หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 1 พนั ธุกรรม
แผนฯ ที่ 5 การดัดแปรทางพันธกุ รรม
11. ส่ือ/แหล่งการเรยี นรู้
11.1 ส่ือการเรยี นรู้
1) หนังสือเรียนรายวชิ าพื้นฐาน (ชดุ สมั ฤทธม์ิ าตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1 หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 2
พนั ธกุ รรม
2) ใบงานที่ 2.5.1 เรื่อง ส่งิ มีชวี ิตดดั แปรพนั ธุกรรมที่ฉันสนใจ
3) ภาพตวั อย่างสิ่งมีชีวติ ดัดแปรพันธกุ รรม
11.2 แหลง่ การเรียนรู้
1) ห้องเรยี น
2) อินเทอร์เน็ต
50
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 1 พนั ธุกรรม
แผนฯ ท่ี 5 การดัดแปรทางพนั ธุกรรม
ใบงานที่ 2.5.1
เรื่อง สิ่งมีชวี ติ ดัดแปรพนั ธุกรรมทีฉ่ ันสนใจ
คาชีแ้ จง : ใหน้ ักเรยี นสบื คน้ ขอ้ มลู เก่ยี วกับสง่ิ มีชีวติ ดัดแปรพันธุกรรมชนิดใดชนดิ หน่งึ ที่นกั เรียนสนใจ แลว้
บันทึกภาพและสรุปข้อมลู ของสิง่ มีชีวติ ชนิดน้ัน
ชื่อสิ่งมีชวี ิต ...........................................
ติดภาพ
ลักษณะเด่น
51
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 พนั ธกุ รรม เฉลย
แผนฯ ที่ 5 การดัดแปรทางพนั ธกุ รรม
ใบงานท่ี 2.5.1
เร่ือง ส่ิงมชี ีวติ ดดั แปรพนั ธกุ รรมท่ีฉนั สนใจ
คาช้ีแจง : ให้นักเรยี นสืบคน้ ข้อมูลเกย่ี วกบั สิ่งมีชีวติ ดดั แปรพนั ธกุ รรมชนิดใดชนิดหน่งึ ที่นกั เรยี นสนใจ แลว้
บันทกึ ภาพและสรุปข้อมูลของสิ่งมีชวี ติ ชนดิ น้ัน
ชอื่ สง่ิ มชี วี ติ ...........................................
ภาพ
พจิ ารณาจากผลงานของนกั เรียน
ลกั ษณะเดน่
พจิ ารณาจากผลงานของนกั เรียน
52
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 1 พันธกุ รรม
แผนฯ ที่ 5 การดัดแปรทางพนั ธกุ รรม
บัตรภาพผลผลิตดัดแปรพนั ธกุ รรม
53
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 พันธกุ รรม
แผนฯ ที่ 5 การดัดแปรทางพนั ธกุ รรม
54
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 พันธุกรรม
แผนฯ ที่ 5 การดดั แปรทางพนั ธกุ รรม
12. ความเหน็ ของผบู้ ริหารสถานศึกษาหรอื ผู้ท่ไี ด้รบั มอบหมาย
ข้อเสนอแนะ
ลงชือ่ .................................
( ................................ )
ตาแหน่ง .......
13. บนั ทกึ ผลหลงั การสอน
ด้านความรู้
ดา้ นสมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียน
ด้านคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
ด้านความสามารถทางวทิ ยาศาสตร์
ดา้ นอื่น ๆ (พฤติกรรมเด่น หรือพฤตกิ รรมทีม่ ปี ัญหาของนักเรียนเป็นรายบคุ คล (ถ้าม)ี )
ปัญหา/อปุ สรรค
แนวทางการแก้ไข
55
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 2 คลน่ื
แผนฯ ที่ 1 คลนื่ กล
แผนการจดั การเรยี นร้ทู ี่ 6
กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์
ระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 3
เรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพ เวลา 4 ช่วั โมง
1. มาตรฐานการเรียนรู้
ว 2.1 เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม
การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมท่ีมีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการ
ของส่งิ มีชีวติ รวมทง้ั นาความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์
2. ตัวช้ีวัด
ว 1.3 ม.3/9 เปรยี บเทียบความหลากหลายทางชวี ภาพในระดับชนิดสิ่งมชี ีวิตในระบบนเิ วศต่าง ๆ
ม.3/10 อธิบายความสาคัญของความหลากหลายทางชีวภาพที่มีต่อการรักษาสมดุลของระบบ
นเิ วศและต่อมนษุ ย์
ม.3/11 แสดงความตระหนักในคุณค่าและความสาคัญของความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมี
สว่ นร่วมในการดูแลรักษาความหลากหลายทางชวี ภาพ
3. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
1. เปรียบเทียบความหลากหลายทางชีวภาพในระดบั ชนดิ สิ่งมชี วี ติ ในระบบนิเวศต่าง ๆ ได้ (K)
2. อธิบายความสาคัญของความหลากหลายทางชีวภาพที่มีต่อการรักษาสมดุลของระบบนิเวศและ
ต่อมนุษยไ์ ด้ (K)
3. สงั เกตความหลากหลายของสิ่งมชี ีวติ ทง้ั ชนิดและจานวนส่ิงมีชีวติ ได้ (P)
4. ตระหนักในคุณคา่ และความสาคญั ของความหลากหลายทางชีวภาพ (A)
5. รับผิดชอบต่อหนา้ ทที่ ี่ไดร้ บั มอบหมาย และมุ่งม่ันในการศึกษา (A)
4. สาระการเรียนรู้ สาระการเรยี นรูท้ อ้ งถ่ิน
พิจารณาตามหลกั สตู รของสถานศึกษา
สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
- ความหลากหลายทางชีวภาพ มี 3 ระดับ ไดแ้ ก่
ค ว า ม ห ล า ก ห ล า ย ข อ ง ร ะ บ บ นิ เ ว ศ
ความหลากหลายของชนิดสิ่งมีชีวิต และความ
หลากหลายทางพันธุกรรม ความหลากหลาย
56
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 2 คลน่ื สาระการเรยี นรู้ท้องถิน่
แผนฯ ที่ 1 คลน่ื กล
สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
ทางชีวภาพน้ีมีความสาคัญต่อการรักษาสมดุล
ข อ ง ร ะ บ บ นิ เ ว ศ ร ะ บ บ นิ เ ว ศ ท่ี มี ค ว า ม
หลากหลายทางชีวภาพสูงจะรักษาสมดุลได้
ดีกว่าระบบนิเวศท่ีมีความหลากหลายทาง
ชีวภาพต่ากว่า นอกจากนี้ความหลากหลาย
ทางชีวภาพยังมีความสาคัญต่อมนุษย์ในด้าน
ต่าง ๆ เช่น ใช้เป็นอาหารยารักษาโรควัตถุดิบ
ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของ
ทุกคนในการดูแลรักษาความหลากหลาย
ทางชีวภาพให้คงอยู่
5. สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด
ความหลากหลายทางชีวภาพมีอยู่ 3 ระดับ ได้แก่ ความหลากหลายของระบบนิเวศ ความหลากหลาย
ของชนิดส่ิงมีชีวิต และความหลากหลายทางพันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพมีความสาคัญ
ต่อการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ โดยระบบนิเวศท่ีมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง จะรักษาสมดุลได้
ดีกว่าระบบนิเวศท่ีมีความหลากหลายทางชีวภาพต่า เน่ืองจากระบบนิเวศท่ีมีความหลากหลายทางชีวภาพ
สงู เนอ่ื งจากมีส่งิ มีชีวิตหลากหลายชนิด ทาใหส้ ายใยอาหารมีความซบั ซ้อน เม่อื สง่ิ มชี วี ติ ชนิดหน่งึ ตายลง จะ
ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตอื่นในสายใยอาหาร เพราะส่ิงมีชีวิตชนิดนั้นสามารถเลือกกินสิ่งมีชีวิตอื่นได้
หลายชนิด จึงไม่กระทบต่อระบบนิเวศนั้นมากนัก แต่ระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพต่า
เนื่องจากความหลากหลายชนิดของส่ิงมีชีวิตน้อย เมื่อส่ิงมีชีวิตที่เป็นอาหารของสิ่งมีชีวิตชนิดหน่ึงตายลง
จะสง่ ผลกระทบต่อส่ิงมชี ีวิตชนิดน้ันโดยตรง ทาให้สิ่งมีชีวติ นั้นลดจานวนลง หรอื สูญพนั ธุไ์ ปจากระบบนิเวศ
ซึ่งจะสง่ ผลกระทบตอ่ ไปยงั ส่งิ มชี ีวติ อนื่ ในสายใยอาหารดว้ ย ระบบนเิ วศจงึ ไม่สามารถรักษาสมดลุ ไว้ได้
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพในด้านต่าง ๆ มากที่สุด เช่น ใช้เป็น
อาหาร ยารกั ษาโรค ใชเ้ ป็นวัตถดุ บิ ในอตุ สาหกรรมต่าง ๆ สรา้ งรายไดใ้ ห้กับประเทศ
6. สมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รยี น
1. ความสามารถในการส่ือสาร
2. ความสามารถในการคิด
1) ทักษะการสงั เกต
1) ทกั ษะการตคี วามหมายข้อมลู และลงข้อสรุป
3. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
57
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 คลน่ื
แผนฯ ท่ี 1 คล่นื กล
7. คุณลักษณะอนั พึงประสงค์
1. มีวินยั
2. ใฝเ่ รยี นรู้
3. มุง่ ม่นั ในการทางาน
8. คาถามสาคญั
1. ความหลากหลายทางชีวภาพมีผลต่อมนษุ ย์และส่ิงแวดล้อมในระบบนเิ วศอยา่ งไร
2. ทาไมความหลากหลายทางชีวภาพจึงมีความสาคัญต่อการรักษาสมดลุ ของระบบนิเวศ
9. กจิ กรรมการเรียนรู้
วิธีการสอนโดยเนน้ รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model)
ชวั่ โมงที่ 1
ขน้ั นา
ขัน้ ที่ 1 กระตุ้นความสนใจ (Engage)
1. ครแู จง้ ให้นักเรียนทราบว่าเราจะศึกษาเร่อื ง ความหลากหลายทางชวี ภาพ
2. ครูถามคาถามกระตุ้นความคิดของนักเรียนว่า ความหลากหลายทางชีวภาพหมายถึงอะไร และ
นักเรียนคิดว่า ความหลากหลายทางชีวภาพมีผลต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมในระบบนิเวศอย่างไร
ซึ่งแนวคาตอบแล้วแต่ประสบการณ์การเรียนรู้ของนักเรียน โดยครูยังไม่เฉลยคาตอบท่ีถูกต้อง และ
ครสู ุ่มถามสง่ิ ท่ีนักเรียนอยากรู้เพื่อใชเ้ ป็นแนวทางในการจัดการเรยี นการสอน เรื่องความหลากหลาย
ทางชวี ภาพ
ช่วั โมงที่ 2-3
ข้ันสอน
ขั้นท่ี 2 สารวจคน้ หา (Explore)
1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน ร่วมกันศึกษาเร่ือง ระดับความหลากหลายทางชีวภาพ
จากหนังสอื เรียนรายวิชาพน้ื ฐาน (ชดุ สมั ฤทธมิ์ าตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1
2. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มทากิจกรรมเร่ือง สารวจความหลากหลายทางชีวภาพภายในโรงเรียน จาก
หนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน (ชุด สัมฤทธิ์มาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1 แล้วบันทึกผลการทา
