ISBN : : : : : QR Code : 978-616-594-006-1
คำอนุโมทนา หนังสือ สวดมนตแปล เลมนี้ จัดพิมพขึ้นเพื่อเผยแผเปนธรรมทาน และเปนธรรมบรรณาการ ที่ระลึกเนื่องในวาระโอกาสพิเศษ ๒ วาระคือ ๑. วาระพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในยอดเกศของ พระพุทธปฏิมาหยกเจไดต ที่ถวายพระนามวา พระพุทธมณีศรีรัตนมหามงคล และพระพุทธรูป หยกทั้งหมด รวม ๕ พระองค พรอมกับการฉลองสมโภชพระวิหาร อันเปนสถานที่ประดิษฐาน พระพุทธรูปหยก วัดเกาะทอง ในวันจันทรที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๕ นี้ ซึ่งเปนวันสำคัญคือ “วันพอแหงชาติ” ดวย ๒. วาระที่ไดเขามาอยูจำพรรษา ณ วัดเกาะทองแหงนี้ครบ ๒๐ ปพอดี จึงถือเอาเปนวาระโอกาสพิเศษ ที่จะสรางเหตุอันเปนสิริมงคล บำเพ็ญมหากุศลดวยปตติทานมัย คือ การสงเสริมเติมใหซึ่งสวนแหงบุญ เพิ่มพูนบุญราศี เปนธรรมทานและทักษิณานุปทานกิจ อุทิศแด พระบุรพาจารยทั้งหลาย ผูมีสวนรวมอยางสำคัญในการกอตั้งวัด นับตั้งแตกาลเริ่มตน จวบจน กลายเปนพุทธสถาน คือเปนบุญสถานที่บำเพ็ญบุญกุศล ของพุทธศาสนิกชนคนตองการบุญทั่วไป ในปจจุบันกาล จึงไดนำเอาประวัติและเหตุการณความเปนมาของวัดเกาะทองโดยสังเขปมาพิมพไว เพื่อใหสาธารณชนทั่วไปไดรับทราบโดยทั่วกัน ขออานิสงสแหงกตัญูกตเวทิตาธรรม ที่คณะพุทธบริษัททั้งสิ้นนั้น อันประกอบไปดวยเหลา บรรพชิตและคฤหัสถทั้งหลาย ซึ่งไดขวนขวายดวยสมานฉันท รวมกันบำเพ็ญเปนกองการสาธารณ กุศล เปยมลนดวยธรรมทานจริยาในครั้งนี้ จงอำนวยผลดีไมมีที่สุดไมมีประมาณ ใหบังเกิดแก บรรดาเหลาทานสาธุชนทุกรูปทุกนาม ทุกกลุมทุกคณะ ทุกฐานะ ทุกหนาที่ ผูมากมีดวยบุญกุศล มากลนดวยบุญบารมี ที่ไดอบรมบมอินทรียตามมรรควิถีแหงพุทธธรรม เอาไวแลวดวยดีมาแตปาง กอน จงมีความเจริญสถาพรในการภาวนา มีความกาวหนาในการประพฤติปฏิบัติ ฝกหัดขัดเกลา กาย วาจา จิต ใหมีความเพียรติดตอทุกขณะ มีสติแกกลา มีปญญาแกรอบ ประกอบพรอมดวยญาณ สัมปยุต บรรลุถึงที่สุดแหงทุกขโดยชอบ โดยเร็วพลัน ในปจจุบันกาลนี้ ทุกทานทุกคน เทอญ. ขอเจริญพรดวยเมตตาธรรม พระมหาบุญตา ชาตปฺุโ เจาอาวาสวัดเกาะทอง ๕ ธันวาคม ๒๕๖๕
พิมพเพื่อใหเปนธรรมทาน
ก สารบัญ ประวัติวัดเกาะทอง ๑ คําทําวัตรเชา คําบูชาพระรัตนตรัย (อะระหัง สัมมา) ๓ ปุพพภาคนมการะ (นะโม ตัสสะ) ๔ พุทธาภิถุติ (โย โส ตะถาคะโต) ๔ ธัมมาภิถุติ (โย โส ส๎วากขาโต) ๖ สังฆาภิถุติ (โย โส สุปะฏิปั นโน) ๖ รตนัตตยัปปณามคาถา (พุทโธ สุสุทโธ) ๘ สังเวควัตถุปริทีปกปาฐะ (อิธะ ตะถาคะโต) ๙ ตังขณิกปั จจเวกขณปาฐะ (ปะฏิสังขา โยนิโส) ๑๓ ธาตุปฏิกูลปั จจเวกขณปาฐะ (ยะถาปั จจะยัง) ๑๕ บทสวดทายปาฏิโมกข สัจจกิริยาคาถา (นัตถิ เม) ๑๙ สีลุทเทสปาฐะ (ภาสิตะมิทัง) ๒๐ ตายนคาถา (ฉินทะ โสตัง) ๒๑ โอวาทปาฏิโมกขาทิปาฐะ (อุททิฏฐัง โข) ๒๒ เมตตานิสังสคาถาปาฐะ (พะหุตัพภักโข) ๒๙ ติรตนปณามคาถา (พุทธัง นะเม) ๓๑ พ๎รัห๎มวิหารผรณะ (อะหัง สุขิโต) ๓๓ คําแผเมตตาอุทิศสวนกุศล (สัพเพ สัตตา) ๓๔
ข สารบัญ คําทําวัตรเย็น คําบูชาพระรัตนตรัย (อะระหัง สัมมา) ๓๕ ปุพพภาคนมการะ (นะโม ตัสสะ) ๓๖ พุทธานุสสติ (ตัง โข ปะนะ) ๓๖ พุทธาภิคีติ (พุทธ๎วาระหันตะ) ๓๗ ธัมมานุสสติ (ส๎วากขาโต) ๓๙ ธัมมาภิคีติ (ส๎วากขาตะตา) ๓๙ สังฆานุสสติ (สุปะฏิปั นโน) ๔๑ สังฆาภิคีติ (สัทธัมมะโช) ๔๒ อตีตปั จจเวกขณปาฐะ (อัชชะ มะยา) ๔๔ อภิณหปั จจเวกขณปาฐะ (ชะราธัมโมมหิ) ๔๖ กายคตาสติภาวนาปาฐะ (อะยัง โข เม) ๔๗ คํานมัสการรอยพระพุทธบาท (วันทามิ พุทธัง) ๔๙ ติลักขณาทิคาถา (สัพเพ สังขารา) ๕๐ ภัทเทกรัตตคาถา (อะตีตัง นาน๎วา) ๕๒ ติอุทานคาถา (พุทธอุทานคาถา) (ยะทา หะเว) ๕๓ พ๎รัห๎มวิหารผรณะ (อะหัง สุขิโต) ๕๔ คําแผเมตตาอุทิศสวนกุศล (สัพเพ สัตตา) ๕๕ ตนสวดมนต ปุพพภาคนมการะ (นะโม ตัสสะ) ๕๗ สรณคมนปาฐะ (พุทธัง สะระณัง) ๕๗
ค สารบัญ สัจจกิริยาคาถา (นัตถิ เม) ๕๘ มหาการุณิโก นาโถติอาทิกาคาถา (มะหาการุณิโก นาโถ) ๕๙ เขมาเขมสรณคมนปริทีปิ กาคาถา (พะหุง เว) ๖๐ ธัมมคารวาทิคาถา (เย จะ อะตีตา) ๖๑ ติรตนนมคาถา (โย สันนิสินโน) ๖๔ ปั พพโตปมคาถา (ยะถาปิ เสลา) ๖๖ อริยธนคาถา (ยัสสะ สัทธา) ๖๗ พระปริตร คําอาราธนาพระปริตร (วิปั ตติปะฏิพาหายะ) ๖๙ คําอาราธนาธรรม (พ๎รัห๎มา จะ โลกา) ๖๙ คาถาจุดเทียนชัย (พุทโธ สัพพัญุตะ) ๗๐ พุทธมงคลคาถา (ทิวา ตะปะติ) ๗๐ บทชุมนุมเทวดา (สะรัชชัง) ๗๑ นมการสิทธิคาถา (โย จักขุมา) ๗๓ สัมพุทเธติอาทิกานมการคาถา (สัมพุทเธ) ๗๕ นโมการอัฏฐกัง (นะโม อะระหะโต) ๗๖ มังคลสุตตัง (เอวัมเม สุตัง) ๗๗ รตนสุตตัง (ยานีธะ ภูตานิ) ๘๐ กรณียเมตตสุตตัง (กะระณียะมัตถะ) ๘๕ ขันธปริตตคาถา (วิรูปั กเขหิ) ๘๗ โมรปริตตัง (อุเทตะยัญจักขุมา) ๘๘ ฉัททันตปริตตัง (วะธิสสะเมนันติ) ๙๐
ง สารบัญ พระปริตร (ตอ) วัฏฏกปริตตัง (อัตถิ โลเก) ๙๑ อาฏานาฏิยปริตตัง (วิปั สสิสสะ) ๙๒ อังคุลิมาลปริตตัง (ยะโตหัง) ๑๐๐ โพชฌังคปริตตัง (โพชฌังโค) ๑๐๑ อภยปริตตัง (ยันทุนนิมิตตัง) ๑๐๓ เทวตาอุยโยชนคาถา (ทุกขัปปั ตตา) ๑๐๔ สุมังคลคาถา (โหตุ สัพพัง) ๑๐๕ พระสูตร ธัมมจักกัปปวัตตนสุตตัง (เอวัมเม สุตัง) ๑๐๗ อนัตตลักขณสุตตัง (เอวัมเม สุตัง) ๑๒๐ อาทิตตปริยายสุตตัง (เอวัมเม สุตัง) ๑๒๙ มหาสมยสุตตัง (เอวัมเม สุตัง) ๑๓๗ ธชัคคสุตตัง (เอวัมเม สุตัง) ๑๕๔ สาราณียธัมมสุตตัง (เอวัมเม สุตัง) ๑๖๒ ภิกขุอปริหานิยธัมมสุตตัง (เอวัมเม สุตัง) ๑๖๖ ธัมมนิยามสุตตัง (เอวัมเม สุตัง) ๑๗๐ โคตมีสุตตัง (เอวัมเม สุตัง) ๑๗๒ สติปั ฏฐานปาฐะ (อัตถิ โข เตนะ) ๑๗๖ ทสธัมมสุตตปาฐะ (ทะสะ อิเม) ๑๘๒ โคตมกเจติยธัมมปริยาย (อะภิญญายะ) ๑๘๔
จ สารบัญ บทสวดแจง พระวินัย (ยันเตนะ) ๑๘๕ พระสูตร (เอวัมเม สุตัง) ๑๘๗ บทสวดพระอภิธรรม ๗ คัมภีร (๑) พระสังคณี (กุสะลา ธัมมา) ๑๘๙ (๒) พระวิภังค (ปั ญจักขันธา) ๑๙๐ (๓) พระธาตุกถา (สังคะโห อะสังคะโห) ๑๙๑ (๔) พระปุคคลปั ญญัตติ (ฉะ ปั ญญัตติโย) ๑๙๒ (๕) พระกถาวัตถุ (ปุคคะโล อุปะลัพภะติ) ๑๙๓ (๖) พระยมกะ (เย เกจิ) ๑๙๔ (๗) พระมหาปั ฏฐาน (เหตุปั จจะโย) ๑๙๔ ธัมมสังคณีมาติกาปาฐะ (กุสะลา ธัมมา) ๑๙๕ วิปั สสนาภูมิปาฐะ (ปั ญจักขันธา) ๑๙๙ ปฏิจจสมุปปาทปาฐะ (อะวิชชาปั จจะยา) ๒๐๑ บังสุกุลตาย (อะนิจจา วะตะ) ๒๐๓ บังสุกุลเป็น (อะจิรัง วะตะยัง) ๒๐๓ นานาปกิณณกคาถา โมกขุปายคาถา (สัพพะวัตถุตตะมัง) ๒๐๕ รตนัตตยปภาวาภิยาจนคาถา (อะระหัง สัมมา) ๒๐๘ สุขาภิยาจนคาถา (ยัง ยัง เทวะ) ๒๑๐
ฉ สารบัญ นานาปกิณณกคาถา (ตอ) ชินปั ญชรคาถา (ชะยาสะนากะตา) ๒๑๒ อุณหิสวิชยคาถา (อัตถิ อุณหิสะ) ๒๑๕ อัฏฐังคิกมัคคคาถา (มัคคานัฏฐังคิโก) ๒๑๗ ปฐมพุทธภาสิตคาถา (อะเนกะชาติสังสารัง) ๒๑๘ ภารสุตตคาถา (ภารา หะเว) ๒๑๙ ธัมมุทเทส ๔ (อุปะนียะติ โลโก) ๒๑๙ อริยสัจจคาถา (เย ทุกขัง) ๒๒๐ คารวกคาถา (สัตถุคะรุ) ๒๒๑ คําไหวพระพุทธเจา ๕ พระองค (อะระหัง สัมมา) ๒๒๑ คําบูชาพระบรมสารีริกธาตุ (ระตะนัตตะเย) ๒๒๒ สามเณรสิกขา (อะนุญญาสิ โข) ๒๒๓ นาสนังคะ ๑๐ (อะนุญญาสิ โข) ๒๒๔ ทัณฑกรรม ๕ (อะนุญญาสิ โข) ๒๒๕ บทปลงสังขาร ๑ (มนุษยเราเอย) ๒๒๖ บทปลงสังขาร ๒ (เกสาผมหงอก) ๒๒๗ บทสวดถวายพรพระ พุทธชยมังคลคาถา (พาหุง สะหัสสะ) ๒๒๙ ชยปริตตัง (มะหาการุณิโก นาโถ) ๒๓๒ จุลลชยมังคลคาถา (สวดชัยนอย) (นะโม เม) ๒๓๓
