The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระป่าและช้างป่า ว่านยาคนโบราณ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wonchai890, 2022-02-21 20:45:52

พระป่าและช้างป่า ว่านยา

พระป่าและช้างป่า ว่านยาคนโบราณ

20

คำ� วา่ ผา้ บงั สกุ ลุ จวี รนนั้ คอื ผา้ ทเี่ ขาทอดทง้ิ ไวต้ ามปา่ ชา้ เชน่ ผา้ หอ่ ศพ หรอื ผา้ ทเี่ ขา
ทอดทง้ิ ไวต้ ามกองขยะ ซงึ่ เปน็ ของเศษเดนทง้ั หลาย ตามสถานทตี่ า่ งๆ ไมม่ ใี ครหวงแหน
ท่านถือเอามาปะติดปะต่อตามขนาดของผา้ ที่จะทำ� เปน็ สบง จีวร สงั ฆาฏิ ไดป้ ระมาณ ๘
น้ิวฟตุ นท้ี า่ นจดั เปน็ ผ้ามหาบงั สุกุล ตามเยี่ยงอย่างอริยวงศอ์ ริยประเพณี อันดีงามดีเลศิ
ท่พี ระพทุ ธเจ้าทรงดำ� เนินและสั่งสอนพระสาวก ใหถ้ ือปฏิบัตเิ ร่ือยมาจนถงึ วันปรินิพพาน

ผ้าบังสุกุลอีกประเภทหนึ่งท่ีรองล�ำดับมา พวกญาติโยมผู้มีศรัทธาแสวงหาบุญ
น�ำผ้าท่ีตนได้มาด้วยความบริสุทธิ์ใจนั้น ไปวางไว้ในสถานที่พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่ง
หรือตามท่ีเห็นสมควรก็ได้ที่ตนเล่ือมใสศรัทธา เช่นวางไว้ที่ทางจงกรมของท่านบ้าง
กฏุ ทิ า่ นบา้ งหรอื ทางทที่ า่ นเดนิ ผา่ นไปมา โดยเหน็ วา่ ในสถานทเ่ี ชน่ นคี้ งปลอดภยั จากโจร
ผรู้ า้ ย แล้วจงึ หกั กิ่งไมว้ างไว้ทผ่ี า้ หรือจะจดุ ธปู เทียนไว้พอใหท้ ่านรู้จกั ว่า เป็นผา้ ถวาย
เพอ่ื บงั สกุ ลุ เทา่ นนั้ แลว้ ใหห้ ลบหนไี ปอยา่ ใหพ้ ระทา่ นเหน็ การแสวงหาบญุ กศุ ลดว้ ยความ
ฉลาดในขอ้ นี้ ยอ่ มเปน็ การสง่ เสรมิ กำ� ลงั นำ�้ ใจของตน ใหไ้ ดร้ บั ความสงบรม่ เยน็ เปน็ สขุ ใจ
โดยไมม่ ปี ระมาณ

๓. รกุ ขมลู เสนาสนงั ปจั จยั ขอ้ นพี้ ระองคท์ รงไดอ้ าศยั อยกู่ อ่ นทจ่ี ะตรสั รู้ เหตนุ น้ั เวลา
ทรงชแี้ นะบรรดาพระสาวกทง้ั หลาย จงึ เนน้ หนกั การอยปู่ า่ อยเู่ ขาเปน็ สว่ นใหญ่ และบรรดา
พระสาวกอรหตั อรหันตต์ ลอดมาจนถึงสมัยปัจจุบนั กม็ กั ไดค้ วามรูแ้ ปลกประหลาด และ
อศั จรรย์ เกดิ ขน้ึ ในสถานทท่ี เ่ี ปน็ ปา่ เขานนั้ ๆ สดุ ทจี่ ะพรรณนาคณุ นน้ั ในขอ้ นหี้ าประมาณ
ไม่ได้ แตข่ อผ่านไปเพราะไดอ้ ธบิ ายไปมากแลว้

๔. ฉันยาดองดว้ ยนำ้� มตู รเน่าตลอดชีวติ คำ� ว่ายารักษาโรคให้พึงเข้าใจวา่ ฉนั เพ่ือ
บรรเทาเวทนาเฉพาะโรคทางกายเท่าน้ัน เมื่อถึงคราวจ�ำเป็นเกิดขึ้น เช่นเจ็บไข้ได้ป่วย
ท่านจะฉันยาตามมีตามได้ หรือเท่ียวแสวงหายาตามป่าเขาล�ำเนาไพรอันเกิดตาม
ธรรมชาติ ทา่ นจะไมร่ บกวนใครๆ ใหล้ ำ� บาก แตถ่ า้ มศี รทั ธาญาตโิ ยมนำ� มาถวายกย็ นิ ดรี บั
เพอื่ ให้เป็นท่สี บายใจของผทู้ ่คี อยอุปถมั ภอ์ ปุ ัฏฐากดูแล

21
น้ีเปน็ หลักนสิ ยั ทางปฏิบตั ขิ องพระปา่ จริงๆ ตามทน่ี กั ปราชญ์ในสมัยปจั จุบนั ได้น�ำ
มาปฏบิ ตั ิ ลกู ศษิ ยส์ ายทา่ นพระอาจารยม์ น่ั ภรู ทิ ตั โต เรอื่ งการเปน็ อยอู่ าศยั การใชป้ จั จยั
ตา่ งๆ ทา่ นถอื เปน็ หลกั เขม้ งวดเครง่ ครดั ของทา่ นจรงิ ๆ ทา่ นไมใ่ ชอ้ ยา่ งฟมุ่ เฟอื ยสรุ ยุ่ สรุ า่ ย
ใชแ้ บบประหยดั เขยี มๆ มมี ากแตใ่ ชน้ อ้ ย ใชแ้ บบปะๆ ชนุ ๆ ไมถ่ อื ความสะดวกกายสบายใจ
จนเกนิ ไป บริขารของท่านท่านใช้พอเหมาะกบั การเป็นพระปา่ หรือพระธุดงคกรรมฐาน
เทา่ นน้ั ทา่ นอยงู่ า่ ยเลย้ี งงา่ ยไมร่ บกวนนำ้� ใจของใครๆ อยกู่ เ็ ปน็ สขุ ไปกเ็ ปน็ สคุ โตเทา่ นน้ั

พระป่ารุน่ เหลน ก�ำลงั ฝนหนิ แดงเพ่ือยอ้ มผ้าอาบน�้ำฝน
หรอื นำ� มาผสมน�ำ้ แกน่ ขนุน เพอื่ ใช้ยอ้ มผา้ สังฆาฏิ จีวร สบง
พระปา่ นยิ มใชห้ ินแดง ซง่ึ มใี นพื้นที่บางแหง่ ตามธรรมชาติ

22

กิจวตั รของพระป่า

กจิ วตั รทสี่ ำ� คญั ในพระพทุ ธศาสนาเปน็ แนวปฏบิ ตั ขิ องพระปา่ ทปี่ ฏบิ ตั อิ ยเู่ ปน็ ประจำ�
๑๐ อยา่ ง คอื

๑. ลงอุโบสถ ในอาวาสหรอื ที่ไหนๆ มีพระภิกษตุ ัง้ แต่ ๔ รปู ขนึ้ ไป ต้องประชุมกัน
ลงฟงั พระปาฏิโมกข์ทกุ ๑๕ วัน (ครึ่งเดือน)

๒. บณิ ฑบาตเลยี้ งชพี ตลอดชวี ติ ขอ้ นไ้ี ดอ้ ธบิ ายในเรอ่ื งปจั จยั ๔ ทเี่ พศสมณะจำ� เปน็
จะต้องไดอ้ าศัย

๓. สวดมนตไ์ หวพ้ ระ เช้า – เยน็ ทุกวัน เวน้ เมื่อเวลาเจ็บไขอ้ าพาธหนกั พระป่า
ท่านสวดมนต์ของท่านเอง เพราะถือเป็นกิจอันส�ำคัญของท่าน ไม่ได้ประชุมรวมกัน
ทกุ ๆ วนั เหมือนพระบ้าน

๔. กวาดอาวาส เสนาสนะ ลานวดั ลานพระเจดยี ์ พระศรีมหาโพธ์ิ ท่านถือเป็น
ข้อปฏบิ ัติ อนั เปน็ กจิ วัตรอย่างสำ� คญั ประจ�ำวนั ของนักบวช และเปน็ เครอื่ งมอื ปราบกิเลส
ตัวขี้เกียจมักง่ายไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ตามพระวินยั ทา่ นกลา่ วว่าไดอ้ านสิ งส์ ๕ อย่าง คอื

(๑) จติ ของตนเล่ือมใสผ่องแผว้ ขาวสะอาด
(๒) จติ แหง่ ผู้อนื่ เลื่อมใสผ่องแผว้
(๓) เทวดาท้งั หลายช่ืนชมยนิ ดี
(๔) จิตของผู้กวาดช่ือว่าสั่งสมกรรมอันเป็นไปเพ่ือความเป็นผู้น่าเล่ือมใสด้วยรูป
คือ มีรปู โฉมงดงาม
(๕) ผู้กวาดชื่อว่าเป็นผู้ด�ำเนินตามค�ำสั่งสอนของพระศาสดาว่า ว่าด้วยวัตรแห่ง
การกวาดน้ี ผู้กวาดเบอื้ งหนา้ แต่ตายเพราะทำ� ลายขนั ธ์ ยอ่ มเข้าถึงสคุ ติโลกสวรรค์

23

๕. รักษาผา้ ไตรครอง คือ สังฆาฏิ จวี ร และสบง
๖. อยปู่ รวิ าสกรรม เป็นเรอื่ งของพระสงฆเ์ ท่านน้ั
๗. ปลงผม โกนหนวด ตดั เล็บ
๘. ศกึ ษาสิกขาบทและปฏิบตั ิอาจารย์
๙. แสดงอาบตั ิ คือการเปิดเผยโทษทตี่ นทำ� ผดิ พระวินัยท่ีเปน็ ลหโุ ทษ แก่พระสงฆ์
หรือพระรูปใดรปู หนึง่ กไ็ ด้ ให้ทราบแล้วจะได้ส�ำรวมระวงั ตอ่ ไป
๑๐. พจิ ารณาปจั จเวกขณะทง้ั ๔ เปน็ ตน้ ดว้ ยความไมป่ ระมาท คอื พจิ ารณาสงั ขาร
รา่ งกายจิตใจ ใหเ้ ห็นเป็นของไมเ่ ท่ยี งถาวรคงท่ีดงี ามไดย้ าก ให้เหน็ เป็น อนจิ จงั ทุกขงั
อนตั ตา เพ่อื เปน็ อบุ ายทางปัญญาอยู่ตลอดเวลาในอิริยาบถทง้ั ๔ คอื ยืน เดนิ นง่ั นอน
จะอธิบายกิจวัตรข้อปฏิบัติท่ีพระป่าลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นที่ได้น้อมน�ำมาฝึกหัด
ดัดนิสัยของตน เป็นงานประจ�ำของเพศนักบวช ท่านถือกิจวัตรปฏิบัติเป็นหลักส�ำคัญ
ประจำ� วนั เพอ่ื เปน็ เครอื่ งขดั เกลากเิ ลสตวั ขเ้ี กยี จมกั งา่ ย ซง่ึ หมกั ดองฝงั จมอยภู่ ายในใจของ
ปุถชุ น เช่น การกวาดลานวัด หรือทที่ ่านเรยี กวา่ กวาดตาด เมอื่ ได้เวลาตามท่ีก�ำหนด
กนั ไว้ ทา่ นจะพากันกวาดตามบรเิ วณทีท่ ่านพกั อย่อู าศัย เช่น ทก่ี ุฏิ เป็นต้น กวาดออกมา
เร่อื ยๆ จนถงึ บริเวณรอบๆ ศาลา
กจิ วตั รวา่ ดว้ ยการกวาดนี้ ทา่ นเปน็ นกั สงั เกตดว้ ยสตปิ ญั ญาจรงิ ๆ ทไ่ี หนควรกวาด
เน้นหนักหรอื กวาดเบาๆ ที่สงู ทตี่ �ำ่ ที่เป็นหลุม ทา่ นจะพยายามระมดั ระวงั รกั ษาพื้นที่
ที่กวาดไม่ให้เสียหาย ที่ไหนควรเก็บเอาใบไม้ออก ท่านจะเก็บเอาเฉพาะใบไม้ออกไป
ท้ิงในป่าตามท่ีเห็นควร หลังจากกวาดตามบริเวณกุฏิศาลาและลานวัดเสร็จแล้ว ท่าน
พร้อมกนั ข้ึนท�ำความสะอาดบนศาลา ขัดถเู ช็ดพน้ื และปดั กวาด เสร็จเรียบร้อยแลว้ จงึ ชว่ ย
กันดกั กรองน้ำ� ใชน้ ำ้� ฉันใสต่ ่มุ จากนน้ั ผมู้ ีหน้าทป่ี ฏบิ ัตคิ รบู าอาจารย์ก็ไปทำ� กจิ วตั รนัน้ ๆ
ตามกาลเวลาทท่ี ่านให้โอกาส

24

ในเวลาทำ� กจิ วตั รทกุ ๆ อยา่ ง พระธุดงคกรรมฐานทา่ นสนใจ ตัง้ ใจ จดจอ่ ใชส้ ติ
ปัญญาพิจารณาด้วยความรอบคอบจริงๆ ท่านจะพยายามไม่ให้ความสะเพร่ามักง่าย
มาท�ำหน้าทนี่ �ำหนา้ ผูเ้ ขียนยังไมเ่ คยเหน็ ท่านท�ำกจิ วัตรข้อวัตรปฏบิ ตั แิ บบเลน่ ๆ ดูกริ ยิ า
ท่านท�ำกิจวัตรมีแต่เรื่องเอาจริงเอาจังท้ังน้ัน การพูดและคุยกันในเวลาเช่นนั้นจะไม่มี
ใหเ้ ห็นเลย เวน้ เสียแตก่ ารศึกษาปรารภกนั ด้วยข้อวัตรปฏิบตั ติ ามโอกาสอนั ควร

ในสมัยพ่อแมค่ รูบาอาจารย์ลูกศษิ ย์หลวงปู่มั่นพาปฏบิ ัติท�ำกจิ วัตรนัน้ หัวหนา้ ผู้พา
ดำ� เนนิ ปฏบิ ตั เิ ปน็ สำ� คญั มาก ผเู้ ขยี นเคยไดเ้ ขา้ ไปพกั อาศยั พง่ึ บารมธี รรมของทา่ น จงึ พอได้
รู้เดยี งสาภาวะ เท่าท่ีได้พบเหน็ ครบู าอาจารย์แตล่ ะองค์ ทา่ นไม่เคยสนใจในการก่อสรา้ ง
ถาวรวตั ถใุ ดๆ จะเปน็ ศาลา กฏุ ิ โรงไฟ (โรงนำ�้ รอ้ น) หอ้ งนำ้� หอ้ งสว้ ม ทา่ นไมพ่ ดู ถงึ เลย
การสร้างศาลา กุฏิหรูหราโก้ๆ อย่างนี้ไม่มีเลยในยุคน้ัน ถ้าจะเทียบกับสมัยทุกวันน้ี
ไกลกันคนละโลกสุดเออ้ื ม

ท่านท�ำอะไรรู้สึกว่ารอบคอบมาก บางอย่างล�ำพังสติปัญญาของเราคาดคิดไม่ถึง
จะเปน็ ทอี่ ย่อู าศยั กต็ าม ท่านจะทำ� พอได้พักอาศยั เพ่ือบ�ำเพ็ญเพยี รทางดา้ นจิตใจเทา่ น้นั
หรอื สรา้ งเพยี งเปน็ ทพี่ กั ชวั่ คราวในปหี นงึ่ ๆ ตามทเ่ี หน็ ควร ศาลาของทา่ นไมไ่ ดจ้ ดั วา่ เปน็
ศาลา แต่เปน็ เพียงท่ีฉันจงั หัน กฏุ ิ โรงนำ�้ ร้อน หลงั คามุงดว้ ยหญ้าหรือใบไม้ พื้นปดู ้วย
ฟากไมไ้ ผ่ ท�ำแบบเรยี บง่ายตามเกิดตามมีตามได้ ท�ำเท่าท่จี ะสามารถหาได้ ไมร่ บกวน
ใครๆ ดแู ลว้ เยน็ ใจเข้ากับป่าธรรมชาติดี หอ้ งสว้ มของทา่ นบางทเี รยี กวา่ ถาน ส่วนมาก
ไมม่ เี ครอ่ื งมงุ ขดุ เปน็ หลมุ ตามพน้ื ดนิ ธรรมชาติ ลกึ พอประมาณ แลว้ ทำ� ทปี่ ดิ ปอ้ งกนั ไมใ่ ห้
สตั วต์ กลงไป ในสมัยน้ันตุ่มน้ำ� ไม่มี ท่านจะมีกระบอกไม้ไผ่เลก็ ๆ ส�ำหรับใส่นำ้� ช�ำระลา้ ง
อจุ จาระหลังจากถ่ายเสร็จ แล้วเชด็ ดว้ ยผ้าใหเ้ ป็นทแี่ น่ใจวา่ สะอาด

การท�ำท่ีพกั อาศัย ท่านช่วยกนั ทำ� ใหเ้ สร็จเรว็ ๆ ท่านมกั จะพูดวา่ เสียเวลา เสยี หลัก
การท�ำความเพียรภาวนาไปเป็นวนั ๆ

ในสมยั นนั้ การท�ำกิจวัตรทุกๆ อยา่ งมภี าระน้อยมาก เพราะความเจริญทางโลก

25

ยังเข้าไมถ่ ึง ในเวลาท�ำกิจวัตรถ้าใครเซอ่ ซ่าไม่ได้ท�ำเลย เช่น การตกั น�้ำ ผู้ใหญ่ยงั แย่ง
ผู้น้อยทำ� ใครไม่สนใจมวั เซอ่ ซ่าอยู่ ไม่มที างได้ท�ำกจิ วตั รกบั ดว้ ยเพอื่ นเลย เพราะครบู า
อาจารย์สมัยน้ันตาไว หูเร็ว ท่าทางแข็งแรงว่องไวปราดเปรียวด้วยสติปัญญา เพราะ
ท่านไดศ้ ึกษาตงั้ ใจปฏิบัติมาอย่างน้นั จนชนิ เป็นนสิ ยั ของพระปา่ มคี วามฝงั ใจอยเู่ สมอวา่
ใครท�ำใครได้ เพราะท�ำเพื่อตนเองทั้งน้ัน ความขยันหม่ันเพียรไม่ว่ากิจนอกการในที่
เห็นว่าชอบธรรม ย่อมเป็นการส่งเสริมทางด้านจิตใจ ใครฉลาดรู้ยิ่งเพิ่มก�ำลังใจหนุน
ทางความเพียรใหม้ ีกำ� ลังยง่ิ ๆ ข้นึ ไป

พอ่ แมค่ รบู าอาจารยส์ มยั นนั้ มกี ารออ่ นนอ้ มถอ่ มตนเคารพคารวะระหวา่ งผใู้ หญก่ บั
ผนู้ อ้ ย ทา่ นปฏบิ ตั ติ อ่ กนั ดแู ลว้ งามตาเยน็ ใจมาก หาดไู ดย้ ากในสมยั ปจั จบุ นั เวลาทา่ นพดู
ปรึกษาปรารภซ่ึงกันและกัน มแี ตเ่ รอ่ื งศีลเรอ่ื งธรรม พูดให้มกี ำ� ลังใจ พูดให้มสี ติปัญญา
มีแต่อบุ ายข้ออรรถข้อธรรม เพอ่ื สง่ เสริมทางดา้ นจติ ตภาวนาลว้ นๆ ตามสายทางจรแห่ง
อรยิ วงศ์ ทำ� ให้ผู้ต้ังใจปฏิบัตติ ามได้รับแตค่ วามสงบร่มเย็นใจไม่มวี นั จดื จาง

กิจวัตรนั้นก็คือ ข้อฟัดฟันกิเลส สังหารกิเลสตัวข้ีเกียจมักง่ายโดยตรงนั่นเอง
ไม่นา่ จะผิด

ไดอ้ ธบิ ายกจิ วตั รขอ้ ปฏบิ ตั ิ ตามเยยี่ งอยา่ งทางจรแหง่ อรยิ วงศพ์ ระธดุ งคกรรมฐาน
มาเพียงย่อๆ ตามก�ำลังสติปัญญา ถึงจะอธิบายปลีกย่อยออกไปก็อยู่ในขอบเขตของ
หลกั พระธรรมวนิ ยั ผดิ ถกู ประการใด ขอจงพจิ ารณาใหร้ ดู้ ว้ ยปญั ญาเถดิ ถา้ อยากทราบ
รายละเอยี ด ขอใหด้ ใู นวัตตกถา วา่ ดว้ ยวัตร ๑๔ ในหนังสอื บุพพสิกขาวรรณนา

26

การน่งั ทำ� สมาธขิ องพระปา่ รุ่นเหลน

27

พระปา่ สมัยท่านพระอาจารยม์ ่นั ภูรทิ ตั โต

ท่านพระอาจารย์ม่ัน ท่านมีลูกศิษย์ท่ีส�ำคัญๆ อยู่หลายองค์และหลายรุ่น ทั้งรุ่น
อายพุ รรษาและคุณธรรมรองกันลงมาเป็นล�ำดบั ล�ำดา สมกบั ทา่ นเป็นผฉู้ ลาดปราดเปรอ่ื ง
รุ่งเรืองด้วยคุณธรรม คือข้อปฏิบัติและธรรมภายใน ประหนึ่งพระไตรปิฎกย่อมต้ังอยู่
ภายในดวงใจของทา่ น

