The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wonchai890, 2023-06-29 23:09:14

A4 สวดมนต์แปล

A4 สวดมนต์แปล

๑๓๙ ตัต๎ระ ภิกขะโว สะมาทะหังสุ, หมูภิกษุในที่ประชุมนั้นมั่นคงแลว จิตตัง อัตตะโน อุชุกะมะกังสุ. ไดทําจิตของตนใหตรงแลว สาระถีวะ เนตตานิ คะเหต๎วา, เหมือนสารถียืนถือเชือกทั้งหลายพรอมแลว อินท๎ริยานิ รักขันติ ปั ณฑิตาติ. ทานเป็ นบัณฑิต รักษาอินทรียทั้งหลาย ดังนี้ อะถะโข อะปะรา เทวะตา ภะคะวะโต สันติเก อิมัง คาถัง อะภาสิ. ทีนั้นแล เทวดาอีกองคหนึ่ง ไดภาษิตคาถานี้ ในสํานักของพระผูมีพระภาคเจาวา เฉต๎วา ขีลัง เฉต๎วา ปะลีฆัง, ภิกษุทั้งหลายเหลานั้น ตัดกิเลสดุจตะปู แลว ตัดกิเลสดุจลิ่มสลักแลว อินทะขีลัง โอหัจจะมะเนชา, ถอนกิเลสดุจเสาเขื่อนแลว เป็ นผูไมหวั่นไหว เต จะรันติ สุทธา วิมะลา, ทานเป็ นผูหมดจด ไมมีมลทิน เที่ยวไป จักขุมะตา สุทันตา สุสู นาคาติ. เป็ นพระนาคหนุม มีดวงตา ฝึ กฝนทรมานดีแลว ดังนี้ อะถะโข อะปะรา เทวะตา ภะคะวะโต สันติเก อิมัง คาถัง อะภาสิ. ทีนั้นแล เทวดาอีกองคหนึ่ง ไดภาษิตคาถานี้ ในสํานักของพระผูมีพระภาคเจาวา เย เกจิ พุทธัง สะระณัง คะตา เส, ชนเหลาใดเหลาหนึ่ง ถึงพระพุทธเจาวาเป็ นสรณะ นะ เต คะมิสสันติ อะปายะภูมิง, ชนเหลานั้นจักไมไปสูอบายภูมิ ปะหายะ มานุสัง เทหัง, ละกายอันเป็ นของมนุษยแลว เทวะกายัง ปะริปูเรสสันตีติ. จักยังกายทิพยใหบริบูรณ ดังนี้ อะถะโข ภะคะวา ภิกขู อามันเตสิ, ลําดับนั้นแล พระผูมีพระภาคเจา รับสั่งกับภิกษุทั้งหลายวา พระสูตร มหาสมยสุตตัง ๑๓๙


๑๔๐ เยภุยเยนะ ภิกขะเว ทะสะสุ โลกะธาตูสุ เทวะตา สันนิปะติตา โหนติ, ตะถาคะตัง ทัสสะนายะ ภิกขุสังฆัญจะ, ภิกษุทั้งหลาย เทวดาทั้งหลายใน ๑๐ โลกธาตุ ประชุมกันแลวโดยมาก เพื่อทัศนาตถาคตและภิกษุสงฆ เยปิ เต ภิกขะเว อะเหสุง อะตีตะมัทธานัง อะระหันโต สัมมาสัมพุทธา, ภิกษุทั้งหลาย พระผูมีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา แมเหลานั้นใด มีแลวในอดีตกาล เตสัมปิ ภะคะวันตานัง เอตะปะระมาเยวะ เทวะตา สันนิปะติตา อะเหสุง. เทวดาทั้งหลาย มีประมาณเทานี้แหละ ไดเป็ นผูประชุมกันแลว เพื่อทัศนา พระผูมีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา แมเหลานั้น เสยยะถาปิ มัยหัง เอตะระหิ, แมเหมือนเทวดาทั้งหลาย ประชุมกันแลว เพื่อทัศนาเราในบัดนี้ เยปิ เต ภิกขะเว ภะวิสสันติ อะนาคะตะมัทธานัง อะระหันโต สัมมาสัมพุทธา, ภิกษุทั้งหลาย พระผูมีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา แมเหลานั้นใด จักมีในอนาคต เตสัมปิ ภะคะวันตานัง เอตะปะระมาเยวะ เทวะตา สันนิปะติตา ภะวิสสันติ. เทวดาทั้งหลายมีประมาณเทานี้แหละ จะเป็ นผูประชุมกันแลว เพื่อทัศนา พระผูมีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา แมเหลานั้น เสยยะถาปิ มัยหัง เอตะระหิ, แมเหมือนเทวดาทั้งหลายประชุมกันแลว เพื่อทัศนาเราในบัดนี้ อาจิกขิสสามิ ภิกขะเว ภิกษุทั้งหลาย เราจะบอก เทวะกายานัง นามานิ, ชื่อของพวกเทวดาทั้งหลาย กิตตะยิสสามิ ภิกขะเว ภิกษุทั้งหลาย เราจักระบุ พระสูตร มหาสมยสุตตัง ๑๔๐


๑๔๑ เทวะกายานัง นามานิ, ชื่อของพวกเทวดาทั้งหลาย เทสิสสามิ ภิกขะเว ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดง เทวะกายานัง นามานิ, ชื่อของพวกเทวดาทั้งหลาย ตัง สุณาถะ สาธุกัง มะนะสิ กะโรถะ ภาสิสสามีติ. เธอทั้งหลายจงฟั งชื่อของเทวดาเหลานั้น จงทําในใจใหสําเร็จประโยชนเถิด เราจะภาษิต ณ บัดนี้ เอวัมภันเตติ โข เต ภิกขู ภะคะวะโต ปั จจัสโสสุง. ภิกษุเหลานั้น ทูลรับพระดํารัสพระผูมีพระภาคเจาวา อยางนั้นพระเจาขา ดังนี้แล ภะคะวา เอตะทะโวจะ. พระผูมีพระภาคเจาจึงไดตรัสภาษิตนี้วา สิโลกะมะนุกัสสามิ ยัตถะ ภุมมา ตะทัสสิตา, เราจักนําคําประพันธสรรเสริญมาโดย ลําดับ ภุมมเทวดาทั้งหลายอาศัยแลว ในที่ใด ภิกษุทั้งหลายก็อาศัยแลวในที่นั้น เย สิตา คิริคัพภะรัง ภิกษุเหลาใดอาศัยซึ่งซอกภูเขา ปะหิตัตตา สะมาหิตา, มีตนอันสงไปแลว ตั้งจิตมั่นคง ปุถู สีหาวะ สัลลีนา จํานวนมาก ซอนเรนอยูแลว มั่นคงดังราชสีห โลมะหังสาภิสัมภุโน, ครอบงําเสียซึ่งความขนพองสยองเกลา โอทาตะมะนะสา สุทธา มีจิตผุดผอง หมดจด วิปปะสันนะมะนาวิลา, ใสสะอาด ไมขุนมัว ภิยโย ปั ญจะสะเต ญัต๎วา วะเน กาปิ ละวัตถะเว, ตะโต อามันตะยิ สัตถา สาวะเก สาสะเน ระเต, พระศาสดาทรงทราบภิกษุ ๕๐๐ เศษ ที่อยู ณ ป ามหาวัน ใกลกรุงกบิลพัสดุ แตนั้นจึงตรัสเรียกสาวกทั้งหลาย ผูยินดีแลวในพระศาสนาวา พระสูตร มหาสมยสุตตัง ๑๔๑


๑๔๒ เทวะกายา อะภิกกันตา เต วิชานาถะ ภิกขะโว. ภิกษุทั้งหลาย หมูเทวดามุงมากันแลว เธอทั้งหลายจงรูจักหมูเทวดาเหลานั้น เต จะ อาตัปปะมะกะรุง สุต๎วา พุทธัสสะ สาสะนัง, ภิกษุเหลานั้น สดับพุทธศาสนแลว ไดกระทําความเพียรเจริญทิพยจักขุญาณ เตสัมปาตุระหุ ญาณัง อะมะนุสสานะ ทัสสะนัง, ทิพยจักขุญาณเครื่องเห็นพวกอมนุษย ไดปรากฏแลวแกภิกษุเหลานั้น อัปเปเก สะตะมัททักขุง สะหัสสัง อะถะ สัตตะริง, สะตัง เอเก สะหัสสานัง อะมะนุสสานะมัททะสุง, ภิกษุบางพวก ไดเห็นอมนุษยหนึ่งรอย บางพวก ไดเห็นอมนุษยหนึ่งพัน บางพวก ไดเห็นอมนุษยเจ็ดหมื่น บางพวก ไดเห็นอมนุษยหนึ่งแสน อัปเปเกนันตะมัททักขุง บางพวก ไดเห็นอมนุษยไมมีกําหนด ทิสา สัพพา ผุฏา อะหุง. อมนุษยทั้งหลายไดแผไปแลวทั่วทิศ ตัญจะ สัพพัง อะภิญญายะ วะวักขิต๎วานะ จักขุมา, ตะโต อามันตะยิ สัตถา สาวะเก สาสะเน ระเต, พระศาสดาผูทรงมีพระเนตร ทรงใครครวญทราบเหตุนั้นทั้งสิ้นแลว แตนั้นจึงตรัสเรียกพระสาวกทั้งหลาย ผูยินดีแลวในศาสนา มารับสั่งวา เทวะกายา อะภิกกันตา เต วิชานาถะ ภิกขะโว, ภิกษุทั้งหลาย หมูเทวดามุงมากันแลว เธอทั้งหลายจงรูจักหมูเทวดาเหลานั้น เย โวหัง กิตตะยิสสามิ เราจักระบุแกเธอทั้งหลาย คิราหิ อะนุปุพพะโส. ดวยวาจา โดยลําดับ สัตตะสะหัสสา วะ ยักขา ยักษทั้งหลายตั้งเจ็ดพันตน ภุมมา กาปิ ละวัตถะวา, เป็ นภุมมเทวดา อาศัยอยูใกลกรุงกบิลพัสดุ อิทธิมันโต ชุติมันโต มีฤทธิ์มีความรุงเรือง วัณณะวันโต ยะสัสสิโน, มีรัศมี มียศ พระสูตร มหาสมยสุตตัง ๑๔๒


๑๔๓ โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง. ยินดีปรีดา มุงมาสูป ามหาวัน อันเป็ นที่ประชุมแหงภิกษุทั้งหลาย ฉะสะหัสสา เหมะวะตา ยักขา นานัตตะวัณณิโน, ยักษทั้งหลายหกพันตน ซึ่งอยูที่เขาเหมวัต มีรัศมีตางๆ กัน อิทธิมันโต ชุติมันโต มีฤทธิ มีความรุงเรือง์ วัณณะวันโต ยะสัสสิโน, มีรัศมี มียศ โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง. ยินดีปรีดา มุงมาสูป ามหาวัน อันเป็ นที่ประชุมแหงภิกษุทั้งหลาย สาตาคิรา ติสะหัสสา ยักขา นานัตตะวัณณิโน, ยักษทั้งหลายสามพันตน ซึ่งอยูที่เขาสาตาคีรี มีรัศมีตางๆ กัน อิทธิมันโต ชุติมันโต มีฤทธิ มีความรุงเรือง์ วัณณะวันโต ยะสัสสิโน, มีรัศมี มียศ โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง. ยินดีปรีดา มุงมาสูป ามหาวัน อันเป็ นที่ประชุมแหงภิกษุทั้งหลาย อิจเจเต โสฬะสะสะหัสสา ยักขา นานัตตะวัณณิโน, ยักษทั้งหลายเหลานั้นรวมเป็ น หนึ่งหมื่นหกพันตน มีรัศมีตางๆ กัน อิทธิมันโต ชุติมันโต มีฤทธิ มีความรุงเรือง์ วัณณะวันโต ยะสัสสิโน, มีรัศมี มียศ โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง. ยินดีปรีดา มุงมาสูป ามหาวัน อันเป็ นที่ประชุมแหงภิกษุทั้งหลาย เวสสามิตตา ปั ญจะสะตา ยักขา นานัตตะวัณณิโน, ยักษทั้งหลายหารอยตน ซึ่งอยูที่เขาเวสสามิต มีรัศมีตางๆ กัน อิทธิมันโต ชุติมันโต มีฤทธิ มีความรุงเรือง์ วัณณะวันโต ยะสัสสิโน, มีรัศมี มียศ พระสูตร มหาสมยสุตตัง ๑๔๓


๑๔๔ โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง. ยินดีปรีดา มุงมาสูป ามหาวัน อันเป็ นที่ประชุมแหงภิกษุทั้งหลาย กุมภิโร ราชะคะหิโก เวปุลลัสสะ นิเวสะนัง, ยักษชื่อกุมภีรอาศัยอยูในกรุงราชคฤห ภูเขาเวปุลละ เป็ นที่อยูของยักษ ชื่อกุมภีรนั้น ภิยโย นัง สะตะสะหัสสัง ยักขานัง ปะยิรุปาสะติ, ยักษหนึ่งแสนตนเศษ เขาไปเฝ าใกลชิด ยักษชื่อกุมภีรนั้น กุมภิโร ราชะคะหิโก โสปาคะ สะมิติง วะนัง. ยักษชื่อกุมภีร ผูอยูในกรุงราชคฤห แมนั้น ไดมาสูป ามหาวัน อันเป็ นที่ประชุมแหงภิกษุทั้งหลาย ปุริมัญจะ ทิสัง ราชา ธะตะรัฏโฐ ปะสาสะติ, ทาวธตรฏฐผูอยูดานทิศบูรพา ปกครองอยูซึ่งทิศนั้น คันธัพพานัง อาธิปะติ เป็นอธิบดีของพวกคนธรรพ มะหาราชา ยะสัสสิ โส. เธอเป็ นมหาราชมียศศักดิ์ ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโว แมบุตรทั้งหลายของเธอเป็ นอันมาก อินทะนามา มะหัพพะลา, มีนามวาอินทร มีกําลังมาก อิทธิมันโต ชุติมันโต มีฤทธิ มีความรุงเรือง์ วัณณะวันโต ยะสัสสิโน, มีรัศมี มียศ โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง. ยินดีปรีดา มุงมาสูป ามหาวัน อันเป็ นที่ประชุมแหงภิกษุทั้งหลาย ทักขิณัญจะ ทิสัง ราชา วิรุฬโห ตัปปะสาสะติ, ทาววิรุฬหกผูอยูดานทิศทักษิณ ปกครองอยูซึ่งทิศนั้น กุมภัณฑานัง อาธิปะติ เป็นอธิบดีของพวกกุมภัณฑ มะหาราชา ยะสัสสิ โส. เธอเป็ นมหาราชมียศศักดิ์ ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโว แมบุตรทั้งหลายของเธอเป็ นอันมาก พระสูตร มหาสมยสุตตัง ๑๔๔