ช สารบัญ คาถาบารมี ๓๐ ทัศ (ทานะปาระมี) ๒๓๖ คาถาหวานทราย (อิมัส๎มิง ราชะเสมานา) ๒๓๗ คาถาโพธิบาท (คาถาป องกันภัย ๑๐ ทิศ) (บูรพารัส๎มิง) ๒๓๘ คาถามงคลจักรวาล ๘ ทิศ (อิมัส๎มิง มงคลจักรวาล) ๒๔๐ บทสวดอนุโมทนาวิธี อนุโมทนารัมภคาถา (ยะถา วาริวะหา) ๒๔๑ สามัญญานุโมทนาคาถา (สัพพีติโย) ๒๔๑ เกณิยานุโมทนาคาถา (อัคคิหุตตัง) ๒๔๒ กาลทานสุตตคาถา (กาเล ทะทันติ) ๒๔๓ วิหารทานคาถา (สีตัง อุณหัง) ๒๔๔ เทวตาทิสสทักขิณานุโมทนาคาถา (ยัส๎มิง ปะเทเส) ๒๔๕ เทวตาภิสัมมันตนคาถา (ยานีธะ ภูตานิ) ๒๔๖ ปริตตกรณปาฐะ (ยาวะตา สัตตา) ๒๔๗ สังคหวัตถุคาถา (ทานัญจะ เปยยะ) ๒๕๑ อัคคัปปสาทสุตตคาถา (อัคคะโต เว) ๒๕๒ โภชนทานานุโมทนาคาถา (อายุโท พะละโท) ๒๕๓ อาทิยสุตตคาถา (ภุตตา โภคา) ๒๕๓ วนโรปสุตตคาถา (อารามะโรปา) ๒๕๔ อิฏฐสุตตคาถา (อายุง วัณณัง) ๒๕๕ สัจจปานวิธยานุรูปคาถา (สัจจัง เว) ๒๕๖ ทานานุโมทนาคาถา (อันนัง ปานัง) ๒๕๗
ซ สารบัญ บทสวดอนุโมทนาวิธี(ตอ) รตนัตตยานุภาวาทิคาถา (ระตะนัตตะยานุภาเวนะ) ๒๕๘ นิธิกัณฑสุตตคาถา (นิธิง นิเธติ) ๒๕๙ ติโรกุฑฑกัณฑสุตตคาถา (ติโรกุฑเฑสุ) ๒๖๒ มงคลจักรวาลนอย (สัพพะพุทธานุภาเวนะ) ๒๖๕ มงคลจักรวาลใหญ (สิริธิติมะติเตโช) ๒๖๖ โส อัตถะลัทโธ (โส อัตถะลัทโธ) ๒๗๐ บทสวดมนตแผเมตตา เมตตานิสังสสุตตปาฐะ (เอวัมเม สุตัง) ๒๗๑ จตุรัปปมัญญาปาฐะ (อัตถิ โข) ๒๗๓ ติโลกวิชยราชปั ตติทานคาถา (ยังกิญจิ กุสะลัง) ๒๗๕ อุททิสสนาธิฏฐานคาถา (อิมินา ปุญญะ) ๒๗๖ เทวตาทิปั ตติทานคาถา (ยา เทวะตา) ๒๗๘ สัพพปั ตติทานคาถา (ปุญญัสสิทานิ) ๒๗๙ บทเจริญพรหมวิหารในสัตว ๑๒ จําพวก (สัพเพ สัตตา) ๒๘๓ คําสวดถวายพระราชกุศลในรัชกาลที่ ๔ (ยัสสะ โข) ๒๘๗ คําสวดแผสวนกุศลสําหรับกฐินราษฎร (เยสัง โข) ๒๘๘ คํานําถวายดอกไมธูปเทียน วันมาฆบูชา (อัชชายัง มาฆะ) ๒๘๙ คํานําถวายดอกไมธูปเทียน วันวิสาขบูชา (ยะมัมหะ โข) ๒๙๑ คํานําถวายดอกไมธูปเทียน วันอาสาฬหบูชา (ยะมัมหะ โข) ๒๙๔ คําอธิษฐานจิตอุทิศบุญกุศล ๒๙๗
๑ ประวัติวัดเกาะทอง สภาพฐานะ และที่ตั้งวัด วัดเกาะทอง เปนวัดราษฎร สังกัดคณะสงฆนิกายธรรมยุต ไดรับพระราชทานวิสุงคามสีมา ตามประกาศ ณ วันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๐ ตั้งอยูในเขตพื้นที่บานหนองเตา เลขที่ ๓ หมู ๕ ตำบลโคกสี อำเภอเมืองขอนแกน จังหวัดขอนแกน รหัสไปรษณีย ๔๐๐๐๐ ประวัติความเปนมา เมื่อปลายป พ.ศ. ๒๔๘๑ พระเทพบัณฑิต (อินทร ถิรเสวี) สมัยเปนพระครูพิศาลสารคุณ ดำรงตำแหนงเจาคณะจังหวัดขอนแกนทั้ง ๒ นิกาย คือ ธรรมยุต และมหานิกาย ไดเดินทางไปตรวจ การณคณะสงฆที่ตำบลโคกสี และพิจารณาเห็นวา สถานที่แหงนี้เปนเกาะพองหลง มีน้ำลอมรอบ เปนสถานที่ราบเรียบ มีปาไมหนาแนน ทั้งไมยาง ไมกระเบา ไมแดง และปาไมเบญจพรรณอื่นๆ เปนตน บรรยากาศรมรื่น รมเย็น เงียบสงบสงัด เหมาะสมกับการบำเพ็ญสมณธรรมอยางดียิ่ง จึงไดชักชวนญาติ โยมชาวบานหนองเตา และบานบึงเรือใหญใหตั้งเปนวัดขึ้น เมื่อความเห็นดีเห็นชอบของชาวบานเกิดพรอม เพรียงกันแลว จึงไดเชิญนายทองใบ ใจเที่ยง กำนันตำบลโคกสีสมัยนั้น ใหมาเปนสักขีพยานและรับเรื่องไว เพื่อเสนอขออนุญาตตั้งวัดไปยังนายอำเภอเมืองขอนแกน คือ หลวงอนุกาลสารบรรณและไดรับอนุญาต ใหตั้งวัดขึ้นตามระเบียบกฎหมาย โดยใหชื่อวา “วัดเกาะทอง” ตั้งแตวันที่ ๑ มกราคม ๒๔๘๒ เปนตนมา อาณาเขต และที่มาของชื่อวัด บริเวณพื้นที่ของวัดทั้งหมด ตั้งอยูบนเกาะ มีลำน้ำพองลอมรอบ แยกออกจากเขตของชาวบาน อยางชัดเจน ชาวบานนิยมเรียกลำน้ำพองที่ลอมรอบเกาะที่ตั้งวัดวา “พองหลง” และตั้งชื่อวัดไวแตแรก วา “วัดเกาะพองหลง” แตเพื่อใหเรียกชื่อกันงาย ฟงไพเราะและเหมาะสมยิ่งขึ้น จึงตกลงเรียกชื่อวัดวา “วัดเกาะทอง” อันมีความหมายวา วัดที่ตั้งอยูบนเกาะที่มีลำน้ำพองลอมรอบเอาไว ใหความรมรื่นและ รมเย็น เหมาะแกการบำเพ็ญเพียรเจริญจิตตภาวนา ซึ่งมีคุณคาสูงยิ่งตอจิตใจ เปรียบเหมือนทอง ซึ่งชาวโลกทั่วไปนิยมวามีคุณคาสูงยิ่ง เชนเดียวกันฉะนั้น ๑
๒ วัดเกาะทอง มีพื้นที่บริเวณที่ตั้งวัดทั้งหมด ตามเอกสารสิทธิ์ คือโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๕๖๖๒๘ ออก ณ วันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๔ จำนวน ๒๑๗ ไร ๒ งาน ๒๒.๕/๑๐ ตารางวา และตามระเบียบ ของทางราชการ วัดที่ตั้งมากอน พ.ศ. ๒๔๘๔ ถือวาเปนวัดที่ถูกตองสมบูรณแลวตามกฎหมาย ลำดับเจาอาวาสที่ปกครองวัดเกาะทอง ๑. พระอาจารยยนต โสภิโต พ.ศ. ๒๔๘๑ - ๒๔๘๙ ๒. พระหลวงพอเหลี่ยม วิมโล พ.ศ. ๒๔๘๙ - ๒๔๙๗ ๓. พระหลวงพอจูม อุตฺตโม พ.ศ. ๒๔๙๗ - ๒๕๑๑ ๔. พระอาจารยแสงดาว ชยปาโล พ.ศ. ๒๕๑๑ - ๒๕๒๔ ๕. พระหลวงพออุย สิริธมฺโม พ.ศ. ๒๕๒๔ - ๒๕๒๙ ๖. พระอาจารยสมบูรณ กนฺตสีโล พ.ศ. ๒๕๓๑ (ออกพรรษาแลว ไดลาออก จากตำแหนงเจาอาวาส ไปวิเวกทางภาคเหนือ ปจจุบันเปนพระราชาคณะที่ พระเทพวชิรญาณเวที เจาอาวาสวัดปาสมบูรณธรรม อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก) ๗. พระอาจารยรังสรรค อภิปฺุโ พ.ศ. ๒๕๓๗ (ปจจุบันเปนเจาอาวาส วัดวรลาภูปถัมภ อ.ทรายมูล จ.ยโสธร) ๘. พระมหาบุญตา ชาตปฺุโ ๘ มกราคม ๒๕๔๗ – ปจจุบัน หมายเหตุ เนื่องจากวัดเกาะทอง สรางกอนมีพระราชบัญญัติคณะสงฆ พุทธศักราช ๒๔๘๔ พระที่ทำ หนาที่ดูแลบริหารและปกครองภายในวัด ซึ่งเรียกวา “เจาอาวาส” ก็บริหารสืบตอกันมา โดยไมมีการ แตงตั้งแตอยางใด แตก็เคารพเชื่อฟงกันตามอายุพรรษาดวยดีมาตลอด เริ่มมีการแตงตั้งเปนกิจลักษณะ ตามระเบียบการแตงตั้งพระสังฆาธิการ (พระราชบัญญัติคณะสงฆ พ.ศ. ๒๕๐๕) ตั้งแตรูปที่ ๔ เปนตนมา แตถึงกระนั้น บางชวงเวลาก็ตองอยูในความดูแลปกครองของเจาคณะตำบล เพราะไมมีการแตงตั้ง เจาอาวาส. ๒
๓ คําทําวัตรเชา0 ๑ คําบูชาพระรัตนตรัย อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา, พระผูมีพระภาคเจาเป็ นพระอรหันต, ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกขสิ้นเชิง, ตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง. พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ. ขาพเจาอภิวาทพระผูมีพระภาคเจา, ผูรู ผูตื่น ผูเบิกบาน. (กราบ) ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, พระธรรมเป็ นธรรมที่พระผูมีพระภาคเจา, ตรัสไวดีแลว, ธัมมัง นะมัสสามิ. ขาพเจานมัสการพระธรรม. (กราบ) สุปะฏิปั นโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, พระสงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา, ปฏิบัติดีแลว. สังฆัง นะมามิ. ขาพเจานอบนอมพระสงฆ. (กราบ) ๑ พระราชนิพนธ ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกลาเจาอยูหัว. ๓
๔ ปุพพภาคนมการะ (นํา) หันทะทานิ มะยันตัง ภะคะวันตัง วาจายะ อะภิถุตุง ปุพพะภาคะนะมะการัง กะโรมะ เส. (บัดนี้ เชิญเถิด, เราทั้งหลายจงทําความนอบนอมแดพระผูมีพระภาคเจา อันเป็ นสวนเบื้ องตน เพื่อสรรเสริญดวยวาจาเถิด) นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, ขอนอบนอมแดพระผูมีพระภาคเจา พระองคนั้น, อะระหะโต, ซึ่งเป็ นผูไกลจากกิเลส, สัมมาสัมพุทธัสสะ. ตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง. (วา ๓ ครั้ง) พุทธาภิถุติ (นํา) หันทะ มะยัง พุทธาภิถุติง กะโรมะ เส. (เชิญเถิด เราทั้งหลาย, ทําความชมเชยเฉพาะพระพุทธเจาเถิด) โย โส ตะถาคะโต พระตถาคตเจานั้น พระองคใด, อะระหัง เป็ นผูไกลจากกิเลส, สัมมาสัมพุทโธ, เป็ นผูตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง, วิชชาจะระณะสัมปั นโน เป็ นผูถึงพรอมดวยวิชชาและจรณะ, สุคะโต เป็ นผูไปแลวดวยดี, โลกะวิทู, เป็ นผูรูโลกอยางแจมแจง, อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ เป็ นผูสามารถฝึ กบุรุษที่สมควรฝึ กได อยางไมมีใครยิ่งกวา, สัตถา เทวะมะนุสสานัง เป็ นครูผูสอนของเทวดาและมนุษย ทั้งหลาย, พุทโธ เป็ นผูรู ผูตื่น ผูเบิกบานดวยธรรม, คำทำวัตรเช้า ๔
