The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wonchai890, 2022-02-22 20:11:13

หลวงปู่ตื้อ อจโล หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต

หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่ผาง

กิตตศิ พั ท์หลวงปมู่ นั่ ภรู ิทตฺโต

เพราะไดย้ นิ กติ ตศิ พั ทช์ อื่ เสยี งของหลวงปมู่ นั่ มานานแลว้ วา่ ทา่ นเปน็ พระอรหนั ต์
องค์ส�ำคัญยิ่ง ท่านสามารถช้ีบอกแนวทางเพื่อปฏิบัติให้ถึงความพ้นทุกข์ได้ถูกต้อง
แมน่ ยำ� จงึ ตง้ั ใจอยา่ งแนว่ แนว่ า่ จะตอ้ งไปใหถ้ งึ และมโี อกาสนงั่ ฟงั โอวาทธรรมตอ่ หนา้
ทา่ นใหจ้ งได้

เมือ่ ตั้งใจอยา่ งแน่วแน่เช่นน้ันแล้ว จงึ ได้จัดเตรียมบรขิ ารทจี่ ำ� เป็นเริม่ ออกเดนิ
ธุดงค์คนเดียว เดินจากจังหวัดอุบลราชธานี เลาะเลียบฝั่งแม่น�้ำโขงข้ึนไปจังหวัด
มกุ ดาหาร (สมยั นน้ั ยงั เปน็ อำ� เภอมกุ ดาหาร จงั หวดั นครพนม) เลยี บชายแดน ซงึ่ บางแหง่
ไดม้ ที หารหา้ มทา่ นไว้ และบอกวา่ ทางฝง่ั ประเทศลาวมที หารตรวจตราอยู่ และคอ่ นขา้ ง
เขม้ งวดกวดขนั มาก หากขา้ มไปเกรงวา่ อาจจะไมป่ ลอดภยั ในชวี ติ ได้ ไมอ่ ยากใหท้ า่ น
ข้ามไปประเทศลาว

เมื่อท่านทราบดังน้ันก็เลยไม่ได้ข้ามไป แวะกราบนมัสการพระธาตุพนม
เข้านครพนม ไปสกลนคร มีแตเ่ ดนิ ทงั้ น้ัน ค�ำ่ ไหนนอนนนั่ ชวี ิตนสี้ ละแลว้ ทกุ อยา่ ง
ลกู เมยี สมบตั พิ สั ถาน เรอื กสวนไรน่ า ทรพั ยส์ นิ เงนิ ทอง เมอ่ื สละทรพั ยส์ มบตั ทิ างโลก
เช่นนแี้ ลว้ บวชเปน็ พระก็ต้องแสวงหาสมบตั ขิ องพระ มอี ะไรบ้างล่ะสมบตั ิของพระ
สมบตั ขิ องพระทแ่ี ท้จริงกค็ อื ศีล สมาธิ ปญั ญา วิมุตติ หลุดพ้น นแ่ี หละคอื สมบตั ิ
ทแี่ ทจ้ รงิ ของศากยบุตรพทุ ธชโิ นรส ลกู ของพระพทุ ธเจา้

92

พบตรงไหนท่ีวิเวกสงบสงัดดีเหมาะแก่การภาวนา คือมีน้�ำท่าอุดมสมบูรณ์
หมู่บ้านคนส�ำหรับโคจรบิณฑบาตอยู่ไมห่ า่ งไกลนกั กพ็ กั ปฏิบตั ิภาวนาท่ีนนั่ สักระยะ
แลว้ คอ่ ยเดนิ ทางตอ่ ไป

การเดินทางสมัยน้ัน ไปไหนมาไหนส่วนมากเดินเท้าเปล่า ถ้าเดินทางไกล
มสี มั ภาระมากกต็ อ้ งใชล้ อ้ ใชเ้ กวยี น ถา้ ผมู้ อี นั จะกนิ บา้ งกม็ มี า้ ขไี่ ปไหนมาไหน สะดวก
และรวดเรว็ กว่าอยา่ งอ่ืน สว่ นถนนหนทางทีส่ ญั จรไปมาหาสกู่ ันสมัยน้นั มีแต่ทางลอ้
ทางเกวียนพอได้อาศัยเดินเทา่ น้ัน

คนสมัยก่อนเวลาเดินทางไกล บางทีตอ้ งข้ามดงหนาป่าลกึ หรือเขาสูง สิ่งท่ขี าด
ไมไ่ ดน้ อกจากนำ้� ดม่ื เสบยี งเดนิ ทาง ไมข้ ดี ไฟ ตอ้ งถอื มดี พรา้ พกตดิ ตวั ไปดว้ ย เพราะ
บางทีมีสิ่งกีดขวางทางต้องได้ถางได้ฟัน หรือท�ำเป็นเครื่องหมายไว้ข้างต้นไม้บ้าง
นกั เดนิ ปา่ ตอ้ งเปน็ คนชา่ งสงั เกต ทางไหนทางคนเดนิ ทางไหนทางสตั วเ์ ดนิ ทางคนเดนิ
แมจ้ ะเลอื นไปบา้ งแต่ก็มักจะมีเครอื่ งหมาย คอื รอยบากรอยฟันที่ตน้ ไมท้ ี่คนมากอ่ น
ได้ท�ำเอาไว้ให้เป็นที่สังเกต อันนี้ส�ำคัญมาก ต้องอาศัยเดินไปตามแถวตามทางที่มี
เครอื่ งหมายไว้ ถา้ ไมเ่ ชน่ นน้ั แลว้ อาจจะเดนิ วกไปวนมาเพราะหลงปา่ หาทางออกไมไ่ ด้
กเ็ คยมีบอ่ ยๆ

93

ทอดอาลยั ... ภาวนา ตายๆๆ สู้

หลวงปู่ผางก็เหมอื นกัน ทา่ นวา่ ถงึ ภพู าน ภซู าง ภตู ูม ดงแม่เผด

ตอนที่ท่านเดินทางถึงภูผาซาง ท่านเดินหลงทางอยู่กลางป่าหลายวัน ค่�ำไหน
นอนนัน่ ข้าวก็ไม่ไดฉ้ ัน ต้องเหน็ดเหน่อื ยเมอ่ื ยลา้ เหนอื่ ยก็เหนอื่ ยแต่กาย แตใ่ จ
ไมเ่ คยเหนือ่ ยหน่ายยอ่ ท้อ ตง้ั ใจมุ่งมน่ั วา่ จะไปแลว้ ตอ้ งไปให้ถงึ ท�ำอะไรต้องท�ำให้
สำ� เร็จ แมจ้ ะยากลำ� บากขนาดไหนกต็ าม ก็อาศยั แต่ฉนั นำ้� ในกา ไมใ่ ชฉ่ ันจนอิ่ม คอื
จบิ เอาทลี ะนอ้ ยๆ อดอาหารหลายๆ วนั กเ็ คยอดมาแลว้ กลวั ทำ� ไม ยง่ิ อดกย็ ง่ิ ภาวนาดี
จติ ใจองอาจกล้าหาญ มคี วามเบกิ บานอยูต่ ลอดเวลา มันเพลดิ มนั เพลนิ กระหยิม่
ยิ้มย่อง เพราะมีความปีติสุขในธรรมเป็นเคร่ืองหล่อเลี้ยง พอหลายวันเข้าน้�ำในกา
กห็ มด

เอา้ น�้ำหมดแลว้ จะทำ� ยังไงดี เดินแวะข้นึ ป่าลงหุบเขาตรงไหนที่คิดวา่ พอจะมี
น�ำ้ บ้าง น�้ำสักหยดกไ็ ม่มี ลา้ ก็ล้า เหน่อื ยกเ็ หนื่อย หิวน�้ำก็หิว ฉันน�้ำปัสสาวะตวั เอง
นีแ่ หละ ท่านจึงฉันนำ้� ปัสสาวะ ฉนั ไปฉนั มาน�ำ้ ปสั สาวะก็ไม่มีให้ฉัน ร่างกายขาดน้�ำ
ทา่ นต้องอดต้องทนทุกขเวทนาอย่างมาก ท้งั เหนอ่ื ยทั้งเพลยี ไหนจะต้องแบกบาตร
สะพายกลด ถอื กาเปลา่ ๆ รา่ งกายยามนถ้ี อื หรอื แบกอะไรมนั ชา่ งหนกั ไปหมด ตายแนๆ่
ตายอยกู่ ลางปา่ นแ้ี นๆ่ เราทอดอาลยั ตายอยาก ตายกต็ าย จะตายทง้ั ทกี อ็ ยา่ ใหร้ า่ งกาย
เนา่ ทง้ิ เสยี เปล่า ปกั กลดนง่ั ภาวนากลางทางเสือทางช้างปา่ ผา่ นน่ีแหละ พลบค�ำ่ เลือก
ได้ท่เี หมาะๆ แหง่ หนึง่ จงึ ไดป้ กั กลดพกั ภาวนา

94

ตกกลางดึกคืนเดือนหงายน้ันเอง ขณะท่านนั่งภาวนาอยู่ในกลด ไหว้พระ
สวดมนตแ์ ผเ่ มตตาแล้ว จึงได้หวนคิดคำ� นึงร�ำพงึ พดู อยใู่ นใจว่า “คราวนี้เปน็ คราว
ท่ีเราจนตรอกจนมุมแล้ว หลงทางอยู่กลางป่ากลางดงคนเดียว ไม่มีใครมาช่วย
คงตอ้ งเอาชวี ติ มาท้ิงกลางปา่ นแ้ี นๆ่ ไดย้ นิ วา่ ในปา่ เขามีเทวบุตรเทวดาอยู่มาก ท�ำไม
ไม่เหน็ มาชว่ ยบ้าง ไมส่ งสารพระธุดงคผ์ ู้หลงทางหลงป่าบ้างหรอื บุญกุศลเราคงหมด
แค่น้ี เอาละตายกต็ าย คิดกต็ าย ไม่คดิ กต็ าย คดิ ไปใหม้ ากเรือ่ งท�ำไม นงั่ ภาวนา
สละตายที่ตรงนแี้ หละ”

พอคิดไดด้ งั น้นั จึงไดภ้ าวนา ตายๆๆๆๆๆ ต้งั มรณานุสสติ ระลึกถงึ ความตาย
เปน็ อารมณ์อยอู่ ยา่ งน้นั จติ สงบแน่วลงตัง้ มั่นเปน็ สมาธิ รา่ งกายหายหมด เหลอื แต่
ผรู้ สู้ วา่ งไสวอยอู่ นั เดยี ว จติ สงบนานเทา่ ไหรไ่ มไ่ ดก้ ำ� หนด มารตู้ วั อกี ทกี เ็ มอ่ื ไดย้ นิ เสยี ง
สตั วช์ นิดหน่งึ วิง่ กระโจนชนกลดดงั โครมครามๆ ถงึ สามคร้ังสามหน ปานกลดจะพัง
ใหไ้ ด้ “แมน่ อีหยงั นอ้ คอื มาแฮงแท้ บ่แมน่ กลดพงั หมดละต๊ิ” (อะไรหนอ มาแรงแท้
ไมใ่ ชก่ ลดเราพงั หมดแลว้ หรอื ) ทา่ นไมไ่ ดส้ ะดงุ้ ตกใจกลวั แตอ่ ยา่ งใด จติ ใจกลบั องอาจ
กล้าหาญ

พอเปดิ มงุ้ กลดออกมาดู มองเหน็ เสอื โครง่ ใหญล่ ายพาดกลอนยนื จงั กา้ จอ้ งหนา้
มายังท่านเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อห่างออกไป ๓-๔ วา ได้ถนัดชัดเจน เพราะ
เปน็ คืนเดอื นเพญ็ จึงคดิ ว่า “ดลี ะ่ ไหนๆ ก็จะถงึ ทตี่ ายอยู่แลว้ จะตายท้งั ทรี า่ งกายน้ี
จะไดไ้ ม่ต้องเน่าเปื่อยผพุ ังไปเสียเปล่า มผี ู้มาเก็บซากศพใหก้ ด็ ีแลว้ เราจะเดนิ เข้าไป
ใหเ้ สือกินพร้อมท้งั บริขารนแ่ี หละ” คดิ ดังนน้ั แล้วจึงเก็บบรขิ ารทง้ั หมด ไดเ้ ดินด่มุ ๆ
เข้าไปให้เสือกินโดยไมส่ ะทกสะท้านกับความตายแตป่ ระการใด

“ฮีบมากนิ มา เฮามาให้กินแล้ว กินใหห้ มดเดอ้ อย่าใหเ้ หลือซาก มันสเิ หนา่
เหม็นถิ่มซอ่ื ๆ” (รบี มากนิ สิ เรามาให้กินแลว้ กินให้หมดนะอยา่ ให้เหลอื ซาก มนั จะ
เน่าเหม็นท้ิงเปล่าๆ) ทั้งพูดท้ังเดินเข้าไปหาเสือ แปลกแต่จริง พอมันเห็นท่านเดิน
เขา้ ไปหา กลบั ถอยหลงั กรดู ๆ หนั หลงั ใหแ้ ลว้ วง่ิ ไปขา้ งหนา้ หนอ่ ยหนงึ่ หนั กลบั มาจอ้ ง

95

มองทา่ นอกี ท่านก็เดินตามไปจะใหม้ ันกินอีก เป็นอย่อู ย่างนี้แล้วๆ เลา่ ๆ จนสว่าง
เสอื ตวั นนั้ จงึ ตะกยุ ตะกายดนิ และกระโจนเขา้ ปา่ หนไี ป “เอา้ สมิ าสง่ กนั กะบบ่ อก ถา้ บก่ นิ
กะฟ่าวเขา้ ดงเข้าป่าไป เดีย๋ วนายพรานสิมาเห็น เขาจะยิงเอา ใหอ้ ยเู่ ป็นสุขๆ เด้อ”
(อ้อ จะมาส่งกันก็ไม่บอก ถ้าไมก่ ินเราก็รบี หนีเข้าปา่ ไปเสยี เด๋ียวนายพรานมาเหน็
เขาจะยงิ เอา ให้อยู่เปน็ สุขๆ เถดิ )

ท่านวา่ ท่ีตรงนั้นเป็นไรข่ องชาวบา้ น ขา้ งหน้าโนน้ เป็นหม่บู า้ นคน มอี ยู่ ๒-๓
หลงั คาเรอื น พอได้เวลาทา่ นจึงได้เขา้ ไปบิณฑบาต

96

ผจญฝงู ควาย

ผา่ นดงแมเ่ ผด กอ่ นจะถงึ หมบู่ า้ นแหง่ หนง่ึ ตอนบา่ ยๆ มคี วายฝงู ใหญป่ ระมาณ
สส่ี บิ กวา่ ตวั กำ� ลงั เลน่ ปลกั นอนกลง้ิ เกลอื กไปมาอยใู่ นโคลนตมกลางทงุ่ มนั เปน็ ควาย
ของชาวบา้ น เมื่อหมดฤดูท�ำนา เขากป็ ลอ่ ยมนั เข้าป่าเขา้ ดงไปหากินเอง สมัยกอ่ น
ไมไ่ ดเ้ ล้ยี งววั เลย้ี งควายล�ำบากเหมอื นสมัยนี้ ปล่อยไวต้ ามป่าอยา่ งนนั้ แหละ เพราะ
ไมม่ ขี โมย โจร เหมอื นทกุ วนั นี้ พอถงึ หนา้ ฤดทู ำ� นา เจา้ ของกไ็ ปไลต่ อ้ นกลบั เอามาทำ� นา
ลากแอกลากไถใสค่ ราด สาเหตทุ มี่ นั ชอบเลน่ ปรกั เล่นโคลนกเ็ พ่ือปอ้ งกันตวั เองจาก
ทาก เหบ็ เหา ยงุ ร้ิน เหลือบ ทีช่ อบมากัดกนิ เลือดมนั นนั่ เอง เพราะในดงในปา่ มี
สัตวท์ เ่ี กาะกนิ เลอื ดววั ควาย หรือสัตวอ์ นื่ ชกุ ชุม โดยเฉพาะเหลือบน่ี ตัวมนั คลา้ ยๆ
แมลงวนั ปา่ เกาะปบุ๊ ดดู เลอื ดปบ๊ั โดนเกาะดดู เลอื ดแตล่ ะตวั นต่ี อ้ งสะดงุ้ โหยงเลยทเี ดยี ว
เจบ็ มากเลย

ตวั ทากนก่ี อ็ นั ตราย ลกั ษณะมนั เหมอื นปลงิ เขม็ เลก็ เทา่ กา้ นไมข้ ดี หรอื ใหญก่ วา่
นิดหน่อย เวลามันกัดเรา ท้ังๆ ทเ่ี ราก็ระวังอยา่ งดแี ลว้ ยงั ไมร่ ้วู ่ามันมาเกาะดดู เลือด
เรากนิ ตั้งแต่เมอ่ื ไร มันชอบไต่เข้าไปกดั ตามร่มผ้า ถ้าโดนกัดตอ้ งรูว้ ธิ ีเอาออก ถา้ ดึง
มนั ออก เลอื ดเราจะไหลไม่หยดุ อันนใ้ี ห้ระวงั ต้องรูว้ ิธแี ก้ คอื อยา่ เพง่ิ ดึงมันออก
เอายาฉุนชุบน้�ำนิดหน่ึง แล้วบีบใส่ตัวมันให้โดนตรงที่มันกัด เมื่อมันเหม็นกลิ่น
ยาฉนุ กจ็ ะหลดุ ออกไปเอง หรอื ถา้ มันกนิ เลอื ดจนทอ้ งปอ่ งอิม่ แลว้ หลดุ ออกเอง อันนี้
ไมเ่ ปน็ ไร รสู้ กึ คนั นิดๆ เลือดกห็ ยุดไหล

