The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระป่าและช้างป่า ว่านยาคนโบราณ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wonchai890, 2022-02-21 20:45:52

พระป่าและช้างป่า ว่านยา

พระป่าและช้างป่า ว่านยาคนโบราณ

พระป่าและชา้ งป่า ว่านยาคนโบราณ
สมยั กรงุ รัตนโกสนิ ทร์

พระปรดี า ฉนทฺ กโร

ISBN : ๙๗๘-๖๑๖-๔๗๔-๓๓๑-๑
พิมพค์ รั้งที่ ๑ - ๕ : มกราคม ๒๕๕๘ - สิงหาคม ๒๕๖๑
จ�ำนวนพิมพ์ : ๔๘,๐๐๐ เลม่
พิมพ์ครัง้ ท่ี ๖ : พฤศจิกายน ๒๕๖๒
จำ� นวนพิมพ์ : ๕,๐๐๐ เลม่
ผ้จู ัดพิมพ ์ : มูลนิธิพุทธสมนุ ไพรคู่แผน่ ดินไทย ในพระบรมราชูปถมั ภ์
สงวนลขิ สิทธ ์ิ : ห้ามคดั ลอก ตัดตอน เปลีย่ นแปลง แกไ้ ข ปรบั ปรุง ข้อความใดๆ

ทงั้ สน้ิ หรอื นำ� ไปพมิ พจ์ ำ� หนา่ ย หากทา่ นใดประสงคจ์ ะพมิ พเ์ พอื่ ให้
เปน็ ธรรมทาน โปรดตดิ ต่อขออนญุ าตจาก มูลนธิ ิพุทธสมุนไพร
คแู่ ผน่ ดนิ ไทย ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ ทางวดั ปา่ ดานวเิ วก ต.ศรชี มภู
อ.โซ่พิสยั จ.บงึ กาฬ

พิมพท์ ่ี : บริษทั ศลิ ป์สยามบรรจุภณั ฑ์และการพิมพ์ จ�ำกัด
๖๑ ถนนเลียบคลองภาษเี จรญิ ฝงั่ เหนอื ซ.เพชรเกษม​๖๙
แขวงหนองแขม เขตหนองแขม กรงุ เทพฯ
โทรศพั ท์ ๐-­­ ๒๔๔๔-๓๓๕๑-๙ โทรสาร ๐-๒๔๔๔-๐๐๗๘
E-mail: [email protected]

พระปา่

สมยั กรุงรตั นโกสินทร์

บันทกึ ปพี ทุ ธศักราช ๒๕๔๐
และ

บนั ทกึ เพิ่มเติมปีพทุ ธศักราช ๒๕๔๖ - ๒๕๔๗, ๒๕๕๓ และ ๒๕๕๙

(4)

พระอุบาลีคุณูปมาจารย์
(จันทร์ สิริจนโฺ ท)

(5)

พระอุบาลีคุณูปมาจารย์
(จันทร์ สริ ิจนโฺ ท) กวีเอก

นักปราชญ์สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ นักเทศน์ธรรมกถึก นักแต่งหนังสือแต่งกาพย์
นกั แต่งกลอนแต่งโคลง ค�ำกลอนของทา่ น ทา่ นว่าเปน็ ภาษาอสี าน ท่านบอกวา่

๏ กัมมฏั ฐานโจกแก้วแถวธรรมบ่เตื้องตอ่
กมั มฏั ฐานพอ่ วอ่ ม่ข้ใี หห้ มูเ่ หมน็
๏ เขาก็ลอื มนั แลว้ กมั มัฏฐานหมูเถ่อื น
ได้อาหารอิม่ ท้องนอนมงุ้ น่งั ธรรม
๏ กัมมัฏฐานข้ีสม้ กนิ ใบสม้ ลมเหมิดมอื้ ละกะตา่
กินหมากส้มมอ หมากขามป้อมเหมดิ ม้ือละกะซา่
ปานนนั้ วา่ บ่พอ
๏ กมั มฏั ฐานโก้โงสอนแตผ่ ้อู ่นื
สอนโตบไ่ ด้ ไฟสไิ หมเ้ มือหลงั

นกั ปราชญ์เมอื งอุบล

(6)

พระธรรมวิสทุ ธิมงคล
(บัว าณสมปฺ นโฺ น)

(7)

ชาตินี้เป็นชาติที่เลศิ แล้ว

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสมั ปนั โน

เทศนอ์ บรมพระสงฆ์และฆราวาส
ณ วัดปา่ ดานวิเวก อ.โซพ่ ิสัย จ.บึงกาฬ
เม่ือวันที่ ๑ กมุ ภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๐

เวลาประมาณ ๑๓.๐๐ น.

(เวลาประมาณ ๑๐.๐๐ น. ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
เดนิ ทางมาร่วมพิธที อดผา้ บังสุกุล และกล่าวอนโุ มทนา จากนัน้ เดินทางกลบั )

พล.อ.สรุ ยทุ ธ์ จุลานนท์ กล่าวอนโุ มทนา
“กราบนมัสการพระคุณเจ้า พ่ีน้องที่มาร่วมในพิธีทอดผ้าป่าบังสุกุลในคร้ังนี้
นบั ว่าเปน็ การท�ำกศุ ลร่วมกนั อันจะเปน็ ประโยชน์แก่พุทธศาสนา แกค่ วามสุข แกค่ วาม
เจรญิ รงุ่ เรืองของบ้านเมอื งของเรา ซงึ่ จะไดบ้ ำ� เพญ็ อุทศิ ส่วนกศุ ลให้แก่พอ่ แม่ผ้มู พี ระคุณ
บรรพบุรุษ นักรบทั้งหลายท่ีได้เสียสละชีวิตเพ่ือปกป้องบ้านเมืองของเราให้อยู่เย็น
เป็นสุขมาตราบเท่าทุกวันนี้ นับว่าเป็นบุญกุศลที่พี่น้องท้ังมวลได้มารวมกันอยู่ ณ ท่ีน้ี
แลว้ ไดม้ โี อกาสทท่ี ำ� บญุ รว่ มกนั ขอขอบคณุ และขออนโุ มทนาในจติ อนั เปน็ กศุ ลของทกุ ๆ
ท่านไว้ ณ ท่นี ดี้ ว้ ย” (สาธ)ุ
หลวงตาเร่มิ แสดงพระธรรมเทศนาเวลาประมาณ ๑๓.๐๐ น.

(8)

“ท่ีพวกเราน่ังเวลาน้ีมีต้ังแต่เส่ือธรรมชาติ นี่หินเห็นไหม เราน่ังอย่างน้ีเป็นเส่ือ
ธรรมชาติ ครบู าอาจารยข์ องเรานบั แตพ่ ระพทุ ธเจา้ ลงมา ทา่ นอยตู่ ามหลกั ธรรมชาตอิ ยา่ งนี้
ท่านไม่หรูหราฟู่ฟ่าเหมือนพวกเราลูกพระพุทธเจ้า แต่มันแซงหน้าแซงหลังเหยียบหัว
พระพทุ ธเจา้ ไป เพราะความฟงุ้ เฟอ้ เหอ่ เหมิ ไมร่ จู้ กั ประมาณ ทงั้ การอยกู่ ารกนิ การใชส้ อย
ทุกส่ิงทุกอย่าง แสดงออกด้วยความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เป็นการเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป
พระพุทธเจ้าไม่มีค�ำว่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ดีดด้ินแบบไม่มีหลักมีเกณฑ์ เราเป็นลูกชาวพุทธ
ขอให้พากนั มีหลกั มเี กณฑ์

วันน้ีก็เปน็ วันธรรมสวนะ เปน็ วนั ฟงั อรรถฟังธรรม ควรจะไดอ้ รรถไดธ้ รรมไปเป็น
คตเิ ครอ่ื งเตอื นใจ พระทา่ นมาสถานทน่ี มี่ าจากทภี่ าวนาอบรมจติ ใจ คอื จติ ใจนเี้ ปน็ ตวั ดดี
ตวั ดนิ้ ในโลกธาตุนไี้ มม่ ีอะไรดีดด้ินยิ่งกว่าจติ ใจ กองทุกขส์ ามโลกธาตุมารวมอยู่ทีใ่ จ
ของแตล่ ะดวงๆ ทง้ั หมด ไมม่ ที รี่ วมแหง่ ความทกุ ข์ และไมม่ ที รี่ วมแหง่ ความสขุ ความทกุ ข์
สามแดนโลกธาตุมารวมอยู่ท่ีหัวใจของแต่ละรายๆ ท่ีก่อไฟขึ้นมาให้เป็นทุกข์ เป็นฟืน
เปน็ ไฟเผาหัวใจตนเองเปน็ ทกุ ขม์ าก ตกนรกทงั้ เปน็

ผู้ที่ทา่ นมีศลี มธี รรมมกี ารอบรมภาวนา มตี ัง้ แต่ระงบั ดบั ไฟ ราคคคฺ ินา โทสคฺคนิ า
โมหคฺคินา ความดีดความดิ้น ราคะตัณหาก็เป็นไฟกองหนึ่งเผาหัวใจไม่หยุดไม่หย่อน
ถา้ มกี ารสง่ เสรมิ มนั มากเทา่ ไรยง่ิ เปน็ ไฟเผาหวั อก จะเปน็ จะตายทงั้ ๆ ทชี่ วี ติ ลมหายใจยงั
อย่นู ่ันแหละ จึงเรยี กว่า ราคคคฺ ินา ราคะเวลามนั เกิดแล้วไม่มีใกล้มีไกล ไมม่ หี นา้ มหี ลัง
มนั เผาไปไดห้ มด เรยี กวา่ ราคคคฺ นิ า คอื เปน็ ไฟไปดว้ ยกนั ไฟนจ้ี อ่ เขา้ ไปตรงไหนเผาไหม้
ตลอดๆ ราคะตัณหาจอ่ เข้าไปตรงไหนก็เชน่ เดียวกัน

โทสคคฺ ินา คอื ความโมโหโทโส ไม่ร้สู ูงรูต้ ่ำ� ไม่รบู้ ญุ รคู้ ณุ ไมร่ ู้บญุ รบู้ าป กค็ ือ
โทสคฺคินา เวลามันเกิดแล้วมันลบล้างเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ไปได้หมด ท่านจึงว่า
โทสคฺคินา คือไฟไหม้หัวใจของสัตว์โลก สัตว์โลกเดือดร้อนวุ่นวายเพราะโทสคฺคินา
เราสง่ เสรมิ ความโมโหโทโสเขา้ สภู่ ายในใจแลว้ เผาใจของเรากอ่ นอน่ื เมอื่ เผาใจเราแลว้

(9)

กอ็ อกไปเผาใจคนอนื่ ให้ได้รบั ความกระทบกระเทือนเดอื ดรอ้ นทวั่ หนา้ กนั ไปหมด ขึน้ อยู่
กับโมหคฺคินา คือความโง่เง่าเต่าตุ่น ความไม่มีเหตุมีผลภายในใจ ต้องการอะไรก็จะ
ใหไ้ ดส้ มใจๆ ไมค่ ำ� นงึ ถงึ วา่ สงิ่ นนั้ ผดิ หรอื ถกู ดชี วั่ ประการใด มนั เผาไปไดห้ มดโมหคคฺ นิ า
คอื ความลุ่มหลงไดแ้ ก่ไฟเผาโลกนั้นแหละ จะเปน็ ทไี่ หนไป

วันนี้พี่น้องลูกหลานท้ังหลายมาเป็นจ�ำนวนมาก มีพระเจ้าพระสงฆ์จ�ำนวนมาก
เช่นเดียวกันที่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติอรรถธรรมเพ่ืออบรมธรรมเข้าสู่ใจให้มีความสงบ
ร่มเย็น มองเห็นบุญเห็นบาปซึ่งมีมาด้ังเดิมได้อย่างชัดเจนประจักษ์ใจส�ำหรับผู้อบรม
จติ ตภาวนา ผไู้ มเ่ คยอบรมจติ ตภาวนา บญุ บาปจะทว่ มทน้ อยภู่ ายในหวั ใจจนตายทง้ั เปน็
เพราะไฟความช่ัวช้าลามกเผามันก็ไม่รู้ตัว เพราะไม่ได้ดูตัวใจตัวก่อฟืนก่อไฟเผาหัวใจ
ตนเอง

ผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมย่อมดูหัวใจตนเอง ว่ามันดีดมันดิ้นไปจากใจนี้เท่านั้น
โลกธาตุเขาอยู่ตามสภาพของเขา แต่จิตใจนี้เป็นตัวคึกตัวคะนอง เที่ยวดีดเที่ยวด้ิน
เทยี่ วส�ำคญั มัน่ หมายว่าอนั น้ันดอี ันนไี้ ม่ดี คนนัน้ ดีคนนีไ้ ม่ดี ดตู ั้งแต่ส่ิงอน่ื วัตถอุ ่นื คนอื่น
ไมด่ ตู วั เอง วนั ยงั คำ่� กต็ ายทงิ้ เปลา่ ๆ ถา้ ใครเปน็ นกั ภาวนาจะตอ้ งยอ้ นเขา้ มาดจู ติ ใจตวั เอง
ตวั คกึ ตวั คะนอง แลว้ กจ็ ะไดเ้ หตไุ ดผ้ ลจากจติ ทม่ี นั แสดงฤทธเ์ิ ดชเผาตวั เองตลอดเวลานไ้ี ป
โดยลำ� ดบั แล้วจะแก้ไขดัดแปลงให้เป็นความสงบสุขลงภายในจิตใจได้

เพราะฉะน้ันท่านจึงสอนให้ภาวนา การภาวนาคือการมาดูจิตใจตัวเอง ทุกสิ่ง
ทุกอยา่ ง ตาเพ่อื ดู เหน็ ทั่วโลกธาตุกเ็ หน็ แต่ละกิเลสไม่ได้ หกู ็ฟงั ฟงั ทั่วโลกธาตุนน้ั แหละ
มีอะไรท่เี ปน็ วสิ ยั ของหมู นั ฟงั ไดท้ งั้ น้นั แต่ไมล่ ะกิเลส ฟงั มันฟงั เพ่อื ส่ังสมกิเลส ตา หู จมูก
ลนิ้ กาย สมั ผสั สมั พนั ธก์ บั สง่ิ ใดเพอ่ื กเิ ลส สง่ เสรมิ กเิ ลสใหเ้ ผาตวั เองทงั้ นน้ั มนั ไมไ่ ดเ้ ปน็ อรรถ
เปน็ ธรรม ถา้ นกั ภาวนาแลว้ ตาเหน็ สงิ่ ใดเปน็ อรรถเปน็ ธรรมขน้ึ มา พนิ จิ พจิ ารณาวพิ ากษ์
วิจารณ์ในส่ิงท่ีรู้ท่ีเห็นท่ีเป็น ที่ได้ยินได้ฟัง เข้ามาพินิจพิจารณา ส่ิงใดไม่ดีก็คัดออกๆ
สิ่งใดทด่ี ีก็พยายามสง่ั สมเขา้ ใหม้ ากภายในจติ ใจ ท่านจงึ เรียกว่านกั ภาวนา

(10)

พระพทุ ธเจา้ เปน็ นกั ภาวนา ไดเ้ ปน็ ศาสดาประจำ� โลกแหง่ ชาวพทุ ธของเราอยเู่ วลาน้ี
กค็ อื พระพทุ ธเจา้ ทรงกระจายความรคู้ วามเหน็ ทเี่ กดิ จากการภาวนา เปน็ โลกวทิ รู แู้ จง้ โลก
ทงั้ โลกนอกโลกในตลอดทวั่ ถงึ โลกผีโลกคน โลกสัตวน์ รกอเวจี โลกเทวบุตรเทวดา
อนิ ทร์ พรหม จนกระทงั่ ถงึ นพิ พาน ไมม่ ใี ครจะรเู้ หน็ ชดั เจนยงิ่ กวา่ พระพทุ ธเจา้ จงึ เรยี กวา่
โลกวทิ ู รแู้ จง้ โลกหมด โลกสมมตุ ทิ งั้ หลายกร็ แู้ จง้ โลกวมิ ตุ ตจิ ะเรยี กวา่ โลกอนั หนง่ึ กไ็ ด้
กค็ อื พระนิพพาน เปน็ สถานทอี่ ยู่ของท่านผบู้ ริสุทธใิ์ จ หาความทุกขแ์ มเ้ มด็ หินเมด็ ทราย
ไมม่ ีที่จะเข้าไปรบกวนใจ มแี ตค่ วามสุขเปน็ บรมสุขก็คือจิตตภาวนา

เพราะฉะนน้ั เราทง้ั หลายวนั นไ้ี ดม้ าทอดผา้ ปา่ มอี าจารยท์ ยุ เปน็ หวั หนา้ ศรทั ธาใหญ่
กอ่ ตน้ กอ่ รากกอ่ ฐานขน้ึ มาใหศ้ รทั ธาทงั้ หลายไดร้ ะลกึ รกู้ นั ทวั่ ประเทศเขตแดน ดงั ทม่ี านี้
มจี ำ� นวนไมน่ อ้ ย ผทู้ ท่ี า่ นทราบวา่ ทา่ นโฆษณาวา่ กลา่ วถงึ การกศุ ลผลบญุ ผลทานเพอื่ เปน็
ความดีงามแล้วก็ยกเราไปสวรรค์นิพพานน้ัน อยู่ไกลจากเราน้ีไม่ได้มาก็มีจ�ำนวนมาก
พวกเรามา ไดย้ นิ ไดฟ้ งั แลว้ กม็ ากม็ จี �ำนวนมากเท่าทเี่ หน็ อยนู่ ้ี นค่ี อื อาจารย์ทยุ ท่านเปน็
สอ่ื เบกิ ทางกศุ ลใหพ้ น่ี อ้ งทง้ั หลายไดบ้ ำ� เพญ็ ถา้ ทา่ นไมต่ ง้ั เหตขุ นึ้ มาทน่ี ่ี พวกเราทงั้ หลาย
กจ็ ะไมไ่ ด้มารวมกนั ท่ีน่ี