๕ ภะคะวา, เป็ นผูมีความจําเริญ จําแนกธรรมสั่งสอนสัตว, โย อิมัง โลกัง สะเทวะกัง สะมาระกัง สะพ๎รัห๎มะกัง, สัสสะมะณะพ๎ราห๎มะณิง ปะชัง สะเทวะมะนุสสัง สะยัง อะภิญญา สัจฉิกัต๎วา ปะเวเทสิ, พระผูมีพระภาคเจาพระองคใด, ไดทรงทําความดับทุกขใหแจง, ดวยพระปั ญญาอันยิ่งเองแลว, ทรงสอน โลกนี้พรอมทั้งเทวดา มาร พรหม, และหมูสัตวพรอมทั้งสมณพราหมณ, พรอมทั้งเทวดาและมนุษยใหรูตาม, โย ธัมมัง เทเสสิ พระผูมีพระภาคเจาพระองคใด, ทรงแสดงธรรมแลว, อาทิกัล๎ยาณัง ไพเราะในเบื้ องตน, มัชเฌกัล๎ยาณัง ไพเราะในทามกลาง, ปะริโยสานะกัล๎ยาณัง, ไพเราะในที่สุด, สาตถัง สะพ๎ยัญชะนัง เกวะละปะริปุณณัง ปะริสุทธัง พ๎รัห๎มะจะริยัง ปะกาเสสิ, ทรงประกาศพรหมจรรย, คือแบบแหง การปฏิบัติอันประเสริฐ บริสุทธิ บริบูรณ ์ สิ้นเชิง, พรอมทั้งอรรถะ พรอมทั้งพยัญชนะ, ตะมะหัง ภะคะวันตัง อะภิปูชะยามิ ขาพเจาบูชาอยางยิ่ง, เฉพาะพระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น, ตะมะหัง ภะคะวันตัง สิระสา นะมามิ. ขาพเจานอบนอมพระผูมีพระภาคเจา พระองคนั้น, ดวยเศียรเกลา. (กราบระลึกถึงพระพุทธคุณ) คำทำวัตรเช้า พุทธาภิถุติ ๕
๖ ธัมมาภิถุติ (นํา) หันทะ มะยัง ธัมมาภิถุติง กะโรมะ เส. (เชิญเถิด เราทั้งหลาย, ทําความชมเชยเฉพาะพระธรรมเถิด) โย โส ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, พระธรรมนั้นใด, เป็ นสิ่งที่พระผูมี พระภาคเจา, ไดตรัสไวดีแลว, สันทิฏฐิโก เป็ นสิ่งที่ผูศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได ดวยตนเอง, อะกาลิโก เป็ นสิ่งที่ปฏิบัติไดและใหผลได ไมจํากัดกาล, เอหิปั สสิโก, เป็ นสิ่งที่ควรกลาวกับผูอื่นวา ทานจงมาดูเถิด, โอปะนะยิโก เป็ นสิ่งที่ควรนอมเขามาใสตัว, ปั จจัตตัง เวทิตัพโพ วิญูหิ, เป็ นสิ่งที่ผูรูก็รูไดเฉพาะตน, ตะมะหัง ธัมมัง อะภิปูชะยามิ ขาพเจาบูชาอยางยิ่ง, เฉพาะพระธรรมนั้น, ตะมะหัง ธัมมัง สิระสา นะมามิ. ขาพเจานอบนอมพระธรรมนั้น, ดวยเศียรเกลา. (กราบระลึกถึงพระธรรมคุณ) สังฆาภิถุติ (นํา) หันทะ มะยัง สังฆาภิถุติง กะโรมะ เส. (เชิญเถิด เราทั้งหลาย, ทําความชมเชยเฉพาะพระสงฆเถิด) โย โส สุปะฏิปั นโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจาหมูใด, ปฏิบัติดีแลว, คำทำวัตรเช้า ๖
๗ อุชุปะฏิปั นโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจาหมูใด, ปฏิบัติตรงแลว, ญายะปะฏิปั นโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจาหมูใด, ปฏิบัติเพื่อรูธรรมเป็ นเครื่องออกจาก ทุกขแลว, สามีจิปะฏิปั นโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจาหมูใด, ปฏิบัติสมควรแลว, ยะทิทัง ไดแกบุคคลเหลานี้คือ, จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา, คูแหงบุรุษสี่คู นับเรียงตัวบุรุษไดแปดบุรุษ, เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, นั่นแหละ สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา, อาหุเนยโย เป็ นสงฆควรแกสักการะที่เขานํามาบูชา, ปาหุเนยโย เป็ นสงฆควรแกสักการะที่เขาจัดไวตอนรับ, ทักขิเณยโย เป็ นผูควรรับทักษิณาทาน, อัญชะลิกะระณีโย, เป็ นผูที่บุคคลทั่วไปควรทําอัญชลี, อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสะ, เป็ นเนื้ อนาบุญของโลก, ไมมีนาบุญอื่น ยิ่งกวา, ตะมะหัง สังฆัง อะภิปูชะยามิ ขาพเจาบูชาอยางยิ่ง, เฉพาะพระสงฆหมูนั้น, ตะมะหัง สังฆัง สิระสา นะมามิ. ขาพเจานอบนอมพระสงฆหมูนั้น, ดวยเศียรเกลา. (กราบระลึกถึงพระสังฆคุณ แลวนั่งพับเพียบ) คําทําวัตรเช้า สังฆาภิถุติ ๗
๘ รตนัตตยัปปณามคาถา1 ๑ พุทโธ สุสุทโธ กะรุณามะหัณณะโว, พระพุทธเจาผูบริสุทธิมีพระกรุณา ์ ดุจหวงมหรรณพ, โยจจันตะสุทธัพพะระญาณะโลจะโน, พระองคใดมีตาคือญาณอันประเสริฐ หมดจดถึงที่สุด, โลกัสสะ ปาปูปะกิเลสะฆาตะโก, เป็ นผูฆาเสียซึ่งบาปและอุปกิเลสของโลก, วันทามิ พุทธัง อะหะมาทะเรนะ ตัง. ขาพเจาไหวพระพุทธเจาพระองคนั้น, โดยใจเคารพเอื้ อเฟื้ อ. ธัมโม ปะทีโป วิยะ ตัสสะ สัตถุโน, พระธรรมของพระศาสดาสวางรุงเรือง เปรียบดวงประทีป, โย มัคคะปากามะตะเภทะภินนะโก, จําแนกประเภท คือ มรรค ผล นิพพาน สวนใด, โลกุตตะโร โย จะ ตะทัตถะทีปะโน, ซึ่งเป็ นตัวโลกุตตระ, และสวนใดที่ชี้แนวแหงโลกุตตระนั้น, วันทามิธัมมัง อะหะมาทะเรนะ ตัง. ขาพเจาไหวพระธรรมนั้น, โดยใจเคารพเอื้ อเฟื้ อ. สังโฆ สุเขตตาภ๎ยะติเขตตะสัญญิโต, พระสงฆเป็ นนาบุญอันยิ่งใหญกวานาบุญ อันดีทั้งหลาย, โย ทิฏฐะสันโต สุคะตานุโพธะโก, เป็ นผูเห็นพระนิพพาน, ตรัสรูตาม พระสุคต หมูใด, โลลัปปะหีโน อะริโย สุเมธะโส, เป็ นผูละกิเลสเครื่องโลเล, เป็ นพระอริยเจามีปั ญญาดี, วันทามิ สังฆัง อะหะมาทะเรนะ ตัง. ขาพเจาไหวพระสงฆหมูนั้น, โดยใจเคารพเอื้ อเฟื้ อ. ๑ พระราชนิพนธ ของรัชกาลที่ ๔ เป็ นคําฉันทอินทรวงศฉันท ๑๒ มีจํานวน ๔ คาถา. คำทำวัตรเช้า ๘
๙ อิจเจวะเมกันตะภิปูชะเนยยะกัง, วัตถุตตะยัง วันทะยะตาภิสังขะตัง, ปุญญัง มะยา ยัง มะมะ สัพพุปั ททะวา, มา โหนตุ เว ตัสสะ ปะภาวะสิทธิยา. บุญใดที่ขาพเจาผูไหวอยูซึ่งวัตถุสาม, คือพระรัตนตรัยอันควรบูชายิ่งโดยสวน เดียว, ไดสั่งสมแลวอยางนี้, ขอสรรพ อุปั ทวะทั้งหลาย, จงอยามีแกขาพเจาเลย, ดวยอํานาจความสําเร็จอันเกิดจากบุญนั้น. สังเวควัตถุปริทีปกปาฐะ อิธะ ตะถาคะโต โลเก อุปปั นโน พระตถาคตเจาเกิดขึ้นแลวในโลกนี้, อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ, เป็ นผูไกลจากกิเลส, ตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง, ธัมโม จะ เทสิโต นิยยานิโก และพระธรรมที่ทรงแสดง, เป็ นธรรมเครื่องออกจากทุกข, อุปะสะมิโก ปะรินิพพานิโก เป็ นเครื่องสงบกิเลส, เป็ นไปเพื่อปรินิพพาน, สัมโพธะคามี สุคะตัปปะเวทิโต, เป็ นไปเพื่อความรูพรอม, เป็ นธรรมที่พระสุคตประกาศแลว, มะยันตัง ธัมมัง สุต๎วา เอวัง ชานามะ, พวกเราเมื่อไดฟั งธรรมนั้นแลว, จึงไดรูอยางนี้วา ชาติปิ ทุกขา แมความเกิดก็เป็ นทุกข ชะราปิ ทุกขา แมความแกก็เป็ นทุกข มะระณัมปิ ทุกขัง, แมความตายก็เป็ นทุกข, โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา, แมความโศก ความรํ่าไรรําพัน, ความไมสบายกาย ความไมสบายใจ ความคับแคนใจก็เป็ นทุกข, อัปปิ เยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ความประสบกับสิ่งไมเป็ นที่รักที่พอใจก็ เป็ นทุกข, ปิ เยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ความพลัดพรากจากสิ่งเป็ นที่รักที่พอใจ ก็เป็ นทุกข, คำทำวัตรเช้า รตนัตตยัปปณามคาถา ๙
๑๐ ยัมปิ จฉัง นะ ละภะติตัมปิ ทุกขัง, มีความปรารถนาสิ่งใด ไมไดสิ่งนั้นนั่นก็ เป็ นทุกข, สังขิตเตนะ ปั ญจุปาทานักขันธา ทุกขา, วาโดยยอ, อุปาทานขันธทั้งหา เป็ นตัวทุกข, เสยยะถีทัง, ไดแกสิ่งเหลานี้คือ, รูปูปาทานักขันโธ, ขันธอันเป็ นที่ตั้งแหงความยึดมั่น คือ รูป, เวทะนูปาทานักขันโธ, ขันธอันเป็ นที่ตั้งแหงความยึดมั่น คือ เวทนา, สัญูปาทานักขันโธ, ขันธอันเป็ นที่ตั้งแหงความยึดมั่น คือ สัญญา, สังขารูปาทานักขันโธ, ขันธอันเป็ นที่ตั้งแหงความยึดมั่น คือ สังขาร, วิญญาณูปาทานักขันโธ, ขันธอันเป็ นที่ตั้งแหงความยึดมั่น คือ วิญญาณ, เยสัง ปะริญญายะ, เพื่อใหสาวกกําหนดรอบรูอุปาทานขันธ เหลานี้เอง, ธะระมาโน โส ภะคะวา, พระผูมีพระภาคเจานั้น, เมื่อยังทรงพระชนมอยู, เอวัง พะหุลัง สาวะเก วิเนติ, ยอมทรงแนะนําสาวกทั้งหลาย เชนนี้ เป็ นสวนมาก, เอวัง ภาคา จะ ปะนัสสะ ภะคะวะโต สาวะเกสุ อะนุสาสะนี, พะหุลา ปะวัตตะติ, อนึ่ง คําสั่งสอนของพระผูมีพระภาคเจานั้น, ยอมเป็ นไปในสาวกทั้งหลายสวนมาก, มีสวนคือการจําแนกอยางนี้วา, รูปั ง อะนิจจัง, รูปไมเที่ยง, เวทะนา อะนิจจา, เวทนาไมเที่ยง, สัญญา อะนิจจา, สัญญาไมเที่ยง, สังขารา อะนิจจา, สังขารไมเที่ยง, คำทำวัตรเช้า สังเวควัตถุปริทีปกปาฐะ ๑๐