เร่ิมประมาณปี พ.ศ. ๒๔๖๐ – ๒๔๙๙ เมื่อท่านพระอาจารย์มั่นได้มรณภาพ
พระปา่ วงศล์ กู ศษิ ยข์ องทา่ นพระอาจารยม์ นั่ ลว้ นแตอ่ งคส์ ำ� คญั ๆ เรมิ่ กระจายกนั ออกไปอยู่
เป็นส�ำนกั หรือเป็นแหง่ ๆ เชน่ หลวงปขู่ าว อนาลโย ทา่ นพาหมู่คณะลูกศิษย์มาต้งั หลกั อยู่
วัดถ้�ำกลองเพล จ.หนองบวั ลำ� ภู, หลวงปแู่ หวน สุจิณโณ พรอ้ มดว้ ยลูกศิษย์มาตงั้ หลักอยู่
วัดดอยแม่ป๋งั จ.เชียงใหม่, หลวงปู่พรหม จริ ปุญโญ วัดปา่ ดงเยน็ จ.อุดรธานี, พระราช
วุฒาจารย์ (หลวงปดู่ ูลย์ อตุโล) พาคณะลกู ศษิ ยม์ าต้ังหลกั อยูท่ ี่วดั บรู พาราม จ.สุรนิ ทร์,
หลวงป่ชู อบ ฐานสโม วดั ปา่ สมั มานสุ รณ์ จ.เลย, หลวงปู่คำ� ดี ปภาโส วดั ถำ้� ผาปู่ จ.เลย,
หลวงปฝู่ น้ั อาจาโร พาหมคู่ ณะมาตง้ั สำ� นกั อยวู่ ดั ถำ�้ ขาม จ.สกลนคร, ทา่ นพอ่ ลี ธมั มธโร
พร้อมดว้ ยคณะลกู ศษิ ยม์ าตง้ั หลกั อยทู่ ี่วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ

ทไี่ ดจ้ ารกึ ชอื่ มาทง้ั หมดนี้ ทา่ นเปน็ รม่ โพธริ์ ม่ ไทร สรา้ งความสขุ ความเจรญิ เตม็ เปย่ี ม
ไปด้วยความเมตตามหาคุณ ท�ำประโยชน์อนุเคราะห์สงเคราะห์เกื้อกูลหนุนโลกให้แก่
ประเทศชาติ พระพทุ ธศาสนา พระมหากษตั รยิ ์ สมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ บา้ นเมอื งของพวกเรา
ชาวพุทธหรือผสู้ นใจ ใหไ้ ด้รบั แต่ความสงบร่มเย็นใจ ในสมัยที่ท่านยงั มีชวี ติ อยู่ สดุ ท่จี ะ
พรรณนาพระคณุ ของทา่ นนนั้ ไม่มีประมาณ ทา่ นเป็นทพ่ี ่ึงร่มโพธ์ริ ่มไทรของพวกเรา

บดั นท้ี า่ นไดม้ รณภาพจากพวกเราไปเสยี แลว้ ทา่ นมไิ ดว้ กกนั ไปเวยี นกนั มาทอ่ งเทย่ี ว
ในวฏั สงสาร สงั สารจกั รในภพน้อยภพใหญ่ เกดิ ๆ ตายๆ เหมือนพวกเราๆ ท่านๆ นีเ้ ลย
เพราะทา่ นเปน็ วสิ ทุ ธบิ คุ คลหรอื เปน็ วสิ ทุ ธเิ ทพ เมอื งไทยเราจงึ ขาดทพี่ ง่ึ ความอบอนุ่ รม่ เยน็
ลดน้อยลงน่าใจหาย

28

ทา่ นผู้ยงั มชี วี ิตอยูเ่ วลานี้คอื พระราชญาณวสิ ทุ ธิโสภณ (ท่านอาจารยพ์ ระมหาบัว
ญาณสมั ปนั โน) ณ วัดป่าบา้ นตาด จ.อุดรธานี ท่านเจา้ พระคณุ องคน์ ้ีพวกเราชาวพทุ ธ
หรอื ผสู้ นใจ คงไดท้ ราบเกยี รตศิ พั ทเ์ กยี รตคิ ณุ ของทา่ น ทา่ นบำ� เพญ็ ประโยชนใ์ หแ้ กแ่ ดน
มนษุ ย์ คอื ประเทศไทย และประเทศอนื่ ๆ เชน่ ประเทศลาว เปน็ สารประโยชนอ์ ยา่ งสำ� คญั ๆ

เมอื่ ปี พ.ศ. ๒๕๔๑ ในชว่ งประเทศไทยเราเขา้ สจู่ ดุ วกิ ฤตการณท์ างเศรษฐกจิ อยา่ งหนกั
ค่าเงินบาทตกต�่ำ เป็นหน้ีเป็นสินต่างประเทศมากมายมหาศาล จนไม่สามารถจะบันทึก
ลงในท่ีนี้ ทำ� ให้ประชาชนเดอื ดรอ้ นยากไร้ทกุ แหง่ หน ไม่ว่ายคุ ใดสมัยใด รฐั บาลไหนๆ
นักการเมืองคนใด ข้ึนช่ือว่าคนมีกิเลสแล้ว ไม่ต้ังอยู่ในคลองธรรมความสัจจความจริง
ไม่ซ่ือสัตย์สุจริตในหน้าท่ีการงานทุกๆ อย่าง เม่ือถูกยกให้เป็นผู้มีอ�ำนาจข้ึนปกครอง
ประเทศชาติ ย่อมทำ� ลายทรัพยส์ นิ แผน่ ดินของชาตไิ ม่น่าสงสัย

พระราชญาณวสิ ทุ ธโิ สภณ ทา่ นเรยี กตวั ของทา่ นวา่ หลวงตาบวั ทา่ นเปน็ นกั ปราชญ์
ผมู้ บี ญุ ญาธกิ ารบรสิ ทุ ธส์ิ มบรู ณ์ ดว้ ยอำ� นาจวาสนาบารมที เ่ี ตม็ เปย่ี มไปดว้ ยความมเี มตตา
มหาคณุ สาเหตทุ ี่ท่านท�ำเพ่ือจะคำ้� จุนหนุนชาตไิ ทยเรา ใหไ้ ดร้ บั ความร่มเย็นเป็นสขุ มิได้
ม่งุ หวังสง่ิ ตอบแทนใดๆ ในโลก ท่านได้พิจารณาใคร่ครวญจนสดุ กำ� ลงั สตปิ ญั ญาของ
ทา่ นแลว้ ทา่ นจงึ ออกมาปรากฏตวั เปน็ ผนู้ ำ� ประชาชนชาวไทยทง้ั ชาติ ดว้ ยจติ เมตตากรณุ า
อย่างลน้ พ้น สุดท่ีจะพรรณนาพระคุณมหาคุณของทา่ นนน้ั เปน็ อนันตคณุ

และประกาศขอเชิญชวนพ่ีน้องชาวไทยทั้งชาติ ให้ออกมาช่วยกันบริจาคทองค�ำ
เงินตราต่างประเทศ (ดอลลาร์) และเงินบาทไทย เพ่ือจะน�ำไปทดแทนหนี้สินของชาติ
ใหฟ้ น้ื คนื มาโดยหลวงตาบวั จะเปน็ ผรู้ บั ผดิ ชอบแตผ่ เู้ ดยี วเทา่ นน้ั เพอ่ื ใหพ้ วกเราชาวไทย
ไดร้ บั ความมนั่ ใจ อบอนุ่ ร่มเย็นไม่เดือดร้อน ยงุ่ เหยงิ ว่นุ วายดงั ที่เหน็ อยู่ในปจั จบุ ันน้ี

เร่ืองน้ีขอเขียนเพียงย่อๆ พอเป็นสังเขป เพราะเกียรติศัพท์เกียรติคุณของท่าน
ไดป้ ระกาศแกช่ าวไทยและชาวตา่ งประเทศ ใหไ้ ดร้ ู้ ทวั่ ถงึ กนั อยแู่ ลว้ ในเวลาน้ี ไมม่ ยี คุ ใด
สมัยใดในประวัติศาสตร์ของชาติไทยเรา หรือในพระไตรปิฎกว่า พระสงฆ์ที่ท่านเป็น

29

วิสุทธิบุคคลหรือวิสุทธิธรรม จิตท่านได้เข้าถึงแดนแห่งความเกษมส�ำราญ ด้วยความ
บริสุทธิ์สมบูรณ์ ท่ีท่านเรียกว่าเป็นพระอรหันต์ ได้ออกมาประกาศตัวเป็นผู้น�ำช่วยชาติ
เพ่ือความบริสุทธ์ิสมบูรณ์ทุกอย่าง ด้วยความเฉียบขาดองอาจกล้าหาญ ชาญฉลาด
ปราดเปรือ่ งแหลมคม ในยคุ โลกาภวิ ตั น์แดนแหง่ โลกมนุษยเ์ รา

นีก้ ไ็ ดม้ ีข้นึ แลว้ ในสมยั ปัจจบุ ันคอื ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน ท่ีได้
ลงหนงั สอื ตามประวตั ชิ ว่ ยชาตขิ องทา่ น สว่ นมากเรยี กหลวงตาบวั ทงั้ นน้ั ทา่ นเปน็ ลกู ศษิ ย์
ทา่ นพระอาจารยม์ น่ั ไดป้ รากฏชอื่ ลอื นามออกมาคำ้� จนุ หนนุ ชาตไิ ทยเรา เพอ่ื ทำ� ประโยชน์
ต่อประเทศชาติ พระพทุ ธศาสนา และพระมหากษัตริย์ อยา่ งเต็มก�ำลงั ความสามารถของ
ทา่ น เพราะทา่ นทำ� เตม็ เปย่ี มดว้ ยความมเี มตตามหาคณุ บรสิ ทุ ธสิ์ มบรู ณ์ จะไปไหนมาไหน
ทิศทางใด เตม็ เป่ียมไปด้วยความมีเมตตา ทำ� ประโยชนเ์ พอ่ื อนเุ คราะหเ์ ก้อื กลู หนุนโลก
ทา่ นเปน็ ผู้มพี ระคุณอเนกอนันตจ์ ะหาใครเสมอเหมือนได้ยาก

พระสงฆ์สาวกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ได้จดจารึกชื่อของท่านไว้ข้างบนนี้
เขียนเท่าที่ระลึกได้ และยังมีอยู่อีกมิได้น�ำมาลงไว้ที่นี้ ส่วนท่ีได้ลงช่ือไว้น้ี ท่านเป็น
ลูกศิษย์ของท่านพระอาจารย์มั่นหมด ล้วนแต่เป็นสายพระป่าทั้งนั้น และท่านเป็น
พระสปุ ฏปิ นั โน คอื ผปู้ ฏบิ ตั ดิ ี ปฏบิ ตั ชิ อบ ปฏบิ ตั ติ รง และปฏบิ ตั สิ มบรู ณ์ ดว้ ยความงดงาม
แหง่ ธรรม ไมม่ ขี อ้ ดา่ งพรอ้ ยใดๆ ในศลี าจารวตั รเครง่ ครดั เขม้ งวด และเดน่ มากในขอ้ วตั ร
ปฏบิ ตั ิ ทา่ นเปน็ ผสู้ มบรู ณด์ ว้ ยศลี เปน็ ศลี วสิ ทุ ธหิ รอื เปน็ อธศิ ลี และเปน็ ผสู้ มบรู ณด์ ว้ ยมรรค
ด้วยผล ลว้ นแต่เป็นพระอรหันต์ เปน็ สังฆโสภณา ทา่ นเป็นผสู้ ง่างามในทา่ มกลางสงฆ์
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ประเทศไทยเรา ด้วยข้อวัตรปฏิบัติที่งดงามสม�่ำเสมอ ท่านเป็น
ผู้ดีเลิศดปี ระเสรฐิ ด้วยศลี สมาธิ ปญั ญา เม่อื ท่านไดอ้ ตุ สา่ ห์พยายามปฏิบตั ิบ�ำเพ็ญตน
ถงึ ขน้ึ สงู สดุ แหง่ พรหมจรรยแ์ ลว้ ทา่ นไดพ้ ยายามบำ� เพญ็ ประโยชน์ อนเุ คราะหเ์ มตตาเกอ้ื กลู
หนุนโลกใหเ้ จรญิ ร่งุ เรืองสงบรม่ เยน็ อยา่ งสมบูรณ์บรสิ ทุ ธ์ิ

30

ในปจั จบุ นั น้ี ปี พ.ศ. ๒๕๔๑ ผเู้ ขยี นไดค้ ำ� นงึ ถงึ พระวสิ ทุ ธคิ ณุ ของพอ่ แมค่ รบู าอาจารย์
ทา่ นท่ีไดน้ ามวา่ พระปา่ สายทา่ นพระอาจารยม์ น่ั ผลู้ ว่ งลับไปแลว้ รสู้ กึ เหมอื นจะขาดทีพ่ ึ่ง
ไปอย่างน่าวิตก เพราะท่านผู้จะพาด�ำเนินในทางภาคปฏิบัติด้านจิตตภาวนาล้วนๆ
ใหบ้ รสิ ทุ ธส์ิ มบรู ณน์ นั้ หายากแสนยาก ไมว่ า่ ในกาลไหนๆ ในสมยั ทที่ า่ นพระอาจารยม์ นั่
เป็นผู้พาด�ำเนินน้ัน หากจะน�ำมาเทียบกับสมัยปัจจุบันนี้ รู้สึกว่าห่างไกลกันสุดเอื้อม
เทียบกนั ไม่ได้เลย

เพราะผู้น�ำหมู่คณะเป็นชาติอาชาไนย หมู่คณะผู้ด�ำเนินตามก็ล้วนแต่องค์ที่มีใจ
เด็ดๆ จรงิ ต่อแดนพ้นทุกข์ทง้ั นน้ั เปน็ เพชรน�้ำหนึ่งๆ ประกอบกบั สงิ่ แวดลอ้ มยงั สมบรู ณ์
บรบิ ูรณอ์ ยู่ คอื ปา่ เขา เงือ้ มผา ถ้ำ� เปน็ สถานท่ีสัปปายะ ในสมัยครูบาอาจารย์รุ่นนั้น
จะกล่าวว่าแก้วรัตนะสว่างไสวน่าอัศจรรย์ จะหาแก้วรัตนะในโลกน้ีหรือแดนโลกธาตุ
ไหนๆ มาเปรยี บเทียบแกว้ รตั นะคือ แก้วพทุ โธ แกว้ ธัมโม แก้วสงั โฆนน้ั หามีไม่

ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้ แก้วรัตนะทั้งสามเด่นดวงมาก ลือล่ันไปทั่วแดน
โลกธาตุ ถึงแม้จะพรรณนาพระคุณของท่านพระสาวกองค์พระอรหันต์ ในสมัยของ
พวกเราน้ี เร่มิ ตง้ั แต่ เราเกดิ มาจนถึงวนั ตาย กไ็ มม่ ที ีส่ นิ้ สดุ ในพระคณุ เพราะพระคุณนัน้
เปน็ อนนั ตคณุ ผเู้ ขยี นมกี ำ� ลงั สตปิ ญั ญานอ้ ย ขอยตุ พิ ระคณุ ของพระสาวกผเู้ ลศิ ผปู้ ระเสรฐิ
ในสมัยกรงุ รัตนโกสนิ ทรไ์ วเ้ พยี งนก้ี อ่ น ขอเทิดทนู พระคุณของทา่ นยกไวบ้ นท่สี ูงท่คี วร

31

พระธดุ งค์รุน่ หลาน

พระป่ารุ่นหลาน สายท่านพระอาจารย์ม่ัน เริ่มเข้ารับการอบรมปี พ.ศ. ๒๔๙๒
จากลกู ศิษยข์ องท่านพระอาจารย์ม่ัน ทีไ่ ดจ้ ารกึ ชื่อทา่ นนนั้ ท่านเปน็ พระประเภทบริสุทธ์ิ
สมบูรณ์มีคุณธรรมภายใน เม่ือมรณภาพไปทีละองค์ พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่ีมี
กติ ติศพั ท์ มีคณุ ธรรมทางดา้ นจิตตภาวนา รสู้ ึกจะลดนอ้ ยลงตามลำ� ดบั ลำ� ดา อาจจะเปน็
เพราะส่ิงแวดล้อมทางโลกพาให้เป็นไป ๑ เพราะบุญวาสนาบารมียังไม่สมบูรณ์ก็อาจ
เป็นได้ ๑

การขาดหัวหน้า คือ ท่านผู้เป็นวิสุทธิบุคคลและผู้รู้ฉลาดเป็นผู้พาด�ำเนิน ไม่ว่า
ทางโลกและทางธรรม นก้ี เ็ ปน็ สาเหตอุ ยา่ งสำ� คญั มากยง่ิ กวา่ เรอ่ื งใดๆ พระปา่ รนุ่ หลานน้ี
ถ้าท่านไม่สงวนตัวของท่านตามแบบฉบับของหลักพระธรรมวินัย ท่ีลูกศิษย์ของท่าน
พระอาจารย์มั่นพาด�ำเนินอย่างเอาจริง น่ากลัวส่ิงแวดล้อมจะเข้าไปเกี่ยวข้องยุ่งเหยิง
วุน่ วาย ท�ำใหผ้ ูป้ ฏิบัติศาสนธรรมกลายเป็นโลกโดยไมร่ ้ตู วั

ตามหลักพระธุดงคกรรมฐานจริงๆ แล้ว ท่านไม่ชอบยุ่งเหยิงวุ่นวาย คลุกคลีกับ
ฝูงชน ไม่ชอบท�ำการกอ่ สร้างถาวรวัตถุใดๆ สมยั ลูกศิษยท์ า่ นพระอาจารยม์ ั่นพาดำ� เนิน
ข้อวัตรปฏิบัติที่ถูกต้องดีงามไม่มีที่ต�ำหนิ ผู้เขียนซึ่งเป็นพระรุ่นหลาน พอได้เห็นได้รู้
เดยี งสาภาวะพอเขา้ ใจวา่ พระปา่ ทา่ นปฏบิ ตั เิ พอ่ื ธรรมจรงิ ๆ เอาชวี ติ บชู าพระพทุ ธ พระธรรม
พระสงฆ์ ฝากเป็นฝากตายเพ่ือธรรมเท่าน้ัน ท่านไม่ได้มุ่งหวังวัตถุปัจจัย ช่ือเสียง
เรียงนามใดๆ ทา่ นอยแู่ บบสงบเสงี่ยมเจยี มตัว อยู่ดว้ ยกันถอื ธรรมเปน็ ใหญ่ พยายามยดึ
หลกั ธรรมวนิ ยั เปน็ สายทางดำ� เนนิ เทา่ นนั้ ทางดา้ นความเพยี รนเี้ ดน่ มาก ทา่ นจงึ มคี ณุ ธรรม
ภายในฝงั ไวล้ กึ ๆ ซง่ึ พวกเราๆ ทา่ นๆ ถา้ ไมไ่ ดป้ ฏบิ ตั ทิ างดา้ นจติ ตภาวนาแลว้ จะรไู้ ดย้ าก
แต่พระประเภทผ้บู ริสุทธิ์มจี �ำนวนน้อย หายากในสมยั นี้

32

อนงึ่ ในสมยั พระรนุ่ หลานสายทา่ นพระอาจารยม์ นั่ น้ี บรรดาศรทั ธาญาตโิ ยมกำ� ลงั
ตน่ื ตวั เพราะไดร้ บั การอบรมแนะนำ� สงั่ สอนจากลกู ศษิ ยท์ า่ นพระอาจารยม์ นั่ ไดฟ้ งั ธรรมะ
คำ� สง่ั สอนของท่านแลว้ เกดิ ศรทั ธา มีความเชอ่ื ความเลือ่ มใสในพระสายปฏบิ ตั ิ (พระป่า)
มากข้ึนแทบจะทั่วประเทศไทย พร้อมกับมีน้�ำใจในการให้ทาน รักษาศีลและภาวนา
มุ่งบ�ำเพ็ญบุญกุศล จึงได้พากันเข้าไปเก่ียวข้อง ท�ำการก่อสร้างท่ีพักท่ีอยู่อาศัย ถวาย
ปัจจัยลาภสักการะจนเหลือเฟือ ซ่ึงเป็นสาเหตุท�ำให้พระผู้ไม่มีคุณธรรมภายในลืมตัว
ไดง้ ่าย ท้งั นม้ี ไิ ดป้ ระมาทในนำ�้ ใจของคณะศรทั ธาทีฉ่ ลาดในการบ�ำเพ็ญบุญกศุ ล

น้ีก็เป็นสาเหตุให้ลดหย่อนผ่อนผันลงมาเก่ียวข้องกับทางโลก พระผู้ปฏิบัติที่ไม่มี
คุณธรรมภายใน ไม่สังวรระวังตั้งใจประพฤติปฏิบัติทางด้านจิตตภาวนาจริงๆ ลาภ
สักการะเลยกลายเป็นสิ่งฆ่าโมฆะบุรุษให้ตาย คือฆ่าพระโง่ผู้ไม่มีสติปัญญาให้ห่าง
จากศีลจากธรรม ใจจึงหมดคุณค่าหาความสงบร่มเย็นไม่มี ในข้อวัตรปฏิบัติทางด้าน
จิตตภาวนาก็เร่ิมห่างเหินไปวนั ละเล็กละนอ้ ย เพราะความคลกุ คลีกับฝูงชน ผลสุดท้ายจงึ
ทำ� ใหพ้ ระกลายเปน็ พระแบบโลก ชอบทำ� แตก่ ารกอ่ สรา้ ง แสวงหาอตเิ รกลาภปจั จยั ตา่ งๆ

ศาสนาเลยกลายเปน็ ศาสนาแบบโลกโดยอตั โนมตั ิ ทงั้ ๆ ทค่ี ณุ ธรรมหรอื ธรรมชาติ
ของจรงิ อนั บรสิ ทุ ธสิ์ มบรู ณน์ นั้ ยงั คงทดี่ งี ามอยตู่ ลอดกาลตลอดเวลา ไมไ่ ดเ้ สอ่ื มเสยี ไปไหน
ดีเป็นดี ช่ัวเป็นช่ัว คงหลักธรรมชาติความจริงไว้เช่นเดิม มรรคผลนิพพานก็ยังคงท่ี
ดีงามอยู่ ไมล่ ้าสมัยตอ่ ผูป้ ฏบิ ตั ิดีปฏบิ ัติตรงต่อมรรคผลนพิ พานตลอดเวลาอกาลิโก

