101
พส.9
แผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยที่ 3
เวลารวม 4 ชว่ั โมง
รหสั 30201-2007 ช่อื วิชา การบัญชีภาษอี ากร สัปดาห์ 7/18
ช่อื หน่วย ภาษเี งินได๎บุคคลธรรมดาหัก ณ ท่จี าํ ย
เร่ือง ภาษีเงินได๎บุคคลธรรมดาหกั ณ ท่จี ําย จาํ นวน 4 ชว่ั โมง
1. สาระสาํ คญั
เงินได๎ท่ีกําหมายกําหนดให๎มีการหักภาษี ณ ที่จําย ซึ่งเป็นเงินสดท่ีได๎รับจากธุรกิจการให๎บริการเป็น
เงินไดท๎ ค่ี วบคุมยาก ถ๎าผรู๎ ับและผ๎จู ํายเงินสมยอมกันหลีกเลี่ยงภาษี และเป็นการยากท่ีจะหาหลักฐานมาพิสูจน์
รายรบั นัน้ ภาษหี ัก ณ ทจ่ี ํายจงึ เป็นเครอื่ งมือทางการภาษี ท่ีจะควบคุมผมู๎ เี งินไดท๎ ั้งบคุ คลธรรมดาและนิติบุคคล
โดยกําหนดให๎ผ๎จู ํายมหี นา๎ ทีห่ กั ภาษี ณ ท่จี ําย แล๎วนําสํงกรมสรรพากร ภายใน 7 วัน
2. สมรรถนะประจําหนว่ ย
2.1 คํานวณภาษีเงินได๎บุคคลธรรมดาหกั ณ ที่จาํ ยได๎
2.2 นอ๎ มนําหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งใช๎ในการปฏบิ ัติงานได๎
2.3 แสดงเจตคตแิ ละกจิ นสิ ัยทดี่ ใี นการปฏิบัติงานดว๎ ยความซือ่ สัตยแ์ ละรอบคอบได๎
3. จุดประสงค์การเรยี นรู้
3.1 แสดงความรเู๎ กี่ยวกบั การคาํ นวณภาษีเงนิ ได๎บุคคลธรรมดาหัก ณ ท่จี าํ ย ตามมาตรา 3 เตรสได๎
3.2 คาํ นวณภาษเี งนิ ได๎บคุ คลธรรมดาหัก ณ ทจี่ ําย ตามมาตรา 3 เตรสได๎
3.3 ปฏบิ ัติงานได๎อยํางถูกต๎อง และสําเรจ็ ภายในเวลาท่กี ําหนดอยาํ งมเี หตุผล และประหยัดตามหลกั
ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
3.4 กล๎าแสดงความคิดเหน็ อยาํ งมเี หตผุ ลและรับฟังความคดิ เห็นของผ๎อู น่ื
3.5 มีการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม คํานิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ได๎ในเร่ืองความมีมนุษย
สัมพันธ์ ความมวี ินัย ความรับผดิ ชอบ ความซื่อสัตยส์ จุ ริต ความเชื่อมั่นในตนเอง การประหยัด ความสนใจใฝุร๎ู
ความรักสามคั คี ความกตัญญกู ตเวที และตระหนกั ถึงการละเวน๎ จากสิ่งเสพติดและอบายมุขท้งั ปวง
4. สาระการเรียนรู้
การหกั ภาษี ณ ที่จาํ ย ตามมาตรา 3 เตรส
5. การออกแบบการจดั การเรียนรู้ ( เชํน เพ่ือนชวํ ยเพ่ือน Active learning ฯลฯ )
การออกแบบการจัดการเรียนรู๎ โดยใชว๎ ธิ ีการ Active learning
6. กิจกรรมการเรียนรู้
ข้นั นาํ เข้าสบู่ ทเรียน
6.1 ผู๎สอนทบทวนความร๎ูเดิมท่ีได๎ศึกษามาแล๎ว เกี่ยวกับภาษเี งินได๎บุคคลธรรมดา เพ่ือให๎สมั พนั ธ์กับ
เนือ้ หาสาระการเรยี นรู๎ใหมํ และประเมนิ ผลโดยการถาม-ตอบ
102
6.2 แจง๎ ผลการเรียนรู๎ทค่ี าดหวัง
ข้นั สอน
6.3 ผูส๎ อนอภิปรายหัวข๎อตามสาระการเรียนร๎ู และยกตัวอยาํ งของการหกั ภาษี ณ ทจ่ี ําย ตามมาตรา
3 เตรส
6.4 มอบหมายให๎ผ๎ูเรียนศกึ ษาคน๎ ควา๎ ตามหัวข๎อสาระการเรียนร๎ูทุกคน
6.5 ให๎ผเ๎ู รียนฝึกปฏบิ ัตกิ ารคํานวณภาษี และนําเสนอผลงานหนา๎ ชนั้ เรยี น และใหเ๎ พอ่ื นๆ คนอนื่ แสดง
ความคิดเห็น
6.6 ผู๎เรียนทําแบบประเมนิ ผลการเรยี นร๎ทู า๎ ยหนวํ ยเรียน
ข้ันสรุปและการประยกุ ต์
6.7 ผส๎ู อนและผ๎ูเรียนสรุปสาระสาํ คญั โดยการซักถาม และแสดงความคดิ เห็นรวํ มกนั
6.8 ผเู๎ รียนทําแบบประเมินผลการเรยี นรู๎ท๎ายหนํวยเรยี น
การบรู ณาการกบั หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง
1. ความพอเพียง
1.1 เตรยี มความพร๎อมด๎านวัสดุ อุปกรณส์ อดคล๎องกบั งาน ไดอ๎ ยาํ งถูกต๎องและใชว๎ ัสดุ
อุปกรณ์อยาํ งคุม๎ คาํ ประหยัด ตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
1.2 ผเู๎ รยี นจัดสรรเวลาในการปฏิบตั งิ านไดอ๎ ยาํ งเหมาะสม
2. ความมีเหตุผล
2.1 กลา๎ แสดงความคิดเห็นอยํางมเี หตผุ ล
2.2 ใช๎วสั ดุถกู ต๎องและเหมาะสมกับงาน
3. การมีภมู คิ ม๎ุ กนั ในตวั ท่ดี ี
3.1 มกี ารเตรยี มความพร๎อมในการเรียนและการปฏิบตั ิงาน
3.2 มีทักษะในการปฏิบัติงาน เข๎าใจอยาํ งถูกต๎อง เพอื่ การปฏบิ ัตงิ านท่มี ีประสทิ ธภิ าพ
3.3 ควบคมุ กิริยาอาการในสถานการณ์ตาํ งๆ ได๎เป็นอยํางดี
4. เงอ่ื นไขความรู๎
4.1 มีความรค๎ู วามเขา๎ ใจเกี่ยวกบั ภาษีเงนิ ได๎บุคคลธรรมดาหกั ณ ท่จี าํ ย
4.2 มีความรู๎ ความเข๎าใจเกีย่ วกบั หลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
5. เง่ือนไขคณุ ธรรม
5.1 ปฏบิ ัติงานท่มี อบหมายเสรจ็ ภายในกําหนดเวลา
5.2 มคี วามเพียรพยายาม กระตอื รือรน๎ ในการเรยี นและในขณะปฏิบตั ิงาน
7. บรรยากาศทส่ี ่งเสริมและพฒั นาผเู้ รียน
ผูเ๎ รียนมคี วามสนใจในการเรยี น เนอื่ งจากการสอนแบบ Active learning ทาํ ใหผ๎ ๎ูเรยี นมคี วาม
กระตือรอื ลน๎ และได๎แสดงความคิดเหน็ แลกเปลย่ี นความร๎ู สํงผลใหเ๎ กดิ ผลการเรียนรท๎ู ี่ดี
103
8. คณุ ธรรม จริยธรรมประจําหน่วย ( เชํน ความรับผดิ ชอบ ตรงตํอเวลา ความซ่อื สัตย์ ฯลฯ )
ความมมี นุษยสมั พันธท์ ี่ดี ความมวี ินยั ความรบั ผดิ ชอบ ความซื่อสัตย์สุจรติ ความเช่ือมน่ั ในตนเอง การ
ประหยัด ความสนใจใฝรุ ๎ู ความสามคั คี ความกตัญญู ละเวน๎ ส่ิงเสพตดิ /การพนัน ความคดิ ริเริม่ สรา๎ งสรรค์ การ
พึ่งตนเอง ความปลอดภยั ความอดทนอดกลน้ั ความมีคุณธรรม/จริยธรรม และการตรงตํอเวลา
9. สอื่ และแหล่งการเรยี นรู้
9.1 หนงั สือเรียน วชิ าการบัญชภี าษอี ากร ของสํานักพิมพ์เอมพนั ธ์
9.2 ใบความรู๎ เรอื่ ง ภาษเี งินไดบ๎ ุคคลธรรมดาหกั ณ ท่จี ําย
9.3 ใบงาน เรอ่ื ง ภาษีเงนิ ได๎บคุ คลธรรมดาหัก ณ ที่จาํ ย
9.4 ส่ือการสอน Power point เรอ่ื ง ภาษเี งินไดบ๎ ุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จําย
9.5 Internet
10. การวดั ผลและประเมนิ ผล ( เชนํ แบบทดสอบท๎ายบทเรยี น , แบบทดสอบกํอนเรยี น-หลงั เรียน )
10.1 แบบทดสอบท๎ายบทเรยี น เร่อื ง ภาษีเงนิ ไดบ๎ ุคคลธรรมดาหกั ณ ทีจ่ าํ ย
10.2 แบบทดสอบกํอนเรยี น เรอื่ ง ภาษเี งนิ ไดบ๎ คุ คลธรรมดาหัก ณ ทีจ่ าํ ย
10.3 แบบทดสอบหลงั เรียน เรื่อง ภาษีเงินไดบ๎ คุ คลธรรมดาหกั ณ ทีจ่ าํ ย
11. หลักฐานการเรยี นรู้
11.1 แบบฝึกหดั เรื่อง ภาษเี งินไดบ๎ คุ คลธรรมดาหัก ณ ท่จี าํ ย
11.2 ใบงาน เรอ่ื ง ภาษีเงนิ ได๎บคุ คลธรรมดาหัก ณ ท่จี ําย
12. เอกสารอ้างอิง
มนสั ชยั กรี ติผจญ. การบญั ชีภาษีอากร. กรงุ เทพฯ : บริษัท สาํ นกั พิมพเ์ อมพนั ธ์ จาํ กัด. 2563
104 พส.10
เคร่ืองมือทใ่ี ช้ในการประเมิน
รหัส 30201-2007 ช่ือวชิ า การบัญชีภาษีอากร ท-ป-น 2-2-3
แบบประเมินแบบประมาณค่า (Ratting scale) เกณฑ์การให้คะแนน
5 4 3 21
ประเดน็ การประเมนิ
1. มีการวางแผนงานทดี่ ี
2. สามารถปฏิบตั ิตามแผนงานท่ีได๎วางไว๎
3. สามารถวเิ คราะห์เลอื กได้วา่ ควรจัดทาอยา่ งไรให้ผลงานมีคณุ ภาพ
4. ใชง้ บประมาณในการจดั ทาอย่างประหยัด คุม้ คา่
5. รักษาสิ่งแวดลอ้ มในการปฏบิ ตั งิ าน
6. การปฏิบตั ิตนเปน็ ไปตามจุดประสงค์การเรยี นร๎ู
รวม
รวมท้งั หมด (5 คะแนน+4 คะแนน+3 คะแนน+2 คะแนน+1 คะแนน)
คะแนนรวม (90%)
105
พส.11
บนั ทกึ หลังการจดั การเรียนรู้
รหสั วชิ า.....30201-2007.......ช่ือวชิ า.........การบญั ชภี าษอี ากร..................................ระดับช้ัน ปวช. ปวส.
สาขางาน..............สบ.1 ปกต,ิ ทวภิ าค.ึ .........................สัปดาหท์ ่ี.....7.....วนั ที่สอน..........................................................
หนํวยที่......3......ชื่อหนวํ ย...........ภาษีเงนิ ได๎บคุ คลธรรมดาหกั ณ ทจี่ าํ ย...........................จาํ นวน........4........ชวั่ โมง
จํานวนผ๎ูเรยี น........…....คน มาเรียน...............คน ขาดเรยี น.............คน ลาปวุ ย............คน ลากิจ..............คน
1. ผลการจัดการเรยี นรู้
……………….……………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปญั หาและอุปสรรค
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………
3. ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ไข
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………
ลงชอ่ื .......................................................ครูผสู๎ อน
(นางสาวนภาพร คงวจิ ิตร)
........../................/............
ความเหน็ ................................................................................. ความเห็น.................................................................................
................................................................................................ ................................................................................................
ลงช่อื ...............................................หวั หนา๎ แผนกวชิ า ลงชือ่ ............................................รองผ๎ูอาํ นวยการฝุายวชิ าการ
(นางทพิ วรรณ เหราบตั ย์) (นางสาวนศิ ากร เจรญิ ดี)
............/................../............ ............/................../............
ความเห็นผอู๎ ํานวยการ.................................................................................
....................................................................................................................
ลงชอ่ื ...........................................
(นางสาวสมุ ีนา แดงใจ)
ผอ๎ู าํ นวยการวทิ ยาลยั การอาชพี นครปฐม
............/................../............
106
พส.12
ใบความรู้ (Information Sheets)
รหสั 30201-2007 ชื่อวชิ า การบัญชภี าษอี ากร
ช่อื หน่วย ภาษเี งนิ ได๎บุคคลธรรมดาหัก ณ ทีจ่ าํ ย
เรื่อง ภาษีเงินได๎บุคคลธรรมดาหัก ณ ทีจ่ าํ ย จาํ นวนช่ัวโมงสอน 1 ช่ัวโมง
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ รายการเรยี นรู้
- จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม
1. แสดงความรู๎เกยี่ วกบั การคาํ นวณภาษเี งินได๎ การหักภาษี ณ ที่จําย ตามมาตรา 3 เตรส
บุคคลธรรมดาหกั ณ ที่จาํ ย ตามมาตรา 3 เตรสได๎
2. คาํ นวณภาษีเงินไดบ๎ ุคคลธรรมดาหกั ณ ทีจ่ ําย
ตามมาตรา 3 เตรสได๎
3. ปฏิบัตงิ านได๎อยาํ งถูกตอ๎ ง และสาํ เรจ็ ภายในเวลา
ที่กาํ หนดอยาํ งมีเหตุผล และประหยดั ตามหลักปรชั ญา
ของเศรษฐกจิ พอเพียง
4. กล๎าแสดงความคดิ เห็นอยาํ งมีเหตุผลและรบั ฟัง
ความคิดเห็นของผ๎ูอน่ื
5. มกี ารพัฒนาคุณธรรม จรยิ ธรรม คํานยิ ม และ
คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ได๎ในเรอ่ื งความมีมนษุ ย
สมั พันธ์ ความมีวนิ ัย ความรบั ผดิ ชอบ ความซ่อื สัตยส์ จุ รติ
ความเชื่อมัน่ ในตนเอง การประหยัด ความสนใจใฝุรู๎
ความรักสามัคคี ความกตญั ญูกตเวที และตระหนกั ถงึ การ
ละเวน๎ จากสิ่งเสพตดิ และอบายมขุ ทง้ั ปวง
เนือ้ หาสาระ
ตามที่ได๎มีคําสั่งกรมสรรพากร ท่ี ท.ป.4/2528 เร่ือง สงั่ ให๎ผู๎จาํ ยเงนิ ได๎พงึ ประเมนิ ตามมาตรา 40
แหงํ ประมวลรัษฎากร มีหนา๎ ที่หักภาษีเงนิ ได๎ ณ ทีจ่ ําย ลงวันที่ 26 กนั ยายน พ.ศ.2528 โดยมผี ลใชบ๎ งั คับ
สาํ หรับการจํายเงินได๎พึงประเมนิ ตง้ั แตวํ นั ที่ 26 กันยายน พ.ศ.2528 เป็นต๎นไป ตํอมาได๎มกี ารแก๎ไขเพ่ิมเติม
โดยคําส่ังกรมสรรพากรที่ ท.ป.18/2530 ฯ ลงวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ.2530 กาํ หนดให๎ผซู๎ ้ือสินค๎าซง่ึ เปน็ ผู๎ไมํมี
หน๎าทเ่ี สียภาษีเงนิ ได๎มหี น๎าที่หักภาษี ณ ท่ีจําย สาํ หรับการจาํ ยเงนิ ได๎พงึ ประเมนิ ต้งั แตํวันท่ี1 กันยายน 2530
เป็นต๎นไป นนั้
บัดน้ี ได๎มีกฎกระทรวง ฉบบั ที่ 175 (พ.ศ.2530) ออกตามความในประมวลรัษฎากรวาํ ดว๎ ยภาษี
เงนิ ได๎เพื่อขยายขอบเขตการหักภาษีเงินได๎ ณ ที่จาํ ย ให๎กวา๎ งขวางยิ่งขึ้น อันจะมีสวํ นขยายฐานภาษีออกไป
และสรา๎ งความเป็นธรรมระหวาํ งผูม๎ ีเงนิ ได๎ด๎วยกัน ตลอดจนผอํ นคลายภาระในการชําระภาษีจาํ นวนมากใน
107
ตอนสิน้ ปี และการหลกี เลี่ยงภาษอี ากรได๎อกี ทางหนงึ่ ดว๎ ย จึงจําเป็นต๎องแก๎ไขคําสั่งกรมสรรพากรดังกลาํ วให๎
สอดคลอ๎ งกบั กฎกระทรวงฉบับดงั กลาํ ว โดยกรมสรรพากรไดอ๎ อกคาํ ส่งั ท่ี ท.ป.19/2530 ฯ ลงวนั ที่ 22
ตลุ าคม พ.ศ.2530
กรมสรรพากรจงึ ประกาศมาเพือ่ ทราบทัว่ กันวํา สําหรับการจํายเงินได๎พึงประเมนิ บางประเภท
ดงั ตอํ ไปนี้ ตั้งแตํวันท่ี 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2530 เป็นต๎นไป ผจู๎ ํายเงนิ มีหนา๎ ทีต่ ๎องหักภาษี ณ ทีจ่ ําย ดงั น้ี คือ
ขอ้ 1 กรณจี าํ ยดอกเบ้ียเงนิ ฝาก ดอกเบี้ยต๋ัวเงิน ถา๎ ผจู๎ ํายเปน็ ธนาคารตามกฎหมายวําดว๎ ยการ
ธนาคารพาณชิ ย์ และบรษิ ทั ตามกฎหมายวาํ ดว๎ ยการประกอบธุรกิจเงนิ ทุนธุรกิจหลักทรัพย์ และธรุ กจิ
เครดติ ฟองซิเอร์ ไดจ๎ ํายเงนิ ได๎ดงั กลาํ วใหแ๎ กผํ ๎รู บั ซ่ึงเป็นบริษัทหรอื ห๎างห๎ุนสวํ นนิติบคุ คลท่ีประกอบกิจการใน
ประเทศไทย หกั ภาษี ณ ท่จี าํ ย ยงั คงใหห๎ กั ภาษี ณ ท่ีจําย ในอัตราร๎อยละ 1.0 เหมือนเดิม แตถํ ๎าจาํ ยให๎กับ
มูลนธิ ิ หรือสมาคมที่มิใชํมลู นิธหิ รอื สมาคมทรี่ ฐั มนตรีประกาศกําหนดเดิมให๎หกั ภาษี ณ ท่จี ําย ไวใ๎ นอัตราร๎อย
ละ 5.0 ได๎กําหนดอตั ราใหมํเป็นให๎หักในอัตรารอ๎ ยละ 10.0
ข้อ 2 กรณีจํายเงนิ ปันผล เงนิ สํวนแบงํ ของกาํ ไรหรอื ประโยชนอ์ ื่นใดที่ไดจ๎ ากบริษัทหรือหา๎ ง
หน๎ุ สํวนนิตบิ คุ คล (แตํไมํรวมถึงกิจการรวํ มค๎า) ถา๎ ผ๎ูจํายเป็นบรษิ ทั หรือห๎างหุน๎ สํวนนิตบิ ุคคลท่ตี ้ังข้นึ ตาม
กฎหมายไทยกองทุนรวมสถาบันการเงินที่มกี ฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทย จดั ตั้งขึ้นสาํ หรบั ใหก๎ ู๎ยืมเงนิ
เพอื่ สงํ เสริมเกษตรกรรม พาณชยิ กรรม หรอื อุตสาหกรรม จาํ ยเงินไดด๎ งั กลาํ วใหแ๎ กํผ๎รู บั ซึ่งเปน็ บริษัทหรือห๎าง
ห๎นุ สวํ นนิตบิ คุ คลท่ตี ัง้ ข้นึ ตามกฎหมายของตํางประเทศประกอบกจิ การในประเทศไทย หรือจํายใหก๎ บั บริษัท
หรอื ห๎างหุ๎นสํวนนติ ิบคุ คลทีต่ ั้งข้นึ ตามกฎหมายไทยได๎กําหนดอัตราใหมํเป็นใหห๎ กั ภาษี ณ ท่จี ําย ในอตั รารอ๎ ย
ละ 10.0 แตํถา๎ ผร๎ู บั เป็นบริษัทจดทะเบยี นในตลาดหลกั ทรพั ยแ์ หํงประเทศไทย ผ๎ูจํายไมํตอ๎ งหักภาษี ณ ทีจ่ ําย
ขอ้ 3 กรณจี าํ ยคาํ เชาํ หรือประโยชนอ์ ยํางอื่นทไี่ ดเ๎ นื่องจากการใหเ๎ ชาํ ทรัพย์สนิ แตํไมรํ วมถึงคํา
แหํงอาคารหรอื โรงเรือนทไ่ี ดร๎ ับกรรมสทิ ธ์ิ ถา๎ ผ๎ูจํายเป็นบริษัทหรอื ห๎างหุ๎นสวํ นนิติบคุ คลอื่น จาํ ยเงนิ ไดด๎ งั กลาํ ว
