The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by สุนีรัตน์ ชูช่วย, 2021-11-09 00:47:40

วิจัยเล่ม

วิจัยเล่ม

3. ชุดการสอนรายบุคคล เป็นชุดการเรียนการสอนท่ีให๎ผ๎ูเรียนศึกษาความรู๎ด๎วยตนเอง
ผู๎เรียนจะเรียนรู๎ตามข้ันตอนที่กาหนดไว๎ในชุดการเรียนการสอน ซ่ึงสามารถศึกษาได๎ทั้งในและนอก
ห๎องเรยี น เมือ่ ศึกษาครบขน้ั ตอนผ๎เู รียนสามารถประเมินผลการเรยี นของตนเองได๎ดว๎ ย
ตนเอง

4. ชดุ การสอนแบบผสม เปน็ ชดุ การเรยี นการสอนทีม่ ีการจัดกจิ กรรมหลากหลาย บางครั้ง
ตอนผ๎สู อนอาจใชว๎ ิธีการบรรยายประกอบการใช๎สื่อ บางข้ันตอนผู๎สอนอาจให๎ผ๎ูเรียนศึกษาความรู๎ด๎วย
ตนเองเป็นรายบุคคล หรืออาจให๎ผู๎เรียนศึกษาความรู๎จากชุดการเรียนการสอนโดยใช๎กิจกรรมกลุํม
เปน็ ตน๎

สรปุ ได๎วาํ ชดุ การสอน (Instructional Package) จาแนกได๎หลายประเภทข้ึนอยํูกับวําจะ
ยึดหลักการใดเป็นสาคัญ แตํท่ีเหมาะสมสาหรับครูนาไปจัดการศึกษาสามารถจัดทาได๎ 4 รูปแบบ คือ
ชุดการสอนประกอบการบรรยาย ชุดการสอนแบบกลํุมกิจกรรม ชุดการสอนรายบุคคล และชุดการ
สอนแบบผสม

องคป์ ระกอบสาคญั ของชดุ การสอน

นักการศึกษาได๎กาหนดองคป์ ระกอบของชดุ การสอนไวต๎ าํ ง ๆ ทัศนะกนั ดงั ตํอไปนี้
ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2523 : 120) ไดจ๎ าแนกองค์ประกอบของชดุ การสอนไว๎ 4 สวํ น ดงั น้ี
คอื
1. คํูมอื สาหรบั ครูใช๎ชดุ การสอน และผูเ๎ รยี นทตี่ ๎องเรียนจากชดุ การสอน
2. เน้ือหาสาระและสือ่ โดยจัดให๎อยูํในรปู ของส่ือการสอนแบบประสมและกจิ กรรมการ
เรยี นการสอนแบบกลุํม และรายบคุ คลตามวัตถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม
3. คาส่งั หรือการมอบงาน เพ่ือกาหนดแนวทางในการดาเนินงานให๎นักเรียน
4. การประเมนิ ผล เป็นการประเมินผลของกระบวนการ ได๎แกํ แบบฝึกหัดรายงานการ
คน๎ คว๎า และผลการเรยี นรใ๎ู นรูปแบบตาํ ง ๆ
บญุ ชม ศรสี ะอาด (2541 : 95-96) ได๎กาหนดองค์ประกอบของชดุ การสอนประกอบดว๎ ย
4 ด๎าน ดังนี้
1. คมํู อื การใช๎ชดุ การสอน เป็นคมูํ ือทจี่ ดั ทาขึ้นเพ่ือให๎ผใ๎ู ชช๎ ุดการสอนศึกษาและปฏิบัตติ าม
เพ่อื ให๎บรรลุผลอยาํ งมปี ระสิทธภิ าพ อาจประกอบดว๎ ยแผนการสอน ส่ิงทค่ี รูต๎องเตรยี มกํอนสอน
บทบาทของผูเ๎ รยี นและการจัดช้ันเรียน