นที้ า่ นกลา่ วถงึ สาเหตสุ ง่ิ แวดลอ้ มทพี่ าใหจ้ ติ ใจของวงศพ์ ระปฏบิ ตั ิ ทยี่ งั ไมม่ หี ลกั จติ
หลกั ใจ ไมม่ คี ุณธรรม ใหห้ มดคณุ ภาพลงตามล�ำดับล�ำดา ผลสุดทา้ ยจิตใจกเ็ สื่อมจาก
มรรคผลนพิ พาน คอื เส่อื มจากศลี สมาธิ ปัญญานั่นเอง ทีนค้ี วามย่งุ เหยิงวุน่ วายก็เกิดข้นึ
เพราะจติ ใจของผปู้ ฏบิ ตั ติ กตำ่� มแี ตค่ วามโลภ ความหลง เพลดิ เพลนิ ตามโลกตามสงสาร
ไมร่ จู้ ักประมาณในเรอื่ งวัตถปุ จั จยั ท่ีอยู่อาศัยเพียงเพอ่ื ชั่วชีวิตหนงึ่ ๆ เทา่ น้ัน เพราะกิเลส
ท�ำให้มดื มดิ ปดิ ธรรมเอง

33
ได้เขียนเรื่องพระรุ่นหลานมาให้พวกเราได้อ่านได้พิจารณาใคร่ครวญถึงสาเหตุ
สิ่งแวดล้อมท่ีจะพาให้พระเสื่อมจากมรรคผลนิพพาน การส่งเสริมเรื่องก่อเร่ืองสร้าง
ทางวัตถเุ พียงอยา่ งเดียว แต่ขาดศลี ขาดธรรมภายในใจ ถงึ จะสร้างถาวรวัตถสุ ูงจรดฟา้
ไม่เห็นเลิศเลอและอัศจรรย์อะไร ถ้าขาดศีลขาดธรรมขาดความอบอุ่นร่มเย็นใจ น้ีเป็น
สาเหตอุ นั สำ� คญั มาก ทจ่ี ะทำ� ใหโ้ ลกมนษุ ยห์ ลงมวั เมาจนลมื ศลี ลมื ธรรม จงึ ตอ้ งเจอปญั หา
ความทุกขเ์ ดือดร้อนวุ่นวายไปทั่วโลกดนิ แดน ขอพิจารณาใครค่ รวญใหร้ ู้เถดิ

34

ธุดงค์ ๑๓ ของพระปา่

ธุดงค์ที่พระองค์ทรงให้ด�ำเนินปฏิบัติ เพื่อปราบกิเลสตัวท่ีฝังจมภายในจิตใจ
ของปถุ ชุ นมี ๑๓ ข้อ พระป่าทา่ นปฏบิ ตั ติ ามธุดงค์ ๑๓ ขันธวตั ร ๑๔ นเี้ ป็นประจ�ำ แม้จะ
มีปลกี ย่อยออกไปบ้าง กอ็ ยใู่ นหลักใหญท่ ี่กล่าวมาแลว้ มไิ ด้ปฏิบตั นิ อกลู่นอกทางไปอน่ื
แต่การปฏิบัติและประสบเหตุการณ์นั้นมีแปลกต่างกันไปบ้างเป็นรายๆ ตามจริตนิสัย
ทไ่ี ม่เหมอื นกัน

โดยมากรายที่ชอบอยู่ป่าอยู่เขาเป็นนิสัย มักจะประสบเหตุการณ์มากกว่าอยู่ป่า
ธรรมดา แมท้ า่ นพระอาจารยม์ น่ั ผเู้ รม่ิ ตน้ พาพระปา่ ดำ� เนนิ หรอื พระธดุ งคกรรมฐานสายนี้
กช็ อบอยปู่ า่ อยถู่ ำ�้ อยเู่ ขาเปน็ นสิ ยั และชอบสงั่ สอนพระใหส้ นใจในการอยปู่ า่ อยเู่ ขา มากกวา่
จะสอนใหอ้ ยูป่ า่ ธรรมดา ดังจะอธิบายเก่ยี วกบั เรอ่ื งธดุ งค์ ๑๓ ไวเ้ พียงย่อๆ พอประมาณ

๑. ปงั สกุ ูลกิ ังคะ ถือใช้แตผ่ า้ บังสุกลุ เป็นวตั ร ขอ้ นไ้ี ด้อธิบายผ่านไปแลว้ ในปัจจัย ๔
ของเพศสมณะ

๒. เตจีวริกังคะ ถือใช้ผ้าเพียงสามผืนเป็นวัตร ในข้อน้ีวงศ์พระป่าสายปฏิบัติ
ผู้มักน้อย สันโดษ ท่านนำ� มาปฏิบัติตามนิสัยของท่านแต่ละองค์ ให้พอเหมาะสบายใจ
ในการไปการมาเทยี่ วปา่ เขาลำ� เนาไพรไมม่ ากนกั และไมป่ ฏเิ สธคหบดจี วี รทศ่ี รทั ธานำ� มา
ถวาย

๓. ปิณฑปาติกังคะ ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ข้อน้ีได้อธิบายไว้พอประมาณ
ในปจั จัยเครอื่ งอาศัยของเพศสมณะ ๔ อย่าง ตามหลักนกั ปราชญท์ ่าน

๔. สปทานจาริกังคะ ในขอ้ น้ีถือเท่ยี วบิณฑบาตไปตามแถวเป็นวตั ร เพื่อให้เป็น
ความงามในเพศสมณะในทางมรรยาท ทา่ สำ� รวมระวงั อยใู่ นขอบเขตของหลกั ธรรมวนิ ยั
ดูแล้วเยน็ ตาเยน็ ใจนา่ เคารพ

35

๕. เอกาสนกิ งั คะ ถอื ฉนั มอื้ เดยี วเปน็ วตั ร เพอื่ ตดั กงั วลในการฉนั อาหารซำ�้ ๆ ซากๆ
ทรมานตัวกิเลสเจ้าตัณหาไม่รู้จักประมาณให้พอเหมาะกับเพศสมณะ ให้เป็นผู้เลี้ยงง่าย
ไม่รบกวนใครๆ ให้ล�ำบาก

๖. ปัตตปิณฑิกังคะ ถือฉันเฉพาะในบาตรเป็นวัตร ฉันเฉพาะในบาตรไม่มี
ภาชนะ ๒ มีอะไรจดั ลงในบาตรท้งั หมด เพอื่ ปราบกิเลสตัวมวั เมา เพลดิ เพลินในทางล้นิ
ใหล้ ดลงได้ เปน็ อยา่ งดี

๗. ขลปุ จั ฉาภตั ตกิ งั คะ ถอื หา้ มฉนั ภตั อนั นำ� มาถวายเมอื่ ภายหลงั เปน็ วตั ร ขอ้ นสี้ าย
พระป่าวงศ์พระปฏบิ ตั ิในสมยั ปัจจบุ นั ท่านจะก�ำหนดให้พอเหมาะกบั นิสัยของท่าน เชน่
บางองคถ์ ือรบั บณิ ฑบาตเฉพาะขาไปขากลบั ไมร่ ับ หรือเขา้ ประตวู ดั แล้วไมร่ บั บณิ ฑบาต
หรอื ลงมอื ฉันแล้วไมร่ บั บิณฑบาต ตามแต่ทา่ นจะกำ� หนดเคร่งครดั และลดหย่อนไปตาม
โอกาสอนั ควร

๘. อารัญญิกังคะ ถืออยู่ป่าเป็นวัตร ข้อน้ีได้อธิบายไว้พอเป็นแนวทางให้เข้าใจ
ตามเรือ่ งพระป่า

๙. รกุ ขมลู กิ งั คะ ถืออยู่โคนไมเ้ ปน็ วัตร ตามแต่โอกาสและเวลาจะอ�ำนวยให้ความ
สะดวกในการปฏิบตั ติ ามทเ่ี ห็นควร

๑๐. อพั โภกาสกิ งั คะ ถอื อยใู่ นทแ่ี จง้ ๆ เปน็ วตั ร ในขอ้ นต้ี ามแตก่ าลเวลาและโอกาส
จะอำ� นวยให้ความสะดวกตามสมควรในการปฏบิ ัติ

๑๑. โสสานิกังคะ ถืออยู่ป่าช้าเป็นวัตร ข้อนี้ขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัติ ควรหรือไม่ควร
ตามสถานทน่ี น้ั ใหพ้ อเหมาะกบั กาลเวลาและโอกาส ตามจรติ นสิ ยั ของแตล่ ะองค์ ในการ
บ�ำเพญ็ เพยี รทางด้านจติ ตภาวนาเป็นสำ� คญั

๑๒. ยถาสันถติกังคะ ถือการอยู่ในเสนาสนะแล้วแต่เขาจัดให้ ข้อน้ีถือสันตุฏฐี
คือ ยินดีเท่าที่มีอยู่ไม่รบกวนใครๆ ในการก่อสร้างท่ีอยู่อาศัย ในชีวิตหน่ึงๆ ศรัทธา

36

ญาติโยม เขาให้อยอู่ าศัยอยา่ งไร ก็อยู่ไปพอได้บ�ำเพญ็ สมณธรรม หรือตามแบบฉบบั
ของพระพุทธเจ้าในสมัยครั้งพุทธกาล เช่นพระเจ้าพิมพิสาร อนาถปิณฑิกเศรษฐี
นางวิสาขา สร้างถวาย พระพุทธเจ้าทรงรับเพื่อส่งเสริมก�ำลังน�้ำพระทัย น้�ำใจของ
คณะศรทั ธาดว้ ยความบริสทุ ธใิ์ จ ไม่รบกวนวตั ถปุ จั จยั เรอ่ื งใดๆ ใหล้ �ำบาก สรา้ งถวาย
อยา่ งไรก็ยินดอี ยา่ งนน้ั ถ้าไม่ผดิ หลักธรรมหลักวนิ ยั

๑๓. เนสชั ชกิ งั คะ ในข้อน้ีถอื การยืน เดนิ นง่ั อย่างเดยี ว ไมน่ อนเปน็ วตั ร คือถือ
ไมน่ อนตลอดคนื ทา่ นจะกำ� หนดเปน็ คนื ๆ ไป สดุ แตจ่ ะกำ� หนดพยายามฝกึ ฝนอบรมตนเอง
ด้วยสติปัญญา ในอริ ยิ าบถท้งั ๓ คือ ยนื เดนิ นัง่ เท่านัน้

เรือ่ งธดุ งค์ ๑๓ ทา่ นผู้เปน็ จอมปราชญ์ย่อมมเี ชงิ เฉลียวฉลาดหลักแหลม รู้จกั ควร
หรอื ไมค่ วรไปตามกาล สถานท่ี เวลาและโอกาส รจู้ กั สง่ เสรมิ กำ� ลงั นำ้� ใจของคณะศรทั ธา
เห็นควรจะได้รบั ประโยชนท์ ั้งทา่ นทั้งเราไมม่ ปี ระมาณ

ธดุ งค์ ๑๓ ถา้ ตอ้ งการทราบตามแนวทางสายพระปา่ วงศพ์ ระปฏบิ ตั ิ ใหไ้ ปหาดตู าม
หนงั สอื ประวัตทิ า่ นพระอาจารยม์ ัน่ ภูริทัตโต และปฏิปทาพระธดุ งคกรรมฐานสายทา่ น
พระอาจารย์มั่นฯ ซึ่งลูกศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่น ท่านได้อธิบายวิธีด�ำเนินปฏิบัติอย่าง
ละเอยี ดมาก

เราคาดไม่ถึงในธรรมทั้งหลาย ที่ท่านได้น�ำมาจดจารึกไว้ให้กุลบุตรสุดท้ายใน
ภายหลงั จะไดน้ อ้ มนำ� มาศกึ ษาปฏบิ ตั ิ กรณุ าไปหาอา่ นดตู ามหนงั สอื ทกี่ ลา่ วมาแลว้ ขา้ งตน้
ทห่ี อสมดุ แหง่ ชาตกิ จ็ ะทราบไดเ้ อง เรอ่ื งของพระปา่ วงศพ์ ระปฏบิ ตั สิ ายทา่ นพระอาจารยม์ นั่
ภรู ิทัตตเถระ เปน็ เรื่องน่าอ่านนา่ รู้ คงจะไม่ปราศจากประโยชนโ์ ดยแท้

37

พระธดุ งคร์ นุ่ เหลน

พระรนุ่ เหลน ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๘ – ๒๕๔๑ เปน็ พระป่าแบบสมยั ใหม่ พระยคุ
จรวดดาวเทียม เป็นบัณฑิตนักปราชญ์สมัยใหม่ คือรุ่นที่ท�ำอะไรแปลกๆ ประหลาดๆ
แบบแหวกแนว การประพฤติปฏิบัติชอบอวดแต่ความรู้ความฉลาดของตน เม่ือได้ยิน
นักปราชญ์ทา่ นสรรเสริญเร่ืองภาวนา ก็พากนั แนะน�ำสงั่ สอนเรื่องนัง่ ภาวนากนั เปน็ คณะ
เปน็ กลุม่ ๆ ไปธดุ งค์เดินตามหลังแบกกลด จดั กันให้เปน็ ระเบยี บแบบทหารตำ� รวจ ไปกัน
เป็นหมู่เป็นคณะๆ ซ่ึงผิดกันอยู่มากเม่ือเทียบกับหลักพระธรรมวินัย สายทางตรงตาม
วงศ์แห่งอริยประเพณีน้ันและพระธุดงคกรรมฐานสมัยท่านพระอาจารย์มั่นพาด�ำเนิน
จะดไู มง่ ามเลยในสมยั น้ี ผดิ จากธุดงค์ ๑๓ ขอ้ * ทีพ่ ระพุทธเจ้าทรงส่งั สอนพระสาวกให้
นำ� ไปปฏบิ ัตเิ พื่อปราบปรามกิเลส

สาเหตนุ อี้ าจจะเปน็ เพราะขาดการอบรมทางดา้ นขอ้ วตั รปฏบิ ตั ทิ ดี่ งี าม จากผนู้ ำ� ทา่ น
ผรู้ ู้ฉลาดทมี่ คี ณุ ธรรมภายในก็อาจเป็นได้ เพยี งฉลาดท่เี รียนรูม้ าจากการจดการจำ� ท่ใี ห้
ชอื่ วา่ บณั ฑติ มหาบณั ฑติ เลยมคี วามสำ� คญั ตนวา่ เปน็ นกั ปราชญ์ แตจ่ ะวา่ เปน็ นกั ปราชญ์
ก็ไมเ่ ชงิ จะวา่ โงก่ ม็ เี ชงิ อวดฉลาด แบบไมม่ องดูหลกั พระธรรมวนิ ยั ทำ� ลายตัวเอง

นกั ปราชญท์ า่ นบอกหลกั สำ� คญั ๆ ทจี่ ะทำ� ใหจ้ ติ ใจเสอื่ มไดง้ า่ ย ไวเ้ พอื่ เตอื นสติ ดงั น้ี
๑. ไมร่ จู้ ักประมาณในการก่อสรา้ งถาวรวัตถุ
๒. เท่ยี วตดิ ต่อคลุกคลกี ับฆราวาสญาติโยม เพ่ือแสวงหาอามิสปจั จัย ซง่ึ ดูไมง่ าม
ไม่เหมาะสมกบั เพศสมณะเลย

* ถา้ ใครอยากทราบเรื่องธดุ งค์ ๑๓ ขอ้ ให้ไปหาดจู ากหนงั สอื ธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๒ (เลม่ ๒) ดูเถิด

38

๓. มุง่ เทศนส์ อนแต่คนอื่นไมส่ อนตนเอง คือเทศนม์ าก (ดีแตพ่ ูด) สอนตนเองไมไ่ ด้
ดแี ต่สอนคนอน่ื

ทา่ นผผู้ า่ นพน้ บ่วงแห่งมารถงึ แดนบรมสุข จบพรหมจรรย์แล้ว ทา่ นเนน้ หนกั มาก
ในเรอื่ งเหลา่ นี้ วงศพ์ ระปา่ ลกู ศษิ ยส์ ายทา่ นพระอาจารยม์ นั่ ถา้ ใครฝา่ ฝนื ทา่ นจะปลอ่ ยวาง
หมดหว่ งหมดเย่อื ใยไม่เกี่ยวขอ้ งเลย

พระสงฆส์ มยั น้ีแปลกๆ แหวกแนว ชอบสนใจเกี่ยวกับเรือ่ งทางโลก ไมส่ นใจใน
หลักธรรมหลักวินัยและข้อวัตรปฏิบัติ ปฏิปทาท่ีนักปราชญ์ท่านพาด�ำเนิน อันจะท�ำตน
ให้ดีงามดีเลิศ แต่ชอบไปเก่ียวข้องกับทางโลก จึงกลายเป็นโลกเหมือนคนธรรมดาๆ
มีผดิ กันท่ีหม่ ผา้ เหลืองเท่านั้น

การอยปู่ า่ อยเู่ ขาลำ� เนาไพรในปจั จบุ นั น้ี มแี ตท่ ำ� การกอ่ การสรา้ งถาวรวตั ถุ เหมอื น
อยา่ งโลกเขาสรา้ ง เหมือนหา้ งรา้ นตลาด ท�ำการค้าการขายท�ำแข่งกับโลกเขา นี้ก็เป็น
สาเหตทุ ำ� ใหพ้ ระสงฆผ์ ตู้ ง้ั ใจประพฤตปิ ฏบิ ตั เิ สอ่ื มลงไปเรอ่ื ยๆ จนแทบจะมองหาคณุ ธรรม
ภายในไม่เจอ รู้สกึ จะมองหายากมากในวงศ์พระสงฆ์เวลานี้ คอื พระรุ่นเหลน ประมาณ
พ.ศ. ๒๕๑๘ ไป ทั้งน้มี ไิ ดด้ ูหมนิ่ ทา่ นผู้ใด ใครมีสติปญั ญาพจิ ารณาใหร้ เู้ ถิด

ในสมยั ปจั จบุ นั นี้ หากทา่ นผปู้ ฏบิ ตั ดิ ปี ฏบิ ตั ชิ อบยงั มอี ยู่ กจ็ ะปรากฏเดน่ และอศั จรรยใ์ จ
ของทา่ นเองดว้ ยความบริสทุ ธิ์สมบรู ณ์ ถา้ ทางคณุ ธรรมภายในถึงจดุ เดน่ ตามธรรมชาติ
ความจริงแห่งธรรม กจ็ ะเปิดเผยเปน็ ขนึ้ มาเองโดยหลักธรรมชาติไมน่ ่าสงสัย

ส่ิงท่ีท�ำลายวงศ์พระสงฆ์ได้ดีท่ีสุดในเวลาน้ีคือ น�ำโลกาภิวัตน์และโลกาธิปไตย
มาใช้ ศาสนาเลยกลายเป็นศาสนาแบบโลก และสิ่งแวดล้อมที่จะพาให้พระสงฆ์เส่ือม
จากศีลจากธรรม เริ่มเป็นไปแลว้ เส่ือมแลว้ ไม่สงสยั

๑. นำ� ไฟฟา้ เขา้ วดั วดั สวา่ งไสวแตใ่ จพระมดื มดิ ปดิ คณุ ธรรมภายใน ไมม่ องเหน็ ศลี
เหน็ ธรรม คือตาในมดื เพราะอำ� นาจกิเลสพาให้มืดมดิ ปิดตา

39

๒. หนงั สอื พมิ พ์ ซงึ่ เปน็ ขา่ วเรอื่ งโลกเรอื่ งสงสาร เปน็ ความรคู้ วามฉลาดทางปญั ญา
โลกีย์ (ดนี อก) ไมใ่ ช่กจิ ของพระสงฆ์ผู้ปฏบิ ตั จิ ะไปสนใจ เร่ืองการเมืองหรอื เรื่องใดๆ
ทางโลก จะไม่เหมาะสมกับเพศนักบวชเลย

๓. โทรทศั น์ วิทยุ วดิ ีโอ คอมพวิ เตอร์ นี้คอื สาเหตทุ ำ� ลายศลี ท�ำลายธรรม จาก
หวั ใจพระหรือโลกมนุษย์ให้ห่างจากศีลธรรม ขาดความอบอุ่นรม่ เยน็ ใจไดอ้ ย่างดเี ยีย่ ม

๔. โทรศพั ทท์ ุกชนิด อันนี้เหมาะสมกบั โลกสงสารท่ีเขาท�ำมาค้าขาย และความเปน็
อยู่ของสังคมท่ีต้องเก่ียวข้องซ่ึงกันและกันท่ัวโลกดินแดน เพศพระสงฆ์คือสมณะนักบวช
ไม่เหมาะสมเลย หากมีเหตุจ�ำเป็นจริงๆ ก็เพียงบางกาลเวลาเท่านั้น ไม่เหมาะสมที่จะ
นำ� มาเปน็ สมบัติของพระสงฆ์ เรื่องโทรศัพทพ์ ระปา่ ขอใส่ชอ่ื โทรศัพทน์ ้ีวา่ หูที่ ๓ เป็นหู
ท่ีท�ำโลกมนุษย์ให้ดิ้นรนเสริมโลกให้เพลิดเพลินลืมตัว ท�ำลายวงศ์พระให้หมดความ
ละอาย ทำ� ลายคนผูโ้ งเ่ ขลาใหเ้ ลวทรามย่ิงขนึ้