กจิ กรรมโดยเขยี นลงในกระดาษ A4 แลว้ นาไปติดไว้ท่ผี นงั ห้อง
58
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 2 คลนื่
แผนฯ ท่ี 1 คลนื่ กล
ขน้ั ท่ี 3 อธิบายความรู้ (Explain)
3. นักเรียนแต่ละกลุ่มเดินชมผลงานของกลุ่มอ่ืน ๆ โดยขณะเดินชมผลงานให้แต่ละกลุ่มเขียนคาถาม
หรือข้อสงสยั บนผลงานนัน้
4. เม่ือทุกกลุ่มเดินชมผลงานครบแล้ว ครูสุ่มเรียกนักเรียนแต่ละกลุ่มออกมาหน้าช้ันเรียน เดินไปที่
ผลงานของกลุ่มตนเอง อ่านคาถามที่เพ่อื นกลมุ่ อ่ืนเขียนข้อสงสยั และตอบคาถาม
5. ครูอภิปรายเก่ียวกับความหลากหลายทางชวี ภาพกับสมดุลของระบบนเิ วศ โดยต้ังประเด็นคาถามวา่
นักเรียนคิดว่าระบบนิเวศท่ีมีคความหลากหลายทางชีวภาพสูงกับระบบนิเวศที่ม่ีความหลากหลาย
ทางชวี ภาพตา่ ระบบนเิ วศใดจะสามารถรักษาสมดุลไดด้ กี วา่ กนั เพราะเหตใุ ด
(แนวตอบ ระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง จะรักษาสมดุลได้ดีกว่าระบบนิเวศท่ีมี
ความหลากหลายทางชวี ภาพต่า เน่ืองจากมีสิ่งมีชวี ิตหลายชนิด เมื่อสิ่งมีชีวิตชนิดใดชนิดหน่ึงตายลง
จะไม่กระทบต่อส่ิงมีชวี ิตอื่นมากนัก เพราะสง่ิ มชี ีวติ อาจกินส่ิงมชี ีวิตอน่ื ได้หลายชนดิ )
ช่ัวโมงท่ี 4
ข้นั ที่ 4 ขยายความเขา้ ใจ (Elaborate)
6. ครูนาสนทนาเกยี่ วกับความสาคญั ของความหลากหลายทางชวี ภาพ โดยตง้ั คาถามใหน้ ักเรียนรว่ มกัน
แสดงความคิดเหน็ วา่ มนษุ ยใ์ ชป้ ระโยชนจ์ ากความหลากหลายชีวภาพอยา่ งไรบ้าง
(แนวตอบ ใช้เป็นอาหาร เช่น พืชต่างๆ สัตว์ต่างๆ ยารักษาโรค เช่น สมุนไพร เป็นวัตถุดิบใน
อตุ สาหกรรมตา่ ง ๆ)
7. ครูนาสนธนาวา่ หากเกดิ การสูญเสยี ความหลากหลายทางชีวภาพจะส่งผลต่อทั้งมนุษย์ ส่ิงมชี วี ิตอ่ืนๆ
และสิ่งแวดล้อม ซ่ึงกจิ กรรมบางอยา่ งของมนษุ ยส์ ง่ ผลกระทบต่อความหลากหลายทางชวี ภาพ
- นกั เรยี นคิดว่ากิจกรรมใดของมนุษยท์ ่ีสง่ ผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ
(แนวตอบ การใช้สารเคมีกาจดั ศตั รูพืช การตัดไมท่ าลายป่า การล่าสตั ว์)
8. ครูนาสนทนาให้นักเรียนเกิดความตระหนักถึงความสาคัญของความหลากหลายทางชีวภาพ และให้
นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันค้นควา้ เพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชวี ภาพ
แล้วบนั ทึกลงในใบงานที่ 2.6.1 เรือ่ ง แนวทางการอนรุ กั ษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ
59
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 2 คลืน่
แผนฯ ท่ี 1 คลืน่ กล
ขน้ั สรุป
ขั้นที่ 5 ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. นกั เรยี นรว่ มกนั สรปุ ความรเู้ ก่ยี วกับการความหลากหลายทางชวี ภาพ โดยมแี นวการสรุป ดังนี้
“ความหลากหลายทางชวี ภาพ (biodiversity) หมายถึง ความหลากหลายของสิง่ มีชีวิต โดยแบ่งเป็น
3 ระดับ ได้แก่ ความหลากหลายของระบบนิเวศ ความหลากหลายของชนิดสิ่งมีชีวิต และ
ความหลากหลายทางพันธกุ รรม ความหลากหลายทางชีวภาพนีม้ คี วามสาคญั ต่อการรักษาสมดุลของ
ระบบนิเวศ โดยระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงจะรักษาสมดุลได้ดีกว่าระบบนิเวศ
ท่ีมีความหลากหลายทางชีวภาพต่ากว่า นอกจากน้ีความหลากหลายทางชีวภาพยังมีความสาคัญ
ต่อมนุษย์ในด้านตา่ ง ๆ เช่น ใช้เปน็ อาหาร ยารักษาโรค วตั ถดุ บิ ในอตุ สาหกรรมต่าง ๆ ดังนน้ั จึงเปน็
หนา้ ทข่ี องทุกคนในการดูแลรักษาความหลากหลายทางชีวภาพใหค้ งอยู่
2. นักเรียนแต่ละคนทา Exercise 6.1 จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน (ชุด สัมฤทธ์ิมาตรฐาน)
วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1
3. ให้นักเรียนจับคู่กันทบทวนความรู้ท่ีเรียนมาทั้งหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 พันธุกรรม โดยอ่านจาก
Summary และร่วมกันทา Thinking Skill Activity จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน (ชุด สัมฤทธ์ิ
มาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1
4. ให้นกั เรียนทาแบบทดสอบหลงั เรยี น หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 2 เรอื่ ง พนั ธกุ รรม
5. ให้นักเรียนทาแบบทดสอบพัฒนาผู้เรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เร่ือง พันธุกรรม ในหนังสือเรียน
รายวชิ าพ้นื ฐาน (ชดุ สมั ฤทธ์มิ าตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1
6. ครูประเมนิ ผล โดยการสงั เกตพฤติกรรมการตอบคาถาม พฤติกรรมการทางานรายบุคคล พฤตกิ รรม
การทางานกลุ่ม และการนาเสนอผลงาน
7. ครตู รวจสอบผลการปฏิบัตกิ ิจกรรม เรอื่ ง สารวจความหลากหลายทางชวี ภาพภายในโรงเรียน
8. ครูตรวจสอบผลการทาใบงานท่ี 2.6.1 เรอ่ื ง แนวทางการอนรุ กั ษค์ วามหลากหลายทางชวี ภาพ
9. ครูตรวจ Exercise 6.1 จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน (ชุด สัมฤทธ์ิมาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3
เล่ม 1
10. ครตู รวจแบบทดสอบหลงั เรียน หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 2 เร่อื ง พันธุกรรม
11. ครูตรวจแบบทดสอบพัฒนาผู้เรียน จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน (ชุด สัมฤทธ์ิมาตรฐาน)
วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1
60
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 2 คลืน่
แผนฯ ท่ี 1 คลนื่ กล
10. การวดั และประเมินผล
รายการวัด วิธกี าร เคร่ืองมือ เกณฑ์การประเมิน
10.1 การประเมินระหว่าง
- ตรวจใบงานท่ี 2.6.1 - ใบงานที่ 2.6.1 - ร้อยละ 60
การจดั กิจกรรม - ตรวจ Exercise 6.1 - Exercise 6.1 ผา่ นเกณฑ์
1) การดัดแปรทาง - ร้อยละ 60
ผา่ นเกณฑ์
พนั ธกุ รรม
2) การปฏิบตั ิการ - ประเมนิ การ - แบบประเมิน - ระดับคณุ ภาพ 2
ปฏบิ ตั ิการ การปฏบิ ตั ิการ ผา่ นเกณฑ์
3) พฤติกรรมการ - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสังเกต - ระดบั คุณภาพ 2
ทางาน การทางานรายบุคคล พฤติกรรม ผา่ นเกณฑ์
รายบุคคล การทางานรายบุคคล
4) พฤติกรรมการ - สังเกตพฤติกรรม - แบบสังเกต - ระดบั คณุ ภาพ 2
ทางาน การทางานกลุ่ม พฤติกรรม ผา่ นเกณฑ์
กลมุ่ การทางานกลุ่ม
5) การนาเสนอผลงาน - ประเมนิ การนาเสนอ - แบบประเมนิ - ระดับคณุ ภาพ 2
ผลงาน การนาเสนอผลงาน ผา่ นเกณฑ์
6) คุณลกั ษณะอันพึง - สงั เกตความมีวินยั - แบบประเมนิ - ระดับคุณภาพ 2
ประสงค์ ใฝเ่ รียนรู้ และมุ่งมั่น คณุ ลกั ษณะ ผา่ นเกณฑ์
ในการทางาน อนั พึงประสงค์
10.2 การประเมนิ หลังเรียน
- แบบทดสอบหลังเรียน - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบหลัง - ร้อยละ 60
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี หลังเรยี น เรียน ผา่ นเกณฑ์
2 เรือ่ ง
พันธกุ รรม
11. สอื่ /แหล่งการเรียนรู้
11.1 ส่อื การเรยี นรู้
1) หนงั สือเรียนรายวชิ าพื้นฐาน (ชดุ สัมฤทธิ์มาตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 1 หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 2
พนั ธกุ รรม
2) ใบงานที่ 2.6.1 เรอื่ ง แนวทางการอนุรักษค์ วามหลากหลายทางชีวภาพ
61
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 2 คลื่น
แผนฯ ท่ี 1 คล่นื กล
11.2 แหล่งการเรยี นรู้
1) ห้องเรยี น
2) อนิ เทอร์เน็ต
ใบงานที่ 2.6.1
เรอ่ื ง แนวทางการอนุรกั ษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ
คาชี้แจง : ใหน้ กั เรียนสบื คน้ ขอ้ มลู แนวทางการอนุรกั ษค์ วามหลากหลายทางชวี ภาพ
แนวทางการอนรุ ักษ์ความหลากหลายทางชวี ภาพ
62
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 2 คลน่ื เฉลย
แผนฯ ที่ 1 คล่นื กล
ใบงานท่ี 2.6.1
เร่ือง แนวทางการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ
คาชแี้ จง : ใหน้ กั เรยี นสืบค้นขอ้ มูลแนวทางการอนรุ ักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ
แนวทางการอนุรกั ษค์ วามหลากหลายทางชีวภาพ
พิจารณาจากคาตอบของนักเรยี น เชน่
- ปลูกฝังจิตสานึกของประชาชนให้มีความเข้าใจถึงความสาคัญของความหลากหลายทางชีวภาพ
มคี วามรทู้ างวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีทีผ่ สมผสานใหเ้ ข้ากบั ภมู ิปญั ญาท้องถิ่น เพ่อื ใหส้ ามารถใช้ประโยชน์
จากความหลากหลายทางชวี ภาพได้อย่างยงั่ ยนื
- ควบคุมดูแลความหลากหลายทางชีวภาพ โดยหน่วยงานภาครัฐอาจออกกฎหมายคุ้มครอง หรือมีการ
ทาข้อตกลงรว่ มกันระหวา่ งประเทศ เพื่อควบคมุ ดูแลการค้าสายพันธ์สุ ่ิงมชี วี ิตทเ่ี ส่ยี งต่อการสูญพันธ์ุ
- ศึกษาและเก็บรวบรวมตัวอย่างส่ิงมีชีวิตท่ีเส่ียงต่อการสูญพันธ์ุ เพ่ือให้สามารถเพาะพันธุ์ส่ิงมีชีวิตน้ัน
เพมิ่ ขน้ึ ไดใ้ นอนาคต
- การทดแทนธรรมชาติที่ถูกบุกรุกและทาลายความหลากหลายทางชีวภาพ เช่น การสร้างแนวปะการัง
เทียม การปลูกปา่
63
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 2 คลื่น
แผนฯ ที่ 1 คลน่ื กล
12. ความเห็นของผูบ้ รหิ ารสถานศึกษาหรอื ผู้ท่ไี ด้รบั มอบหมาย
ข้อเสนอแนะ
ลงชือ่ .................................
( ................................ )
ตาแหน่ง .......
