บา้ นเกดิ ในปนี ี้ และในพรรษานี้ ทา่ นหลวงตากไ็ ดว้ างโครงการเพอื่ จะสรา้ งวตั ถมุ งคล
อนั เป็นทีเ่ คารพสกั การะของชาวบ้านถนิ่ น้ี ท่านจงึ ได้สร้างเจดยี ์เพ่อื เปน็ สถานท่ีบรรจุ
“พระบรมสารรี กิ ธาต”ุ โดยทา่ นไดน้ ำ� เอาชา่ งมาจากเชยี งใหมม่ าเปน็ ผดู้ ำ� เนนิ การกอ่ สรา้ ง
ในพรรษานมี้ พี ทุ ธศาสนกิ ชนทง้ั กรงุ เทพฯ เชยี งใหม่ และจงั หวดั ใกลเ้ คยี ง มากราบคารวะ
ทา่ นมไิ ดข้ าด ทา่ นกไ็ ดแ้ สดงธรรมตามทศั นะของทา่ น มคี นชอบฟงั มาก ตลอดพรรษา
ไมเ่ คยเวน้ จนลกู ศษิ ยไ์ ดก้ ำ� หนดเวลาพกั ผอ่ นจำ� วดั ไวเ้ พอื่ ไมใ่ หญ้ าตโิ ยมรบกวนเกนิ ไป
เพราะท่านก็ชราภาพมากแล้ว ท่านบอกว่าหลวงตาจะแสดงธรรมเพ่ือให้ลูกหลาน
ลูกศิษย์ท้ังหลายได้เข้าถึงธรรมอันแท้จริง และท่านได้อบรมกัมมัฏฐานพระภิกษุ
สามเณรใหเ้ ปน็ นกั ธรรม นักกมั มฏั ฐาน อย่างแทจ้ ริงด้วย
แตห่ ลงั จากออกพรรษาแลว้ ศรทั ธาญาตโิ ยมทางจงั หวดั เชยี งใหมก่ ไ็ ดม้ านมิ นต์
ท่านให้กลบั ไปอยทู่ เ่ี ชยี งใหม่อกี โดยปรารภท่านวา่ “ท่านหลวงตาชราภาพมากแล้ว
สขุ ภาพกไ็ มค่ อ่ ยแขง็ แรง ตอ้ งการจะใหไ้ ดพ้ กั ผอ่ น เวลาเจบ็ ไขไ้ ดป้ ว่ ยกจ็ ะไดพ้ ยาบาล
รักษาและต้องการให้ท่านหลวงตาได้อยู่ใกล้โรงพยาบาล ท้ังนี้เพ่ือจะได้ตอบแทน
บุญคุณในการอปุ ฏั ฐากปฏบิ ตั ิรกั ษาดว้ ย”
ตอนนที้ า่ นตอบวา่ “อยใู่ กลห้ มอยา ถา้ หากเราไมก่ นิ ยาโรคกไ็ มห่ าย เราตอ้ งอาศยั
ตัวของเราเอง” พดู แล้วกห็ ัวเราะตามนิสยั ของทา่ น แต่ญาตโิ ยมไดก้ ราบเรยี นทา่ นวา่
“ทวี่ ดั สรา้ งเจดยี ์ สรา้ งพระพทุ ธรปู ศาลาฟงั ธรรม เสรจ็ เรยี บรอ้ ยแลว้ กเ็ ลยตง้ั ใจจะจดั
ใหม้ กี ารฉลองและมกี ารทำ� บญุ ดว้ ย และขอใหท้ า่ นหลวงปตู่ อื้ ไดน้ ำ� พระบรมสารรี กิ ธาตุ
ไปบรรจดุ ว้ ย” ทา่ นหลวงตาไดร้ บั นมิ นตไ์ ปจงั หวดั เชยี งใหม่ และอยจู่ ำ� พรรษาทน่ี น้ั อกี
๑ พรรษา
ตามปกตแิ ลว้ ทา่ นชอบอากาศของภาคเหนอื มากเพราะมอี ากาศเยน็ สบาย และ
มักจะไม่มีอุปสรรคใดๆ มาขดั ขวางในการปฏบิ ัตธิ รรมกัมมฏั ฐาน ญาตโิ ยมก็สนใจ
ในธรรมดมี าก เป็นคนใจบุญสนุ ทาน ทา่ นบอกวา่ ท่านไดเ้ ดนิ ธุดงค์ไปทกุ หนทุกแห่ง
ในภาคเหนอื น้ี จนชินกับความหนาวเยน็ ของภาคเหนอื เป็นอนั ว่า ปี ๒๕๑๔ ทา่ นได้
จำ� พรรษาทจ่ี ังหวดั เชียงใหม่
44
หลงั จากออกพรรษาแล้ว ลกู หลานและทายกทายกิ าชาวนครพนมก็ได้ไปกราบ
นิมนต์ท่านให้กลับไปจ�ำพรรษาท่ีจังหวัดนครพนมอีก และกราบขออาราธนานิมนต์
ใหท้ า่ นไดอ้ ยจู่ ำ� พรรษาทนี่ ครพนมตลอดไป เพราะทา่ นไดเ้ ดนิ ธดุ งคจ์ ากบา้ นจนแกเ่ ฒา่
กไ็ มก่ ลบั บา้ น ทา่ นหลวงตากร็ บั นมิ นต์ และกลบั มาจำ� พรรษาทวี่ ดั อรญั ญวเิ วก บา้ นขา่
อ.ศรสี งคราม จ.นครพนม และมาครงั้ นท้ี า่ นไดน้ ำ� นายชา่ งผทู้ ำ� การกอ่ สรา้ งเจดยี ม์ าดว้ ย
และทา่ นก็ได้จ�ำพรรษา ณ แดนมาตุภมู ิโดยตลอด (จนถึงวาระสุดท้าย)
ถงึ ปี ๒๕๑๖ เจดยี ก์ ส็ รา้ งสำ� เรจ็ และกม็ กี ารบรรจพุ ระบรมสารรี กิ ธาตใุ นองคเ์ จดยี ์
นน้ั ดว้ ย ปี ๒๕๑๖ นเี้ อง ชาวบา้ นกไ็ ดจ้ ดั งานฉลองสมโภชองคเ์ จดยี ท์ สี่ รา้ งใหม่ มกี าร
บวชชพี ราหมณ์จ�ำนวน ๒๓๐ คน การจดั งานครง้ั นี้ จดั แบบเทศนอ์ บรมกัมมัฏฐาน
ตลอดคืน และศิษยานุศิษย์ได้รับการอบรมกัมมัฏฐานจากท่านพระอาจารย์เป็น
จำ� นวนมาก ในปนี ที้ า่ นไมเ่ คยวา่ งเวน้ เลย แสดงธรรมโปรดญาตโิ ยมโดยตลอด อบรม
กัมมัฏฐานญาติโยมผู้สนใจ ฝึกพระเณรให้รู้จักการปฏิบัติกัมมัฏฐานอย่างแท้จริง
ถงึ ชราภาพขนาดนนั้ ทา่ นยงั ลงทำ� วตั รสวดมนต์ เทศน์ท่ศี าลาการเปรียญเปน็ ประจำ�
ไมเ่ คยขาดกจิ วัตรอันสำ� คัญเลย และดเู หมอื นว่าท่านพระอาจารย์มีสุขภาพแขง็ แรงดี
เพราะทา่ นไม่เคยบน่ วา่ เหนอื่ ยและลำ� บากอะไรเลย
เมอื่ ทา่ นมาพกั จำ� พรรษาอยทู่ วี่ ดั อรญั ญวเิ วก บา้ นขา่ อ.ศรสี งคราม นครพนม นี้
ขา้ พเจา้ ไดไ้ ปกราบคารวะท่าน (และขา้ พเจ้าเรียกทา่ นวา่ “หลวงตา”) เปน็ ประจำ� และ
ไดก้ ราบเรียนถามถงึ การที่ท่านได้ออกเดนิ ธดุ งค์ไปตามท่ีต่างๆ และท่านก็ชอบเล่าให้
ฟังเสมอ เพราะท่านหลวงตาท่านเดินธุดงคต์ งั้ แตบ่ วชมาจนถึงวยั ชราภาพดว้ ยความ
มงุ่ มน่ั ในพระธรรมอยา่ งเดด็ เดย่ี ว มชี อ่ื เสยี งเปน็ ทรี่ ๆู้ กนั อยแู่ ลว้ ทา่ นชอบเดนิ เขา้ ไป
ในดงเสอื ร้าย ชอบนง่ั ภาวนาในปา่ ช้า ชอบธดุ งคไ์ ปพบผีเจ้าท่ี ผีเจ้าปู่ เป็นผมู้ ีวชิ าท่ี
ผบี อกให้ ทา่ นเคยบอกคาถาป้องกนั ไฟใหแ้ ละเคยใชไ้ ด้ผลมาแล้ว เมอื่ ขา้ พเจ้าเขา้ ไป
กราบทา่ นหลวงตา ทา่ นชอบเลา่ เหตกุ ารณต์ า่ งๆ ใหฟ้ งั เสมอ และทา่ นหลวงตาชอบเทศน์
ใหฟ้ งั ยาวๆ ถงึ ๒-๓ ชว่ั โมงเสมอ ซง่ึ กเ็ ปน็ ความประสงคข์ องผฟู้ งั ทอี่ ยากฟงั เชน่ นนั้
ครั้งหนงึ่ ท่านได้เลา่ เหตุการณท์ ีท่ า่ นเดนิ ธุดงค์ไปตามภเู ขาใหฟ้ งั แบบเทศนาใหฟ้ ังวา่
45
“หลวงตาไดอ้ อกเดนิ กมั มฏั ฐานมาหลายปแี ลว้ จะเลา่ ใหฟ้ งั เมอ่ื ครง้ั ไปจำ� พรรษา
ทภ่ี ลู งั กา อำ� เภอบา้ นแพง นครพนม ไดเ้ รง่ ทำ� ความเพยี รทภี่ ลู งั กานน้ั จนไมไ่ ดฉ้ นั ขา้ ว
ฉนั นำ้� ตง้ั ใจแนว่ แนว่ า่ จะใหเ้ หน็ แจง้ ตอ่ โลก พอจติ สงบบรรลถุ งึ โคตรภญู าณแลว้ รไู้ ป
ถงึ วญิ ญาณหลายพวกวา่ เปน็ อยอู่ ยา่ งไร นแี่ หละหลาน เราบรรพชาอปุ สมบทมา ตอ้ งเรง่
ท�ำใหร้ แู้ ละเร่งท�ำใหไ้ ด้ เมอื่ ได้แล้วจะหมดสงสัยในการบรรพชา และจะลมื โลกอนั มี
ระบบการเดนิ ทางอนั ยืดยาวนีเ้ ลยเด็ดขาด โลกน้ีเขามเี ครอื่ งผูกอนั เหนียวแน่นยากท่ี
จะตัดได้ด้วยอย่างอื่น นอกจากพระธรรมของพระพุทธเจ้า มนุษย์เราเกิดมาก็ต้อง
ทำ� บาป เมอ่ื ทำ� แลว้ กต็ อ้ งไดร้ บั ผลกรรมทเี่ ราทำ� ไว้ พอ่ แมเ่ รานน้ั ทำ� กรรมมา เราเกดิ มา
ก็ท�ำกรรมไป อะไรคือที่สุดของกรรม ไม่มีใครรู้ได้ ท�ำบาปแล้วมีตัวอย่างให้เห็น
มากมาย”
๑. จิตตานปุ สั สนา จิตไมฆ่ า่ สตั ว์ จติ กเ็ ป็นโสดามรรค จิตก็เปน็ โสดาผล
๒. จติ ตานุปัสสนา จติ ไม่ลักทรัพย์ จิตก็เปน็ พระสกิทาคามมิ รรค จติ กเ็ ป็น
พระสกทิ าคามิผล
๓. จิตตานปุ สั สนา จติ ไมค่ ดิ มผี วั เมีย ออกบวช จิตก็เปน็ พระอนาคามิมรรค
จติ ก็เปน็ พระอนาคามผิ ล
๔. จิตตานปุ สั สนา จติ ไมก่ ล่าวมุสาวาท จติ ก็เปน็ พระอรหัตตมรรค จิตก็เปน็
พระอรหตั ตผล
๑. จิตไม่ฆ่าสัตว์ จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน จิตก็เป็นนิพพานอยู่ที่หัวใจ
ของเราทกุ คน
๒. จิตไม่ลักทรัพย์ จติ ก็เปน็ ศลี จติ ก็เป็นฌาน จิตก็เป็นนพิ พานอยทู่ ี่หวั ใจ
ของเราทกุ คน
๓. จติ ออกบวช จิตกเ็ ป็นศลี จิตกเ็ ปน็ ฌาน จติ ก็เป็นนิพพานอยู่ทห่ี วั ใจของ
เราทกุ คน
๔. จิตไม่ขี้ปด จิตก็เปน็ ศลี จติ ก็เป็นฌาน จิตก็เป็นนิพพานอยทู่ ห่ี ัวใจของเรา
ทุกคน
46
ทา่ นหลวงตาทา่ นเลา่ วา่ “สตั วบ์ างพวกในโลก หวั เปน็ ไก่ ทอ่ นตวั เปน็ คน หวั เปน็ ควาย
ตวั เปน็ คน เปน็ ตน้ ตามแตบ่ ญุ แตก่ รรมทตี่ นทำ� เอาไว้ วญิ ญาณเหลา่ นี้ ถา้ หากพน้ จาก
สภาพน้ีแล้ว คงไม่ได้กลับมาเกิดเป็นคน คงด�ำลงไปต�่ำกว่าภูมิที่ตนอยู่ นักธรรม
นกั กมั มฏั ฐาน พระมหาเปรยี ญ ถา้ หากยงั ไมบ่ รรลโุ คตรภญู าณแลว้ กค็ งไมม่ โี อกาสได้
รูไ้ ดเ้ หน็ ท่านพระครู ท่านเจา้ คณุ สงั ฆราช กเ็ ชน่ กนั เพราะจิตนน้ั ไม่มี พุทโธ ธมั โม
สังโฆ และยังเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าไม่ได้ พระพุทธเจ้าประสูติกับพวกเรา
เกิดต่างกันทต่ี รงไหน กต็ ่างกนั ตรงทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ไม่หลงโลกไม่ตดิ อย่ใู นโลกเหมือน
พวกเราทงั้ หลายในทกุ วนั นี้ พระพทุ ธเจา้ ทา่ นรแู้ จง้ รจู้ รงิ คอื รทู้ เ่ี กดิ ทต่ี ายของพวกสตั ว์
ด้วยปัญญา ทั้งนี้ก็เพราะท่านรู้และตรัสรขู้ องจริงตามความเป็นจรงิ นั้นเอง แต่เมื่อถงึ
เวลาแลว้ พระองคก์ จ็ ากโลกนไ้ี ปเขา้ สพู่ ระนพิ พานไมม่ กี ารมาเกดิ อกี เหลอื ไวแ้ ตค่ วามดี
ให้พวกเราได้ค�ำนึงระลึกถึงเพ่ือไม่ให้เป็นผู้หลงตาย อย่างนี้เราจึงเคารพเลื่อมใส
กราบไหว้อย่างไม่จืดจาง ยอมมอบกายถวายชีวิต พวกเราทั้งหมดก็เกิดมาด้วย
บุญวาสนาจึงได้เกิดเป็นมนุษย์ เป็นเวไนยชนอันหาได้ยาก เป็นที่รู้ๆ กันอยู่แล้ว
พระพทุ ธเจา้ จึงสอนไม่ให้ประมาท ไมใ่ ห้ลมื ตวั ไมใ่ หล้ ืมบุญวาสนาของตน คือไม่ให้
ลมื ตวั ในการสรา้ งคณุ งามความดี เพราะถา้ เราไมส่ รา้ งคณุ งามความดี ใจเรากไ็ มม่ ี พทุ โธ
ธัมโม สงั โฆ อนั จะเป็นเหตใุ ห้ต่อภพต่อชาตเิ ปน็ มนุษย์ต่อไป เมอื่ บารมไี ม่แกก่ ลา้
หากเราไมเ่ ช่อื มน่ั ในพระรตั นตรยั เราก็จะพากันไปสภู่ พท่ีต�่ำทรามก็ได”้
หลายสบิ ครง้ั ทไี่ ดร้ บั ฟงั เทศนข์ องทา่ นหลวงตา ปรากฏวา่ ไมม่ ใี ครทจี่ ะแสดงธรรม
ไดอ้ ยา่ งทา่ น และทา่ นกแ็ สดงธรรมไดไ้ มเ่ หมอื นใคร ทา่ นหลวงตากลา้ พดู ๆ ในสง่ิ ทเ่ี ปน็
ความจรงิ มาก ตรงไปตรงมา เมอ่ื ทา่ นไดแ้ สดงธรรมจบลงแลว้ ทา่ นชอบอธบิ ายซำ�้ อกี
เพ่ือความแจ่มแจ้งในการปฏิบัติธรรมให้ชัดขึ้น ท่านหลวงตาเทศน์ได้ดีตามทัศนะ
ของนักฟังความจริง และท่านได้เล่าเรื่องแปลกๆ ให้ฟังเสมอ โดยเฉพาะทา่ นชอบ
ส่ังสอนว่า
“ธรรมะคอื คำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ พวกเรามองขา้ มไปเสยี หมด อยทู่ ต่ี วั ของเรา
นเ้ี องมใิ ชอ่ นื่ พทุ ธะคอื ผรู้ ู้ กต็ วั ของเรานเ้ี องมใิ ชใ่ ครอนื่ เชน่ เดยี วกนั กบั ไข่ ไขอ่ ยขู่ า้ งใน
47
ของเปลอื กไข่ ทำ� ใหเ้ ปลอื กไขแ่ ตก เรากไ็ ดไ้ ข่ พจิ ารณารา่ งกายของเราใหแ้ ตก แลว้ เรา
จะได้ธรรมะ”
“ธรรมะจะเกดิ ขนึ้ ไดก้ ต็ อ้ งการทำ� อะไรทจ่ี รงิ จงั คอื การตดั สนิ ใจอยา่ งแนน่ อนลงไป
แลว้ เลอื กเฟ้นธรรมะปฏบิ ัตอิ ยา่ งแท้จริง ไม่นานหรอก เราก็จะได้พบสง่ิ ทีเ่ ราตอ้ งการ
ความกลวั ทกุ อย่างจะหายไปหมด ถ้าเราตัดสินใจอย่างใดแล้ว คอื เราตอ้ งเป็นคนมี
จุดมุ่งหมาย อย่างหลวงตานับต้ังแต่บวชมา ได้ตัดสินใจปฏิบัติธรรมะอย่างจริงจัง
จนทกุ วนั น้ไี มเ่ คยลดละและท้อถอยเลย”
“นกั ธรรม นกั กมั มฏั ฐาน ตอ้ งมนี สิ ยั อยา่ งเสอื โครง่ คอื ๑. นำ�้ จติ นำ้� ใจตอ้ งแขง็ แกรง่
กลา้ หาญ ไมก่ ลวั ตอ่ อนั ตรายใดๆ ๒. ตอ้ งเทย่ี วไปในเวลากลางคนื ได้ ๓. ชอบอยใู่ นทสี่ งดั
จากคน ๔. ท�ำอะไรลงไปแลว้ ตอ้ งมงุ่ ความสำ� เร็จเป็นจดุ หมาย”
“สตั วเ์ ดรจั ฉานมนั ดกี ว่าคนตรงทมี่ นั ไม่มมี ายา ไม่หลอกลวงใคร มคี รอู าจารย์
กค็ ือคน เปน็ สัตวท์ ่นี า่ รกั น่าสงสาร คนเราซโิ ง่ เป็นพทุ ธะได้ แต่หลอกลวงตนเองวา่
เปน็ ไมไ่ ด้ รา่ งกายก็มีให้พจิ ารณาว่าเปน็ ของเนา่ เปน็ ของเหมน็ แตเ่ ราพิจารณาวา่ เป็น
ของหอมน่ารัก โง่ไหมคนเรา”
ทา่ นบอกวา่ “ผทู้ ส่ี งสยั ในกรรมหรอื ไมเ่ ชอื่ วา่ จะตอ้ งสง่ ผล คอื คนทลี่ มื ตนลมื ตาย
กลายเปน็ คนมดื คนบอด คนประเภทท่ีว่ามาน้ยี อ่ มช่วยอะไรเขาไม่ไดเ้ ลย แมเ้ ขาจะมี
กำ� เนดิ สงู สง่ สกั ปานใด ไดร้ บั การทะนถุ นอมเลย้ี งดมู าอยา่ งวเิ ศษเพยี งไรกต็ าม หากเขา
ไมม่ องเห็นคุณข้าว คณุ น�ำ้ คุณบิดามารดาแลว้ นน้ั เขาเรียกวา่ คนรกโลก และกไ็ ม่รู้
ดว้ ยวา่ ตนเองเปน็ คนรกโลก และกไ็ มส่ นใจจะรดู้ ว้ ย คดิ เหน็ แตว่ า่ เพยี งเขาเกดิ มาและ
เจริญเติบโตมาจนกระท่ังถึงปัจจุบันด้วยการดื่มการกินอาหารบ�ำรุงเล้ียงร่างกายจน
เตบิ ใหญ่ เปน็ เพราะมนั จะตอ้ งเปน็ ไปในทำ� นองนน้ั มไิ ดค้ ดิ ไปวา่ ตนเองนน้ั ไดเ้ กดิ ขนึ้