น้ีคือสาเหตุที่มาแห่งการท�ำลายตัวพระสงฆ์ ให้ขาดความสนใจจากหลักธรรม
หลักวินัยได้เป็นอย่างดี คือการติดต่อเกี่ยวข้องกับผู้หญิง ท่ีพระวินัยท่านบอกว่าท่ีลับหู
พระพทุ ธเจ้าทรงมีพระปรชี าญาณหยั่งทราบวา่ อะไรควรรู้ อะไรไมค่ วร จงึ ทรงบัญญัติ
พระวินัยเพ่ือป้องกัน ไม่ให้พระสงฆ์ลืมเน้ือลืมตัว ไม่ให้พระสงฆ์เป็นพระแบบจรวด
ดาวเทยี มตามแบบโลกเขา อนั จะทำ� ใหจ้ ติ ใจตำ�่ ทราม ไมเ่ หมาะสมกบั เพศสมณะ จงึ ทรง
วางหลกั พระธรรมวนิ ยั ไวเ้ พอ่ื ปอ้ งกนั รกั ษาพระสงฆ์ ดว้ ยความรฉู้ ลาดปอ้ งกนั โทษมลทนิ
ท้ังมวล เพื่อความสงบร่มเย็นแก่พระสมณะนักบวช ให้เดินทางตรงเข้าสู่จุดมุ่งหมาย
นนั้ คอื สายทางเอกนั ตบรมสขุ แดนแหง่ พระนิพพานเทา่ นั้น

พระสงฆ์รุน่ เหลนและพระธุดงค์สมยั ใหม่น้ี ชอบชักชวนญาตโิ ยมไปภาวนาตามถ้ำ�
ตามเขาทคี่ รบู าอาจารยร์ นุ่ ลกู ศษิ ยส์ ายทา่ นพระอาจารยม์ นั่ เคยไปพกั อยอู่ าศยั เพอื่ บำ� เพญ็
สมณธรรม ซ่ึงมีท้ังผู้หญิงผู้ชายไปเป็นคณะๆ ผู้เขียนเคยไปพบด้วยตัวเอง ประมาณ
เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๔๑ ในเขตอนุรักษ์ฯ ภูวัว คณะน้ีมีทั้งพระเณรและฆราวาส

40

ผเู้ ปน็ หวั หนา้ มวี ทิ ยรุ บั – สง่ ดว้ ย ดกู ริ ยิ าแลว้ ไมใ่ ชไ่ ปภาวนาบำ� เพญ็ ศลี บำ� เพญ็ ธรรม จำ� ได้
แต่ช่ือว่าไปภาวนา ดูอาการท�ำท่าไปหาท่ีสงบสงัดแต่ไม่ท�ำความสงบ ชอบไปท่องเท่ียว
แบบฆราวาสญาตโิ ยมเขา หรือไปแบบสตั ว์ป่าแสวงหาอย่หู ากินตามป่าดงพงไพร มกั ไป
ท�ำความหนักใจให้กบั เจ้าหน้าท่ที างบา้ นเมืองเขตอนุรักษ์ฯ เมอื่ เขาเห็นวา่ เปน็ พระ เขาก็
มีน�้ำใจศรัทธา เพราะเมอื งไทยเรานับถอื พุทธศาสนา จงึ อนโุ ลมให้เขา้ ไป

พระประเภทน้ีไม่ใช่พระป่าประเภทชอบป่าเขาล�ำเนาไพร ที่ด�ำเนินไปตามหลัก
ธรรมวนิ ยั ไมใ่ ชพ่ ระประเภทดำ� เนนิ ตามรอ่ งรอยของพระพทุ ธเจา้ หรอื ตามแนวทางสาย
ทา่ นพระอาจารย์มน่ั พาด�ำเนิน แตเ่ ป็นพระประเภทรบกวนปา่ เขาล�ำเนาไพร พาฆราวาส
ญาตโิ ยมไปเปน็ หมเู่ ปน็ คณะ สว่ นมากมกั จะเปน็ ประเภทแหวกๆ แนว ชอบคลกุ คลยี งุ่ เหยงิ
วนุ่ วายซง่ึ กันและกนั ไปทไ่ี หนทำ� ความเดือดร้อนทน่ี ่ัน ไปเทย่ี วป่าเทย่ี วเขาก็ชอบทำ� ลาย
สถานที่ ซึ่งเป็นป่าธรรมชาติให้สูญเสียไป ท�ำลายทรัพยากรธรรมชาติให้ค่อยหมดไป
เป็นพระประเภทไม่สังวรระวงั บวชเพียงใหช้ ือ่ วา่ เป็นพระ ใจไมใ่ ช่พระ พระประเภทนี้
กรุณาเจ้าหน้าท่ีทางบ้านเมือง (กรมป่าไม้) ควรพิจารณาให้รอบคอบ ถ้าไม่รู้จักพระ
ผู้ปฏิบัติดีตามหลักพระธรรมวินัยจริงๆ จะท�ำให้รังเกียจพระไปหมด และจะมอง
พระพทุ ธศาสนาไปในทางไมด่ ี

สายทางเดินของพระพทุ ธเจา้ และพระสาวกอรหนั ตน์ นั้ นับแตก่ าลไหนๆ มา จนถงึ
ปจั จุบนั ผู้มคี ุณธรรมภายในใจไปทไี่ หนเจรญิ ร่งุ เรืองสงบร่มเยน็ ใจทนี่ ัน่ ไมเ่ คยกระทบ
กระเทอื นป่าเขาล�ำเนาไพรหรือใครๆ

นี่เขียนเรื่องพระป่ารุ่นเหลนสมัยใหม่ มาให้พวกเราพิจารณาใคร่ครวญด้วยสติ
ปญั ญาใหร้ เู้ ถดิ เพราะพระพทุ ธศาสนาไมใ่ ชศ่ าสนากวนบา้ นกวนเมอื ง หรอื ไปขดั แยง้ กบั
เศรษฐกจิ ของบา้ นเมอื ง จงึ ขอใหพ้ วกเราอยา่ ไดฉ้ ลาดเกนิ นกั ปราชญ์ ผเู้ ปน็ พระศาสดาเอก
ทรงสอนโลกทั้งสามให้ได้รับความสมหวัง เจริญรุ่งเรืองสงบร่มเย็นเป็นสุขใจตลอดมา
พระองค์ทรงรู้ทรงเห็นด้วยพระปรีชาญาณ ทรงช้ีทางนี้ว่าถูก เป็นถูกต้องแม่นย�ำอย่าง
แน่นอน

41
เพราะจิตของพระพุทธเจ้าและของพระสาวกเหนือจิตของปุถุชนคนมืดบอด เต็มไป
ด้วยกเิ ลสหนาปญั ญาหยาบ คือพวกเราๆ ท่านๆ ควรจะคดิ จะอา่ น ส่ิงไหนถกู ตอ้ งดีงาม
ไมม่ โี ทษแลว้ จงพยายามดำ� เนนิ ปฏบิ ตั ใิ นทางนนั้ เราจะเปน็ ผสู้ งบรม่ เยน็ ใจ เพราะดำ� เนนิ
ตามหลักธรรมหลกั วนิ ัยอันประเสรฐิ และทำ� โลกให้ร่มเยน็ ท�ำใหพ้ วกเราเป็นคนเปน็ พระ
ท่ีประเสริฐเหนือปุถุชนท่ัวแดนโลกธาตุหรือแดนแห่งไตรภพ ด้วยความองอาจกล้าหาญ
สง่างามด้วยธรรม และอศั จรรย์ใจของเราอย่างไมม่ ีวนั จืดจาง

บาตรที่ระบมแลว้ ด้วยไฟใหถ้ กู ตอ้ งตามหลักพระวนิ ัยให้ระบมได้ถงึ ๕ ไฟ
หรอื ตามทเี่ หน็ ควร จงึ น�ำมาใชใ้ ส่อาหารฉันในบาตร

42

อธบิ ายเคร่ืองบริขารของพระป่า

เครื่องบริขารของพระป่าวงศ์พระปฏิบัติสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เช่น
บาตร ตามพระวนิ ยั ทา่ นกลา่ วไวม้ ี ๒ ชนดิ คอื บาตรดนิ เผา ๑ บาตรเหลก็ ๑ ในสมยั ปจั จบุ นั
ท่านใช้บาตรเหล็กท่ีระบมด้วยไฟเพื่อป้องกันสนิม ตามหลักพระวินัยท่านกล่าววิธี
ระบมบาตรว่า ให้ระบมคือเผาด้วยไฟให้ได้ถึง ๕ คร้ัง จึงค่อยน�ำมาใช้ส�ำหรับออก
รับบิณฑบาตและใส่อาหารในเวลาฉันบิณฑบาต วิธีระบมบาตรน้ัน ท่านศึกษากันเอง
ในวงศ์พระป่าเท่าน้ัน จะไม่ขออธิบายถึงการระบมบาตรว่าอย่างไหนควรท�ำอย่างไร
จงึ ปอ้ งกันสนิมไดด้ ที ี่สุด ทา่ นย่อมเข้าใจดใี นวงศ์พระปฏบิ ตั ิ

บริขารอน่ื เชน่ ผ้านุ่งได้แก่สบง ผ้าห่มไดแ้ กจ่ วี รและสังฆาฏิ เปน็ บรขิ ารท่จี �ำเปน็
ส�ำหรับพระสงฆ์ ผ้าเหล่านี้วงศ์พระป่าท่านท�ำของท่านเองทั้งนั้น ในเวลาตัดเย็บสบง
จวี ร สังฆาฏิ ท่านช่วยกนั ตัดชว่ ยกันเยบ็ จนเสร็จเรียบรอ้ ยตามขนาดของผ้า ความกว้าง
ความยาวให้พอเหมาะกับทา่ นท่ีจะใชแ้ ตล่ ะองค์ ถ้าต้องการทราบขนาดกวา้ งยาวของผ้า
แตล่ ะชนดิ หรือเครอ่ื งบริขารของพระป่าทง้ั หมด ตามทไี่ ด้อธบิ ายไว้ในทนี่ ้ี ให้ไปหาดไู ด้
ท่ีหนงั สอื วินยั มุข เล่ม ๒ ฉบบั มหามกุฏฯ คงจะทราบรายละเอยี ดได้ดี

เวลายอ้ ม ทา่ นกช็ ว่ ยกนั ยอ้ มดว้ ยนำ�้ แกน่ ขนนุ จะไมค่ อ่ ยใชส้ มี ากนกั ซงึ่ ทา่ นเรยี กวา่
ผ้ายอ้ มด้วยน�้ำฝาด ในสมยั เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๐ – ๒๔๙๙ จกั รเย็บผ้าหาไดย้ ากในสมัยน้ัน
สว่ นมากทา่ นเยบ็ ดว้ ยมอื ทงั้ นนั้ ทา่ นชว่ ยกนั ทำ� กจิ ของสงฆด์ ว้ ยนำ้� ใจสามคั คงี ามมากเหน็
แลว้ เยน็ ตาเยน็ ใจ ทา่ นแนะนำ� สง่ั สอนวธิ ตี ดั วธิ ยี อ้ ม ดว้ ยความมเี มตตา เกอ้ื กลู อนเุ คราะห์
ซงึ่ กนั และกนั ตามหลกั ธรรมหลกั วนิ ยั ซง่ึ เปน็ ธรรมอนั ลำ้� คา่ ดว้ ยนำ้� ใจมเี มตตาเตม็ ไปดว้ ย
ความมีเหตุมีผล มีสารประโยชน์อย่างม่ันใจต่อกัน ไม่ค่อยจะมีเร่ืองทิฏฐิมานะกระทบ
กระเทอื นน�ำ้ ใจกนั ในเวลาเชน่ นัน้ แต่ละองคม์ ีความเคารพซ่ึงกนั และกนั ระหว่างผนู้ ้อย
ผใู้ หญต่ ามอายพุ รรษา เหน็ แลว้ นา่ เคารพเลอ่ื มใส เวลามเี รอื่ งปรกึ ษาปรารภกนั กใ็ ชเ้ สยี ง
เพยี งเบาๆ พอรเู้ ร่อื งกนั เท่าน้ัน

43

การศกึ ษาแนะน�ำอบรมส่งั สอนกัน เตม็ ไปดว้ ยเมตตาธรรมทั้งนน้ั สมกบั วา่ พระปา่
ชอบสงบเสง่ียมเจียมตัว อยู่ตามป่าธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อมส่งเสริมความสงบร่มเย็น
ผ้าจวี รผืนหนึง่ ถ้าเยบ็ ดว้ ยมือโดยไมม่ ีใครช่วยเย็บ ใชเ้ วลานานประมาณ ๗ วนั จึงเสร็จ
ทั้งน้ีข้ึนอยู่กับความช�ำนาญเคยชินในการเย็บผ้าของแต่ละองค์ว่าช้าหรือเร็ว ซึ่งคงหา
ดไู ด้ยากในสมัยปจั จบุ นั ทกุ วนั นี้

สผี า้ ทท่ี า่ นใชเ้ ปน็ ประจำ� ทา่ นถอื ปฏบิ ตั ติ ามหลกั พระวนิ ยั ทน่ี กั ปราชญท์ า่ นกลา่ วไว้
ทง้ั นนั้ มไิ ดผ้ ิดไปจากพระธรรมวินยั ทต่ี รงไหน เชน่ สแี กน่ ขนนุ ดูแล้วมีสเี หมือนใบไม้แก่
คือเหลืองแก่ หรือสใี บไมเ้ หลืองอ่อน ตามพระวินัยท่านกลา่ วว่าสีเหลอื งหม่นจะมีสีเหลอื ง
ตามธรรมชาติ หรือมองในแง่หน่ึงดูแล้วงามตามธรรมชาติเย็นใจ ไม่แสลงตา ดูงาม
แบบเรียบง่ายไม่ท�ำให้เป็นโทษ ซึ่งดูแล้วจะเป็นเหตุให้คึกคะนองสวยงามตามแบบ
เครอ่ื งแตง่ ตัวของทางโลก

สผี า้ อกี แบบหนง่ึ ทา่ นใชใ้ หพ้ อเหมาะไมผ่ ดิ พระธรรมวนิ ยั คอื สเี หมอื นสตี วั ของววั ปา่
จะวา่ สเี หลอื งกไ็ มใ่ ช่ จะวา่ สแี ดงกไ็ มเ่ ชงิ แดงเหมอื นเหลอื ง เหลอื งเหมอื นแดงตามธรรมชาติ
ดๆู ถา้ ไมเ่ คยเหน็ น่ากลัวฉูดฉาด บรขิ ารอื่นนอกจากบรขิ าร ๘ แล้ว มกี ลดพรอ้ มด้วย
มงุ้ กลดกเ็ ปน็ บรขิ ารอนั จำ� เปน็ ทที่ า่ นตอ้ งใช้ ในฤดฝู นยงั ใชแ้ ทนรม่ ในเวลาออกบณิ ฑบาต
หรอื น�ำตดิ ตวั ท่านไปส�ำหรับเดนิ เทีย่ ววิเวก

จากนมี้ ีผา้ อาบน้�ำฝน ทา่ นใชน้ ุ่งอาบน้�ำหรอื ใชส้ �ำหรบั เช็ดบาตร หลงั จากทลี่ ้างจน
สะอาดแล้ว ผ้าอาบน้�ำฝนนี้ท่านใช้หินแดงท่ีมีอยู่ตามป่าตามเขาตามธรรมชาติ มาฝน
เป็นสีส�ำหรับย้อม และผ้าท่ีย้อมด้วยหินแดงน้ีมีสีแดงเป็นส่วนใหญ่ สีแดงน้ีท่านยังใช้
ผสมกับสแี กน่ ขนุน เพอื่ ย้อมสบง จีวร สังฆาฏิได้อีก พระป่าในสมยั ปัจจุบนั นีย้ งั นิยมใช้
หินแดงฝนเป็นสีย้อมผ้าของท่าน จากนี้มีผ้าปูท่ีนอน ผ้านิสีทนะเป็นผ้าส�ำหรับใช้ปูน่ัง
ยังมีบริขารเลก็ น้อยอีกเชน่ ผ้าอังสะ ผา้ เชด็ หน้าเช็ดปาก ย่ามส�ำหรับใส่ของ เมอ่ื ถึงเวลา
ที่ทา่ นจะออกเท่ียววเิ วก แสวงหาที่สงบสงดั ตามปา่ ตามถ้�ำตามเขา ทา่ นจะจดั การซักยอ้ ม

44

ผ้าของทา่ นเพอ่ื ใหส้ ีทนทาน บางทีไปนานถึง ๒ – ๓ เดอื น ท่านกจ็ ดั การเคีย่ วแกน่ ขนนุ
เพื่อเก็บตดิ ตวั ไปด้วย

ส่วนมากท่านไม่ค่อยชอบใช้สีที่ท�ำตามตลาดมากนัก เพียงน�ำมาใช้บ้างพอผสม
นำ้� แก่นขนนุ เท่าน้ัน เคร่อื งบริขารของพระปา่ จะเป็นผ้าชนดิ ไหนๆ ก็ตาม เมอื่ ทา่ นจะน�ำ
มาใช้ ทา่ นจะย้อมให้เป็นสเี หลอื งแก่นขนุน หรือยอ้ มด้วยหนิ สีแดง ยอ้ มใหพ้ อเหมาะพอดี
ตามชนิดของผ้าน้ันๆ เช่น สีผ้าของย่ามก็พิจารณาให้พอเหมาะกับเพศสมณะแล้วจึง
นำ� มาใช้ เพอื่ ให้เปน็ ประโยชนต์ อ่ ไป

ได้เขียนเรื่องเครื่องบริขารของพระป่าวงศ์พระปฏิบัติสายท่านพระอาจารย์ม่ัน
ภรู ิทัตโต ตามที่ไดศ้ ึกษาจากลกู ศิษยข์ องท่านใช้อยู่ประจ�ำ เพ่อื เปน็ แบบฉบับของพระปา่
ในสมยั ปจั จบุ นั จะไดน้ ำ� มาใชเ้ ปน็ ตวั อยา่ งตามแนวทางอรยิ ประเพณที ดี่ งี าม ทา่ นตดั เอง
เย็บเองท�ำเองพึ่งตนเองทั้งนั้น ในบริขารทุกอย่างที่เห็นว่าจ�ำเป็นส�ำหรับท่าน ไม่ต้อง
ยุ่งเหยิงวุ่นวายในเคร่ืองบริขาร เครื่องนุ่งห่ม ซ่ึงพอเหมาะกับการอยู่ป่าเขาล�ำเนาไพร
เพราะผู้เขียนเคยอยู่ป่าอยู่เขามา พอรู้เดียงสาภาวะตามสมควร จึงได้น�ำเรื่องพระป่ามา
เขียนลง พอให้พวกเราได้อ่านพิจารณาใคร่ครวญเป็นคติตามแนวทางของนักปราชญ์
เท่าท่ีได้รู้เห็นด้วยตนเอง ในวงศ์พระป่าลูกศิษย์สายท่านพระอาจารย์ม่ัน พาหมู่คณะ
ด�ำเนิน และเพ่ือเป็นแบบฉบับแห่งการปฏิบัติตามก�ำลังสติปัญญาความสามารถของ
แต่ละทา่ น นับว่าพอสมควร หวังว่าคงจะไมป่ ราศจากประโยชนโ์ ดยแท้

45

กจิ วตั รประจ�ำวันของพระปฏิบัติ (พระป่า)

ปฏิปทาสมัยแต่ก่อนท่ีลูกศิษย์หลวงปู่มั่นพาด�ำเนินน้ัน ทุกองค์มาด้วยความสนใจ
ต้ังใจปฏิบัติอย่างเอาจริง ตาดู หูฟัง จิตใจจดจ่อต่อหัวหน้าผู้พาด�ำเนิน หรือท่านผู้มี
คณุ ธรรมภายในใจ จงึ ไมม่ ใี ครสนใจจะเขยี นกจิ วตั รขอ้ ปฏบิ ตั ขิ อ้ ปฏปิ ทานไี้ วใ้ นสมยั นน้ั
เพราะมาด้วยความสนใจ ตง้ั ใจประพฤติปฏิบตั กิ ิจวัตรเพื่อให้เป็นนิสัย ถ้ามีความสงสยั
เม่ือไดโ้ อกาสทเ่ี หน็ ควรกศ็ กึ ษาปรารภไตถ่ ามจนเปน็ ทพี่ อใจหายสงสัย

ในสมยั นัน้ ศาลา กฏุ ิ ห้องนำ้� ไมค่ อ่ ยจะมี มีพอไดอ้ าศยั เท่านั้น ท่านไมค่ ่อยจะมี
งานก่อสรา้ งทางด้านวตั ถุ ท่านจงึ ไมเ่ ป็นภาระมาก

ในสมยั ปจั จบุ นั นี้ ศาลา กฏุ หิ รหู รา มแี ตท่ ำ� การกอ่ สรา้ งไมร่ จู้ กั ประมาณ ไมว่ า่ ทา่ น
ว่าเรา มีมากจนเกินความจ�ำเป็น จึงได้เขียนกิจวัตรข้อปฏิบัติไว้ เพื่อเป็นแนวทางพา
ก้าวเดนิ ปราบกเิ ลสตัวขเ้ี กียจมักง่าย ชอบแต่ความสะดวก ไม่มีความอดทน ซง่ึ ขดั แย้งต่อ
หลกั พระธรรมวินยั ตลอดไป เพื่อพระ – เณร หรอื ผ้มู ุ่งตอ่ แดนพ้นทุกข์ จะได้ศกึ ษาเปน็
สายทางพาก้าวเดินตามหลักอริยประเพณีที่ดีเลิศ และด�ำเนินตามร่องรอยปฏิปทาจะ
ไม่ผดิ หวงั

ตอนเช้า เวลาโดยประมาณ ๖.๐๐ น. ช่วยกันปัดกวาดด้านบนและด้านลา่ งศาลา
ตลอดรอบๆ บรเิ วณใหส้ ะอาด สงั เกตดดู ว้ ยความรอบคอบ ปอู าสนะเฉพาะผมู้ พี รรษามาก
เท่าท่ีเห็นควร ต้ังน้�ำใช้ น�้ำฉัน จัดวางกระโถนให้พอเหมาะพอดีตามล�ำดับพรรษาให้
เสรจ็ เรียบรอ้ ย จากน้ันแล้วเขา้ ทางจงกรม หรอื อยดู่ ว้ ยความสงบไม่พูดคยุ กันจนถงึ เวลา
ออกบิณฑบาต

การออกบณิ ฑบาตเพอื่ เลย้ี งชพี ตลอดชวี ติ เปน็ ความชอบธรรมของเพศสมณะ กริ ยิ า
อาการต้องอยใู่ นท่าสงั วรระวัง อย่าเดนิ เคียงคหู่ รือพดู คุยกันทงั้ ไปและกลับ

46

ครั้นกลับจากบิณฑบาต ช่วยกันพิจารณาแจกอาหารแก่หมู่คณะท่ีอยู่ร่วมกัน
จดั อาหารลงใสบ่ าตรใหพ้ อเหมาะกับนสิ ัยของพระ – เณรรูปนั้นๆ และชว่ ยกันจดั อาหาร
เลี้ยงแขกด้วยความเอ็นดูเมตตา อย่าท�ำพอเป็นพิธี จัดให้ตามฐานะของบุคคลหรือ
คณะนั้นๆ ใหพ้ อดีและท่ัวถึงกนั ตามสมควร

ฉันเฉพาะอาหารในบาตรเท่าน้ัน กอ่ นลงมอื ฉนั ต้องพิจารณาอาหารในบาตรโดย
แยบคาย เพอื่ ดบั ไฟเจา้ ตณั หาอยา่ งนอ้ ย ๓ – ๕ นาที แลว้ จงึ คอ่ ยลงมอื ฉนั ดว้ ยความสงั วร
ระวัง โดยสงั เกตหัวหนา้ เปน็ ผู้ลงมือฉันกอ่ น ๑ – ๓ องค์ แลว้ ค่อยลงมือฉันโดยทั่วกนั
นัน้ เป็นสายทางอริยประเพณี นับแต่กาลไหนๆ มาและตลอดไป

หลงั ฉนั เสรจ็ รีบขวนขวายท�ำกจิ วตั ร ชว่ ยกนั ลา้ งบาตรระหวา่ งผู้มพี รรษาเกนิ ๑๐
ขน้ึ ไป ช่วยพระผูเ้ ฒ่า หรอื พระปว่ ยอาพาธ ด้วยความเอน็ ดูมเี มตตาธรรมตอ่ กัน ชว่ ยกนั
เก็บอาสนะท่ีน่ังให้เรียบร้อย เม่ือฤดูฝนหรือวันใดฝนตก ให้พิจารณาในการเก็บรักษา
เสนาสนะที่นอน ทีน่ ง่ั พอเหมาะปราศจากความช้นื อยา่ ให้เสยี หาย

เมอื่ กลับถงึ กฏุ เิ ก็บบริขารบาตรจีวรเรยี บร้อยแล้ว รีบเขา้ ทางจงกรมเพียรพยายาม
ท�ำด้านจิตตภาวนาของตนด้วยสติปัญญา ให้ถืองานจิตตภาวนานี้เป็นงานส�ำคัญมาก
ยง่ิ กว่างานไหนๆ ในโลก จากเวลาประมาณ ๙.๐๐ – ๑๑.๐๐ น. เปน็ ประจำ� ทกุ ๆ วนั
อย่าประมาท น้ีแลเป็นงานของสมณะนกั บวชแท้

เวลาประมาณ ๑๑.๐๐ – ๑๓.๐๐ น. ท่านจะพักผ่อนพอประมาณ บางองค์ทา่ นก็
น่ังภาวนาตามนิสัยของท่าน ถึงจะพักผ่อน ท่านก็อยู่ในท่าพร้อมด้วยสติปัญญา เมื่อ
พักผอ่ นพอสมควรแล้วกเ็ ข้าทางจงกรมหรือน่งั ภาวนาต่อไป จนกระทง่ั เวลา ๑๕.๐๐ น.