๑๔๕ อินทะนามา มะหัพพะลา, มีนามวาอินทรมีกําลังมาก อิทธิมันโต ชุติมันโต มีฤทธิ มีความรุงเรือง์ วัณณะวันโต ยะสัสสิโน, มีรัศมี มียศ โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง. ยินดีปรีดา มุงมาสูป ามหาวัน อันเป็ นที่ประชุมแหงภิกษุทั้งหลาย ปั จฉิมัญจะ ทิสัง ราชา วิรูปั กโข ปะสาสะติ, ทาววิรูปั กษ ผูอยูดานทิศปั จฉิม ปกครองอยูซึ่งทิศนั้น นาคานัง อาธิปะติ เป็นอธิบดีของพวกนาค มะหาราชา ยะสัสสิ โส. เธอเป็ นมหาราช มียศศักดิ์ ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโว แมบุตรทั้งหลายของเธอเป็ นอันมาก อินทะนามา มะหัพพะลา, มีนามวาอินทร มีกําลังมาก อิทธิมันโต ชุติมันโต มีฤทธิ มีความรุงเรือง์ วัณณะวันโต ยะสัสสิโน, มีรัศมี มียศ โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง. ยินดีปรีดา มุงมาสูป ามหาวัน อันเป็ นที่ประชุมแหงภิกษุทั้งหลาย อุตตะรัญจะ ทิสัง ราชา กุเวโร ตัปปะสาสะติ, ทาวกุเวรผูอยูดานทิศอุดร ปกครองอยูซึ่งทิศนั้น ยักขานัง อาธิปะติ เป็นอธิบดีของพวกยักษ มะหาราชา ยะสัสสิ โส. เธอเป็ นมหาราช มียศศักดิ์ ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโว แมบุตรทั้งหลายของเธอเป็ นอันมาก อินทะนามา มะหัพพะลา, มีนามวาอินทร มีกําลังมาก อิทธิมันโต ชุติมันโต มีฤทธิ มีความรุงเรือง์ วัณณะวันโต ยะสัสสิโน, มีรัศมี มียศ โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง. ยินดีปรีดา มุงมาสูป ามหาวัน อันเป็ นที่ประชุมแหงภิกษุทั้งหลาย พระสูตร มหาสมยสุตตัง ๑๔๕


๑๔๖ ปุริมะทิสัง ธะตะรัฏโฐ ทาวธตรฏฐเป็ นใหญในทิศบูรพา ทักขิเณนะ วิรุฬหะโก, ทาววิรุฬหก เป็ นใหญในทิศทักษิณ ปั จฉิเมนะ วิรูปั กโข ทาววิรูปั กษเป็ นใหญในทิศปั จฉิม กุเวโร อุตตะรัง ทิสัง. ทาวกุเวร เป็ นใหญในทิศอุดร จัตตาโร เต มะหาราชา มหาราชทั้ง ๔ นั้น สะมันตา จะตุโร ทิสา, ยังทิศทั้ง ๔ โดยรอบ ทัททัลละมานา อัฏฐังสุ ใหรุงเรือง ประทับอยู วะเน กาปิ ละวัตถะเว. ในป ามหาวันใกลกรุงกบิลพัสดุ เตสัง มายาวิโน ทาสา อาคู วัญจะนิกา สะฐา, บาวทั้งหลายของมหาราชทั้ง ๔ นั้น มีมายา ลอลวง โออวด เจาเลห มาดวยกัน มายา กุเฏณฑุ เวเฏณฑุ วิฏู จะ วิฏุ โต สะหะ, ลวนมีมายา คือ กุเฏณฑุ ๑ เวเฏณฑุ ๑ วิฏู ๑ วิฏุ ตะ ๑ จันทะโน กามะเสฏโฐ จะ จันทนะ ๑ กามเสฏฐะ ๑ กินนุฆัณฑุ นิฆัณฑุ จะ, กินนุฆัณฑุ ๑ นิฆัณฑุ ๑ ปะนาโท โอปะมัญโญ จะ ปนาทะ ๑ โอปมัญญะ ๑ เทวะสูโต จะ มาตะลิ, เทวสูตะ ๑ มาตลิ ผูเป็ นเทพสารถี ๑ จิตตะเสโน จะ คันธัพโพ จิตตเสนะ ๑ คันธัพพะ ๑ นะโฬราชา ชะโนสะโภ, นโฬราชะ ๑ ชโนสภะ ๑ อาคู ปั ญจะสิโข เจวะ ติมพะรู สุริยะวัจฉะสา, ปั ญจสิขะ ๑ ติมพรุ ๑ เทพธิดาสุริยวัจฉสา ๑ ก็มาทั้งนั้น เอเต จัญเญ จะ ราชาโน คันธัพพา สะหะ ราชุภิ, ราชาและคนธรรพเหลานั้น และเหลาอื่น กับดวยเทวราชทั้งหลาย โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิตัง วะนัง. ยินดีปรีดา มุงมาสูป ามหาวัน อันเป็ นที่ประชุมแหงภิกษุทั้งหลาย พระสูตร มหาสมยสุตตัง ๑๔๖


๑๔๗ อะถาคู นาภะสา นาคา เวสาลา สะหะตัจฉะกา, อนึ่ง เหลานาคที่อยูในสระชื่อนาภสะ อยูในเมืองเวสาลี กับดวยบริษัทแหง ตัจฉกนาคราชก็มา กัมพะลัสสะตะรา อาคู ปายาคา สะหะ ญาติภิ, กัมพลนาคและอัสสตรนาคก็มา นาคผูอยูในป าชื่อปายาคะกับดวยญาติ ทั้งหลายก็มา ยามุนา ธะตะรัฏฐา จะ อาคู นาคา ยะสัสสิโน, นาคผูอยูแมนํ้ายมุนา เกิดในสกุลธตรฏฐ ผูมียศศักดิก็มา ์ เอราวัณโณ มะหานาโค โสปาคะ สะมิติง วะนัง. เอราวัณเทพบุตร ผูเป็ นชางใหญ แมเขาก็มาสูป ามหาวัน อันเป็ นที่ประชุมแหงภิกษุทั้งหลาย เย นาคะราเช สะหะสา หะรันติ, ทิพพา ทิชา ปั กขิ วิสุทธะจักขู, สัตวทวิชาติเหลาใดเป็ นทิพย มีปี ก มีตาใส คือพญาครุฑ นํานาคราชไปได โดยฉับพลัน เวหายะสา เต วะนะมัชฌะปั ตตา, พญาครุฑเหลานั้นเหาะมาทางอากาศ ถึงทามกลางป ามหาวัน จิต๎รา สุปั ณณา อิติ เตสะ นามัง, ชื่อของพญาครุฑเหลานั้นวาจิตรสุบรรณ อะภะยันตะทา นาคะราชานะมาสิ, ในกาลนั้น อภัยไดมีแลวแกพญานาค ทั้งหลาย สุปั ณณะโต เขมะมะกาสิ พุทโธ, พระพุทธเจาไดทรงกระทําพญานาค ใหเกษมจากพญาครุฑ สัณหาหิ วาจาหิ อุปะว๎หะยันตา, นาคา สุปั ณณา สะระณะมะกังสุ พุทธัง, พวกนาคกับพวกครุฑเจรจากันดวยวาจา อันไพเราะ กระทําพระพุทธเจาใหเป็น สรณะ ชิตา วะชิระหัตเถนะ สะมุททัง อะสุรา สิตา, พวกอสูรซึ่งอยูในมหาสมุทร อันวชิรหัตถ คือพระอินทรไดรบชนะแลว พระสูตร มหาสมยสุตตัง ๑๔๗


๑๔๘ ภาตะโร วาสะวัสเสเต อิทธิมันโต ยะสัสสิโน, อสูรเหลานั้น เป็ นพี่นองของทาววาสวะ เป็ นผูมีฤทธิ มียศ์ กาละกัญชา มะหาภิส๎มา พวกกาลกัญชาอสูร มีกายใหญพิลึกก็มา อะสุรา ทานะเวฆะสา, พวกทานเวฆสอสูรก็มา เวปะจิตติ สุจิตติ จะ เวปจิตติอสูรก็มา สุจิตติอสูรก็มา ปะหาราโท นะมุจี สะหะ, ปหาราทอสูรก็มา นมุจีพระยามารก็มา สะตัญจะ พะลิปุตตานัง บุตรของพลิอสูรหนึ่งรอยตน สัพเพ เวโรจะนามะกา, มีชื่อวาไพโรจนเหมือนกันทั้งหมด สันนัยหิต๎วา พะลิง เสนัง ผูกสอดเครื่องเสนาพรอมหมูพล ราหุภัททะมุปาคะมุง, เขาไปใกลอสุรินทราหู แลวกลาววา สะมะโยทานิ ภัททันเต ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง, ทานผูเจริญ บัดนี้เป็ นสมัยประชุมกันแลว ไดเขาไปสูป ามหาวัน อันเป็ นที่ประชุม แหงภิกษุทั้งหลาย อาโป จะ เทวา ปะฐะวี จะ เตโช วาโย ตะทาคะมุง. เทวดาทั้งหลาย ชื่ออาโปดวย ชื่อปฐวีดวย ชื่อเตโชดวย ชื่อวาโยดวย ก็มาในกาลนั้น วะรุณา วารุณา เทวา โสโม จะ ยะสะสา สะหะ, เทวดาทั้งหลายชื่อวรุณะ ชื่อวารุณะ ชื่อโสมะ ชื่อยสสะ ก็มาดวยกัน เมตตากะรุณากายิกา อาคู เทวา ยะสัสสิโน, เทวดาทั้งหลายผูบังเกิดดวยอํานาจ เมตตาฌานและกรุณาฌาน ผูมียศ ก็มา ทะเสเต ทะสะธา กายา สัพเพ นานัตตะวัณณิโน, เทวดาเหลานี้ แบงเป็ น ๑๐ หมู ทั้งหมดลวนมีรัศมีตางๆ กัน อิทธิมันโต ชุติมันโต มีฤทธิ มีความรุงเรือง์ วัณณะวันโต ยะสัสสิโน, มีรัศมี มียศ พระสูตร มหาสมยสุตตัง ๑๔๘


๑๔๙ โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง. ยินดีปรีดา มุงมาสูป ามหาวัน อันเป็ นที่ประชุมแหงภิกษุทั้งหลาย เวณฑู จะ เทวา สะหะลี จะ อะสะมา จะ ทุเว ยะมา, เทวดาทั้งหลาย ชื่อเวณฑุ ชื่อสหลี ชื่ออสมะ ชื่อยมะ ทั้ง ๒ พวก ก็มา จันทัสสูปะนิสา เทวา จันทะมาคู ปุรักขิตา, เทวดาทั้งหลายผูอาศัยพระจันทร กระทําพระจันทรไวเบื้ องหนา ก็มา สุริยัสสูปะนิสา เทวา สุริยะมาคู ปุรักขิตา, เทวดาทั้งหลายผูอาศัยพระอาทิตย กระทําพระอาทิตยไวเบื้ องหนา ก็มา นักขัตตานิ ปุรักขิต๎วา อาคู มันทะวะลาหะกา, เทวดาทั้งหลาย กระทํานักษัตรไวเบื้ องหนา ก็มา มันทพลาหกเทวดาทั้งหลาย ก็มา วะสูนัง วาสะโว เสฏโฐ สักโกปาคะ ปุรินทะโท. แมทาวสักกวาสวะปุรินททะ ผูประเสริฐ กวา วสุเทวดาทั้งหลาย ก็เสด็จมา ทะเสเต ทะสะธา กายา สัพเพ นานัตตะวัณณิโน, เทวดาเหลานี้ แบงเป็ น ๑๐ หมู ทั้งหมดลวนมีรัศมีตางๆ กัน อิทธิมันโต ชุติมันโต มีฤทธิ มีความรุงเรือง์ วัณณะวันโต ยะสัสสิโน, มีรัศมี มียศ โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง. ยินดีปรีดา มุงมาสูป ามหาวัน อันเป็ นที่ประชุมแหงภิกษุทั้งหลาย อะถาคู สะหะภู เทวา ชะละมัคคิสิขาริวะ, อนึ่ง เทวดาทั้งหลายชื่อสหภู รุงเรืองดุจเปลวไฟ ก็มา อะริฏฐะกา จะ โรชา จะ เทวดาทั้งหลาย ชื่ออริฏฐกะ และชื่อโรชะ อุมมา ปุปผะนิภาสิโน, มีรัศมีดุจสีแหงดอกผักตบ ก็มา พระสูตร มหาสมยสุตตัง ๑๔๙


