาปิดอัตโนมัติเพื่อประหยัด พลังงานหากน้ำแข็งเต็มแล้ว กฎระเบียบด้านสุขอนามัยส่วนใหญ่กําหนดว่าเนื้อสัตว์ทั้งหมดควร ละลายน้ำแข็งอย่างทั่วถึงก่อนนําไปปรุงด้วยเหตุผล ด้านความ ปลอดภัยของอาหาร ดังนั้นควรละลายอาหารให้ถูกต้องก่อนนําอาหาร ไปปรุง การละลายเนื้อบด 454 กรัม ใช้ พลังงาน 0.02 กิโลวัตต์ (จาก 4 องศา เป็น 60 องศา ขณะที่ถ้าเนื้อบดอยู่ที่อุณหภูมิ -18 องศา จะต้องใช้พลังงานมากถึงสามเท่าในการเปลี่ยนเป็น 60 องศา) อย่าเก็บสิ่งของไว้หน้าคอยล์เย็นและพัดลมซึ่งจะจํากัดการไหลเวียน ของอากาศ อย่าให้คอยล์เย็นมีน้ำแข็งเกาะ การสะสมของน้ำแข็งอาจเกิดจาก การขาดสารทําความเย็น (เกิดจากการรั่ว) การตั้งค่าการละลายน้ำแข็ง ที่ไม่ถูกต้อง ระบบทํางานหนักเกินไปจากการเปิดประตูหรือซีลประตู ปิดไม่สนิท เตาอบ เตาไฟฟ้า ตะแกรงย่าง ไมโครเวฟ • จัดอุปกรณ์ทําความร้อนเข้าด้วยกันและอยู่ห่างจากอุปกรณ์ทําความ เย็น • เปิดใช้อุปกรณ์เมื่อจําเป็นเท่านั้นและปิดสวิตช์ หรือเบาเครื่องเมื่อไม่ ใช้งาน อุปกรณ์ครัวสมัยใหม่ใช้เวลาในการทําความร้อนสั้นกว่าอุปกรณ์ แบบเดิม ดังนั้นควรปฏิบัติตามข้อแนะนําจากผู้ผลิตเพื่อเป็นการ ประหยัดพลังงาน นอกจากนี้ปัจจัยที่ทําให้อุปกรณ์ทํางานเร็วหรือช้า ขึ้นอยู่อุณหภูมิของสถาพแวดล้อมและ ภูมิอากาศ ตรวจสอบการทํางานของอุปกรณ์รุ่นเก่าว่าใช้เวลาอุ่นเครื่องนาน เท่าไรก่อนเริ่มทํางาน โดยปกติแม้อุปกรณ์จะเก่ามากก็ไม่ควรเกิน 15 นาที หากรู้เวลาที่แน่นอนแล้วพนักงานควรได้รับการอบรมในการตั้ง ค่าการทํางานของอุปกรณ์เหล่านั้น ติดตั้งตัวจับเวลาสําหรับการปรุงอาหารเพื่อปิดอุปกรณ์โดยอัตโนมัติ ตามเวลาที่กําหนด • ถ้าเป็นไปได้ให้ปรุงอาหารด้วยอุณหภูมิต่ำ ในปี 1992 การทดลองใน แคนาดาได้พิสูจน์ว่าการปรุงเนื้อสัตว์เป็นเวลาห้าชั่วโมงที่ 121°C ประหยัดพลังงานได้มากกว่าการย่างที่อุณหภูมิ 170°C ถึง 50% การ
182 พื้นที่ แนวทางการควบคุมระบบไฟฟ้าและการจัดการพลังงานของ โรงแรม ปรุงอาหารที่อุณหภูมิต่ำยังช่วยให้เนื้อหดตัวน้อยลงและทําให้สูญเสีย สารอาหารน้อยลง อาหารบางประเภทสามารถใช้กระทะสําหรับผัดหรือทอดแทน ตะแกรงสําหรับปิ้งย่างได้ หรือสําหรับออเดอร์ปริมาณน้อยหรืองาน เล็กน้อยในครัวสามารถใช้ไมโครเวฟแทนเตาอบได้ เลือกขนาดของกระทะเหมาะกับปริมาณอาหารและเตาที่ใช้ • ในพื้นที่ที่มีน้ำกระด้าง ให้เก็บเตาอบไอน้ำ หม้อต้มน้ำ และกาต้มน้ำ ให้ปราศจากตะกรัน เพื่อให้อุปกรณ์ยังทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เปิดปิดเตาอบเพื่อใส่ของและนําของออกอย่างรวดเร็วเพื่อลดการ สูญเสียความร้อน ตรวจสอบหัวเตาทั้งหมดว่ามีเปลวไฟที่ไม่สม่ำเสมอหรือเป็นสีเหลือง หรือไม่ เครื่องทําความร้อน การระบายอากาศ และเครื่องปรับอากาศ (HVAC) ในครัว • พิจารณาวิธีการนําความร้อนกลับมาใช้ใหม่ การติดตั้งเครื่อง