เวลามาทนี่ ตี่ ากเ็ ปน็ ธรรม หกู เ็ ปน็ ธรรมไป ตาไดเ้ หน็ แตส่ ง่ิ ทด่ี งี าม หไู ดฟ้ งั เสยี งอรรถ
เสยี งธรรม มคี วามร่นื เริงบนั เทงิ ภายในจติ ใจ เรียกว่าตา หู จมกู ลิ้น กาย ใจ ของเรา
เปน็ มงคลไปตามๆ กนั หมด กบั เจา้ ของทเ่ี กดิ มาจากการไดย้ นิ ไดฟ้ งั เสยี งอรรถเสยี งธรรม
ท่ีท่านโฆษณาว่ากล่าวว่า วันน้ีเป็นวันบ�ำเพ็ญกุศลทอดมหาบังสุกุล หรือทอดผ้าป่า
การทอดผา้ ปา่ ดงั ทที่ า่ นเหน็ น้ี กองผา้ ขาวนกี่ องเทา่ ภเู ขา ทา่ นทงั้ หลายโปรดทราบวา่ ผา้ ปา่
เหล่าน้ีละที่จะน�ำไปช่วยคนทุกข์คนจนยากเย็นเข็ญใจท่ัวประเทศเขตแดน ไม่มีก�ำหนด
กฎเกณฑ์ ท่ไี หนบกพรอ่ งทีไ่ หนขาดเขินก็เฉลี่ยเผือ่ แผก่ นั ไปทั่วประเทศไทยของเรา

ถวายนก้ี จ็ ะถวายเพือ่ หลวงตาบวั หลวงตาบัวก็แบมือไว้แล้ว ไม่มีคำ� วา่ กำ� ที่จะเก็บ
หอมรอมรบิ เขา้ มาหาตนเองดว้ ยความตระหนถี่ เี่ หนยี วอยา่ งน้ี เราไมม่ ใี นใจ มตี งั้ แตค่ วาม

(11)

เมตตาสงสารเปดิ โลกธาตุ เมอื่ วตั ถไุ ทยทานมมี ากมนี อ้ ยจะไหลออกไปตามวตั ถมุ ากนอ้ ย
นนั้ แหละ ดว้ ยอำ� นาจแหง่ กระแสของเมตตาธรรม ไปทไ่ี หนใหเ้ ยน็ ไปทนี่ น่ั คนมบี ญุ มที าน
มีการกุศลจิตใจเป็นธรรม ไปที่ไหนเย็นไปหมด คนมีตั้งแต่ความตระหน่ีถี่เหนียวไป
ท่ีไหนตีบตันอ้ันตู้ แม้ท่ีสุดญาติมิตรท้ังหลายก็ไม่ค่อยมี เวลาตายแล้วคนท่ีจะไปเผาศพ
ก็ไปอยา่ งหยอมแหยมๆ ไมม่ าก เพราะอะไร เพราะตัวเองน้นั แหละปิดทางตวั เอง

เวลามชี ีวิตอยู่มตี ้ังแต่ความตีบตนั อัน้ ตู้ ความเห็นแกไ่ ดแ้ ก่เอา ความคดความโกง
ความรดี ความไถ พอได้ทา่ ไหนเอาทา่ นน้ั คนประเภทนี้ปิดหนทางแหง่ ความดีงาม สคุ ติ
โลกสวรรค์ไม่มีทางที่จะได้รับได้ไปกับเขาได้อยู่กับเขาแหละ แต่เป็นทางแห่งความทุกข์
ความทรมานเปน็ ลำ� ดบั จนกระทง่ั ถงึ นรกอเวจี นเี้ ปน็ ทางเปดิ โลง่ ไปเพอื่ คนตระหนถี่ เี่ หนยี ว
คนเหน็ แกต่ วั เหน็ แกไ่ ดแ้ กเ่ อา คนทม่ี แี ตค่ วามคดโกงรดี ไถนเี่ ปดิ ทางโลง่ ใหค้ นประเภทน้ี
ลงไป

เพราะฉะนนั้ สตั วน์ รกทไ่ี ปจมอยกู่ นั จำ� นวนมากมายนนั้ จงึ มมี ากทสี่ ดุ เลย พระพทุ ธเจา้
ท่านไม่ทรงพรรณนาเฉยๆ ทา่ นรูก้ ระท่งั ถึงวา่ สัตวท์ ี่ตกอยใู่ นนรก เชน่ อเวจมี หานรกนี้
มแี ตพ่ วกกรรมหนกั ๆ ทตี่ กอยใู่ นนรก พระองคท์ รงทราบหมดวา่ สตั วแ์ ตล่ ะตวั ๆ ทไี่ ปตกอยู่
ในนรกอเวจนี เ้ี ขาทำ� บาปทำ� กรรมอะไรเขาถงึ ไดม้ าตกนรกหลมุ นี้ หลมุ อน่ื ๆ กเ็ หมอื นกนั
ใครตกนรกหลมุ ไหนกม็ สี ายแหง่ กรรมของตนทไี่ ดส้ รา้ งมาๆ ไมใ่ ชอ่ ยๆู่ กจ็ บั คนดๆี เขา้ ไป
ยัดใสค่ ุกใสเ่ รอื นจำ� ไม่ใช่อยา่ งนัน้

คนทไ่ี ปติดคกุ เขาต้องหาเหตุหาผล แมจ้ ะผดิ พลาดบา้ ง หลกั ฐานพยานแหง่ กรรม
ของตวั นนั้ แหละมนั มดั ตวั เองใหต้ ดิ คกุ ได้ คนบรสิ ทุ ธต์ิ ดิ คกุ มเี ยอะนะในเรอื นจำ� แตก่ รรม
ของตนท่ีเคยสร้างไว้มันไม่บริสุทธิ์ ถึงเจ้าของบริสุทธ์ิในปัจจุบัน แต่อดีตเจ้าของเป็น
คนชว่ั คนลามก ทำ� แตค่ วามชวั่ ชา้ ลามก ทนี กี้ รรมเปดิ เผยตลอดเวลา นตถฺ ิ โลเก รโห นาม
คำ� วา่ ทลี่ บั ไมม่ ใี นโลก แจง้ กระจายออกไปหมดจากผทู้ ำ� คนอนื่ ไมเ่ หน็ ตวั เองกเ็ หน็ คนอนื่
ไม่รู้ ตวั เองก็รู้ กรรมอนั น้เี องเปน็ กรรมที่เปดิ เผย ท�ำสตั ว์นรกทง้ั หลายให้ไปตกนรก

(12)

เจ้าของจะไม่รู้บาปรู้กรรมอย่างไรก็ตาม ต้องพระพุทธเจ้าคือศาสดาองค์เอก
ทรงโลกวทิ รู แู้ จง้ โลก ทรงเลง็ พระปญั ญาพระปรชี าญาณลงไปนเี้ หน็ หมด สตั วท์ ต่ี กนรก
นนั้ นะ่ มจี ำ� นวนเทา่ ไรกท็ รงทราบหมดดว้ ย แลว้ สตั วแ์ ตล่ ะรายๆ ตง้ั แตอ่ เวจมี หานรกขน้ึ มา
โดยล�ำดับ คนน้ีรายนี้สัตว์นรกตัวน้ีท�ำกรรมอะไรท�ำบาปอะไรถึงได้มาตกนรกหลุมนี้ๆ
ได้เสวยกรรมอยอู่ ย่างนี้ๆ ไม่ใช่อยู่ๆ เขาจบั สัตวต์ กนรกไปเลย เหมอื นอยๆู่ จบั คนดไี ป
ใสค่ ุกใสต่ ะรางอยา่ งนไี้ มม่ ี นอกจากจับผิดดว้ ยหลักฐานพยาน กรรมของตนมนั มัดเข้า
เทา่ นนั้ ละ ถงึ บรสิ ุทธิม์ ันก็ไมบ่ รสิ ุทธิใ์ นกรรมเก่าของตวั เอง กต็ ดิ คุกจนได้

ทนี ีค้ นท่ไี ปติดคุกก็เปน็ เช่นน้ัน แล้วสัตว์ที่ไปตกนรกก็เปน็ เช่นเดียวกนั ไปตกนรก
ก่ีหลุมมีจ�ำนวนมากเท่าไรๆ พระพุทธเจ้าทรงทราบหมดเลยว่าสัตว์นรกรายน้ีได้เคย
ท�ำบาปท�ำกรรมประเภทนั้นๆ มา รวมลงแล้วบาปกรรมสมควรจะให้มาตกนรกหลุมน้ี
กไ็ ด้มาตกนรกหลมุ นี้ อย่างนี้เป็นตน้ แต่ละรายๆ มีสาเหตุแห่งการท�ำกรรมมากน้อยมา
ดว้ ยกนั ทั้งนัน้ รวมแลว้ จึงเป็นสัตว์นรกดว้ ยกนั ควรจะเป็นสตั วน์ รกหลุมไหน กไ็ ปตาม
กรรมของตน เช่นอเวจมี หานรกน้เี ป็นบาปกรรมทห่ี นักมาก

บาปกรรมที่หนกั มากทา่ นยกไวว้ ่า อนันตริยกรรมหา้ ๑. ฆ่ามารดา ๒. ฆ่าบิดา
๓. ฆ่าพระอรหันต์ ๔. ท�ำลายพระพุทธเจา้ แม้ไม่ตายก็ตาม ๕. ยยุ งส่งเสรมิ ให้พระเจา้
พระสงฆ์ที่มีความพร้อมเพรียงสามัคคีกันให้แตกร้าวจากกัน กรรมทั้งห้านี้ท่านเรียก
อนันตริยกรรม กรรมอันนี้ถ้าใครได้รับแล้วนั้นมีความทุกข์ไม่มีระหว่าง ท่านเรียกว่า
อนนั ตรยิ ะ ไมม่ ชี อ่ ง ไมม่ รี ะหวา่ ง แมช้ ว่ั ฟา้ แมบแลว้ ไดร้ บั ความสขุ ความสบายขณะทฟี่ า้ แมบ
หรอื ฟา้ แลบอย่างนไี้ ม่มี มที กุ ข์อยู่เป็นประจ�ำตลอดต้งั แตว่ นั ตกนรกกี่กัปกี่กลั ปก์ วา่ จะได้
พน้ ทุกขข์ น้ึ มา ก็เพราะกรรมของตวั เองเป็นผ้ทู ำ� เอาไว้ด้วยความคกึ ความคะนองตามใจ
ท่กี ิเลสมนั ชอบ

อยากท�ำอะไรไม่ค�ำนึงถึงบาปถึงบุญ แล้วท�ำลงไปด้วยความพอใจ ความพอใจ
มันเปน็ ใจหยาบโลน เปน็ ใจทหี่ ยาบช้าลามก มันท�ำตั้งแตค่ วามช่ัวชา้ ลามก ฆ่าคนท�ำได้
แมท้ สี่ ดุ ฆา่ พอ่ ฆา่ แมก่ ฆ็ า่ ได้ ทำ� ลายพระพทุ ธเจา้ กไ็ ด้ ฆา่ พระพทุ ธเจา้ กฆ็ า่ ได้ ตายไมต่ าย

(13)

ไม่ส�ำคัญ ท�ำสงฆ์ให้แตกจากกันมันก็ท�ำได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว กรรมอันนี้ท�ำไมถึง
เป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุมันพาเป็น เหตุมันท�ำสายทางให้แล้ว ผลก็ต้องเดินตามเหตุ
นัน่ ละเรื่อย

เพราะฉะน้ันนรกจึงไม่ว่างจากคนช่ัว เพราะคนท�ำชั่วมีจ�ำนวนมากมายก่ายกอง
สตั ว์ท�ำชว่ั มจี �ำนวนมาก ไม่วา่ คนว่าสัตว์ มนั เป็นบาปเป็นบุญไดด้ ้วยกัน เปน็ แตเ่ พยี งวา่
สตั วเ์ ขาไมร่ วู้ า่ บาปวา่ บญุ เขากท็ ำ� ไปตามประสปี ระสาของเขา แตม่ นษุ ยเ์ รานย้ี งั พอทราบ
อยู่ได้และทราบอย่างชัดเจนว่าบาปมีบุญมี จึงไม่ควรจะไปท�ำบาปท�ำกรรมที่เป็นข้าศึก
ศัตรูอันใหญ่หลวงแก่ตนของตน ให้สร้างแต่ความดีงามอันเป็นกุศลผลบุญอันยิ่งใหญ่
เปน็ เครอ่ื งอุดหนนุ ตนให้ไดห้ ลุดพน้ จากทกุ ข์โดยล�ำดับล�ำดา

เราทั้งหลายเป็นชาวพุทธ จึงขอให้รังเกียจส่ิงชั่วช้าลามก ถึงอยากท�ำก็อย่าท�ำ
ให้ท�ำต้ังแต่ส่ิงท่ีดีงามท้ังหลาย ผลแห่งความดีงามจะพาเราไปสู่ความสุขความเจริญ
ที่ท่านแสดงไว้ว่านรกมีกี่หลุม ท่านแสดงไว้เพียงย่อๆ มีถึง ๒๕ หลุม นี่ก็เหมือนว่า
เรอื นจำ� มถี งึ ๒๕ ประเภท ประเภททหี่ นกั มากทสี่ ดุ กม็ จี นกระทง่ั ถงึ ๒๕ ประเภท มี สำ� หรบั
นกั โทษทจี่ ะไปตดิ ตะรางในเรอื นจำ� ประเภทนน้ั ๆ มี สมควรจะตดิ คกุ ตดิ ตะรางประเภทไหน
เจา้ หนา้ ทขี่ องเขากค็ อื เจา้ กรรมของเรานนั้ แหละ เราไปทำ� กรรม เจา้ หนา้ ทก่ี เ็ ปน็ เจา้ กรรม
น่ันแหละ เป็นผู้บังคบั เราให้ไปตดิ คุกติดตะรางในเรือนจำ� ประเภทนั้นๆ ต่างๆ กันเปน็
ลำ� ดับตามบาปตามกรรมของตน

นฉ่ี นั ใดกเ็ หมอื นกนั สตั วท์ ไี่ ปตกนรกนนั้ กใ็ หไ้ ปตกนรกตามประเภทของตน ตงั้ แต่
นรกมหาอเวจีขนึ้ มา จนกระทงั่ ทส่ี ุดของนรก ท่านยกไวเ้ พียง ๒๕ ประเภท นรกอเวจนี ี้
ส�ำหรับสัตว์ตัวช่ัวช้าลามกมีกรรมหนักกรรมเบาต่างกัน เวลาไปเสวยทุกข์ก็ไปเสวยตาม
อำ� นาจแหง่ กรรมของตนทม่ี หี นกั เบามากนอ้ ยตา่ งกนั เปน็ ลำ� ดบั ตงั้ แตน่ รกมหาอเวจขี น้ึ มา
จนกระทงั่ นรกสดุ ท้าย พ้นจากนรกแล้วกม็ าเป็นเปรตเปน็ ผี ไมไ่ ดม้ าเกดิ เป็นมนุษย์อยา่ ง
งา่ ยๆ นะ พอพน้ จากนรกข้นึ มาแลว้ ก็มาเปน็ เปรตเปน็ ผีประเภทต่างๆ

(14)

เปรตมถี งึ ๑๓ จำ� พวกนนู่ นะ่ ไมใ่ ชเ่ ลน่ ๆ ปรทตั ตปู ชวี เี ปรต คอื เปรตจำ� พวกทสี่ ามารถ
ทีจ่ ะรับผลทานของญาตทิ ้งั หลายทท่ี ำ� บุญอุทศิ ไปให้ได้ มปี ระเภทเดียว นอกจากนนั้ เปน็
ประเภทที่หมดหวงั ๆ ทงั้ น้นั ตวั ท�ำมาแลว้ เร่อื งกรรมทัง้ หลายไมม่ ใี ครมาชว่ ยแบ่งเบาได้
ไมเ่ หมอื นปรทตั ตปู ชวี เี ปรต นม้ี ผี มู้ าแบง่ เบาใหบ้ า้ ง เชน่ พวกญาตพิ วกมติ รของเราทำ� บญุ
อุทิศให้ ผู้ล้มหายตายจากไปไปเป็นเปรตปรทัตตูปชีวีเปรต น้ีเป็นผู้จะรับได้ ผลอันน้ี
เรยี กว่าแบ่งเบาไป

บางพวกถึงขั้นจากเปรตนั้นไปสวรรค์เลยก็มี เพราะอ�ำนาจแห่งบุญแห่งกุศลที่
ญาตมิ ิตรท้ังหลายท�ำ อทุ ิศสว่ นกุศลไปให้ นอกจากนนั้ ไม่มีทางทีจ่ ะไดร้ ับเลย เปรต ๑๓
จ�ำพวก ๑๒ จ�ำพวกไม่มีทางได้รับ ได้รับปรทัตตูปชีวีเปรตจ�ำพวกเดียว พวกน้ีได้รับ
จตปุ จั จยั ไทยทานทญี่ าตมิ ติ รทงั้ หลายทำ� แลว้ อทุ ศิ สว่ นบญุ สว่ นกศุ ลไปให้ ทา่ นเหลา่ นไ้ี ดร้ บั
ได้รับมากถึงขนาดไปสวรรค์สดๆ ร้อนๆ จากภพเปรตกลายเป็นภพสวรรค์ชั้นพรหม
ข้นึ ไปได้เปน็ ลำ� ดบั มี อยา่ งนล้ี ะทา่ นแสดงไว้ในต�ำรบั ตำ� รา