๑๕๐ วะรุณา สะหะธัมมา จะ หมูเทวดาชื่อวรุณะ ชื่อสหธรรม อัจจุตา จะ อะเนชะกา, ชื่ออัจจุตะ และชื่ออเนชกะ ก็มา สุเลยยะรุจิรา อาคู ชื่อสุเลยยะ ชื่อรุจิระ ก็มา อาคู วาสะวะเนสิโน. ชื่อวาสวเนสี ก็มา ทะเสเต ทะสะธา กายา สัพเพ นานัตตะวัณณิโน, เทวดาเหลานี้ แบงเป็ น ๑๐ หมู ทั้งหมดลวนมีรัศมีตางๆ กัน อิทธิมันโต ชุติมันโต มีฤทธิ มีความรุงเรือง์ วัณณะวันโต ยะสัสสิโน, มีรัศมี มียศ โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง. ยินดีปรีดา มุงมาสูป ามหาวัน อันเป็ นที่ประชุมแหงภิกษุทั้งหลาย สะมานา มะหาสะมานา หมูเทวดาชื่อสมานะ ชื่อมหาสมานะ มานุสา มานุสุตตะมา, ชื่อมานุสะ ชื่อมานุสุตตมะ ก็มา ขิฑฑาปะทูสิกา อาคู หมูเทวดาชื่อขิฑฑาปทูสิกะ อาคู มะโนปะทูสิกา, ชื่อมโนปทูสิกะ ก็มา อะถาคู หะระโย เทวา อนึ่ง เทวดาทั้งหลาย ชื่อหรยะ ก็มา เย จะ โลหิตะวาสิโน, ชื่อโลหิตวาสี ก็มา ปาระคา มะหาปาระคา อาคู เทวา ยะสัสสิโน, เทวดาทั้งหลายชื่อปารคะ ชื่อมหาปารคะ ผูมียศ ก็มา ทะเสเต ทะสะธา กายา สัพเพ นานัตตะวัณณิโน, เทวดาเหลานี้ แบงเป็ น ๑๐ หมู ทั้งหมดลวนมีรัศมีตางๆ กัน อิทธิมันโต ชุติมันโต มีฤทธิ มีความรุงเรือง์ วัณณะวันโต ยะสัสสิโน, มีรัศมี มียศ โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง. ยินดีปรีดา มุงมาสูป ามหาวัน อันเป็ นที่ประชุมแหงภิกษุทั้งหลาย สุกกา กะรุมหา อะรุณา หมูเทวดาชื่อสุกกะ ชื่อกรุมหะ ชื่ออรุณะ พระสูตร มหาสมยสุตตัง ๑๕๐


๑๕๑ อาคู เวฆะนะสา สะหะ, หมูเทวดาชื่อเวฆนสะ ก็มาดวยกัน โอทาตะคัยหา ปาโมกขา หมูเทวดาชื่อโอทาตคัยหะ ผูเป็ นหัวหนา อาคู เทวา วิจักขะณา, หมูเทวดาชื่อวิจักขณะ ก็มา สะทามัตตา หาระคะชา หมูเทวดาชื่อสทามัตตะ ชื่อหารคชะ มิสสะกา จะ ยะสัสสิโน, หมูเทวดาชื่อมิสสกะผูมียศ ก็มา ถะนะยัง อาคา ปะชุนโน โย ทิสา อะภิวัสสะติ, ปชุนนเทพบุตร ซึ่งคํารามใหฝนตก ทั่วทิศานุทิศ ก็มา ทะเสเต ทะสะธา กายา สัพเพ นานัตตะวัณณิโน, เทวดาเหลานี้ แบงเป็ น ๑๐ หมู ทั้งหมดลวนมีรัศมีตางๆ กัน อิทธิมันโต ชุติมันโต มีฤทธิ์มีความรุงเรือง วัณณะวันโต ยะสัสสิโน, มีรัศมี มียศ โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง. ยินดีปรีดา มุงมาสูป ามหาวัน อันเป็ นที่ประชุมแหงภิกษุทั้งหลาย เขมิยา ตุสิตา ยามา หมูเทวดาชื่อเขมิยะ ชื่อตุสิตะ ชื่อยามะ กัฏฐะกา จะ ยะสัสสิโน, หมูเทวดาชื่อกัฏฐกะ ผูมียศ ก็มา ลัมพิตะกา ลามะเสฏฐา หมูเทวดาชื่อลัมพิตกะ ชื่อลามเสฏฐะ โชตินามา จะ อาสะวา, หมูเทวดาชื่อโชตินามะ และชื่ออาสวะ ก็มา นิมมานะระติโน อาคู เทวดาทั้งหลาย ชื่อนิมมานรดี ก็มา อะถาคู ปะระนิมมิตา. ชื่อปรนิมมิตะ ก็มา ทะเสเต ทะสะธา กายา สัพเพ นานัตตะวัณณิโน, เทวดาเหลานี้ แบงเป็ น ๑๐ หมู ทั้งหมดลวนมีรัศมีตางๆ กัน อิทธิมันโต ชุติมันโต มีฤทธิ์มีความรุงเรือง วัณณะวันโต ยะสัสสิโน, มีรัศมี มียศ โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง. ยินดีปรีดา มุงมาสูป ามหาวัน อันเป็ นที่ประชุมแหงภิกษุทั้งหลาย พระสูตร มหาสมยสุตตัง ๑๕๑


๑๕๒ สัฏเฐเต เทวะนิกายา เทวดาทั้งหลาย ๖๐ หมู เหลานี้ สัพเพ นานัตตะวัณณิโน, ทั้งหมดลวนมีรัศมีตางๆ กัน นามันวะเยนะ อาคัญฉุง เย จัญเญ สะทิสา สะหะ, มาแลวโดยกําหนดชื่อ และเทวดา เหลาอื่นนั้นก็มาพรอมกัน ดวยคิดวา ปะวุตถะชาติมักขีลัง โอฆะติณณะมะนาสะวัง, ทักเขโมฆะตะรัง นาคัง จันทังวะ อะสิตาติตัง, เราจะเห็นพระนาคะ ผูปราศจากการเกิด ผูไมมีกิเลสดุจตะปู ผูขามโอฆะแลว ผูไมมีอาสวะ พนจากโอฆะ ผูลวงกรรมดํา คืออกุศลไดแลว ดุจพระจันทรพนจากเมฆ ฉะนั้น สุพ๎รัห๎มา ปะระมัตโต จะ สุพรหมกับปรมัตตพรหม ปุตตา อิทธิมะโต สะหะ, ผูเป็ นบุตรแหงทานผูมีฤทธิ ก็มาดวย ์ สันนังกุมาโร ติสโส จะ โสปาคะ สะมิติง วะนัง. สันนังกุมารพรหมกับติสสพรหม แมเขาก็มาสูป ามหาวัน อันเป็ นที่ประชุมแหงภิกษุทั้งหลาย สะหัสสะพ๎รัห๎มะโลกานัง มะหาพ๎รัห๎มาภิติฏฐะติ, ทาวมหาพรหม เป็ นใหญปกครอง พรหมโลกพันหนึ่ง อุปะปั นโน ชุติมันโต บังเกิดแลวในพรหมโลก ภิส๎มากาโย ยะสัสสิ โส. มีอานุภาพ มีกายใหญโต มียศ ก็มา ทะเสตถะ อิสสะรา อาคู ปั จเจกะวะสะวัตติโน, พระพรหม ๑๐ เป็ นใหญในหมูพรหม พันหนึ่งนั้น มีอํานาจอันเป็ นไปเฉพาะ องคละอยาง ก็มา เตสัญจะ มัชฌะโต อาคา หาริโต ปะริวาริโต, มหาพรหมนั้นชื่อหาริตะ มีบริวาร แวดลอมแลว มาในทามกลางแหงพรหม ทั้งหลายเหลานั้น พระสูตร มหาสมยสุตตัง ๑๕๒


๑๕๓ เต จะ สัพเพ อะภิกกันเต สินเท เทเว สะพ๎รัห๎มะเก, มาระเสนา อะภิกกามิ ปั สสะ กัณหัสสะ มันทิยัง. มารเสนา เห็นพวกเทวดาพรอม พระอินทร พระพรหม ทั้งหมดนั้นก็มุงมาดวย แลวกลาววา ทานจงดูความเขลาของพวกขาศึก เอถะ คัณหะถะ พันธะถะ ราเคนะ พันธะมัตถุ โว, สะมันตา ปะริวาเรถะ มา โว มุญจิตถะ โกจิ นัง, อิติ ตัตถะ มะหาเสโน กัณหะเสนัง อะเปสะยิ, พญามารจึงกลาววา ทานทั้งหลาย จงมาจับพวกเทวดาเหลานี้ผูกไว การผูกดวยราคะ จงมีแกทานทั้งหลาย ทานทั้งหลาย จงแวดลอมไวโดยรอบ ทานทั้งหลาย จงอยาปลอยใครๆ ไป ดังนี้ แลวไดสงเสนามารไปในที่ประชุมนั้น ปาณินา ตะละมาหัจจะ ตบพื้ นดินลงดวยฝ ามือ สะรัง กัต๎วานะ เภระวัง, แลวกระทําเสียงใหนากลัว ยะถา ปาวุสสะโก เมโฆ ถะนะยันโต สะวิชชุโก. เหมือนมหาเมฆที่ยังฝนใหตกทั่ว คํารามอยู พรอมดวยสายฟ าแลบ ตะทา โส ปั จจุทาวัตติ สังกุทโธ อะสะยังวะเส. ในกาลนั้น พญามารนั้นไมอาจทําใครให ตกอยูในอํานาจได ก็เกรี้ยวโกรธกลับไป ตัญจะ สัพพัง อะภิญญายะ วะวักขิต๎วานะ จักขุมา, ตะโต อามันตะยิ สัตถา สาวะเก สาสะเน ระเต, พระศาสดาผูทรงมีพระเนตร พิจารณา แลวทราบเหตุนั้นทั้งสิ้น แตนั้นจึงตรัส เรียกพระสาวกทั้งหลาย ผูยินดีแลวใน พระศาสนามารับสั่งวา มาระเสนา อะภิกกันตา ภิกษุทั้งหลาย มารและเสนา มุงมากันแลว เต วิชานาถะ ภิกขะโว, เธอทั้งหลาย จงรูจักพวกเขา เต จะ อาตัปปะมะกะรุง สุต๎วา พุทธัสสะ สาสะนัง, ภิกษุเหลานั้น สดับพุทธศาสนแลว ไดกระทําความเพียร เจริญทิพยจักขุญาณ เห็นแลว พระสูตร มหาสมยสุตตัง ๑๕๓


๑๕๔ วีตะราเคหิ ปั กกามุง เนสัง โลมัมปิ อิญชะยุง. มารและเสนาพากันหลีกไปจากภิกษุ ทั้งหลาย ผูปราศจากราคะแลว ไมอาจ ทําแมโลมชาติของพวกทานใหไหวได สัพเพ วิชิตะสังคามา ภะยาตีตา ยะสัสสิโน, โมทันติ สะหะ ภูเตหิ สาวะกา เต ชะเนสุตาติ. พญามารสรรเสริญวา พระสาวกของพระองคทั้งหมด ชนะสงครามแลว ลวงความกลัวไดแลว มียศปรากฏแลวในที่ประชุมชน บันเทิงอยูกับดวยพระอริยเจาทั้งหลาย ผูเกิดแลวในพระศาสนา. ธชัคคสุตตัง50 ๑ เอวัมเม สุตัง. ขาพเจา ไดสดับมาแลวอยางนี้ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา, สมัยหนึ่ง พระผูมีพระภาคเจา สาวัตถิยัง วิหะระติ, เชตะวะเน อะนาถะปิ ณฑิกัสสะ, อาราเม. ประทับอยูที่เชตวันวิหาร อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกลเมืองสาวัตถี ตัต๎ระ โข ภะคะวา ภิกขู อามันเตสิ ภิกขะโวติ. ในกาลนั้นแล พระผูมีพระภาคเจา ไดตรัสกะภิกษุทั้งหลายวา ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ดังนี้ ภะทันเตติ เต ภิกขู ภะคะวะโต ปั จจัสโสสุง. ภิกษุเหลานั้น ทูลรับพระพุทธพจนของ พระผูมีพระภาคเจาวา พระพุทธเจาขา ดังนี้ ภะคะวา เอตะทะโวจะ. พระผูมีพระภาคเจา ไดตรัส พระพุทธพจนนี้วา ๑ สํ. ส. ๑๕/๘๖๓-๘๖๖. พระสูตร มหาสมยสุตตัง ๑๕๔


๑๕๕ ภูตะปุพพัง ภิกขะเว เทวาสุระสังคาโม สะมุปั พ๎ยุฬโห อะโหสิ. ภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแลว สงครามระหวางเทวดากับอสูร ไดเกิดประชิดกันแลว อะถะโข ภิกขะเว สักโก เทวานะมินโท เทเว ตาวะติงเส อามันเตสิ. ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ทาวสักกะผูเป็ นเจาแหงเทวดา เรียกหมูเทวดาชั้นดาวดึงสมาสั่งวา สะเจ มาริสา เทวานัง สังคามะคะตานัง อุปปั ชเชยยะ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา. ทานผูนิรทุกข ถาหมูเทวดาผูไปสูสงคราม พึงเกิดความกลัว ความหวาดสะดุง หรือเกิดขนพองสยองเกลาขึ้น มะเมวะ ตัส๎มิง สะมะเย ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ, ในสมัยนั้น ทานทั้งหลาย พึงแลดูชายธงของเรานั่นเทียว มะมัง หิ โว ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง, เพราะเมื่อทานทั้งหลาย แลดูชายธงของเราอยู ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา, ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุงก็ดี ความขนพองสยองเกลาก็ดี อันใดจักมี โส ปะหิยยิสสะติ. ความกลัวเป็ นตนนั้นจะหายไป โน เจ เม ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ, ถาทานทั้งหลายมิไดแลดูชายธงของเรา อะถะ ปะชาปะติสสะ เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ. ทีนั้น ทานทั้งหลาย พึงแลดูชายธงของปชาบดีเทวราช ปะชาปะติสสะ หิ โว เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง, เพราะเมื่อทานทั้งหลาย แลดูชายธงของปชาบดีเทวราชอยู ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา, ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุงก็ดี ความขนพองสยองเกลาก็ดี อันใดจักมี พระสูตร ธชัคคสุตตัง ๑๕๕