2. บัตรงาน เปน็ บตั รท่มี ีคาสง่ั วําจะใหผ๎ ๎เู รยี นปฏิบัตอิ ะไรบ๎าง โดยระบุกจิ กรรมตามลาดบั
ขั้นตอนของการเรียน

3. แบบทดสอบวัดผลความก๎าวหนา๎ ของผูเ๎ รียน เปน็ แบบทดสอบท่ใี ชต๎ รวจสอบวาํ
หลงั จากเรยี นชุดการสอนจบแล๎วผ๎ูเรยี นเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามจุดประสงค์การเรยี นร๎ทู ก่ี าหนดไว๎
หรือไมํ

4. สอื่ การเรียนตาํ ง ๆ เป็นส่อื สาหรับผเ๎ู รยี นได๎ศกึ ษามีหลายชนิดประกอบกันอาจเป็น
ประเภทสิง่ พิมพ์ เชํน บทความ เนอ้ื หาเฉพาะเรอื่ ง จลุ สาร บทเรียนโปรแกรม หรอื ประเภท
โสตทศั นปู กรณ์ เชนํ รปู ภาพ แผนภมู ิตําง ๆ เทปบนั ทึกเสียง ฟิล์มสตริป สไลด์ ของจรงิ เป็นตน๎

บญุ เก้อื ควรหาเวช (2542 : 95-97) ไดจ๎ าแนกองค์ประกอบของชุดการสอนออกเปน็ 4
สวํ น ดังนี้

1. คํูมือครู เป็นคูํมือและแผนการสอนสาหรับผู๎สอนหรือผ๎ูเรียนตามแตํชนิดของชุดการ
สอน ภายในคํมู อื จะชี้แจงถงึ วิธีการใช๎ชดุ การสอนเอาไวอ๎ ยาํ งละเอยี ด อาจทาเปน็ เลมํ หรือเป็นแผํนพับ
ก็ได๎

2. บัตรคาส่ังหรือคาแนะนา จะเป็นสํวนท่ีบอกให๎นักเรียนดาเนินการเรียนหรือประกอบ
กิจกรรมแตํละอยํางตามขั้นตอนที่กาหนดไว๎ บัตรคาสั่งจะอยํูภายในชุดการสอนแบบกลํุมและ
รายบุคคล ประกอบด๎วยคาอธิบายในเรื่องท่ีจะศึกษาคาสั่งให๎ผู๎เรียนดาเนินกิจกรรมและการสรุป
บทเรียน

3. ใบความรู๎และส่ือ จะบรรจุไว๎ในรูปของสื่อการสอนตําง ๆ อาจจะประกอบด๎วย
บทเรียนโปรแกรม สไลด์ เทปบันทึกเสียง ฟิล์มสตริป แผํนภาพโปรํงใส หํุนจาลองรูปภาพ เป็น
ตน๎

4. แบบประเมิน ผ๎ูเรียนจะทาการประเมินผลความร๎ูด๎วยตนเองกํอนและหลังเรียนแบบ
ประเมินผลท่ีอยํูในชดุ การสอนอาจจะเป็นแบบฝึกหัดจับคหํู รือให๎ทากจิ กรรม เปน็ ต๎น

วาโร เพง็ สวัสดิ์ (2546 : 34-35) ไดก๎ ลําวถึงองคป์ ระกอบของชดุ การสอนไว๎ 4 สวํ น ดงั นี้
1. คมํู ือครู ซ่ึงอาจจัดทาเป็นเลํม หรือแผนํ โดยมสี ํวนตําง ๆ ดังน้ีคาชีแ้ จง สง่ิ ท่ีผู๎สอนต๎อง
เตรียม บทบาทของผ๎เู รียน การจดั ชั้นเรยี นพรอ๎ มแผนผงั แผนการสอนเนื้อหาสาระประจาศูนย์ตําง ๆ
การประเมินผล (แบบทดสอบกํอนและหลงั เรียน)
2. แบบฝึกหัด (workbook) เป็นคํูมือของผู๎เรียนท่ีใช๎ประกอบกิจกรรมการเรียน บันทึก
คาอธิบายของผู๎สอนและใบงาน หรือแบบฝึกหัดตามที่กาหนดไว๎ในบัตรกิจกรรมแบบฝึกปฏิบัติอาจ
แยกเป็นชดุ ชุดละ
1-3 หนา๎ หรอื นามารวมกนั เปน็ เลมํ ก็ได๎