๑๑ วิญญาณัง อะนิจจัง, วิญญาณไมเที่ยง, รูปั ง อะนัตตา, รูปไมใชตัวตน, เวทะนา อะนัตตา, เวทนาไมใชตัวตน, สัญญา อะนัตตา, สัญญาไมใชตัวตน, สังขารา อะนัตตา, สังขารไมใชตัวตน, วิญญาณัง อะนัตตา, วิญญาณไมใชตัวตน, สัพเพ สังขารา อะนิจจา, สังขารทั้งหลายทั้งปวงไมเที่ยง, สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ, ธรรมทั้งหลายทั้งปวง, ไมใชตัวตน ดังนี้, เต (ตา)2 ๑ มะยัง, โอติณณาม๎หะ พวกเราทั้งหลายเป็ นผูถูกครอบงําแลว ชาติยา โดยความเกิด ชะรามะระเณนะ, โดยความแกและความตาย, โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ, โดยความโศก ความรํ่าไรรําพัน, ความไมสบายกาย ความไมสบายใจ ความคับแคนใจทั้งหลาย, ทุกโขติณณา เป็ นผูถูกความทุกขหยั่งเอาแลว, ทุกขะปะเรตา, เป็ นผูมีความทุกขเป็ นเบื้ องหนาแลว, อัปเปวะนามิมัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ อันตะกิริยา ปั ญญาเยถาติ. ทําไฉน, การทําที่สุดแหงกองทุกขทั้งสิ้นนี้, จะพึงปรากฏชัดแกเราได, สําหรับพระภิกษุสามเณรสวดตอ จิระปะรินิพพุตัมปิ ตัง ภะคะวันตัง อุททิสสะ อะระหันตัง สัมมาสัมพุทธัง, เราทั้งหลาย อุทิศเฉพาะพระผูมีพระภาคเจา, ผูไกลจากกิเลส, ตรัสรูชอบไดโดยพระองค เอง, แมปรินิพพานนานแลวพระองคนั้น, ๑ สตรีใหสวดคําในวงเล็บแทนคําที่ขีดเสนใต. คำทำวัตรเช้า สังเวควัตถุปริทีปกปาฐะ ๑๑
๑๒ สัทธา อะคารัส๎มา อะนะคาริยัง ปั พพะชิตา, เป็ นผูมีศรัทธาออกบวชจากเรือน, ไมเกี่ยวของดวยเรือนแลว, ตัส๎มิง ภะคะวะติ พ๎รัห๎มะจะริยัง จะรามะ, ประพฤติอยูซึ่งพรหมจรรย, ในพระผูมีพระภาคเจา พระองคนั้น, ภิกขูนัง สิกขาสาชีวะสะมาปั นนา3 ๑, ถึงพรอมดวยสิกขาและธรรมเป็ นเครื่อง เลี้ยงชีวิตของภิกษุทั้งหลาย, ตัง โน พ๎รัห๎มะจะริยัง, อิมัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ อันตะกิริยายะ สังวัตตะตุ. ขอใหพรหมจรรยของเราทั้งหลายนั้น, จงเป็ นไปเพื่อการทําที่สุดแหงกองทุกข ทั้งสิ้นนี้ เทอญ. สําหรับคฤหัสถสวดตอ จิระปะรินิพพุตัมปิ ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คะตา, เราทั้งหลาย ผูถึงแลวซึ่งพระผูมีพระภาคเจา, แมปรินิพพานนานแลวพระองคนั้น, เป็ นสรณะ, ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ, ถึงพระธรรมดวย, ถึงพระสงฆดวย, ตัสสะ ภะคะวะโต สาสะนัง, ยะถาสะติ ยะถาพะลัง มะนะสิกะโรมะ, อะนุปะฏิปั ชชามะ, จักทําในใจอยู, ปฏิบัติตามอยู, ซึ่งคําสั่งสอนของพระผูมีพระภาคเจานั้น, ตามสติกําลัง, สา สา โน ปะฏิปั ตติ, ขอใหความปฏิบัตินั้นๆ ของเราทั้งหลาย, อิมัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ อันตะกิริยายะ สังวัตตะตุ. จงเป็ นไปเพื่อการทําที่สุดแหงกองทุกข ทั้งสิ้นนี้ เทอญ. ๑ สามเณรไมตองสวดคําที่ขีดเสนใต. คำทำวัตรเช้า สังเวควัตถุปริทีปกปาฐะ ๑๒
๑๓ ตังขณิกปั จจเวกขณปาฐะ พิจารณาขณะใชสอยจีวร ปะฏิสังขา โยนิโส จีวะรัง ปะฏิเสวามิ, เรายอมพิจารณาโดยแยบคายแลวนุงหมจีวร, ยาวะเทวะ สีตัสสะ ปะฏิฆาตายะ, เพียงเพื่อบําบัดความหนาว, อุณหัสสะ ปะฏิฆาตายะ, เพื่อบําบัดความรอน, ฑังสะมะกะสะวาตาตะปะสิริงสะปะสัมผัสสานัง ปะฏิฆาตายะ, เพื่อบําบัดสัมผัสอันเกิดจากเหลือบ ยุง ลม แดด, และสัตวเลื้ อยคลานทั้งหลาย, ยาวะเทวะ หิริโกปิ นะปะฏิจฉาทะนัตถัง. และเพียงเพื่อปกปิ ดอวัยวะอันใหเกิด ความละอาย. พิจารณาขณะบริโภคบิณฑบาต ปะฏิสังขา โยนิโส ปิ ณฑะปาตัง ปะฏิเสวามิ, เรายอมพิจารณาโดยแยบคายแลว บริโภคบิณฑบาต, เนวะ ทะวายะ นะ มะทายะ นะ มัณฑะนายะ นะ วิภูสะนายะ, ไมใชเป็ นไปเพื่อความเพลิดเพลิน สนุกสนาน, ไมใชเป็ นไปเพื่อความเมามัน, ไมใชเป็ นไปเพื่อประดับ, ไมใชเป็ นไปเพื่อตกแตง, ยาวะเทวะ อิมัสสะ กายัสสะ ฐิติยา ยาปะนายะ วิหิงสุปะระติยา พ๎รัห๎มะจะริยานุคคะหายะ, แตใหเป็ นไปเพียงเพื่อความตั้งอยูได แหงกายนี้, เพื่อความเป็ นไปไดของ อัตภาพ, เพื่อระงับความลําบากทางกาย, เพื่ออนุเคราะหแกการประพฤติพรหมจรรย, อิติ ปุราณัญจะ เวทะนัง ปะฏิหังขามิ นะวัญจะ เวทะนัง นะ อุปปาเทสสามิ, ดวยการทําอยางนี้, เรายอมระงับเสียได ซึ่งทุกขเวทนาเกา คือความหิว, และไมทําทุกขเวทนาใหมใหเกิดขึ้น, คำทำวัตรเช้า ๑๓
๑๔ ยาต๎รา จะ เม ภะวิสสะติ อะนะวัชชะตา จะ ผาสุวิหาโร จาติ. อนึ่ง ความเป็ นไปโดยสะดวก แหงอัตภาพนี้ดวย, ความเป็ นผูหาโทษมิไดดวย, และความเป็ นอยูโดยผาสุกดวย, จักมีแกเรา ดังนี้. พิจารณาขณะใชสอยเสนาสนะ ปะฏิสังขา โยนิโส เสนาสะนัง ปะฏิเสวามิ, เรายอมพิจารณาโดยแยบคายแลวใช สอยเสนาสนะ, ยาวะเทวะ สีตัสสะ ปะฏิฆาตายะ, เพียงเพื่อบําบัดความหนาว อุณหัสสะ ปะฏิฆาตายะ, เพื่อบําบัดความรอน, ฑังสะมะกะสะวาตาตะปะสิริงสะปะสัมผัสสานัง ปะฏิฆาตายะ, เพื่อบําบัดสัมผัสอันเกิดจากเหลือบ ยุง ลม แดด, และสัตวเลื้ อยคลานทั้งหลาย, ยาวะเทวะ อุตุปะริสสะยะวิโนทะนัง ปะฏิสัลลานารามัตถัง. เพียงเพื่อบรรเทาอันตรายอันจะพึงมี จากดินฟ าอากาศ, และเพื่อความเป็นผู ยินดีในที่หลีกเรนสําหรับภาวนา. พิจารณาขณะบริโภคคิลานเภสัช ปะฏิสังขา โยนิโส คิลานะปั จจะยะเภสัชชะปะริกขารัง ปะฏิเสวามิ, เรายอมพิจารณาโดยแยบคายแลว บริโภคเภสัชบริขารอันเกื้ อกูลแกคนไข, ยาวะเทวะ อุปปั นนานัง เวยยาพาธิกานัง เวทะนานัง ปะฏิฆาตายะ, เพียงเพื่อบําบัดทุกขเวทนา, อันบังเกิดขึ้นแลว มีอาพาธตางๆ เป็ นมูล, อัพ๎ยาปั ชฌะปะระมะตายาติ. เพื่อความเป็ นผูไมมีโรคเบียดเบียน เป็ นอยางยิ่ง, ดังนี้. คำทำวัตรเช้า ตังขณิกปัจจเวกขณปาฐะ ๑๔
๑๕ ธาตุปฏิกูลปั จจเวกขณปาฐะ ขอวาดวยจีวร ยะถาปั จจะยัง ปะวัตตะมานัง ธาตุมัตตะเมเวตัง, สิ่งเหลานี้เป็ นสักวาธาตุตามธรรมชาติ เทานั้น, กําลังเป็ นไปตามเหตุตามปั จจัย อยูเนืองนิจ, ยะทิทัง จีวะรัง, ตะทุปะภุญชะโก จะ ปุคคะโล สิ่งเหลานี้ คือจีวร, และคนผูใชสอยจีวรนั้น, ธาตุมัตตะโก เป็ นสักวาธาตุตามธรรมชาติ, นิสสัตโต มิไดเป็ นสัตวะอันยั่งยืน, นิชชีโว มิใชชีวะอันเป็ นบุรุษบุคคล, สุญโญ, วางเปลาจากความหมายแหงความเป็ นตัวตน, สัพพานิ ปะนะ อิมานิ จีวะรานิ อะชิคุจฉะนียานิ, ก็จีวรทั้งหมดนี้ ไมเป็ นของนาเกลียด มาแตเดิม, อิมัง ปูติกายัง ปั ต๎วา ครั้นมาถูกเขากับกายอันเนาอยูเป็ นนิจ นี้แลว, อะติวิยะ ชิคุจฉะนียานิ ชายันติ. ยอมกลายเป็ นของนาเกลียดอยางยิ่ง ไปดวยกัน. ขอวาดวยบิณฑบาต ยะถาปั จจะยัง ปะวัตตะมานัง ธาตุมัตตะเมเวตัง, สิ่งเหลานี้เป็ นสักวาธาตุตามธรรมชาติ เทานั้น, กําลังเป็ นไปตามเหตุตามปั จจัย อยูเนืองนิจ, ยะทิทัง ปิ ณฑะปาโต, ตะทุปะภุญชะโก จะ ปุคคะโล สิ่งเหลานี้คือ อาหารบิณฑบาต, และคนผูบริโภคอาหารบิณฑบาตนั้น, ธาตุมัตตะโก เป็ นสักวาธาตุตามธรรมชาติ, คำทำวัตรเช้า ๑๕
๑๖ นิสสัตโต มิไดเป็ นสัตวะอันยั่งยืน, นิชชีโว มิใชชีวะอันเป็ นบุรุษบุคคล, สุญโญ, วางเปลาจากความหมายแหงความเป็ นตัวตน, สัพโพ ปะนายัง ปิ ณฑะปาโต อะชิคุจฉะนีโย, ก็อาหารบิณฑบาตทั้งหมดนี้, ไมเป็ นของนาเกลียดมาแตเดิม อิมัง ปูติกายัง ปั ต๎วา ครั้นมาถูกเขากับกายอันเนาอยูเป็ นนิจ นี้แลว, อะติวิยะ ชิคุจฉะนีโย ชายะติ. ยอมกลายเป็ นของนาเกลียดอยางยิ่ง ไปดวยกัน. ขอวาดวยเสนาสนะ ยะถาปั จจะยัง ปะวัตตะมานัง ธาตุมัตตะเมเวตัง, สิ่งเหลานี้เป็ นสักวาธาตุตามธรรมชาติ เทานั้น, กําลังเป็ นไปตามเหตุตามปั จจัย อยูเนืองนิจ, ยะทิทัง เสนาสะนัง, ตะทุปะภุญชะโก จะ ปุคคะโล สิ่งเหลานี้ คือ เสนาสนะ, และคนผูใชสอยเสนาสนะนั้น, ธาตุมัตตะโก เป็ นสักวาธาตุตามธรรมชาติ. นิสสัตโต มิไดเป็ นสัตวะอันยั่งยืน. นิชชีโว มิใชชีวะอันเป็ นบุรุษบุคคล. สุญโญ, วางเปลาจากความหมายแหงความเป็ นตัวตน, สัพพานิ ปะนะ อิมานิเสนาสะนานิ อะชิคุจฉะนียานิ, ก็เสนาสนะทั้งหมดนี้, ไมเป็ นของนาเกลียดมาแตเดิม, อิมัง ปูติกายัง ปั ต๎วา ครั้นมาถูกเขากับกายอันเนาอยูเป็ นนิจ นี้แลว, อะติวิยะ ชิคุจฉะนียานิ ชายันติ. ยอมกลายเป็ นของนาเกลียดอยางยิ่ง ไปดวยกัน. คำทำวัตรเช้า ธาตุปฏิกูลปัจจเวกขณปาฐะ ๑๖
