The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการสอนวิทยาศาสตร์ ม.3 เทอม 1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by yameen, 2022-05-14 03:31:08

แผนการสอนวิทยาศาสตร์ ม.3 เทอม 1

แผนการสอนวิทยาศาสตร์ ม.3 เทอม 1

หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 3 แสงและการมองเห็น
แผนฯ ท่ี 6 ทศั นอุปกรณ์

แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 6

กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์
ระดับชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3

เร่อื ง ทศั นอปุ กรณ์ เวลา 2 ชั่วโมง

1. มาตรฐานการเรียนรู้

ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์
ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่
เกย่ี วข้องกับเสยี ง แสง และคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟา้ รวมทั้งนาความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์

2. ตัวช้วี ดั

ว 3.1 ม.3/17 อธบิ ายปรากฏการณ์ที่เก่ยี วกับแสง และการทางานของทศั นอปุ กรณจ์ ากข้อมูลทร่ี วบรวม
ได้

ว 3.1 ม.3/18 เขียนแผนภาพจากการเคลอื่ นท่ขี องแสง แสดงการเกดิ ภาพของทัศนอุปกรณแ์ ละเลนสต์ า

3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้

1. อธิบายความหมายของทศั นอุปกรณ์แต่ละประเภทได้ (K)
2. บอกลกั ษณะและหลกั การทางานเบ้ืองตน้ ของทัศนอปุ กรณ์แต่ละประเภทได้ (P)
5. ตระหนักถึงคณุ ค่าของของทศั นอปุ กรณ์แตล่ ะประเภท (A)

4. สาระการเรยี นรู้ สาระการเรียนรทู้ อ้ งถิน่
พจิ ารณาตามหลักสูตรของสถานศกึ ษา
สาระการเรียนรู้แกนกลาง

- การสะท้อนและการหักเหของแสงนาไปใช้
อธิบายปรากฏการณท์ ี่เก่ยี วกับแสง เชน่ ร้งุ มิราจ
และอธบิ ายการทางานของทัศนอุปกรณเ์ ช่น แว่น
ขยาย กระจกโค้งจราจร กล้องโทรทรรศน์

150

หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 3 แสงและการมองเหน็
แผนฯ ที่ 6 ทศั นอปุ กรณ์

5. สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอด

ทัศนอุปกรณ์ เป็นอุปกรณ์ที่สร้างขึ้นมาใช้งาน โดยอาศัยความรู้เร่ืองหลักการทางแสง และอาศัย
ความรู้เกี่ยวกับการเกิดภาพจากอุปกรณ์พ้ืนฐาน เช่น เลนส์ กระจกเงาราบ กระจกเงาเว้า ตัวอย่างของทัศน
อุปกรณ์ เช่น แวน่ ขยาย แว่นตา

6. สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน

1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด

1) ทักษะการนาความรู้ไปใช้
2) ทักษะการสังเกต
3) ทกั ษะการลงความเหน็ จากข้อมลู
4) ทักษะการตีความหมายข้อมลู และลงข้อสรุป
3. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

7. คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์

1. มวี ินัย
2. ใฝ่เรยี นรู้
3. มุ่งมั่นในการทางาน

8. คาถามสาคญั

1. หลักการใดของแสงที่นามาใช้ในเรือ่ งทัศนอุปกรณ์
2. จงยกตัวอยา่ งทัศนอปุ กรณ์ที่พบเห็นในชวี ิตประจาวัน

9. กิจกรรมการเรียนรู้

 วธิ ีการสอนโดยเนน้ รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model)

ชวั่ โมงที่ 1
ขั้นนา

ขน้ั ที่ 1 กระต้นุ ความสนใจ (Engage)
1. ครตู ั้งคาถามกระตุน้ ความสนใจของนกั เรยี น โดยมีแนวคาถาม ดังนี้

151

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 3 แสงและการมองเห็น
แผนฯ ที่ 6 ทศั นอุปกรณ์

• นกั เรยี นรจู้ กั ส่ิงของอะไรบ้างทใ่ี ช้หลักการของแสงในการทางาน
(แนวตอบ: พิจารณาจากคาตอบของนักเรียน เช่น กลอ้ งจุลทรรศนท์ ีป่ ระกอบดว้ ยเลนสน์ นู จานวน
2 อัน คือเลนส์ใกลต้ าและเลนส์ใกลว้ ตั ถุ เป้นต้น)

3. ครูเชื่อมโยงไปส่กู ารจดั การเรยี นรู้ เรอื่ ง ทัศนอปุ กรณ์

ขัน้ สอน

ข้ันท่ี 2 สารวจค้นหา (Explore)
26. ครูอธิบายต่อว่า “ทัศนอุปกรณ์คือเคร่ืองมือทางแสงหลายชนิดท่ีช่วยในการเห็นของนัยน์ตา โดยใช้

กระจกและเลนสป์ ระกอบ เชน่ กลอ้ งจลุ ทรรศน์ช่วยให้เรา เห็นรายละเอยี ดของของเลก็ ๆ ได้มากกวา่
ใชเ้ พียงนยั น์ตา กลอ้ ง โทรทรรศนช์ ว่ ยใหเ้ หน็ วตั ถุท่อี ยไู่ กล ๆ ได้ชดั เจน”
27. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3-5 คน เพื่อศึกษาค้นคว้าข้อมูล เร่ือง ทัศนอุปกรณ์ จากหนังสือเรียน
รายวิชาพื้นฐาน (ชุดสัมฤทธิ์มาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 แสงและ
การมองเหน็ หรือจากแหล่งการเรียนรูต้ า่ ง ๆ เชน่ อนิ เทอรเ์ นต็
28. นักเรียนและครูร่วมอภิปรายเก่ียวกับผลการสืบค้น ดังนี้ “ปัจจุบันได้มีการนาเอาความรู้เร่ืองการ
สะท้อนและการหักเหของแสงมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวันอย่างมากมาย ก่อให้เกิดการพัฒนา
ระบบเทคโนโลยเี พอ่ื อานวยความสะดวกสบายในหลาย ๆ ดา้ น”

ขั้นท่ี 3 อธิบายความรู้ (Explain)
29. ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวอย่างของทัศนอุปกรณ์ (กล้องโทรทรรศน์) ดังนี้ “กล้องโทรทัศน์
ประกอบด้วยเลนส์ 2 ชนิด คือ เลนส์ใกล้วัตถุท่ีทาจากเลนส์นูน มีความยาวโฟกัสมาก และเลนส์ใกล้
ตาทีทาจากเลนส์นูน มีความโฟกัสส้ัน โดยหลักการทางานของกล้องโทรทัศน์คือวางเลนส์ใกล้ตาโดย
ให้ภาพจากเลนส์ใกล้วัตถุ อยู่ระหว่างจุดโฟกัสของเลนส์ใกล้ตากับเลนส์ตา เพ่ือให้เกิดภาพเสมือน
ขนาดขยาย หวั กลับ เม่ือเทยี บกลบั วัตถุจริง”
30. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มสืบค้นข้อมูลเก่ียวกับทัศนอุปกรณ์ประเภทอื่น ๆ จากหนังสือเรียนรายวิชา
พ้ืนฐาน (ชุดสัมฤทธ์ิมาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 7 แสงและการมองเห็น
หรือจากแหลง่ การเรยี นรตู้ า่ ง ๆ เชน่ อนิ เทอรเ์ น็ต

ชวั่ โมงที่ 2

ข้นั ที่ 2 สารวจคน้ หา (Explore)

31.ให้ตวั แทนนักเรยี นแต่ละกลมุ่ ออกมาจับสลากหัวข้อทศั นอปุ กรณ์ โดยมหี วั ข้อ ดังนี้

- แว่นขยาย - กล้องจุลทรรศน์

- กล้องถา่ ยรูป - เครื่องฉายภาพนิ่ง

152

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 3 แสงและการมองเหน็
แผนฯ ที่ 6 ทัศนอปุ กรณ์

- เคร่ืองฉายภาพชนิด LCD Projector - กลอ้ งโทรทรรศน์

- กระจก - แวน่ ตา

32. จากนั้นให้นักเรียนแต่ละกลุ่มลงมือทาแผนผังมโนทัศน์ตามหัวข้อที่แต่ละกลุ่มจับได้โดยครู

กาหนดเวลาให้นักเรยี นกลุ่มละ 15-20 นาที โดยให้แตล่ ะกล่มุ เตรยี มสง่ ตัวแทนออกมานาเสนอท่ีหน้า

ชน้ั เรียน

ข้นั ที่ 3 อธิบายความรู้ (Explain)
33. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานาเสนอแผนผังมโนทัศน์ตามหัวข้อที่แต่ละกลุ่มได้รับมอบหมาย ท่ีหน้า
ชั้นเรียนจนครบทกุ กล่มุ
34. นักเรยี นและครูรว่ มกนั อธิบายวา่ “ทศั นอุปกรณ์ทกุ ชนิด ช่วยในการมองเห็นของนัยน์ตาโดยใช้กระจก
และเลนสป์ ระกอบข้นึ ”

ขั้นท่ี 4 ขยายความเข้าใจ (Elaborate)
35. ให้นักเรียนทา Exercise 4.1 จากหนังสือเรียนรายวชิ าพ้ืนฐาน (ชุดสัมฤทธ์ิมาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.
3 เล่ม 2 หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 7 แสงและการมองเห็น

ขน้ั สรปุ

ข้ันที่ 5 ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. ครตู ้ังคาถามเพื่อทดสอบความเขา้ ใจของนักเรียน โดยมีแนวคาถาม ดังน้ี
• กล้องจุลทรรศนใ์ ช้หลกั การใดของแสงในการทางาน
(แนวตอบ: ใช้หลกั การหกั เหของแสงท่ผี า่ นเลนส์นนู 2 อัน คือเลนสใ์ กล้วัตถแุ ละเลนสต์ า)
• การนากระจกมาประยกุ ต์ใช้ประโยชน์ในดา้ นตา่ ง ๆ นนั้ เป็นการนาความรู้ดา้ นใดมาใช้
(แนวตอบ: เป็นการนาความรู้เร่ืองการสะท้อนแสง เช่นกระจกเงาเว้าท่ีทาให้เห็นภาพเสมือนขนาด
ใหญ่กวา่ วตั ถุจริงท่อี ยู่หลังกระจก จงึ นิยมนามาใชเ้ ป็นสว่ นประกอบของอุปกรณต์ า่ ง ๆ)
2. ครปู ระเมนิ ผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการตอบคาถาม พฤติกรรมการทางานรายบุคคล พฤติกรรม
การทางานกล่มุ
3. ครูตรวจ Exercise 4.1 จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน (ชุดสัมฤทธิ์มาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3
เล่ม 2 หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 7 แสงและการมองเหน็

153

หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 3 แสงและการมองเห็น
แผนฯ ที่ 6 ทัศนอุปกรณ์

10. การวัดและประเมินผล วิธกี าร เครื่องมอื เกณฑ์การประเมนิ

รายการวัด - Exercise 4.1 - Exercise 4.1 - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
10.1 การประเมินระหว่าง - สังเกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤตกิ รรม - ระดับคุณภาพ 2
การทางานรายบุคคล การทางานรายบุคคล ผา่ นเกณฑ์
การจดั กิจกรรม - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสงั เกตพฤติกรรม - ระดบั คุณภาพ 2
1) ทัศนอปุ กรณ์ การทางานกลุ่ม การทางานกลุ่ม ผา่ นเกณฑ์
2) พฤติกรรมการทางาน - ประเมนิ การนาเสนอ - แบบประเมนิ - ระดับคุณภาพ 2
ผลงาน การนาเสนอผลงาน ผ่านเกณฑ์
รายบุคคล - สังเกตความมีวินยั - แบบประเมนิ - ระดบั คุณภาพ 2
3) พฤติกรรมการทางาน ใฝ่เรยี นรู้ และมุง่ ม่ัน คุณลักษณะ ผ่านเกณฑ์
ในการทางาน อนั พึงประสงค์
กลุ่ม
4) การนาเสนอผลงาน

5) คุณลักษณะอันพึง
ประสงค์

11. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้

11.1 ส่ือการเรียนรู้
1) หนงั สือเรียนรายวชิ าพน้ื ฐาน (ชุดสัมฤทธิ์มาตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2 หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 7
แสงและการมองเห็น
2) สลากหัวข้อทัศนอุปกรณ์

11.2 แหลง่ การเรียนรู้
1) ห้องเรียน
2) หอ้ งปฏบิ ตั กิ ารวทิ ยาศาสตร์
3) อินเทอร์เน็ต

154

หน่วยการเรยี นรู้ที่ 3 แสงและการมองเหน็
แผนฯ ที่ 6 ทัศนอปุ กรณ์

สลากหวั ขอ้ ทศั นอปุ กรณ์

แวน่ ขยาย
กล้องจุลทรรศน์
กล้องถา่ ยรปู
เครอ่ื งฉายภาพนิ่ง
เครือ่ งฉายภาพชนิด LCD Projector
กลอ้ งโทรทรรศน์

กระจก
แว่นตา

155

หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 3 แสงและการมองเหน็
แผนฯ ที่ 6 ทัศนอุปกรณ์

12. ความเหน็ ของผูบ้ รหิ ารสถานศึกษาหรอื ผูท้ ไ่ี ด้รบั มอบหมาย

ขอ้ เสนอแนะ

ลงชือ่ .................................
( ................................ )

ตาแหนง่ .......