3. ส่ือสาหรับศูนย์กิจกรรม จะประกอบไปด๎วยบัตรคาส่ัง บัตรเน้ือหาบัตรกิจกรรม บัตร
คาถาม และบัตรเฉลย รวมท้ังบทความ บทเรียนแบบโปรแกรม สไลด์ เทปบันทึกเสียง ฟิล์ม-สตริป
แผนํ ภาพโปรงํ ใส วัสดุกราฟิก หํุนจาลอง ของตัวอยําง เป็นต๎น ผ๎ูเรียนจะศึกษาจากสื่อการสอนตําง ๆ
ท่บี รรจอุ ยใูํ นชุดการสอนตามบัตรคาท่ีกาหนด

4. แบบประเมินผล ผู๎เรียนจะทาการประเมนิ ผลความร๎ดู ว๎ ยตนเองกํอนและหลงั เรยี น
แบบประเมนิ ทอี่ ยูํในชดุ การสอนอาจจะเป็นแบบฝึกหดั การเติมคาในชํองวาํ ง การเลือกตอบการจับคูํ
เป็นต๎น

ชัยยงค์ พรหมวงศ์, บญุ เลิศ สํองสวาํ ง และวาสนา ทวีกุลทรัพย์ (2551 : (14- 34) ได๎
กลาํ วถงึ องคป์ ระกอบของชดุ การสอนโดยแยกเป็นประเภท แตํจะนาเสนอเฉพาะองคป์ ระกอบของชุด
การสอนแบบกลํมุ กจิ กรรม และมอี งค์ประกอบ ดังนี้

1. คํูมือการใช๎ชุดการสอน เป็นเอกสารการชีแ้ นะแนวทางให๎ผู๎ใชค๎ ํูมอื การใชช๎ ุดการสอน
อาจจะทาเปน็ แผนํ หรอื เลํมก็ได๎ประกอบดว๎ ย คานา สํวนประกอบของชุดการเรียนการสอน คาชีแ้ จง
สาหรบั ผู๎ใช๎ สิ่งทผี่ ูส๎ อนและผเ๎ู รยี นตอ๎ งเตรียม บทบาทของผ๎ูสอนและผ๎เู รียน การจดั ชนั้ เรียน แผนการ
สอน เน้ือหาสาระของชดุ การเรยี นการสอน แบบฝึกปฏบิ ตั ิพรอ๎ มเฉลย แบบทดสอบกํอนและหลังเรยี น
พรอ๎ มเฉลย

2. แบบฝึกปฏิบัติ เป็นคูํมือของผู๎เรียนต๎องใช๎ควบคํูกับชุดการสอนเพื่อเป็นแนวทางให๎
ผู๎เรียนดาเนินไปจนบรรลุจุดหมายอยํางมีประสิทธิภาพ แบบฝึกปฏิบัติอาจจะเป็นแผํนหรือเลํมก็ได๎
ประกอบดว๎ ย คาช้แี จง แผนการสอน บนั ทกึ สาระสาคญั แตลํ ะศูนย์ และกจิ กรรมที่กาหนด

3. เนอื้ หาสาระ การถํายทอดเน้ือหาสาระจะผํานทางสื่อ เนื้อหาสาระท่ีใช๎ถํายทอดต๎องมี
การจาแนกเป็นลาดับหัวข๎อยํอยหรือประเด็น เชํน บัตรเนื้อหา แผํนคาสอน เอกสารคาสอน เทป
บนั ทกึ เสยี ง เทปบนั ทึกภาพ สไลด์ เป็นต๎น