เปน็ ตวั ตนเพราะคณุ ของบดิ ามารดาทง้ั สองปอ้ งกนั รกั ษาใหช้ วี ติ และรา่ งกายแกต่ นมา
การท�ำความดีแม้แก่รปู รา่ งกายเราน้ี โดยกระทำ� กรรมให้ถกู ให้ควรว่าอะไรเปน็ อะไร
อะไรเปน็ กุศล อกศุ ล ส่งิ ทีบ่ ันดาลให้ร่างกายเราเจรญิ เตบิ โตขึน้ มาได้ ถ้าไม่เรียกวา่
48
เปน็ ผล เราสมควรจะเรยี กวา่ เปน็ อะไรจงึ จะถกู ตอ้ งตามความเปน็ จรงิ ตามจรงิ ความดี
ความชวั่ สขุ ทกุ ข์ ทสี่ ตั วโ์ ลกไดร้ บั กนั มาโดยตลอดสาย ถา้ ปราศจากแรงหนนุ เปน็ ตน้
ก็คงอยู่เฉยๆ ฉะนั้น นักธรรม นักกัมมัฏฐาน ขอจงได้พิจารณาตามธรรมะของ
พระพทุ ธเจา้ คือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นท่ีอยทู่ ี่อาศยั ของจติ นัน้ ใหม้ น่ั คงถาวร”
และเมอื่ เทศนจ์ บลง ทา่ นชอบถามผฟู้ งั วา่ “ฟงั เทศนห์ ลวงตาดไี หม” คำ� ถามเชน่ นี้
เคยกราบเรยี นทา่ นวา่ “หมายถงึ อะไร” ทา่ นบอกวา่ “หมายถงึ การฟงั ธรรมครงั้ นไ้ี ดร้ บั
ความสงบเยน็ ของจติ ไหม และเกิดสังเวชในความชัว่ ไหม”
ทา่ นพระอาจารยช์ อบตกั เตอื นเสมอวา่ “การปฏบิ ตั ธิ รรมนนั้ อยา่ งทท่ี า่ นบรู พาจารย์
ทั้งหลายด�ำเนินมาน้ัน ท่านพยายามไม่ให้เกิดความเบื่อหน่ายในการปฏิบัติธรรม
พยายามให้เกิดความสนใจในธรรมปฏิบัติอยู่เสมอ การท่ีเราเกิดความเบ่ือหน่ายใน
ธรรมปฏิบตั นิ ้ี เปน็ การทีเ่ ราจะดำ� เนนิ ไปไม่ได้นาน และจะเปน็ อนั ตรายตอ่ การปฏบิ ัติ
ธรรมเป็นอยา่ งมาก แต่เกิดความสงั เวชในธรรมบางอยา่ งนนั้ เปน็ การดี เพราะจะเป็น
ประโยชนแ์ กเ่ ราผปู้ ฏบิ ตั ธิ รรมอยา่ งแทจ้ รงิ แตถ่ า้ เบอื่ หนา่ ยในความชว่ั ไมเ่ ปน็ ไร เพราะ
ถา้ เบื่อหน่ายในความชัว่ แล้ว ก็เร่งพยายามทำ� ความดีต่อไป”
49
ผลงานครง้ั สุดท้าย
ในปี พ.ศ. ๒๕๑๒-๒๕๑๔ และ ๒๕๑๗ ท่านพระอาจารย์ตือ้ ได้อยจู่ ำ� พรรษา
ท่ีแดนมาตุภูมิ คือที่วัดอรัญญวิเวก บ้านข่า อ�ำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม
ในระหวา่ งทที่ า่ นอยจู่ ำ� พรรษาทบ่ี า้ นทา่ นเปน็ เวลานานตดิ ตอ่ กนั เปน็ เวลา ๔ ปนี ี้ ทา่ นได้
แสดงธรรมโปรดลกู หลาน ศษิ ยานศุ ษิ ย์ ญาตโิ ยมทง้ั ไกลและใกลไ้ มข่ าดเลย ถงึ จะมี
อายมุ ากอยใู่ นขน้ั ชราภาพแลว้ กต็ าม ถา้ หากมญี าตโิ ยมทง้ั ใกลแ้ ละไกลมาหาทา่ นแลว้
ทา่ นจะทำ� การสนทนาธรรมและแสดงธรรมโปรดเสมอ
ในระหวา่ งน้ี ทา่ นไดส้ รา้ งเจดยี ข์ นึ้ ทวี่ ดั อรญั ญวเิ วก บา้ นขา่ ๑ องค์ ทงั้ นเี้ พอื่ เปน็ ท่ี
บรรจพุ ระบรมสารรี กิ ธาตุ เปน็ ทส่ี กั การบชู าของชนในถนิ่ นนั้ สนิ้ เงนิ คา่ กอ่ สรา้ งประมาณ
๔ หมนื่ บาทเศษ เปน็ เจดยี ท์ ส่ี รา้ งดว้ ยอปุ กรณท์ นั สมยั แนน่ หนาถาวรดมี าก และมปี จั จยั
ท่ีมีผู้น�ำมาถวายก็เป็นจ�ำนวนมาก ท่านจึงได้ให้ชาวบ้านได้สร้างอุโบสถประจ�ำวัดขึ้น
และท่านก็ได้มอบให้ท่านพระครูสถิตยธรรมวิสุทธิ์ วัดทิพยรัฐนิมิตร อ�ำเภอเมือง
จงั หวดั อดุ รธานี พรอ้ มทงั้ กรรมการชาวบา้ น ดำ� เนนิ การสรา้ งอโุ บสถ ซง่ึ ขณะนกี้ ก็ ำ� ลงั
ดำ� เนนิ การกอ่ สรา้ งอยดู่ งั ทปี่ รากฏแกส่ ายตาของทา่ นผมู้ าเหน็ ในขณะนี้ (พ.ศ. ๒๕๑๗)
และคร้งั หน่งึ ทา่ นหลวงตาตอ้ื ได้ปรารภวา่ วัดศรีวชิ ยั บ้านศรีเวินชัย ของทา่ น
พระครอู ดลุ ธรรมภาณ ซึง่ เป็นพระอปุ ัชฌาย์ประจำ� อ�ำเภอศรีสงครามน้ี สมควรทีจ่ ะ
สร้างอุโบสถไว้ประจ�ำวัดเพื่อบวชลูกหลานสืบต่อเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
50
ทา่ นพระครอู ดลุ ธรรมภาณ และลกู ศษิ ย์ จงึ ไดข้ ออนญุ าตทา่ นสรา้ งวตั ถมุ งคลชดุ ของ
ทา่ นขน้ึ ทา่ นกอ็ นญุ าต ทา่ นพระครอู ดลุ ธรรมภาณ จงึ ไดส้ รา้ งวตั ถมุ งคลเปน็ รนุ่ ไตรมาส
ของทา่ นขน้ึ วตั ถุมงคลชดุ นม้ี ดี ังน้ี
๑. พระกรง่ิ รปู เหมอื นของทา่ น มเี นอื้ เงนิ ๑๒ องค์ เนอื้ นวโลหะ จำ� นวน ๕๐๐ องค์
๒. พระผงรปู เหมอื นของทา่ น เนอ้ื วา่ นสเี่ หลยี่ ม ๒,๐๐๐ องค์ ชนดิ กลม จำ� นวน
๑,๒๐๐ องค์
๓. เหรียญเนอ้ื ทองแดงและชบุ นคิ เกน้ิ ๑๕,๐๐๐ เหรียญ เนื้อเงิน ๙๐ เหรยี ญ
เนอ้ื นวโลหะ ๒๐๐ เหรยี ญ
สร้างเสรจ็ เมื่อวันที่ ๑ มิถนุ ายน ๒๕๑๗ แล้วนำ� ไปให้ท่านปลกุ เสกเดยี่ วจนถึง
วาระสดุ ทา้ ยของชีวติ นับเปน็ วัตถมุ งคลชดุ สดุ ท้ายจริงๆ เม่อื ทา่ นได้มรณภาพแลว้
ก็ไดจ้ ัดงานพธิ ีพุทธาภิเษกอกี ครัง้ หนึ่งเม่อื วนั ท�ำบญุ ครบ ๑๐๐ วนั ท่ีวดั อรญั ญวเิ วก
บา้ นขา่ อำ� เภอศรสี งคราม จงั หวดั นครพนม มพี ระอาจารยส์ ายกมั มฏั ฐานของภาคอสี าน
หลายท่านร่วมพิธีพุทธาภิเษกด้วย จุดประสงค์ในการสร้างเหรียญนี้ก็เพ่ือน�ำปัจจัย
ไปสร้างอุโบสถของวัดท่าน และวัดศรีวิชัยที่ก�ำลังก่อสร้างอยู่ วัตถุมงคลชุดน้ีมี
เครอ่ื งหมายเปน็ ตวั “ร-ร” (ตัวอะ) ทุกเหรียญ
51
วาระสดุ ทา้ ยของชวี ติ
ในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ นบั เปน็ ปที ่ี ๔ ทท่ี า่ นหลวงตาไดอ้ ยจู่ ำ� พรรษาทว่ี ดั อรญั ญวเิ วก
บา้ นขา่ แดนมาตภุ มู ขิ องทา่ น ในพรรษานใี้ ครเลยจะนกึ วา่ ทา่ นจะจากพวกเราไปอยา่ ง
ไมม่ วี นั กลบั
กอ่ นเขา้ พรรษาทา่ นเคยพดู เสมอวา่ “ใครตอ้ งการอะไรกใ็ หเ้ รง่ รบี สรา้ งเอา คณุ งาม
ความดที ง้ั หมดอยทู่ ต่ี วั ของเราแลว้ ขนั ธ์ ๕ น้ี เมอ่ื มนั ยงั ไมแ่ ตกดบั กอ็ าศยั มนั ประกอบ
ความดไี ด้ แตถ่ า้ มนั แตกดบั แลว้ กอ็ าศยั อะไรมนั ไมไ่ ด้ ขนั ธ์ ๕ ของหลวงตากจ็ ะดบั แลว้
เหมอื นกัน” และท่านได้พูดอยา่ งมั่นใจว่า “ธาตลุ มของหลวงตาได้วิบัติแล้ว บางครั้ง
มันเขา้ ไปแล้วก็ไม่ออกมา นานทสี่ ุดจึงออกมา และเมอ่ื มันออกมาแล้วกไ็ ม่อยากจะ
เขา้ ไป”
เรื่องเช่นน้ีไม่มีใครเลยจะนึกว่าท่านพูดเพ่ือให้เราได้ทราบวันมรณภาพไว้
ลว่ งหนา้ เพราะสขุ ภาพของทา่ นกแ็ ขง็ แรง ไมม่ โี รคภยั ไขเ้ จบ็ อะไร และทา่ นไมไ่ ดอ้ าพาธ
อะไรเลย เมอื่ ทา่ นพูดแล้วกห็ วั เราะ ยมิ้ อยา่ งคนมอี ารมณด์ ี และลกุ ไปไหนมาไหนได้
ตามธรรมดา แตก่ ็มีลูกศิษยเ์ ปน็ หว่ งสุขภาพของคนชรา ประคับประคอง จะไปไหน
มาไหนก็ต้องติดตามท่านเสมอ ท�ำเพ่ือความเคารพนับถือท่านและเป็นห่วงเป็นใย
ตอ่ ทา่ นในฐานะศษิ ยแ์ ละอาจารย์ ดจุ เดยี วกบั ลกู รกั เคารพและเปน็ หว่ งตอ่ พอ่ และแม่
พอ่ แมค่ รอู าจารยม์ พี ระคณุ มากลน้ เหลอื อนนั ต์ มวี ธิ ใี ดทจ่ี ะตอบแทนบญุ คณุ ได้
กต็ อ้ งรบี ทำ� เพอ่ื เปน็ การตอบแทน ไมเ่ คยมคี วามรงั เกยี จแมแ้ ตน่ อ้ ย รกั ทา่ นเปน็ หว่ งทา่ น
52
ดจุ ชวี ติ ของตนเอง จะเปน็ อยา่ งไรกต็ ามจะไมย่ อมใหท้ า่ นตกระกำ� ลำ� บาก ยอมตายเพอ่ื
ทา่ นได้
กอ่ นวนั เขา้ พรรษา มคี ณะสงฆจ์ ากวดั ตา่ งๆ หลายวดั ไดไ้ ปถวายดอกไมธ้ ปู เทยี น
เพ่ือ “ท�ำวัตร” ตามประเพณีอันดีงามของชาวพุทธเป็นประจ�ำทุกพรรษามิได้ขาด
ทา่ นเมอ่ื รบั การถวายเครอ่ื งสกั การบชู าแลว้ ทา่ นตอ้ งแสดงธรรมสงั่ สอนโปรดญาตโิ ยม
เสมอไมเ่ คยขาด ในพรรษานเี้ กอื บทกุ ครง้ั เมอื่ ทา่ นเทศนจ์ บแลว้ ทา่ นชอบพดู เสมอวา่
“ลมไมค่ อ่ ยดี ลมไมค่ อ่ ยเดนิ สะดวก ลมของหลวงตาวบิ ตั แิ ลว้ ลกู หลานเอย้ ” พดู แลว้
กย็ มิ้ และหวั เราะ แตท่ า่ นไม่เคยบน่ วา่ เหนื่อย หรอื วา่ ลกุ น่งั ไปไหนมาไหนล�ำบากเลย
คงแสดงธรรมตามสำ� นวนโวหารตามทศั นะของท่านโปรดญาตโิ ยม และแก่คณะสงฆ์
อยเู่ สมอ ในเวลากลางคนื อนั เปน็ เวลาประชมุ พระภกิ ษสุ ามเณรและญาตโิ ยมชาวบา้ น
ทา่ นจะตอ้ งลงมาจากกฏุ แิ สดงธรรม ไมเ่ คยวา่ งเวน้ แมว้ นั เดยี ว จะไมม่ คี ำ� วา่ ทา่ นหลวงตา
อาพาธแสดงธรรมไมไ่ ด้ และมลี กู หลานศษิ ยานศุ ษิ ยพ์ ดู เสมอวา่ “ทา่ นหลวงตาถงึ จะมี
อายุมากก็ยังแขง็ แรงด”ี
เมอื่ วนั ท่ี ๑๓ มถิ นุ ายน ๒๕๑๗ กอ่ นเขา้ พรรษา ขา้ พเจา้ และคณะศษิ ยานศุ ษิ ย์
ได้ไปกราบถวายความเคารพและถวายเครื่องสักการะเพ่ือขอคารวะต่อหลวงตา
ทา่ นกย็ งั แขง็ แรงดี ลกุ ขนึ้ นง่ั และกแ็ สดงธรรมใหฟ้ งั ตามสมควร นบั วา่ เปน็ การฟงั เทศน์
ของท่านเป็นกัณฑ์สุดท้าย กัณฑ์นี้ดูเหมือนท่านจะจงใจแสดงให้ฟังโดยเฉพาะ
เมอื่ เทศนจ์ บทา่ นบอกวา่ “กณั ฑเ์ ทศนก์ ณั ฑน์ เี้ ปน็ กณั ฑส์ ดุ ทา้ ย และเปน็ หวั ใจกมั มฏั ฐาน
ของนกั บวช” ซง่ึ กไ็ ดบ้ นั ทกึ เอาไวด้ ว้ ย แตไ่ มไ่ ดน้ ำ� มาพมิ พล์ งในทน่ี ่ี พอสรปุ ไดว้ า่ ทา่ นได้
เจาะจงต่อข้าพเจ้าจริงๆ เพราะมีตอนหน่ึงท่านได้พูดแรงมากว่า “มันไม่มาหาสักที
นานๆ มันจงึ มาหาทีหนงึ่ หลบไปหลบมา วันน้ีจงฟังเทศน์ใหด้ ๆี เอาไว้ เพราะต่อไป
จะหาฟงั ได้ยาก ในโลกนีไ้ ม่มีใครจะแสดงธรรมได้เหมอื นหลวงตาหรอก”
จงึ ทำ� ใหค้ ดิ มากเอาทเี ดยี ว เพราะนบั ตง้ั แตห่ ลวงตาไดม้ าอยจู่ ำ� พรรษาทบี่ า้ นขา่ นี้
ไดม้ ากราบทา่ นและฟงั เทศนจ์ ากทา่ นหลายครง้ั หลายคราว ขา้ พเจา้ รกั ทา่ นหลวงตามาก
ทา่ นไดแ้ สดงธรรมโปรดเสมอ และทา่ นแสดงแตล่ ะครง้ั แสดงนานมาก ทา่ นไดส้ งเคราะห์
53
ทง้ั วตั ถธุ รรมและนามธรรม ทา่ นไดใ้ หอ้ ะไรสารพดั อยา่ งแกข่ า้ พเจา้ อยเู่ สมอ ทา่ นชอบ
เรยี กขา้ พเจ้าวา่ “หลานนอ้ ย” ท่านได้พดู เช่นนั้น เมือ่ มาคดิ โดยเหตุผลแลว้ จะทำ� ให้
ดใี จมาก
ในการฟังธรรมวันนั้น บางคร้ังท่านได้หยุดในระหว่างเม่ือเทศน์จบลงแล้ว
ท่านบอกว่า “ขันธ์ ๕ จะดับแล้ว ธาตุลมวิบัติแล้ว” จึงได้กราบเรียนถามท่านว่า
“ทา่ นหลวงตาไมเ่ หนอ่ื ยหรอื ” ทา่ นบอกวา่ “ขนั ธ์ ๕ จะใหห้ ยดุ การแสดงธรรมเหมอื นกนั
แตจ่ ติ ไมห่ ยดุ มนั กห็ ยดุ ไมไ่ ด้ การแสดงธรรมเปน็ หนา้ ทขี่ องเรา เกดิ มากเ็ พอ่ื ทำ� ประโยชน์
ทงั้ นนั้ ไดค้ วามดแี ลว้ กต็ อ้ งทำ� ความดเี พอื่ ความดอี กี คนเกดิ มารจู้ กั พทุ โธ ธมั โม สงั โฆ
จงึ จะเปน็ คน ไมใ่ ชส่ ตั ว์ เราตอ้ งรจู้ กั พระธรรมใหด้ ที สี่ ดุ จงึ จะเรยี กไดว้ า่ พระมหาเปรยี ญ
พระนกั ธรรม พระกัมมัฏฐาน”
54
บนั ทึกเหตกุ ารณ์ ๓ วันก่อนมรณภาพ
หลงั จากเขา้ พรรษาไปได้ ๑๑ วนั เมอ่ื วนั ท่ี ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๑๗ เวลาประมาณ
เท่ียงวัน มีคณะสงฆ์จากวัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร น�ำโดย
ทา่ นอาจารย์แวน่ ธนปาโล ได้ไปถวายดอกไม้ธูปเทียนคารวะตามประเพณีอันดงี าม
และทา่ นไดเ้ ทศน์ ๑ กณั ฑ์ หลงั จากเทศนจ์ บลงแล้ว สังเกตทา่ นหลวงตาเหนื่อยมาก
อาการเชน่ นม้ี มี าแตว่ นั ที่ ๑๕ แลว้ แตท่ า่ นไมเ่ คยออกปากพดู เลยวา่ “หลวงตาเหนอื่ ย”
แต่ท่านพูดว่า “เทศน์วันนี้มีหัวใจธรรม” ต่อจากนั้นท่านเอนหลังลงเพ่ือพักผ่อน
ดูอากัปกิริยาของท่านหลวงตาแล้วเหน่ือยจริงๆ มีอาการตัวร้อน ลูกศิษย์ถวายยา
แกโ้ รค ทา่ นกฉ็ นั แตบ่ อกวา่ “ยานรี้ กั ษาใจไมไ่ ด้ แตร่ กั ษาขนั ธ์ ๕ ได้ แตข่ นั ธ์ ๕ ของ
หลวงตาจะดับแล้วละ่ ”
วนั ที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๑๗ ทา่ นอาจารยอ์ นุ่ จากวดั อดุ มรตั นาราม อ.อากาศ-
อำ� นวย จ.สกลนคร มาเฝา้ เยย่ี มหลวงตาเพ่อื ถวายดอกไมธ้ ปู เทยี นเป็นการแสดงถงึ
ความเคารพต่อทา่ น ท่านหลวงตาไดแ้ สดงธรรมเทศนาโปรด ๑ กณั ฑ์ เรอ่ื งอายตนะ
ภายใน อายตนะภายนอก สอนใหร้ อู้ ายตนะภายใน อายตนะภายนอก พรอ้ มทง้ั สอน
ใหร้ อู้ าการเปน็ ไปตา่ งๆ ของอายตนะทงั้ ๒ สดุ ทา้ ยทา่ นแสดงวา่ “อายตนะของหลวงตา
จะแตกดับแล้วล่ะ” ทา่ นอาจารยอ์ ุ่นเดินทางกลบั เวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น.