13. บนั ทกึ ผลหลงั การสอน

 ดา้ นความรู้

 ด้านสมรรถนะสาคัญของผูเ้ รยี น

 ดา้ นคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์

 ด้านความสามารถทางวิทยาศาสตร์

 ด้านอื่น ๆ (พฤติกรรมเดน่ หรือพฤตกิ รรมท่ีมีปัญหาของนักเรียนเป็นรายบุคคล (ถ้ามี))

 ปัญหา/อุปสรรค
 แนวทางการแก้ไข

156

หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 3 แสงและการมองเห็น
แผนฯ ที่ 7 นัยน์ตาและการมองเหน็

แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 7

กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชา วทิ ยาศาสตร์
ระดบั ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 3

เร่ือง นยั นต์ ากบั การมองเห็น เวลา 2 ชั่วโมง

1. มาตรฐานการเรยี นรู้

ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์
ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคล่ืน ปรากฏการณ์ที่
เกี่ยวข้องกับเสยี ง แสง และคลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟา้ รวมท้ังนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

2. ตวั ช้ีวัด

ว 3.1 ม.3/18 เขยี นแผนภาพการเคลื่อนที่ของแสง แสดงการเกิดภาพของทัศนอปุ กรณ์และเลนสต์ า

3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้

1. อธบิ ายเก่ียวกับนัยน์ตาและการมองเห็นได้ (K)
2. บอกประโยชนท์ ่ไี ดจ้ ากความารเู้ ร่ืองนัยน์ตาและการมองเหน็ ได้ (P)
3. นาความรูเ้ กี่ยวกบั นัยน์ตาและการมองเหน็ ไปใช้ในชีวิตประจาวันได้ (A)

4. สาระการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้ท้องถนิ่
พิจารณาตามหลกั สูตรของสถานศกึ ษา
สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

- ในการมองวัตถุ เลนส์ตาจะถูกปรับโฟกัส เพ่ือให้
เกิดภาพชัดที่จอตา ความบกพร่องทางสายตา
เช่น สายตาสั้น และสายตายาว เป็นเพราะ
ตาแหน่งที่เกิดภาพไม่ได้อยู่ที่จอตาพอดีจึงต้องใช้
เลนส์ในการแก้ไขเพ่ือช่วยให้มองเห็นเหมือนคน
สายตาปกตโิ ดยคนสายตาส้ันใชเ้ ลนส์เวา้ ส่วนคน
สายตายาวใช้เลนสน์ ูน

157

หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 3 แสงและการมองเหน็
แผนฯ ที่ 7 นัยนต์ าและการมองเห็น

5. สาระสาคัญ/ความคดิ รวบยอด

นัยนต์ าทาหนา้ ที่รับรู้ส่ิงต่าง ๆ เชน่ กลางวนั กลางคนื ใกล้หรือไกล แสงสวา่ งและเงารูปร่างและสีของ
วัตถุ ดวงดาวในท้องฟ้า รับรู้ข่าวสารต่าง ๆ จากตัวหนังสือ โดยอาศัยสมองเป็นตัวแปลความหมายของข้อมูล
อีกตอ่ หนึง่

6. สมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น

1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคดิ

1) ทกั ษะการนาความรู้ไปใช้
2) ทกั ษะการจดั กระทาและสื่อความหมายข้อมลู
3) ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล
4) ทกั ษะการตคี วามหมายข้อมูลและลงข้อสรปุ
3. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

7. คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์

1. มวี นิ ยั
2. ใฝเ่ รยี นรู้
3. มุ่งมั่นในการทางาน

8. คาถามสาคัญ

1. ส่วนประกอบของตามีอะไรบ้าง
2. สายตาของแต่ละคนเหมือนกันหรือไม่เพราะเหตุใด

9. กจิ กรรมการเรียนรู้

 วิธีการสอนโดยเนน้ รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model)

ช่วั โมงท่ี 1
ขั้นนา

ขนั้ ท่ี 1 กระตุ้นความสนใจ (Engage)
1. ครทู บทวนความรู้เดิมของนักเรยี นเกีย่ วกับ เรื่อง ทัศนอุปกรณ์ โดยมแี นวคาถามดังนี้
• เม่อื นกั เรยี นใชแ้ วน่ ขยายสอ่ งไปที่วตั ถชุ นดิ หนึง่ ภาพท่มี องผ่านแว่นขยายนน้ั จะเป็นภาพชนดิ ใด

158

หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 3 แสงและการมองเห็น
แผนฯ ที่ 7 นยั นต์ าและการมองเห็น

(แนวตอบ: ภาพเสมอื นหวั ตง้ั ขนาดขยาย ภาพอยู่หนา้ เลนส์หรืออย่ขู ้างเดยี วกบั วตั ถุ)
• จงยกตวั อยา่ งทัศนอุปกรณท์ ่นี ักเรียนรจู้ กั ในชวี ติ ประจาวัน

(แนวตอบ: พิจารณาจากคาตอบของนักเรยี น)
2. ครูต้งั คาถามกระตนุ้ ความสนใจของนกั เรยี นโดยมีแนวคาถาม ดังนี้
• นกั เรยี นคดิ วา่ สายตาของคนเราเหมอื นกันหรือไม่

(แนวตอบ: พจิ ารณาจากคาตอบของนกั เรยี น เช่น ไมเ่ หมือนกนั เพราะบางคนอาจจะมสี ายตาสัน้
ยาวหรอื สายตาเอยี ง เป็นต้น)

ข้ันสอน

ขน้ั ที่ 2 สารวจค้นหา (Explore)
36. ครอู ธิบายตอ่ วา่ “ในชีวติ ประจาวนั เราไดร้ ับแสงจากแหล่งกาเนิดแสงหลายชนิด แต่แสงสว่ นใหญ่เป็น

แสงจากดวงอาทิตย์ ซ่ึงเป็นแหล่งกาเนิดแสงท่ีมีขนาดใหญ่ท่ีสุด เมื่อแสงตกกระทบวัตถุแล้วสะท้อน
เข้าสู่ตาเรา ทาให้เรามองเหน็ สงิ่ ต่าง ๆ ได้ ซ่ึงตาเป็นอวัยวะท่ีสาคัญในการรับสัมผัสภาพต่าง ๆ ทาให้
เรารบั รูส้ ิ่งต่าง ๆ ที่เกดิ ขึน้ รอบตวั ”
37. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3-5 คน เพ่ือศึกษาค้นคว้าข้อมูล เร่ือง นัยน์ตากับการมองเห็น จาก
หนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน (ชุดสัมฤทธิ์มาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2 หน่วยการเรียนรทู้ ่ี
7 แสงและการมองเห็น หรือจากแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น อนิ เทอรเ์ นต็
38. ให้นักเรียนสังเกตภาพส่วนประกอบของตา จากหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน (ชุดสัมฤทธ์ิมาตรฐาน)
วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2 หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 7 การสะทอ้ นของแสง
39. จากน้ันนักเรียนและครูร่วมกันอธิบายส่วนประกอบของตา ดังน้ี 1. เปลือกตา 2. รูม่านตา 3. ตาขาว
4. ม่านตา 5. กระจกตา 6. เลนส์ตา 7. กล้ามเน้ือยึดเลนส์ตา 8. จอตา 9. โครอยด์ 10. วุ้นตา และ
11. เส้นประสาทตา

ขนั้ ที่ 3 อธบิ ายความรู้ (Explain)
40. ครูอธิบายเพิ่มเติมว่า “ผนังลูกตาประกอบด้วยชัน้ ต่าง ๆ 3 ช้ัน คือ คือ ช้ันนอก (fibrous coat) เป็น
พังผืดแข็ง ชั้นกลาง (vascular coat) เป็นช้ันหลอดเลือดขนาดเล็กปะปนกับเซลล์สี (pigmented
cells) บางส่วนเปน็ กล้ามเนอื้ เรยี บ และชน้ั ในสดุ (nervous coat) เป็นชัน้ ประสาท”
41. ให้นักเรียนแต่ละคนทาช้ินงาน เร่ือง นัยน์ตาและการมองเห็น โดยสรุปเน้ือหาเร่ืองส่วนประกอบของ
ตาลงในกระดาษ A4 พรอ้ มตกแตง่ ใหส้ วยงาม เพื่อนะสง่ ครใู นชั่วโมงถดั ไป

159

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 3 แสงและการมองเห็น
แผนฯ ท่ี 7 นัยน์ตาและการมองเหน็

ชว่ั โมงที่ 2

ขน้ั ท่ี 2 สารวจค้นหา (Explore)
42.ให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม (กลุ่มเดิม) ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสายตาประเภทต่าง ๆ จากหนังสือเรียน
รายวิชาพื้นฐาน (ชุดสัมฤทธิ์มาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 แสงและการ
มองเหน็
43. จากนัน้ ให้แต่ละกลุ่มสง่ ตัวแทนออกมาจบั สลากหัวข้อสายตาประเภทตา่ ง ๆ โดยมีหวั ขอ้ ดงั น้ี
- สายตายาว
- สายตาปกติ
- สายตาสัน้
- สายตาเอียง
- สายตาคนชรา
44. จากนั้นให้นักเรียนแต่ละกลุ่มลงมือทาแผนผังมโนทัศน์ตามหัวข้อท่ีแต่ละกลุ่มจับได้โดยครู
กาหนดเวลาให้นกั เรยี นกลุ่มละ 15-20 นาที โดยใหแ้ ตล่ ะกลุ่มเตรียมสง่ ตวั แทนออกมานาเสนอที่หน้า
ชั้นเรียน

ขัน้ ท่ี 3 อธิบายความรู้ (Explain)
45. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานาเสนอแผนผังมโนทัศน์ตามหัวข้อท่ีแต่ละกลุ่มได้รับมอบหมาย ที่หน้า
ชัน้ เรยี นจนครบทุกกลมุ่
46. นกั เรียนและครรู ว่ มกนั อธิบายว่า “สายตาของคนเราสามารถมองเห็นวัตถุได้ชดั ในระยะท่ีแตกต่างกัน
เนื่องจากความสามารถในการมองเห็นของคนเราแตกตา่ งกันออกไปตามสายตา โยสายตาท่พี บเห็นได้
ท่ัวไป มดี งั นี้ สายตาปกติ สายตาสัน้ สายตายาว สายตาเอยี ง และสายตาคนชรา โดยทุกสายตานั้นจะ
มวี ิธกี ารแกไ้ ขท่ีแตกต่างกันออกไป”

ขน้ั ที่ 4 ขยายความเขา้ ใจ (Elaborate)
47. ให้นักเรียนทา Exercise 5.1 จากหนังสือเรียนรายวชิ าพ้ืนฐาน (ชุดสัมฤทธ์ิมาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.
3 เลม่ 2 หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 7 แสงและการมองเหน็
48. ให้นกั เรียนทาใบงานท่ี 7.7.1 เรื่อง นัยนต์ าและการมองเห็น

ข้นั สรุป

ขั้นท่ี 5 ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. ครตู ้ังคาถามเพ่ือทดสอบความเข้าใจของนักเรียน โดยมีแนวคาถาม ดังน้ี

160

หน่วยการเรยี นรู้ที่ 3 แสงและการมองเหน็
แผนฯ ที่ 7 นยั น์ตาและการมองเห็น

• คนสายตายาวควรใชแ้ ว่นชนิดใดเพอ่ื แก้ไขความบกพรอ่ งของสายตา
(แนวตอบ: ควรใช้แว่นที่ทาจากเลนส์นูน เพื่อช่วยบีบลาแสงก่อนหักเหผ่านเลนส์ตา เพื่อทาให้เกิด
ภาพท่เี รตนิ าพอดี)

• กลา้ มเน้อื ยึดเลนส์มีความสาคญั อยา่ งไร
(แนวตอบ: กล้ามเนื้อยึดเลนส์ (ciliary muscle) เป็นกล้ามเนื้อท่ีเกาะยึดรอบเลนส์ตา ทาหน้าท่ี
บังคบั เลนส์ตาให้มคี วามยาวโฟกัสมากหรอื น้อยได้เพื่อให้มองเหน็ ภาพชัด)

2. ครปู ระเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการตอบคาถาม พฤตกิ รรมการทางานรายบุคคล พฤตกิ รรม
การทางานกลุ่ม

3. ครูตรวจ Exercise 5.1 จากหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน (ชุดสัมฤทธิ์มาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3
เลม่ 2 หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 7 แสงและการมองเห็น

4. ครปู ระเมินผลการทาใบงานท่ี 7.7.1 เร่อื ง นยั น์ตาและการมองเหน็

10. การวดั และประเมินผล วิธีการ เครอื่ งมือ เกณฑ์การประเมนิ

รายการวัด - Exercise 5.1 - Exercise 5.1 - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
10.1 การประเมนิ ระหว่าง - ตรวจใบงานท่ี 7.7.1 - ใบงานท่ี 7.7.1 - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
- สังเกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤตกิ รรม - ระดบั คณุ ภาพ 2
การจดั กิจกรรม การทางานรายบุคคล การทางานรายบุคคล ผา่ นเกณฑ์
1) ทศั นอุปกรณ์ - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสงั เกตพฤติกรรม - ระดบั คณุ ภาพ 2
การทางานกลุ่ม การทางานกลุ่ม ผา่ นเกณฑ์
2) พฤติกรรมการทางาน - ประเมนิ การนาเสนอ - แบบประเมิน - ระดับคุณภาพ 2
รายบุคคล ผลงาน การนาเสนอผลงาน ผ่านเกณฑ์
- สงั เกตความมีวนิ ัย - แบบประเมนิ - ระดับคุณภาพ 2
3) พฤติกรรมการทางาน ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งม่ัน คณุ ลักษณะ ผา่ นเกณฑ์
กลมุ่ ในการทางาน อนั พงึ ประสงค์

4) การนาเสนอผลงาน

5) คุณลกั ษณะอันพึง
ประสงค์

161

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 3 แสงและการมองเห็น
แผนฯ ท่ี 7 นยั นต์ าและการมองเห็น