๑๗ ขอวาดวยคิลานเภสัช ยะถาปั จจะยัง ปะวัตตะมานัง ธาตุมัตตะเมเวตัง, สิ่งเหลานี้เป็ นสักวาธาตุตามธรรมชาติ เทานั้น, กําลังเป็ นไปตามเหตุตามปั จจัย อยูเนืองนิจ. ยะทิทัง คิลานะปั จจะยะเภสัชชะปะริกขาโร, ตะทุปะภุญชะโก จะ ปุคคะโล สิ่งเหลานี้ คือ เภสัชบริขารอันเกื้ อกูลแกคนไข, และคนผูบริโภคเภสัชบริขารนั้น, ธาตุมัตตะโก เป็ นสักวาธาตุตามธรรมชาติ, นิสสัตโต มิไดเป็ นสัตวะอันยั่งยืน, นิชชีโว มิใชชีวะอันเป็ นบุรุษบุคคล, สุญโญ, วางเปลาจากความหมายแหงความเป็ นตัวตน, สัพโพ ปะนายัง คิลานะปั จจะยะเภสัชชะปะริกขาโร อะชิคุจฉะนีโย, ก็คิลานเภสัชบริขารทั้งหมดนี้, ไมเป็ นของนาเกลียดมาแตเดิม, อิมัง ปูติกายัง ปั ต๎วา ครั้นมาถูกเขากับกายอันเนาอยูเป็ นนิจ นี้แลว, อะติวิยะ ชิคุจฉะนีโย ชายะติ. ยอมกลายเป็ นของนาเกลียดอยางยิ่ง ไปดวยกัน ดังนี้. คำทำวัตรเช้า ธาตุปฏิกูลปัจจเวกขณปาฐะ ๑๗
๑๘ พระพุทธภาษิต “เกาะที่นํ้าท่วมไม่ถึง” อุฏฐาเนนัปปะมาเทนะ สัญญะเมนะ ทะเมนะ จะ ทีปัง กะยิราถะ เมธาวี ยัง โอโฆ นาภิกีระติ. ผู้มีปัญญา ควรสร้างเกาะ คือที่พึ่ง ที่ห้วงนํ้าท่วมไม่ถึง ด้วยความหมั่น ด้วยความไม่ประมาท ด้วยความสํารวมระวัง และด้วยความฝึกตน. ขุ. ธ. ๒๕/๑๘ ๑๘
๑๙ บทสวดทายปาฏิโมกข ปุพพภาคนมการ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, ขอนอบนอมแดพระผูมีพระภาคเจา พระองคนั้น, อะระหะโต, ซึ่งเป็ นผูไกลจากกิเลส, สัมมาสัมพุทธัสสะ. ตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง. สัจจกิริยาคาถา นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง ที่พึ่งอื่นของขาพเจาไมมี, พุทโธ เม สะระณัง วะรัง, พระพุทธเจาเป็ นที่พึ่งอันประเสริฐ ของขาพเจา, เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ ดวยการกลาวคําสัตยนี้, โสตถิ เม โหตุ สัพพะทา. ขอความสวัสดีจงมีแกขาพเจาทุกเมื่อ, นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง ที่พึ่งอื่นของขาพเจาไมมี, ธัมโม เม สะระณัง วะรัง, พระธรรมเป็ นที่พึ่งอันประเสริฐของขาพเจา, เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ ดวยการกลาวคําสัตยนี้, โสตถิ เม โหตุ สัพพะทา. ขอความสวัสดีจงมีแกขาพเจาทุกเมื่อ. นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง ที่พึ่งอื่นของขาพเจาไมมี, สังโฆ เม สะระณัง วะรัง, พระสงฆเป็ นที่พึ่งอันประเสริฐของขาพเจา, เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ ดวยการกลาวคําสัตยนี้, โสตถิ เม โหตุ สัพพะทา. ขอความสวัสดีจงมีแกขาพเจาทุกเมื่อ. ๑๙
๒๐ สีลุทเทสปาฐะ ภาสิตะมิทัง เตนะ ภะคะวะตา ชานะตา ปั สสะตา อะระหะตา สัมมาสัมพุทเธนะ, พระผูมีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา ผูทรงรู ทรงเห็น ไดตรัสพระดํารัสนี้ไว แลววา, สัมปั นนะสีลา ภิกขะเว วิหะระถะ สัมปั นนะปาฏิโมกขา, ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเป็ นผูมีศีล สมบูรณ มีพระปาฏิโมกขสมบูรณอยู ปาฏิโมกขะสังวะระสังวุตา วิหะระถะ อาจาระโคจะระสัมปั นนา, สํารวมในพระปาฏิโมกข สมบูรณดวย อาจาระและโคจร แลวอยูเถิด, อะณุมัตเตสุ วัชเชสุ ภะยะทัสสาวี สะมาทายะ สิกขะถะ สิกขาปะเทสูติ, พวกเธอจงเห็นภัยในโทษเพียงเล็กนอย สมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลาย, ตัส๎มาติหัมเหหิ สิกขิตัพพัง, เพราะเหตุนั้น พวกเราพึงศึกษาอยางนี้วา สัมปั นนะสีลา วิหะริสสามะ สัมปั นนะปาฏิโมกขา, เราทั้งหลาย จักเป็ นผูมีศีลสมบูรณ มีพระปาฏิโมกขสมบูรณอยู, ปาฏิโมกขะสังวะระสังวุตา วิหะริสสามะ อาจาระโคจะระสัมปั นนา, จักเป็ นผูสํารวมในพระปาฏิโมกข สมบูรณดวยอาจาระและโคจรอยู (มรรยาท และสถานที่เที่ยวไป) อะณุมัตเตสุ วัชเชสุ ภะยะทัสสาวี สะมาทายะ สิกขิสสามะ สิกขาปะเทสูติ, จักเป็ นผูมีปกติเห็นภัยในโทษทั้งหลาย อันสักวาเล็กนอย แลวสมาทานศึกษาอยู ในสิกขาบททั้งหลาย, เอวัญหิ โน สิกขิตัพพัง. เราทั้งหลายพึงศึกษาอยางนี้แล. บทสวดท้ายปาฏิโมกข์ ๒๐
๒๑ ตายนคาถา4 ๑ ฉินทะ โสตัง ปะรักกัมมะ กาเม ปะนูทะ พ๎ราห๎มะณะ, ทานจงพยายามตัดตัณหา ดังกระแสนํ้าเสีย จงบรรเทากามทั้งหลายเสียเถิดนะพราหมณ นัปปะหายะ มุนิ กาเม มุนีละกามทั้งหลายไมไดแลว เนกัตตะมุปะปั ชชะติ. ยอมเขาถึงฌานยังไมได. กะยิรา เจ กะยิราเถนัง ถาบุคคลจะทํา ก็พึงทํากิจนั้นเถิด ทัฬหะเมนัง ปะรักกะเม, แตพึงพากเพียรทํากิจนั้นใหจริง สิถิโล หิ ปะริพพาโช เพราะวาการบวชที่ยังยอหยอนหละหลวม ภิยโย อากิระเต ระชัง. ยิ่งจะเกลี่ยโทษดุจดังธุลี อะกะตัง ทุกกะฏัง เสยโย ความชั่วไมทําเสียเลยดีกวา ปั จฉา ตัปปะติ ทุกกะฏัง, เพราะความชั่วยอมเผาผลาญในภายหลัง, กะตัญจะ สุกะตัง เสยโย ความดี ทํานั่นแหละ ดีกวา ยัง กัต๎วา นานุตัปปะติ. เพราะทําแลว ยอมไมเดือดรอนในภายหลัง. กุโส ยะถา ทุคคะหิโต หัตถะเมวานุกันตะติ, หญาคาอันบุคคลจับไมดีแลว ยอมบาดมือตนเอง ฉันใด, สามัญญัง ทุปปะรามัฏฐัง นิระยายูปะกัฑฒะติ. การบวชเป็ นสมณะ อันบรรพชิตลูบคลํา ชั่วแลว ยอมฉุดไปนรก ฉันนั้น. ยังกิญจิ สิถิลัง กัมมัง การงานอันใดอันหนึ่ง ที่ยอหยอนดวย สังกิลิฏฐัญจะ ยัง วะตัง, วัตรอันใดที่เศราหมองแลวดวย สังกัสสะรัง พ๎รัห๎มะจะริยัง พรหมจรรยใด ที่ตนระลึกถึงดวยความ รังเกียจดวย นะ ตัง โหติ มะหัปผะลันติ. กิจ ๓ อยางนั้น ไมมีผลมาก ดังนี้แล. ๑ สํ. ส. ๑๕/๒๓๙ มีจํานวน ๕ คาถา. บทสวดท้ายปาฏิโมกข์ ๒๑
๒๒ โอวาทปาฏิโมกขาทิปาฐะ5 ๑ อุททิฏฐัง โข เตนะ ภะคะวะตา ชานะตา ปั สสะตา อะระหะตา สัมมาสัมพุทเธนะ, โอวาทะปาฏิโมกขัง ตีหิ คาถาหิ, พระผูมีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา ผูทรงรู ทรงเห็น ทรงยกโอวาทปาฏิโมกข ขึ้นแสดงแลวแล ดวยพระคาถา ๓ บทวา ขันตี ปะระมัง ตะโป ตีติกขา, ความอดทน ความอดกลั้น เป็ นตบะอยางยิ่ง นิพพานัง ปะระมัง วะทันติ พุทธา, พระพุทธะทั้งหลาย ตรัสนิพพานวาเป็ น บรมธรรม นะ หิ ปั พพะชิโต ปะรูปะฆาตี, สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐะยันโต. ผูทํารายผูอื่น ผูเบียดเบียนผูอื่น ไมชื่อวาเป็ นบรรพชิต เป็ นสมณะเลย สัพพะปาปั สสะ อะกะระณัง การไมทําบาปทั้งปวง กุสะลัสสูปะสัมปะทา, การยังกุศลใหถึงพรอม สะจิตตะปะริโยทะปะนัง การทําจิตของตนใหผองใส เอตัง พุทธานะ สาสะนัง. นี้เป็ นคําสอนของพระพุทธเจาทั้งหลาย อะนูปะวาโท อะนูปะฆาโต การไมกลาวราย การไมทําราย ปาฏิโมกเข จะ สังวะโร, การสํารวมในพระปาฏิโมกข มัตตัญุตา จะ ภัตตัส๎มิง ความเป็ นผูรูจักประมาณในภัตตาหาร ปั นตัญจะ สะยะนาสะนัง, ที่นอนที่นั่งอันสงัด อะธิจิตเต จะ อาโยโค การประกอบความเพียรในอธิจิต เอตัง พุทธานะ สาสะนันติ. นี้เป็ นคําสอนของพระพุทธเจาทั้งหลาย อะเนกะปะริยาเยนะ โข ปะนะ เตนะ ภะคะวะตา ชานะตา ปั สสะตา อะระหะตา สัมมาสัมพุทเธนะ, โดยอเนกปริยายแล ที่พระผูมีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา ผูทรงรู ทรงเห็น สีลัง สัมมะทักขาตัง ตรัสศีลไวโดยชอบแลว ๑ พระราชนิพนธของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลาเจาอยูหัว. บทสวดท้ายปาฏิโมกข์ ๒๒