จากเหตกุ ารณว์ นั น้ี สงั เกตเหน็ วา่ ทา่ นหลวงตาเหนอ่ื ย พดู เบา บางครง้ั กพ็ กั หายใจ
ยาวๆ แล้วพดู ตอ่ ลกู ศษิ ยล์ ูกหลานกราบเรยี นให้ท่านพักผ่อน ท่านเอนหลังลงแล้ว
55
กเ็ ทศน์สง่ั สอนลูกศษิ ยไ์ ปเร่ือยๆ ไม่หยดุ ในระยะน้ีได้ถวายยาแก่ทา่ น ท่านบอกว่า
“ยามปี ระโยชนแ์ ก่รา่ งกายก็ต่อเมอื่ รา่ งกายตอ้ งการเท่านนั้ ”
เชา้ วนั ที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๑๗ ทา่ นฉันเช้าตามปกติแตก่ ไ็ มม่ ากนัก สังเกตดู
อาการทา่ นเหนด็ เหนอ่ื ยออ่ นเพลยี มากทเี ดยี ว นบั แตเ่ วลาเชา้ ไปทา่ นพกั ผอ่ นเลก็ นอ้ ย
แสดงธรรมตลอดแตพ่ ดู เบามาก ขณะทที่ า่ นกำ� ลงั เทศนอ์ ยนู่ น้ั มพี ระภกิ ษสุ ามเณรจาก
ตา่ งวดั มาถวายสกั การะและรบั ฟงั โอวาท ทา่ นใหล้ กู ศษิ ยช์ ว่ ยพยงุ ลกุ ขนึ้ นงั่ เมอ่ื ลกุ ขนึ้
นงั่ แล้ว ท่านหลวงตาพดู วา่ “สงั ขารไมเ่ ทยี่ ง หลวงตาเกดิ มากอ่ นก็ต้องไปก่อนตาม
ธรรมดา” เทศนป์ ระมาณ ๑๕ นาที คณะสงฆน์ นั้ กลบั ไป ขณะนน้ั เวลาประมาณ ๑๖.๐๐ น.
ท่านเหนื่อยมากทส่ี ุด พดู เบามาก ท่านบอกวา่ “ลมวิปรติ แลว้ ไมม่ แี ลว้ ”
จากนน้ั ทา่ นหลวงตาไดใ้ หพ้ รลกู ศษิ ยว์ า่ พทุ โฺ ธ สโุ ข ธมโฺ ม สโุ ข สงโฺ ฆ สโุ ข จตตฺ าโร
ธมมฺ า วฑฒฺ นฺติ อายุ วณโฺ ณ สุขํ พลํ แล้วท่านหลวงตาก็หวั เราะและยม้ิ ใหล้ ูกศิษย์
อันเป็นลักษณะเดิมของท่านหลวงตา แสดงว่าท่านมีอารมณ์ดี ไม่สะทกสะท้านต่อ
อาการท่เี กิดข้นึ ในขณะน้มี ที ่านอาจารยอ์ ่นุ ทา่ นอาจารยว์ าน และพระภกิ ษุสามเณร
หลายสิบรูป เฝ้าดูอาการของท่านด้วยความตกใจเป็นที่สุด แม้ท่านจะเหน่ือยมาก
สักปานใดก็ตาม แตท่ ่านก็ยงั พดู อยูเ่ รื่อยๆ ถึงเสยี งจะเบา ก็ยงั พอรูไ้ ดว้ ่าทา่ นแสดง
ธรรมโปรดลูกศษิ ย์ และในทันทนี ้นั ท่านก็พดู พอไดย้ นิ ว่า “ธาตลุ มในหลวงตาวิปรติ
แล้ว”
จากน้นั ท่านไม่พูดอะไรอกี กริ ิยาอาการทกุ อยา่ งสงบเงยี บ ทกุ คนแนใ่ จวา่ ท่าน
หลวงตาไดถ้ งึ มรณภาพแลว้ เวลา ๑๙.๐๕ น. ทา่ มกลางสานศุ ษิ ยท์ ง้ั บรรพชติ และคฤหสั ถ์
ดว้ ยความอาลยั ยงิ่ แตเ่ ชอื่ มน่ั เหลอื เกนิ วา่ ทา่ นหลวงตาไดไ้ ปถงึ สนั ตสิ ขุ ทสี่ ดุ แลว้ สริ ริ วม
อายุได้ ๘๖ ปี
56
พระธรรมเทศนา
พระอจลธมโฺ ม หลวงป่ตู ้อื
57
ภาคธรรมเทศนา
ทา่ นพระอาจารยต์ อ้ื อจลธมโฺ ม ทา่ นแสดงธรรมไมเ่ หมอื นใครและไมม่ ใี ครเหมอื น
ผฟู้ งั ธรรมทา่ นตอ้ งเพง่ ถงึ ความจรงิ ในเนอื้ หาสาระของพระธรรมเทศนา ทา่ นชอบแสดง
ธรรมยกเอา “เรอื่ งจรงิ ” มาแสดง เปน็ ธรรมะทเี่ ปน็ ของจรงิ ทพี่ วกเรามองขา้ มไป และ
ผทู้ ฟี่ งั เทศนข์ องทา่ นจะไดฟ้ งั เรอื่ งแปลกๆ เสมอ และคำ� พดู ใหมๆ่ เสมอ มหี ลายทา่ น
ผ้ฟู งั ดว้ ยกนั ทชี่ อบพูดว่า ทา่ นพระอาจารย์ตือ้ แสดงธรรมไม่ร้เู อาอะไรมาพูด ไมเ่ ห็น
มีอะไรเป็นหลักเป็นหนทางบ้างเลย จะจับเอาสาระท่ีตรงไหนก็ไม่ได้ เม่ือเป็นเช่นน้ี
คนเหล่านั้นหรือท่านผู้นั้นก็ยังไม่รู้จักความจริงในเน้ือหาสาระของธรรมที่ท่าน
แสดงนน้ั เพราะฉะนนั้ เมอ่ื ฟงั ธรรมของทา่ น เราตอ้ งเพง่ ถงึ หลกั ความจรงิ เปน็ ประธาน
เพ่งเอาจริงเป็นหลัก พิจารณาให้รู้ตามความเป็นจริงแล้วจะเห็นว่าท่านแสดงตาม
หลักเดิมอันเปน็ ความจริง ที่เรียกว่า “สจั ธรรม” จรงิ ๆ
และอีกประการหนึ่ง ท่านชอบแสดงตามหลักความเป็นจริงในเหตุการณ์นั้นๆ
ที่เกิดข้ึนเฉพาะหน้า แสดงตามเหตุการณ์ท่ีมีผู้ถามอย่างที่ท่านชอบเปรียบเทียบว่า
บางครัง้ บางขณะสตั วย์ ังดกี ว่าคนเสยี อีก จึงมีผู้ถามว่า สัตวด์ ีกว่าคนได้อย่างไร ดงั นี้
เป็นต้น ท่านกแ็ สดงเรอ่ื งสัตว์ดกี ว่าคน เช่น หมาดกี ว่าคน วา่ หมามันดหี ลายอยา่ ง
เป็นสัตว์ที่คนเลี้ยงและก็มีคุณต่อคนท่ีเป็นนายของมัน ท่านก็แสดงความดีของหมา
ใหฟ้ งั ดงั ทีผ่ เู้ คยไดฟ้ งั ธรรมของท่านจะต้องไดย้ นิ เสมอวา่ “มงคลของหมา ของเปด็
ของแมว” เปน็ ตน้ ความเปน็ จรงิ หมากไ็ มเ่ หน็ จะดที ตี่ รงไหนตามทเ่ี ราคดิ ตามธรรมดา
แต่ทา่ นก็แสดงให้เหน็ ความดีของมันได้ตัง้ หลายอย่าง
ต่อไปนี้จะเป็นการน�ำพระธรรมเทศนาของท่านพระอาจารย์มาลงไว้บ้างสัก
เลก็ นอ้ ย เพอื่ ใหห้ นงั สอื เลม่ นมี้ คี รบทกุ อยา่ ง แตจ่ ะนำ� มาลงใหห้ มดทกุ กณั ฑน์ น้ั กเ็ ปน็ ไป
ไมไ่ ด้ เพราะทา่ นแสดงธรรมไวเ้ ปน็ จำ� นวนมาก และมผี สู้ นใจพมิ พแ์ จกเปน็ ธรรมทาน
อยูแ่ ล้วก็มาก จึงขอเชญิ ทา่ นผู้อา่ นไดร้ ับฟงั เทศน์ของท่านเลย ดังนี้
หัวใจของพระพทุ ธศาสนา
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสมั พทุ ธสั สะ (๓ หน)
จติ ดวงเดยี วแสดงเปน็ สด่ี วง พระโสดามรรคกจ็ ติ ดวงเดยี วนแี้ หละ พระสกทาคาม-ิ
มรรคกจ็ ติ ดวงเดยี ว พระอนาคามมิ รรคกจ็ ติ ดวงเดยี ว พระอรหนั ตมรรคกจ็ ติ ดวงเดยี ว
ทีว่ า่ เปน็ สีน่ ้ีว่าตามธาตุ ตามวญิ ญาณ ธาตุกส็ ี่ วญิ ญาณกส็ ่ี ได้ชือ่ ว่า จิตตานปุ สั สนา
กับจิตแยกออกจากกันไม่ได้ หูกับจิตออกจากกันไม่ได้ ส่วนตาไม่ใช่จิต เรียกว่า
วิญญาณตา หกู ไ็ มใ่ ชจ่ ติ เรยี กว่าวิญญาณหู จมกู กไ็ มใ่ ช่จิต เรยี กว่าวิญญาณจมกู
ปากกไ็ มใ่ ชจ่ ติ เรยี กวา่ วญิ ญาณปาก จติ เราจะไปไหน ไปทำ� บญุ หรอื ทำ� บาป กต็ อ้ งอาศยั
วญิ ญาณตา จะดรู ปู กต็ อ้ งอาศยั ตา จะฟงั เสยี งรอ้ งรำ� ทำ� เพลงเพอ่ื ใหเ้ พลดิ เพลนิ กต็ อ้ ง
อาศยั วญิ ญาณหเู ปน็ ผฟู้ งั วา่ จะเพราะพรง้ิ เพยี งไร จติ เปน็ ผรู้ ู้ จะดมกลน่ิ เหมน็ กลนิ่ หอม
จิตเป็นผู้รู้ จึงใส่ชื่อว่า “จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานัง” ตากับจิตออกจากกันไม่ได้
ตายเม่อื ใด พน้ เมือ่ นัน้
นแี้ หละทา่ นทง้ั หลาย ๑. จติ ไมฆ่ า่ สตั ว์ จติ นนั้ กเ็ ปน็ พระโสดาจติ สกทาคาจติ กเ็ ปน็
อนาคาจติ กเ็ ปน็ อรหนั ตจติ กเ็ ปน็ พระพทุ โธ จติ ดวงเดยี ว ๒. จติ ไมล่ กั ทรพั ย์ จติ นนั้ กเ็ ปน็
พระโสดา เปน็ พระสกทาคา เปน็ พระอนาคา เปน็ พระอรหนั ตา ๓. จติ ออกบวช ขาดจาก
ผวั จากเมยี จติ นน้ั กเ็ ปน็ พระโสดา เปน็ พระสกทาคา เปน็ พระอนาคา เปน็ พระอรหนั ตา
๔. จติ ไมข่ ป้ี ด ไมก่ ลา่ วมสุ าวาท จติ นนั้ กเ็ ปน็ พระโสดา เปน็ พระสกทาคา เปน็ พระอนาคา
เปน็ พระอรหนั ตา ๕. จติ ไมก่ นิ เหลา้ จติ กเ็ ปน็ พระโสดา เปน็ พระสกทาคา เปน็ พระอนาคา
เปน็ พระอรหนั ตา อนั น้ีอธบิ ายเป็นพระสูตร ขอใหน้ กั ธรรม นักกัมมัฏฐานท้ังหลาย
จงดทู กุ พระองคเ์ ถดิ จะอธบิ ายเปน็ พระปรมตั ถอ์ ยทู่ ห่ี วั ใจของเราทกุ คน ๑. จติ ไมฆ่ า่ สตั ว์
จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน จิตก็เป็นนิพพาน อยู่ท่ีใจของเราทุกคนทุกพระองค์
59
๒. จติ ไมล่ กั ทรพั ย์ จติ กเ็ ปน็ ศลี จติ กเ็ ปน็ ฌาน จติ กเ็ ปน็ นพิ พาน อยทู่ ใี่ จของเราทกุ คน
และทกุ พระองค์ ๓. จติ ออกบวช ขาดจากผวั จากเมยี จติ กเ็ ปน็ ศลี จติ กเ็ ปน็ ฌาน จติ กเ็ ปน็
นพิ พาน อยทู่ ใี่ จทกุ คนทกุ พระองค์ ๔. จติ ไมข่ ป้ี ด (มสุ าวาท) จติ กเ็ ปน็ ศลี จติ กเ็ ปน็ ฌาน
จติ กเ็ ปน็ นพิ พาน อยทู่ ใ่ี จทกุ คนทกุ พระองค์ ๕. จติ ไมก่ นิ เหลา้ จติ กเ็ ปน็ ศลี จติ กเ็ ปน็ ฌาน
จติ กเ็ ปน็ นพิ พาน อยู่ที่ใจทกุ คนทุกพระองค์
พุทฺโธเป็นศีล พุทฺโธเป็นฌาน พุทฺโธก็เป็นนิพพาน อยู่ที่ใจของเราทุกคน
ทุกพระองค์ ธมโฺ มเป็นศลี ธมฺโมเปน็ ฌาน ธมโฺ มเป็นนพิ พาน อย่ทู ใ่ี จของเราทุกคน
ทกุ พระองค์ สงฺโฆเปน็ ศลี สงโฺ ฆเป็นฌาน สงฺโฆเปน็ นพิ พาน อยทู่ ีใ่ จของเราทุกคน
ทุกพระองค์ กรณุ าเปน็ ศลี กรุณาเปน็ ฌาน กรณุ าเป็นนพิ พาน อย่ทู ่ใี จของเราทุกคน
ทุกพระองค์ มุทิตาเป็นศีล มุทิตาเป็นฌาน มุทิตาเป็นนิพพาน อยู่ท่ีใจของเรา
ทกุ คนทกุ พระองค์ เมตตาเปน็ ศลี เมตตาเปน็ ฌาน เมตตาเปน็ นพิ พาน อยทู่ ใ่ี จของเรา
ทกุ คนทกุ พระองค์ อุเบกขาเปน็ ศลี อเุ บกขาเป็นฌาน อุเบกขาเป็นนิพพาน อยทู่ ่ีใจ
ของเราทุกคนทุกพระองค์ จิตมีรปู ไมร่ กั รูป จิตก็เปน็ ศีล จติ กเ็ ป็นฌาน จติ กเ็ ป็น
นพิ พาน อยู่ทีใ่ จของเราทกุ คนทุกพระองค์ จิตมีเวทนา จิตไมร่ ักเวทนา จิตกเ็ ปน็ ศีล
จติ กเ็ ปน็ ฌาน จติ กเ็ ปน็ นพิ พาน อยทู่ ใ่ี จของเราทกุ คนทกุ พระองค์ จติ มสี ญั ญา จติ ไมร่ กั
สญั ญา จติ กเ็ ปน็ ศลี จติ กเ็ ปน็ ฌาน จติ กเ็ ปน็ นพิ พาน อยทู่ ใี่ จของเราทกุ คนทกุ พระองค์
จติ มสี งั ขาร จติ ไมร่ กั สงั ขาร จติ กเ็ ปน็ ศลี จติ กเ็ ปน็ ฌาน จติ กเ็ ปน็ นพิ พาน อยทู่ ใ่ี จของเรา
ทุกคนทุกพระองค์
พระองคเ์ จา้ พระคณุ คอื ใคร เจา้ พอ่ ของเรา เจา้ แมข่ องเรา พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้
ของเราทุกคนเกิดจากเจ้าคุณพ่อ หมายถึง พระสุทโธทนะ เจ้าคุณแม่ หมายถึง
พระนางเจ้าสิริมหามายาเป็นท่ีเกิด ธรรมะอันประเสริฐสูงสุดวิเศษอยู่ท่ีใจของเรา
อันเกิดมาจากพระบิดา พระมารดา ถ้าใครเชื่อ เอาหมูเป็นเมีย ปีกุนแปลว่าหมู
หมดู กี วา่ มนษุ ย์ มนษุ ยส์ หู้ มไู มไ่ ด้ หมดู กี วา่ มนษุ ย์ ขาหมมู นษุ ยก์ นิ แตข่ ามนษุ ยไ์ มม่ ี
ใครกนิ หำ� หมมู นษุ ยก์ นิ แตห่ ำ� มนษุ ยไ์ มม่ ใี ครกนิ หหี มมู นษุ ยก์ นิ หมี นษุ ยไ์ มม่ ใี ครกนิ
หหี มู คนปากไมช่ ดั (คอื คนลน้ิ ไกส่ น้ั พดู ออ้ แอ)้ กนิ แลว้ จะดขี น้ึ นำ้� มนั หมเู ปน็ สนิ คา้
60
ทวั่ ราชอาณาจกั รไทย เปน็ อาหารทว่ั ไปไมเ่ ลอื กชาตไิ หนกนิ กนั ทงั้ นนั้ แตน่ ำ�้ มนั มนษุ ย์
ไม่มใี ครกิน ขหี้ มูเอามาทำ� ป๋ยุ ใสใ่ นนา ใสผ่ กั ใสส่ วน ไดท้ ั้งนน้ั แต่ขี้มนุษยไ์ ม่มใี คร
ต้องการ หวั หมู ตบั หมู มนษุ ย์กิน หัวคนตายไม่มใี ครกิน หัวหมู จมูกหมู ล้นิ หมู
มันสมองหมู ตม้ กนิ ได้ทกุ ชาติ ปากคน ลิน้ คน มนั สมองคน หวั คน ไมม่ ใี ครกนิ แต่
ไสห้ มทู ำ� เปน็ ไสก้ รอกกนิ ได้ ตบั หมู พงุ หมกู นิ ได้ แตต่ บั คน ไสค้ น พงุ คน ไมม่ ใี ครกนิ
ขนหมเู ปน็ สนิ คา้ ทำ� แปรงทาสไี ดท้ วั่ ไป แตข่ นผมของมนษุ ยต์ ดั ทง้ิ เสยี เปลา่ ๆ ไมม่ ใี คร
ตอ้ งการ ผมของอบุ าสกตอ้ งตดั เดอื นละครง้ั สองครงั้ เสยี เงนิ ครงั้ ละ ๔-๕ บาท ยง่ิ เปน็
ผมของเจา้ นายกแ็ พงขนึ้ ไปยง่ิ กวา่ น้ี แลว้ กค็ า่ นำ้� มนั เดอื นละขวด เมอ่ื จะหมดบญุ กต็ อ้ ง
เสยี เงนิ หลายพนั บาท เมอ่ื ตายไปไฟกนิ หมด นแี้ หละ นกั ธรรม นกั กมั มฏั ฐานทง้ั หลาย
ข้าพเจ้าพระอาจารย์ตื้อ หรือหลวงปู่ต้ือ ขอถวายปัญญาวิปัสสนาญาณไว้แสดงให้
ท่วั ถงึ กัน มีเจ้านาย ข้าราชการ อุบาสก อุบาสิกา เปน็ ต้น ถ้าไม่จรงิ อยา่ งหลวงปวู่ า่
ขอให้อมข้มี าเป่าหน้าเถดิ
หนึ่ง ผูเ้ จรญิ ฌาน ให้รูจ้ กั ฌาน ถ้าไม่รู้จักฌาน จะน่ังเอาฌานจนเอวหกั กไ็ มไ่ ด้
นพิ พานตามความปรารถนา สอง ผเู้ จรญิ ฌานใหร้ จู้ กั ฌาน จงึ จะไดน้ พิ พาน เพราะฌาน
กบั นิพพานเป็นคูก่ นั จะแยกออกจากกนั ไม่ได้ เหมือนเดอื นกับดาว เดือนอยทู่ ่ไี หน
ดาวอยทู่ นี่ น่ั ทวี่ า่ การไมร่ จู้ กั ฌาน ไมร่ จู้ กั นพิ พาน เปน็ อาการของจติ เรยี กวา่ “โลกยี จติ ”
สอง “โลกตุ ตรจติ ” จติ จะรจู้ กั ฌาน พระโสดาผล เปน็ ฌานทหี่ นง่ึ พระสกทาคามมิ รรค
พระสกทาคามผิ ล เปน็ ฌานทส่ี อง พระอนาคามมิ รรค พระอนาคามผิ ล เปน็ ฌานทสี่ าม
พระอรหัตตมรรค พระอรหัตตผล เป็นฌานที่ส่ี ฌานเป็นท่ีอยู่ของพระอรหันต์