13. บนั ทกึ ผลหลงั การสอน
ด้านความรู้
ดา้ นสมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียน
ด้านคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
ด้านความสามารถทางวทิ ยาศาสตร์
ด้านอน่ื ๆ (พฤติกรรมเด่น หรือพฤตกิ รรมทีม่ ปี ัญหาของนักเรียนเป็นรายบคุ คล (ถ้าม)ี )
ปัญหา/อุปสรรค
แนวทางการแกไ้ ข
64
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 2 คล่ืน
แผนฯ ท่ี 1 คลื่นกล
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 1
กล่มุ สาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์
ระดับช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 3
เรอื่ ง คลน่ื กล เวลา 3 ช่ัวโมง
1. มาตรฐานการเรยี นรู้
ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลงั งาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลงั งาน ปฏสิ มั พันธ์
ระหวา่ งสสารและพลงั งาน พลังงานในชีวติ ประจาวนั ธรรมชาตขิ องคลน่ื ปรากฏการณ์
ทเ่ี กี่ยวข้องกับเสียง แสง และคล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ รวมท้งั นาความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. ตัวช้ีวัด
ว 2.3 ม.3/10 สรา้ งแบบจาลองที่อธบิ ายการเกิดคลื่นและบรรยายส่วนประกอบของคล่ืน
3. จุดประสงค์การเรยี นรู้
1. อธิบายความหมายของคล่นื กลและบรรยายสว่ นประกอบของคล่ืนได้ (K)
2. คานวณหาปรมิ าณทเี่ กีย่ วขอ้ งกับอตั ราเร็ว ความยาวคลืน่ และความถไ่ี ด้ (K)
3. ปฏิบตั กิ จิ กรรมคลนื่ ในลวดสปรงิ ไดอ้ ยา่ งถูกต้องและเป็นลาดบั ข้นั ตอน (P)
4. รบั ผิดชอบต่อหน้าท่ที ีไ่ ด้รบั มอบหมายและมุ่งมั่นในการทางาน (A)
4. สาระการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้ทอ้ งถ่ิน
พจิ ารณาตามหลกั สตู รของสถานศกึ ษา
สาระการเรียนร้แู กนกลาง
- คล่ืนเกิดจากการส่งผ่านพลังงานโดยอาศัย
ตวั กลางและไม่อาศัยตัวกลาง ในคลืน่ กล พลงั งาน
จ ะ ถู ก ถ่ า ย โ อ น ผ่ า น ตั ว ก ล า ง โ ด ย อ นุ ภ า ค ข อ ง
ตัวกลางไม่เคลื่อนที่ไปกับคลื่น คล่ืนท่ีแผ่ออกมา
จากแหล่งกาเนิดคล่ืนอย่างต่อเนื่องและมีรูปแบบ
ท่ีซ้ากัน บรรยายได้ด้วยความยาวคลื่น ความถ่ี
แอมพลิจดู
65
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 2 คลื่น
แผนฯ ที่ 1 คลน่ื กล
5. สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอด
คลื่นกลเป็นคล่ืนท่ีอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่ เมื่อพิจารณาจากทิศการเคล่ือนท่ีของคลื่นกลหรือ
ลักษณะการสั่นของอนุภาคตัวกลางขณะคล่ืนกลเคลื่อนที่ผ่าน สามารถแบ่งคล่ืนกลออกเป็น 2 ชนิด คือ
คล่นื ตามยาวและคลืน่ ตามขวาง
6. สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคดิ
1) ทกั ษะการสังเกต
2) ทักษะการทดลอง
3) ทกั ษะการคานวณ
4) ทกั ษะการวเิ คราะห์
5) ทกั ษะการลงความเหน็ จากขอ้ มลู
3. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
7. คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
1. มีวนิ ยั
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุ่งมนั่ ในการทางาน
8. คาถามสาคญั
1. คล่นื คืออะไร
2. คลืน่ กลแบง่ ไดเ้ ปน็ ก่ีชนิด อะไรบ้าง
3. คาบและความถ่ีมคี วามสัมพนั ธก์ ันอย่างไร
4. อัตราเรว็ ของคลื่นมนี ยิ ามอย่างไร
66
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 2 คล่นื
แผนฯ ท่ี 1 คล่ืนกล
9. กิจกรรมการเรียนรู้
วธิ ีการสอนโดยเน้นรูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model)
ชว่ั โมงท่ี 1
ข้ันนา
ขนั้ ที่ 1 กระตุน้ ความสนใจ (Engage)
1. ครแู จง้ จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ใหน้ กั เรียนทราบ จากนน้ั ครูให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรยี น
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 6 คล่ืน เพ่อื วัดความรเู้ ดิมของนักเรยี นเป็นรายบคุ คลก่อนเขา้ ส่กู จิ กรรม
2. ครูสนทนาความรเู้ ดมิ ของนกั เรียนเก่ยี วกบั คลืน่ โดยให้นกั เรียนรว่ มกนั อภิปรายแสดงความคดิ เหน็ อยา่ ง
อิสระ ดงั นี้
• คล่ืนท่ีนกั เรียนรจู้ ักมีอะไรบ้าง
• คานิยามของคลน่ื คอื อะไร
• การเคล่อื นทขี่ องคลืน่ จะสง่ ผา่ นพลงั งานไปยังอกี ทหี่ นึ่งได้นัน้ มีกี่วธิ ี อะไรบา้ ง
3. นกั เรยี นแต่ละคนสงั เกตสถานการณภ์ าพหนา้ หน่วย จากหนงั สือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน (ชุด สมั ฤทธิ์
มาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 2 หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 6 คลื่น เพอ่ื กระตนุ้ ให้เกิดกระบวนการ
สบื เสาะหาความรู้ จากน้ันครูใชค้ าถามประจาหน่วยถามนักเรยี นวา่ “การคมนาคมขนสง่ ทางเรือ
เกีย่ วขอ้ งกบั คลืน่ แม่เหล็กไฟฟา้ อยา่ งไร” โดยให้นักเรยี นแลกเปล่ยี นความคิดเห็นรว่ มกนั ครอู าจเขยี น
ใหน้ ักเรียนเขยี นคาตอบของตนเองไว้ในสมุดประจาตวั ของเรยี น แลว้ ครูจะมาเฉลยคาตอบหลงั จาก
เรียนจบหน่วยการเรยี นรู้
4. ครใู ช้คาถามกระต้นุ ความสนใจของนักเรยี นเพ่ือนาเข้าส่กู ารเรียนการสอนวา่ “คล่นื กลแบ่งไดก้ ี่ชนดิ
อะไรบ้าง”
(แนวตอบ : คลื่นกลแบ่งออกเปน็ 2 ชนิด ได้แก่ คลื่นตามยาว และคล่นื ตามขวาง)
ข้ันสอน
ขั้นท่ี 2 สารวจคน้ หา (Explore)
1. ครขู ออาสามคั รนักเรียนออกมาหนา้ ช้นั เรยี นจานวน 4 คน โดยให้อาสาสมคั รแบง่ ออกเปน็ 2 กลุ่ม
แล้วใหน้ ักเรยี นทีอ่ ยใู่ นชั้นเรียนร่วมกันสงั เกตสถานการณ์ 2 กรณี ดังน้ี
• กรณที ี่ 1 (กล่มุ 1) นกั เรียนคนที่ 1 โยนก้อนกระดาษกอ้ นหน่งึ ใหน้ ักเรยี นคนท่ี 2 เปน็ ผรู้ บั
• กรณที ี่ 2 (กลมุ่ 2) นักเรยี นคนที่ 1 สะบดั เชือกไปยงั นักเรยี นคนที่ 2 ซ่งึ ถือปลายเชือกอกี
ด้านหนง่ึ นงิ่ ๆ
67
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 2 คล่นื
แผนฯ ที่ 1 คลื่นกล
2. นกั เรยี นร่วมกันอภิปรายท้ัง 2 กรณี ถึงความแตกตา่ งของการถ่ายโอนพลังงานทท่ี าให้นักเรยี นคนที่ 2
ได้รับการถา่ ยโอนพลงั งานจากนักเรียนคนที่ 1 โดยกรณที ี่ 1 กอ้ นกระดาษเป็นตัวพาพลังงานไปหา
นกั เรียน และกรณีท่ี 2 เสน้ เชือกเป็นตัวพาพลังงานไปหานกั เรยี น จากนน้ั ครตู ้งั ประเด็นคาถามกระตุ้น
ความคดิ นกั เรยี นว่า “นักเรียนคิดวา่ ทงั้ 2 กรณีท่เี พื่อนออกมาทดลอง มคี วามแตกตา่ งของการถา่ ยโอน
พลังงานอย่างไร” โดยให้นกั เรยี นรว่ มกันอภิปรายแสดงความคิดเห็นอยา่ งอสิ ระ
(แนวตอบ : คาตอบของนักเรยี นข้ึนอยูก่ บั ดลุ ยพนิ ิจของครูผูส้ อน เชน่ กรณีท่ี 1 กระดาษเปน็ ตวั กลาง
พาพลังงานไปหานักเรียน โดยกระดาษเคลอ่ื นที่ไปพร้อมกับพลงั งานดว้ ย สว่ นกรณีที่ 2 เส้นเชือกเปน็
ตวั กลางเปน็ ทางผา่ นให้พลงั งานไปหานกั เรยี น โดยเส้นเชือกไม่ได้เคล่อื นที่ไปพร้อมกับพลังงาน)
3. ครูสรปุ จากกิจกรรมวา่ “การสง่ พลังงานของคลน่ื มี 2 แบบ คอื คลื่นที่อาศัยตัวกลางในการเคลอ่ื นท่เี รา
เรยี กวา่ คลื่นกล และคลื่นที่ไมอ่ าศยั ตัวกลางในการเคลื่อนที่ เราเรยี กว่า คล่นื แม่เหลก็ ไฟฟ้า”
4. นักเรียนแตล่ ะคนศึกษาค้นคว้าขอ้ มูลเก่ยี วกับคลนื่ กล จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน (ชุด สมั ฤทธ์ิ
มาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 6 คลื่น เพือ่ ใหน้ กั เรียนไดป้ ระเด็นวา่ คล่ืนกลคอื
อะไร และเกดิ ข้ึนได้อยา่ งไร
5. นักเรยี นแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน ตามความสมัครใจ จากนน้ั ให้นกั เรยี นแต่ละกลุ่มรว่ มกนั ศึกษาคน้ ควา้
ข้อมลู เกยี่ วกับชนิดของคลืน่ กล จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน (ชดุ สมั ฤทธ์มิ าตรฐาน) วิทยาศาสตร์
ม.3 เลม่ 2 หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 6 คล่ืน หรือแหลง่ การเรียนรู้ตา่ ง ๆ เช่น อินเทอรเ์ น็ต ห้องสมุด
โดยใหส้ มาชกิ ภายในกล่มุ แบ่งหน้าท่ีกนั ศึกษาคนละ 1 เร่ือง ซ่งึ หัวข้อมดี ังนี้
• คนท่ี 1 ศึกษาคลนื่ ตามยาว
• คนที่ 2 ศึกษาคลื่นตามขวาง
• คนที่ 3 ศกึ ษาคล่นื ต่อเน่ือง
• คนท่ี 4 ศกึ ษาคล่นื ดล
6. สมาชกิ ภายในกลุ่มนาเร่ืองทตี่ นเองศกึ ษาคน้ คว้ามาอธิบายให้เพ่ือนในกลุ่มฟัง จากนน้ั ร่วมกนั เขยี นสรุป
ความรู้ที่ไดล้ งในสมดุ ประจาตวั นกั เรยี น
7. ครตู ั้งประเด็นคาถามกระตุ้นความคดิ นักเรียน โดยให้นักเรียนแตล่ ะกลุม่ ร่วมกันตอบคาถาม ดงั น้ี
• คลื่นกลเกดิ ขน้ึ ได้อย่างไร
(แนวตอบ : คล่นื กลเกดิ จากการรบกวนตวั กลาง พลังงานจากการถูกรบกวนจะถูกถา่ ยโอนไปยัง
อนุภาคตวั กลาง ทาให้อนภุ าคของตัวกลางเกดิ การเคล่อื นที่)
• คล่นื ตามยาวแตกต่างจากคลื่นตามขวางอย่างไร
(แนวตอบ : แตกตา่ งกนั โดยทิศของการเคลื่อนทกี่ บั ทศิ การสัน่ ของอนุภาค คลืน่ ตามยาวเปน็ คลน่ื กล
ท่อี นุภาคของตวั กลางส่ันในแนวเดยี วกบั ทศิ การเคลอื่ นทข่ี องคล่ืน ส่วนคลื่นตามขวางเป็นคลืน่ กลที่
อนภุ าคของตวั กลางส่ันในแนวต้ังฉากกับทศิ การเคลื่อนทีข่ องคล่ืน)
68
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 2 คลื่น
แผนฯ ที่ 1 คล่นื กล
• คลน่ื ดลกบั คล่นื ต่อเนื่องต่างกันอยา่ งไร
(แนวตอบ : คลื่นดลเป็นคลื่นท่เี กิดจากแหล่งกาเนิดคลนื่ ท่ีสั่นในช่วงระยะเวลาส้ัน ๆ เชน่ คลนื่ ผิวนา้
ที่เกดิ จากการใชน้ ้ิวแตะผิวนา้ สว่ นคล่นื ต่อเนื่องเปน็ คล่ืนที่เกดิ จากการส่ันอย่างต่อเน่ืองของ
แหลง่ กาเนิดคลน่ื เช่น คลืน่ ในทะเล)
8. นักเรียนแตล่ ะคนยกตัวอย่างของคลื่นตามยาว คลนื่ ตามขวาง คลนื่ ต่อเน่ือง และคลืน่ ดล มาใหไ้ ดม้ าก
