The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wonchai890, 2023-06-29 23:09:14

A4 สวดมนต์แปล

A4 สวดมนต์แปล

๘๙ เย พ๎ราห๎มะณา เวทะคุ สัพพะธัมเม, พราหมณเหลาใดเป็ นผูรูจบในธรรมทั้งปวง เต เม นะโม เต จะ มัง ปาละยันตุ. พราหมณเหลานั้น จงรับความนอบนอม ของเรา ขอพราหมณเหลานั้นจงรักษา เราดวยเถิด นะมัตถุ พุทธานัง ความนอบนอมของเรา จงมีแดพระพุทธเจาทั้งหลาย นะมัตถุ โพธิยา, ความนอบนอมของเรา จงมีแดพระโพธิญาณ, นะโม วิมุตตานัง ความนอบนอมของเรา จงมีแดทานผูหลุดพนแลวทั้งหลาย นะโม วิมุตติยา. ความนอบนอมของเรา จงมีแดวิมุตติธรรม. อิมัง โส ปะริตตัง กัต๎วา โมโร จะระติ เอสะนา. นกยูงนั้นไดกระทําปริตรอันนี้แลว จึงเที่ยวไปเพื่ออันแสวงหาอาหาร. อะเปตะยัญจักขุมา เอกะราชา หะริสสะวัณโณ ปะฐะวิปปะภาโส. พระอาทิตยนี้เป็ นดวงตาของโลก เป็ นเจาแหงแสงสวาง กําลังลาลับไป จากการสองแสงแกพื้ นปฐพี. ตัง ตัง นะมัสสามิ หะริสสะวัณณัง ปะฐะวิปปะภาสัง, เราขอนอบนอมซึ่งพระอาทิตยนั้น ผูสาดแสงสีทองสองพื้ นปฐพี, ตะยัชชะ คุตตา วิหะเรมุ รัตติง. เราทั้งหลายอันทานคุมครองแลวในวันนี้ พึงอยูเป็ นสุขตลอดคืน. เย พ๎ราห๎มะณา เวทะคุ สัพพะธัมเม, พราหมณเหลาใดเป็ นผูรูจบในธรรมทั้งปวง เต เม นะโม เต จะ มัง ปาละยันตุ. พราหมณเหลานั้นจงรับความนอบนอม ของเรา ขอพราหมณเหลานั้นจงรักษา เราดวยเถิด. นะมัตถุ พุทธานัง ความนอบนอมของเรา จงมีแดพระพุทธเจาทั้งหลาย พระปริตร โมรปริตตัง ๘๙


๙๐ นะมัตถุ โพธิยา, ความนอบนอมของเรา จงมีแดพระโพธิญาณ นะโม วิมุตตานัง ความนอบนอมของเรา จงมีแดทานผูหลุดพนแลวทั้งหลาย นะโม วิมุตติยา. ความนอบนอมของเรา จงมีแดวิมุตติธรรม อิมัง โส ปะริตตัง กัต๎วา โมโร วาสะมะกัปปะยีติ. นกยูงนั้น ไดกระทําปริตรอันนี้แลว จึงสําเร็จการพักผอนอยู ดังนี้. ฉัททันตปริตตัง0 ๑ วะธิสสะเมนันติ ปะรามะสันโต, พญาชางโพธิสัตวไดจับพรานไพร ดวยหมายใจวา เราจักฆามัน กาสาวะมัททักขิ ธะชัง อิสีนัง, ครั้นไดเห็นผากาสาวพัสตร อันเป็ นธงของพวกฤาษีทั้งหลาย ทุกเขนะ ผุฏฐัสสุทะปาทิ สัญญา, สัญญาไดเกิดขึ้นแกพระโพธิสัตว ผูอันทุกขถูกตองแลว วา อะระหัทธะโช สัพภิ อะวัชฌะรูโป. ธงชัยของพระอรหันต มีรูปอันสัตบุรุษหาควรฆาไม. สัลเลนะ วิทโธ พ๎ยะถิโตปิ สันโต, แมพระโพธิสัตวถูกศร ควรจะหวั่นไหว แตเป็ นผูสงบระงับได กาสาวะวัตถัมหิ มะนัง นะ ทุสสะยิ, ไมทําใจประทุษรายในผากาสาวพัสตร สะเจ อิมัง นาคะวะเรนะ สัจจัง, ถาคํานี้ อันพญาชางกลาวจริงแลว มา มัง วะเน พาละมิคา อะคัญฉุนติ. ขอเหลาพาลมฤคในไพร อยาไดกลํ้ากรายตัวเรา ดังนี้. ๑ ขุ. ชา. ตึส. ๒๗/๔๙๕ มีจํานวน ๒ คาถา. พระปริตร โมรปริตตัง ๙๐


๙๑ วัฏฏกปริตตัง40 ๑ อัตถิ โลเก สีละคุโณ สัจจัง โสเจยยะนุททะยา, คุณแหงศีล ความสัตย ความสะอาดกาย และความเอ็นดู มีอยูในโลก, เตนะ สัจเจนะ กาหามิ ดวยคําสัตยนั้น เราจักกระทํา สัจจะกิริยะมะนุตตะรัง. ซึ่งสัจจกิริยาอันยอดเยี่ยม อาวัชชิต๎วา ธัมมะพะลัง เรานอมนึกถึงกําลังแหงพระธรรม สะริต๎วา ปุพพะเก ชิเน, ระลึกถึงพระชินเจาทั้งหลายในปางกอน สัจจะพะละมะวัสสายะ เราอาศัยกําลังแหงสัจจะ สัจจะกิริยะมะกาสะหัง. จึงขอกระทําสัจจกิริยา. สันติ ปั กขา อะปั ตตะนา, ปี กทั้งสองของเรามีอยู แตบินไมได, สันติ ปาทา อะวัญจะนา, เทาทั้งสองของเรามีอยู แตเดินไมได, มาตา ปิ ตา จะ นิกขันตา มารดาและบิดาของเราออกไปหาอาหาร ชาตะเวทะ ปะฏิกกะมะ. ดูกอนไฟป า ขอทานจงหลีกไปเสียเถิด สะหะ สัจเจ กะเต มัยหัง เมื่อเราไดกระทําสัจจกิริยาแลว มะหาปั ชชะลิโต สิขี, เปลวไฟอันลุกโพลงรุงโรจนโชติชวง วัชเชสิ โสฬะสะ กะรีสานิ ก็หลีกหางออกไปถึง ๑๖ กรีส อุทะกัง ปั ต๎วา ยะถา สิขี, ดุจเปลวไฟที่ตกถึงนํ้าแลวดับไป ฉะนั้น สัจเจนะ เม สะโม นัตถิ สิ่งอื่นๆ เสมอดวยสัจจะของเราไมมี เอสา เม สัจจะปาระมีติ. นี้เป็ นสัจจบารมีของเรา ดังนี้แล. ๑ ขุ. จริยา. ๓๓/๒๙ มีจํานวน ๔ คาถากึ่ง. พระปริตร ๙๑


๙๒ อาฏานาฏิยปริตตัง41 ๑ วิปั สสิสสะ นะมัตถุ ขอนอบนอมแดพระวิปั สสีพุทธเจา จักขุมันตัสสะ สิรีมะโต, ผูทรงมีพระจักษุ ผูทรงมีพระสิริ สิขิสสะปิ นะมัตถุ ขอนอบนอมแดพระสิขีพุทธเจา สัพพะภูตานุกัมปิ โน. ผูทรงอนุเคราะหตอสัตวทั้งปวง เวสสะภุสสะ นะมัตถุ ขอนอบนอมแดพระเวสสภูพุทธเจา น๎หาตะกัสสะ ตะปั สสิโน, ผูชําระกิเลสไดแลว ผูทรงมีตบะ นะมัตถุ กะกุสันธัสสะ ขอนอบนอมแดพระกกุสันธพุทธเจา มาระเสนัปปะมัททิโน. ผูทรงยํ่ายีมารและเสนาแหงมาร โกนาคะมะนัสสะ นะมัตถุ ขอนอบนอมแดพระโกนาคมนพุทธเจา พ๎ราห๎มะณัสสะ วุสีมะโต, ผูทรงลอยบาปแลว ผูทรงอยูจบพรหมจรรยแลว กัสสะปั สสะ นะมัตถุ ขอนอบนอมแดพระกัสสปพุทธเจา วิปปะมุตตัสสะ สัพพะธิ. ผูทรงพนแลวจากกิเลสทั้งปวง อังคีระสัสสะ นะมัตถุ ขอนอบนอมแดพระอังคีรสพุทธเจา สัก๎ยะปุตตัสสะ สิรีมะโต, ผูทรงเป็ นโอรสแหงศากยราช ผูทรงมีพระสิริ โย อิมัง ธัมมะมะเทเสสิ สัพพะทุกขาปะนูทะนัง. พระพุทธเจาพระองคใด ไดทรงแสดงซึ่ง ธรรมนี้, เป็ นเครื่องบรรเทาซึ่งทุกขทั้งปวง. เย จาปิ นิพพุตา โลเก ยะถาภูตัง วิปั สสิสุง, อนึ่ง พระพุทธเจาเหลาใดดับกิเลสแลว ในโลก, เห็นแจงธรรมตามเป็ นจริง, ๑ ที. ปา. ๑๑/๒๐๙ มีจํานวน ๔๕ คาถา. (จบ วันทามะ โคตะมันติ.). พระปริตร ๙๒


๙๓ เต ชะนา อะปิ สุณา พระพุทธเจาเหลานั้น ไมมีความสอเสียด มะหันตา วีตะสาระทา. ทรงพระคุณมาก ปราศจาก ความครั่นครามแลว. หิตัง เทวะมะนุสสานัง ยัง นะมัสสันติ โคตะมัง, เทวดาและมนุษยทั้งหลาย นมัสการ พระพุทธเจาพระองคใด ผูโคตมโคตร ผูทรงเกื้ อกูลแกหมูเทวดาและมนุษย วิชชาจะระณะสัมปั นนัง ถึงพรอมแลวดวยวิชชาและจรณะ มะหันตัง วีตะสาระทัง. ทรงพระคุณมาก ปราศจากความครั่นคราม วิชชาจะระณะสัมปั นนัง พุทธัง วันทามะ โคตะมันติ. พวกเราขอนมัสการพระพุทธเจา ผูโคตมโคตร พระองคนั้น ผูถึงพรอมดวยวิชชาและจรณะ ดังนี้. นะโม เม สัพพะพุทธานัง อุปปั นนานัง มะเหสินัง, ขาพเจาขอนอบนอมแดพระพุทธเจา ทั้งปวง ผูแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ ซึ่งไดเสด็จอุบัติแลว คือ ตัณหังกะโร มะหาวีโร พระตัณหังกร ผูทรงกลาหาญยิ่ง เมธังกะโร มะหายะโส. พระเมธังกร ผูทรงมียศใหญ สะระณังกะโร โลกะหิโต พระสรณังกร ผูทรงเกื้ อกูลแกโลก ทีปั งกะโร ชุตินธะโร, พระทีปั งกร ผูทรงไวซึ่งปั ญญาอันรุงเรือง โกณฑัญโญ ชะนะปาโมกโข พระโกณฑัญญะ ผูเป็ นประมุขแหงหมูชน มังคะโล ปุริสาสะโภ. พระมังคละ ผูทรงเป็ นบุรุษประเสริฐ สุมะโน สุมะโน ธีโร พระสุมนะ ผูทรงเป็ นปราชญ มีพระหฤทัยงาม เรวะโต ระติวัฑฒะโน, พระเรวตะ ผูทรงเพิ่มพูนความยินดี โสภิโต คุณะสัมปั นโน พระโสภิตะ ผูทรงสมบูรณดวยพระคุณ อะโนมะทัสสี ชะนุตตะโม. พระอโนมทัสสี ผูทรงอุดมอยูในหมูชน พระปริตร อาฏานาฏิยปริตตัง ๙๓


๙๔ ปะทุโม โลกะปั ชโชโต พระปทุมะ ผูทรงทําใหโลกสวาง นาระโท วะระสาระถี, พระนารทะ ผูทรงเป็ นสารถีผูประเสริฐ ปะทุมุตตะโร สัตตะสาโร พระปทุมุตตระ ผูทรงเป็ นที่พึ่งของหมูสัตว สุเมโธ อัปปะฏิปุคคะโล. พระสุเมธะ ผูทรงหาบุคคลเปรียบมิได สุชาโต สัพพะโลกัคโค พระสุชาตะ ผูทรงเลิศกวาสัตวโลกทั้งปวง ปิ ยะทัสสี นะราสะโภ, พระปิ ยทัสสี ผูทรงประเสริฐกวาหมูนรชน อัตถะทัสสี การุณิโก พระอัตถทัสสี ผูทรงมีพระกรุณา ธัมมะทัสสี ตะโมนุโท. พระธรรมทัสสี ผูทรงบรรเทาความมืด คือ อวิชชา. สิทธัตโถ อะสะโม โลเก พระสิทธัตถะ ผูหาบุคคลเสมอมิไดในโลก ติสโส จะ วะทะตัง วะโร, พระติสสะ ผูทรงประเสริฐกวาหมูปราชญ ปุสโส จะ วะระโท พุทโธ พระปุสสพุทธะ ผูประทานธรรม อันประเสริฐ วิปั สสี จะ อะนูปะโม. พระวิปั สสี ผูทรงหาที่เปรียบมิได สิขี สัพพะหิโต สัตถา พระสิขี ผูทรงเป็ นศาสดาเกื้ อกูล แกสรรพสัตว เวสสะภู สุขะทายะโก, พระเวสสภู ผูทรงประทานความสุข กะกุสันโธ สัตถะวาโห พระกกุสันธะ ผูทรงนําสัตว ออกจากกันดาร คือกิเลส โกนาคะมะโน ระณัญชะโห, พระโกนาคมนะ ผูทรงหักเสียซึ่งขาศึก คือกิเลส กัสสะโป สิริสัมปั นโน พระกัสสปะ ผูทรงสมบูรณดวยสิริ โคตะโม สัก๎ยะปุงคะโว. พระโคตมะ ผูทรงประเสริฐแหงหมูศากยราช เอเต จัญเญ จะ สัมพุทธา พระสัมพุทธเจาเหลานี้ก็ดี เหลาอื่นก็ดี อะเนกะสะตะโกฏะโย, ซึ่งนับจํานวนไดหลายรอยโกฏิ พระปริตร อาฏานาฏิยปริตตัง ๙๔