นพิ พานกค็ อื ใจของพระอรหนั ตเจา้ นนั้ แลฌานเหมอื นเคา้ ตน้ ของผม (เกศา) นพิ พาน
เหมอื นเสน้ ผมนั้นแล จึงจะสมสะวะนะ
ท่หี นึ่ง บริกรรม พุทโธเปน็ ศีล พุทโธเปน็ ฌาน พุทโธเปน็ นพิ พาน
ทสี่ อง อปุ จารเปน็ ทอ่ี ยขู่ องจติ ธมั โมเปน็ ศลี ธมั โมเปน็ ฌาน ธมั โมกเ็ ปน็ นพิ พาน
ทส่ี าม สังโฆเปน็ ศีล สังโฆเป็นฌาน สังโฆเป็นนพิ พาน
ทส่ี ี่ อนุโลมญาณ จงดูลมหายใจเข้าออก โทสะ ใจอยา่ ได้ข่ี ใจโมหะ ใจขี่ทิฏฐิ
61
กห็ มดไป ใจข่ีโทสะ ใจก็เป็นอรหนั ต์ ใจขโี่ มหะ ใจก็เปน็ อรหนั ต์ ใจข่ีทิฏฐิ ใจนเ้ี ป็น
อรหนั ต์
ทหี่ า้ โคตะ อยใู่ นรปู ไมผ่ ดิ รปู อยใู่ นเวทนาไมผ่ ดิ เวทนา อยใู่ นสญั ญาไมผ่ ดิ สญั ญา
อยใู่ นสังขารไม่ผดิ สังขาร อยู่ในวิญญาณไมผ่ ดิ กับวิญญาณ ใจเรากเ็ ปน็ พระนพิ พาน
ทห่ี ก โสดามรรคก็ใจ โสดาผลกใ็ จ สกทาคามิมรรคก็ใจ สกทาคามิผลก็ใจ
อนาคามมิ รรคกใ็ จ อนาคามผิ ลกใ็ จ อรหตั ตมรรคกใ็ จ อรหตั ตผลกใ็ จ ละอปุ าทเิ สส-
นพิ พาน กเิ ลสขาดจากสนั ดานหมดไป โมหะกเิ ลสหมดไป ทฏิ ฐกิ เิ ลสหมดไป ยงั เหลอื
แตใ่ จสะอาดปราศจากกเิ ลสเหมอื นพระจนั ทร์ เดนิ อยบู่ นทอ้ งฟา้ นภากาศ ไมม่ อี ะไรจะ
ท�ำลายได้ วาโยธาตุ แปลว่า ลมจากทิศทั้ง ๔ จะท�ำลายพระจนั ทร์ไม่ได้ ลมก็เปน็ ลม
พระจันทรไ์ มแ่ ตกไม่ดับ พระจนั ทร์ก็อยู่อย่างนัน้ แหละ อาโปธาตุ แปลว่า น้ำ� ฝนตก
ลงมาเม็ดเล็กเมด็ นอ้ ยเมด็ ใหญจ่ ะทำ� ลายพระจันทร์ไม่ได้ เปรียบเหมือนที่เราเห็นกัน
อยทู่ ุกวนั นี้ ดงั เชน่ เปรียบกนั ไดก้ ับใบบอน ตามธรรมดาใบบอนน้ัน น�้ำช�ำแรกแทรก
เขา้ ไปในใบบอนยอ่ มไมไ่ ด้ ถงึ ฝนจะตกลงมาถกู ตอ้ งใบบอนสกั เพยี งไร นำ้� ฝนกม็ อิ าจ
แทรกซมึ เขา้ ไปในใบบอนไดฉ้ นั นน้ั เพราะใบบอนไมด่ ดู เอานำ�้ เขา้ ไปเลย เหมอื นดงั กบั
พระจนั ทร์ พระจนั ทรเ์ ดนิ ไปเมอื งมา่ น (พมา่ ) พวกมา่ นทง้ั หลายทง้ั นอ้ ยและใหญพ่ ากนั
กราบไหว้พระจันทร์ พระจันทร์ก็เฉยๆ ไม่รับรองลิ้นของพวกม่านมาเป็นสรณะ
แต่อยา่ งไร ไปเมอื งมอญ พระจันทร์กเ็ ฉยเสีย พวกมอญจะตฉิ นิ นนิ ทาด่าว่าสิ้นทง้ั
บ้านเมอื งมอญ พระจันทรก์ เ็ ฉยเสีย น้แี หละ นกั ธรรม นักกัมมฏั ฐานเจ้าท้ังหลาย
จงึ เรียกไดว้ า่ “จบพรหมจรรย”์ คือ
๑. ไมฆ่ า่ สตั ว์ พทุ ธพรหมจรรย์
๒. ไม่ลกั ทรัพย์ พุทธพรหมจรรย์
๓. ไม่เสพกาม เรยี กวา่ พทุ ธพรหมจรรย์
๔. ไมข่ ป้ี ด (คือกล่าวมุสาวาท) เรียกวา่ พุทธพรหมจรรย์
๕. ไม่กนิ เหลา้ (สรุ า) เรยี กวา่ พทุ ธพรหมจรรย์
เปรยี บเหมอื นดวงพระจนั ทรน์ นั่ แหละ พระจนั ทรไ์ มฆ่ า่ สตั ว์ พระจนั ทรไ์ มล่ กั ทรพั ย์
พระจนั ทรไ์ มเ่ สพกาม พระจนั ทรไ์ มก่ ลา่ วมสุ าวาท พระจนั ทรไ์ มด่ ม่ื สรุ า กเ็ รยี กวา่ “จบ
62
พรหมจรรย”์ (เสยี ง จนั ทร์ กบั จรรย์ ออกเสยี งเหมอื นกนั ทา่ นจงึ นำ� มาเปรยี บเทยี บ
เช่นนี้) พระอรหันตเจ้าท้ังหลาย นั่งก็น่ังอยู่ในนิพพาน นอนก็นอนอยู่ในนิพพาน
เดนิ กเ็ ดนิ อยู่ในนพิ พาน กินกก็ ินอยู่ในนิพพาน แตข่ ันธ์ ๕ ทเ่ี ปน็ อปุ าทานยงั ไม่ดบั
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลายน้ี จึงพาขันธ์ห้าของคุณตาคุณยาย
สะพายบาตรประกาศพระศาสนาอยู่ ๔๕ ปี เรยี กวา่ อปุ าทเิ สสะ เขา้ พระนพิ พานพน้ จาก
ชาติกันดาร ไมต่ ้องมาเกิดอีกตอ่ ไป เตสํ วูปสโม สุโข เวทนาแตกเวทนาตาย สญั ญา
แตกสญั ญาตาย สงั ขารแตกสงั ขารตาย วญิ ญาณแตกวญิ ญาณตาย พระพทุ ธเจา้ โคตมะ
ไมไ่ ด้ฆา่ รูป รปู กแ็ กเ่ ฒ่า เวทนากแ็ กเ่ ฒ่า สญั ญากแ็ ก่เฒา่ วญิ ญาณก็แกเ่ ฒา่ ใจเรา
เทา่ นนั้ ทไี่ มแ่ กเ่ ฒา่ รปู งั อนจิ จงั รปู เกดิ ขนึ้ เปน็ ของไมเ่ ทย่ี ง ยกั ยา้ ยผนั แปรแตกตา่ งกนั
ไปมาเป็นธรรมดา จิตจะรอ้ งขออยา่ งไรก็ไม่ได้รับฟงั อกาลิโก อาการของธาตุเขาเปน็
อย่อู ย่างนั้น จกั ขนุ ทะรยิ ัง ดตู าของเราซิ ตามนั แตกตามันตาย จะห้ามตาไวไ้ มไ่ ด้
โสตนิ ทะริยัง ดูหขู องเรา หมู นั จะเฒา่ หมู นั จะตาย ห้ามหไู ว้ไมไ่ ด้ ฆานนิ ทะรยิ งั
ดจู มกู ของเรา (ฮดู งั ) จมกู มนั จะเปน็ หวดั คดั จมกู หรอื เปน็ รดิ สดี วงจมกู เราจะหา้ มไว้
ก็ไม่ได้ ชวิ หินทะรยิ งั ดลู นิ้ ของเรา ปากและลิน้ ก็เป็นหวัดเป็นไอ เดินกไ็ อ กินขา้ ว
กไ็ อ กินน�้ำกไ็ อ ไอไปไอมา อานาปาฯ เป็นภาษาบาลี ภาษาไทยเรยี กว่าลม รปู กล็ ม
เวทนากล็ ม สญั ญาก็ลม สังขารกล็ ม วิญญาณก็ลม หมดลมแล้วเรยี กวา่ ตาย มเี งิน
มีค�ำมีแก้วก็ตาย ละเสียจากเงินทองเหล่านั้น มีลูกสาวก็ตายจากลูกสาว มีลูกชาย
กต็ ายจากลกู ชาย มผี วั กต็ ายจากผวั มีเมยี กต็ ายจากเมีย มีพ่อกต็ ายจากพ่อ มีแม่
กต็ ายจากแม่
ถา้ เราจะมเี งนิ ถงึ แปดหมนื่ เกา้ หมนื่ กเ็ ปน็ แตข่ องกลางเทา่ นน้ั ทมี่ อี ยใู่ นโลก เราตาย
เสยี แลว้ ก็ทิ้งหมด ถ้าเมือ่ เรายงั ไมต่ าย จงมาพากนั สรา้ งบญุ สร้างกศุ ลใหพ้ อ เมอ่ื เรา
ตายไปแล้ว บุญน้ันก็จะเป็นที่พ่ึงของเรา เป็นท่ีอาศัยของเรา บุญเกิดทางกายน้ัน
ประการใด จะขยายให้เปน็ พระสูตร อะนะวชั ชานิ กัมมานิ บคุ คลเกิดมาในโลกนี้
ทำ� การงานปราศจากโทษ มแี ตป่ ระโยชนท์ งั้ ชาตนิ แ้ี ละชาตหิ นา้ เปน็ ปจั จยั แกเ่ ราผสู้ รา้ ง
บารมี หน่งึ สรา้ งพระพทุ ธรปู สรา้ งพระเจดีย์ สร้างวัดวาอาราม โบสถ์ วหิ ารไวใ้ น
พระศาสนา ผใู้ ดหากไดท้ ำ� แลว้ ผนู้ น้ั เปน็ ผเู้ ลศิ ผปู้ ระเสรฐิ ไมเ่ สยี ทที เ่ี กดิ มาเปน็ มนษุ ย์
63
พบพระพุทธศาสนา ฉายาวะ เปรยี บเหมอื นเงาทต่ี ามตวั เราตลอดเวลา ตามธรรมดา
เรานงั่ เงาก็นงั่ เรานอน เงากน็ อน เราเดนิ เงาก็เดนิ บญุ กศุ ลท่เี ราสร้างเอาไวก้ ็ห่อ
ตัวใจของเราไว้ เรารับศีล ๕ ได้ เรานง่ั เราก็น่ังในศีล ๕ เรานอนเราก็นอนในศีล ๕
เราเดนิ เรากเ็ ดนิ ในศลี ๕ เรารบั ศลี ๘ เราจะยนื เดนิ นงั่ นอน ไปไหนๆ กไ็ ปดว้ ยศลี ๘
ท้ังส้นิ ศีล ๑๐ ก็เหมอื นกนั นั่นแหละ ถา้ เรารบั ศลี ๒๒๗ นอนก็นอนในศีล ๒๒๗
เราจะยนื เดิน นั่ง นอน กอ็ ยู่ในศลี เมือ่ ได้ “พุทโธ” แล้ว น่ังกน็ ่ังพุทโธ นอนก็นอน
พุทโธ เดินก็เดินพุทโธ “ธัมโม” เม่ือได้แล้ว น่ังก็นั่งธัมโม นอนก็นอนในธัมโม
เดนิ ก็เดินในธัมโม “สงั โฆ” ทั้งน้นั เตสัง ตายแลว้ ท้งิ หมด เกศา ผมกไ็ ฟไหม้ เอามนั
ไปก็ไม่ได้ โลมา ขนก็ไฟไหม้ นขา เล็บตีนเล็บมือไฟก็ไหม้หมด ทันตา เข้ียว
ครกตำ� หมาก สากตำ� น้�ำพรกิ ไฟกนิ หมด ตะโจ หนงั ไฟกก็ ินหมด มงั สา ช้นิ (เนือ้ )
กเ็ นา่ ไฟกก็ นิ หมด นะหารู เอ็น เอ็นขา เอ็นแขน เอ็นคอ เอน็ ท้งั หมด ไฟกก็ นิ หมด
อฏั ฐิ กระดกู สามรอ้ ยทอ่ น กระดกู แขง้ กระดกู ขา กระดกู แขน กระดกู ขา้ ง กระดกู คอ
กระดูกคาง กระดกู เข้ยี ว กระดูกหัว ไฟกก็ ินหมด หะทะยัง หัวใจ ทอ่ี ยู่ของใจ
ไฟก็กินหมด อะไรๆ ไฟกก็ ินหมด จะเป็นของเรานนั้ ไม่ใช่สกั อยา่ ง
นแ้ี หละนกั ธรรม นกั กมั มฏั ฐานเจา้ ทงั้ หลาย ผชู้ ายกน็ กั ธรรม ผหู้ ญงิ กน็ กั ธรรม
ใหห้ มนั่ พจิ ารณาวา่ ถา้ ทำ� บญุ กไ็ ดบ้ ญุ ทำ� บาปกไ็ ดบ้ าป ทำ� นาไดก้ นิ ขา้ ว เอาผวั เอาเมยี
ก็ได้ลูกชายลูกสาวค�้ำชูพระพุทธศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า น้ีแหละนักธรรม
นกั กมั มฏั ฐานทง้ั หลาย โอปนยโิ ก ใหน้ อ้ มมาดู ดอู ะไร ดใู จของเราทกุ คน เมอื่ ไดพ้ ทุ โธจรงิ
ทอี่ ยขู่ องพุทโธคือสวรรค์ ๖ มีชั้นจาตมุ หาราชิกา ชั้นตาวะติงสา ชัน้ ยามา ช้นั ดุสติ า
ชนั้ นมิ มานรตี ชนั้ ปะระนมิ มติ ะวะสะวะตี สวรรค์ ๖ ชายพทุ โธ หญงิ พทุ โธ อยชู่ นั้ ไหน
ไดต้ ามความปรารถนา พรหมปารสิ ชั ชา ถงึ อกนฏิ ฐา พรหม ๑๖ อยไู่ ดต้ ามความปรารถนา
ชายสงั โฆ หญงิ สังโฆ ท่อี ยู่ของพระสงั โฆ ชน้ั สุทธาวาส อนาคามมิ รรค อนาคามผิ ล
สิ้นชีพวายชนมเ์ ขา้ สู่พระนิพพาน เอตัง พุทธสาสนนั ตฯิ
พระอาจารย์ตื้อ หรือ หลวงปู่ต้ือ อจลธมฺโม ที่เป็นลูกศิษย์ของท่านเจ้าคุณ
พระอบุ าลีฯ วดั สปุ ัฏน์ พระปิยมหาราช พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัว
64
ไดอ้ าราธนามาอยทู่ ว่ี ดั เทพศริ นิ ทราวาสเจรญิ แลว้ พระองคท์ สี่ อง สมเดจ็ กรมพระสวสั ด์ิ
ผคู้ รองแผน่ ดนิ ลกู พระเจา้ พ่ี แลว้ จงึ มอบเมอื งใหพ้ ระเจา้ หลานรชั กาลท่ี ๖ รบั แทน เปน็
พระเจา้ แผน่ ดนิ ดแี ลว้ จงึ ไดอ้ าราธนาเจา้ คณุ อบุ าลฯี และทา่ นยา่ หลวงปมู่ นั่ ภรู ทิ ตั ตเถระ
ไปอย่ทู ว่ี ัดบรมนวิ าสและวดั สระปทมุ ให้หลวงพ่ออาจารย์หนูไปอยู่ ไดต้ ัง้ ชอื่ เจ้าคุณ
กติ ติเถระ (เจา้ คณุ ปญั ญาพิศาลเถระ) เปน็ เจา้ อาวาสวดั สระปทุม และท่านก็นพิ พาน
ทน่ี นั่ สว่ นทา่ นเจา้ คณุ อบุ าลฯี ไปนพิ พานทว่ี ดั บรมนวิ าส สว่ นทา่ นอาจารยม์ น่ั ฯ นายเตยี ง
สิริขันธ์ ไปนมิ นต์มาอยู่วดั สทุ ธาวาส จงั หวดั สกลนคร เลยนพิ พานท่ีนนั่
พุทธคุณคาถาที่อาตมาได้น�ำมากล่าวเป็น พทุ ธปูชา ธมั มปชู า สังฆปูชา แก่
พระคุณเจ้าท้งั หลาย ท้ังอบุ าสก อบุ าสิกา เชน่ วา่ มานี้ หากข้าพเจ้ากลา่ วผิดเผลอบ้าง
ประการใด ขอใหพ้ ระคณุ เจา้ ทงั้ หลาย พรอ้ มทง้ั อบุ าสกอบุ าสกิ า พระคณุ เจา้ ทกุ พระองค์
จงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าเถิด ถ้าหากพระธรรมเทศนาท่ีข้าพเจ้าได้อธิบายมานี้
เป็นที่ถูกต้องตามพระบัญญัติ ไม่ขัดกับหลักแห่งพระสงฆ์ไทย กข็ อใหพ้ ระคณุ เจา้
ทง้ั หลาย จงอนโุ มทนาสาธกุ ารดว้ ยเถดิ และจงนอ้ มนำ� เอาพระธรรมค�ำสอนทข่ี ้าพเจ้า
ไดอ้ ธบิ ายมานแี้ ลว้ นน้ั ปฏบิ ตั ลิ งทก่ี าย วาจา ทใ่ี จของทา่ นทง้ั หลาย ทงั้ อบุ าสก อบุ าสกิ า
“นพิ พานงั ปะระมัง สุขงั นิพพานะปจั จะโย โหตุ” ข้าพเจ้าจะขออธบิ ายถงึ ผทู้ เ่ี ขา้ สู่
พระนพิ พาน พน้ จากชาตกิ นั ดาร ไมต่ อ้ งกลบั มาเกดิ อกี ซง่ึ เรยี กวา่ “วมิ ตุ ตสิ ขุ ” อนั พน้
จากโลกน้ี พระพทุ ธเจา้ บญั ญตั ไิ วใ้ หแ้ กเ่ รา นกั ธรรม นกั กมั มฏั ฐาน ผตู้ ง้ั ใจเอาพระนพิ พาน
ใหร้ แู้ จง้ ขาดจากความสงสยั “อปุ ะสะมานสุ ต”ิ ใหร้ ะลกึ ถงึ คณุ พระนพิ พาน พระนพิ พาน
กอ็ ยทู่ ใ่ี จของเรา ใจไมฆ่ า่ สตั ว์ ใจดี เปน็ ศลี เปน็ ฌาน ใจกเ็ ปน็ นพิ พาน ใจไมล่ กั ทรพั ย์
ใจเปน็ ศลี ใจเปน็ ฌาน ใจกเ็ ปน็ นพิ พาน ใจออกบวช ขาดจากผวั จากเมยี ใจกเ็ ปน็ ศลี
เปน็ ฌาน ใจกเ็ ปน็ นพิ พาน ใจไมข่ ป้ี ด ใจเปน็ ศลี เปน็ ฌาน ใจกเ็ ปน็ นพิ พาน ใจไมก่ นิ เหลา้
(สรุ า) ใจกเ็ ป็นศลี เปน็ ฌาน ใจก็เป็นนพิ พาน ใจไมก่ นิ ขา้ วเยน็ ใจกเ็ ปน็ ศลี เปน็ ฌาน
ใจกเ็ ปน็ นพิ พาน ใจไมต่ ฆี อ้ ง ตกี ลอง ดดี สตี เี ปา่ ใจกเ็ ปน็ ศลี เปน็ ฌาน ใจกเ็ ปน็ นพิ พาน
ใจไม่ลูบไล้ชโลมทาของหอมอย่างชาวบา้ น ใจก็เปน็ ศลี เปน็ ฌาน ใจกเ็ ปน็ นิพพาน
ใจไมเ่ อนนอนยงั ทนี่ อนภายในยดั ดว้ ยนนุ่ และสำ� ลอี นั สงู อนั ใหญเ่ หมอื นของพระราชา
มหากษตั รยิ ์ ใจกเ็ ปน็ ศลี เปน็ ฌาน ใจกเ็ ป็นนิพพาน “ชาตะรูปะรชั ชะตะ” รูเปยี หรอื
65
กระดาษเศษทน่ี กั ปราชญเ์ ขาทำ� กนั ออกมาใชท้ กุ วนั น้ี เปน็ ทรพั ยข์ องพระราชา อเมรกิ า
เปน็ ผทู้ ำ� ชว่ ยประเทศไทยใหเ้ จรญิ มกี ใ็ ช้ ไมม่ กี ไ็ มใ่ ช้ ใจเรากเ็ ปน็ ศลี เปน็ ฌาน ใจกเ็ ปน็
นิพพาน
นแี้ หละนกั ธรรม นกั กมั มฏั ฐาน วปิ สั สนาฌานทงั้ หลาย จงรดู้ ว้ ยใจเถดิ พาลฆา่ สตั ว์