ใหแ๎ กํผ๎รู บั ดงั ตํอไปนี้ ได๎กําหนดให๎หกั ภาษี ณ ท่จี าํ ย ดังน้ี คือ
(1) ผร๎ู ับเปน็ ผ๎มู หี น๎าท่ีเสียภาษีเงนิ ไดบ๎ ุคคลธรรมดา ใหห๎ กั ในอตั ราร๎อยละ 5.0
(2) ผ๎รู บั เปน็ บริษัทหรือห๎างหุ๎นสํวนนิติบุคคลท่ีประกอบกิจการในประเทศไทย ใหห๎ ักใน
อัตราร๎อยละ 5.0
(3) ผร๎ู บั เปน็ มลู นิธหิ รือสมาคมทมี่ ิใชมํ ลู นธิ หิ รอื สมาคมทีร่ ัฐมนตรปี ระกาศกําหนดให๎หกั
ภาษีในอตั ราร๎อยละ 10.0
ขอ้ 4 กรณจี าํ ยเงินไดจ๎ ากวชิ าชพี อสิ ระ คือ วิชากฎหมาย การประกอบโรคศลิ ปะ วศิ วกรรม
สถาปัตยกรรม การบญั ชี ประณีตศลิ ปกรรม เดิมใหห๎ กั ภาษี ณ ท่ีจาํ ย ไว๎ในอัตรารอ๎ ยละ 2.0 ได๎กําหนดอัตรา
ใหมํเป็นใหห๎ ักภาษีในอัตราร๎อยละ 3.0
ขอ้ 5 กรณีจํายคาํ จ๎างทําของ ถ๎าผู๎จํายเป็นบรษิ ัทหรอื หา๎ งหุ๎นสํวนนิติบุคคลหรอื นติ ิบคุ คลอื่น
ไดก๎ ําหนดให๎หักภาษี ณ ท่จี าํ ย ในอัตราร๎อยละ 3.0 สาํ หรบั การจาํ ยเงนิ ได๎ดังกลาํ วให๎แกํผ๎ูรับดังตอํ ไปนี้
(1) ผู๎รบั ซึง่ เปน็ ผ๎ูมีหนา๎ ทเี่ สยี ภาษีเงินได๎บุคคลธรรมดา เฉพาะคาํ จ๎างทําของท่ีเข๎าลักษณะ
เปน็ เงินได๎พึงประเมนิ ตามมาตรา 40(7) คือ เงินได๎จากการรบั เหมาทีผ่ ๎รู บั เหมาต๎องลงทุน ดว๎ ยการจดั หา
สัมภาระในสํวนสําคญั นอกจากเคร่ืองมือ หรอื คําจา๎ งทําของอยาํ งอนื่ ทีเ่ ข๎าลกั ษณะเป็นเงินได๎พึงประเมนิ ตาม
108
มาตรา 40(8) แหงํ ประมวลรัษฎากร
(2) ผ๎รู ับซงึ่ เปน็ บริษทั หรือหา๎ งหนุ๎ สํวนนติ ิบุคคลท่ตี ัง้ ข้ึนตามกฎหมายไทยแตไํ มํรวมถงึ
มูลนธิ ิหรอื สมาคม สาํ หรบั คําจ๎างทาํ ของทุกอยําง
(3) ผรู๎ ับซ่งึ เป็นบรษิ ัทหรือห๎างหนุ๎ สํวนนติ ิบคุ คลท่ีตง้ั ขึ้นตามกฎหมายของตํางประเทศ
ประกอบกิจการในประเทศไทย โดยมีสํานกั งานสาขาตงั้ อยํเู ป็นการถาวรในประเทศไทย สําหรบั คาํ จา๎ งทําของ
ทุกอยําง
สวํ นการจํายเงนิ คาํ จ๎างทําของให๎แกบํ ริษัทหรอื ห๎างห๎นุ สวํ นนติ ิบุคคลทตี่ ง้ั ขึ้นตามกฎหมาย
ของตํางประเทศที่มิได๎มสี ํานักงานสาขาตง้ั อยูํเปน็ การถาวรในประเทศไทย ยังคงให๎หักภาษี ณ ท่ีจําย ไวใ๎ น
อัตราร๎อยละ 5.0 เหมือนเดิมตามคาํ ส่งั กรมสรรพากรที่ ป.8/2528 ฯ ลงวนั ท่ี 12 เมษายน พ.ศ.2528
ขอ้ 6 กรณจี ํายรางวัลในการประกวด การแขงํ ขัน การชิงโชค หรือการอื่นใดอนั มีลักษณะ
ทาํ นองเดยี วกัน ยังคงใหห๎ กั ภาษี ณ ที่จําย ไวใ๎ นอตั ราร๎อยละ 5.0 เหมือนเดิม
ข้อ 7 กรณจี ํายเงินได๎ให๎แกํนกั แสดงสาธารณะ คือ นกั แสดงละคร ภาพยนตรว์ ทิ ยุหรือ
โทรทัศน์ นักร๎อง นกั ดนตรี นักกฬี าอาชีพ หรอื นักแสดงเพื่อความบันเทงิ ใด ๆ เดิมให๎หกั ภาษี ณ ท่จี าํ ยไวใ๎ น
อัตรารอ๎ ยละ 3.0 ไดก๎ าํ หนดอัตราใหมเํ ปน็ ให๎หกั ภาษี ณ ทจ่ี ํายในอัตราร๎อยละ 5.0
ข้อ 8 กรณจี าํ ยคําโฆษณา ยังคงใหห๎ ักภาษี ณ ทีจ่ ํายไว๎ในอตั ราร๎อยละ 2.0 เหมอื นเดิม
ข้อ 9 กรณีจาํ ยคาํ ซ้ือสตั ว์น้ํา ทั้งท่มี ชี ีวิตและไมํมีชวี ติ และสวํ นตําง ๆ ของสตั ว์นํา้ ไมํวาํ จะสด
หรอื แชํเย็น แชํเย็นจนแข็ง หรือกระทาํ ดว๎ ยประการใด ๆ เพ่ือรักษาไว๎มใิ หเ๎ ปื่อยเนาํ ในระหวํางการขนสงํ ถ๎าผ๎ู
จาํ ยเป็นบคุ คล บริษทั หรือห๎างห๎นุ สํวนนิติบุคคล หรอื นติ บิ ุคคลอ่นื หา๎ งหุน๎ สํวนสามญั หรือคณะบุคคลที่มิใชํ
นิติบคุ คลเฉพาะกรณีท่ผี ู๎จํายเปน็ ผสู๎ ํงออก หรอื ผูผ๎ ลิตภัณฑ์ใด ๆ จากสัตวน์ ํ้า และผ๎ูผลิตอยใํู นบงั คบั ต๎องขอ
อนุญาตตงั้ โรงงานตามกฎหมายวาํ ด๎วยโรงงานไดก๎ าํ หนดให๎หักภาษี ณ ทจ่ี าํ ย ในอตั ราร๎อยละ 1.0
ข้อ 10 การจํายเงินทกุ กรณีดังกลําว ผ๎ูมหี น๎าทหี่ กั ภาษี ณ ท่ีจําย ต๎องนาํ สํงภาษที ่ีต๎องหักดว๎ ย
แบบ ภ.ง.ด.3 สําหรับกรณผี ๎ูถูกหักท่ีมหี นา๎ ที่เสียภาษีเงินได๎บคุ คลธรรมดา หรอื แบบ ภ.ง.ด.53 สําหรับกรณที ี่ผู๎
หกั มีหน๎าท่ีเสยี ภาษีเงนิ ได๎นิติบุคคล ณ ที่วาํ การอําเภอหรือเขตท๎องที่ภายใน 7 วันนับแตํวันส้ินเดอื นทจี่ ํายไมํ
วําจะไดห๎ ักภาษีดังกลําวไว๎แล๎วหรอื ไมํ สําหรบั การจาํ ยเงินให๎แกผํ ูร๎ บั รายหนึ่ง ๆ ตง้ั แตํ 500 บาทขึ้นไป และ
เม่ือไดห๎ ักภาษีไว๎แลว๎ ผ๎ูหักภาษีจะตอ๎ งออกหนังสือรับรองการหกั ภาษี ณ ที่จาํ ยจํานวน 2 ฉบับ มีข๎อความ
ถูกต๎องตรงกนั ให๎แกํผ๎ถู กู หักภาษีด๎วย
ในกรณมี ขี ๎อสงสัยใด ๆ โปรดตดิ ตํอสอบถามได๎ท่ีกองกฎหมายและระเบยี บ หรือฝุาย
ประชาสัมพันธก์ รมสรรพากร สํานกั งานสรรพากรเขต สํานักงานสรรพากรเขตพ้นื ที่ สํานักงานสรรพากร
จังหวดั สํานกั งานสรรพากรอําเภอหรือเขต แหงํ หนงึ่ แหํงใดกไ็ ด๎
ทกุ ครั้งทีม่ ีการจาํ ยเงนิ ทเี่ ก่ียวกบั คาํ จา๎ ง คํานายหนา๎ คาํ จ๎างรบั ทําของ คําโฆษณา คําเชํา
ดอกเบยี้ การรบั เหมา และอื่น ๆ ให๎คาํ นวณจากฐานเงนิ ได๎แตํละประเภท (กํอนVAT) คณู กบั อตั รา
ภาษกี จ็ ะไดภ๎ าษหี ัก ณ ท่จี ําย เชํน
ตัวอย่าง จํายคาํ แรงนายรักษา ผูร๎ บั เหมาชํวงงานระบบไฟฟูา โครงการ AA งวดที่ 1 จํานวน 50,000 บาท
คํานวณ คําแรงผูร๎ บั เหมา 50,000 บาท
109
หกั ภาษเี งินได๎ ณ ทจี่ าํ ย (50,000x3%๗ 4,500 บาท
เงนิ สทุ ธิท่ตี ๎องจาํ ยใหน๎ ายรกั ษา 45,500 บาท
กจิ การในฐานะผ๎ูจํายจะต๎องดําเนินการตามนี้
- ออกหนังสอื รับรองหกั ณ ที่จาํ ยให๎นายรักษา เป็นเงนิ จาํ นวน 4,500 บาท
- กรอกรายการในแบบนาํ สงํ ภาษี ภ.ง.ด. 3
- นาํ สํงภาษใี หก๎ รมสรรพากรในเดอื นถัดไปของเดือนทจ่ี าํ ยเงินตามจํานวนเงนิ ที่หัก
ไว๎ 4,500 บาท
การบันทกึ บัญชี (ใบสาํ คญั จําย)
เดบิต คําแรงรับเหมา-นาย รักษา 50,000
เครดติ ภาษีหัก ณ ทีจ่ ําย ภ.ง.ด. 3 4,500
เงนิ สด/เงินฝากธนาคาร 45,500
แบบฝกึ หัด/คาํ ถาม/ปญั หา
1. บรษิ ทั สามสาว จํากัด จํายคําเชาํ สาํ นักงาน ใหน๎ ายโชติ เดอื นละ 120,000 บาท เพ่ือใชเ๎ ปน็ สถานที่
ดาํ เนนิ งานของสาขาในประเทศไทย
เฉลยคําตอบ
1. การคํานวณ
คาํ เชําสาํ นักงาน (มาตรา40(5)) 120,000.-
หัก ภาษเี งินไดห๎ กั ณ ทจ่ี าํ ย (120,000 x 5%) 6,000.-
คงเหลอื คําเชาํ สาํ นกั งาน 114,000.-
ดังนัน้ บรษิ ทั ต๎องหักภาษีเงินได๎ ณ ทจี่ ําย เดือนละ 6,000 บาท
การบันทกึ บญั ชเี ป็นดงั นี้
สมดุ รายวันท่ัวไป หนา๎ 1
พ.ศ. 25… รายการ เลขที่ เดบิต เครดติ
เดือน วนั ที่ บัญชี บาท ส.ต. บาท ส.ต.
ม.ค. 31 คําเชาํ สาํ นักงาน 120,0 0 -
เงนิ สด 114,000 -
ภาษีเงินไดห๎ ัก ณ ทจ่ี าํ ย 6,000 -
จํายเงินปันผลให๎นายรงํุ โรจน์
ก.พ. 7 ภาษเี งนิ ได๎หัก ณ ท่ีจาํ ย 6,000 -
เงินสด 6, 00 -
นาํ ภาษีหกั ณ ทีจ่ ําย สํงกรมสรรพากร
เอกสารอ้างอิง/เอกสารคน้ ควา้ เพิ่มเตมิ
มนัสชัย กีรตผิ จญ. การบัญชีภาษีอากร. กรุงเทพฯ : บริษทั สํานักพิมพ์เอมพันธ์ จํากดั . 2563
110
พส.12
แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้หน่วยที่ 3
รหัส 30201-2007 ชอื่ วชิ า การบญั ชภี าษอี ากร
ช่อื หน่วย ภาษเี งินไดบ๎ ุคคลธรรมดาหกั ณ ทีจ่ ําย
เรื่อง ภาษเี งนิ ได๎บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จาํ ย จาํ นวนช่ัวโมงสอน 1 ชวั่ โมง
จงเลอื กคําตอบทถี่ ูกต๎องทสี่ ุดเพยี งข๎อเดียว
1. ขอ๎ ใดเปน็ เงนิ ไดต๎ ามมาตรา 40 (1) ทีเ่ กดิ จากการจา๎ งแรงงาน
ก. คาํ สวํ นลด
ข. เบี้ยประชุม
ค. คําธรรมเนียม
ง. คําจ๎าง
2. การจํายคาํ ลิขสทิ ธ์ิ ให๎แกผํ ๎รู บั ซ่ึงมไิ ด๎อยูใํ นประเทศไทย ให๎หักภาษี ณ ท่จี าํ ยในอัตราใด
ก. ร๎อยละ 30
ข. รอ๎ ยละ 20
ค. รอ๎ ยละ 15
ง. รอ๎ ยละ 10
3. การจํายเงินปนั ผล ให๎แกํผู๎รบั ซ่งึ มิได๎อยใํู นประเทศไทย ให๎หักภาษี ณ ท่จี าํ ยในอัตราใด
ก. รอ๎ ยละ 30
ข. ร๎อยละ 20
ค. รอ๎ ยละ 15
ง. รอ๎ ยละ 10
4. คาํ วชิ าชีพอสิ ระที่จํายให๎แกผํ ร๎ู ับซง่ึ มิไดอ๎ ยใํู นประเทศไทยใหค๎ ํานวณหักภาษี ณ ที่จาํ ยในอัตราใด
ก. ร๎อยละ 30
ข. รอ๎ ยละ 20
ค. ร๎อยละ 15
ง. รอ๎ ยละ 10
5. ในกรณที ีผ่ ม๎ู หี นา๎ ท่ีหักภาษี ณ ท่ีจาํ ยไมยํ อมหกั ภาษีและไมนํ าํ สํงภาษี ต๎องรบั ผิดตามขอ๎ ใด
ก. สวํ นเงินเพม่ิ อีกรอ๎ ยละ 1.5
ข. ปรบั ไมเํ กิน 2,000 บาท
ค. ออกหนังสือรบั รองภาษีหัก ณ ทีจ่ าํ ย
ง. ถกู ทกุ ขอ๎
111
6. การหักภาษี ณ ที่จํายมาตรา 50(1)กรณีจํายเงนิ ไดพ๎ ึงประเมินตามมาตรา 40(1) (2) จะย่ืนรายการแบบใด
ก. แบบ ภ.ง.ด. 1
ข. แบบ ภ.ง.ด. 2
ค. แบบ ภ.ง.ด. 3
ง. แบบ ภ.ง.ด. 53
7. การหกั ภาษี ณ ที่จํายมาตรา 50(1) กรณีจํายคําลิขสิทธิ์ ควรย่ืนแบบแสดงรายการตามข๎อใด
ก. แบบ ภ.ง.ด. 1
ข. แบบ ภ.ง.ด. 2
ค. แบบ ภ.ง.ด. 3
ง. แบบ ภ.ง.ด. 53
8. การหกั ลดหยํอนดอกเบ้ียเงนิ กเู๎ พ่อื ที่อยอํู าศัย สามารถหกั ได๎ทง้ั ส้ินจาํ นวนเทําใด
ก. 10,0000 บาท
ข. 40,0000 บาท
ค. 50,0000 บาท
ง. เทาํ ทีจ่ าํ ยจรงิ ไมเํ กนิ 100,000 บาท
9. เงินได๎พงึ ประเมนิ ตามมาตรา 40(1)(2) หกั ภาษี ณ ท่ีจํายในอตั ราใด
ก. รอ๎ ยละ 10
ข. รอ๎ ยละ 15
ค. อัตราก๎าวหน๎า
ง. รอ๎ ยละ 20
10. เงนิ ได๎พงึ ประเมินตามมาตรา 40(4)(ก) ซึ่งผู๎มีหน๎าท่ีหักภาษีไมํใชํนิติบุคคล และผ๎ูรับเงินอยํูในประเทศไทย
สามารถหกั ภาษี ณ ที่จาํ ย ไดใ๎ นอตั ราใด
ก. อตั รากา๎ วหนา๎
ข. อตั ราร๎อยละ 15
ค. รอ๎ ยละ 1
ง. ไมํต๎องหกั ภาษี
112
พส.12
เฉลยแบบประเมนิ ผลการเรียนรู้หนว่ ยท่ี 3
รหัส 30201-2007 ชอ่ื วิชา การบญั ชภี าษีอากร
ชอ่ื หน่วย ภาษเี งนิ ไดบ๎ คุ คลธรรมดาหกั ณ ท่ีจําย
เรื่อง ภาษีเงนิ ได๎บคุ คลธรรมดาหกั ณ ที่จาํ ย จํานวนช่ัวโมงสอน 1 ชั่วโมง
จงเลือกคําตอบท่ีถูกตอ๎ งท่ีสดุ เพียงข๎อเดยี ว
1. ข๎อใดเป็นเงินไดต๎ ามมาตรา 40 (1) ทเี่ กดิ จากการจ๎างแรงงาน
ง. คาํ จา๎ ง
2. การจาํ ยคาํ ลิขสิทธ์ิ ให๎แกผํ ู๎รับซึง่ มิได๎อยใํู นประเทศไทย ให๎หกั ภาษี ณ ทีจ่ าํ ยในอตั ราใด
ค. รอ๎ ยละ 15
3. การจาํ ยเงนิ ปันผล ให๎แกํผร๎ู ับซง่ึ มไิ ดอ๎ ยใํู นประเทศไทย ใหห๎ ักภาษี ณ ที่จํายในอัตราใด
ง. รอ๎ ยละ 10
4. คําวิชาชีพอสิ ระทีจ่ ํายให๎แกํผรู๎ ับซง่ึ มไิ ดอ๎ ยูใํ นประเทศไทยให๎คํานวณหักภาษี ณ ทจ่ี าํ ยในอัตราใด
ค. ร๎อยละ 15
5. ในกรณที ผี่ ๎ูมหี นา๎ ท่ีหักภาษี ณ ท่ีจํายไมํยอมหักภาษแี ละไมนํ าํ สงํ ภาษี ต๎องรบั ผิดตามข๎อใด
ก. สํวนเงินเพิม่ อีกร๎อยละ 1.5
6. การหักภาษี ณ ท่จี าํ ยมาตรา 50(1)กรณจี ํายเงนิ ได๎พึงประเมนิ ตามมาตรา 40(1) (2) จะยน่ื รายการแบบใด
ก. แบบ ภ.ง.ด. 1
7. การหักภาษี ณ ท่ีจํายมาตรา 50(1) กรณีจาํ ยคําลขิ สิทธิ์ ควรยื่นแบบแสดงรายการตามขอ๎ ใด
ข. แบบ ภ.ง.ด. 2
8. การหกั ลดหยอํ นดอกเบย้ี เงนิ กเู๎ พอ่ื ท่ีอยํูอาศัย สามารถหกั ไดท๎ ้งั ส้นิ จาํ นวนเทําใด
ค. 50,0000 บาท
9. เงนิ ไดพ๎ งึ ประเมนิ ตามมาตรา 40(1)(2) หกั ภาษี ณ ท่ีจาํ ยในอัตราใด
ค. อัตราก๎าวหนา๎
10. เงินได๎พงึ ประเมนิ ตามมาตรา 40(4)(ก) ซึ่งผ๎ูมีหน๎าที่หักภาษีไมํใชํนิติบุคคล และผู๎รับเงินอยํูในประเทศไทย
สามารถหกั ภาษี ณ ท่จี าํ ย ได๎ในอตั ราใด
ง. ไมํต๎องหักภาษี
113
พส.12
แบบทดสอบทักษะหนว่ ยที่ 3
รหสั 30201-2007 ช่ือวิชา การบญั ชีภาษีอากร
ชื่อหน่วย ภาษเี งินได๎บคุ คลธรรมดาหัก ณ ทจ่ี าํ ย
เรอ่ื ง ภาษเี งนิ ไดบ๎ ุคคลธรรมดาหกั ณ ทจ่ี าํ ย จํานวนช่ัวโมงสอน 1 ช่ัวโมง
ข๎อ 1 บรษิ ทั เอ.ไอ.เอ จาํ กดั ได๎จาํ ยคําคอมมชิ ชัน่ ให๎นางสาวสุดา ซงึ่ เป็นตวั แทนขายประกนั ชวี ติ ดังนี้
เดอื น มกราคม จาํ นวน 200,000 บาท
เดอื น มีนาคม จาํ นวน 250,000 บาท
เดือน เมษายน จาํ นวน 300,000 บาท
ให๎ทํา การคํานวณและบันทกึ บัญชีการหักภาษี ณ ทีจ่ ําย ของนางสาวสุดา ในแตํละเดือน
114
พส.12
เฉลยแบบทดสอบทกั ษะหนว่ ยท่ี 3
รหัส 30201-2007 ชอ่ื วชิ า การบัญชีภาษอี ากร
ชือ่ หน่วย ภาษเี งินไดบ๎ ุคคลธรรมดาหัก ณ ท่ีจาํ ย
เรอื่ ง ภาษเี งนิ ได๎บุคคลธรรมดาหัก ณ ท่ีจําย จํานวนชั่วโมงสอน 1 ชั่วโมง
ข้อ 1 เดอื นมกราคม
คํานายหนา๎ -มกราคม 200,000.-
หัก คาํ ใชจ๎ าํ ย 40% แตไํ มเํ กนิ 60,000 บาท 60,000.-
เงนิ ไดห๎ ลังหกั คําใชจ๎ ําย 140,000.-
หกั คาํ ลดหยอํ น - นางสาวสดุ า 30,000.-
เงินได๎สุทธิ 110,000.-
การคํานวณภาษเี งนิ ได๎บคุ คลธรรมดาหกั ณ ท่ีจาํ ย ดังน้ี
เงินไดส๎ ทุ ธิ 100,000 บาท เสียภาษี = ยกเวน๎
เงนิ ได๎สุทธิ 10,000 บาท เสียภาษี = 10,000 x 10% = 1,000.-
เงนิ ได๎สทุ ธิ 110,000 บาท เสยี ภาษี = 1,000.-
ภาษเี งินได๎บคุ คลธรรมดาหกั ณ ทจ่ี าํ ย - เดอื นมกราคม 1,000 บาท
เดือนมนี าคม
คํานายหนา๎ -มกราคม 200,000.-
บวก คํานายหน๎า-มีนาคม 250,000.-
รวมคาํ นายหน๎า 450,000.-
หัก คาํ ใชจ๎ ําย 40% แตไํ มํเกิน 60,000 บาท 60,000.-
เงนิ ได๎หลังหกั คาํ ใชจ๎ ําย 390,000.-
หกั คาํ ลดหยอํ น - นางสาวสดุ า 30,000.-
เงนิ ได๎สุทธิ 360,000.-
การคาํ นวณภาษเี งินได๎บุคคลธรรมดาหัก ณ ท่ีจําย ดังนี้
เงนิ ไดส๎ ุทธิ 100,000 บาท เสียภาษี = ยกเว๎น
เงินไดส๎ ทุ ธิ 260,000 บาท เสียภาษี = 260,000 x 10%= 26,000.-
เงนิ ไดส๎ ุทธิ 360,000 บาท เสียภาษี = 26,000.-
ภาษเี งินไดบ๎ ุคคลธรรมดาหกั ณ ทจี่ ํายทงั้ สนิ้ 26,000.-
หกั ภาษเี งนิ ได๎บคุ คลธรรมดาหกั ณ ท่ีจําย-มกราคม 1,000.-
ดงั นัน้ ภาษีเงินได๎บุคคลธรรมดาหกั ณ ที่จําย-มีนาคม 25,000.-
115
เดือนเมษายน
คาํ นายหน๎า-มกราคม 200,000.-
บวก คาํ นายหน๎า-มนี าคม 250,000.-
คาํ นายหนา๎ -เมษายน 300,000.-
รวมคํานายหนา๎ 750,000.-
หกั คําใชจ๎ ําย 40% แตไํ มํเกิน 60,000 บาท 60,000.-
เงินได๎หลงั หกั คําใชจ๎ าํ ย 690,000.-
หกั คําลดหยํอน - นางสาวสดุ า 30,000.-
เงินไดส๎ ุทธิ 660,000.-
การคาํ นวณภาษีเงินได๎บุคคลธรรมดาหัก ณ ทจี่ ําย ดังนี้
เงินไดส๎ ทุ ธิ 100,000 บาท เสยี ภาษี = ยกเว๎น
เงนิ ไดส๎ ทุ ธิ 400,000 บาท เสยี ภาษี = 400,000 x 10%= 40,000.-
เงินไดส๎ ุทธิ 160,000 บาท เสยี ภาษี = 160,000 x 20%= 32,000.-
เงนิ ไดส๎ ทุ ธิ 660,000 บาท เสยี ภาษี = 72,000.-
ภาษเี งินได๎บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จาํ ยทั้งส้ิน 72,000.-
หัก ภาษีเงินได๎บุคคลธรรมดาหกั ณ ทีจ่ าํ ย - มกราคม 1,000.-
- มนี าคม 25,000.- 26,000.-
ดงั นนั้ ภาษีเงนิ ไดบ๎ ุคคลธรรมดาหกั ณ ท่ีจําย-เมษายน 46,000.-
สรุป บรษิ ทั ตอ๎ งหกั ภาษเี งินได๎ ณ ที่จาํ ย ดงั น้ี
มกราคม = 1,000 บาท
มนี าคม = 25,000 บาท
เมษายน = 46,000 บาท
การบนั ทึกบญั ชีเปน็ ดงั น้ี.
สมดุ รายวันท่วั ไป หนา๎ 1
พ.ศ. 25… รายการ เลขที่ เดบิต เครดิต
เดอื น วนั ที่
บญั ชี บาท ส.ต. บาท ส.ต.