๙๕ สัพเพ พุทธา อะสะมะสะมา สัพเพ พุทธา มะหิทธิกา. พระพุทธเจาทั้งหมดทรงเสมอกัน ไมมีใครเสมือน, พระพุทธเจาทั้งหมด ทรงมีฤทธิมาก์ สัพเพ ทะสะพะลูเปตา ทุกพระองคลวนประกอบดวยทศพลญาณ, เวสารัชเชหุปาคะตา, ประกอบดวยเวสารัชชญาณ สัพเพ เต ปะฏิชานันติ พระพุทธเจาทั้งหมดนั้น ตรัสรู อาสะภัณฐานะมุตตะมัง. ซึ่งอาสภฐานอันอุดม. สีหะนาทัง นะทันเต เต ปะริสาสุ วิสาระทา, พระพุทธเจาเหลานั้น เป็ นผูองอาจ ไมครั่นคราม บันลือสีหนาทในบริษัท ทั้งหลาย, พ๎รัห๎มะจักกัง ปะวัตเตนติ ยังพรหมจักรใหเป็ นไป โลเก อัปปะฏิวัตติยัง. อันใครๆ ในโลกคัดคานไมได. อุเปตา พุทธะธัมเมหิ อัฏฐาระสะหิ นายะกา, ทรงเป็ นผูนําของหมูชน เพราะประกอบ ดวยพุทธธรรม ๑๘ ประการ ท๎วัตติงสะลักขะณูเปตาสีต๎ยานุพ๎ยัญชะนาธะรา. ทรงประกอบดวยพระลักษณะ ๓๒ ประการ และทรงไวซึ่งพระอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ พ๎ยามัปปะภายะ สุปปะภา ทรงมีพระรัศมีงดงาม แผออกโดยรอบขางละวา สัพเพ เต มุนิกุญชะรา, ทุกพระองคทรงเป็ นพระมุนีผูประเสริฐ พุทธา สัพพัญุโน เอเต สัพเพ ขีณาสะวา ชินา. ทุกพระองค ทรงเป็ นพระสัพพัญู ทรงเป็ นผูสิ้นอาสวะ ทรงเป็ นผูชนะ มะหัปปะภา มะหาเตชา มีพระรัศมีมาก มีพระเดชมาก มะหาปั ญญา มะหัพพะลา, มีพระปั ญญามาก มีพระกําลังมาก, มะหาการุณิกา ธีรา มีพระกรุณามาก เป็ นนักปราชญ สัพเพสานัง สุขาวะหา. นําสุขมาเพื่อสัตวทั้งหลายทั้งปวง, พระปริตร อาฏานาฏิยปริตตัง ๙๕


๙๖ ทีปา นาถา ปะติฏฐา จะ เป็ นเกาะ เป็ นที่พึ่ง และเป็ นที่อาศัย ตาณา เลณา จะ ปาณินัง, เป็ นที่ตานทาน และเป็ นที่หลีกเรนของสัตว, คะตี พันธู มะหัสสาสา เป็ นคติ เป็ นเผาพันธุ เป็ นที่ยินดีมาก สะระณา จะ หิเตสิโน. เป็ นที่ระลึก และทรงแสวงหาประโยชน, สะเทวะกัสสะ โลกัสสะ สัพเพ เอเต ปะรายะนา, พระพุทธเจาทั้งหมดนั้น ทรงเป็ นที่พึ่งพิง ของสัตวโลกกับทั้งเทวโลก, เตสาหัง สิระสา ปาเท วันทามิ ปุริสุตตะเม. ขาพเจาขออภิวาทพระบาทของพระพุทธเจา เหลานั้น, ผูเป็ นบุรุษสูงสุดดวยเศียรเกลา วะจะสา มะนะสา เจวะ วันทาเมเต ตะถาคะเต, และขอถวายอภิวาทพระพุทธเจาเหลานั้น, ผูเป็ นตถาคต ดวยวาจาและใจ, สะยะเน อาสะเน ฐาเน ในที่นอนดวย ในที่นั่งดวย ในที่ยืนดวย คะมะเน จาปิ สัพพะทา. แมในที่เดินดวย ในกาลทุกเมื่อ. สะทา สุเขนะ รักขันตุ พุทธา สันติกะรา ตุวัง, ขอพระพุทธเจาทั้งหลายผูทรงสรางสันติ จงรักษาทานดวยความสุขในกาลทุกเมื่อ เตหิ ต๎วัง รักขิโต สันโต มุตโต สัพพะภะเยนะ จะ. ทานผูอันพระพุทธเจาเหลานั้นทรงรักษา แลว จงเป็ นผูระงับและพนแลวจากภัย ทั้งปวง. สัพพะโรคะวินิมุตโต ทานจงพนจากโรคทั้งปวง สัพพะสันตาปะวัชชิโต, เวนแลวจากความเดือดรอนทั้งปวง, สัพพะเวระมะติกกันโต ทานจงเป็ นผูลวงเสียซึ่งเวรทั้งปวง นิพพุโต จะ ตุวัง ภะวะ. และจงเป็ นผูดับทุกขทั้งปวงได. เตสัง สัจเจนะ สีเลนะ ขันติเมตตาพะเลนะ จะ, ดวยสัจจะ ดวยศีล ดวยกําลังแหงขันติ และเมตตา ของพระพุทธเจาเหลานั้น, เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ แมคุณธรรมเหลานั้น จงตามรักษาทาน อาโรค๎เยนะ สุเขนะ จะ. โดยความไมมีโรค และโดยความสุข. พระปริตร อาฏานาฏิยปริตตัง ๙๖


๙๗ ปุรัตถิมัส๎มิง ทิสาภาเค ในดานทิศบูรพา (ทิศตะวันออก) สันติ ภูตา มะหิทธิกา, คนธรรพทั้งหลายผูมีฤทธิมาก มีอยู์, เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ แมคนธรรพเหลานั้น จงตามรักษาทาน อาโรค๎เยนะ สุเขนะ จะ. โดยความไมมีโรค และโดยความสุข. ทักขิณัส๎มิง ทิสาภาเค ในดานทิศทักษิณ (ทิศใต) สันติ เทวา มะหิทธิกา, เทวดาทั้งหลายผูมีฤทธิมาก มีอยู,์ เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ แมเทวดาเหลานั้น จงตามรักษาทาน อาโรค๎เยนะ สุเขนะ จะ. โดยความไมมีโรค และโดยความสุข. ปั จฉิมัส๎มิง ทิสาภาเค ในดานทิศปั จฉิม (ทิศตะวันตก) สันติ นาคา มะหิทธิกา, นาคทั้งหลายผูมีฤทธิมาก มีอยู,์ เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ แมนาคเหลานั้นจงตามรักษาทาน อาโรค๎เยนะ สุเขนะ จะ. โดยความไมมีโรค และโดยความสุข. อุตตะรัส๎มิง ทิสาภาเค ในดานทิศอุดร (ทิศเหนือ) สันติ ยักขา มะหิทธิกา, ยักษทั้งหลายผูมีฤทธิมาก มีอยู,์ เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ แมยักษเหลานั้นจงตามรักษาทาน อาโรค๎เยนะ สุเขนะ จะ. โดยความไมมีโรค และโดยความสุข. ปุริมะทิสัง ธะตะรัฏโฐ ทาวธตรฏฐ อยูประจําทิศบูรพา ทักขิเณนะ วิรุฬหะโก, ทาววิรุฬหก อยูประจําทิศทักษิณ ปั จฉิเมนะ วิรูปั กโข ทาววิรูปั กข อยูประจําทิศปั จฉิม กุเวโร อุตตะรัง ทิสัง. ทาวกุเวร อยูประจําทิศอุดร จัตตาโร เต มะหาราชา ทาวมหาราชทั้ง ๔ พระองคเหลานั้น โลกะปาลา ยะสัสสิโน, เป็ นผูมียศ คุมครองรักษาโลกอยู, เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ แมมหาราชเหลานั้น จงตามรักษาทาน อาโรค๎เยนะ สุเขนะ จะ. โดยความไมมีโรค และโดยความสุข. พระปริตร อาฏานาฏิยปริตตัง ๙๗


๙๘ อากาสัฏฐา จะ ภุมมัฏฐา เทวา นาคา มะหิทธิกา, เทวดาและนาคทั้งหลาย ผูมีฤทธิมาก์ สถิตอยูในอากาศและในภาคพื้ นดิน เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ แมเทพเหลานั้น จงตามรักษาทาน อาโรค๎เยนะ สุเขนะ จะ. โดยความไมมีโรค และโดยความสุข. นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง พุทโธ เม สะระณัง วะรัง, ที่พึ่งอื่นของขาพเจาไมมี พระพุทธเจา เป็ นที่พึ่งอันประเสริฐของขาพเจา. เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ ดวยการกลาวคําสัตยนี้ โหตุ เต ชะยะมังคะลัง. ขอชัยมงคลจงมีแกทาน. นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง ธัมโม เม สะระณัง วะรัง, ที่พึ่งอื่นของขาพเจาไมมี พระธรรม เป็ นที่พึ่งอันประเสริฐของขาพเจา. เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ ดวยการกลาวคําสัตยนี้ โหตุ เต ชะยะมังคะลัง. ขอชัยมงคลจงมีแกทาน. นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง สังโฆ เม สะระณัง วะรัง, ที่พึ่งอื่นของขาพเจาไมมี พระสงฆ เป็ นที่พึ่งอันประเสริฐของขาพเจา. เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ ดวยการกลาวคําสัตยนี้ โหตุ เต ชะยะมังคะลัง. ขอชัยมงคลจงมีแกทาน. ยังกิญจิ ระตะนัง โลเก รัตนะอันใดอันหนึ่งในโลก วิชชะติ วิวิธัง ปุถุ, มีมากมายหลายอยาง, ระตะนัง พุทธะสะมัง นัตถิ ตัส๎มา โสตถี ภะวันตุ เต. รัตนะนั้นเสมอดวยพระพุทธ ยอมไมมี เพราะเหตุนั้น ขอความสวัสดีทั้งหลาย จงมีแกทาน. ยังกิญจิ ระตะนัง โลเก รัตนะอันใดอันหนึ่งในโลก วิชชะติ วิวิธัง ปุถุ, มีมากมายหลายอยาง, พระปริตร อาฏานาฏิยปริตตัง ๙๘


๙๙ ระตะนัง ธัมมะสะมัง นัตถิ ตัส๎มา โสตถี ภะวันตุ เต. รัตนะนั้นเสมอดวยพระธรรม ยอมไมมี เพราะเหตุนั้น ขอความสวัสดีทั้งหลาย จงมีแกทาน. ยังกิญจิ ระตะนัง โลเก รัตนะอันใดอันหนึ่งในโลก วิชชะติ วิวิธัง ปุถุ, มีมากมายหลายอยาง, ระตะนัง สังฆะสะมัง นัตถิ ตัส๎มา โสตถี ภะวันตุ เต. รัตนะนั้นเสมอดวยพระสงฆ ยอมไมมี เพราะเหตุนั้น ขอความสวัสดีทั้งหลาย จงมีแกทาน. สักกัต๎วา พุทธะระตะนัง เพราะทําความเคารพพระพุทธรัตนะ โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง, อันเป็ นดังโอสถ อันประเสริฐสูงสุด, หิตัง เทวะมะนุสสานัง เป็ นประโยชนแกหมูเทวดาและมนุษย พุทธะเตเชนะ โสตถินา. โดยสวัสดี ดวยเดชแหงพระพุทธเจา นัสสันตุปั ททะวา สัพเพ ขออุปั ทวะทั้งปวง จงฉิบหายไป ทุกขา วูปะสะเมนตุ เต. ขอทุกขทั้งหลายของทานจงสงบไป. สักกัต๎วา ธัมมะระตะนัง เพราะทําความเคารพพระธรรมรัตนะ โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง, อันเป็ นดังโอสถ อันประเสริฐสูงสุด ปะริฬาหูปะสะมะนัง อันสงบระงับความกระวนกระวาย ธัมมะเตเชนะ โสตถินา, โดยสวัสดี ดวยเดชแหงพระธรรม, นัสสันตุปั ททะวา สัพเพ ขออุปั ทวะทั้งปวง จงฉิบหายไป ภะยา วูปะสะเมนตุ เต. ขอภัยทั้งหลายของทานจงสงบไป. สักกัต๎วา สังฆะระตะนัง เพราะทําความเคารพพระสังฆรัตนะ โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง, อันเป็ นดังโอสถ อันประเสริฐสูงสุด อาหุเนยยัง ปาหุเนยยัง สังฆะเตเชนะ โสตถินา, ควรรับวัตถุอันเขานํามาบูชา ควรรับวัตถุ อันเขานํามาตอนรับ โดยสวัสดี ดวยเดชแหงพระสงฆ พระปริตร อาฏานาฏิยปริตตัง ๙๙