ไมม่ แี กใ่ จ พาลลกั ทรพั ยไ์ มม่ แี กใ่ จ พาลขป้ี ดไมม่ แี กใ่ จ พาลเสพกามไมม่ แี กใ่ จ พาล
กนิ เหล้าไมม่ ีแกใ่ จ พาลกินขา้ วเย็นไม่มแี ก่ใจ พาลตีฆอ้ งตีกลองดีดสีตีเปา่ ไมม่ แี ก่ใจ
ใจไม่พาลทาของหอมไม่มีแก่ใจ ใจไม่พาลนอนท่ีนอนอันยัดด้วยนุ่นและส�ำลีอันสูง
อนั ใหญ่ไมม่ แี ก่ใจ พาลชาตะรูปะรัชชะตะ รเู ปีย (เงินตรา) ไมม่ แี กใ่ จ ใจจงึ จะเปน็
นพิ พาน “เตสงั วปู ะสะโม สโุ ข” รปู แตกรปู ตายตงั้ แตห่ วั ถงึ ตนี ตงั้ แตต่ นี ถงึ หวั ธาตดุ นิ
คอื กระดกู กบั เน้อื (ชน้ิ ) ไมใ่ ชพ่ ระนิพพาน “เตสงั ” ธาตุน้�ำ ๑๒ ไมใ่ ช่พระนพิ พาน
“เตสงั ” สญั ญา ลมหายใจเขา้ ออก รลู ม รจู มกู ลมเขา้ ลมออก จะหา้ มลมไวไ้ มไ่ ด้ รปู าก
รคู อ เปน็ ทีอ่ ยู่ของลม รทู วารหนกั ทวารเบาถ่ายปัสสาวะ ทวารหนักถา่ ยอจุ จาระออก
จะห้ามลมไว้ไม่ได้ “เตสัง” สังขารเบ้ืองต�่ำ ได้แก่ขา จะห้ามขาไว้ไม่ให้แก่ไม่ได้
สงั ขารทา่ มกลาง ไดแ้ กแ่ ขนบน ได้แกศ่ รี ษะหรือหัว จะห้ามไวไ้ มใ่ หแ้ ก่ไมไ่ ด้ นแี่ หละ
นกั ธรรม นักกมั มัฏฐาน จิตเป็นของไมต่ าย ตัวตายนั้นคอื รูปเปน็ ตวั ตาย ตัวตาย
ตวั เวทนา ตวั ตายตวั สญั ญา ตวั ตายคอื ตวั สงั ขาร ตวั ตายตวั วญิ ญาณ ตวั ไมต่ ายไดแ้ ก่
จติ ทเี่ ปน็ นพิ พาน อสงั ขตธรรม ไดแ้ กร่ ปู ธรรม เวทนาธรรมไมม่ แี กจ่ ติ อสงั ขตธาตุ
เวทนาธาตุไมม่ แี ก่จิต อสังขตปจั จัย ใจพ้นจากรูป ใจพน้ จากเวทนา ใจไม่มเี วทนา
ใจพน้ จากสญั ญา ใจไมม่ สี ญั ญา ใจพน้ จากสงั ขาร ใจไมม่ สี งั ขาร ใจพน้ จากวญิ ญาณ
ใจไมม่ วี ญิ ญาณ ใจกเ็ ปน็ นพิ พานนน้ั แหละ เมอ่ื ใจเปน็ นพิ พานแลว้ ชาติ ความเกดิ ไมม่ ี
แก่ใจ ชรา ความแกไ่ มม่ แี ก่ใจ พยาธิ ความเจบ็ ไข้ตวั ร้อนตัวหนาวไม่มีแก่ใจ มรณะ
ความตายความเกดิ ไมม่ แี กใ่ จ ใจกเ็ ปน็ พระนพิ พาน พน้ จากความเกดิ ความแก่ ความตาย
ไมต่ อ้ งกลบั มาเกดิ ใหม้ นั ทกุ ขม์ นั ยากลำ� บากในโลกน้ี
ในคัมภีร์นิพพานสูตร พระอนุรุทธาจารย์ องค์การเผยแผ่ที่เผากระดูกของ
พระพุทธเจ้า และแจกจ่ายพระบรมสารีริกธาตุสิบหกพระนครท่ีมาในเมืองไทยเรา
66
คอื กรุงกัมพชู า หรือ นครจ�ำปาศกั ดิ์ ทางเหนือมีเมืองหลวงพระบาง เมอื งเชียงขวาง
เชียงคำ� อเู หนอื ถงึ เมอื งเชยี งรุ้ง อูใต้ถึงเมืองนครจำ� ปาศักด์ิ แวน่ (ตอน ทอ่ น) หลวง
เมืองอาภัสสรา เวลาน้ีอาภัสสราหาย กลายมาเป็นจังหวัดสกลนคร หายหนท่ีสอง
ใส่ชื่อจังหวัดนครพนม ธาตุหัวอกของพระพุทธเจ้า ธาตุหัวนมก�้ำขวาสิบสององค์
ธาตุหวั นมก้ำ� ซ้ายสบิ สององค์ พระอรหนั ตก์ สั สปะเปน็ ผนู้ ำ� มาบรรจุใสไ่ ว้ จงึ ตงั้ ช่อื วา่
ธาตุพนม ในสมัยพระเจ้าคะมังผู้เป็นใหญ่ในแวน่ (แคว้นน)ี้ แปลเป็นภาษาไทย
นพิ พานงั ปะระมงั สญุ ญงั รปู สญู เวทนากส็ ญู สัญญาก็สญู สังขารก็สญู วิญญาณ
กส็ ญู จติ ยงั มอี ยู่ นกั ขตั ตะโต วา มนสุ สะโต วา เหมอื นดงั ดาวนกั ขตั ฤกษ์ เดอื นดาว
มอี ยใู่ นอากาศ มนษุ ยผ์ มู้ จี กั ษปุ ระสาทคอื ตา แหงนหนา้ ขนึ้ ไปในอากาศเหน็ เดอื นดาว
เตม็ อยใู่ นทอ้ งฟา้ ตงั้ ฟา้ ตง้ั แผน่ ดนิ มา พระพทุ ธเจา้ กกสุ นั โธสรา้ งบารมอี ายยุ นื หกหมน่ื ปี
เพราะทา่ นสรา้ งบารมถี งึ สบิ หกอสงไขยแสนมหากปั กไ็ ดเ้ ขา้ นพิ พานไปแลว้ ไดไ้ วศ้ าสนา
หกหมน่ื ปเี ท่าอายุ รวมเปน็ หน่ึงแสนสองหมืน่ ปี เดอื นกไ็ มต่ าย ดาวกไ็ มต่ าย ยังมอี ยู่
อย่างน้ี (พระพทุ ธเจ้าองคท์ ส่ี อง มพี ระนามโกนาคะมะโน) พระพทุ ธเจา้ กสั สปะสรา้ ง
บารมเี จด็ อสงไขยแสนมหากปั บารมแี ก่กล้าแล้วมาเกดิ ในโลกน้ีอายยุ ืนหมืน่ ปี ไดไ้ ว้
ศาสนาหนงึ่ หมนื่ ปี รวมศาสนาสองหมนื่ ปกี น็ พิ พานแลว้ เดอื นไมต่ าย ดาวไมต่ าย ยงั มี
อยอู่ ยา่ งนี้
พระพทุ ธเจา้ โคตโมสรา้ งบารมีสอ่ี สงไขยแสนมหากปั มาอุบตั บิ ังเกดิ ขนึ้ ในโลก
สอนมนษุ ยแ์ ละเทวดาอบุ าสก อบุ าสกิ า เอาลกู ชายมาถวายเปน็ ลกู ศษิ ยช์ นั้ ทหี่ นงึ่ พระยา
อำ� มาตยห์ กหมน่ื สพ่ี นั ไดเ้ ปน็ พระอรหนั ตช์ น้ั ทส่ี อง สามหมนื่ สามพนั ชน้ั ทส่ี าม สองหมนื่
สพ่ี นั มกี าฬทุ ายอี ำ� มาตย์ โลฬทุ ายอี ำ� มาตย์ ในวงศก์ บลิ พสั ด์ุ เปน็ พระอรหนั ตท์ ง้ั สนิ้
นางภกิ ษณุ มี ผี วั แลว้ มลี กู ตงั้ สองตง้ั สาม กย็ งั ไดเ้ ปน็ พระอรหนั ต์ และนางสาวพรหมจารี
บวชเปน็ สามเณรี เมอื่ อายคุ รบ ๒๐ กม็ อบใหน้ างโคตมผี เู้ ปน็ แมน่ า้ นางยโสธราพมิ พา
อุปัชฌาย์บวชเป็นนางภิกษุณีทั่วไป ในสิบหกพระนครได้เป็นพระอรหันต์ก็มาก
เม่ือพระองค์เข้าพระนิพพานไปแล้วได้สามพรรษา พระมหากัสสปะได้นิมนต์
พระสารรี กิ ธาตุมาบรรจไุ วใ้ ห้ชาวไทยของเรา ที่อ�ำเภอเมืองธาตุพนม จงั หวัดนครพนม
เวลาน้ี พระเจา้ พระยาจันทรเ์ ป็นเจา้ เมืองสกล ซง่ึ เปน็ พระเจ้าแผน่ ดิน เวลานน้ั มโี ยม
67
ผหู้ ญิงคนหนึง่ อายไุ ด้ ๑๘ ปี ได้ไปบวชเป็นนางชหี รอื แม่ขาว สมยั ก่อนนน้ั คณุ พ่อ
ของแกได้ไปบวชเปน็ ลกู ศิษย์พระกสั สปะ ได้เปน็ ถึงพระอนาคา คณุ พอ่ ของแกได้ไป
เกิดเปน็ พรหม ส่วนลูกสาวอย่สู วรรค์ชน้ั ๖ เมื่อเสื่อม (ถึงเวลาจตุ )ิ ได้ลงมาเกดิ ใน
เมอื งเกา่ (เกดิ มาชาตนิ ไ้ี ดเ้ ปน็ พส่ี าวใหญ)่ มนี อ้ งสาวหา้ คน นอ้ งชายหา้ คน สว่ นพสี่ าวใหญ่
ไดร้ ักษาศีล ๘ เป็นประจ�ำตลอดชวี ิต ธรรมของเกา่ ยังไมล่ มื คัมภีรร์ ตั นสูตร อิทัมปิ
พุทเธ รตนงั มงคลสูตร เรียกวา่ มาตาปติ ฯุ ธรรมจักร สวรรค์ ๖ พรหม ๑๖ เวลานี้
คณุ ยายกต็ ายไปแล้ว เม่อื คุณยายยงั ไม่ตาย คณุ ยายเคยเข้าฌาน แลว้ คุณพอ่ ทเี่ ป็น
พระอนาคาอยชู่ นั้ สทุ ธาวาสสง่ วญิ ญาณทพิ ย์ จติ ทพิ ย์ ลงมาสอนลกู สาวได้ สว่ นลกู สาว
กม็ ตี าทพิ ย์ หทู พิ ย์ ใจกท็ พิ ยก์ ร็ บั กนั ได้ นแี่ หละนกั ธรรม นกั กมั มฏั ฐาน ผทู้ ป่ี ฏบิ ตั จิ รงิ
ทำ� จรงิ แลว้ ยอ่ มเหน็ อยทู่ ใี่ จของตนเอง (ตรงกบั ทพ่ี ระพทุ ธองคต์ รสั ไวใ้ นขอ้ ทว่ี า่ มะโน-
ปพุ พงั คะมา ธมั มา มะโนเสฏฐา มะโนมะยาฯ ทกุ สงิ่ สำ� เรจ็ ดว้ ยใจ ใจเปน็ ใหญเ่ ปน็ ประธาน
วญิ ญาณ (ใจ) เป็นรากฐานของสิ่งทง้ั ปวง)
ทส่ี อง แมข่ องทา่ นเจา้ คณุ อบุ าลฯี พอถงึ วนั แปดคำ�่ กน็ งุ่ ขาวหม่ ขาว แตว่ นั ธรรมดา
กน็ งุ่ ดำ� เหมอื นชาวบา้ น เมอื่ จะถงึ แกก่ รรมไดภ้ าวนาอยใู่ นหอ้ งจำ� ศลี ภาวนาอยตู่ ลอดวนั
ไดย้ นิ เสยี งทางหวู า่ “อนี าย ขนึ้ มาเถดิ ” คณุ ยายกต็ อบวา่ “รอกอ่ น รอกอ่ น” อยอู่ ยา่ งน้ี
พูดอยคู่ นเดียว ฝา่ ยลูกสาวสงสัย จงึ ใหห้ ลานสาวไปกราบเรยี นทา่ นเจ้าคุณอุบาลีฯ
ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ก็บอกความให้หลานสาวไปหานอ้ งชายหลา่ (นอ้ งสดุ ทอ้ ง) คอื
ทา่ นเจา้ คณุ ศลี วรคณุ เมอื่ ทา่ นเจา้ คณุ ศีลวรคุณได้ทราบแล้ว ก็จุดธูปจุดเทียนไหว้
พระพทุ ธรปู ไหวพ้ ระธาตุ ตง้ั สจั จะอธษิ ฐาน ขอบญุ กศุ ลไปชว่ ยคมุ้ ครองรกั ษาวญิ ญาณ
ของคุณแม่ เสร็จแล้วจึงออกจากวัดไป เมื่อไปถึงแล้วก็ถามตามภาษาภาคอีสานว่า
“แม่ออกเว้าอีหยังเว้ากับไผกางคืนมาเว้าอยู่อุ่มๆ คนเดียว บ่แม่นแม่ออกเผลอบ่”
(คณุ แมพ่ ดู กบั ใครรใึ นตอนกลางคนื พดู อยพู่ มึ พำ� ๆ คนเดยี วใชไ่ หม คณุ แมไ่ มร่ สู้ กึ ตวั
ใชไ่ หม) สว่ นแมก่ ต็ อบวา่ “เจา้ คณุ ลกู เอย๊ แมอ่ อกบเ่ ผลอดอก แมอ่ อกเวา้ กบั แมเ่ ฒา่ ใหญ่
คอื นางสชุ าดากบั นางวสิ าขา เขามาเอน้ิ แมอ่ อกไป แมอ่ อกกเ็ ลยบอกเขาวา่ ยงั ไมไ่ ปเทอื่
เขากย็ งั เอน้ิ อยเู่ สมอๆ เขายงั บอกวา่ ลกู ของอนี ายไดบ้ วชคำ้� ชศู าสนาดที กุ คนแลว้ ลกู ชาย
ดมี ากกวา่ อนี าย แมอ่ อกเวา้ กบั แมเ่ ฒา่ ใหญ่ กอ่ นเจา้ หวั ลกู จะมาหาแมอ่ อก เจา้ หวั ลกู ได้
68
จดุ ธปู เทยี นบชู พระพทุ ธรปู บชู าพระเจดยี ์ บชู าพระบาท ไดอ้ ธษิ ฐานขอบญุ ผขู้ า้ ทไ่ี ดบ้ วช
แลว้ นี้ จงไปชว่ ยแมอ่ อกผขู้ า้ อยา่ ใหต้ าย เจา้ คณุ ลกู วา่ อนั ใด แมอ่ อกฮอู้ ยทู่ นี่ ่ี และเจา้ คณุ
ลกู เอย๊ เดอื นสบิ เอด็ ออกหา้ คำ่� แมเ่ ฒา่ ใหญ่ นางสชุ าดา และนางสธุ รรมา จะเอาอคู่ ำ�
มารบั เอาแมอ่ อกแลว้ ” พอถงึ เดอื นสบิ เอด็ ออกหา้ คำ�่ คณุ ยายกอ็ าบนำ้� ชำ� ระกายนงุ่ ขาว
หม่ ขาว รบั อาหารขา้ วตม้ ประมาณสชี่ อ้ นหา้ ชอ้ นเรยี บรอ้ ย แลว้ กเ็ ขา้ ภาวนา ใจกไ็ ปสวรรค์
ขนั ธท์ ง้ิ ไว้ พอถงึ วนั ขน้ึ แปดคำ�่ กเ็ อาศพของคณุ ยายไปเผาจเ่ี รยี บรอ้ ยแลว้ สว่ นโยมพอ่
ของท่านเจ้าคุณก็นุ่งขาวห่มขาวไปเผาศพของคุณยายด้วย พอกลับมาสามทุ่มเศษ
พ่อของทา่ นเจา้ คณุ สง่ั วา่ “ลกู หลานเอย๊ แมเ่ ฒา่ สไู ปแลว้ กจู ะไปตามแมเ่ ฒา่ สเู นอ้ ”
พวกลกู หลานกถ็ ามพอ่ เฒา่ วา่ จะไปไหน ตอบวา่ “กจู ะไปอยปู่ า่ ชา้ คอื ตายละสู ไปคนื นแ้ี หละ”
พวกลกู หลานกว็ า่ “บแ่ มน่ พอ่ เฒา่ เวา้ เลน่ บ่ หรอื เวา้ หยอกหลานสาวบ”่ พอ่ เฒา่ ยำ้� อกี วา่
“กบู เ่ คยบอกสวู า่ อยา่ งนน้ั ” พอแจง้ สวา่ ง (เชา้ ตรอู่ รณุ รงุ่ สางแสงสวา่ ง) ขน้ึ ลกู หลานไปดู
ก็เห็นพ่อเฒ่านงั่ ในทา่ ภาวนาหมอบติดอยู่กบั หมอน เดือนสิบเอ็ด ออกห้าค�ำ่ ถา้ จะว่า
ตามโลก เรยี กวา่ ตาย เอาใจไปสวรรค์ แตข่ นั ธต์ วั ตาย วนั แปดคำ�่ พอ่ ของทา่ นเจา้ คณุ ตาย
แต่ใจไปสวรรค์ ความอนั นที้ ่านเจ้าคณุ อบุ าลฯี ทา่ นเป็นผเู้ ลา่ ใหอ้ าตมาฟงั เอง
มารดาของครอู าจารยม์ น่ั ปฏบิ ตั ศิ ลี ๘ อยกู่ บั ทา่ นอาจารยม์ น่ั ภรู ทิ ตั ตเถระ นง่ั ก็
ภาวนา นอนกภ็ าวนา ไดส้ ามวนั สามคนื ทา่ นอาจารยม์ นั่ ภรู ทิ ตั ตเถระ กเ็ ขา้ ฌานชว่ ย
ฤทธข์ิ องมารดากก็ ลบั คนื มาได้ ทา่ นอาจารยม์ น่ั จงึ ถามมารดา มารดาตอบวา่ “นางภกิ ษณุ ี
นางโคตมี นางอบุ ลวรรณาเถรภี กิ ษณุ ี นางยโสธราพมิ พาภกิ ษณุ ไี ดม้ าเยย่ี ม นบั ตง้ั แตน่ ี้
ไปอกี ยส่ี บิ วนั แมอ่ อก (หมายถงึ โยมมารดาของอาจารยม์ น่ั ภรู ทิ ตั ตเถระ) จะไดล้ ะขนั ธ”์
ถงึ เวลานนั้ พอครบวนั ทย่ี สี่ บิ แมอ่ อกของทา่ นอาจารยก์ ็ทงิ้ ขนั ธต์ ามทแี่ มอ่ อกกลา่ วไวน้ น้ั
จรงิ ๆ อนั นจี้ งึ เปน็ เครอ่ื งแสดงวา่ แมอ่ อกของทา่ นอาจารยย์ กจติ ไปสสู่ นั ตสิ ขุ พน้ จากทกุ ข์
ในสงสาร เรอื่ งนท้ี า่ นอาจารยม์ น่ั ภรู ทิ ตั ตเถระ ทา่ นก็เลา่ ให้อาตมาฟังด้วยเหมอื นกัน
ในคัมภรี ์พระพทุ ธศาสนานีเ้ คยมีเรื่องเล่าไวเ้ ปน็ หลักฐาน ดงั น้ัน จงึ ขอให้พวก
นกั ปราชญ์ และนกั ธรรม นกั กมั มฏั ฐาน จงยกใจของตนเองทกุ ๆ คน ใหเ้ ปน็ พระพทุ โธ
ใหเ้ ปน็ พระธมั โม พระสงั โฆ เมอ่ื ใจของพระคณุ เจา้ ทงั้ หลายไดพ้ ระพทุ โธ สวรรค์ ๖ เกดิ
69
จากพระพทุ โธ พรหม ๑๖ เกดิ จากพระธมั โม ชนั้ สทุ ธาวาส เกดิ จากพระสงั โฆ ทสี่ ดุ วญิ ญาณ
คบั แคน้ ใจ (หมายถงึ จิตรวมแนว่ แน่ดีแลว้ ) ก็เขา้ พระนพิ พาน ข้าพเจ้าอาตมาภาพ
พระอาจารย์ตอ้ื ฯ พทุ ธคณุ ธมั มคุณ สงั ฆคณุ ขอถวายไว้เป็นพทุ ธบูชา ธรรมบูชา
สังฆบูชา แด่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทุกพระองค์ พระศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เม่ือพระองคจ์ ะเสดจ็ ดบั ขนั ธปรินิพพาน ไดบ้ ญั ญตั ศิ ีล ๕ บญั ญัตศิ ีล ๘ บัญญัติ
ศีล ๑๐ บญั ญตั ศิ ีล ๒๒๗ บญั ญัตสิ วรรค์ ๖ พรหม ๑๖ พระไตรสรณคมนไ์ ว้ให้
แกอ่ บุ าสก อบุ าสกิ า ศรทั ธาทง้ั ชายทงั้ หญงิ ทงั้ นอ้ ยทงั้ ใหญ่ ทงั้ บา่ ว ทง้ั สาว บคุ คลผใู้ ด