ต่อมาในสมัยที่มีศาลา กุฏิ ห้องน้�ำมากข้ึน ตามปฏิปทาท่ีเคยเห็นท่านปฏิบัติมา
จากนัน้ เวลา ๑๕.๐๐ – ๑๗.๐๐ น. พร้อมกันท�ำความสะอาดกวาดลานวดั (กวาดตาด)
เสรจ็ แลว้ พรอ้ มกนั ขน้ึ ทำ� ความสะอาดบนศาลา ขดั ถเู ชด็ พน้ื และปดั กวาด เสรจ็ เรยี บรอ้ ยแลว้

47
จึงช่วยกันตักกรองน�้ำใช้ น�้ำฉันใส่ตุ่ม ท�ำความสะอาดห้องน�้ำ โรงครัว เตาไฟ เก็บ
ภาชนะต่างๆ กวาดลานพระเจดีย์ จากนั้นผู้มีหน้าท่ีปฏิบัติครูบาอาจารย์ก็ไปท�ำกิจวัตร
นนั้ ๆ ตามกาลเวลาท่ที า่ นใหโ้ อกาส จนถงึ เวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น. ใหเ้ ลิกทำ� กิจวตั ร
ทกุ อยา่ ง ทำ� กจิ ธรุ ะสว่ นตวั เสรจ็ แลว้ รบี เขา้ ทางจงกรม บำ� เพญ็ เพยี รทางดา้ นจติ ตภาวนา
ด้วยสติปญั ญารกั ษาจิตใจของตนอย่างจดจอ่ ต่อเนอื่ งตอ่ ไป

กิจวัตรชว่ งเวลากลางคนื

หลังจากกวาดลานวัด (กวาดตาด) เสร็จ ในสมัยน้ันไม่มีนาฬิกามาก�ำหนดเวลา
ทกุ วนั นปี้ ระมาณ ๑๗.๐๐ น. จากนนั้ ตา่ งองคก์ ต็ า่ งรบี กลบั กฏุ หิ รอื ทพ่ี กั ทำ� กจิ วตั รสว่ นตวั
เสร็จเข้าทางจงกรม ซึง่ ถือเปน็ งานสำ� คญั ประจ�ำของเพศสมณะ

พอค่�ำมืดท่านจะติดโคมไฟในท่ีทางจงกรมแทบทุกแห่ง ทุกวันนี้คงประมาณ
๑๘.๐๐ – ๒๒.๐๐ น. มองไปที่ไหนจะเห็นแต่ท่านเดินจงกรมท�ำความเพียรภาวนา
เรือ่ งทำ� ความพากเพยี รทางภาคปฏิบัตนิ เ้ี ดน่ มากในยุคน้นั การทำ� วตั รไหวพ้ ระสวดมนต์
พอถึงเวลาต่างองค์ก็ต่างสวดมนต์ของท่านเองตามอัธยาศัย ไม่ได้มาสวดมนต์รวมกัน
บางองคท์ ่านสวดมนตเ์ กง่ มาก นานเปน็ ช่ัวโมงๆ แตไ่ มเ่ คยไดย้ ินทา่ นสวดมนตม์ เี สยี งดงั
ให้รบกวนคนอื่น ไม่มีองค์ไหนๆ ที่จะค�ำนึงถึงเวล�่ำเวลาและกิจการงานใดๆ ให้เป็น
อปุ สรรคกบั ทางดา้ นจติ ตภาวนา องคไ์ หนทา่ นเดด็ ทา่ นกน็ งั่ ตลอดคนื หรอื ไมน่ อนตลอดคนื
ดว้ ยอริ ยิ าบถยนื เดนิ นง่ั แตล่ ะองคท์ า่ นจะกำ� หนดทำ� ความพากเพยี รของทา่ นอยา่ งเอาจรงิ
ท้ังกลางวันกลางคืน จึงเป็นเหตุช่วยส่งเสริมก�ำลังน้�ำใจระหว่างหมู่คณะที่อยู่ร่วมกัน
เพม่ิ กำ� ลงั ใจซงึ่ กนั และกนั อยา่ งดดู ดมื่ ไมจ่ ดื จางใหท้ อ้ ถอย เพราะตา่ งองคต์ า่ งมธี รรมอยา่ ง
ฝังลึกๆ ภายในใจ ท่านชอบความสงบรักความสงบประจ�ำนิสัย จะท�ำอะไรระมัดระวัง
ด้วยสติปัญญา จงึ ไม่มกี ารกระทบกระเทอื นระหว่างหมู่คณะทอี่ ยูร่ ่วมกนั จติ ใจจึงเจริญ

48

กา้ วหน้าไปอย่างรวดเร็ว น้แี ลปฏิปทาท่ีผ้เู ขยี นไดเ้ ห็นมา ทีพ่ ่อแมค่ รูบาอาจารย์ลกู ศิษย์
หลวงปู่มั่นพาด�ำเนิน ซ่ึงมีความต่างกันกับสมัยนี้มากจนคาดคะเนเดาไม่ถึง ไกลกัน
คนละโลก



เร่อื งการฉันน้�ำร้อน และอดอาหาร

สมัยแต่กอ่ น เรอ่ื งน้�ำรอ้ นเครื่องดมื่ ของฉนั ทา่ นจะฉันผลสมอมะขามป้อมและอืน่ ๆ
ทที่ า่ นถอื เปน็ ยา เพยี งเปน็ ยาระบายเพอื่ บรรเทาธาตขุ นั ธเ์ ทา่ นนั้ และไมม่ นี ำ�้ รอ้ นฉนั ประจำ�
ไมเ่ ห็นมอี งค์ไหนทา่ นสนใจในเรือ่ งของฉนั เครอ่ื งด่ืม

สมัยทุกวันน้ี เปน็ การอนโุ ลมใหม้ ารว่ มกันฉันท่ีโรงน้ำ� ร้อน ตามเวลาที่ได้ก�ำหนด
ตกลงกัน ไม่ควรน�ำของฉันเคร่ืองด่ืมทุกชนิดไปเก็บไว้เพื่อส่วนตัว มีอะไรขอให้แจก
แบง่ มารวมกนั ฉนั ทน่ี ใี่ หท้ วั่ หนา้ กนั การนำ� ไปเกบ็ ไวต้ ามกฏุ ิ จะเปน็ สาเหตใุ หแ้ ตกแยกกนั
เปน็ กลมุ่ เปน็ คณะ ดไี มด่ จี ะเปน็ เหมอื นทางโลกเขาโดยไมร่ ตู้ วั จะไมม่ คี วามสงบรม่ เยน็ ใจ
แก่ผตู้ งั้ ใจเข้ามาศกึ ษาทกุ กาลเวลา ยกเว้นพระอดอาหาร

เรอ่ื งพระอดอาหาร ถ้าตงั้ ใจทำ� ความเพยี รทางดา้ นจติ ตภาวนาลว้ นๆ จะได้ก�ำลงั
ทางดา้ นจติ ใจเกนิ คาดเกนิ หมาย ซงึ่ ถกู กบั จรติ นสิ ยั เปน็ บางราย ถา้ ไมไ่ ดก้ ำ� ลงั ใจทางดา้ น
จิตตภาวนาไม่ควรอด และถ้าอดอาหารแล้วกลวั ตายทนตอ่ ความหวิ ไมไ่ ด้ เท่ียวทำ� ความ
เดือดร้อนให้คนอนื่ ไปรบกวนคนอ่นื ให้ย่งุ เหยงิ วุ่นวายในเรอื่ งเครือ่ งดม่ื ของฉันทุกชนิด
กอ็ ยา่ อดเลย ผดิ ปฏิปทาสายทางอริยวงศ์ทกุ กาลตลอดไป

การอดอาหารเพ่ือทางด้านจิตใจ ให้ถือเร่ืองจิตตภาวนาเป็นเรื่องส�ำคัญมากกว่า
ชีวิตความเป็นอยู่ ผู้ตั้งใจอดอาหารเพ่ือความเพียรอย่างน้อย ๓ วันขึ้นไป จึงควรมี
เมตตากันเรื่องเคร่ืองด่ืมของฉันพอประมาณ น้ันเป็นสายทางด�ำเนินและควรพิจารณา

49

ปฏบิ ตั ติ อ่ กนั จะอยรู่ ว่ มกนั อยา่ งมคี วามสงบสขุ ทา่ นผดู้ ำ� เนนิ ภาคปฏบิ ตั จิ ติ ตภาวนาเทา่ นนั้
จะรู้พอดพี อเหมาะเรื่องอาหารกายอาหารใจ

หมายเหตุ คำ� ว่า วัตร ทา่ นหลวงปู่ม่ันอธบิ ายวา่ “ขนบ คือแบบอย่างท่พี ระควร
ประพฤตใิ นกาลกิจและบคุ คล อันนเ้ี รียกวา่ วัตร พระทเ่ี อาใจใสไ่ มน่ ิง่ ดดู าย พยายาม
ประพฤตวิ ตั รน้ันๆ ใหบ้ รบิ รู ณ์ไดช้ ื่อว่า อาจารสมั ปนั โน คอื เปน็ ผูถ้ งึ พร้อมดว้ ยมรรยาท
หรือจะเรียกอกี อยา่ งหนงึ่ ว่า วัตตสัมปันโน ผู้ถงึ พรอ้ มด้วยวัตร สลี สัมปนั โน ผู้ถงึ พรอ้ ม
ด้วยศีล ถ้าศิษย์เข้ามาขอนิสัยแล้วปฏิบัติได้อย่างน้ี พระพุทธองค์ท่านสรรเสริญไว้ใน
พระธรรมวนิ ัย”

น้แี ลที่ไดพ้ ยายามเขียนปฏิปทากจิ วตั รข้อปฏิบัตไิ ว้ เพ่ือกลุ บตุ รสดุ ทา้ ยในภายหลัง
จะได้น�ำไปศึกษาปฏิบัตติ ามก�ำลงั สติปัญญาของตน ขอให้ใครค่ รวญพิจารณาตรติ รอง
ใหร้ ้ดู ว้ ยปญั ญาเถดิ

50

วิธีฌาปนกจิ ศพและการเกบ็ ศพพระปา่

ก่อนจะเขียนเรื่องการเผาศพของพระป่า ผู้อ่านควรค�ำนึงถึงพระพุทธเจ้าผู้เป็น
ศาสดาเอกของโลกท้งั สาม ทรงแนะนำ� ส่ังสอนสัตว์โลกเตม็ เป่ยี มดว้ ยพระเมตตา ตรสั ไว้
ชอบแลว้ ทุกอย่างไมน่ า่ สงสัย

กอ่ นพระองคจ์ ะปรนิ พิ พาน ได้ตรัสสงั่ พระสาวกให้ปฏบิ ตั ติ อ่ พระสรรี ะของพระองค์
อย่างไร ตามหนังสือพุทธประวัติท่านได้กล่าวไว้โดยพิสดาร ผู้เขียนขอกล่าวเอาแต่
เนอ้ื ความตามนสิ ยั ของภาษาพระปา่ ใครตอ้ งการทราบรายละเอยี ด กรณุ าไปหาอา่ นตาม
หนังสือพุทธประวตั ิเลม่ ๓ ของสมเดจ็ พระสังฆราช (สา) ฉบบั มหามกฏุ ราชวิทยาลัยนนั้
ก็จะทราบไดด้ ี

เรื่องครั้งน้ัน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์เป็นจ�ำนวนมาก
เสดจ็ ดำ� เนนิ ไปข้ามแมน่ ้�ำหิรญั ญวดี ถึงเมอื งกสุ ินารา บรรลถุ งึ ป่าสาลวนั อันเปน็ สถานท่ี
ควรแก่การปรินิพพาน ตรัสสั่งพระอานนท์ว่า “ดูก่อนอานนท์ ท่านจงแต่งตั้งปูลาดซึ่ง
เตยี งให้มเี บ้อื งศรี ษะ ณ ทศิ อุดร (หันศรี ษะไปทางทิศเหนือ) ณ ระหว่างแหง่ ไมร้ งั ท้ังคู่
เราเปน็ ผู้เหนด็ เหน่ือยมาก จะนอนระงบั ความล�ำบาก”

พระอานนทเ์ ถระทราบพทุ ธประสงค์ จงึ แตง่ ตงั้ ปลู าดซงึ่ เตยี งพระแทน่ ทจ่ี ะปรนิ พิ พาน
ระหว่างแหง่ สาลพฤกษ์ทั้งคู่ ตามที่พระองคร์ ับสั่งดว้ ยความเคารพ

ล�ำดับนั้น สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงส�ำเร็จซึ่งสีหไสยาสน์โดยข้างเบื้องขวา
(นอนตะแคงขา้ งขวา) ตง้ั พระบาทเหลอื่ มดว้ ยพระบาท (ฝา่ เทา้ ทบั ฝา่ เทา้ ) มสี ตสิ มั ปชญั ญะ
ทรงความรสู้ ว่างจา้ ซ่ึงเปน็ ธรรมอัศจรรย์ไม่มีกาลเวลาเหนอื โลกใดๆ ในแดนแหง่ สมมุติ
ทรงบรรทมแต่ไม่ใช่หลับ และไม่มีการลุกขึ้นอีก เพราะเหตุเป็นไสยาวสาน เรียกว่า
อนุฏฐานไสยา คือสีหไสยาแห่งการปรินิพพานในท่านอน ไม่เปล่ียนแปลงในอิริยาบถ
ใดๆ ดว้ ยความองอาจกลา้ หาญสงา่ งาม ไมม่ ีใครเสมอเหมอื นในโลก

51
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นทรงเป็นผู้เลิศผู้ประเสริฐในทิพยจักษุญาณ ทิพย-
โสตญาณเป็นวิชชาพิเศษ ทรงรู้แจ้งแทงทะลุหมดด้วยพระปรีชาญาณในแดนแห่งหมื่น
โลกธาตุซึ่งเป็นความรู้อัศจรรย์เกินคาดเกินหมายของมนุษย์ท่ีมีวิชาความรู้เพียงปัญญา
โลกยี ์ แตไ่ มไ่ ด้ปฏบิ ัติทางด้านจติ ตภาวนานนั้ เข้าใจได้ยาก
ล�ำดับน้ันพระองค์ตรัสกับพระอานนท์ว่า “ดูก่อนอานนท์ เร่ืองการถวายเคร่ือง
สกั การบชู าดว้ ยอามสิ ถงึ แมจ้ ะจดั เครอ่ื งสกั การะทำ� ใหป้ ระณตี ดงี าม สวยงามดเี ลศิ ทำ� ให้
มมี ากสกั เพยี งไร เพอ่ื บชู าเราตถาคตๆ ไมถ่ อื วา่ เปน็ การสกั การบชู าทเ่ี ปน็ ของเลศิ ของวเิ ศษ
ดว้ ยอามิสเพียงเทา่ น้ัน ดกู อ่ นอานนท์ ภกิ ษุ ภกิ ษุณี อบุ าสก อบุ าสกิ า บคุ คลผใู้ ดแลมา
ส�ำเหนียกตน มีสติต้ังใจประพฤติปฏิบัติซ่ึงธรรม ให้สมควรแก่ธรรมที่เราตถาคตได้
ตรสั รแู้ ลว้ กลา่ วไวช้ อบแลว้ เพอื่ ปราบกเิ ลสและบาปธรรม นค้ี อื การปฏบิ ตั ธิ รรมเพอ่ื ถงึ แดน
แหง่ บรมสุขปราศจากมลทนิ โทษทงั้ มวล น้แี ลคอื การบชู าเราผู้ตถาคตโดยแท”้

วิธปี ฏบิ ัติในพระพทุ ธสรีระ

ลำ� ดบั นน้ั พระอานนทเ์ ถระเจา้ ทลู ถามถงึ การทจี่ ะพงึ ปฏบิ ตั ใิ นพระสรรี ะพระตถาคต
เจ้าเป็นไฉน พระพุทธเจ้าตรัสปฏิเสธทันทีว่า “ดูก่อนอานนท์ ท่านทั้งหลายเหล่าภิกษุ
สหธรรมกิ บรษิ ทั จงอย่าขวนขวายเพื่อจะบชู าพระสรรี ะแห่งพระตถาคตเจ้าเลย อย่าเป็น
กงั วล ดกู อ่ นอานนท์ เราตกั เตอื นทา่ นทงั้ หลาย จงพยายามในประโยชนข์ องตนเถดิ จงเปน็
ผู้ไม่ประมาทในประโยชน์ของตน เป็นบุคคลผู้มีความเพียรเผากิเลสและบาปธรรม
เปน็ ผมู้ งุ่ ตอ่ แดนพ้นทุกขถ์ งึ ทสี่ ดุ แห่งพรหมจรรย์ พยายามเผากเิ ลสใหห้ มดไปจากสนั ดาน
ทุกอิริยาบถเถิด ดูกอ่ นอานนท์ กษตั รยิ ์ พราหมณ์ คฤหบดที ง้ั หลาย ผู้เปน็ บัณฑติ ท่มี ี
ศรัทธาเล่ือมใสในพระตถาคตเจ้ามีอยู่มาก บัณทิตคฤหัสถชนมีกษัตริย์เป็นต้นเหล่านั้น
จักทำ� ซง่ึ สกั การบูชาพระสรีระแหง่ พระตถาคตเจา้ การบชู าพระสรรี ะแหง่ พระตถาคตเจ้า
เปน็ กจิ ของคฤหสั ถ์มกี ษัตรยิ ์เป็นต้น”

52

เมอ่ื สมเดจ็ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั ปฏเิ สธแกพ่ ระอานนทเ์ ถระวา่ ไมเ่ หน็ ควรแกเ่ หลา่
ภกิ ษบุ รษิ ทั จะทำ� การบชู าสรรี ะเราผตู้ ถาคต พระองคท์ รงหา้ มวา่ ไมใ่ ชธ่ รุ ะของสหธรรมกิ
บรรพชติ

พระอานนท์อัครพุทธอุปัฏฐากผู้เลิศด้วยสติปัญญา จึงมาด�ำริว่า เมื่อสมเด็จ
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสห้ามเราจึงไม่ทูลถาม ดังน้ีหาสมควรแก่บัณฑิตผู้อยู่ในอ�ำนาจ
แหง่ เหตไุ ม่ เราควรทลู ถามไวเ้ ปน็ แบบอยา่ ง เมอ่ื ทลู ถามแลว้ ไมท่ รงแสดงไซร้ กจ็ ะไดอ้ า้ ง
ตามเหตุเดิมว่าได้ทูลถามแล้ว พระองค์ไม่ทรงปริยายดังนี้จึงจะชอบ จะไม่เกิดครหาแก่
ผู้ใดได้ เมื่อทูลถามแล้วจะทรงแสดงฉันใดก็ควรจ�ำไว้ฉันน้ัน เม่ือมีบัณฑิตมีกษัตริย์
เป็นตน้ มาไต่ถาม จะได้แสดงตามพทุ ธาธบิ าย