97

เหบ็ นก่ี เ็ หมอื นกนั นกั เดนิ ปา่ ทง้ั หลายตา่ งรกู้ ติ ตศิ พั ทข์ องมนั ดี อนั ตรายพอๆ กนั
ผู้ท่ีโดนกัดตอ้ งรู้วิธีเอาออก อยา่ เพ่งิ ดึงออกทนั ที ถา้ ลงวา่ มนั ได้ฝงั เข้ียวดดู กินเลอื ด
เราแลว้ ถา้ ไมอ่ ิ่มจนท้องป่องแล้วเปน็ ไมห่ ลุด ถกู ดึงออกกอ็ อกแตต่ ัว ส่วนเขยี้ วของ
มนั ยงั ฝงั ตวั เราอยู่ ผทู้ แี่ พพ้ ษิ ของมนั จะออกตมุ่ เปอ่ื ย ลามไปเรอื่ ยๆ รกั ษาไมห่ ายงา่ ยๆ
หรอื ถงึ กับเปน็ ไข้ นีเ่ คยเห็นมาแลว้ ต้องเอายาหม่องนีแ่ หละทาตรงที่มันกัด แลว้ มัน
จะหลุดออกเอง

ทา่ นกำ� ลงั เดนิ ลดั เลาะไปตามคนั นา หา่ งจากฝงู ควายประมาณ ๓๐ เมตร ทนั ใดนนั้
ทา่ นกต็ อ้ งหยดุ ชะงกั เมอ่ื มองเหน็ ควายฝงู นนั้ แสดงอาการฟดื ฟาดๆ ขพู่ ระอาคนั ตกุ ะ
ผมู้ าเยอื น พรอ้ มกนั ลกุ พรวดพราด ทา่ ทางไมป่ ระสงค์ดี สายตาของมันจอ้ งมองมา
ยงั ท่าน แสดงอาการราวกับวา่ เป็นศตั รกู ันมานาน พร้อมกบั วิง่ ตะบึงตะบนั เข้ามาหา
เจอดเี ขา้ ใหแ้ ลว้ ไหมละ่ เราจะทำ� ยงั ไงดี เอาละ่ ตายเปน็ ตาย หนไี มพ่ น้ แลว้ จะทำ� ยงั ไง
เราพงึ่ ใครไมไ่ ดแ้ ลว้ มแี ตค่ ณุ พระพทุ ธ คณุ พระธรรม คณุ พระอรยิ สงฆ์ เทา่ นนั้ แหละ

เส้ยี ววนิ าทีกอ่ นฝงู ควายจะมาถงึ ตัวนน้ั เมอื่ ตั้งสตไิ ด้ จงึ กำ� หนดแผ่เมตตาจิต
อย่างไม่มีประมาณ เจาะจงพุ่งเป้าไปที่ควายฝูงน้ันทันที อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกัน
และกนั เลย จงอยเู่ ปน็ สขุ ๆ ทกุ เมอ่ื เถดิ อศั จรรยใ์ จนกั โอ้ คณุ พระรตั นตรยั คณุ บดิ า
มารดา คณุ ครบู าอาจารย์ ควายทงั้ ฝงู หยดุ ชะงกั ทนั ที กริ ยิ าอาการทเี่ ปน็ ศตั รหู รอื ดรุ า้ ย
กอ่ นหนา้ นี้ กลบั กลายทา่ ทางเปน็ มติ รเหมอื นกบั วา่ ทา่ นเปน็ เจา้ ของมนั ทำ� ทา่ ทางสะบดั หู
สะบัดหางเหมอื นรู้จกั กัน และได้เดินน�ำหน้าหลวงป่เู ข้าสู่หมบู่ า้ น ทา่ นกเ็ ดนิ ตามหลัง
พวกมันไป เม่อื ท่านเดินเข้าไปถงึ ในหม่บู ้าน ชาวบา้ นตา่ งอศั จรรยใ์ จมาก และได้เล่า
ให้ท่านฟังจึงได้รู้ว่าควายฝูงนี้ดุร้ายมาก เคยไล่ขวิดไล่ชนพระเณรมรณภาพมาแล้ว
หลายรปู แมท้ า่ นเดนิ ทางผา่ นเลยไปสหู่ มบู่ า้ นขา้ งหนา้ ควายฝงู นม้ี นั กย็ งั เดนิ นำ� ไปสง่
ถึงหมูบ่ า้ นนน้ั อีก มันกน็ ่าแปลกอยู่

และกม็ อี ยคู่ รงั้ หนง่ึ อกี เหมอื นกนั แตค่ รงั้ นท้ี า่ นเทย่ี วธดุ งคอ์ ยอู่ บุ ลฯ ไปดว้ ยกนั
กบั พระอกี สองรปู ไปถงึ กลางทงุ่ ไปเจอเอาววั ฝงู ใหญ่ พอมนั เหน็ ผา้ เหลอื งๆ เทา่ นน้ั แหละ
ไดเ้ รอ่ื งเลย วง่ิ ไลข่ วดิ พระทไ่ี ปดว้ ย ผา้ เหลอื งปลวิ วอ่ น บาตรกระเดน็ ไปคนละทศิ ละทาง

98

สัญชาตญาณความกลัวตายก็ย่อมว่ิงเอาตัวรอดไว้ก่อนเป็นธรรมดา เห็นต้นไม้ปั๊บ
ไม่รขู้ ้นึ ไปอยู่บนต้นไม้ได้ตง้ั แต่เมอื่ ไร แตห่ ลวงปู่เองกลบั ยนื นง่ิ แผ่เมตตาให้พวกมัน
จงึ ไมเ่ ป็นอะไรเลย

ธรรมดาว่าวัวหรือควายมักจะไม่ค่อยถูกกันกับพระหรือสีผ้าเหลืองเท่าไรนัก
ต้ังแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว แม้ในคร้ังพทุ ธกาลกเ็ คยมี อย่างเชน่ พระพาหยิ ทารจุ ีริยเถระ
เป็นต้น ถูกวัวแม่ลูกอ่อนขวิดเอาจนถึงมรณภาพ ขณะท่ีท่านก�ำลังแสวงหาเศษผ้า
ตามกองขยะเพอื่ เอามาทำ� เป็นสบงจวี รนุ่งห่ม ในประวตั ิของพระเถระเล่าว่า วัวตัวน้ี
เคยเป็นค่เู วรคกู่ รรมเข่นฆ่ากันมาแตช่ าตปิ างกอ่ นหลายภพหลายชาติ

คงเปน็ เพราะวา่ หลวงปไู่ มเ่ คยมเี วรมกี รรมกบั พวกมนั กระมงั จงึ ทำ� ใหม้ นั ละพยศ
จากรา้ ยกลายมาเปน็ ดดี ว้ ย อกี อยา่ งหนงึ่ พลงั จติ ทปี่ ระกอบดว้ ยเมตตาหาประมาณมไิ ด้
อนั นส้ี ำ� คญั มาก ทำ� ใหแ้ คลว้ คลาดปลอดภยั จากอปุ ทั วนั ตรายทง้ั หลายทง้ั ปวงไดอ้ ยา่ ง
นา่ อศั จรรย์ แมพ้ ระพทุ ธเจา้ กไ็ ดท้ รงตรสั แสดงประโยชนห์ รอื อานสิ งสข์ องการแผเ่ มตตา
ในเมตตานสิ งั สสตู รไว้ ๑๑ ประการ คือ

๑. หลับเป็นสขุ
๒. ตื่นเปน็ สุข
๓. ไมฝ่ ันรา้ ย
๔. เป็นทรี่ กั ของเหลา่ มนุษยท์ ัง้ หลาย
๕. เปน็ ที่รกั ของเหล่าอมนุษย์ มีเทวดา เป็นต้น
๖. เทวดาย่อมรกั ษาคุม้ ครอง
๗. ไฟ ยาพษิ ศาสตราอาวุธ ท�ำอนั ตรายไมไ่ ด้
๘. จิตยอ่ มเปน็ สมาธิได้อยา่ งรวดเร็ว
๙. หนา้ ตายอ่ มผ่องใส เบิกบาน
๑๐. ขณะจะตายย่อมมสี ติ
๑๑. ถา้ ยังไมบ่ รรลุธรรมขนั้ สูงขึ้นไป เม่ือตายย่อมเกดิ ในพรหมโลก

99

ตอ่ มาท่านได้เดินธุดงค์ขึน้ ภูตมู ทา่ นเลา่ วา่ ภูเขาลกู น้ีสงู มาก ขนาดฉนั เชา้ เสรจ็
เดินข้ึนยอดเขาเที่ยงวันจึงถึงยอด เมื่อถึงยอดเขามองลงมาข้างล่างเห็นเมฆปกคลุม
ฝนตกฟา้ รอ้ งเปรยี้ งปรา้ งๆ อยเู่ ชงิ เขาโนน้ จงึ มาคดิ วา่ ฝนตกฟา้ รอ้ งนม้ี นั เกดิ อยรู่ ะดบั
ก้อนเมฆข้างลา่ งนี่นา มนั ไม่ได้เกิดอยู่บนฟ้าดงั ที่คนทัง้ หลายเข้าใจกนั

100

พบหลวงปมู่ น่ั ภรู ทิ ตโฺ ต

หลังจากกราบนมสั การองคพ์ ระธาตพุ นมแล้ว ก็ยา่ งเข้าเขตสกลนคร เดินทาง
เขา้ กราบรบั ฟงั โอวาทธรรมจากองคห์ ลวงปมู่ นั่ ภรู ทิ ตโฺ ต ซงึ่ ขณะนนั้ หลวงปมู่ น่ั พำ� นกั
อยทู่ เ่ี สนาสนะปา่ บา้ นนามน (ซง่ึ ชว่ งนนั้ หลวงตาพระมหาบวั าณสมปฺ นโฺ น กจ็ ำ� พรรษา
อยทู่ ี่นน่ั ) เมอื่ ไดโ้ อกาสจงึ ไดเ้ ขา้ กราบนมสั การรบั ฟงั โอวาทธรรมจากหลวงปมู่ นั่ และ
เกิดศรัทธาความเชื่อ ปสาทะความเล่ือมใส มีศรัทธามุ่งมั่นต่อมรรคผลนิพพาน
แดนพน้ ทกุ ข์

หลวงปู่ม่นั ไดก้ ลา่ วถามหลวงปู่ผางวา่ “ญาพอ่ มาอีหยงั เห็นวา่ ผู้เฒ่าผ้นู ้โี ซบอ้
จงั มา สมิ าหาบงั สกุ ลุ แมน่ บ่ มนั บท่ นั ไดบ้ งั (สกุ ลุ ) ดอก พระกรรมฐานน่ี ไปอยพู่ นุ้ ละไป”
(หลวงพ่อมาท�ำไมล่ะ เห็นว่าผู้เฒ่าผู้นี้ป่วยหรือจึงมา จะมาบังสุกุลหรือ ยังไม่ได้
บังสุกลุ หรอก พระกรรมฐานนี่ ไปอยูท่ ี่โนน้ นะ ไป)

หลวงปมู่ นั่ ทา่ นไดใ้ หโ้ อวาทธรรมหลายอยา่ งหลายประการ ทา่ นเทศนใ์ หฟ้ งั แตล่ ะคำ�
ลว้ นจับใจทง้ั นนั้ เปน็ อบุ ายธรรมให้ไดน้ ำ� ไปคดิ พนิ จิ พิจารณาอยูต่ ลอด เทศนม์ ีแต่
เนอื้ อรรถเนอื้ ธรรม เรอื่ งศลี สมาธิ ปญั ญา วมิ ตุ ตหิ ลดุ พน้ พระนพิ พาน ผฟู้ งั กฟ็ งั อยา่ ง
ถงึ ใจสมกบั ท่ีดนั้ ดน้ เข้าไปหา

หลวงปู่ผางท่านกม็ าคิดพินิจพิจารณาวา่ “หลวงปมู่ นั่ แนะน�ำให้ไปเที่ยวภาวนา
องคเ์ ดยี ว ไมต่ อ้ งใหม้ หี มพู่ วกไปดว้ ย ไปกต็ อ้ งไปคนเดยี ว อยคู่ นเดยี ว ตายคนเดยี ว”
ท่านพักอยู่กับหลวงปู่มั่นพอสมควรแล้ว ก็ได้กราบลาและเดินธุดงค์กลับลงมาถึง
เมอื งอุบลฯ

101

ญัตติใหม่เปน็ ธรรมยุตกิ นิกาย

เพ่ือให้มีโอกาสได้อยู่ศึกษาอบรมข้อวัตรปฏิบัติ กิจวัตรต่างๆ และรับฟัง
โอวาทธรรม ในส�ำนกั ครบู าอาจารยอ์ ยา่ งเต็มที่ ต่อมาจึงไดญ้ ัตติกรรมใหม่ ในคณะ
ธรรมยุต เม่ืออายไุ ด้ ๔๗ ปี ณ วัดบา้ นโนนหรือวดั ทงุ่ โดยมีพระครูพินิจศลี คุณ
(พระมหาอ่อน เจ้าคณะอ�ำเภอเข่ืองใน) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาทราย เป็น
พระกรรมวาจาจารย์ พระมหาจันทร์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เม่ือวันพุธที่ ๒๓
มิถนุ ายน ๒๔๙๑ แรม ๒ ค�่ำ เดือน ๗ ปีชวด ซง่ึ เป็นการอปุ สมบทเป็นคร้ังท่ี ๓
ของท่าน

ตอ่ มาภายหลัง อปุ ัชฌาย์ และอาจารย์ของทา่ นทั้ง ๓ รปู น้ัน ได้ลาสิกขาจาก
สมณเพศออกไปรบั ราชการ ทา่ นมหาออ่ นเขา้ รบั ราชการเปน็ สสั ดเี รอื นจำ� ทา่ นมหาจนั ทร์
เขา้ รบั ราชการครู กอ่ นเกษยี ณอายรุ าชการไดย้ า้ ยมาสอนทบี่ า้ นกดุ กะเสยี น ทา่ นมหาทราย
เขา้ รบั ราชการเป็นนายสถานรี ถไฟท่กี รุงเทพฯ

102

พ.ศ. ๒๔๙๑ จำ� พรรษาที่วัดปา่ ศลิ าเลข

หลงั จากได้รบั ญตั ติกรรมแล้ว ไดพ้ กั อยู่ท่วี ัดป่าศิลาเลข ในตัวอำ� เภอเขอ่ื งใน
จงั หวดั อุบลราชธานี โดยมพี ระครสู ุนทรศลี พรต เปน็ เจ้าอาวาส ไดจ้ ำ� พรรษาทว่ี ัดปา่
ศลิ าเลขนี้ ๑ พรรษา คนื หนง่ึ ทา่ นไดส้ มาธนิ มิ ติ วา่ ไดข้ ม่ี า้ ขาววงิ่ ไปทางจงั หวดั ขอนแกน่
ในระหว่างทางมองเห็นสถานที่น่าร่ืนรมย์ยินดี ม้าขาวตัวน้ันพาท่านว่ิงเข้าเขตอ�ำเภอ
มัญจาคีรี มาหยุดอยู่เชิงเขาลูกหน่ึงสูงตระหง่านขวางหน้าอยู่ มีหมู่ไม้เขียวขจีและ
สัตว์ป่านานาชนิดเยอะแยะเต็มไปหมด ในนิมิตน้ันท่านจ�ำได้ว่าบริเวณน้ันมีรูน้�ำซับ
น�้ำซมึ ไหลรินอยู่เป็นประจ�ำ เป็นตน้ นำ�้ ลำ� ธารดว้ ย

หลงั จากออกพรรษาแลว้ ได้ลาครูบาอาจารย์เพอื่ ออกธดุ งคป์ ฏิบัติภาวนาอย่าง
เอาจริงเอาจงั ทา่ นเดนิ ธดุ งค์ไปพักภาวนาตามปา่ เขาหลายแห่ง

103

พ.ศ. ๒๔๙๒ จ�ำพรรษาทีว่ ดั ป่าบัลลังกศ์ ิลาทิพย์

ปีตอ่ มาไดม้ าพกั จำ� พรรษาที่วดั ป่าบัลลงั ก์ศิลาทพิ ย์ บา้ นแท่น ต�ำบลบา้ นแทน่
อำ� เภอชนบท จงั หวดั ขอนแกน่ ขณะจำ� พรรษาทว่ี ัดป่าบัลลังกศ์ ลิ าทพิ ยน์ ้ัน ทา่ นได้
สมาธินิมิตอีกครั้งหน่ึงเหมือนกับคร้ังที่จ�ำพรรษาที่วัดป่าศิลาเลข ท่านเลยมาคิดว่า
คงจะเป็นสถานทท่ี จี่ ะไดไ้ ปอยู่กระมัง

104

พ.ศ. ๒๔๙๓ จำ� พรรษาท่วี ัดดนู ภูผาแดง

พอออกพรรษาแล้ว ท่านจึงได้เดินธุดงค์ไปทางอ�ำเภอมัญจาคีรี พักอยู่บ้าน
กุดกว้างระยะหน่ึง แล้วต่อไปบ้านแจ้งทับม้า พักท่ีห้วยเกิ้งแล้ง ท่านอยู่แผ่เมตตา
โปรดชาวบ้านอยทู่ ่ีน่ี ๒ คนื เผอญิ วา่ ทีท่ า่ นพกั อยูน่ ั้นแหง้ แลง้ มาก หาน้ำ� ท่าอาบด่มื
ใช้สอยก็ไม่สะดวกไม่เหมาะส�ำหรับพักภาวนา แล้วต่อมามีโยมบ้านโสกใหญ่ บ้าน
ดอนแกน่ เฒา่ บา้ นโสกนำ�้ ขุ่น ไดพ้ ร้อมใจกนั มานมิ นต์ท่าน บอกวา่ “หลวงพอ่ ครับ
นมิ นตไ์ ปพกั ภาวนาทเี่ ชงิ เขาภผู าแดงดกี วา่ เพราะทน่ี นั่ มี “นำ้� ดนู ” นำ�้ ทา่ อดุ มสมบรู ณ์
อาบดม่ื ใชส้ อยไดอ้ ยา่ งสบาย ไมต่ อ้ งหานำ�้ ใชส้ อยลำ� บากเหมอื นทน่ี ”ี่ ทา่ นทราบดงั นนั้
จงึ รบั นมิ นต์ พอเดนิ ทางเขา้ ไปถงึ เชงิ เขาภผู าแดง จงึ ไดร้ วู้ า่ ทตี่ รงนแ้ี หละตรงกบั ทเี่ หน็
ในนมิ ติ พอดี