11. สือ่ /แหล่งการเรยี นรู้

11.1 สือ่ การเรียนรู้
1) หนงั สือเรยี นรายวิชาพืน้ ฐาน (ชุดสัมฤทธิ์มาตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2 หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 7
แสงและการมองเห็น
2) ใบงานที่ 7.7.1 เรอ่ื ง นัยน์ตาและการมองเห็น
3) สลากหัวข้อสายตาประเภทต่าง ๆ

11.2 แหล่งการเรียนรู้
1) หอ้ งเรยี น
2) หอ้ งปฏบิ ตั ิการวิทยาศาสตร์
3) อินเทอรเ์ นต็

162

หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 3 แสงและการมองเห็น
แผนฯ ท่ี 7 นัยนต์ าและการมองเห็น

ใบงานท่ี 7.7.1

เร่อื ง นัยนต์ าและการมองเหน็

ตอนท่ี 1
คาชแ้ี จง: จงเขียนเคร่ืองหมาย √ หน้าขอ้ ความที่เห็นด้วย และเครือ่ งหมาย × หนา้ ข้อความทีไ่ มเ่ หน็ ด้วย

1. เรตินาของนัยน์ตามเี ซลล์ 2 ชนดิ คอื เซลล์รบั ภาพและเซลลร์ ับแสง
2. เมอื่ Rod cell ถูกกระตนุ้ เรา้ ด้วยแสงสลวั ทาให้สามารถมองเห็นภาพขาว-ดา
3. เซลล์รูปแท่งจะไวตอ่ แสงท่มี ีความเข็มน้อย ทาให้สามารถจาแนกสีของแสงนั้น ๆ ได้
4. เซลล์รูปกรวยตอ้ งการแสงสวา่ งมาก ทาหน้าท่ีบอกความแตกต่างของสีต่าง ๆ ได้
5. กล้ามเนอ้ื ยึดเลนส์ทาหนา้ ทรี่ วมแสงไปตกบนจอตา
v 6. เม่อื อยู่ในท่ีมดื เซลล์รปู แท่งจะทางาน เพอ่ื ทาให้มองเห็นภาพของวัตถุ ส่วนเซลล์รูปกรวยยังไม่

สามารถทางานได้
7. คนสายตาสั้นมองเหน็ วัตถไุ ดช้ ัด ระยะใกลต้ าท่ีระยะเกนิ 25 เซนติเมตร
8. ระยะไกลตาของคนท่ีมีสายตาปกติคือระยะอนันต์
9. คนสายตายาวควรสวมแวน่ ที่ทาจากเลนส์เวา้ เพื่อกระจายแสงให้ไปตกทจี่ อตา
10. Cone Cell มี 3 ชนิด ชนิดทห่ี น่งึ ไวตอ่ แสงสีนา้ เงิน ชนิดท่ีสองไวต่อแสงสเี ขียว และอกี ชนดิ ไว

ตอ่ แสงสีแดง

ตอนที่ 2
คาชี้แจง: จงตอบคาถามเกยี่ วกับความบกพร่องทางสายตา โดยตอบคาถามดงั ต่อไปน้ี
1. สายตาสนั้ คอื

การแก้ไข คือ

2. สายตายาว คือ

การแก้ไข คือ

163

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 3 แสงและการมองเหน็ เฉลย
แผนฯ ที่ 7 นัยนต์ าและการมองเหน็

ใบงานที่ 7.7.1

เร่ือง นยั นต์ าและการมองเหน็

คาช้ีแจง: จงเขียนเคร่ืองหมาย √ หนา้ ข้อความทเ่ี ห็นด้วย และเครอื่ งหมาย × หน้าข้อความท่ีไม่เหน็ ดว้ ย

√ 1. เรตนิ าของนยั น์ตามีเซลล์ 2 ชนิด คอื เซลลร์ ับภาพและเซลล์รบั แสง

√ 2. เม่ือ Rod cell ถกู กระตุ้นเร้าดว้ ยแสงสลัว ทาใหส้ ามารถมองเห็นภาพขาว-ดา

× 3. เซลล์รูปแทง่ จะไวต่อแสงทีม่ ีความเข็มน้อย ทาให้สามารถจาแนกสีของแสงน้ัน ๆ ได้
√ 4. เซลลร์ ปู กรวยต้องการแสงสว่างมาก ทาหน้าทีบ่ อกความแตกต่างของสตี า่ ง ๆ ได้
× 5. กลา้ มเนอื้ ยึดเลนส์ทาหน้าที่รวมแสงไปตกบนจอตา

√v 6. เมอ่ื อยู่ในที่มดื เซลลร์ ปู แทง่ จะทางาน เพื่อทาให้มองเหน็ ภาพของวตั ถุ ส่วนเซลลร์ ปู กรวยยงั ไม่
สามารถทางานได้

× 7. คนสายตาส้นั มองเหน็ วตั ถไุ ดช้ ัด ระยะใกล้ตาทรี่ ะยะเกนิ 25 เซนตเิ มตร
√ 8. ระยะไกลตาของคนที่มสี ายตาปกติคือระยะอนนั ต์
× 9. คนสายตายาวควรสวมแวน่ ท่ีทาจากเลนสเ์ ว้า เพื่อกระจายแสงให้ไปตกท่จี อตา
√ 10. Cone Cell มี 3 ชนดิ ชนิดทห่ี นง่ึ ไวตอ่ แสงสนี า้ เงิน ชนิดท่ีสองไวต่อแสงสเี ขียว และอีกชนิดไว

ต่อแสงสแี ดง

ตอนที่ 2
คาชแี้ จง: จงตอบคาถามเก่ยี วกบั ความบกพร่องทางสายตา โดยตอบคาถามดังต่อไปนี้
1. สายตาสั้น คือ จะมองเหน็ วัตถุทีอ่ ยใู่ กล้ชัดเจน แตม่ องวัตถทุ ี่อยูไ่ กลไมช่ ัดเจน โดยจุดใกลต้ าจะนอ้ ย
กว่า 25 เซนตเิ มตร แตจ่ ุดไกลตาไมถ่ งึ ระยะอนันต์

การแก้ไข คือ จะต้องสวมแว่นตาที่ทาจากเลนสเ์ ว้า เพือ่ ช่วยถา่ งลาแสงก่อนหักเหผ่านเลนสต์ า เพอ่ื
ทาใหเ้ กดิ ภาพท่เี รตินาพอดี
2. สายตายาว คอื จะมองเห็นวัตถทุ ี่อย่ไู กลได้ชดั เจน แตม่ องวตั ถทุ ่ีอยใู่ กล้ไม่ชัดเจน โดยจุดใกลต้ าจาก
กว่า 25 เซนติเมตร แต่จดุ ไกลตาอยทู่ ่รี ะยะอนันต์

การแก้ไข คือ จะต้องสวมแว่นตาทีท่ าจากเลนส์นนู เพอื่ ช่วยบีบลาแสงก่อนหักเหผ่านเลนส์ตา เพ่อื ทา
ใหเ้ กดิ ภาพทีเ่ รตินาพอดี

164

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 3 แสงและการมองเห็น
แผนฯ ที่ 7 นยั น์ตาและการมองเห็น

สลากหัวขอ้ สายตาประเภทต่าง ๆ

สายตายาว
สายตาปกติ
สายตาสั้น
สายตาเอยี ง
สายตาคนชรา

165

หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 3 แสงและการมองเหน็
แผนฯ ท่ี 7 นยั นต์ าและการมองเห็น

12. ความเห็นของผบู้ รหิ ารสถานศึกษาหรอื ผูท้ ไ่ี ด้รบั มอบหมาย

ข้อเสนอแนะ

ลงชือ่ .................................
( ................................ )

ตาแหนง่ .......

13. บนั ทกึ ผลหลงั การสอน

 ด้านความรู้

 ด้านสมรรถนะสาคัญของผูเ้ รยี น

 ดา้ นคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์

 ดา้ นความสามารถทางวิทยาศาสตร์

 ด้านอืน่ ๆ (พฤติกรรมเดน่ หรือพฤตกิ รรมท่ีมีปัญหาของนักเรียนเป็นรายบุคคล (ถ้ามี))

 ปัญหา/อุปสรรค
 แนวทางการแกไ้ ข

166

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 3 แสงและการมองเห็น
แผนฯ ท่ี 8 ความสวา่ งและการมองเหน็

แผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ี 8

กล่มุ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชา วิทยาศาสตร์
ระดับชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 3

เรือ่ ง ความสวา่ งและการมองเหน็ เวลา 2 ช่วั โมง

1. มาตรฐานการเรียนรู้

ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์
ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ท่ี
เก่ยี วข้องกบั เสียง แสง และคลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟ้า รวมทั้งนาความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์

2. ตวั ช้ีวัด

ว 3.1 ม.3/19 อธบิ ายผลของความสว่างที่มตี ่อดวงตาจากข้อมูลที่ไดจ้ ากการสบื คน้
ว 3.1 ม.3/20 วดั ความสวา่ งของแสงโดยใช้อุปกรณว์ ดั ความสวา่ งของแสง
ว 3.1 ม.3/21 ตระหนกั ในคุณค่าของความรเู้ รอ่ื ง ความสวา่ งของแสงท่ีมตี ่อดวงตา โดยวิเคราะห์

สถานการณป์ ัญหาและเสนอแนะการจัดความสวา่ งให้เหมาะสมในการทากจิ กรรมต่าง ๆ

3. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้

1. อธิบายเกีย่ วกบั ความสวา่ งของแสงได้ (K)
2. บอกประโยชน์ทีไ่ ดจ้ ากความรเู้ ร่อื งความสวา่ งของแสงได้ (P)
3. นาความรู้เก่ยี วกับความสว่างของแสงไปใช้ในชีวติ ประจาวันได้ (A)

4. สาระการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้ทอ้ งถน่ิ
พจิ ารณาตามหลักสตู รของสถานศึกษา
สาระการเรียนรู้แกนกลาง

- ความสว่างของแสงมีผลต่อดวงตามนุษย์การใช้
ส า ย ต า ใ น ส ภ า พ แ ว ด ล้ อ ม ที่ มี ค ว า ม ส ว่ า ง ไ ม่
เหมาะสมจะเป็นอันตรายต่อดวงตา เช่น การดู
วัตถุในท่ีมีความสว่างมากหรือน้อยเกินไป การ
จ้องดูหน้าจอภาพเป็นเวลานาน ความสว่างบน
พื้นท่ีรับแสงมีหน่วยเป็นลักซ์ความรู้เก่ียวกับ
ความสว่างสามารถนามาใช้จัดความสว่างให้
เหมาะสมกับการทากิจกรรมต่าง ๆ เช่น การจัด
ความสวา่ งทีเ่ หมาะสมสาหรบั การอา่ นหนงั สือ

167

หน่วยการเรยี นรู้ที่ 3 แสงและการมองเหน็
แผนฯ ท่ี 8 ความสว่างและการมองเห็น

5. สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด

ความสว่างกับการมองเห็น คุณสมบัติอย่างหนึ่งของการรับรู้ภาพ มีแหล่งกาเนิดที่สาคัญ 2 แหล่ง คือ
ดวงอาทิตยแ์ ละหลอดไฟฟ้า ค่าความสว่างของแสงมีหน่วยเป็น ลกั ซ์

6. สมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รียน

1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด

1) ทักษะการนาความรู้ไปใช้
2) ทกั ษะการลงความเหน็ จากข้อมลู
3) ทักษะการตีความหมายข้อมลู และลงข้อสรปุ
3. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

7. คุณลักษณะอันพึงประสงค์

1. มีวนิ ัย
2. ใฝ่เรยี นรู้
3. ม่งุ ม่ันในการทางาน

8. คาถามสาคัญ

1. ความสวา่ งของแสงมีความสาคัญอย่างไร
2. อปุ กรณ์ชนิดใดที่ใชใ้ นการวดั ปรมิ าณของแสง

9. กจิ กรรมการเรียนรู้

 วิธีการสอนโดยเน้นรูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model)

ช่วั โมงท่ี 1
ขั้นนา

ขนั้ ที่ 1 กระตุน้ ความสนใจ (Engage)
1. ครทู บทวนความร้เู ดิมของนักเรียนเกีย่ วกบั เรอ่ื ง นยั นต์ าและการมองเห็น โดยมแี นวคาถามดังน้ี
• เรตินาประกอบดว้ ยเซลล์ประสาทก่ีชนดิ อะไรบา้ ง
(แนวตอบ: เรตนิ าประกอบด้วยเซลล์ประสาทท้ังหมด 2 ชนิด ไดแ้ ก่ เซลลป์ ระสาทรปู แท่งและเซลล์
ประสาทรูปกรวย)

168

หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 3 แสงและการมองเหน็
แผนฯ ท่ี 8 ความสว่างและการมองเห็น

• เลนสต์ ามีลกั ษณะเปน็ อยา่ งไร
(แนวตอบ: เลนส์ตามีลักษณะเป็นเลนส์นูน ทาหน้าที่รับแสงและหักเหแสง เลนส์ตาสามารถปรับ
ความยาวโฟกัสได้)

2. ครูตั้งคาถามกระตุน้ ความสนใจของนกั เรียนโดยมีแนวคาถาม ดงั นี้
• นักเรียนเคยสงั เกตเห็นหลอดไฟตามบ้านเรือน หรือตามสถานท่ีตา่ ง ๆ หรือไม่ว่าหลอดไฟน้ันเหมือน

หรือแตกตา่ งกันอย่างไร
(แนวตอบ: พจิ ารณาจากคาตอบของนกั เรยี น)

ขน้ั สอน

ขน้ั ท่ี 2 สารวจค้นหา (Explore)
49. ครูอธิบายต่อว่า “หลอดไฟฟ้าที่นิยมใช้กันตามบ้านเรือน มี 2 ชนิด คือ หลอดไฟฟ้าที่นิยมใช้กันตาม