เหตุการณ์ดังนั้น พระอานนท์เถระผู้มีคติธิติ (ความจ�ำ) ด้วยสติปัญญาอันเลิศ
จงึ กราบบงั คมทลู วา่ “ขา้ แตพ่ ระผมู้ พี ระภาคเจา้ กบ็ ณั ฑติ มกี ษตั รยิ เ์ ปน็ ตน้ เมอ่ื จะบชู านน้ั
จะพึงปฏบิ ตั ิในพระสรรี ะแหง่ พระตถาคตเจา้ อย่างไร”

“ดูก่อนอานนท์ ชนทั้งหลายย่อมปฏิบัติในพระสรีระแห่งพระจักรพรรดิราชฉันใด
ผ้จู ะบชู าพงึ ปฏิบัติในพระสรรี ะแหง่ พระตถาคตเจา้ ฉันนั้นเถิด”

“ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ชนท้ังหลายปฏิบัติในสรีระของพระจักรพรรดิราช
อย่างไรเล่า”

“ดูก่อนอานนท์ ชนทั้งหลายพันซึ่งสรีระของจักรพรรดิราชด้วยผ้าใหม่และซับด้วย
ส�ำลี แล้วห่อด้วยผ้าใหม่ โดยอุบายน้ี (วิธีนี้) ห่อด้วยผ้า ๕๐๐ คู่ และเชิญพระสรีระ
ลงประดิษฐาน ณ รางเหล็ก เต็มด้วยน�้ำมัน แล้วปิดครอบด้วยรางเหล็กอ่ืนเป็นฝา
แล้วท�ำจิตกาธาน (เมรุ เชิงตะกอน) ล้วนแต่ไม้หอมประดับแล้ว ท�ำฌาปนกิจถวาย
พระเพลงิ พระสรรี ะพระเจา้ จกั รพรรดริ าช แลว้ เชญิ พระอฐั ธิ าตบุ รรจทุ ำ� สถปู ไวใ้ นสถานที่
อันควรกราบไหว้ คนไปมาสะดวก” (ก่อสร้างพระธาตุหรือพระเจดีย์ในที่อันสมควรแก่
การกราบไหว้แห่งมนุษยนกิ รตลอดไป)

53

ถูปารหบคุ คล ๔

บคุ คลผ้คู วรกอ่ สร้างสถปู และพระเจดยี ์ สมเดจ็ พระผูม้ พี ระภาคเจา้ ตรัสวธิ ปี ฏบิ ัติใน
พระสรรี ะแหง่ พระตถาคตพุทธเจา้ และจักรพรรดริ าช แสดงวา่ ๒ อจั ฉรยิ มนษุ ย์บุรุษรัตน์
ควรแกก่ ารประดษิ ฐานพระสถูปหรือพระเจดยี ์ ดงั นแ้ี ล้ว จงึ ทรงแสดงถูปารหบุคคลทัง้ ๔
โดยพศิ ดาร อนั ควรแกก่ ารประดษิ ฐานใหม้ นษุ ยน์ กิ รไดก้ ราบไหวส้ กั การบชู า เพอื่ สง่ เสรมิ
บญุ กศุ ล ให้มีความสุขกาย สุขใจ ยิ่งๆ ขึ้นไป ดังนี้

๑. พระตถาคตอรหนั ตสมั มาสัมพุทธเจา้
๒. พระปัจเจกพทุ ธเจา้
๓. พระสาวกอรหันต์
๔. พระเจ้าจกั รพรรดริ าช
๔ บุคคลพิเศษประเภทนี้ ควรซ่ึงการสร้างสถูปพระเจดีย์ บรรจุอัฐิธาตุไว้ให้เป็น
ท่ีกราบไหว้ ท่ีสักการบูชาด้วยความเลื่อมใส ก็จะสามารถเป็นชนกปัจจัย (ท�ำให้เกิด
ประโยชน์ คอื บญุ กศุ ล) ใหส้ ตั วเ์ กดิ ในสคุ ตโิ ลกสวรรค์ ตามกำ� ลงั ศรทั ธาความเชอื่ เลอ่ื มใส
แหง่ จิตใจไม่มปี ระมาณ
สมเด็จพระผูม้ ีพระภาคเจา้ กลา่ วถึงบุคคลทง้ั ๔ ประเภทนเี้ ท่านน้ั แกพ่ ระอานนท์
เถระเจ้า ด้วยเหตแุ ห่งสถปู (เหตุแห่งการควรสรา้ งพระเจดยี )์ เพยี งเทา่ น้ี

เร่อื งฌาปนกิจศพพระป่า

ก่อนที่จะเขียนเรื่องการท�ำศพของพระป่า ท่ีท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ
พาจัดท�ำนั้น ตามหนังสือบูรพาจารย์ ท่ีคณะลูกศิษย์ได้จดจ�ำมาเรียบเรียงจัดพิมพ์ข้ึน
ผา่ นไปเปน็ เวลานานอาจมขี อ้ บกพรอ่ งหรอื ผดิ พลาด เพราะคณุ ธรรมภายในใจยงั ไมถ่ งึ ขน้ั

54

แห่งความรู้ชาญฉลาด ถ้าเป็นวิสุทธิบุคคลประเภทมีความรู้ทางปัญญาญาณเขียนข้ึน
ท่านไม่ไดเ้ ขยี นจากสญั ญาอารมณ์ หากจดจารึกดว้ ยปัญญาญาณคอื ความรู้ชาญฉลาด
เปน็ ค�ำสอนของสมณนักปราชญโ์ ดยแท้ ไม่มคี ำ� วา่ ผดิ พลาดคลาดเคลื่อน มแี ต่เหตุแต่ผล
ล้วนๆ ยกเว้นภาษาสมมุติทางโลกอาจจะมีผิดได้ เพราะเป็นเรื่องวิชาทางโลกจดจ�ำได้
ไมท่ วั่ ถึง

ผู้เขียนขอกราบนอบน้อมถึงพระคุณของท่านหลวงปู่ม่ัน ผู้เต็มเปี่ยมด้วยความ
เมตตาธรรมล้วนๆ ขอยกไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม จงดลบันดาลให้ผู้เขียนซึ่งยัง
โง่เขลาด้วยสติปัญญา พอมีวาสนาได้เห็นได้ฟัง พอได้จดจ�ำจากปฏิปทาของลูกศิษย์
หลวงปูม่ นั่ พาดำ� เนนิ

หากมคี วามจำ� เปน็ คอื มที า่ นผหู้ วงั ดขี อรอ้ งใหเ้ ขยี นเรอ่ื งทำ� ศพของวงศพ์ ระกรรมฐาน
(พระป่า) ผเู้ ขียนขอเขยี นตามหนงั สอื บรู พาจารย์ เป็นบางตอนดังตอ่ ไปนี้

ตามกาลเวลาท่ีท่านหลวงปู่มั่นยังมีชีวิตอยู่ สมัยนั้นท่านได้พักอาศัยอยู่ส�ำนัก
วดั ป่าหนองผือ จงั หวัดสกลนคร จ�ำพรรษาตดิ ตอ่ กนั ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๘ – ๒๔๙๒
รวมระยะเวลา ๕ พรรษา สัปปายะสะดวกเหมาะสมกับสถานท่ีที่ท่านได้พักอยู่อาศัย
เงยี บสงดั ทง้ั กลางวนั กลางคนื อนั เปน็ วหิ ารธรรมของทา่ น บรเิ วณพน้ื ทแี่ ถบนนั้ มแี ตป่ า่ เขา
อุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ พอเหมาะแก่ลูกศิษย์ผู้ต้ังใจมุ่งหน้าจะเข้าไปศึกษาภาค
ปฏิบัติดา้ นจิตตภาวนากบั ท่าน ชว่ งระยะเวลา ๕ พรรษานั้น มีพระจำ� พรรษาอยู่กับท่าน
ได้มรณภาพลง ๒ รปู คือ ท่านอาจารย์สอและทา่ นอาจารย์เนียม ซ่งึ เป็นตน้ เหตุทที่ ่าน
หลวงปมู่ ั่นไดพ้ าจัดทำ� ฌาปนกจิ ศพของพระกรรมฐาน (วงศ์พระปฏบิ ตั ิ)

เม่ือถึงกาลเวลาที่ท่านอาจารย์เนียมได้มรณภาพลงด้วยอาการสงบ ในคืนวันน้ัน
ท่านหลวงปู่ม่ันได้พิจารณาทราบทุกอย่าง ด้วยความรู้พิเศษของท่าน พอตอนเช้าท่าน
หลวงปมู่ น่ั ก็ไดพ้ าพระเณรออกไปบณิ ฑบาตภายในหม่บู า้ นหนองผอื ตามปกติ ในขณะท่ี
ทา่ นเดนิ บณิ ฑบาตอยนู่ นั้ ทา่ นเปน็ คนอสี านจงึ พดู เปน็ ภาษาอสี านวา่ “ทา่ นเนยี มรแู้ ลว้ นอ้ ”

55

ทา่ นพูดของท่านอยา่ งนั้นไปเรอ่ื ยๆ กบั พ่อออกแม่ออก (โยมผู้ชาย ผหู้ ญงิ ) ที่ก�ำลงั รอ
ใสบ่ าตรในสมยั นั้น คนรอใส่บาตรกนั เปน็ กลุม่ ๆ จนสุดสายบิณฑบาต

คำ� พดู ของทา่ นหมายความวา่ ทา่ นเนยี มไดม้ รณภาพแลว้ คนื วานนี้ ไมก่ ระดกุ กระดกิ
ตายแล้ว พอญาติโยมทั้งหลายได้ทราบอย่างนั้นแล้ว จึงแจ้งข่าวท่านอาจารย์เนียมให้
ทราบต่อๆ กนั ไป แลว้ พากนั เตรยี มตัวไปทวี่ ดั ในเช้าวนั น้นั

เมื่อท่านหลวงปมู่ ั่นพร้อมด้วยพระเณรบิณฑบาตเสรจ็ แลว้ กลับมาถึงวดั ท�ำกจิ วัตร
ทเ่ี คยปฏิบัตเิ ปน็ ประจำ� เขา้ ประจำ� ที่น่ังตามอายพุ รรษาด้วยความสงบเรยี บร้อย ตามนิสยั
ของเพศสมณะผู้มคี วามสงั วรมีสตปิ ญั ญาประจ�ำทุกอริ ยิ าบถ ดแู ลว้ เยน็ ตาเยน็ ใจ จากนั้น
แลว้ ไดช้ ว่ ยกนั พจิ ารณาเรอ่ื งการแจกอาหาร แจกแบง่ ใหท้ วั่ ถงึ กนั ตามอาหารทมี่ มี ากนอ้ ย
หรือพระเณรมีมาก เสร็จแล้วเข้าประจ�ำท่ี อนุโมทนา ยถา สัพพีฯ ก่อนฉันพิจารณา
อาหารในบาตรด้วยสติปัญญาอันแยบคายพอสมควร ตามอริยประเพณีผู้เป็นหัวหน้า
ลงมือฉนั กอ่ นประมาณ ๒ – ๓ องค์ แลว้ ค่อยลงมอื ฉันดว้ ยความสงั วรระวงั เงยี บสงบ
เหมอื นไม่มีพระเณร

หลังจากฉนั บิณฑบาตเสรจ็ แล้ว ท่านหลวงปูม่ ัน่ ทำ� สรีระกจิ สว่ นตวั เรียบรอ้ ย ไดล้ ุก
ออกจากอาสนะทนี่ ง่ั เดนิ ลงจากศาลา ตรงไปยงั กฏุ ทิ ท่ี า่ นอาจารยเ์ นยี มมรณภาพ พระเณร
ท้งั หลายกเ็ ดนิ ติดตามทา่ นไปดว้ ย ไปถงึ ทา่ นก็สัง่ การต่างๆ ตามท่ที า่ นคดิ ไวด้ ังน้ี

จะเอาศพทา่ นอาจารยเ์ นยี มไวเ้ ปน็ ตวั อยา่ ง เปน็ แบบฉบบั สอนคนรนุ่ หลงั ทง้ั พระเณร
และญาตโิ ยม ใหจ้ ดจำ� ไวเ้ รอ่ื งการทำ� ฌาปนกจิ ศพ โดยไมม่ พี ธิ กี ารใดๆ เชน่ อาบนำ้� ศพ
สรงนำ้� ศพก็ไมม่ ี หีบศพ (โลงศพ) กไ็ มใ่ หท้ ำ� สถานท่เี ผาศพกเ็ ปน็ ไปตามหลกั ธรรมชาติ
ลว้ นๆ โดยไมไ่ ดต้ กแตง่ ความสวยงามใดๆ ใหเ้ สยี เวลาเปลา่ จากประโยชน์ เพยี งแตท่ ำ� ให้
พอเหมาะกับสถานที่และพ้ืนที่ ท่านไม่ให้ท�ำการตกแต่งใดๆ ท้ังน้ัน ให้หาฟืนไม้แห้ง
ไมต้ ายตามป่าเขามาทำ� เปน็ กองฟอน (กองฟนื ) ใหเ้ สรจ็ ภายในวันนนั้ เอง ในสมยั น้ัน
นาฬิกาหายาก

56

พอได้เวลาท่านเดินไปยืนทางด้านศีรษะของศพท่านอาจารย์เนียม แล้วก้มลงใช้
มือจบั สาด (เส่ือ) ทงั้ สองขา้ ง ท�ำทา่ จะยกข้ึนด้วยท่าทางขึงขังจริงจัง ทางดา้ นพระเณร
ท้ังหลายเห็นอาการกิริยาของท่านเช่นนั้นแล้ว จึงเข้าใจความหมายของท่านที่ต้องการ
ให้ยกศพ หามศพไปในสถานทก่ี องฟืนในเดี๋ยวนัน้ ดังน้นั พระเณรทั้งหลายจึงพรอ้ มกนั
เขา้ ไปชว่ ยยกศพจากมอื ทา่ น หามไปทก่ี องฟนื เมอื่ ทา่ นหลวงปมู่ น่ั เหน็ วา่ พระเณรทง้ั หลาย
เข้าช่วยหามศพมากแล้ว ท่านจึงปล่อยให้พระจัดหามกันเอง ท่านเพียงแต่คอยแนะน�ำ
ตักเตอื นสงิ่ ทคี่ วรหรอื ไม่ควรแลว้ ท่านกเ็ ดนิ ตามหลังคณะพระทห่ี ามศพนัน้ ไป

เม่อื ทา่ นหลวงปูม่ ่นั เดินไปถึงทีเ่ ผาศพแลว้ กอ่ นจะเผานนั้ ท่านสัง่ ใหพ้ ลกิ ศพตะแคง
ขา้ งขวาแลว้ ตรวจดูบริขารในศพ มอี ันใดพอจะไดเ้ กดิ ประโยชน์ เชน่ รัดประคตเอวไหม
ท่านก็จะน�ำออกมาย่ืนให้พระท่ีอยู่ใกล้ๆ พร้อมกับพูดว่า “น่ีประคตเอวไหมยังใช้
ประโยชน์ได้ ใครไม่มีก็เอาไปใช้เสีย” เฉพาะภายในศพน้ันมีเพียงเสื่อและจีวรปกคลุม
เพยี งเพื่อให้ศพดเู รยี บรอ้ ย

หลังจากน้ันท่านพาพระเณรสวดกุสลามาติกาบังสุกุลจนจบ แล้วสั่งตาผ้าขาวให้
จุดไฟใส่ตะบอง (ข้ีไต้) แล้วเขาก็น้อมถวายย่ืนให้ท่าน เมื่อท่านรับแล้วพิจารณาอยู่
สกั ครหู่ นงึ่ จงึ ไปวางไฟใตก้ องฟนื ไมน่ านไฟกต็ ดิ ลกุ โชนขน้ึ เรอื่ ยๆ จนเปน็ เปลวสงู ขนึ้ ไป
อย่างรวดเร็ว ในที่สุดไม่นานไฟก็เริ่มไหม้ท้ังฟืนทั้งศพ เหลือแต่เพียงเถ้าถ่านและกอง
กระดกู เทา่ น้ัน

เร่ืองการสวดกสุ ลามาตกิ าบังสุกุล ผ้เู ขยี นเขา้ ใจว่าเคยไดย้ นิ จากลกู ศิษย์หลวงปูม่ น่ั
อธบิ ายให้ฟงั เปน็ บางโอกาส บางองค์ท่านกม็ ไิ ดพ้ าสวดกสุ ลามาติกาบงั สุกุลเลย

นแ้ี ล ทา่ นหลวงปมู่ นั่ ภรู ทิ ตั ตเถระพาจดั ทำ� ฌาปนกจิ (เผาศพ) พระปฏบิ ตั ิ (พระปา่ )
เม่ือมรณภาพลง มีอันใดท่ีจะเกิดประโยชน์ ท่านหลวงปู่ม่ันซ่ึงเป็นจอมปราชญ์ในสมัย
กรุงรัตนโกสินทร์ดินแดนชาติไทยของเรา ท่านมิได้มีพิธีการใดๆ ทั้งส้ิน การสร้าง
พระธาตุพระเจดีย์หรือแม้แต่หม้อดินท่ีโยมเขาน�ำมาถวายท่านเพ่ือใส่อัฐิ ท่านก็ไม่รับ

57

และบอกเขาว่า ควรเก็บไว้เพ่ือหุงข้าวต้มแกงมีประโยชน์กว่า ตายแล้วเผาศพตามที่
เหน็ ควร เรอ่ื งอฐั ิ (กระดกู ) เพยี งขดุ หลมุ ใหพ้ อเหมาะกบั สถานทแี่ ลว้ กก็ วาดอฐั ใิ สล่ งในหลมุ
แลว้ โกยดินถมกห็ มดเร่อื ง

ท่านหลวงปู่มน่ั พาทำ� ศพแบบสะดวกเรียบง่าย และมแี ตส่ ารประโยชนล์ ว้ นๆ ท่ีท่าน
พาจัดพาทำ� ไมต่ ้องเก็บศพไวห้ ลายวนั อย่างทีโ่ ลกนิยมกนั ซึง่ ทำ� ให้เสียเวลาและไม่เกดิ
ประโยชน์อันใดส�ำหรับผู้ท่ียังมีชีวิตอยู่ ถ้าเก็บศพไว้หลายวัน ยิ่งท�ำให้ยุ่งเหยิงวุ่นวาย
แตเ่ ร่ืองศพคนตายและพระตายแล้ว มแี ตจ่ ะทำ� ให้เสียเวลาไปโดยเปลา่ ประโยชน์ทง้ั น้นั

ขอยตุ เิ รอื่ งฌาปนกจิ ศพพระปา่ เพยี งเทา่ นี้ ผดิ ถูกประการใด ขอใหผ้ ไู้ ดเ้ ห็นไดอ้ า่ น
พิจารณาตริตรองให้รูด้ ว้ ยปญั ญาเถดิ

58

งานพระราชทานเพลิงศพพระกรรมฐาน

วนั อาทติ ย์ ที่ ๒๗ เมษายน พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๓ เวลา ๑๓.๕๗ นาฬกิ า เกิดอบุ ตั เิ หตุ
เครอื่ งบนิ ตกที่ ต.คลองหลวง อ.ธญั บรุ ี (ลำ� ลกู กา) จ.ปทมุ ธานี มผี เู้ สยี ชวี ติ จำ� นวนมากนน้ั
มีพระป่าถึงแก่มรณภาพจ�ำนวน ๔ รูป คือ พระอุดมสังวรวิสุทธิเถร (พระอาจารย์วัน
อุตตโม) วัดถ้�ำอภัยด�ำรงธรรม อ.ส่องดาว จ.สกลนคร พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ
วัดเจติยาคิรีวิหาร (ภูทอก) อ.ศรีวิไล จ.บึงกาฬ พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร
วัดป่าแก้วชมุ พล อ.สวา่ งแดนดนิ จ.สกลนคร และพระอาจารย์สุพฒั น์ สขุ กาโม วดั ปา่
ประสทิ ธสิ ามคั คี (บ้านต้าย) อ.สวา่ งแดนดนิ จ.สกลนคร

ในเวลาต่อมาความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
และสมเดจ็ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินนี าถ ไดท้ รงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ มเด็จ
พระเจา้ ลกู เธอเจา้ ฟา้ จฬุ าภรณว์ ลยั ลกั ษณ์ เสดจ็ พระดำ� เนนิ ไปยงั โรงพยาบาลภมู พิ ล เพอื่ ให้
เจา้ หนา้ ทรี่ วบรวมศพพระสงฆท์ งั้ หมด รวมพระอาจารยท์ ง้ั ๔ รปู นดี้ ว้ ย โดยใหค้ ณะแพทย์
ตกแต่งสภาพศพของพระอาจารยท์ งั้ หมด เสร็จแลว้ ให้อัญเชิญศพไปประดษิ ฐานบำ� เพญ็
บญุ กุศล ณ วดั พระศรีมหาธาตวุ รมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร

เร่ืองหีบใส่ศพของท่านพระอาจารย์ทุกรูป เกิดจากน้�ำใจศรัทธาของคณะลูกศิษย์
เขาน�ำมาถวายเพื่อใส่ศพ ซึ่งพอดีกับคณะศรัทธาด้วยความเคารพเลื่อมใส เป็นผู้ฉลาด
ในการบ�ำเพญ็ บุญกศุ ล มิไดร้ บกวนนำ้� ใจของคณะศรัทธาใดๆ

วันจันทร์ที่ ๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๒๓ เวลา ๑๗.๐๐ นาฬิกา ได้ทรง
พระกรณุ าโปรดเกล้าฯ พระราชทานน�้ำหลวงสรงศพพรอ้ มด้วยหบี เกียรติยศประกอบศพ
ณ ตกึ ตสิ สมหาเถร วดั พระศรมี หาธาตวุ รมหาวหิ าร กรงุ เทพมหานคร และทรงพระกรณุ า
โปรดเกล้าฯ ให้รับศพพระอาจารย์ทั้ง ๔ รูปไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ และทรง
พระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ พระราชทานพระพิธธี รรมสวดพระอภิธรรม กำ� หนด ๗ คืน