“นำ�้ ดูน” เป็นชอื่ ท่ีชาวบา้ นเรยี ก “ตาน�ำ้ ผดุ ” ทีผ่ ดุ ข้ึนเองตามธรรมชาติ เป็นบ่อ
น้�ำซับน�้ำซึมที่ผุดข้ึนไหลรินอยู่ตลอดทั้งปี และเป็นแหล่งก�ำเนิดของต้นน้�ำล�ำธาร
ทตี่ รงนเี้ ปน็ ทร่ี ำ่� ลอื ในหมชู่ าวบา้ นแถบนนั้ วา่ มผี ภี มู เิ จา้ ทแี่ รง เฮย้ี นมาก ถา้ ใครมาทำ� อะไร
ไม่ดที นี่ ่ี เป็นตอ้ งมอี นั เป็นไปทกุ ราย อีกอย่างได้ยนิ มาว่า มปี ลาไหลเผอื กตัวใหญ่
อาศัยอยู่ในรูน�้ำนั้นด้วย ชาวบ้านต่างพากันเข็ดขยาดเม่ือก้าวเข้ามาใกล้ท่ีบริเวณน้ี
ใกลๆ้ นำ�้ ดนู นนั้ มศี าลเจา้ ปตู่ งั้ อยู่ ชาวบา้ นไดท้ ำ� พธิ เี ซน่ บวงสรวงกนั อยเู่ ปน็ ประจำ� ทกุ ปี

ท่ีเทือกเขาบริเวณน้ียังเป็นสภาพป่าที่สมบูรณ์มาก ยังเป็นดงช้างดงเสืออยู่
สตั วป์ ่าต่างๆ เยอะแยะไปหมด พวกเก้ง กวาง หมูป่า ลงิ ค่างบ่างชะนี ยงั มใี ห้เห็น

105

อยู่ทั่วไป ชาวบ้านเล่าให้ฟังว่า ช่วงท่ีหลวงปู่มาอยู่แล้ว บางครั้งมีช้างป่าเป็นโขลง
มาเทยี่ วหากนิ ทบี่ รเิ วณนำ�้ ดนู นี้ ขณะกำ� ลงั ยนื กนิ นำ้� อยขู่ า้ งๆ รอ่ งนำ�้ กเ็ กดิ จมลงๆ ไป
ในหล่มโคลน ยง่ิ ด้นิ กย็ ิ่งจมลงๆ เพราะช้างตวั ใหญ่น�ำ้ หนักมาก ต่างตวั กต็ า่ งชุลมุน
วุน่ วายช่วยกนั ดึงช้างตวั นนั้ ข้ึนจากหล่ม เม่อื ดึงข้ึนไมไ่ หว ตวั หวั หนา้ โขลงฉลาดมาก
พาหมูช่ า้ งหามขอนไมห้ ลายๆ อนั มาพาดลงไปช่วยเพื่อนข้นึ จากหล่มจนได้

ท่านพักปฏิบัติภาวนาอยู่ใกล้ๆ น�้ำดูน สรงน�้ำเสร็จก็เดินจงกรมจนเหนื่อย
จงึ ไดเ้ ขา้ กลด กราบพระ ทำ� วตั รสวดมนต์ แผเ่ มตตาแกส่ รรพสตั วท์ งั้ หลายทวั่ โลกธาตุ
สหี่ า้ ทมุ่ แลว้ จงึ ไดพ้ กั หลบั นอน ตนื่ ตสี ามลกุ ขน้ึ กราบพระ ทำ� วตั รสวดมนต์ แผเ่ มตตา
แลว้ จงึ ภาวนาตอ่ ไป บางทกี ล็ กุ ออกมาเดนิ จงกรมจนสวา่ ง จงึ ไดเ้ ตรยี มตวั เขา้ หมบู่ า้ น
บิณฑบาตมาฉนั ทำ� อย่อู ย่างนี้เป็นประจำ� จิตไดร้ บั ความสงบเป็นสมาธิดีมาก เพราะ
เปน็ ทส่ี งบสงดั ปราศจากผคู้ นเขา้ มารบกวน อยตู่ วั คนเดยี ว จติ มคี วามสงบตงั้ มน่ั เปน็
สมาธิ ในโลกนี้ใครจะมีความสุขเทา่ เรา พระพทุ ธเจ้าทา่ นจงึ วา่ “นตถฺ ิ สนฺติปรํ สุขํ”
สขุ อ่นื ยิ่งกว่าความสงบไมม่ ี

106

ผจญงใู หญ่

หลงั จากพกั อยขู่ า้ งนำ�้ ดนู ได้ ๗ วนั แลว้ ทา่ นจงึ ไดย้ า้ ยไปพกั ทแี่ หง่ ใหม่ ไดท้ เี่ หมาะ
ใตพ้ มุ่ ไมห้ นา มพี ลาญหนิ ใหญอ่ ยใู่ ตต้ น้ ไมน้ น้ั (ปจั จบุ นั อยบู่ รเิ วณหนา้ อโุ บสถวดั ดนู )
ปักกลดปฏิบตั ิภาวนาที่นี่ คืนแรกก็ปกติ เงยี บไมม่ อี ะไร ตกคนื ท่สี อง ตอนเย็นขณะ
เดินจงกรมอยู่ สงั เกตเห็นว่ามันช่างเงียบผดิ ปกติเสียจรงิ ๆ

ทา่ นตงั้ ทา่ ระวงั ขณะตอ่ มาทา่ นกต็ อ้ งขนลกุ ไปทง้ั ตวั เมอ่ื ไดย้ นิ เสยี งดงั ฮอกๆๆ
ทา่ นวา่ เหน็ งใู หญต่ วั เทา่ ตน้ ขากำ� ลงั เลอื้ ยเขา้ ไปในรหู นิ ซง่ึ อยใู่ กลๆ้ กบั ทท่ี า่ นพกั นนั่ เอง
เจอเจ้าถ่ินเข้าให้แล้วไหมล่ะ หรือว่าเราปักกลดขวางทางเข้าออกหากินของเขา ก็ไป
ขวางทางนน่ี ะ ถกู ทดี่ แี ลว้ ตดั สนิ ใจดนั้ ดน้ มาถงึ นแี่ ลว้ ตอ้ งลองกนั สกั ตง้ั ใหร้ ดู้ ำ� รแู้ ดง
ไปเลย ท่านก็ยง่ิ เร่งต้ังใจภาวนา

พอตกคนื ที่สาม ก�ำลังเดนิ จงกรมอยู่ก็ไดย้ นิ เสยี งผิดปกติอกี ตอ้ งเป็นเสียงงู
ตัวเมอื่ วานนแ้ี น่ๆ เสียงใบไม้กบั พลาญหนิ เสียดสกี ันดงั วดี๊ ๆ วด๊ื ๆๆ ฮอกๆๆๆ ใกล้
เขา้ มาๆ เหมอื นกบั รตู้ วั วา่ อะไรจะเกดิ ขน้ึ จงึ ไดน้ ง่ั ลงขา้ งกลด นง่ั นง่ิ ระงบั ความตน่ื เตน้
ไวไ้ ด้ กำ� หนดถามใจตัวเองดูว่า “กลวั งใู หญต่ วั น้หี รือไม่” ใจตอบตัวเองว่า “ไม่กลวั ”
จงึ ได้กำ� หนดแผเ่ มตตาจิตใหม้ นั “จงเป็นสุขเปน็ สุขเถิด”

ขณะงใู หญเ่ ลอื้ ยมาอยตู่ รงหนา้ ทา่ น อา้ ปากกวา้ ง แลบลนิ้ แผลบ็ ๆๆ ทำ� ทา่ เหมอื น
จะกนิ ทา่ นเปน็ อาหารอยนู่ นั้ ทา่ นจงึ พดู กบั มนั วา่ “ถา้ จะกนิ เรา ตอ้ งกนิ ใหห้ มดทงั้ บรขิ าร

107

กลด บาตร จีวร ต้องกนิ เข้าไปใหห้ มด อยา่ ใหเ้ หลือ เรายอมตายแล้ว สละหมดแล้ว
ทกุ อยา่ งแมช้ วี ติ ” ขณะนนั้ จติ ของทา่ นตงั้ มนั่ แนน่ เหมอื นหนิ มสี ตอิ ยกู่ บั ตวั ตลอดเวลา
แนบมือเขา้ กับลำ� ตัว ชิดเทา้ เขา้ กนั นอนเหยยี ดยาวเพื่อให้งูกนิ

งูตัวนั้นมันคงหิวจัดกระมัง อดอาหารมานานหลายวัน คงหาสัตว์อื่นกินเป็น
อาหารไม่ได้แล้ว มันจึงมาหากินคน ท่านว่ามันเร่ิมขยอกกลืนกินท่านเข้าไปในปาก
ของมนั เรอื่ ยๆๆ มนั กลนื กนิ ตวั เราเขา้ ไปถงึ ไหน เยน้ เยน็ เยน็ ยะเยอื กไปถงึ นนั่ ขณะที่
หลวงปอู่ ยใู่ นปากของงใู หญน่ น้ั ทา่ นกก็ ำ� หนดภาวนาวางความตาย ตายๆๆๆๆ จนหมด
ความกลัวตาย เมอ่ื จิตใจทอดอาลยั เสียดายในชวี ติ ไดแ้ ลว้ จติ กร็ วมวูบเขา้ เปน็ สมาธิ
ผรู้ กู้ เ็ ปน็ อนั หนง่ึ ตา่ งหาก กายเวทนากเ็ ปน็ อนั หนง่ึ ตา่ งหาก สตติ ามดรู หู้ มด เปน็ อยา่ งนนั้
อยนู่ าน เมอื่ จติ ถอนออกมาแลว้ ไมม่ คี วามโกรธหรอื ผกู อาฆาตพยาบาทมนั เลย มแี ต่
ความองอาจกล้าหาญ ไมส่ ะทกสะท้าน ก�ำหนดจติ แผ่เมตตาให้ และภาวนาก�ำหนดดู
มนั อยอู่ ยา่ งนนั้ มนั ขยอกตวั ทา่ นเขา้ ไปในทอ้ ง เขา้ ไปชา้ ๆๆ จนกระทงั่ ถงึ ลำ� คอหลวงปู่
แลว้ มันกห็ ยุดอย่แู ค่นั้น ไม่กนิ ตอ่

ทา่ นกเ็ ลยพดู กบั มนั วา่ “หยงั จงั บก่ นิ ใหห้ มดทง้ั โตละ่ ถา้ กนิ บห่ มด เฮาสเิ อาศอก
ถองพงุ เอาเดะ๊ ” (ทำ� ไมไมก่ นิ ใหห้ มดทงั้ ตวั ละ่ ถา้ กนิ ไมห่ มด เราจะเอาศอกกระทงุ้ เอานะ)
ว่าแล้วท่านก็เอาศอกกระทุ้งมันเบาๆ จากนั้นมันก็เร่ิมคาย ขยอกล�ำตัวท่านออกมา
จากปากของมัน แลว้ มนั ก็เล้ือยถอยออกห่างไปนดิ หนงึ่ แลว้ กช็ คู อยกหัวขน้ึ ลงๆ อยู่
สามครง้ั เหมอื นวา่ กราบขอขมาลาโทษ ขออโหสกิ รรมทไ่ี ดล้ ว่ งเกนิ ทา่ น แลว้ มนั กเ็ ลอื้ ย
เข้ารูไป นับจากนั้นมา ท่านว่าไม่เคยเห็นงูตัวน้ันปรากฏตัวให้เห็นอีกเลย ท่านว่า
มนั เริ่มกนิ ท่านตัง้ แต่ ๓ ท่มุ จนกระท่งั ถึงตี ๕ จงึ ได้คายท่านออกจากปาก สบง จีวร
ที่ท่านนุ่งห่มอยู่นั้นเปียกปอนหมดเลย (ปัจจุบันท่ีตรงนี้ ลูกศิษย์ได้ปั้นรูปงูใหญ่ไว้
เป็นอนสุ รณ)์ เชา้ มาทา่ นเข้าไปบิณฑบาตในหม่บู ้าน

ชาวบา้ นถาม “ทำ� ไมหลวงพอ่ จงึ หม่ จวี รเปยี กมาบณิ ฑบาตละ่ ” ทา่ นวา่ “เมอื่ คนื น้ี
สกู้ บั เขาทง้ั คนื ” ทา่ นเลยเลา่ เหตกุ ารณท์ ไี่ ดป้ ระสบเมอ่ื คนื นใี้ หช้ าวบา้ นฟงั เมอื่ ชาวบา้ น
ได้ฟังดังนั้นต่างก็อัศจรรยย์ ่งิ นกั ยิง่ เคารพเล่อื มใสศรทั ธาในหลวงปมู่ ากข้นึ ตอ่ มา

108

ชาวบา้ นจงึ ได้ร่วมกันมาสร้างกระตอ๊ บใหห้ ลงั เล็กๆ พอไดห้ ลบแดดหลบฝน มุงดว้ ย
หญ้าคา ปฟู าก ก้นั ข้างฝาดว้ ยแถบใบตองกุง ใบตองชาด

ครงั้ หนง่ึ ทา่ นไดน้ มิ ติ ในสมาธวิ า่ ไดเ้ ดนิ ไปทางตะวนั ตกเฉยี งใตข้ องทพ่ี กั มาทาง
กู่แก้วหลังปัจจุบันนี้ ซึ่งแต่เดิมท่ีตรงน้ีมีรูใหญ่ มีซากปรักหักพัง มีเศษอิฐเศษหิน
ลกั ษณะเหมอื นเปน็ เจดยี โ์ บราณอยู่ ทา่ นจงึ ขน้ึ ขอนไมท้ อ่ นหนง่ึ ซงึ่ วางอยขู่ า้ งๆ รใู หญน่ น้ั
พอขึ้นขอนไม้นั้นแลว้ ตัวท่านกต็ กลงไปในรูใหญน่ น้ั ตอ่ จากนัน้ จติ ก็ถอนออกจาก
สมาธิ จึงมาคดิ วา่ ท�ำไมตัวทา่ นจึงตกลงไปในรนู นั้

พอตนื่ เชา้ มาหลงั จากฉนั เสรจ็ แลว้ ทา่ นจงึ ไดเ้ ดนิ ไปดบู รเิ วณตามทเ่ี หน็ ในนมิ ติ นนั้
กับโยม ก็มขี อนไมอ้ ยู่ข้างๆ รูจริงตามท่ที า่ นไดเ้ ห็นในนิมติ และบรเิ วณรอบๆ น้นั
มองเหน็ เปน็ ซากกเู่ กา่ (เจดยี ์ ภาษาอสี านเรยี กวา่ กู่ หรอื พระธาต)ุ มลี กู นมิ ติ ใบเสมาเกา่
ซากอฐิ ดนิ เผา เศษไห เศษหมอ้ โบราณทง้ิ อยทู่ ว่ั ไป ทา่ นจงึ ไดย้ า้ ยจากทเ่ี ดมิ มาปกั กลด
พักภาวนาทก่ี เู่ ก่าน้ี ปัจจุบันที่ตรงน้ีไดส้ รา้ งเจดยี ค์ รอบไว้ เรียกกนั ว่า “เจดยี ก์ ูแ่ ก้ว”
เพราะสร้างครอบลกู แกว้ ดวงใหญ่ เสน้ ผ่าศูนย์กลางประมาณ ๖-๗ นิ้ว ลักษณะ
คล้ายหิน เม่ือถึงวันส�ำคัญ วันเพ็ญ ๑๕ ค่�ำ มักจะปรากฏดวงไฟใหญ่เปล่งแสง
สวา่ งไสวไปทวั่ วดั คนในหมู่บ้านมองมายงั ภูเขาก็เหน็ แสงนน้ั ทว่ั กนั

109

ช้างปา่ มาเยอื น

คนื หนึ่งหลงั จากไหวพ้ ระสวดมนต์ แผ่เมตตาแกส่ รรพสัตวแ์ ล้ว ทา่ นจงึ ได้พกั
หลับนอนในท่าสีหไสยาสน์ (นอนตะแคงเบ้ืองขวา วางเท้าซ้อนทับกันเหล่ือมกัน
เล็กน้อย) ตง้ั ใจไว้วา่ เม่ือถึงเวลาตีสามจะลุกมาภาวนาต่อ

ขณะทเ่ี คลม้ิ ๆ หลับอยูน่ ัน้ ทา่ นกต็ ้องสะดงุ้ ตื่นเม่ือได้ยนิ เสยี งยวบยาบๆ เป็น
จงั หวะๆ เสียงดงั โปะ๊ ปะ๊ ๆ เปน็ ระยะๆ ทันใดนน่ั เองก็รูส้ กึ เหมือนกับว่ามตี วั อะไรมา
ยนื ครอ่ มทา่ น ทงั้ มงุ้ กลดกโ็ ยเ้ ยไ้ ปมาอยู่ ทา่ นจงึ รวู้ า่ เปน็ ชา้ งปา่ ตวั ใหญม่ าก แตไ่ มต่ กใจ
กลวั เลย กลบั มีจติ ใจเป็นปกตแิ ผ่เมตตาใหม้ ัน พูดกบั มันวา่ “บกั ตู้ใหญ่เอ๋ย มึงมา
แลว้ บ้อ เฮาบย่ ่านดอก เฮามาอยูน่ โ่ี ดนแลว้ โตเพ่งิ แตม่ าติ๊ ก้าวข้ามไปซะ ซไิ ปหากิน
ทางไหนกะไป ตอ่ ไปนอ้ี ยา่ มาอกี เดอ้ ” (ทา่ นเรยี กชา้ งวา่ บกั ตใู้ หญเ่ อย๋ มงึ มาแลว้ หรอื
เราไมก่ ลวั หรอก เรามาอยนู่ นี่ านแลว้ เจา้ เพง่ิ มาหรอื กา้ วขา้ มเราไปซะ จะไปเทย่ี วหากนิ
ทางใดก็ไป ต่อแตน่ ้ีไปอยา่ มาอีกนะ)