๒๓ สะมาธิ สัมมะทักขาโต ตรัสสมาธิไวโดยชอบแลว ปั ญญา สัมมะทักขาตา. ตรัสปั ญญาไวโดยชอบแลว กะถัญจะ สีลัง สัมมะทักขาตัง ภะคะวะตา. ก็พระผูมีพระภาคเจา ตรัสศีลไวโดยชอบแลว อยางไร? เหฏฐิเมนะปิ ปะริยาเยนะ, สีลัง สัมมะทักขาตัง ภะคะวะตา. พระผูมีพระภาคเจาตรัสศีลไวโดยชอบแลว โดยบรรยายเบื้ องตํ่าบาง อุปะริเมนะปิ ปะริยาเยนะ, สีลัง สัมมะทักขาตัง ภะคะวะตา. พระผูมีพระภาคเจาตรัสศีลไวโดยชอบแลว โดยบรรยายเบื้ องสูงบาง กะถัญจะ เหฏฐิเมนะ ปะริยาเยนะ, สีลัง สัมมะทักขาตัง ภะคะวะตา. พระผูมีพระภาคเจาตรัสศีลไวโดยชอบแลว โดยบรรยายเบื้ องตํ่า อยางไร? อิธะ อะริยะสาวะโก อริยสาวกในพระศาสนานี้ ปาณาติปาตา ปะฏิวิระโต โหติ, เวนขาดจากปาณาติบาต อะทินนาทานา ปะฏิวิระโต โหติ, เวนขาดจากอทินนาทาน กาเมสุ มิจฉาจารา ปะฏิวิระโต โหติ, เวนขาดจากกาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาทา ปะฏิวิระโต โหติ, เวนขาดจากมุสาวาท สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา ปะฏิวิระโต โหตีติ. เวนขาดจากการดื่มสุราเมรัย อันเป็ นที่ตั้งแหงความประมาท เอวัง โข เหฏฐิเมนะ ปะริยาเยนะ, สีลัง สัมมะทักขาตัง ภะคะวะตา. พระผูมีพระภาคเจาตรัสศีลไวโดยชอบแลว โดยบรรยายเบื้ องตํ่าอยางนี้แล กะถัญจะ อุปะริเมนะ ปะริยาเยนะ, สีลัง สัมมะทักขาตัง ภะคะวะตา. พระผูมีพระภาคเจาตรัสศีลไวโดยชอบแลว โดยบรรยายเบื้ องสูง อยางไร? อิธะ ภิกขุ สีละวา โหติ, ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีศีล ปาฏิโมกขะสังวะระสังวุโต วิหะระติ อาจาระโคจะระสัมปั นโน, เป็ นผูสํารวมในพระปาฏิโมกข สมบูรณดวยอาจาระและโคจร บทสวดท้ายปาฏิโมกข์ โอวาทปาฏิโมกขาทิปาฐะ ๒๓
๒๔ อะณุมัตเตสุ วัชเชสุ ภะยะทัสสาวี สะมาทายะ สิกขะติ สิกขาปะเทสูติ. เห็นภัยในโทษเล็กนอย สมาทานศึกษา ในสิกขาบททั้งหลาย เอวัง โข อุปะริเมนะ ปะริยาเยนะ, สีลัง สัมมะทักขาตัง ภะคะวะตา. พระผูมีพระภาคเจาตรัสศีลไวโดยชอบแลว โดยบรรยายเบื้ องสูงอยางนี้แล กะถัญจะ สะมาธิ สัมมะทักขาโต ภะคะวะตา. พระผูมีพระภาคเจาตรัสสมาธิไวโดยชอบ แลวอยางไร? เหฏฐิเมนะปิ ปะริยาเยนะ, สะมาธิ สัมมะทักขาโต ภะคะวะตา, พระผูมีพระภาคเจาตรัสสมาธิไวโดยชอบแลว โดยบรรยายเบื้ องตํ่าบาง อุปะริเมนะปิ ปะริยาเยนะ, สะมาธิ สัมมะทักขาโต ภะคะวะตา, พระผูมีพระภาคเจาตรัสสมาธิไวโดยชอบแลว โดยบรรยายเบื้ องสูงบาง กะถัญจะ เหฏฐิเมนะ ปะริยาเยนะ, สะมาธิ สัมมะทักขาโต ภะคะวะตา. พระผูมีพระภาคเจาตรัสสมาธิไวโดยชอบแลว โดยบรรยายเบื้ องตํ่า อยางไร? อิธะ อะริยะสาวะโก อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ โวสสัคคารัมมะณัง กะริต๎วา, ทําการสละอารมณไดแลว ละภะติ สะมาธิง ไดสมาธิ ละภะติ จิตตัสเสกัคคะตันติ. ไดความที่จิตเป็ นเอกัคคตา เอวัง โข เหฏฐิเมนะ ปะริยาเยนะ, สะมาธิ สัมมะทักขาโต ภะคะวะตา. พระผูมีพระภาคเจาตรัสสมาธิไวโดยชอบแลว โดยบรรยายเบื้ องตํ่า อยางนี้แล กะถัญจะ อุปะริเมนะ ปะริยาเยนะ, สะมาธิ สัมมะทักขาโต ภะคะวะตา. พระผูมีพระภาคเจาตรัสสมาธิไวโดยชอบแลว โดยบรรยายเบื้ องสูง อยางไร? อิธะ ภิกขุ วิวิจเจวะ กาเมหิ วิวิจจะ อะกุสะเลหิ ธัมเมหิ, ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแลว บทสวดท้ายปาฏิโมกข์ โอวาทปาฏิโมกขาทิปาฐะ ๒๔
๒๕ สะวิตักกัง สะวิจารัง วิเวกะชัมปี ติสุขัง ปะฐะมัง ฌานัง อุปะสัมปั ชชะ วิหะระติ. บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปี ติและสุข ที่เกิดแตวิเวกอยู วิตักกะวิจารานัง วูปะสะมา, เพราะสงบวิตกวิจารไวได อัชฌัตตัง สัมปะสาทะนัง เจตะโส เอโกทิภาวัง อะวิตักกัง อะวิจารัง, สะมาธิชัมปี ติสุขัง ทุติยัง ฌานัง อุปะสัมปั ชชะ วิหะระติ. เธอบรรลุทุติยฌาน มีความผองใสแหงใจ เป็ นไปในภายใน เป็ นธรรมอันเกิดผุดขึ้น ไมมีวิตกวิจาร มีปี ติและสุข อันเกิดแตสมาธิอยู ปีติยา จะ วิราคา, เพราะปี ติหมดไป อุเปกขะโก จะ วิหะระติ สะโต จะ สัมปะชาโน, เธอเป็ นผูวางเฉย มีสติสัมปชัญญะอยู สุขัญจะ กาเยนะ ปะฏิสังเวเทติ, เสวยสุขดวยนามกาย ยันตัง อะริยา อาจิกขันติ อุเปกขะโก สะติมา สุขะวิหารีติ, ตะติยัง ฌานัง อุปะสัมปั ชชะ วิหะระติ. บรรลุตติยฌาน ซึ่งพระอริยบุคคลทั้งหลาย กลาววา เป็ นผูวางเฉย มีสติ มีปกติอยูดวยสุขวิหารธรรม สุขัสสะ จะ ปะหานา ทุกขัสสะ จะ ปะหานา, เพราะละสุข และทุกขเสียได ปุพเพ วะ โสมะนัสสะโทมะนัสสานัง อัตถังคะมา, เพราะดับโสมนัส และโทมนัส แตแรกเสียได อะทุกขะมะสุขัง อุเปกขาสะติปาริสุทธิง, จะตุตถัง ฌานัง อุปะสัมปั ชชะ วิหะระตีติ. เธอบรรลุจตุตถฌาน อันไมมีทุกขไมมีสุข มีความบริสุทธิแหงสติเพราะอุเบกขาอยู์ เอวัง โข อุปะริเมนะ ปะริยาเยนะ, สะมาธิ สัมมะทักขาโต ภะคะวะตา. พระผูมีพระภาคเจาตรัสสมาธิไวโดยชอบแลว โดยบรรยายเบื้ องสูงอยางนี้แล บทสวดท้ายปาฏิโมกข์ โอวาทปาฏิโมกขาทิปาฐะ ๒๕
๒๖ กะถัญจะ ปั ญญา สัมมะทักขาตา ภะคะวะตา. พระผูมีพระภาคเจาตรัสปั ญญาไวโดย ชอบแลว อยางไร? เหฏฐิเมนะปิ ปะริยาเยนะ, ปั ญญา สัมมะทักขาตา ภะคะวะตา. พระผูมีพระภาคเจาตรัสปั ญญาไวโดย ชอบแลว โดยบรรยายเบื้ องตํ่าบาง อุปะริเมนะปิ ปะริยาเยนะ, ปั ญญา สัมมะทักขาตา ภะคะวะตา. พระผูมีพระภาคเจาตรัสปั ญญาไวโดย ชอบแลว โดยบรรยายเบื้ องสูงบาง กะถัญจะ เหฏฐิเมนะ ปะริยาเยนะ, ปั ญญา สัมมะทักขาตา ภะคะวะตา. พระผูมีพระภาคเจาตรัสปั ญญาไวโดย ชอบแลว โดยบรรยายเบื้ องตํ่า อยางไร? อิธะ อะริยะสาวะโก ปั ญญะวา โหติ, อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็ นผูมีปั ญญา อุทะยัตถะคามินิยา ปั ญญายะ สะมันนาคะโต, เพียบพรอมดวยปั ญญา เครื่องดับกิเลส อะริยายะ นิพเพธิกายะ สัมมา ทุกขักขะยะคามินิยาติ. ปั ญญาเครื่องแทงกิเลสชั้นยอด อันเป็ น เครื่องใหถึงความสิ้นทุกขไดโดยชอบ เอวัง โข เหฏฐิเมนะ ปะริยาเยนะ, ปั ญญา สัมมะทักขาตา ภะคะวะตา. พระผูมีพระภาคเจาตรัสปั ญญาไวโดย ชอบแลว โดยบรรยายเบื้ องตํ่าอยางนี้แล กะถัญจะ อุปะริเมนะ ปะริยาเยนะ, ปั ญญา สัมมะทักขาตา ภะคะวะตา. พระผูมีพระภาคเจาตรัสปั ญญาไวโดย ชอบแลว โดยบรรยายเบื้ องสูง อยางไร? อิธะ ภิกขุ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อิทัง ทุกขันติ ยะถาภูตัง ปะชานาติ, รูชัดตามความเป็ นจริงวา นี้ทุกข อะยัง ทุกขะสะมุทะโยติ ยะถาภูตัง ปะชานาติ, รูชัดตามความเป็ นจริงวา นี้เหตุเกิดทุกข อะยัง ทุกขะนิโรโธติ ยะถาภูตัง ปะชานาติ, รูชัดตามความเป็ นจริงวา นี้ความดับทุกข บทสวดท้ายปาฏิโมกข์ โอวาทปาฏิโมกขาทิปาฐะ ๒๖
๒๗ อะยัง ทุกขะนิโรธะคามินีปะฏิปะทาติ ยะถาภูตัง ปะชานาตีติ. รูชัดตามความเป็ นจริงวา นี้ขอปฏิบัติใหถึงความดับทุกข เอวัง โข อุปะริเมนะ ปะริยาเยนะ, ปั ญญา สัมมะทักขาตา ภะคะวะตา. พระผูมีพระภาคเจาตรัสปั ญญาไวโดย ชอบแลว โดยบรรยายเบื้ องสูงอยางนี้แล สีละปะริภาวิโต สะมาธิ มะหัปผะโล โหติ มะหานิสังโส. สมาธิที่ศีลอบรมแลว เป็ นสิ่งมีผลานิสงสยิ่งใหญ สะมาธิ ปะริภาวิตา ปั ญญา มะหัปผะลา โหติ มะหานิสังสา. ปั ญญาที่สมาธิอบรมแลว เป็ นสิ่งที่มีผลานิสงสยิ่งใหญ ปั ญญาปะริภาวิตัง จิตตัง สัมมะเทวะ อาสะเวหิ วิมุจจะติ. จิตที่ปั ญญาอบรมแลว ยอมพนโดยชอบจากอาสวะทั้งหมด เสยยะถีทัง, ไดแก กามาสะวา ภะวาสะวา อะวิชชาสะวา. อาสวะเกิดจากกาม อาสวะเกิดจากภพ อาสวะเกิดจากอวิชชา ภาสิตา โข ปะนะ ภะคะวะตา ปะรินิพพานะสะมะเย อะยัง ปั จฉิมะวาจา, ก็แล ในสมัยใกลดับขันธปรินิพพาน พระผูมีพระภาคเจาไดตรัสพระวาจา เป็ นครั้งสุดทายวา หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว, ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนเธอทั้งหลาย วะยะธัมมา สังขารา, สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเป็ นธรรมดา อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถาติ. ขอเธอทั้งหลาย จงยังประโยชนตนและทาน ใหถึงพรอมดวยความไมประมาทเถิด ภาสิตัญจิทัง ภะคะวะตา, พระผูมีพระภาคเจา ไดตรัสพระดํารัสนี้แลววา เสยยะถาปิ ภิกขะเว ยานิ กานิจิ ชังคะลานัง ปาณานัง ปะทะชาตานิ, ภิกษุทั้งหลาย เหมือนอยางรอยเทาของ สัตวทั้งหลาย ที่คืบคลานไปบนแผนดิน ทุกจําพวก บทสวดท้ายปาฏิโมกข์ โอวาทปาฏิโมกขาทิปาฐะ ๒๗