รบั ศีล ๕ ได้ ก็เป็นญาตขิ องพระพทุ ธเจ้า ถ้าหากรับไม่ได้ ก็เปน็ ธรรมดา (ยังอย่ใู น
โคตรปถุ ชุ น) ถา้ ผใู้ ดรบั ศลี ๘ กเ็ ปน็ โยมของพระพทุ ธเจา้ ถา้ หากผใู้ ดรบั ไมไ่ ด้ กเ็ ปน็
ธรรมดาไป ถา้ ผใู้ ดรบั ศลี ๑๐ ไดต้ อ้ งมคี รมู อี าจารย์ จะบวชเปน็ สามเณรตอ้ งบวชโดยมี
ครอู าจารย์ บวชเปน็ พระภกิ ษุ จะตอ้ งมพี ระอปุ ชั ฌาย์ กรรมวาจาจารย์ ถา้ เราบวชเอา
คนเดยี วนัน้ ไมไ่ ด้ จะสึกเอาคนเดยี วอีกก็ไมไ่ ด้ ตอ้ งสกึ ขาลาเพศ ลาครูบาอาจารย์
เสียก่อนจึงสึกได้และถูกต้องตามพระบัญญัติ ถ้าสึกคนเดียวบวชคนเดียวท่านว่า
จะไปเป็นเสี่ยว (เพ่ือน) กบั เทวทัต จะไปอยอู่ เวจีมหานรก ไม่ได้เกดิ มาเปน็ มนษุ ย์
เปน็ มนษุ ยน์ ด้ี ที ส่ี ดุ เราตอ้ งการอะไรไดท้ ง้ั นนั้ อยากกนิ ขา้ วกม็ กี นิ อยากกนิ นำ�้ กม็ กี นิ
เราอยากทำ� บญุ หรอื ทำ� บาปกไ็ ดท้ ง้ั นน้ั ถา้ เราไปอยอู่ เวจมี หานรกแลว้ ไมม่ ขี า้ วมนี ำ�้ กนิ
กนิ แต่ไฟ (หมายถงึ ไฟราคะ โทสะ โมหะ) เปน็ อาหาร เม่ือใจกนิ ไฟแลว้ ตา หู
ปาก ล้ิน ตลอดท้ังร่างกาย มีแต่ไฟลุกไหม้อยู่ตลอดเวลา ไม่มีวันที่จะดับลงได้
ภาษาบาลวี า่ กปุ ปะธมั โม อกปุ ปะธมั โม เกดิ แลว้ ตาย ตายแลว้ เกดิ อยอู่ ยา่ งนี้ ในโลก
(โลกิยะ) อันนน้ี ับลา้ นนับแสนปีก็ยังหลุดพน้ ไม่ได้
ในคมั ภรี ม์ หาปจั จรกี ลา่ วไวว้ า่ นางเทพยดุ ามาชมดอกปารชิ าต เผลอพลาดตกลง
มาเกดิ เปน็ มนุษย์ในเมอื งมนุษย์ คือเมืองลังกาทวปี เปน็ ลูกสาวมหาเศรษฐธี นนั ไชย
เศรษฐีใหญ่ เมือ่ เตบิ โตแลว้ ไดม้ สี ามอี ยา่ งมนษุ ยเ์ รา ได้ลกู สาวห้าคน ลกู ชายหา้ คน
เมื่อใหญ่ (เจริญวยั ) แลว้ ได้พร้อมกันกับลูกสาวหลานชายสรา้ งวัดขน้ึ ใหมใ่ สช่ อ่ื ว่า
เชตวนาราม บวชลกู บวชหลาน อายขุ องคณุ ยายนนั้ ไดถ้ งึ ๑๐๐ ปี เอาวญิ ญาณไปสวรรค์
ถึงตน้ ไมป้ ารชิ าต ทางเทพยุดาเจ้ากถ็ ามนางว่า “คณุ พไ่ี ปไหนมา” คณุ ยายกต็ อบวา่
70
“ไปลงั กาทวปี อายไุ ด้ ๑๐๐ ปแี ลว้ จงึ ขนึ้ มา เปน็ หนงึ่ ชว่ั โมงของสวรรค”์ รอ้ ยปขี องมนษุ ย์
เปน็ หนง่ึ ชัว่ โมงในสวรรค์ พันปีของมนษุ ย์เป็นสบิ ช่วั โมงของสวรรค์ หนึ่งชวั่ โมงใน
สวรรค์เปน็ หนึ่งนาทีในนรก สองชั่วโมงในสวรรคเ์ ปน็ สองนาทใี นนรก
นแ้ี หละ นกั ธรรมเจา้ ทง้ั หลาย พระศาสดาของเราวา่ อยา่ งนี้ ไดบ้ ญั ญตั พิ ระศาสนาไว้
หา้ พนั ปี แตเ่ ทศนาสง่ั สอนมนษุ ยอ์ ยสู่ สี่ บิ หา้ ปี รวมโลกยิ มนษุ ย์ เมอ่ื เปน็ พระเจา้ แผน่ ดนิ
โลกุตตรมนุษย์ได้เป็นพระอรหันต์เข้าพระนิพพานไปแล้ว พระนิพพานก็ยังมีอยู่
ไม่เสื่อมสูญ พระพุทธเจ้าเข้านิพพานก็มีอยู่ในพระนิพพานนั้นแล พระโมคคัลลาน์
พระสารบี ุตร และพระอนรุ ทุ ธ พระอานนท์ เข้านพิ พานก็มอี ยใู่ นพระนพิ พานนน้ั แล
นางภกิ ษณุ ที ง้ั หลายไดบ้ วชกาย วาจา ใจ ใจกเ็ ปน็ พระนพิ พานแลว้ เขา้ พระนพิ พานไดด้ ว้ ย
เหมอื นกบั พระจนั ทร์ พระจนั ทรไ์ มม่ เี กดิ ไมม่ แี ก่ พระจนั ทรไ์ มม่ เี จบ็ พระจนั ทรไ์ มม่ รี อ้ น
ไมม่ หี นาว ดาวไมม่ เี กดิ ไมม่ ตี าย คนเรานเี้ ปน็ บอเปน็ บา้ คอยาว ตาขาว ลน้ิ ยาว ใชไ้ มไ่ ด้
สว่ นพระธรรมคำ� สง่ั สอนเกดิ จากหวั ใจของพระพทุ ธเจา้ เกดิ จากหวั ใจของพระอรหนั ตาเจา้
ทงั้ หลาย ทำ� ไมพวกเราและทา่ นทงั้ หลายจงึ ไมร่ ู้ ทำ� ไมเราทงั้ หลายจงึ ไมเ่ หน็ ถา้ เราเปน็
พระอรหนั ต์ เปน็ พระโสดาบนั เปน็ พระอนาคา เมอื่ ใด ก็เมอ่ื น้ันแหละจึงจะเห็นจะรู้
ท่ีอย่ขู องพระพทุ ธเจา้ ท่อี ย่ขู องพระอรหันตาเจา้ ทัง้ หลาย
เมอ่ื เปน็ มนษุ ย์ ตากเ็ ปน็ มนษุ ย์ หกู เ็ ปน็ มนษุ ย์ รจู มกู กเ็ ปน็ มนษุ ย์ ปากกเ็ ปน็ มนษุ ย์
กายกเ็ ปน็ มนษุ ย์ ตาเปน็ มนษุ ย์ เหน็ เงนิ กอ็ ยากไดเ้ งนิ เหน็ คำ� กอ็ ยากไดค้ ำ� เหน็ แกว้ ก็
อยากไดแ้ กว้ เหน็ แหวนกอ็ ยากไดแ้ หวน เหน็ ลกู สาวกร็ กั ลกู สาว เหน็ หลานกร็ กั หลาน
ตลอดถึงเหลนไม่มีทสี่ ิน้ สุด เปน็ มนุษย์ฟังเสยี งขับ เสียงลำ� เสยี งแคน เสียงแสดง
ธรรมเทศนา ถา้ ขัดคอกผ็ ดิ ผปี ่ผู ยี ่า หขู วาหซู ้ายเปน็ ของผีตาผียาย โกรธง่ายหายเร็ว
พทุ โธกอ็ ยทู่ มี่ นษุ ย์ ธมั โม สงั โฆ กอ็ ยทู่ มี่ นษุ ยท์ งั้ นน้ั เราจะทำ� อยา่ งไรจงึ จะไมม่ องขา้ ม
ตัวมนุษยน์ ีไ้ ป ถา้ เรามองขา้ มไป เรากไ็ มพ่ บมนษุ ย์พทุ โธ ไมพ่ บมนุษย์ธัมโม ไมพ่ บ
มนษุ ย์สงั โฆได้
71
เทศนาเรอ่ื งหวั ใจมนษุ ย์
ผหู้ ญงิ เปน็ พระอรหนั ตไ์ ด้ ผชู้ ายเปน็ พระอรหนั ตไ์ ด้ ฉายานามวา่ มนษุ ย์ สะวาโต
แปลวา่ ลม ลมเปน็ ทเี่ กดิ อติ ถี แมข่ องเรากม็ ลี ม พอ่ ของเรากม็ ลี ม พระพทุ ธเจา้ อาศยั ลม
เปน็ ทเี่ กดิ เมอ่ื เปน็ พระโพธสิ ตั วเ์ วสสนั ตะระไดเ้ กดิ จากลม พระเจา้ สญชยั พระนางเจา้
ผสุ ดี เปน็ พระเจา้ แม่ขนั ธ์ ๕ ของพระองค์ พระองคเ์ กดิ จากขนั ธ์พระเจ้าสญชยั และ
พระนางผสุ ดี นางผสุ ดีไดร้ บั แลว้ พรแก้วสบิ ประการ มือสบิ นวิ้ นีแ้ หละเรยี กวา่ พร
บตุ รทพิ ย์ ไดแ้ กพ่ ระยาเวสสนั ตะระ รปู ทพิ ย์ หมายถงึ ขนั ธ์ ๕ เสวยสขุ อยา่ งมนษุ ยน์ ยิ ม
ได้นางมัทรีได้ดอกบวั สองดอก ดอกหนึ่ง “ชาลี” ดอกสอง “นางกัณหา” เกดิ จาก
คุณยาย ตายแลว้ ท้งิ กระดกู เนา่ ใจมีทาน มศี ลี มธี รรม ท่ีอย่ขู องพระโพธสิ ตั วม์ หา
พรหมา เทวตานงั สัททมนุสสาเวสุง มหาพรหมมานัง สทั ทัง สุตวา พรหม ๔ พรหม
ท่ี ๑ ได้แก่ตัวพระองค์ พรหมที่ ๒ ได้แกพ่ ระนางมทั รี พรหมที่ ๓ ได้แก่เจ้าชาลี
พรหมท่ี ๔ ไดแ้ กน่ างกณั หา ผเู้ ปน็ ลูกสาวหล่า ในขณะท่ีพอ่ ใหท้ าน ขอพอ่ พระยารอ
แมม่ ัทรีมาก่อน พ่อก็พดู วา่ ไป อนี าย ไปอนี าย ชาติน้เี จา้ เปน็ ลกู พระยาเวสสนั ตะระ
ชาติหน้าขอผู้ข้าอย่าได้มาเกิดเป็นลูกพระยาเวสสันตะระเจ้า แต่ไปเกิดกับพ่อใหม่
แมใ่ หม่ ใส่ช่อื ว่า นางอุบลวรรณา แปลเปน็ ภาษาไทยใหญ่ชาวเชียงใหม่ นางดอกบัว
น้ีแหละ ไปท่ีไหนอาศัยลมเป็นท่ีเกิด เม่ือลงมาชาติน้ี พระโพธิสัตว์อาศัยลม
พระเจา้ สทุ โธทนะ อาศยั ลมพระนางสริ มิ หามายา เปน็ ทเี่ กดิ ได้ ๗ วนั ลมของคณุ ยาย
สริ มิ หามายาแตก เรยี กวา่ ตายทงิ้ กระดกู ไว้ ใจของคณุ ยายกไ็ ปเกดิ เปน็ นางเทวดาชนั้
ปะระนมิ มติ ะวะสะติ (ชนั้ ดสุ ติ ) เทวา สทั ทะมะนสุ สาเวสงุ ปะระนมิ มติ ะวะสะวตั ตนี งั
เทวานัง สทั ทัง สุตวา
72
นแี้ หละ นกั ธรรม นกั กมั มฏั ฐานทงั้ หลาย เมอื่ เปน็ พระศรธี าตเุ รยี กพระเจา้ จกั รพรรดิ
อานิสงส์ทานชาลีลูกชายคนเดียวแก่พราหมณ์เฒ่า เม่ือเป็นจักรพรรดิได้อ�ำมาตย์
๘๔,๐๐๐ พระองคไ์ ม่ขาดทนุ ทานลกู สาวหลา่ นางกัณหาแก่พราหมณ์ เมอ่ื ออกบวช
ได้นางภิกษุณี ๘๔,๐๐๐ นางไม่ขาดทุน ทานนางมัทรีเมียที่ดีของพระโพธิสัตว์ได้
นางมเหสีท่ี ๑ เสวยสุขอย่างมนุษย์นิยม ได้บุตรชายคนหน่ึง เจ้าพระราหุลกุมาร
ส่วนนางอุบลวรรณามีวจีกรรม พ่อไม่ให้อนุญาต แต่ไปตามวิญญาณของผู้หญิง
มาเกดิ ชาตนิ จ้ี งึ ถกู นายโจรขม่ เหง เสยี พระทยั รอ้ งไหจ้ งึ ไปไหวพ้ ระพทุ ธเจา้ พระพทุ ธเจา้
จึงตัดสินลูกสาวของเราไม่มีบาป ไม่มีอาบัติ ไม่ให้อุปาทานอันใดมาผูกใจของ
ลูกผหู้ ญิง เม่ือหายสงสัยแล้วได้พระอรหนั ตา เข้าพระนพิ พานได้
พระนางยโสธราพมิ พา กเ็ ปน็ พระอรหนั ต์ นางโคตมแี มเ่ ลย้ี งผเู้ ลย้ี งพระองคน์ น้ั
ก็ไดเ้ ป็นพระอรหนั ต์ พระพุทธเจา้ ไปเทศนาโปรดพระราชบิดา ขอใหพ้ ระเจา้ พ่อทรง
รับเอา พระพทุ โธ ธัมโม สังโฆ พทุ โธเปน็ มรรค พุทโธเปน็ ผล เพราะอานิสงส์เจริญ
พุทโธ จึงได้เป็นพระโสดา ธัมโมเป็นมรรค ธัมโมเป็นผล อานิสงส์ธัมโมได้เป็น
พระสกทิ าคามิมรรค สังโฆเปน็ มรรค สังโฆเปน็ ผล อานิสงส์ท่เี จรญิ สังโฆ จึงได้ถงึ
อนาคามิมรรค อนาคามิผล ขนั ธแ์ ตกแล้วไดถ้ งึ พระนพิ พาน ถา้ พระอรหนั ต์ทั้งหลาย
เป็นไปแล้วแต่ก่อนก็เรียกว่า อนาคา เพราะสมบัติพระมารดายังไม่หมดอายุ ต้อง
บณิ ฑบาตเลย้ี งขนั ธข์ องคณุ ตาคณุ ยายอยู่ เมอื่ ขนั ธค์ ณุ ตาคณุ ยายแตกไมร่ บั อาหารแลว้
พระอรหันต์ขนั ธต์ ายายแตกแล้วจงึ เขา้ นพิ พานได้ นี้แหละหัวใจของพระพทุ ธศาสนา
.... ธมั มานปุ ัสสนาสตปิ ัฏฐานัง ทำ� บุญกไ็ ด้รบั บุญไปจนไดส้ วรรค์ ท�ำบาปก็ได้
บาปไปจนถงึ นรกอเวจี ตวั อยา่ งพระเจา้ อชาตศตั รู จบั พระเจา้ พมิ พสิ ารเขา้ คกุ ทรมาน
ไมใ่ หพ้ อ่ กนิ ขา้ ว ใชด้ ว้ ยวาจา ตกโรรวุ ะนรก ๘ หมน่ื ๔ พนั ปี มไี ฟเปน็ อาหาร นแ้ี หละ
นกั ธรรม นกั กมั มฏั ฐานเจา้ ทง้ั หลาย การสอนกรรมฐานนอกรตี นอกรอย ผดิ ไป ใหโ้ ทษ
แกเ่ ราผสู้ อน ใหโ้ ทษแกค่ นผนู้ บั ถอื และจะหลงกนั ไปนอกรตี นอกรอย เหมอื นเตา่ ตก
นำ้� บอ่ ผเู้ ปน็ ครกู เ็ ปน็ เตา่ ตกนำ�้ บอ่ ผเู้ ปน็ ศษิ ยก์ เ็ ปน็ ศษิ ยต์ กนำ้� บอ่ (คงหมายถงึ วนเวยี น
อย่ใู นวัฏสงสาร ใจยังไม่ไดพ้ บพระธรรม) เลยไมไ่ ด้อรยิ เมตตรัยมาเปน็ พระอรหันต์
ไมท่ นั พระพทุ ธเจา้ แตเ่ หน็ ศาสนา อยา่ งเราทา่ นทกุ คนวนั นแี้ หละ ๒๕๑๔ จงึ ไดม้ าเกดิ
73
พบพระพทุ ธศาสนาของพระพทุ ธเจ้า ทำ� นาก็ได้กนิ ขา้ ว เอาสามภี รรยาก็ได้บุตรชาย
ลกู หญงิ (ทำ� อยา่ งไรกไ็ ดอ้ ยา่ งนน้ั ) ตามความปรารถนา นแ้ี หละพระธรรม พระธรรม
คือใจของเราทกุ คน
๑. จิตตานปุ สั สนา จิตไม่ฆ่าสตั ว์ จิตก็เปพ็ ระโสดามรรค พระโสดาผล
๒. จติ ตานุปสั สนา จิตไม่ลักทรพั ย์ จติ ก็เป็นสกทาคามิมรรค สกทาคามิผล
๓. จิตตานุปัสสนา จิตออกบวช ไม่มีผัวมีเมีย จิตน้ันก็เป็นอนาคามิมรรค
อนาคามิผล
๔. จติ ตานปุ สั สนา จติ ไมก่ ลา่ วมสุ าวาท จติ เปน็ พระอรหนั ตามรรค อรหนั ตาผล
หนงึ่ จติ ไมฆ่ า่ สตั ว์ จติ กเ็ ปน็ ศลี จติ เปน็ ฌาน จติ เปน็ นพิ พาน อยทู่ หี่ วั ใจของเรา
ทกุ คน
สอง จติ ไม่ลกั ทรัพย์ จิตก็เป็นศีล จติ เปน็ ฌาน จิตเปน็ นิพพาน อยทู่ ่หี ัวใจของ
เราทกุ คน
สาม จติ ออกบวช จิตกเ็ ป็นศลี จิตเป็นฌาน จิตเป็นนิพพาน อยทู่ ี่หวั ใจของเรา
ทุกคน
ส่ี จติ ไมข่ ปี้ ด จติ กเ็ ปน็ ศลี จติ เปน็ ฌาน จติ เปน็ นพิ พาน อยทู่ ห่ี วั ใจของเราทกุ คน
หา้ จติ ไมก่ นิ เหลา้ จติ กเ็ ปน็ ศลี จติ เปน็ ฌาน จติ เปน็ นพิ พาน อยทู่ หี่ วั ใจของเรา
ทกุ คน
ขอใหน้ กั ธรรม นกั กมั มฏั ฐาน จงเจรญิ ธรรมใหม้ ากๆ ตงั้ พทุ โธ ใจของทา่ นทงั้ หลาย
จะรจู้ กั พระพทุ ธเจา้ ตงั้ ธมั โม ใจของทา่ นทงั้ หลายจะไดบ้ รรลโุ ลกตุ ตรธรรม ตง้ั สงั โฆ
จะได้ตัดสงั ขาร ตัดอุปาทานแลว้ ใจของทา่ นทั้งหลายจะได้พระอรหนั ต์ ขอนิมนต์
พระคณุ เจา้ ตง้ั พทุ โธ นงั่ กน็ งั่ พระพทุ โธ กนิ กก็ นิ พระพทุ โธ พทุ โธคอื ใจของพระคณุ เจา้
นน้ั แหละ นงั่ กน็ งั่ พระธรรม นอนกน็ อนพระธรรม พระธรรมคอื ใจของพระคณุ เจา้ ทกุ คน
นั่งก็นั่งสังโฆ สังโฆคือใจของพระคุณเจ้าทุกพระองค์ เดินก็เดินอยู่ในพระสังโฆ
นแ้ี หละ คอื หวั ใจพระศาสนา พระอาจารยต์ อ้ื อจลธมโฺ ม ใหไ้ วเ้ ปน็ ประโยชนใ์ นพระศาสนา
สวสั ดี ดีพทุ โธ ให้ดจี รงิ ๆ ดีสงั โฆ ใหด้ จี ริงๆ
74
พระจิตฺตคตุ โฺ ต หลวงปผู าง
Ç´Ñ Í´Ø Á¤§¤Ò¤ÕÃàÕ ¢µ ÍÒí àÀÍÁÞÑ ¨Ò¤ÕÃÕ ¨§Ñ ËÇÑ´¢Í¹á¡¹‹
ชวี ประวัติและพระธรรมเทศนา
พระจติ ฺตคุตโฺ ต หลวงปู่ผาง
75
ชวี ประวตั ิ
พระจติ ตฺ คตุ ฺโต หลวงปู่ผาง
ชาติภูมิ
นามเดิมช่อื ผาง นามสกลุ ครองยตุ ิ
นามบดิ าช่อื ทนั นามมารดาชื่อ บัพพา