ม.ค. 31 คาํ นายหน๎า 200,0 0 -
เงินสด 199,000 -
ภาษเี งินไดห๎ ัก ณ ทีจ่ ําย 1,000 -
จํายคาํ นายหนา๎ นางสาวสุดา
ก.พ. 7 ภาษีเงินได๎หัก ณ ทจี่ าํ ย 1,000 -
เงนิ สด 1,000
นําภาษหี กั ณ ทีจ่ ํายสงํ กรมสรรพากร
มี.ค. 31 คํานายหน๎า 250,000 -
116 22 ,000 -
25,000 -
เงนิ สด
ภาษีเงนิ ไดห๎ ัก ณ ท่จี าํ ย 25,000 -
จาํ ยคาํ นายหนา๎ นางสาวสดุ า 25,000 -
7 ภาษเี งนิ ไดห๎ ัก ณ ที่จาํ ย
เงินสด 300,000 -
นาํ ภาษีหกั ณ ทจ่ี าํ ยสงํ กรมสรรพากร
เม.ย. 31 คํานายหนา๎ 254,000 -
เงินสด 46,000 -
ภาษีเงินไดห๎ ัก ณ ที่จําย
จาํ ยคาํ นายหนา๎ นางสาวสดุ า 46,000 -
7 ภาษีเงนิ ได๎หัก ณ ทจ่ี ําย 46,000 -
เงนิ สด
นาํ ภาษีหัก ณ ทีจ่ าํ ยสงํ กรมสรรพากร
117 พส.13
ใบงาน (Job Sheets)
รหัส 30201-2007 ชอื่ วชิ า การบญั ชีภาษีอากร
ชอ่ื หน่วย ภาษีเงินไดบ๎ ุคคลธรรมดาหัก ณ ท่จี ําย
เรอื่ ง ภาษีเงนิ ได๎บคุ คลธรรมดาหกั ณ ทจ่ี าํ ย จาํ นวนช่ัวโมงสอน 1 ชั่วโมง
จุดประสงค์การเรียนรู้ รายการเรียนรู้
จุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม เคร่อื งมือ/วสั ดุ-อุปกรณ์
1. แสดงความรเ๎ู ก่ียวกบั การคํานวณภาษเี งินได๎ 1. อุปกรณ์เครื่องเขียน
2. กระดาษ
บคุ คลธรรมดาหัก ณ ที่จําย ตามมาตรา 3 เตรสได๎
2. คํานวณภาษเี งินไดบ๎ ุคคลธรรมดาหัก ณ ท่จี าํ ย
ตามมาตรา 3 เตรสได๎
3. ปฏบิ ัตงิ านได๎อยาํ งถูกต๎อง และสาํ เรจ็ ภายใน
เวลาทก่ี ําหนดอยํางมเี หตุผล และประหยดั ตามหลกั
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
4. กลา๎ แสดงความคิดเห็นอยํางมีเหตุผลและรับฟัง
ความคิดเห็นของผ๎ูอื่น
5. มีการพฒั นาคุณธรรม จริยธรรม คํานยิ ม และ
คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ไดใ๎ นเรอ่ื งความมมี นษุ ย
สัมพนั ธ์ ความมีวินัย ความรับผดิ ชอบ ความซ่อื สัตย์
สุจรติ ความเช่ือมั่นในตนเอง การประหยดั ความสนใจ
ใฝรุ ๎ู ความรกั สามัคคี ความกตัญญูกตเวที และตระหนัก
ถึงการละเวน๎ จากสิ่งเสพติดและอบายมุขทง้ั ปวง
118
ลาํ ดับข้นั การทาํ งาน ขอ้ ควรระวัง
ขัน้ ท่ี 1 ใหผ๎ เู๎ รยี นจดั กลุํมเป็น 7 กลํุมๆ ละ 4-5 คน 1. ควรเปดิ โอกาสให๎สมาชิกทกุ คนไดแ๎ สดงความ
โดยความสมัครใจ ผเ๎ู รยี นแตํละกลมุํ เลือกหัวหนา๎ กลมํุ คดิ เหน็
และเลขานุการกลํมุ 2. รวํ มกันพิจารณาและสรุปประเดน็ ใหถ๎ ูกต๎อง
กิจกรรมท่คี รมู อบหมาย คือ คน๎ คว๎าตามหวั ข๎อที่
กําหนด ดงั นี้ มอบงาน
การหักภาษี ณ ทจี่ ําย ตามมาตรา 3 เตรส 1. ให๎นกั เรยี นค๎นคว๎าเพ่ิมเตมิ จาก Internet เร่ือง
ขน้ั ท่ี 2 ผูเ๎ รยี นแตํละกลุํมรํวมกนั คน๎ ควา๎ จากสอ่ื ภาษีเงนิ ไดบ๎ ุคคลธรรมดาหกั ณ ที่จําย
ตาํ งๆ พร๎อมเตรยี มมาอภิปรายหนา๎ หนา๎ ชั้นเรยี น โดย 2. นาํ ข๎อมลู ที่ค๎นคว๎าได๎นําเสนอหน๎าชั้นเรียน ครู
เลือกวิธีการนาํ เสนอตามความถนดั โดยใช๎เวลากลํมุ ละ และนกั เรยี นรํวมกนั เสนอแนะ
ไมเํ กนิ 10 นาที
ขน้ั ท่ี 3 ผ๎เู รียนแตํละกลํุมประเมนิ ตนเองและ วดั ผล/ประเมนิ ผล
ประเมนิ ผลกลุํมอ่นื ๆ โดยใช๎แบบประเมนิ รายบุคคล แบบประเมินพฤตกิ รรมการเขา๎ รวํ มกิจกรรมกลมํุ
(แบบประเมนิ ผลงาน)
ผสู๎ อนประเมนิ ผลผูเ๎ รยี นทุกกลุํม โดยใชแ๎ บบ
ประเมิน
ขนั้ ท่ี 4 สํงครผู สู๎ อนเพือ่ ประเมนิ ผล
119
พส.9
แผนการจดั การเรียนรู้ หน่วยที่ 4
เวลารวม 4 ช่วั โมง
รหสั 30201-2007 ชอื่ วิชา การบญั ชีภาษีอากร สปั ดาห์ 8/18
ช่ือหน่วย ภาษีเงินได๎นติ บิ ุคคล
เรอ่ื ง ภาษเี งนิ ไดน๎ ติ ิบุคคล จาํ นวน 4 ชว่ั โมง
1. สาระสําคัญ
ภาษีเงนิ ได๎นติ บิ ุคคล หมายถึง ภาษอี ากรท่ีบัญญตั ิไวใ๎ นประมวลรัษฎากรท่จี ัดเกบ็ จากเงินไดข๎ องบรษิ ัท
หรอื หา๎ งห๎ุนสวํ นนิตบิ คุ คล และกฎหมายได๎กําหนดผม๎ู หี นา๎ ที่เสียภาษีและวธิ ีการเสียภาษีตลอดจนเง่อื นไขตําง ๆ
ในการคํานวณภาษเี งินไดน๎ ิตบิ ุคคล เม่อื ครบรอบระยะเวลาบัญชีหนึ่ง ธุรกิจจะต๎องคํานวณผลการดาํ เนินงานวาํ
มีกาํ ไรหรือขาดทนุ จาํ นวนเทาํ ใด โดยจัดทาํ เป็นงบการเงนิ คืองบกําไรขาดทนุ และงบดุล หากกจิ การมีกําไรสทุ ธิ
จํานวนเทําใด จะต๎องนาํ ไปคํานวณภาษเี งินได๎นติ ิบุคคลตามเงื่อนไขตํอไป
2. สมรรถนะประจาํ หน่วย
2.1 คาํ นวณภาษเี งินได๎นติ บิ ุคคลได๎
2.2 น๎อมนาํ หลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งใช๎ในการปฏิบัตงิ านได๎
2.3 แสดงเจตคตแิ ละกจิ นิสยั ทีด่ ีในการปฏบิ ตั งิ านด๎วยความซอ่ื สัตยแ์ ละรอบคอบได๎
3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
3.1 แสดงความรเ๎ู กีย่ วกบั ผม๎ู หี นา๎ ท่ีเสยี ภาษเี งนิ ไดน๎ ิตบิ ุคคลได๎
3.2 แสดงความรเ๎ู กยี่ วกับฐานภาษเี งนิ ไดน๎ ิติบคุ คลได๎
3.3 แสดงความร๎ูเก่ียวกับการคาํ นวณภาษีเงินไดน๎ ติ ิบคุ คลจากฐานกาํ ไรสุทธไิ ด๎
3.4 คาํ นวณภาษีเงินได๎จากฐานกาํ ไรสทุ ธติ ามมาตรา 65 ทวิ ได๎
3.5 ปฏิบัตงิ านได๎อยํางถูกต๎อง และสําเรจ็ ภายในเวลาท่ีกาํ หนดอยาํ งมีเหตผุ ล และประหยัดตามหลกั
ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
3.6 กลา๎ แสดงความคดิ เห็นอยาํ งมีเหตุผลและรับฟังความคดิ เหน็ ของผ๎อู ืน่
3.7 มกี ารพฒั นาคุณธรรม จริยธรรม คํานิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ได๎ในเร่ืองความมีมนุษย
สมั พนั ธ์ ความมีวินัย ความรบั ผดิ ชอบ ความซ่ือสตั ย์สจุ ริต ความเชื่อม่ันในตนเอง การประหยัด ความสนใจใฝุร๎ู
ความรกั สามคั คี ความกตญั ญกู ตเวที และตระหนกั ถงึ การละเว๎นจากสิ่งเสพตดิ และอบายมขุ ท้ังปวง
4. สาระการเรยี นรู้
4.1 ผูม๎ หี นา๎ ที่เสียภาษเี งนิ ได๎นติ ิบุคคล
4.2 นติ ิบคุ คลท่ีไดร๎ ับการยกเวน๎ ไมํตอ๎ งเสียภาษี
4.3 วิธเี สียภาษเี งนิ ไดน๎ ิติบคุ คล
4.4 ฐานภาษีเงนิ ไดน๎ ิติบคุ คล
4.5 ภาษีเงินได๎นติ ิบคุ คลคํานวณจากฐานกําไรสทุ ธิ
120
5. การออกแบบการจัดการเรยี นรู้ ( เชํน เพือ่ นชวํ ยเพ่ือน Active learning ฯลฯ )
การออกแบบการจัดการเรียนร๎ู โดยใช๎วิธกี ารแบํงกลุํมและนําเสนอหน๎าชน้ั เรียน
6. กจิ กรรมการเรียนรู้
ขั้นนาํ เข้าสบู่ ทเรยี น
6.1 ผูส๎ อนทบทวนความรเู๎ ดิมทีไ่ ด๎ศึกษามาแล๎วในทางบัญชีเก่ียวกับการจัดทํากาํ ไรสุทธทิ างบญั ชี
ปรบั ปรุงให๎เปน็ กําไรสุทธิทางภาษี เพ่ือใหส๎ มั พนั ธ์กบั เนื้อหาสาระการเรยี นร๎ูใหมํ และประเมินผลโดยการถาม-
ตอบ
6.2 แจง๎ ผลการเรียนรทู๎ ่ีคาดหวงั
ขน้ั สอน
6.3 ผู๎สอนอภปิ รายหวั ขอ๎ ตามสาระการเรียนรู๎และยกตวั อยํางการคาํ นวณภาษเี งินได๎นติ ิบคุ คลโดยใช๎
ฐานกาํ ไรสุทธิ จัดทาํ กําไรทางบัญชีให๎เป็นกําไรทางภาษี โดยใช๎มาตรา 65 ทวใิ นการปรับปรงุ รายการ
6.4 มอบหมายให๎ผเ๎ู รียนศึกษาค๎นควา๎ ตามหัวข๎อสาระการเรียนรู๎
6.5 ใหผ๎ เู๎ รียนแบํงกลุํม และนาํ เสนอผลงานหนา๎ ชัน้ เรยี น และใหเ๎ พอื่ นๆ คนอน่ื แสดงความคดิ เหน็
6.6 ผู๎เรียนทําแบบประเมนิ ผลการเรียนรทู๎ ๎ายหนํวยเรียน
ข้นั สรุปและการประยกุ ต์
6.7 ผู๎สอนและผ๎เู รยี นสรุปสาระสาํ คญั โดยการซักถาม และแสดงความคดิ เห็นรวํ มกัน
6.8 ผ๎ูเรียนทาํ แบบประเมินผลการเรยี นร๎ูทา๎ ยหนํวยเรยี น
การบูรณาการกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
1. ความพอเพียง
1.1 เตรยี มความพร๎อมด๎านวัสดุ อุปกรณ์สอดคล๎องกับงาน ไดอ๎ ยํางถูกต๎องและใชว๎ ัสดุ
อุปกรณ์อยํางคุ๎มคํา ประหยัด ตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง
1.2 ผู๎เรียนจดั สรรเวลาในการปฏิบัตงิ านได๎อยํางเหมาะสม
2. ความมีเหตผุ ล
2.1 กล๎าแสดงความคิดเห็นอยํางมเี หตุผล
2.2 ใช๎วัสดุถกู ต๎องและเหมาะสมกบั งาน
3. การมีภูมิคุม๎ กนั ในตัวทีด่ ี
3.1 มกี ารเตรียมความพร๎อมในการเรียนและการปฏบิ ัตงิ าน
3.2 มีทักษะในการปฏิบตั ิงาน เข๎าใจอยาํ งถกู ตอ๎ ง เพือ่ การปฏิบตั ิงานที่มีประสทิ ธิภาพ
3.3 ควบคุมกริ ยิ าอาการในสถานการณ์ตํางๆ ไดเ๎ ป็นอยํางดี
4. เงอื่ นไขความรู๎
4.1 มคี วามร๎คู วามเขา๎ ใจเกย่ี วกับภาษเี งินได๎นิติบคุ คล
4.2 มีความรู๎ ความเขา๎ ใจเกยี่ วกบั หลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
5. เง่อื นไขคุณธรรม
5.1 ปฏิบตั ิงานทมี่ อบหมายเสรจ็ ภายในกําหนดเวลา
121
5.2 มคี วามเพียรพยายาม กระตอื รือร๎นในการเรยี นและในขณะปฏบิ ัติงาน
7. บรรยากาศทสี่ ่งเสรมิ และพฒั นาผู้เรยี น
ผเู๎ รียนมคี วามสนใจในการเรยี น เนือ่ งจากการสอนแบบแบงํ กลํมุ นําเสนอผลงานทําให๎ผ๎เู รยี นมคี วาม
กระตือรือล๎น และได๎แสดงความคดิ เหน็ แลกเปลย่ี นความร๎ู สํงผลให๎เกิดผลการเรียนร๎ทู ดี่ ี
8. คุณธรรม จรยิ ธรรมประจําหนว่ ย ( เชนํ ความรบั ผดิ ชอบ ตรงตํอเวลา ความซอ่ื สัตย์ ฯลฯ )
ความมมี นุษยสัมพนั ธ์ท่ีดี ความมวี นิ ยั ความรับผดิ ชอบ ความซื่อสัตย์สุจรติ ความเชื่อมนั่ ในตนเอง การ
ประหยดั ความสนใจใฝรุ ู๎ ความสามัคคี ความกตัญญู ละเวน๎ สง่ิ เสพตดิ /การพนัน ความคดิ รเิ ร่ิมสรา๎ งสรรค์ การ
พงึ่ ตนเอง ความปลอดภยั ความอดทนอดกล้นั ความมีคุณธรรม/จรยิ ธรรม และการตรงตํอเวลา
9. สื่อและแหล่งการเรียนรู้
9.1 หนังสือเรียน วชิ าการบัญชภี าษีอากร ของสาํ นักพิมพ์เอมพนั ธ์
9.2 ใบความรู๎ เร่อื ง ภาษีเงนิ ได๎นติ ิบคุ คล
9.3 ใบงาน เรื่อง ภาษีเงินได๎นิตบิ ุคคล
9.4 สื่อการสอน Power point เรอ่ื ง ภาษเี งินไดน๎ ิตบิ ุคคล
9.5 Internet
10. การวดั ผลและประเมินผล ( เชนํ แบบทดสอบท๎ายบทเรยี น , แบบทดสอบกํอนเรยี น-หลงั เรยี น )
10.1 แบบทดสอบท๎ายบทเรยี น เรือ่ ง ภาษีเงนิ ไดน๎ ิติบุคคล
10.2 แบบทดสอบกํอนเรยี น เรอ่ื ง ภาษเี งนิ ไดน๎ ติ บิ คุ คล
10.3 แบบทดสอบหลงั เรยี น เรือ่ ง ภาษเี งินไดน๎ ติ บิ คุ คล
11. หลักฐานการเรียนรู้
11.1 แบบฝึกหัด เรอื่ ง ภาษเี งินได๎นิติบคุ คล
11.2 ใบงาน เร่ือง ภาษเี งินได๎นิติบุคคล
12. เอกสารอา้ งอิง
มนสั ชัย กรี ตผิ จญ. การบัญชีภาษีอากร. กรุงเทพฯ : บรษิ ัท สาํ นักพมิ พ์เอมพนั ธ์ จาํ กัด. 2563
122 พส.10
เคร่ืองมือทใ่ี ช้ในการประเมิน
รหัส 30201-2007 ช่ือวชิ า การบัญชีภาษีอากร ท-ป-น 2-2-3
แบบประเมินแบบประมาณค่า (Ratting scale) เกณฑ์การให้คะแนน
5 4 3 21
ประเดน็ การประเมนิ
1. มีการวางแผนงานทดี่ ี
2. สามารถปฏิบตั ิตามแผนงานท่ีได๎วางไว๎
3. สามารถวเิ คราะห์เลอื กได้วา่ ควรจัดทาอยา่ งไรให้ผลงานมีคณุ ภาพ
4. ใชง้ บประมาณในการจดั ทาอย่างประหยัด คุม้ คา่
5. รักษาสิ่งแวดลอ้ มในการปฏบิ ตั งิ าน
6. การปฏิบตั ิตนเปน็ ไปตามจุดประสงค์การเรยี นร๎ู
รวม
รวมท้งั หมด (5 คะแนน+4 คะแนน+3 คะแนน+2 คะแนน+1 คะแนน)
คะแนนรวม (90%)
123
พส.11
บนั ทึกหลังการจัดการเรียนรู้
รหัสวชิ า.....30201-2007.......ช่ือวชิ า.........การบญั ชภี าษอี ากร..................................ระดบั ชั้น ปวช. ปวส.
สาขางาน..............สบ.1 ปกต,ิ ทวิภาค.ึ .........................สปั ดาหท์ ี.่ ....8.....วันทส่ี อน..........................................................
หนํวยท่.ี .....4......ช่ือหนํวย...........ภาษีเงนิ ไดน๎ ิตบิ ุคคล...........................................................จํานวน........4........ช่วั โมง
จาํ นวนผเ๎ู รยี น........…....คน มาเรียน...............คน ขาดเรยี น.............คน ลาปุวย............คน ลากจิ ..............คน
1. ผลการจดั การเรยี นรู้
……………….……………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปญั หาและอุปสรรค
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ไข
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………
ลงช่ือ.......................................................ครผู สู๎ อน
(นางสาวนภาพร คงวจิ ติ ร)
........../................/............
ความเหน็ ................................................................................. ความเหน็ .................................................................................
................................................................................................ ................................................................................................
ลงช่อื ...............................................หวั หน๎าแผนกวิชา ลงชือ่ ............................................รองผ๎อู าํ นวยการฝาุ ยวชิ าการ
(นางทพิ วรรณ เหราบตั ย์) (นางสาวนิศากร เจรญิ ดี)
............/................../............ ............/................../............
ความเห็นผู๎อํานวยการ.................................................................................
....................................................................................................................
ลงช่ือ...........................................
(นางสาวสุมีนา แดงใจ)
ผูอ๎ าํ นวยการวทิ ยาลัยการอาชพี นครปฐม
............/................../............