59

ในวันเสด็จพระราชด�ำเนิน ทรงบ�ำเพ็ญพระราชกุศล ๗ วันน้ัน คณะลูกศิษย์ได้
กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ท่ีจะอัญเชิญศพของพระอาจารย์
ท้งั ๔ รปู น้ี กลบั ไปบำ� เพญ็ กศุ ล ณ วัดนัน้ ๆ ทท่ี ่านเคยอยู่จำ� พรรษา ซึ่งไดท้ รงพระกรุณา
โปรดเกลา้ ฯ พระราชทานพระบรมราชานญุ าต ใหค้ ณะลกู ศษิ ยอ์ ญั เชญิ ศพไปบำ� เพญ็ กศุ ล
ได้ตามอัธยาศัย

เมอ่ื ครบกำ� หนดการบำ� เพญ็ กศุ ลอทุ ศิ ถวายทว่ี ดั พระศรมี หาธาตฯุ แลว้ กไ็ ดอ้ ญั เชญิ
ศพของท่านพระอาจารย์ทัง้ ๔ รปู กลับสยู่ ังวดั ทท่ี า่ นได้พักอาศัยแต่ก่อนมา โดยได้ทรง
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หัวหน้าแผนกพระราชพิธี เป็นผู้ดูแลโดยตลอด ในวันพุธ
ที่ ๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๒๓ เวลา ๐๔.๐๐ นาฬิกา รถอนั เชิญศพไดเ้ คลอ่ื น
ขบวนออกจากวัดพระศรีมหาธาตุฯ กรุงเทพมหานคร โดยมีรถต�ำรวจทางหลวงน�ำถึง
วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี เมื่อเวลา ๑๒.๓๐ นาฬิกา ทางวัดโพธิสมภรณ์และ
ชาวจงั หวัดอดุ รธานี ไดจ้ ัดการตอ้ นรบั เปน็ อย่างดี มพี ระภิกษุสามเณร และประชาชนไป
คอยเคารพศพอยู่อยา่ งเนืองแน่น เสร็จแลว้ เวลาประมาณ ๑๔.๐๐ นาฬิกา รถอญั เชิญศพ
จึงได้แยกยา้ ยไปยังวดั ต่างๆ

ก่อนท่ีจะเคล่ือนขบวนศพออกจากวัดพระศรีมหาธาตุฯ กรุงเทพมหานคร
เฉพาะศพของท่านพระอาจารย์สิงห์ทองและท่านพระอาจารย์สุพัฒน์ พระบาทสมเด็จ
พระเจา้ อยหู่ วั ฯ ไดท้ รงมกี ระแสพระราชดำ� รสั ถงึ ทา่ นพระอาจารยม์ หาบวั ญาณสมั ปนั โน
ใหจ้ ัดงานพระราชทานเพลิงศพของท่านพระอาจารย์ทั้งสอง ซ่งึ เปน็ ลูกศษิ ย์ของทา่ นเอง
ให้เป็นไปตามเจตนาความประสงค์ของท่านพระอาจารย์มหาบัวได้ทุกอย่าง เม่ือถึงวัน
เวลาไดโ้ อกาส ผเู้ ขยี นพรอ้ มดว้ ยพระอาจารยอ์ นิ ทรถ์ วาย สนั ตสุ สโก ไดข้ น้ึ ไปกราบพอ่ แม่
ครบู าจารยท์ า่ นพระอาจารยม์ หาบวั ทวี่ ดั ปา่ บา้ นตาด จ.อดุ รธานี ทา่ นไดเ้ มตตามอบหมาย
ใหผ้ ู้เขียนไปเปน็ หัวหน้าน�ำหมคู่ ณะวงศพ์ ระปฏบิ ตั ิ จดั งานพระราชทานเพลิงศพของทา่ น
พระอาจารย์ทั้งสอง พ่อแม่ครูบาจารย์ท่านพระอาจารย์มหาบัวเป็นประธานในงานน้ี
เพียงแตม่ อบหมายใหผ้ ้เู ขยี นไปด�ำเนินการตามความประสงคข์ องทา่ นเท่านั้น

60

เมอ่ื พอ่ แมค่ รูบาจารย์ทา่ นพระอาจารยม์ หาบัว พจิ ารณาแลว้ เหน็ สมควรให้จดั งาน
พระราชทานเพลิงศพท่านพระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม ก่อนในวันท่ี ๑๑ พฤษภาคม
พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๓ และพระราชทานเพลงิ ศพทา่ นพระอาจารยส์ งิ หท์ อง ธมั มวโร ในวนั ที่
๑๗ พฤษภาคม พุทธศกั ราช ๒๕๒๓ ท่านไดส้ ่ังอย่างเดด็ ขาดวา่ ทา่ นจะเอางานศพของ
ท่านพระอาจารย์ท้ังสองนี้เป็นแบบฉบับในการเผาศพวงศ์พระกรรมฐาน โดยเอาธรรม
น�ำหน้า ไม่ให้เอาเรอื่ งทางโลกน�ำหนา้ ทา่ นจึงไม่อนุญาตให้เกบ็ ศพไวน้ าน หมกั ดอง
ไว้เหมือนปลาร้าปลาเจ่า เพ่ือเอาศพครูบาอาจารย์แสวงหาอยู่หากิน เหมือนอีแร้งอีกา
คอยจะกินซากศพ ไม่สมควรแก่เพศสมณะนกั บวชตลอดไป ย่ิงเก็บไวน้ านเท่าไรกย็ ง่ิ เปน็
ภาระหนักของพระเณรและคณะศรัทธาเสียเวลาไปวันๆ จัดงานศพให้เสร็จเผาได้เร็ว
เท่าไรย่ิงหมดภาระ เบาอกเบาใจแก่ผู้เกีย่ วขอ้ ง

ทา่ นไมใ่ หส้ วดกสุ ลา มาตกิ าใดๆ สวดใหท้ า่ นทำ� ไม ธรรมเหลา่ นที้ า่ นไดเ้ คยปฏบิ ตั มิ า
รู้เห็นมาท้ังน้ันท่านไม่สงสัย เพราะท่านตายแล้วหมดปัญหา ไม่เห็นมาสร้างภาระใดๆ
ให้พวกเราได้รับความยุ่งเหยิงวุ่นวาย ท�ำให้ขาดจากการบ�ำเพ็ญสมณธรรม ซึ่งเป็น
งานเลศิ งานประเสริฐ ยิ่งกว่างานใดๆ ในโลก เราควรถอื งานนเี้ ปน็ งานอย่างสำ� คัญมาก
งานปฏิบัตทิ างด้านจิตตภาวนาตามหลกั ศลี สมาธิ ปญั ญา หรือ สติ สมาธิ ปญั ญา น้คี ือ
งานของสมณะนกั บวชโดยแท้

งานศพคร้ังน้ีเป็นงานศพของท่านผู้ปฏิบัติธรรมซ่ึงสมควรแก่ธรรม การจัดงาน
ของท่านจึงจัดงานเพ่ือธรรมเท่านั้น ไม่ใช่เพ่ือเงิน หรือใช้อ�ำนาจของเงิน ซ่ึงเป็นเรื่อง
ของโลก ถา้ จดั งานเพอื่ ธรรม จตปุ จั จยั ไทยทานทงั้ หลายกม็ าดว้ ยความบรสิ ทุ ธิ์ มแี ตค่ วาม
สงบรม่ เยน็ เป็นสุขกายสขุ ใจ ปราศจากโทษมลทินในเร่อื งใดๆ ตลอดกาล

ก่อนท่ีจะเริ่มท�ำงาน ผู้เขียนได้นิมนต์พระผู้ใหญ่ท่ีเคยปฏิบัติร่วมกันมา ซ่ึงเป็นท่ี
แนใ่ จ มาปรกึ ษาพิจารณาตกลงกันประมาณ ๕ รูป มีพระอาจารยอ์ ินทร์ถวาย เป็นตน้
เพ่ือจัดงานพระราชทานเพลิงศพในครั้งน้ี ทางฆราวาสคณะศรัทธาลูกศิษย์กราบ

61

ขออนุญาตปรับพื้นท่ีพระราชทานเพลิงศพ พ่อแม่ครูบาจารย์ท่านพระอาจารย์มหาบัว
ก็ได้เมตตาอนุญาตให้ถมดินพอเหมาะกับพ้ืนที่เท่านั้น ไม่ให้ตกแต่งประดับให้สวยงาม
หรหู ราใดๆ และหา้ มเดด็ ขาดไมใ่ หโ้ ฆษณาหาเงนิ ไม่ให้มพี ิธีการใดๆ เชน่ พิธีสรงน�้ำศพ
และไม่ให้ใช้วิธีการเรี่ยไรใดๆ ส�ำหรับท่านผู้ใดท่ีมีน�้ำใจใสศรัทธาจะบริจาค ทางวัด
ก็จัดหาที่รับบริจาคมาต้ังไว้ตามท่ีเห็นสมควร ผู้ใดจะบ�ำเพ็ญอุทิศส่วนกุศลถวายท่าน
พระอาจารย์สิงห์ทองและท่านพระอาจารย์สุพัฒน์ ก็ให้บริจาคได้มากน้อยตามก�ำลัง
ศรัทธา โดยมอบหมายให้พระผู้ใหญ่ที่วางใจ หรือผู้มีคุณธรรมภายในใจเป็นหัวหน้า
คอยดแู ล เพื่อความสงบสมกบั งานพระป่า

เวลากลางคนื พอพลบค่�ำได้เวลาตามก�ำหนด ก็พากันสวดมนตอ์ ทุ ิศส่วนกศุ ล ถวาย
ท่านพระอาจารย์สิงห์ทองและท่านพระอาจารย์สุพัฒน์ ท�ำสมาธิภาวนาตามอัธยาศัยอยู่
ด้วยความสงบตลอดคืนและบางคืนมีการแสดงธรรม จากท่านพระอาจารย์ผู้มีคุณธรรม
ตามสมควร จนถงึ วนั สน้ิ สดุ งานพระราชทานเพลงิ ศพ พอถงึ วนั ที่ ๑๑ และ ๑๗ พฤษภาคม
พุทธศักราช ๒๕๒๓ เวลา ๑๓.๐๐ นาฬิกา ก็ประกาศอาราธนานิมนต์ครูบาอาจารย์
ภิกษสุ ามเณรทม่ี าในงานทั้งหมดขน้ึ บนศาลาพร้อมกัน เพือ่ สวดอนจิ จา บงั สกุ ลุ จบแล้ว
ถวายจตุปัจจัยเคร่ืองไทยทาน เสร็จแล้วพระสงฆ์ให้พร คณะศรัทธาพร้อมใจกันอุทิศ
สว่ นบญุ กศุ ล ถวายทา่ นพระอาจารยท์ งั้ สอง อทุ ศิ ถวายนำ�้ ใจเปน็ บญุ กศุ ลบชู าพระคณุ ทา่ น
ดว้ ยความเคารพ จากนน้ั กเ็ คลอ่ื นศพลงจากศาลาสเู่ มรทุ จี่ ดั ไว้ ซง่ึ กอ่ อฐิ แบบเรยี บงา่ ย และ
สะดวกในการเก็บอัฐิ ต่อไปคณะลูกศิษย์ก็ทยอยกันเข้าไปวางดอกไม้จันทน์หรือตามท่ี
เห็นสมควรแกก่ ารพระราชทานเพลงิ ศพ เสรจ็ แลว้ เวลา ๑๖.๐๐ นาฬิกา กน็ �ำไฟหลวงเขา้
ประชมุ เพลงิ มพี ระสงฆแ์ ละเจา้ หนา้ ทคี่ อยดแู ล จนถงึ เวลาอนั ควรจะเกบ็ อฐั ิ คณะสงฆ์ ๔ รปู
ซงึ่ พระผใู้ หญ่ได้มอบหมายให้ทำ� หนา้ ทเ่ี ก็บอฐั ิ แล้วน�ำอฐั ไิ ปเกบ็ ไว้บนกุฏทิ ่ไี ดก้ ำ� หนดไว้
ดว้ ยความสงบ ปราศจากการกลา่ วหานินทาใดๆ จากบคุ คลทกุ ชนชัน้

หลังจากนั้นก็กราบเรยี นให้พระผู้ใหญท่ า่ นพจิ ารณาแจกอัฐใิ หต้ ามวดั ตา่ งๆ หรอื
บุคคลที่ควรจะได้รับโดยทั่วหน้ากัน เพ่ือน�ำไปสักการะเคารพกราบไหว้บูชาด้วยน้�ำใจ

62

ระลึกถึงพระคุณของท่านพระอาจารย์ทั้งสอง ซึ่งไม่มีประมาณ นั้นแลสายทางท่ีดีงาม
ดีเลิศจะน�ำมาซึ่งความเป็นสิริมงคล และสงบร่มเย็นใจแก่ผู้กราบไหว้ระลึกถึงพระคุณ
ทุกกาลเวลาตลอดไป

ในการพระราชทานเพลงิ ศพทา่ นพระอาจารยส์ งิ หท์ อง ธมั มวโร พอ่ แมค่ รบู าจารย์
ทา่ นพระมหาบวั ไดป้ รารภถงึ ทา่ นพระอาจารยส์ งิ หท์ องวา่ “ทา่ นสงิ หท์ องเปน็ พระทสี่ ำ� คญั
องคห์ นง่ึ ” แลว้ ทา่ นไดส้ ง่ั มอบหมายงานเรอื่ งการเกบ็ อฐั ขิ องทา่ นตลอดจตปุ จั จยั ไทยทาน
ทั้งหมดที่คณะศรัทธาได้มาบริจาคในงานพระราชทานเพลิงศพ โดยส่ังให้ผู้เขียนพร้อม
ดว้ ยหมู่คณะพระผใู้ หญ่ในวงศพ์ ระปฏิบตั ิ ไปพิจารณาตกลงกนั ตามทเ่ี หน็ สมควร

หลังจากการพระราชทานเพลิงศพเสร็จเรียบร้อยแล้ว เม่ือมีโอกาสได้กราบเรียน
ถวายพ่อแม่ครูบาจารย์ท่านพระอาจารย์มหาบัว ตามที่คณะสงฆ์ได้เห็นพ้องต้องกัน
ในเร่ืองจตุปัจจัยในส่วนท่ีเหลือจากการจัดถวายแด่พระภิกษุ สามเณร และค่าใช้จ่าย
ในงานทั้งหมดที่คณะกรรมการได้ท�ำบัญชีรับผิดชอบไว้ให้ท่านได้ทราบโดยละเอียด
ทา่ นก็รบั ฟงั แลว้ เหน็ ดว้ ยทุกประการ

ในการเรยี บเรยี ง ผเู้ ขยี นขอประทานอภยั โทษทา่ นผอู้ า่ นไว้ ณ ทน่ี ด้ี ว้ ย เพราะเขยี น
เท่าท่ีจ�ำได้ เนื่องจากเวลาผ่านไปนานแล้ว อาจจะมีคลาดเคลื่อนได้ ตลอดท้ังเรื่อง
พระราชพิธีพระราชทานเพลิงศพก็ไม่รู้เร่ืองใดๆ ในช่วงท่ีอยู่วัดพระศรีมหาธาตุฯ
กรุงเทพมหานครนั้น ผู้เขียนก็ได้อาศัยอ้างอิงจากหนังสืออนุสรณ์งานพระราชทาน
เพลิงศพพระอุดมสังวรวิสุทธิเถร (พระอาจารย์วัน อุตตโม) วัดถ้�ำอภัยด�ำรงธรรม
จังหวัดสกลนคร ผิดหรือถูกในเร่ืองใดๆ กรุณาพิจารณาใหร้ ดู้ ว้ ยปัญญาเถดิ

มีนาคม พุทธศกั ราช ๒๕๔๗
ณ วดั ป่าดานวิเวก จังหวัดบึงกาฬ

63

ท่านหลวงปู่ม่นั ภูริทตั ตเถระ เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๔๘๘ – ๒๔๙๒

ตามกาลสถานที่ดังน้ี เวลาที่ท่านจ�ำพรรษาท่ีวัดป่าหนองผือ คร้ังนั้นมีศรัทธา
ญาตโิ ยมจากสกลนคร เขาเปน็ คนเชอื้ จนี ชอื่ วา่ เจก็ ไฮ เขามปี สาทะศรทั ธาเลอื่ มใส ในองค์
หลวงปู่มั่นเป็นอย่างมาก เขาขอเป็นเจ้าภาพกฐินในปีน้ัน เมื่อถึงเวลาออกพรรษาแล้ว
เขาก็ได้กำ� หนดวนั ทจี่ ะทอดกฐนิ ตามท่ีเขาตั้งใจไว้ เขาได้เตรียมซอ้ื ผา้ กฐนิ และเคร่ืองใช้
ตา่ งๆ เตม็ กำ� ลงั ศรทั ธาของเขา จงึ ไดเ้ ตรยี มเดนิ ทางไปพกั ทบี่ า้ นหนองผอื หนงึ่ คนื เพอื่ จะ
จดั อาหารใสบ่ าตรในตอนเชา้ และถวายพระเณร พอรงุ่ เชา้ พวกเขาจงึ ไดเ้ ตรยี มเครอื่ งกฐนิ
และไทยทานต่างๆ ไปท่ีวัด แล้วพากันข้ึนบนศาลา วางเคร่ืองกฐินต่างๆ ไว้ที่อันควร
แล้วกราบพระประธานในศาลา ส่วนเจ็กไฮผู้เป็นเจ้าภาพเขาลงจากศาลาไปเดินเที่ยวชม
วดั วาอารามเฉย อย่างอารมณด์ ีมคี วามสุข

จนกระทั่งพระเณรกลับจากบิณฑบาตแล้วข้ึนบนศาลา เตรียมแจกอาหารลงใน
บาตรเสรจ็ เรียบรอ้ ย พระเณรเข้าท่นี ง่ั ประจ�ำทุกองค์ด้วยอาการสงบ หลวงปู่มัน่ จงึ ให้คน
ไปเรยี กเจก็ ไฮมารับพร เจ็กไฮก็ไม่มารบั พรดว้ ย มคี นถามเจก็ ไฮว่า ทำ� ไมไมม่ ารับพร
เขาบอกวา่ “อ๊ัวได้บญุ แล้ว ไมต่ อ้ งรบั พรก็ได้ การกล่าวค�ำถวายกไ็ มต่ ้องกลา่ ว เพราะอว๊ั
ไดบ้ ญุ ตง้ั ใจจะทำ� แตแ่ รกแลว้ ฉะนน้ั อว๊ั จงึ ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งรบั พรและกลา่ วคำ� ถวายใดๆ เลย”

หลังจากฉันบิณฑบาตเสร็จ ท่านหลวงปู่มั่นผู้เป็นจอมปราชญ์ รู้จักส่งเสริมก�ำลัง
นำ�้ ใจของคณะศรทั ธา และรูจ้ กั ควรหรอื ไม่ควรทีจ่ ะเป็นสารประโยชน์ ทา่ นจึงพิจารณา
กองผ้ากฐินที่ญาติโยมมาวางไว้บนศาลา ถือเป็นผ้าบังสุกุลในเวลานั้น เสร็จแล้วท่าน
จึงเทศน์อบรมแนะน�ำสั่งสอนเต็มเปี่ยมด้วยความเมตตาธรรม สรรเสริญผ้าบังสุกุลของ
เจก็ ไฮเปน็ การใหญ่ ทา่ นจงึ พดู ถงึ เรอ่ื งผา้ กฐนิ วา่ ไดร้ บั อานสิ งสน์ อ้ ยเพยี ง ๔ เดอื นเทา่ นนั้
ไมเ่ หมอื นกบั ผา้ บงั สกุ ลุ ซงึ่ ไดอ้ านสิ งสต์ ลอด ผใู้ ชส้ ามารถใชไ้ ดต้ ลอดจนกวา่ ผา้ จะขาดไมม่ ี
ก�ำหนดเขต ถ้าใช้ไมไ่ ด้แลว้ จงึ น�ำมาใชป้ ระโยชน์อย่างอ่นื กไ็ ด้

สุดท้ายท่านก็กล่าวสรรเสริญน�้ำใจของเจ็กไฮ ท�ำบุญได้บุญมากไม่มีประมาณ
พรเขาก็ไมร่ บั คำ� ถวายกไ็ มต่ อ้ งกล่าว เขาไดบ้ ญุ ตงั้ แตอ่ อกจากบ้านมาบญุ กเ็ ต็มอยูแ่ ลว้

64

ไมไ่ ดต้ กหลน่ สญู หายไปไหน บญุ เปน็ นามธรรมอยทู่ ใี่ จ อยา่ งนจ้ี งึ เรยี กวา่ ทำ� บญุ ไดบ้ ญุ แท้
ทุกคนทีไ่ ด้ไปถวายผ้ากฐินในครั้งนน้ั ปลาบปลืม้ ปตี ใิ นธรรมทที่ ่านไดเ้ มตตาแสดงให้ฟัง
สดุ ที่จะพรรณนา ธรรมเทศนาของทา่ นมแี ต่แกน่ สาระของธรรมลว้ นๆ โดยเฉพาะเจก็ ไฮ
ผู้เป็นเจ้าภาพกฐินมีความปลาบปลื้มปีติซาบซ้ึงถึงใจมาก น่าภาคภูมิใจในชีวิตของเขา
ไม่ปราศจากประโยชน์โดยแท้