บ้านเรือนมี 2 ชนิด ได้แก่ หลอดไฟฟ้าแบบไส้ชนิดหลอดใส และหลอดเรืองแสงหรือหลอดฟลูออเรส
เซนต์”
50. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลมุ่ ละ 3-5 คน เพอื่ ศึกษาค้นคว้าข้อมลู เรื่อง ความสวา่ งและการมองเห็น จาก
หนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน (ชุดสัมฤทธ์ิมาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2 หน่วยการเรียนรู้ท่ี
7 แสงและการมองเห็น หรือจากแหล่งการเรยี นรู้ต่าง ๆ เชน่ อนิ เทอร์เนต็
51. ให้นักเรียนศึกษาเพ่ิมเติมเก่ียวกับเครื่องมือท่ีใช้วัดความสว่าง จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน (ชุด
สัมฤทธิ์มาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 แสงและการมองเห็น หรือจาก
แหล่งการเรยี นรู้ต่าง ๆ เช่น อินเทอรเ์ น็ต

ขัน้ ท่ี 3 อธิบายความรู้ (Explain)
52. ครูอธิบายเพิ่มเติมว่า “แสงเป็นพลังงานรูปหน่ึงและทาให้เกิดความสว่างบนพ้ืนที่ที่แสงตกกระทบ
วตั ถุท่ีผลติ แสงไดด้ ว้ ยตนเอง เรยี กว่า แหล่งกาเนิดแสง เช่น ดวงอาทติ ย์ เทียนไข คบเพลงิ และหลอด
ไฟฟ้า”
53. จากนั้นครูอธิบายต่อเกี่ยวกับ เร่ือง ความสว่าง ว่าพลังงานแสงทาให้เกิดความสว่างบนพื้นที่ที่รบั แสง
ถา้ พจิ ารณาพ้ืนทใี่ ด ๆ ทรี่ ับแสง ความสวา่ งบนพ้นื ทห่ี าไดจ้ าก

ความสวา่ ง = อตั ราพลังงานแสงท่ีตกบนพืน้
พนื้ ทร่ี บั แสง

เมือ่ F เปน็ อัตราพลงั งานแEส=งทตี่ กบAFนพืน้ มหี นว่ ยเป็นลูเมน (Lumen; lm)

A เปน็ พืน้ ท่รี ับแสง มีหนว่ ยเปน็ ตาราง (Lumen; lm)

169

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 3 แสงและการมองเหน็
แผนฯ ที่ 8 ความสว่างและการมองเห็น

E เป็น ความสว่าง มีหน่วยเป็นลักซ์ (Lux; lx)
ดังนนั้ 1 ลักซ์ = 1 ลเู มนตอ่ ตารางเมตร
54. จากนัน้ ครยู กตวั อยา่ งโจทย์บนกระดานดงั น้ี
- ติดหลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ 40 วัตต์ จานวน 2 หลอด โดยมีตัวสะท้อนแสง ให้พัลงงานแสง

ทั้งหมดตกลงบนพน้ื หอ้ งทม่ี ีพน้ื ที่ 20 ตารางเมตร ถา้ หลอดไฟฟา้ ฟลูออเรสเซนต์ 40 วัตต์ มีอตั รา
การให้พลงั งานแสง 2,700 ลเู มน ให้หาความสวา่ งบนพ้ืนห้องน้ี
วธิ ที า อัตราพลังงานแสงที่ตกกระทบ = อัตราการให้พลังงานแสงของหลอดไฟฟา้

ความสวา่ งบนพ้นื ห้อง = อตั ราพลังงานแสงท่ีตกบนพื้น
พน้ื ที่รับแสง

= 2,700 x 2 ลเู มนต่อตารางเมตร
20

= 270 ลูเมนต่อตารางเมตร
ดงั นัน้ ความสวา่ งบนพ้ืนหอ้ งเท่ากบั 270 ลกั ซ์

ชวั่ โมงท่ี 2

ขน้ั ที่ 2 สารวจค้นหา (Explore)
55.ให้ตัวแทนนักเรียนแต่ละกลุ่ม (กลุ่มเดิม) ศึกษาข้อมูลเก่ียวกับประโยชน์ของความสว่างและการ
ถนอมสายตา จากหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน (ชุดสัมฤทธ์ิมาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2
หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 7 แสงและการมองเห็นหรือจากแหล่งการเรียนรตู้ ่าง ๆ เช่น อินเทอรเ์ น็ต
56. ให้นักเรียนแต่ละคนสรุปความรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของความสว่างและการถนอมสายตา ลง
ในสมดุ ประจาตวั

ข้นั ที่ 3 อธบิ ายความรู้ (Explain)

57. ครูอธิบายเพิ่มเติมว่า “ความรู้เร่ืองความสว่างจะช่วยในการจัดไฟตามอาคารบ้านเรือนและห้อง

ทางานไดอ้ ย่างเหมาะสม โดยปัจจบุ นั ไดม้ ีมาตรฐานกาหนดความสวา่ งท่ีพอเหมาะกับการใชง้ าน ดังนี้

สถานที่ กจิ กรรม ความสว่าง (ลักซ์)

สานักงาน บนั ไดฉกุ เฉนิ 30 - 75

ทางเดิน 75 - 200

ห้องรับรอง 200 - 750

บา้ น ห้องนัง่ เล่น หอ้ งครวั หอ้ งอาหาร หอ้ งประชุม 150 - 300

หอ้ งอา่ นหนังสือ หอ้ งทางาน 500 - 1,000

โรงเรียน โรงพลศกึ ษา หอประชุม 75 – 300

170

หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 3 แสงและการมองเหน็
แผนฯ ที่ 8 ความสว่างและการมองเห็น

สถานที่ กจิ กรรม ความสวา่ ง (ลักซ์)
โรงพยาบาล หอ้ งเรียน 300 – 750
หอ้ งสมุด หอ้ งปฏบิ ตั กิ าร ห้องเขียนแบบ 750 – 1,500
หอ้ งตรวจโรค หอ้ งผ่าตดั
5,000 – 10,000

58. นักเรียนและครูร่วมกันอธิบายว่า “ในชีวิตประจาวันเราจาเป็นต้องกาหนดให้มีความสว่างของแสงท่ี
เหมาะสมในสถานท่ีแต่ละแห่งแตกต่างกันออกไป เช่น บันไดฉุกเฉิน 30-75 ลักซ์ ทางเดินในอาคาร
75 - 200 ลักซ์ ห้องประชุม ห้องนั่งเล่น ห้องครัว 150-300 ลักซ์ ห้องรับรอง 200-750 ลักซ์
ห้องเรียน 300-750 ลักซ์ ห้องสมุด ห้องปฏิบัติการ 750–1,500 ลักซ์ ห้องผ่าตัด 5,000-10,000
ลกั ซ”์

ข้นั ท่ี 4 ขยายความเขา้ ใจ (Elaborate)
59. ให้นักเรียนทา Exercise 5.1 จากหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน (ชุดสัมฤทธิ์มาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.
3 เลม่ 2 หน่วยการเรยี นรู้ที่ 7 แสงและการมองเห็น
60. ให้นักเรียนทาใบงานที่ 7.8.1 เรือ่ ง ความสว่างและการมองเหน็
61. ให้นักเรียนทา Thinking skills Activity จากหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน (ชุดสัมฤทธิ์มาตรฐาน)

วิทยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 2 หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 7 แสงและการมองเหน็

62. ให้นักเรียนทาแบบทดสอบพัฒนาผู้เรียน จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน (ชุดสัมฤทธิ์มาตรฐาน)

วิทยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 2 หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 7 แสงและการมองเหน็

63. ให้นกั เรยี นทาแบบทดสอบหลังเรียนหน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 7 แสงและการมองเห็น

ข้ันสรุป

ขั้นท่ี 5 ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. ครูต้ังคาถามเพ่ือทดสอบความเข้าใจของนักเรียน โดยมีแนวคาถาม ดังน้ี
• อปุ กรณช์ นิดใดที่ใช้ในการวดั ปรมิ าณของแสง
(แนวตอบ: ลกั ซ์มิเตอร์)
• ตอ้ งใช้ความสวา่ งขนาดเท่าไร จึงจะเหมาะสมกบั การอ่านหนงั สือ
(แนวตอบ: 500 – 1,000 ลกั ซ)์
2. ครูประเมินผล โดยการสงั เกตพฤติกรรมการตอบคาถาม พฤตกิ รรมการทางานรายบุคคล พฤตกิ รรม
การทางานกลุ่ม
3. ครูตรวจ Exercise 5.1 จากหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน (ชุดสัมฤทธ์ิมาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3
เลม่ 2 หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 7 แสงและการมองเหน็
4. ครูประเมนิ ผลการทาใบงานที่ 7.8.1 เรือ่ ง ความสว่างและการมองเห็น

171

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 3 แสงและการมองเห็น
แผนฯ ท่ี 8 ความสวา่ งและการมองเห็น

5. ครูตรวจสอบผลการทา Thinking skills Activity จากหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน (ชุดสัมฤทธ์ิ
มาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 2 หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 7 แสงและการมองเห็น

6. ครูตรวจสอบผลการทาแบบทดสอบพัฒนาผู้เรียน จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน (ชุดสัมฤทธิ์
มาตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2 หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 7 แสงและการมองเห็น

7. ครูตรวจสอบแบบทดสอบหลงั เรยี นหน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 7 แสงและการมองเห็น

10. การวดั และประเมินผล วธิ กี าร เครอ่ื งมือ เกณฑ์การประเมิน

รายการวัด - Exercise 5.1 - Exercise 5.1 - ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
10.1 การประเมินระหวา่ ง - ตรวจใบงานท่ี 7.8.1 - ใบงานที่ 7.8.1 - ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
- สังเกตพฤติกรรม - แบบสงั เกตพฤตกิ รรม - ระดับคณุ ภาพ 2
การจดั กิจกรรม การทางานรายบุคคล การทางานรายบุคคล ผา่ นเกณฑ์
1) ความสว่างและการ - สังเกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤตกิ รรม - ระดบั คณุ ภาพ 2
การทางานกลุ่ม การทางานกลุ่ม ผา่ นเกณฑ์
มองเห็น - ประเมินการนาเสนอ - แบบประเมนิ - ระดับคุณภาพ 2
2) พฤติกรรมการทางาน ผลงาน การนาเสนอผลงาน ผา่ นเกณฑ์
- สงั เกตความมีวินัย - แบบประเมิน - ระดับคณุ ภาพ 2
รายบุคคล ใฝ่เรียนรู้ และมงุ่ ม่นั คุณลักษณะ ผา่ นเกณฑ์
3) พฤติกรรมการทางาน ในการทางาน อันพึงประสงค์

กลุ่ม - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบหลงั เรียน - ประเมินตามสภาพจริง
4) การนาเสนอผลงาน หลงั เรยี น

5) คุณลักษณะอันพึง
ประสงค์

10.2 การประเมินหลังเรียน
- แบบทดสอบหลังเรียน
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 7
แสงและการมองเห็น

172

หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 3 แสงและการมองเหน็
แผนฯ ที่ 8 ความสว่างและการมองเหน็

11. สื่อ/แหลง่ การเรยี นรู้

11.1 สอ่ื การเรยี นรู้
1) หนังสือเรยี นรายวิชาพ้ืนฐาน (ชุดสัมฤทธ์ิมาตรฐาน) วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2 หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 7
แสงและการมองเหน็
2) ใบงานท่ี 7.8.1 เรอ่ื ง ความสว่างและการมองเห็น

11.2 แหลง่ การเรยี นรู้
1) ห้องเรียน
2) ห้องปฏิบตั กิ ารวิทยาศาสตร์
3) อินเทอรเ์ น็ต

173

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 3 แสงและการมองเห็น
แผนฯ ที่ 8 ความสวา่ งและการมองเหน็

ใบงานที่ 7.8.1

เรอื่ ง ความสวา่ งและการมองเหน็

ตอนท่ี 1

คาชีแ้ จง: จงเติมคาหรือข้อความลงในช่องว่าง โดยใชข้ ้อมูลจากตารางท่ีกาหนดให้

สถานท่ี กจิ กรรม ความสวา่ ง (ลกั ซ์)

สานักงาน บันไดฉุกเฉนิ 30 - 75

ทางเดนิ 75 - 200

หอ้ งรบั รอง 200 - 750

บา้ น หอ้ งนัง่ เลน่ ห้องครวั หอ้ งอาหาร ห้องประชุม 150 - 300

หอ้ งอา่ นหนังสือ ห้องทางาน 500 - 1,000

โรงเรียน โรงพลศึกษา หอประชุม 75 – 300

หอ้ งเรยี น 300 – 750

หอ้ งสมุด ห้องปฏบิ ัติการ ห้องเขยี นแบบ 750 – 1,500

โรงพยาบาล ห้องตรวจโรค ห้องผา่ ตดั 5,000 – 10,000

1. สถานทท่ี ่ีต้องการความสวา่ งเพียง 50 ลกั ซ์ คอื

2. ในบรเิ วณห้องครวั ควรมีความสวา่ งประมาณ ลักซ์

3. การทากจิ กรรมใดที่ต้องใช้ความสวา่ งมากทีส่ ดุ ซง่ึ ต้องใชค้ วามสวา่ ง

ประมาณ ลักซ์

4. การทากจิ กรรมใดทีม่ ีการใช้ความสว่างน้อยท่ีสดุ โดยใชค้ วามสว่างประมาณ ลักซ์

5. ความสว่างประมาณ 1,200 ลักซ์ มีความพอเหมาะกับการใชง้ านในกิจกรรมดังนี้

ตอนที่ 2
คาชแ้ี จง: จงเตมิ คาหรือข้อความลงในช่องว่าง
1. ยกตวั อยา่ งวธิ ถี นอมสายตา เพอ่ื ให้นัยน์ตามีสุขภาพที่ดีอย่างน้อย 5 วธิ ี