แต่เราอย่าไปหวังอาศัยให้ญาติมิตรมาท�ำบุญให้ทานอุทิศให้ เราอยากท�ำอะไร
เราก็ท�ำเสียเวลามีชีวิตอยู่ เพราะญาติของเราคอยรับรองเราคอยจะส่งเสียเราอยู่ยังมี
น่เี ป็นความคิดที่ผดิ ความผิดเปน็ ความผิด ความทุกขเ์ ป็นความทกุ ข์ ให้เราละเสยี ต้งั แต่
บดั นี้ จะไมม่ ใี ครชว่ ยเหลอื เรากไ็ มเ่ ปน็ ทกุ ข์ เพราะเราไมท่ ำ� บาป บาปกไ็ มม่ แี กเ่ รา ใหส้ รา้ ง
ความดีงามเสียตัง้ แตบ่ ดั นี้ สิ่งเหลา่ นั้นเป็นสิง่ ท่สี ุดวิสยั เปน็ เศษเหลอื ทว่ี า่ ญาติมติ รทำ� บญุ
อุทิศส่วนกุศลให้น้ัน เราอย่าไปหวังความอุทิศส่วนกุศลจากญาติย่ิงกว่าหวังความดีงาม
จากเราทอี่ ุทิศเพ่ือเรา ท�ำเพอ่ื เรา อันนีด้ กี ว่าสิง่ ทั้งหลาย ใหพ้ ากนั ทำ�

เกดิ มาในชาตินเี้ ปน็ ชาตทิ ่ีเลศิ แล้วแหละ ถ้าพดู ถงึ เร่อื งพทุ ธศาสนา หลวงตาขอพดู
ตามความสตั ยค์ วามจรงิ ไมไ่ ดด้ ถู กู เหยยี ดหยามศาสนาใดๆ ทง้ั นน้ั เราพดู ตามหลกั ธรรม
ตามศาสนาที่เป็นของจริงอยู่ในสามแดนโลกธาตุนี้ เฉพาะอย่างย่ิงคือแดนมนุษย์เรา
ศาสนามมี ากตอ่ มาก ศาสนาใดเปน็ ศาสนาทเ่ี รยี กวา่ พทุ ธะแท้ เปน็ ศาสนาของทา่ นผรู้ แู้ จง้

(15)

แทงทะลุ สอนบญุ เปน็ บญุ สอนบาปเปน็ บาป สอนตามสง่ิ ทม่ี อี ยู่ ไมล่ บลา้ ง ไมค่ วา้ นนู้ ควา้ นี้
ไมส่ อนแบบงมเงาคอื พระพทุ ธเจ้าของเรา

สอนว่าบาปมี มจี ริงๆ บุญมี ใครท�ำบาปเปน็ บาปจริงๆ ใครท�ำบญุ เป็นบุญจริงๆ
ไปสวรรคไ์ ดจ้ รงิ ๆ นพิ พานไดจ้ รงิ ๆ แลว้ ตกนรกหมกไหมถ้ งึ ทส่ี ดุ ของนรกไดจ้ รงิ ๆ ถา้ ใคร
ฝนื ค�ำสอนของพระพทุ ธเจ้า นเ่ี รยี กว่าสวากขาตธรรม ตรสั ไวช้ อบแล้ว ออกมาจากจิตใจ
ที่ทรงรู้ชอบเห็นชอบ สว่างกระจ่างแจ้งไปหมด เรียกว่าโลกวิทู คือองค์ศาสดาของเรา
นี่เป็นศาสดาของพวกเราชาวพุทธทั้งหลาย ให้ยึดให้หนักแน่น ศาสนาน้ีเป็นศาสนา
ทแี่ มน่ ย�ำมาก สอนอะไรไม่มผี ิดเพยี้ น จงึ เรียกวา่ สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแลว้ ๆ ไม่มี
ส่งเสริมเพม่ิ เติมหรอื ตัดออกแตอ่ ย่างใด เพราะเปน็ ความชอบ พอดิบพอดีทุกสิ่งทกุ อยา่ ง
คอื ค�ำสอนของศาสดาองคเ์ อกนน้ั แหละ

ใหพ้ ากันจดจำ� เอาไวไ้ ปปฏบิ ตั ิ ศาสนานอกนนั้ เราไมพ่ ูดถึงแหละ ให้ยึดหลกั พทุ ธ-
ศาสนาไว้ใหด้ ีกแ็ ลว้ กนั ศาสนาเหลา่ นัน้ ก็เปน็ ไปตามบญุ ตามกรรมของใคร ทผ่ี ดิ พลาด
กย็ ดึ ไป อะไรกย็ ดึ ไป ตน้ ไมภ้ เู ขากย็ ดึ เปน็ ศาสนาไป อยา่ งทเี่ ขาสอนไว้ คนกลวั เปน็ กลวั ตาย
หาที่ยึดที่ถือไปหาไหว้ตามต้นไม้ภูเขาตามเจดีย์ร้างอะไรว่าเป็นที่ยึดท่ีนับถือ เป็นของ
เหลวไหลท้งั น้นั

ส่ิงที่ยดึ ถอื ได้ไมผ่ ดิ หวงั ก็คือ พทุ โธ ธมั โม สงั โฆ ดังท่ที ่านแสดงไวใ้ นธรรมวา่
พุทฺธญฺจ ธมมฺ ญจฺ สงฺฆญจฺ สรณํ คตา. ผใู้ ดมาถึงพระพทุ ธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์แลว้
ผู้น้ันเป็นผู้ที่จะหลุดพ้นจากทุกข์ได้โดยล�ำดับโดยไม่ต้องสงสัย การไปพ่ึงที่น่ันท่ีนี่ว่า
เป็นส่ิงศักดิ์สิทธ์ิวิเศษ มันศักด์ิสิทธ์ิวิเศษแต่ความส�ำคัญเจ้าของเฉยๆ ไปไหว้เจดีย์ร้าง
ต้นไม้ใหญ่ ว่าสิ่งศักด์ิสิทธิ์เหล่าน้ันจะมาให้ความดีความชอบแก่เรา ต้นไม้ก็เป็นต้นไม้
อิฐปูนหินทรายท่ีก่อเจดีย์ร้างเอาไว้ มันก็เป็นอิฐปูนหินทราย ต้ังแต่ตัวมันเองก็ยังร้าง
มนั จะดบิ ดีท่ีตรงไหน

(16)

เอาตวั ของเราเป็นเกณฑ์น้ีแหละ เอาพทุ โธ ธมั โม สงั โฆ เขา้ เปน็ เกณฑ์ ใหร้ ักษา
ตัวนี้ใหด้ ี ไม่มอี ะไรทีจ่ ะดีย่งิ กว่า โย จ พทุ ธฺ ญฺจ ธมฺมญจฺ สงฆฺ ญจฺ สรณํ คตา สรณํ คโต
ผู้น้ีแหละเป็นผู้ที่จะหลุดพ้นจากทุกข์โดยประการท้ังปวง เพราะเป็นที่พ่ึงที่ยึดถืออัน
ใหญห่ ลวง เปน็ ทีแ่ นน่ อนใจ ขอให้ท่านทั้งหลายยดึ พทุ โธ ธัมโม สงั โฆ ไวเ้ ปน็ หลกั ใจ
ยดึ สงิ่ อนื่ สงิ่ ใดเหลวไหลทง้ั นนั้ ไมถ่ กู ใหย้ ดึ พทุ โธคอื พระพทุ ธเจา้ เปน็ ศาสดาองคเ์ อก ธมั โม
คือธรรมช้ันเอกครอบโลกธาตุ สังโฆคือสงฆ์สาวกผู้บริสุทธ์ิแล้วเป็นช้ันเอกด้วยกัน
เปน็ สรณะ ผนู้ จี้ ติ ใจจะเปน็ สริ มิ งคล มหามงคล ถา้ ระลกึ พทุ โธกไ็ ด้ ธมั โมกไ็ ด้ สงั โฆกไ็ ด้
เขา้ สใู่ จแลว้ ผนู้ นั้ เปน็ ผมู้ รี าคำ่� ราคาตลอดยนื เดนิ นง่ั นอน ไมม่ อี ริ ยิ าบถใดทจ่ี ะไมเ่ ปน็ มงคล
เป็นมงคลทั้งนนั้

ขอให้ยดึ นีเ้ ป็นหลกั อย่าไปยึดในสิ่งทเี่ หลวไหล ยึดมากเท่าไรยิง่ เหลวไหลมากไป
เทา่ นน้ั ของไมด่ ยี ดึ มากเทา่ ไรยงิ่ เลวลงโดยลำ� ดบั ของดยี ดึ มากเทา่ ไรยง่ิ ดขี นึ้ ไปเปน็ ลำ� ดบั
ใหย้ ดึ สิ่งนเ้ี ปน็ ของดิบของดเี ข้ามาสู่ใจ เราจะดีมากๆ ดีสุดยอด คือถงึ ข้นั บริสทุ ธิ์ เพราะ
พทุ โธ ธัมโม สังโฆ ชว่ ยอดุ หนนุ เรา ใหพ้ ากันจดจำ� เอา การภาวนา ผเู้ คยภาวนาอยู่แลว้
กใ็ หด้ ใู จของตน อยา่ งอนื่ อยา่ งใดไมร่ กั ษายากยงิ่ กวา่ รกั ษาใจนะ ใจนร้ี กั ษายากมากทส่ี ดุ

เวลามันดีดมันด้ินนี้เหมือนช้างไม่มีควาญนะ ควาญช้างนี้มีแต่ชื่อเฉยๆ ช้างไม่ฟัง
เสียงควาญ ไมฟ่ งั เสียงเจา้ ของ ดไี มด่ มี นั จะฆา่ เจ้าของดว้ ยซ้ำ� ไปเวลามันตกมนั ช้างเวลา
ตกมันโหดรา้ ยทารณุ ท่ีสดุ เจ้าของกไ็ มม่ องดู ดไี มด่ ฆี า่ เจา้ ของไดด้ ้วย กิเลสนม่ี ันไมไ่ ด้
ถือว่าเป็นเจ้าของเหมือนช้างถือคนเป็นเจ้าของนะ มันไม่ได้ถือว่าเราเป็นเจ้าของมัน
มนั ถอื วา่ เราเปน็ ขา้ ศกึ ตอ่ มนั เราคอื ธรรมมอี ยกู่ บั เรา มนั ไมไ่ ดถ้ อื ธรรมถอื เรา มนั จะบกึ บนึ
ถูไถเหยยี บย�่ำทำ� ลายเราตลอดเวลา

เพราะฉะน้ันเราจึงอย่าไปชินใจ อย่าไปชะล่าใจกับเรื่องกิเลสตัณหา ความโลภ
โลภเทา่ ไรไมม่ เี มอื งพอ เราเคยเหน็ ไหม คนในโลกทโ่ี ลภขนาดไหน เราเหน็ ชดั ๆ ปจั จบุ นั นี้
เรากเ็ หน็ มคี วามสขุ ขนาดไหน มตี งั้ แตค่ วามทกุ ขค์ วามเดอื ดรอ้ นจนหาโลกอยไู่ มไ่ ดเ้ วลาน้ี

(17)

เวลาตายแลว้ ไปเมืองผไี มท่ ราบจะอยู่เมืองผไี หน เมืองผไี หนเขาจะรงั เกียจ เขาจะไมใ่ ห้
อย่เู มืองผนี นั้ ๆ เหมือนกนั สุดท้ายตกนรกไป ทางดา้ นนรก จา่ นรก ยมบาลของนรกเขา
จะรับเข้าในแดนนรกหรือไม่ หรือเขาจะขับไปที่ไหนอีกก็ไม่ทราบ เพราะเป็นคนที่ไม่มี
ใครพงึ ปรารถนาแลว้ คนเลวขนาดนนั้ ไมม่ ใี ครปรารถนา ไปอยกู่ บั คน คนกไ็ มป่ รารถนา
ไปอยู่กับสัตว์ สัตว์ก็ไม่พอใจ ไปอยู่ในแดนนรก พวกสัตว์นรกด้วยกันก็ถูกเบียดเบียน
ท�ำลายตลอดเวลา

ดงั ทมี่ ใี นธรรมวา่ พวกเปรตพวกผนี กี้ ม็ เี รอื นจำ� เหมอื นกนั มเี รอื นจำ� ยงั ไง ไปเปน็ เปรต
เป็นผีแล้วก็ยังมีหัวหน้าบังคับบัญชา เปรตผีประเภทอันธพาลยังมี เปรตผีท้ังหลายท่ีเขา
เป็นผู้ดีอยู่ในขั้นของเปรตของผีเขาก็อยู่ล�ำบากล�ำบน เพราะเปรตผีพวกอันธพาลรังแก
บบี คนั้ ทำ� ลายเขา ตอ้ งเอาเปรตผปี ระเภทอนั ธพาลนไ้ี ปขงั เอาไวอ้ กี ประเภทหนง่ึ พวกผเี หลา่ นี้
จงึ อยไู่ ดส้ บายๆ ถงึ ขนาดน้ัน ลงไปอยู่ในเมืองผีแลว้ ยงั ไดถ้ กู กรงขังขังไวอ้ กี นู่น เพราะ
คำ� วา่ ผีนี้อยโู่ ลกไหนมนั มีไดท้ ้ังนั้น มันอย่กู บั หัวใจคน คนไปท�ำความช่วั ในเมืองผมี ันก็
มีผีชั่วได้ คนไปท�ำความดีอยทู่ ไี่ หนก็ดีได้

ใหพ้ ากนั ระมดั ระวัง ดชี ั่วน้อี ยู่กับหัวใจ มันเป็นได้ด้วยกันทกุ คนนัน่ ละ ให้พากนั
บำ� เพญ็ คณุ งามความดี เวลามนั โหดรา้ ยจติ มนั จะไมฟ่ งั เสยี งเจา้ ของ เหมอื นชา้ งไมฟ่ งั เสยี ง
ควาญช้าง จิตใจไมฟ่ ังเสียงเจา้ ของ คอื สติปัญญามนั ไม่ฟงั เสียง สติปญั ญาออ่ นกว่ามัน
มนั เหยยี บหวั สตปิ ญั ญาไป มแี ตค่ วามสกุ เอาเผากนิ ๆ ตามอำ� นาจของกเิ ลสตณั หา สดุ ทา้ ย
กเ็ ลวๆ จนกระทง่ั สดุ ทา้ ยจรงิ ๆ หมดคา่ หมดราคาแตย่ งั ไมต่ าย ตายแลว้ จมไปเลย เราเปน็
ผถู้ ือพุทธศาสนาให้พากนั รักษาไวใ้ หด้ ี ฟังแลว้ ให้เขา้ ถึงจิตถงึ ใจ

วันนี้เป็นวันมงคลมหามงคล อาจารย์ทุยท่านเป็นต้นเหตุแห่งการมหากุศล ได้คิด
เฉลี่ยเผื่อแผ่การบุญการกุศลถึงบรรดาพ่ีน้องท้ังหลายได้มาสร้างบุญสร้างกุศล เพ่ือชาติ
บ้านเมืองของเราด้วย น่ีเป็นส่วนย่อย ส่วนใหญ่คือเพ่ือเราน้ันแหละ เราไปสร้างเงิน
บาทหนึ่งก็ตามสองบาทก็ตาม จะเป็นสมบัติของเราในเร่ืองบุญกุศลโดยแท้ ส่วนสมบัติ

(18)

อันน้ันก็เป็นของผู้อื่นท่ีจะใช้สอยไปจากผลทานของเรา จากทานของเรา ส่วนบุญส่วน
กศุ ลนเ้ี ราจะต้องไดร้ ับวนั ยงั ค่�ำ

ทา่ นพาสรา้ งนกี้ น็ บั วา่ เปน็ มหามงคลแกพ่ วกเราทง้ั หลาย วนั นเ้ี ปน็ วนั มงคลมหามงคล
โดยทา่ นอาจารยท์ ยุ ทา่ นเชอื้ เชญิ ทา่ นทง้ั หลายมา มจี ำ� นวนมากมาย นายกรฐั มนตรกี ม็ า
วนั น้ี ทา่ นมาแลว้ ทา่ นรบี กลบั ไปเสยี นายกรฐั มนตรนี นั้ กเ็ ปน็ ลกู ศษิ ยข์ องอาจารยท์ ยุ นแ้ี ล
เคยบวชมาอยู่วัดดงศรีชมพูเมื่อสองปีผ่านมานี้ เวลาท่านเป็นนายกฯ ท่านก็มาในงานน้ี
แตท่ า่ นกร็ บี กลบั ไปเพราะภาระของนายกฯ มนั ทัว่ แผน่ ดนิ ไทย นที่ า่ นกก็ ลับไปตอ้ นรบั
เจา้ ฟ้าชายฯ ที่ปตั ตานี ทา่ นจงึ อยนู่ านไม่ได้ ถงึ อยา่ งนน้ั ท่านกแ็ สดงนำ�้ ใจมาถงึ พวกเรา
จนกระท่ังมาถึงงานนจี้ นไดน้ ้ันแหละ

งานนจ้ี งึ เปน็ งานใหญโ่ ตรโหฐาน เปน็ งานมหากศุ ล ขอใหพ้ น่ี อ้ งทงั้ หลายระลกึ ไว้
เป็นขวัญใจของตัวเอง ท่านอาจารย์ทุยท่านพาสร้างบุญสร้างกุศล ท่านไม่ได้พาสร้าง
บาปนะ ทา่ นพาสรา้ งบญุ สรา้ งกศุ ล นานๆ จะมที หี นงึ่ ไมใ่ ชว่ นั นกี้ ม็ ี สรา้ งบญุ วนั นนั้ สรา้ งบญุ
วนั นี้ จนหามากนิ มาใชไ้ มไ่ ด้ เอาไปสรา้ งบญุ หมด ทา่ นไมไ่ ดเ้ คยทำ� พระพทุ ธเจา้ องคใ์ ดก็
ไม่เคยมที วี่ า่ พาญาติโยมสรา้ งบญุ จนหมดเน้อื หมดตัว ศาสนาพระพุทธเจ้าองคน์ นั้ ก็ไม่มี
องค์น้กี ไ็ มม่ ี ตงั้ แต่กัปแต่กลั ป์ไหนมา