ทสี่ ุด โดยเขียนบนั ทกึ ลงในสมุดประจาตวั นักเรียน แลว้ สง่ ครผู ้สู อนทา้ ยชัว่ โมง
ชว่ั โมงท่ี 2
ขั้นท่ี 2 สารวจคน้ หา (Explore) (ต่อ)
9. ครทู บทวนความรเู้ ดมิ ของนักเรียนจากช่วั โมงทผ่ี ่านมา โดยครสู มุ่ นกั เรียน 3-4 คน ออกมาหน้าชนั้ เรยี น
ใหอ้ ธิบายและยกตัวอยา่ งของคลน่ื ตามยาว คล่นื ตามขวาง คล่ืนตอ่ เนอื่ ง และคลื่นดล แล้วใหน้ ักเรยี น
ทอ่ี ยูใ่ นช้ันเรียนรว่ มกันพจิ ารณาวา่ คาตอบถูกต้องหรือไม่ จากนน้ั ครูเฉลยและอธบิ ายเพม่ิ เตมิ ให้
นักเรยี นฟงั เพ่อื ให้นักเรียนมีความเขา้ ใจทถี่ ูกต้อง
10. นักเรยี นแบง่ กลุ่ม กลุ่มละ 6 คน ตามความสมัครใจ จากนัน้ ครแู จง้ จุดประสงค์ของกิจกรรม/
การทดลอง คลื่นในลวดสปริง ให้นกั เรยี นทราบเพ่ือเป็นแนวทางการปฏบิ ตั ิกิจกรรมที่ถูกต้อง
11. นกั เรยี นแต่ละกลุม่ ร่วมกันศกึ ษากจิ กรรม/การทดลอง คลื่นในลวดสปริง จากหนงั สือเรียนรายวิชา
พืน้ ฐาน (ชดุ สัมฤทธิม์ าตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 2 หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 6 คล่ืน โดยครูใชร้ ปู แบบ
การเรยี นรแู้ บบรว่ มมอื มาจัดกระบวนการเรียนรู้ โดยกาหนดให้สมาชิกแต่ละคนภายในกลมุ่ มบี ทบาท
หนา้ ทข่ี อตนเอง ดงั นี้
• สมาชกิ คนที่ 1-2 ทาหนา้ ท่เี ตรียมวัสดุอปุ กรณท์ ใ่ี ช้ในการทดลองคล่นื ในลวดสปริง
• สมาชิกคนที่ 3-4 ทาหนา้ ท่อี ่านวิธีการทดลอง และนามาอธบิ ายให้สมาชกิ ในกลุ่มฟัง
• สมาชิกคนที่ 5-6 ทาหน้าท่บี ันทกึ ผลการทดลอง
12. สมาชกิ ภายในกล่มุ ร่วมกันตงั้ สมมติฐาน และปฏิบัติกิจกรรม/การทดลอง ตามขนั้ ตอนในหนังสือเรยี น
รายวชิ าพนื้ ฐาน (ชุด สมั ฤทธม์ิ าตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 2 หน่วยการเรียนรูท้ ี่ 6 คลน่ื
จากนั้นรว่ มกันอภิปรายผลการทดลอง และตอบคาถามทา้ ยการทดลอง
69
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 2 คลน่ื
แผนฯ ท่ี 1 คลน่ื กล
ข้ันท่ี 3 อธิบายความรู้ (Explain)
13. นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ ออกมานาเสนอผลและคาถามทา้ ยการทดลอง คลืน่ ในลวดสปริงหน้าชัน้ เรยี น
ในระหว่างทน่ี กั เรียนนาเสนอ ครูคอยใหข้ ้อเสนอแนะเพ่ิมเติมเพื่อใหน้ กั เรยี นมีความเขา้ ใจที่ถูกต้อง
14. นกั เรียนและครรู ่วมกันสรปุ ผลการทดลอง คล่ืนในลวดสปรงิ และเฉลยคาถามท้ายการทดลอง
15. ครูตงั้ ประเดน็ ถามเพม่ิ เตมิ จากกิจกรรม/การทดลอง คล่ืนในลวดสปริง โดยให้นักเรยี นแตล่ ะกล่มุ
ร่วมกันอภิปรายแสดงความคิดเหน็ เพอื่ หาคาตอบ ดังนี้
• การผกู รบิ บ้นิ สีไว้ท่ขี ดลวดสปรงิ เพอื่ อะไร
(แนวตอบ : เพอ่ื ใหส้ งั เกตการเคลอ่ื นท่ีของอนภุ าคของลวดสปริงไดง้ ่าย)
• ลักษณะของคล่นื ทเ่ี กดิ จากการอัดลวดสปริงและการสะบัดลวดสปรงิ แตกต่างกนั อยา่ งไร
(แนวตอบ : ทศิ ทางการสั่นแตกต่างกัน)
16. ครูอธิบายเพ่มิ เติมว่า “คลืน่ กลเป็นการถ่ายทอดพลังงานกลจากจดุ หน่ึงไปยังอีกจุดหน่งึ โดยวธิ กี าร
ถา่ ยโอนพลงั งานตอ่ ๆ กนั ไป ระหว่างอนุภาคตั้งแต่ตน้ ทางถึงปลายทาง และคลื่นกลต้องอาศยั
ตัวกลางในการเคลอ่ื นท่ี ซึ่งตัวกลาง ได้แก่ ของแขง็ ของเหลว แก๊ส ขณะเกิดคลน่ื กลพลังงานจะ
ส่งผ่านตวั กลางไป แต่อนุภาคตวั กลางไม่ไดต้ ามพลงั งานไปดว้ ย อนภุ าคตวั กลางขณะทพี่ ลงั งานผ่าน
จะมีการเคล่ือนทแ่ี บบกลับไปกลบั มาซ้ารอยเดิม”
ช่วั โมงที่ 3
ขั้นที่ 4 ขยายความเข้าใจ (Elaborate)
17. นักเรยี นแต่ละคนศึกษาคน้ คว้าขอ้ มลู เก่ียวกบั สว่ นประกอบของคลืน่ อัตราเร็วของคลนื่ และตัวอยา่ ง
การคานวณหาความสมั พนั ธร์ ะหว่างอัตราเรว็ ของคลืน่ ความถ่ี และความยาวคลื่น จากตวั อยา่ งที่ 6.1
ในหนงั สือเรยี นรายวิชาพน้ื ฐาน (ชดุ สัมฤทธิ์มาตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 2 หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 6
คลน่ื ครอู าจแนะนาใหน้ กั เรียนทาตามข้ันตอนการแก้โจทย์ปญั หา ดงั นี้
• ข้นั ท่ี 1 ทาความเข้าใจโจทยป์ ัญหา
• ข้นั ท่ี 2 วางแผนการแกโ้ จทย์ปญั หา เช่น สงิ่ ที่โจทย์ต้องการถามหา และจะหาสิ่งที่โจทย์ต้องการ
ต้องทาอยา่ งไร
• ขนั้ ท่ี 3 ดาเนนิ การแกโ้ จทย์ปัญหา
• ข้นั ที่ 4 ตรวจสอบคาตอบ
18. นักเรยี นหาตัวอย่างการคานวณหาอตั ราเรว็ ของคลน่ื มาคนละ 3 ตวั อยา่ ง ท่นี อกเหนอื จากหนังสอื เรียน
พร้อมแสดงวิธีการคานวณหาผลลพั ธ์ โดยเขยี นลงในกระดาษ A4 แล้วส่งครูผูส้ อนท้ายชัว่ โมง
70
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 คลื่น
แผนฯ ที่ 1 คลืน่ กล
19. ครูเตรยี มบทความเกย่ี วกบั คล่ืนและประโยชน์ของคลนื่ มาใหน้ กั เรยี นรว่ มกันศกึ ษาเพ่ือเช่อื มโยงให้
นักเรยี นเห็นวา่ คลืน่ สามารถนาไปประยกุ ตใ์ ช้ในอปุ กรณ์ หรอื ศาสตรว์ ิชาใดได้บา้ งในอนาคต
ตัวอยา่ งบทความเช่น
การนาสมบัติของคลื่นกลไปใช้ประโยชน์เครื่องโซนาร์ (soner : sound navigation and ranging)
เคร่อื งโซนารเ์ ปน็ เครื่องมือสาหรับตรวจหาวตั ถุใต้น้า มีความสาคญั เชน่ เดยี วกับเรือผิวน้า ส่วนมากจะ
ถูกใชใ้ นการหาตาแหน่งของระเบดิ เรืออับปาง ฝงู ปลาและทดสอบความลกึ ของท้องทะเล มีหลกั การ
ทางานคล้ายกับเครื่องเรดาร์ แต่โซนาร์จะใช้คล่ืนเสียง และต้องใช้ในน้า แต่เรดาร์จะใช้ได้ในอากาศ
เท่านั้น เคร่อื งโซนารส์ ่งคลื่นเสียงท่ีมีความถี่สงู เกนิ กว่าหูมนุษย์จะได้ยินผ่านไปในน้าคล่ืนเสียงน้ี จะมี
ความถ่ีประมาณ 50,000 รอบต่อวินาที โซนาร์อาศัยหลักการทางานดังน้ี เม่ือเสียงจากเครื่องโซนาร์
เดินทางไปกระทบวัตถุ เช่น สิ่งมีชีวิต เรือดาน้า หรือพ้ืนทะเล ก็จะสะท้อนกลับมาเข้าเครื่องรับ
จากนั้นเครื่องรับจะทาการวัดช่องเวลาท่ีเสียงเดินทางไปและกลับ แล้วคานวณหาระยะทางของวัตถุ
จากความเร็วของคลนื่ เสียงใตน้ ้า
20. นักเรียนแต่ละคน Exercise 1.1 เร่ือง คลื่นกล จากหนงั สอื เรยี นรายวิชาพืน้ ฐาน (ชดุ สัมฤทธ์ิ
มาตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 6 คลื่น
ข้นั สรปุ
ข้นั ที่ 5 ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. นักเรียนและครูร่วมกนั สรปุ ความรเู้ กย่ี วกบั คลน่ื กล โดยมแี นวการสรุป ดงั นี้
“คล่ืนกลเปน็ คลื่นท่ีอาศยั ตวั กลางในการเคลื่อนท่ี เมอื่ พจิ ารณาจากทิศการเคล่ือนที่ของคลืน่ กลหรอื
ลักษณะการส่นั ของอนภุ าคตัวกลางขณะคลืน่ กลเคลอื่ นที่ผ่าน สามารถแบง่ คล่ืนกลออกเปน็ 2 ชนดิ
คือ คลน่ื ตามยาวและคลน่ื ตามขวาง สว่ นประกอบของคล่ืน ประกอบด้วย สนั คลน่ื ท้องคลนื่
แอมพลิจดู ความยาวคลน่ื คาบ และความถ่ี อัตราเรว็ ของคล่ืน คอื ระยะทางที่คลืน่ เคลื่อนที่ไปได้ใน
หน่ึงเวลา”
2. ครตู รวจสอบผลการทาแบบทดสอบก่อนเรยี นหนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 6 คลน่ื เพือ่ ตรวจสอบความเขา้ ใจ
ก่อนเรียนของนักเรยี น
3. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการตอบคาถาม พฤติกรรมการทางานรายบุคคล
และพฤตกิ รรมการทางานกลุ่ม
4. ครตู รวจสอบผลการทา Exercise 1.1 เรื่อง คล่ืนกล จากหนงั สอื เรยี นรายวชิ าพนื้ ฐาน (ชดุ สมั ฤทธิ์
มาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 คลน่ื กล
5. ครูตรวจสอบผลการปฏบิ ตั ิกจิ กรรม เรอื่ ง คลื่นในลวดสปริง
71
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 2 คล่ืน
แผนฯ ที่ 1 คลื่นกล
10. การวดั และประเมนิ ผล วิธกี าร เคร่ืองมือ เกณฑ์การประเมนิ
รายการวดั - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบก่อนเรียน - ประเมินตามสภาพจริง
10.1 การประเมินก่อนเรียน ก่อนเรียน
- Exercise 1.1 - รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
- แบบทดสอบก่อนเรยี น - ตรวจ Exercise 1.1 - แบบประเมินการ - ระดบั คุณภาพ 2
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 6 - ประเมนิ การปฏบิ ตั ิ ปฏบิ ตั กิ ิจกรรม ผา่ นเกณฑ์
คล่นื กจิ กรรม - แบบสงั เกตพฤติกรรม - ระดับคณุ ภาพ 2
10.2 การประเมนิ ระหวา่ ง - สังเกตพฤติกรรม การทางานรายบุคคล ผ่านเกณฑ์
การจดั กิจกรรม การทางานรายบุคคล - แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดับคุณภาพ 2
1) คลื่นกล - สงั เกตพฤติกรรม การทางานกลุ่ม ผา่ นเกณฑ์
2) การปฏิบัตกิ จิ กรรม การทางานกลุ่ม - แบบประเมิน - ระดบั คุณภาพ 2
- ประเมินการนาเสนอ การนาเสนอผลงาน ผ่านเกณฑ์
3) พฤตกิ รรมการทางาน ผลงาน - แบบประเมนิ - ระดบั คณุ ภาพ 2
รายบคุ คล - สังเกตความมีวนิ ยั คณุ ลักษณะ ผา่ นเกณฑ์
ใฝเ่ รียนรู้ และมุ่งม่ัน อันพงึ ประสงค์
4) พฤติกรรมการทางาน ในการทางาน
กลุม่
5) การนาเสนอผลงาน
6) คุณลกั ษณะอนั พึง
ประสงค์
11. สื่อ/แหลง่ การเรยี นรู้
11.1 ส่ือการเรียนรู้
1) หนังสอื เรียนรายวชิ าพ้ืนฐาน (ชุด สัมฤทธิม์ าตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 2
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 6 คลื่น
2) วสั ดุอปุ กรณท์ ่ีใช้ในการทดลองคลน่ื ในลวดสปรงิ
3) กระดาษ A4
4) สมุดประจาตวั นกั เรยี น
72
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 2 คลนื่
แผนฯ ท่ี 1 คลื่นกล
11.2 แหลง่ การเรียนรู้
1) ห้องเรยี น
2) หอ้ งปฏิบัติการวทิ ยาศาสตร์
3) อินเทอรเ์ นต็
12. ความเหน็ ของผ้บู รหิ ารสถานศกึ ษาหรือผูท้ ไ่ี ดร้ บั มอบหมาย
ขอ้ เสนอแนะ
ลงชอ่ื .................................
( ................................ )
ตาแหน่ง .......