4. สอื่ ในการเสนอเนอ้ื หาอาจจะต๎องมีสอ่ื ประกอบเน้ือหาสาระ เพื่อให๎ผ๎ูเรียนเข๎าใจเน้ือหา
สาระชัดเจน เชํน ใช๎บัตรเน้ือหาในการถํายทอดเนื้อหาสาระ อาจมีภาพการ์ตูน หรือเทปบันทึกเสียง
ฯลฯ ประกอบเนือ้ หาสาระ หรือใชเ๎ ทปบันทกึ ภาพในการถํายทอดเนื้อหาสาระอาจจะต๎องมีสื่อสิ่งพิมพ์
สรุปคาบรรยายในเทปบันทึกภาพ เพอ่ื ใหผ๎ ๎เู รยี นเข๎าใจเน้ือหาสาระชัดเจนข้นึ

5. การประเมิน องค์ประกอบท่ีสาคัญ และขาดไมํได๎ในชดุ การสอนคือ การประเมนิ และ
การประเมนิ ตอ๎ งประเมินพฤติกรรมตํอเน่ืองหรือเรยี กวาํ กระบวนการ คือการประเมนิ จากงานท่ี
ผู๎เรยี นทาในแบบฝึกปฏบิ ัตหิ รือกิจกรรมอื่นทีผ่ ๎ูสอนกาหนดให๎ทา และประเมินพฤติกรรมครง้ั สดุ ท๎าย
เป็นการประเมินการเรียนของผ๎เู รยี น และประเมินจากแบบทดสอบหลงั เรียน

สรุปได๎วํา องค์ประกอบของชุดการสอน นักการศึกษาได๎กาหนดองค์ประกอบมีลักษณะ
คล๎าย ๆ กัน จะแตกตํางกันบ๎างก็ข้ึนอยํูกับชนิดยํอยของชุดการสอนแตํละประเภท ในการวิจัยครั้งน้ี
ผ๎ูวิจัยได๎จัดทาองค์ประกอบ คือ คูํมือการจัดการเรียนรู๎โดยใช๎ชุดการสอน ซ่ึงภายในเลํมประกอบด๎วย
คาชี้แจงเกย่ี วกับ
ชุดการสอน คาช้ีแจงสาหรับครู คาชี้แจงสาหรับนักเรียน แบบทดสอบกํอนเรียน บัตรเนื้อหา บัตร
คาถาม บัตรฝึกทักษะ แบบทดสอบหลังเรียน แบบเฉลยทดสอบกํอนและหลังเรียน เฉลยบัตรคาถาม
เฉลยบตั รฝึกทกั ษะ สาหรับชุดการสอนบางชุดท่ีมกี ารทดลองจะมีบัตรกจิ กรรม และเฉลยบตั รกจิ กรรม

ขนั้ ตอนการผลิตชุดการสอน

กํอนจะลงมือสร๎างชุดการสอน ผู๎สร๎างจะต๎องร๎ูหลักการและข้ันตอนการสร๎างชุดการสอน
กํอนวํา จะต๎องดาเนินการอยํางไร และได๎มีนักการศึกษาหลายทํานได๎เสนอแนวคิดเก่ียวกับขั้นตอนในการผลิตชุด
การสอน ไว๎ตาํ ง ๆ กัน ดงั นี้

ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2523 : 122-123) ได๎กลําวถึงขนั้ ตอนในการผลติ ชดุ การสอนไว๎ 10
ขั้น ดังนี้

1. กาหนดหมวดหมํูเนอ้ื หาและประสบการณ์ อาจกาหนดเป็นหมวดวชิ า หรอื บรู ณาการ
เปน็ แบบสหวิทยาการตามท่ีเหมาะสม

2. กาหนดหนํวยการเรียนรู๎ แบํงเนอ้ื หาวชิ าออกเป็นหนวํ ยการเรยี นรู๎ เพื่อให๎ครูสามารถ
ถํายทอดความรู๎แกนํ กั เรียนได๎ในหน่ึงสัปดาหห์ รอื หนงึ่ คร้งั