๑๐๐ นัสสันตุปั ททะวา สัพเพ ขออุปั ทวะทั้งปวง จงฉิบหายไป โรคา วูปะสะเมนตุ เต. ขอโรคทั้งหลายของทานจงสงบไป. สัพพีติโย วิวัชชันตุ ความจัญไรทั้งปวง จงบําราศไป สัพพะโรโค วินัสสะตุ, โรคทั้งปวงจงฉิบหายไป มา เต ภะวัต๎วันตะราโย อันตรายอยามีแกทาน สุขี ทีฆายุโก ภะวะ. ทานจงเป็ นผูมีความสุข มีอายุยืน. อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน, จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง, พะลัง. ธรรม ๔ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ, ยอมเจริญแกบุคคลผูมีปกติกราบไหว, มีปกติออนนอมตอผูใหญ เป็ นนิตย. อังคุลิมาลปริตตัง42 ๑ ยะโตหัง ภะคินิ อะริยายะ ชาติยา ชาโต, ดูกอนนองหญิง ตั้งแตเราเกิดแลว โดยชาติอริยะ, นาภิชานามิ สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตา, มิไดรูสึกวา มีความคิดตั้งใจทําลายชีวิต ของสัตวใดๆ เลย เตนะ สัจเจนะ โสตถิ เต โหตุ โสตถิ คัพภัสสะ. ดวยสัจจะนี้ ขอความสวัสดีจงมีแกเธอ ขอความสวัสดี จงมีแกลูกในครรภ ของเธอดวยเถิด. ๑ ม. ม. ๑๓/๕๓๑. พระปริตร อาฏานาฏิยปริตตัง ๑๐๐


๑๐๑ โพชฌังคปริตตัง43 ๑ โพชฌังโค สะติสังขาโต ธัมมานัง วิจะโย ตะถา, วิริยัมปี ติปั สสัทธิ- โพชฌังคา จะ ตะถาปะเร, สะมาธุเปกขะโพชฌังคา สัตเตเต สัพพะทัสสินา, มุนินา สัมมะทักขาตา โพชฌงค ๗ ประการ คือ สติสัมโพชฌงค ธรรมวิจยสัมโพชฌงค วิริยสัมโพชฌงค ปี ติสัมโพชฌงค ปั สสัทธิสัมโพชฌงค สมาธิสัมโพชฌงค และอุเบกขาสัมโพชฌงค เหลานี้ เป็ นธรรมอันพระมหามุนีเจาผูทรงเห็น ธรรมทั้งปวง ตรัสไวชอบแลว ภาวิตา พะหุลีกะตา, อันบุคคลเจริญแลว ทําใหมากแลว สังวัตตันติ อะภิญญายะ ยอมเป็ นไปเพื่อความรูยิ่ง นิพพานายะ จะ โพธิยา, เพื่อพระนิพพาน และเพื่อความตรัสรู, เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ ดวยการกลาวคําสัตยนี้ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา. ขอความสวัสดี จงมีแกทานทุกเมื่อ. เอกัส๎มิง สะมะเย นาโถ โมคคัลลานัญจะ กัสสะปั ง, คิลาเน ทุกขิเต ทิส๎วา สมัยหนึ่ง พระโลกนาถเจาทรงเห็น พระมหาโมคคัลลานะ และพระมหากัสสปะเป็ นไข ถึงทุกขเวทนาแลว โพชฌังเค สัตตะ เทสะยิ. ทรงแสดงโพชฌงค ๗ ประการ. เต จะ ตัง อะภินันทิต๎วา ทานทั้งสองก็เพลิดเพลินภาษิตนั้น โรคา มุจจิงสุ ตังขะเณ, หายจากโรคในขณะนั้น, เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ ดวยการกลาวคําสัตยนี้ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา. ขอความสวัสดี จงมีแกทานทุกเมื่อ. ๑ มีจํานวน ๘ คาถากึ่ง. พระปริตร ๑๐๑


๑๐๒ เอกะทา ธัมมะราชาปิ ครั้งหนึ่ง แมพระธรรมราชา เคลัญเญนาภิปี ฬิโต, อันความประชวรเบียดเบียนแลว, จุนทัตเถเรนะ ตัญเญวะ ภะณาเปต๎วานะ สาทะรัง, รับสั่งใหพระจุนทเถระ แสดงโพชฌงคนั้น นั่นแล ถวายโดยเคารพ, สัมโมทิต๎วา จะ อาพาธา ตัมหา วุฏฐาสิ ฐานะโส, ก็ทรงบันเทิงพระหฤทัย หายความประชวรนั้นไดโดยพลัน, เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ ดวยการกลาวคําสัตยนี้ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา. ขอความสวัสดี จงมีแกทานทุกเมื่อ. ปะหีนา เต จะ อาพาธา ติณณันนัมปิ มะเหสินัง, ก็อาพาธทั้งหลายนั้น อันพระมหาฤาษี ทั้ง ๓ องค ละไดแลว มัคคาหะตะกิเลสา วะ ดุจดังกิเลสถูกอริยมรรคกําจัดเสียแลว ปั ตตานุปปั ตติธัมมะตัง, ถึงซึ่งความไมเกิดอีกเป็ นธรรมดา เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ ดวยการกลาวคําสัตยนี้ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา. ขอความสวัสดี จงมีแกทานทุกเมื่อ. สะติมะโต สุเว เสยโย คนมีสติ เป็ นผู้ประเสริฐทุกวัน สํ. ส. ๑๕/๓๐๖ พระปริตร โพชฌังคปริตตัง ๑๐๒


๑๐๓ อภยปริตตัง44 ๑ ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ, ลางชั่วรายอันใด อวมงคลอันใด, โย จามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท, เสียงนกเป็ นที่ไมชอบใจอันใด, ปาปั คคะโห ทุสสุปิ นัง อะกันตัง, เคราะหรายและฝั นราย ที่ไมนาปรารถนาอันใด, พุทธานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ. ขอสิ่งนั้นๆ จงถึงความพินาศไป ดวยอานุภาพพระพุทธเจาเถิด. ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ, ลางชั่วรายอันใด อวมงคลอันใด, โย จามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท, เสียงนกเป็ นที่ไมชอบใจอันใด ปาปั คคะโห ทุสสุปิ นัง อะกันตัง, เคราะหรายและฝั นราย ที่ไมนาปรารถนาอันใด, ธัมมานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ. ขอสิ่งนั้นๆ จงถึงความพินาศไป ดวยอานุภาพพระธรรมเจาเถิด ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ, ลางชั่วรายอันใด อวมงคลอันใด โย จามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท, เสียงนกเป็ นที่ไมชอบใจอันใด ปาปั คคะโห ทุสสุปิ นัง อะกันตัง, เคราะหรายและฝั นราย ที่ไมนาปรารถนาอันใด, สังฆานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ. ขอสิ่งนั้นๆ จงถึงความพินาศไป ดวยอานุภาพพระสังฆเจาเถิด. ๑ มีจํานวน ๓ คาถา. พระปริตร ๑๐๓


๑๐๔ เทวตาอุยโยชนคาถา45 ๑ ทุกขัปปั ตตา จะ นิททุกขา ภะยัปปั ตตา จะ นิพภะยา, โสกัปปั ตตา จะ นิสโสกา โหนตุ สัพเพปิ ปาณิโน. ขอสัตวทั้งหลายทั้งปวง ที่ถึงแลวซึ่งความทุกข จงเป็ นผูไมมีทุกข ที่ถึงแลวซึ่งภัย จงเป็ นผูไมมีภัย และที่ ถึงแลวซึ่งความโศก จงเป็ นผูไมมีโศก. เอตตาวะตา จะ อัมเหหิ สัมภะตัง ปุญญะสัมปะทัง, สัพเพ เทวานุโมทันตุ สัพพะสัมปั ตติสิทธิยา. และขอเทวดาทั้งปวง จงอนุโมทนาซึ่ง บุญสมบัติ อันเราทั้งหลายกอสรางแลว ดวยเหตุมีประมาณเทานี้ เพื่อความสําเร็จแหงสมบัติทั้งปวง. ทานัง ทะทันตุ สัทธายะ มนุษยทั้งหลาย จงใหทานดวยศรัทธา สีลัง รักขันตุ สัพพะทา, จงรักษาศีลในกาลทั้งปวง ภาวะนาภิระตา โหนตุ จงเป็ นผูยินดีแลวในภาวนา คัจฉันตุ เทวะตาคะตา. หมูเทวดาที่มาแลวเชิญกลับไปเถิด. สัพเพ พุทธา พะลัปปั ตตา พระพุทธเจาทุกพระองค ลวนทรงพระกําลัง ปั จเจกานัญจะ ยัง พะลัง, อะระหันตานัญจะ เตเชนะ ดวยเดชะ และพละธรรมของพระปั จเจกพุทธเจา และพระอรหันตทั้งหลาย รักขัง พันธามิ สัพพะโส. ขาพเจาขอผูกการรักษาไว โดยประการทั้งปวงเถิด. ๑ มีจํานวน ๔ คาถา. พระปริตร ๑๐๔


๑๐๕ สุมังคลคาถา โหตุ สัพพัง สุมังคะลัง ขอศุภมงคลทั้งสิ้นจงมี รักขันตุ สัพพะเทวะตา, ขอเทวดาทั้งปวงจงรักษา, สัพพะพุทธานุภาเวนะ ดวยอานุภาพแหงพระพุทธเจาทั้งปวง โสตถี โหนตุ นิรันตะรัง. ขอความสวัสดีจงมีเสมอ ไมมีระหวาง โหตุ สัพพัง สุมังคะลัง ขอศุภมงคลทั้งสิ้นจงมี รักขันตุ สัพพะเทวะตา, ขอเทวดาทั้งปวงจงรักษา, สัพพะธัมมานุภาเวนะ ดวยอานุภาพแหงพระธรรมทั้งปวง โสตถี โหนตุ นิรันตะรัง. ขอความสวัสดีจงมีเสมอ ไมมีระหวาง โหตุ สัพพัง สุมังคะลัง ขอศุภมงคลทั้งสิ้นจงมี รักขันตุ สัพพะเทวะตา, ขอเทวดาทั้งปวงจงรักษา, สัพพะสังฆานุภาเวนะ ดวยอานุภาพแหงพระสงฆทั้งปวง โสตถี โหนตุ นิรันตะรัง. ขอความสวัสดีจงมีเสมอ ไมมีระหวาง. อัคคัสสะ ทาตา ละภะเต ปุนัคคัง ผู้ให้สิ่ งที่ เลิศ ย่อมได้สิ่ งที่ เลิศอีก องฺ. ป�ฺจก. ๒๒/๕๖ พระปริตร ๑๐๕


๑๐๖ พระพุทธภาษิต จักขุนา สังวะโร สาธุ การสํารวมทางตา เป็นความดี สาธุ โสเตนะ สังวะโร การสํารวมทางหู เป็นความดี ฆาเนนะ สังวะโร สาธุ การสํารวมทางจมูก เป็นความดี สาธุ ชิวหายะ สังวะโร การสํารวมทางลิ้น เป็นความดี กาเยนะ สังวะโร สาธุ การสํารวมทางกาย เป็นความดี สาธุ วาจายะ สังวะโร การสํารวมทางวาจา เป็นความดี มะนะสา สังวะโร สาธุ การสํารวมทางใจ เป็นความดี สาธุ สัพพัตถะ สังวะโร การสํารวมในทวารทั้งปวง เป็นความดี สัพพัตถะ สังวุโต ภิกขุ ภิกษุผู้สํารวมแล้ว ในทวารทั้งปวง สัพพะทุกขา ปะมุจจะตีติ. ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ดังนี้แล. ขุ. ธ. ๒๕/๖๕ ๑๐๖


๑๐๗ พระสูตร ธัมมจักกัปปวัตตนสุตตัง46 ๑ เอวัมเม สุตัง, ขาพเจา ไดสดับมาแลวอยางนี้ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา, สมัยหนึ่ง พระผูมีพระภาคเจา พาราณะสิยัง วิหะระติ, อิสิปะตะเน มิคะทาเย. เสด็จประทับอยูที่ป าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกลเมืองพาราณสี ตัต๎ระ โข ภะคะวา ปั ญจะวัคคิเย ภิกขู อามันเตสิ. ในกาลนั้นแล พระผูมีพระภาคเจาได ตรัสเตือนพระภิกษุปั ญจวัคคียวา เท๎วเม ภิกขะเว อันตา ปั พพะชิเตนะ นะ เสวิตัพพา, ภิกษุทั้งหลาย ที่สุดสองอยางนี้ อันบรรพชิตไมควรเสพ คือ โย จายัง กาเมสุ กามะสุขัลลิกานุโยโค, การประกอบตนใหพัวพันดวยกามสุข ในกามทั้งหลายนี้ ใด ๑ หีโน เป็นธรรมอันเลว คัมโม เป็นเหตุใหตั้งบานเรือน โปถุชชะนิโก เป็นของคนมีกิเลสหนา อะนะริโย ไมใชไปจากขาศึก คือ กิเลส อะนัตถะสัญหิโต. ไมประกอบดวยประโยชน โย จายัง อัตตะกิละมะถานุโยโค, การประกอบตน ใหเหน็ดเหนื่อยลําบากนี้ ใด ๑ ทุกโข ประกอบดวยทุกข อะนะริโย ไมใชไปจากขาศึก คือ กิเลส อะนัตถะสัญหิโต. ไมประกอบดวยประโยชน ๑ วิ. มหา. ๔/๑๓ , สํ. มหา. ๑๙/๑๖๖๔-๑๖๗๓. ๑๐๗