174

หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 3 แสงและการมองเห็น เฉลย
แผนฯ ที่ 8 ความสว่างและการมองเหน็

ใบงานที่ 7.8.1

เร่ือง ความสวา่ งและการมองเห็น

ตอนที่ 1

คาชแี้ จง: จงเติมคาหรือข้อความลงในชอ่ งว่าง โดยใช้ข้อมลู จากตารางท่ีกาหนดให้

สถานที่ กจิ กรรม ความสวา่ ง (ลักซ์)

สานักงาน บันไดฉุกเฉนิ 30 - 75

ทางเดนิ 75 - 200

ห้องรับรอง 200 - 750

บา้ น หอ้ งน่งั เลน่ หอ้ งครวั ห้องอาหาร ห้องประชุม 150 - 300

หอ้ งอา่ นหนังสือ หอ้ งทางาน 500 - 1,000

โรงเรียน โรงพลศกึ ษา หอประชุม 75 – 300

ห้องเรยี น 300 – 750

ห้องสมดุ หอ้ งปฏบิ ตั กิ าร หอ้ งเขยี นแบบ 750 – 1,500

โรงพยาบาล หอ้ งตรวจโรค หอ้ งผา่ ตัด 5,000 – 10,000

6. สถานทีท่ ่ตี ้องการความสวา่ งเพียง 50 ลกั ซ์ คือ บนั ไดฉุกเฉนิ

7. ในบรเิ วณห้องครัวควรมคี วามสวา่ งประมาณ 150 - 300 ลักซ์

8. การทากจิ กรรมใดทต่ี ้องใช้ความสว่างมากที่สุด การทากิจกรรมท่ีห้องตรวจโรค หอ้ งผ่าตัด ซง่ึ

ต้องใช้ความสวา่ งประมาณ 5,000 – 10,000 ลกั ซ์

9. การทากิจกรรมใดทีม่ ีการใช้ความสว่างน้อยท่ีสุด การทากจิ กรรมที่บันไดฉกุ เฉนิ โดยใชค้ วาม

สวา่ งประมาณ 30 – 75 ลักซ์

10. ความสว่างประมาณ 1,200 ลักซ์ มคี วามพอเหมาะกับการใช้งานในกิจกรรมดงั น้ี การทากิจกรรมที

หอ้ งสมุด ห้องปฏบิ ตั กิ าร ห้องเขยี นแบบ

ตอนท่ี 2
คาชีแ้ จง: จงเติมคาหรือข้อความลงในชอ่ งว่าง
1. ยกตวั อยา่ งวธิ ีถนอมสายตา เพอื่ ให้นยั น์ตามีสขุ ภาพทีด่ ีอย่างนอ้ ย 5 วธิ ี

1. รับประทานอาหารท่ีมปี ระโยชน์ อดุ มด้วยสารอาหารครบถ้วน
2. เม่ือมีฝนุ่ ละอองหรอื เศษผงเข้าตา ให้ใช้น้าสะอาดหรือนา้ ยาล้างตา ห้ามใช้มือขยต้ี า
3. ไมค่ วรอ่านหนังสอื ในทแ่ี สงไฟสลัว ควรอ่านในทท่ี มี่ ีแสงสว่างเพียงพอ
4. หลบั ตาเพือ่ พกั สายตาจากหนา้ จอคอมพิวเตอร์ ทกุ 1 ชัว่ โมง
5. ป้องกันดวงตาเมื่อต้องทากจิ กรรมหรืองานอันตราย

175

หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 3 แสงและการมองเหน็
แผนฯ ท่ี 8 ความสวา่ งและการมองเหน็

12. ความเหน็ ของผบู้ ริหารสถานศึกษาหรอื ผูท้ ไ่ี ด้รบั มอบหมาย

ข้อเสนอแนะ ลงชือ่ .................................
( ................................ )
13. บนั ทกึ ผลหลงั การสอน
ตาแหนง่ .......
 ดา้ นความรู้

 ดา้ นสมรรถนะสาคัญของผูเ้ รยี น

 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์

 ดา้ นความสามารถทางวิทยาศาสตร์

 ดา้ นอื่น ๆ (พฤติกรรมเดน่ หรือพฤตกิ รรมท่ีมีปัญหาของนักเรียนเป็นรายบุคคล (ถ้ามี))

 ปญั หา/อปุ สรรค
 แนวทางการแก้ไข

176

หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 3 แสงและการมองเหน็
แผนฯ ที่ 8 ความสว่างและการมองเหน็

แบบประเมนิ การปฏบิ ัติกจิ กรรม

คาช้ีแจง : ใหผ้ สู้ อนประเมนิ การปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขดี ✓ ลงในช่องท่ีตรง
กบั
ระดับคะแนน

ลาดับที่ รายการประเมิน 4 ระดบั คะแนน 1
32

1 การปฏบิ ตั กิ ารทดลอง
2 ความคล่องแคลว่ ในขณะปฏิบัติกจิ กรรม
3 การนาเสนอ

รวม

ลงช่อื ................................................... ผปู้ ระเมนิ
................./................../..................

177

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 3 แสงและการมองเห็น
แผนฯ ท่ี 8 ความสวา่ งและการมองเหน็

เกณฑก์ ารประเมินการปฏิบัติการกจิ กรรม

ประเดน็ ที่ประเมนิ 4 ระดบั คะแนน 1
32
ต้องใหค้ วามช่วยเหลอื
4. การปฏบิ ตั ิการ ทาการทดลองตาม ทาการทดลองตาม ตอ้ งให้ความชว่ ยเหลอื อย่างมากในการทาการ
ทดลอง ข้ันตอน และใช้อปุ กรณ์ ข้ันตอน และใชอ้ ปุ กรณ์ บ้างในการทาการ ทดลอง และการใช้
ได้อย่างถกู ตอ้ ง ได้อยา่ งถูกตอ้ ง แตอ่ าจ ทดลอง และการใช้ อปุ กรณ์
ต้องได้รับคาแนะนาบ้าง อุปกรณ์

5. ความ มีความคลอ่ งแคลว่ มคี วามคลอ่ งแคลว่ ขาดความคล่องแคลว่ ทาการทดลองเสรจ็ ไม่
คล่องแคล่ว ในขณะทาการทดลอง ในขณะทาการทดลอง ในขณะทาการทดลอง ทนั เวลา และทา
ในขณะปฏบิ ตั ิ โดยไม่ตอ้ งไดร้ ับคา แต่ต้องไดร้ บั คาแนะนา จงึ ทาการทดลองเสร็จ อุปกรณ์เสยี หาย
กิจกรรม ชี้แนะ และทาการ บา้ ง และทาการทดลอง ไม่ทันเวลา
เสรจ็ ทันเวลา ต้องใหค้ วามช่วยเหลอื
ทดลองเสร็จทนั เวลา ตอ้ งใหค้ าแนะนาในการ อยา่ งมากในการบันทกึ
บนั ทกึ และสรุปผลการ บันทึก สรปุ และ สรปุ และนาเสนอผล
6. การบนั ทกึ สรปุ บนั ทึกและสรุปผลการ ทดลองไดถ้ ูกต้อง แต่ นาเสนอผลการทดลอง การทดลอง
และนาเสนอผล ทดลองได้ถกู ตอ้ ง รดั กมุ การนาเสนอผลการ
การทดลอง นาเสนอผลการทดลอง ทดลองยงั ไม่เป็น
เปน็ ขนั้ ตอนชัดเจน ข้ันตอน

เกณฑ์การตัดสนิ คณุ ภาพ

ช่วงคะแนน ระดับคณุ ภาพ

11-12 ดมี าก

9-10 ดี

6-8 พอใช้

ต่ากวา่ 6 ปรับปรุง

178

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 3 แสงและการมองเห็น
แผนฯ ท่ี 8 ความสว่างและการมองเหน็

แบบประเมินช้ินงาน/ภาระงาน (รวบยอด)

แบบประเมินผังมโนทัศน์

คาชีแ้ จง ให้ผสู้ อนประเมนิ ชน้ิ งาน/ภาระงาน แล้วขดี ✓ลงในชอ่ งทต่ี รงกบั ระดับคะแนน

ลาดับท่ี รายการประเมนิ 4 ระดบั คะแนน 1
รวม 32

1 ความสอดคล้องกบั จดุ ประสงค์
2 ความถกู ต้องของเนือ้ หา
3 ความคดิ สรา้ งสรรค์
4 ความตรงต่อเวลา

ลงชื่อ ................................................... ผ้ปู ระเมนิ
................./................../..................

179

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 3 แสงและการมองเหน็
แผนฯ ท่ี 8 ความสว่างและการมองเห็น

เกณฑก์ ารประเมินแผน่ พบั

ประเด็นที่ประเมิน 4 ระดับคะแนน 1
ผลงานสอดคลอ้ งกบั 32 ผลงานไม่สอดคล้องกับ
5. ความ จุดประสงค์ทกุ ประเด็น ผลงานสอดคลอ้ งกับ ผลงานสอดคลอ้ งกับ จดุ ประสงค์
สอดคลอ้ งกบั จุดประสงค์เปน็ สว่ น จุดประสงค์บางประเดน็
จดุ ประสงค์ เน้ือหาสาระของผลงาน ใหญ่ เน้ือหาสาระของผลงาน
ถกู ต้องครบถว้ น ไม่ถูกตอ้ งเปน็ สว่ นใหญ่
6. ความถูกตอ้ ง เน้อื หาสาระของผลงาน เนอ้ื หาสาระของผลงาน
ของเนอ้ื หา ถูกตอ้ งเปน็ สว่ นใหญ่ ถูกตอ้ งบางประเดน็

7. ความคิด ผลงานแสดงถึงความคดิ ผลงานแสดงถงึ ความคดิ ผลงานมคี วามน่าสนใจ ผลงานไม่มีความ
สรา้ งสรรค์ นา่ สนใจ และไมแ่ สดง
สร้างสรรค์ แปลกใหม่ สร้างสรรค์ แปลกใหม่ แต่ยงั ไมม่ ีแนวคดิ แปลก ถงึ แนวคดิ แปลกใหม่
8. ความตรงตอ่
เวลา และเป็นระบบ แตย่ งั ไมเ่ ปน็ ระบบ ใหม่ สง่ ชน้ิ งานชา้ กว่าเวลาที่
กาหนด 3 วนั ข้ึนไป
สง่ ช้ินงานภายในเวลาที่ สง่ ช้ินงานช้ากวา่ เวลาที่ ส่งชน้ิ งานช้ากว่าเวลาที่

กาหนด กาหนด 1 วนั กาหนด 2 วนั

เกณฑ์การตดั สินคณุ ภาพ

ชว่ งคะแนน ระดับคุณภาพ

14-16 ดีมาก

11-13 ดี

8-10 พอใช้

ต่ากวา่ 8 ปรับปรงุ

180

หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 3 แสงและการมองเหน็
แผนฯ ที่ 8 ความสวา่ งและการมองเหน็

แบบประเมนิ การนาเสนอผลงาน

คาชแ้ี จง : ให้ผสู้ อนประเมนิ การนาเสนอผลงาน แลว้ ขีด ✓ลงในชอ่ งที่ตรงกับระดบั คะแนน

ลาดบั ท่ี รายการประเมนิ ระดบั คะแนน 1
32 

1 ความถกู ตอ้ งของเนือ้ หา  

2 ภาษาที่ใช้เขา้ ใจง่าย  

3 ประโยชน์ทไ่ี ดจ้ ากการนาเสนอ 

4 วิธกี ารนาเสนอผลงาน 

5 ความสวยงามของผลงาน 

รวม

ลงช่ือ ................................................... ผู้ประเมนิ
.............../................/................