ทา่ นวา่ ตวั ทยี่ ืนครอ่ มกลดท่านน้นั เปน็ ชา้ งสีดอตวั ใหญม่ าก มากบั โขลงชา้ งป่า
ที่มาเที่ยวหากิน เพราะบริเวณน้ีเป็นท�ำเลที่พวกสัตว์ป่าเที่ยวไปมาหากินอยู่เสมอ
ตัง้ แตน่ ้ันมาไม่เคยเหน็ ช้างปา่ แวะเวียนมาทที่ ่านพกั อีกเลย

110

ภาวนาอยา่ งอุกฤษฏ์

ทา่ นพกั อย่กู เู่ กา่ ได้ ๗ วนั แลว้ จงึ ยา้ ยไปพักทก่ี ุฏบิ งุ่ ซ่ึงชาวบา้ นสร้างถวายท่าน
ณ กฏุ หิ ลงั น้ี ทา่ นตงั้ สจั จอธิษฐานว่าจะอดอาหาร ๕๐ วนั ๖ วันแรก ท่านไม่ฉนั
อะไรเลย แม้แตน่ ้ำ� ก็ไม่ฉัน หลงั จากน้นั จงึ ฉนั แต่น�้ำเปลา่ เท่านั้น ต้ังใจปฏบิ ัติภาวนา
อย่างอกุ ฤษฏ์ เอาเปน็ เอาตายเข้าว่า น่ังสมาธิทั้งวนั เดินจงกรมตลอดท้ังคืน บางทีก็
นงั่ สมาธติ ลอดคนื สลบั กบั เดนิ จงกรมทงั้ วนั ทำ� อยอู่ ยา่ งนนั้ จนรา่ งกายออ่ นเพลยี มาก
เดนิ ไมไ่ หว เดนิ ไมไ่ หวกไ็ มต่ อ้ งเดนิ ทา่ นกไ็ ดแ้ ตน่ งั่ ภาวนาเอา รา่ งกายทา่ นซบู ผอมมาก
เหลอื แตห่ นังหมุ้ กระดูก

พอชาวบ้านเหน็ ดงั นนั้ ต่างก็ตกอกตกใจ บางคนสงสารทา่ นมากถึงกบั ร้องรำ�่ ไห้
ออ้ นวอนให้ท่านฉันอาหารเสยี ทา่ นก็ไมย่ อม พองดอาหารมาได้ ๔๕ วนั เมื่อขาด
สารอาหารไปหล่อเลยี้ งร่างกายมากๆ เข้า ท่านก็ไม่สามารถลกุ นงั่ ได้ แตจ่ ติ ใจท่าน
ไม่เคยยอ่ ท้อ กลบั มีกำ� ลงั เข้มแขง็ จติ ใจเหมือนจะเหาะจะบิน เพราะมคี วามปีติสุข
เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง มีความอ่ิมอกอ่ิมใจด่ืมด�่ำอยู่ในรสแห่งพระธรรม ดังค�ำที่
พระพุทธเจ้าตรสั วา่ สพพฺ รสํ ธมมฺ รโส ชนิ าติ รสแห่งธรรมยอ่ มชนะซึง่ รสท้งั ปวงดงั น้ี
ทา่ นมคี วามรน่ื เรงิ บนั เทงิ เบกิ บาน มงุ่ มนั่ อยกู่ บั อรรถกบั ธรรมทก่ี ำ� ลงั พนิ จิ พจิ ารณาอยู่
ยงิ่ อดกย็ ง่ิ ไดก้ ำ� ลงั ใจ ภาวนาสะดวกยง่ิ ขนึ้ จติ สงบเปน็ สมาธไิ ดง้ า่ ย เมอื่ พจิ ารณาทาง
ดา้ นปัญญาย่งิ คลอ่ งแคลว่

111

เมอื่ นงั่ ไมไ่ ด้ ทา่ นกน็ อนภาวนาอยา่ งเดยี ว ไมล่ กุ ไปไหน นอนอยอู่ ยา่ งนนั้ แหละ
แม้จะมีชาวบ้านมาอ้อนวอนทุกวันให้ท่านฉันอาหารบ้าง กลัวท่านจะตายเสียก่อน
ท่านกไ็ มย่ อมตาม จนในที่สุดกค็ รบ ๕๐ วันตามทที่ ่านตง้ั สัจจะไว้ ทา่ นจึงไดก้ ลบั
ฉันอาหารตามเดิม ฉันวันแรกฉันได้ค�ำเดียวเท่าน้ัน วันต่อมาก็ฉันเพ่ิมขึ้นตามวัน
แรกๆ ฉนั ขา้ ว ฉนั อะไรเขา้ ไปอยา่ งไรกถ็ า่ ยออกมาอยา่ งนน้ั เพราะมนั ไมย่ อ่ ย นานวนั
ต่อมาร่างกายจงึ ปรบั ตวั เป็นปกตติ ามเดิม

ทา่ นวา่ ตอนทท่ี า่ นอดอาหารภาวนาอยา่ งอกุ ฤษฏน์ นั้ ทา่ นไดก้ ำ� หนดรทู้ กุ ขเวทนา
กล้าได้อย่างชัดเจน ท่านได้รู้ได้เห็นเหตุการณ์เกี่ยวกับตัวท่านเองหลายๆ อย่าง
ระลกึ ชาติยอ้ นหลงั ไดถ้ ึง ๗ ชาติ คือ ชาติข่า (เป็นชนเผา่ โบราณของไทยเผา่ หนึง่
อยทู่ างอสี านเหนอื ) ชาตขิ อม ชาตสิ นุ ขั ปา่ ชาตไิ กป่ า่ ชาตโิ ค (ววั ) อกี ชาตหิ นง่ึ เปน็ มนษุ ย์
ชื่อชาลี ชาติสุดท้ายคือตัวท่านเองเป็นชาติท่ี ๗ และได้นิมิตเห็นโครงกระดูกของ
ท่านเองท่ไี ด้ฝงั ไว้ทนี่ ี่

112

สรา้ งวัดดูน “วัดอดุ มคงคาคีรเี ขต”

ต่อมาหลวงปู่ได้พาชาวบ้านสร้างเป็นวัดเพื่อเป็นสถานท่ีพักปฏิบัติธรรม สร้าง
เสนาสนะถาวรขนึ้ ประกอบกบั ทบี่ า้ นโสกใหญม่ เี สนาสนะกฏุ ศิ าลาสงฆท์ งิ้ รา้ งวา่ งเปลา่
อยู่ (ปจั จบุ นั ทวี่ ดั รา้ งนเ้ี ปน็ ทต่ี งั้ โรงเรยี นอดุ มคงคาครี เี ขต) ชาวบา้ นจงึ ไดป้ รกึ ษาหารอื
หลวงปู่ ขอรอื้ เอามาสรา้ งกฏุ ถิ าวร ๑ หลงั และศาลาฉนั กวา้ ง ๑๐ เมตร ยาว ๒๐ เมตร
๑ หลงั ท่ีใกลๆ้ กับน้ำ� ดนู ชาวบ้านทั่วไปจึงเรียกวัดใหม่นี้ว่า “วัดดูน” ตง้ั แตน่ นั้ มา
หรือชอ่ื อยา่ งเปน็ ทางการว่า “วดั อดุ มคงคาคีรีเขต” แปลวา่ วัดที่อดุ มไปด้วยนำ้� และ
มภี ูเขาเป็นเขต ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๓ ทา่ นจงึ ไดจ้ �ำพรรษาอยู่ทีว่ ดั ดนู น้ีเร่อื ยมา

113

พบเพ่อื นสหธรรมมิกเกา่

เมื่อออกพรรษาแล้ว ท่านก็ได้ออกเท่ียวธุดงคกรรมฐานไปในสถานท่ีต่างๆ
มาขอนแก่น เขาสวนกวาง ข้ามไปจังหวัดกาฬสินธุ์ เทือกเขาภูพานใหญ่ ข้ามไป
ถงึ นครพนมเพื่อกราบนมสั การองค์พระธาตพุ นม ท่ีพระธาตุพนมนเี้ อง ท่านไดเ้ จอ
หลวงพอ่ รอด ซงึ่ เปน็ เพอ่ื นสหธรรมกิ ทเี่ คารพรกั และนบั ถอื กนั มาแตค่ รงั้ บวชมหานกิ าย
ท่านวา่ ทีแรกมองเห็นแตข่ ้างหลัง ยังลังเลสงสยั ว่าใชห่ รือไม่ พอหันหนา้ มาจงึ รู้ว่าเปน็
หลวงพ่อรอดจรงิ ๆ ต่างก็ดอี กดีใจทไ่ี ด้เจอกนั จงึ ไดส้ นทนาปราศรัยถามไถส่ ารทุกข์
สุกดิบ สนทนาธรรมะกันอย่างรื่นเริงบันเทิง หลวงพ่อรอดตอนน้ันได้ ๖ พรรษา
ส่วนท่านเองได้ ๓ พรรษา

114

ธดุ งค์ภกู ระดงึ

จากนนั้ ทา่ นกไ็ ดเ้ ดนิ ธดุ งคต์ อ่ ไป สกลนคร อดุ รธานี มาเทยี่ วภาวนาอยเู่ ทอื กเขา
ภูพานน้อย เลยไปหนองบัวล�ำภู ขา้ มไปจงั หวัดเลย ถึงภหู อ ภโู ฮง ภูกระดึง

ที่ภูกระดึง ท่านถามชาวบ้านว่าเคยมีพระขึ้นไปภาวนาหรือไม่ ชาวบ้านเรียน
ท่านว่า ยังไม่เคยเห็นพระขึ้นไปภาวนาเลย เพราะกลัวเสือกลัวช้าง เสือช้างมีมาก
กลวั อนั ตราย ทา่ นวา่ แตก่ อ่ นยงั ไมม่ ใี ครขน้ึ ไป แมแ้ ตช่ าวบา้ นกไ็ มก่ ลา้ ขน้ึ ไป จะมกี แ็ ต่
นายพราน ซง่ึ นานๆ ทจี ะมขี นึ้ ไปลา่ สตั ว์ ทา่ นกเ็ ลยตดั สนิ ใจขน้ึ ไปคนเดยี ว กไ็ ดอ้ าศยั
เดินข้ึนไปตามรอยเท้าของสัตว์ป่าน่ันเอง บ่ายๆ จึงข้ึนไปถึงยอด ท่านเลือกได้ที่
เงื้อมหินสูงแห่งหนึ่ง ช้างเสือข้ึนไปหาไม่ได้ วางบาตรกลดและบริขารไว้ใกล้ๆ กับ
หน้าผาสูง มีน้�ำตกอยู่แห่งหนึ่ง ได้ยินเสียงน้�ำตกดังสนั่นไปหมด จึงได้เดินไปดู
กะวา่ จะไปอาบน้ำ� ไปถึงแล้วเข้าไม่ถงึ น�ำ้ ตกเพราะเปน็ หนา้ ผาสงู พอดียนื อย่โู ขดหิน
ใต้ลม ห่างจากน�้ำตก ๒ เส้น ท่านก็เลยได้อาศัยอาบไอน้�ำตกท่ีลมพัดมาน่ันเอง
ตกเยน็ มาหนาวเย็นมาก ก่อไฟหมดไมข้ ีดเป็นกลักกไ็ ม่ติด ท่านว่ามีสตั ว์ป่าเที่ยวลง
ไปกินนำ�้ เต็มไปหมด ทงั้ โขลงช้าง เสือ หมี กระทงิ ววั ป่า ควายปา่ เก้ง กวาง ฯลฯ
ใต้ต้นไมห้ รือท่ตี ่างๆ มรี อยหมูป่าขุดค้ยุ หากนิ อยูท่ ่วั ไป

ใกลๆ้ กับทที่ ่านพักมีต้นกระบกใหญ่ ท่านยืนอยสู่ งั เกตเหน็ วา่ ใกลๆ้ กบั ทาง
ข้ึนลงไปกินน้�ำของพวกสัตว์ป่า ท่านคิดว่าถ้าฝูงสัตว์มันมามันก็คงเดินเฉียดไปนี้

115

มันเห็นเรามันคงต่ืนตกใจวง่ิ หนี จึงไดย้ า้ ยห่างออกไปอีก ๓ วา ท่านอยู่บนโขดหิน
สกั ครเู่ ดยี วกไ็ ดย้ นิ เสอื โครง่ ใหญร่ อ้ งดงั มาวๆๆ อาวๆๆ เดนิ ดมุ่ ๆ ลงไปกนิ นำ้� ตอ่ มา
กเ็ ปน็ โขลงชา้ งปา่ เดนิ มาดำ� มดื ไปหมด เสยี งรอ้ งดงั ลนั่ สนน่ั ขนุ เขา ทา่ นวา่ เราไมก่ ลวั มนั
มนั ไม่มาท�ำอะไรเราหรอก ตา่ งคนต่างอยตู่ า่ งคนต่างไป

ท่านว่าท้ังคืนไม่ได้หลับได้นอน เพราะเสียงสัตว์ป่ารบกวน เดี๋ยวเสียงหมูป่า
เด๋ียวเสียงสตั วอ์ น่ื ๆ กดั กันรอ้ งดงั ล่ันไปหมด คนื ต่อมาเสอื โคร่งใหญล่ ายพาดกลอน
กบั หมปู า่ ตวั ใหญเ่ ขย้ี วตนั กดั กนั รอ้ งกกี๊ กา๊ กๆ ตนื่ เชา้ มานายพรานเขาตามรอยมนั ไป
เขาว่าหมตู าย แตเ่ สือปางตาย เพราะโดนหมูป่าขวิดเอา สว่ นหมูปา่ เขย้ี วหกั ขา้ งหน่ึง
พวกนายพรานเลยหามเอาหมไู ปกิน เขาหามมาสองหาม

116

เหตทุ เ่ี รียกวา่ “แมน่ �ำ้ ชี”

พักอยู่ที่ภูกระดึงระยะหน่ึง ท่านจึงกลับลงมาแล้วธุดงค์ต่อไปทางจังหวัด
เพชรบรู ณ์ ผา่ นภผู ามา่ น เลยเขา้ เขตชยั ภมู ิ มาอำ� เภอคอนสาร ภสู งู อำ� เภอหนองบวั แดง
ทา่ นวา่ เท่ยี วธดุ งค์ไปคนเดียว ไปดูฮซู ี หรอื รูชี รูชีผลุบชโี ผล่ บงึ อีจอ้ ย ทีบ่ รเิ วณน้ี
จะวา่ เป็นตอนต้นแม่นำ�้ ชีก็วา่ ได้ ไดย้ นิ ว่า หลวงปทู่ ่านคิดวา่ “แม่น�ำ้ ชที ไ่ี หลลงไปถึง
บา้ นเราทจ่ี งั หวดั อบุ ลราชธานนี นั้ ตน้ แมน่ ำ�้ ชี หรอื รชู ี ชผี ลบุ ชโี ผล่ มนั เปน็ อยา่ งไรแน”่
ไดย้ ินแต่เขาพดู กนั ยงั ไม่เคยเหน็ ท่านจงึ ไดบ้ กุ ป่าฝ่าดงเข้าไปดู

ชี ภาษาอสี านออกเสยี งวา่ ซี เป็นค�ำกรยิ า แปลวา่ เจาะลงไป หรือแทงลงไป
บรเิ วณนแ้ี มน่ ำ้� ชที งั้ สายไหลเจาะลงไปในรู ซหี รอื เจาะลงไปในแผน่ ดนิ หรอื ภเู ขา แลว้ ไป
ทะลุออกอีกที่รูหนึ่ง สาเหตุที่เรียกแม่น�้ำชี ก็คงมาจากลักษณะของท่ีตรงนี้นี่เอง
ตรงท่ีแม่นำ�้ ชมี ุดลงรูก็เรียกว่า ชผี ลุบ ตรงท่ีแม่น�ำ้ ชีผุดทะลุขนึ้ จากรกู ็เรยี กวา่ ชีโผล่
สว่ นบงึ อีจ้อยน้นั อยู่เหนอื บริเวณชผี ลุบชโี ผลข่ ้นึ ไปอกี

ตอนไปดูรูชี ท่านพักอยู่ใต้โคนต้นเรียงใหญ่ต้นหน่ึง (ต้นไม้นี้ลักษณะคล้าย
ตน้ สะตอมาก) ข้างบนต้นเรียงใหญต่ ้นนนั้ มีผงึ้ ท�ำรังอยู่เตม็ ไปหมด นบั ได้ ๕๐ รัง
แตล่ ะรงั ยาวเปน็ ศอกกม็ ี เปน็ วากม็ ี ปา่ ดงแถบนนั้ ฝงู แรง้ ฝงู กา พวกเหยยี่ ว พวกนก
ทงั้ หลายเยอะมาก ทัง้ ชา้ ง ทงั้ เสือ ทงั้ ลงิ เป็นฝูงๆ และสัตวป์ า่ อื่นๆ มีพวกนายพราน
เขา้ ไปหาลา่ สตั วเ์ ปน็ ประจำ� เขาผา่ นมาทางทที่ า่ นพกั ทา่ นกน็ งั่ ดอู ยู่ ทา่ นอยกู่ บั พวกชา้ ง
พวกเสอื พวกสตั วต์ ่างๆ ตา่ งคนตา่ งอยกู่ ็ไม่เหน็ มันจะทำ� ร้ายอะไร ท่านว่าธรรมะเกดิ
เพราะชา้ ง เพราะเสอื เพราะงใู หญ่ บอ่ ยๆ จนไมก่ ลวั อยกู่ บั เขาจงึ เหน็ ธรรม ธรรมใหค้ ณุ
ธรรมมันกล้ามนั แข็ง