๑๕๖ โส ปะหิยยิสสะติ. ความกลัวเป็ นตนนั้นจะหายไป โน เจ ปะชาปะติสสะ เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ, ถาทานทั้งหลาย มิไดแลดูชายธงของปชาบดีเทวราช อะถะ วะรุณัสสะ เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ, ทีนั้น ทานทั้งหลาย พึงแลดูชายธงของวรุณเทวราช วะรุณัสสะ หิ โว เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง, เพราะเมื่อทานทั้งหลาย แลดูชายธงของวรุณเทวราชอยู ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา, ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุงก็ดี ความขนพองสยองเกลาก็ดี อันใดจักมี โส ปะหิยยิสสะติ. ความกลัวเป็ นตนนั้นจะหายไป โน เจ วะรุณัสสะ เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ, ถาทานทั้งหลาย มิไดแลดูชายธงของวรุณเทวราช อะถะ อีสานัสสะ เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ, ทีนั้น ทานทั้งหลาย พึงแลดูชายธงของอีสานเทวราช อีสานัสสะ หิ โว เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง, เพราะเมื่อทานทั้งหลาย แลดูชายธงของอีสานเทวราชอยู ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา, ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุงก็ดี ความขนพองสยองเกลาก็ดี อันใดจักมี โส ปะหิยยิสสะตีติ. ความกลัวเป็ นตนนั้นจะหายไป ดังนี้ ตัง โข ปะนะ ภิกขะเว สักกัสสะ วา เทวานะมินทัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง, ภิกษุทั้งหลาย ก็ขอนี้แล คือ การแลดู ชายธงของทาวสักกะ ผูเป็ นเจาแหง เทวดาก็ตาม ปะชาปะติสสะ วา เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง, การแลดูชายธง ของปชาบดีเทวราชก็ตาม พระสูตร ธชัคคสุตตัง ๑๕๖


๑๕๗ วะรุณัสสะ วา เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง, การแลดูชายธง ของวรุณเทวราชก็ตาม อีสานัสสะ วา เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง, การแลดูชายธง ของอีสานเทวราชก็ตาม ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา, ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุงก็ดี ความขนพองสยองเกลาก็ดี อันใดจักมี โส ปะหิยเยถาปิ โนปิ ปะหิยเยถะ, ความกลัวเป็ นตนนั้น พึงหายไปบาง ไมพึงหายไปบาง ตัง กิสสะ เหตุ. ขอนั้นเป็ นเหตุแหงอะไร สักโก หิ ภิกขะเว เทวานะมินโท อะวีตะราโค อะวีตะโทโส อะวีตะโมโห, ภิกษุทั้งหลาย เหตุวาทาวสักกะผูเป็นเจา แหงเทวดา ยังไมปราศจากราคะ ยังไม ปราศจากโทสะ ยังไมปราศจากโมหะ ภิรุ ฉัมภี อุต๎ราสี ปะลายีติ. ยังเป็ นผูกลัว ยังเป็ นผูหวาด ยังเป็ นผูสะดุง ยังเป็ นผูหนี ดังนี้ อะหัญจะ โข ภิกขะเว เอวัง วะทามิ, ภิกษุทั้งหลาย สวนเราแล กลาวอยางนี้วา สะเจ ตุมหากัง ภิกขะเว อะรัญญะคะตานัง วา รุกขะมูละคะตานัง วา สุญญาคาระคะตานัง วา, ภิกษุทั้งหลาย ถาวาเธอทั้งหลาย ไปอยูในป าก็ตาม ไปอยูที่โคนตนไมก็ตาม ไปอยูในเรือนวางก็ตาม อุปปั ชเชยยะ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา, พึงเกิดความกลัว ความหวาดสะดุง หรือเกิดขนพองสยองเกลาขึ้น มะเมวะ ตัส๎มิง สะมะเย อะนุสสะเรยยาถะ. ในสมัยนั้นเธอทั้งหลาย พึงระลึกถึงเรานั่นเทียววา พระสูตร ธชัคคสุตตัง ๑๕๗


๑๕๘ อิติปิ โส ภะคะวา แมเพราะเหตุนี้ๆ พระผูมีพระภาคพระองคนั้น อะระหัง เป็ นผูไกลกิเลส สัมมาสัมพุทโธ, เป็ นผูตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง วิชชาจะระณะสัมปั นโน เป็ นผูถึงพรอมดวยวิชชาและจรณะ สุคะโต เป็ นผูไปดวยดีแลว โลกะวิทู, เป็ นผูรูโลกอยางแจมแจง อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ เป็ นผูสามารถฝึ กบุรุษที่สมควรฝึ กได อยางไมมีใครยิ่งกวา สัตถา เทวะมะนุสสานัง เป็ นครูผูสอนของเทวดา และมนุษยทั้งหลาย พุทโธ เป็ นผูรู ผูตื่น ผูเบิกบานดวยธรรม ภะคะวาติ. เป็ นผูมีความจําเริญ จําแนกธรรมสั่งสอนสัตว ดังนี้ มะมัง หิ โว ภิกขะเว อะนุสสะระตัง, ภิกษุทั้งหลาย เพราะเมื่อเธอทั้งหลาย ตามระลึกถึงเราอยู ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา, ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุงก็ดี ความขนพองสยองเกลาก็ดี อันใดจักมี โส ปะหิยยิสสะติ. ความกลัวเป็นตนนั้นจักหายไป โน เจ มัง อะนุสสะเรยยาถะ, ถาเธอทั้งหลายมิไดระลึกถึงเรา อะถะ ธัมมัง อะนุสสะเรยยาถะ, ทีนั้น พึงตามระลึกถึงพระธรรมวา ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, พระธรรมอันพระผูมีพระภาคเจาตรัสไวดีแลว สันทิฏฐิโก เป็ นสิ่งที่ผูศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นไดดวยตนเอง อะกาลิโก เป็ นสิ่งที่ปฏิบัติไดและใหผลได ไมจํากัดกาล พระสูตร ธชัคคสุตตัง ๑๕๘


๑๕๙ เอหิปั สสิโก, เป็ นสิ่งที่ควรกลาวกับผูอื่นวา ทานจงมาดูเถิด โอปะนะยิโก เป็ นสิ่งที่ควรนอมเขามาใสตัว, ปั จจัตตัง เวทิตัพโพ วิญูหีติ. เป็ นสิ่งที่ผูรูก็รูไดเฉพาะตน ดังนี้ ธัมมัง หิ โว ภิกขะเว อะนุสสะระตัง, ภิกษุทั้งหลาย เพราะเมื่อเธอทั้งหลาย ตามระลึกถึงพระธรรมอยู ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา, ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุงก็ดี ความขนพองสยองเกลาก็ดี อันใดจักมี โส ปะหิยยิสสะติ. ความกลัวเป็นตนนั้นจักหายไป โน เจ ธัมมัง อะนุสสะเรยยาถะ, ถาเธอทั้งหลายมิไดระลึกถึงพระธรรม อะถะ สังฆัง อะนุสสะเรยยาถะ. ทีนั้น พึงตามระลึกถึงพระสงฆวา สุปะฏิปั นโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, พระสงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา เป็ นผูปฏิบัติดีแลว อุชุปะฏิปั นโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, พระสงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา เป็ นผูปฏิบัติตรงแลว ญายะปะฏิปั นโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, พระสงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา เป็ นผูปฏิบัติถูกแลว สามีจิปะฏิปั นโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, พระสงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา เป็ นผูปฏิบัติชอบแลว ยะทิทัง คือ จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา, คูแหงบุรุษทั้งหลาย ๔ บุรุษบุคคลทั้งหลาย ๘ เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, นี่แหละพระสงฆสาวก ของพระผูมีพระภาคเจา อาหุเนยโย ทานเป็ นผูควรสักการะที่เขานํามาบูชา พระสูตร ธชัคคสุตตัง ๑๕๙


๑๖๐ ปาหุเนยโย ทานเป็ นผูควรของตอนรับ ทักขิเณยโย ทานเป็ นผูควรทักษิณาทาน อัญชะลิกะระณีโย, ทานเป็ นผูควรอัญชลีกรรม อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ. ทานเป็ นนาบุญของโลก ไมมีนาอื่นยิ่งกวา ดังนี้ สังฆัง หิ โว ภิกขะเว อะนุสสะระตัง, ภิกษุทั้งหลาย เพราะเมื่อเธอทั้งหลาย ระลึกถึงพระสงฆอยู ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา, ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุงก็ดี ความขนพองสยองเกลาก็ดี อันใดจักมี โส ปะหิยยิสสะติ. ความกลัวเป็นตนนั้นจักหายไป ตัง กิสสะ เหตุ. ขอนั้นเป็ นเหตุแหงอะไร ตะถาคะโต หิ ภิกขะเว อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ, ภิกษุทั้งหลาย เหตุวาพระตถาคตเจา เป็ นพระอรหันต ตรัสรูเองโดยชอบ วีตะราโค วีตะโทโส วีตะโมโห, มีราคะไปปราศแลว มีโทสะไปปราศแลว มีโมหะไปปราศแลว อะภิรุ อัจฉัมภี อะนุต๎ราสี อะปะลายีติ. เป็ นผูไมกลัว เป็ นผูไมหวาด เป็ นผูไมสะดุง เป็ นผูไมหนี ดังนี้ อิทะมะโวจะ ภะคะวา, พระผูมีพระภาคเจาไดตรัสพระสูตรนี้แลว อิทัง วัต๎วานะ สุคะโต, พระสุคตครั้นตรัสพระพุทธพจนนี้แลว อะถาปะรัง เอตะทะโวจะ สัตถา, ลําดับนั้น พระศาสดาจึงตรัส พระพุทธพจนนี้อีกวา (คาถาประพันธ จํานวน ๔ คาถา) อะรัญเญ รุกขะมูเล วา สุญญาคาเร วะ ภิกขะโว, ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทั้งหลายอยูในป า ในรุกขมูล หรือในเรือนวาง พระสูตร ธชัคคสุตตัง ๑๖๐


๑๖๑ อะนุสสะเรถะ สัมพุทธัง พึงระลึกถึงพระสัมพุทธเจา ภะยัง ตุมหากะ โน สิยา. ภัยจะไมพึงมีแกเธอทั้งหลาย โน เจ พุทธัง สะเรยยาถะ ถาเธอทั้งหลายไมระลึกถึงพระสัมพุทธเจา โลกะเชฏฐัง นะราสะภัง, ซึ่งเป็ นใหญกวาโลก ประเสริฐกวานรชน อะถะ ธัมมัง สะเรยยาถะ นิยยานิกัง สุเทสิตัง. ทีนั้น พึงระลึกถึงพระธรรม อันเป็ น เครื่องนําออกจากทุกข ที่เราแสดงไวดีแลว โน เจ ธัมมัง สะเรยยาถะ ถาเธอทั้งหลายไมระลึกถึงพระธรรม นิยยานิกัง สุเทสิตัง, อันเป็ นเครื่องนําออกจากทุกข ที่เราแสดงไวดีแลว อะถะ สังฆัง สะเรยยาถะ ทีนั้น พึงระลึกถึงพระสงฆ ปุญญักเขตตัง อะนุตตะรัง. ซึ่งเป็ นนาบุญของโลก ไมมีนาอื่นยิ่งกวา เอวัมพุทธัง สะรันตานัง ธัมมัง สังฆัญจะ ภิกขะโว, ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทั้งหลายระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆอยูอยางนี้ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส นะ เหสสะตีติ. ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุงก็ดี ความขนพองสยองเกลาก็ดี จักไมมี ดังนี้แล. พระสูตร ธชัคคสุตตัง ๑๖๑


๑๖๒ สาราณียธัมมสุตตัง51 ๑ เอวัมเม สุตัง, ขาพเจา ไดสดับมาแลวอยางนี้ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา, สมัยหนึ่ง พระผูมีพระภาคเจา สาวัตถิยัง วิหะระติ, เชตะวะเน อะนาถะปิ ณฑิกัสสะ, อาราเม. ประทับอยูในเชตวันวิหาร อารามของ ทานอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกลกรุงสาวัตถี ตัต๎ระ โข ภะคะวา ภิกขู อามันเตสิ ภิกขะโวติ. ทีนั้นแล พระผูมีพระภาคเจาไดตรัสกะ ภิกษุทั้งหลายวา ภิกษุทั้งหลาย ภะทันเตติ เต ภิกขู ภะคะวะโต ปั จจัสโสสุง. ภิกษุเหลานั้นกราบทูลพระผูมีพระภาค เจาวา พระพุทธเจาขา ภะคะวา เอตะทะโวจะ, พระผูมีพระภาคเจา ตรัสพระพุทธพจนนี้วา ฉะยิเม ภิกขะเว ธัมมา สาราณียา ปิ ยะกะระณา คะรุกะระณา, ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๖ ประการนี้ เป็ นเหตุใหระลึกถึงกัน สรางความรักความเคารพ สังคะหายะ อะวิวาทายะ สามัคคิยา เอกีภาวายะ สังวัตตันติ. เป็ นไปเพื่อสงเคราะหกัน ไมทะเลาะกัน สามัคคีกัน เป็ นอันเดียวกัน กะตะเม ฉะ. ธรรม ๖ ประการนี้ เป็ นไฉน (๑) อิธะ ภิกขะเว ภิกขุโน, ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมตตัง กายะกัมมัง ปั จจุปั ฏฐิตัง โหติ, เขาไปตั้งกายกรรมประกอบดวยเมตตา สะพ๎รัห๎มะจารีสุ อาวิ เจวะ ระโห จะ, ในเพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งตอหนาและลับหลัง อะยัมปิ ธัมโม สาราณีโย ปิ ยะกะระโณ คะรุกะระโณ, ธรรมแมขอนี้ ก็เป็ นเหตุใหระลึกถึงกัน สรางความรัก ความเคารพ ๑ องฺ ฉกฺก. ๒๒/๒๘๓. พระสูตร ๑๖๒