3. กาหนดหัวเร่ือง ผ๎ูสอนจะต๎องถามตนเองวํา ในการสอนแตํละหนํวยการเรียนรู๎ ควรให๎
ประสบการณแ์ กผํ ๎ูเรยี นอยํางไรบ๎างแลว๎ กาหนดออกมาเป็น 4-6 หวั เรือ่ ง

4. กาหนดมโนทัศน์และหลักการ มโนทัศน์ และหลักการท่ีกาหนดข้ึนจะต๎องสอดคล๎อง
กับหนํวยและหัวเรื่อง โดยสรุปรวมแนวคิด สาระ และหลักเกณฑ์ท่ีสาคัญไว๎เพ่ือเป็นแนวทางการจัด
เนอ้ื หามาสอนให๎สอดคลอ๎ งกนั

5. กาหนดวตั ถุประสงคใ์ ห๎สอดคล๎องกบั หัวเร่ือง เป็นจุดประสงค์ทั่วไปกํอนแล๎ว
เปลี่ยนเป็นจดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรมทีต่ ๎องมเี งอื่ นไข และเกณฑก์ ารเปล่ียนพฤตกิ รรมไวท๎ ุกคร้งั

6. กาหนดกิจกรรมการเรียน ให๎สอดคล๎องกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมซ่ึงจะเป็น แนว
ทางการเลือกและการผลิตสื่อการสอน “กิจกรรมการสอน” หมายถึง กิจกรรมทุกอยํางที่ผู๎เรียน
ปฏบิ ัติ เชนํ การอาํ นบัตรคาสงั่ ตอบคาถาม เขียนภาพ ทาการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ฯลฯ

7. กาหนดแบบประเมินผล ต๎องประเมินผลให๎ตรงกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม โดยใช๎
แบบทดสอบองิ เกณฑ์ เพือ่ ให๎ผ๎ูสอนทราบวําหลังจากผํานกิจกรรมมาเรียบร๎อยแล๎วนักเรียนได๎เปลี่ยน
พฤติกรรมการเรยี นรตู๎ ามวัตถุประสงคท์ ี่ตงั้ ไวห๎ รอื ไมํ

8. เลือกและผลิตสื่อการสอน วัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการท่ีครูใช๎ถือเป็นส่ือการเรียนการ
สอนทั้งสิ้น เม่ือผลิตส่ือการสอนของแตํละหัวเร่ืองแล๎ว ก็จัดสื่อการสอนเหลํานั้นไว๎เป็นหมวดหมํู ใน
กลอํ งทีเ่ ตรยี มไว๎กอํ นนาไปทดลองหาประสทิ ธิภาพ

9. หาประสิทธิภาพชุดการสอน เพ่ือเป็นการประกันวําชุดการสอนที่สร๎างข้ึนมี
ประสิทธิภาพในการสอนผ๎ูสร๎างจาตอ๎ งกาหนดเกณฑ์ขนึ้ ลํวงหน๎า โดยคานึงถึงหลักการท่ีวําการเรียนรู๎
เปน็ กระบวนการเพอ่ื ชวํ ยใหก๎ ารเปลี่ยนพฤตกิ รรมของผเู๎ รียนบรรลผุ ล

10. การใช๎ชดุ การสอน ชดุ การสอนท่ีไดป๎ รับปรงุ และมีประสิทธภิ าพตามเกณฑ์ที่ตัง้ ไว๎
แลว๎ สามารถนาไปสอนผเ๎ู รียนได๎ตามประเภทของชดุ การสอนและตามระดับการศึกษา โดยกาหนด
ขั้นตอนในการการใช๎ดงั นี้