เกณฑ์การให้คะแนน ให้ 3 คะแนน
ผลงานหรอื พฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 2 คะแนน
ผลงานหรอื พฤตกิ รรมสอดคล้องกับรายการประเมินเปน็ ส่วนใหญ่ ให้ 1 คะแนน
ผลงานหรือพฤตกิ รรมสอดคล้องกบั รายการประเมนิ บางสว่ น

เกณฑ์การตดั สนิ คณุ ภาพ

ชว่ งคะแนน ระดับคณุ ภาพ

14-15 ดีมาก

11-13 ดี

8-10 พอใช้

ต่ากว่า 8 ปรับปรงุ

181

หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 3 แสงและการมองเหน็
แผนฯ ท่ี 8 ความสวา่ งและการมองเหน็

แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานรายบคุ คล

คาชแี้ จง : ใหผ้ ้สู อนสงั เกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหวา่ งเรยี นและนอกเวลาเรียน แล้วขดี ✓ลงในชอ่ งที่

ตรงกบั ระดับคะแนน

ลาดับที่ รายการประเมนิ ระดบั คะแนน 1
32

1 การแสดงความคิดเหน็  

2 การยอมรบั ฟงั ความคิดเหน็ ของผอู้ น่ื  

3 การทางานตามหน้าท่ีท่ีได้รับมอบหมาย  

4 ความมีน้าใจ  

5 การตรงต่อเวลา  

รวม

เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ลงช่ือ ................................................... ผ้ปู ระเมิน
ปฏิบตั หิ รอื แสดงพฤติกรรมอย่างสมา่ เสมอ ................/.............../................
ปฏิบัตหิ รือแสดงพฤติกรรมบ่อยครง้ั
ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤติกรรมบางครง้ั ให้ 3 คะแนน
ให้ 2 คะแนน
ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ

ชว่ งคะแนน ระดบั คณุ ภาพ

14-15 ดมี าก

11-13 ดี

8-10 พอใช้

ต่ากวา่ 8 ปรบั ปรงุ

182

หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 3 แสงและการมองเห็น
แผนฯ ท่ี 8 ความสวา่ งและการมองเห็น

แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรายกลมุ่

คาช้ีแจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ลงในช่องท่ี

ตรงกับ ระดบั คะแนน

การแสดง การทางาน การมี
ความ ตามท่ไี ด้รับ
ลาดบั ชื่อ–สกลุ คดิ เห็น การยอมรับ มอบหมาย ความมี สว่ นร่วมใน รวม
ท่ี ของ ฟงั คนอนื่ นา้ ใจ การปรับปรุง 15
ผลงานกลุ่ม คะแนน
นกั เรยี น 31
3

321321321 2 21

ลงช่อื ................................................... ผ้ปู ระเมนิ

เกณฑก์ ารให้คะแนน ................/.............../...............
ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤตกิ รรมอย่างสมา่ เสมอ เกณฑก์ ารตดั สินคุณภาพ
ปฏบิ ตั ิหรือแสดงพฤตกิ รรมบ่อยคร้ัง
ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤติกรรมบางคร้ัง ให้ 3 คะแนน ช่วงคะแนน ระดบั คณุ ภาพ
ให้ 2 คะแนน 14-15 ดีมาก
ให้ 1 คะแนน 11-13 ดี
8-10 พอใช้

ตา่ กว่า 8 ปรบั ปรงุ

183

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 3 แสงและการมองเหน็
แผนฯ ท่ี 8 ความสว่างและการมองเหน็

แบบประเมนิ คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์

คาชแ้ี จง : ใหผ้ ูส้ อนสังเกตพฤติกรรมของนกั เรยี นในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรยี น แลว้ ขีด ✓ลงในช่องทตี่ รงกบั

ระดบั คะแนน

คุณลักษณะ รายการประเมนิ ระดับคะแนน
อนั พึงประสงคด์ า้ น 321

1. รักชาติ ศาสน์ 1.1 ยนื ตรงเคารพธงชาติ และรอ้ งเพลงชาตไิ ด้

กษัตริย์ 1.2 เข้าร่วมกจิ กรรมท่สี ร้างความสามัคคี ปรองดอง และเปน็ ประโยชน์ต่อ

โรงเรียน

1.3 เข้ารว่ มกจิ กรรมทางศาสนาทตี่ นนบั ถอื ปฏบิ ตั ิตามหลักศาสนา

1.4 เข้าร่วมกิจกรรมทเี่ กย่ี วกบั สถาบนั พระมหากษตั รยิ ต์ ามที่โรงเรยี นจดั ขึ้น

2. ซือ่ สตั ย์ สจุ รติ 2.1 ใหข้ ้อมูลทถ่ี ูกตอ้ งและเปน็ จริง

2.2 ปฏบิ ัติในส่ิงท่ีถกู ตอ้ ง

3. มวี นิ ัย รบั ผดิ ชอบ 3.1 ปฏบิ ตั ิตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบ ขอ้ บงั คับของครอบครวั

มีความตรงต่อเวลาในการปฏบิ ตั กิ ิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจาวนั

4. ใฝเ่ รยี นรู้ 4.1 ร้จู ักใชเ้ วลาว่างใหเ้ ป็นประโยชนแ์ ละนาไปปฏิบตั ไิ ด้

4.2 รูจ้ ักจดั สรรเวลาให้เหมาะสม

4.3 เชอ่ื ฟงั คาสั่งสอนของบิดา-มารดา โดยไม่โต้แย้ง

4.4 ต้ังใจเรียน

5. อยู่อยา่ งพอเพยี ง 5.1 ใช้ทรพั ยส์ ินและสง่ิ ของของโรงเรียนอยา่ งประหยัด

5.2 ใช้อุปกรณ์การเรยี นอยา่ งประหยัดและรู้คณุ คา่

5.3 ใช้จา่ ยอยา่ งประหยดั และมกี ารเกบ็ ออมเงนิ

6. มุง่ มัน่ ในการ 6.1 มีความตง้ั ใจและพยายามในการทางานทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย

ทางาน 6.2 มคี วามอดทนและไมท่ ้อแทต้ ่ออุปสรรคเพ่ือให้งานสาเรจ็

7. รักความเป็นไทย 7.1 มจี ิตสานกึ ในการอนรุ กั ษ์วัฒนธรรมและภมู ิปญั ญาไทย

7.2 เหน็ คุณค่าและปฏิบตั ติ นตามวฒั นธรรมไทย

8. มจี ิตสาธารณะ 8.1 ร้จู ักช่วยพ่อแม่ ผ้ปู กครอง และครูทางาน

8.2 รูจ้ กั การดแู ลรักษาทรพั ยส์ มบตั แิ ละส่ิงแวดล้อมของหอ้ งเรียนและ

โรงเรยี น

ลงช่ือ ................................................... ผู้ประเมนิ
................/.............../................

184

หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 3 แสงและการมองเห็น ให้ 3 คะแนน
แผนฯ ท่ี 8 ความสวา่ งและการมองเห็น ให้ 2 คะแนน
ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การให้คะแนน
พฤติกรรมที่ปฏบิ ตั ชิ ดั เจนและสมา่ เสมอ
พฤติกรรมท่ีปฏบิ ตั ิชดั เจนและบอ่ ยครัง้
พฤติกรรมท่ีปฏิบตั บิ างครัง้

เกณฑก์ ารตดั สนิ คุณภาพ

ชว่ งคะแนน ระดับคณุ ภาพ

14-15 ดีมาก

11-13 ดี

8-10 พอใช้

ตา่ กว่า 8 ปรับปรุง

185

หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 4 ปฏสิ ัมพนั ธใ์ นระบบสุรยิ ะและเทคโนโลยีอวกาศ
แผนฯ ท่ี 1 การโคจรของดาวเคราะหร์ อบดวงอาทิตย์

แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 1

กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวชิ า วิทยาศาสตร์
ระดับช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3

เรอื่ ง การโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทติ ย์ เวลา 2 ช่วั โมง

1. มาตรฐานการเรียนรู้

ว 3.1 เข้าใจองคป์ ระกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และววิ ัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์
และระบบสรุ ิยะ รวมทงั้ ปฏิสมั พนั ธภ์ ายในระบบสรุ ยิ ะทีส่ ่งผลต่อสง่ิ มีชวี ติ และการประยุกต์ใช้
เทคโนโลยีอวกาศ

2. ตัวช้ีวดั

ว 3.1 ม.3/1 อธบิ ายการโคจรของดาวเคราะหร์ อบดวงอาทติ ย์ด้วยแรงโนม้ ถ่วงจากสมการ F=(Gm1m2) /r2

3. จุดประสงค์การเรียนรู้

1. อธิบายการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ได้ (K)
2. คานวณหาแรงโน้มถว่ งระหวา่ งมวลทงั้ สองได้ (P)
3. นาความรเู้ กีย่ วกบั กฎของแรงโน้มถว่ งไปใช้ในชวี ติ ประจาวนั ได้ (A)

4. สาระการเรยี นรู้ สาระการเรยี นร้ทู ้องถ่นิ
พจิ ารณาตามหลักสูตรของสถานศึกษา
สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

- ในระบบสุริยะมดี วงอาทิตยเ์ ป็นศนู ย์กลางโดยมี
ดาวเคราะห์และบริวาร ดาวเคราะห์แคระ ดาว
เคราะห์นอ้ ย ดาวหาง และอ่ืน ๆ เช่น วัตถุคอย
เปอร์ โคจรอยู่โดยรอบ ซึง่ ดาวเคราะห์และวัตถุ
เหล่าน้ีโคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยแรงโน้มถ่วง
แรงโน้มถ่วงเป็นแรงดึงดูดระหว่างวตั ถุสองวัตถุ
โดยเป็นสัดส่วนกับผลคูณของมวลท้ังสอง และ
เป็น สัดส่วนผกผันกับกาลังสองของระยะทาง
ระหว่างวัตถุท้ังสอง แสดงได้โดยสมก าร
F=(Gm1m2 )/r2 เมื่อ F แทนความโน้มถ่วง
ระหว่างมวลทง้ั สอง G แทนคา่ นิจโนม้ ถ่วงสากล
m1 แทนมวลของวัตถุแรก m2 แทน มวลของ

186

หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 4 ปฏสิ ัมพนั ธใ์ นระบบสุริยะและเทคโนโลยีอวกาศ สาระการเรียนรู้ท้องถนิ่
แผนฯ ท่ี 1 การโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ พิจารณาจากหลกั สูตรของสถานศกึ ษา

สาระการเรียนรู้แกนกลาง
วัตถุที่สอง และ r แทนระยะห่างงระหว่างวัตถุ
ท้ังสอง

5. สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด

แรงโน้มถ่วง (gravitational force) คือ แรงดึงดูดระหว่างมวล ในระบบสุริยะก็เช่นกัน การที่ดาว
เคราะห์โคจรรอบดวงอาทิตย์ได้เพราะแรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์ดึงดูดดาวเคราะห์ไว้หรือกล่าวได้ว่าเกิด
แรงดึงดูดระหว่างดาวเคราะห์กบั ดวงอาทติ ย์

6. สมรรถนะสาคัญของผเู้ รียน

1. ความสามารถในการส่ือสาร
2. ความสามารถในการคดิ

1) ทักษะการนาความรู้ไปใช้
2) ทักษะการคานวณ
3) ทักษะการลงความเห็นจากขอ้ มูล
4) ทกั ษะการตคี วามหมายข้อมลู และลงข้อสรปุ
3. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

7. คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์

1. มีวินยั
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มงุ่ มน่ั ในการทางาน

8. คาถามสาคญั

1. ดาวเคราะหโ์ คจรรอบดวงอาทิตย์ได้อย่างไร
2. กฎทรงมวลกลา่ วไวว้ ่าอยา่ งไร

9. กิจกรรมการเรียนรู้

 วิธีการสอนโดยเน้นรูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model)

187

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 4 ปฏิสัมพนั ธใ์ นระบบสรุ ิยะและเทคโนโลยีอวกาศ
แผนฯ ที่ 1 การโคจรของดาวเคราะหร์ อบดวงอาทิตย์

ช่วั โมงท่ี 1

ขั้นนา

ขนั้ ท่ี 1 กระตุ้นความสนใจ (Engage)
1. ให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยการเรียนรู้ท่ี 8 เร่ือง ปฏิสัมพันธ์ในระบบสุริยะและ
เทคโนโลยอี วกาศ
2. ครทู บทวนความรู้เดิมของนกั เรียนเกยี่ วกับระบบสุริยะ โดยมีแนวคาถาม ดังน้ี
• ระบบสรุ ิยะประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง
(แนวตอบ: ระบบสุริยะประกอบไปด้วย ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางท่ีมีดาวเคราะห์ 8 ดวง โคจรรอบ
นอกจากนั้นยังมีวัตถุขนาดเล็กอีกจานวนมาก เช่น ดาวเคราะห์แคระ ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง
และวัตถุอื่น ๆ)
• ดวงอาทติ ย์ โลก ดวงจนั ทร์ สัมพันธ์กันอย่างไร
(แนวตอบ: พิจารณาจากคาตอบของนักเรียน)
3. ให้นักเรียนดูวีดิทัศน์ เรื่อง Galileo's Famous Gravity Experiment จากนั้นครูตั้งคาถามเพ่ือ
กระตุ้นความสนใจของนักเรียน โดยมีแนวคาถามดังน้ี
• เพราะเหตุใดวตั ถทุ งั้ สองจงึ ตกลงพรอ้ ม ๆ กนั
(แนวตอบ: พิจารณาจากคาตอบของนักเรยี น)
4. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายผลจากวีดิทัศน์ โดยมีประเด็นดังนี้ “เมื่อปล่อยวัตถุลงแล้ว วัตถุจะ
ตกสพู่ ืน้ โลก เพราะมีแรงโนม้ ถว่ งของโลกดึงดดู วตั ถุเขา้ หาผวิ โลก”

ข้นั สอน

ขน้ั ที่ 2 สารวจคน้ หา (Explore)
1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3-5 คน เพื่อศึกษาค้นคว้าข้อมูล เรื่อง การโคจรของดาวเคราะห์รอบ
ดวงอาทิตย์ จากหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน (ชุดสัมฤทธิ์มาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2
หน่วยการเรียนรู้ที่ 8 ปฏิสัมพันธ์ในระบบสุริยะและเทคโนโลยีอวกาศ หรือจากแหล่งการเรียนรู้
ต่าง ๆ เชน่ อนิ เทอร์เนต็
2. นักเรียนและครูร่วมกันอธิบายถึงการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ว่า “การท่ีดาวเคราะห์
โคจรรอบดวงอาทติ ยไ์ ด้เพราะแรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตยด์ งึ ดูดดาวเคราะห์ไว้”
3. ครตู ั้งคาถามจากการคน้ คว้าขอ้ มูลของนักเรยี นโดยมแี นวคาถาม ดังน้ี
• การที่ดาวเทียมโคจรรอบโลกได้โดยไมล่ อยหลุดไปในอวกาศ เปน็ เพราะเหตุใด
(แนวตอบ: พิจารณาจากคาตอบของนักเรียน เช่น เพราะถูกแรงโน้มถ่วงของโลกดึงดูดไว้ไม่ให้หลุด
ลอยไปในอวกาศ เปน็ ตน้ )

188

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 4 ปฏิสมั พนั ธใ์ นระบบสรุ ยิ ะและเทคโนโลยอี วกาศ
แผนฯ ท่ี 1 การโคจรของดาวเคราะหร์ อบดวงอาทติ ย์