117

ภาวนาทภ่ี ูน้�ำเมา โคราช

จากนน้ั ทา่ นได้ธดุ งคไ์ ปทางโคราช โดยเดินไปตามเทือกเขาเพชรบูรณ์ ผ่านดง
พญาเย็น เขาใหญ่ ไปสระบุรี เดินทางต่อไปกราบนมัสการรอยพระพุทธบาท
เจอหลวงพอ่ รอดอกี ตอนนนั้ เปน็ ชว่ งกอ่ นวนั เพญ็ เดอื น ๓ เลยชวนกนั ไปเทย่ี วธดุ งคท์ ี่
ภูน�้ำเมา อ�ำเภอสคี ้วิ จังหวดั นครราชสมี า ทีเ่ รยี กภนู ำ้� พิษนำ้� เมาน้นั เพราะวา่ บนภเู ขา
ลกู นม้ี แี อง่ นำ้� ขนาดยอ่ มกลางภเู ขาแหง่ หนงึ่ ในแอง่ นำ้� นนั้ มที งั้ กระดกู เสอื กระดกู ชา้ ง
กระดกู ของสัตวช์ นดิ ต่างๆ มากมาย แม้แตห่ วั กะโหลกมนุษยก์ ย็ ังมี น้�ำในแอง่ นั้น
เป็นน�ำ้ เมาเหมือนเมรัย ถา้ สัตวก์ ินมากจนอม่ิ ก็ท�ำใหเ้ ปน็ พิษถงึ ตายได้ เพราะฉะน้นั
จงึ มซี ากสตั วต์ ายอยใู่ นแอง่ นนั้ เยอะแยะไปหมด หลวงปทู่ า่ นเลา่ วา่ บรเิ วณแอง่ นำ�้ นน้ั
มตี น้ ไมใ้ บหญา้ หรอื ผลไมท้ ม่ี พี ษิ ขนึ้ รกปกคลมุ อยู่ เมอื่ ใบหรอื ผลไมน้ นั้ หลน่ ลงในนำ�้
จึงท�ำให้แอ่งน�้ำนั้นเป็นเมรัยหรือน้�ำเมา เมื่อสัตว์กินไปมากก็มีฤทธ์ิท�ำให้เป็นพิษ
ถงึ ตายได้ นานๆ เจอกนั ทีจึงไดถ้ ามไถ่สนทนากนั

หลวงปผู่ าง “มาท�ำไมหลวงพอ่ ”
หลวงพ่อรอด “มาตาย”
หลวงปผู่ าง “มาสิ ผมจะพาไปตายดว้ ยกนั ไมต่ อ้ งอยทู่ น่ี หี่ รอก เราไปตายขา้ งหนา้
กนั ดีกวา่ ”

วา่ แล้วก็ชวนกนั ข้นึ ภนู �ำ้ เมา ถงึ ทีแ่ ห่งหนึ่งลักษณะเป็นเพิงหิน เปน็ เง้ือมหนิ สูง
พอทว่ มหวั พอหลบแดดหลบฝนได้ เหมาะสำ� หรบั พกั ภาวนา จงึ ตา่ งคนตา่ งกจ็ ดั ทพ่ี กั
ของตน ทัง้ สองรูปปักกลดหา่ งกันประมาณ ๑ เสน้

118

ตกค�่ำมา คืนนั้นขึน้ ๑๔ คำ่� เดอื น ๓ ต่างองคต์ ่างเขา้ ทภี่ าวนาของใครของมนั
หลวงป่กู ำ� ลังเดินจงกรมอยู่ เดินจงกรมไปๆ มาๆ อยู่นาน ขณะเดนิ จงกรมเพลินอยู่
นั่นเอง ก็ต้องรู้สึกเอะใจถึงความผิดปกติ เสียงท่ีได้ยินน้ันเป็นเหมือนเสียงพายุท่ี
บ้าคล่ังก�ำลังพัดกระหน่�ำภูเขาทั้งลูกสน่ันหว่ันไหวไปหมด แต่มองดูต้นไม้ใบหญ้า
กไ็ ม่เหน็ มลี มพัดอะไร หากได้ยินแตเ่ สียง ฉุกคดิ ขึ้นได้ถึงคำ� ครูบาอาจารยเ์ คยเตอื น
ไวว้ า่ เวลาไปภาวนาอยใู่ นปา่ ในเขา เมอื่ ไดย้ นิ เสยี งลมพดั ดงั สนนั่ หวนั่ ไหวผดิ ปกตขิ น้ึ มา
ทันทที ันใด ๑ หรอื อยดู่ ๆี สงั เกตเหน็ ปา่ ท้งั ปา่ ภูเขาท้งั ลกู เงียบ เงยี บผิดปกติ ๑
ตอ้ งระมัดระวงั ตวั ให้ดี เป็นต้องได้เจออะไรดีแน่นอน

พอรู้ดังนนั้ ทา่ นกร็ ะวังตวั กลบั มาเขา้ กลดภาวนาต่อ ทา่ นสงั เกตเห็นว่าเลยจาก
ทที่ า่ นพกั ไปไมไ่ กลนกั มรี ใู หญเ่ ปน็ รอ่ งลกึ เขา้ ไปในภเู ขา มองเหน็ แสงสวา่ งจา้ เหมอื น
กับตะเกียงเจ้าพายุออกมาจากรูนั้น ท่านคิดในใจว่าคงเป็นแสงดวงจันทร์ ไม่ใช่น่ี
โน่นดวงจันทร์โผล่อยู่บนฟ้าโน่น พร้อมทั้งเสียงกระห่ึมเหมือนลมพายุพัดอยู่นั้น
ดวงไฟนนั้ กล็ อยไปเรอื่ ย แลว้ ลอยเข้าไปตรงทีห่ ลวงพอ่ รอดพกั อยู่ เจอดเี ข้าใหแ้ ลว้
ไหมล่ะ

ช่ัวอดึ ใจน้ัน ก็ไดย้ นิ หลวงพอ่ รอดรอ้ งเอะอะโวยวายเสียงดังลน่ั ปา่ เมอ่ื ได้ยิน
หลวงพอ่ รอดรอ้ งเสยี งหลงเชน่ นนั้ จงึ คดิ วา่ เรามาดว้ ยกนั แลว้ ถา้ หมเู่ พอื่ นเปน็ อะไรไป
พอชว่ ยไดก้ ช็ ว่ ยผอ่ นหนกั เปน็ เบาได้ ไมด่ ไู มแ่ ลกนั เลยไมด่ ี จงึ ไดเ้ ดนิ ไปดู ทงั้ แสงสวา่ ง
และเสยี งเมอ่ื สักครนู่ ้ีไม่รู้มนั หายไปไหนแล้ว “เป็นอะไรหรือเปล่าหลวงพอ่ ตายหรือ
ยังล่ะ” ได้ยินเสียงร้องตอบมาว่า “ยัง ยังไม่ตาย” ท่านก็เลยเดินกลับมาสู่ที่พัก
ภาวนา ทำ� วตั รสวดมนต์ แผเ่ มตตาภาวนา เกอื บเทย่ี งคนื แลว้ จงึ ไดพ้ กั ผอ่ นหลบั นอน
เหตุการณ์กป็ กติ ตน่ื เช้ามาตา่ งองคก์ ็ตา่ งเงยี บไมไ่ ดเ้ ลา่ อะไรใหก้ นั ฟัง

วนั ตอ่ มา ขน้ึ ๑๕ คำ่� เพญ็ เดอื น ๓ เปน็ วนั มาฆบชู า หลงั จากอธษิ ฐานปารสิ ทุ ธิ
อโุ บสถแลว้ ต่างองค์ก็ต่างแยกยา้ ยกนั เข้าท่ีพักภาวนาเหมือนทกุ วัน คนื นีพ้ ระจนั ทร์
เพ็ญเต็มดวงลอยเด่นขึ้นพ้นเหลี่ยมเขาแล้ว หลวงปู่กำ� ลังเดินจงกรมอยู่ ทันใดน้ัน
ก็ได้ยินเสียงลมพัดดังสน่ันเหมือนเมื่อคืนน้ีอีก “เอาอีกแล้วคืนนี้” ท่านนึกในใจ

119

“ถา้ มนั ไมไ่ ปหาหลวงพอ่ รอด กต็ อ้ งมาหาเราแนๆ่ เอาละ่ ตายเปน็ ตาย เราตง้ั ใจมาตาย
แลว้ น่”ี คดิ ดงั น้นั จงึ เข้าทภ่ี าวนาในกลด

ในขณะเดียวกันนั้นเอง แสงสว่างโร่ปานจุดตะเกียงเจ้าพายุ พร้อมทั้งเสียง
เหมือนลมพายพุ ัดดังสนัน่ หวนั่ ไหว กเ็ คลอื่ นใกลก้ ลดของทา่ นเข้ามาทกุ ทๆี ท่านว่า
ขณะนนั้ จติ ของทา่ นมสี ตติ ง้ั มน่ั แนน่ เปน็ หนิ ทา่ นสง่ั กำ� ชบั ตวั เองวา่ “หา้ มลกุ หา้ มวงิ่ หนี
เด็ดขาด ตายเป็นตาย” กอดขาตัวเองไว้จนแน่นจนจิตสงบต้ังม่ัน ท่านว่าเสียงดัง
ฮอกๆๆๆ พอมันมาถึงจึงเห็นเป็นงูใหญ่ โอ้โห ตัวใหญ่มาก แผ่พังพานใหญ่เท่า
ประทนุ เกวยี น ตัวเท่าต้นตาล ล�ำตัวยาวเฟื้อย มนั โผลห่ ัวอยูต่ อ่ หนา้ ทา่ น นยั นต์ า
ของมันเบกิ กวา้ งโตเทา่ ก�ำปั้น อา้ ปากกวา้ ง แลบล้ินแผล็บๆๆ ท�ำเสียงดงั ฮอกๆๆๆ
ในโลกน้มี งี ตู วั ใหญม่ ากขนาดนี้อยูห่ รอื น่ี ใหญก่ ว่าตวั ที่เคยกินทา่ นอีก

ตอนนน้ั จติ ของทา่ นไมห่ วน่ั ไหว วางความตายไดแ้ ลว้ กำ� หนดจติ แผเ่ มตตาใหม้ นั
“ขอจงอยเู่ ป็นสขุ ๆ เถิด อย่าไดม้ ีเวรแก่กันและกันเลย” สกั ครูห่ นึง่ งตู วั นน้ั กค็ อ่ ยๆ
ผงกหวั ข้ึนลงๆ อยู่ ๓ ครั้ง แลว้ จึงเลื้อยจากไป (งทู ม่ี าลักษณะน้ี ในคมั ภรี ์ทาง
พระพุทธศาสนาเรียกว่า “พญานาค” เป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา มีท้าววิรูปักข์
เปน็ จอมเทพ)

ตืน่ เช้ามาท่านก็ไมไ่ ด้พดู เรื่องอะไรๆ ทไี่ ด้เหน็ ใหห้ ลวงพอ่ รอดฟังเลย ต่างคน
ต่างแยกย้ายกันไป ส่วนหลวงพ่อรอดได้ยินว่าหลังจากกลับจากธุดงค์คร้ังน้ันแล้ว
ก็ได้ลาสิกขาบทไปเปน็ ฆราวาส

ลงจากภนู ้�ำเมาแล้วกธ็ ุดงค์มาเรอื่ ยๆ มาถึงโคราชเขา้ พกั ทวี่ ัดป่าสาลวัน รับฟัง
โอวาทธรรมจากท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม และได้สนทนาธรรมะกับท่าน
ทา่ นพระอาจารยส์ งิ หจ์ งึ วา่ “หลวงพอ่ รอดเอาธรรมไมเ่ ปน็ ตอ้ งเอาเหมอื นหลวงพอ่ ผาง
จงึ จะได้ธรรม”

120

พ.ศ. ๒๔๙๔ จำ� พรรษาทีว่ ัดดูน

เมอ่ื ใกลจ้ ะเขา้ พรรษา ทา่ นจงึ ไดก้ ลบั มาพกั ทว่ี ดั ดนู และไดจ้ ำ� พรรษาทน่ี ี่ ปนี เ้ี รมิ่
มีพระภิกษุสามเณรเข้ามาพักปฏิบัติภาวนากับหลวงปู่แล้ว ท่ีจ�ำได้ก็มี อาจารย์ลุน
(สกึ ออกไปมคี รอบครวั แลว้ ) พระอาจารยอ์ ำ� ไพ ภรู ปิ ญโฺ  (ปจั จบุ นั อยวู่ ดั ปา่ บา้ นขามเตยี้
อ�ำเภอท่าอุเทน จังหวดั นครพนม) แม่ชอี ีก ๒ คน

มอี ยคู่ รง้ั หนง่ึ ทา่ นพกั อยบู่ นแทน่ หนิ นง่ั ภาวนาตากแดดตากลมอยบู่ นแทน่ หนิ
กอ้ นหนึ่ง อยหู่ ่างจากศาลาใหญป่ ระมาณ ๑ กิโลเมตร หนิ ก้อนนอ้ี ยู่บนพลาญหิน
บนไหล่เขาภผู าแดง ลักษณะเป็นแทน่ สูงประมาณ ๑ ศอก พื้นราบเรียบเสมอกัน
กว้าง ๑ เมตรเศษ ยาว ๒ เมตรเศษ และไดต้ ัง้ สัจจอธษิ ฐานว่า “ถ้าภาวนาไม่ไดเ้ หน็
นมิ ติ ทดี่ ี จะไมล่ กุ หนจี ากหนิ กอ้ นนเ้ี ปน็ อนั ขาด” ทา่ นนง่ั ทำ� ความเพยี รอยบู่ นหนิ กอ้ นนนั้
ถึง ๓ วนั จึงไดน้ ิมติ วา่ มีเทพบุตรเทพธิดาถอื ร่มมากัน้ แดดให้ ตอ่ มาไดม้ ีโยมศรัทธา
มาสรา้ งเจดยี ค์ รอบลงบนหนิ ทที่ า่ นนง่ั ทำ� ความเพยี รนนั้ และเรยี กเจดยี น์ วี้ า่ “เจดยี ถ์ ำ�้
กงเกวียน” และสร้างศาลาพกั ร้อนขา้ งๆ เจดียถ์ วายอีก ๑ หลงั ดว้ ย

ครง้ั หนง่ึ ทา่ นไปพกั ภาวนาอยทู่ ่ี อา่ งกกแดง (แอง่ นำ้� บนกอ้ นหนิ ใหญ่ ใชอ้ าบดมื่ ได้
ขา้ งแอง่ นำ�้ นมี้ ตี น้ แดงใหญอ่ ยตู่ น้ หนง่ึ ) ซง่ึ อยเู่ ชงิ เขาหา่ งจากถำ้� กงเกวยี นไปทางทศิ เหนอื
ประมาณ ๑ กโิ ลเมตร ไดอ้ าศยั บณิ ฑบาตบา้ นโคกสงู บา้ ง บา้ นนางามบา้ ง ระยะทางหา่ ง
จากทที่ า่ นพักประมาณ ๕-๖ กิโลเมตร

121

บางคร้ังท่านขึ้นไปพักภาวนาบนยอดเขาภูผาแดง บนยอดเขาเป็นหน้าผาสูง
ทางฝงั่ อ�ำเภอแก้งครอ้ และมที างลงเขาไปหมูบ่ า้ นแกง้ ได้เหมือนกัน ทา่ นพักภาวนา
อยู่ที่แหง่ หนึ่งขา้ งๆ หน้าผาสงู นนั้ มแี ผ่นหนิ ย่ืนออกไปยาวประมาณ ๕-๖ วา กว้าง
ประมาณ ๑ วา ท่านไดอ้ าศัยหินก้อนนเี้ ป็นทางเดินจงกรมไปๆ มาๆ และบอกกับ
ตัวเองว่า “ถา้ ไมม่ สี ติกใ็ หต้ กหน้าผาตายไปเลย” ตอนเชา้ บางวันกล็ งไปบณิ ฑบาตที่
บ้านแก้งมาฉันพอได้ก�ำลังประกอบความเพียร ส่วนมากท่านจะอดอาหารครั้งละ
หลายๆ วนั จงึ ลงไปบิณฑบาตมาฉันทีหนง่ึ

อยมู่ าวันหนง่ึ (พ.ศ. ๒๕๒๑) ท่านพดู กบั พระลูกศิษยว์ ่า “เมอ่ื คืนน้ใี ครไดย้ นิ
เสียงหน้าผาบนภูผาแดงหักบ้าง เราได้ยินเสียงมันหักประมาณ ๕ ทุ่มเมื่อคืนน้ี”
เมื่อไดย้ ินหลวงปู่พดู ดงั น้ัน พระทั้งหลายต่างก็มองหนา้ ถามไถ่กนั ถามใครก็บอกว่า
ไมม่ ใี ครไดย้ นิ เพราะหนา้ ผาบนภผู าแดงทว่ี า่ นี้ อยหู่ า่ งจากวดั ไปประมาณ ๓ กโิ ลเมตร
วันต่อมาพระได้ขึ้นไปดู ปรากฏว่าหินก้อนท่ีหลวงปู่เคยนั่งภาวนานั้นหักจากหน้าผา
ตกลงไปทับกอไผ่และต้นไม้ข้างล่าง ล้มเป็นทางไปเลย ส่วนหินยื่นออกไปหน้าผา
ที่หลวงปู่เคยเดินจงกรมน้ันยังไม่หัก หลวงปู่พูดว่า “ถ้าใครอยากได้อรรถได้ธรรม
ใหป้ ฏิบัติภาวนาเอาบนภูเขาลูกนนี้ ะ”

หลวงปไู่ ดพ้ าชาวบา้ นสรา้ งฝายขนึ้ ๒ แหง่ เพอื่ เกบ็ กกั นำ�้ ไวใ้ ชใ้ นฤดแู ลง้ ฝายทง้ั
๒ แหง่ น้กี ไ็ ดก้ ลายเปน็ แหล่งเพาะพันธุ์ปลาไปในตวั ต่อมามชี าวบ้านไดน้ �ำลูกจระเข้
จากภโู คง้ (อยเู่ ขตอำ� เภอแกง้ ครอ้ จ.ชัยภมู ิ) ๔ ตวั มาถวายหลวงปู่ ท่านกไ็ ดเ้ ล้ียง
มันไว้ในฝายน่ันเอง ปัจจุบันนี้เหลืออยู่ตัวเดียว ชื่อไอ้บอด เพราะตาของมันบอด
ข้างหนงึ่