ชาตกิ าล เกดิ วนั องั คารท่ี ๕ สงิ หาคม พทุ ธศกั ราช ๒๔๔๕ ตรงกบั วนั ขนึ้ ๒ คำ�่
เดอื น ๙ ปีขาล ณ บ้านกุดกะเสียน ต.เข่ืองใน อ.เขอ่ื งใน จ.อบุ ลราชธานี มีพน่ี อ้ ง
รว่ มมารดาบดิ า ๓ คน
ครอบครวั ของทา่ นยดึ อาชพี เกษตรกรรมคอื ทำ� นา เลยี้ งสตั ว์ ปลกู ผกั ตามสภาพ
ของทอ้ งถนิ่ ในสมัยนนั้ เปน็ หลัก อาชพี อ่ืน เช่น ค้าขาย เป็นต้น เปน็ อาชพี รอง
77
ปฐมวยั และการศกึ ษา
หลวงปู่เป็นลูกชายคนสุดท้อง เมื่อท่านอายุได้ ๕ เดือน พ่อของท่านได้
ถึงแกก่ รรม มารดาของทา่ น ตา ยาย และญาติๆ ได้ช่วยกนั ประคบั ประคองเล้ียงดู
ทา่ นมา
เมอ่ื อายถุ งึ เกณฑเ์ ขา้ โรงเรยี น ไดเ้ ขา้ ศกึ ษาทโ่ี รงเรยี นประจำ� หมบู่ า้ น จบชนั้ ประถม
ศึกษาปีท่ี ๔ ซง่ึ เป็นชั้นสงู สุดในสมัยนน้ั หลวงป่เู คยเล่าวา่ ตอนเปน็ เด็กนักเรยี น
ทา่ นเปน็ คนทเี่ รยี นเกง่ กวา่ เพอื่ นๆ ในชน้ั สอบไดท้ ี่ ๑ ทกุ ปี หลงั จากจบประถมศกึ ษา
ปที ่ี ๔ แลว้ ทา่ นไดช้ ว่ ยครอบครวั ทำ� มาหากนิ หลงั จากโยมบดิ าถงึ แกก่ รรม โยมมารดา
ของท่านกไ็ ม่แตง่ งานใหม่ แมว้ า่ จะมหี นุ่มๆ มาสนใจอย่หู ลายคนก็ตาม
ตอนเปน็ เดก็ ทา่ นเปน็ คนเลย้ี งงา่ ย ไมค่ อ่ ยเจบ็ ไขไ้ ดป้ ว่ ย เปน็ คนดอ้ื มาก แตไ่ มเ่ คย
ทะเลาะดุดา่ พ่ีสาวและพี่ชายเลย
ทา่ นเปน็ คนทม่ี คี วามอดทนเปน็ เลศิ ดงั จะเหน็ ไดม้ อี ยคู่ รงั้ หนงึ่ โยมแมข่ องทา่ น
เอาขา้ วไปขายทีอ่ �ำเภอพิบลู มงั สาหาร โยมยายเปน็ คนดแู ลหลานๆ แทน การจะรูจ้ ัก
นสิ ยั อปุ นสิ ยั ของหลานๆ บางครงั้ กต็ อ้ งทดลองดว้ ยวธิ ตี า่ งๆ ยายของทา่ นเปน็ คนฉลาด
อยากจะดูว่าหลานท้ังสามคนน้ีใครจะเป็นคนมีน้�ำอดน้�ำทน จึงออกอุบายปิ้งข้าวจี่
(ปน้ั ขา้ วเหนยี วขนาดเทา่ กำ� ปน้ั ทาไข่ ปง้ิ หรอื ยา่ งบนถา่ นไฟใหส้ กุ ออกสเี หลอื ง รสชาติ
อรอ่ ยทง้ั กรอบทง้ั มนั ภาษาอสี านเรยี กขา้ วก่ี หรอื ขา้ วจ)่ี ใหห้ ลานคนละปน้ั และพดู วา่
78
“ถ้าผู้ใดฮ๋ กั กู อย่าฮ่องไหเ้ ด๊ จงั สไิ ดก้ ินขา้ วก”ี่ (ถา้ ใครรักยาย อย่ารอ้ งไหน้ ะ จงึ จะได้
กนิ ขา้ วเหนยี วปง้ิ ) พรอ้ มกบั เอามอื บดิ แขนหลานไปดว้ ย พช่ี ายของทา่ นทนเจบ็ ไมไ่ หว
ร้องไห้ข้นึ ว่า “เจบ็ ปานนีบ้ ก่ ินแม่มนั ดอก” (เจ็บอยา่ งน้ีไมก่ นิ หรอก) แต่ทา่ นกลับทน
เจบ็ ไดเ้ ลยไดก้ นิ ข้าวกี่
สว่ นโยมพชี่ าย หลงั จากจบการศกึ ษาแลว้ ไดเ้ ขา้ รบั ราชการเปน็ ตำ� รวจในเบอ้ื งตน้
ต่อมาได้โอนมารับราชการเป็นครู จนเกษียณอายุราชการ (สมัยนั้นครูบรรจุใหม่
เงนิ เดอื น ๔ บาท) สว่ นโยมพสี่ าวไดช้ ว่ ยรบั ภาระดแู ลครอบครวั และในบนั้ ปลายชวี ติ
ได้บวชเป็นแม่ชี ปฏิบตั ธิ รรมอยูท่ ี่วดั อดุ มคงคาครี ีเขต จนกระทงั่ ถงึ แก่กรรมเม่อื ปี
พ.ศ. ๒๕๒๘
ทา่ นเปน็ คนรปู รา่ งสนั ทดั ผวิ เนอื้ ดำ� แดง สมยั ทา่ นเปน็ หนมุ่ ถา้ พดู ถงึ เรอ่ื งความ
องอาจกลา้ หาญ จติ ใจนกั เลง พดู จริงทำ� จริง กล้าได้กล้าเสีย ถงึ ลูกถงึ คน ปากวา่
มอื ถงึ แลว้ ทา่ นเปน็ คนทไี่ ดร้ บั คำ� รำ่� ลอื คนหนงึ่ ในหมบู่ า้ นแถบนน้ั ทา่ นเปน็ คนพดู จรงิ
ท�ำจริง ไมเ่ กรงกลัวผู้ใด ถ้าวา่ ตีก็ตีเลย ถ้าวา่ ต่อยกต็ อ่ ยเลย แตก่ ไ็ ม่เคยเกเรเกะกะ
ระรานใครก่อน ในงานบุญประเพณีร่ืนเริงหรืองานวัดที่ไหน ถ้าได้ยินว่ามีเร่ือง
ชกต่อยกนั หวั รา้ งขา้ งแตกละก็เปน็ ตอ้ งมชี ื่อท่านปรากฏกับเขาดว้ ย แตก่ ไ็ มเ่ คยทำ� เขา
ใหถ้ ึงตาย ผูค้ นเกรงกลวั ท่านมาก ในขณะเดียวกันไดย้ นิ ว่าทา่ นเป็นคนเจา้ ชู้ หาตวั
จบั ยากคนหนง่ึ ทเี ดยี ว
79
บวชทดแทนพระคุณ
เมื่ออายุได้ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๔๖๕) ท่านไดอ้ ุปสมบทเพ่ือทดแทนพระคุณบิดา
มารดา สังกดั คณะมหานิกาย ณ วดั เขื่องกลาง บา้ นเขอื่ งใน ต.เขอ่ื งใน อ.เขือ่ งใน
จ.อบุ ลราชธานี มพี ระครดู วน เปน็ พระอปุ ชั ฌาย์ พระอาจารยด์ ี เปน็ พระกรรมวาจาจารย์
“การบวช” ในพระพุทธศาสนา เป็นการเข้ามาฝึกฝนอบรมตนเองจากคนดิบ
เมอ่ื ผ่านกระบวนการบวชมาแล้ว เรียกวา่ เป็นคนสุก
คนดบิ หมายถงึ คนทย่ี งั มกี ารกระทำ� การพดู และความคดิ ทข่ี าดศลี ธรรมและ
จรยิ ธรรมที่ดีงามตามหลักพระพุทธศาสนา การกระทำ� กด็ ี การพูดหรอื ความคิดใดๆ
ก็ดี จึงยังตกอยใู่ นอ�ำนาจแห่งกิเลสอยา่ งหยาบ ๓ อย่าง คอื โลภะ โทสะ และโมหะ
เปน็ อยา่ งมาก ผลแหง่ การกระท�ำ การพดู และความคดิ ของคนดบิ จงึ ทำ� ให้คน
รอบขา้ ง หรอื คนท่ีคบค้าสมาคมด้วยเป็นทุกข์ เศร้าใจ ไรค้ วามสขุ เปน็ ระยะเสมอมา
เหมือนกับผลไม้ท่ียังดิบก็อาจขมข่ืน เปรี้ยว และไร้รสชาติแห่งความหอมหวาน
เป็นต้น
สว่ นคนสกุ กค็ อื คนทม่ี ลี กั ษณะตรงกนั ขา้ มกบั คนดบิ คอื มกี ารกระทำ� การพดู
และความคิด ที่บรบิ รู ณด์ ว้ ยศีลธรรมและจรยิ ธรรมทีด่ ีงามตามหลกั พระพุทธศาสนา
การกระท�ำก็ดี การพดู หรอื ความคดิ ใดๆ ก็ดี มกั ประกอบไปดว้ ย ศลี สมาธิ และ
80
ปัญญา อันเปน็ รากเหง้าของกศุ ลหรือคุณงามความดี ๓ อย่าง คอื ไมโ่ ลภ ไมโ่ กรธ
ไม่หลง
เพราะฉะน้ัน ผลแห่งการกระทำ� การพูด และความคิดของคนสกุ จึงทำ� ให้
คนรอบข้างหรือคนที่ประสบพบเห็นมีความสุข ได้รับความสบายใจ ไร้ความทุกข์
มีแต่ความสุขและเบิกบานใจเสมอมา เหมือนกับผลไม้ท่ีสุกแล้วย่อมหอม หวาน
กลมกล่อม เม่ือรับประทานแล้วย่อมได้รับผลคือความอิ่ม เป็นสุข และสบายใจ
ในทส่ี ดุ
เม่ือบวชได้ ๑ พรรษา จึงได้สกึ ออกมา
81
เข้ากรงุ มุ่งหางานท�ำ
ตอ่ มาไดม้ โี อกาสเดนิ ทางไปทำ� งานทก่ี รงุ เทพฯ สมยั นน้ั (ปลายสมยั รชั กาลท่ี ๖)
ในกรงุ เทพฯ มที งั้ รถไฟและรถราง สว่ นรถเมล์ รถยนต์ กพ็ อจะมวี ง่ิ ใหเ้ หน็ ตามถนน
ไมม่ าก ผู้คนและบ้านเมืองหนาแน่นบา้ งกใ็ นเขตพระนคร นอกน้นั มแี ตท่ ุ่งนาทง้ั น้นั
ท่านทำ� งานเป็นลกู จ้างทำ� นาแถวๆ หนองจอก เหน็ ว่าคงจะไมเ่ จริญกา้ วหน้า จงึ ได้
เดนิ ทางกลับอีสาน ส่วนตามหัวเมอื งภาคอีสานรถยนตย์ งั ไมค่ ่อยมี จะมีก็แต่รถไฟ
กรงุ เทพฯ-อบุ ลราชธานี ยงั เปน็ รถจกั รไอนำ้� อยู่ วงิ่ ไปถงึ ไหนนำ้� หมด ฟนื หมด กต็ อ้ ง
จอดเตมิ นำ�้ เตมิ ฟนื การเดนิ ทางไปกรงุ เทพฯ ถา้ ไมข่ นึ้ รถไฟกต็ อ้ งเดนิ ดว้ ยเทา้ ทงั้ นนั้
การเดินทางไกลตอ้ งมหี มูม่ เี พอ่ื น เพราะข้างทางมีแตป่ ่าแตเ่ ขา มสี ัตวป์ ่าดุร้าย เช่น
เสือ หมี ชา้ งปา่ ชุกชมุ มาก
หลวงปู่ได้เคยเล่าประสบการณ์ในการเดินทางให้ฟังว่า แถวอ�ำเภอปากช่อง
ปัจจุบนั นี้ สมัยนนั้ เพิ่งจะมหี มู่บ้านคน ๓-๔ หลังคาเรอื นเอง ครงั้ หนง่ึ เดินทางไปถงึ
ดงพญาเยน็ สมยั กอ่ นเรยี กดงพญาไฟ ถงึ แถบเทอื กเขาใหญ่ พลบคำ�่ พอดี ไดห้ ยดุ พกั
คา้ งคนื กลางทางในปา่ กอ่ นนอนกส็ มุ ไฟกองใหญไ่ วเ้ พอ่ื ใหเ้ กดิ ความอบอนุ่ แกค่ นและ
สตั วด์ ว้ ย เพอ่ื ปอ้ งกนั อนั ตรายจากสตั วร์ า้ ยดว้ ย ตา่ งคนตา่ งกน็ อนขา้ งกองไฟนน่ั แหละ
ตกกลางดึก ทุกคนท่ีก�ำลังหลับปานตายเพราะเหน็ดเหน่ือยทั้งวันจากการ
เดนิ ทางไกล กต็ อ้ งตกใจตนื่ เมอื่ ไดย้ นิ เสยี งรอ้ งสดุ เสยี ง เปน็ เสยี งรอ้ งของหมาชาวบา้ น
ท่ีตามมากับคณะเดินทางนั่นเอง พร้อมกับได้ยินเสียงฝีเท้าว่ิงหนีหายเข้าไปในป่า
“เสอื มนั มาคาบเอาหมาไปกนิ พากนั ถอื คบไฟไลก่ วดกไ็ มท่ นั มนั ไมย่ อมปลอ่ ย ตน่ื เชา้ มา
ตามหาดู เหน็ แต่ซากหวั ของมนั ” ทา่ นเล่า
82
สชู้ ีวิตฆราวาส
พออายไุ ด้ ๒๓ ปี ไดแ้ ตง่ งานกับนางสาวจนั ดี สายเสมา คนบา้ นแดงหม้อ
ต�ำบลแดงหม้อ อำ� เภอเขื่องใน จังหวัดอบุ ลราชธานี คร้ันมคี รอบครัวแล้ว นิสยั ของ
ท่านได้เปลี่ยนไปจากเดิมมาก คือจากท่ีไม่ค่อยได้ช่วยงานการทางบ้าน ก็กลับเป็น
คนขยนั หมน่ั เพยี รทำ� การงาน มมุ านะอดทน สรา้ งเนอื้ สรา้ งตวั ลงทำ� นาตงั้ แตต่ ะวนั ยงั
ไมข่ นึ้ จนกระทงั่ ถงึ เยน็ กอ่ นจะกลบั บา้ นกห็ าปลา หากบ เพอื่ มาทำ� เปน็ อาหารเลย้ี งดู
ครอบครวั ความสามารถพเิ ศษของทา่ น คอื เปน็ หมอรกั ษาโรคไดห้ ลายอยา่ ง เชน่ โรค
ปวดท้อง เป็นต้น โดยใชย้ าสมุนไพร ต�ำรายากลางบา้ นแผนโบราณ โรคกระดูกแตก
แขนหักขาหกั โดยท่านเสกเปา่ ดว้ ยคาถา หรือทำ� นำ้� มนต์รดให้ โรคน้ันก็หาย แม้แต่
วัวควายขาหกั ท่านกต็ อ่ ให้ได้
อยู่กนิ กันมา ๒๑ ปี ไมม่ ีบตุ รสบื สกลุ ทา่ นกเ็ ลยไปขอบุตรของญาตมิ าเปน็
บตุ รบญุ ธรรม บตุ รบญุ ธรรมคนแรกชอ่ื บุญปราง อยไู่ ดไ้ มน่ านก็ตายจากไป ต่อมา
จงึ ไดไ้ ปขอลกู ของญาตอิ กี คนมาเปน็ บตุ รบญุ ธรรม เปน็ หญงิ ชอื่ วา่ หนพู าน ปจั จบุ นั
อายุ ๖๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๔๕) แตง่ งานและมคี รอบครวั อยบู่ า้ นกดุ กะเสยี น ตำ� บลเขอื่ งใน
อ�ำเภอเขื่องใน จังหวดั อุบลราชธานี
บา้ นกดุ กะเสยี น ตั้งอย่รู ิมฝ่ังแม่น้ำ� ชี อยู่ทางทศิ เหนอื แม่น้�ำมลู ประมาณ ๒๐
กิโลเมตร ชาวบ้านแถบน้ันนอกจากท�ำนาแล้ว บางครั้งก็ได้ประกอบอาชีพค้าขาย
ทางเรือ เรอื แตก่ ่อนยังเปน็ แบบโบราณเรียกกันวา่ “เรอื โซ่แกว” มีฝีพายทั้งข้างหนา้
ข้างหลัง ประมาณ ๘-๙ คน สนิ ค้าทน่ี �ำไปขายในสมยั นัน้ ก็คอื ขา้ วสาร เกลือ ไต้
83
สยี อ้ มผา้ เปน็ ตน้ บรรทกุ ใสเ่ ตม็ ลำ� เรอื ลอ่ งไปขายตามลำ� นำ�้ ชไี ปถงึ ลำ� นำ�้ มลู ลอ่ งไปขาย
ถงึ ตวั เมอื งอบุ ลราชธานี และเรอ่ื ยไปถงึ อำ� เภอพบิ ลู มงั สาหารกม็ ี เมอื่ ขายของหมดแลว้
ก็เลือกซ้ือหาสินค้า เคร่ืองอุปโภคบริโภคที่จ�ำเป็นหรือขาดแคลนน�ำกลับมาขายอีก
สมัยนั้นชาวบ้านมักต้ังถ่ินฐานภูมิล�ำเนาอยู่ใกล้กับแม่น�้ำ ล่องเรือไปถึงหมู่บ้านไหน
ต�ำบลใด ก็หยดุ ขายสินคา้ ทีน่ ั่นไปเรือ่ ยๆ
84
เกอื บไมร่ อด
ประสบการณ์ในการค้าขายทางเรือท่ีหลวงปู่เล่าให้ฟัง ก็น่าจะเป็นคติเตือนใจ
เป็นอุทาหรณ์แกผ่ ้ทู ่ไี ดย้ ินไดฟ้ ังหรอื ผู้อา่ นอยู่ไมน่ อ้ ย
เมอื่ พดู ถงึ “แขนศอกผ”ี พอ่ คา้ ทางเรอื หรอื ผคู้ นทต่ี อ้ งลอ่ งเรอื ผา่ นไปมาระหวา่ ง
แม่น้�ำชกี บั แมน่ ำ้� มลู ต่างกร็ จู้ ักเปน็ อยา่ งดี เพราะเป็นบรเิ วณค้งุ น้ำ� ทแี่ ม่น้�ำท้ังสองสาย
ไหลมาบรรจบกนั ลกั ษณะหกั เหมอื นขอ้ ศอก มเี กาะแกง่ อยู่ ชาวบา้ นเรยี ก “แขนศอกผ”ี
กเ็ พราะวา่ บรเิ วณคงุ้ นำ้� นเ้ี คยมซี ากศพคนลอยมาตดิ อยู่ หรอื มคี นจมนำ้� ตายทบ่ี รเิ วณนี้
มีอยู่ครั้งหนึ่ง เป็นเหตุการณ์ที่ฝังใจหลวงปู่มากไม่รู้ลืม ท่านกับคณะเกือบ
๒๐ คน พรอ้ มกับเรอื โซแ่ กว ๒ ล�ำ บรรทกุ สนิ ค้าลอ่ งไปขายเหมอื นทุกครั้งทผ่ี า่ นมา
หลวงปูน่ งั่ เรือลำ� แรก แตน่ ่งั เปน็ ฝพี ายอยคู่ นท้ายสดุ ตา่ งคนตา่ งกช็ ่วยกนั พายเรือไป
เร่ือยๆ พอมาถึง “แขนศอกผี” เผอิญหมวกบนหวั พลดั ตกหลน่ ลงไปในน�้ำ เอามอื
ฉวยไวก้ ็ไมท่ ัน ด้วยความเสียดายหมวกใบเดยี วแทๆ้ ท่านว่าไม่ไดค้ ิดหนา้ คดิ หลงั
กระโดดลงเอาหมวกในนำ�้ เพอื่ นๆ ทพ่ี ายเรอื อยกู่ ไ็ มร่ ู้ ตา่ งกพ็ ายเรอื ไปเรอื่ ย ชว่ั พรบิ ตา
เดยี วเทา่ นน้ั ยงั ไมท่ นั รอ้ งเรยี กใหเ้ พอ่ื นๆ ชว่ ย เรอื กล็ บั ตาไปแลว้ เพราะเปน็ บรเิ วณที่
แมน่ ำ�้ หกั เหมอื นขอ้ ศอก กระแสนำ้� กไ็ หลเชย่ี ว ทา่ นแมจ้ ะยงั หนมุ่ แนน่ กต็ าม การลอยนำ้�
ทั้งมีเสอ้ื ผ้าสวมอยู่ ลอยคอผลบุ ๆ โผลๆ่ อย่ไู ด้ไมน่ านทา่ นก็หมดแรง