ขัน้ ท่ี 3 อธบิ ายความรู้ (Explain)
4. ครูอธิบายถึงแรงโน้มถ่วงของนิวตัน โดยมีประเด็น ดังน้ี “แรงโน้มถ่วง (gravitational force) คือ
แรงดงึ ดูดระหว่างมวล ในระบบ สรุ ยิ ะกเ็ ชน่ กนั การที่ดาวเคราะหโ์ คจรรอบดวงอาทติ ย์ไดเ้ พราะ แรง
โน้มถว่ งของดวงอาทิตยด์ ึงดูดดาวเคราะหไ์ ว้”
5. ให้นักเรียนทาผังมโนทัศน์ เรื่อง กฎแรงโน้มถ่วงของนิวตัน ลงในกระดาษ A4 และนาส่งในชั่วโมง
ถดั ไป
6. ให้นักเรียนทา Exercise 1.1 จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน (ชุดสัมฤทธ์ิมาตรฐาน) วิทยาศาสตร์
ม.3 เล่ม 2 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 8 ปฏิสัมพันธ์ในระบบสุริยะและเทคโนโลยีอวกาศ ลงในสมุด
ประจาตัว

ชว่ั โมงที่ 2

ขัน้ ท่ี 2 สารวจคน้ หา (Explore)
7. ครูสุม่ นักเรียนจานวน 2-3 คน ออกมานาเสนอผลงาน เรือ่ ง กฎแรงโน้มถ่วงของนวิ ตนั หน้าชั้นเรียน
8. จากนนั้ ครทู บทวนความร้เู ดมิ ของนักเรยี น เกย่ี วกับกฎแรงโนม้ ถ่วงของนวิ ตนั โดยมีแนวคาถาม ดังนี้
• เซอร์ ไอแซก นิวตัน ได้ทาการศึกษาเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงและได้เสนอกฎแรงโน้มถ่วงของนิวตัน ไว้
ว่าอย่างไร
(แนวตอบ: วัตถุสองวัตถุในเอกภพจะออกแรงดึงดูดกันโดยเป็นสัดส่วนกับผลคูณของมวลท้ังสอง
และ เปน็ สัดส่วนผกผนั ยกกาลงั สองกับระยะทางระหว่างจุดศูนยก์ ลางของวัตถทุ ้ังสอง)
9. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3-5 คน เพื่อศึกษาค้นคว้าข้อมูลเก่ียวกับแรงโน้มถ่วงแรงดึงดูดในเอก
ภพ จากแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น อินเทอร์เน็ต แล้วนาข้อมูลที่ได้มาจัดทาเป็นแผนผังความคิด
เพอ่ื นามาเสนอทหี่ นา้ ชั้นเรยี น

ขัน้ ท่ี 3 อธิบายความรู้ (Explain)
10. ครสู ุม่ นกั เรยี นจานวน 2-3 กลุ่ม เพอื่ อกมานาเสนอแผนผงั ความคิด เรื่อง แรงโนม้ ถ่วงและแรง ดึงดดู
ในเอกภพ ท่ีหนา้ ชนั้ เรยี น
11. จากน้นั ครูอธิบายถึงกฎแรงโนม้ ถว่ งของนิวตัน วา่ มีสมการท่สี ามารถใช้ในการคานวณหาแรงโน้มถ่วง
ระหว่างมวลทั้งสอง โดยมีสมการ ดังนี้
F=(Gm1m2) /r2
จากน้นั ครูอธิบายถงึ ตัวแปรแตล่ ะตัวของสมการดังน้ี
F คอื แรงโนม้ ถว่ งระหวา่ งมวลทั้งสอง มีหน่วยเปน็ N (นิวตนั )
G คือ ค่าคงตัวความโน้มถ่วงสากล มีค่าเท่ากับ 6.674×10-11 N m2 /kg2
m1 คือ มวลของวตั ถแุ รก มีหนว่ ยเป็น kg (กิโลกรมั )
m2 คือ มวลของวตั ถทุ ่ีสอง มีหน่วยเป็น kg (กโิ ลกรัม)

189

หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 4 ปฏสิ มั พันธใ์ นระบบสุริยะและเทคโนโลยีอวกาศ
แผนฯ ท่ี 1 การโคจรของดาวเคราะหร์ อบดวงอาทติ ย์

r คอื ระยะห่างระหว่างจุดศนู ย์กลางของวัตถุทั้งสอง มหี น่วยเป็น m (เมตร)
12. ให้นักเรียนศึกษาตัวอย่างที่ 5.1-5.3 จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน (ชุดสัมฤทธ์ิมาตรฐาน)

วทิ ยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 2 หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 8 ปฏสิ ัมพนั ธ์ในระบบสรุ ิยะและเทคโนโลยอี วกาศ

ข้ันท่ี 4 ขยายความเขา้ ใจ (Elaborate)
13. ให้นักเรียนทา Exercise 1.1 จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน (ชุดสัมฤทธิ์มาตรฐาน) วิทยาศาสตร์
ม.3 เล่ม 2 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 8 ปฏิสัมพันธ์ในระบบสุริยะและเทคโนโลยีอวกาศ ลงในสมุด
ประจาตวั
14. ให้นกั เรยี นทาใบงานที่ 8.1.1 เร่อื ง การโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทติ ย์
ข้ันสรุป

ข้นั ท่ี 5 ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. นักเรยี นและครูร่วมกันสรปุ ความรู้เก่ียวกบั การโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ โดยมีประเด็น ดังน้ี
“แรงโน้มถ่วงของนิวตันอธิบายถึงแรงดึงดูดระหว่างวัตถุสองวัตถุใด ๆ ในเอกภพ ซึ่ง แรงดึงดูด
ระหวา่ งดาวเคราะหก์ ับดวงอาทิตย์หรือแรงดึงดูดระหว่างวตั ถุต่าง ๆ ในระบบสุรยิ ะกบั ดวง อาทติ ย์ก็
เป็นแรงดงึ ดดู ระหว่างวัตถุสองวัตถุเชน่ กนั จงึ กล่าวได้วา่ การโคจรของดาวเคราะหแ์ ละวัตถุอื่น ๆ ใน
ระบบสุรยิ ะรอบดวงอาทติ ย์เป็นไปตามกฎแรงโน้มถ่วงของนิวตัน”
2. ครูตรวจสอบผลการทาแบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยการเรียนรู้ท่ี 8 ปฏิสัมพันธ์ในระบบสุริยะและ
เทคโนโลยีอวกาศ
3. ครปู ระเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการตอบคาถาม พฤติกรรมการทางานรายบุคคล พฤติกรรม
การทางานกล่มุ
4. ครูประเมนิ ผลผังมโนทัศน์ เร่ือง กฎแรงโน้มถว่ งของนิวตนั
5. ครูประเมนิ ผลแผนผงั ความคิด เรอ่ื ง แรงโนม้ ถ่วงแรงดงึ ดูดในเอกภพ
6. ครตู รวจสอบผลการทาใบงานที่ 8.1.1 เร่อื ง การโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทติ ย์
7. ครูตรวจสอบผลการทา Exercise 1.1 จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน (ชุดสัมฤทธ์ิมาตรฐาน)
วิทยาศาสตร์ ม.3 เลม่ 2 หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 8 ปฏิสมั พันธใ์ นระบบสุรยิ ะและเทคโนโลยอี วกาศ

190

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 4 ปฏสิ มั พนั ธใ์ นระบบสุริยะและเทคโนโลยีอวกาศ
แผนฯ ที่ 1 การโคจรของดาวเคราะหร์ อบดวงอาทิตย์

10. การวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์การประเมนิ

รายการวดั - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบก่อนเรียน - ประเมนิ ตามสภาพจริง
10.1 การประเมินก่อนเรียน กอ่ นเรียน
- ใบงานท่ี 8.1.1 - รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
- แบบทดสอบก่อนเรียน - ตรวจใบงานที่ 8.1.1 - Exercise 1.1
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 8 - ตรวจ Exercise 1.1
ปฏิสมั พนั ธใ์ นระบบ - แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดบั คณุ ภาพ 2
สุรยิ ะและเทคโนโลยี - สังเกตพฤติกรรม การทางานรายบุคคล ผา่ นเกณฑ์
อวกาศ การทางานรายบุคคล - แบบสงั เกตพฤติกรรม - ระดับคณุ ภาพ 2
10.2 การประเมินระหวา่ ง - สงั เกตพฤติกรรม การทางานกลุ่ม ผ่านเกณฑ์
การจดั กิจกรรม การทางานกลุ่ม - แบบประเมิน - ระดับคณุ ภาพ 2
1) การโคจรของดาว - ประเมนิ การนาเสนอ การนาเสนอผลงาน ผา่ นเกณฑ์
ผลงาน - แบบประเมิน - ระดับคุณภาพ 2
เคราะห์รอบดวง - สงั เกตความมีวินยั คุณลักษณะ ผ่านเกณฑ์
อาทิตย์ ใฝ่เรียนรู้ และมุง่ มัน่ อันพึงประสงค์
2) พฤติกรรมการทางาน ในการทางาน
รายบุคคล
3) พฤติกรรมการทางาน
กลุ่ม
4) การนาเสนอผลงาน

5) คุณลักษณะอันพึง
ประสงค์

11. ส่ือ/แหลง่ การเรยี นรู้

11.1 ส่อื การเรียนรู้
1) หนงั สือเรยี นรายวชิ าพ้ืนฐาน (ชดุ สัมฤทธิม์ าตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2 หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 8
ปฏิสัมพนั ธ์ในระบบสรุ ิยะและเทคโนโลยอี วกาศ
2) ใบงานท่ี 8.1.1 เรอ่ื ง การโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์
3) วีดทิ ศั น์ เรื่อง Galileo's Famous Gravity Experiment
จาก https://www.youtube.com/watch?v=QyeF-_QPSbk
4) กระดาษ A4

191

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 4 ปฏิสมั พนั ธใ์ นระบบสรุ ิยะและเทคโนโลยอี วกาศ
แผนฯ ที่ 1 การโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์

11.2 แหลง่ การเรยี นรู้
1) หอ้ งเรยี น
2) ห้องปฏบิ ตั กิ ารวิทยาศาสตร์
3) อนิ เทอร์เน็ต

192

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 4 ปฏิสัมพันธใ์ นระบบสรุ ิยะและเทคโนโลยีอวกาศ
แผนฯ ที่ 1 การโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทติ ย์

ใบงานท่ี 8.1.1

เรือ่ ง การโคจรของดาวเคราะหร์ อบดวงอาทติ ย์

คาชแ้ี จง : ให้นักเรียนแสดงวิธที าใหถ้ ูกต้อง

1. การทีด่ าวเทยี มโคจรรอบโลกได้โดยไมล่ อยหลุดไปในอวกาศไดน้ ั้นเปน็ เพราะเหตุใด
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..

2. เซอร์ ไอแซก นวิ ตนั ไดท้ าการศกึ ษาเก่ยี วกับแรงโนม้ ถว่ งไวว้ ่าอยา่ งไร จงอธิบายพอสังเขป
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..

3. ดาวเคราะห์น้อยมวล 10 กิโลกรัม 2 ดวง ลอยอยู่ห่างกันในอวกาศ 10 เมตร แรงโน้มถ่วงระหว่างดาว
เคราะหน์ อ้ ยทั้ง 2 ดวงมคี า่ เท่ากบั เทา่ ไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..

193

หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 4 ปฏิสมั พันธใ์ นระบบสรุ ิยะและเทคโนโลยอี วกาศ เฉลย
แผนฯ ท่ี 1 การโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทติ ย์

ใบงานที่ 8.1.1

เรอื่ ง การโคจรของดาวเคราะหร์ อบดวงอาทติ ย์

คาชี้แจง : ใหน้ ักเรยี นแสดงวิธีทาใหถ้ กู ต้อง
1. การท่ีดาวเทียมโคจรรอบโลกได้โดยไมล่ อยหลุดไปในอวกาศได้นัน้ เปน็ เพราะเหตุใด

การท่ีดาวเทียมโคจรรอบโลกได้โดยไม่ ลอยหลุดไปในอวกาศเพราะดาวเทียม ถูกแรงโน้มถ่วงของ
โลกดึงดูดไว้ไม่ให้หลุดลอยออกไปในอวกาศ ซึ่งแรงน้ีเป็นแรงแบบเดียวกับแรงที่ทาให้ดวงจันทร์โคจร
รอบโลก และยงั เปน็ แรงแบบเดยี วกับแรงท่ีทาให้โลกโคจรรอบ ดวงอาทติ ยด์ ้วยเช่นกัน

2. เซอร์ ไอแซก นวิ ตัน ไดท้ าการศกึ ษาเกย่ี วกบั แรงโนม้ ถ่วงไวว้ า่ อย่างไร จงอธิบายพอสงั เขป

เซอร์ ไอแซก นิวตัน ได้ทาการศึกษาเก่ียวกับแรงโน้มถ่วงและได้เสนอกฎแรงโน้มถ่วงของนิวตัน
(Newton’s law of gravitation) หรือกฎแรงดึงดูดระหว่างมวลไว้ว่า “วัตถุสองวัตถุในเอกภพจะออก
แรงดงึ ดดู กันโดยเป็นสดั สว่ นกบั ผลคณู ของมวลทง้ั สอง และเป็นสัดสว่ นผกผันยกกาลังสองกบั ระยะทาง
ระหว่างจุดศนู ยก์ ลางของวัตถุทง้ั สอง”

3. ดาวเคราะห์น้อยมวล 10 กิโลกรัม 2 ดวง ลอยอยู่ห่างกันในอวกาศ 10 เมตร แรงโน้มถ่วงระหว่างดาว
เคราะห์นอ้ ยทัง้ 2 ดวงมีคา่ เทา่ กับเทา่ ไร
………………………………………F……=……G…m…r12…m…2 ………………………………………………………………………………

( )6.67410-11 N m2 (10kg )(10kg )

………………………………………F……=…………………………(…10…m…)…2…………………………………………………………
………………………………………F……=…6….…67…4……1…0…−1…1 N………………………………………………………………………

194

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 4 ปฏิสัมพันธใ์ นระบบสรุ ยิ ะและเทคโนโลยอี วกาศ
แผนฯ ที่ 1 การโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทติ ย์

12. ความเหน็ ของผ้บู ริหารสถานศึกษาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย

ขอ้ เสนอแนะ

ลงชื่อ .................................
( ................................ )

ตาแหนง่ .......