13. บันทกึ ผลหลงั การสอน
ดา้ นความรู้
ดา้ นสมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียน
ด้านคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
ดา้ นความสามารถทางวทิ ยาศาสตร์
ดา้ นอนื่ ๆ (พฤติกรรมเดน่ หรือพฤติกรรมท่ีมีปญั หาของนักเรยี นเปน็ รายบุคคล (ถ้ามี))
73
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 คล่นื
แผนฯ ที่ 1 คลน่ื กล
ปญั หา/อปุ สรรค
แนวทางการแก้ไข
74
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 2 คลืน่
แผนฯ ที่ 2 คล่ืนแม่เหล็กไฟฟา้
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2
กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวชิ า วิทยาศาสตร์
ระดบั ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3
เรอื่ ง คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ เวลา 2 ช่ัวโมง
1. มาตรฐานการเรียนรู้
ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลงั งาน การเปลีย่ นแปลงและการถา่ ยโอนพลังงาน ปฏสิ มั พันธ์
ระหวา่ งสสารและพลงั งาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาตขิ องคลนื่ ปรากฏการณ์
ทีเ่ กีย่ วขอ้ งกับเสยี ง แสง และคลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า รวมทงั้ นาความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์
2. ตัวช้วี ดั
ว 2.3 ม.3/11 อธิบายคลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟ้าและสเปกตรัมของคลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้าจากข้อมลู ที่รวบรวมได้
3. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
1. อธิบายคลนื่ แม่เหล็กไฟฟา้ และสเปกตรัมของคล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ ได้ (K)
2. สบื ค้นข้อมูลเกี่ยวกบั การคน้ พบคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟา้ และสเปกตรัมของคลนื่ แม่เหล็กไฟฟ้าได้ (P)
3. รบั ผิดชอบต่อหน้าทท่ี ไ่ี ดร้ บั มอบหมายและมงุ่ ม่ันในการทางาน (A)
4. สาระการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้ท้องถ่ิน
พิจารณาตามหลกั สตู รของสถานศึกษา
สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
- คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคลื่นที่ไม่อาศัยตัวกลาง
ในการเคลื่อนท่ี มีความถ่ีต่อเนื่องเป็นช่วงกว้าง
มากเคลื่อนที่ในสุญญากาศด้วยอัตราเร็วเท่ากัน
แต่จะเคลื่อนท่ีด้วยอัตราเรว็ ต่างกันในตัวกลางอน่ื
คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าแบ่งออกเป็นช่วงความถ่ี
ต่าง ๆ เรียกว่า สเปกตรัมของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
แต่ละช่วงความถี่มีช่ือเรียกต่างกัน ได้แก่
คล่ืนวิทยุ ไมโครเวฟ อินฟราเรด แสงที่มองเห็น
อัลตราไวโอเลต รังสีเอกซ์และรังสีแกมมา
ซึ่งสามารถนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้
75
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 2 คลืน่
แผนฯ ท่ี 2 คลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟา้
5. สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคล่ืนตามขวาง เพราะสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้าท่ีเปน็ ส่วนประกอบของ
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเปล่ียนแปลงในแนวตั้งฉากกับทิศการเคล่ือนท่ีของคล่ืน คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าแผ่ออกไป
จากแหล่งกาเนิดโดยไม่ต้องอาศัยตัวกลางและเคลื่อนท่ีผ่านสุญญากาศหรืออากาศได้ด้วย คลื่น
แมเ่ หล็กไฟฟ้าทุกยา่ นความถรี่ วมกันเรยี กว่า สเปกตรมั คลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟา้
6. สมรรถนะสาคญั ของผ้เู รียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
1) ทกั ษะการวเิ คราะห์
2) ทกั ษะการนาความรู้ไปใช้
3) ทกั ษะการลงความเหน็ จากข้อมลู
4) ทกั ษะการตคี วามหมายข้อมลู และลงข้อสรปุ
3. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
7. คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์
1. มีวินยั
2. ใฝ่เรยี นรู้
3. มุ่งม่นั ในการทางาน
8. คาถามสาคัญ
1. คล่นื แม่เหล็กไฟฟ้าเคลื่อนทโี่ ดยไมอ่ าศยั ตวั กลางได้อยา่ งไร
2. สเปกตรมั คล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ สามารถแบง่ ได้อย่างไร
9. กิจกรรมการเรียนรู้
วธิ ีการสอนโดยเน้นรปู แบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model)
76
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 2 คลนื่
แผนฯ ที่ 2 คลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟา้
ชว่ั โมงที่ 1
ข้ันนา
ขนั้ ท่ี 1 กระตุ้นความสนใจ (Engage)
1. ครูทบทวนความรเู้ ดิมของนักเรยี นเกย่ี วกบั คลนื่ กล โดยมีแนวคาถามดงั นี้
• คลน่ื กลเกิดขนึ้ ได้อยา่ งไร
(แนวตอบ : คลืน่ กลเกิดจากการรบกวนตัวกลาง พลังงานจากการถูกรบกวนจะถูกถา่ ยโอนไปยงั
อนภุ าคตัวกลาง ทาให้อนภุ าคของตัวกลางเกดิ การเคล่อื นที่)
2. ครตู ้งั ประเดน็ คาถามวา่ “แสงจากดวงอาทิตยเ์ ปน็ คล่นื หรือไม่ แลว้ แสงเดนิ ทางผา่ นอากาศท่ีไมม่ ี
ตัวกลางไดอ้ ย่างไร” โดยให้นักเรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็นอยา่ งอิสระ
3. ครใู ช้คาถามกระตุน้ ความสนใจของนกั เรียนเพื่อนาเข้าสู่การเรียนการสอนวา่ “ปัจจยั ใดบา้ งทีท่ าให้
คลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟ้าแตกต่างจากคลน่ื กล” โดยใหน้ กั เรียนแตล่ ะคนเขยี นคาตอบของตนเองไว้ใน
สมดุ ประจาตัวนักเรียน แลว้ ครจู ะมาเฉลยคาตอบหลังจากเรยี นจบเนือ้ หาเรอ่ื ง คลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟ้า
ขน้ั สอน
ข้นั ท่ี 2 สารวจคน้ หา (Explore)
1. นักเรยี นแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน ตามความสมัครใจ จากน้นั ให้นกั เรียนแตล่ ะกล่มุ ร่วมกนั ศึกษา
คน้ ควา้ ข้อมลู เกยี่ วกับลกั ษณะของคลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า และสเปกตรัมคลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้า
จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน (ชุด สัมฤทธิ์มาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2 หนว่ ยการ
เรียนรูท้ ่ี 6 คล่ืน หรอื แหล่งการเรียนร้ตู า่ ง ๆ เช่น อนิ เทอรเ์ น็ต หอ้ งสมุด
2. สมาชกิ ภายในกล่มุ ร่วมกันอภปิ รายเรื่องทไ่ี ด้ศกึ ษา จากน้ันเขียนสรปุ ความรู้ที่ไดจ้ ากการศึกษาค้นควา้
ลงในกระดาษฟลิปชาร์ท พรอ้ มตกแต่งใหส้ วยงาม
3. ครเู ปดิ วีดที ัศน์ เรอ่ื ง Tour of the EMS 01 – Introduction ให้นักเรยี นดู จากนนั้ ครูตง้ั ประเด็น
คาถามกระต้นุ ความคิดนกั เรียน โดยให้นักเรียนร่วมกนั อภิปรายแสดความคดิ เหน็ อยา่ งอิสระ ดงั น้ี
• นกั เรยี นคดิ ว่า แสงเป็นคลนื่ แม่เหล็กไฟฟา้ หรอื ไม่ อย่างไร
(แนวตอบ : คาตอบของนักเรียนข้นึ อยู่กบั ดลุ ยพินิจของครผู ู้สอน เช่น ธรรมชาตขิ องแสง เป็นทง้ั
คลน่ื และอนุภาค เมอื่ กลา่ วถึงแสงในคณุ สมบตั ิความเป็นคลนื่ เรยี กว่า คลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้
ซ่งึ ประกอบดว้ ย สนามแมเ่ หลก็ และสนามไฟฟ้าทามมุ ต้งั ฉาก เมื่อกลา่ วถึงแสงในคุณสมบัติของ
อนุภาค เรียกวา่ โฟตอน เปน็ อนภุ าคที่ไม่มมี วล แต่เปน็ พลงั งาน)
77
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 2 คลื่น
แผนฯ ที่ 2 คล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้
• คลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ เกดิ ขึ้นได้อยา่ งไร
(แนวตอบ : คาตอบของนกั เรยี นขึ้นอยู่กับดลุ ยพนิ จิ ของครูผูส้ อน เช่น เกิดจากการการปลดปลอ่ ย
พลงั งาน หรือการแผ่รังสอี อกมาในรปู ของคลื่น)
ช่วั โมงที่ 2
ข้นั ที่ 3 อธบิ ายความรู้ (Explain)
4. นกั เรียนแต่ละกลุ่มออกมานาเสนอผลจากการศึกษาหน้าชน้ั เรียน ในระหว่างทนี่ กั เรยี นนาเสนอ
ครคู อยใหข้ อ้ เสนอแนะเพิ่มเติมเพือ่ ให้นกั เรียนมีความเข้าใจที่ถูกต้อง
5. ครตู งั้ ประเดน็ คาถามกระตุ้นความคดิ นักเรียน โดยใหน้ กั เรียนแตล่ ะกลมุ่ รว่ มกนั อภิปรายแสดงความ
คดิ เหน็ เพ่อื หาคาตอบ ดงั นี้
• สเปกตรมั คลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้าคืออะไร
(แนวตอบ : เปน็ แถบแสดงความถ่ี หรือความยาวคล่นื ต่าง ๆ ของคลืน่ แม่เหล็กไฟฟา้ โดยเรยี งลาดับ
ความถี่ตา่ ไปความถส่ี ูง หรือเรยี งลาดับความยาวคล่ืนยาวไปความยาวคลื่นส้นั )
• คลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้าชนดิ ใดท่ีมีความถน่ี ้อยสุด
(แนวตอบ : คล่นื วิทยุ)
• คล่นื แมเ่ หล็กไฟฟา้ ชนิดใดท่ีมคี วามยาวคลน่ื มากสุด
(แนวตอบ : รงั สีแกมมา)
ขัน้ ที่ 4 ขยายความเขา้ ใจ (Elaborate)
6. นักเรยี นแบง่ กลุม่ (กลุม่ เดมิ ) จากนัน้ ใหน้ กั เรียนแตล่ ะกลุ่มหาอปุ กรณท์ ีใ่ ชค้ ลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้าใน
การทางานมากลุม่ ละ 1 ชิ้น โดยอธิบายหลกั การทางาน ทม่ี า และประโยชน์หรอื คณุ สมบตั ิของอปุ กรณ์
นน้ั ๆ ลงในใบงานท่ี 6.2.1 เรอ่ื ง คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้ ครอู าจส่มุ นกั เรยี น 3-4 กลุ่ม ออกมานาเสนอ
ขอ้ มูลหนา้ ช้นั เรยี น
7. ครูมอบหมายให้นกั เรยี นเขียนสรปุ เขยี นสรปุ ชนิดและคุณสมบตั ิของคลื่นแม่เหล็กไฟฟา้ ทีเ่ ป็นลกั ษณะ
ของแผนภาพ หรอื อนิ โฟกราฟกิ (info graphic) เปน็ การบา้ นสง่ ครผู ู้สอนชั่วโมงถดั ไป
78
หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 2 คลน่ื
แผนฯ ท่ี 2 คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้
ขนั้ สรุป
ขน้ั ท่ี 5 ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. นกั เรยี นและครูรว่ มกนั สรุปความร้เู กย่ี วกับคล่ืนแม่เหล็กไฟฟา้ และสเปกตรัมคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้
โดยมีแนวการสรปุ ดงั นี้
“คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟา้ เป็นคล่นื ตามขวาง เพราะสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟา้ ท่เี ป็นส่วนประกอบของ
คลนื่ แม่เหล็กไฟฟา้ เปลี่ยนแปลงในแนวตงั้ ฉากกบั ทิศการเคล่อื นที่ของคล่นื คลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟา้ แผ่
ออกไปจากแหลง่ กาเนิดโดยไมต่ ้องอาศัยตวั กลางและเคลอื่ นทผ่ี ่านสญุ ญากาศได้ คลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้า
ทกุ ย่านความถ่ีรวมกนั เรยี กวา่ สเปกตรมั คลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ ซ่ึงครอบคลมุ ตัง้ แตค่ ล่นื วิทยุ
คลน่ื ไมโครเวฟ รังสอี ินฟราเรด แสงที่มองเห็นได้ รังสีอัลตราไวโอเลต รังสีเอกซ์ และรงั สแี กมมา”
2. ครปู ระเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการตอบคาถาม พฤติกรรมการทางานรายบุคคล
และพฤติกรรมการทางานกลุ่ม
3. ครตู รวจสอบผลการทาใบงานที่ 6.2.1 เร่ือง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
4. ครตู รวจสอบผลการทาแผนภาพหรอื อนิ โฟกราฟิก (info graphic) เรื่อง สเปกตรัมคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟ้า
10. การวัดและประเมนิ ผล วิธกี าร เครือ่ งมือ เกณฑ์การประเมิน
รายการวัด - ตรวจใบงานท่ี 6.2.1 - ใบงานท่ี 6.2.1 - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
10.1 การประเมนิ ระหว่าง - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤตกิ รรม - ระดับคณุ ภาพ 2
การทางานรายบุคคล การทางานรายบุคคล ผา่ นเกณฑ์
การจัดกจิ กรรม - สังเกตพฤติกรรม - แบบสงั เกตพฤตกิ รรม - ระดับคุณภาพ 2
1) คล่นื แม่เหล็กไฟฟ้า การทางานกลุ่ม การทางานกลุ่ม ผ่านเกณฑ์
2) พฤติกรรมการทางาน - ประเมนิ การนาเสนอ - แบบประเมิน - ระดับคณุ ภาพ 2
ผลงาน การนาเสนอผลงาน ผ่านเกณฑ์
รายบุคคล - สงั เกตความมีวินยั - แบบประเมิน - ระดบั คณุ ภาพ 2
3) พฤตกิ รรมการทางาน ใฝ่เรยี นรู้ และมงุ่ มนั่ คณุ ลกั ษณะ ผ่านเกณฑ์
ในการทางาน อันพึงประสงค์
กลมุ่
4) การนาเสนอผลงาน
5) คุณลกั ษณะอันพึง
ประสงค์
79
หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 2 คลน่ื
แผนฯ ที่ 2 คล่ืนแม่เหล็กไฟฟา้
11. สอื่ /แหลง่ การเรยี นรู้
11.1 สอื่ การเรียนรู้
1) หนงั สือเรยี นรายวชิ าพื้นฐาน (ชดุ สมั ฤทธม์ิ าตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 6 คลน่ื
2) ใบงานท่ี 6.2.1 เรอื่ ง คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้า
3) วดี ิทัศน์ เรือ่ ง Tour of the EMS 01 – Introduction
ท่ีมา https://www.youtube.com/watch?time_continue=199&v=lwfJPc-rSXw&
feature=emb_logo
4) กระดาษฟลิปชารท์
11.2 แหล่งการเรียนรู้
1) หอ้ งเรียน
2) อินเทอร์เน็ต
80
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 2 คลนื่
แผนฯ ที่ 2 คล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟา้
ใบงานท่ี 6.2.1
เร่ือง คล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า
สมาชิกภายในกลุ่ม
1. ................................................................................................................ เลขท่ี ..... .................