๑๐๘ เอเต เต ภิกขะเว อุโภ อันเต อะนุปะคัมมะ, มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา, ภิกษุทั้งหลาย ขอปฏิบัติอันเป็ นสายกลาง ไมเขาไปใกลที่สุดสองอยางนั่นนั้น ที่ตถาคตไดตรัสรูยิ่งแลว จักขุกะระณี ญาณะกะระณี ทําดวงตา ทําญาณเครื่องรู อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ. ยอมเป็ นไปเพื่อความสงบระงับ เพื่อความรูยิ่ง เพื่อความรูดี เพื่อความดับ กะตะมา จะ สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา, ภิกษุทั้งหลาย ก็ขอปฏิบัติ อันเป็ นสายกลางนั้นเป็ นไฉน ที่ตถาคตไดตรัสรูยิ่งแลว จักขุกะระณี ญาณะกะระณี ทําดวงตา ทําญาณเครื่องรู อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ. ยอมเป็ นไปเพื่อความสงบระงับ เพื่อความรูยิ่ง เพื่อความรูดี เพื่อความดับ อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค. ทางมีองค ๘ นี้เอง เครื่องออกจากขาศึก คือ กิเลส เสยยะถีทัง. กลาว คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป, ปั ญญาเห็นชอบ ความดําริชอบ สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว, การเจรจาชอบ การงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสะมาธิ. ความเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจชอบ อะยัง โข สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา, ภิกษุทั้งหลาย ก็ขอปฏิบัติ อันเป็ นสายกลางนี้แล ที่ตถาคตไดตรัสรูยิ่งแลว พระสูตร ธัมมจักกัปปวัตตนสุตตัง ๑๐๘


๑๐๙ จักขุกะระณี ญาณะกะระณี ทําดวงตา ทําญาณเครื่องรู อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ. ยอมเป็ นไปเพื่อความสงบระงับ เพื่อความรูยิ่ง เพื่อความรูดี เพื่อความดับ อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจัง. ภิกษุทั้งหลาย ก็นี้แลเป็นทุกขอยางแทจริง ชาติปิ ทุกขา ความเกิดก็เป็ นทุกข ชะราปิ ทุกขา ความแกก็เป็ นทุกข มะระณัมปิ ทุกขัง, ความตายก็เป็ นทุกข โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา, ความโศก ความรํ่าไรรําพัน ความทุกข โทมนัส และความคับแคนใจ ก็เป็ นทุกข อัปปิ เยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ความประสบดวยสิ่งที่ไมเป็ นที่รัก ทั้งหลายเป็ นทุกข ปิ เยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ทั้งหลายเป็ นทุกข ยัมปิ จฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง, ปรารถนาสิ่งใดไมไดดังหวัง แมอันนั้นก็เป็ นทุกข สังขิตเตนะ ปั ญจุปาทานักขันธา ทุกขา. โดยยอแลว อุปาทานขันธ ๕ เป็ นทุกข อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง. ภิกษุทั้งหลาย ก็นี้แลเป็นเหตุใหทุกข เกิดขึ้นอยางแทจริง ยายัง ตัณหา ความทะยานอยากนี้ใด โปโนพภะวิกา ทําใหเกิดภพอีก นันทิราคะสะหะคะตา เป็ นไปกับความกําหนัดยินดี ตัต๎ระ ตัต๎ราภินันทินี. เพลิดเพลินยิ่งในอารมณนั้นๆ พระสูตร ธัมมจักกัปปวัตตนสุตตัง ๑๐๙


๑๑๐ เสยยะถีทัง. กลาวคือ กามะตัณหา ความทะยานอยากในอารมณที่ใคร ภะวะตัณหา ความทะยานอยากในความมีความเป็ น วิภะวะตัณหา. ความทะยานอยากในความไมมีไมเป็น อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง. ภิกษุทั้งหลาย ก็นี้แลเป็นความดับทุกข อยางแทจริง โย ตัสสาเยวะ ตัณหายะ อะเสสะวิราคะนิโรโธ ความที่ตัณหานั้นนั่นแลคลายกําหนัด ดับโดยไมเหลือ อันใด จาโค ความสละตัณหา ปะฏินิสสัคโค ความวางตัณหา มุตติ ความปลอยตัณหา อะนาละโย. ความไมพัวพันแหงตัณหา อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง. ภิกษุทั้งหลาย ก็นี้แลเป็นขอปฏิบัติใหถึงความดับทุกข อยางแทจริง อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค. ทางมีองค ๘ นี้เอง เครื่องออกจากขาศึก คือ กิเลส เสยยะถีทัง, กลาวคือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป, ปั ญญาเห็นชอบ ความดําริชอบ สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว, การเจรจาชอบ การงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสะมาธิ. ความเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจชอบ พระสูตร ธัมมจักกัปปวัตตนสุตตัง ๑๑๐


๑๑๑ อิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปั ญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. ภิกษุทั้งหลาย จักษุไดเกิดขึ้นแลว ญาณไดเกิดขึ้นแลว ปั ญญาไดเกิดขึ้นแลว วิทยาไดเกิดขึ้นแลว แสงสวางไดเกิดขึ้น แลวแกเรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไมเคย ไดฟั งแลวในกาลกอนวา นี้ เป็นทุกขอริยสัจ ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญเญยยันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปั ญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. ภิกษุทั้งหลาย จักษุไดเกิดขึ้นแลว ญาณไดเกิดขึ้นแลว ปั ญญาไดเกิดขึ้นแลว วิทยาไดเกิดขึ้นแลว แสงสวางไดเกิดขึ้น แลวแกเรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไมเคย ไดฟั งแลวในกาลกอนวา ก็ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล ควรกําหนดรู ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญญาตันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปั ญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. ภิกษุทั้งหลาย จักษุไดเกิดขึ้นแลว ญาณไดเกิดขึ้นแลว ปั ญญาไดเกิดขึ้นแลว วิทยาไดเกิดขึ้นแลว แสงสวางไดเกิดขึ้น แลวแกเรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไมเคย ไดฟั งแลวในกาลกอนวา ก็ทุกขอริยสัจนี้ นั้นแล อันเราไดกําหนดรูแลว อิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปั ญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. ภิกษุทั้งหลาย จักษุไดเกิดขึ้นแลว ญาณไดเกิดขึ้นแลว ปั ญญาไดเกิดขึ้นแลว วิทยาไดเกิดขึ้นแลว แสงสวางไดเกิดขึ้น แลวแกเรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไมเคย ไดฟั งแลวในกาลกอนวา นี้ เป็นทุกขสมุทัยอริยสัจ พระสูตร ธัมมจักกัปปวัตตนสุตตัง ๑๑๑


๑๑๒ ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหาตัพพันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปั ญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. ภิกษุทั้งหลาย จักษุไดเกิดขึ้นแลว ญาณไดเกิดขึ้นแลว ปั ญญาไดเกิดขึ้นแลว วิทยาไดเกิดขึ้นแลว แสงสวางไดเกิดขึ้น แลวแกเรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไมเคย ไดฟั งแลวในกาลกอนวา ก็ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั้นแล ควรละเสีย ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหีนันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปั ญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. ภิกษุทั้งหลาย จักษุไดเกิดขึ้นแลว ญาณไดเกิดขึ้นแลว ปั ญญาไดเกิดขึ้นแลว วิทยาไดเกิดขึ้นแลว แสงสวางไดเกิดขึ้น แลวแกเรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไมเคย ไดฟั งแลวในกาลกอนวา ก็ทุกขสมุทัย อริยสัจนี้นั้นแล อันเราไดละแลว อิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปั ญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. ภิกษุทั้งหลาย จักษุไดเกิดขึ้นแลว ญาณไดเกิดขึ้นแลว ปั ญญาไดเกิดขึ้นแลว วิทยาไดเกิดขึ้นแลว แสงสวางไดเกิดขึ้น แลวแกเรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไมเคย ไดฟั งแลวในกาลกอนวา นี้ เป็นทุกขนิโรธอริยสัจ ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกาตัพพันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปั ญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. ภิกษุทั้งหลาย จักษุไดเกิดขึ้นแลว ญาณไดเกิดขึ้นแลว ปั ญญาไดเกิดขึ้นแลว วิทยาไดเกิดขึ้นแลว แสงสวางไดเกิดขึ้น แลวแกเรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไมเคย ไดฟั งแลวในกาลกอนวา ก็ทุกขนิโรธ อริยสัจนี้นั้นแล ควรทําใหแจง พระสูตร ธัมมจักกัปปวัตตนสุตตัง ๑๑๒


๑๑๓ ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกะตันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปั ญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. ภิกษุทั้งหลาย จักษุไดเกิดขึ้นแลว ญาณไดเกิดขึ้นแลว ปั ญญาไดเกิดขึ้นแลว วิทยาไดเกิดขึ้นแลว แสงสวางไดเกิดขึ้น แลวแกเรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไมเคย ไดฟั งแลวในกาลกอนวา ก็ทุกขนิโรธ อริยสัจนี้นั้นแล อันเราไดทําใหแจงแลว อิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปั ญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. ภิกษุทั้งหลาย จักษุไดเกิดขึ้นแลว ญาณไดเกิดขึ้นแลว ปั ญญาไดเกิดขึ้นแลว วิทยาไดเกิดขึ้นแลว แสงสวางไดเกิดขึ้น แลวแกเรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไมเคย ไดฟั งแลวในกาลกอนวา นี้เป็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาเวตัพพันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปั ญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. ภิกษุทั้งหลาย จักษุไดเกิดขึ้นแลว ญาณไดเกิดขึ้นแลว ปั ญญาไดเกิดขึ้นแลว วิทยาไดเกิดขึ้นแลว แสงสวางไดเกิดขึ้น แลวแกเรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไมเคย ไดฟั งแลวในกาลกอนวา ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้นั้นแล ควรใหเจริญ ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาวิตันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ภิกษุทั้งหลาย จักษุไดเกิดขึ้นแลว ญาณไดเกิดขึ้นแลว ปั ญญาไดเกิดขึ้นแลว วิทยาไดเกิดขึ้นแลว แสงสวางไดเกิดขึ้น แลวแกเรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไมเคย ไดฟั งแลวในกาลกอนวา พระสูตร ธัมมจักกัปปวัตตนสุตตัง ๑๑๓


๑๑๔ ปั ญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้นั้นแล อันเราไดเจริญแลว ยาวะกีวัญจะ เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ, เอวันติปะริวัฏฏัง ท๎วาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง นะ สุวิสุทธัง อะโหสิ. ภิกษุทั้งหลาย ปั ญญารูเห็นตามเป็ นจริงแลวอยางไร ในอริยสัจ ๔ เหลานี้ของเรา ซึ่งมีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อยางนี้ยังไมหมดจด เพียงใดแลว เนวะ ตาวาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพ๎รัห๎มะเก, สัสสะมะณะพ๎ราห๎มะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ, อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปั จจัญญาสิง, ภิกษุทั้งหลาย เราจะยืนยันตนวา เป็ นผูตรัสรูพรอม เฉพาะ ซึ่งปั ญญาเครื่องตรัสรูชอบ ไมมีความตรัสรูอื่นยิ่งกวาในโลก เป็นไป กับดวยเทวดา มาร พรหม ในหมูสัตว ทั้งสมณะ พราหมณ เทวดา มนุษย ไมไดเพียงนั้น ยะโต จะ โข เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ, เอวันติปะริวัฏฏัง ท๎วาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง สุวิสุทธัง อะโหสิ. ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใดแล ปั ญญารูเห็นตามความเป็ น จริงอยางไร ในอริยสัจ ๔ เหลานี้ ของเรา ซึ่งมีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อยางนี้ หมดจดดีแลว อะถาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพ๎รัห๎มะเก, สัสสะมะณะพ๎ราห๎มะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ, เมื่อนั้น เราจึงไดยืนยันตนวา เป็ นผูตรัสรูพรอมเฉพาะ ซึ่งปั ญญา เครื่องตรัสรูชอบ ไมมีความตรัสรูอื่นยิ่ง กวาในโลก เป็ นไปกับดวยเทวดา มาร พระสูตร ธัมมจักกัปปวัตตนสุตตัง ๑๑๔


๑๑๕ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปั จจัญญาสิง. พรหม ในหมูสัตวทั้งสมณะ พราหมณ เทวดา มนุษย ญาณัญจะ ปะนะ เม ทัสสะนัง อุทะปาทิ, ก็แลปั ญญารูเห็น ไดเกิดขึ้นแลวแกเราวา อะกุปปา เม วิมุตติ, ความพนพิเศษของเราไมกลับกําเริบ อะยะมันติมา ชาติ, ชาตินี้เป็นที่สุดแลว นัตถิทานิ ปุนัพภะโวติ. บัดนี้ไมมีภพอีก อิทะมะโวจะ ภะคะวา. พระผูมีพระภาคเจาไดตรัสพระสูตรนี้แลว อัตตะมะนา ปั ญจะวัคคิยา ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุง. ภิกษุปั ญจวัคคียก็มีใจยินดีเพลิดเพลิน ภาษิตของพระผูมีพระภาคเจา อิมัส๎มิญจะ ปะนะ เวยยากะระณัส๎มิง ภัญญะมาเน, ก็แลเมื่อเวยยากรณนี้ อันพระผูมีพระภาคเจาตรัสอยู อายัส๎มะโต โกณฑัญญัสสะ วิระชัง วีตะมะลัง ธัมมะจักขุง อุทะปาทิ. จักษุในธรรมไรธุลีปราศจากมลทิน ไดเกิดขึ้นแลวแกทานพระโกณฑัญญะวา ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ. สิ่งทั้งปวงนั้นมีความดับเป็นธรรมดา ปะวัตติเต จะ ภะคะวะตา ธัมมะจักเก, ก็เมื่อพระผูมีพระภาคเจา ยังธรรมจักรใหเป็ นไป ภุมมา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง, เหลาภุมมเทวดาก็ยังเสียงใหบันลือลั่นวา เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง, จักรคือธรรม ไมมีจักรอื่นสูไดนี่ พระผูมีพระภาคเจาใหเป็ นไปแลว ที่ป าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกลเมืองพาราณสี พระสูตร ธัมมจักกัปปวัตตนสุตตัง ๑๑๕