124
พส.12
ใบความรู้ (Information Sheets)
รหัส 30201-2007 ชื่อวชิ า การบัญชภี าษอี ากร
ชือ่ หน่วย ภาษเี งนิ ไดน๎ ิตบิ ุคคล
เรือ่ ง ภาษเี งินไดน๎ ิติบุคคล จํานวนชัว่ โมงสอน 1 ชว่ั โมง
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ รายการเรียนรู้
- จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม
1. แสดงความรูเ๎ ก่ยี วกับผูม๎ หี นา๎ ท่เี สยี ภาษีเงินได๎นิติ 1. ผม๎ู ีหนา๎ ที่เสยี ภาษีเงนิ ไดน๎ ิติบคุ คล
บุคคลได๎ 2. นิตบิ ุคคลท่ไี ดร๎ ับการยกเวน๎ ไมตํ อ๎ งเสียภาษี
2. แสดงความร๎เู กี่ยวกบั ฐานภาษเี งนิ ไดน๎ ิติบุคคลได๎ 3. ฐานภาษีเงินไดน๎ ติ ิบุคคล
3. แสดงความร๎ูเกีย่ วกับการคาํ นวณภาษเี งนิ ไดน๎ ิติ 4. ภาษีเงินได๎นิติบุคคลคํานวณจากฐานกําไร
บคุ คลจากฐานกาํ ไรสทุ ธิได๎ สทุ ธิ
4. คํานวณภาษเี งนิ ได๎จากฐานกําไรสุทธิตามมาตรา
65 ทวิ ได๎
5. ปฏบิ ัติงานไดอ๎ ยํางถูกตอ๎ ง และสาํ เรจ็ ภายในเวลา
ท่กี ําหนดอยาํ งมเี หตผุ ล และประหยดั ตามหลักปรัชญา
ของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
6. กล๎าแสดงความคิดเห็นอยํางมีเหตุผลและรบั ฟัง
ความคิดเหน็ ของผู๎อนื่
7. มกี ารพัฒนาคุณธรรม จรยิ ธรรม คาํ นยิ ม และ
คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงคไ์ ด๎ในเรือ่ งความมมี นษุ ย
สัมพนั ธ์ ความมีวนิ ยั ความรบั ผดิ ชอบ ความซอื่ สัตยส์ ุจรติ
ความเชอ่ื มัน่ ในตนเอง การประหยัด ความสนใจใฝรุ ู๎
ความรกั สามัคคี ความกตญั ญูกตเวที และตระหนักถึงการ
ละเวน๎ จากส่ิงเสพติดและอบายมุขทั้งปวง
เนอื้ หาสาระ
1. ผ๎มู หี นา๎ ทเี่ สยี ภาษเี งนิ ได๎นติ ิบุคคล
ผมู๎ หี นา๎ ท่เี สยี ภาษีเงินได๎นิติบคุ คล ได๎แกํ บรษิ ัทหรอื ห๎างหน๎ุ สํวนนติ ิบคุ คล ที่จดทะเบียนตามประมวล
กฎหมายแพํง และพาณิชย์ และหมายความรวมถงึ นิตบิ ุคคลอ่ืนๆ ที่ไมํได๎จดทะเบียนตามประมวลกฎหมาย
แพงํ และพาณิชย์ ดว๎ ย ดงั นี้
125
บรษิ ทั หรือห๎างหุ๎นสํวนนติ ิบุคคลท่ีมหี น๎าทเ่ี สียภาษเี งนิ ไดน๎ ิตบิ ุคคล มดี งั นี้
(1) บริษทั หรอื ห้างห้นุ สว่ นนติ บิ คุ คลทีต่ งั้ ขึน้ ตามกฎหมายไทย ได๎แกํ
ก. บริษัท จาํ กัด
ข. บริษทั มหาชน จาํ กัด
ค. ห๎างหนุ๎ สวํ นจํากัด
ง. ห๎างห๎นุ สํวนสามญั จดทะเบยี น
(2) บริษทั หรือหา้ งหุ้นส่วนนิตบิ ุคคลทีต่ งั้ ขึน้ ตามกฎหมายตา่ งประเทศ ซ่งึ มหี น๎าทเี่ สยี ภาษเี งนิ ได๎นติ ิ
บคุ คลในประเทศไทย ก็ตอํ เมื่อเขา๎ เง่ือนไขข๎อใดข๎อหนึ่ง ดงั ตอํ ไปนี้
ก. บรษิ ัทหรือห๎างหน๎ุ สํวนนติ ิบุคคลตาํ งประเทศนัน้ เข๎ามากระทํากิจการในประเทศไทย (มาตรา
66 วรรคแรก แหงํ ประมวลรัษฎากร)
ข. บรษิ ัทหรอื ห๎างหน๎ุ สวํ นนติ ิบคุ คลตาํ งประเทศนน้ั กระทาํ กจิ การในท่ีอืน่ ๆ รวมทั้งในประเทศ
ไทย (มาตรา 66 วรรคสอง แหงํ ประมวลรัษฎากร)
ค. บริษทั หรือห๎างหน๎ุ สํวนนิตบิ ุคคลตาํ งประเทศน้นั กระทํากจิ การอืน่ ๆรวมทัง้ ในประเทศไทย
และกจิ การทก่ี ระทาํ นนั้ เปน็ กิจการขนสงํ ระหวาํ งประเทศ (มาตรา 67 แหงํ ประมวลรัษฎากร)
ง. บรษิ ทั หรือห๎างหน๎ุ สํวนนิตบิ ุคคลตาํ งประเทศนั้น มิไดป๎ ระกอบกิจการในประเทศไทย แตํ
ไดร๎ ับเงนิ ได๎พงึ ประเมนิ ตามมาตรา 40 (2) (3) (4) (5) หรือ (6) ที่จาํ ยจากหรือในประเทศไทย (มาตรา 70)
จ. บรษิ ัทหรอื ห๎างหุ๎นสํวนนติ ิบุคคลตํางประเทศท่เี สยี ภาษีเงินได๎นติ ิบุคคลในประเทศไทย ตาม
มาตรา 76 วรรคสอง และมาตรา 76 ทวิ แหงํ ประมวลรษั ฎากร ได๎จําหนาํ ยเงินกาํ ไรหรอื เงนิ ประเภทอน่ื ที่กัน
ไว๎จากกําไร หรือถือไดว๎ าํ เป็นเงนิ กําไรออกไปจากประเทศไทย (มาตรา 70 ทวิ แหงํ ประมวลรัษฎากร)
ฉ. บริษทั หรือหา๎ งห๎ุนสํวนนติ ิบุคคลตาํ งประเทศน้ัน มไิ ด๎เขา๎ มาทาํ กจิ การในประเทศไทยโดยตรง
หากแตํมลี ูกจา๎ งหรือผ๎ูทําการแทนหรอื ผทู๎ าํ การตดิ ตํอ ในการประกอบกจิ การในประเทศไทย ซง่ึ เปน็ เหตุให๎
ไดร๎ ับเงนิ ไดห๎ รอื ผลกาํ ไรในประเทศไทย (มาตรา 76 ทว)ิ
(3) กจิ การซ่งึ ดาํ เนินการเปน็ ทางค้า หรือหากาํ ไร โดย
ก. รฐั บาลตาํ งประเทศ
ข. องคก์ ารของรฐั บาลตาํ งประเทศ
ค. นติ บิ คุ คลอื่นทีต่ งั้ ข้ึนตามกฎหมายของตาํ งประเทศ
(4) กิจการรว่ มค้า (Joint Venture) ได๎แกํ กิจการท่ีดาํ เนินการรวํ มกันเป็นทางคา๎ หรอื หากาํ ไร
ระหวํางบุคคลดังตอํ ไปนีค้ ือ
ก. บริษทั กับบริษทั
ข. บริษัทกบั หา๎ งหน๎ุ สวํ นนติ บิ ุคคล
ค. ห๎างห๎ุนสวํ นนติ บิ คุ คลกับหา๎ งหนุ๎ สวํ นนติ บิ ุคคล
ง. บรษิ ัทและหรอื ห๎างหุ๎นสวํ นนิตบิ ุคคลกับบุคคลธรรมดา
จ. บริษทั และหรือห๎างห๎นุ สวํ นนติ บิ คุ คลกับคณะบคุ คลท่มี ิใชํนิติบคุ คล
ฉ. บรษิ ัทและหรอื ห๎างห๎ุนสํวนนติ บิ ุคคลกบั ห๎างหุ๎นสวํ นสามญั
126
ช. บรษิ ทั และหรอื หา๎ งหุ๎นสวํ นนติ ิบคุ คลกบั นิติบคุ คลอ่นื
(5) มลู นธิ หิ รอื สมาคมทปี่ ระกอบกจิ การซึ่งมรี ายได้แตํไมํรวมถึงมลู นิธิหรือสมาคมทร่ี ัฐมนตรปี ระกาศ
กําหนดใหเ๎ ป็นองค์การหรอื สถานสาธารณกศุ ล
(6) นิติบุคคลที่อธิบดกี าํ หนดโดยอนมุ ัติรัฐมนตรีและประกาศในราชกิจจานเุ บกษาใหเ๎ ปน็ บรษิ ัทหรือ
ห๎างห๎นุ สวํ นนิติบคุ คลตามประมวลรษั ฎากร
2. นติ ิบคุ คลทไ่ี มํต๎องเสยี ภาษีเงนิ ได๎
นติ บิ คุ คลอ่ืนๆ นอกจากที่กลําวในขา๎ งต๎น และเฉพาะที่ต้ังขึน้ ตามกฎหมายไทย เชนํ กระทรวง ทบวง กรม
องค์การ ของรัฐบาลหรอื สหกรณ์ ไมํมีหน๎าท่ตี ๎องเสียภาษเี งินได๎นิตบิ ุคคลแตํอยาํ งใด
อยาํ งไรก็ตาม ยงั มีนิติบคุ คลอีกบางประเภททเี่ ข๎าลกั ษณะต๎องเสียภาษีเงินไดน๎ ิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร
แตไํ ด๎รับการยกเว๎นตามบทบัญญตั ิของกฎหมายตํางๆ ได๎แกํ
(1) บรษิ ัทหรอื ห๎างหุ๎นสํวนนิตบิ ุคคลตามข๎อผูกพันที่ประเทศไทยมอี ยํตู ามสัญญาวําด๎วยความรํวมมือ
ทางเศรษฐกจิ หรอื ทางเทคนิคระหวํางรัฐบาลไทยกบั รฐั บาลตํางประเทศ
(2) บริษัทจํากัดทีไ่ ดร๎ บั การยกเว๎นภาษีเงนิ ได๎ตามกฎหมายวําด๎วยการสงํ เสรมิ การลงทุน
(3) บริษทั จาํ กัดและนิติบุคคลทม่ี สี ภาพเชนํ เดยี วกบั บรษิ ทั จาํ กดั ซ่งึ ตง้ั ข้นึ ตามกฎหมายไทยหรือกฎหมาย
ตําง ประเทศได๎รบั การยกเว๎นภาษเี งนิ ได๎นิตบิ ุคคลตามพระราชบญั ญตั ิภาษีเงินได๎ปโิ ตรเลียม
(4) บริษัทหรอื หา๎ งหุ๎นสวํ นนิตบิ คุ คลทอ่ี ยํูในประเทศที่มีอนสุ ญั ญาวาํ ดว๎ ยการเวน๎ การเก็บภาษซี ๎อนกับ
ประเทศไทย ตามเง่ือนไขที่กาํ หนดในอนสุ ัญญา
3. ฐานภาษขี องภาษเี งินไดน๎ ิติบคุ คล
ภาษเี งินไดน๎ ติ ิบุคคล คาํ นวณจากเงนิ ได๎ท่ใี ชเ๎ ป็นหลักฐานในการคาํ นวณภาษคี ูณดว๎ ยอตั ราภาษที ่ีกาํ หนด
ดงั นน้ั เงินไดท๎ ี่ต๎องเสยี ภาษีเงินไดน๎ ติ ิบคุ คลหรอื ฐานภาษีเงินได๎นิติบคุ คลนนั้ โดยท่ัวไปได๎แกกํ าํ ไรสุทธทิ คี่ ํานวณ
ตาม เง่อื นไขท่กี าํ หนด แตํเพื่อความเปน็ ธรรมและอดุ ชํองวํางในการจดั เกบ็ ภาษีเงินได๎ จึงไดม๎ ี การบญั ญัติ
จดั เก็บภาษีเงนิ ได๎ นิตบิ ุคคล จากเงนิ ได๎หรือฐานภาษี ที่แตกตํางกัน ดังน้ี
(1) กําไรสทุ ธิ
(2) ยอดรายได๎กํอนหกั รายจําย
(3) เงินไดท๎ จ่ี ํายจากหรอื ในประเทศไทย
(4) การจาํ หนํายเงนิ กําไรออกไปจากประเทศไทย
4. ภาษีเงนิ ไดน๎ ิติบคุ คลคํานวณจากกําไรสุทธิ
4.1 ผ๎มู ีหน๎าท่เี สียภาษีเงนิ ได๎จากกําไรสทุ ธิ
1) บรษิ ทั หรือหา้ งหุน้ สว่ นนิตบิ ุคคลทตี่ ั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
ก. บริษทั จํากัด
ข. บริษัทมหาชน จาํ กดั
ค. ห๎างหุน๎ สํวน จาํ กัด
ง. หา๎ งหนุ๎ สํวนสามญั จดทะเบียน
127
ในกรณที บ่ี ริษทั หา๎ งห๎างหุ๎นสวํ นนิติบุคคลทีต่ งั้ ขนึ้ ตามกฎหมายไทยมีสาขาไมํวําจะอยํูในหรือนอก
ประเทศไทย จะตอ๎ งนาํ กําไรสุทธิของสาขามารวมกําไรสทุ ธิของสาํ นักงานใหญํเพ่ือเสยี ภาษเี งินได๎นิติบุคคลใน
ประเทศไทย
2) บรษิ ัทหรือหา้ งหุน้ สว่ นนติ ิบุคคลทต่ี ง้ั ขึน้ ตามกฎหมายของตา่ งประเทศ
บรษิ ัทหรอื หา๎ งห๎นุ สํวนนิติบคุ คลทต่ี ั้งข้นึ ตามกฎหมายของตํางประเทศ และมีหน๎าท่เี สยี ภาษีเงินได๎นติ ิ
บคุ คลในประเทศไทย ไดแ๎ กํ
(ก) บรษิ ัทหรอื หา๎ งห๎ุนสวํ นนิตบิ คุ คลท่ตี ัง้ ขน้ึ ตามกฎหมายของตํางประเทศและกระทํากจิ การในท่ี
อื่นๆ รวมทง้ั ในประเทศไทย ได๎แกํ
บริษัทหรอื ห๎างหน๎ุ สํวนนติ บิ คุ คลท่ตี ง้ั ข้ึนตามกฎหมายของตํางประเทศดังกลาํ ว จะต๎องนาํ กําไร
สุทธเิ ฉพาะ ทไ่ี ด๎จากการกระทํากิจการในประเทศไทยมาเสียภาษีเงนิ ได๎นิตบิ ุคคล
(ข) บริษัทหรอื หา๎ งห๎ุนสํวนนติ ิบคุ คล ซ่ึงต้งั ข้นึ ตามกฎหมายของตํางประเทศมลี ูกจา๎ งหรอื ผทู๎ าํ การ
แทน หรอื ผ๎ทู าํ การติดตํอในการประกอบกจิ การในประเทศไทย ซึ่งเปน็ เหตุให๎ไดร๎ บั เงนิ ได๎หรอื ผลกําไรใน
ประเทศไทย ให๎ถือวาํ บุคคลผู๎จ๎างเป็นลกู จ๎าง หรือผท๎ู ําการแทน หรือผู๎ทําการตดิ ตํอเชํนวาํ นน้ั ไมวํ าํ จะเป็น
บุคคลธรรมดาหรอื นิติบุคคล เปน็ ตวั แทนของบริษทั หรือห๎างหุ๎นสํวนนิตบิ ุคคล ซ่ึงตั้งข้นึ ตามกฎหมายของ
ตํางประเทศและให๎บคุ คลน้นั มีหนา๎ ทีแ่ ละ ความรบั ผิดชอบในการยืน่ รายการและเสยี ภาษเี งินได๎เฉพาะที่
เกย่ี วกับเงนิ ไดห๎ รือผลกาํ ไรดงั กลําว
3) กิจการซ่ึงดําเนินการเป็นทางการค้าหรอื หากําไรโดยรฐั บาลตํางประเทศองค์การของรัฐบาล
ตํางประเทศ หรอื นิตบิ ุคคลอ่ืนที่ตง้ั ขึน้ ตามกฎหมายของตาํ งประเทศ
4) กจิ การร่วมค้า
128
129
แบบฝึกหัด/คาํ ถาม/ปัญหา
จงอธิบายวธิ เี สียภาษเี งนิ ไดน๎ ติ ิบุคคล มีก่วี ธิ ี อะไรบา๎ งและมสี าระสําคัญอยํางไรบ๎าง
เฉลยคาํ ตอบ
วิธเี สียภาษีเงนิ ได๎นิตบิ คุ คล มี 3 วิธี ดังนี้
(1) วิธปี ระเมนิ ตนเอง (Self-assessment) ไดแ๎ กํ วธิ ีเสียจากกาํ ไรสุทธิตามมาตรา 65 วิธีเสียจาก
รายไดก๎ ํอนหักรายจาํ ยตามมาตรา 67 และวิธเี สียจากการจําหนํายเงินกาํ ไรไปตาํ งประเทศตามมาตรา 70
ทวิ
(2) วิธีหักภาษี ณ ที่จําย (With-holding หรือ Deduction at Source) ได๎แกํ การจํายเงินได๎ของ
รัฐบาล องค์การของรัฐบาล เทศบาล สุขาภิบาล หรือองค์การบริหารสํวนท๎องถ่ิน ตามมาตรา 69 ทวิ กรณีมี
การจํายเงินคําขายอสังหาริมทรัพย์ให๎แกํบริษัทหรือห๎างหุ๎นสํวนนิติบุคคลตามมาตรา 69 ตรี หรือ กรณีการ
จํายเงินได๎พึงประเมินตามมาตรา 40(2) (3) (4) (5) หรือ (6) ให๎แกํบริษัทหรือห๎างห๎ุนสํวนนิติบุคคลที่ต้ังข้ึน
ตามกฎหมายตาํ งประเทศและมไิ ด๎ประกอบกิจการในประเทศไทยตามมาตรา 70
(3) วิธีประเมินโดยเจ๎าพนักงานประเมิน (Authoritative Assessment) เป็นกรณีตามความจําเป็น
และสมควร หรอื การตรวจสอบ ไตํสวนของเจา๎ พนกั งานประเมนิ ตามท่ีกฎหมายกําหนดไว๎
เอกสารอา้ งอิง/เอกสารค้นคว้าเพิ่มเติม
มนสั ชัย กีรติผจญ. การบัญชีภาษอี ากร. กรุงเทพฯ : บรษิ ัท สาํ นกั พิมพเ์ อมพนั ธ์ จํากัด. 2563
130 พส.13
ใบงาน (Job Sheets)
รหัส 30201-2007 ชื่อวชิ า การบญั ชภี าษีอากร
ชอ่ื หน่วย ภาษเี งนิ ไดน๎ ิติบุคคล
เรื่อง ภาษีเงินได๎นติ บิ ุคคล จํานวนชวั่ โมงสอน 1 ช่ัวโมง
จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ รายการเรยี นรู้
จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม เครอื่ งมอื /วสั ดุ-อปุ กรณ์
1. แสดงความรเู๎ กยี่ วกับผูม๎ หี นา๎ ท่เี สยี ภาษีเงินไดน๎ ติ ิ 1. อุปกรณเ์ ครอ่ื งเขียน
บุคคลได๎ 2. กระดาษ
2. แสดงความรเ๎ู กย่ี วกับฐานภาษเี งินได๎นิติบุคคลได๎
3. แสดงความร๎ูเกี่ยวกบั การคาํ นวณภาษเี งินไดน๎ ติ ิ
บคุ คลจากฐานกําไรสทุ ธิได๎
4. คาํ นวณภาษเี งินได๎จากฐานกาํ ไรสุทธติ ามมาตรา
65 ทวิ ได๎
5. ปฏบิ ัตงิ านได๎อยํางถกู ต๎อง และสาํ เร็จภายในเวลา
ท่กี ําหนดอยาํ งมเี หตุผล และประหยัดตามหลักปรชั ญา
ของเศรษฐกิจพอเพียง
6. กล๎าแสดงความคิดเห็นอยาํ งมีเหตุผลและรับฟัง
ความคดิ เห็นของผ๎ูอ่นื
7. มกี ารพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม คาํ นิยม และ
คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ได๎ในเรื่องความมีมนุษย
สมั พันธ์ ความมีวนิ ยั ความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์
สจุ รติ ความเชอื่ มั่นในตนเอง การประหยัด ความสนใจ
ใฝรุ ๎ู ความรักสามคั คี ความกตัญญูกตเวที และตระหนัก
ถงึ การละเว๎นจากสิง่ เสพติดและอบายมขุ ท้ังปวง
131
ลาํ ดบั ขัน้ การทํางาน ข้อควรระวัง
ขั้นที่ 1 ให๎ผ๎เู รียนจัดกลุมํ เปน็ 7 กลํมุ ๆ ละ 4- 1. ควรเปดิ โอกาสให๎สมาชิกทกุ คนได๎แสดงความ
5 คน โดยความสมคั รใจ ผ๎ูเรียนแตลํ ะกลํุมเลือกหัวหนา๎ คดิ เห็น
กลํมุ และเลขานุการกลมํุ 2. รํวมกันพิจารณาและสรุปประเด็นให๎ถูกต๎อง
กิจกรรมทคี่ รูมอบหมาย คือ คน๎ คว๎าตามหัวข๎อที่
กําหนด ดังน้ี มอบงาน
1. ผ๎มู หี น๎าที่เสียภาษีเงินได๎นิติบุคคล 1. ใหน๎ กั เรียนค๎นคว๎าเพิ่มเตมิ จาก Internet เรือ่ ง
2. นิตบิ คุ คลท่ไี ด๎รับการยกเวน๎ ไมตํ ๎องเสยี ภาษี ภาษเี งินได๎นติ ิบุคคล
3. วิธีเสยี ภาษเี งินไดน๎ ิติบคุ คล 2. นาํ ข๎อมลู ท่ีคน๎ ควา๎ ได๎นําเสนอหน๎าชน้ั เรยี น ครู
4. ฐานภาษเี งินไดน๎ ิตบิ คุ คล และนักเรียนรํวมกนั เสนอแนะ
5. ภาษเี งนิ ไดน๎ ติ บิ คุ คลคาํ นวณจากฐานกาํ ไรสทุ ธิ
ขนั้ ที่ 2 ผู๎เรยี นแตํละกลมํุ รวํ มกนั คน๎ ควา๎ จากสอ่ื วัดผล/ประเมนิ ผล
ตํางๆ พร๎อมเตรยี มมาอภิปรายหน๎าหนา๎ ช้นั เรยี น โดย แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการเข๎ารวํ มกจิ กรรมกลมุํ
เลือกวิธีการนาํ เสนอตามความถนดั โดยใช๎เวลากลุมํ ละ
ไมํเกนิ 10 นาที
ขนั้ ที่ 3 ผเู๎ รียนแตลํ ะกลุํมประเมนิ ตนเองและ
ประเมินผลกลมํุ อื่นๆ โดยใชแ๎ บบประเมินรายบุคคล
(แบบประเมินผลงาน)
ผ๎สู อนประเมินผลผเ๎ู รียนทกุ กลํมุ โดยใช๎แบบ
ประเมิน
ขัน้ ท่ี 4 สงํ ครูผูส๎ อนเพื่อประเมินผล
132
พส.9
แผนการจัดการเรยี นรู้ หนว่ ยท่ี 4
เวลารวม 4 ช่ัวโมง
รหัส 30201-2007 ชื่อวิชา การบญั ชภี าษอี ากร สปั ดาห์ 9/18
ชอื่ หน่วย ภาษีเงินไดน๎ ติ ิบุคคล
เร่อื ง ภาษีเงินได๎นติ บิ ุคคล จาํ นวน 4 ชัว่ โมง
1. สาระสาํ คญั
ภาษีเงินได๎นิติบุคคล หมายถึง ภาษีอากรท่ีบัญญตั ิไว๎ในประมวลรษั ฎากรท่จี ดั เกบ็ จากเงินได๎ของบริษัท
หรือหา๎ งหนุ๎ สํวนนิตบิ ุคคล และกฎหมายได๎กําหนดผู๎มหี น๎าที่เสียภาษแี ละวิธีการเสียภาษีตลอดจนเงื่อนไขตําง ๆ
ในการคาํ นวณภาษเี งนิ ไดน๎ ิติบุคคล เมอ่ื ครบรอบระยะเวลาบญั ชหี นึง่ ธุรกิจจะต๎องคํานวณผลการดาํ เนินงานวาํ
มกี าํ ไรหรือขาดทนุ จาํ นวนเทําใด โดยจดั ทาํ เปน็ งบการเงนิ คืองบกําไรขาดทนุ และงบดลุ หากกิจการมกี าํ ไรสทุ ธิ
จาํ นวนเทําใด จะต๎องนําไปคํานวณภาษเี งนิ ได๎นติ บิ ุคคลตามเงอื่ นไขตํอไป
2. สมรรถนะประจําหน่วย
2.1 คํานวณภาษีเงินได๎นิตบิ ุคคลได๎
2.2 นอ๎ มนําหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งใช๎ในการปฏิบัติงานได๎
2.3 แสดงเจตคตแิ ละกจิ นิสยั ที่ดใี นการปฏบิ ตั ิงานด๎วยความซอ่ื สัตยแ์ ละรอบคอบได๎
3. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
3.1 แสดงความร๎ูเกี่ยวกบั เงอ่ื นไขการคาํ นวณกําไรสทุ ธิตามมาตรา 65 ทวิได๎
3.2 แสดงความร๎ูเก่ยี วกับเงื่อนไขการคํานวณกาํ ไรสทุ ธิตามมาตรา 65 ตรีได
3.3 คาํ นวณกําไรสทุ ธิทางภาษีตามมาตรา 65 ทวิได๎
3.4 คํานวณกําไรสทุ ธทิ างภาษีตามมาตรา 65 ตรีได๎
3.5 ปฏบิ ตั งิ านไดอ๎ ยํางถูกต๎อง และสาํ เรจ็ ภายในเวลาท่ีกาํ หนดอยํางมเี หตผุ ล และประหยัดตามหลกั
ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
3.6 กล๎าแสดงความคิดเหน็ อยาํ งมีเหตผุ ลและรบั ฟังความคดิ เหน็ ของผ๎อู ื่น
3.7 มีการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม คํานิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ได๎ในเร่ืองความมีมนุษย
สัมพันธ์ ความมวี ินัย ความรับผิดชอบ ความซ่อื สตั ยส์ ุจรติ ความเชื่อม่ันในตนเอง การประหยัด ความสนใจใฝุร๎ู
ความรกั สามัคคี ความกตญั ญูกตเวที และตระหนักถึงการละเว๎นจากส่งิ เสพติดและอบายมุขทง้ั ปวง
4. สาระการเรียนรู้
4.1 เงอื่ นไขการคาํ นวณกําไรสุทธิตามมาตรา 65 ทวิ
4.2 เง่อื นไขการคํานวณกําไรสุทธติ ามมาตรา 65 ตรี
5. การออกแบบการจัดการเรียนรู้ ( เชํน เพ่อื นชํวยเพื่อน Active learning ฯลฯ )
การออกแบบการจัดการเรยี นรู๎ โดยใช๎วิธีการ Active learning
133
6. กจิ กรรมการเรียนรู้
ขน้ั นาํ เขา้ สบู่ ทเรียน
6.1 ผ๎สู อนทบทวนความรู๎เดมิ ที่ได๎ศึกษามาแล๎ว ในการปรบั ปรุงกําไรทางบัญชีใหเ๎ ปน็ กาํ ไรทางภาษี เพื่อ
นํากาํ ไรมาคํานวณภาษเี งินได๎นิติบุคคล เพื่อใหส๎ ัมพันธ์กับเน้อื หาสาระการเรยี นร๎ูใหมํ และประเมนิ ผลโดยการ
ถาม-ตอบ
6.2 แจ๎งผลการเรยี นร๎ทู คี่ าดหวงั
ขั้นสอน
6.3 ผูส๎ อนอภิปรายหวั ข๎อตามสาระการเรยี นรู๎ และยกตวั อยํางการคาํ นวณภาษีเงินได๎นิติบคุ คลโดยใช๎
ฐานกาํ ไรสุทธิ จดั ทํากําไรทางบัญชใี ห๎เป็นกาํ ไรทางภาษี โดยใช๎มาตรา 65 ตรี ในการปรับปรงุ รายการ
6.4 มอบหมายให๎ผ๎ูเรียนศกึ ษาค๎นควา๎ ตามหัวข๎อสาระการเรยี นรทู๎ กุ คน
6.5 ให๎ผู๎เรยี นฝึกปฏิบตั คิ ํานวณกําไรสุทธิทางภาษี และนําเสนอผลงานหนา๎ ชน้ั เรียน และให๎เพอ่ื นๆ
คนอ่ืนแสดงความคิดเห็น
6.6 ผู๎เรยี นทาํ แบบประเมินผลการเรยี นรท๎ู ๎ายหนํวยเรยี น
ขัน้ สรปุ และการประยุกต์
6.7 ผสู๎ อนและผ๎เู รยี นสรุปสาระสําคญั โดยการซักถาม และแสดงความคิดเห็นรวํ มกนั
6.8 ผูเ๎ รียนทําแบบประเมินผลการเรียนรูท๎ า๎ ยหนวํ ยเรยี น
การบูรณาการกับหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
1. ความพอเพียง
1.1 เตรยี มความพร๎อมด๎านวัสดุ อปุ กรณส์ อดคล๎องกบั งาน ได๎อยํางถกู ต๎องและใชว๎ สั ดุ
อปุ กรณ์อยาํ งคุ๎มคํา ประหยัด ตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
1.2 ผเู๎ รียนจดั สรรเวลาในการปฏบิ ตั ิงานไดอ๎ ยํางเหมาะสม
2. ความมเี หตุผล
2.1 กล๎าแสดงความคดิ เห็นอยาํ งมีเหตุผล
2.2 ใชว๎ ัสดุถกู ตอ๎ งและเหมาะสมกบั งาน
3. การมภี ูมิค๎มุ กนั ในตวั ท่ีดี
3.1 มีการเตรียมความพร๎อมในการเรียนและการปฏิบตั ิงาน
3.2 มที กั ษะในการปฏิบัติงาน เข๎าใจอยํางถูกต๎อง เพื่อการปฏบิ ตั งิ านทมี่ ีประสทิ ธิภาพ
3.3 ควบคมุ กริ ิยาอาการในสถานการณ์ตํางๆ ได๎เปน็ อยํางดี
4. เงอ่ื นไขความร๎ู
4.1 มีความร๎คู วามเข๎าใจเกยี่ วกบั ภาษเี งินไดน๎ ิตบิ คุ คล
4.2 มคี วามร๎ู ความเข๎าใจเก่ยี วกับหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
5. เงือ่ นไขคุณธรรม
5.1 ปฏิบตั ิงานที่มอบหมายเสร็จภายในกาํ หนดเวลา
5.2 มคี วามเพียรพยายาม กระตอื รือร๎นในการเรียนและในขณะปฏบิ ตั ิงาน
134
7. บรรยากาศทส่ี ่งเสรมิ และพัฒนาผเู้ รยี น
ผเู๎ รียนมคี วามสนใจในการเรยี น เนอื่ งจากการสอนแบบ Active learning ทาํ ให๎ผู๎เรยี นมีความ
กระตือรอื ล๎น และได๎แสดงความคดิ เห็น แลกเปลีย่ นความร๎ู สํงผลให๎เกดิ ผลการเรยี นร๎ูทด่ี ี
8. คุณธรรม จรยิ ธรรมประจําหนว่ ย ( เชนํ ความรับผิดชอบ ตรงตํอเวลา ความซอ่ื สัตย์ ฯลฯ )
ความมมี นุษยสมั พนั ธท์ ี่ดี ความมวี นิ ยั ความรับผิดชอบ ความซอ่ื สัตย์สจุ ริต ความเช่ือมัน่ ในตนเอง การ
ประหยดั ความสนใจใฝรุ ู๎ ความสามัคคี ความกตัญญู ละเว๎นส่ิงเสพตดิ /การพนัน ความคิดริเริม่ สรา๎ งสรรค์ การ
พ่ึงตนเอง ความปลอดภัย ความอดทนอดกลั้น ความมีคณุ ธรรม/จริยธรรม และการตรงตํอเวลา
9. สอ่ื และแหลง่ การเรยี นรู้
9.1 หนงั สือเรยี น วชิ าการบัญชภี าษอี ากร ของสํานักพิมพ์เอมพันธ์
9.2 ใบความร๎ู เร่ือง ภาษีเงินไดน๎ ิติบคุ คล
9.3 ใบงาน เร่ือง ภาษีเงินได๎นติ บิ คุ คล
9.4 ส่ือการสอน Power point เร่ือง ภาษเี งนิ ไดน๎ ิตบิ ุคคล
9.5 Internet
10. การวัดผลและประเมนิ ผล ( เชนํ แบบทดสอบท๎ายบทเรยี น , แบบทดสอบกอํ นเรยี น-หลงั เรยี น )
10.1 แบบทดสอบทา๎ ยบทเรียน เรือ่ ง ภาษีเงนิ ได๎นิติบุคคล
10.2 แบบทดสอบกํอนเรยี น เรอื่ ง ภาษีเงนิ ไดน๎ ิติบุคคล
10.3 แบบทดสอบหลังเรียน เรอ่ื ง ภาษเี งินได๎นติ ิบุคคล
11. หลักฐานการเรียนรู้
11.1 แบบฝึกหดั เรื่อง ภาษเี งินไดน๎ ิติบุคคล
11.2 ใบงาน เรือ่ ง ภาษีเงนิ ได๎นิติบคุ คล
12. เอกสารอ้างอิง
มนัสชยั กรี ตผิ จญ. การบญั ชีภาษอี ากร. กรุงเทพฯ : บรษิ ทั สาํ นักพมิ พ์เอมพนั ธ์ จํากดั . 2563
135 พส.10
เคร่ืองมือทใ่ี ช้ในการประเมิน
รหัส 30201-2007 ช่ือวชิ า การบัญชีภาษีอากร ท-ป-น 2-2-3
แบบประเมินแบบประมาณค่า (Ratting scale) เกณฑ์การให้คะแนน
5 4 3 21
ประเดน็ การประเมนิ
1. มีการวางแผนงานทดี่ ี
2. สามารถปฏิบตั ิตามแผนงานท่ีได๎วางไว๎
3. สามารถวเิ คราะห์เลอื กได้วา่ ควรจัดทาอยา่ งไรให้ผลงานมีคณุ ภาพ
4. ใชง้ บประมาณในการจดั ทาอย่างประหยัด คุม้ คา่
5. รักษาสิ่งแวดลอ้ มในการปฏบิ ตั งิ าน
6. การปฏิบตั ิตนเปน็ ไปตามจุดประสงค์การเรยี นร๎ู
รวม
รวมท้งั หมด (5 คะแนน+4 คะแนน+3 คะแนน+2 คะแนน+1 คะแนน)
คะแนนรวม (90%)
136
พส.11
บันทึกหลังการจัดการเรยี นรู้
รหสั วิชา.....30201-2007.......ช่ือวิชา.........การบญั ชภี าษอี ากร..................................ระดบั ช้นั ปวช. ปวส.