10.1 ให๎ผู๎เรยี นทาแบบทดสอบกอํ นเรียน เพอื่ พจิ ารณาพน้ื ความรู๎เดมิ ของผ๎เู รียน
10.2 ข้ันนาเข๎าสูํบทเรียน
10.3 ขนั้ ประกอบกจิ กรรมการเรยี น (ขนั้ สอน)
10.4 ข้นั สรปุ ผลการสอน เพื่อสรุปมโนทัศน์และหลกั การที่สาคญั
10.5 ทาแบบทดสอบหลังเรยี น เพอ่ื ดูพฤติกรรมการเรยี นรู๎ทเี่ ปลีย่ นไป
จากข๎อความท่ีกลาํ วมาพอสรุปไดว๎ าํ การสร๎างชดุ การสอนต๎องมีการวางแผนกาหนด
เน้ือหา จุดมงุํ หมาย ส่อื การเรียนการสอน เวลาทีใ่ ช๎ พร๎อมท้ังมกี ารวดั และประเมนิ ผลแล๎วทาการ
ทดลองใช๎เพอื่ ปรับปรุงแก๎ไขข๎อบกพรอํ งแลว๎ นาชดุ การเรียนการสอนไปใช๎สอนจริง

สรุปจากการศึกษาเอกสารเกี่ยวกับชุดการสอน สรุปได๎วํา ชุดการสอน หมายถึงสื่อ
ประเภทหนึ่งที่มีจุดมํุงหมายเฉพาะเรื่องที่สอน โดยมีระบบการผลิตและการนาเสนอส่ือการสอนที่
สอดคล๎องกับวิชา หนํวย หัวเร่ืองและวัตถุประสงค์ เพ่ือชํวยให๎ผ๎ูเรียนเกิดการเรียนรู๎ได๎อยํางมี
ประสิทธิภาพตามจุดมุํงหมายท่ีวางไว๎ ซึ่งแตํละชุดจะประกอบด๎วย คาชี้แจงสาหรับครู คํูมือครูและ
หรือคูํมือนักเรียน กิจกรรมการเรียนการสอน และมีการกาหนดจุดมํุงหมายของการเรียนไว๎อยําง
ชดั เจน ดังนนั้ ชุดการสอนจึงเปน็ สื่อการสอนที่สามารถชํวยใหน๎ ักเรียนสามารถเรยี นรูจ๎ นถึงข้ันรอบร๎ูได๎
เทําเทยี มกนั ทุกคนโดยให๎เวลากับผ๎ูเรยี นอยาํ งเพียงพอเหมาะสมกบั สภาพความเป็นจริงของปัญหาและ
ด๎านเนื้อหาวิชาสาหรับการศึกษาวจิ ยั ในคร้ังนี้

ประสิทธภิ าพและดัชนปี ระสิทธผิ ล

ประสิทธภิ าพ

การจัดการเรียนร๎ูที่มีการพัฒนารูปแบบหรือนวัตกรรมใหมํ ๆ จาเป็นอยํางยิ่งท่ีจะต๎อง
ทดลองใช๎และหาประสิทธิภาพของการจัดกิจกรรมการเรียนร๎ู เพื่อให๎เกิดความมั่นใจในการนาไปใช๎
ตํอไป

มณีรัตน์ จันทร์หมื่น (2555:46 )กลําววํา ประสิทธิภาพ หมายถึง คุณภาพด๎าน
กระบวนการและผลลัพธ์ประสิทธิภาพที่วัดออกมาจะพิจารณาจากเปอร์เซ็นต์การทาแบบฝึกหัดหรือ
กระบวนการ กับเปอร์เซ็นต์การทาแบบทดสอบเมื่อจบบทเรียน แสดงคําเป็นตัวเลข 2 ตัวเชํน
E1/E2 = 80/80 , E1/E2 = 85/85 , E1/E2 = 90/90 เปน็ ต๎น โดยตัวเลข ตัวแรก คือ เปอร์เซ็นต์
ที่เกิดจากคะแนนท่ีได๎ระหวํางการดาเนินการ ถือเป็นประสิทธิภาพของกระบวนการและ ตัวเลข ตัว
หลังคือ เปอร์เซ็นต์ที่เกิดจากคะแนนท่ีได๎จากการสอน ถือเป็นประสิทธิภาพของผลลัพธ์
ประสิทธภิ าพของแผนการจัดการเรียนร๎ู คือ ประสิทธิภาพของกระบวนการ และประสิทธิภาพของ
ผลลัพธ์