“สดุ สนิ้ กนั ทชี วี ติ นี้ อนจิ จา เราจะตอ้ งมาจมนำ้� ตายหมดราคำ�่ ราคาแคน่ เี้ ชยี วหรอื
เพราะความเสยี ดายหมวกใบเดยี วแทๆ้ ”
85
เมอื่ หมดอาลยั ตายอยาก หมดทพี่ งึ่ แลว้ เชน่ นนั้ ทา่ นกเ็ ลยตงั้ จติ อธษิ ฐานถงึ บญุ ญา-
บารมที เี่ คยไดส้ งั่ สมอบรมมา คณุ พระศรรี ตั นตรยั คณุ บดิ ามารดา คณุ ครบู าอาจารย์
ขอได้ชว่ ยลกู หลานใหพ้ น้ จากความตายครงั้ นีด้ ว้ ยเถดิ
ขณะเกือบจะจมน�้ำตายอยู่แล้ว น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก พอท่านอธิษฐานจบลง
ความรู้สึกก็เหมือนกับว่ามีกอหนามหนามาดุนร่างท่านให้ลอยขึ้นมาได้สูดอากาศ
หายใจเตม็ ทอ้ ง กพ็ อดีเรือลำ� หลงั ผา่ นมาถึงช่วยชวี ิตของท่านไว้ไดท้ นั เวลา
นแี่ หละ ทา่ นถงึ วา่ ผทู้ ม่ี บี ารมเี ตม็ เปย่ี มแลว้ ถงึ จะตกนำ้� กไ็ มไ่ หล ตกไฟกไ็ มไ่ หม้
เหมือนในคร้งั พุทธกาล กม็ พี ระสาวกหลายๆ องคเ์ ป็นตวั อย่าง เช่น พระพากุลเถระ
เป็นลูกเศรษฐี คร้ังท่านเป็นทารกอยู่ พ่ีเล้ียงนางนมน�ำไปอาบน้�ำในแม่น�้ำคงคา
ถูกปลาใหญฮ่ ุบกลืนกนิ เข้าไปอยู่ในทอ้ งปลาก็ยังไมต่ าย
หลงั จากทท่ี า่ นไดป้ ระสบเหตกุ ารณท์ แ่ี ทบจะเอาชวี ติ ไมร่ อดในครงั้ นนั้ แลว้ ทำ� ให้
ทา่ นเกดิ สลดสงั เวชใจยง่ิ นกั คดิ ยอ้ นหนา้ ยอ้ นหลงั ถงึ ความไมเ่ ทย่ี งแทแ้ นน่ อนของชวี ติ
คนเราเกิดมาไม่อยากแก่ เจบ็ ตาย อยากมีชวี ิตยั่งยืนถาวรชั่วนิจนิรนั ดร ในขณะ
เดียวกันเราก็ต้องตายไป ท้ิงลูกท้ิงเมียท่ีรักไว้ไปแต่ตัวผู้เดียว ตายแล้วไม่เห็นใคร
หาบเอาเงินเอาทองไปได้ซักสตางค์ จะติดตัวเราไปได้ก็แต่ความช่ัวความดีบุญกุศล
เทา่ นน้ั สง่ิ เหลา่ นก้ี ม็ ใี หเ้ หน็ อยทู่ กุ เมอื่ เชอ่ื วนั ไมเ่ ปน็ เขากต็ อ้ งเปน็ เรา คงตอ้ งถงึ คราว
เขา้ สกั วันหนึง่ จนได้
ไม่เฉพาะแต่อาชพี ค้าขายทางเรอื เทา่ นนั้ ท่านยังหาซ้อื วัวควายแล้วตอ้ นไปขาย
ทเี่ ขมรตำ่� (ประเทศกมั พชู า ภาษาอสี านเรยี กวา่ เขมรตำ่� ) อกี ดว้ ย ทา่ นพยายามลงทนุ
ลงแรงสร้างฐานะให้แก่ครอบครัวด้วยความมุมานะพากเพียรพยายาม หนักเอา
เบาสู้เสมอมา อาชีพไหนท่ีเขาว่ารายได้ดี มีรายได้เป็นกอบเป็นก�ำ แม้จะเส่ียงบ้าง
กไ็ มห่ วน่ั ทา่ นเปน็ ผทู้ รี่ กั ษาความเปน็ ธรรมใหแ้ กห่ มคู่ ณะทที่ ำ� มาคา้ ขายรว่ มกนั เสมอมา
ในละแวกบา้ นนน้ั ครอบครวั ทา่ นกถ็ อื ไดว้ า่ เปน็ ครอบครวั ทพี่ อมอี ยมู่ กี นิ ครอบครวั หนงึ่
ทีเดยี ว
86
ออกบวชครัง้ ท่ี ๒
สาเหตทุ ที่ ำ� ใหอ้ อกบวชอกี เปน็ ครงั้ ทสี่ องนน้ั ทา่ นกเ็ คยเลา่ วา่ มคี รอบครวั อยกู่ นิ
กันมาก็นานปีแล้ว แต่ไม่มีลูกด้วยกันสักคนเลย จะมีก็แต่ลูกบุญธรรมเท่าน้ัน
พยายามประกอบอาชพี ทกุ อยา่ งทพ่ี อจะทำ� ได้ ทำ� มาคา้ ขาย ทำ� นาทำ� สวน มอี ยวู่ นั หนง่ึ
ได้เอาควายลากเกวียน ขับเกวียนไปนา (ทางภาคอีสานบางแห่งก็นิยมใช้ควาย
ลากเกวียน) คนท่ีมธี รรมะภายในใจ เห็นอะไรคิดอะไรมกั จะคดิ เปน็ อรรถเปน็ ธรรม
เป็นคติเตือนใจเสมอ ขณะท่ีขับเกวียนไปตามทางอยู่นั้น มองเห็นสภาพของควาย
ทต่ี อ้ งมาทนทกุ ขท์ รมาน ตอ้ งลากลอ้ ลากเกวยี น ลากแอก ลากไถ ตอ้ งยอมใหม้ นษุ ย์
ใชก้ ารใชง้ านตา่ งๆ นานา ทำ� ใหเ้ กดิ ความรสู้ กึ สงสารควายมาก คดิ ไปคดิ มากย็ งิ่ สงสาร
แตก่ ค็ ดิ วา่ คงเป็นเพราะทัง้ มนุษย์และสัตวต์ ่างก็ตอ้ งเกดิ มาใชก้ รรมกระมัง
ก�ำลังคิดอยู่เช่นนั้น ก็เห็นชายทุคตเข็ญใจเดินผ่านมาคนหน่ึง ท่าทางอิดโรย
ผา่ ยผอม นงุ่ ผ้าเกา่ ๆ ซอมซอ่ กย็ ่ิงทวคี วามสงสารชายผู้นนั้ เปน็ กำ� ลงั พลางคดิ ถึง
เร่ืองพระเวสสนั ดรที่ทา่ นสามารถสละใหท้ านทรัพย์สนิ เงินทอง ช้างม้า ตลอดถึงบตุ ร
ภรรยาได้ กเ็ พราะความเมตตาสงสารผอู้ น่ื มากๆ อยากใหเ้ ขาพน้ จากความทกุ ขอ์ ยา่ งนี้
น่เี อง
คดิ ไดด้ งั นนั้ จงึ ตดั สนิ ใจยกควายและเกวยี นใหช้ ายคนนน้ั ไป ตวั เองเดนิ ตวั เปลา่
กลับบ้านด้วยความปีติยินดี มีความสุขเบิกบานใจตลอดทาง อาจจะเป็นช่วงชีวิต
87
ของท่านในระยะน้ีที่หลวงปู่เคยเล่าว่าเร่ืองจิตสงบเป็นสมาธินั้น ท่านสามารถท�ำได้
ตง้ั แตค่ ร้งั เปน็ ฆราวาสแล้ว เคยเข้าวัดภาวนาอยู่เป็นนจิ มิได้ขาด คงเป็นเพราะเหตุนี้
กระมังจึงท�ำให้ท่านครุ่นคิดถึงเรื่องการออกบวชอีกคร้ังแล้วคร้ังเล่า เม่ือเดินกลับ
ถงึ บา้ น คร้ันนางจันดีถามทราบเรื่องราวแล้ว แทนทีจ่ ะคดั ค้านหรอื ตอ่ วา่ กลับกลาย
เป็นยนิ ดปี รดี าอนโุ มทนาดว้ ย ก็จึงไดป้ รกึ ษาถึงเรื่องท่จี ะออกบวชด้วยกันท้ังสองคน
กบั ภรรยา
หลงั จากนน้ั ท่านได้เดินทางไปท�ำงานทีก่ รุงเทพฯ ส่วนนางจนั ดีภรรยาของทา่ น
ได้ออกบวชเปน็ ชีไปก่อนแล้ว และได้เดนิ ทางไปอย่กู ับญาตพิ ี่นอ้ งทเี่ มอื งเวียงจนั ทน์
ประเทศลาว พอท่านกลบั มาจากท�ำงานทกี่ รงุ เทพฯ ทราบว่าภรรยาบวชแลว้ จงึ ได้
มอบสมบตั ทิ รพั ยส์ นิ เงนิ ทองทงั้ หมดใหแ้ กน่ างหนพู าน ผเู้ ปน็ ลกู บญุ ธรรม ซง่ึ แตง่ งาน
มีครอบครวั แลว้
ส่วนทา่ นเองขณะนั้นอายไุ ด้ ๔๓ ปี ไดเ้ ขา้ อปุ สมบทอีกคร้งั ในคณะมหานกิ าย
เช่นเดมิ ที่วดั คขู าด บา้ นศรีสขุ ต.เขอื่ งใน อ.เขอ่ื งใน จ.อุบลราชธานี มพี ระครูศรี-
สตุ ตาภรณ์ (ตอื๋ ) เปน็ พระอปุ ชั ฌาย์ สว่ นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอนสุ าวนาจารย์
ไมป่ รากฏ หลงั จากบวชแลว้ ไดจ้ ำ� พรรษาทว่ี ดั คขู าด บา้ นศรสี ขุ อ.เขอื่ งใน จ.อบุ ลราชธานี
ไดม้ โี อกาสเดนิ ทางไปศกึ ษานกั ธรรมและภาษาบาลี เรยี นมลู เรยี นสนธิ์ (คมั ภรี ์
บาลไี วยากรณ์ อันได้แก่ คมั ภรี ม์ ูลกัจจายนะ ปทรูปสทิ ธิ และสนธิปกรณ์ เปน็ ตน้ )
อกั ษรขอม อกั ษรไทย อกั ษรไทยนอ้ ยหรอื อกั ษรธรรม (ตวั หนงั สอื คลา้ ยกนั กบั อกั ษร
ขอม) ในตัวเมอื งอุบลราชธานี เพราะสมยั นนั้ การศกึ ษาดา้ นศาสนาจะมีก็เฉพาะใน
เมอื งใหญๆ่ เพราะหาพระทเ่ี ป็นครูสอนนักธรรมและบาลไี ดย้ ากมากๆ
ตอ่ มาทา่ นไดพ้ กั จำ� พรรษาทวี่ ดั ปา่ ทา่ ชี บา้ นกดุ กะเสยี น ซง่ึ เปน็ บา้ นเกดิ ของทา่ น
เปน็ วดั รา้ งทต่ี งั้ อยตู่ ิดฝ่งั แมน่ ำ้� ชี และไดเ้ ปน็ ประธานสงฆ์ เพราะทา่ นเปน็ ผทู้ ีม่ พี รรษา
แก่กวา่ เพ่ือน ตอนน้ันบวชได้ ๕ พรรษาแลว้ มพี ระจำ� พรรษาดว้ ยกัน ๓ รปู แม่ชี
หรือแม่ขาว ๒ คน
88
วัดนี้เป็นวัดร้างต้ังแต่โบราณ จะสร้างมาต้ังแต่สมัยใดไม่ทราบได้ สภาพเป็น
ดงหนาปา่ ทบึ มซี ากโบสถเ์ กา่ กอ่ ดว้ ยอฐิ มอญกอ้ นใหญๆ่ กองอยู่ ทบี่ รเิ วณนใ้ี ครเขา้ ไป
ยิงสัตว์ ตัดต้นไมไ้ มไ่ ด้เดด็ ขาด เปน็ ทท่ี ราบกันดวี ่าผมี นั เฮี้ยนมาก ตอ้ งมีอันเปน็ ไป
ถงึ ขนาดลม้ ตายไปเลยกม็ ี เมอ่ื ทา่ นพาพระเขา้ ไปอยู่ ผมี นั ไมอ่ ยากใหอ้ ยู่ มนั กไ็ ปรงั แก
ชาวบ้านท�ำใหเ้ ดอื ดรอ้ นตา่ งๆ นานา เข้าสงิ ชาวบา้ นทำ� ให้ล้มตายกนั วนั ละ ๒-๓ คน
ก็มี ท่หี นักก็คอื เขา้ สงิ ชาวบา้ นแล้วบอกวา่ “หลวงพ่อผางเปน็ ปอบ”
เมอื่ เปน็ ดงั นน้ั จะเปน็ เพราะอบุ ายของคนผไู้ มป่ ระสงคด์ ี อาจจะเปน็ ผมี นั เฮยี้ น
หรอื วา่ เปน็ โรคปจั จบุ นั ทนั ดว่ นทยี่ งั ไมส่ ามารถพสิ จู นไ์ ดท้ ท่ี ำ� ใหผ้ คู้ นถงึ กบั ลม้ ตายเปน็
จำ� นวนมาก ชาวบา้ นสมยั นนั้ สว่ นมากกน็ บั ถอื ผอี ยแู่ ลว้ กย็ ง่ิ ไปกนั ใหญ่ เมอ่ื เกดิ ความ
เดอื ดรอ้ น และเขา้ ใจผดิ เชน่ นน้ั จงึ กลา่ วหาวา่ ทา่ นเปน็ พระเรยี นวชิ าไสยศาสตร์ มคี าถา
อาคมเกง่ กลา้ เลยี้ งผเี ลยี้ งปอบไวใ้ หไ้ ปรบกวนรงั แกทำ� รา้ ยชาวบา้ น เหตกุ ารณว์ นุ่ วาย
น่าเศร้าสลดหดหู่ที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น ชาวบ้านได้รวมตัวกันขับไล่ท่านให้ออกจาก
วดั นน้ั มหิ นำ� ซำ�้ ยงั ขวา้ งปาทบุ ทง้ิ สงิ่ ของทเ่ี ปน็ ของสงฆ์ พรอ้ มกบั จดุ ไฟเผากฏุ อิ กี ดว้ ย
เหตุการณ์ครั้งนี้ต้องเดือดร้อนถึงต�ำรวจถึงนายอ�ำเภอต้องเข้ามาไกล่เกลี่ยระงับ
ขอ้ พพิ าท
ท่านเห็นว่าเป็นความเข้าใจผิดของชาวบ้าน ถ้าหากอธิบายไปก็จักยืดยาว
ซ�้ำชาวบ้านกก็ �ำลงั โกรธแคน้ อย่างมาก คงไม่เขา้ ใจไดง้ า่ ยๆ และจะเป็นการใสเ่ ช้อื ไฟ
เข้าไปอีก โอ้ น่าอนาถนักชีวิตมนุษย์ เกิดมาต้องทนทุกข์ทรมานเพราะเพลิงกิเลส
ทเ่ี ผาไหมอ้ ยใู่ นหวั ใจของตนเองแลว้ ยงั ไมแ่ ลว้ ยงั เทยี่ วเอาเพลงิ กเิ ลสนนั้ ไปเผาคนอนื่
ใหไ้ ดร้ บั ความเดอื ดรอ้ นเขา้ ไปอกี เพลงิ กเิ ลสเพลงิ ทกุ ขม์ นั กย็ ง่ิ ลามไปกนั ใหญ่ เมอ่ื แก้
ความหลงผดิ ของเขาไมไ่ ดแ้ ลว้ เรามาแกใ้ จเจา้ ของเรานค้ี งจะดกี วา่ อยไู่ ดก้ อ็ ยู่ อยไู่ มไ่ ด้
กต็ อ้ งหนี มนั กเ็ ทา่ นน้ั เอง โบราณทา่ นวา่ แพเ้ ปน็ พระ ชนะเปน็ มาร มใิ ชห่ รอื จงึ ตดั สนิ ใจ
เก็บบริขารเดินมุ่งหน้าออกธุดงค์ไปเร่ือยๆ บางทีอาจจะเจอครูบาอาจารย์ที่มีความรู้
ความสามารถบอกหรือแสดงแนวทางในการปฏิบัติเพ่ือความหลุดพ้นจากเพลิงกิเลส
และกองทุกข์นไ้ี ด้
89
ประจวบกบั จงั หวดั อบุ ลราชธานหี รอื วา่ จงั หวดั อนื่ ๆ ในแถบภาคอสี านในสมยั นนั้
เม่ือเอ่ยถึงพระสายปฏิบัติหรือพระธุดงคกรรมฐานแล้ว กิตติศัพท์ของหลวงปู่เสาร์
กนฺตสโี ล หลวงปมู่ ัน่ ภรู ทิ ตฺโต พระอาจารยส์ งิ ห์ ขนฺตยาคโม พระอาจารย์มหาปนิ่
ปญฺาพโล เป็นต้นแล้ว ได้รับการกลา่ วขวญั กนั มากว่าเปน็ พระปฏบิ ตั ิดีปฏบิ ตั ิชอบ
เปน็ ทเ่ี คารพศรทั ธาเลอ่ื มใสของประชาชนทส่ี นใจในการปฏบิ ตั ใิ นดา้ นสมถกรรมฐาน
และวปิ สั สนากรรมฐาน สามารถสงั่ สอนลกู ศษิ ยล์ กู หาไดถ้ กู ตอ้ งแมน่ ยำ� ตรงตามหลกั
ค�ำส่งั สอนของพระพทุ ธเจา้ ได้
หลวงปู่ผางท่านเป็นผู้ที่มีความสนใจในการปฏิบัติน่ังสมาธิภาวนาเป็นทุนเดิม
อยแู่ ลว้ จงึ ไดม้ โี อกาสเขา้ ไปศกึ ษาอบรมกรรมฐานกบั หลวงปเู่ สาร์ ทา่ นพระอาจารยส์ งิ ห์
ทา่ นพระอาจารยม์ หาปน่ิ เปน็ ตน้ ณ วดั ปา่ วารนิ ชำ� ราบ หรอื วดั แสนสขุ (วดั นแี้ ตก่ อ่ น
อยหู่ า่ งจากตวั อำ� เภอประมาณ ๒ กโิ ลเมตร) ในตวั อำ� เภอวารนิ ชำ� ราบ จ.อบุ ลราชธานี
เกิดความศรัทธาอย่างแรงกล้าที่จะออกปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจังให้สมกับท่ีสละชีวิต
ฆราวาสออกบวชเพ่อื หาทางพ้นทุกขใ์ ห้จงได้
90
โอวาทธรรมของหลวงปเู่ สาร์ กนฺตสโี ล
หลวงปผู่ างเลา่ วา่ เคยไดไ้ ปฟงั เทศนห์ ลวงปเู่ สารท์ ว่ี ดั เกาะแกว้ อยบู่ นเกาะกลาง
แมน่ ำ�้ มูล อยเู่ ขตอ�ำเภอพิบูลมังสาหาร จ.อบุ ลราชธานี วัดดอนธาตุวัดน้สี รา้ งอย่บู น
เกาะกลางแม่น�้ำมูล มีเนื้อท่ีประมาณ ๑๐๐ กว่าไร่ เป็นวัดสุดท้ายที่หลวงปู่เสาร์
จำ� พรรษา พ.ศ. ๒๔๘๔ หลงั จากออกพรรษาแล้ว หลวงปเู่ สาร์ได้เดนิ ธดุ งคไ์ ปฝงั่ ลาว
ตอ่ ไปยังหล่ผี ี ตดิ เขตประเทศกัมพูชา และมามรณภาพท่วี ัดอ�ำมาตย์ นครจำ� ปาศักดิ์
ประเทศลาว เมื่อวนั ท่ี ๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๕ เหตกุ ารณค์ ร้งั นี้เปน็ ตอนที่หลวงปู่ผาง
เปน็ ฆราวาสอยู่ แต่ยังจำ� ฝงั ใจ
หลวงปเู่ สารถ์ าม “มาท�ำไมละ่ ”
โยมผาง “มาฟงั เทศน์ครับ นมิ นต์หลวงปู่เทศน์โปรดพวกกระผมด้วย”
หลวงปเู่ สาร์กเ็ ลยเทศนใ์ ห้ฟังสั้นๆ ว่า “เป็นนกั ปฏิบตั ิตอ้ ง”
๑. อย่ากลวั ความตาย
๒. อย่าเสียดายความมง่ั มี
๓. กลวั ผีใหเ้ ขา้ หาผี (เขา้ ป่าชา้ )
๔. กลวั ไขป้ า่ ให้เข้าปา่ (หาไข้มาลาเรยี )
๕. กลวั ช้าง เสอื งู ใหเ้ ข้าป่าไปหา
91