สาขางาน..............สบ.1 ปกต,ิ ทวิภาค.ึ .........................สัปดาห์ท.ี่ ....9.....วนั ทีส่ อน..........................................................
หนวํ ยท่ี......4......ชื่อหนํวย...........ภาษีเงนิ ได๎นติ ิบคุ คล...........................................................จํานวน........4........ชว่ั โมง
จํานวนผ๎ูเรยี น........…....คน มาเรียน...............คน ขาดเรยี น.............คน ลาปุวย............คน ลากจิ ..............คน
1. ผลการจัดการเรียนรู้
……………….……………………………………………………………………………………………………..……………………………………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปัญหาและอุปสรรค
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………
3. ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแกไ้ ข
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………
ลงชอื่ .......................................................ครผู ูส๎ อน
(นางสาวนภาพร คงวจิ ิตร)
........../................/............
ความเหน็ ................................................................................. ความเหน็ .................................................................................
................................................................................................ ................................................................................................
ลงช่อื ...............................................หัวหนา๎ แผนกวชิ า ลงช่ือ............................................รองผ๎ูอํานวยการฝาุ ยวชิ าการ
(นางทิพวรรณ เหราบตั ย์) (นางสาวนิศากร เจรญิ ดี)
............/................../............ ............/................../............
ความเห็นผ๎ูอํานวยการ.................................................................................
....................................................................................................................
ลงชอ่ื ...........................................
(นางสาวสุมนี า แดงใจ)
ผู๎อาํ นวยการวทิ ยาลัยการอาชีพนครปฐม
............/................../............
137
พส.12
ใบความรู้ (Information Sheets)
รหสั 30201-2007 ช่ือวิชา การบัญชีภาษีอากร
ชื่อหนว่ ย ภาษีเงินได๎นติ บิ ุคคล
เรอื่ ง ภาษเี งินได๎นิติบคุ คล จาํ นวนชั่วโมงสอน 1 ชวั่ โมง
จดุ ประสงค์การเรียนรู้ รายการเรยี นรู้
- จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
1. แสดงความร๎ูเกยี่ วกับเง่ือนไขการคํานวณกําไร 1. เงื่อนไขการคํานวณกําไรสทุ ธิตามมาตรา
สุทธติ ามมาตรา 65 ทวิได๎ 65 ทวิ
2. แสดงความร๎ูเกี่ยวกับเง่ือนไขการคาํ นวณกําไร 2. เงอ่ื นไขการคํานวณกําไรสทุ ธิตามมาตรา
สุทธติ ามมาตรา 65 ตรีได 65 ตรี
3. คํานวณกําไรสทุ ธิทางภาษีตามมาตรา 65 ทวิได๎
4. คํานวณกาํ ไรสทุ ธิทางภาษีตามมาตรา 65 ตรีได๎
5. ปฏบิ ัติงานได๎อยาํ งถูกตอ๎ ง และสําเรจ็ ภายในเวลา
ที่กาํ หนดอยํางมเี หตผุ ล และประหยดั ตามหลักปรชั ญา
ของเศรษฐกจิ พอเพียง
6. กล๎าแสดงความคดิ เห็นอยํางมีเหตผุ ลและรับฟัง
ความคดิ เหน็ ของผู๎อ่ืน
7. มกี ารพฒั นาคุณธรรม จริยธรรม คํานยิ ม และ
คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงคไ์ ด๎ในเร่ืองความมมี นุษย
สัมพนั ธ์ ความมวี ินัย ความรับผิดชอบ ความซ่อื สัตยส์ จุ ริต
ความเช่อื มัน่ ในตนเอง การประหยดั ความสนใจใฝุรู๎
ความรักสามัคคี ความกตญั ญูกตเวที และตระหนกั ถงึ การ
ละเว๎นจากสง่ิ เสพติดและอบายมุขทัง้ ปวง
เนอื้ หาสาระ
เงอ่ื นไขการคาํ นวณกาํ ไรสทุ ธิตามมาตรา 65 ทวิ
(1) รายจาํ ยตามมาตรา 65 ตรี แหํงประมวลรัษฎากร ถือเป็นรายจาํ ยต๎องหา๎ มทางภาษี ในทางบญั ชี
รายจาํ ยบางรายการถอื เปน็ รายจํายได๎ แตํในทางภาษีรายจาํ ยดังกลาํ ว ต๎องนํามาบวกกลับเพอ่ื คํานวณกาํ ไร
สทุ ธิ
(2) คําสึกหรอและคาํ เส่ือมราคาของทรัพยส์ ิน เปน็ การหกั คําใช๎จาํ ยสนิ ทรัพย์ถาวรในแตํละปี เน่ืองจาก
สนิ ทรัพย์ถาวรมตี น๎ ทุนสงู และใช๎งานไดเ๎ กนิ กวาํ 1 รอบระยะเวลาบัญชี โดยหลักการจึงสามารถตดั เปน็
รายจํายได๎ในแตํละปีเปน็ คําเส่ือมราคา
138
หลกั เกณฑก์ ารคิดคําเสื่อมราคา มีดงั นี้
ขอ้ 1 การหกั คําสกึ หรอและคาํ เสื่อมราคาจะต๎องไมํเกินอัตราร๎อยละของมูลคาํ ต๎นทุนตามประเภทของ
ทรพั ยส์ ิน ดงั ตํอไปนี้
รายการ รอ้ ยละ
1. อาคาร
- อาคารถาวร 5
- อาคารชัว่ คราว 100
2. ต้นทนุ เพอ่ื การได้มาซึ่งแหลง่ ทรพั ยากรธรรมชาตทิ ส่ี ูญสน้ิ ไปได๎ 5
3. ต้นทนุ เพอื่ การไดม้ าซึ่งสิทธกิ ารเชา่
- กรณีไมํมีหนงั สือสญั ญาเชําหรอื มีหนงั สอื เชําท่ีมขี ๎อกาํ หนดใหต๎ อํ อายกุ าร 10
เชําได๎ โดยเงอ่ื นไขในการตอํ อายนุ ั้น เปิดโอกาสให๎ตํออายกุ ารเชาํ ไดต๎ อํ ๆ ไป
- กรณีมสี ญั ญาเชาํ ที่ไมมํ ีกําหนดใหต๎ ํออายุการเชาํ ได๎ หรือมขี ๎อกาํ หนดให๎ 100 หารด๎วย
ตํออายุการเชาํ ได๎เพยี งระยะเวลาอนั จาํ กัด จํานวนปอี ายุ
การเชาํ และอายุ
ทต่ี ํอได๎รวมกัน
4. ต้นทนุ เพื่อการไดม้ าซ่ึงสิทธใิ นกรรมวิธี สูตร ก๊ดู วลิ ล์ เครื่องหมาย
การคา้ สทิ ธปิ ระกอบ กิจการตามใบอนญุ าต สิทธิบตั ร ลิขสิทธ์ิ หรือสิทธิ
อย่างอน่ื
- กรณไี มจํ ํากัดอายุการใช๎ 10
- กรณจี าํ กดั อายุการใช๎ 100 หารดว๎ ย
จาํ นวนปอี ายุ
การใช๎
5. ทรัพย์สนิ อยา่ งอ่นื นอกจากท่ดี ินและสินค้า 20
ขอ้ 2 บริษทั หรือหา๎ งหุ๎นสํวนนิติบคุ คลจะต๎องหักคาํ สกึ หรอและคาํ เสื่อมราคาโดยเลือกใช๎วิธีการ
ทางบญั ชที ่ีรับรองท่วั ไป ซ่ึงจะใช๎วิธใี ดวิธีหน่ึงก็ได๎ แตจํ าํ นวนปีอายกุ ารใชข๎ องทรพั ย์สินต๎องไมนํ ๎อยกวาํ 100
หารดว๎ ยจํานวนรอ๎ ยละที่กาํ หนด โดยเมอ่ื ได๎เลือกใชว๎ ธิ ีการทางบัญชีทร่ี ับรองทว่ั ไปและอัตราทจี่ ะหกั อยาํ งใด
แล๎วให๎ใช๎วธิ กี ารทางบญั ชแี ละอตั ราน้นั ตลอดไป จะเปลี่ยนแปลงไดต๎ ํอเมือ่ ได๎รับอนมุ ัติจากอธบิ ดกี รมสรรพากร
หรือผท๎ู ่อี ธบิ ดีกรมสรรพากรมอบหมาย ในกรณีได๎รับอนุมตั ิใหเ๎ ปล่ยี นแปลงไดแ๎ ละใหถ๎ ือปฏิบตั ติ ง้ั แตํรอบ
ระยะเวลาบัญชีท่ีไดร๎ บั อนุมตั ิน้นั
139
ขอ้ 3 การหักคําสึกหรอและคําเส่ือมราคา ให๎คํานวณตามสํวนเฉล่ยี แหงํ ระยะเวลาท่ไี ด๎ทรพั ยส์ นิ
น้นั มาในแตลํ ะรอบระยะเวลาบญั ชี ในกรณีทีร่ อบระยะเวลาบัญชีใดไมํเต็ม 12 เดอื นให๎เฉลย่ี หักตามสวํ น
สาํ หรับรอบระยะเวลาบญั ชีนนั้ ทง้ั น้ี ไมํเกนิ อัตราร๎อยละของมูลคาํ ตน๎ ทนุ ตามประเภทของทรัพย์สินดังกลําว
ขา๎ งตน๎ โดยให๎เฉลี่ยเปน็ วนั เชนํ บริษทั แหํงหน่งึ มีรอบระยะเวลาบัญชีปกติตามปีปฏิทนิ ไดซ๎ ื้อเครอื่ งจักร
มูลคาํ 500,000 บาท เม่อื วันท่ี 1 ธนั วาคม 2539 คํานวณคาํ สึกหรอและคําเส่อื มราคาของเครอ่ื งจกั ร ดงั น้ี
คําเสอ่ื มราคา ในปี 2539 = 500,000 x 20/100 x 31/365 = 8,493.15 บาท ปกตทิ รัพย์สนิ อยําง
อื่นหกั คําเสอื่ มราคาได๎ร๎อยละ 20 ของมูลคาํ นั่นหมายถึง ไดท๎ รัพย์สนิ น้ันมาเตม็ รอบระยะเวลาบญั ชี
ขอ้ 4 กรณที รัพยส์ ินท่ีไดม๎ าโดยการเชําซือ้ หรือซื้อขายเงนิ ผํอน ใหห๎ กั คาํ สกึ หรอและคาํ เส่ือมราคา
ของทรัพยส์ นิ ตามราคามูลคาํ ตน๎ ทนุ คอื ราคาที่พงึ ต๎องชาํ ระทัง้ หมดตามสัญญาเชาํ ซือ้ หรือสญั ญาซ้ือขายเงิน
ผอํ น แตํคาํ สึกหรอและคาํ เสื่อมราคาทีจ่ ะนํามาหักในรอบระยะเวลาบัญชีจะต๎องไมเํ กินคําเชําซื้อหรือราคาท่ี
ต๎องผํอนชําระในรอบระยะเวลาบญั ชีน้ัน
ขอ้ 5 การหักคาํ สึกหรอและคําเสื่อมราคา สาํ หรับทรัพยส์ ินไมํวําในกรณีใดจะหกั จนหมดมูลคาํ
ตน๎ ทนุ ของทรัพยส์ นิ นั้นไมํได๎ โดยใหค๎ งเหลือมูลคาํ ของทรพั ย์สินนัน้ เป็นจาํ นวนเงินอยาํ งน๎อย 1 บาท เวน๎
แตํ ทรพั ย์สนิ ประเภทรถยนต์โดยสารท่ีมที ่นี ัง่ ไมเํ กิน 10 คน หรือรถยนต์นง่ั ที่มมี ลู คําตน๎ ทุนเกนิ 1 ล๎าน
บาท ใหค๎ งเหลือมูลคําต๎นทุนของทรัพย์สินเทาํ กับมูลคาํ ต๎นทุนสํวนทเี่ กิน 1 ล๎านบาท
ข้อ 6 ทรัพย์สินประเภทรถยนตโ์ ดยสารทมี่ ีที่นง่ั ไมเํ กนิ 10 คน หรือรถยนตน์ ัง่ ให๎หกั คาํ สึกหรอ
และคําเสื่อมราคาจากมูลคําต๎นทุน เฉพาะสํวนที่ไมํเกิน 1 ล๎านบาท เว๎นแตํ เปน็ ทรพั ย์สนิ ซง่ึ มไี ว๎ใชใ๎ นกิจการให๎
เชาํ รถยนต์ ให๎หักคาํ สึกหรอและคาํ เสอื่ มราคาจากมลู คําต๎นทนุ ท้ังหมด ท้ังนี้ บริษัทหรือห๎างหุน๎ สํวนนิตบิ คุ คล
จะตอ๎ งไมํนาํ ทรพั ย์สินดังกลําวไปใชใ๎ นกิจการอื่น ไมํวําท้งั หมดหรือบางสํวน
ขอ้ 7 การหกั คําสึกหรอและคาํ เส่ือมราคาของทรพั ย์สนิ ประเภทเครอ่ื งจักร และอปุ กรณ์เครื่องจักร
ท่ใี ชส๎ าํ หรบั การวจิ ัยและพัฒนา ใหห๎ ักคําสกึ หรอและคาํ เส่ือมราคาเบ้ืองตน๎ ในวนั ที่ไดท๎ รัพย์สนิ นนั้ มาในอตั รา
ร๎อยละ 40 ของมลู คาํ ต๎นทุน สาํ หรบั มลู คําต๎นทุนสวํ นท่เี หลือใหห๎ กั ตามเงื่อนไขและอตั ราที่กําหนดไวใ๎ นตาราง
ข๎อ 1 ทรัพย์สนิ ดงั กลําวจะตอ๎ งมีลักษณะและเปน็ ไปตามหลักเกณฑแ์ ละเงอื่ นไขดงั ตอํ ไปนี้
(1) ตอ๎ งไมเํ ป็นเครื่องจักรและอปุ กรณ์ของเครอ่ื งจักรทใ่ี ช๎ผลติ สนิ ค๎า หรือใชบ๎ ริการ เวน๎
แตํ เครอ่ื งจักรและอปุ กรณข์ องเคร่ืองจักรดงั กลาํ วไดใ๎ ช๎เพ่ือการดังตํอไปนี้
(ก) การวิจยั และพฒั นาผลิตภัณฑ์หรอื วัตถดุ ิบทน่ี ํามาใช๎ในการผลติ
(ข) การทดสอบคุณภาพของผลิตภณั ฑ์ หรอื
(ค) การปรับปรงุ กรรมวิธีการผลติ เพื่อลดต๎นทุนการผลิตหรือเพิ่มผลผลติ ท้ังนี้ ไมํ
วําจะใช๎เพ่ือกิจการของตนเองหรอื กิจการของผ๎อู นื่
(2) ตอ๎ งเป็นเคร่อื งจักรและอุปกรณ์ของเคร่อื งจักรท่ีไมํเคยผาํ นการใชง๎ านมากํอน โดยมี
อายุการใชง๎ านไดต๎ ้ังแตํ 2 ปีขึน้ ไป และมีมูลคําต๎นทนุ ไมํต่ํากวํา 100,000 บาท
(3) ตอ๎ งแจ๎งการใช๎เคร่ืองจักรและอุปกรณ์ของเคร่ืองจกั รเพ่ือการวจิ ัยและพัฒนาตาม (1)
โดยใช๎แบบ ค.จ.01 พร๎อมกับแนบเอกสารหลักฐานประกอบตามทก่ี ําหนดไว๎ในประกาศอธบิ ดกี รมสรรพากร
เก่ียวกับภาษเี งินได๎ (ฉบับที่ 48) ตอํ อธิบดีกรมสรรพากรภายใน 30 วนั นับแตํวันทใี่ ช๎เคร่ืองจักรและอุปกรณ์
ของเครอ่ื งจักรน้ัน
140
ข้อ 8 การหักคําสึกหรอและคาํ เสื่อมราคาทรัพย์สินประเภทเครอื่ งบนั ทึกการเก็บเงินอาจเลือกหัก
คําสึกหรอและคําเสื่อมราคาในอตั ราร๎อยละ 100 ของมูลคําตน๎ ทนุ ตามเงื่อนไขท่ีกาํ หนดไวใ๎ นข๎อ 1 ก็ได๎ หรอื
เลือกหกั คําสึกหรอและคําเสอื่ มราคาเบื้องตน๎ ในอตั ราร๎อยละ 40 ของมลู คําต๎นทุน สาํ หรับมูลคําต๎นทนุ สํวนท่ี
เหลือให๎หกั ตามเงือ่ นไขและอัตราท่ีกาํ หนดไวใ๎ นตารางข๎อ 1 ก็ได๎ ทรัพยส์ นิ ดังกลําวจะต๎องมลี ักษณะและ
เป็นไปตามหลักเกณฑแ์ ละเง่ือนดงั ตํอไปนี้
(1) ตอ๎ งเป็นทรัพยส์ นิ ของผป๎ู ระกอบการจดทะเบียนภาษีมูลคําเพ่ิม ซ่งึ ประกอบกจิ การ
คา๎ ปลีกหรือประกอบกจิ การอยาํ งอ่ืนซ่ึงมิใชํการค๎าปลีกท่ีอธิบดีกรมสรรพากรอนุมตั ิใหใ๎ ชเ๎ ครื่องบันทกึ การเก็บ
เงิน ในการออกใบกํากับภาษีอยาํ งยํอ แล๎วแตํกรณี
(2) ต๎องเป็นเครอ่ื งบันทึกการเก็บเงนิ ท่ีมีลกั ษณะตามที่อธิบดกี รมสรรพากรประกาศ
กําหนด แตํไมรํ วมถึงสวํ นระบบควบคมุ กลางของเครื่องคอมพวิ เตอร์ (3) ต๎องแจง๎ การใชเ๎ ครอ่ื งบนั ทึกการเกบ็
เงินในการออกใบกาํ กบั ภาษีอยาํ งยอํ ตํออธบิ ดีกรมสรรพากรตามแบบท่ีอธบิ ดีกรมสรรพากรกาํ หนด ภายใน
เวลา 30 วัน นับแตวํ นั ทไ่ี ด๎รบั อนุมัติให๎ใชเ๎ ครื่องบันทกึ การเกบ็ เงนิ
ข้อ 9 การหักคาํ สึกหรอและคําเส่ือมราคาของทรพั ย์สินประเภทคอมพวิ เตอร์และอปุ กรณ์ของ
คอมพิวเตอร์ท่บี รษิ ทั หรือหา๎ งห๎นุ สวํ นนิตบิ ุคคลซือ้ หรือได๎รับโอนกรรมสิทธ์เิ พื่อมีไวใ๎ นการประกอบกิจการของ
ตนเอง ให๎หักไดด๎ งั ตอํ ไปน้ี
(1) ภายใน 3 รอบระยะเวลาบญั ชี นบั แตวํ ันทไี่ ดท๎ รัพย์สินน้ันมา ในกรณที ่ีรอบ
ระยะเวลาบญั ชีใดไมเํ ต็ม 12 เดอื น ให๎เฉลยี่ ตามสวํ นสําหรบั รอบระยะเวลาบญั ชนี ั้น โดยจะเลอื กใช๎วธิ กี ารทาง
บัญชีท่รี บั รองทวั่ ไปวธิ ีใดก็ได๎
(2) กรณีบรษิ ัทหรือห๎างห๎นุ สํวนนิตบิ ุคคลทมี่ สี นิ ทรัพยถ์ าวรซ่ึงไมรํ วมทด่ี นิ ไมํเกิน 200
ลา๎ นบาท และมีการจา๎ งแรงงานไมเํ กิน 200 คน หรือตามหลักเกณฑท์ ่ีอธบิ ดีประกาศกําหนดข้นึ ภายหลงั ให๎
หักคําสกึ หรอและคําเสือ่ มราคาเบื้องตน๎ ในวันทไ่ี ด๎ทรพั ย์สนิ นนั้ มาในอัตรารอ๎ ยละ 40 ของมูลคําตน๎ ทุน สําหรับ
มลู คาํ ต๎นทนุ สํวนท่เี หลือให๎หกั ตามเงอื่ นไขและอัตราที่กําหนดไวใ๎ น (1)
ทรัพยส์ ินประเภทคอมพิวเตอรต์ ามวรรคหน่งึ หมายถึง เคร่อื งอิเลก็ ทรอนิกสแ์ บบ
อตั โนมตั ิทาํ หนา๎ ท่ีเสมือนสมองกลใชส๎ าํ หรับแก๎ปัญหาตําง ๆ ทง้ั ท่ีงํายและซับซ๎อน โดยวธิ ที าง
คณติ ศาสตร์ และอุปกรณ์ของคอมพวิ เตอร์ หมายถึง เคร่ืองมือ เคร่ืองใช๎ เคร่ืองชํวย หรอื เคร่ืองประกอบกับ
คอมพิวเตอร์รวมทั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพ่ือใหค๎ อมพวิ เตอร์ใช๎งานได๎ตามวตั ถปุ ระสงค์ (แก๎ไขเพิม่ เติม โดย