พระพุทธเจ้าไมไ่ ดเ้ ป็นนกั กอบโกยให้คนมาสร้างบุญสรา้ งกุศลจนหมดเนือ้ หมดตัว
เจ้าของไม่ได้อยู่ได้กนิ แลว้ ก็ตกนรกไปอกี เพราะเปน็ ความทกุ ข์ความลำ� บาก เพราะการ
ยกโทษพระพุทธเจ้าวา่ ให้ไปทานให้หมดจนเป็นบาปเปน็ กรรมตกนรกหมกไหม้ อยา่ งน้ี
ไมเ่ คยมี มนั เป็นเรอ่ื งของจติ ใจของเรา มันหงึ มันหวง มันตระหนี่ถี่เหนยี ว มนั ไม่อยาก
ท�ำบญุ ใหท้ านตา่ งหาก อยา่ ไปต�ำหนิพระพทุ ธเจา้ นะ ให้ตำ� หนติ ัวตระหนถ่ี ี่เหนียวอยู่ใน
หัวใจของเรา มีมากมีน้อยก็เปน็ สมบัติของเราโดยแท้ เรามีสทิ ธจิ ะได้ใชจ้ า่ ยในทางไหน
ใหค้ ดิ ด้วยสตปิ ญั ญาให้ดี

(19)

สงิ่ ใดท่ีเราจะจับจ่ายไปใหม้ เี หตุมีผล จับจา่ ยไปเพอื่ อะไร เราเก็บไวเ้ พ่อื อะไร เช่น
เพอื่ การเจบ็ ไขไ้ ดป้ ว่ ยปวดหวั ตวั รอ้ นเวลาจำ� เปน็ มี แลว้ การอยกู่ ารกนิ ของเรากม็ ปี ระจำ� วนั
เราเก็บไว้เพื่อสิ่งเหล่านี้ แล้วจ่ายไปเพื่ออะไร เพื่อสงเคราะห์สงหาโลกสงสารท่ีมีความ
จ�ำเป็นท่ัวหนา้ กนั ควรจะช่วยกันไดแ้ ค่ไหนกช็ ว่ ยกนั ไปๆ นเ่ี รยี กว่าเก็บไว้และใชไ้ ปดว้ ย
ความถกู ต้องดีงามตามอรรถตามธรรม

ไมใ่ ชส่ ุรุ่ยสรุ า่ ย อะไรมาก็ควา้ มับๆ ถือวา่ ตัวมเี งนิ ๆ แล้วจา่ ยไปๆ จนกลายเปน็
คนฟุ้งเฟ้อ ลูกหลานเกิดขึ้นมาก็เป็นลูกหลานที่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เห็นพ่อแม่พาเป็นบ้า
เขาได้อะไรคว้ามับๆ ซ้อื ลกู หลานเกิดขึน้ มาก็ซอ้ื แลว้ บางรายมันอาจจะสง่ั ซ้อื ตัง้ แตม่ นั
อยู่ในท้องแม่ หนูอยากได้รถยนต์นะแม่ จะว่าอย่างนั้น มันส่ังแม่ต้ังแต่ยังไม่เกิด แม่
หนูอยากได้รถยนต์ ให้เตรียมรถยนต์ไว้ให้หนูสักสามคันนะ หนูเอาแค่สามคันก่อน
เพราะแรกเกดิ ถา้ ตอ่ ไปนน้ั หนจู ะเอาสกั สบิ คนั ขน้ึ ไป อายมุ ากเทา่ ไรหนจู ะเอาใหเ้ ปน็ รอ้ ยคนั
สงั่ ไว้นะแม่

ลกู คนนกี้ ็สัง่ แม่คนนนั้ ลูกคนนน้ั กส็ ัง่ แมค่ นนี้ ลูกในเมอื งไทยเรามีกี่แม่ แลว้ มกี ่ีลูก
มันสั่งแม่ แม่เลยจะตายก่อนลูกท่ีเกิดมาเอารถยนต์ อย่าให้มีในเมืองไทยเรา นี่คือ
ความฟงุ้ เฟ้อเหอ่ เหิม ลูกกเ็ ลยตามแม่ เอาแมเ่ ป็นตวั อย่าง แล้วก็มาสังหารแม่ใหต้ ายด้วย
ลูกนน่ั แหละ เพราะแมส่ อนวชิ าใหล้ กู ลกู กม็ ากวนแม่ เวลาตายใหแ้ มเ่ อารถยนตม์ าใหส้ กั
ห้าคันหกคนั ฟงั ซนิ ค่ี วามฟงุ้ เฟ้อ ไมเ่ ปน็ ของดี ใหท้ ่านทัง้ หลายจำ� ไว้

เราเกิดมาแต่พ่อแต่แม่ปู่ย่าตายายของเรา ก็ไม่เคยมีรถยนต์กลไกอะไรนักหนา
มากมายอยา่ งปจั จุบนั น้ี เมื่อเวลามกี ็ให้เอามาใชต้ ามความจ�ำเป็น เปน็ ความสะดวกแลว้
ดีงามแล้วที่เราน�ำมาใช้พอดิบพอดี แต่ใช้เพื่อความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม แม้เด็กอยู่ในท้องท่ี
ยังไม่เกิดก็สั่งแม่ให้หารถยนต์ หารถไฟ หาเคร่ืองปรนปรือทุกสิ่งทุกอย่างไว้ให้ลูกคน
หน่ึงๆ แม่ตาย มีลูกก่ีคนแม่นี้ตาย ลูกคนนั้นเลยยังไม่ได้เกิดมาได้รถยนต์เคร่ืองยนต์

(20)

กลไกลต่างๆ ความฟงุ้ เฟ้อเห่อเหิม เครอ่ื งฟ้งุ เฟ้อเห่อเหมิ ตา่ งๆ ลกู เลยยงั ไม่ได้แล้วแมก่ ็
ตายกอ่ น นี่เรียกว่าลกู สงั หารแม่

เราจะเปน็ ลกู ประเภทไหน ถา้ เปน็ ลกู ประเภทสงั หารแมก่ ด็ งั ทพี่ ดู อยเู่ วลาน้ี ถา้ เปน็ ลกู
ทจ่ี ะมาเปน็ คนคำ้� ชอู ดุ หนนุ แมแ่ ลว้ กใ็ หเ้ ปน็ ลกู ทด่ี ี เปน็ แมข่ องลกู กเ็ ปน็ แมท่ ดี่ ี มคี ตติ วั อยา่ ง
สอนลูกสอนหลานให้เป็นคนดี อย่าให้เป็นคนฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเป็นบ้าเหมือนแม่เหมือนพ่อ
ทเี่ ปน็ มาแลว้ แลว้ จะสอนลกู ใหท้ ำ� ลายแมใ่ นทอ้ งอกี นะ คนนนั้ อยากไดร้ ถยนต์ คนนอ้ี ยาก
ไดร้ ถไฟ คนนอ้ี ยากไดเ้ ฟอรน์ เิ จอรน์ เิ จ พอ่ แมม่ นั เคยสอนไวอ้ ะไรเรากไ็ มร่ ู้ หลวงตาบวั เปน็
คนบา้ นนอกไมร่ ู้วา่ เฟอรน์ เิ จอรค์ ืออะไร คือเครอื่ งสงั หารคน เข้าใจไหม เราพูดได้เท่านัน้

ให้พากันจ�ำเอา อะไรให้รู้จักประมาณ ธรรมพระพุทธเจ้าไม่มีอะไรที่จะฟุ้งเฟ้อ
เหอ่ เหมิ ขน้ึ ตน้ อปั ปจิ ฉตา มกั นอ้ ยทส่ี ดุ หากเปน็ ความจำ� เปน็ อะไรกค็ อ่ ยขยบั ขน้ึ ไป สนตฺ ฏุ €ฺ ี
ค�ำว่ามักน้อยที่สุดในธรรมท่ีเหมาะสมกับเราท่ีอยู่ในครอบครัวเหย้าเรือน ให้ประหยัด
รักษาให้ดี ก็คือความมักน้อยท่ีสุด ให้เป็นผู้มีผัวเดียวเมียเดียว อย่ามีสองเป็นอันขาด
นี่ถูกต้องกับอรรถกับธรรมท่ีพระพุทธเจ้าทรงส่ังสอนไว้เรียบร้อยแล้ว อัปปิจฉตา
ความมักนอ้ ย ให้มผี วั เดยี วเมียเดยี วเท่าน้ัน ฝากเป็นฝากตายกบั ผัวคนน้เี มียคนน้ี ทง้ั ผวั
ทั้งเมียน้จี ะอยูเ่ ยน็ เป็นสุข

แม้จะทุกข์จนข้นแค้นขนาดไหน จิตใจไม่ได้มีห่อเห่ียว ไม่ได้มีแตกร้าว ไม่ได้มี
ความเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้กันระหว่างผัวเมีย ผัวเมียคู่น้ันก็เป็นสุข ถึงจะมีมากมีน้อย
ทกุ ข์ก็ทุกข์ไปด้วยกนั สุขไปด้วยกัน เอา เปน็ ตายก็เปน็ ไปดว้ ยกัน ผวั เมียคู่นเ้ี ป็นผวั เมียที่
มีความสขุ ความเจรญิ แตผ่ วั เมยี ทมี่ ีความฟงุ้ เฟอ้ เหอ่ เหิม ผวั ไดเ้ มยี สิบคน เมยี ไดผ้ วั ห้าคน
หรอื สบิ คนมาแขง่ กนั นคี้ อื ไฟเผาโลก เศรษฐปี ระเภทนเ้ี ศรษฐสี งั หารตน ดงั ทที่ า่ นแสดงไว้
แล้วในนรกอเวจี เราไม่เอามาพดู มันเสียเวลา มตี ัวอยา่ งมาแลว้ นะ

(21)

นี่ละความมั่งมีศรีสุขท�ำให้คนลืมตัว เศรษฐีก็เลยจมไปด้วยความม่ังมีของตัวเอง
ความม่ังมีเลยเป็นฟืนเป็นไฟเป็นยักษ์เป็นผีมาท�ำลายตนเองได้ เพราะความลืมตัว
เราอยา่ ใหล้ มื มกี ท็ ราบวา่ มี สง่ิ นเี้ กดิ ทหี ลงั เรา เราเกดิ มามแี ตต่ วั ลอ่ นจอ้ น แตง่ ตวั ในหลกั
ธรรมชาติเท่านั้นเอง พอเกิดมาเจอน้ันเจอน้ีก็ให้ใช้ต้ังแต่ส่ิงท่ีพอดีงาม ให้เป็นความสุข
ความสะดวกสบายแกเ่ ราเพยี งเท่านนั้ อย่าให้เกดิ ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหมิ ทจี่ ะเปน็ ฟนื เปน็ ไฟ
มาเผาหวั ใจเรา เผาสมบัติเงนิ ทองข้าวของ มีเท่าไรฉบิ หายไปหมด ไม่มีอะไรเหลอื

ใหพ้ ากันจำ� เอานะ บรรดาพน่ี อ้ งทัง้ หลายทม่ี าวนั น้ีไดม้ าฟงั เสยี งอรรถเสยี งธรรม
นี่ละเสียงอรรถเสียงธรรมท่านพูดอย่างนี้ ท่านไม่ได้พูดแบบเตลิดเปิดเปิง พูดให้รู้จัก
ประมาณทุกอย่าง อย่างทว่ี า่ อปั ปิจฉตา มคี วามปรารถนาน้อย ผัวเดียวเมียเดยี วเทา่ น้ัน
ท่านทั้งหลายจะเป็นสุขท้ังครอบครัวเหย้าเรือน ทั้งประเทศไทยของเรา ถ้าลงคนหน่ึง
มสี องคน หนึ่งมสี ามแลว้ แตก ครอบครัวเหยา้ เรอื นอยกู่ นั เป็นสขุ ไม่ได้ ถา้ ตา่ งคนตา่ งฝาก
เป็นฝากตายต่อกนั นีล้ ะกองทรพั ยส์ มบัตกิ องความสขุ ภายในใจจะเกดิ ขึ้นท่ีตรงนี้ ไมไ่ ด้
เกิดที่เงินทองข้าวของท่ีมีมาก ซ่ึงอันน้ันหมุนไปไหนก็ได้ เป็นไฟมาเผาเราก็ได้ ถ้ามี
ธรรมแลว้ ธรรมนลี้ ะเปน็ สมบัตอิ ันลน้ คา่

ให้พากันปฏบิ ตั ติ ัวใหพ้ อเหมาะพอดี อยา่ ใหเ้ ปน็ อยา่ งท่เี ขาพูดในการต์ ูน การ์ตนู
เขาวา่ มผี ชู้ ายคนหนงึ่ ลกั ษณะดมู นั ดอื้ ๆ อยใู่ นการต์ นู เขาเขยี นรปู ลกั ษณะดอ้ื ๆ แลว้ จดุ ธปู
ปู่ใหญ่น่ังอยู่บนศาลเจ้าข้างบนนั่นละ ทางนี้ก็ไปน่ังจุดธูปอยู่ข้างล่าง เป็นอะไรหลาน
เปน็ ทกุ ขอ์ ะไรมากละ่ เหน็ มาจดุ ธปู จดุ เทยี น ทกุ ขม์ ากทสี่ ดุ แลว้ ปเู่ อย๊ ทกุ ขม์ ากเพราะอะไร
เพราะปฏบิ ตั ติ ามปนู่ น่ั แหละ ปสู่ อนวา่ ยงั ไงถงึ ตอ้ งไดร้ บั ความทกุ ขข์ นาดนี้ ปไู่ มไ่ ดส้ อนคน
ให้เป็นทุกข์นี่นะ ปู่สอนว่าให้มีความปรารถนาน้อย แล้วเธอไปท�ำยังไงถึงได้เป็นทุกข์
ไปมเี มยี น้อย นัน่ น่ะเห็นไหม สอนให้ปรารถนาน้อย มันฟาดไปมเี มียน้อย มนั ก็เปน็ ทกุ ข์
ปไู่ มม่ ที างไป เฮอ้ เทา่ นนั้ พอ ใหไ้ ปหาเมยี นอ้ ยนะพวกนี้ แลว้ หาผวั นอ้ ยนะ จะไดจ้ ดุ ธปู กนั
ทว่ั โลก ใช้ไดไ้ หมละ่

(22)

วันน้ีเทศน์แต่เพียงเท่าน้ีละ สรุปความเป็นมหามงคลท่ีสมบัติท้ังหลายนี้ ท่านทุย
เปน็ ผดู้ ำ� รขิ นึ้ มา ในวงกรรมฐานสายพอ่ แมค่ รจู ารยม์ น่ั มอี ยทู่ กุ แหง่ ทกุ หน วดั นนั้ ๆ ทำ� บญุ
อันน้ันๆ เพื่อช่วยชาติๆ อันนี้ก็วัดดงศรีชมพู ท่านท�ำนี้ก็เพื่อช่วยอะไร เพื่อช่วยชาติ
บ้านเมืองของเราน้ันแหละ แล้วช่วยศาสนา ช่วยหัวใจคนได้สร้างบุญสร้างกุศล วันน้ี
ท่านเป็นต้นเหตุท่ีสร้างมหากุศลข้ึนมาให้เราท้ังหลายได้เห็น นับว่าเป็นสิริมงคลแก่เรา
ทั้งหลายไม่น้อย ใหถ้ อื เปน็ คตติ วั อยา่ ง ครบู าอาจารย์ก็สอนลกู ศษิ ยล์ กู หาไปอย่างนนั้

วันน้ีก็เทศนาว่าการเพียงเท่านี้ เทศน์มากกว่านี้รถนี้รู้สึกมันโปเก เครื่องมันขัด
มันข้อง เราจึงได้หยุดธรรมเทศนาเพียงเท่านี้ เพราะเกี่ยวกับเร่ืองธาตุเร่ืองขันธ์ จึงขอ
ความสวัสดจี งมแี กบ่ รรดาพ่ีน้องทง้ั หลายโดยทัว่ กันเทอญ

(23)

คำ� ปรารภ

พมิ พค์ รัง้ ที่ ๑

ผู้เขียนได้ค�ำนึงถึงเร่ืองวงศ์ของพระป่า พระธุดงคกรรมฐานสายท่าน
พระอาจารยม์ ั่น ภูรทิ ตั โต ตามที่เคยไดไ้ ปพกั อย่อู าศัยพง่ึ บารมีธรรมของทา่ นทกุ ๆ องค์
ซึ่งเป็นลูกศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่นนั้น ล้วนแต่ท่านเป็นผู้บริสุทธ์ิตามข้ันภูมิแห่ง
อริยธรรม แต่น่าเสียดายมากท่ีท่านได้มรณภาพไปจากพวกเราตามกฎธรรมชาติ คือ
ความตายใครๆ หนไี มพ่ น้ ผเู้ ขยี นขอผา่ นไป ไมก่ ลา้ นำ� ชอื่ ทา่ นทกุ ๆ องค์ ทที่ า่ นใหค้ วาม
เมตตาสั่งสอนอบรมเรามาลงในท่ีนี้ ขอยกไว้เป็นท่ีเคารพสักการะเทิดทูนบนที่สูงท่ีควร
แมเ้ ราจะเคยอยกู่ บั ทา่ นมา กอ็ ยแู่ บบคนโง่ ทา่ นเหน็ ความโงข่ องเรา ทา่ นจงึ ไดร้ บั ไวด้ ว้ ย
ความเมตตามาก เร่มิ แต่เขา้ ไปพักรบั การอบรมอยใู่ นความเมตตาของท่าน เมอ่ื ปี พ.ศ.
๒๔๙๙ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันน้ี จึงพอได้รูเ้ ดียงสาภาวะเท่านั้น

เมื่อระลึกถึงพระคุณของพ่อแม่ครูบาจารย์ท่านทุกๆ องค์ ซ่ึงมีพระคุณอนันต์
กลัวจะสูญเสียประวัติของวงศ์แห่งพระป่าตามยุคตามสมัย จึงได้น�ำลงมาเขียนให้
พวกเราได้อ่าน และต่อไปในอนาคตกุลบุตรสุดท้ายในภายหลัง จะได้รู้ได้เข้าใจความ
เป็นมาเป็นไปตามเยี่ยงอย่างอริยวงศ์อรยิ ประเพณที ดี่ งี ามดีเลิศทางพระพุทธศาสนา