2. ................................................................................................................ เลขที่ ......................
3. ................................................................................................................ เลขที่ .. ....................
4. ................................................................................................................ เลขท่ี ......................
5. ................................................................................................................ เลขท่ี .. ....................
ชอื่ อุปกรณ์
........................................................................................................................................................ ......................
............................................................................................................. .................................................................
หลกั การทางาน
............................................................................................................................. .................................................
.................................................................................. ............................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
ประโยชน์/คุณสมบตั ิ
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
................................................................................................................................................................... ...........
....................................................................................................................... .......................................................
............................................................................................................................. .................................................
....................................................................................................................................................... .......................
............................................................................................................ ..................................................................
81
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 2 คล่ืน
แผนฯ ท่ี 2 คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟา้
ใบงานท่ี 6.2.1 เฉลย
เรื่อง คลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า
สมาชิกภายในกลุ่ม
1. ................................................................................................................ เลขที่ ..... .................
2. ................................................................................................................ เลขที่ ......................
3. ................................................................................................................ เลขที่ .. ....................
4. ................................................................................................................ เลขที่ ......................
5. ................................................................................................................ เลขท่ี .. ....................
ช่ืออุปกรณ์
............................................................................................................................. .................................................
.................................................................................. ............................................................................................
หลักการทางาน
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
.................................................................................. ............................................................................................
ประโยชน์/คณุ สมบตั ิ
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
.................................................................................. ............................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
82
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 2 คล่ืน .................................
แผนฯ ที่ 2 คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ................................ )
12. ความเหน็ ของผูบ้ รหิ ารสถานศึกษาหรอื ผู้ท่ไี ด้รบั มอบหมาย .......
ข้อเสนอแนะ
ลงชือ่
(
ตาแหน่ง
13. บนั ทกึ ผลหลงั การสอน
ด้านความรู้
ด้านสมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียน
ดา้ นคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
ด้านความสามารถทางวทิ ยาศาสตร์
ด้านอื่น ๆ (พฤติกรรมเด่น หรือพฤตกิ รรมทีม่ ปี ัญหาของนักเรียนเป็นรายบคุ คล (ถ้าม)ี )
ปญั หา/อุปสรรค
แนวทางการแกไ้ ข
83
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 2 คลนื่
แผนฯ ท่ี 3 ประโยชน์ของคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้า
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 3
กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์
ระดบั ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 3
เร่อื ง ประโยชน์ของคลนื่ แม่เหล็กไฟฟ้า เวลา 2 ช่ัวโมง
1. มาตรฐานการเรยี นรู้
ว 2.3 เขา้ ใจความหมายของพลังงาน การเปล่ยี นแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏสิ ัมพันธ์
ระหว่างสสารและพลังงาน พลงั งานในชวี ิตประจาวัน ธรรมชาติของคลนื่ ปรากฏการณ์
ท่ีเกยี่ วขอ้ งกับเสยี ง แสง และคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้า รวมทง้ั นาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์
2. ตัวชว้ี ดั
ว 2.3 ม.3/12 ตระหนักถงึ ประโยชน์และอันตรายจากคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้ โดยนาเสนอการใชป้ ระโยชน์
ในดา้ นต่าง ๆ และอนั ตรายจากคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าในชวี ิตประจาวัน
3. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
1. อธิบายประโยชน์และอันตรายจากคล่ืนแม่เหล็กไฟฟา้ ได้ (K)
2. นาเสนอการใช้ประโยชน์ในด้านตา่ ง ๆ และอนั ตรายจากคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟ้าในชีวติ ประจาวนั ได้ (P)
3. ตระหนกั ถึงประโยชนแ์ ละอันตรายจากคลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟ้าได้ (A)
4. สาระการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้ท้องถิ่น
พจิ ารณาตามหลกั สตู รของสถานศึกษา
สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง
- เลเซอร์เป็นคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่น
เดียว เป็นลาแสงขนานและมีความเข้มสูง
นาไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการ
ส่ือสารมีการใช้เลเซอร์สาหรับส่งสารนเทศผ่าน
เส้นใยนาแสง โดยอาศัยหลักการการสะท้อน
กลับหมดของแสง ดา้ นการแพทย์ใช้ในการผ่าตัด
- คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านอกจากจะสามารถนาไปใช้
ประโยชน์แล้ว ยังมีโทษต่อมนุษย์ด้วย เช่น
ถ้ามนุษย์ได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตมากเกินไป
อาจจะทาให้เกิดมะเร็งผิวหนัง หรือถ้าได้รังสี
แกมมาซึ่งเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าท่ีมีพลังงานสูง
84
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 คลืน่ สาระการเรียนรู้ทอ้ งถนิ่
แผนฯ ที่ 3 ประโยชน์ของคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้
สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง
แ ล ะ ส า ม า ร ถ ท ะ ลุ ผ่ า น เ ซ ล ล์ แ ล ะ อ วั ย ว ะ ไ ด้
อาจทาลายเน้ือเยื่อหรืออาจทาให้เสียชีวิตได้
เม่ือได้รบั รังสแี กมมาในปริมาณสงู
5. สาระสาคัญ/ความคดิ รวบยอด
คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้านาไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น คล่ืนไมโครเวฟนามาใช้ในการส่ือสารผ่าน
ดาวเทียม ใช้ในการรักษาโรคด้วยความร้อน ด้านการแพทย์มีการนาเลเซอร์มาใช้ผ่าตัดหรือรักษาอาการ
ผิดปกติท่ีบริเวณตา ด้านอุตสาหกรรม ใช้เลเซอร์ในการเชื่อมโลหะเข้าด้วยกัน นอกจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
จะนามาใช้ประโยชนแ์ ล้ว ยังมีโทษตอ่ มนุษย์ด้วย เชน่ คลนื่ จากโทรศัพทม์ อื ถอื ส่งผลตอ่ การทางานของสมอง
เกิดการอักเสบของสมอง รังสีเอกซ์และรังสีแกมมา เม่ือร่างกายได้รับรังสีเข้าไปอาจทาเซลล์เส่ือมสภาพ
ส่งผลให้อวยั วะตา่ ง ๆ ทางานไม่มีประสิทธภิ าพหรอื ไม่สามารถทางานได้
6. สมรรถนะสาคัญของผ้เู รียน
1. ความสามารถในการส่ือสาร
2. ความสามารถในการคิด
1) ทกั ษะการสงั เกต
2) ทักษะการวเิ คราะห์
3) ทกั ษะการนาความรู้ไปใช้
4) ทกั ษะการจดั กระทาและส่ือความหมายข้อมลู
5) ทักษะการตีความหมายข้อมลู และลงข้อสรปุ
3. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
7. คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
1. มวี นิ ยั
2. ใฝ่เรยี นรู้
3. มุ่งมน่ั ในการทางาน
8. คาถามสาคัญ
1. คล่นื วิทยคุ ืออะไร
2. คลน่ื ไมโครเวฟและรงั สีอนิ ฟราเรดมปี ระโยชนอ์ ย่างไร
3. แสงท่ตี าของมนุษยม์ องเห็นได้อยูใ่ นช่วงความยาวคลน่ื เท่าใด
85
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 2 คลนื่
แผนฯ ที่ 3 ประโยชน์ของคล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้
9. กิจกรรมการเรียนรู้
วิธีการสอนโดยเนน้ รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model)
ชัว่ โมงท่ี 1
ขั้นนา
ขน้ั ที่ 1 กระตุน้ ความสนใจ (Engage)
1. ครทู บทวนความรูเ้ ดมิ ของนกั เรียนเกย่ี วกบั คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟา้ และสเปกตรมั คล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า
2. ครเู ปิดภาพยนตรส์ ารคดีสั้น Twig เร่อื ง คล่นื วิทยุ ใหน้ กั เรียนดู เม่ือนักเรียนดูจบครูต้งั ประเดน็ คาถาม
กระตนุ้ ความสนใจนักเรียน โดยให้นักเรียนร่วมกนั อภปิ รายแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ ดงั น้ี
• สนามแมเ่ หลก็ ท่เี ป็นสว่ นหน่ึงของคล่ืนวิทยุมที ศิ ทางการเคล่ือนที่อย่างไร
(แนวตอบ : คาตอบขึน้ อยูก่ บั ดุลยพินิจของครูผู้สอน เชน่ คล่นื วทิ ยุเป็นคลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟ้าประเภท
หนงึ่ ประกอบด้วยสนามแม่เหล็ก และสนามไฟฟา้ โดยสนามแม่เหลก็ สนามไฟฟ้า และทศิ ทางการ
เคลอ่ื นท่ีของคล่นื วทิ ยมุ ีทิศทางตั้งฉากซึ่งกนั และกนั )
• การส่งสัญญาณของคล่ืนวทิ ยุมีก่รี ะบบ อะไรบ้าง
(แนวตอบ : คาตอบขึ้นอยู่กับดุลยพนิ จิ ของครผู ู้สอน เช่น มี 2 ระบบ คอื เอเอม็ และเอฟเอม็ )
3. ครูต้งั ประเด็นคาถามเพ่ิมเตมิ ว่า “นอกจากคลน่ื วทิ ยแุ ล้ว ยงั มคี ล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าชนดิ อืน่ ๆ หรือไม่
และคล่นื แม่เหลก็ ไฟฟา้ ชนดิ น้นั นาไปใชป้ ระโยชนใ์ นชีวิตประจาวนั ไดอ้ ย่างไร” โดยให้นกั เรยี นแตล่ ะคน
เขยี นบนั ทกึ คาตอบของตนเองลงในสมดุ ประจาตัวนกั เรียน
ขนั้ สอน
ขัน้ ท่ี 2 สารวจค้นหา (Explore)
1. นกั เรยี นแบง่ กลุม่ กลุ่มละ 7 คน ตามความสมัครใจ จากนั้นให้นกั เรยี นแต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษาคน้ คว้า
ข้อมูลเก่ียวกับประโยชนข์ องคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟ้า จากหนังสือเรียนรายวชิ าพ้ืนฐาน (ชดุ สมั ฤทธิ์
มาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2 หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 6 คลน่ื หรือแหลง่ การเรยี นรู้ต่าง ๆ เชน่
อินเทอรเ์ นต็ ห้องสมุด โดยให้สมาชิกภายในกลุม่ แบ่งหน้าท่กี ันศึกษาคนละ 1 เร่ือง ซ่ึงหวั ขอ้ มดี ังน้ี
• คนที่ 1 ศกึ ษาคลน่ื วิทยุ
• คนที่ 2 ศึกษาคลื่นไมโครเวฟ
• คนท่ี 3 ศึกษารังสอี ินฟราเรด
• คนท่ี 4 ศึกษาแสงท่ีมองเห็นได้
• คนที่ 5 ศกึ ษารงั สอี ัลตราไวโอเลต
86
หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 2 คลน่ื
แผนฯ ท่ี 3 ประโยชนข์ องคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้
• คนที่ 6 ศึกษารงั สเี อกซ์
• คนที่ 7 ศกึ ษารังสแี กมมา
2. สมาชิกภายในกลุ่มนาเรื่องทตี่ นเองศกึ ษาคน้ คว้ามาอธิบายใหเ้ พื่อนในกลุ่มฟัง จากนนั้ ร่วมกนั เขียนสรุป
ความรู้ที่ไดล้ งในกระดาษฟลิปชาร์ททค่ี รแู จกให้นกั เรียนแตล่ ะกลุ่ม
ชั่วโมงที่ 2