พ.ร.ฎ. (ฉบับที่ 473) พ.ศ. 2551 ใช๎บังคบั 7 สงิ หาคม 2551)
ขอ้ 10 การหักคําสึกหรอและคาํ เส่ือมราคาของทรัพยส์ ินประเภทอาคารโรงงานทบ่ี รษิ ทั หรือห๎าง
หน๎ุ สํวนนิตบิ ุคคลท่มี ีสนิ ทรัพย์ถาวรซึ่งไมรํ วมทีด่ ินไมํเกนิ 200 ล๎านบาท และมีการจ๎างแรงงานไมํเกนิ 200 คน
หรือตามหลกั เกณฑท์ ี่อธบิ ดปี ระกาศกําหนดขน้ึ ภายหลงั ซอื้ หรอื ได๎รับโอนกรรมสทิ ธเ์ิ พือ่ มีไว๎ในการประกอบ
กจิ การของตนเอง ให๎หักคําสึกหรอและคาํ เส่ือมราคาเบอื้ งต๎นในวันทไ่ี ด๎ทรัพย์สินนนั้ มาในอัตราร๎อยละ 25
ของมูลคําต๎นทุน สาํ หรับมลู คําตน๎ ทุนสํวนท่เี หลือให๎หักตามเงือ่ นไขและอตั ราท่ีกําหนดไว๎
การหักคําสกึ หรอและคาํ เสื่อมราคาของทรัพยส์ นิ ประเภทเครื่องจักรและอปุ กรณ์ของ
เครอ่ื งจักรที่บรษิ ัทหรอื ห๎างหุ๎นสํวนนติ ิบคุ คลที่มีสนิ ทรัพยถ์ าวรซึง่ ไมรํ วมทีด่ นิ ไมํเกนิ 200 ล๎านบาท และมีการ
จา๎ งแรงงานไมํเกิน 200 คน หรือตามหลักเกณฑ์ท่ีอธิบดปี ระกาศกาํ หนดขึ้นภายหลังซอ้ื หรือได๎รบั โอน
141
กรรมสิทธ์เิ พ่ือมีไว๎ในการประกอบกจิ การของตนเอง ให๎หักคาํ สกึ หรอและคําเสือ่ มราคาเบือ้ งต๎นในวนั ที่ได๎
ทรัพยส์ นิ น้นั มาในอัตราร๎อยละ 40 ของมูลคําตน๎ ทนุ สําหรับมลู คําตน๎ ทุนสวํ นทเี่ หลอื ใหห๎ กั ตามเงื่อนไขและ
อัตราท่ีกาํ หนดไว๎
ขอ้ 11 การหักคําสึกหรอและคําเส่ือมราคาของทรัพย์สินประเภทอาคารถาวรท่ีบรษิ ัทท่เี ป็น
สาํ นักงานปฏิบตั กิ ารภมู ิภาค (ROH) ซือ้ หรือได๎รับโอนกรรมสทิ ธ์เิ พื่อมีไวใ๎ นการประกอบกิจการของกิจการของ
ตนเอง ใหห๎ ักคาํ สกึ หรอและคําเส่อื มราคาเบอ้ื งต๎นในวันทีไ่ ด๎ทรพั ยส์ นิ น้นั มาในอัตราร๎อยละ 25 ของมลู คํา
ตน๎ ทนุ สําหรับมลู คาํ ต๎นทนุ สวํ นที่เหลือใหห๎ กั ตามเงื่อนไขและอัตราท่ัวไปท่ีกาํ หนดไว๎ ท้ังน้ี เฉพาะทรพั ย์สนิ ท่ี
ไดม๎ าตง้ั แตํวันที่ 1 มกราคม 2545
ขอ้ 12 ให๎บรษิ ทั หรือหา๎ งห๎ุนสวํ นนติ บิ คุ คล สามารถหกั คําสึกหรอและคําเส่ือมราคาเบ้ืองตน๎ ของ
ทรัพย์สินประเภทเครอื่ งจักรและอุปกรณ์ท่ีใช๎ผลิตสินคา๎ หรือใหบ๎ รกิ าร ในวนั ทไ่ี ดท๎ รพั ย์สินน้นั มาในอตั ราร๎อย
ละ 40 ของมูลคําตน๎ ทนุ สําหรบั มูลคาํ ตน๎ ทนุ สํวนที่เหลือให๎หักตามอตั ราปกติ ทง้ั น้ี ทรัพยส์ ินจะต๎องได๎มาและ
พรอ๎ มใช๎งานไดภ๎ ายในวนั ท่ี 31 ธนั วาคม 2553 (ตาม พ.ร.ฎ. (ฉบับท่ี 473) พ.ศ. 2551)
ข๎อ 13 ให๎บรษิ ัทหรือหา๎ งหุ๎นสวํ นนติ บิ ุคคลท่ีมีทรัพยส์ ินถาวรไมํรวมทด่ี ินไมํเกนิ 200 ล๎านบาท และ
จา๎ งแรงงานไมํเกิน 200 คน สามารถเลือกหักคําสกึ หรอและคําเส่ือมราคาของทรัพย์สนิ ไดใ๎ นอตั รา ร๎อยละ
100 ของมูลคาํ ตน๎ ทนุ โดยมูลคําตน๎ ทนุ ของทรพั ย์สินดังกลําวรวมกนั แลว๎ ตอ๎ งไมเํ กิน 500,000 บาท ในหน่งึ
รอบระยะเวลาบัญชี (ทัง้ นี้ ใช๎สาํ หรับทรัพยส์ ินตามมาตรา 4(5) แหงํ พ.ร.ฎ. (ฉบับท่ี 145) พ.ศ. 2527 แก๎ไข
โดย พ.ร.ฎ. (ฉบับท่ี 473) พ.ศ. 2551 โดยทรัพย์สนิ จะตอ๎ งไดม๎ าและพร๎อมใชง๎ านไดภ๎ ายในวนั ที่ 31 ธนั วาคม
2553)
ขอ้ 14 การหักคาํ สึกหรอและคําเสื่อมราคาของทรพั ยส์ นิ อยาํ งอ่นื ตามมาตรา 4(5) ของ พ.ร.ฎ.
(ฉบบั ท่ี 145) แตไํ มํรวมถึงยานพาหนะทบ่ี ริษัทหรือห๎างหุน๎ สวํ นนติ ิบุคคลซ่งึ เปน็ ผ๎ูประกอบอตุ สาหกรรม
ทอํ งเท่ยี วตามกฎหมายวาํ ดว๎ ยการทอํ งเทยี่ วแหํงประเทศไทยซื้อหรือได๎รับโอนกรรมสทิ ธ์เิ พอื่ มีไวใ๎ ชใ๎ นการ
ประกอบกิจการของตนเองให๎หกั คําสกึ หรอและคําเสอ่ื มราคาเบอื้ งต๎นในวันทไ่ี ด๎ทรพั ยส์ ินนั้นมาในอตั ราร๎อยละ
60 ของมูลคําตน๎ ทนุ สาํ หรับมูลคาํ ตน๎ ทนุ สวํ นทเ่ี หลือให๎หักตามเงอื่ นไขและอัตราท่ีกาํ หนดไว๎ (ตาม พ.ร.ฎ.
(ฉบับที่ 505) พ.ศ. 2553)
ขอ้ 15 การหักคําสกึ หรอและคําเสื่อมราคาของทรพั ย์สนิ ประเภทเครื่องจักรท่ใี ชใ๎ นการผลติ สนิ คา๎
หรอื ใหบ๎ รกิ ารรบั จ๎างผลติ สินคา๎ ท่ีบรษิ ทั หรือหา๎ งหน๎ุ สํวนนติ ิบคุ คลซ่ึงอยํูในพ้ืนท่ที ่ีทางราชการประกาศให๎เป็น
พน้ื ทที่ เ่ี กิดอทุ กภัย และได๎รับความเสียหายจากอุทกภัยในระหวาํ งวนั ท่ี 25 กรกฎาคม 2554 ถึงวันท่ี 31
ธันวาคม 2555 ไดซ๎ ือ้ หรือไดร๎ ับโอนกรรมสิทธิเ์ พ่ือมีไวใ๎ นการประกอบกจิ การของตนเอง ใหห๎ กั คําสึกหรอและ
คาํ เส่อื มราคาเบื้องต๎นในวันท่ีได๎ทรัพยส์ ินนนั้ มาในอัตราร๎อยละ 40 ของมลู คําตน๎ ทุน สาํ หรบั มูลคาํ ต๎นทุนสํวน
ท่เี หลอื ใหห๎ ักตามเง่ือนไขและอัตราท่ีกาํ หนดไว๎ ท้งั นี้ เฉพาะทรพั ย์สินท่ีไดม๎ าและอยูํในสภาพพร๎อมท่จี ะใชง๎ าน
ไดต๎ ามวัตถุประสงค์ ต้ังแตํวันท่ี 25 กรกฎาคม 2554 ถึงวนั ท่ี 31 ธนั วาคม 2555 (ตาม พ.ร.ฎ. (ฉบบั ที่ 537)
พ.ศ. 2555)
(3) การตรี าคาทรพั ยส์ นิ
ราคาทรัพย์สินอื่นนอกจากราคาสินค๎าคงเหลือ ให๎ถือตามราคาท่ีพงึ ซื้อทรัพย์สนิ นนั้ ได๎ตามปกติ และใน
142
กรณที ่มี ีการตรี าคาทรัพย์สนิ เพิม่ ขึน้ หา๎ มมิให๎นาํ ราคาทีต่ รี าคาเพิ่มข้ึนมารวมคํานวณกําไรสุทธิหรอื ขาดทนุ สทุ ธิ
สํวนทรพั ยส์ นิ รายการใดมีสิทธหิ กั คําสึกหรอและคําเสอ่ื มราคา ให๎หกั คาํ สึกหรอและคาํ เสอ่ื มราคาในการ
คาํ นวณกาํ ไรสทุ ธิหรือขาดทุนสทุ ธิตามหลักเกณฑ์ วิธกี าร เงื่อนไข และอัตราเดิมที่ใช๎อยํูกํอนตีราคาทรัพย์สิน
เพม่ิ ขนึ้ โดยใหห๎ ักเพยี งเทําทรี่ ะยะเวลาและมลู คําต๎นทุนท่ีเหลอื อยูํสาํ หรับทรัพย์สินนั้นเทําน้ัน
(4) การโอนทรพั ย์สิน
ในกรณีโอนทรพั ยส์ นิ ให๎บริการ หรือให๎กู๎ยมื เงินโดยไมมํ ีคาํ ตอบแทน คําบริการหรือดอกเบย้ี หรือมี
คําตอบแทน คําบริการ หรือดอกเบยี้ ตา่ํ กวาํ ราคาตลาดโดยไมมํ เี หตุอันสมควร เจา๎ พนักงานประเมนิ มีอาํ นาจ
ประเมินคําตอบแทน คาํ บริการ หรือดอกเบีย้ นน้ั ตามราคาตลาดในวนั ที่โอน ให๎บริการ หรอื ใหก๎ ู๎ยืมเงินได๎
เชนํ บริษทั แหํงหนึ่ง จําหนํายรถยนต์ซง่ึ มรี าคา 100,000 บาท ซง่ึ เปน็ ราคาตลาด ให๎กบั ผูจ๎ ัดการบริษัทใน
ราคา 10,000 บาท เจ๎าพนักงานประเมนิ มีอาํ นาจประเมินราคาขายรถยนตใ์ หเ๎ ทาํ กบั ราคาตลาดได๎
ราคาตลาด หมายความวาํ ราคาของคาํ ตอบแทน คาํ บริการ หรอื ดอกเบี้ย ซ่ึงคูํสัญญาที่เปน็ อิสระตํอ
กนั พึงกาํ หนดโดยสุจรติ ในทางการคา๎ กรณโี อนทรัพย์สิน ให๎บรกิ าร หรือใหก๎ ๎ยู ืมเงินท่ีมลี กั ษณะ ประเภท และ
ชนดิ เชํนเดยี วกนั ณ วนั ท่โี อนทรัพย์สนิ ใหบ๎ รกิ าร หรือให๎กู๎ยืมเงนิ
(5) การคํานวณมลู ค่าของทรพั ย์สินและหน้สี นิ ซ่ึงมคี ่าหรือราคาเป็นเงินตราตา่ งประเทศ
เงินตรา ทรัพยส์ ิน หรือหน้ีสินซ่ึงมีคําหรอื ราคาเปน็ เงินตราตาํ งประเทศทีเ่ หลอื อยูํในวนั สุดท๎ายของรอบ
ระยะเวลาบัญชีใหค๎ ํานวณคาํ หรอื ราคาเปน็ เงินตราไทย ดังน้ี
(ก) กรณีบริษัทหรอื หา๎ งห๎ุนสํวนนิติบุคคลนอกจาก (ข) ให๎คาํ นวณคาํ หรือราคาของเงินตราหรอื
ทรัพยส์ นิ เป็นเงนิ ตราไทยตามอัตราถวั เฉลีย่ ทธี่ นาคารพาณิชยร์ ับซื้อ ซ่งึ ธนาคารแหํงประเทศไทยได๎คํานวณไว๎
และใหค๎ ํานวณคําหรือราคาของหน้ีสินเปน็ เงินตราไทยตามอตั ราถวั เฉลีย่ ทีธ่ นาคารพาณิชย์ขายซึ่ง ธนาคาร
แหงํ ประเทศไทยได๎คาํ นวณไว๎
(ข) กรณีธนาคารพาณิชย์หรอื สถาบันการเงนิ อื่นตามทร่ี ฐั มนตรีกําหนด ให๎คาํ นวณคําหรอื ราคาของ
เงนิ ตรา ทรพั ย์สิน หรอื หน้ีสนิ เปน็ เงนิ ตราไทยตามอัตราถัวเฉลีย่ ระหวํางอัตราซ้อื และอัตราขายของธนาคาร
พาณิชยท์ ่ีธนาคารแหํงประเทศไทยไดค๎ ํานวณไว๎
เงนิ ตรา ทรัพยส์ ิน หรอื หนี้สนิ ซง่ึ มคี าํ หรือราคาเปน็ เงินตราตํางประเทศท่ีรับมาหรือจํายไปในระหวาํ ง
รอบระยะเวลาบญั ชี ใหค๎ ํานวณคําหรือราคาเปน็ เงนิ ตราไทยตามราคาตลาดในวนั ทีร่ บั มาหรือจํายไปนน้ั
(6) การตรี าคาสินคา้ คงเหลอื
ราคาสนิ คา๎ คงเหลือในวันสุดท๎ายของรอบระยะเวลาบัญชี ใหค๎ ํานวณตามราคาทุนหรือราคาตลาด
แล๎วแตํอยาํ งใดจะน๎อยกวาํ และใหถ๎ ือราคานีเ้ ปน็ ราคาสนิ ค๎าคงเหลอื ยกมาสําหรบั รอบระยะเวลาบัญชีใหมํด๎วย
การคํานวณราคาทนุ ดังกลาํ ว เมอ่ื ไดค๎ ํานวณตามหลักเกณฑ์ใดตามวิธกี ารทางบัญชีแล๎วใหใ๎ ชห๎ ลกั เกณฑ์นน้ั
ตลอดไป เวน๎ แตํ จะไดร๎ ับอนุมัตจิ ากอธบิ ดกี รมสรรพากรจงึ จะเปล่ยี นหลักเกณฑ์ได๎
(7) การคาํ นวณราคาทุนของสินคา้ ท่สี ง่ เข้ามาจากต่างประเทศ
เจ๎าพนักงานประเมินมีอํานาจประเมิน โดยเทียบเคยี งกับราคาทนุ ของสินคา๎ ประเภทและชนิดเดยี วกนั
ทส่ี งํ เข๎าไปในประเทศอ่นื ได๎
(8) การคาํ นวณราคาทนุ ของสินคา้ เปน็ เงินตราต่างประเทศ
143
ถ๎าราคาทนุ ของสนิ ค๎าเปน็ เงินตราตํางประเทศ ให๎คํานวณเปน็ เงนิ ตราไทยตามอัตราแลกเปล่ยี นในอง
ตลาดของวนั ที่ไดส๎ ินคา๎ นัน้ มา เว๎นแตํ เงินตราตาํ งประเทศน้ันจะแลกไดใ๎ นอัตราทางราชการกใ็ หค๎ าํ นวณเป็น
เงินตราไทยตามอตั ราทางราชการนน้ั
(9) การจาํ หนา่ ยหน้สี ญู
การจาํ หนํายหน้สี ญู จากบัญชีลูกหนี้สามารถกระทาํ ได๎ตํอเมื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วธิ ีการ และ
เงือ่ นไขท่ีกําหนดโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 186 (พ.ศ. 2534) แตํถ๎าไดร๎ ับชาํ ระหนี้ในรอบระยะเวลาบญั ชีใดให๎
นํามาคํานวณเป็นรายได๎ในรอบระยะเวลาบัญชนี ้นั หนส้ี ูญรายใดไดน๎ าํ มาคํานวณเปน็ รายได๎แล๎วหากได๎รบั
ชําระในภายหลังก็มใิ ห๎นํามาคํานวณเปน็ รายได๎อีก เชนํ หา๎ งฯ ให๎ลกู คา๎ เชาํ ซ้ือสนิ คา๎ โดยมมี ลู คําเชําซ้ือแตํละ
รายไมํถึง 100,000 บาท และลูกค๎าและผู๎ค้ําประกันไดน๎ ําสินคา๎ ไปขายตํอแล๎วหลบหนีไป ไมํทราบท่ีอยูํ
แนํนอน ไมสํ ามารถติดตามได๎ และไมํมที รัพย์สนิ ใด ๆ ที่จะชําระหน้ีได๎ โดยห๎างฯ ได๎มหี ลักฐานการติดตามทวง
ถามใหช๎ าํ ระหนี้ คอื (1) หนังสอื บอกกลําวทวงถามลกู หนข้ี องทนายความและใบตอบรบั การสงํ หนังสอื ดังกลําว
ไมนํ อ๎ ยกวํา 2 ครงั้ แล๎วยงั ไมํไดร๎ บั ชําระหน้ี และ (2) รายงานการตดิ ตามและสบื ทรัพยล์ ูกหน้ีโดยมผี ๎ูใหญํบา๎ น
หรือเพ่ือนบา๎ นข๎างเคยี งลงชื่อรับรองกรณีดงั กลําว เม่ือห๎างฯ มหี ลกั ฐานการตดิ ตามทวงถามใหช๎ ําระหน้ี
ดงั กลําวขา๎ งตน๎ แลว๎ ถือได๎วํามีหลกั ฐานการตดิ ตามทวงถามใหช๎ ําระหนตี้ ามสมควรแกกํ รณีแลว๎ แตํไมํได๎รับรับ
ชาํ ระหน้ี และหากจะฟูองลูกหน้จี ะต๎องเสยี คาํ ใช๎จํายไมคํ มุ๎ กับหนที้ ี่จะไดร๎ ับชาํ ระ ดังนนั้ หลักฐานดงั กลําวจงึ
สามารถใชเ๎ ปน็ หลกั ฐานการจาํ หนาํ ยหนส้ี ูญจากบญั ชลี กู หนี้ได๎
(10) การคํานวณเงนิ ปนั ผลหรือส่วนแบง่ ของกาํ ไร ให้ถอื เปน็ รายได้ ดงั น้ี
ผจู้ ่ายเงนิ ปันผลหรือส่วนแบ่งของกําไร เปน็ บรษิ ัทท่ีตง้ั ขึน้ ตามกฎหมายไทย กองทุนรวม หรอื
สถาบนั การเงนิ ที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทยจัดต้ังขึน้ สําหรบั ให๎กยู๎ ืมเงนิ เพื่อการสงํ เสรมิ
เกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม และกิจการรํวมคา๎
ผู้รับเงินปนั ผลหรอื ส่วนแบ่งของกําไร มีเงือ่ นไขการคํานวณเปน็ รายได๎ ดงั นี้
- เป็นบริษทั ที่ตัง้ ข้ึนตามกฎหมายไทย (ไมํไดจ๎ ดทะเบยี นในตลาดหลักทรัพย์) ได๎รบั ยกเวน๎ กง่ึ หน่ึง
- เปน็ บรษิ ัททต่ี งั้ ขน้ึ ตามกฎหมายไทย และจดทะเบยี นในตลาดหลกั ทรัพย์ ไดร๎ ับยกเว๎นท้งั หมด
- เป็นบรษิ ัทท่ตี ั้งขน้ึ ตามกฎหมายไทย ไมไํ ด๎จดทะเบยี นในตลาดหลกั ทรัพย์ แตํถอื ห๎นุ ในบริษทั ผู๎
จาํ ยเงนิ ปันผล ไมํน๎อยกวาํ ร๎อยละ 25 ของหุน๎ ท้ังหมดทีม่ ีสิทธอิ อกเสียงในบรษิ ัทผ๎จู ํายเงินปันผล และบริษทั ผู๎
จํายเงินปันผล ไมํได๎ถือหน๎ุ ในบรษิ ัทผ๎ูรับเงนิ ปนั ผลไมวํ ําทางตรงหรือทางอ๎อม ไดร๎ บั ยกเว๎นท้งั หมด
การยกเว๎นเงินปันผลหรือสํวนแบํงของกาํ ไร ผร๎ู บั ต๎องถือหนุ๎ หรือหนํวยลงทนุ ทเี่ ป็นเหตเุ กดิ เงินได๎นัน้
ไมนํ อ๎ ยกวาํ 3 เดอื นกํอนวนั ประกาศจาํ ยเงนิ ปนั ผลหรอื สํวนแบงํ ของกําไร และต๎องถือห๎ุนหรอื หนํวยลงทุนน้ัน
ตอํ ไปอีกไมํน๎อยกวํา 3 เดือนนบั แตวํ ันประกาศจํายเงินปนั ผลหรือสํวนแบงํ ของกําไรดว๎ ย เชนํ บรษิ ทั ก. ถือ
หน๎ุ ในบริษทั ข. ไมํน๎อยกวําร๎อยละ 25 ของหน๎ุ ทงั้ หมดทม่ี ีสิทธอิ อกเสียง และถือห๎ุนไวเ๎ กินกวาํ 3 เดือนนับแตํ
วนั ทีไ่ ดซ๎ ้ือหน๎ุ จนถึงวนั ท่ีได๎รับเงินปนั ผล และยังคงถอื ห๎ุนตํอไปอีกเกินกวํา 3 เดือน นับแตวํ ันที่ได๎รบั เงนิ ปัน
ผล และบริษัท ข. ไมํได๎ถือห๎ุนในบรษิ ัท ก. ไมํวาํ ทางตรงหรือทางออ๎ ม ดงั น้ัน เงนิ ปันผลที่บริษัท ก. ได๎รับ ไมํ
ต๎องมารวมคาํ นวณกําไรสุทธิเพอื่ เสยี ภาษเี งนิ ไดน๎ ิตบิ ุคคลในรอบระยะเวลาบญั ชนี ั้น ตามมาตรา 65 ทวิ (10)
แหงํ ประมวลรษั ฎากร
144
(11) ดอกเบ้ยี กู้ยืมท่ีอยู่ในบังคบั ต้องถกู หักภาษี ณ ทจ่ี า่ ยไว้ตามกฎหมายว่าด้วยภาษีเงินไดป้ ิโตรเลยี ม ให๎
นาํ มารวมคํานวณเป็นรายไดเ๎ พยี งเทําทเ่ี หลอื จากถูกหักภาษี ณ ทจ่ี ํายไวต๎ ามกฎหมายดังกลาํ ว (ซงึ่ ตาม
พระราชบญั ญัติภาษีเงินไดป๎ โิ ตรเลียม พ.ศ. 2514 ตามมาตรา 25(10) หา๎ มมิใหน๎ ําคําดอกเบ้ยี เงนิ กูย๎ ืมมาถือ