หลงั จากออกพรรษาแลว้ หลวงปทู่ า่ นมกั ออกเดนิ เทยี่ วธดุ งคเ์ พอื่ เปลย่ี นสถานท่ี
ปฏบิ ัตภิ าวนา เปน็ อบุ ายให้จิตต่นื ตัวอยูเ่ สมอ ไมใ่ ห้ชินชากบั สถานท่ี อนั เปน็ เหตุให้
เกิดความข้เี กยี จ นอนใจ ตดิ สุขได้ ต่อไปกต็ ดิ ญาตโิ ยม ติดอดเิ รกลาภ ความมคี น
เคารพนบั ถอื มาก มภี าระมากเขา้ กท็ ำ� ใหห้ า่ งเหนิ การภาวนา ไปๆ มาๆ ถา้ จติ ยงั ไมม่ หี ลกั
กท็ �ำให้จติ เสอื่ มหรือสมาธเิ ส่ือมได้ ต่อไปก็กลายเปน็ พระกรรมฐานดแี ตก

122

หลวงปู่ท่านมักไปเที่ยวตามป่าตามเขา ตามถ้�ำเง้ือมผา สถานท่ีอันน่ากลัวมี
อันตรายรอบด้าน ทีเ่ ช่นน้ีชว่ ยให้มีสตมิ ีปญั ญาระมัดระวงั ตัวตลอดเวลา เมือ่ จิตใจมี
สตปิ ญั ญาควบคมุ อยตู่ ลอดเวลา กท็ ำ� ใหจ้ ติ สงบเปน็ สมาธไิ ดง้ า่ ย อาศยั สถานทเ่ี ชน่ นนั้
เป็นสนามฝกึ หัดดัดสันดานกเิ ลสตวั ก่อกวนเรอ่ื ยมา

123

ธดุ งค์ข้ึนผาเสด็จ

ต่อมาท่านได้ยินค�ำเล่าลือว่า ถ้าพูดถึงเรื่องการปฏิบัติภาวนา เรื่องอยู่ยง
คงกระพันชาตรี ปืนผาหน้าไม้ยิงไม่ออกฟันไม่เข้า วิชาอาคมเก่งกล้าต้องยกน้ิวให้
“พระจอมพระ” แหง่ ผาเสด็จใต้ อ�ำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบรุ ี เม่ือไดย้ นิ คำ� ร�่ำลอื
เช่นน้ัน เท็จจริงประการใดต้องไปพิสูจน์ให้ได้ ถ้าเร่ืองว่าท่ีไหนมีครูบาอาจารย์ดี
เปน็ ตอ้ งไดด้ น้ั ดน้ แสวงหาฝากเนอื้ ฝากตวั เปน็ ลกู ศษิ ยล์ กู หาอยศู่ กึ ษาปฏบิ ตั ดิ ว้ ยใหไ้ ด้

หลวงป่จู ึงได้เดินธดุ งค์ขึน้ ผาเสด็จ เหตทุ ไี่ ดช้ ือ่ ว่าผาเสดจ็ กเ็ พราะวา่ พระบาท
สมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั รัชกาลที่ ๕ เคยเสดจ็ มาท่ีหนา้ ผาภูเขาลกู น้ี ดังมี
เร่อื งพิลึกพลิ ่นั เลา่ มาวา่ สมยั นนั้ ทางการไดเ้ ร่งรดั พฒั นาประเทศเป็นการใหญ่ เรมิ่ มี
การจดั การศกึ ษา มไี ฟฟา้ นำ้� ประปา โทรเลข เลกิ ทาส เปน็ ตน้ ประเทศไทยมรี ถไฟใช้
เร่ิมแรกก็ในสมัยรชั กาลท่ี ๕ น่ีเอง แต่ยงั เป็นรถจักรไอน้ำ� อยู่ วิ่งไปถงึ ไหนน�้ำหมด
ฟนื หมด ก็ตอ้ งจอดเตมิ นำ�้ เติมฟนื เพราะตอ้ งอาศยั พลังไอน้ำ� ผลักดันเครื่องจกั ร
ท�ำใหร้ ถวงิ่ ได้

ตอนที่ก�ำลังสร้างทางรถไฟเข้ามาทางภาคอีสาน จากสระบุรีต้องตัดผ่านเทือก
เขาใหญห่ รอื ดงพญาไฟ มแี ตภ่ เู ขาสงู หนา้ ผาชนั ทงั้ นนั้ เพราะสว่ นมากเปน็ ภเู ขาหนิ ปนู
จะมองเหน็ ยอดเขาเปน็ แทง่ หนิ ขาว บางแหง่ กเ็ ปน็ หนา้ ผาสงู ปจั จบุ นั ถา้ มาทางรถยนต์
ผา่ นสระบรุ ี แกง่ คอย กอ่ นจะถงึ ปากชอ่ ง จะสงั เกตเหน็ โรงงานปนู ซเิ มนตเ์ ตม็ ไปหมด

124

ชว่ งทส่ี รา้ งทางรถไฟผา่ นเขาใหญ่ ดงพญาไฟ นแ่ี หละ เปน็ ชว่ งทค่ี นงานตอ้ งทำ� งาน
ลำ� บากมากๆ เพราะตอ้ งเขา้ ไปทำ� งานในดงเสอื ปา่ ชา้ ง สตั วป์ า่ ดรุ า้ ยชกุ ชมุ ทร่ี า้ ยกวา่ นนั้
ก็ที่เขาว่ายุงร้ายกว่าเสือ เพราะตอ้ งผจญกบั ไข้ป่ามาลาเรยี อนั มียุงกน้ ปล่องเปน็ ตัว
น�ำเชื้อ นอกจากจะต้องผจญกับสัตว์ร้ายและไข้ป่าแล้ว งานสร้างทางบางที่บางแห่ง
ต้องไดต้ ดั ตน้ ไมใ้ หญ่ หรือระเบดิ ภเู ขาใหร้ าบเปน็ ชอ่ งเพื่อวางรางรถไฟ

พอสรา้ งทางวางรางมาถงึ ผาเสดจ็ งานทกุ อยา่ งกต็ อ้ งหยุดชะงกั เมอื่ ปรากฏมี
เหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึน้ ทงั้ คนงานกล็ ้มตายไปหลายคน เพราะผีหรือไขป้ า่
ก็สุดจะเดา กล่าวคือหินท่ีถูกระเบิดราบเรียบเป็นหน้ากลองต้ังแต่เม่ือวาน พอต่ืน
เช้ามาวันนี้ คนงานต่างก็ต้องตกอกตกใจ เมื่อเห็นหินโผล่งอกสูงข้ึนมาขวางทางไว้
เม่ือคนงานระเบิดหินที่งอกข้ึนมาน้ันออกอีก พรุ่งน้ีเช้าก็เห็นงอกขึ้นมาขวางทางอีก
เหมือนเดิม เมื่อท�ำงานต่อไปไม่ได้ เดือดร้อนถึงทางการต้องได้กราบบังคมทูล
พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ มาทอดพระเนตร และทรงรบั สง่ั งาน
ดว้ ยพระองคเ์ อง เร่ืองแปลกๆ เหล่านนั้ จึงได้ยตุ ิ ทตี่ รงนั้นจงึ ถกู เรียก “ผาเสด็จ”
ตั้งแต่น้ันมา

ปัจจุบันน้ีถ้าเรานั่งรถไฟผ่านหุบเขาดงพญาเย็น หน้าฝนตอนกลางวันจะเห็น
วิวทวิ ทัศน์สวยงามมาก มองเห็นรถไฟขบวนยาวๆ วิ่งไตร่ างไปตามไหล่เขา ถ้าเรา
นงั่ อยตู่ กู้ ลางขบวนกจ็ ะมองเหน็ รถไฟทงั้ หวั ขบวนทา้ ยขบวนวง่ิ คดไปเคยี้ วมาสลบั กบั
ภูเขาสูง ต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจีไปหมด มองดูแล้วเป็นภาพท่ีสวยงามเย็นตาเย็นใจ
มีใครบา้ งเลา่ ที่จะรวู้ า่ เบื้องหลังในอดีตอนั ไกลโพน้ ทางรถไฟสายนส้ี �ำเรจ็ มาไดอ้ ย่าง
ล�ำบากยากเยน็ เพยี งใด

ผาเสดจ็ เปน็ ลกั ษณะภเู ขาสงู พอควร มหี นา้ ผาชนั บนภเู ขามถี ำ้� สำ� หรบั พกั ภาวนา
พระจอมพระ พักอยู่ในถ�้ำนนั้ ข้างลา่ งเชงิ เขามกี ฏุ สิ ำ� หรับพักภาวนาอยู่ เวลาจะขึ้น
ไปถ้�ำก็อาศัยข้ึนบันไดไป เม่ือหลวงปู่ไปถึงผาเสด็จ ก็ได้เข้าไปกราบท่านจอมพระ
ปกตทิ ่านจอมพระจะถอื มูควตั ร คือปกตไิ ม่พดู ไม่จากบั ใครเลย นงั่ ภาวนาน่ิงเงยี บ
พอหลวงปู่กราบเสร็จ ท่านจอมพระก็ยื่นหินก้อนเท่าหินลับมีดให้หลวงปู่ก้อนหนึ่ง

125

ไมพ่ ดู ไมจ่ าไมถ่ ามไมไ่ ถเ่ ลย หลวงปจู่ งึ ไดค้ ดิ วา่ ทา่ นจอมพระคงใหเ้ รามจี ติ ใจหนกั แนน่
หรอื ใหเ้ ราหมน่ั ฝกึ จิตใจใหแ้ ขง็ แกรง่ เหมอื นกับหินกอ้ นนี้กระมัง ท่านคงรู้จติ ใจเราดี

หลวงปพู่ กั ภาวนาอยเู่ ชงิ เขาขา้ งล่าง ห่างไปไม่ไกลมีกุฏิแมช่ ีอยหู่ ลงั หน่ึง ตอน
บิณฑบาต ท่านจอมพระมักหยิบเอาข้าวท่ีโยมใส่บาตรให้ โปรยหรือโยนให้สัตว์
ทงั้ หลายกนิ ไปตามทาง ทำ� อยอู่ ยา่ งนเี้ ปน็ ประจำ� จนชาวบา้ นเขาเออื มระอา หมดศรทั ธา
ไปก็มี ต่อมาหลวงปู่ได้หยิบยกเอาข้อนี้มาสอนลูกศิษย์เป็นประจ�ำ เพราะไม่ถูก
พระธรรมวินยั เป็นอาบตั ิทุกกฎ แต่ถ้าข้าวปลาอาหารท่ีเหลอื จากพระฉันแล้ว เอาให้
ผู้อนื่ หรอื ใหส้ ัตว์ไดไ้ ม่เป็นไร

หลวงปสู่ งั เกตเห็นวา่ ตอนเยน็ สองทมุ่ กบั ชว่ งประมาณตีหา้ แม่ชเี ดนิ ขึน้ บันได
ดงั กอ๊ กๆๆ ขนึ้ ไปหาจอมพระทกุ วนั ไมไ่ ดข้ าด เมอื่ ไดย้ นิ ชาวบา้ นเขาตฉิ นิ นนิ ทาจอมพระ
ทา่ นกเ็ ลยคดิ วา่ “เสอื กบั ววั อยใู่ นถำ้� เดยี วกนั อยา่ งน้ี มนั ตอ้ งมอี ะไรในกอไผแ่ นๆ่ ” คดิ ได้
ดังน้นั ทา่ นจงึ ไดป้ ลีกตวั ไปพักอยู่ทผ่ี าเสดจ็ เหนือซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนกั

พอถงึ เวลาภาวนา หลวงปกู่ ม็ าฝกึ กบั จอมพระ ทา่ นจอมพระนง่ั ภาวนาไดเ้ กง่ มาก
มีนำ้� อดน�ำ้ ทน ตอนท่ีน่งั ภาวนาอยู่เชิงเขา ท่านนัง่ ภาวนากลางแดดจา้ ไดอ้ ย่างสบาย
คร้งั ละหลายๆ ชว่ั โมง หลวงปเู่ หน็ ดงั น้ันกน็ ่ังบ้าง นัง่ ภาวนากลางแดด ทนได้เหมอื น
จอมพระ ตอ่ มามีฝนตก ทา่ นจอมพระหลบฝนเข้ากฏุ ิ สว่ นหลวงปู่น่งั ภาวนาตากฝน
อย่นู ั่นแหละไม่ยอมลกุ ไปไหน ทนสทู้ ั้งแดดท้ังฝนได้อย่างสบาย

126

พิสูจนถ์ ำ�้ เกา้ ช้ัน

เมื่อเห็นจอมพระน่ังปฏิบัติภาวนาสู้ท่านไม่ได้แล้ว จึงได้ลาจอมพระไปอยู่ท่ี
ถ้�ำเก้าช้ัน ท่านจอมพระได้ห้ามไว้ไม่ให้ไป เพราะเคยมีพระไปตายท่ีนั่นหลายองค์
ยงิ่ หา้ มเหมือนย่งิ ยุ หลวงปูก่ ็เลยคิดว่า “เรามาทำ� อะไร เรามาตายไมใ่ ช่หรือ สละเป็น
สละตายแลว้ จงึ ไดม้ า จะกลวั อะไรอกี ” เมอ่ื คดิ ไดด้ งั นน้ั จติ ใจกย็ ง่ิ อาจหาญ ไมส่ ะทก
สะท้านต่อความตาย อยากไปพิสจู นใ์ ห้ได้ ทา่ นจงึ ธดุ งค์ตอ่ ไปท่ีถ้ำ� เกา้ ชนั้

พอไปถงึ ชาวบา้ นกำ� ลงั หามศพพระองคห์ นง่ึ ลงมาจากถำ้� พอดี ทา่ นจงึ ไดใ้ หโ้ ยม
นำ� ทางขึ้นไป ถ�ำ้ นีอ้ ย่ใู นเขาหินปูนลกู หนง่ึ อยูแ่ ถวๆ กลางดงพญาเย็น

ภเู ขาหนิ ปนู สว่ นมากมกั จะมถี ำ้� สลบั ซบั ซอ้ น มหี นิ งอกหนิ ยอ้ ยสวยงาม ถำ�้ เกา้ ชน้ั
น้ีกเ็ หมือนกัน มที ้งั หนิ งอกหนิ ยอ้ ย ท้งั สลบั ซับซอ้ น พอข้ึนไปถงึ ปากถ�ำ้ ท่านเหน็ ว่า
ถ้�ำนี้มีอากาศเย็นและช้ืนมาก มืดก็มืด ก็เลยให้โยมเอามัดฟางแห้งท้ิงลงไปก่อน
เพ่ือใชส้ ำ� หรบั ปรู องทีพ่ กั ภาวนา ทางลงไปในถ�ำ้ แตล่ ะช้ันจะมีบนั ไดพาดไวอ้ ยู่ อาศยั
ลงไปตามบันได ส�ำรวจดูชั้นท่ีหน่ึงแล้วก็ลงไปดูช้ันท่ีสองที่สามที่ส่ีไปเรื่อยๆ จนถึง
ชั้นท่ีห้า ส่วนช้ันท่ีหกลงไปไม่ได้เพราะบันไดผุพังมาก ขืนลงไปอาจเป็นอันตราย
ท่านจึงไมล่ ง

คนื นั้นทา่ นจงึ พกั อยใู่ นถ้ำ� ชั้นทห่ี ้า เกดิ อาการปว่ ยปวดหัวตวั รอ้ นทั้งคนื ต่อมา
คืนที่สองมีเสียงประหลาด เป็นเสียงอะไรก็ไม่รู้ดังออกมาจากข้างๆ ท่ีท่านนั่งอยู่

127

ท่านจึงไดย้ า้ ยจากถ้ำ� ชั้นท่หี ้าออกมาพักอย่ปู ากถ�ำ้ ตืน่ เชา้ มาเวลา ๖ นาฬิกา มีสัตว์
ชนดิ หนง่ึ เปน็ ตวั อะไรกไ็ มร่ ู้ เสยี งรอ้ งของมนั ทำ� ใหแ้ ผน่ ดนิ ไหวสะเทอื นสะทา้ นไปหมด
อันน้ีพิจารณาได้อีกแง่หน่ึงก็คือว่า สัตว์ชนิดน้ีรู้ว่าเกิดแผ่นดินไหวจึงร้องบอกเตือน
พอสง่ เสยี งรอ้ งจบ กพ็ อดแี รงสนั่ สะเทอื นของแผน่ ดนิ ไหวมาถงึ ทา่ นพกั อยทู่ ถี่ ำ้� เกา้ ชนั้
ไดส้ ามคืน อาการทป่ี ่วยก็หาย

หลังจากนน้ั ท่านไดธ้ ุดงค์ต่อไปยงั สระบุรี แวะไปกราบรอยพระพุทธบาท ไปถึง
เวลา ๕ โมงเยน็ ขน้ึ ๑๓ คำ�่ เดอื น ๓ พกั อยู่ ๓ คนื ณ งานนมสั การรอยพระพทุ ธบาท
อ�ำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรีนี้ ท่านได้เห็น แม่ชีจันดี ภรรยาเก่าของท่าน
แตท่ ่านหลบหนา้ เสยี ไมใ่ หเ้ ขาเห็น ต่อมาจึงได้เดนิ ทางกลบั วัดดนู

หลงั จากนน้ั ไม่นาน แม่ชจี นั ดีไดส้ ึกไปมีครอบครวั ใหม่ และได้เสียชีวิตในเวลา
ตอ่ มาทบ่ี า้ นละทาย อำ� เภอกนั ทรารมย์ จงั หวดั ศรสี ะเกษ

128

อย่างนกี้ เ็ คยมี

ครง้ั หนง่ึ ทา่ นเดนิ ธดุ งคไ์ ปทางเขาใหญ่ จงั หวดั นครราชสมี า ธดุ งคต์ ามปา่ ตามเขา
ไปเร่ือย วนั น้นั เดนิ ทงั้ วนั ยนั ค่ำ� ก็ยงั ไมเ่ หน็ มีหมู่บ้านคนเลย หรอื วา่ เดินหลงทางเขา้
ป่าลกึ ไหนๆ กไ็ หนๆ แลว้ จงึ คดิ ว่าวนั นีเ้ ดนิ ทางมาเหนือ่ ยทง้ั วัน ปกั กลดกลางป่า
นแี่ หละ ภาวนาท่นี ี่สกั คนื พรุ่งนเี้ ช้าค่อยเดินทางต่อ จึงได้ปักกลดพักภาวนากลางปา่
นนั่ เอง