เขียนข้ึนตามก�ำลังสติปัญญาของตน หากมีความผิดพลาดตามความจริงแห่ง
อริยประเพณี ขอให้ค�ำนึงถึงผู้เขียนเท่านั้นว่าไม่ฉลาดรอบคอบ จะเป็นที่สบายใจ
ท่านผู้อ่าน ถ้าเห็นว่าเป็นสารประโยชน์ กรุณายึดน�ำมาดัดแปลงแก้ไขท่ีตนเอง นั้นคือ
สายทางทด่ี ีงามและร่มเย็นใจแกพ่ วกเราตลอดกาล

(24)
สำ� หรบั ผเู้ ขยี นเองเปน็ คนบา้ นนอก บวชมาแลว้ ชอบอยใู่ นทหี่ า่ งไกลความเจรญิ เปน็
นิสัยชนิ กับปา่ เขาลำ� เนาไพร จงึ ไม่คอ่ ยจะถนัดชดั เจนทางศัพทเ์ สียงส�ำเนียงภาษาไพเราะ
เพราะพรงิ้ ความรู้ความฉลาดจากสังคมนิยมเท่าไรนกั อาจจะมคี วามผิดพลาด คงได้รบั
อภยั จากทา่ นผอู้ ่าน ผู้เขยี นขอยกพระคณุ ที่ใหอ้ ภัยไวบ้ นท่ีสูงไมม่ ีประมาณ

ผเู้ ขียน

(25)

ค�ำปรารภ

พมิ พค์ รงั้ ที่ ๒

ผู้เขียน ฉนฺทกโร วัดป่าดานวเิ วก ตามค�ำปรารภครั้งท่ี ๑
ความจริงแล้วผู้เขียนได้เขียนเรื่องพระป่าข้ึน เน่ืองจากคุณบูรณิจฉ์ คุ้มไพโรจน์
ซ่ึงก�ำลังท�ำโครงการศิลปนิพนธ์อยู่ในช่วงนั้น และมีความสนใจท�ำการศึกษาเรื่องราว
ของพระป่าในสถานท่ีต่างๆ คุณบูรณิจฉ์ได้เข้ามาเก่ียวข้องกับพระป่าตั้งแต่อายุ
ประมาณ ๑๔ ปี เป็นคนท่ีชอบความสงบเงียบ มีนำ�้ ใจเมตตา และเป็นคนตรงมีความ
ซื่อสัตย์สุจริต ได้เข้ามาศึกษาปรารภพระป่ากับผู้เขียน ผู้เขียนจึงได้มีเมตตาเล่าเร่ือง
วงศ์อริยประเพณี และเขียนเร่ืองพระป่า สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ตามก�ำลังสติปัญญา
มอบให้กับคุณบูรณิจฉ์น�ำไปศึกษาเท่าท่ีเห็นควร และเพื่อสารประโยชน์ในสายทาง
ก้าวเดินภาคปฏิบัติ ให้พอดีกับวงศ์อริยประเพณีท่ีดีงามดีเลิศนับแต่กาลไหนๆ มาและ
ตอ่ ไป ถ้าพยายามปฏบิ ตั ิตาม จะรู้เหน็ ไดเ้ อง
ในการพิมพ์ครั้งนี้ ผู้เขียนได้บันทึกเพิ่มเติมข้ึนใหม่อีก ๖ – ๗ เร่ือง และ
ได้แก้ไขข้อความบางตอนจากต้นฉบับเดิมให้สมบูรณ์ย่ิงขึ้น ท้ังขออนุโมทนาพอใจต่อ
สุชาโต ภกิ ขฺ ุ ท่ไี ด้อุตสา่ ห์พยายามเขียนด้วยลายมือทา่ นเองทั้งหมด ไว้ ณ ทีน่ ี้ดว้ ย

ผู้เขยี น

(26)

พระป่าและช้างปา่
สมัยกรงุ รัตนโกสินทร์

เร่ืองพระป่าและช้างป่า สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ผู้เขียนเขียนขึ้นได้อาศัยหนังสือ
หลักธรรมของนักปราชญ์น�ำมาเป็นหลักอ้างอิงในการเขียนตามก�ำลังสติปัญญาของตน
โปรดทราบเพอื่ ความสบายใจ เขยี นไปตามภาษาของพระปา่ ผเู้ ขยี นไมม่ โี อกาสเขา้ ไปศกึ ษา
จากภาษาสังคมนยิ มมากนัก สุดแต่จะพจิ ารณา

เพื่อความสะดวกในการอ่านการศึกษา จึงได้รวบรวมเรื่องพระป่าและช้างป่า
น�ำลงมาพิมพ์ไว้ในเล่มเดียว ผู้สนใจกรุณาน�ำไปศึกษาตามอัธยาศัย ผิดหรือถูก
จงใคร่ครวญตรติ รองใหร้ ดู้ ้วยปญั ญาเถิด

๒๔ ธนั วาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๗

ค�ำปรารภ

พิมพ์ครง้ั ท่ี ๕

พระป่าและช้างป่า ว่านยาคนโบราณ เป็นหลักธรรมชาติของมีอยู่คู่เคียงกับโลก
ผู้สนใจนำ� ไปศึกษา

เรอื่ งพระปา่ เปน็ โอวาทธรรมมรดกธรรมอยา่ งลำ้� คา่ ของวงศอ์ รยิ ประเพณอี นั ดเี ลศิ
ประเสริฐ ธุดงค์ข้อวัตรเป็นเครื่องซักฟอกกิเลสเอาชนะกเิ ลสได้เป็นอยา่ งดีเยี่ยม

วา่ นยาคนโบราณใชก้ นั มาแตบ่ รรพบรุ ษุ กลวั จะสญู ตำ� รายาคนโบราณ จงึ จดั พมิ พ์
รกั ษาไว้ ผ้สู นใจนำ� ไปศกึ ษาและรักษาโรคตามความจ�ำเปน็ ยาคนโบราณบางอย่างอาจ
ได้ผลเปน็ ทพ่ี ึงพอใจดีกวา่ ยาแผนแพทยส์ มยั ปัจจุบัน

วัดปา่ ดานวเิ วก
๒๖ มถิ ุนายน ๒๕๖๑

(27)

ค�ำปรารภ

พมิ พค์ ร้ังที่ ๖

เร่อื งพระปา่ และชา้ งป่า วา่ นยาคนโบราณ และวันที่ ๒๕ มถิ ุนายน พุทธศักราช
๒๕๖๒ เป็นวันจดจารกึ ความเขา้ ใจระหวา่ ง กอ.รมน. กับ วดั ป่าดานวิเวก และ มูลนธิ ิ
พทุ ธสมนุ ไพรคแู่ ผน่ ดนิ ไทย ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ เขตพนื้ ทไี่ ดร้ บั อนญุ าตจากกรมปา่ ไม้
และสำ� นักงานปฏริ ปู ทด่ี นิ เพอื่ เกษตรกรรม จ�ำนวน ๓,๑๙๖ ไร่เศษ ซง่ึ เป็นพืน้ ท่ีปลูกบ�ำรุง
รักษาป่าพัฒนาให้ป่าอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ เพื่อประโยชน์อย่างยั่งยืนแก่ประเทศ
ชาตบิ า้ นเมอื ง ลูกๆ หลานๆ คนชาตไิ ทยเรา ตลอดสตั ว์โลกท้ังมวล ไดพ้ ่ึงพาอาศัยอย่าง
มคี วามสงบร่มเยน็ เป็นสขุ มรดกอันล้ำ� ค่าของชาวพทุ ธคแู่ ผ่นดินไทยตลอดอนนั ตกาล

๒๘ มิถนุ ายน พุทธศักราช ๒๕๖๒

(28)

สารบัญ

เรอื่ ง หนา้
พระปา่ สมัยกรงุ รตั นโกสินทร์............................................................................ ๑
พระสงฆ์ในประเทศไทยแบ่งออกเปน็ ๒ นิกาย.................................................... ๓
เรอ่ื ง พระป่า บันทึก ปีพทุ ธศกั ราช ๒๕๔๑ ......................................................... ๕
เริม่ ต้นพระธดุ งคกรรมฐาน (วงศพ์ ระปา่ )
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ปพี ทุ ธศักราช ๒๔๔๐ .................................................. ๙
พระป่าวงศล์ ูกศิษย์ สมยั ท่านพระอาจารยม์ ัน่ พาด�ำเนิน ....................................... ๑๔
ปัจจยั ๔ ของพระปา่ ..................................................................................... ๑๘
กิจวตั รของพระป่า ........................................................................................ ๒๒
พระปา่ สมยั ท่านพระอาจารยม์ นั่ ภูริทตั โต ....................................................... ๒๗
พระธดุ งค์รุน่ หลาน ....................................................................................... ๓๑
ธดุ งค์ ๑๓ ของพระป่า .................................................................................... ๓๔
พระธดุ งคร์ นุ่ เหลน ........................................................................................ ๓๗
อธิบายเครอ่ื งบรขิ ารของพระป่า ...................................................................... ๔๒
กิจวัตรประจ�ำวันของพระปฏิบัติ (พระปา่ ) ........................................................ ๔๕
วิธีฌาปนกจิ ศพและการเกบ็ ศพพระป่า ............................................................... ๕๐
งานพระราชทานเพลงิ ศพพระกรรมฐาน ........................................................... ๕๘
ท่านหลวงปู่มน่ั ภรู ทิ ตั ตเถระ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๘ – ๒๔๙๒ ................................ ๖๓
เรือ่ งศาสนพธิ วี งศพ์ ระกรรมฐาน (พระปา่ ) ........................................................ ๖๕
ยคุ พระปา่ ออกชว่ ยชาติ .................................................................................. ๖๙
พระป่าไม่ใชพ่ ระเถอื่ น ................................................................................... ๗๓
ขอ้ ห้ามตลอดกาล ......................................................................................... ๗๗

(29)
ประมวลเรอ่ื งพระป่า
ส่ิงแวดล้อมทางโลกเขา้ มาเกย่ี วขอ้ งในวงศ์แหง่ พระป่า ........................................ ๗๙
สุภัททปรพิ าชกทลู ถามเรื่องสมณะก่อนพระพุทธเจ้าเข้าสู่ปรินิพพาน ........................ ๘๖
เรื่องพระพทุ ธศาสนากบั เจ้าหน้าทีป่ ่าไม้ ............................................................ ๘๗
เร่ืองการบำ� รุงรกั ษาเสนาสนะของสงฆ์ และทรัพยากรธรรมชาติ
วดั แสงอรณุ (วดั ปา่ ดานวิเวก)........................................................................... ๙๑
เรอื่ งอนุญาตการกอ่ สรา้ งเสนาสนะท่มี กี ารช�ำรุดในเขตตามที่กำ� หนด
บริเวณพ้นื ที่วดั แสงอรุณ (วัดป่าดานวเิ วก) ......................................................... ๙๒
พนื้ ท่ีพุทธสถานทรัพยากรค่แู ผน่ ดินไทย วดั แสงอรุณ (วัดปา่ ดานวิเวก) .................. ๙๓
ขอ้ ปฏิบตั ใิ นการกอ่ สรา้ งและปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุ
ในบริเวณพน้ื ทพ่ี ุทธสถานทรพั ยากร วดั แสงอรุณ (วดั ป่าดานวเิ วก) ....................... ๙๔
เรอื่ งก�ำหนดทางเดนิ จงกรม ............................................................................. ๙๖
ข้อควรพจิ ารณาในการก่อสร้างถาวรวัตถบุ ริเวณพ้นื ทพ่ี ทุ ธสถานทรัพยากร
วดั แสงอรณุ (วดั ป่าดานวิเวก) .......................................................................... ๙๘
กจิ วตั รประจ�ำวัน วงศ์อริยประเพณีตามสายทางทา่ นพาดำ� เนิน ............................. ๑๐๐
ขอ้ วัตรปฏบิ ัติวดั ป่าดานวเิ วก ........................................................................... ๑๐๑
ระเบยี บและข้อบังคบั สำ� หรบั การใช้อาคารสถานทข่ี องมลู นิธพิ ุทธสมุนไพรฯ ............. ๑๐๕
เรื่องปัญหาพระสงฆใ์ นพืน้ ทป่ี ่าไม้ .................................................................... ๑๐๗
ขอ้ ควรพิจารณาในการแปลธรรมะจากภาษาไทยเปน็ ภาษาตา่ งประเทศ .................. ๑๐๙
หนังสอื ทน่ี ำ� มาเปน็ หลักในการเขียน ................................................................ ๑๑๐

(30)

พระป่าออกแสวงหาที่วเิ วก
พระรุ่นเหลน

1

พระป่า

สมยั กรงุ รัตนโกสินทร์

(เปน็ ลิขสทิ ธ์ิของนายบูรณิจฉ์ คุ้มไพโรจน์
ผู้ใดมคี วามประสงคจ์ ัดพมิ พ์

กรณุ าตดิ ตอ่ ขออนญุ าตทวี่ ัดแสงอรุณ (วดั ปา่ ดานวิเวก)
ต.ศรีชมภู อ.โซ่พสิ ยั จ.บงึ กาฬ เท่านน้ั )

2

พระป่ารวมกันสวดมนตไ์ หวพ้ ระตามโอกาส

3

พระสงฆใ์ นประเทศไทย

แบ่งออกเปน็ ๒ นกิ าย คอื

๑. คณะสงฆพ์ ระธรรมยุตกิ นิกาย
๒. คณะสงฆพ์ ระมหานกิ าย
นับถือศาสนาพุทธเท่าเทียมกัน เพราะเชื่อมันในค�ำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็น
ค�ำสอนทด่ี ีงามไมม่ ีโทษ ดเี ลศิ ดปี ระเสรฐิ บรสิ ทุ ธส์ิ มบูรณ์
คณะสงฆ์ท้ัง ๒ นิกาย ทางด้านการศึกษา มีท้ังปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธเสมอกัน
ต่างกนั แตจ่ ะมากหรอื น้อยเท่านั้น
ภาคปฏบิ ัติ ถา้ ดำ� เนนิ ตามหลกั สวากขาตธรรม คือพระธรรมวินยั ทต่ี รัสไว้ชอบแล้ว
โดยย่อไดแ้ ก่ ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมนำ� ผปู้ ฏบิ ตั ติ ามให้ก้าวล่วงทุกข์ไปไดอ้ ย่างแน่นอน
ไม่ว่าจะเป็นพระมหานิกาย หรือพระธรรมยุติกนิกาย ตลอดสัตวโลกทั้งมวล ไม่เลือก
ชาตชิ ัน้ วรรณะใดๆ
ผู้ท่ีควรจะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน เมื่อก้าวเข้าถึงหลักธรรมชาติความจริงแห่ง
ธรรมแลว้ เปน็ สนั ทฏิ ฐโิ ก ปจั จตั ตงั ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั ประกาศสงั่ สอนใหพ้ สิ จู นด์ ว้ ยตนเอง
รแู้ จง้ เหน็ จรงิ เหมอื นกนั หมด ไมว่ า่ ชาตชิ น้ั วรรณะใดๆ ไมเ่ ลอื กเพศเลอื กวยั ทกุ กาลสถานท่ี
ไมต่ อ้ งถามใครๆ เพอ่ื ให้เป็นผู้รบั ประกนั ในความบริสุทธิ์อีกตลอดกปั กัลปาวสาน
พระพุทธเจ้าตรัสรับรองพระอริยสงฆ์สาวกในคร้ังพุทธกาล มี ๔ จำ� พวกเท่านั้น
เพื่อเป็นหลักพิจารณาตายใจได้ เป็นผู้บริสุทธ์ิหมดจดทางกาย วาจา ใจ ไม่เคยสร้าง
ความทกุ ข์ เดือดรอ้ นใหแ้ กส่ ัตวโลกท้งั มวล นับแตก่ าลไหนๆ มา และตลอดไป ดังนี้
จ�ำพวกที่ ๑ คือ พระสุปฏิปันโน พระอริยสงฆ์สาวกท่านปฏิบัติดี ไม่มีโทษมลทิน

เศร้าหมองใจ

4

จ�ำพวกท่ี ๒ คือ พระอุชุปฏิปันโน พระอริยสงฆ์สาวกท่านปฏิบัติตรง ตามหลัก
พระธรรมวนิ ัย ไม่เห็นแก่อามิสวตั ถปุ ัจจัยใดๆ ในโลก

จ�ำพวกที่ ๓ คือ พระญายปฏิปันโน พระอริยสงฆ์สาวกท่านปฏิบัติตามหลัก นิยยา
นกิ ธรรม ได้แก่ ศีล สมาธิ ปญั ญา เปน็ ธรรมเครื่องซกั ฟอกกิเลส ไมใ่ ห้
เดอื ดร้อนเผาลนจิตใจ เป็นอกาลิโก

จ�ำพวกท่ี ๔ คือ พระสามีจิปฏิปันโน พระอริยสงฆ์สาวกท่านด�ำเนินภาคปฏิบัติด้าน
จติ ตภาวนา ถือธรรมเป็นใหญ่ยิง่ กวา่ โลกโลกียน์ ิยมในแดนแหง่ ไตรภพ

พระอรยิ สงฆ์ ๔ จำ� พวกนเี้ ทา่ นน้ั ทค่ี วรกราบไหวส้ กั การะบชู า เปน็ ทกั ขไิ ณยยบคุ คล
ควรแก่การตอ้ นรับ ควรแกก่ ารใหท้ านของปวงชนทกุ ชนชั้น

พระอริยสงฆ์ ๔ จ�ำพวกน้ี ถ้ามีจ�ำนวนมากข้ึน ยิ่งเป็นบุญเป็นคุณหนุนน�ำท�ำ
ให้โลกเจริญรุ่งเรืองอุดมสมบูรณ์สงบร่มเย็นใจ เป็นมรดกอย่างล�้ำค่ายิ่ง ในแดนแห่ง
โลกมนษุ ยท์ ง้ั มวล หรอื เปน็ ทรัพยากรบุคคลอยา่ งล้นค่าเหนอื แดนแห่งไตรภพ หาไดย้ าก
ถ้าผูไ้ ม่มบี ุญวาสนาเป็นคณุ หนุนนำ� ชีวติ ทเ่ี กดิ มา ยากจะไดพ้ บเห็น