ประสิทธิภาพของกระบวนการ E1

บุญชม ศรีสะอาด และคนอ่ืน ๆ (2552 : 113) ได๎กลําวถึง การหาประสิทธิภาพของ

กระบวนการ วาํ เป็นคาํ ท่ีบํงบอกวําแผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู๎นั้นสามารถพัฒนาผู๎เรียนให๎เกิดการ

เรียนรู๎อยํางตํอเน่ืองหรือไมํภายใต๎สถานการณ์และกิจกรรมที่กาหนดให๎ โดยมีการเก็บข๎อมูลของผล

การเรียนรู๎ ซ่ึงสามารถสะท๎อนให๎เห็นถึงพัฒนาการและความงอกงามของผู๎เรียนได๎ โดยทั่วไปมักจะ

คานวณจากคะแนนท่ีได๎จากการทาแบบทดสอบยํอย หรือคะแนนจากพฤติกรรมการเรียนหรือ

คะแนนจากกิจกรรมการเข๎ากลํุม เป็นต๎น (ไมํใชํคะแนนการทาแบบฝึกหัดหรือแบบฝึกทักษะ) ใน

ระหวาํ งที่ผ๎ูเรียนกาลงั เรียนตามแผนการจัดการการเรียนรู๎ ซึ่งคานวณได๎จากสตู ร

x
N
E1  A 100

เมือ่ E1 คอื สอื่ ประสทิ ธภิ าพของกระบวนการ
 x คือ ผลรวมคะแนนทุกสํวน
A คือ คะแนนเต็มของท้ังหมด
N คือ จานวนผเู๎ รยี น

ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ E2

บุญชม ศรีสะอาด และคนอื่น ๆ (2552 : 114) ได๎กลําวถึง ประสิทธิภาพของผลลัพธ์วํา

เปน็ คําทบ่ี งํ บอกวําแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู๎นัน้ สามารถสํงผลให๎ผ๎ูเรียนเกิดผลสัมฤทธ์ิได๎หรือไมํ

บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป็นไปตามที่กาหนดไว๎ในแผนการจัดการเรียนรู๎มากน๎อยเพียงใด ซ่ึงคานวณ

จากคะแนนทไ่ี ดจ๎ ากการทาแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน (ทดสอบหลังเรียน) ของผ๎ูเรียนทุก

คน ซึ่งคานวณไดจ๎ ากสูตร

Y
N
E2  B 100

เมอื่ E2 คือ ประสทิ ธ์ภิ าพของผลลพั ธ์

 Y คอื ผลรวมของคะแนนจากแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน

B คอื คะแนนเต็มของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น

N คือ จานวนผเู๎ รยี น

หมายเหตุ 1. คาํ ของ N หรือ N คอื คะแนนเฉลี่ยของทกุ กลมํุ เมื่อคณู ด๎วย 100 คอื คะแนนเฉลยี่
A B
คิดเป็นร๎อยละ หรอื เรยี กสั้นๆวํา ร๎อยละของคะแนนเฉลยี่