๒๘ สัพพานิ ตานิ หัตถิปะเท สะโมธานัง คัจฉันติ, รอยเทาทั้งปวงนั้น ยอมถึงการรวมลงที่รอยเทาชาง หัตถิปะทัง เตสัง อัคคะมักขายะติ, บัณฑิตกลาวรอยเทาชางวา เป็ นยอดแหงรอยเทาเหลานั้น ยะทิทัง มะหันตัตเตนะ. เพราะความที่มีขนาดใหญ เอวะเมวะ โข ภิกขะเว เย เกจิ กุสะลา ธัมมา, ภิกษุทั้งหลาย อยางนั้นนั่นแล กุศลธรรมทั้งหลายเหลาใดเหลาหนึ่ง สัพเพ เต อัปปะมาทะมูละกา อัปปะมาทะสะโมสะระณา, เหลานั้นทั้งหมด มีความไมประมาทเป็ น เคามูล รวมลงที่ความไมประมาท อัปปะมาโท เตสัง อัคคะมักขายะตีติ. บัณฑิตกลาวความไมประมาทวา เป็ นยอดแหงกุศลธรรมเหลานั้น ตัส๎มาติหัมเหหิ สิกขิตัพพัง, เพราะเหตุนั้น เราทั้งหลาย พึงศึกษาสําเหนียกวา ติพพาเปกขา ภะวิสสามะ, จักเป็ นผูมีความมุงหวังอยางแรงกลา อะธิสีละสิกขาสะมาทาเน, ในการสมาทานศึกษา อธิศีล อะธิจิตตะสิกขาสะมาทาเน, ในการสมาทานศึกษา อธิจิต อะธิปั ญญาสิกขาสะมาทาเน, ในการสมาทานศึกษา อธิปั ญญา อัปปะมาเทนะ สัมปาเทสสามาติ. เราทั้งหลายจักยังชีวิตใหถึงพรอม ดวยความไมประมาท เอวัญหิ โน สิกขิตัพพัง. เราทั้งหลายพึงศึกษาสําเหนียก อยางนี้แล. บทสวดท้ายปาฏิโมกข์ โอวาทปาฏิโมกขาทิปาฐะ ๒๘
๒๙ เมตตานิสังสคาถาปาฐะ6 ๑ พะหุตัพภักโข ภะวะติ วิปปะวุตโถ สะกัง ฆะรา, พะหู นัง อุปะชีวันติ โย มิตตานัง นะ ทุพภะติ. ผูใด ไมประทุษรายมิตร ออกจากเรือนของตน ไปในที่ไหนๆ ยอมมีอาหารมากมาย คนเป็ นอันมาก ยอมอาศัยผูนั้นเป็ นอยู. ยัง ยัง ชะนะปะทัง ยาติ นิคะเม ราชะธานิโย, สัพพัตถะ ปูชิโต โหติ โย มิตตานัง นะ ทุพภะติ. ผูใด ไมประทุษรายมิตร ผูนั้น ไปยังชนบท นิคม ราชธานีใดๆ ยอมเป็ นผูอันชนทั้งหลาย ในชนบท นิคม ราชธานีนั้นๆ บูชา. นาสสะ โจรา ปะสะหันติ นาติมัญเญติ ขัตติโย, สัพเพ อะมิตเต ตะระติ โย มิตตานัง นะ ทุพภะติ. ผูใด ไมประทุษรายมิตร ผูนั้น โจรทั้งหลายไมขมเหง พระมหากษัตริย ก็ไมทรงดูหมิ่น และผูนั้น ยอมขามพนศัตรูทั้งปวงได. อะกุทโธ สะฆะรัง เอติ สะภายะ ปะฏินันทิโต, ญาตีนัง อุตตะโม โหติ โย มิตตานัง นะ ทุพภะติ. ผูใด ไมประทุษรายมิตร ผูนั้น ไมไดโกรธเคืองใครๆ มายังเรือน ของตน ยอมเป็ นผูอันมหาชนยินดี ตอนรับในสภา ทั้งเป็ นผูสูงสุดในหมูญาติ. สักกัต๎วา สักกะโต โหติ คะรุ โหติ สะคาระโว, วัณณะกิตติภะโต โหติ โย มิตตานัง นะ ทุพภะติ. ผูใด ไมประทุษรายมิตร สักการะคนอื่นแลว ยอมไดรับการ สักการะตอบ เคารพคนอื่นแลว ยอม ไดรับการเคารพตอบ ทั้งเป็ นผูไดรับการ กลาวสรรเสริญเกียรติคุณ. ๑ ขุ. ชา. มหา. ๒๘/๔๐๑ (เตมิยชาดก) มีจํานวน ๑๐ คาถา. บทสวดท้ายปาฏิโมกข์ ๒๙
๓๐ ปูชะโก ละภะเต ปูชัง วันทะโก ปะฏิวันทะนัง, ยะโสกิตติญจะ ปั ปโปติ โย มิตตานัง นะ ทุพภะติ. ผูใด ไมประทุษรายมิตร บูชาผูอื่น ยอมไดรับการบูชาตอบ ไหวผูอื่น ยอมไดรับการไหวตอบ ทั้งเป็ นผูถึงอิสสริยยศและเกียรติยศ. อัคคิ ยะถา ปั ชชะละติ เทวะตา วะ วิโรจะติ สิริยา อัชชะหิโต โหติ โย มิตตานัง นะ ทุพภะติ. ผูใด ไมประทุษรายมิตร ผูนั้น ยอมรุงเรืองเหมือนกองไฟ ยอมไพโรจนเหมือนเทวดา เป็ นผูอันสิริ ไมละไปแลว. คาโว ตัสสะ ปะชายันติ เขตเต วุตตัง วิรูหะติ วุตตานัง ผะละมัส๎นาติ โย มิตตานัง นะ ทุพภะติ. ผูใด ไมประทุษรายมิตร โค ของผูนั้นยอมเกิดมากมูล พืชในนา ยอมงอกงาม ผูนั้น ยอมไดบริโภคผลที่หวานลงแลว. ทะริโต ปั พพะตาโต วา รุกขะโต ปะติโต นะโร จุโต ปะติฏฐัง ละภะติ โย มิตตานัง นะ ทุพภะติ. นรชนใด ไมประทุษรายมิตร นรชนนั้น พลาดพลั้งตกจากเหว ตกจากภูเขา ตกจากตนไม ยอมไดที่พึ่งอาศัย ไมเป็ นอันตราย. วิรุฬหะมูละสันตานัง นิโค๎รธะมิวะ มาลุโต อะมิตตา นัปปะสะหันติ โย มิตตานัง นะ ทุพภะตีติ. ผูใด ไมประทุษรายมิตร ศัตรูทั้งหลายยอมไมขมขี่ผูนั้น เหมือนตนไทรที่มีรากและยานไทรหยั่ง ลงมั่นแลว ลม ประทุษรายไมไดดังนี้แล. บทสวดท้ายปาฏิโมกข์ เมตตานิสังสคาถาปาฐะ ๓๐
๓๑ ติรตนปณามคาถา7 ๑ พุทธัง นะเม ระตะนะภูตะสะรีระจิตตัง, ขอนอบนอมพระพุทธเจา ผูมีพระกายและจิตเป็ นรัตนะ ธัมมัง นะเม ระตะนะภูตะวิสุทธิสารัง, ขอนอบนอมพระธรรม อันมีสาระคือความหมดจดวิเศษเป็ นรัตนะ สังฆัง นะเม ระตะนะภูตะสุสีละทิฏฐิง, ขอนอบนอมพระสงฆ ผูมีศีลและทิฏฐิงามเป็ นรัตนะ เอตัง นะเม ติระตะนัง ระตะนัตตะยะว๎หัง, ขอนอบนอม ๓ รัตนะนี้ อันชื่อวา พระรัตนตรัย สัมมา สะโมสะริตะวัตถุวิเสสะภูตัง, เป็ นวัตถุวิเศษสโมสรกันเป็ นอันดี อัญโญญญะยุตตะคุณะโยคะวะสัปปะวัตตัง, ที่เป็ นไปดวยสามารถประกอบดวยคุณ ที่สมควรสวนละอยาง อัส๎มิง ตะยัมหิปิ ตะเถวะ ยะถา ติทัณเฑ, พระรัตนตรัยแมนี้ เป็ นเหมือนไม ๓ อัน ไขวขัดกันอยู เอกัง วินา ตะทิตะเรสะมะสัมภะเวนะ, นําออกอันเดียว ที่เหลือนั้นก็ตั้งตรงอยูไมได โลเก กะทาจิจะ จิเรนะ จะ ปาตุภูตัง, นานนักจะมีปรากฏในโลกสักคราว คัมภีระญาณะวิสะยัง อะติทุททะสัตถัง, มีอรรถที่เห็นไดยากยิ่ง แตเป็ นวิสัยของ นักปราชญ ผูมีญาณลึกซึ้ง วิญูหิ ปั ณฑิตะชะเนหิ วิชัญญะรูปั ง, เป็ นสิ่งที่บัณฑิตชนผูรูวิเศษจะพึงรูแจมแจง โลกัมหิ เกหิจิ กะถัญจุปะลัพภะนียัง, ชาวโลกบางเหลา จะพึงไดพบกระไรได เกสัญจิสุฏุ วิทิตัง คุณะกายะตายะ, บางพวกที่เป็ นคนฉลาดก็ทราบชัด โดยที่มีพระคุณเป็ นกายกอง ๑ พระราชนิพนธ ของรัชกาลที่ ๔ นิพนธเป็ นวสันตดิลกฉันท ๑๔ มีจํานวน ๘ คาถา. บทสวดท้ายปาฏิโมกข์ ๓๑
๓๒ นาเมหิเยวะ ชะนะตายะ สุวิสสุตัมปิ, แมปรากฏชัดแกหมูชน ก็แตโดยพระนาม สัมปั สสะตัง มะนะสิ สุทธะปะสาทะฐานัง, เป็ นที่ตั้งแหงความเลื่อมใสอันหมดจด ในใจของสาธุชนผูเห็นถูก ปุญญัตถิกานะมะสะมุตตะมะปุญญะภูมิง, เป็ นภูมิภาคแหงบุญสูงสุด ไมมีที่เปรียบ ของผูมีความตองการบุญ ทุกขา ปะมุจจะนะมุขัง สะระณัง คะตานัง, เป็ นทางแหงความพนทุกข ของสาธุชนผูถึงสรณะ ปูชาระเหสุ ปะระมัง อะภิปูชะเนยยัง, เป็ นสิ่งที่ควรบูชาอยางยิ่งชั้นเยี่ยม ในหมูปูชารหสถานทั้งหลาย นิพพานะสัจฉิกิริยายุปะนิสสะยัตถัง, เป็ นประโยชนจําตองอาศัย เพื่อทําพระนิพพานใหแจง สัมมา กิเลสะมะละโสธะนะสิทธิยา จะ, และเพื่อชําระมลทินกิเลสใหหมดจด สําเร็จโดยชอบ สาธูหิ อัตถะกุสะเลหุปะเสวะนียัง, อันสาธุชนผูฉลาดในอรรถพึงสองเสพ ปาเณหิจาปิสะระณัง คะมะนียะเมวะ, ทั้งเป็ นของที่เหลาสิ่งมีชีวิต พึงถึงวาเป็ นสรณะอยางแทจริง ตัส๎มา หิ ตัง ติระตะนัง สะระณัง คะตัมหะ, เพราะเหตุนั้นแล เราทั้งหลาย ถึงพระรัตนตรัยเป็ นสรณะ รัตตินทิวัง ขะณะขะเณสุ นะมัสสะมานา, นอบนอมอยูทุกขณะ ทั้งกลางคืนและกลางวัน ปูเชมะ จาปิ สะสะตัง สุปะสันนะจิตตา, ทั้งเป็ นผูมีจิตเลื่อมใสเป็ นอันดีแลว บูชาอยูเสมอ ตัตถานุปาริจะริยายะ สะทา ระตา จะ, ยินดีในการบําเรอพระรัตนตรัยนั้น ตลอดกาลทุกเมื่อ บทสวดท้ายปาฏิโมกข์ ติรตนปณามคาถา ๓๒