๑๑๖ อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา พ๎ราห๎มะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พ๎รัห๎มุนา วา เกนะจิ วา โลกัส๎มินติ. อันสมณะ พราหมณ เทวดา มาร พรหม และใครๆ ในโลก ใหเป็ นไปไมได ดังนี้ ภุมมานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, จาตุมมะหาราชิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. เหลาเทพชั้นจาตุมมหาราช ไดฟั งเสียงของเหลาภุมมเทวดาแลว ก็ยังเสียงใหบันลือลั่น จาตุมมะหาราชิกานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, ตาวะติงสา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. เหลาเทพชั้นดาวดึงส ไดฟั งเสียง ของเหลาเทพชั้นจาตุมมหาราชแลว ก็ยังเสียงใหบันลือลั่น ตาวะติงสานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, ยามา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. เหลาเทพชั้นยามา ไดฟั งเสียง ของเหลาเทพชั้นดาวดึงสแลว ก็ยังเสียงใหบันลือลั่น ยามานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, ตุสิตา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. เหลาเทพชั้นดุสิต ไดฟั งเสียง ของเหลาเทพชั้นยามาแลว ก็ยังเสียงใหบันลือลั่น ตุสิตานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, นิมมานะระตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. เหลาเทพชั้นนิมมานรดีไดฟั งเสียง ของเหลาเทพชั้นดุสิตแลว ก็ยังเสียงใหบันลือลั่น นิมมานะระตีนัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, ปะระนิมมิตะวะสะวัตตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. เหลาเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตดี ไดฟั งเสียงของเหลาเทพชั้นนิมมานรดีแลว ก็ยังเสียงใหบันลือลั่น พระสูตร ธัมมจักกัปปวัตตนสุตตัง ๑๑๖


๑๑๗ ปะระนิมมิตะวะสะวัตตีนัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, พ๎รัห๎มะกายิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง,* เหลาเทพที่เกิดในหมูพรหม ไดฟั งเสียง ของเหลาเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตดีแลว ก็ยังเสียงใหบันลือลั่นวา เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง, จักรคือธรรม ไมมีจักรอื่นสูไดนี่ พระผูมีพระภาคเจาใหเป็ นไปแลว ที่ป า อิสิปตนมฤคทายวัน ใกลเมืองพาราณสี อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา พ๎ราห๎มะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พ๎รัห๎มุนา วา เกนะจิ วา โลกัส๎มินติ. อันสมณะ พราหมณ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลก ยังใหเป็ นไปไมได ดังนี้ อิติหะ เตนะ ขะเณนะ เตนะ มุหุตเตนะ, ยาวะ พ๎รัห๎มะโลกา สัทโท อัพภุคคัจฉิ. โดยขณะครูเดียวนั้น เสียงดังขึ้นไปถึงพรหมโลก ดวยประการฉะนี้ อะยัญจะ ทะสะสะหัสสี โลกะธาตุ, ทั้งหมื่นโลกธาตุนี้ สังกัมปิ สัมปะกัมปิ สัมปะเวธิ. ก็หวั่นไหว สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่ว อัปปะมาโณ จะ โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุระโหสิ, ทั้งแสงสวางจาไมมีประมาณ ไดปรากฏแลวในโลก อะติกกัมเมวะ เทวานัง เทวานุภาวัง. ลวงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลายเสียหมด อะถะโข ภะคะวา อุทานัง อุทาเนสิ, ทันใดนั้น พระผูมีพระภาคเจา ไดทรงเปลงอุทานวา อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ, โกณฑัญญะไดรูแลวหนอ ผูเจริญ อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญติ. โกณฑัญญะไดรูแลวหนอ ผูเจริญ อิติหิทัง อายัส๎มะโต โกณฑัญญัสสะ, อัญญาโกณฑัญโญเต๎ววะ นามัง, อโหสีติ. เหตุดังนั้น นามวาอัญญาโกณฑัญญะนี้ นั่นแล ไดมีแลวแกทานพระโกณฑัญญะ ดวยประการฉะนี้แล. พระสูตร ธัมมจักกัปปวัตตนสุตตัง ๑๑๗


๑๑๘ * ถาจะสวดพรหมโลก ๑๕ ชั้น ใหแทน ปะระนิมมิตะวะสะวัตตีนัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, พ๎รัห๎มะกายิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง, ดวย ปะระนิมมิตะวะสะวัตตีนัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, พ๎รัห๎มะปาริสัชชา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. เหลาพรหมชั้นพรหมปาริสัชชา ไดฟั ง เสียงของเหลาเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตดี แลว ก็ยังเสียงใหบันลือลั่น พ๎รัห๎มะปาริสัชชานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, พ๎รัห๎มะปะโรหิตา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. เหลาพรหมชั้นพรหมปโรหิตา ไดฟั ง เสียงของเหลาพรหมชั้นพรหมปาริสัชชา แลว ก็ยังเสียงใหบันลือลั่น พ๎รัห๎มะปะโรหิตานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, มะหาพ๎รัห๎มา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. เหลาพรหมชั้นมหาพรหม ไดฟั งเสียง ของเหลาพรหมชั้นพรหมปโรหิตาแลว ก็ยังเสียงใหบันลือลั่น มะหาพ๎รัห๎มานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, ปะริตตาภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. เหลาพรหมชั้นปริตตาภา ไดฟั งเสียง ของเหลาพรหมชั้นมหาพรหมแลว ก็ยังเสียงใหบันลือลั่น ปะริตตาภานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, อัปปะมาณาภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. เหลาพรหมชั้นอัปปมาณาภา ไดฟั ง เสียงของเหลาพรหมชั้นปริตตาภาแลว ก็ยังเสียงใหบันลือลั่น อัปปะมาณาภานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, อาภัสสะรา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. เหลาพรหมชั้นอาภัสสรา ไดฟั งเสียง ของเหลาพรหมชั้นอัปปมาณาภาแลว ก็ยังเสียงใหบันลือลั่น อาภัสสะรานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, ปะริตตะสุภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. เหลาพรหมชั้นปริตตสุภา ไดฟั งเสียง ของเหลาพรหมชั้นอาภัสสราแลว ก็ยังเสียงใหบันลือลั่น พระสูตร ธัมมจักกัปปวัตตนสุตตัง ๑๑๘


๑๑๙ ปะริตตะสุภานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, อัปปะมาณะสุภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. เหลาพรหมชั้นอัปปมาณสุภา ไดฟั ง เสียงของเหลาพรหมชั้นปริตตสุภาแลว ก็ยังเสียงใหบันลือลั่น อัปปะมาณะสุภานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, สุภะกิณหะกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. เหลาพรหมชั้นสุภกิณหกา ไดฟั งเสียง ของเหลาพรหมชั้นอัปปมาณสุภาแลว ก็ยังเสียงใหบันลือลั่น สุภะกิณหะกานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, เวหัปผะลา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. เหลาพรหมชั้นเวหัปผลา ไดฟั งเสียง ของเหลาพรหมชั้นสุภกิณหกาแลว ก็ยังเสียงใหบันลือลั่น เวหัปผะลานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, อะวิหา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. เหลาพรหมชั้นอวิหา ไดฟั งเสียง ของเหลาพรหมชั้นเวหัปผลาแลว ก็ยังเสียงใหบันลือลั่น อะวิหานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, อะตัปปา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. เหลาพรหมชั้นอตัปปา ไดฟั งเสียง ของเหลาพรหมชั้นอวิหาแลว ก็ยังเสียงใหบันลือลั่น อะตัปปานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, สุทัสสา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. เหลาพรหมชั้นสุทัสสา ไดฟั งเสียง ของเหลาพรหมชั้นอตัปปาแลว ก็ยังเสียงใหบันลือลั่น สุทัสสานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, สุทัสสี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. เหลาพรหมชั้นสุทัสสีไดฟั งเสียง ของเหลาพรหมชั้นสุทัสสาแลว ก็ยังเสียงใหบันลือลั่น พระสูตร ธัมมจักกัปปวัตตนสุตตัง ๑๑๙


๑๒๐ สุทัสสีนัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, อะกะนิฏฐะกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. เหลาพรหมชั้นอกนิฏฐกา ไดฟั งเสียง ของเหลาพรหมชั้นสุทัสสีแลว ก็ยังเสียงใหบันลือลั่น สวดตอ (หนา ๑๑๗) เอตัมภะคะวะตา ไปจนจบ อนัตตลักขณสุตตัง47 ๑ เอวัมเม สุตัง, ขาพเจา ไดสดับมาแลวอยางนี้ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา, สมัยหนึ่ง พระผูมีพระภาคเจา พาราณะสิยัง วิหะระติ, อิสิปะตะเน มิคะทาเย. เสด็จประทับอยูที่ป าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกลเมืองพาราณสี ตัต๎ระ โข ภะคะวา ปั ญจะวัคคิเย ภิกขู อามันเตสิ. ในกาลนั้นแล พระผูมีพระภาคเจา ไดตรัสกะพระภิกษุปั ญจวัคคียวา รูปั ง ภิกขะเว อะนัตตา. ภิกษุทั้งหลาย รูปเป็ นอนัตตา รูปั ญจะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ, ภิกษุทั้งหลาย ก็รูปนี้ จักเป็ นอัตตาแลว นะยิทัง รูปั ง อาพาธายะ สังวัตเตยยะ, รูปนี้ก็ไมพึงเป็ นไปเพื่ออาพาธ ลัพเภถะ จะ รูเป, อนึ่ง สัตวพึงไดรูปตามใจหวังวา เอวัง เม รูปั ง โหตุ รูปของเรา จงเป็ นอยางนี้เถิด เอวัง เม รูปั ง มา อะโหสีติ. รูปของเรา อยาไดเป็ นอยางนั้นเลย ยัส๎มา จะ โข ภิกขะเว รูปั ง อะนัตตา, ภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะรูปเป็ นอนัตตานั้นแล ตัส๎มา รูปั ง อาพาธายะ สังวัตตะติ, เหตุนั้น รูปจึงเป็ นไปเพื่ออาพาธ นะ จะ ลัพภะติ รูเป, อนึ่ง สัตวจึงไมไดรูปตามใจหวังวา ๑ วิ. มหา. ๔/๒๐-๒๔ , สํ. ข. ๑๗/๑๒๗-๑๓๐. พระสูตร ธัมมจักกัปปวัตตนสุตตัง ๑๒๐


๑๒๑ เอวัง เม รูปั ง โหตุ รูปของเรา จงเป็ นอยางนี้เถิด เอวัง เม รูปั ง มา อะโหสีติ. รูปของเรา อยาไดเป็ นอยางนั้นเลย เวทะนา อะนัตตา. ภิกษุทั้งหลาย เวทนาเป็ นอนัตตา เวทะนา จะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ, ภิกษุทั้งหลาย ก็เวทนานี้ จักเป็ นอัตตาแลว นะยิทัง เวทะนา อาพาธายะ สังวัตเตยยะ, เวทนานี้ ก็ไมพึงเป็ นไปเพื่ออาพาธ ลัพเภถะ จะ เวทะนายะ, อนึ่ง สัตวพึงไดเวทนาตามใจหวังวา เอวัง เม เวทะนา โหตุ เวทนาของเรา จงเป็ นอยางนี้เถิด เอวัง เม เวทะนา มา อะโหสีติ. เวทนาของเรา อยาไดเป็ นอยางนั้นเลย ยัส๎มา จะ โข ภิกขะเว เวทะนา อะนัตตา, ภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะเวทนาเป็ นอนัตตานั้นแล ตัส๎มา เวทะนา อาพาธายะ สังวัตตะติ, เหตุนั้น เวทนาจึงเป็ นไปเพื่ออาพาธ นะ จะ ลัพภะติ เวทะนายะ, อนึ่ง สัตวจึงไมไดเวทนาตามใจหวังวา เอวัง เม เวทะนา โหตุ เวทนาของเรา จงเป็ นอยางนี้เถิด เอวัง เม เวทะนา มา อะโหสีติ. เวทนาของเรา อยาไดเป็ นอยางนั้นเลย สัญญา อะนัตตา. ภิกษุทั้งหลาย สัญญาเป็ นอนัตตา สัญญา จะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ, ภิกษุทั้งหลาย ก็สัญญานี้ จักเป็ นอัตตาแลว นะยิทัง สัญญา อาพาธายะ สังวัตเตยยะ, สัญญานี้ ก็ไมพึงเป็ นไปเพื่ออาพาธ ลัพเภถะ จะ สัญญายะ, อนึ่ง สัตวพึงไดสัญญาตามใจหวังวา เอวัง เม สัญญา โหตุ สัญญาของเรา จงเป็ นอยางนี้เถิด เอวัง เม สัญญา มา อะโหสีติ. สัญญาของเรา อยาไดเป็ นอยางนั้นเลย พระสูตร อนัตตลักขณสุตตัง ๑๒๑