ตนื่ เชา้ มาจงึ เดนิ ไปเรอื่ ยๆ แตไ่ มร่ วู้ า่ จะไปทางทศิ ไหนดจี งึ จะเจอหมบู่ า้ นคน กำ� ลงั
เดนิ ๆ อยนู่ นั้ ทนั ใดนน้ั เอง ทา่ นกต็ อ้ งหยดุ ชะงกั ขนลกุ ซู่ เพราะมเี สอื โครง่ ลายพาดกลอน
ตัวหนึ่งกระโจนออกจากป่ามาขวางทางไว้ห่างออกไปข้างหน้าประมาณ ๑๕ เมตร
พรอ้ มกบั สายตาจ้องมองมายงั ท่าน

โบราณวา่ “เจอเสอื ใหจ้ ้องตาเสือ อย่าไดห้ ลบสายตามนั มนั มาดมี าร้ายกร็ ้ไู ด้
แมแ้ ตค่ นเรากเ็ หมอื นกนั มองตากนั แวบเดยี วกส็ ามารถอา่ นอธั ยาศยั กนั ออก สายตา
คนเจ้าโลภะขี้ลักขี้ขโมยก็อีกอย่างหนึ่ง สายตาคนกำ� ลังเย้ิมด้วยไฟราคะตัณหาก็อีก
แบบหนง่ึ สายตาคนกำ� ลงั มโี ทสะกอ็ กี อยา่ งหนง่ึ สายตาคนหลงหรอื เหมอ่ ลอยเปน็ บา้ ใบ้
เสยี สตกิ อ็ กี อยา่ งหนง่ึ สายตาตา่ งสายตากแ็ สดงออกเปน็ สอ่ื ความหมายตา่ งอารมณไ์ ด้
สงั เกตดใู ห้ดแี ล้วจะรู้

ท่านไม่ได้ต่ืนตกใจกลัวมันแต่อย่างใด เมื่อจ้องมองตาของมันก็รู้ว่าไม่ใช่เสือ
หิวโซจ้องตะครุบเหยื่อ มันมองด้วยจุดประสงค์อะไร มันจ้องมองท่านอยู่ครู่หนึ่ง

129

แลว้ กเ็ ดินนำ� หนา้ ไป เดินไปแลว้ กห็ นั หลังมามองดูทา่ นอีก หรอื ว่ามนั ใหเ้ ราเดนิ ตาม
ท่านคิดดังน้ันจึงเดินตามเสือนั้นไป เดินไปเรื่อยๆ เสือตัวนี้มีอะไรแปลกๆ อยู่
เปน็ เสอื จรงิ หรอื เสอื เทวดากส็ ดุ แตใ่ ครจะเดา เดนิ นำ� หนา้ ไปๆ แลว้ กห็ ยดุ ยนื มองดทู า่ น
เปน็ อยอู่ ยา่ งนน้ั เดนิ เปน็ ชว่ั โมง ทา่ นกเ็ ดนิ ตามมนั ไปเรอ่ื ยๆๆ ตอ่ มากเ็ หน็ มนั กระโจน
เขา้ ปา่ หนไี ป ทา่ นจงึ ถงึ บางออ้ เพราะหา่ งออกไปขา้ งหนา้ โนน้ เปน็ หมบู่ า้ นคน จงึ ไดเ้ ขา้
ไปบิณฑบาต ฉันเสรจ็ แล้วจงึ ไดเ้ ดินธดุ งคต์ อ่ ไป

130

โปรดคุณยายผเู้ ฒ่า

ครั้งหนึ่งท่านเดินธุดงค์ไปแถวๆ อำ� เภอคอนสาร จงั หวดั ชยั ภูมิ ได้พบสถานท่ี
แห่งหนง่ึ เหน็ ว่าเปน็ สถานทส่ี ัปปายะ เหมาะแกก่ ารบ�ำเพญ็ เพียรภาวนาย่ิงนกั นำ�้ ท่า
อาบดม่ื ใชส้ อยกส็ ะดวก หมบู่ า้ นสำ� หรบั โคจรบณิ ฑบาตกพ็ อเหมาะพอดี ไมใ่ กลไ้ มไ่ กล
จึงได้พักปักกลดภาวนาอย่ทู ่นี นั่ ระยะหนงึ่ ทกุ ๆ เชา้ หลวงปูจ่ ะออกรบั บิณฑบาตใน
หมบู่ ้านเปน็ ประจำ�

มีบ้านหลังหนึ่งไม่เคยออกมาท�ำบุญใส่บาตรท่านเลย เป็นบ้านของยายผู้เฒ่า
คนหน่ึง และท่ีบ้านหลังนี้มีสุนัขตัวหน่ึงดุร้ายมาก แม้แต่คนบ้านใกล้เรือนเคียง
ก็ไม่ค่อยกล้าเดนิ แวะเวียนไปมาหาสบู่ า้ นหลังน้ีเลย

กระทงั่ วนั หน่ึง หลวงปู่คิดเมตตาอยากจะโปรดยายผู้เฒา่ น้ันเพ่อื บ้ันปลายของ
ชีวิตจะได้ท�ำบุญเป็นพลวปัจจัยในอนาคตบ้าง ท่านจึงได้เดินบิณฑบาตไปหยุดอยู่ที่
บา้ นคณุ ยายผเู้ ฒา่ กอ่ นบา้ นหลงั อน่ื เลย พอแกมองเหน็ หลวงปมู่ าหยดุ ยนื อยหู่ นา้ บา้ น
เกดิ ความศรทั ธาเลอ่ื มใสปตี ยิ นิ ดี กระตอื รอื รน้ อยากทำ� บญุ ใสบ่ าตร ดว้ ยความรบี รอ้ น
วิ่งจบั โนน่ ฉวยน่ี จนเผลอเหยยี บชายผา้ ถุงตัวเองหลดุ ลยุ่

เมือ่ ยายเดินมาจะใสบ่ าตร ขณะเดยี วกนั นั้นเอง สนุ ัขตัวนน้ั พอเหน็ หลวงปูซ่ งึ่
เปน็ คนแปลกหน้า ก็วง่ิ กระโจนเข้าหาทา่ นหมายจะกดั

131

หลวงปู่พอเห็นดังน้ัน จึงก�ำหนดจิตแผ่เมตตาให้มันพร้อมทั้งพูดว่า “บักแก้ว
เฮามาบณิ ฑบาต โตมาตอ้ นรบั เฮาต”๊ิ (ไอแ้ กว้ เรามาบณิ ฑบาต เอง็ มาตอ้ นรบั ขา้ หรอื )

ค�ำวา่ “บักแกว้ ” เปน็ ค�ำที่หลวงป่เู รียกชือ่ สนุ ขั ทกุ ตัวทพ่ี บเห็น สุนัขดรุ ้ายนั้น
พอไดย้ นิ หลวงปพู่ ดู ดงั นน้ั ความดรุ า้ ยทเ่ี คยมไี มร่ หู้ ายไปไหนหมด กลบั แสดงอาการ
คนุ้ เคยเคารพเหมอื นกบั ทา่ นเปน็ เจา้ ของมนั พรอ้ มทง้ั สะบดั หางไปมาดว้ ยความยนิ ดี
เหมือนรู้จักกันมานาน ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา มันก็ไม่เคยดุร้ายกัดใครอีกเลย
สว่ นคณุ ยายผูเ้ ฒ่าก็เลือ่ มใสศรัทธาหลวงปู่ ได้ท�ำบุญใส่บาตรทุกวนั

132

งูใหญล่ ้อมกลด

หลวงปู่ท่านมักจะเดินธุดงค์ไปพักตามสถานที่ที่ปรากฏเห็นในนิมิตภาวนา
เมอ่ื หลวงปเู่ ดนิ ธดุ งคล์ งมาจากภซู าง พกั บรเิ วณอำ� เภอคอนสาร ทา่ นไดถ้ ามชาวบา้ นวา่
“แถวน้มี คี นชือ่ เสอื โกกหรอื ไม”่ โยมตอบว่า “มี” ทา่ นบอกวา่ “ถ้าเช่นนน้ั ให้ไปบอก
เขาว่ามีพระมาหา และพาเราไปหาท่ีพักด้วย” (โยมคนนี้แกช่ือโกก แต่เพราะปล้น
ฆ่าคนมามากจงึ ได้ฉายาวา่ “เสือโกก” ตอ่ มาภายหลังหมบู่ า้ นนี้จึงไดช้ ื่อว่า บ้านเหลา่
เสอื โกก)

เมอ่ื โยม “เสอื โกก” ทราบแลว้ กไ็ ดน้ มิ นตใ์ หท้ า่ นพกั อยใู่ ตร้ ม่ ไมช้ ายทงุ่ ซงึ่ หา่ งจาก
หมู่บ้านพอประมาณ โยมไดเ้ อาฟางแห้งปพู นื้ จัดที่พกั ให้ท่าน เพราะเป็นฤดเู กบ็ เกี่ยว
ข้าวเสรจ็ พอดี ไมไ่ กลจากทีท่ า่ นพกั นัน้ มหี ลมุ ดินโป่งทสี่ ตั วป์ า่ ชนิดต่างๆ ชอบมากิน
เปน็ ประจำ� คงเปน็ เพราะดนิ ทตี่ รงนน้ั มเี กลอื หรอื แรธ่ าตสุ ารอาหารผสมอยมู่ าก สตั วป์ า่
จงึ ชอบกิน

พอตกเย็น ท่านก็เข้ากลดนั่งสมาธิภาวนาตามปกติ กลางดึกขณะยังน่ังสมาธิ
ท�ำความเพียรภาวนาอยูน่ น้ั ทา่ นไดย้ นิ เสียงกระซิบเตอื นว่า

“ผีโปง่ จะเขา้ มาหา ใหเ้ ตรียมตวั ไวใ้ หด้ ”ี

ต่อมาทา่ นไดย้ นิ เสียงดงั กรอบแกรบๆ ซา่ ๆ เคลอ่ื นไหวบนฟางทีป่ ูไว้ คอ่ ยๆ
ใกล้เขา้ มาๆๆ เสียงเหมอื นปลวกกำ� ลงั กินฟางข้าวแตด่ งั กว่า เคล่อื นมารอบๆ กลด

133

จงึ ออกจากสมาธิ แลว้ จดุ เทยี นคอ่ ยๆ เปดิ มงุ้ กลดออกดู ทา่ นกต็ อ้ งตะลงึ เพราะสงิ่ ท่ี
ปรากฏแก่สายตาน้ัน เป็นงูตัวใหญ่มากขดตัวอยู่รอบกลดท่านไว้ เมื่อหลวงปู่เห็น
ดงั น้ันแลว้ จึงไดแ้ ผเ่ มตตาให้ “ขอจงอยูเ่ ป็นสขุ ๆ เถิด อย่าไดเ้ บียดเบียนซ่ึงกันและ
กันเลย” แล้วได้เข้ากลดน่ังสมาธิภาวนา สละเป็นสละตาย และแผ่เมตตาต่อไป
จนกระทั่งสวา่ งโดยไมไ่ ดห้ ลับไดน้ อนเลย พอสวา่ ง ท่านไดล้ กุ ออกมาดูรอบๆ กลด
กไ็ มเ่ ห็นมีอะไร และไมท่ ราบว่างใู หญ่ตัวนน้ั หายไปต้ังแตเ่ มือ่ ไร

ท่านบอกว่า “เราปักกลดอยู่ก่อนแล้ว ถ้ามีสัตว์ร้ายมาไล่หรือมาเบียดเบียน
ใหภ้ าวนาสตู้ ายอย่าถอยหนี ถ้าเห็นมสี ตั ว์ร้ายอยู่ตรงนนั้ ก่อน เรามาปกั กลดทบั ทีอ่ ยู่
ของเขาทหี ลงั อนั นค้ี อ่ ยหลกี หนี ถา้ ไปภาวนาเจอเหตกุ ารณอ์ นั นา่ สะพงึ กลวั จนขนลกุ
ขนพองสยองเกลา้ ใหเ้ รามสี ตวิ างความตาย อยา่ เสยี ดายความมชี วี ติ อยขู่ องตน แลว้ จะ
ชนะมารทเ่ี ข้ามาผจญทกุ อย่าง”

ท่านพักอยูท่ ่นี นั่ ๓ คนื แล้วก็เดินธดุ งคต์ อ่ ไป

134

ช้างปา่ ขวางทาง

ต่อมาท่านได้ขึ้นไปปฏิบัติภาวนาอยู่ท่ีถ�้ำขามสามต้น อยู่ในเทือกภูสูง อ�ำเภอ
คอนสาร จังหวัดชัยภูมิ ท่านได้เล่าว่า มาภาวนาอยู่ถ้�ำขามสามต้น เช้าวันหนึ่ง
ลงจากเขาเพื่อไปบิณฑบาตบา้ นน้ำ� อนุ่ เกิดความคดิ อนั หน่ึงผุดข้ึนในจติ ว่า “เราเดนิ
ลงเขาไปนจี้ ะตอ้ งเจอชา้ งปา่ แนๆ่ ” ขณะทเ่ี ดนิ ลงมาถงึ เชงิ เขานน้ั ใชจ่ รงิ ๆ ไดเ้ จอชา้ งปา่
๔ เชอื ก แตล่ ะตวั ใหญม่ าก มงี ายาว ยนื ขวางทางอยู่ ทา่ นกย็ นื ดู รอใหม้ นั เดนิ เขา้ ปา่ ไป
ก็ไม่ไปสักที รอตงั้ นานเกรงว่าจะเสียเวลาเขา้ ไปบณิ ฑบาต ทา่ นจึงพดู กับมันวา่

“สิพากันมาขวางทางเฮาเฮ็ดอีหยังล่ะ บักตู้ใหญ่ เฮาสิไปบิณฑบาต ถ้าสิมา
เป็นเสี่ยวกัน กะอย่ามาขวางทางกันแม้ะ ถ้าบอกบ่ฟัง เฮาสิเอาไม้ตีก้นเอาเด๊ะ”
(จะพากนั มาขวางทางเราท�ำไม เราจะไปบณิ ฑบาต ถ้าจะมาเปน็ เพื่อนกนั ก็อย่ามา
ขวางทางกันซิ ถ้าบอกไมฟ่ งั เราจะเอาไม้ตกี ้นเอานะ)

พอพดู จบ ชา้ งฝงู นน้ั ตา่ งตวั ตา่ งกเ็ อาหวั ซกุ เขา้ ปา่ หนั กน้ ออกมา หลกี ทางใหท้ า่ น
ไดเ้ ดินไปบณิ ฑบาต ไปถงึ หมบู่ ้านน�ำ้ อ่นุ ชาวบ้านถาม “หลวงพ่อทำ� ไมมาบณิ ฑบาต
สายจังวันน้”ี ทา่ นตอบวา่ “ช้างป่ามาขวางทางเราไว”้ ชาวบ้านพูดวา่ “พวกผมอยู่น่ี
ยังไม่เคยเหน็ ช้างปา่ สกั ท”ี พอทา่ นกลบั จากบณิ ฑบาต กเ็ หน็ ขวากหนามท่ชี ้างมนั เอา
มาขวางทางไว้

135

คตธิ รรมจากงู

ครง้ั หนงึ่ อยแู่ ถบอำ� เภอคอนสาร จงั หวดั ชยั ภมู ิ อกี เหมอื นกนั เชา้ วนั หนง่ึ หลงั จากที่
ทา่ นกลบั จากบณิ ฑบาตในหมบู่ า้ น ปกตกิ จ็ ะมญี าตโิ ยมนำ� ภตั ตาหารหวานคาวมาถวาย
ท่ที า่ นพกั ปักกลดอยู่ หลงั จากให้ศีลให้พรญาตโิ ยมเสร็จแล้ว ขณะนัน้ มงี ตู วั หนึ่งอยู่
บนก่ิงไม้ ทำ� ทา่ ทางส่ายหัวไปมาอยไู่ มไ่ กลจากทห่ี ลวงปูก่ ำ� ลังน่งั อยู่เท่าใดนัก ทา่ นจงึ
ถามญาตโิ ยม

หลวงปู่ “โยมเหน็ งูตวั นน้ั ไหม มนั กำ� ลงั พดู ธรรมะใหฟ้ งั นะ”
โยม “เหน็ ครับหลวงปู่ แตไ่ ม่รวู้ ่ามนั กำ� ลงั พูดอะไร”
หลวงปู่ “งตู วั นน้ั กำ� ลงั พดู ผญา (คำ� กลอนสภุ าษติ อสี านเรยี กวา่ ผญา) กณั ฑใ์ หญ่
ให้ฟัง ตง้ั ใจฟังใหด้ ีนะ จะแปลเร่ืองท่งี พู ูดใหฟ้ ัง”
ญาตโิ ยมตา่ งพนมมอื ขน้ึ เพอ่ื รบั ฟงั ธรรมะจากหลวงปดู่ ว้ ยความสนใจใครร่ แู้ ละ
ตา่ งก็อยากจะรู้วา่ หลวงปจู่ ะพดู วา่ อะไร มเี นอ้ื ความเป็นอย่างไร
หลวงปู่เห็นว่าญาติโยมเตรียมพร้อมท่ีจะฟังเทศนาธรรมด้วยความต้ังใจ และ
เคารพนอบน้อมแล้ว จงึ ได้แปลธรรมะจากงเู ปน็ ผญาดงั น้ี

136

“มาเด้อ (มาส)ิ ไผ (ใคร) อยากหนีโลกกวา้ งทุกขใ์ หญใ่ นกองไฟ อย่าสิไปตาม
ตัณหาหมูก่ ามคุณห้า มาทำ� วิปัสสนาใหเ้ ห็นฮู้ (รู้) หาทางให้พน้ โศก ฮบี (รบี ) เรว็ ๆ
ญาติพ่นี อ้ งมันสิซ่า (จะช้า) ค่�ำทาง