๓๓ ปุญเญนะ ตัตถะ สุกะเตนะ สุขี ภะเวมุ, ดวยบุญที่สรางดีแลวในพระรัตนตรัยนั้น ขอเราจงเป็ นผูมีสุข เตเชนะ ตัสสะ จะ สะทาปิ สุวัตถิ โหตุ, และดวยเดชแหงพระรัตนตรัยนั้น ขอความสวัสดีจงมีทุกเมื่อ โย เจธะ ธัมมะวินะยัมหิ ปะมาณะภูโต, โลกุตตะราภิสะมะโย นิยะโต สุโพชฌัง, ก็แล การตรัสรูธรรมเหนือโลกอันใด เป็ นความตรัสรูชอบยืนยง เป็ นสิ่งที่ประสงคในธรรมวินัยนี้ ตัสโสปะนิสสะยะจะยายะ อะยัมปิ โหตุ, วัตถุตตะเย ปะริจิโต สุปะสาทะกาโร. ความเลื่อมใสเป็ นอันดีแมนี้ ที่เราไดสรางสมไวใน ๓ วัตถุ จงเป็ นไปเพื่อกอสรางอุปนิสัย แหงการตรัสรูธรรมนั้น เทอญ. พ๎รัห๎มวิหารผรณะ อะหัง สุขิโต โหมิ, ขอใหขาพเจาจงมีความสุข นิททุกโข โหมิ, จงเป็ นผูปราศจากทุกข อะเวโร โหมิ, จงเป็ นผูปราศจากเวร อัพ๎ยาปั ชโฌ โหมิ, จงเป็ นผูไมพยาบาทเบียดเบียนซึ่งกัน และกัน อะนีโฆ โหมิ, จงเป็ นผูไมมีทุกขกายทุกขใจ สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ. จงรักษาตนอยูเป็ นสุขเถิด สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ, ขอสัตวทั้งหลายทั้งปวง, จงเป็ นผูถึงความสุขเถิด สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ, ขอสัตวทั้งหลายทั้งปวง, จงเป็ นผูไมมีเวรกันเถิด สัพเพ สัตตา อัพ๎ยาปั ชฌา โหนตุ, ขอสัตวทั้งหลายทั้งปวง, จงอยาได พยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกันเถิด บทสวดท้ายปาฏิโมกข์ ติรตนปณามคาถา ๓๓
๓๔ สัพเพ สัตตา อะนีฆา โหนตุ, ขอสัตวทั้งหลายทั้งปวง, จงเป็ นผูไมมีทุกขกายทุกขใจเถิด สัพเพ สัตตา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ, ขอสัตวทั้งหลายทั้งปวง, จงรักษาตนอยูเป็ นสุขเถิด สัพเพ สัตตา สัพพะทุกขา ปะมุจจันตุ, ขอสัตวทั้งหลายทั้งปวง, จงพนจากทุกขทั้งมวลเถิด สัพเพ สัตตา ลัทธะสัมปั ตติโต มา วิคัจฉันตุ, ขอสัตวทั้งหลายทั้งปวง,จงอยาไดพราก จากสมบัติอันตนไดแลวเถิด สัพเพ สัตตา กัมมัสสะกา กัมมะทายาทา กัมมะโยนี กัมมะพันธู กัมมะปะฏิสะระณา, สัตวทั้งหลายทั้งปวง, มีกรรมเป็ นของของตน, มีกรรมเป็ นผูใหผล, มีกรรมเป็ นแดนเกิด, มีกรรมเป็ นผูติดตาม, มีกรรมเป็ นที่พึ่งอาศัย ยัง กัมมัง กะริสสันติ กัล๎ยาณัง วา ปาปะกัง วา ตัสสะ ทายาทา ภะวิสสันติ. จักทํากรรมอันใดไว เป็ นบุญหรือเป็ นบาป, จักตองเป็ นทายาท, คือวา จักตองไดรับ ผลของกรรมนั้นสืบไป. คําแผเมตตาอุทิศสวนกุศล สัพเพ สัตตา สะทา โหนตุ อะเวรา สุขะชีวิโน, ขอใหสัตวทั้งหลาย อยาไดมีเวรแกกันและกันเลย, จงเป็ นผูดํารงชีพอยูเป็ นสุขทุกเมื่อเถิด กะตัง ปุญญัง ผะลัง มัยหัง สัพเพ ภาคี ภะวันตุ เต. ขอใหสัตวทั้งหลาย จงไดเสวยผลบุญ, ที่ขาพเจาไดบําเพ็ญดวย กาย วาจา ใจ แลวนั้น เทอญ. บทสวดท้ายปาฏิโมกข์ พ๎รัห๎มวิหารผรณะ ๓๔
๓๕ คําทําวัตรเย็น8 ๑ คําบูชาพระรัตนตรัย อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา, พระผูมีพระภาคเจาเป็ นพระอรหันต, ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกขสิ้นเชิง, ตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง. พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ. ขาพเจาอภิวาทพระผูมีพระภาคเจา, ผูรู ผูตื่น ผูเบิกบาน. (กราบ) ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, พระธรรมเป็ นธรรมที่พระผูมีพระภาคเจา, ตรัสไวดีแลว ธัมมัง นะมัสสามิ. ขาพเจานมัสการพระธรรม. (กราบ) สุปะฏิปั นโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, พระสงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา, ปฏิบัติดีแลว. สังฆัง นะมามิ. ขาพเจานอบนอมพระสงฆ. (กราบ) ๑ พระราชนิพนธ ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกลาเจาอยูหัว. ๓๕
๓๖ ปุพพภาคนมการะ (นํา) หันทะทานิ มะยันตัง ภะคะวันตัง วาจายะ อะภิคายิตุง ปุพพะภาคะนะมะการัญเจวะ พุทธานุสสะตินะยัญจะ กะโรมะ เส. (เชิญเถิด บัดนี้เราทั้งหลาย, จงกระทําความนอบนอม อันเป็ นสวนเบื้ องตน เพื่อจะกลาวสรรเสริญ และทําความตามระลึกถึงซึ่งพระผูมีพระภาคเจานั้น ดวยวาจาเถิด) นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, ขอนอบนอมแดพระผูมีพระภาคเจา พระองคนั้น, อะระหะโต, ซึ่งเป็ นผูไกลจากกิเลส, สัมมาสัมพุทธัสสะ. ตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง. พุทธานุสสติ ตัง โข ปะนะ ภะคะวันตัง เอวัง กัล๎ยาโณ กิตติสัทโท อัพภุคคะโต, ก็กิตติศัพทอันงามของพระผูมีพระภาค เจานั้น, ไดฟ ุงไปแลวอยางนี้วา อิติปิ โส ภะคะวา เพราะเหตุอยางนี้ๆ, พระผูมีพระภาคเจานั้น อะระหัง เป็ นผูไกลจากกิเลส สัมมาสัมพุทโธ, เป็ นผูตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง วิชชาจะระณะสัมปั นโน เป็ นผูถึงพรอมดวยวิชชาและจรณะ สุคะโต เป็ นผูไปแลวดวยดี โลกะวิทู, เป็ นผูรูโลกอยางแจมแจง อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ เป็ นผูสามารถฝึ กบุรุษที่สมควรฝึ กได อยางไมมีใครยิ่งกวา สัตถา เทวะมะนุสสานัง เป็ นครูผูสอนของเทวดาและมนุษยทั้งหลาย พุทโธ เป็ นผูรู ผูตื่น ผูเบิกบานดวยธรรม ภะคะวาติ. เป็ นผูมีความจําเริญ จําแนกธรรมสั่งสอนสัตว, ดังนี้. คำทำวัตรเย็น ๓๖
๓๗ พุทธาภิคีติ (นํา) หันทะ มะยัง พุทธาภิคีติง กะโรมะ เส. (เชิญเถิด เราทั้งหลาย, จงทําการกลาวคาถาพรรณนาเฉพาะพระพุทธเจาเถิด) พุทธ๎วาระหันตะวะระตาทิคุณาภิยุตโต, พระพุทธเจาประกอบดวยคุณ, มีความประเสริฐแหงอรหันตคุณ เป็นตน สุทธาภิญาณะกะรุณาหิ สะมาคะตัตโต, มีพระองคอันประกอบดวยพระญาณ, และพระกรุณาอันบริสุทธิ์ โพเธสิ โย สุชะนะตัง กะมะลังวะ สูโร, พระองคใดทรงกระทําชนที่ดีใหเบิกบาน, ดุจอาทิตยทําบัวใหบาน วันทามะหัง ตะมะระณัง สิระสา ชิเนนทัง, ขาพเจาไหวพระชินสีห, ผูไมมีกิเลสพระองคนั้น, ดวยเศียรเกลา พุทโธ โย สัพพะปาณีนัง สะระณัง เขมะมุตตะมัง, พระพุทธเจาพระองคใด, เป็ นสรณะอันเกษมสูงสุดของสัตวทั้งหลาย ปะฐะมานุสสะติฏฐานัง วันทามิ ตัง สิเรนะหัง, ขาพเจาไหวพระพุทธเจาพระองคนั้น, อันเป็ นที่ตั้งแหงความระลึกองคที่หนึ่ง ดวยเศียรเกลา พุทธัสสาหัส๎มิ ทาโส0 ๑ (ทาสี) วะ พุทโธ เม สามิกิสสะโร, ขาพเจาเป็ นทาสของพระพุทธเจา, พระพุทธเจาเป็ นนายมีอิสระเหนือขาพเจา พุทโธ ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตา จะ หิตัสสะ เม, พระพุทธเจาเป็ นเครื่องกําจัดทุกข, และทรงไวซึ่งประโยชนแกขาพเจา ๑ สตรีใหสวดคําในวงเล็บแทนคําที่ขีดเสนใต. คำทำวัตรเย็น ๓๗
๓๘ พุทธัสสาหัง นิยยาเทมิ สะรีรัญชีวิตัญจิทัง, ขาพเจามอบกายถวายชีวิตนี้, แดพระพุทธเจา วันทันโตหัง10 ๑ (ตีหัง) จะริสสามิ พุทธัสเสวะ สุโพธิตัง, ขาพเจาผูไหวอยูจักประพฤติตาม, ซึ่งความตรัสรูดีของพระพุทธเจา นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง พุทโธ เม สะระณัง วะรัง, ที่พึ่งอื่นของขาพเจาไมมี, พระพุทธเจา เป็ นที่พึ่งอันประเสริฐของขาพเจา เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ วัฑเฒยยัง สัตถุ สาสะเน, ดวยการกลาวคําสัตยนี้, ขาพเจาพึง เจริญในพระศาสนาของพระศาสดา พุทธัง เม วันทะมาเนนะ๑ (นายะ) ยัง ปุญญัง ปะสุตัง อิธะ, ขาพเจาผูไหวอยูซึ่งพระพุทธเจา, ไดขวนขวายบุญใดในบัดนี้ สัพเพปิ อันตะรายา เม มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา. อันตรายทั้งปวง, อยาไดมีแกขาพเจา, ดวยเดชแหงบุญนั้น (พึงหมอบกราบลงวา) กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา, ดวยกายก็ดี ดวยวาจาก็ดี ดวยใจก็ดี พุทเธ กุกัมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง กรรมนาติเตียนอันใด, ที่ขาพเจากระทําแลวในพระพุทธเจา พุทโธ ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง, ขอพระพุทธเจาจงงดซึ่งโทษลวงเกินอันนั้น กาลันตะเร สังวะริตุง วะ พุทเธ. เพื่อการสํารวมระวังในพระพุทธเจา ในกาลตอไป ๑ สตรีใหสวดคําในวงเล็บแทนคําที่ขีดเสนใต. คำทำวัตรเย็น พุทธาภิคีติ ๓๘