ผู้มีปัญญาควรพิจารณาไตร่ตรองให้รู้เถิด พระสงฆ์คณะสงฆ์ในวงศ์แห่ง
พระพุทธศาสนา ไม่ได้แกล้งกล่าวใส่โทษพระสงฆ์ และพระสงฆ์สมัยปัจจุบัน
กรุงรัตนโกสินทร์เทียบเคียงกันดูตามหลักสวากขาตธรรม คือหลักพระธรรมวินัยที่
ตรสั ไว้ชอบแลว้ จะรู้ได้เองทกุ กาลเวลาตลอดไป

5

เรอ่ื ง พระปา่
บนั ทึก ปพี ุทธศกั ราช ๒๕๔๑

พระปา่ ในทน่ี ้ี หมายถึงพระทอ่ี ยตู่ ามธรรมชาติ ดำ� รงชวี ิตอยตู่ ามป่าเขาล�ำเนาไพร
ผใู้ ครต่ อ่ การศึกษาเร่ืองของทา่ น พงึ ทราบเนอ้ื ความตามที่เรยี บเรยี งตอ่ ไป

พระป่า หมายถึงท่านผู้บรรพชาอุปสมบทถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย ไม่ผิด
กฎหมายบา้ นเมอื ง บวชดว้ ยความเช่อื ความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา มีเจตนาบวชด้วย
ความบริสทุ ธ์ิใจ บวชแล้วมุง่ ดำ� เนินตามหลักค�ำสั่งสอนของพระพทุ ธเจ้าผเู้ ป็นศาสดาเอก

จุดมุ่งหวังในการบวช ท่านบวชเพื่อหนีจากวัฏสงสาร หนีจากกองทุกข์กองเพลิง
บวชเพอื่ ขา้ มโอฆะกนั ดาร บวชเพอ่ื แสวงหาทางบรมสขุ ทที่ า่ นเรยี กวา่ พระนพิ พาน ซงึ่ เปน็
ความสขุ อยา่ งบรสิ ทุ ธส์ิ มบรู ณ์ จะหาความสขุ ในโลกนห้ี รอื โลกไหนๆ มาเปรยี บเทยี บไมไ่ ด้

ตามพุทธประวัติ พระพุทธเจ้าของพวกเราทรงเสด็จออกบวชเพื่อแสวงหาทาง
พ้นทกุ ขเ์ ทา่ นั้น พระองค์ทรงพากเพียรพยายามสรา้ งพระบารมีมาได้ ๔ อสงไขย กำ� ไร
แสนมหากัป จนเต็มเปี่ยมครบถ้วนสมบูรณ์บริบูรณ์ด้วยพระบารมีแล้ว พระองค์จึงได้
ตรัสร้ธู รรมคือ อริยสจั ๔ ได้แก่ ทกุ ข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ในคืนวันเพ็ญเดอื น ๖ ตรสั รู้
ใต้ร่มไม้ ร่มพระศรีมหาโพธิ์ ที่พุทธบริษัทถือเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์คู่เคียงพระศาสนาและ
ศาสดามาจนทกุ วนั น้ี พวกเราชาวพทุ ธไดถ้ อื วนั นเ้ี ปน็ วนั สำ� คญั ทางพระพทุ ธศาสนา พากนั
เรยี กวา่ วันวสิ าขบชู า ตรงกบั วนั ขนึ้ ๑๕ ค�่ำ เพญ็ เดอื น ๖ ของทกุ ๆ ปี

ธรรมท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรงคน้ พบ ทรงร้ดู ว้ ยพระองคเ์ องนั้น ไมม่ ีใครแนะนำ� สงั่ สอน
พระองค์ เพราะพระองค์ทรงเป็น สยัมภู ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงรู้เอง เห็นเอง เป็น
เองตามหลักธรรมชาติ ธรรมชาติน้ันเป็นธรรมชาติที่ดีเลิศ เป็นของจริงอย่างประเสริฐ
เปน็ ธรรมท่มี หศั จรรย์สวา่ งจา้ เหนือโลกใดๆ ในแดนโลกธาตุ ไดป้ รากฏขนึ้ แก่พระองค์

6

อย่างเปิดเผยรู้อย่างแจ่มแจ้งแทงทะลุหมด ไม่มีส่ิงใดๆ ที่จะปิดบังล้ีลับ ในคืนวันเพ็ญ
เดอื น ๖ ด้วยหลกั วชิ ชา ๓ คอื ความรพู้ ิเศษดังน้ี

๑. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ คือญาณความรู้พิเศษเคร่ืองรู้ตาใจทิพจักขุญาณ
(ตาทิพย์) รู้แจ้งชัดเห็นจริงตามหลักธรรมชาติ หากเป็นขึ้นมาเอง ในปฐมยาม ต้ังแต่
เวลา ๑๘.๐๐ น. ถงึ เวลา ๒๒.๐๐ น. เป็นความรู้ทีท่ ำ� ใหร้ ะลกึ ชาตไิ ด้ พระองคท์ รงรู้
ทรงเห็นเร่ืองการเกิดการตายของพระองค์ว่าเคยเกิดเป็นอะไรในชาติไหนๆ ท่องเที่ยว
ในวฏั สงสาร เกิดในภพน้อยภพใหญ่ กก่ี ปั ก่กี ลั ปน์ บั ไม่ถ้วน ทรงรคู้ วามเป็นมาเปน็ ไป
จนไมอ่ าจนบั ประมาณได้

๒. จุตูปปาตญาณ ความรู้หากเกิดขึ้นเอง เป็นเองสว่างจ้าข้ึนภายในจิตอย่าง
แจง้ ชดั คอื ตาในทพิ จกั ขญุ าณ ไดแ้ กพ่ ระปรชี าญาณเครอ่ื งรคู้ วามเหน็ ชาญฉลาดไดป้ รากฏ
ขนึ้ ในมชั ฌมิ ยาม ต้งั แต่เวลา ๒๒.๐๐ น. ถงึ เวลา ๐๒.๐๐ น. ทรงรู้จักจุตแิ ละอุบัตขิ อง
สตั วท์ งั้ หลาย ทรงเหน็ การตายการเกดิ ของสตั วท์ ง้ั หลาย เกดิ จากชาตนิ แ้ี ลว้ ไปเกดิ เปน็ นน้ั
ในชาตินัน้ ตายจากชาตนิ ้ันไปเกิดในชาตนิ ้ันๆ ในภพน้ันๆ พระองค์ทรงร้แู จ้งแทงทะลุ
ทงั้ หมดทว่ั แดนแห่งไตรภพ

๓. อาสวกั ขยญาณ คอื พระจกั ขญุ าณปญั ญาชาญฉลาดความรพู้ เิ ศษอยา่ งมหศั จรรย์
ลือล่ันทั่วแดนโลกธาตุเกินคาดหมายเหนือปัญญาโลกีย์ใดๆ คือ วิชชาธรรม โดยย่อ
ไดแ้ ก่ ศีล สมาธิ ปญั ญา ดเี ลิศประเสรฐิ สุดที่จะชำ� ระกเิ ลสตณั หาทัง้ หลาย เจ้าจอมวฏั ฏะ
จักรวัฏฏะจิตให้พังพินาศลงจากแท่นบัลลังก์คือเจ้าอวิชาหมดอ�ำนาจหมดเช้ือท่ีจะท�ำให้
ถือก�ำเนิดก่อภพก่อชาติในการเกิดการตายท่องเที่ยวในวัฏสงสารตลอดกัปกัลปวสาน
จนทำ� ใหอ้ าสวะสน้ิ ไป นักปราชญ์ผูฉ้ ลาดหลกั แหลมในสมยั ปจั จุบนั ให้ชอื่ เครื่องมือช�ำระ
กิเลสอย่างทันสมยั วา่ มหาสตมิ หาปญั ญาอัตโนมัติ ปัญญาชาญฉลาดนไี้ ดป้ รากฏข้นึ แก่
พระองคใ์ นปัจฉมิ ยาม ตงั้ แต่เวลา ๐๒.๐๐ น. ถึงเวลา ๐๖.๐๐ น.

7

ความรทู้ เี่ ปน็ ปญั ญาโลกยี ข์ องคนมกี เิ ลสแลว้ ขนึ้ ชอ่ื วา่ หลกั วชิ าความรขู้ องคนมกี เิ ลส
ในโลกไหนๆ จะรเู้ หน็ ตามหลกั ธรรมชาตคิ วามจรงิ แหง่ ธรรมนน้ั รไู้ ดย้ าก เพราะความคดิ ท่ี
ดน้ เดาคาดคะเนดว้ ยอำ� นาจของเจา้ กเิ ลสตณั หา ทำ� ใหป้ ดิ บงั มดื มดิ มองไมเ่ หน็ ธรรมชาตนิ น้ั
เพราะธรรมชาตนิ ัน้ เปน็ อมตธรรม หลกั วิชชา ๓ ประการน้ี ได้เกดิ ขึน้ แก่พระองคใ์ นคืน
วันวิสาขบูชา เป็นหลักวิชชาที่เลิศท่ีประเสริฐท่ีสุด ตามบทสรรเสริญพระพุทธคุณที่ว่า
สมั มาสมั พทุ โธ วชิ ชาจรณสมั ปนั โน คอื พระองคท์ รงสมบรู ณด์ ว้ ยวชิ ชาจรณะ ดว้ ยมหาสติ
มหาปญั ญา ทรงเป็นเอง รเู้ อง เหน็ เอง ตามธรรมชาตแิ ห่งความจริง เหตนุ ้ันพระองคจ์ ึง
เป็นจอมปราชญใ์ นหลักวชิ ชาแหง่ ความร้ชู าญฉลาด จะหาท่านผูใ้ ดมาเปรียบเทียบไม่ได้
ไมม่ ใี ครทม่ี คี วามรทู้ างพระจกั ขญุ าณปญั ญาชาญฉลาดเหนอื กวา่ พระองค์ เพราะพระองค์
ทรงเป็น โลกวิทู รูแ้ จ้งซ่ึงโลกท้ังปวง ตัง้ แต่ กามโลก รูปโลก อรปู โลก พระองคท์ รง
มีพระปรีชาญาณหย่ังทราบ ทรงรู้แจ้งแทงทะลุเปิดเผยขึ้นมาทั้งหมดอย่างมหัศจรรย์
ในแดนโลกธาตุแห่งไตรภพ หรือในโลกไหนๆ ทรงหย่ังทราบด้วยพระปรีชาญาณ
ชาญฉลาดของพระองค์เองหมด (ด้วยตาทิพย์ตาญาณ ไม่ใช่ตาเนื้ออย่างเราๆ ท่านๆ
ความรู้พิเศษจากพระจกั ขุญาณ) ไม่มสี ง่ิ ใดๆ ที่จะปิดบังลล้ี ับ เป็นความรู้มที ้ังเหตมุ ที ัง้ ผล
มปี จั จยั ท่ีมาแหง่ ธรรม

เหตุแห่งทุกข์ เหตุแห่งสุขคืออะไร หรือสาเหตุท่ีจะท�ำให้ทุกข์เกิดข้ึนได้แก่อะไร
พระองคก์ ท็ รงชบ้ี อกวา่ นนั้ คอื ตวั สมทุ ยั แดนใหเ้ กดิ ทกุ ข์ หรอื เหตทุ มี่ าแหง่ ทกุ ข์ คอื เจา้ กเิ ลส
ตวั ตณั หา อวชิ ชา ทท่ี ำ� สตั วใ์ หไ้ ดร้ บั ความทกุ ขท์ รมานแสนสาหสั มดื มดิ ปดิ ตาหาทางออก
จากทกุ ขไ์ มไ่ ดต้ ลอดเวลา เกดิ ขน้ึ มาจากทนี่ ่ี พระองคท์ รงชบี้ อกเหตทุ จ่ี ะดบั ทกุ ข์ หนทางท่ี
จะกา้ วออกจากทกุ ขถ์ งึ สถานทปี่ ลอดภยั ไกลจากทกุ ขท์ ง้ั มวล กา้ วเขา้ สแู่ ดนแหง่ สนั ตสิ ขุ นน้ั
คือพระนพิ พาน เปน็ เอกนั ตบรมสขุ เปน็ ความสุขทีอ่ ศั จรรย์เหนอื โลกใดๆ พระองคท์ รง
พระเมตตาแนะนำ� สงั่ สอนชบี้ อกสายทางเดนิ ทจี่ ะกา้ วเขา้ ถงึ ความสขุ อยา่ งสมบรู ณ์ เสน้ ทาง
น้นั คอื สายทางมรรค ๘

8

นเี้ ปน็ สาเหตทุ ม่ี าแหง่ ความสขุ ความสขุ เกดิ ขน้ึ เพราะสาเหตแุ หง่ การปฏบิ ตั ติ ามทาง
อริยมรรคนเ้ี ท่าน้นั โดยยอ่ คือ ตอ้ งปฏิบัตติ ามศีล สมาธิ ปัญญา นเ้ี ป็นสายทางอนั เอก
เปน็ สายทางเดนิ สะอาดบรสิ ทุ ธ์ิ เปน็ สายทางเดนิ พากา้ วเขา้ สจู่ ดุ หมายปลายทาง ถงึ แดนแหง่
ความสุขอยา่ งสมบรู ณ์ ท่ีเรยี กว่า พระนพิ พาน เป็นทีป่ ลอดภยั ไกลจากทกุ ขอ์ ยา่ งแนน่ อน

เมื่อพระองค์ตรัสรู้เองโดยชอบแล้ว พระองค์จึงทรงน�ำธรรมท่ีทรงรู้ทรงเห็นมา
ประกาศพระศาสนา ทรงแนะน�ำส่ังสอนสัตว์โลก ด้วยน�้ำพระทัยที่เต็มเปี่ยมไปด้วย
พระเมตตามหาคุณทรงเมตตาสตั ว์โลกจนถงึ วนั เสด็จปรินพิ พาน หลกั ธรรมท่เี ปน็ หัวใจ
ส�ำคัญทีส่ ดุ ทที่ รงน�ำมาประกาศพทุ ธศาสนา โดยยอ่ มี ๓ อยา่ ง คอื

๑. การไม่ทำ� บาป คือไม่ท�ำความชั่วทงั้ ปวง ท่ีเป็นเหตุก่อให้เกดิ โทษทกุ ข์ท้ังมวล
ตง้ั แตส่ ว่ นเล็กนอ้ ยไปถงึ สว่ นใหญ่สดุ

๒. ถึงพร้อมด้วยการบ�ำเพ็ญกุศล คือท�ำแต่ส่ิงท่ีดีงามไม่เกิดโทษ ให้พยายาม
บำ� เพญ็ กศุ ล ต้งั แตส่ ว่ นเลก็ นอ้ ยไปจนถึงสว่ นใหญ่ พยายามบำ� เพ็ญใหย้ งิ่ ๆ ขนึ้ ไป

๓. พยายามช�ำระจิตใจของตนให้บริสุทธิ์สมบูรณ์ จนเป็นวิสุทธิจิตวิสุทธิธรรม
เปน็ จติ ท่ีเหนอื มลทนิ ของกิเลสท้งั มวล

หลักธรรม ๓ อย่างนี้ เป็นค�ำส่ังสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายทุกๆ พระองค์
นับแต่กาลไหนๆ มา พระองค์ได้ทรงนำ� มาประกาศพระพทุ ธศาสนา ทรงแนะนำ� ส่งั สอน
สตั วโลกใหร้ ู้แจง้ เห็นจริงตามความจริงแห่งธรรม ซง่ึ เปน็ หลักธรรมทีด่ ีเลศิ ท่สี ุด สามารถ
น�ำผู้ปฏิบัติตามให้ได้รับแต่ความสุขสมหวัง เจริญรุ่งเรือง สงบร่มเย็นใจ นับแต่กาล
ไหนๆ มา และตอ่ ไปไมม่ วี ันสิ้นสุด

9

เร่มิ ตน้ พระธดุ งคกรรมฐาน (วงศพ์ ระปา่ )
ในสมัยกรุงรัตนโกสนิ ทร์ ปีพทุ ธศกั ราช ๒๔๔๐

๑. พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจันโท จันทร์) อดีตเจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส
กรุงเทพฯ ตามประวตั ทิ ่านบรรพชาเป็นสามเณรปี พ.ศ. ๒๔๑๑ ท่านอุปสมบทเปน็ พระ
ปี พ.ศ. ๒๔๒๐ ยอดแห่งจอมปราชญ์ ผนู้ �ำพระธุดงคกรรมฐาน (วงศ์พระปา่ )

๒. หลวงปู่เสาร์ กนตฺ สีลเถร ท่านเกิดเมือ่ วันที่ ๒ พฤศจกิ ายน พทุ ธศักราช ๒๔๐๒
ณ บา้ นขา่ โคม ต�ำบลหนองขอน อ�ำเภอเมอื ง จังหวดั อุบลราชธานี เรอื่ งการบรรพชา
อุปสมบท วัน-เดือน-ปี ไม่มีใครได้บันทึกไว้ หรือในสมัยน้ันอาจจะไม่มีใครสนใจ
ในเรอ่ื งการบนั ทกึ เดมิ ทา่ นบวชเปน็ พระมหานกิ ายได้ ๑๐ พรรษา ตอ่ มาทา่ นไดญ้ ตั ตเิ ปน็
พระธรรมยตุ ทวี่ ดั ศรที อง (ปจั จบุ นั คอื วดั ศรอี บุ ลรตั นาราม) อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั อบุ ลราชธานี
มพี ระครทู า โชตปิ าโล เปน็ พระอปุ ชั ฌาย์ เจา้ อธกิ ารสที า ชยเสโน เปน็ พระกรรมวาจาจารย์
ภายหลังท่านได้มาอยู่ประจ�ำวัดเลียบ ต�ำบลในเมือง อำ� เภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
ทา่ นอปุ สมบทเปน็ พระแล้ว ทา่ นชอบออกแสวงหาท่วี เิ วกไปถึงประเทศลาว ประเทศไทย
ภาคอสี านเกอื บทุกจังหวดั ต่อมาคณะสงฆเ์ ห็นควรยกใหท้ ่านเปน็ พระครวู ิเวกพทุ ธกิจ