13. บันทกึ ผลหลงั การสอน

 ดา้ นความรู้

 ด้านสมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน

 ดา้ นคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์

 ด้านความสามารถทางวทิ ยาศาสตร์

 ด้านอนื่ ๆ (พฤติกรรมเดน่ หรือพฤตกิ รรมทีม่ ปี ัญหาของนกั เรยี นเปน็ รายบคุ คล (ถ้ามี))

 ปญั หา/อุปสรรค
 แนวทางการแก้ไข

195

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 4 ปฏสิ มั พันธใ์ นระบบสรุ ิยะและเทคโนโลยีอวกาศ
แผนฯ ที่ 2 การเกิดฤดูกาลและการเคลือ่ นทป่ี รากฏของดวงอาทิตย์

แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 2

กลุม่ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์
ระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3

เรอ่ื ง การเกดิ ฤดูกาลและการเคลือ่ นท่ีปรากฏของดวงอาทิตย์ เวลา 3 ชั่วโมง

1. มาตรฐานการเรยี นรู้

ว 3.1 เขา้ ใจองค์ประกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกิด และวิวฒั นาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์
และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏสิ มั พนั ธ์ภายในระบบสรุ ิยะทส่ี ่งผลต่อสง่ิ มชี ีวติ และการประยุกต์ใช้
เทคโนโลยอี วกาศ

2. ตัวชวี้ ดั

ว 3.1 ม.3/2 สร้างแบบจาลองทอี่ ธบิ ายการเกิดฤดแู ละการเคลอ่ื นทป่ี รากฏของดวงอาทติ ย์

3. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้

1. อธบิ ายปรากฏการณ์ทเ่ี กดิ จากโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ และผลตอ่ สงิ่ มชี ีวติ และส่งิ แวดล้อมบนโลกได้ (K)
2. สร้างจาลองปรากฏการณ์ทเี่ กิดจากโลกโคจรรอบดวงอาทิตยไ์ ด้ (P)
3. นาความร้เู ก่ยี วกบั ฤดูกาลไปใชใ้ นชีวิตประจาวันได้ (A)

4. สาระการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้ทอ้ งถิน่
พจิ ารณาตามหลกั สูตรของสถานศึกษา
สาระการเรียนร้แู กนกลาง

- การที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ในลักษณะที่แกน
โลก เอียงกับแนวต้ังฉากของระนาบทางโคจร ทา
ให้ส่วนต่าง ๆ บนโลกได้รับปริมาณแสงจากดวง
อาทติ ย์ แตกต่างกนั ในรอบปี เกิดเป็นฤดู กลางวนั
กลางคืนยาวไม่เท่ากัน และตาแหน่งการขึ้นและ
ตกของดวงอาทิตย์ ที่ขอบฟ้าและเส้นทางการข้ึน
และตกของดวงอาทิตย์ เปล่ียนไปในรอบปี ซ่ึง
สง่ ผลตอ่ การดารงชีวิต

196

หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 4 ปฏสิ ัมพนั ธใ์ นระบบสรุ ิยะและเทคโนโลยีอวกาศ
แผนฯ ท่ี 2 การเกดิ ฤดูกาลและการเคลอ่ื นทปี่ รากฏของดวงอาทติ ย์

5. สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด

การท่ีโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ในลักษณะท่ีแกนโลกเอียง ทาให้ส่วนต่าง ๆ ของโลกได้รับ
แสงอาทิตย์ แตกต่างกนั เปน็ ผลทาให้เกดิ ฤดกู าลตา่ ง ๆ บนโลก

6. สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน

1. ความสามารถในการส่ือสาร
2. ความสามารถในการคดิ

1) ทักษะการนาความรู้ไปใช้
2) ทกั ษะการคานวณ
3) ทกั ษะการลงความเห็นจากข้อมูล
4) ทักษะการตคี วามหมายข้อมูลและลงข้อสรุป
3. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

7. คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์

1. มวี ินยั
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มงุ่ มัน่ ในการทางาน

8. คาถามสาคญั

1. การขึ้นและตกของดวงอาทติ ยเ์ กดิ ขน้ึ ได้อย่างไร
2. การโคจรของโลกรอบดวงอาทติ ย์ ทาใหเ้ กิดปรากฏการณ์ใด

9. กิจกรรมการเรียนรู้

 วิธีการสอนโดยเนน้ รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model)

ช่วั โมงท่ี 1
ขั้นนา

ขน้ั ท่ี 1 กระตุ้นความสนใจ (Engage)
1. ครทู บทวนความรู้ เรื่อง การโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทติ ย์ โดยมแี นวคาถามดังนี้
• การทดี่ าวเทยี มโคจรรอบโลกได้โดยไม่ลอยหลดุ ไปในอวกาศ เปน็ เพราะเหตุใด

197

หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 4 ปฏิสัมพนั ธใ์ นระบบสุรยิ ะและเทคโนโลยอี วกาศ
แผนฯ ที่ 2 การเกดิ ฤดูกาลและการเคล่อื นทีป่ รากฏของดวงอาทติ ย์

(แนวตอบ: พจิ ารณาจากคาตอบของนักเรยี น เช่น เพราะถูกแรงโนม้ ถ่วงของโลกดึงดดู ไว้ไม่ใหห้ ลดุ
ลอยไปในอวกาศ เปน็ ต้น)
2. ครตู งั้ คาถามกระตุน้ ความสนใจของนักเรียน โดยมีแนวคาถาม ดังน้ี
• นักเรยี นเคยสังเกตการข้นึ และตกของดวงอาทิตย์แต่ละวันหรือไม่ ถา้ เคยลักษณะท่ีเห็นของดวงอาทติ ย์
นั้นเปน็ เช่นใด
(แนวตอบ: พิจารณาจากคาตอบของนักเรยี น เช่น ในตอนเช้าดวงอาทติ ยจ์ ะโผลข่ ้นึ มาทางขอบฟา้ ด้าน
ทิศตะวนั ออก และในตอนเยน็ เม่ือดวงอาทติ ยต์ กลบั ขอบฟ้าไปดา้ นทิศตะวนั ตก เปน็ ตน้ )
3. ครเู ชื่อมโยงไปสู่การจดั การเรียนรเู้ ร่อื งปรากฏการณ์ที่เกดิ จากโลกโคจรรอบดวงอาทติ ย์

ข้ันสอน

ขน้ั ที่ 2 สารวจและค้นหา (Explore)
1. ใหน้ กั เรยี นแบ่งกลมุ่ กลุม่ ละ 3-5 คน เพ่อื ศึกษาขอ้ มูล เร่ือง การเกิดกลางวันและกลางคืน จากหนังสือ
เรียนรายวิชาพื้นฐาน (ชุดสัมฤทธิ์มาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 8
ปฏสิ มั พนั ธ์ในระบบสุริยะและเทคโนโลยอี วกาศ หรือจากแหลง่ การเรยี นรูต้ ่าง ๆ เชน่ อินเทอรเ์ น็ต
2. ให้นักเรียนสังเกตภาพการหมุนรอบตัวเองของโลกจากทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออกทาให้เกิดเวลา
กลางวนั และเวลากลางคนื

ขน้ั ที่ 3 อธบิ ายความรู้ (Explain)
3. ให้นักเรียนสังเกตภาพท่ีโลกหันซีกโลกเหนือเข้าหาดวงอาทิตย์ จากหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน (ชุด
สัมฤทธ์ิมาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 8 ปฏิสัมพันธ์ในระบบสุริยะและ
เทคโนโลยีอวกาศ จากนั้นนักเรียนและครูร่วมกันสรุปผลดังน้ี “ในขณะที่ซีกโลกใต้เอียงออกจากดวง
อาทิตย์ ทาให้ซีกโลกเหนือมีอุณหภูมิสูงกว่าซีก โลกใต้และมีช่วงเวลากลางวันยาวนานกว่า กลางคืน
จงึ ทาใหซ้ ีกโลกเหนอื เปน็ ฤดูรอ้ น สว่ นซกี โลกใต้เปน็ ฤดูหนาว”
4. ให้นักเรียนทา Exercise 1.2 จากหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน (ชุดสัมฤทธ์ิมาตรฐาน) วิทยาศาสตร์
ม.3 เลม่ 2 หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 8 ปฏิสัมพนั ธ์ในระบบสรุ ยิ ะและเทคโนโลยีอวกาศ ลงในสมดุ ประจาตวั

ชวั่ โมงท่ี 2

ขนั้ ท่ี 2 สารวจค้นหา (Explore)
5. ให้นักเรียนแบ่งกล่มุ กลมุ่ ละ 3-5 คน เพอ่ื ศึกษาขอ้ มูล เรอื่ ง การเกดิ ฤดูกาล จากหนงั สอื เรียนรายวชิ า
พื้นฐาน (ชุดสัมฤทธิ์มาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 8 ปฏิสัมพันธ์ในระบบ
สุริยะและเทคโนโลยีอวกาศ หรือจากแหล่งการเรยี นรตู้ า่ ง ๆ เชน่ อินเทอรเ์ นต็

198

หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 4 ปฏสิ ัมพันธใ์ นระบบสุริยะและเทคโนโลยีอวกาศ
แผนฯ ที่ 2 การเกิดฤดูกาลและการเคลอ่ื นทีป่ รากฏของดวงอาทิตย์

ขั้นที่ 3 อธบิ ายความรู้ (Explain)
6. นักเรียนและครูร่วมกันสรุปและอภิปรายผล โดยมีประเด็นดังน้ี “โลกหมุนรอบตัวเองไปพร้อมกับ
โคจรรอบดวงอาทิตย์และแกนโลกเอียง เป็นมุมประมาณ 23.5 องศาไปจากแนวตั้งฉาก จึงทาให้การ
โคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์จะมีลักษณะที่ แกนโลกเอียง 23.5 องศากับแนวต้ังฉากของระนาบทาง
โคจรทาให้ส่วนต่าง ๆ บนโลกได้รับปริมาณแสง จากดวงอาทิตย์แตกต่างกันในรอบปีส่งผลให้มี
อณุ หภูมติ า่ งกนั รวมท้ังช่วงเวลากลางวนั และกลางคืน ยาวนานไม่เทา่ กัน เกดิ เป็นฤดูกาล (season)”
7. ให้นักเรียนทา Exercise 1.2 จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน (ชุดสัมฤทธิ์มาตรฐาน) วิทยาศาสตร์
ม.3 เลม่ 2 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 8 ปฏิสัมพนั ธ์ในระบบสุรยิ ะและเทคโนโลยีอวกาศ ลงในสมุดประจาตัว

ชัว่ โมงที่ 3

ขั้นที่ 2 สารวจคน้ หา (Explore)
8. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน เพ่ือทากิจกรรมการสร้างแบบจาลองการโคจรของโลกรอบดวง
อาทิตย์ จากหนังสือเรียนรายวชิ าพ้ืนฐาน (ชุดสัมฤทธ์ิมาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2 หน่วยการ
เรียนรู้ท่ี 8 ปฏิสัมพันธ์ในระบบสุริยะและเทคโนโลยีอวกาศ โดยมีจุดประสงค์เพ่ือศึกษาการเกิด
ฤดูกาลที่เกิดจากการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์และศึกษาทิศทางการเคลื่อนที่ปรากฏของดวง
อาทติ ย์
9. ให้ตัวแทนแต่ละกลุ่มออกมารับวัสดุอุปกรณ์กิจกรรมการสร้างแบบจาลองการโคจรของโลกรอบ
ดวงอาทิตย์ ท่ีหน้าชั้นเรียนจากนั้นให้แต่ละกลุ่มลงมือทากิจกรรมตามข้ันตอนจากหนังสือเรียน
รายวิชาพื้นฐาน (ชุดสัมฤทธ์ิมาตรฐาน) วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 2 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 8 ปฏิสัมพันธ์ใน
ระบบสุริยะและเทคโนโลยีอวกาศ และบันทึกผลการทดลองที่ได้ลงในใบบันทึกผลการทดลอง เรื่อง
แบบจาลองการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์

ข้นั ที่ 3 อธิบายความรู้ (Explain)
10. ครูสุ่มนักเรียนจานวน 2-3 กลุ่ม เพื่อออกมานาเสนอผลการทดลอง เรื่อง แบบจาลองการโคจรของ
โลกรอบดวงอาทติ ย์ ที่หนา้ ช้ันเรยี น
11. นักเรยี นและครูร่วมกันอภิปรายผลที่จากการทดลอง ดงั น้ี “การทีโ่ ลกโคจรรอบดวงอาทติ ยใ์ นลกั ษณะ
ท่ีแกนโลกเอียง ส่งผลให้แต่ละตาแหน่งบนโลกได้รับปริมาณแสงอาทิตย์ต่างกันส่งผลให้เกิดเป็น
ฤดูกาล และเมอ่ื สังเกตเส้นปากกาท่ีไดจ้ ากกจิ กรรมจะเห็นได้ วา่ ตาแหน่งท่ีดวงอาทิตย์ขึ้นตรงทางทิศ
ตะวันออกและตกลงทางทิศตะวันตกมีเพยี งตาแหน่งที่ 1 และ ตาแหน่งที่ 3 แสดงวา่ ดวงอาทติ ย์ไม่ได้
ขึน้ และตกในตาแหน่งเดมิ ในทุก ๆ วนั ”

199


Click to View FlipBook Version