เป็นรายจาํ ยในการคาํ นวณกาํ ไรสทุ ธเิ พื่อเสยี ภาษีเงินได๎ปิโตรเลียม แตํใหย๎ กเว๎นภาษเี งนิ ไดแ๎ กผํ ไ๎ู ดร๎ บั ดอกเบีย้
โดยใหน๎ ําเฉพาะสํวนที่เหลอื จากถูกหักภาษี ณ ทจี่ ํายมาคํานวณเปน็ รายได๎)
(12) เงนิ ปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกาํ ไรที่อยใู่ นบังคบั ต้องถูกหักภาษี ณ ที่จา่ ยไว้ตามกฎหมายว่าดว้ ย
ภาษเี งนิ ไดป้ ิโตรเลียม ใหน๎ ํามารวมคํานวณเป็นรายได๎เพียงเทําที่เหลือจากถูกหักภาษี ณ ทีจ่ ํายไว๎ตาม
กฎหมายดงั กลําว และหากผูร๎ ับเปน็ บริษทั จดทะเบยี นหรือเป็นบรษิ ัทท่ีต้ังข้นึ ตามกฎหมายไทย ใหน๎ ํา
บทบญั ญตั ขิ ๎อ (10) มาใชบ๎ ังคับโดยอนโุ ลม (ไมํไดจ๎ ดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ใหน๎ าํ มาคาํ นวณเป็นรายได๎
เพยี งก่ึงหน่ึง แตหํ ากเป็นบริษทั ทต่ี ัง้ ขึน้ ตามกฎหมายไทย และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรอื เปน็ บริษทั
ที่ตงั้ ขน้ึ ตามกฎหมายไทย ไมํไดจ๎ ดทะเบยี นในตลาดหลักทรัพย์ แตถํ ือหนุ๎ ในบรษิ ัทผูจ๎ าํ ยเงินปันผล ไมํน๎อยกวาํ
ร๎อยละ 25 ของหน๎ุ ทงั้ หมดทม่ี ีสทิ ธอิ อกเสียงในบริษัทผ๎ูจํายเงินปนั ผล และบริษัทผูจ๎ ํายเงินปนั ผล ไมไํ ด๎ถือห๎นุ
ในบรษิ ัทผ๎รู บั เงนิ ปนั ผลไมวํ าํ ทางตรงหรือทางอ๎อม ให๎ได๎รบั ยกเวน๎ ท้ังหมดด๎วย)
(13) มลู นธิ ิหรือสมาคม ที่ประกอบกจิ การซง่ึ มีรายได๎ ไมํตอ๎ งนาํ เงินคําลงทะเบียน หรอื คาํ บาํ รุงท่ีไดร๎ บั จาก
สมาชกิ เงินหรือทรัพยส์ นิ ท่ีได๎รับจากการรบั บรจิ าค หรอื จากการให๎โดยเสนหํ า แล๎วแตํกรณี มารวมคาํ นวณ
เปน็ รายได๎
(14) ภาษีมูลขาย ซ่งึ บริษัทหรอื ห๎างหน๎ุ สวํ นนติ ิบุคคลทีเ่ ป็นผ๎ูประกอบการจดทะเบยี นภาษีมูลคาํ เพม่ิ ไดร๎ ับ
หรือพึงไดร๎ บั และภาษมี ลู คาํ เพ่ิมซงึ่ ไดร๎ ับคืนจากการขอคืน ไมํต๎องนํามารวมคาํ นวณเป็นรายได๎ (เน่ืองจาก
ภาระภาษีมูลคาํ เพิ่มเป็นของผู๎บรโิ ภค บริษทั หรอื หา๎ งหุ๎นสํวนนติ ิบุคคลซ่ึงเปน็ ผู๎ประกอบการจดทะเบียน
ภาษีมลู คําเพมิ่ เปน็ เพยี งคนกลางท่ีรบั ภาษีมูลคําเพ่ิมแลว๎ สํงตอํ ให๎รฐั บาลผํานกรมสรรพากรเทาํ น้ัน มไิ ด๎ถอื เป็น
รายได๎ของกจิ การแตํอยาํ งใด)
เงือ่ นไขการคํานวณกําไรสทุ ธติ ามมาตรา 65 ตรี (รายจ่ายตอ้ งหา้ ม)
รายจ่ายต้องหา้ ม หมายถงึ รายจํายท่ีเกิดขนึ้ จากการดาํ เนินกจิ การของนติ บิ คุ คลและไดม๎ กี ารบันทึก
บญั ชีเป็นรายจํายในรอบระยะเวลาบญั ชที ่ีเกดิ รายการ แตํในทางภาษไี มใํ ห๎ถือเปน็ รายจํายในการคาํ นวณกาํ ไร
สทุ ธิ ขอบเขตรายจาํ ยในการคาํ นวณกําไรสุทธเิ พ่ือเสยี ของบรษิ ทั หรือหา๎ งหนุ๎ สํวนนติ ิบุคคล กําหนดไวต๎ าม
ประมวลรัษฎากร
(1) เงนิ สํารองตา่ ง ๆ เปน็ รายจ่ายต้องหา้ ม นอกจาก เงินสาํ รองดงั ตํอไปนีส้ ามารถนาํ มาเปน็ รายจาํ ยในการ
คํานวณกําไรสุทธิได๎ คือ
(1.1) เงินสาํ รองจากเบี้ยประกนั ภัย เพ่ือสมทบทุนประกันชวี ิตได๎ไมํเกนิ ร๎อยละ 65 ของจํานวนเบ้ีย
ประกนั ชวี ิตท่ีไดร๎ ับ ในรอบระยะเวลาบัญชหี ลงั จากหักเบี้ยประกนั ภัยซงึ่ เอาประกนั ภัยตํอออกแลว๎ ถือเปน็
รายจํายได๎
(1.2) เงินสํารองจากเบ้ียประกันภัยเพื่อสมทบทนุ ประกันภัยอื่นทีก่ ันไว๎กํอนคํานวณกาํ ไรเฉพาะสวํ นที่ไมํ
เกนิ ร๎อยละ 40 ของจํานวนเบ้ียประกันภัยท่ีไดร๎ ับ ในรอบระยะเวลาบญั ชหี ลังจากหักเบ้ียประกันภัย ซึง่ เอา
ประกันตํอออกแลว๎ ถอื เปน็ รายจํายได๎
145
(1.3) เงนิ สํารองทีก่ ันไวเ๎ ป็นคาํ เผอ่ื หน้ีสูญหรือหนี้สงสยั จะสญู สําหรับหนี้ท่เี กดิ จากการให๎สินเชอื่ ของ
ธนาคารพาณชิ ย์ หรอื บริษทั เงินทุน บรษิ ทั หลกั ทรัพย์ หรอื บริษัทเครดติ ฟองซเิ อร์ ให๎กนั ไวต๎ ามกฎหมายวํา
ดว๎ ยการธนาคารพาณิชย์หรือกฎหมายวําด๎วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธรุ กิจหลักทรัพย์ และธุรกิจครดติ ฟอง
ซเิ อร์ แตํกรณเี ฉพาะสวํ นที่ต้งั เพ่มิ ขึ้นจากเงนิ สาํ รองประเภทดังกลาํ วที่ปรากฎในงบดลุ ของรอบระยะเวลาบัญชี
เงนิ สํารองทต่ี ั้งข้ึนตามวรรคหน่ึงและไดน๎ าํ มาถือเป็นรายจาํ ยในการคํานวณกาํ ไรสุทธหิ รือขาดทุนสทุ ธิไปแล๎วใน
รอบระยะเวลาบัญชใี ด ตํอมาหากมีการตง้ั เงนิ สํารองประเภทดังกลาํ วลดลง ให๎นําเงนิ สาํ รองสวํ นทตี่ ัง้ ลดลง ซ่ึง
ได๎ถือเปน็ รายจํายไปแลว๎ นนั้ มารวมคํานวณเป็นรายไดใ๎ นรอบระยะเวลาบญั ชีท่ตี ้ังเงนิ สํารองลดลงนั้น
(2) เงินที่จ่ายเข้ากองทนุ ใด ๆ เปน็ รายจ่ายตอ้ งหา้ ม เวน๎ แตํ เงินที่บริษัทหรือหา๎ งหุ๎นสํวนนติ ิบุคคลจาํ ยเงิน
สมทบเข๎ากองทุนสาํ รองเลย้ี งชีพ ตามพระราชบญั ญัติกองทุนสํารองเลีย้ งชพี ให๎ถือเปน็ รายจาํ ยไดใ๎ นรอบ
ระยะเวลาบญั ชีทจ่ี าํ ยเทาํ กับจํานวนเงนิ ทบ่ี ริษทั ได๎จํายสมทบเขา๎ กองทุนสาํ รองเลีย้ งชีพ ซึ่งเปน็ ไปตาม
หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขทีก่ ําหนดโดยกฎกระทรวง ฉบับท่ี 183 (พ.ศ. 2533)
กองทุนสาํ รองเลี้ยงชีพ หมายถงึ กองทนุ ซึ่งเป็นนิตบิ ุคคลท่จี ดั ต้ังขึน้ ตามพระราชบัญญตั ิกองทุนสํารอง
เลยี้ งชพี พ.ศ. 2530 โดยมีลกู จา๎ งและนายจา๎ งตกลงกันจัดตั้งขึ้น และได๎จดทะเบยี นตามพระราชบญั ญัตนิ ี้ เพื่อ
เปน็ หลักประกันแกลํ กู จ๎างในกรณที ีล่ กู จ๎างตาย ออกจากงาน หรอื ลาออกจากกองทุน โดยลกู จ๎างจํายเงนิ สะสม
และนายจา๎ งจาํ ยเงนิ สมทบตามหลักเกณฑ์ที่กาํ หนดไวใ๎ นขอ๎ บงั คับของกองทนุ น้นั
(3) รายจา่ ยอันมีลักษณะเปน็ การส่วนตวั การให้โดยเสนห่ า หรอื การกศุ ล เปน็ รายจ่ายต้องห้าม เวน๎
แตํ รายจาํ ยเพื่อการกุศลสาธารณะหรอื เพื่อการสาธารณะประโยชน์ ตามทอ่ี ธิบดีกําหนดโดยอนมุ ตั ิรัฐมนตรี
ในสํวนท่ีไมเํ กินร๎อยละ 2 ของกาํ ไรสุทธิ และรายจํายเพื่อการศึกษาหรือเพ่ือการกีฬา ตามท่ีอธิบดีกําหนดโดย
อนุมตั ิรัฐมนตรี ในสวํ นท่ีไมํเกินร๎อยละ 2 ของกําไรสทุ ธิ โดยให๎เป็นไปตามท่ีอธบิ ดกี รมสรรพากรกําหนดโดย
อนมุ ตั ิรัฐมนตรี เชํน พนักงานของบริษัทแหํงหนึ่ง ทํางานด๎วยความซือ่ สัตยส์ จุ รติ มาเป็นเวลานาน ได๎ถงึ แกํ
ความตายในขณะปฏิบตั หิ น๎าที่ บรษิ ัทไดจ๎ ํายเงินสมนาคณุ จํานวนหนง่ึ ให๎แกคํ รอบครัวของลูกจ๎างผ๎นู ั้น โดยไมํมี
ระเบยี บแตํอยาํ งใด เงินสมนาคุณทบ่ี ริษทั จาํ ยให๎กบั ครอบครัวของลกู จ๎าง เปน็ กรณีท่ีบริษัทจาํ ยใหเ๎ องโดยไมมํ ี
ขอ๎ บังคับ และมิใชํเปน็ การจํายตามกฎหมายหรือระเบยี บใด ๆ จึงเปน็ รายจาํ ยอันมีลักษณะเปน็ การสํวนตวั
หรือการใหโ๎ ดยเสนหํ า บริษทั จะนํามาหักเป็นรายจํายในการคํานวณกําไรสุทธิไมํได๎ ต๎องหา๎ มตามมาตรา 65
ตรี (3) แหํงประมวลรษั ฎากร
รายจา่ ยอนั มลี กั ษณะเป็นการสว่ นตวั หมายถงึ รายจํายที่แตํละคนควรจะรับภาระในสวํ นของตนเป็น
การสํวนตวั ไมเํ กย่ี วกบั บริษัทหรือหา๎ งหน๎ุ สวํ นนติ บิ คุ คล โดยผู๎รับไมํมีความผูกพนั ในทางธุรกิจการงานกับผูใ๎ ห๎
รายจ่ายอนั มลี กั ษณะเปน็ การใหโ้ ดยเสนห่ า หมายถึง รายจํายทีจ่ ํายไปโดยความรักใครํชอบพอกันเปน็
การสวํ นตัว ซ่งึ ผู๎รบั ไมมํ คี วามผกู พนั วาํ จะต๎องกระทาํ การอยํางหนึง่ อยาํ งใดตอบแทน หรือเรียกวํา การให๎เปลาํ
รายจ่ายอันมลี ักษณะเป็นการกุศล หมายถงึ รายจํายทจี่ ํายไปในการทําบุญทาํ ทาน บรจิ าคทรัพยส์ นิ
ชํวยการศึกษา การศาสนา การสงั คมสงเคราะห์หรอื การอื่น ๆ แตํกรณนี ี้กฎหมายยงั ยอมใหห๎ ักไดใ๎ นกรณีเป็น
การจาํ ยเพื่อการกุศลสาธารณะ หรือเพือ่ ประโยชนข์ องสาธารณะชนท่ัว ๆ ไป ไมจํ ํากัดวาํ เป็นใคร
(4) ค่ารบั รองหรอื ค่าบริการ สวํ นทไี่ มํเปน็ ไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกาํ หนดเป็นรายจํายต๎องหา๎ ม เว๎น
แตํ คาํ รับรองดงั ตํอไปนีส้ ามารถนํามาเปน็ รายจํายในการคํานวณกาํ ไรสทุ ธิได๎ มีหลักเกณฑว์ ํา
146
ก คํารบั รองหรือคาํ บรกิ ารน้ันตอ๎ งเปน็ คํารบั รองหรือคําบริการอนั จําเป็นตามธรรมเนียมประเพณี
ทางธรุ กิจทว่ั ไป และบคุ คลซง่ึ ได๎รบั รองหรือรับบรกิ ารตอ๎ งมิใชํลูกจ๎างของบรษิ ทั หรือหา๎ งหุ๎นสวํ นนิติบุคคล เวน๎
แตํ ลกู จา๎ งดงั กลาํ วจะมีหนา๎ ที่เข๎ารํวมในการรับรองหรือการบรกิ ารนนั้ ดว๎ ย
ข คํารับรองหรือคาํ บรกิ ารตอ๎ ง
1. เปน็ คําใชจ๎ าํ ยอันเกยี่ วเนอื่ งโดยตรงกับการรับรองหรอื การบริการทีจ่ ะอาํ นวยประโยชนแ์ กํ
กจิ การ เชนํ คาํ ท่ีพกั คําอาหาร คําเครอ่ื งดม่ื คาํ ดูมหรสพ คําใชจ๎ ํายเกยี่ วกับการกีฬา เป็นต๎น
2. เปน็ คาํ สิ่งของทีใ่ ห๎แกํบุคคลซง่ึ ไดร๎ บั การรับรองหรอื รับบริการ ไมเํ กนิ คนละ 2,000 บาท ในแตํ
ละคราวท่ีมีการรับรองหรือการบริการ
ค จาํ นวนเงนิ คํารับรองและคาํ บริการให๎นาํ มาหักเป็นรายจาํ ยไดเ๎ ทํากับจํานวนเทาํ ท่ีต๎องจาํ ย แตํ
รวมกนั ต๎องไมํเกินร๎อยละ 0.3 ของจํานวนเงินยอดรายไดห๎ รอื ยอดขายทตี่ ๎องนาํ มารวมหรือคํานวณกาํ ไรสทุ ธิ
กอํ นหกั รายจาํ ยใดในรอบระยะเวลาบัญชี หรอื ของจํานวนเงินทนุ ทไี่ ดร๎ ับชาํ ระแล๎วถึงวันสุดทา๎ ยของรอบ
ระยะเวลาบญั ชี แล๎วแตอํ ยํางใดจะมากกวาํ ทง้ั น้ี รายจาํ ยที่จะนํามาหักไดจ๎ ะต๎องมีจาํ นวนสงู สดุ ไมเํ กนิ 10
ล๎านบาท
ง. คํารับรองหรือคําบริการน้นั ตอ๎ งมกี รรมการหรือผู๎เปน็ ห๎นุ สํวนหรอื ผจู๎ ดั การ หรอื ผ๎ไู ดร๎ ับมอบหมาย
จากบุคคลดังกลําวเป็นผ๎ูอนุมัตหิ รือคําสัง่ จํายคํารับรองหรือคาํ บริการน้นั ด๎วย และต๎องมใี บรบั หรือหลักฐาน
ของผร๎ู บั เงนิ สาํ หรับเงินทจี่ ํายเปน็ คํารับรองหรือคําบริการ เวน๎ แตํ ในกรณีท่ีผร๎ู บั เงินไมํมีหนา๎ ทีต่ ๎องออกใบรบั
ตามประมวลรัษฎากร
(5) รายจา่ ยอนั มีลักษณะเปน็ การลงทุน หรอื รายจาํ ยในการตอํ เติม เปลีย่ นแปลง ขยายออก หรือทําให๎ดี
ขนึ้ ซง่ึ ทรัพยส์ นิ เป็นรายจาํ ยต๎องห๎าม แตหํ ากเป็นการซอํ มแซมให๎คงสภาพเดิมถอื เปน็ รายจาํ ยในการคาํ นวณ
กาํ ไรสุทธไิ ด๎ เชนํ บริษัทแหงํ หนึ่ง เชําทด่ี นิ มาเพ่ือใชใ๎ นการกํอสร๎างอาคารสํานกั งานและคลังสินคา๎ บรษิ ัทจําย
คําใช๎จาํ ยในการปรับพืน้ ทีเ่ ชาํ ซ่ึงอยํใู ต๎พ้นื ทล่ี านคอนกรีตรวมถึงคําใชจ๎ ํายในการปรบั พน้ื ที่เชาํ ซึง่ อยใํู ต๎พืน้ ที่
อาคารสาํ นักงานและคลังสินค๎า ถอื เปน็ การทําให๎มูลคําของที่ดินสูงขึ้น บรษิ ัทจึงตอ๎ งนําคําใช๎จํายในการปรับ
พน้ื ทด่ี ังกลําวไปรวมกบั ราคาที่ดินและถอื เปน็ รายจํายอันมีลักษณะเป็นการลงทุนตามมาตรา 65 ตรี (5) แหํง
ประมวลรัษฎากร
รายจา่ ยอนั มีลกั ษณะเป็นการลงทุน หมายถึง รายจํายท่ีกจิ การจาํ ยไปเพอ่ื ให๎ไดม๎ าซ่ึงทรัพยส์ ินหรือ
ประโยชน์ตอํ กิจการเป็นระยะเวลานานเกินกวาํ 1 รอบระยะเวลาบญั ชี
รายจ่ายในการตอ่ เตมิ เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทาํ ให้ทรพั ยส์ นิ ดขี นึ้ หมายถึง รายจาํ ยเพ่ือให๎
อายุการใช๎งานของทรัพยส์ ินเดิมยาวนานขึน้ หรอื มีสภาพดีขึ้น
(6) เบีย้ ปรับและหรือเงนิ เพ่มิ ภาษีอากรคาํ ปรับทางอาญา ภาษีเงนิ ได๎บริษัทหรือห๎างหน๎ุ สวํ นนติ ิบคุ คลเปน็
รายจาํ ยต๎องห๎าม
คาํ วํา “เบยี้ ปรับและหรอื เงนิ เพิ่มภาษีอากร คําปรบั ทางอาญา” หมายถึง เบีย้ ปรบั และหรอื เงินเพิ่ม
และคําปรบั อาญา ตามกฎหมายภาษอี ากรทกุ ประเภท รวมถงึ คําปรบั ท่ีเป็นโทษทางอาญา และเงินเพ่มิ ภาษี
อากรตามกฎหมายอ่ืนดว๎ ย ( ตามคําวินจิ ฉัยของคณะกรรมการวนิ ิจฉัยภาษอี ากร ที่ 40/2560 ลงวนั ท่ี 9
มีนาคม 2560 ทอี่ ๎างอิงคําพิพากษาฎีกา ที่ 1109/2559)
147
(6ทว)ิ ภาษีมลู คา่ เพิ่มท่ีชําระหรอื พึงชาํ ระ และภาษซี ื้อของบริษทั หรอื ห๎างห๎นุ สํวนนติ บิ ุคคลท่เี ป็น
ผป๎ู ระกอบการจดทะเบียนเป็นรายจาํ ยตอ๎ งห๎าม เนอื่ งจากภาษีมลู คําเพม่ิ มิใชํรายได๎หรือรายจาํ ยของกิจการ
เพราะผปู๎ ระกอบการจดทะเบียนภาษมี ูลคําเพม่ิ เม่ือถูกเรียกเก็บภาษีขายจากผู๎ขายสินค๎าหรอื ผ๎ใู หบ๎ รกิ าร ผู๎ท่ี
ถกู เรยี กเกบ็ ภาษีก็นําภาษนี ้ันมาเครดิต โดยหกั ออกจากภาษีขายของตนในแตํละเดอื นภาษีหรอื ขอคนื ภาษที ่ี
เรยี กเกบ็ น้นั ดังน้ัน ภาษีทถ่ี กู เรยี กเก็บนน้ั เรียกวํา ภาษซี ื้อ จงึ ไมํถือเปน็ รายจาํ ยของกิจการ เวน๎ แตํ ภาษซี อื้
ต๎องหา๎ มบางลักษณะทก่ี ําหนดไว๎ในมาตรา 82/5 (4) และ (6) แหํงประมวลรษั ฎากร นาํ มาเป็นรายจาํ ยในการ
คาํ นวณกําไรสทุ ธิได๎ เนื่องจากผูป๎ ระกอบการไมสํ ามารถนาํ ไปเครดิตภาษีได๎ ซึง่ เปน็ ภาระแกํผูเ๎ สียภาษี อาทิ
เชํน
1. ภาษีซอ้ื ทเ่ี กิดจากรายจํายเพื่อการรับรองหรือเพือ่ การอันมลี กั ษณะทาํ นองเดียวกัน
2. ภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อ เชาํ ซื้อ เชํา หรอื รบั โอนรถยนตน์ งั่ และรถยนตโ์ ดยสารท่ีมที นี่ ั่งไมํเกิน 10
คน และภาษีซ้ือท่เี กิดจากการซอ้ื สนิ ค๎าหรือการรบั บริการท่เี กี่ยวข๎องกับรถยนตน์ ั่งและรถยนต์โดยสารท่มี ีที่นั่ง
ไมํเกนิ 10 คน ตามกฎหมายวําดว๎ ยพกิ ดั อัตราภาษสี รรพสามิต
3. ภาษีซื้อตามใบกํากบั ภาษอี ยํางยอํ
4. ภาษซี ื้อท่เี กดิ จากการซ้ือทรัพยส์ ินเพื่อใช๎ หรือจะใชใ๎ นกจิ การประเภททไ่ี มตํ ๎องเสยี ภาษีมูลคําเพิ่ม