เร่ืองกฐินมีอีกคร้ังหนึ่ง ในปีต่อๆ มามีโยมจากโคราชชื่อ นายวัน คมนามูล
เป็นเจ้าภาพน�ำกฐินมาทอดท่ีวัดป่าหนองผือ ซึ่งเขาก็มีศรัทธาความเชื่อเลื่อมใสใน
หลวงปูม่ ั่นมาก แตป่ ีน้ีมแี ปลก ครบู าอาจารย์เตรียมทอ่ งอปโลกนก์ ฐิน และสวดกฐินตาม
หลกั พระธรรมวนิ ยั ใหถ้ กู ตอ้ งแมน่ ยำ� เรยี บรอ้ ยทกุ อยา่ ง เพอื่ เตรยี มรอรบั กฐนิ ตามวนั เวลา
ที่เขาไดก้ �ำหนด เม่อื ถึงก�ำหนดเวลาทจี่ ะถวายกฐนิ จริงๆ หลังจากพระเณรฉันบิณฑบาต
เสรจ็ เรยี บรอ้ ย หลวงปมู่ น่ั ทำ� สรรี กจิ สว่ นตวั เสรจ็ เจา้ ภาพพรอ้ มดว้ ยคณะทมี่ าดว้ ยกนั ขนึ้ ไป
บนศาลากราบหลวงปมู่ น่ั ดว้ ยความสงบ ทา่ นหลวงปมู่ นั่ จงึ พดู ขน้ึ วา่ “ของทนี่ ำ� มาทง้ั หมดน้ี
จะทำ� อยา่ งไร” โยมผเู้ ปน็ เจา้ ภาพกราบเรยี นทา่ นวา่ “สดุ แตพ่ อ่ แมค่ รบู าอาจารยจ์ ะพจิ ารณา”

จากน้ันท่านได้บอกเขาว่าให้ไปหากิ่งไม้มาปิดที่กองผ้าไว้เสียก่อนตามสมควร
ประมาณสักครู่หน่ึง หลวงปู่ม่ันท่านก็ลุกเดินไปที่กองผ้าซึ่งญาติโยมน�ำข้ึนมาวางไว้
บนศาลา น่ังพิจารณาถือเป็นผ้าบังสุกุลแล้วเสร็จ ในเวลานั้นท่านจึงพูดกับญาติโยมว่า
“ของเหล่าน้ันเสร็จแล้วเน้อ ญาติโยมที่มาที่นี่ก็ได้บุญได้กุศลทุกคนแล้วเน้อ” แล้วท่าน
ก็พูดจาปราศรัยกับญาติโยมท่ีมาท�ำบุญพอสมควร จากนั้นญาติโยมก็กราบแล้วลง
จากศาลาไปรับประทานอาหารกันจนแล้วเสร็จ จึงพากันข้ึนไปกราบลาท่านหลวงปู่ม่ัน
กลบั บ้านด้วยความอบอ่นุ ร่มเยน็ ใจ

นี้แลปฏิปทาของท่านหลวงปู่ม่ัน เด็ดขาดจริงๆ ท่านมิได้สงสัยในพิธีการใดๆ
จึงเป็นผู้องอาจกล้าหาญชาญฉลาด สง่างาม เป็นสาวกองค์พระอรหันต์ในดินแดนแห่ง
ชาติไทยเราอย่างน่าอัศจรรย์ในแดนแห่งโลกมนษุ ย์ไม่มีอะไรเสมอ

65

เรอ่ื งศาสนพธิ วี งศ์พระกรรมฐาน (พระป่า)

กาลเวลาผา่ นไปนานไดป้ ระมาณ ๕๐ ปี ทที่ า่ นหลวงปมู่ นั่ ไดม้ รณภาพลง ตามหนงั สอื
บรู พาจารยท์ ค่ี ณะลกู ศษิ ยข์ องหลวงปมู่ นั่ ไดจ้ ดจำ� มาเรยี บเรยี บพมิ พข์ น้ึ และผเู้ ขยี นกพ็ อได้
เห็นพอเข้าใจจากลูกศิษย์หลวงปู่ม่ัน เพราะผู้เขียนเคยได้มีโอกาสพักอยู่อาศัยพ่ึงบารมี
ธรรมของท่าน ทุกองค์ล้วนแต่เป็นวิสุทธิบุคคลท้ังน้ัน บางโอกาสท่านจะเล่าให้ฟังตาม
ปฏปิ ทาของหลวงปมู่ น่ั พาดำ� เนนิ ไมน่ า่ สงสยั ผเู้ ขยี นจงึ ไดน้ ำ� มาเขยี นเรอ่ื ง ศาสนพธิ พี ระปา่

เร่ืองศาสนพิธหี รอื พิธตี ามกฎเกณฑ์ต่างๆ นนั้ นิยมใชเ้ ป็นพิธกี ารอยา่ งหน่งึ นับแต่
กาลไหนๆ มา เช่น อาราธนาศีล อาราธนาธรรม อาราธนาพระปริตร พระพุทธเจ้า
ผเู้ ปน็ จอมปราชญท์ รงมพี ระปรชี าญาณรแู้ จง้ แทงทะลหุ มดในแดนแหง่ ไตรภพ สวา่ งจา้ ใน
พระทยั ไมม่ กี าลเวลา ทรงหยงั่ ทราบหมดดว้ ยพระญาณความรพู้ เิ ศษ (ตาทพิ ย์ ภายในใจ)
ของพระองค์ โลกไหนๆ จะมาปดิ บงั ลล้ี บั ไมน่ า่ สงสยั และไมท่ รงแนะนำ� สง่ั สอนใหส้ ตั วโลก
ท้ังมวลดำ� เนินชวี ิตสกั แต่วา่ ทำ� พอเป็นพธิ ี ไม่มเี หตผุ ล ไม่มีสารประโยชน์ ช้าไม่ทนั การ
นานไมท่ ันกิน ธรรมของพระพุทธเจา้ ไม่ใชธ่ รรมครลึ า้ สมยั สวากขาตธรรมทรงตรัสไว้
ชอบแลว้ ทกุ อย่าง เต็มเปีย่ มด้วยพระเมตตาบริสทุ ธิส์ มบูรณ์ มีกิเลสเท่านนั้ ครอบง�ำจติ ใจ
สตั วโลกให้หลงงมงาย พาใหท้ ำ� ครลึ ้าสมยั ตลอดกาล

วงศพ์ ระปฏบิ ตั ทิ า่ นหลวงปมู่ น่ั ยงั ไมเ่ คยใหศ้ ลี ๕ ศลี ๘ แกญ่ าตโิ ยม และทา่ นไมเ่ คย
แนะนำ� ใหใ้ ครขอศลี ยังไมเ่ คยปรากฏเหน็ พระสายปฏบิ ตั ผิ มู้ คี ณุ ธรรมภายในใจ สอนให้
รับศีลขอศีลแบบนกขุนทองสักแต่พูดตามพระท่านไป เช่น ขอรับศีล ๕ ก็ว่าตามจนจบ
พดู พอเปน็ พธิ หี รอื สมาทานศลี ๕ ศลี ๘ แลว้ กำ� หนดวนั สง่ ศลี คนื ศลี อยา่ งนไ้ี มม่ ี พระอรยิ เจา้
ท่านไม่เคยพาด�ำเนิน มีแต่ท่านสอนเน้นหนักลงไปศีลหรือธรรมมีอยู่ที่ตัวเราทุกคน
เปน็ อกาลโิ ก ถา้ สนใจจะปฏบิ ตั ขิ อใหเ้ ขา้ ไปศกึ ษาในเรอื่ งของศลี ใหเ้ ปน็ ทแ่ี นใ่ จจากทา่ น
ผ้รู ูฉ้ ลาดวสิ ทุ ธิบุคคล แล้วน�ำมาปฏิบัติเพือ่ เปน็ สมบตั อิ นั ล�้ำคา่ ของตน เมอ่ื ใจของตนมศี ีล
มีธรรมแลว้ อยทู่ ไ่ี หนๆ มีแตค่ วามสงบรม่ เย็นเป็นสขุ ใจ ทุกกาลเวลาตลอดไป

66

ในสมยั ทา่ นหลวงปมู่ น่ั พกั อยวู่ ดั ปา่ หนองผอื ทา่ นไดม้ เี มตตาชาวบา้ นหนองผอื ทา่ น
อบรมและน�ำสั่งสอนเต็มเปี่ยมด้วยเมตตาธรรมล้วนๆ ส�ำหรับฆราวาสให้พยายามรักษา
ศลี ๕ ให้ได้ ท่านเนน้ หนักมากศีล ๕ สำ� หรบั ผู้อยูค่ รองเรอื น เพราะหลักศีล ๕ น้ีเหมาะ
พอดีไม่เลือกเพศเลือกวัย ไม่เลือกชาติช้ันวรรณะใดๆ ถ้างดเว้นไม่ได้ตลอดไปก็ขอให้
งดเว้นในวันพระวนั ศลี เชน่ ๘ ค�ำ่ ๑๕ คำ่� ตามกำ� หนด

เรอ่ื งการฆา่ สตั วท์ ำ� ร้ายชวี ติ ของสัตว์น้นั สตั ว์ทีม่ บี ุญคณุ ทา่ นหา้ มเดด็ ขาด คนใน
สมัยนั้นน�ำวัวควายมาฝึกเพื่อใช้งานลากไถ ลากล้อลากเกวียนตามฤดูกาลท�ำไร่ท�ำนา
ให้คณุ ประโยชน์ต่อคนมาก แตถ่ า้ เป็นวนั พระวันศลี ทา่ นใหง้ ดเว้นสัตวท์ ุกชนดิ ผูเ้ ขยี น
ยังพอได้เห็น วันพระวันศีลในสมัยน้ันคนจะหยุดใช้วัวควายไถนา ลากล้อลากเกวียน
ใหอ้ ภัยสัตว์ทัง้ หมด ย่ิงท่านหลวงปูม่ น่ั แล้ว ท่านกลา่ วด้วยความเอ็นดูเมตตาธรรมมาก
เราคดิ ไม่ถงึ ในธรรมของทา่ น “จะงดไมไ่ ด้ดอกหรอื ” ทา่ นวา่ “เพียงวนั สองวนั เทา่ นัน้
การกนิ ในวันพระวันศีล จะกินอะไรก็คงหากนิ ได้ ไม่จำ� เป็นตอ้ งเป็นสตั วท์ ี่ฆา่ เอง เพยี ง
แค่นที้ ำ� ไม่ไดห้ รือ ไม่ตายหรอก”

แหม ! นา่ ซาบซ้งึ ถึงใจในคำ� สอนของท่านหลวงปู่ม่นั มนษุ ยเ์ ราผู้มีรปู ร่างตา่ งจาก
สัตวค์ วรคำ� นึง สำ� หรับเรื่องของศีล ๕ นั้น ท่านไม่นิยมให้ขอและทา่ นไม่เคยให้ศีล ท่าน
บอกเจตนาวริ ัติงดเวน้ เอาเลย ไม่ต้องไปขอจากพระซ�ำ้ ๆ ซากๆ ผใู้ ดมีเจตนาจะรกั ษาศีล
จะเปน็ ศีล ๕ หรอื ศลี ๘ ก็ดี ใหต้ ้ังอกตงั้ ใจงดเว้นตามสกิ ขาบทนนั้ ๆ เอาเลย เพียงเท่าน้ี
กเ็ ป็นศีลได้แล้ว

เรอ่ื งการถวายทานในงานบุญต่างๆ ท่านไมน่ ิยมให้กลา่ วคำ� ถวายทาน เช่นการ
กลา่ วค�ำถวายสงั ฆทาน ค�ำถวายผา้ ปา่ ฯลฯ ตามศาสนพิธีตา่ งๆ ทา่ นอธิบายว่า บุญนั้น
ถวายแลว้ กส็ ำ� เรจ็ แลว้ ตั้งแตต่ ้ังใจเจตนาดีเป็นบญุ เปน็ กศุ ล เพื่อหวังผลคือความสุข ขอให้
พ้นจากทุกขท์ ้งั ปวงเทา่ นัน้ ก็พอ สว่ นศาสนพธิ หี รอื พิธีการเปน็ กฎเกณฑ์อย่างหนึ่งเท่านนั้
ไม่ตอ้ งเอาอะไรทกุ ขั้นตอนทง้ั หมดเลย

67

อีกเรื่องคือการเคารพคารวะถึงจิตถึงใจจริงๆ ไม่เพียงสักแต่ว่ากราบไหว้นับถือ
พอเป็นพธิ ี ผู้เขยี นสมยั ออกไปเท่ยี วหาท่ีสงบแถวภยู าอู่ บ้านสว่างปากราง อำ� เภอบ้านผอื
จังหวัดอุดรธานี เป็นสถานที่ท่ีท่านหลวงปู่ม่ันได้ไปพักอาศัยในถ�้ำภูยาอู่ ท่านอยู่
องคเ์ ดยี ว เพ่อื หาความสงบวเิ วกตามนสิ ัยของท่าน มโี ยมผชู้ ายคนหนง่ึ ไดไ้ ปอปุ ถมั ภ์ดูแล
ท่านเป็นประจ�ำ แต่ถ้�ำท่ีว่านี้ผู้เขียนเคยได้ขึ้นไปพักในถ้�ำน้ันกว้างประมาณ ๒ เมตร
ยาวประมาณ ๓ เมตร สงู ทางปากถำ้� พอยนื ไดส้ ะดวก ในถำ�้ นนั้ มชี อ่ งพอลงไปได้ สตั วใ์ หญ่
หมี เสอื เข้าไมไ่ ด้ พอเหมาะพอดที ่จี ะพกั เพื่อฝึกหดั ทางดา้ นจิตตภาวนาดีมาก ถา้ เผลอ
สติไม่ระมัดระวังตกลงไปแหลกไม่ต้องตามหาศพ สูงมากน่าเกรงขาม ห่างจากหมู่บ้าน
ประมาณ ๕ กโิ ลเมตร สมยั นั้นสตั ว์ปา่ มี เสอื หมี เยอะ ทา่ นไม่ให้ใครเข้าไปอยดู่ ว้ ย
เพราะสงู ชันขึ้นลงลำ� บาก

โยมคนนน้ั เลา่ ใหฟ้ งั วา่ เมอื่ ทา่ นเดนิ ไปอาบนำ�้ ขากลบั ทา่ นจะเอากระบอกไมไ้ ผซ่ าง
ท่ีท่านเตรยี มไว้ ใสน่ �ำ้ ให้เต็มสะพายใส่บ่ามาด้วย เพอื่ ส�ำหรบั ฉนั ล้างบาตรและลา้ งเท้า
พอเดินมาถึงสถานท่ีแห่งหน่ึงเป็นท่ีเนินหินดานซักหน่อย โยมคนนั้นชี้ให้ผู้เขียนดู และ
อธบิ ายใหฟ้ งั ทา่ นจะเดนิ ออ้ มหลกี ไปหา่ งประมาณ ๒๐ เมตร แลว้ ทา่ นจะวางกระบอกนำ้�
ลงจากบ่า วางไว้ให้ดี ท่านจะหันหน้าตาจ้องไปสู่จุดน้ัน แล้วนั่งลงคุกเข่าก้มลงกราบ
๓ หน ด้วยความเคารพนอบน้อมด้วยจิตด้วยใจจริงๆ ยกมือไหว้เหนือหัวทุกครั้งและ
ทกุ วนั ทที่ า่ นเดนิ ผา่ นไปตรงนนั้ จนเปน็ สาเหตใุ หโ้ ยมคนนน้ั สงั เกตได้ ทนี่ นั้ มขี องอะไรแน่
และทา่ นกไ็ มเ่ คยบอกโยมคนนน้ั เพราะทา่ นหลวงปมู่ น่ั ทา่ นรดู้ ว้ ยญาณภายในใจ (ตาทพิ ย)์
ของทา่ น ทน่ี ่ันมีพระพุทธรปู ทองคำ� หนงึ่ องค์ โดยมหี ินปิดทับไวส้ นทิ ถา้ คนไม่สังเกตจะ
รู้ได้ยาก โยมคนนั้นเล่าว่า ต่อมาชาวบ้านรู้เข้า เมื่อท่านหนีไปเขาก็พากันไปค้นดูใน
สถานทแ่ี หง่ นนั้ กพ็ บพระพทุ ธรูปทองค�ำองคห์ นง่ึ จริงๆ

นแ่ี ลปฏปิ ทาของทา่ นหลวงปมู่ นั่ ผเู้ ปน็ จอมปราชญ์ การกราบไหวเ้ คารพสกั การบชู า
พระพทุ ธรปู แมจ้ ะเปน็ เพยี งวตั ถซุ งึ่ ญาตโิ ยมเขามศี รทั ธาสรา้ งขน้ึ เปน็ ทเ่ี คารพกราบไหว้
สักการบูชาแทนองค์ศาสดา ท่านหลวงปู่ม่ันก็กราบไหว้เคารพเทิดทูนพระคุณของ

68

พระพทุ ธเจ้าไว้เหนือหวั อยา่ งสนทิ ใจ และไมไ่ ดก้ ราบไหว้พอเป็นพิธเี หมือนเราๆ ท่านๆ
ท่านท�ำเด็ดขาดจริงๆ ตามหลักพระธรรมวินัยที่ศาสดาเอกตรัสไว้ชอบแล้ว ด้วยความ
องอาจกล้าหาญในธรรมท่ที ่านไดร้ ู้เห็นเต็มหัวใจ

เรื่องพิธีการตามกฎเกณฑ์และศาสนพิธีต่างๆ อันใดท่ีไม่เกิดประโยชน์ไม่มีสาระ
แกน่ สาร เสยี การเสยี เวลาปราศจากประโยชน์ พอ่ แมค่ รบู าจารยท์ า่ นหลวงปมู่ นั่ (พระปา่ )
ผู้เป็นยอดนักปราชญ์ท่านไม่เคยพาด�ำเนิน ท่านยังได้เปิดพุทโธดวงมหัศจรรย์สว่างจ้า
เหนือโลกใดๆ ไม่มีกาลเวลา สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ในดินแดนแห่งประเทศไทย รู้ได้
เฉพาะภาคปฏิบัติจิตตภาวนาตามสายทางอริยมรรค ก้าวเข้าถึงแดนแห่งบรมสุขเท่านั้น
ดังปฏิปทาท่ีผู้เขียนน�ำมาลงเป็นบางตอน คงไม่ปราศจากประโยชน์โดยแท้ ผิดหรือ
ถูกขอให้ผู้ที่ได้อ่านได้เห็น ใคร่ครวญตริตรองให้รู้ด้วยปัญญาเถิด เร่ืองศาสนพิธีของ
พระป่า นับว่าพอสมควรตามกาลเวลาขอยุติ

69

ยุคพระปา่ ออกช่วยชาติ

เนอื่ งจากพระธรรมวสิ ทุ ธมิ งคล ทา่ นอาจารยพ์ ระมหาบวั ญาณสมั ปนั โน ทา่ นเรยี ก
ตวั ทา่ นเองวา่ “หลวงตาบวั ” เปน็ ผมู้ พี ระคณุ อนนั ต์ เตม็ เปย่ี มดว้ ยเมตตาธรรมลว้ นๆ กอ่ น
ทา่ นจะประกาศตวั เป็นผูน้ �ำในการชว่ ยชาติค�้ำแผ่นดิน เม่อื ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ ท่านได้
พจิ ารณาใคร่ครวญอยา่ งเตม็ หวั ใจของท่านแลว้

ผู้เขียนขอพรรณนาพระคุณของท่านเป็นบางตอน พอได้ทราบความเป็นมาของ
เรอื่ งราววงศพ์ ระปา่ ออกรว่ มกนั ชว่ ยชาติ ซง่ึ นบั วา่ เปน็ ประวตั ศิ าสตรท์ างพระพทุ ธศาสนา
อย่างส�ำคัญมาก ให้พอได้รู้ได้อ่านต่อไป ใครอยากทราบรายละเอียดประวัติการออก
ชว่ ยชาติของพ่อแมค่ รบู าจารยท์ ่านหลวงตามหาบัว ญาณสมั ปนั โน กรุณาไปคน้ คว้าหา
อ่านได้ที่หอสมุดแห่งชาติ ซ่ึงคณะผู้จัดท�ำได้อุตส่าห์พยายามรวบรวมตามที่เห็นสมควร
ตั้งแต่เร่ิมโครงการช่วยชาติปีพุทธศักราช ๒๕๔๑ โดยก่อนที่จะพิมพ์หนังสือแต่ละคร้ัง
แต่ละเลม่ มกี ารตรวจทาน จากเทปตามวนั และตามแต่โอกาสทท่ี า่ นแสดงหลกั ความจริง
แห่งธรรมจนเป็นที่แน่ใจ ค�ำใดท่ีไม่แน่ใจก็ได้กราบเรียนถามท่านตามโอกาสอันควร
ทา่ นกไ็ ดเ้ มตตาอธบิ ายทกุ ครง้ั ตลอดมาจนจบ เรอ่ื งทา่ นคำ�้ จนุ หนนุ ชาติ ไมน่ า่ สงสยั เพราะ
การพิมพ์หนังสือใครจะเปล่ียนแปลง ข้อความใดๆ ของท่านได้ยาก อาจจะมีผิดพลาด
บา้ งก็เน่อื งจากระบบการพมิ พ์ หรืออาจไปหาดูไดท้ างอนิ เตอร์เน็ต www.luangta.com
มที ง้ั พระและฆราวาสไดบ้ นั ทกึ ขอ้ มลู ลงไวท้ ง้ั หมด แตอ่ าจจะมผี ดิ พลาดจากความจรงิ บา้ ง
เพราะอินเตอร์เน็ตเป็นสาธารณะ ซึ่งใครๆ สามารถเข้าไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อมูลหรือ
ลบท้ิงได้ง่าย ทั้งน้ีสุดแต่ผู้รฉู้ ลาดจะพิจารณาเอาเอง

เรอื่ งการชว่ ยชาตคิ รง้ั นเ้ี ปน็ เรอ่ื งใหญม่ าก และเปน็ ภาระหนกั ของพอ่ แมค่ รบู าจารย์
จนท่านออกอุทานร้องโก้กเลย เพราะต้องแบกคนท้ังชาติทั้งศาสนา เมื่อบ้านเมืองเข้าสู่
ภาวะวกิ ฤตทางเศรษฐกิจในยคุ โลกาภวิ ตั น์ โลกาธปิ ไตย ถอื ประชาชนเป็นใหญ่ย่งิ กว่า
หลกั ศลี ธรรมซงึ่ เปน็ ธรรมทนี่ ำ� โลกใหไ้ ดร้ บั ความสงบสขุ เจรญิ รงุ่ เรอื งนบั แตก่ าลไหนๆ มา


Click to View FlipBook Version