๑๖๓ สังคะหายะ อะวิวาทายะ สามัคคิยา เอกีภาวายะ สังวัตตะติ. เป็ นไปเพื่อสงเคราะหกัน ไมทะเลาะกัน สามัคคีกัน เป็ นอันเดียวกัน (๒) ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุโน, ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุ เมตตัง วะจีกัมมัง ปั จจุปั ฏฐิตัง โหติ, เขาไปตั้งวจีกรรมประกอบดวยเมตตา สะพ๎รัห๎มะจารีสุ อาวิ เจวะ ระโห จะ, ในเพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งตอหนาและลับหลัง อะยัมปิ ธัมโม สาราณีโย ปิ ยะกะระโณ คะรุกะระโณ, ธรรมแมขอนี้ ก็เป็ นเหตุใหระลึกถึงกัน สรางความรัก ความเคารพ สังคะหายะ อะวิวาทายะ สามัคคิยา เอกีภาวายะ สังวัตตะติ. เป็ นไปเพื่อสงเคราะหกัน ไมทะเลาะกัน สามัคคีกัน เป็ นอันเดียวกัน (๓) ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุโน, ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุ เมตตัง มะโนกัมมัง ปั จจุปั ฏฐิตัง โหติ, เขาไปตั้งมโนกรรมประกอบดวยเมตตา สะพ๎รัห๎มะจารีสุ อาวิ เจวะ ระโห จะ, ในเพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งตอหนาและลับหลัง อะยัมปิ ธัมโม สาราณีโย ปิ ยะกะระโณ คะรุกะระโณ, ธรรมแมขอนี้ ก็เป็ นเหตุใหระลึกถึงกัน สรางความรัก ความเคารพ สังคะหายะ อะวิวาทายะ สามัคคิยา เอกีภาวายะ สังวัตตะติ. เป็ นไปเพื่อสงเคราะหกัน ไมทะเลาะกัน สามัคคีกัน เป็ นอันเดียวกัน (๔) ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ, ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุ เย เต ลาภา ธัมมิกา ธัมมะลัทธา, ลาภเหลาใด ที่ชอบธรรม ไดมาโดยธรรม อันตะมะโส ปั ตตะปะริยาปั นนะมัตตัมปิ, โดยที่สุด แมเพียงอาหารเนื่องดวยบิณฑบาต ตะถารูเปหิ ลาเภหิ อัปปะฏิวิภัตตะโภคี โหติ, แบงปั นลาภเหลานั้น ไมเจาะจงผูนั้นผูนี้ พระสูตร สาราณียธัมมสุตตัง ๑๖๓


๑๖๔ สีละวันเตหิ สะพ๎รัห๎มะจารีหิ สาธาระณะโภคี. แตบริโภครวมกันกับเพื่อนพรหมจารี ผูมีศีลทั้งหลาย อะยัมปิ ธัมโม สาราณีโย ปิ ยะกะระโณ คะรุกะระโณ, ธรรมแมขอนี้ ก็เป็ นเหตุใหระลึกถึงกัน สรางความรัก ความเคารพ สังคะหายะ อะวิวาทายะ สามัคคิยา เอกีภาวายะ สังวัตตะติ. เป็ นไปเพื่อสงเคราะหกัน ไมทะเลาะกัน สามัคคีกัน เป็ นอันเดียวกัน (๕) ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ, ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุ ยานิ ตานิ สีลานิ อะขัณฑานิ อะฉิททานิ อะสะพะลานิ อะกัมมาสานิ, ศีลเหลานั้นใด ไมขาด ไมทะลุ ไมดาง ไมพรอย ภุชิสสานิ วิญูปะสัตถานิ อะปะรามัตถานิ สะมาธิสังวัตตะนิกานิ, เป็ นไท อันวิญูชนสรรเสริญ อันตัณหาแตะตองไมได เป็ นไปพรอมเพื่อสมาธิ ตะถารูเปสุ สีเลสุ สีละสามัญญะคะโต วิหะระติ, มีศีลเสมอกัน ในศีลทั้งหลายเห็นปานนั้น สะพ๎รัห๎มะจารีหิ อาวิ เจวะ ระโห จะ, กับเพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งตอหนาและลับหลัง อะยัมปิ ธัมโม สาราณีโย ปิ ยะกะระโณ คะรุกะระโณ, ธรรมแมขอนี้ ก็เป็ นเหตุใหระลึกถึงกัน สรางความรัก ความเคารพ สังคะหายะ อะวิวาทายะ สามัคคิยา เอกีภาวายะ สังวัตตะติ. เป็ นไปเพื่อสงเคราะหกัน ไมทะเลาะกัน สามัคคีกัน เป็ นอันเดียวกัน (๖) ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ, อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ ยายัง ทิฏฐิ อะริยา นิยยานิกา, ทิฏฐิใดอันประเสริฐ อันนําสัตวออกจากทุกข พระสูตร สาราณียธัมมสุตตัง ๑๖๔


๑๖๕ นิยยาติ ตักกะรัสสะ สัมมาทุกขักขะยายะ, นําผูกระทําตามทิฏฐินั้น เพื่อความสิ้นไปแหงทุกขโดยชอบ ตะถารูปายะ ทิฏฐิยา ทิฏฐิสามัญญะคะโต วิหะระติ, มีทิฏฐิเสมอกัน ในทิฏฐิเชนนั้น สะพ๎รัห๎มะจารีหิ อาวิ เจวะ ระโห จะ, กับเพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งตอหนาและลับหลัง อะยัมปิ ธัมโม สาราณีโย ปิ ยะกะระโณ คะรุกะระโณ, ธรรมแมขอนี้ ก็เป็ นเหตุใหระลึกถึงกัน สรางความรัก ความเคารพ สังคะหายะ อะวิวาทายะ สามัคคิยา เอกีภาวายะ สังวัตตะติ. เป็ นไปเพื่อสงเคราะหกัน ไมทะเลาะกัน สามัคคีกัน เป็ นอันเดียวกัน อิเม โข ภิกขะเว ฉะ ธัมมา สาราณียา ปิ ยะกะระณา คะรุกะระณา, ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๖ ประการนี้ เป็ นเหตุใหระลึกถึงกัน สรางความรัก ความเคารพ สังคะหายะ อะวิวาทายะ สามัคคิยา เอกีภาวายะ สังวัตตันตีติ. เป็ นไปเพื่อสงเคราะหกัน ไมทะเลาะกัน สามัคคีกัน เป็ นอันเดียวกัน อิทะมะโวจะ ภะคะวา, พระผูมีพระภาคเจาไดตรัสพระสูตรนี้แลว อัตตะมะนา เต ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง, อะภินันทุนติ. ภิกษุเหลานั้นก็มีใจยินดี เพลิดเพลิน ภาษิตของพระผูมีพระภาคเจา ดวยประการฉะนี้. พระสูตร สาราณียธัมมสุตตัง ๑๖๕


๑๖๖ ภิกขุอปริหานิยธัมมสุตตัง52 ๑ เอวัมเม สุตัง. ขาพเจา ไดสดับมาแลวอยางนี้ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา, สมัยหนึ่ง พระผูมีพระภาคเจา ราชะคะเห วิหะระติ, คิชฌะกูเฏ ปั พพะเต. ประทับอยู ณ เขาคิชฌกูฏ ใกลกรุงราชคฤห ตัต๎ระ โข ภะคะวา ภิกขูอามันเตสิ, ณ ที่นั้นแล พระผูมีพระภาคเจา ไดตรัสกะภิกษุทั้งหลายวา สัตตะ โว ภิกขะเว อะปะริหานิเย ธัมเม เทเสสสามิ. ภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตจักแสดงธรรม ไมเป็ นที่ตั้งแหงความเสื่อม ๗ ประการ แกเธอทั้งหลาย ตัง สุณาถะ สาธุกัง มะนะสิกะโรถะ ภาสิสสามีติ. ขอเธอทั้งหลายจงตั้งใจฟั งธรรมนั้นใหดี เราจะกลาว เอวัมภันเตติ โข เต ภิกขู ภะคะวะโต ปั จจัสโสสุง. ภิกษุเหลานั้นกราบทูลรับพระผูมี พระภาคเจาแลววา พระพุทธเจาขา ภะคะวา เอตะทะโวจะ. พระผูมีพระภาคเจา จึงตรัสพระพุทธพจนนี้วา กะตะเม จะ ภิกขะเว สัตตะ อะปะริหานิยา ธัมมา. ภิกษุทั้งหลาย ธรรมไมเป็ นที่ตั้ง แหงความเสื่อม ๗ ประการเป็ นไฉน (๑) ยาวะกีวัญจะ ภิกขะเว ภิกขู, ภิกษุทั้งหลาย ก็ตราบใดที่ภิกษุทั้งหลาย อะภิณหะสันนิปาตา ภะวิสสันติ สันนิปาตะพะหุลา, หมั่นประชุมกันเนืองนิตย หมั่นประชุมกันบอยๆ ๑ องฺ สตฺตก. ๒๓/๒๑. พระสูตร ๑๖๖


๑๖๗ วุฑฒิเยวะ ภิกขะเว ภิกขูนัง ปาฏิกังขา โน ปะริหานิ. ภิกษุทั้งหลาย ตราบนั้นภิกษุทั้งหลาย พึงหวังไดความเจริญอยางเดียว ไมมีความเสื่อมเลย (๒) ยาวะกีวัญจะ ภิกขะเว ภิกขู, ภิกษุทั้งหลาย ก็ตราบใดที่ภิกษุทั้งหลาย สะมัคคา สันนิปะติสสันติ, พรอมเพรียงกันประชุม สะมัคคา วุฏฐะหิสสันติ, พรอมเพรียงกันเลิกประชุม สะมัคคา สังฆะกะระณียานิ กะริสสันติ, พรอมเพรียงกันทํากิจสงฆ วุฑฒิเยวะ ภิกขะเว ภิกขูนัง ปาฏิกังขา โน ปะริหานิ. ภิกษุทั้งหลาย ตราบนั้นภิกษุทั้งหลาย พึงหวังไดความเจริญอยางเดียว ไมมีความเสื่อมเลย (๓) ยาวะกีวัญจะ ภิกขะเว ภิกขู, ภิกษุทั้งหลาย ก็ตราบใดที่ภิกษุทั้งหลาย อะปั ญญัตตัง นะ ปั ญญะเปสสันติ. จักไมบัญญัติสิ่งที่เรามิไดบัญญัติ ปั ญญัตตัง นะ สะมุจฉินทิสสันติ. จักไมถอนสิ่งที่เราบัญญัติไวแลว ยะถาปั ญญัตเตสุ สิกขาปะเทสุ สะมาทายะ วัตติสสันติ. จักยึดมั่นประพฤติตนอยูในสิกขาบท ทั้งหลาย ตามที่เราไดบัญญัติไวแลว วุฑฒิเยวะ ภิกขะเว ภิกขูนัง ปาฏิกังขา โน ปะริหานิ. ภิกษุทั้งหลาย ตราบนั้นภิกษุทั้งหลาย พึงหวังไดความเจริญอยางเดียว ไมมีความเสื่อมเลย (๔) ยาวะกีวัญจะ ภิกขะเว ภิกขู, ภิกษุทั้งหลาย ก็ตราบใดที่ภิกษุทั้งหลาย เย เต ภิกขู เถรา รัตตัญู จิระปั พพะชิตา, เหลาภิกษุผูเป็ นเถระ เป็ นรัตตัญู รูราตรี เป็ นผูบวชนาน สังฆะปิ ตะโร สังฆะปะริณายะกา, เป็ นสังฆบิดร เป็ นสังฆปริณายก เต สักกะริสสันติ คะรุกะริสสันติ มาเนสสันติ ปูเชสสันติ, จักสักการะ เคารพ นับถือ บูชาทานเหลานั้น เตสัญจะ โสตัพพัง มัญญิสสันติ. และเชื่อฟั งถอยคําของทานเหลานั้น พระสูตร ภิกขุอปริหานิยธัมมสุตตัง ๑๖๗


๑๖๘ วุฑฒิเยวะ ภิกขะเว ภิกขูนัง ปาฏิกังขา โน ปะริหานิ. ภิกษุทั้งหลาย ตราบนั้นภิกษุทั้งหลาย พึงหวังไดความเจริญอยางเดียว ไมมีความเสื่อมเลย (๕) ยาวะกีวัญจะ ภิกขะเว ภิกขู, ภิกษุทั้งหลาย ก็ตราบใดที่ภิกษุทั้งหลาย อุปปั นนายะ ตัณหายะ โปโนพภะวิกายะ โน วะสัง คัจฉิสสันติ. จักไมลุอํานาจแหงตัณหา อันกอใหเกิดภพใหม ซึ่งเกิดขึ้นแลว วุฑฒิเยวะ ภิกขะเว ภิกขูนัง ปาฏิกังขา โน ปะริหานิ. ภิกษุทั้งหลาย ตราบนั้นภิกษุทั้งหลาย พึงหวังไดความเจริญอยางเดียว ไมมีความเสื่อมเลย (๖) ยาวะกีวัญจะ ภิกขะเว ภิกขู, ภิกษุทั้งหลาย ก็ตราบใดที่ภิกษุทั้งหลาย อารัญญะเกสุ เสนาสะเนสุ สาเปกขา ภะวิสสันติ. จักเป็ นผูยินดี ในเสนาสนะป าทั้งหลาย วุฑฒิเยวะ ภิกขะเว ภิกขูนัง ปาฏิกังขา โน ปะริหานิ. ภิกษุทั้งหลาย ตราบนั้นภิกษุทั้งหลาย พึงหวังไดความเจริญอยางเดียว ไมมีความเสื่อมเลย (๗) ยาวะกีวัญจะ ภิกขะเว ภิกขู, ภิกษุทั้งหลาย ก็ตราบใดที่ภิกษุทั้งหลาย ปั จจัตตัญเญวะ สะติง อุปั ฏฐะเปสสันติ. จักเขาไปตั้งสติไว เฉพาะภายในวา กินติ อะนาคะตา จะ เปสะลา สะพ๎รัห๎มะจารี อาคัจเฉยยุง. ไฉนหนอ เพื่อนพรหมจารีผูมีศีลเป็ นที่รัก ที่ยังมิไดมา พึงมา อาคะตา จะ เปสะลา สะพ๎รัห๎มะจารี ผาสุง วิหะเรยยุนติ. และ เพื่อนพรหมจารีผูมีศีลเป็ นที่รัก ที่มาแลว พึงอยูใหสบาย ดังนี้ พระสูตร ภิกขุอปริหานิยธัมมสุตตัง ๑๖๘