ขนั้ ที่ 3 อธิบายความรู้ (Explain)
3. นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานาเสนอผลจาการศกึ ษาหนา้ ชนั้ เรยี น ในระหวา่ งทน่ี ักเรยี นนาเสนอ
ครคู อยให้ขอ้ เสนอแนะเพิ่มเตมิ เพอ่ื ให้นักเรยี นมคี วามเข้าใจที่ถูกต้อง
4. ครูแจกกระดานไวท์บอรด์ ขนาดเล็กใหแ้ ต่ละกลมุ่ จากนั้นครถู ามคาถามให้นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่
แข่งขนั กนั ตอบคาถามกลมุ่ ไหนตอบคาถามไดถ้ ูกต้องและเร็วทส่ี ดุ ได้ 1 คะแนน โดยใช้คาถามดงั น้ี
• เรดาร์มหี ลักการทางานอยา่ งไร
(แนวตอบ : ระบบเรดาร์มเี ครอ่ื งสง่ สญั ญาณที่ปลอ่ ยคล่นื วิทยทุ ่ีเรยี กว่า สญั ญาณเรดารอ์ อกมาใน
ทิศทางท่กี าหนดไว้ เมื่อส่ิงเหล่านส้ี มั ผสั กับวัตถุจะสะท้อนกลบั หรือกระจายอยใู่ นหลาย ๆ ทิศทาง)
• แสงท่มี องเห็นไดห้ รือแสงขาวแยกได้ก่สี ี อะไรบา้ ง
(แนวตอบ : มี 7 สี ได้แก่ ม่วง คราม น้าเงนิ เขยี ว เหลอื ง ส้ม และแดง)
• สมบัติของรังสีแกมมามีอะไรบา้ ง
(แนวตอบ : เช่น รังสแี กมมาเปน็ คลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟ้าท่ีมีความยาวคล่ืนสนั้ สดุ มีอานาจทะลทุ ะลวงสงู
เนือ่ งจากมคี วามถ่ีและพลังงาน)
• ถา้ ความยาวคลื่นของคล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟา้ มีขนาดประมาณลกู ทเุ รยี น แสดงวา่ เป็นคล่นื แม่เหล็กไฟฟ้า
ประเภทใด
(แนวตอบ : คล่ืนไมโครเวฟ)
ขนั้ ที่ 4 ขยายความเข้าใจ (Elaborate)
5. นักเรยี นทาใบงานที่ 6.3.1 เรือ่ ง ประโยชน์ของคลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ จากน้นั ครูสุ่มนักเรยี น 2-3 คน
ออกมานาเสนอคาตอบของตนเองหนา้ ช้นั เรียน แลว้ ใหน้ กั เรียนท่ีอยู่ในช้นั เรียนรว่ มกันพจิ ารณาวา่
คาตอบถกู ต้องหรือไม่ แล้วครเู ฉลยคาตอบทีถ่ ูกตอ้ งใหน้ ักเรยี น
6. นักเรียนแต่ละคน Exercise 2.1 เรื่อง คลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า จากหนังสอื เรยี นรายวิชาพื้นฐาน
(ชดุ สมั ฤทธ์ิมาตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 2 หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 6 คลน่ื
7. นกั เรยี นร่วมกนั สรุปเนอื้ หาสาระสาคญั ของหนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 6 คลนื่
87
หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 2 คล่นื
แผนฯ ที่ 3 ประโยชนข์ องคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟ้า
8. นักเรียนแต่ละคนทากจิ กรรม Thinking Skills Activity จากหนงั สือเรยี นรายวชิ าพ้ืนฐาน
(ชดุ สมั ฤทธิ์มาตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 2 หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 6 คลน่ื โดยพิจารณาบทความท่ี
กาหนดให้ แล้วตอบคาถามให้ถูกต้อง
ขนั้ สรุป
ขน้ั ท่ี 5 ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. นักเรียนและครรู ่วมกนั สรุปความรูเ้ กี่ยวกบั ประโยชนข์ องคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้า โดยมแี นวการสรปุ ดงั น้ี
“คล่นื แมเ่ หล็กไฟฟ้านาไปใช้ประโยชนใ์ นด้านต่าง ๆ เช่น คลื่นไมโครเวฟนามาใชใ้ นการสอ่ื สารผ่าน
ดาวเทยี ม ใชใ้ นการรกั ษาโรคดว้ ยความร้อน ดา้ นการแพทย์มกี ารนาเลเซอร์มาใชผ้ ่าตดั หรือรักษาอาการ
ผิดปกติท่บี ริเวณตา ด้านอุตสาหกรรม ใชเ้ ลเซอรใ์ นการเช่ือมโลหะเข้าด้วยกนั นอกจากคล่นื แม่เหลก็
ไฟฟ้าจะนามาใชป้ ระโยชนแ์ ล้ว ยังมโี ทษตอ่ มนุษย์ด้วย เชน่ คลืน่ จากโทรศัพทม์ ือถือสง่ ผลต่อการทางาน
ของสมอง เกดิ การอักเสบของสมอง รงั สเี อกซ์และรงั สีแกมมา เม่อื ร่างกายได้รบั รังสเี ข้าไปอาจทาเซลล์
เสอ่ื มสภาพส่งผลให้อวัยวะต่าง ๆ ทางานไมม่ ีประสทิ ธิภาพหรอื ไม่สามารถทางานได้”
2. ครูมอบหมายให้นกั เรียนทาชน้ิ งาน/ภาระงาน (รวบยอด) ป้ายนิเทศ เรื่อง คลื่นกลและ
คลื่นแม่เหลก็ ไฟฟา้ โดยใหน้ ักเรยี นแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5-6 คน ตามความสมคั รใจ จากน้ันระดม
ความคดิ เห็นร่วมกนั เพ่ือจดั ทาป้ายนิเทศ เร่ือง คลื่นกลและคล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ตามหวั ข้อ ดงั น้ี
1. คลน่ื กล
2. คลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้า
3. สเปกตรัมคลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟา้
4. ประโยชนข์ องคล่นื แม่เหล็กไฟฟา้
3. นกั เรยี นทาแบบทดสอบหลังเรยี นหน่วยการเรียนรู้ท่ี 6 คลน่ื และแบบทดสอบพัฒนาผู้เรียน
เพอ่ื วัดความรู้ทน่ี กั เรียนได้รับ หลงั จากผ่านการเรียนรปู้ ระจาหนว่ ย
4. ครูประเมนิ ผล โดยการสงั เกตพฤติกรรมการตอบคาถาม พฤติกรรมการทางานรายบุคคล
และพฤตกิ รรมการทางานกลุ่ม
5. ครตู รวจสอบผลการทาใบงานที่ 6.3.1 เรือ่ ง ประโยชน์ของคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า
6. ครตู รวจสอบผลการทา Exercise 2.1 เร่อื ง คล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ จากหนงั สือเรยี นรายวิชาพนื้ ฐาน
(ชดุ สมั ฤทธ์ิมาตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 2 หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 6 คล่นื กล
7. ครตู รวจสอบผลการทากิจกรรม Thinking Skills Activity
8. ครตู รวจสอบความถูกตอ้ งจากการทาแบบทดสอบหลังเรียน และแบบทดสอบพัฒนาผ้เู รยี น
9. ครูตรวจสอบการทาช้นิ งาน/ภาระงาน (รวบยอด) ป้ายนิเทศ เร่อื ง คลื่นกลและคลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟ้า
88
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 2 คล่ืน
แผนฯ ท่ี 3 ประโยชน์ของคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า
10. การวัดและประเมนิ ผล วธิ กี าร เครือ่ งมอื เกณฑ์การประเมิน
รายการวดั - ตรวจใบงานที่ 6.3.1 - ใบงานที่ 6.3.1 - ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
10.1 การประเมินระหวา่ ง - ตรวจ Exercise 2.1 - Exercise 2.1 - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
- สังเกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดับคณุ ภาพ 2
การจัดกิจกรรม การทางานรายบุคคล การทางานรายบุคคล ผา่ นเกณฑ์
1) ประโยชน์ของ - สังเกตพฤติกรรม - แบบสงั เกตพฤติกรรม - ระดับคณุ ภาพ 2
การทางานกลุ่ม การทางานกลุ่ม ผา่ นเกณฑ์
คลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟ้า - ประเมินการนาเสนอ - แบบประเมนิ - ระดบั คณุ ภาพ 2
2) พฤตกิ รรมการทางาน ผลงาน การนาเสนอผลงาน ผ่านเกณฑ์
- สังเกตความมวี ินัย - แบบประเมิน - ระดับคุณภาพ 2
รายบุคคล ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมนั่ คณุ ลกั ษณะ ผ่านเกณฑ์
3) พฤตกิ รรมการทางาน ในการทางาน อนั พงึ ประสงค์
กลมุ่ - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบหลงั เรยี น - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
4) การนาเสนอผลงาน หลงั เรียน
- แบบประเมนิ ชิน้ งาน/ - ระดับคณุ ภาพ 2
5) คุณลักษณะอนั พงึ - ตรวจช้นิ งาน/ ภาระงาน (รวบยอด) ผา่ นเกณฑ์
ประสงค์ ภาระงาน (รวบยอด)
10.2 การประเมนิ หลังเรียน
1) แบบทดสอบหลังเรยี น
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 6
คล่ืน
2) การประเมนิ ชนิ้ งาน/
ภาระงาน (รวบยอด)
ปา้ ยนิเทศ
เร่ือง คลื่นกลและ
คล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า
89
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 2 คลืน่
แผนฯ ท่ี 3 ประโยชน์ของคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า
11. สอ่ื /แหลง่ การเรียนรู้
11.1 สือ่ การเรยี นรู้
1) หนังสอื เรียนรายวชิ าพ้ืนฐาน (ชุด สมั ฤทธ์มิ าตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 2
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 6 คลนื่
2) ใบงานที่ 6.3.1 ประโยชน์ของคล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟา้
3) กระดาษฟลปิ ชารท์
4) กระดานไวท์บอร์ดขนาดเลก็
5) สมดุ ประจาตัวนักเรียน
6) ภาพยนตร์สารคดีสนั้ Twig เรื่อง คล่ืนวิทยุ
ทีม่ า https://www.twig-aksorn.com/film/glossary/radio-waves-6878/
11.2 แหลง่ การเรยี นรู้
1) หอ้ งเรียน
2) ห้องสมดุ
3) อนิ เทอร์เนต็
90
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 2 คล่นื
แผนฯ ท่ี 3 ประโยชนข์ องคล่นื แม่เหล็กไฟฟ้า
ใบงานที่ 6.3.1
เรื่อง ประโยชน์ของคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้
คาช้แี จง : ตอบคาถามต่อไปนี้ใหถ้ ูกต้อง
1. การผสมสัญญาณเสียงกับคล่นื วิทยใุ นระบบเอเอม็ และเอฟเอ็มแตกตา่ งกันอย่างไร
............................................................................................................................. ...........................................
............................................................................................................................................... .........................
.......................................................................................................... ..............................................................
2. คลื่นวิทยุแตกต่างจากคล่นื แสงอยา่ งไร
............................................................................................................................. ...........................................
............................................................................................................................. ...........................................
3. เรียงลาดบั ความถี่คลื่นมากไปหาความถี่คล่ืนน้อย
..................................................................................................................................................... ...................
................................................................................................................ ........................................................
4. เรยี งลาดับความยาวคลื่นน้อยไปหาความยาวคล่นื มาก
............................................................................................................................. ...........................................
............................................................................................................................. ...........................................
นาตัวอักษรหนา้ สเปกตรมั คลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟ้าเติมลงหนา้ ข้อความทสี่ มั พนั ธก์ ัน
ก. คลน่ื วทิ ยุ ข. คลนื่ ไมโครเวฟ ค. รงั สีอนิ ฟราเรด
ง. แสงทม่ี องเหน็ ได้ จ. รงั สีอัลตราไวโอเลต ฉ. รงั สีเอกซ์
ช. รงั สีแกมมา
................. 5. การผ่าตัดตาด้วยแสงเลเซอร์
................. 6. ดาวเทียมส่อื สารสัญญาณโทรศัพท์
................. 7. คล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ ที่เรารับได้ด้วยการสัมผัส
................. 8. ใช้ในการตรวจหาอาวธุ ปนื หรือวัตถุระเบิดในกระเปา๋ เดินทาง
................. 9. การเชอื่ มโลหะดว้ ยไฟฟา้ สามารถทาให้เกดิ คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้า
................. 10. คลนื่ แม่เหล็กไฟฟา้ ท่นี ิยมใช้ในรีโมตควบคุมการทางานของโทรทศั น์
................. 11. สง่ ลงมาจากดวงอาทิตยห์ ากมนุษยไ์ ดร้ บั มากเกนิ ไปอาจเป็นมะเร็งผิวหนงั ได้
................. 12. สามารถเดินทางถึงเครอื่ งรับวิทยดุ ้วยคลน่ื ดิน (ground wave) และคล่ืนฟา้ (sky wave)
91
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 2 คลน่ื เฉลย
แผนฯ ที่ 3 ประโยชนข์ องคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟา้
ใบงานที่ 6.3.1
เร่ือง ประโยชน์ของคล่ืนแม่เหล็กไฟฟา้
คาช้ีแจง : ตอบคาถามต่อไปนใี้ หถ้ กู ต้อง
1. การผสมสญั ญาณเสียงกับคลนื่ วทิ ยใุ นระบบเอเอ็มและเอฟเอ็มแตกต่างกนั อยา่ งไร
..ก..า..ร..ส..่ง..ค...ล..ื่น...ว..ิท...ย..ุใ..น..ร..ะ...บ..บ...เ.อ...เ.อ..็.ม..เ.ป...็น...ก..า..ร..ผ...ส..ม...ส..ัญ...ญ....า..ณ...เ.ส...ีย..ง..ก..ับ...ค...ล..่ืน...พ..า..ห...ะ....ท...า..ใ.ห. .้แ...อ..ม...พ..ล...ิจ..ูด...ข..อ..ง..ค...ล..่ืน...พ...า..ห...ะ..
..เ.ป...ล..ี่ย..น...ต..า..ม...ค..ล...่ืน...เ.ส..ีย...ง...ส..่ว..น...ค...ว..า..ม..ถ...่ีข..อ..ง..ค...ล..่ืน...พ..า..ห...ะ..ไ..ม..่เ..ป..ล...่ีย..น....แ...ล..ะ..ก...า..ร..ส..่ง..ค..ล...ื่น...ว..ิท. .ย..ุใ..น..ร..ะ...บ..บ...เ.อ...ฟ..เ..อ..็ม...เ.ป...็น..ก...า..ร..
..ผ..ส...ม..ส..ั.ญ...ญ...า..ณ....เ.ส..ีย...ง..ก..ับ...ค..ล...่ืน...พ...า..ห..ะ...ท..า..ใ..ห...้ค..ว..า..ม...ถ..ี่ข...อ..ง..ค...ล..่ืน...พ...า..ห...ะ..เ.ป...ล..่ีย...น...ต..า..ม...ค..ล...ื่น..เ..ส..ีย...ง...ส...่ว..น...แ..อ...ม..พ...ล...ิจ..ูด...ข..อ...ง.
..ค..ล..นื่...พ...า..ห..ะ...ไ.ม...่เ.ป..ล...ี่ย..น...แ..ป...ล..ง.................................................................................... ...........................................