ใหเ้ จา้ วางขนั ธห์ า้ อปุ มาใหเ้ จา้ หนา่ ย ขา้ วของหลายมากลน้ บเ่ หน็ เอาไปได้ ตายไป
ก็เสียเปลา่ ฝงู หมู่เจา้ คดิ เบง่ิ (ด)ู ให้มันคัก (แนช่ ัด) ให้ประจกั ษ์ในใจ ให้ฮำ่� ฮอน
(พจิ ารณา) ดบู า้ ง ฮบี (รบี ) หาทางไปหนา้ หาทางใหพ้ น้ โศก สมบตั ใิ นโลกนใ้ี หว้ างถมิ่
ปอ่ ยสา (วางทิง้ ปล่อยซะ)

มันเป็นไฟแสงจ้า เผาอุราให้วายวอดตลอดหมดทุกช้ันขุนข้าไพร่พล มันบ่
เหลอื หยงั (อะไร) คา้ ง กษตั รยิ ร์ าชจอมไตร แมน่ ไผๆ (ถงึ ใครๆ) กะ (ก)็ บเ่ หลอื หลอ
ดัง่ เดยี วกนั น่นั ลูกคนใด๋ (ใด) ใจต�ำ่ ทำ� ปน่ ป้ี ทรพเี ลวทรามหยามหมน่ิ ทา่ น เนรคณุ
เลวรา้ ยกลายเปน็ มาร สรา้ งสุสานขุมนรกหมกโต (ตวั ) เอง”

สุภาษติ นกี้ ินใจมาก ท่านเปรียบโลกคอื ชวี ติ นี้ ปญั หาส�ำคัญมากคอื ต่างคนตา่ ง
กม็ กี องไฟใหญส่ มุ อยใู่ นหวั อก คอื ราคคั คิ กองไฟคอื ความโลภราคะตณั หา โทสคั คิ
กองไฟคือโทสะความโกรธโมโหโทโส โมหัคคิ กองไฟคือโมหะความหลง อยู่ใน
กองไฟแต่ไมร่ ู้จักไฟ อยใู่ นกองทกุ ขแ์ ตไ่ ม่รูจ้ ักทุกข์ มองเหน็ เหย่ือล่อแต่ไม่เห็นเบ็ด
ต้องด้ินต้องรนทนเดือดร้อนวุ่นวายกันอยู่ท้ังโลก ไม่มีทางจบสิ้นได้ คนส่วนมาก
ไมม่ ตี า (ปัญญา) จงึ มองไมเ่ หน็ วา่ เปน็ ไฟ ผูม้ ตี า (ปญั ญา) แล้วสว่ นมากก็หนอี อก
จากกองไฟไม่ได้ เพราะบารมีคอื อินทรยี ย์ ังไม่แกก้ ล้า

ส่วนผู้ที่มีบารมีเต็มเปี่ยมแล้ว ย่อมมีอินทรีย์ ๕ ประการแก่กล้า อันได้แก่
มีศรัทธาแก่กลา้ ๑ มีวริ ิยะความเพยี รแกก่ ลา้ ๑ มสี ติแก่กล้า ๑ มสี มาธิแก่กล้า ๑
มปี ญั ญาแกก่ ลา้ ๑ ผเู้ ชน่ นยี้ อ่ มมตี าปญั ญา เหน็ โทษเหน็ ภยั ของกองไฟใหญค่ อื กเิ ลส
และเห็นโทษภัยของการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอันไม่มีท่ีจบสิ้น ย่อมหันมา
อบรมจติ ภาวนา เจรญิ สมถะและวปิ ัสสนาใหเ้ ห็นแจ้งชัดในอริยสจั ทั้ง ๔ ประจกั ษใ์ จ
แล้วยอ่ มถงึ ซ่งึ ฝ่ังแห่งความพ้นทุกขท์ ั้งปวงคือพระนิพพานไดโ้ ดยไม่ต้องสงสัย

137

เหตทุ ่ีไม่ฉันเน้ือสตั ว์

หลวงปู่ท่านจะพูดเกี่ยวกับการที่ท่านไม่ฉันเนื้อสัตว์ว่าดังน้ี “ปูปลาน้อยคืนลา
เมอื เมอื งเกลย้ี งออหลอ ยงั แตก่ บเขยี ดน้อยอีกสองมอ่ื จังซิต่าวเมือ” พวกปปู ลา หรอื
พวกสตั วใ์ หญม่ าลาทา่ นจนไมเ่ หลอื จะเหลอื แตก่ บเขยี ดหรอื พวกสตั วเ์ ลก็ ๆ อกี ไมน่ าน
กจ็ ะลากลบั เหมือนกนั เหตุท่ีลากลับกเ็ พราะมนุษย์กนิ หมด

ครง้ั หนง่ึ ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๐๐ หลวงปไู่ ดเ้ ทย่ี วธดุ งคไ์ ปตามสถานทต่ี า่ งๆ ตามปา่
ตามเขาลำ� เนาไพร ไดป้ กั กลดพกั ปฏบิ ตั ภิ าวนาอยใู่ ตต้ น้ ไมต้ น้ หนงึ่ ขณะนง่ั ภาวนาอยนู่ นั้
ไดป้ รากฏในนมิ ติ วา่ มพี วกวญิ ญาณของสตั วช์ นดิ ตา่ งๆ มาปรากฏตอ่ หนา้ ทา่ นเยอะแยะ
เตม็ ไปหมด ตา่ งตวั กต็ า่ งฟอ้ งรอ้ งเรยี นและลาตอ่ ทา่ นวา่ “พวกเราไดร้ บั ความเดอื ดรอ้ น
แสนสาหัสทุกขท์ รมานมาก เพราะต้องถูกพวกมนษุ ยห์ ูก้ินๆ (หูส้นั ๆ) ตามล่าฆ่ากิน
เปน็ อาหาร ขอใหห้ ลวงปไู่ ดโ้ ปรดแผเ่ มตตาและอทุ ศิ สว่ นบญุ สว่ นกศุ ลใหพ้ วกเราไดพ้ น้
จากทุกข์ด้วย ท่ีส�ำคัญขอให้หลวงปู่ได้ช่วยสั่งสอนพวกมนุษย์ทั้งหลายให้มีเมตตา
อย่าไดพ้ ากันเบียดเบียนพวกสัตว์ทงั้ หลายด้วยเถดิ ”

เมอื่ ท่านได้ฟังดังนนั้ กเ็ กิดความสังเวชสลดใจสะเทอื นใจเป็นอย่างยิ่ง สะเทือน
เขา้ ไปจนถงึ กน้ บง้ึ ของหวั ใจ ฝงั ลกึ มาก รสู้ กึ เมตตาสงสารพวกวญิ ญาณของสตั วเ์ หลา่ นน้ั
อย่างจบั ใจ โอ้ มนษุ ยห์ นอมนษุ ย์ คนหนอคน ชา่ งโหดร้ายใจดำ� เบยี ดเบยี นท�ำลาย
ชวี ติ ของผอู้ น่ื ไดโ้ ดยไมไ่ ดค้ ดิ ถงึ วา่ เขากม็ ชี วี ติ เรากม็ ชี วี ติ ตา่ งกร็ กั ตวั กลวั เจบ็ กลวั ตาย

138

กันทั้งนัน้ ไปฆา่ ไปแกงเขา รังแกเบียดเบยี นทำ� ลายเขาไดไ้ มเ่ ปน็ ไร กลับมคี วามสุข
มองไมเ่ หน็ ความทกุ ขข์ องผอู้ น่ื พอใจดใี จวา่ ตวั เองไดอ้ ยดู่ กี นิ ดี มนั เปน็ เชน่ นน้ี เ่ี องโลก
ใบนี้ เปน็ มาตง้ั แตด่ กึ ดำ� บรรพ์ แตไ่ หนแตไ่ รมาแลว้ มนษุ ยย์ อ่ มเอาเปรยี บสตั ว์ รงั แก
สตั วท์ ไ่ี มม่ ที างสู้ เมอื่ สง่ั สมบาปจติ ใจหยาบชา้ มากขนึ้ ไปกวา่ นน้ั อกี กร็ งั แกเบยี ดเบยี น
มนษุ ย์ด้วยกันเอง ถ้าโหดไปกวา่ นนั้ อีก จติ ใจไมร่ ู้จกั บญุ จกั บาปแลว้ ก็สามารถฆา่
แกงคนแลว้ แรเ่ นอื้ เถอื หนงั ชำ� แหละอวยั วะออกเปน็ ชน้ิ ๆ ไดโ้ ดยจติ ใจไมส่ ะดงุ้ สะเทอื น
เกรงกลวั ต่อบาปกรรมทตี่ วั เองจะไดร้ ับ

เมอ่ื ทา่ นพจิ ารณาเห็นดงั นน้ั จงึ ไดต้ ง้ั ใจวา่ “ตง้ั แตบ่ ดั นต้ี อ่ ไป จะฉนั แตอ่ าหารเจ
งดเวน้ เนอ้ื สตั วท์ กุ ชนดิ ” และไดต้ ง้ั ใจปฏบิ ตั ภิ าวนาอทุ ศิ สว่ นกศุ ลแผเ่ มตตาใหส้ รรพสตั ว์
ท้งั หลายไมม่ ที ส่ี ุดไม่มีประมาณท่ัวแดนโลกธาตุ

วนั ตอ่ มาทา่ นไดเ้ ดนิ ธดุ งคต์ อ่ ไป ขณะเดนิ อยกู่ ลางปา่ นน้ั กไ็ ดเ้ หน็ เหตกุ ารณแ์ ปลก
ประหลาดอนั น่าสลดหดหู่ จะเป็นนำ�้ มือของมนษุ ยค์ นใดก็สดุ ทจี่ ะเดาได้ ทา่ นไดเ้ ห็น
ภาพทน่ี า่ สงั เวชสลดใจยง่ิ นกั ทา่ นวา่ เหน็ พวกกบเขยี ดทงั้ หลายเอาคางตวั เองปกั เสยี บ
เขา้ กับหนามแท่ง ห้อยโตงเตงตายแห้งคาหนามอยเู่ ตม็ ไปหมด กท็ �ำให้ทา่ นยิง่ สงั เวช
สลดใจ เมตตาสงสารสรรพสตั วท์ งั้ หลายหนกั เขา้ ไปอกี เปน็ การตอกยำ�้ ถงึ ความตง้ั ใจที่
ไดต้ ง้ั ไวเ้ มอ่ื คนื นี้ แตน่ ตี้ อ่ ไปจะฉนั เฉพาะอาหารเจ งดเวน้ เนอื้ สตั ว์ และไดป้ ฏบิ ตั ติ าม
ความตั้งใจตง้ั แตน่ ้นั เป็นต้นมาจนถึงวันท่านมรณภาพ

เรื่องอาหารการกินนี้ องค์หลวงปู่ถึงแม้ท่านจะฉันอาหารที่ปราศจากเน้ือสัตว์
แต่ท่านก็ไม่ได้ชักชวนใครหรือแนะน�ำใครบังคับใครให้เอาอย่างท่านแต่ประการใด
ทา่ นปฏบิ ตั ขิ องทา่ นไปคนเดยี วอยา่ งนน้ั เพราะทา่ นรดู้ วี า่ เรอื่ งการอยกู่ ารกนิ น้ี ในคมั ภรี ์
พระไตรปฎิ ก พระพุทธเจา้ ก็ทรงบัญญัติไวช้ ดั เจนแล้ว เร่ืองเน้ือ ๓ ประการ คือ
ไมเ่ หน็ เขาฆา่ ๑ ไมไ่ ดย้ นิ วา่ เขาฆา่ ๑ ไมไ่ ดร้ งั เกยี จสงสยั วา่ เขาฆา่ เจาะจงมาถวายตน ๑
ทรงอนญุ าตใหพ้ ระภกิ ษุสามเณรฉนั ได้ไม่เป็นอาบัติ ถ้าตรงกนั ขา้ มจากน้ี คอื ไดเ้ หน็
ไดย้ ิน หรอื รังเกยี จสงสัยว่าเขาฆ่าเจาะจงมาถวายตน ท่านห้ามไมใ่ หฉ้ นั ถ้าฉันต้อง
อาบัตทิ ุกกฏ

139

อกี ประการหนง่ึ เนอ้ื ๑๐ ประการ ทพี่ ระพทุ ธเจ้าทรงห้าม คือ เน้ือช้าง เนอ้ื มา้
เนื้อราชสีห์ เนื้อเสือโคร่ง เนื้อเสือเหลือง เน้ือเสือดาว เน้ือหมี เนื้องู เน้ือสุนัข
เนอื้ มนษุ ย์ เนอ้ื ๑๐ ประการนที้ า่ นหา้ มไมใ่ หพ้ ระฉนั ถา้ รปู ไหนฉนั ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ
สว่ นฉนั เนื้อมนุษยแ์ ละเนื้อดบิ เป็นอาบัติถุลลัจจยั

แมห้ ลวงปมู่ นั่ ทา่ นกเ็ คยสอนลกู ศษิ ย์ (พระอาจารยอ์ นุ่ กลยฺ าณธมโฺ ม และคณะ)
สมัยพกั อยู่ป่าเปอะ จงั หวัดเชยี งใหม่ ว่า

“คนเรามนั ไม่ไดว้ ิเศษวิโสเพราะการกนิ ผักกนิ เนื้อนะ แตม่ นั วิเศษด้วยการกนิ
เพราะการพินิจพิจารณาโดยแยบคาย อันผักหญ้าเน้ือนั้นมันไม่ได้รู้เรื่องดีเรื่องช่ัว
เหมอื นคนเราจติ เราดอก พระธรรมคำ� สอนแงห่ นกั เบาตา่ งหากทเี่ รานำ� มาพนิ จิ พจิ ารณา
แลว้ น�ำมาสอนตนจะทำ� ให้เราดีข้ึนได้

เรอ่ื งกนิ อยู่หลบั นอนอะไรๆ พระพทุ ธเจา้ กท็ รงบัญญัตไิ ว้หมดแล้ว ไม่เห็นจะ
มปี ัญหาอะไรกับกินเจไมก่ ินเจ กินเนือ้ ไม่กินผัก กินแต่ผักไม่กินเน้ือ อนั ไหนกนิ ได้
ฉันได้ท่านก็บัญญัติไว้หมดแล้ว ถ้าท่านคิดว่าการกินแต่ผักท�ำให้ท่านเลิศเลอเป็น
ผู้วิเศษขึ้นมาได้ อันนี้ผมก็สุดปัญญาที่จะสอนท่าน ถ้าการกินแต่ผักอย่างท่านว่า
เป็นผู้บริสทุ ธสิ์ ิน้ กเิ ลสจบพรหมจรรย์ได้ มนุษยไ์ มไ่ ดส้ ิ้นกิเลสหรอก ววั ควายเป็นตน้
นน่ั แหละ มนั จะสน้ิ กเิ ลสกอ่ น เพราะมนั ไมไ่ ดก้ นิ เนอ้ื มนั กนิ แตห่ ญา้ เตม็ ปากเตม็ พงุ
มนั กนิ แต่ผกั แต่หญา้ ท�ำไมลูกมนั ถึงเตม็ ทอ้ งไรท่ อ้ งนา

ถ้าการกินแบบทา่ นวา่ เป็นของเลศิ วัวควายมนั เลศิ ก่อนแลว้ เพราะมันเกดิ มา
มันก็กินแล้วโดยไม่ต้องมีใครคอยสอน ถึงท่านกินยังไง มันก็ไม่เท่าวัวเท่าควาย
กนิ หรอก เพราะววั ควายมันปฏเิ สธเน้ือโดยประการท้งั ปวง กนิ แต่ผกั แตห่ ญ้า

ถา้ จะกนิ เจ ฉนั เจ กนิ ผกั ไมก่ นิ เนอ้ื ผมกไ็ มไ่ ดว้ า่ อะไร แตก่ ารไปหาตำ� หนคิ นโนน้
คนนี้ว่ากินเน้ือเป็นเปรตเป็นผี มันไม่สมควร แล้วก็มาหลงตน ยกยอตนว่าเป็น
ผู้ประเสริฐกว่าคนอื่นเขา ท่านดูใจของท่านเองก็ได้น่ีว่ามันประเสริฐตรงไหนหรือยัง
ถ้ายงั ไม่ประเสริฐ ให้รีบแก้ ราคะ โทสะ โมหะ ทเ่ี ผาหวั อยู่นนั่ ละ่ มนั เปน็ สิง่ ท่ที า่ น

140

ต้องแก้เสียโดยเร็วพลัน ไม่ใชว่ นั ๆ เทย่ี วแต่ชวนหาคนมากนิ ผกั ไอ้ผักน้นั ผมก็กิน
คนเรามนั ประเสรฐิ เลศิ ไดด้ ว้ ยความประพฤติ มใิ ชเ่ พราะการกนิ สว่ นเรอ่ื งการกนิ เปน็
เรือ่ งรองๆ อยา่ เอามาเปน็ เรอื่ งเอก” ดังนี้

อีกประการหนง่ึ การฉันเจน้ี หลวงปู่ผางท่านอนุโลมตามธาตขุ นั ธ์ขององคท์ ่าน
ดงั ทที่ า่ นเคยบอกลกู ศษิ ยล์ กู หา “ธาตขุ นั ธข์ องผมมนั ไมใ่ หแ้ ลว้ นะหมเู่ พอ่ื น ชว่ งหลงั มานี้
ฉนั เนอื้ อะไรแลว้ มนั ไมย่ อ่ ย จะฉนั อะไรกพ็ ากนั ฉนั ฉนั ตามไดต้ ามมตี ามเกดิ นน่ั แหละ”
สว่ นใครจะฉนั เหมอื นองคท์ า่ นหรอื ไมน่ นั้ ทา่ นกไ็ มไ่ ดว้ า่ อะไร แลว้ แตอ่ ธั ยาศยั ของใคร
ของมัน

141


Click to View FlipBook Version