๑๖๙ วุฑฒิเยวะ ภิกขะเว ภิกขูนัง ปาฏิกังขา โน ปะริหานิ. ภิกษุทั้งหลาย ตราบนั้นภิกษุทั้งหลาย พึงหวังไดความเจริญอยางเดียว ไมมีความเสื่อมเลย ยาวะกีวัญจะ ภิกขะเว อิเม สัตตะ อะปะริหานิยา ธัมมา ภิกขูสุ ฐัสสันติ. ภิกษุทั้งหลาย ตราบใดที่ธรรมไมเป็น ที่ตั้งแหงความเสื่อม ๗ ประการนี้ จักดํารงอยูในหมูภิกษุ อิเมสุ จะ สัตตะสุ อะปะริหานิเยสุ ธัมเมสุ ภิกขู สันทิสสิสสันติ. และหมูภิกษุจักยังสนใจในธรรมไมเป็ น ที่ตั้งแหงความเสื่อม ๗ ประการนี้อยู วุฑฒิเยวะ ภิกขะเว ภิกขูนัง ปาฏิกังขา โน ปะริหานีติ. ภิกษุทั้งหลาย ตราบนั้นภิกษุทั้งหลาย พึงหวังไดความเจริญอยางเดียว ไมมีความเสื่อมเลย อิทะมะโวจะ ภะคะวา. พระผูมีพระภาคเจาไดตรัสพระสูตรนี้แลว อัตตะมะนา เต ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง, อะภินันทุนติ. ภิกษุเหลานั้นมีใจยินดี เพลิดเพลิน ภาษิตของพระผูมีพระภาคเจา ดวยประการฉะนี้ พระสูตร ภิกขุอปริหานิยธัมมสุตตัง ๑๖๙


๑๗๐ ธัมมนิยามสุตตัง53 ๑ เอวัมเม สุตัง. ขาพเจา ไดสดับมาแลวอยางนี้ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา, สมัยหนึ่ง พระผูมีพระภาคเจา สาวัตถิยัง วิหะระติ, เชตะวะเน อะนาถะปิ ณฑิกัสสะ, อาราเม. ประทับอยูในวิหารเชตวัน อารามของ อนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกลกรุงสาวัตถี ตัต๎ระ โข ภะคะวา ภิกขู อามันเตสิ ภิกขะโวติ. ในกาลนั้นแล พระผูมีพระภาคเจาได ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายวา ภิกษุทั้งหลาย ภะทันเตติ เต ภิกขู ภะคะวะโต ปั จจัสโสสุง. ภิกษุเหลานั้นกราบทูลพระผูมีพระภาค เจาวา ขาแตพระองคผูเจริญ ภะคะวา เอตะทะโวจะ. พระผูมีพระภาคเจา จึงตรัสพระพุทธพจนนี้วา อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง, ภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตเจาทั้งหลาย อุบัติขึ้นก็ตาม พระตถาคตเจาทั้งหลาย ไมอุบัติขึ้นก็ตาม ฐิตา วะ สา ธาตุ ธัมมัฏฐิตะตา ธัมมะนิยามะตา, ธาตุนั้นนั่นแลตั้งอยูมีอยู นิยมอยู เป็ นธรรมดาวา สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ. สังขารทั้งหลาย อันอวิชชา ตัณหา กรรม ปรุงแตงขึ้นทั้งสิ้น ไมเที่ยง ดังนี้ ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ, เราตถาคตรูพรอมเฉพาะอยู ถึงพรอมเฉพาะอยูซึ่งสวนธาตุนั้น ๑ องฺ ติก. ๒๐/๓๖๙. พระสูตร ๑๗๐


๑๗๑ อะภิสัมพุชฌิต๎วา อะภิสะเมต๎วา อาจิกขะติ เทเสติ, ปั ญญะเปติ ปั ฏฐะเปติ, วิวะระติ วิภะชะติ อุตตานีกะโรติ, ครั้นรูพรอมเฉพาะแลว ถึงพรอมเฉพาะ แลว บอกกลาว แสดง บัญญัติ แตงตั้ง เปิ ดเผย จําแนก ทําความใหตื้ นขึ้นวา สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ. สังขารทั้งหลาย อันอวิชชา ตัณหา กรรม ปรุงแตงขึ้นทั้งสิ้น ไมเที่ยง ดังนี้ อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง, ภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตเจาทั้งหลายอุบัติขึ้นก็ตาม พระตถาคตเจาทั้งหลายไมอุบัติขึ้นก็ตาม ฐิตา วะ สา ธาตุ ธัมมัฏฐิตะตา ธัมมะนิยามะตา, ธาตุนั้นนั่นแลตั้งอยูมีอยู นิยมอยู เป็ นธรรมดาวา สัพเพ สังขารา ทุกขาติ. สังขารทั้งหลาย อันอวิชชา ตัณหา กรรม ปรุงแตงขึ้นทั้งสิ้น เป็นทุกขดังนี้ ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ, เราตถาคตรูพรอมเฉพาะอยู ถึงพรอม เฉพาะอยูซึ่งสวนธาตุนั้น อะภิสัมพุชฌิต๎วา อะภิสะเมต๎วา อาจิกขะติ เทเสติ, ปั ญญะเปติ ปั ฏฐะเปติ, วิวะระติ วิภะชะติ อุตตานีกะโรติ, ครั้นรูพรอมเฉพาะแลว ถึงพรอมเฉพาะ แลว บอกกลาว แสดง บัญญัติ แตงตั้ง เปิ ดเผย จําแนก ทําความใหตื้ นขึ้นวา สัพเพ สังขารา ทุกขาติ. สังขารทั้งหลาย อันอวิชชา ตัณหา กรรม ปรุงแตงขึ้นทั้งสิ้น เป็นทุกขดังนี้ อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง, ภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตเจาทั้งหลายอุบัติขึ้นก็ตาม พระตถาคตเจาทั้งหลายไมอุบัติขึ้นก็ตาม ฐิตา วะ สา ธาตุ ธัมมัฏฐิตะตา ธัมมะนิยามะตา, ธาตุนั้นนั่นแลตั้งอยูมีอยู นิยมอยู เป็ นธรรมดาวา พระสูตร ธัมมนิยามสุตตัง ๑๗๑


๑๗๒ สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ. ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา ดังนี้ ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ, เราตถาคตรูพรอมเฉพาะอยู ถึงพรอมเฉพาะอยูซึ่งสวนธาตุนั้น อะภิสัมพุชฌิต๎วา อะภิสะเมต๎วา อาจิกขะติ เทเสติ, ปั ญญะเปติ ปั ฏฐะเปติ, วิวะระติ วิภะชะติ อุตตานีกะโรติ, ครั้นรูพรอมเฉพาะแลว ถึงพรอมเฉพาะ แลว บอกกลาว แสดง บัญญัติ แตงตั้ง เปิ ดเผย จําแนก ทําความใหตื้ นขึ้นวา สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ. ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา ดังนี้ อิทะมะโวจะ ภะคะวา. พระผูมีพระภาคเจาไดตรัสพระสูตรนี้แลว อัตตะมะนา เต ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง, อะภินันทุนติ. ภิกษุเหลานั้นมีใจยินดี เพลิดเพลิน ภาษิตของพระผูมีพระภาคเจา ดวยประการฉะนี้ โคตมีสุตตัง54 ๑ เอวัมเม สุตัง. ขาพเจา ไดสดับมาแลวอยางนี้ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา, สมัยหนึ่ง พระผูมีพระภาคเจา เวสาลิยัง วิหะระติ, มะหาวะเน กูฏาคาระสาลายัง. ประทับอยูที่กูฏาคารศาลา ในป ามหาวัน ใกลเมืองเวสาลี อะถะโข มะหาปะชาปะติ โคตะมี, ครั้งนั้นแล พระนางมหาปชาบดีโคตมี เยนะ ภะคะวา เตนุปะสังกะมิ, เขาไปเฝ าพระผูมีพระภาคเจา อุปะสังกะมิต๎วา ครั้นเขาไปเฝ าแลว ภะคะวันตัง อะภิวาเทต๎วา ถวายอภิวาทพระผูมีพระภาคเจา เอกะมันตัง อัฏฐาสิ. ไดยืนแลว ณ สวนขางหนึ่ง ๑ องฺ อฏฺ ฐก. ๒๓/๑๔๓. พระสูตร ธัมมนิยามสุตตัง ๑๗๒


๑๗๓ เอกะมันตัง ฐิตา โข มะหาปะชาปะติ โคตะมี พระนางมหาปชาบดีโคตมี ยืนแลว ณ สวนขางหนึ่งแล ภะคะวันตัง เอตะทะโวจะ. ไดกราบทูลคํานี้ กะพระผูมีพระภาคเจาวา สาธุ เม ภันเต ภะคะวา สังขิตเตนะ ธัมมัง เทเสตุ, ยะมะหัง ภะคะวะโต ธัมมัง สุต๎วา, เอกา วูปะกัฏฐา อัปปะมัตตา อาตาปิ นี ปะหิตัตตา วิหะเรยยันติ. ดีแลวพระเจาขา ขาพระองคไดสดับ พระธรรมใด ของพระผูมีพระภาคเจาแลว พึงเป็ นผูๆ เดียว หลีกออกแลว เป็ นผูไมประมาท มีความเพียร มีตนสงไปแลวอยู(คือทุมเทไมยอทอ ไมอาลัยในชีวิต) ขอพระผูมีพระภาคเจา ทรงแสดงพระธรรมนั้น แกขาพระองค โดยยอเถิด ดังนี้ เย โข ต๎วัง โคตะมิ ธัมเม ชาเนยยาสิ. พระผูมีพระภาคเจาตรัสวา ดูกอน พระนางโคตมี ทานพึงรู ธรรมเหลาใดแล (๑) อิเม ธัมมา สะราคายะ สังวัตตันติ วาธรรมเหลานี้ เป็ นไป เพื่อความกําหนัดยอมใจ โน วิราคายะ.หาเป็ นไป เพื่อคลายความกําหนัดไม (๒) สังโยคายะ สังวัตตันติ ธรรมเหลานี้ เป็ นไปเพื่อความประกอบทุกข โน วิสังโยคายะ.หาเป็ นไป เพื่อปราศจากความประกอบ ทุกขไม (๓) อาจะยายะ สังวัตตันติ ธรรมเหลานี้ เป็ นไป เพื่อความสั่งสมกองกิเลส โน อะปะจะยายะ.หาเป็ นไป เพื่อความไมสั่งสมกองกิเลสไม (๔) มะหิจฉะตายะ สังวัตตันติ ธรรมเหลานี้ เป็ นไปเพื่อความอยากใหญ โน อัปปิ จฉะตายะ.หาเป็ นไป เพื่อความอยากอันนอยไม พระสูตร โคตมีสุตตัง ๑๗๓


๑๗๔ (๕) อะสันตุฏฐิยา สังวัตตันติ ธรรมเหลานี้ เป็ นไปเพื่อความไมสันโดษ โน สันตุฏฐิยา.หาเป็ นไป เพื่อความสันโดษไม (๖) สังคะณิกายะ สังวัตตันติ ธรรมเหลานี้ เป็ นไป เพื่อความคลุกคลีดวยหมูคณะ โน ปะวิเวกายะ หาเป็ นไป เพื่อความสงัดจากหมูคณะไม (๗) โกสัชชายะ สังวัตตันติ ธรรมเหลานี้ เป็ นไปเพื่อความเกียจคราน โน วิริยารัมภายะ.หาเป็ นไป เพื่อความปรารภความเพียรไม (๘) ทุพภะระตายะ สังวัตตันติ ธรรมเหลานี้ เป็ นไป เพื่อความเป็ นคนเลี้ยงยาก โน สุภะระตายาติ.หาเป็ นไป เพื่อความเป็ นคนเลี้ยงงายไม เอกังเสนะ โคตะมิ ธาเรยยาสิ, ดูกอน พระนางโคตมี ทานพึงทรงจําไวโดยสวนเดียว วา เนโส ธัมโม เนโส วินะโย นี่ไมใชธรรม นี่ไมใชวินัย เนตัง สัตถุสาสะนันติ. นี่ไมใชสัตถุศาสนา เย จะ โข ต๎วัง โคตะมิ ธัมเม ชาเนยยาสิ. ดูกอน พระนางโคตมี ก็ทานพึงรู ซึ่งธรรมเหลาใดแล (๑) อิเม ธัมมา วิราคายะ สังวัตตันติ วาธรรมเหลานี้ เป็ นไป เพื่อคลายความกําหนัด โน สะราคายะ.หาเป็ นไป เพื่อความกําหนัดยอมใจไม (๒) วิสังโยคายะ สังวัตตันติ ธรรมเหลานี้เป็ นไป เพื่อปราศจากความประกอบทุกข โน สังโยคายะ. หาเป็ นไป เพื่อความประกอบทุกขไม (๓) อะปะจะยายะ สังวัตตันติ ธรรมเหลานี้ เป็ นไป เพื่อความไมสั่งสมกองกิเลส โน อาจะยายะ.หาเป็ นไป เพื่อสั่งสมกองกิเลสไม พระสูตร โคตมีสุตตัง ๑๗๔