แลกเปลี่ยนความร้อน ติดตั้งอุปกรณ์ที่ทําให้เครื่องระบาย อากาศ ทํางานได้อย่างเหมาะสมในการกําจัดควันในครัว เซนเซอร์สําหรับการ ทํางานของเครื่องดูดควันให้ความแรงขึ้นอยู่ กับกิจกรรมในการ ทําอาหารของแต่ละพื้นที่ แสงสว่างในครัว ระดับแสงที่ดีเป็นสิ่งสําคัญที่ช่วยในการรักษาความสะอาดของ ห้องครัวและอุปกรณ์ ตลอดจนการตรวจสอบความสดของ วัตถุดิบ การปรุง การตกแต่ง อย่างไรก็ตามระดับของแสงในห้องครัวไม่ จําเป็นต้องอยู่ในระดับเดียวกัน ปิดไฟทุกครั้งเมื่อ ไม่มีการใช้งานใน พื้นที่นั้น ๆ หรือไม่มีคนอยู่ ติดตั้งหลอดแบบประหยัดไฟ และ เครื่องตรวจจับความเคลื่อนไหวหรือ เซ็นเซอร์ตรวจจับเมื่อมีพนักงาน เข้าไปในห้องเก็บของ หรือห้องที่ใช้ไม่บ่อย รวมถึงห้องเย็นแบบวอล์ก อิน ปิดไฟในห้องเย็นเพราะนอกจากเป็นการประหยัดพลังงานแล้วยัง ช่วยลดภาระการทําความเย็น นอกจากนี้ควรมีการมอบหมายให้ พนักงานในแต่ละรอบรับผิดชอบในการปิดไฟและอุปกรณ์ที่ไม่จําเป็น ห้องซักรีด กระบวนการซัก อบ รีด และซักแห้ง ของโรงแรมต้องใช้พลังงานและน้ำ ปริมาณมาก ในขณะที่ที่สารเคมีที่ใช้ อาจทําให้เกิดมลพิษทางอากาศ ของ เสียที่เป็นพิษ และปัญหาน้ำเสีย ปัจจัย สําคัญที่ส่งผลต่อพลังงานที่ใช้ของ แผนกได้แก่ อุปกรณ์ และประเภทของ ผ้าหรือสิ่งทอที่ใช้ใน พลังงานจากการ ซักผ้าคิดเป็นร้อยละ 35 ของการใช้ พลังงานทั้งหมดของแผนกซักรีด การ แนวทางในการประหยัดพลังงานในแผนกซักรีด อาทิ การกําหนดเวลา ซักรีดอย่างเป็นเวลา โดยพิจารณาจากจํานวนผ้าที่ต้องทําความสะอาด มากที่สุด (โดยมากคือช่วงเวลาที่แขกเข้าพักมากที่สุด) กรณีที่แขกเข้า พักน้อยอาจจํากัดเวลาซักรีดหรือปิดแผนกซักรีด วันหรือสองวัน ใช้ งานอุปกรณ์และใส่ผ้าตามความจุที่เครื่องรองรับได้ เพราะแม้จะใส่ผ้า น้อยเครื่องยังคงใช้พลังงานเท่ากัน จัดตารางการส่งผ้าซักของแต่ละ แผนกอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เครื่องทํางานอย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องปิด เปิดตลอดเวลา ปิดการจ่ายไอน้ำ สําหรับเครื่องในเวลากลางวันหรือ นอกเวลางาน หากจําเป็นต้องเปิดควรให้เครื่องทํางานอย่างเต็ม ประสิทธิภาพ ประเมินค่าใช้จ่าย ในการดําเนินการซักรีดภายในว่าและ
183 พื้นที่ แนวทางการควบคุมระบบไฟฟ้าและการจัดการพลังงานของ โรงแรม อบผ้าและการรีดเป็นส่วนที่เหลือหรือ ร้อยละ 65 เปรียบเทียบกับการใช้บริการซักรีดจากบริษัทภายนอกว่าแบบใด ประหยัดได้มากกว่ากัน ในส่วนของเครื่องจักรสําหรับเครื่องซักรีดนั้น มีหลายวิธีที่ช่วยในการ ประหยัดพลังงาน อาทิ เปิดพัดลมที่ทําหน้าที่ดูดอากาศออกจาก ภายในไปสู่พื้นที่ภายนอกเฉพาะเวลาทําการ ปิดคอมเพรสเซอร์ของ เครื่องซักรีดหาไม่มีการใช้งาน รักษาอุณหภูมิน้ำร้อนไว้ที่ 60 องศา เซลเซียส หากมีถังเก็บน้ำร้อนแยกต่างหากสําหรับการซักรีดควรติดตั้ง