เมอ่ื ถงึ กาลอนั ควรแกอ่ ายขุ ยั แลว้ ทา่ นไดม้ รณภาพลงทว่ี ดั อำ� มาตยาราม นครจำ� ปาสกั
ในอริ ยิ าบถนงั่ กม้ กราบพระประธานในพระอโุ บสถถงึ พรอ้ มดว้ ยสตอิ ยา่ งไพบลู ย์ องอาจ
สงา่ งาม กา้ วเขา้ สแู่ ดนบรมสขุ อยา่ งบรสิ ทุ ธส์ิ มบรู ณ์ ตรงกบั วนั ท่ี ๓ กมุ ภาพนั ธ์ พทุ ธศกั ราช
๒๔๘๔ สิริรวมอายุได้ ๘๒ ปี ๓ เดือน ๑ วัน คณะสงฆ์พร้อมด้วยชาวเมืองจังหวัด
อบุ ลราชธานี และคณะศรทั ธาคณะลกู ศษิ ยท์ งั้ มวล ขอโอกาสกราบคารวะสรรี ะศพองคท์ า่ น
แลว้ พรอ้ มกนั นำ� กลบั มาจดั งานฌาปนกจิ ทว่ี ดั บรู พาราม อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั อบุ ลราชธานี
ในเดอื นเมษายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ โดยมีท่านหลวงปมู่ ่นั ภรู ทิ ตตฺ เถร เป็นก�ำลงั อย่าง
ส�ำคัญ งานศพหลวงปเู่ สาร์ เสร็จด้วยความสงบเรียบรอ้ ยเปน็ สริ ิมงคลมหามงคลของท่าน
ผู้ทไี่ ด้มารว่ มบำ� เพญ็ บญุ กศุ ลในงานศพโดยทวั่ กัน

10

ทา่ นหลวงป่เู สาร์ กนตฺ สีลเถร ตามทีท่ า่ นหลวงปูห่ ลุย บันทึกไว้นัน้ เรือ่ งการท�ำ
ความเพียรเป็นเลิศ ด�ำเนินตามทางสายกลางอย่างสม�่ำเสมอไม่ย่ิงไม่หย่อน พิจารณา
ถึงข้ันภูมิธรรมละเอียดมาก ยกจิตขึ้นสู่องค์เมตตามหาคุณ เยือกเย็น สุกใส รุ่งโรจน์
สงบเสง่ยี ม องอาจ สง่างาม กิรยิ ามารยาทอ่อนนอ้ ม สุขมุ พูดนอ้ ย มีอัธยาศัยน้อมไป
ทางสมถะวปิ สั สนา ทำ� ใจเหมอื นแผน่ ดนิ ใฝใ่ จในธดุ งควตั ร หนกั แนน่ ในหลกั พระธรรม
วินัยโดยเคร่งครัด ท่านชอบจ�ำพรรษาอยู่ตามป่าเขาล�ำเนาไพรและสอนผู้อ่ืนให้ถือ
ปฏิบัติตาม ท่านหลวงปู่เสาร์เป็นวิสุทธิบุคคลผู้เลิศเต็มเปี่ยมด้วยพระเมตตามหาคุณต่อ
สตั ว์โลก โดยไม่มปี ระมาณ ท่านมีลูกศิษยอ์ งค์สำ� คัญ คือ ท่านหลวงป่มู ่นั ซง่ึ เป็นผ้เู ลิศ
ประเสรฐิ สุด ช่วยเปน็ กำ� ลังส่งเสรมิ พระพุทธศาสนาทางภาคปฏบิ ตั ิดา้ นจิตภาวนา ยคุ แรก
สายพระธดุ งคกรรมฐาน คอื ทา่ นหลวงปเู่ สาร์ กนตฺ สลี เถร และทา่ นหลวงปมู่ น่ั ภรู ทิ ตตฺ เถร
ผ้นู �ำหน้าวงศแ์ หง่ พระปา่

ทา่ นหลวงปมู่ ่นั เป็นสมณะนกั ปราชญ์ชาติอาชาไนยจะหาใครเทยี มได้ยากในสมยั
กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ เมอื่ ถงึ กาลอนั ควรทา่ นกด็ บั ขนั ธก์ า้ วเขา้ สแู่ ดนบรมสขุ ทวี่ ดั ปา่ สทุ ธาวาส
จงั หวดั สกลนคร ทา่ นได้พูดล่วงหน้าไว้กบั บรรดาคณะลกู ศษิ ย์ “อยา่ งไรก็ไมเ่ ลย ๘๐ ปี
วันสน้ิ อายขุ ัย” ทา่ นมรณภาพเดอื นพฤศจิกายน พุทธศกั ราช ๒๔๙๒ เวลา ๐๒.๐๐ น.
๒๓ นาที ในท่ามกลางแหง่ พระสงฆ์ ด้วยอาการสงบ องอาจ สงา่ งาม ด้วยวสิ ทุ ธธิ รรม
สมนามสมณะนกั ปราชญผ์ กู้ ลา้ หาญชาญฉลาดชาตอิ าชาไนยในแดนแหง่ ไตรภพ อกี ไมน่ าน
ท่านท้ัง ๒ ได้ล่วงลับไป ข่าวลือเร่ืองอัฐิธาตุของท่านหลวงปู่เสาร์และอัฐิธาตุของท่าน
หลวงปมู่ น่ั ไดก้ ลายเปน็ ธาตกุ ายสทิ ธิ์ แกว้ รตั นะอนั บรสิ ทุ ธผิ์ ดุ ผอ่ งอยา่ งเลศิ ประเสรฐิ เหนอื
สิ่งศักด์ิสิทธิ์ใดๆ ในแดนแห่งไตรโลกธาตุ และน่าอัศจรรย์เกินคาดหมายของผู้มีกิเลส
มดื ดำ� กำ� ตาครอบง�ำหวั ใจ

ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) หัวหน้ากองทัพธรรม ผู้น�ำ
พระธดุ งคกรรมฐาน (วงศพ์ ระปา่ ) ประมาณปพี ทุ ธศกั ราช ๒๔๖๐ ทา่ นหลวงปเู่ สาร์ กนตฺ สลี เถร
และทา่ นหลวงปมู่ น่ั ภรู ทิ ตตฺ เถร จอมปราชญเ์ มอื งอบุ ล ทา่ นเปน็ วสิ ทุ ธบิ คุ คลหรอื วสิ ทุ ธเิ ทพ

11

ยอดแห่งสมณะนักปราชญ์ กล้าหาญชาญฉลาดอริยวงศ์ หัวหน้ากองทัพธรรม ผู้น�ำ
พระธุดงคกรรมฐานทางภาคอีสานพาด�ำเนินภาคปฏิบัติด้านจิตภาวนาในสมัย
กรุงรัตนโกสินทร์เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๘๐ วิสุทธิบุคคลผู้น�ำพาก้าวเดินตามสาย
ทางอริยมรรคอริยวงศ์อย่างถูกต้องดีงามดีเลิศดีประเสริฐสุดก้าวถึงแดนแห่งบรมสุข
ชาวไทยทกุ คนควรนอ้ มพระคณุ ของทา่ นเขา้ สหู่ วั ใจ ชวี ติ ทเี่ กดิ มาจะไมเ่ ปลา่ จากประโยชน์

ธรรมอย่างมหัศจรรย์เหนือโลกของจริงอย่างประเสริฐเกิดมีมาแล้วแต่กัปไหน
กลั ป์ไหนไม่สามารถรู้ได้

ผู้ที่ควรจะรู้แจ้งแทงทะลุมรรคผลนิพพานได้ ถึงแดนบรมสุขน้ันคือท่านผู้บริสุทธิ์
สมบรู ณ์ดว้ ยสติ สมาธิ ปญั ญาญาณชาญฉลาด อริยมรรคมอี งคแ์ ปดท่ีพระพุทธเจ้าทกุ ๆ
พระองค์ ไดท้ รงแสดงไวอ้ ย่างรแู้ จง้ ชดั เหน็ จริงอย่างแจ่มแจ้งทะลุหมด ด้วยความบริสทุ ธ์ิ
สมบูรณ์เป็นวิสุทธิธรรมพร้อมทั้งอรรถท้ังพยัญชนะ ปัจจุบันเกิดรู้ข้ึนบนแผ่นดินในแดน
เมืองสยามประเทศไทย ผู้ปฏิบัติตามสายทางเดินเฉพาะองค์แห่งอริยมรรคมีองค์แปด
เท่านั้น รู้ได้อย่างแจ่มแจ้งแจ่มใสบริสุทธิ์สมบูรณ์วิสุทธิธรรม ไม่ต้องถามใครๆ เป็น
อกาลิโก เอหิปสฺสิโก เป็น ปจฺจตตฺ ํ ตลอดกาล

๓. ทา่ นพระอาจารยม์ น่ั ภรู ทิ ตั โต ตามประวตั ทิ า่ นอปุ สมบทเปน็ พระ ปี พ.ศ. ๒๔๓๖
ในสมยั นน้ั ปา่ ดงพงไพรยงั อดุ มสมบรู ณไ์ ปดว้ ยทรพั ยากรตามธรรมชาตอิ ยา่ งเตม็ ท่ี
กฎหมายบา้ นเมอื งยงั ไมค่ รอบครอง ประชากรชาวไทยเรายงั มไี มม่ าก ประมาณ ๑๐ กวา่
ลา้ นคน การอาศัยอยูป่ า่ อยเู่ ขาคนไมค่ ่อยจะท�ำลายป่าไม้ ถำ�้ เงอ้ื มผา ฯลฯ
พระปา่ สมยั ทา่ นพระอาจารยม์ น่ั นนั้ จงึ สะดวกมากในการไป – การมา หาเทยี่ ววเิ วก
ตามปา่ เขาลำ� เนาไพร เพอ่ื แสวงหาโมกขธรรมอยา่ งเตม็ กำ� ลงั ความสามารถของแตล่ ะองค์
แต่สมัยครั้งนั้นท่านได้รับความล�ำบากมาก สู้อดสู้ทนแทบล้มแทบตาย แล้วด�ำเนินตาม
แบบฉบับของพระพุทธเจ้าท่ีทรงบ�ำเพ็ญเพียร อย่างมุ่งม่ันไม่ท้อถอย หรือตามหลัก
พระธรรมวินยั ทศ่ี าสดาทรงตรัสสอนไว้ทุกอยา่ งไม่น่าสงสยั

12

เร่ืองจิตตภาวนาน้ันใครเป็นผู้อบรมแนะน�ำส่ังสอนในสมัยท่านพระอาจารย์ม่ัน
กรณุ าไปหาอา่ นดตู ามประวตั ขิ องทา่ น ทนี่ กั ปราชญท์ า่ นไดจ้ ดจารกึ ไว้ นา่ จะหมดปญั หา
หรอื ยง่ิ พวกเราน้อมนำ� ธรรมที่ท่านได้เมตตาอบรมแนะนำ� สง่ั สอน ตั้งใจประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ
ตามแบบฉบับของทา่ น ใหไ้ ดร้ ู้ไดเ้ หน็ ตามธรรมชาตคิ วามจริงอยา่ งทา่ นพระอาจารยม์ ่ัน
แลว้ นั้นแลยิ่งดเี ลิศดปี ระเสริฐที่สดุ รเู้ หน็ ตามความเปน็ จริง ย่อมตดั รากเหง้าเค้ามูลแหง่
ความสงสัยทั้งมวล

พระป่าในสมัยเริ่มต้นตามที่ได้จดจารึกชื่อของท่านไว้ข้างบนน้ัน จะเรียกท่านว่า
ผมู้ บี ญุ วาสนาบารมแี กก่ ลา้ สามารถ ในทางบรรลคุ ณุ ธรรมอนั เลศิ ประเสรฐิ สงู สดุ หรอื เปน็
จอมปราชญ์ในดินแดนแห่งประเทศไทยเรานั้นก็คงจะไม่ผิด เพราะชื่อเสียงเกียรติศัพท์
เกียรติคุณของท่านกระเดื่องเล่ืองลือล่ัน รู้ไปท่ัวถึงหมดในแดนแห่งพุทธศาสนา
ท้งั ประเทศไทย ประเทศลาว และประเทศพมา่

โดยเฉพาะเจา้ พระคณุ พระอุบาลีคุณปู มาจารย์ (สริ ิจันโท จันทร)์ องคน์ เ้ี ด่นมาก
ทุกๆ ด้าน ไม่ว่าการศึกษาปริยัติ ด้านการสังคมสงเคราะห์เกื้อกูลอนุเคราะห์ หรือท�ำ
ประโยชน์ตอ่ ประเทศชาติ เพื่อชว่ ยโลกช่วยสงสาร ท้ังด้านการอยู่ป่าอยเู่ ขาก็เด็ด แตเ่ ป็น
บางโอกาส การแสดงธรรมเทศนากไ็ พเราะ มเี ชงิ ฉลาดหลกั แหลม ทำ� ใหผ้ ฟู้ งั ซาบซง้ึ ละเอยี ด
สุขุม ส�ำหรับผู้เขียนเองภูมิสติปัญญามีน้อย ไม่สามารถท่ีจะพรรณนาพระธรรมเทศนา
ทที่ า่ นแสดงไมม่ ปี ระมาณนนั้ ได้ จงึ ขอยกเทดิ ทนู ไวบ้ นทส่ี งู ทคี่ วร ทา่ นเปน็ พระทห่ี าไดย้ าก
เกดิ ยาก ถา้ อยากทราบประวตั ขิ องทา่ นเจา้ พระคณุ องคน์ ้ี กรณุ าไปหาดหู นงั สอื ประวตั ขิ อง
ท่านได้ทวี่ ัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ คงจะทราบรายละเอียดได้ดี

ส�ำหรับท่านพระอาจารย์ม่ัน ภูริทัตโตน้ัน ท่านเป็นจอมปราชญ์ชาติอาชาไนย
สมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ และเปน็ ผเู้ ลศิ แหง่ การอยปู่ า่ อยเู่ ขาถำ้� เงอื้ มผา จะหาใครเสมอเหมอื น
ไดย้ าก ทา่ นเปน็ ยอดนกั ปราชญ์ ทมี่ เี ชงิ ฉลาดปราดเปรอ่ื งหลกั แหลม รทู้ างดา้ นจติ ตภาวนา
น้ีเดน่ มากเหนอื ความร้คู วามฉลาดครอบโลกธาตุ ซง่ึ เปน็ ความรทู้ มี่ หศั จรรยม์ าก

13

บรรดาลกู ศษิ ยท์ เ่ี ขา้ ไปรบั การศกึ ษา ไดร้ บั ความรซู้ าบซงึ้ อยา่ งถงึ ใจ ในธรรมทที่ า่ น
ไดเ้ มตตาอบรมแนะนำ� สงั่ สอน สดุ ทจ่ี ะพรรณนาพระคณุ ของทา่ นนน้ั เปน็ อนนั ตคณุ ลำ� พงั
กำ� ลงั สตปิ ญั ญาของผเู้ ขยี นเองกไ็ มม่ คี วามสามารถ ทจ่ี ะไปอธบิ ายพระธรรมทท่ี า่ นแสดงนน้ั
อันเป็นวิสุทธิธรรม เพราะความโง่พาให้มืดมิดปิดตา (กิเลสเรายังมี) จึงขอถวายบูชา
ยกเทิดทูนคณุ พระธรรมไวบ้ นทส่ี ูงท่คี วร

ทา่ นพระอาจารยม์ น่ั พระปา่ ผเู้ ป็นจอมปราชญ์ชาติอาชาไนยทเ่ี ลศิ มีบทเชงิ ฉลาด
สมกับชือ่ เสียงลือนามว่า เป็นพระสาวกอรหนั ตใ์ นดินแดนแหง่ ประเทศไทยเรา ถ้าอยาก
ทราบประวตั อิ ันงดงามที่น่าอัศจรรยข์ องทา่ นพระอาจารย์มั่น กรณุ าไปหาอ่านดปู ระวัติ
ของทา่ นไดท้ ี่ หอสมุดแห่งชาติทกุ แห่งในประเทศไทย หรอื ท่วี ัดปา่ บา้ นตาด จ.อดุ รธานี
ซ่ึงนกั ปราชญ์ทา่ นไดจ้ ดจารึกไว้ไมน่ ่าสงสัย

ทา่ นพระอาจารยม์ นั่ ทา่ นไดน้ ำ� คำ� สง่ั สอนของพระพทุ ธเจา้ มาประกาศพระศาสนา
ด้วยความองอาจกล้าหาญชาญฉลาดหลักแหลม ด้วยมหาสติมหาปัญญาอันแหลมคม
แสดงด้วยความบริสุทธ์ิสมบูรณ์เป็นวิสุทธิธรรมแท้ ใครผู้ที่ได้พบเห็นนับว่ามีบุญวาสนา
บารมีท่ีเกิดมาไม่เสียชาติที่เป็นมนุษย์ ท่ีได้จดจารึกชื่อลือนามว่าจอมปราชญ์ นับแต่
พระพทุ ธเจ้าทกุ ๆ พระองคต์ ามลำ� ดบั ล�ำดา ถึงพระสาวกอรหัตอรหนั ตแ์ ลว้ ไม่เคยสรา้ ง
ความเดือดร้อนวุ่นวายให้แก่โลกมีแต่สร้างโลกสงสารให้ได้รับแต่ความสมหวังอบอุ่น
สงบร่มเย็นใจ มน่ั คงถาวรเจรญิ รุ่งเรืองในชีวติ นบั แต่กาลไหนๆ มาตลอดกัปตลอดกลั ป์

ผเู้ ขยี น เขยี นตามหนงั สอื บรู พาจารยท์ ที่ า่ นไดบ้ นั ทกึ ไวห้ รอื ไดเ้ พม่ิ เตมิ ทขี่ าดตกเปน็
บางตอนให้สมบูรณย์ ิง่ ข้นึ