๑๒๒ ยัส๎มา จะ โข ภิกขะเว สัญญา อะนัตตา, ภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะสัญญาเป็ นอนัตตานั้นแล ตัส๎มา สัญญา อาพาธายะ สังวัตตะติ, เหตุนั้น สัญญาจึงเป็ นไปเพื่ออาพาธ นะ จะ ลัพภะติ สัญญายะ, อนึ่ง สัตวจึงไมไดสัญญาตามใจหวังวา เอวัง เม สัญญา โหตุ สัญญาของเรา จงเป็ นอยางนี้เถิด เอวัง เม สัญญา มา อะโหสีติ. สัญญาของเรา อยาไดเป็ นอยางนั้นเลย สังขารา อะนัตตา. ภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายเป็ นอนัตตา สังขารา จะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสังสุ, ภิกษุทั้งหลาย ก็สังขารทั้งหลายนี้ จักเป็ นอัตตาแลว นะยิทัง สังขารา อาพาธายะ สังวัตเตยยุง, สังขารทั้งหลายนี้ ก็ไมพึงเป็ นไปเพื่ออาพาธ ลัพเภถะ จะ สังขาเรสุ, อนึ่ง สัตวพึงไดสังขารทั้งหลายตามใจหวังวา เอวัง เม สังขารา โหนตุ สังขารทั้งหลายของเรา จงเป็ นอยางนี้เถิด เอวัง เม สังขารา มา อะเหสุนติ. สังขารทั้งหลายของเรา อยาไดเป็ นอยางนั้นเลย ยัส๎มา จะ โข ภิกขะเว สังขารา อะนัตตา, ภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะสังขารทั้งหลาย เป็ นอนัตตานั้นแล ตัส๎มา สังขารา อาพาธายะ สังวัตตันติ, เหตุนั้น สังขารทั้งหลาย จึงเป็ นไปเพื่ออาพาธ นะ จะ ลัพภะติ สังขาเรสุ, อนึ่ง สัตวจึงไมไดสังขารทั้งหลาย ตามใจหวังวา เอวัง เม สังขารา โหนตุ สังขารทั้งหลายของเรา จงเป็ นอยางนี้เถิด เอวัง เม สังขารา มา อะเหสุนติ. สังขารทั้งหลายของเรา อยาไดเป็ นอยางนั้นเลย พระสูตร อนัตตลักขณสุตตัง ๑๒๒


๑๒๓ วิญญาณัง อะนัตตา. ภิกษุทั้งหลาย วิญญาณเป็ นอนัตตา วิญญาณัญจะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ, ภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณนี้จักเป็ นอัตตาแลว นะยิทัง วิญญาณัง อาพาธายะ สังวัตเตยยะ, วิญญาณนี้ ก็ไมพึงเป็ นไปเพื่ออาพาธ ลัพเภถะ จะ วิญญาเณ, อนึ่ง สัตวพึงไดวิญญาณตามใจหวังวา เอวัง เม วิญญาณัง โหตุ วิญญาณของเรา จงเป็ นอยางนี้เถิด เอวัง เม วิญญาณัง มา อะโหสีติ. วิญญาณของเรา อยาไดเป็ นอยางนั้นเลย ยัส๎มา จะ โข ภิกขะเว วิญญาณัง อะนัตตา, ภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะวิญญาณเป็ นอนัตตานั้นแล ตัส๎มา วิญญาณัง อาพาธายะ สังวัตตะติ, เหตุนั้น วิญญาณ จึงเป็ นไปเพื่ออาพาธ นะ จะ ลัพภะติ วิญญาเณ, อนึ่ง สัตวจึงไมไดวิญญาณตามใจหวังวา เอวัง เม วิญญาณัง โหตุ วิญญาณของเรา จงเป็ นอยางนี้เถิด เอวัง เม วิญญาณัง มา อะโหสีติ. วิญญาณของเรา อยาไดเป็ นอยางนั้นเลย ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย สําคัญความขอนั้นเป็ นไฉน? รูปั ง นิจจัง วา อะนิจจัง วาติ. รูปเที่ยง หรือไมเที่ยง? อะนิจจัง ภันเต. ไมเที่ยง พระเจาขา ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ. ก็สิ่งใดไมเที่ยง สิ่งนั้นเป็ นทุกขหรือเป็ นสุขเลา? ทุกขัง ภันเต. เป็ นทุกข พระเจาขา ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง, ก็สิ่งใดไมเที่ยง เป็ นทุกข มีความแปรปรวนเป็ นธรรมดา พระสูตร อนัตตลักขณสุตตัง ๑๒๓


๑๒๔ กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปั สสิตุง, ควรหรือเพื่อจะตามเห็นสิ่งนั้นวา เอตัง มะมะ เอโสหะมัส๎มิ นั่นของเรา เราเป็ นนั่น เอโส เม อัตตาติ. นั่นเป็ นตัวตนของเรา โน เหตัง ภันเต. หาเป็ นอยางนั้นไม พระเจาขา ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย สําคัญความขอนั้นเป็ นไฉน เวทะนา นิจจา วา อะนิจจา วาติ. เวทนาเที่ยง หรือไมเที่ยง? อะนิจจา ภันเต. ไมเที่ยง พระเจาขา ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ. ก็สิ่งใดไมเที่ยง สิ่งนั้นเป็ นทุกขหรือเป็ นสุขเลา? ทุกขัง ภันเต. เป็ นทุกข พระเจาขา ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง, ก็สิ่งใดไมเที่ยง เป็ นทุกข มีความแปรปรวนเป็ นธรรมดา กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปั สสิตุง, ควรหรือเพื่อจะตามเห็นสิ่งนั้นวา เอตัง มะมะ เอโสหะมัส๎มิ นั่นของเรา เราเป็ นนั่น เอโส เม อัตตาติ. นั่นเป็ นตัวตนของเรา โน เหตัง ภันเต. หาเป็ นอยางนั้นไม พระเจาขา ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย สําคัญความขอนั้นเป็ นไฉน สัญญา นิจจา วา อะนิจจา วาติ. สัญญาเที่ยง หรือไมเที่ยง? อะนิจจา ภันเต. ไมเที่ยง พระเจาขา ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ. ก็สิ่งใดไมเที่ยง สิ่งนั้นเป็ นทุกขหรือเป็ นสุขเลา? ทุกขัง ภันเต. เป็ นทุกข พระเจาขา พระสูตร อนัตตลักขณสุตตัง ๑๒๔


๑๒๕ ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง, ก็สิ่งใดไมเที่ยง เป็ นทุกข มีความแปรปรวนเป็ นธรรมดา กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปั สสิตุง, ควรหรือเพื่อจะตามเห็นสิ่งนั้นวา เอตัง มะมะ เอโสหะมัส๎มิ นั่นของเรา เราเป็ นนั่น เอโส เม อัตตาติ. นั่นเป็ นตัวตนของเรา โน เหตัง ภันเต. หาเป็ นอยางนั้นไม พระเจาขา ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย สําคัญความขอนั้นเป็ นไฉน สังขารา นิจจา วา อะนิจจา วาติ. สังขารทั้งหลายเที่ยง หรือไมเที่ยง? อะนิจจา ภันเต. ไมเที่ยง พระเจาขา ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ. ก็สิ่งใดไมเที่ยง สิ่งนั้นเป็ นทุกขหรือเป็ นสุขเลา? ทุกขัง ภันเต. เป็ นทุกข พระเจาขา ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง, ก็สิ่งใดไมเที่ยง เป็ นทุกข มีความแปรปรวนเป็ นธรรมดา กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปั สสิตุง, ควรหรือเพื่อจะตามเห็นสิ่งนั้นวา เอตัง มะมะ เอโสหะมัส๎มิ นั่นของเรา เราเป็ นนั่น เอโส เม อัตตาติ. นั่นเป็ นตัวตนของเรา โน เหตัง ภันเต. หาเป็ นอยางนั้นไม พระเจาขา ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย สําคัญความขอนั้นเป็ นไฉน วิญญาณัง นิจจัง วา อะนิจจัง วาติ. วิญญาณเที่ยง หรือไมเที่ยง? อะนิจจัง ภันเต. ไมเที่ยง พระเจาขา ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ. ก็สิ่งใดไมเที่ยง สิ่งนั้นเป็ นทุกขหรือเป็ นสุขเลา? พระสูตร อนัตตลักขณสุตตัง ๑๒๕


๑๒๖ ทุกขัง ภันเต. เป็ นทุกข พระเจาขา ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง, ก็สิ่งใดไมเที่ยง เป็ นทุกข มีความแปรปรวนเป็ นธรรมดา กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปั สสิตุง, ควรหรือเพื่อจะตามเห็นสิ่งนั้นวา เอตัง มะมะ เอโสหะมัส๎มิ นั่นของเรา เราเป็ นนั่น เอโส เม อัตตาติ. นั่นเป็ นตัวตนของเรา โน เหตัง ภันเต. หาเป็ นอยางนั้นไม พระเจาขา ตัส๎มาติหะ ภิกขะเว, เพราะเหตุนั้นแล ภิกษุทั้งหลาย ยังกิญจิ รูปั ง รูปอยางใดอยางหนึ่ง อะตีตานาคะตะปั จจุปปั นนัง, ที่เป็ นอดีตก็ดี อนาคตก็ดี ปั จจุบันก็ดี อัชฌัตตัง วา พะหิทธา วา, ภายในก็ดี ภายนอกก็ดี โอฬาริกัง วา สุขุมัง วา, หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี หีนัง วา ปะณีตัง วา, เลวก็ดี ประณีตก็ดี ยันทูเร สันติเก วา, อันใด มีในที่ไกลก็ดี ในที่ใกลก็ดี สัพพัง รูปั ง, รูปทั้งหมดนั้น ก็เป็นสักวารูป เนตัง มะมะ เนโสหะมัส๎มิ นั่นไมใชของเรา เราไมเป็นนั่น นะ เมโส อัตตาติ. นั่นไมใชตนของเรา ดังนี้ เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปั ญญายะ ทัฏฐัพพัง. ขอนี้อันเธอทั้งหลาย พึงเห็นดวยปัญญา อันชอบตามเป็นจริงแลวอยางนี้ ยา กาจิ เวทะนา เวทนาอยางใดอยางหนึ่ง อะตีตานาคะตะปั จจุปปั นนา, ที่เป็ นอดีตก็ดี อนาคตก็ดี ปั จจุบันก็ดี อัชฌัตตา วา พะหิทธา วา, ภายในก็ดี ภายนอกก็ดี โอฬาริกา วา สุขุมา วา, หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี หีนา วา ปะณีตา วา, เลวก็ดี ประณีตก็ดี ยา ทูเร สันติเก วา, อันใด มีในที่ไกลก็ดี ในที่ใกลก็ดี พระสูตร อนัตตลักขณสุตตัง ๑๒๖


๑๒๗ สัพพา เวทะนา, เวทนาทั้งหมดนั้น ก็เป็นสักวาเวทนา เนตัง มะมะ เนโสหะมัส๎มิ นั่นไมใชของเรา เราไมเป็นนั่น นะ เมโส อัตตาติ. นั่นไมใชตนของเรา ดังนี้ เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปั ญญายะ ทัฏฐัพพัง. ขอนี้อันเธอทั้งหลาย พึงเห็นดวยปัญญา อันชอบตามเป็นจริงแลวอยางนี้ ยา กาจิ สัญญา สัญญาอยางใดอยางหนึ่ง อะตีตานาคะตะปั จจุปปั นนา, ที่เป็ นอดีตก็ดี อนาคตก็ดี ปั จจุบันก็ดี อัชฌัตตา วา พะหิทธา วา, ภายในก็ดี ภายนอกก็ดี โอฬาริกา วา สุขุมา วา, หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี หีนา วา ปะณีตา วา, เลวก็ดี ประณีตก็ดี ยา ทูเร สันติเก วา, อันใด มีในที่ไกลก็ดี ในที่ใกลก็ดี สัพพา สัญญา, สัญญาทั้งหมดนั้น ก็เป็นสักวาสัญญา เนตัง มะมะ เนโสหะมัส๎มิ นั่นไมใชของเรา เราไมเป็นนั่น นะ เมโส อัตตาติ. นั่นไมใชตนของเรา ดังนี้ เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปั ญญายะ ทัฏฐัพพัง. ขอนี้อันเธอทั้งหลาย พึงเห็นดวยปัญญา อันชอบตามเป็นจริงแลวอยางนี้ เย เกจิ สังขารา สังขารทั้งหลายอยางใดอยางหนึ่ง อะตีตานาคะตะปั จจุปปั นนา, ที่เป็ นอดีตก็ดี อนาคตก็ดี ปั จจุบันก็ดี อัชฌัตตา วา พะหิทธา วา, ภายในก็ดี ภายนอกก็ดี โอฬาริกา วา สุขุมา วา, หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี หีนา วา ปะณีตา วา, เลวก็ดี ประณีตก็ดี เย ทูเร สันติเก วา, อันใด มีในที่ไกลก็ดี ในที่ใกลก็ดี สัพเพ สังขารา, สังขารทั้งหลายทั้งหมดนั้น ก็เป็นสักวาสังขาร เนตัง มะมะ เนโสหะมัส๎มิ นั่นไมใชของเรา เราไมเป็นนั่น พระสูตร อนัตตลักขณสุตตัง ๑๒๗