ตัวจับเวลาเพื่อปิดการจ่ายพลังงาน หลักไปยังเครื่องแลกเปลี่ยนความ ร้อนในช่วงเวลานอกเวลางาน โดยให้อุณหภูมิที่เหมาะสมเริ่มในเวลา ทําการทันที ถอดปั๊ม หมุนเวียนน้ำร้อนหากแผนกซักรีดเสื้อผ้าอยู่ใกล้ กับเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน เป็นต้น ตรวจสอบตัวควบคุมอุณหภูมิ เพื่อการทํางานที่เหมาะสมของเครื่องซักผ้า โดยปกติแล้วพนักงานจะ เลือกใช้อุณภูมิต่ำเพื่อเป็นการประหยัดพลังงาน ใส่เสื้อผ้าให้เต็มเครื่อง ก่อนเริ่มการทํางาน หากมีผ้าจํานวนน้อยอาจซักด้วยเครื่องขนาดเล็ก (5 กิโลกรัม) และรีดด้วยมือ นอกจากอุปกรณ์ที่กล่าวมาข้างต้น ยังมีอุปกรณ์ประเภทเครื่องอบแห้ง เครื่องซักแห้ง เครื่องรีดผ้า ทั้งนี้พนักงานในแผนกซักรีดควรปฏิบัติตาม ข้อกำหนดของโรงแรมเพื่อช่วยลดการใช้พลังงาน ที่มา:https://elchm.ssru.ac.th/alisa_ri/pluginfile.php/44/course/summary/%E0%B8%9A%E0%B8%97 %E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%203.pdf, 2567 7.10 การใช้เทคโนโลยี IOT (Internet of Things) เพื่อประหยัดพลังงาน IOT หรือ Internet of Things หมายถึง “สิ่ง” จํานวนมากมายที่เชื่อมต่อกับ อินเทอร์เน็ต หรือ หมายถึงการเชื่อมโยงของอุปกรณ์อัจฉริยะทั้งหลายผ่านอินเทอร์เน็ตเพื่อให้สามารถแบ่งปันข้อมูล กับสิ่งต่าง ๆ และนําเทคโนโลยีนี้เข้ามาใช้เพื่ออํานวยความสะดวกมากยิ่งขึ้น ในบทความนี้เราจะพาไป ทําความรู้จักกับ อุปกรณ์ IoT ที่สามารถนําไปใช้ในชีวิตประจําวันได้ (ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา, 2022) IOT มีชื่อเรียกอีกอย่างคือ M2M ยอมาจาก Machine to Machine คือเทคโนโลยี อินเตอร์เน็ตที่ เชื่อมต่ออุปกรณ์ กรณกับเครื่องมือต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน นอกจากแนวทางในการประหยัดพลังงานที่กล่าวมาข้างต้น ธุรกิจโรงแรมควรมีการพิจารณา การนํา ระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อบันทึกและรายงานความพยายามที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และใช้พลังงาน อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของธุรกิจ เทคโนโลยีใหม่สามารถให้ ข้อมูลที่สําคัญแก่พนักงานโรงแรมและส่งการแจ้งเตือนเพื่อช่วยจัดการการ ใช้พลังงานและเพิ่มความยั่งยืน โดยเฉลี่ยแล้วการนําเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติอัจฉริยะมาใช้ในอาคาร เช่น IOT จะสามารถประหยัดพลังงานได้ประมาณ 30% และการสร้างอาคารใหม่ที่เหมาะสามารถ ช่วยประหยัดพลังงานได้ 20 ถึง 50% การใช้ เทคโนโลยีดิจิทัลกับระบบต่าง ๆ อาทิการทําความร้อน การระบายอากาศเครื่องปรับอากาศ (HVAC,ประหยัด 20-60%), แสงสว่าง (ประหยัด 20-50%), การ ทําน้ำร้อน (ประหยัด 20-70%), เครื่องทําความเย็น (ประหยัด 20-70%), อิเล็กทรอนิกส์และการ