หรือภาษซี ้อื ทเี่ กดิ จากรายจํายของกจิ การประเภทท่ีไมํต๎องเสียภาษมี ูลคาํ เพิ่ม
5. ภาษีซอ้ื ทเ่ี กดิ จากการกํอสรา๎ งอาคารหรืออสังหารมิ ทรพั ย์อ่นื เพอื่ นํามาใชใ๎ นกิจการของตนเอง ซึ่ง
เปน็ กจิ การประเภทท่ีต๎องเสียภาษมี ูลคําเพม่ิ ภาษีซ้ือดงั กลําวให๎มสี ทิ ธินํามาหักออกจากภาษขี ายในการ
คาํ นวณภาษีมลู คําเพิ่ม ตํอมาผ๎ปู ระกอบการได๎ขายหรือให๎เชาํ อาคารหรอื อสงั หารมิ ทรพั ย์น้นั หรอื นําไปใชใ๎ น
กจิ การประเภทท่ไี มํต๎องเสยี ภาษมี ลู คําเพมิ่ ภายใน 3 ปนี บั แตํเดอื นภาษที ี่กํอสรา๎ งเสร็จสมบูรณ์
6. ภาษีซื้อตามใบกํากบั ภาษแี บบเต็มรปู ทีค่ ําวํา “ใบกํากับภาษี” ไมํได๎ถูกตพี ิมพ์ หรอื ไมํไดจ๎ ัดทําข้นึ
ด๎วยคอมพวิ เตอร์ ในกรณีจัดทาํ ใบกาํ กบั ภาษดี ๎วยคอมพวิ เตอร์ท้งั ฉบบั
7. ภาษีซ้ือตามใบกํากับภาษแี บบเต็มรูป ซงึ่ มีข๎อความอ่นื ที่อธบิ ดีกําหนดในใบกํากับภาษีที่ไมไํ ด๎
จัดทาํ ข้นึ ดว๎ ยวิธกี ารตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
8. ภาษซี อ้ื ตามใบกํากับภาษีแบบเต็มรูป ซ่ึงมรี ายการในใบกาํ กับภาษีเป็นสําเนา (Copy) เปน็ ภาษี
ซ้ือต๎องห๎าม แตํไมํรวมถงึ ใบกํากบั ภาษีท่ีไดจ๎ ัดทาํ รวมกับเอกสารทางการค๎าอ่นื ซ่งึ มีจํานวนหลายฉบับและ
ใบกาํ กับภาษซี ่ึงมรี ายการในใบกํากับภาษีเปน็ สําเนามขี ๎อความวํา “เอกสารออกเป็นชุด” ปรากฏอยดูํ ๎วย
9. ภาษซี อื้ สํวนท่ีเฉล่ยี เปน็ ของกิจการประเภทท่ีไมํตอ๎ งเสยี ภาษีมลู คําเพมิ่ ซง่ึ ได๎คํานวณตาม
หลักเกณฑ์ วธิ กี าร และเงื่อนไขตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
10. ภาษีซื้อท่เี กดิ จากการซื้อสนิ คา๎ หรือรบั บริการ ซึง่ ผ๎ปู ระกอบการจดทะเบียนภาษีมลู คาํ เพ่มิ นําไปใช๎
หรือจะใชใ๎ นการประกอบกิจการท้งั ประเภทท่ตี อ๎ งเสยี ภาษมี ูลคาํ เพ่มิ และประเภทท่ีไมํต๎องเสียภาษมี ูลคาํ เพิ่ม
และผูป๎ ระกอบการจดทะเบยี นภาษมี ูลคําเพ่มิ ใช๎สทิ ธิเลือกไมํนําภาษซี ้ือท้ังหมดไปหักในการคํานวณ
ภาษมี ลู คาํ เพม่ิ เน่อื งจากกิจการประเภทท่ีไมํต๎องเสยี ภาษมี ูลคาํ เพิม่ มรี ายได๎ไมนํ ๎อยกวาํ ร๎อยละ 90 ของรายได๎
ของกิจการท้ังหมด
148
11. ภาษซี ือ้ ตามใบกํากบั ภาษแี บบเต็มรปู ซง่ึ รายการตําง ๆ ไดถ๎ ูกแก๎ไขหรอื ถูกเปล่ยี นแปลงเปน็ ภาษี
ซอ้ื ต๎องหา๎ ม เว๎นแตํรายการซง่ึ ไดถ๎ ูกแก๎ไขเปลี่ยนแปลงตามหลกั เกณฑ์และวิธกี ารท่ีอธบิ ดีกําหนด
12. ภาษซี ื้อท่เี กดิ จากการซ้ือ เชาํ ซอื้ หรือรบั โอนรถยนตท์ ี่ไมํใชรํ ถยนตน์ ่งั และรถยนต์โดยสารท่มี ีท่ีน่งั
ไมํเกนิ 10 คน ตามกฎหมายวําด๎วยพิกัดอตั ราภาษสี รรพสามติ เพ่ือใช๎หรอื จะใชใ๎ นกจิ การประเภทที่ต๎องเสยี
ภาษีมลู คาํ เพม่ิ และตอํ มาภายใน 3 ปนี ับแตเํ ดือนภาษีท่ีได๎รถยนตไ์ ว๎ในครอบครองได๎มีการดัดแปลงรถยนต์
ดังกลําวเปน็ รถยนตน์ ่งั หรือรถยนต์โดยสารทีม่ ีทีน่ ่งั ไมเํ กิน 10 คน ตามกฎหมายวําดว๎ ยพกิ ัดอัตราภาษี
สรรพสามิต
13. ภาษีซื้อตามใบกํากับภาษีแบบเต็มรปู ซ่ึงมีรายการ ชอ่ื ทอ่ี ยํู เลขประจําตัวผเู๎ สียภาษีอากรของผู๎
ออกหรอื ตัวแทนผ๎ูออกใบกาํ กับภาษี ไมไํ ด๎พิมพ์ข้นึ หรือไมไํ ด๎จัดทาํ ขึ้นด๎วยระบบคอมพวิ เตอร์ ในกรณีจัดทาํ
ใบกาํ กบั ภาษีขึน้ ดว๎ ยระบบคอมพิวเตอร์ท้งั ฉบบั
(7) การถอนเงนิ โดยปราศจากคา่ ตอบแทนของผูเ้ ปน็ หุ้นสว่ นในห้างหุ้นสว่ นนติ บิ คุ คล เปน็ รายจ่าย
ตอ้ งห้าม หากมองตามหลักการบญั ชีแลว๎ การถอนเงนิ ของผเู๎ ปน็ หน๎ุ สวํ นไมํถือเปน็ รายจํายอยแํู ลว๎ เป็นการ
ถอนเงนิ ลงทุนหรือเป็นการแบํงกาํ ไรกนั ไมํเก่ียวข๎องกบั การบันทึกรายจาํ ยของกิจการแตํอยาํ งใด
(8) เงนิ เดือนของผถู้ ือห้นุ หรือผู้เปน็ หุ้นสว่ นเฉพาะส่วนทจ่ี า่ ยเกินสมควรเปน็ รายจา่ ยต้องห้าม
เจา๎ พนกั งานมีอํานาจพจิ ารณารายจาํ ยประเภทเงินเดอื นของผู๎ถือหุ๎นหรือผู๎เปน็ หน๎ุ สวํ น เปรียบเทยี บกบั
รายอนื่ ซ่งึ อยํใู นฐานะหรือลกั ษณะเดยี วกัน อยใํู นหนวํ ยงานเดียวกัน หรือทําเลเดยี วกนั ประกอบกิจการค๎า
อยํางเดยี วกนั หรือลักษณะเดียวกัน
(9) รายจ่ายซึ่งกําหนดข้นึ เองโดยไม่มีการจ่ายจริง หรอื รายจา่ ยซ่งึ ควรจะไดจ้ ่ายในรอบระยะเวลาบัญชี
อน่ื เป็นรายจ่ายต้องหา้ ม เวน๎ แตํ ในกรณีทไี่ มสํ ามารถจะลงจํายในรอบระยะเวลาบัญชีใดก็อาจลงจํายในรอบ
ระยะเวลาบญั ชที ่ีถัดไปได๎
รายจาํ ยท่กี าํ หนดขน้ึ เองโดยไมํมกี ารจาํ ยจริง หมายความถึง รายจาํ ยใด ๆ ที่บริษัทหรอื หา๎ งหุ๎นสวํ นนติ ิ
บคุ คลได๎กาํ หนดขึ้นเองโดยไมํมกี ารจํายจรงิ โดยไมํได๎รบั ทรัพย์สินหรอื ประโยชน์ใด ๆ เป็นการตอบแทน
(10) ค่าตอบแทนแกท่ รพั ย์สนิ ซึ่งบริษัทหรือห้างหนุ้ สว่ นนิติบุคคลเป็นเจ้าของเองและใชเ้ องเป็นรายจ่าย
ต้องห้าม เชนํ บรษิ ัทตง้ั ขึ้นตามกฎหมายของตาํ งประเทศ ได๎มาเปดิ สํานักงานสาขาในประเทศไทย โดยปลกู
อาคารสาํ นักงานสาขาในประเทศไทย และคิดคําเชาํ ปีละ 600,000 บาท คําเชาํ จาํ นวน 600,000 บาท ท่ี
บริษทั สาขาในประเทศไทยจาํ ยใหก๎ บั บริษทั สาํ นักงานใหญใํ นตาํ งประเทศนั้น จะนาํ มาถือเป็นรายจํายในการ
คํานวณกําไรสุทธขิ องบรษิ ทั สาขาในประเทศไทยไมํได๎ เพราะกฎหมายถือไดว๎ าํ บรษิ ัทสาํ นักงานใหญใํ น
ตํางประเทศกบั บริษัทสาขาในประเทศไทยเป็นนิตบิ คุ คลเดยี วกัน การจาํ ยเงินคําเชาํ ดังกลําวถอื ไดว๎ าํ เป็น
คําตอบแทนแกํทรัพย์สินที่บริษทั เป็นเจ๎าของเองและใชเ๎ องตามมาตรา 65 ตรี (10) แหงํ ประมวลรษั ฎากร
(11) ดอกเบี้ยทค่ี ิดให้สาํ หรับเงินทนุ เงนิ สํารองต่าง ๆ หรอื เงนิ กองทุนของตนเองถือเปน็ รายจา่ ยตอ้ งห้าม
(12) ผลเสยี หายอนั อาจได้กลบั คืน เนือ่ งจากการประกันหรือสญั ญาคุ้มกันใด ๆ หรือผลขาดทนุ สุทธใิ น
รอบระยะเวลาบัญชกี ่อน ๆ ถอื เป็นรายจ่ายต้องหา้ มเวน๎ แตํ ผลขาดทนุ สุทธยิ กมาไมํเกิน 5 ปีกอํ นรอบ
ระยะเวลาบัญชปี ปี ัจจุบนั กรณคี วามเสียหายนน้ั มีทางทีจ่ ะไดร๎ บั การชดใช๎ตามสญั ญา แตํถา๎ ไดร๎ ับคําชดใช๎เพยี ง
บางสํวน สวํ นท่ีเหลือก็ลงเป็นรายจาํ ยได๎
149
ผลขาดทนุ สุทธิ หมายถงึ ผลขาดทนุ สุทธทิ างภาษี คือ ผลตํางของรายได๎กับรายจาํ ยที่หกั ได๎ตาม
ประมวลรษั ฎากรซึง่ อยํูภายใต๎เงอื่ นไขในมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี แหงํ ประมวลรัษฎากรแล๎ว
(13) รายจา่ ยซ่ึงมใิ ช่รายจ่ายเพ่อื หากาํ ไรหรอื เพื่อกจิ การโดยเฉพาะถอื เป็นรายจ่ายต้องหา้ ม เพราะบริษัท
หรอื ห๎างหุ๎นสวํ นตงั้ ขน้ึ เพอ่ื มุงํ ค๎าหากาํ ไร การชาํ ระเงนิ ควรอยภูํ ายในวตั ถุประสงคข์ องการประกอบกิจการของ
บรษิ ัทหรือหา๎ งหุ๎นสวํ นนติ บิ ุคคลนั้น
(14) รายจา่ ยซึง่ มใิ ชร่ ายจา่ ยเพอ่ื กิจการในประเทศไทยโดยเฉพาะถอื เปน็ รายจา่ ยตอ้ งหา้ ม รายจาํ ยท่สี าขา
ในประเทศของบรษิ ัทหรอื ห๎างหนุ๎ สวํ นนิตบิ คุ คลท่ตี ้งั ข้นึ ตามกฎหมายของตาํ งประเทศไดจ๎ ํายไปให๎สํานักงาน
ใหญหํ รือสาขาอ่นื ในตํางประเทศเพ่ือเปน็ คาํ ตอบแทนการใหค๎ วามชวํ ยเหลอื หรือการให๎บรกิ ารแกํกจิ การของ
สาขาในประเทศไทยทีจ่ ะนํามาถอื เปน็ รายจาํ ยในการคํานวณกําไรสุทธิ และไมเํ ข๎าลักษณะเป็นรายจําย
ตอ๎ งห๎าม จะต๎องเป็นกรณีทมี่ ีหลกั ฐานชดั แจง๎ วาํ รายจํายดังกลาํ ว เป็นรายจาํ ยท่จี าํ ยไป โดยเปน็ รายจํายทมี่ ี
ลักษณะดงั ตํอไปนี้
1. รายจาํ ยเก่ียวกับการใหค๎ วามชวํ ยเหลอื หรือให๎บริการของสํานกั งานใหญํหรือสาขาอื่นน้ันเกีย่ วกับ
กจิ การของสาขาในประเทศไทย
2. รายจํายที่เก่ยี วกับการค๎นควา๎ และพฒั นา (Research and Development) โดยสาขาในประเทศ
ไทยจะต๎องไดร๎ ับบริการหรือไดน๎ ําผลการค๎นควา๎ และพัฒนามาใชป๎ ระโยชน์ในกจิ การของสาขาในประเทศไทย
ตามความเปน็ จรงิ
3. รายจาํ ยใดถ๎าสาํ นักงานใหญํหรือสาขาอนื่ ได๎นําไปหักเป็นรายจํายในการคํานวณกาํ ไรสทุ ธิของ
สํานกั งานใหญหํ รือสาขาอืน่ แล๎ว จะนํามาถือเป็นรายจํายของสาขาในประเทศไทยอีกไมไํ ด๎
4. รายจาํ ยท่ีสํานักงานใหญหํ รอื สาขาอ่นื เรยี กเกบ็ มายงั สาขาในประเทศไทยจะต๎องมหี ลักเกณฑแ์ ละ
วิธีการเปน็ ที่รบั รองทั่วไป (Generally Accepted) และตอ๎ งถอื ปฏบิ ัตเิ ชนํ เดยี วกบั สาขาในประเทศอน่ื ๆ และ
เป็นไปอยํางสมํา่ เสมอ
จํานวนเงิน หลักเกณฑ์ และวิธีการดังกลําวข๎างต๎นที่จะนํามาถอื เปน็ รายจาํ ยของสาขาในประเทศไทย
ได๎ จะต๎องมีหลักฐานหรือหนงั สือรบั รองโดยเจ๎าหน๎าที่ของตํางประเทศทีม่ หี น๎าท่ีเก่ียวข๎องหรอื โดยบุคคลอื่นท่ี
อธิบดกี รมสรรพากรเชอื่ ถือได๎ และหลักฐานหรือหนังสือดงั กลําวจะต๎องมีรายละเอียดเพียงพอท่ีแสดงใหเ๎ หน็ วํา
เป็นรายจาํ ยทจ่ี าํ เปน็ และสมควรแกกํ ารดาํ เนนิ การธุรกิจของสาขาในประเทศไทยตามความเป็นจริง
(15) คา่ ซ้อื ทรัพยส์ ินและรายจ่ายเกย่ี วกับการซ้ือหรือขายทรัพย์สินในสว่ นท่เี กนิ ปกติ โดยไมํมีเหตผุ ลอัน
สมควรถือเปน็ รายจาํ ยตอ๎ งหา๎ ม ซง่ึ อาจกระทาํ กันภายในประเทศหรือระหวํางประเทศ หรอื อาจเรยี กราคา
ดงั กลําววํา การกําหนดราคาโอน (Transfer Pricing)
(16) คา่ ของทรัพยากรธรรมชาตทิ ส่ี ูญหรือสนิ้ ไปเนือ่ งจากกิจการท่ีทาํ ถอื เปน็ รายจ่ายต้องห้าม เชนํ การทาํ
เหมอื งแรํ หรือการทาํ ปาุ ไม๎ ระยะเวลาทดี่ าํ เนินกิจการขุดแรํหรือตดั ไมเ๎ พ่ือนาํ ไปจาํ หนาํ ยน้ัน จํานวนสนิ แรํใน
ดนิ หรอื จาํ นวนปาุ ไมย๎ ํอมน๎อยลงหรอื หมดไปในทสี่ ดุ การทจ่ี ํานวนสนิ แรํหรอื จํานวนไมใ๎ นเขตที่ไดร๎ ับสัมปทาน
ลดน๎อยลงหรอื จะหมดไปหรอื สูญสิ้นไปนัน้ บรษิ ทั หรอื ห๎างหุ๎นสํวนนิตบิ คุ คลจะตรี าคาหรือนาํ มูลคําท่ลี ดน๎อยลง
น้ันมาถอื เป็นรายจาํ ยในการคํานวณกําไรสทุ ธิไมํได๎ ต๎องหา๎ มตามมาตรา 65 ตรี (16) แหํงประมวลรษั ฎากร
(17) คา่ ของทรัพยส์ ินนอกจากสินค้าท่ีตรี าคาต่าํ ลงถอื เป็นรายจา่ ยต้องหา้ ม กรณีน้หี า๎ มมใิ ห๎ตรี าคา
150
ทรพั ย์สนิ ลดลงเพ่ือนาํ มูลคําที่ลดลงมาเปน็ รายจํายในการคํานวณกาํ ไรสุทธิ เพราะการท่ีกิจการจะตีราคา
ทรพั ย์สินลดลงโดยยงั ไมํมีการขายทรัพย์สนิ จรงิ ๆ นนั้ รายการผลขาดทุนจากการตีราคาทรพั ยส์ นิ ลดลงยํอม
เปน็ รายการที่ยังไมํได๎เกิดขึ้นจรงิ และเปน็ การตรี าคาโดยบริษทั หรอื ห๎างหน๎ุ สํวนนิตบิ ุคคลแตํฝุายเดยี ว ซึ่งราคา
ทรพั ย์สนิ นั้นอาจจะยงั ไมํไดล๎ ดลงจรงิ ซึง่ เทาํ กบั เปน็ การนาํ เอามลู คําของทรัพยส์ นิ ท่ตี ีราคาลดลงมาเปน็
รายจาํ ยท้งั ๆ ทย่ี ังไมํได๎เกดิ ขึ้นจริง
(18) รายจา่ ยซึง่ ผ้จู ่ายพสิ จู น์ไมไ่ ด้วา่ ใครเป็นผู้รับถอื เป็นรายจ่ายตอ้ งหา้ ม เชนํ บริษัทรบั จา๎ งถมท่ี และขาย
ทราย-ดนิ ลกู รัง ซ่งึ ซ้ือมาจากจังหวดั ชายทะเล แตผํ ข๎ู ายไมไํ ดอ๎ อกใบรบั ให๎แตํอยํางใด กรณีนี้บรษิ ทั ก็ไมํมี
หลักฐานที่เป็นคําใช๎จาํ ยของการรับจ๎าง แตํหากบริษัทมหี ลักฐานการจาํ ยเงนิ ระบชุ ื่อ ท่ีอยูํ เลขประจําตวั
ประชาชน วนั เดอื นปี จํานวนเงนิ รายการที่จําย และใหผ๎ รู๎ ับเงินลงชื่อรับไวพ๎ ่ือเป็นหลกั ฐานในการหกั เปน็
รายจําย ซึง่ ทาํ ให๎บริษัทสามารถพิสจู น์ได๎วาํ ใครเปน็ ผ๎ูรับเงิน ก็ไมตํ ๎องห๎ามตามมาตรา 65 ตรี (18) แหํง
ประมวลรษั ฎากร
(19) รายจ่ายใด ๆ ที่กําหนดจา่ ยจากผลกําไรท่ไี ด้เมอื่ ส้ินสุดรอบระยะเวลาบัญชแี ล้วถอื เปน็ รายจา่ ย
ตอ้ งหา้ ม เชนํ บริษทั จํายเงนิ คําที่ปรึกษา โดยคํานวณจากกาํ ไรของแผนกที่ไดร๎ ับ การปรึกษาหารือเขา๎
ลักษณะเปน็ รายจาํ ยใด ๆ ท่กี ําหนดจํายจากผลกาํ ไรตามมาตรา 65 ตรี (19) แหงํ ประมวลรษั ฎากร จงึ
ตอ๎ งหา๎ มมใิ หถ๎ ือเป็นรายจาํ ยในการคาํ นวณกาํ ไรสทุ ธิ
(20) รายจ่ายท่ีมีลักษณะทํานองเดยี วกับท่รี ะบไุ วใ้ น (1) ถึง (19) ตามท่กี ําหนดโดยพระราชกฤษฎกี า
การคํานวณกาํ ไรสุทธิเพือ่ เสยี ภาษี จําเป็นตอ๎ งกําหนดหลกั เกณฑส์ ําหรับรายจาํ ยทบี่ ริษทั หรือห๎าง
ห๎ุนสวํ นนิติบคุ คลสามารถนํามาใช๎คาํ นวณกาํ ไรสุทธิในแบบแสดงรายการภาษีเงินไดน๎ ิติบุคคลประจาํ ปี
แบบฝึกหดั /คาํ ถาม/ปัญหา
1. อาคารถาวรหักคาํ สึกหรอไดเ๎ ทําใด
2. ตน๎ ทนุ เพอื่ การไดม๎ าซึ่งสิทธใิ นกรรมวิธี สูตร ก๏ูดวลิ ล์ เครอื่ งหมายการค๎า สทิ ธปิ ระกอบ กิจการตาม
ใบอนุญาต สทิ ธิบัตร ลขิ สทิ ธิ์ หรอื สิทธอิ ยาํ งอืน่ กรณไี มจ่ าํ กัดอายกุ ารใช้ หกั ค่าสกึ หรอได้เทา่ ใด
3. การหักคําสกึ หรอและคําเสือ่ มราคาของทรพั ย์สินประเภทเคร่ืองจักร และอปุ กรณ์เคร่อื งจักรทใี่ ช๎
สาํ หรับการวจิ ยั และพัฒนา ใหห๎ ักคาํ สกึ หรอและคาํ เส่อื มราคาเบ้อื งต๎นในวนั ท่ีไดท๎ รัพย์สนิ นั้นมาในอัตรารอ๎ ย
ละเทาํ ใด
4. เบี้ยปรบั และหรอื เงนิ เพ่มิ ภาษีอากร คําปรับทางอาญา หมายถึงอะไร
5. จาํ นวนเงนิ คํารบั รองและคําบริการใหน๎ ํามาหักเปน็ รายจาํ ยได๎เทาํ กบั จาํ นวนเทําท่ีตอ๎ งจาํ ย แตรํ วมกนั
ตอ๎ งไมํเกินร๎อยละเทาํ ใด
เฉลยคาํ ตอบ
1. ร๎อยละ 5
2. รอ๎ ยละ 10
3. ร๎อยละ 40 ของมูลคาํ ตน๎ ทนุ
4. เบี้ยปรับและหรือเงินเพิ่ม และคาํ ปรบั อาญา ตามกฎหมายภาษอี ากรทุกประเภท รวมถงึ คาํ ปรบั ทีเ่ ปน็
โทษทางอาญา และเงินเพิ่มภาษีอากรตามกฎหมายอ่นื ด๎วย