๑๗๕ (๔) อัปปิ จฉะตายะ สังวัตตันติ ธรรมเหลานี้ เป็ นไปเพื่อความอยากอันนอย โน มะหิจฉะตายะ. หาเป็ นไป เพื่อความอยากใหญไม (๕) สันตุฏฐิยา สังวัตตันติ ธรรมเหลานี้ เป็ นไปเพื่อความสันโดษ โน อะสันตุฏฐิยา. หาเป็ นไป เพื่อความไมสันโดษไม (๖) ปะวิเวกายะ สังวัตตันติ ธรรมเหลานี้ เป็ นไป เพื่อความสงัดจากหมูคณะ โน สังคะณิกายะ. หาเป็ นไป เพื่อความคลุกคลีดวยหมูคณะไม (๗) วิริยารัมภายะ สังวัตตันติ ธรรมเหลานี้ เป็ นไป เพื่อความปรารภความเพียร โน โกสัชชายะ. หาเป็ นไป เพื่อความเกียจครานไม (๘) สุภะระตายะ สังวัตตันติ ธรรมเหลานี้ เป็ นไป เพื่อความเป็ นคนเลี้ยงงาย โน ทุพภะระตายาติ. หาเป็ นไป เพื่อความเป็ นคนเลี้ยงยากไม เอกังเสนะ โคตะมิ ธาเรยยาสิ, ดูกอนพระนางโคตมี ทานพึงทรงจําไวโดยสวนเดียว วา เอโส ธัมโม เอโส วินะโย นี่เป็นธรรม นี่เป็นวินัย เอตัง สัตถุสาสะนันติ. นี่เป็นสัตถุศาสนา (คําสอนของ พระศาสดา) อิทะมะโวจะ ภะคะวา. พระผูมีพระภาคเจา ไดตรัสพระสูตรนี้จบลง อัตตะมะนา มะหาปะชาปะติ โคตะมี ภะคะวะโต ภาสิตัง, อะภินันทีติ. พระนางมหาปชาบดีโคตมี ก็มีใจยินดี เพลิดเพลินภาษิตของพระผูมี พระภาคเจา ดวยประการฉะนี้แล. พระสูตร โคตมีสุตตัง ๑๗๕


๑๗๖ สติปั ฏฐานปาฐะ อัตถิ โข เตนะ ภะคะวะตา ชานะตา ปั สสะตา อะระหะตา สัมมาสัมพุทเธนะ. เอกายะโน อะยัง มัคโค สัมมะทักขาโต, หนทางนี้ ที่พระผูมีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจาพระองคนั้น ผูทรงรู ทรงเห็น ตรัสไวโดยชอบแลว มีอยูแล เป็ นหนทางที่ไปอันเอก สัตตานัง วิสุทธิยา, เพื่อความหมดจดวิเศษแหงสัตวทั้งหลาย โสกะปะริเทวานัง สะมะติกกะมายะ, เพื่อกาวลวงซึ่งความโศก และความรํ่าไร ทุกขะโทมะนัสสานัง อัตถังคะมายะ, เพื่อดับไปแหงทุกขและโทมนัส ญายัสสะ อะธิคะมายะ, เพื่อบรรลุญายธรรม คืออริยมรรค นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ. เพื่อกระทําพระนิพพานใหแจง ยะทิทัง จัตตาโร สะติปั ฏฐานา, หนทางนี้ คือสติปั ฏฐาน ๔ อยาง กะตะเม จัตตาโร. สติปั ฏฐาน ๔ อยาง เป็ นไฉน อิธะ ภิกขุ, คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ กาเย กายานุปั สสี วิหะระติ, พิจารณาเห็นกายในกายอยูเนืองๆ อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง. มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กําจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสีย เวทะนาสุ เวทะนานุปั สสี วิหะระติ, พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย อยูเนืองๆ อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง. มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กําจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสีย จิตเต จิตตานุปั สสี วิหะระติ, พิจารณาเห็นจิตในจิตอยูเนืองๆ อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง. มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กําจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสีย ธัมเมสุ ธัมมานุปั สสี วิหะระติ, พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย อยูเนืองๆ พระสูตร ๑๗๖


๑๗๗ อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง. มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กําจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสีย (๑) กะถัญจะ ภิกขุ กาเย กายานุปั สสี วิหะระติ. ก็ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายอยูเนืองๆ คืออยางไร? อิธะ ภิกขุ, ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปั สสี วิหะระติ, พิจารณาเห็นกายในกายอยูเนืองๆ เป็ นภายในบาง พะหิทธา วา กาเย กายานุปั สสี วิหะระติ, พิจารณาเห็นกายในกายอยูเนืองๆ เป็ นภายนอกบาง อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปั สสี วิหะระติ, พิจารณาเห็นกายในกายอยูเนืองๆ ทั้งภายใน ทั้งภายนอกบาง สะมุทะยะธัมมานุปั สสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ, พิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นอยู เนืองๆ ในกายบาง วะยะธัมมานุปั สสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ. พิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไป อยูเนืองๆ ในกายบาง สะมุทะยะวะยะธัมมานุปั สสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ, พิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปอยูเนืองๆ ในกายบาง อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติ ปั จจุปั ฏฐิตา โหติ, ก็หรือสติระลึกวากายมีอยู เขาไปตั้งอยูเฉพาะหนาแกเธอนั้น ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ. เพียงสักวาเป็ นที่รู เพียงสักวาเป็ นที่อาศัยระลึก อะนิสสิโต จะ วิหะระติ นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. เธออันตัณหาทิฏฐิไมติดอยูดวย ไมยึดถืออะไรๆ ในโลกดวย พระสูตร สติปัฏฐานปาฐะ ๑๗๗


๑๗๘ เอวัง โข ภิกขุ กาเย กายานุปั สสี วิหะระติ. อยางนี้แล ภิกษุชื่อวาพิจารณาเห็นกาย ในกายอยูเนืองๆ (๒) กะถัญจะ ภิกขุ เวทะนาสุ เวทะนานุปั สสี วิหะระติ. ก็ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา ทั้งหลายอยูเนืองๆ คืออยางไร? อิธะ ภิกขุ, ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อัชฌัตตัง วา เวทะนาสุ เวทะนานุปั สสี วิหะระติ, พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย อยูเนืองๆ เป็ นภายในบาง พะหิทธา วา เวทะนาสุ เวทะนานุปั สสี วิหะระติ, พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย อยูเนืองๆ เป็ นภายนอกบาง อัชฌัตตะพะหิทธา วา เวทะนาสุ เวทะนานุปั สสี วิหะระติ, พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย อยูเนืองๆ ทั้งภายใน ทั้งภายนอกบาง สะมุทะยะธัมมานุปั สสี วา เวทะนาสุ วิหะระติ, พิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นอยู เนืองๆ ในเวทนาทั้งหลายบาง วะยะธัมมานุปั สสี วา เวทะนาสุ วิหะระติ, พิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไป อยูเนืองๆ ในเวทนาทั้งหลายบาง สะมุทะยะวะยะธัมมานุปั สสี วา เวทะนาสุ วิหะระติ. พิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปอยูเนืองๆ ในเวทนาทั้งหลายบาง อัตถิ เวทะนาติ วา ปะนัสสะ สะติ ปั จจุปั ฏฐิตา โหติ, ก็หรือสติระลึกวาเวทนาทั้งหลายมีอยู เขาไปตั้งอยูเฉพาะหนาแกเธอนั้น ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ. เพียงสักวาเป็ นที่รู เพียงสักวาเป็ นที่อาศัยระลึก พระสูตร สติปัฏฐานปาฐะ ๑๗๘


๑๗๙ อะนิสสิโต จะ วิหะระติ นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. เธออันตัณหาทิฏฐิไมติดอยูดวย ไมยึดถืออะไรๆ ในโลกดวย เอวัง โข ภิกขุ เวทะนาสุ เวทะนานุปั สสี วิหะระติ. อยางนี้แล ภิกษุชื่อวาพิจารณาเห็น เวทนาในเวทนาทั้งหลายอยูเนืองๆ (๓) กะถัญจะ ภิกขุ จิตเต จิตตานุปั สสี วิหะระติ. ก็ภิกษุพิจารณาเห็นจิตในจิตอยูเนืองๆ คืออยางไร? อิธะ ภิกขุ, ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อัชฌัตตัง วา จิตเต จิตตานุปั สสี วิหะระติ, พิจารณาเห็นจิตในจิตอยูเนืองๆ เป็ นภายในบาง พะหิทธา วา จิตเต จิตตานุปั สสี วิหะระติ, พิจารณาเห็นจิตในจิตอยูเนืองๆ เป็ นภายนอกบาง อัชฌัตตะพะหิทธา วา จิตเต จิตตานุปั สสี วิหะระติ, พิจารณาเห็นจิตในจิตอยูเนืองๆ ทั้งภายใน ทั้งภายนอกบาง สะมุทะยะธัมมานุปั สสี วา จิตตัส๎มิง วิหะระติ, พิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นอยู เนืองๆ ในจิตบาง วะยะธัมมานุปั สสี วา จิตตัส๎มิง วิหะระติ, พิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไป อยูเนืองๆ ในจิตบาง สะมุทะยะวะยะธัมมานุปั สสี วา จิตตัส๎มิง วิหะระติ, พิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปอยูเนืองๆ ในจิตบาง อัตถิ จิตตันติ วา ปะนัสสะ สะติ ปั จจุปั ฏฐิตา โหติ, ก็หรือสติระลึกวาจิตมีอยู เขาไปตั้งอยูเฉพาะหนาแกเธอนั้น ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ. เพียงสักวาเป็ นที่รู เพียงสักวาเป็ นที่อาศัยระลึก พระสูตร สติปัฏฐานปาฐะ ๑๗๙


๑๘๐ อะนิสสิโต จะ วิหะระติ นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. เธออันตัณหาทิฏฐิไมติดอยูดวย ไมยึดถืออะไรๆ ในโลกดวย เอวัง โข ภิกขุ จิตเต จิตตานุปั สสี วิหะระติ. อยางนี้แล ภิกษุชื่อวาพิจารณาเห็นจิตใน จิตอยูเนืองๆ (๔) กะถัญจะ ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปั สสี วิหะระติ. ก็ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย อยูเนืองๆ คืออยางไร? อิธะ ภิกขุ, ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อัชฌัตตัง วา ธัมเมสุ ธัมมานุปั สสี วิหะระติ, พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย อยูเนืองๆ เป็ นภายในบาง พะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปั สสี วิหะระติ, พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย อยูเนืองๆ เป็ นภายนอกบาง อัชฌัตตะพะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปั สสี วิหะระติ, พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย อยูเนืองๆ ทั้งภายใน ทั้งภายนอกบาง สะมุทะยะธัมมานุปั สสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ, พิจารณาเห็นธรรมดา คือความเกิดขึ้นอยู เนืองๆ ในธรรมทั้งหลายบาง วะยะธัมมานุปั สสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ, พิจารณาเห็นธรรมดา คือความเสื่อมไป อยูเนืองๆ ในธรรมทั้งหลายบาง สะมุทะยะวะยะธัมมานุปั สสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ, พิจารณาเห็นธรรมดา คือทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไปอยูเนืองๆ ในธรรมทั้งหลายบาง อัตถิ ธัมมาติ วา ปะนัสสะ สะติ ปั จจุปั ฏฐิตา โหติ, ก็หรือสติระลึกวาธรรมทั้งหลายมีอยู เขาไปตั้งอยูเฉพาะหนาแกเธอนั้น พระสูตร สติปัฏฐานปาฐะ ๑๘๐


๑๘๑ ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ. เพียงสักวาเป็ นที่รู เพียงสักวาเป็ นที่อาศัยระลึก อะนิสสิโต จะ วิหะระติ นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. เธออันตัณหาทิฏฐิไมติดอยูดวย ไมยึดถืออะไรๆ ในโลกดวย เอวัง โข ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปั สสี วิหะระติ. อยางนี้แล ภิกษุชื่อวาพิจารณาเห็นธรรม ในธรรมทั้งหลายอยูเนืองๆ อะยัง โข เตนะ ภะคะวะตา ชานะตา ปั สสะตา อะระหะตา สัมมาสัมพุทเธนะ. เอกายะโน มัคโค สัมมะทักขาโต, หนทางนี้แล อันพระผูมีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจาพระองคนั้น ผูทรงรูทรงเห็น ตรัสไวโดยชอบแลว เป็ นหนทางเป็ นที่ไปอันเอก สัตตานัง วิสุทธิยา, เพื่อความหมดจดวิเศษแหงสัตวทั้งหลาย โสกะปะริเทวานัง สะมะติกกะมายะ, เพื่อกาวลวงซึ่งความโศก และความรํ่าไร ทุกขะโทมะนัสสานัง อัตถังคะมายะ, เพื่อดับไปแหงทุกขและโทมนัส ญายัสสะ อะธิคะมายะ, เพื่อบรรลุญายธรรม คืออริยมรรค นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ. เพื่อกระทําพระนิพพานใหแจง ยะทิทัง จัตตาโร สะติปั ฏฐานาติ. หนทางนี้ คือสติปั ฏฐาน ๔ อยาง ดังนี้แล. เอกายะนัง ชาติขะยันตะทัสสี, มัคคัง ปะชานาติ หิตานุกัมปี, พระศาสดาผูทรงเห็นความสิ้นและที่สุด แหงชาติทรงอนุเคราะหดวยประโยชน เกื้ อกูล ทรงทราบหนทางเป็ นที่ไปอันเอก เอเตนะ มัคเคนะ ตะริงสุ ปุพเพ, ตะริสสะเร เจวะ ตะรันติ โจฆันติ. ในกาลกอน ชนทั้งหลาย ขามโอฆะไดแลว โดยหนทางนี้ ในอนาคตก็จักขาม โดยหนทางนี้ และ ในบัดนี้ ก็ขามอยูโดยหนทางนี้ ดังนี้แล. พระสูตร สติปัฏฐานปาฐะ ๑๘๑