14

พระปา่ วงศล์ ูกศษิ ย์ สมัยท่านพระอาจารยม์ นั่ พาด�ำเนิน

ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต นับต้ังแต่ชีวิตของท่านก้าวสู่ร่มเงาแห่งผ้า
กาสาวพัสตร์ อุปสมบทเป็นพระในพระพุทธศาสนา ถึงพร้อมด้วยศรัทธาความเชื่อม่ัน
เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๖ ได้มรณภาพไปในปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ท่านได้อุตส่าห์พยายามต้ังใจ
ปฏิบัติ จนถึงจุดหมายปลายทางอย่างสูงสุดแห่งพรหมจรรย์ ด้วยความบริสุทธ์ิสมบูรณ์
อนั เปน็ วิสุทธธิ รรม

บรรดาลกู ศษิ ยท์ ไ่ี ดท้ ราบชอื่ เสยี งลอื นามและเกยี รตคิ ณุ ของทา่ นวา่ ทา่ นพระอาจารย์
ม่ันเป็นพระอรหันต์ในสมัยปัจจุบัน ต่างก็ทยอยเข้าไปอยู่อาศัยเพ่ือรับการศึกษาอบรม
จากท่าน เริ่มเมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๔๖๐ – ๒๔๙๑ ล้วนแล้วแตพ่ ระสงฆผ์ ้มู ่งุ มั่นตอ่ แดนพ้นทุกข์
ท้งั น้นั

ตามท่ีจ�ำได้จากพ่อแม่ครูบาอาจารย์ลูกศิษย์ของท่านแสดงให้ฟังว่า ท่านได้มี
เมตตามหาเมตตาใหก้ ารอบรมแนะน�ำสง่ั สอน อยา่ งเต็มก�ำลังสติปญั ญาของทา่ น ไม่วา่
ธรรมข้ันไหน นบั ตัง้ แตข่ น้ั ต�ำ่ จนกระทัง่ ขน้ั สงู สดุ คอื วิมุติพระนพิ พาน เพราะท่านเปน็ ผมู้ ี
บทเชงิ เฉลียวฉลาดหลกั แหลม ในการอบรมสง่ั สอนทางดา้ นภาคปฏบิ ตั จิ ติ ตภาวนาลว้ นๆ
ปัญญาหลักแหลมสุดท่ีจะพรรณนาก�ำลังมหาสติมหาปัญญาของท่าน เพราะภูมิความรู้
ความสามารถเรายังไม่สมบูรณ์ ในที่นี้จะขอน�ำมาลงตามที่นักปราชญ์ท่านได้จดจารึก
ไว้เป็นบางตอน

หลักธรรมท่ีท่านพระอาจารย์ม่ันน�ำมาแนะน�ำส่ังสอนบรรดาลูกศิษย์ ส่วนใหญ่
ท่านเน้นหนักในทางอริยมรรค ผู้ปฏิบัติเพ่ือแสวงหาทางพ้นทุกข์ จะต้องด�ำเนินตาม
สายทางคอื มรรค ๘ นเ้ี ปน็ ทางตรง เมอ่ื ยน่ ลงมาใหพ้ อเหมาะกบั จรติ นสิ ยั ของผปู้ ฏบิ ตั นิ นั้ ๆ
ไดแ้ ก่ ศรทั ธา วริ ยิ ะ สติ สมาธิ ปญั ญา ย่นลงอกี คอื ไตรสกิ ขา ไดแ้ ก่ ศีล สมาธิ ปญั ญา
ผปู้ ฏบิ ตั พิ งึ นอ้ มธรรมเขา้ มาใหแ้ นบสนทิ สงั วรระวงั จติ ใจของตนเองอยเู่ สมอ อยา่ ใหข้ าด

15

วรรคขาดตอนทางความเพียร มีสติธรรมปญั ญาธรรมนี้เท่าน้นั ทม่ี ีอุปการคุณใหแ้ กเ่ รา
อยา่ งไม่มปี ระมาณ

ท่ีบรรดาพระสาวกในครั้งพุทธกาล ท่านได้ผ่านพ้นกองทุกข์หรือล่วงทุกข์ไปได้
จะนอกเหนอื ไปจากสตธิ รรมปญั ญาธรรมนไ้ี ปไมไ่ ดเ้ ลย เพราะธรรมนเ้ี ปน็ สวากขาตธรรม
เปน็ ธรรมทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงตรสั ไวด้ แี ลว้ โดยชอบ และเปน็ นยิ ยานกิ ธรรม นำ� ผปู้ ฏบิ ตั ติ าม
ให้ได้รับความสุขสมหวัง และเป็นธรรมท่ีน�ำสัตว์ออกจากกองกิเลสกองทุกข์โดยส้ินเชิง
ไม่มธี รรมอนื่ ยิ่งกวา่ นี้ เฉพาะเพศนักบวชทา่ นเนน้ หนกั มาก

ในพระธรรมเทศนาของทา่ นพระอาจารยม์ ั่น ท่านจะแสดงเปน็ ใจความไว้ดังนี้
วิธีเดินจงกรม ต้องให้อยู่ในท่าส�ำรวมท้ังกายและใจ ตั้งจิตและสติไว้ท่ีจุดหมาย
ของงานทต่ี นกำ� ลงั ทำ� อยู่ คอื กำ� ลงั กำ� หนดธรรมบทใดอยู่ พจิ ารณาขนั ธใ์ ดอยู่ อาการแหง่
กายใดอยู่ พงึ มีสตอิ ยูก่ ับธรรมหรืออาการนน้ั ๆ ไม่พงึ ส่งใจและสติไปอืน่ อนั เปน็ ลกั ษณะ
ของคนไมม่ ีหลักยึด ไมม่ ีความแน่นอนในตวั เอง
การเคลื่อนไหวไปมาในทิศทางใด ควรมีความรู้สึกด้วยสติพาเคลื่อนไหว ไม่พึง
ท�ำเหมือนคนนอนหลับไม่มีสติตามรักษาความกระดุกกระดิกของกาย และความละเมอ
เพ้อฝันของใจในเวลาหลับของตน การบิณฑบาต การขบฉัน การขับถ่าย ควรถือ
อริยประเพณีเป็นกิจวัตรประจ�ำตัว ไม่ควรท�ำเหมือนคนผู้ไม่เคยอบรมศีลธรรมมาเลย
พึงท�ำเหมือนสมณะคือเพศของนักบวช อันเป็นเพศท่ีสงบเยือกเย็น มีสติปัญญาเคร่ือง
กำ� จัดโทษทีฝ่ ังลกึ อยู่ภายในอย่ทู กุ อิริยาบถ
การขบฉันพึงพิจารณาอาหารทุกประเภทด้วยดี อย่าปล่อยให้อาหารที่มีรส
เอรด็ อรอ่ ยตามชิวหาประสาทนิยม กลายมาเป็นยาพิษแผดเผาใจ แมร้ า่ งกายจะมีกำ� ลัง
เพราะอาหารท่ีขาดการพิจารณาเข้าไปหล่อเล้ียง แต่ใจจะอาภัพเพราะรสอาหารเข้าไป
ทำ� ลายจะกลายเปน็ การทำ� ลายตนดว้ ยการบำ� รงุ คอื การทำ� ลายใจ เพราะการบำ� รงุ รา่ งกาย
ด้วยอาหารโดยความไม่มสี ติ

16

สมณะไปทีใ่ ด อยู่ท่ีใด ไมพ่ งึ ก่อความเปน็ ภยั แก่ตัวเองและผูอ้ ืน่ คอื ไมส่ ่ังสมกิเลส
สิง่ นา่ กลวั แกต่ วั เอง และระบาดสาดกระจายไปเผาลนผอู้ ืน่ ค�ำว่า กเิ ลส อริยธรรมถือเปน็
สง่ิ นา่ กลวั อยา่ งยงิ่ พงึ ใชค้ วามระมดั ระวงั ดว้ ยความจงใจ ไมป่ ระมาทตอ่ กระแสของกเิ ลส
ทุกๆ กระแส เพราะเป็นเหมือนกระแสไฟทีจ่ ะสังหาร หรือทำ� ลายไดท้ ุกๆ กระแสไป

การยืน เดิน นั่ง นอน การขบฉัน การขบั ถา่ ย การพดู จาปราศรัยกบั ผมู้ าเกยี่ วขอ้ ง
ทุกๆ ราย และทุกๆ คร้ังด้วยความส�ำรวม น้ีแลคืออริยธรรม เพราะพระอริยบุคคล
ทุกประเภทท่านด�ำเนินอย่างนี้กันท้ังน้ัน ความไม่มีสติ ไม่มีการส�ำรวม เป็นทางของ
กเิ ลสและบาปธรรม เป็นทางของวฏั ฏะลว้ นๆ ผูจ้ ะออกจากวฏั ฏะจึงไม่ควรสนใจกับทาง
อนั ลามกตกเหวเช่นนั้น เพราะจะพาใหเ้ ปน็ สมณะท่ีเลว ไมเ่ ปน็ ผู้อนั ใครๆ พงึ ปรารถนา

อาหารเลวไม่มีใครอยากรบั ประทาน สถานทบี่ า้ นเรือนเลวไมม่ ใี ครอยากอยู่อาศยั
เครื่องน่งุ หม่ ใชส้ อยเลวไมม่ ใี ครอยากนุง่ หม่ ใช้สอยและเหลอื บมอง ทุกส่ิงท่ี “เลว” ไมม่ ี
ใครสนใจเพราะความรงั เกียจโดยประการท้ังปวง คนเลว ใจเลว ย่งิ เปน็ บ่อแห่งความ
รงั เกยี จของโลกผดู้ ที ง้ั หลาย ยง่ิ สมณะคอื นกั บวชเราเลวดว้ ยแลว้ กย็ ง่ิ เปน็ จดุ ทม่ิ แทงจติ ใจ
ของท้ังคนดีคนชัว่ สมณะชพี ราหมณ์ เทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม ไมเ่ ลือกหน้า จงึ ควร
ส�ำรวมระวังนกั หนา

การบ�ำรงุ รักษาสิ่งใดๆ ในโลก การบ�ำรงุ รักษาตนคือใจเปน็ เย่ยี ม จุดทเี่ ยี่ยมยอด
ของโลกคอื ใจ ควรบ�ำรงุ รักษาดว้ ยดี ได้ใจแล้วคอื ได้ธรรม เห็นใจตนแลว้ คอื เห็นธรรม
รู้ใจแล้วคือรู้ธรรมทั้งมวล ถึงใจตนแล้วคือถึงพระนิพพาน ใจนี้แลคือสมบัติอันล้นค่า
จึงไม่ควรอย่างย่ิงที่จะมองข้ามไป คนพลาดใจคือไม่สนใจปฏิบัติต่อใจดวงวิเศษใน
ร่างน้ี แม้จะเกิดสักรอ้ ยชาติพันชาตกิ ็คือผู้เกิดผดิ พลาดน่นั เอง

17
เมอื่ ทราบแล้ววา่ ใจเปน็ สิ่งประเสริฐในตัวเรา จงึ ไมค่ วรใหพ้ ลาดทงั้ รูๆ้ จะเสยี ใจ
ภายหลงั ความเสียใจทำ� นองนไ้ี ม่ควรใหเ้ กิดได้ เมือ่ ทราบอย่างเต็มใจ มนษุ ย์เปน็ ชาตทิ ่ี
ฉลาดในโลก แตอ่ ย่าใหเ้ ราที่เป็นมนุษย์ทงั้ คน โง่เต็มตัว จะเลวเตม็ ทน และหาความสุข
ไมเ่ จอ

18

ปัจจัย ๔ ของพระปา่

ปัจจยั ทจี่ �ำเป็นสำ� หรับเพศสมณะนักบวช ควรปฏิบตั ใิ ห้พอเหมาะกับการด�ำเนินชีวิต
ความเปน็ อยู่ของตน เม่ือถึงความจำ� เป็นจะตอ้ งได้อาศัยทางโลก ซ่ึงเกดิ จากศรทั ธาของ
ญาตโิ ยมทง้ั หลาย ท่พี ระพุทธเจ้าทรงประทานไว้ มี ๔ อย่าง พระป่าในสมยั ปจั จบุ นั ได้
นำ� มาปฏบิ ัตจิ นถอื เป็นนิสัย คอื

๑. ออกเท่ียวบณิ ฑบาตมาเลีย้ งชีพตลอดชีวติ ข้อนี้นักปราชญ์ในสมยั ปัจจุบนั ทา่ น
ไดอ้ ธบิ ายไวว้ า่ การบณิ ฑบาตเปน็ กจิ จำ� เปน็ ของเพศนกั บวช ทเี่ ปน็ ศากยบตุ รพทุ ธชโิ นรส
ปรากฏในพระพทุ ธศาสนา โดยทางเพศอยา่ งเปดิ เผย ยอ่ มถอื บณิ ฑบาตเปน็ งานอนั สำ� คญั
ประจำ� ชวี ติ ดงั อนศุ าสนท์ า่ นสอนไวม้ ที ง้ั ขอ้ รกุ ขมลู เสนาสนะและขอ้ บณิ ฑบาต ซง่ึ เปน็ เครอ่ื ง
พรำ่� สอนท่ีสำ� คญั หลงั จากอปุ สมบทแล้ว

ไปบิณฑบาตเวลาออกแสวงหาที่วิเวกเฉพาะองคเ์ ดยี ว

19

ข้อน้ีพระพุทธเจ้าทรงสนพระทัย ทรงถือเป็นกิจจ�ำเป็นประจ�ำพระองค์ และทรง
ถือปฏบิ ัตเิ พือ่ โปรดเวไนยสตั ว์ อยา่ งสม�ำ่ เสมอตลอดมาจนถงึ วนั ปรินพิ พาน หากจะทรง
งดบ้างกเ็ ปน็ บางสมยั ทไี่ มอ่ าจทรงปฏบิ ตั ไิ ด้ เช่นสมัยที่ทรงจ�ำพรรษาทปี่ ่าเรไลยก์กบั ชา้ ง
ปารเิ ลยยกะ เปน็ ตน้ เพราะไมใ่ ชแ่ ดนแหง่ มนษุ ยท์ คี่ วรจะถวายความสะดวกแกพ่ ระองคไ์ ด้

การบณิ ฑบาตเปน็ กจิ วตั รทอี่ ำ� นวยผลแกผ่ บู้ ำ� เพญ็ ใหไ้ ดร้ บั ความสงบสขุ ทางใจ คอื
เวลาเดนิ ไปในละแวกบา้ น กเ็ ปน็ การบำ� เพญ็ เพยี รไปในตวั ตลอดทงั้ ไปและกลบั เชน่ เดยี วกบั
เดินจงกรมอยู่ในสถานที่พัก ๑ เป็นการเปลี่ยนอิริยาบถในเวลาน้ัน ๑ ผู้บ�ำเพ็ญทาง
ปญั ญาโดยสมำ�่ เสมอแล้ว เวลาเดนิ บณิ ฑบาตขณะทไี่ ด้เห็นหรือไดย้ ินสิ่งตา่ งๆ ทผี่ า่ นเข้า
มาสมั ผัสทางทวาร ย่อมเปน็ เครือ่ งสง่ เสริมทางปัญญา และถือเอาประโยชน์จากส่งิ นน้ั ๆ
ได้โดยล�ำดับ ๑ เพ่ือตัดความเกียจครา้ นประจ�ำนิสัยของมนุษย์ท่ีชอบแต่ผลอย่างเดยี วแต่
ขเี้ กยี จทำ� เหตซุ งึ่ เปน็ คคู่ วรแกก่ นั ๑ เพอ่ื ตดั ทฏิ ฐมิ านะทเ่ี ขา้ ใจวา่ ตนเปน็ คนชน้ั สงู ออกจาก
ตระกลู สงู และมง่ั คง่ั สมบรู ณท์ กุ อยา่ งแลว้ รังเกียจตอ่ การโคจรบณิ ฑบาต อันเปน็ ลกั ษณะ
คนเทยี่ วขอทานทา่ เดยี ว ไดอ้ ะไรมาจากบณิ ฑบาตกฉ็ นั พอยงั อตั ภาพใหเ้ ปน็ ไปไมพ่ อกพนู
ส่งเสรมิ กำ� ลงั กายใหม้ าก อันเปน็ ข้าศกึ ต่อความเพียรทางใจใหก้ ้าวไปได้ยาก

การฉันหนเดยี วก็ควรฉนั พอประมาณ ไมม่ ากเกนิ จนทอ้ งอดื เฟอ้ ยอ่ ยไม่ทัน เพราะ
เหลือก�ำลังของไฟในกองธาตุจะย่อยได้ ความอดความหิวถือเป็นเร่ืองธรรมดาของ
ผพู้ จิ ารณาธรรมทงั้ หลาย เพอ่ื ความสนิ้ ทกุ ขโ์ ดยไมเ่ หลอื นอกจากฉนั หนเดยี วแลว้ ยงั ตอ้ ง
สังเกตอาหารอีกด้วยวา่ อาหารชนดิ ใดเป็นคณุ แก่รา่ งกาย ไมท่ ำ� ให้ท้องเสยี และเป็นคุณ
แกจ่ ิตภาวนาสะดวก เรอ่ื งนีอ้ ธบิ ายมาพอเปน็ แนวทางแหง่ การปฏบิ ตั ิเทา่ นั้น

๒. ถอื ผา้ บงั สกุ ลุ จวี รตลอดชวี ติ ขอ้ นใ้ี นสมยั ครงั้ พทุ ธกาลพระพทุ ธเจา้ ทรงสรรเสรญิ
พระมหากัสสปเถระว่า เป็นผู้เลิศในทางทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ต่อมาในสมัยปัจจุบัน
มที า่ นพระอาจารยม์ น่ั ภรู ทิ ตั ตเถระ ทา่ นเปน็ นกั ปราชญช์ าตอิ าชาไนย เปน็ หนง่ึ แหง่ ความ
ฉลาดทางภาคปฏบิ ตั ทิ มี่ ชี อื่ เสยี งลอื นาม หรอื ทา่ นทไ่ี ดน้ ามวา่ พระปา่ ซง่ึ เปน็ วงศพ์ ระปฏบิ ตั ิ
สายทา่ นพระอาจารยม์ นั่ ไดน้ ำ� มาปฏบิ ตั จิ นเปน็ นสิ ยั ตามกำ� ลงั ความสามารถของแตล่ ะองค์


Click to View FlipBook Version