๑๒๘ นะ เมโส อัตตาติ. นั่นไมใชตนของเรา ดังนี้ เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปั ญญายะ ทัฏฐัพพัง. ขอนี้อันเธอทั้งหลาย พึงเห็นดวยปัญญา อันชอบตามเป็นจริงแลวอยางนี้ ยังกิญจิ วิญญาณัง วิญญาณอยางใดอยางหนึ่ง อะตีตานาคะตะปั จจุปปั นนัง, ที่เป็ นอดีตก็ดี อนาคตก็ดี ปั จจุบันก็ดี อัชฌัตตัง วา พะหิทธา วา, ภายในก็ดี ภายนอกก็ดี โอฬาริกัง วา สุขุมัง วา, หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี หีนัง วา ปะณีตัง วา, เลวก็ดี ประณีตก็ดี ยันทูเร สันติเก วา, อันใด มีในที่ไกลก็ดี ในที่ใกลก็ดี สัพพัง วิญญาณัง, วิญญาณทั้งหมดนั้น ก็เป็นสักวาวิญญาณ เนตัง มะมะ เนโสหะมัส๎มิ นั่นไมใชของเรา เราไมเป็นนั่น นะ เมโส อัตตาติ. นั่นไมใชตนของเรา ดังนี้ เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปั ญญายะ ทัฏฐัพพัง. ขอนี้อันเธอทั้งหลาย พึงเห็นดวยปัญญา อันชอบตามเป็นจริงแลวอยางนี้ เอวัง ปั สสัง ภิกขะเว สุตะวา อะริยะสาวะโก, ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผูไดสดับแลว เห็นอยูอยางนี้ รูปั ส๎มิงปิ นิพพินทะติ, ยอมเบื่อหนาย ทั้งในรูป เวทะนายะปิ นิพพินทะติ, ยอมเบื่อหนาย ทั้งในเวทนา สัญญายะปิ นิพพินทะติ, ยอมเบื่อหนาย ทั้งในสัญญา สังขาเรสุปิ นิพพินทะติ, ยอมเบื่อหนาย ทั้งในสังขารทั้งหลาย วิญญาณัส๎มิงปิ นิพพินทะติ, ยอมเบื่อหนาย ทั้งในวิญญาณ นิพพินทัง วิรัชชะติ. เมื่อเบื่อหนาย ยอมคลายความติด วิราคา วิมุจจะติ. เพราะคลายความติด จิตก็พน วิมุตตัส๎มิง วิมุตตะมิติ ญาณัง โหติ, เมื่อจิตพนแลว ก็เกิดญาณรูวาพนแลว พระสูตร อนัตตลักขณสุตตัง ๑๒๘


๑๒๙ ขีณา ชาติ, วุสิตัง พ๎รัห๎มะจะริยัง, กะตัง กะระณียัง, นาปะรัง อิตถัตตายาติ ปะชานาตีติ. อริยสาวกนั้นรูชัดวา ชาติสิ้นแลว พรหมจรรยเราไดอยูจบแลว กิจที่ควรทํา เราไดทําเสร็จแลว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็ นอยางนี้มิไดมี อิทะมะโวจะ ภะคะวา. พระผูมีพระภาคเจาไดตรัสพระสูตรนี้จบลง อัตตะมะนา ปั ญจะวัคคิยา ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุง. พระภิกษุปั ญจวัคคียก็มีใจยินดี เพลิดเพลินภาษิตของพระผูมีพระภาคเจา อิมัส๎มิญจะ ปะนะ เวยยากะระณัส๎มิง ภัญญะมาเน, ก็แล เมื่อเวยยากรณนี้ อันพระผูมีพระภาคเจาตรัสอยู ปั ญจะวัคคิยานัง ภิกขูนัง อะนุปาทายะ, อาสะเวหิ จิตตานิ วิมุจจิงสูติ. จิตของพระภิกษุปั ญจวัคคียนั้น พนจากอาสวะทั้งหลาย ไมถือมั่นดวย อุปาทานแล. อาทิตตปริยายสุตตัง48 ๑ เอวัมเม สุตัง. ขาพเจา ไดสดับมาแลวอยางนี้ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา, สมัยหนึ่ง พระผูมีพระภาคเจา คะยายัง วิหะระติ คะยาสีเส, เสด็จประทับอยูที่คยาสีสะ ใกลแมนํ้าคยา สัทธิง ภิกขุสะหัสเสนะ. กับดวยภิกษุพันหนึ่ง ตัต๎ระ โข ภะคะวา ภิกขู อามันเตสิ. ในกาลนั้นแล พระผูมีพระภาคเจา ไดตรัสกะภิกษุทั้งหลายวา สัพพัง ภิกขะเว อาทิตตัง. ภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงเป็ นของรอน กิญจะ ภิกขะเว สัพพัง อาทิตตัง. ภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเลา ชื่อวาสิ่งทั้งปวงเป็ นของรอน ๑ วิ. มหา. ๔/๕๕. พระสูตร อนัตตลักขณสุตตัง ๑๒๙


๑๓๐ จักขุง ภิกขะเว อาทิตตัง, ภิกษุทั้งหลาย จักษุ(ตา) เป็นของรอน รูปา อาทิตตา, รูปทั้งหลาย เป็ นของรอน จักขุวิญญาณัง อาทิตตัง, วิญญาณอาศัยจักษุ เป็ นของรอน จักขุสัมผัสโส อาทิตโต, สัมผัสอาศัยจักษุ เป็ นของรอน ยัมปิ ทัง จักขุสัมผัสสะปั จจะยา อุปปั ชชะติ เวทะยิตัง, ความรูสึกอารมณนี้ เกิดขึ้นเพราะ จักษุสัมผัสเป็ นปั จจัยแมอันใด สุขัง วา ทุกขัง วา เป็ นสุขก็ดี เป็ นทุกขก็ดี อะทุกขะมะสุขัง วา, ไมใชทุกขไมใชสุขก็ดี ตัมปิ อาทิตตัง. แมอันนั้นก็เป็ นของรอน เกนะ อาทิตตัง. รอนเพราะอะไร อาทิตตัง ราคัคคินา รอนเพราะไฟ คือราคะ โทสัคคินา โมหัคคินา, เพราะไฟ คือโทสะ เพราะไฟ คือโมหะ อาทิตตัง ชาติยา ชะรามะระเณนะ, รอนเพราะความเกิด ความแก และความตาย โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ อาทิตตันติ วะทามิ. เพราะความโศก ความรํ่าไรรําพัน ความทุกข ความเสียใจ ความคับแคนใจ เราจึงกลาววา เป็ นของรอน โสตัง อาทิตตัง, โสตะ(หู) เป็นของรอน สัททา อาทิตตา, เสียงทั้งหลาย เป็ นของรอน โสตะวิญญาณัง อาทิตตัง, วิญญาณอาศัยโสตะ เป็ นของรอน โสตะสัมผัสโส อาทิตโต, สัมผัสอาศัยโสตะ เป็ นของรอน ยัมปิ ทัง โสตะสัมผัสสะปั จจะยา อุปปั ชชะติ เวทะยิตัง, ความรูสึกอารมณนี้ เกิดขึ้นเพราะ โสตสัมผัสเป็ นปั จจัยแมอันใด สุขัง วา ทุกขัง วา เป็ นสุขก็ดี เป็ นทุกขก็ดี อะทุกขะมะสุขัง วา, ไมใชทุกขไมใชสุขก็ดี ตัมปิ อาทิตตัง. แมอันนั้นก็เป็ นของรอน พระสูตร อาทิตตปริยายสุตตัง ๑๓๐


๑๓๑ เกนะ อาทิตตัง, รอนเพราะอะไร อาทิตตัง ราคัคคินา รอนเพราะไฟ คือราคะ โทสัคคินา โมหัคคินา, เพราะไฟ คือโทสะ เพราะไฟ คือโมหะ อาทิตตัง ชาติยา ชะรามะระเณนะ, รอนเพราะความเกิด ความแก และความตาย โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ อาทิตตันติ วะทามิ. เพราะความโศก ความรํ่าไรรําพัน ความทุกข ความเสียใจ ความคับแคนใจ เราจึงกลาววา เป็ นของรอน ฆานัง อาทิตตัง, ฆานะ(จมูก) เป็นของรอน คันธา อาทิตตา, กลิ่นทั้งหลาย เป็ นของรอน ฆานะวิญญาณัง อาทิตตัง, วิญญาณอาศัยฆานะ เป็ นของรอน ฆานะสัมผัสโส อาทิตโต, สัมผัสอาศัยฆานะ เป็ นของรอน ยัมปิ ทัง ฆานะสัมผัสสะปั จจะยา อุปปั ชชะติ เวทะยิตัง, ความรูสึกอารมณนี้ เกิดขึ้นเพราะ ฆานสัมผัสเป็ นปั จจัยแมอันใด สุขัง วา ทุกขัง วา เป็ นสุขก็ดี เป็ นทุกขก็ดี อะทุกขะมะสุขัง วา, ไมใชทุกขไมใชสุขก็ดี ตัมปิ อาทิตตัง. แมอันนั้นก็เป็ นของรอน เกนะ อาทิตตัง. รอนเพราะอะไร อาทิตตัง ราคัคคินา รอนเพราะไฟ คือราคะ โทสัคคินา โมหัคคินา, เพราะไฟ คือโทสะ เพราะไฟ คือโมหะ อาทิตตัง ชาติยา ชะรามะระเณนะ, รอนเพราะความเกิด ความแก และความตาย โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ อาทิตตันติ วะทามิ. เพราะความโศก ความรํ่าไรรําพัน ความทุกข ความเสียใจ ความคับแคนใจ เราจึงกลาววา เป็ นของรอน ชิวหา อาทิตตา, ชิวหา(ลิ้น) เป็นของรอน ระสา อาทิตตา, รสทั้งหลาย เป็ นของรอน พระสูตร อาทิตตปริยายสุตตัง ๑๓๑


๑๓๒ ชิวหาวิญญาณัง อาทิตตัง, วิญญาณอาศัยชิวหา เป็ นของรอน ชิวหาสัมผัสโส อาทิตโต, สัมผัสอาศัยชิวหา เป็ นของรอน ยัมปิ ทัง ชิวหาสัมผัสสะปั จจะยา อุปปั ชชะติ เวทะยิตัง, ความรูสึกอารมณนี้ เกิดขึ้นเพราะ ชิวหาสัมผัสเป็ นปั จจัยแมอันใด สุขัง วา ทุกขัง วา เป็ นสุขก็ดี เป็ นทุกขก็ดี อะทุกขะมะสุขัง วา, ไมใชทุกขไมใชสุขก็ดี ตัมปิ อาทิตตัง. แมอันนั้นก็เป็ นของรอน เกนะ อาทิตตัง. รอนเพราะอะไร อาทิตตัง ราคัคคินา รอนเพราะไฟ คือราคะ โทสัคคินา โมหัคคินา, เพราะไฟ คือโทสะ เพราะไฟ คือโมหะ อาทิตตัง ชาติยา ชะรามะระเณนะ, รอนเพราะความเกิด ความแก และความตาย โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ อาทิตตันติ วะทามิ. เพราะความโศก ความรํ่าไรรําพัน ความทุกข ความเสียใจ ความคับแคนใจ เราจึงกลาววา เป็ นของรอน กาโย อาทิตโต, กาย เป็นของรอน โผฏฐัพพา อาทิตตา, โผฏฐัพพะ(สิ่งที่ถูกตองกาย) เป็ นของรอน กายะวิญญาณัง อาทิตตัง, วิญญาณอาศัยกาย เป็ นของรอน กายะสัมผัสโส อาทิตโต, สัมผัสอาศัยกาย เป็ นของรอน ยัมปิ ทัง กายะสัมผัสสะปั จจะยา อุปปั ชชะติ เวทะยิตัง, ความรูสึกอารมณนี้ เกิดขึ้นเพราะ กายสัมผัสเป็ นปั จจัยแมอันใด สุขัง วา ทุกขัง วา เป็ นสุขก็ดี เป็ นทุกขก็ดี อะทุกขะมะสุขัง วา, ไมใชทุกขไมใชสุขก็ดี ตัมปิ อาทิตตัง. แมอันนั้นก็เป็ นของรอน เกนะ อาทิตตัง. รอนเพราะอะไร พระสูตร อาทิตตปริยายสุตตัง ๑๓๒


๑๓๓ อาทิตตัง ราคัคคินา รอนเพราะไฟ คือราคะ โทสัคคินา โมหัคคินา, เพราะไฟ คือโทสะ เพราะไฟ คือโมหะ อาทิตตัง ชาติยา ชะรามะระเณนะ, รอนเพราะความเกิด ความแก และความตาย โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ อาทิตตันติ วะทามิ. เพราะความโศก ความรํ่าไรรําพัน ความทุกข ความเสียใจ ความคับแคนใจ เราจึงกลาววา เป็ นของรอน มะโน อาทิตโต, มนะ(ใจ) เป็นของรอน ธัมมา อาทิตตา, ธรรมทั้งหลาย(อารมณที่เกิดกับใจ) เป็ นของรอน มะโนวิญญาณัง อาทิตตัง, วิญญาณอาศัยมนะ เป็ นของรอน มะโนสัมผัสโส อาทิตโต, สัมผัสอาศัยมนะ เป็ นของรอน ยัมปิ ทัง มะโนสัมผัสสะปั จจะยา อุปปั ชชะติ เวทะยิตัง, ความรูสึกอารมณนี้ เกิดขึ้นเพราะ มโนสัมผัสเป็ นปั จจัยแมอันใด สุขัง วา ทุกขัง วา เป็ นสุขก็ดี เป็ นทุกขก็ดี อะทุกขะมะสุขัง วา, ไมใชทุกขไมใชสุขก็ดี ตัมปิ อาทิตตัง. แมอันนั้นก็เป็ นของรอน เกนะ อาทิตตัง. รอนเพราะอะไร อาทิตตัง ราคัคคินา รอนเพราะไฟ คือราคะ โทสัคคินา โมหัคคินา, เพราะไฟ คือโทสะ เพราะไฟ คือโมหะ อาทิตตัง ชาติยา ชะรามะระเณนะ, รอนเพราะความเกิด ความแก และความตาย โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ อาทิตตันติ วะทามิ. เพราะความโศก ความรํ่าไรรําพัน ความทุกข ความเสียใจ ความคับแคนใจ เราจึงกลาววา เป็ นของรอน เอวัง ปั สสัง ภิกขะเว สุตะวา อะริยะสาวะโก, ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผูไดสดับมาแลว เห็นอยูอยางนี้ พระสูตร อาทิตตปริยายสุตตัง ๑๓๓