๑๘๒ ทสธัมมสุตตปาฐะ55 ๑ ทะสะ อิเม ภิกขะเว ธัมมา, ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๑๐ ประการนี้ ปั พพะชิเตนะ อะภิณหัง ปั จจะเวกขิตัพพา. อันบรรพชิต ควรพิจารณาเนืองๆ กะตะเม ทะสะ, ๑๐ ประการนี้ คือ (๑) เววัณณิยัมหิ อัชฌูปะคะโตติ, บัดนี้เรามีเพศตางจากคฤหัสถแลว อาการกิริยาใดๆ ของสมณะ เราตองทําอาการกิริยานั้นๆ (๒) ปะระปะฏิพัทธา เม ชีวิกาติ, การเลี้ยงชีพของเราเนื่องดวยผูอื่น เราควรทําตัวใหเขาเลี้ยงงาย (๓) อัญโญ เม อากัปโป กะระณีโยติ, อาการกาย วาจา อยางอื่น ที่เราจะตองทําใหดีขึ้นไปกวานี้ยังมีอยูอีก มิใชเพียงเทานี้ (๔) กัจจิ นุ โข เม อัตตา สีละโต นะ อุปะวะทะตีติ, ตัวเราเอง ติเตียนตัวเราเอง โดยศีลไดหรือไม (๕) กัจจิ นุ โข มัง อะนุวิจจะ วิญู สะพ๎รัห๎มะจารี สีละโต นะ อุปะวะทันตีติ, ทานผูรูใครครวญแลว ติเตียนตัวเราโดยศีลไดหรือไม (๖) สัพเพหิ เม ปิ เยหิ มะนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโวติ, เราจะละเวนเป็ นตางๆ คือวา จะตองไดพลัดพรากจากของรัก ของเจริญใจทั้งสิ้นไป ๑ องฺ ทสก. ๒๔/๔๘. พระสูตร ๑๘๒


๑๘๓ (๗) กัมมัสสะโกมหิ กัมมะทายาโท กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ กัมมะปะฏิสะระโณ, ยัง กัมมัง กะริสสามิ กัล๎ยาณัง วา ปาปะกัง วา ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามีติ, เรามีกรรมเป็ นของๆ ตน มีกรรมเป็ นผูใหผล มีกรรมเป็ นแดนเกิด มีกรรมเป็ นผูติดตาม มีกรรมเป็ นที่พึ่ง อาศัย เราจักทํากรรมอันใดไวเป็ นบุญ หรือเป็ นบาป เราจักเป็ นทายาท คือวาจักตองไดรับผลของกรรมนั้นสืบไป (๘) กะถัมภูตัสสะ เม รัตตินทิวา วีติปะตันตีติ, วันคืนลวงไปๆ บัดนี้เราทําอะไรอยู (๙) กัจจิ นุ โขหัง สุญญาคาเร อะภิระมามีติ, เรายินดีในที่สงัดหรือไม (๑๐) อัตถิ นุ โข เม อุตตะริมะนุสสะธัมมา, อะละมะริยะญาณะทัสสะนะวิเสโส อะธิคะโต, โสหัง ปั จฉิเม กาเล สะพ๎รัห๎มะจารีหิ ปุฏโฐ นะ มังกุ ภะวิสสามีติ, คุณวิเศษของเรา มีอยูหรือไม ที่จะทําใหเราเป็ นผูไมเกอเขิน ในเวลาเพื่อนบรรพชิตถาม ในกาลภายหลัง อิเม โข ภิกขะเว ทะสะ ธัมมา ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๑๐ ประการนี้ ปั พพะชิเตนะ อะภิณหัง ปั จจะเวกขิตัพพาติ. อันบรรพชิต ควรพิจารณาเนืองๆ อยางนี้แล. พระสูตร ทสธัมมสุตตปาฐะ ๑๘๓


๑๘๔ โคตมกเจติยธัมมปริยาย อะภิญญายะ โข โส ภะคะวา ธัมมัง เทเสติ พระผูมีพระภาคเจานั้น ทรงแสดงธรรมเพื่อความรูยิ่งแล โน อะนะภิญญายะ, เพื่อความไมรูยิ่ง หามิได สะนิทานัง ธัมมัง เทเสติ ทรงแสดงธรรมมีเหตุ โน อะนิทานัง, ไมมีเหตุ หามิได สัปปาฏิหาริยัง ธัมมัง เทเสติ ทรงแสดงธรรมมีปาฏิหาริย โน อัปปาฏิหาริยัง, ไมมีปาฏิหาริย หามิได ตัสสะ โข ปะนะ ภะคะวะโต ก็เมื่อพระผูมีพระภาคเจานั้นแล อะภิญญายะ ธัมมัง เทสะยะโต, ทรงแสดงธรรมเพื่อความรูยิ่ง โน อะนะภิญญายะ, เพื่อความไมรูยิ่ง หามิได สะนิทานัง ธัมมัง เทสะยะโต ทรงแสดงธรรมมีเหตุ โน อะนิทานัง, ไมมีเหตุ หามิได สัปปาฏิหาริยัง ธัมมัง เทสะยะโต ทรงแสดงธรรมมีปาฏิหาริย โน อัปปาฏิหาริยัง, ไมมีปาฏิหาริย หามิได กะระณีโย โอวาโท, โอวาทของพระองคควรกระทํา กะระณียา อะนุสาสะนี, อนุสาสนีของพระองคควรกระทํา อะลัญจะ ปะนะ โน ตุฏฐิยา, ก็แลควรแทที่เราทั้งหลายจะยินดี อะลัง อัตตะมะนะตายะ, ควรจะดีใจ อะลัง โสมะนัสสายะ, ควรจะโสมนัส สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา, วาพระผูมีพระภาคเจา เป็ นผูตรัสรูชอบเองแลว ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, พระธรรม อันพระผูมีพระภาคเจาตรัสดีแลว สุปะฏิปั นโน สังโฆติ. พระสงฆปฏิบัติดีแลว ดังนี้. พระสูตร ๑๘๔


๑๘๕ บทสวดแจง พระวินัย0 ๑ ยันเตนะ ภะคะวะตา ชานะตา ปั สสะตา อะระหะตา สัมมาสัมพุทเธนะ, (ถาม) อาบัติใด พระผูมีพระภาคเจา ผูทรงรูแจง ทรงเห็นจริง ทรงหางไกล จากกิเลส ผูตรัสรูเองโดยชอบ, ปะฐะมัง ปาราชิกัง กัตถะ ปั ญญัตตันติ. คือปฐมปาราชิก ทรงบัญญัติไวที่ไหน?. เวสาลิยัง ปั ญญัตตันติ. (ตอบ) ทรงบัญญัติไวในเมืองเวสาลี. กัง อารัพภาติ. (ถาม) ทรงปรารภใคร?. สุทินนัง กะลันทะปุตตัง อารัพภาติ. (ตอบ) ทรงปรารภพระสุทินกลันทบุตร. กิส๎มิง วัตถุส๎มินติ. (ถาม) ในเพราะเรื่องอะไร?. สุทินโน กะลันทะปุตโต ปุราณะทุติยิกายะ เมถุนัง ธัมมัง ปะฏิเสวิ, (ตอบ) พระสุทินกลันทบุตร ไดเสพเมถุน กับภรรยาเกา, ตัส๎มิง วัตถุส๎มินติ. ในเพราะเรื่องนั้น. เตนะ สะมะเยนะ พุทโธ ภะคะวา, โดยสมัยนั้น พระผูมีพระภาคเจา เวรัญชายัง วิหะระติ นะเฬรุปุจิ- มันทะมูเล มะหะตา ภิกขุสังเฆนะ, กับภิกษุสงฆหมูใหญ ประทับที่โคน ตนไทรยอย ในเมืองเวรัญชา, สัทธิง ปั ญจะมัตเตหิ ภิกขุสะเตหิ. พรอมดวยพระภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป. อัสโสสิ โข เวรัญโช พ๎ราห๎มะโณ, เวรัญชพราหมณไดสดับวา, สะมะโณ ขะลุ โภ โคตะโม สัก๎ยะปุตโต สัก๎ยะกุลา ปั พพะชิโต, ทานผูเจริญ นัยวา พระสมณโคดม ศากยบุตรออกผนวชจากศากยราชสกุล, ๑ วิ. มหา. ๑/๑ , วิ. จุลฺ ๗/๓๘๓. ๑๘๕


๑๘๖ เวรัญชายัง วิหะระติ นะเฬรุปุจิ- มันทะมูเล มะหะตา ภิกขุสังเฆนะ, กับภิกษุสงฆหมูใหญ ประทับอยูที่โคน ตนไทรยอย ในเมืองเวรัญชา, สัทธิง ปั ญจะมัตเตหิ ภิกขุสะเตหิ. พรอมดวยภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป. ตังโข ปะนะ ภะวันตัง โคตะมัง เอวัง กัล๎ยาโณ กิตติสัทโท อัพภุคคะโต, ก็เกียรติศัพทอันงามของพระสมณโคดม ผูเจริญพระองคนั้นหนา ฟ ุงขจรไปแลว ดังนี้วา, อิติปิ โส ภะคะวา แมเพราะเหตุนี้ๆ พระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น อะระหัง ทรงเป็ นผูไกลจากกิเลส สัมมาสัมพุทโธ, ทรงเป็ นผูตรัสรูชอบไดโดยพระองคเอง วิชชาจะระณะสัมปั นโน ทรงเป็ นผูถึงพรอมดวยวิชชาและจรณะ สุคะโต เสด็จไปดีแลว โลกะวิทู, ทรงรูแจงโลก, อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ ทรงฝึ กบุรุษที่ควรฝึ ก ไมมีผูอื่นยิ่งกวา สัตถา เทวะมะนุสสานัง ทรงเป็ นศาสดาของเทวดา และมนุษยทั้งหลาย พุทโธ ทรงเป็ นผูรู ผูตื่น ผูเบิกบาน ภะคะวาติ. ทรงจําแนกธรรม ดังนี้ โส อิมัง โลกัง สะเทวะกัง สะมาระกัง สะพ๎รัห๎มะกัง สัสสะมะณะพ๎ราห๎มะณิง ปะชัง สะเทวะมะนุสสัง สะยัง อะภิญญา สัจฉิกัต๎วา ปะเวเทติ, พระผูมีพระภาคเจานั้น ทรงทําโลกนี้ พรอมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ใหแจงชัด ดวยพระปั ญญาอันยิ่งเองแลว ทรงสอนหมูสัตวพรอมทั้งสมณพราหมณ เทวดาและมนุษยใหรูตาม, โส ธัมมัง เทเสติ พระองคทรงแสดงธรรม อาทิกัล๎ยาณัง ไพเราะในเบื้ องตน มัชเฌกัล๎ยาณัง ไพเราะในทามกลาง บทสวดแจง พระวินัย ๑๘๖


๑๘๗ ปะริโยสานะกัล๎ยาณัง, ไพเราะในที่สุด, สาตถัง สะพ๎ยัญชะนัง เกวะละปะริปุณณัง ปะริสุทธัง พ๎รัห๎มะจะริยัง ปะกาเสติ. ทรงประกาศพรหมจรรย พรอมทั้งอรรถ พรอมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิบริบูรณสิ้นเชิง. ์ สาธุ โข ปะนะ ตะถารูปานัง อะระหะตัง ทัสสะนัง โหตีติ. ก็การไดเห็นพระอรหันตทั้งหลาย เห็นปานนั้น เป็ นความดียิ่งนักแล ดังนี้. พระสูตร57 ๑ เอวัมเม สุตัง. ขาพเจา ไดสดับมาแลวอยางนี้ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา, สมัยหนึ่ง พระผูมีพระภาคเจา อันตะรา จะ ราชะคะหัง อันตะรา จะ นาลันทัง อัทธานะมัคคะปะฏิปั นโน โหติ, เสด็จดําเนินทางไกล ในระหวางกรุงราชคฤห กับเมืองนาลันทา, มะหะตา ภิกขุสังเฆนะ, กับภิกษุสงฆหมูใหญ, สัทธิง ปั ญจะมัตเตหิ ภิกขุสะเตหิ. พรอมดวยภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป. สุปปิ โยปิ โข ปะริพพาชะโก อันตะรา จะ ราชะคะหัง อันตะรา จะ นาลันทัง อัทธานะมัคคะปะฏิปั นโน โหติ, แมสุปปิ ยปริพาชก ก็เป็ นผูเดินทางไกล ในระหวางเมืองราชคฤห และเมืองนาลันทา, สัทธิง อันเตวาสินา พ๎รัห๎มะทัตเตนะ มาณะเวนะ. พรอมดวยพรหมทัตมาณพ ผูเป็ นอันเตวาสิก. ๑ ที. สี. ๙/๑. บทสวดแจง พระวินัย ๑๘๗


๑๘๘ ตัต๎ระ สุทัง สุปปิ โย ปะริพพาชะโก นัยวา ณ ที่นั้น สุปปิ ยปริพาชก อะเนกะปะริยาเยนะ, พุทธัสสะ อะวัณณัง ภาสะติ, ธัมมัสสะ อะวัณณัง ภาสะติ, สังฆัสสะ อะวัณณัง ภาสะติ, ไดกลาวติเตียนพระพุทธเจา กลาวติเตียนพระธรรม กลาวติเตียนพระสงฆ โดยอเนกปริยาย สุปปิ ยัสสะ ปะนะ ปะริพพาชะกัสสะ อันเตวาสี พ๎รัห๎มะทัตโต มาณะโว แตพรหมทัตมาณพ ผูเป็ นอันเตวาสิก ของสุปปิ ยปริพาชก อะเนกะปะริยาเยนะ, พุทธัสสะ วัณณัง ภาสะติ, ธัมมัสสะ วัณณัง ภาสะติ, สังฆัสสะ วัณณัง ภาสะติ. กลับกลาวสรรเสริญพระพุทธเจา กลาวสรรเสริญพระธรรม กลาวสรรเสริญพระสงฆ โดยอเนกปริยาย. อิติหะ เต อุโภ อาจะริยันเตวาสี อัญญะมัญญัสสะ อุชุวิปั จจะนิกะวาทา, เป็ นอันวาอาจารยและอันเตวาสิก ทั้ง ๒ นั้น มีวาจาเป็ นขาศึกตอกันและกัน, ภะคะวันตัง ปิ ฏฐิโต ปิ ฏฐิโต อะนุพันธา โหนติ ภิกขุสังฆัญจะ. ไดเดินติดตามพระผูมีพระภาคเจา และภิกษุสงฆไปขางหลัง. บทสวดแจง พระสูตร ๑๘๘


Click to View FlipBook Version