2. คลน่ื วิทยุแตกตา่ งจากคลืน่ แสงอยา่ งไร
.ค..ล..นื่...ว..ิท...ย..มุ...คี ..ว..า..ม..ถ...ต่ี ..่า..ก...ว..่า..ค..ล..นื่...แ..ส...ง....................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
3. เรยี งลาดบั สเปกตมั คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟา้ จากความถ่ตี า่ ไปความถี่สงู
.ค..ล..น่ื...ว..ิท...ย..ุ.ค...ล..นื่...ไ.ม...โ.ค...ร..เ.ว..ฟ....ร..ัง..ส..อี...นิ ..ฟ...ร..า..เ.ร..ด....แ..ส...ง.ท...ี่ม...อ..ง..เ.ห...น็ ..ไ..ด..้..ร..งั .ส...ีอ..ลั...ต..ร..า..ไ.ว...โ.อ..เ..ล..ต....ร..งั ..ส..เี .อ..ก..ซ...์ .แ..ล...ะ..ร..งั..ส..แี...ก..ม..ม...า....
............................................................................................... .........................................................................
4. เรียงลาดับสเปกตรัมคลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟา้ จากความยาวคลื่นสน้ั ไปความยาวคลนื่ ยาว
..ร..งั .ส...ีแ..ก..ม...ม..า....ร..ัง..ส..เี.อ...ก..ซ..์..ร..ัง.ส...อี..ัล...ต..ร..า..ไ.ว...โ.อ..เ..ล..ต....แ..ส...ง.ท...ี่ม...อ..ง..เ.ห...็น..ไ..ด..้..ร..ัง.ส...อี ..นิ...ฟ..ร..า..เ..ร..ด...ค...ล..่ืน..ไ..ม..โ..ค..ร..เ.ว..ฟ.....แ..ล..ะ..ค...ล..่ืน...ว..ิท...ย..ุ.
........................................................................................................................................... .............................
นาตวั อกั ษรหนา้ สเปกตรัมคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ เติมลงหน้าข้อความที่สัมพันธก์ ัน
ก. คลื่นวิทยุ ข. คล่ืนไมโครเวฟ ค. รังสีอนิ ฟราเรด
ง. แสงทม่ี องเห็นได้ จ. รงั สีอลั ตราไวโอเลต ฉ. รังสีเอกซ์
ช. รังสแี กมมา
........ง.......... 5. การผ่าตัดตาด้วยแสงเลเซอร์
........ข......... 6. ดาวเทยี มสื่อสารสัญญาณโทรศัพท์
........ค......... 7. คล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ท่เี รารับได้ดว้ ยการสมั ผัส
........ฉ.......... 8. ใช้ในการตรวจหาอาวุธปืนหรือวตั ถุระเบิดในกระเป๋าเดนิ ทาง
........จ.......... 9. การเชือ่ มโลหะดว้ ยไฟฟ้าสามารถทาให้เกดิ คลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า
........ค.......... 10. คลนื่ แม่เหล็กไฟฟา้ ทน่ี ิยมใชใ้ นรีโมตควบคุมการทางานของโทรทัศน์
........จ......... 11. ส่งลงมาจากดวงอาทติ ยห์ ากมนุษยไ์ ด้รับมากเกนิ ไปอาจเป็นมะเรง็ ผวิ หนงั ได้
........ก......... 12. สามารถเดินทางถงึ เครอ่ื งรบั วิทยดุ ว้ ยคล่ืนดิน (ground wave) และคลื่นฟ้า (sky wave)
92
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 2 คลน่ื
แผนฯ ท่ี 3 ประโยชนข์ องคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้า
12. ความเห็นของผบู้ ริหารสถานศึกษาหรอื ผู้ท่ไี ดร้ ับมอบหมาย
ขอ้ เสนอแนะ
ลงชอื่ .................................
( ................................ )
ตาแหนง่ .......
13. บันทกึ ผลหลงั การสอน
ด้านความรู้
ดา้ นสมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน
ด้านคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์
ด้านความสามารถทางวทิ ยาศาสตร์
ดา้ นอื่น ๆ (พฤติกรรมเด่น หรือพฤตกิ รรมที่มปี ญั หาของนักเรียนเปน็ รายบคุ คล (ถ้ามี))
ปญั หา/อปุ สรรค
แนวทางการแก้ไข
93
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 2 คลน่ื
แผนฯ ท่ี 3 ประโยชน์ของคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้
แบบประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด)
แบบประเมินปา้ ยนิเทศ เรอื่ ง คล่ืนกลและคลืน่ แม่เหล็กไฟฟา้
คาชี้แจง ให้ผูส้ อนประเมนิ ชิน้ งาน/ภาระงาน แล้วขดี ✓ลงในชอ่ งทีต่ รงกับระดับคะแนน
ลาดบั ที่ รายการประเมิน ระดบั คะแนน 1
4 32
1 ความสอดคล้องกบั จดุ ประสงค์
2 ความถกู ตอ้ งของเนอ้ื หา
3 ความคดิ สร้างสรรค์
4 ความตรงต่อเวลา
รวม
ลงช่ือ ................................................... ผู้ประเมนิ
................./................../..................
94
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 คลืน่
แผนฯ ที่ 3 ประโยชนข์ องคลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้
เกณฑก์ ารประเมนิ ป้ายนิเทศ
ประเดน็ ทป่ี ระเมิน 4 ระดบั คะแนน 1
ผลงานสอดคลอ้ งกบั 32 ผลงานไม่สอดคล้องกับ
1. ความ จดุ ประสงค์ทุกประเดน็ ผลงานสอดคลอ้ งกบั ผลงานสอดคลอ้ งกับ จดุ ประสงค์
สอดคล้องกับ จดุ ประสงค์เปน็ สว่ น จุดประสงค์บางประเดน็
จุดประสงค์ เน้ือหาสาระของผลงาน ใหญ่ เน้ือหาสาระของผลงาน
ถกู ตอ้ งครบถ้วน เน้อื หาสาระของผลงาน เนอ้ื หาสาระของผลงาน ไม่ถูกตอ้ งเปน็ สว่ นใหญ่
2. ความถกู ต้อง ถูกตอ้ งเป็นส่วนใหญ่ ถูกตอ้ งบางประเดน็
ของเนอ้ื หา
3. ความคดิ ผลงานแสดงถึงความคดิ ผลงานแสดงถงึ ความคิด ผลงานมคี วามน่าสนใจ ผลงานไม่มีความ
สร้างสรรค์ นา่ สนใจ และไมแ่ สดง
สร้างสรรค์ แปลกใหม่ สร้างสรรค์ แปลกใหม่ แต่ยงั ไมม่ ีแนวคดิ แปลก ถงึ แนวคดิ แปลกใหม่
4. ความตรงต่อ
เวลา และเปน็ ระบบ แตย่ งั ไมเ่ ปน็ ระบบ ใหม่ สง่ ชน้ิ งานช้ากวา่ เวลาที่
กาหนด 3 วันขึ้นไป
สง่ ชิ้นงานภายในเวลาที่ สง่ ชิน้ งานช้ากว่าเวลาท่ี ส่งชน้ิ งานช้ากว่าเวลาที่
กาหนด กาหนด 1 วัน กาหนด 2 วนั
เกณฑก์ ารตดั สนิ คณุ ภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคณุ ภาพ
14-16 ดมี าก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ากวา่ 8 ปรบั ปรงุ
95
หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 2 คล่ืน
แผนฯ ท่ี 3 ประโยชนข์ องคลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟา้
แบบประเมนิ การปฏบิ ตั ิกจิ กรรม
คาชแ้ี จง : ใหผ้ ูส้ อนประเมินการปฏิบตั ิกิจกรรมของนักเรยี นตามรายการที่กาหนด แลว้ ขดี ✓ ลงในชอ่ งท่ตี รง
กับระดบั คะแนน
ลาดบั ท่ี รายการประเมิน 4 ระดับคะแนน 1
32
1 การปฏบิ ตั ิการทากิจกรรม
2 ความคลอ่ งแคล่วในขณะปฏิบัติกิจกรรม
3 การบนั ทกึ สรุปและนาเสนอผลการทากจิ กรรม
รวม
ลงชือ่ ................................................... ผ้ปู ระเมนิ
................./................../..................
96
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 คล่ืน
แผนฯ ที่ 3 ประโยชน์ของคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟา้
เกณฑ์การประเมินการปฏิบตั กิ ิจกรรม
ประเดน็ ท่ีประเมิน ระดบั คะแนน
1. การปฏิบัติ 432 1
กจิ กรรม ตอ้ งใหค้ วามชว่ ยเหลือ
ทากิจกรรมตามข้นั ตอน ทากิจกรรมตามขนั้ ตอน ตอ้ งใหค้ วามชว่ ยเหลอื อย่างมากในการทา
2. ความ และใช้อุปกรณไ์ ด้อย่าง และใชอ้ ุปกรณไ์ ด้อย่าง บ้างในการทากิจกรรม กิจกรรม และการใช้
คลอ่ งแคลว่ ถูกตอ้ ง ถกู ต้อง แตอ่ าจต้อง และการใช้อปุ กรณ์ อปุ กรณ์
ในขณะปฏิบตั ิ ไดร้ บั คาแนะนาบ้าง ทากจิ กรรมเสรจ็ ไม่
กิจกรรม มคี วามคล่องแคลว่ มีความคลอ่ งแคลว่ ขาดความคล่องแคลว่ ทันเวลา และทา
ในขณะทากจิ กรรมโดย ในขณะทากจิ กรรมแต่ ในขณะทากจิ กรรมจงึ อุปกรณ์เสียหาย
3. การบนั ทึก สรุป ไมต่ อ้ งได้รับคาช้ีแนะ ต้องไดร้ ับคาแนะนาบ้าง ทากจิ กรรมเสร็จไม่
และนาเสนอผล และทากจิ กรรมเสรจ็ และทากิจกรรมเสรจ็ ทันเวลา ต้องให้ความชว่ ยเหลือ
การปฏบิ ัติ ทนั เวลา ทันเวลา อย่างมากในการบนั ทึก
กจิ กรรม สรปุ และนาเสนอผล
บนั ทึกและสรปุ ผลการ บนั ทกึ และสรปุ ผลการ ตอ้ งใหค้ าแนะนาในการ การทากจิ กรรม
ทากจิ กรรมไดถ้ กู ตอ้ ง ทากิจกรรมไดถ้ ูกตอ้ ง บนั ทกึ สรุป และ
รัดกมุ นาเสนอผลการ แตก่ ารนาเสนอผลการ นาเสนอผลการทา
ทากิจกรรมเปน็ ขน้ั ตอน ทากจิ กรรมยงั ไมเ่ ปน็ กจิ กรรม
ชดั เจน ขน้ั ตอน
เกณฑก์ ารตดั สินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคณุ ภาพ
10-12 ดีมาก
7-9 ดี
4-6 พอใช้
0-3 ปรับปรงุ
97
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 2 คล่ืน
แผนฯ ท่ี 3 ประโยชนข์ องคล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้า
แบบประเมินการนาเสนอผลงาน
คาชแ้ี จง : ให้ผู้สอนสงั เกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ลงในช่องท่ี
ตรงกับระดบั คะแนน
ลาดบั ที่ รายการประเมนิ ระดบั คะแนน 1
32
1 ความถูกตอ้ งของเนื้อหา
2 ความคิดสรา้ งสรรค์
3 วิธีการนาเสนอผลงาน
4 การนาไปใช้ประโยชน์
5 การตรงต่อเวลา
รวม
ลงชอ่ื ................................................... ผ้ปู ระเมนิ
............/................./...................
เกณฑ์การใหค้ ะแนน ให้ 3 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกบั รายการประเมนิ สมบูรณ์ชัดเจน ให้ 2 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกบั รายการประเมนิ เปน็ ส่วนใหญ่ ให้ 1 คะแนน
ผลงานหรอื พฤติกรรมสอดคล้องกบั รายการประเมนิ บางส่วน
เกณฑก์ ารตดั สินคณุ ภาพ
ชว่ งคะแนน ระดบั คณุ ภาพ
14–15 ดมี าก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ตา่ กว่า 8 ปรบั ปรุง
98
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 2 คลื่น
แผนฯ ที่ 3 ประโยชน์ของคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า
แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรายบคุ คล
คาช้แี จง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤตกิ รรมของนกั เรยี นในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขดี ✓ลงในชอ่ งท่ี
ตรงกบั ระดบั คะแนน
ลาดับท่ี รายการประเมนิ ระดบั คะแนน 1
32
1 การแสดงความคดิ เห็น
2 การยอมรับฟงั ความคิดเห็นของผอู้ ่นื
3 การทางานตามหนา้ ท่ีท่ีไดร้ บั มอบหมาย
4 ความมีนา้ ใจ
5 การตรงต่อเวลา
รวม
เกณฑ์การใหค้ ะแนน ลงชอ่ื ................................................... ผ้ปู ระเมิน
ปฏบิ ัตหิ รอื แสดงพฤตกิ รรมอย่างสม่าเสมอ ............/.................../................
ปฏิบตั หิ รือแสดงพฤตกิ รรมบ่อยครั้ง
ปฏบิ ัตหิ รอื แสดงพฤติกรรมบางครง้ั ให้ 3 คะแนน
ให้ 2 คะแนน
ให้ 1 คะแนน
เกณฑก์ ารตดั สินคุณภาพ
ชว่ งคะแนน ระดับคุณภาพ
14–15 ดมี าก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรบั ปรุง
99