๑๓๔ จักขุส๎มิงปิ นิพพินทะติ, ยอมเบื่อหนาย ทั้งในจักษุ รูเปสุปิ นิพพินทะติ, ยอมเบื่อหนาย ทั้งในรูปทั้งหลาย จักขุวิญญาเณปิ นิพพินทะติ, ยอมเบื่อหนาย ทั้งในวิญญาณอาศัยจักษุ จักขุสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ, ยอมเบื่อหนาย ทั้งในสัมผัสอาศัยจักษุ ยัมปิ ทัง จักขุสัมผัสสะปั จจะยา อุปปั ชชะติ เวทะยิตัง, ความรูสึกอารมณนี้ เกิดขึ้นเพราะ จักษุสัมผัสเป็นปั จจัยแมอันใด สุขัง วา ทุกขัง วา เป็ นสุขก็ดี เป็ นทุกขก็ดี อะทุกขะมะสุขัง วา, ไมใชทุกขไมใชสุขก็ดี ตัส๎มิงปิ นิพพินทะติ. ยอมเบื่อหนาย ทั้งในความรูสึกนั้น โสตัส๎มิงปิ นิพพินทะติ, ยอมเบื่อหนาย ทั้งในโสตะ สัทเทสุปิ นิพพินทะติ, ยอมเบื่อหนาย ทั้งในเสียงทั้งหลาย โสตะวิญญาเณปิ นิพพินทะติ, ยอมเบื่อหนาย ทั้งในวิญญาณอาศัยโสตะ โสตะสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ, ยอมเบื่อหนาย ทั้งในสัมผัสอาศัยโสตะ ยัมปิ ทัง โสตะสัมผัสสะปั จจะยา อุปปั ชชะติ เวทะยิตัง, ความรูสึกอารมณนี้ เกิดขึ้นเพราะ โสตสัมผัสเป็นปั จจัยแมอันใด สุขัง วา ทุกขัง วา เป็ นสุขก็ดี เป็ นทุกขก็ดี อะทุกขะมะสุขัง วา, ไมใชทุกขไมใชสุขก็ดี ตัส๎มิงปิ นิพพินทะติ. ยอมเบื่อหนาย ทั้งในความรูสึกนั้น ฆานัส๎มิงปิ นิพพินทะติ, ยอมเบื่อหนาย ทั้งในฆานะ คันเธสุปิ นิพพินทะติ, ยอมเบื่อหนาย ทั้งในกลิ่นทั้งหลาย ฆานะวิญญาเณปิ นิพพินทะติ, ยอมเบื่อหนาย ทั้งในวิญญาณอาศัยฆานะ ฆานะสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ, ยอมเบื่อหนาย ทั้งในสัมผัสอาศัยฆานะ ยัมปิ ทัง ฆานะสัมผัสสะปั จจะยา อุปปั ชชะติ เวทะยิตัง, ความรูสึกอารมณนี้ เกิดขึ้นเพราะ ฆานสัมผัสเป็นปั จจัยแมอันใด สุขัง วา ทุกขัง วา เป็ นสุขก็ดี เป็ นทุกขก็ดี พระสูตร อาทิตตปริยายสุตตัง ๑๓๔


๑๓๕ อะทุกขะมะสุขัง วา, ไมใชทุกขไมใชสุขก็ดี ตัส๎มิงปิ นิพพินทะติ. ยอมเบื่อหนาย ทั้งในความรูสึกนั้น ชิวหายะปิ นิพพินทะติ, ยอมเบื่อหนาย ทั้งในชิวหา ระเสสุปิ นิพพินทะติ, ยอมเบื่อหนาย ทั้งในรสทั้งหลาย ชิวหาวิญญาเณปิ นิพพินทะติ, ยอมเบื่อหนาย ทั้งในวิญญาณอาศัยชิวหา ชิวหาสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ, ยอมเบื่อหนาย ทั้งในสัมผัสอาศัยชิวหา ยัมปิ ทัง ชิวหาสัมผัสสะปั จจะยา อุปปั ชชะติ เวทะยิตัง, ความรูสึกอารมณนี้ เกิดขึ้นเพราะ ชิวหาสัมผัส เป็นปั จจัยแมอันใด สุขัง วา ทุกขัง วา เป็ นสุขก็ดี เป็ นทุกขก็ดี อะทุกขะมะสุขัง วา, ไมใชทุกขไมใชสุขก็ดี ตัส๎มิงปิ นิพพินทะติ. ยอมเบื่อหนาย ทั้งในความรูสึกนั้น กายัส๎มิงปิ นิพพินทะติ, ยอมเบื่อหนาย ทั้งในกาย โผฏฐัพเพสุปิ นิพพินทะติ, ยอมเบื่อหนาย ทั้งในโผฏฐัพพะทั้งหลาย กายะวิญญาเณปิ นิพพินทะติ, ยอมเบื่อหนาย ทั้งในวิญญาณอาศัยกาย กายะสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ, ยอมเบื่อหนาย ทั้งในสัมผัสอาศัยกาย ยัมปิ ทัง กายะสัมผัสสะปั จจะยา อุปปั ชชะติ เวทะยิตัง, ความรูสึกอารมณนี้ เกิดขึ้นเพราะ กายสัมผัสเป็นปั จจัยแมอันใด สุขัง วา ทุกขัง วา เป็ นสุขก็ดี เป็ นทุกขก็ดี อะทุกขะมะสุขัง วา, ไมใชทุกขไมใชสุขก็ดี ตัส๎มิงปิ นิพพินทะติ. ยอมเบื่อหนาย ทั้งในความรูสึกนั้น มะนัส๎มิงปิ นิพพินทะติ, ยอมเบื่อหนาย ทั้งในมนะ ธัมเมสุปิ นิพพินทะติ, ยอมเบื่อหนาย ทั้งในธรรมทั้งหลาย มะโนวิญญาเณปิ นิพพินทะติ, ยอมเบื่อหนาย ทั้งในวิญญาณอาศัยมนะ มะโนสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ, ยอมเบื่อหนาย ทั้งในสัมผัสอาศัยมนะ พระสูตร อาทิตตปริยายสุตตัง ๑๓๕


๑๓๖ ยัมปิ ทัง มะโนสัมผัสสะปั จจะยา อุปปั ชชะติ เวทะยิตัง, ความรูสึกอารมณนี้ เกิดขึ้นเพราะ มโนสัมผัสเป็นปั จจัยแมอันใด สุขัง วา ทุกขัง วา เป็ นสุขก็ดี เป็ นทุกขก็ดี อะทุกขะมะสุขัง วา, ไมใชทุกขไมใชสุขก็ดี ตัส๎มิงปิ นิพพินทะติ. ยอมเบื่อหนาย ทั้งในความรูสึกนั้น นิพพินทัง วิรัชชะติ. เมื่อเบื่อหนาย ยอมคลายความติด วิราคา วิมุจจะติ. เพราะคลายความติด จิตก็พน วิมุตตัส๎มิง วิมุตตะมิติ ญาณัง โหติ. เมื่อจิตพน ก็มีญาณรูวาพนแลว ขีณา ชาติ, วุสิตัง พ๎รัห๎มะจะริยัง, กะตัง กะระณียัง, นาปะรัง อิตถัตตายาติ ปะชานาตีติ. อริยสาวกนั้นทราบชัดวา ชาติความเกิด สิ้นแลว พรหมจรรยเราไดอยูจบแลว กิจที่ควรทําไดทําเสร็จแลว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็ นอยางนี้มิไดมี อิทะมะโวจะ ภะคะวา. พระผูมีพระภาคเจาไดตรัสพระสูตรนี้แลว อัตตะมะนา เต ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุง. พระภิกษุเหลานั้นก็มีใจยินดี เพลิดเพลิน ภาษิตของพระผูมีพระภาคเจา อิมัส๎มิญจะ ปะนะ เวยยากะระณัส๎มิง ภัญญะมาเน, ก็แลเมื่อเวยยากรณนี้ อันพระผูมีพระภาคเจาตรัสอยู ตัสสะ ภิกขุสะหัสสัสสะ อะนุปาทายะ, อาสะเวหิ จิตตานิ วิมุจจิงสูติ. จิตของพระภิกษุพันรูปนั้น ก็พนจากอาสวะ ทั้งหลาย ไมถือมั่นดวยอุปาทานแล. พระสูตร อาทิตตปริยายสุตตัง ๑๓๖


๑๓๗ มหาสมยสุตตัง49 ๑ เอวัมเม สุตัง. ขาพเจา ไดสดับมาแลวอยางนี้ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา, สมัยหนึ่ง พระผูมีพระภาคเจา สักเกสุ วิหะระติ ประทับอยูในสักกชนบท กะปิ ละวัตถุส๎มิง มะหาวะเน, ณ ป ามหาวันใกลกรุงกบิลพัสดุ มะหะตา ภิกขุสังเฆนะ สัทธิง พรอมดวยภิกษุสงฆหมูใหญ ปั ญจะมัตเตหิ ภิกขุสะเตหิ คือภิกษุสงฆประมาณ ๕๐๐ สัพเพเหวะ อะระหันเตหิ. ลวนเป็ นพระอรหันตทั้งหมด ทะสะหิ จะ โลกะธาตูหิ เทวะตา อนึ่ง เทวดาทั้งหลายจากโลกธาตุ ๑๐ เยภุยเยนะ สันนิปะติตา โหนติ, เป็ นผูประชุมกันแลวโดยมาก ภะคะวันตัง ทัสสะนายะ ภิกขุสังฆัญจะ, เพื่อทัศนาพระผูมีพระภาคเจาและภิกษุสงฆ อะถะโข จะตุนนัง สุทธาวาสะกายิกานัง เทวานัง เอตะทะโหสิ, ครั้งนั้นแล ความปริวิตกนี้ไดมีแกเหลา เทวดาชั้นสุทธาวาส ๔ องควา อะยัง โข ภะคะวา สักเกสุ วิหะระติ กะปิ ละวัตถุส๎มิง มะหาวะเน, พระผูมีพระภาคเจานี้แลประทับอยู ณ ป ามหาวัน ใกลกรุงกบิลพัสดุ ในสักกชนบท มะหะตา ภิกขุสังเฆนะ สัทธิง พรอมดวยภิกษุสงฆหมูใหญ ปั ญจะมัตเตหิ ภิกขุสะเตหิ คือภิกษุสงฆประมาณ ๕๐๐ สัพเพเหวะ อะระหันเตหิ. ลวนเป็ นพระอรหันตทั้งหมด ทะสะหิ จะ โลกะธาตูหิ เทวะตา อนึ่ง เทวดาทั้งหลายจากโลกธาตุ ๑๐ เยภุยเยนะ สันนิปะติตา โหนติ, เป็ นผูประชุมกันแลวโดยมาก ภะคะวันตัง ทัสสะนายะ ภิกขุสังฆัญจะ, เพื่อทัศนาพระผูมีพระภาคเจาและภิกษุสงฆ ๑ ที. มหา. ๑๐/๒๓๕-๒๔๖. พระสูตร ๑๓๗


๑๓๘ ยันนูนะ มะยัมปิ เยนะ ภะคะวา เตนุปะสังกะเมยยามะ, อยากระนั้นเลย แมเราทั้งหลาย พึงเขา ไปเฝ าพระผูมีพระภาคเจายังที่ประทับ อุปะสังกะมิต๎วา ภะคะวะโต สันติเก ปั จเจกะคาถา ภาเสยยามาติ. ครั้นเขาไปเฝ าแลว พึงกลาวคาถาเฉพาะองค ละคาถา ในสํานักของพระผูมีพระภาคเจา อะถะโข ตา เทวะตา, ครั้งนั้นแล เทวดาทั้งหลายนั้น เสยยะถาปิ นามะ พะละวา ปุริโส สัมมิญชิตัง วา พาหัง ปะสาเรยยะ, ปะสาริตัง วา พาหัง สัมมิญเชยยะ, เปรียบเหมือนบุรุษผูมีกําลัง พึงเหยียดแขนที่คูเขาแลวออกไป หรือพึงคูแขนที่เหยียดออกแลวเขามา เอวะเมวะ สุทธาวาเสสุ เทเวสุ อันตะระหิตา ภะคะวะโต ปุระโต ปาตุระหังสุ. อยางเดียวกันฉันนั้น ไดอันตรธานจาก เทวโลกชั้นสุทธาวาส มาปรากฏเบื้ อง พระพักตรของพระผูมีพระภาคเจา อะถะโข ตา เทวะตา ภะคะวันตัง อะภิวาเทต๎วา เอกะมันตัง อัฏฐังสุ. ทีนั้นแล เทวดาเหลานั้น ถวายอภิวาทพระผูมีพระภาคเจาแลว ไดยืนอยูสวนขางหนึ่ง เอกะมันตัง ฐิตา โข เอกา เทวะตา ภะคะวะโต สันติเก อิมัง คาถัง อะภาสิ. เทวดาองคหนึ่ง ยืนอยูสวนขางหนึ่งแล ไดภาษิตคาถานี้ในสํานักของพระผูมี พระภาคเจาวา มะหาสะมะโย ปะวะนัส๎มิง วันนี้เป็ นมหาสมัยในป ามหาวัน เทวะกายา สะมาคะตา, หมูเทวดาทั้งหลายมาประชุมกันแลว อาคะตัมหะ อิมัง ธัมมะสะมะยัง, ทักขิตาเยวะ อะปะราชิตะสังฆันติ. พวกเราเป็ นผูมาแลวสูธรรมสมัยนี้ เพื่อไดเห็นพระพุทธเจาและพระสงฆ อะถะโข อะปะรา เทวะตา ภะคะวะโต สันติเก อิมัง คาถัง อะภาสิ. ทีนั้นแล เทวดาอีกองคหนึ่ง ไดภาษิตคาถานี้ ในสํานักของพระผูมีพระภาคเจาวา พระสูตร มหาสมยสุตตัง ๑๓๘


Click to View FlipBook Version