2. สูตรการหาคาํ E1 และ E2 เป็นการหาประสิทธิภาพของส่อื การสอน (หรือ

ประสิทธิภาพของแผนการสอน) ไมํใชกํ ารหาคาํ สถิติ

จากท่ีกลําวมาสามารถคานวณได๎คําตัวเลขที่บอกถึงประสิทธิภาพของส่ือหรือแผนการจัดการเรียนร๎ู
แตํการท่ีสรุปวําสื่อหรือแผนการจัดการเรียนร๎ูท่ีพัฒนาขึ้นนั้นมีประสิทธิภาพหรือไมํจะต๎องมีการ
กาหนดเกณฑเ์ พื่อใช๎ในการพิจารณา โดยเกณฑ์ดังกลําวนิยมใช๎หลักการเรียนแบบรอบร๎ู (Mastering
Learning) คือ ตงั้ คําไวท๎ ี่ ร๎อยละ 80 และยอมรับความผิดพลาดได๎ไมํเกินร๎อยละ 2.5 ดังน้ันต๎องมี
ประสทิ ธิภาพไมตํ า่ กวํา 80 – 2.5 = 77.5 สวํ นการกาหนดเกณฑค์ วามผดิ พลาดท่ียอมรับได๎ คือไมํควร
เกินร๎อยละ 5 การเลือกเกณฑ์เพื่อกาหนดคําประสิทธิภาพของส่ือการสอนหรือนวัตกรรม ควร
พจิ ารณาจากหลายปัจจัย เชํน ประเภทของส่ือนวัตกรรม สติปัญญาของกลํุมผู๎เรียน วุฒิภาวะของ
ผ๎ูเรียนและวัตถุประสงค์ของการเรียน เป็นต๎น โดยท่ัวไปนวัตกรรมหรือสื่อการสอนท่ีมุํงเน๎นการ
พัฒนาทักษะมักกาหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพต่ากวําการพัฒนาความรู๎ ทั้งน้ีเนื่องจากการพัฒนาทักษะ
ตอ๎ งใช๎เวลามากกวํา ยกตัวอยํางเชํน สอื่ หรือนวัตกรรมทเ่ี น๎นการพัฒนาความรู๎ อาจกาหนด E1/ E2 ท่ี
75/75เปน็ ตน๎

การหาดัชนีประสิทธิผล
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (2551 : 102) เสนอวํา นอกจากจะคานวณหาประสิทธิภาพ
ของส่ือการสอนแล๎วควรจะหาดัชนีประสิทธิผล (Effectiveness Index : E.I) ของส่ือนวัตกรรมทาง
การศึกษาด๎วยจะเป็นคําที่แสดงอัตราการเรียนรู๎ท่ีก๎าวหน๎าขึ้นจากพ้ืนฐานความร๎ูเดิมท่ีมีอยํูแล๎ว
หลังจากท่ีผ๎เู รียนได๎เรยี นจากสอ่ื หรอื นวัตกรรมหรอื แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู๎น้ัน ๆ ซึ่งคานวณได๎
หลายสูตรแตํนิยมใช๎วิธีการหาคํา E.I. ด๎วยวิธีการของกูดแมน (Goodman) เฟรสเชอร์ (Fletchers)
และชไนเดอร์ (Scheneider) ดงั น้ี

ดชั นปี ระสิทธผิ ล = คะแนนรวมจากแบบทดสอบหลังเรียน – คะแนนรวมจากแบบทดสอบ
กอํ นเรียน

ผลคณู ของคะแนนเตม็ กบั จานวนคน – คะแนนรวมจากแบบทดสอบ
กอํ นเรียน

บุญชม ศรีสะอาด และคนอ่ืน ๆ (2552 : 117-118) กลําวไว๎วํา นอกจากผู๎วิจัยจะ
คานวณหาประสิทธิภาพของส่ือการสอนหรือนวัตกรรมทางการศึกษาแล๎ว ควรจะหาคําดัชนี
ประสิทธิผล (Effectiveness Index : E.I.) ของส่ือหรือนวัตกรรมทางการศึกษาด๎วยจะเป็นคําท่ีแสดง
อัตราการเรียนรู๎ที่ก๎าวหน๎าขึ้นจากพื้นฐานความร๎ูเดิมท่ีมีอยํูแล๎วหลังจากที่ผู๎เรียนได๎เรียนจากสื่อหรือ
นวัตกรรมหรือแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู๎นั้น ๆ ซ่ึงคานวณได๎หลายสูตร แตํนิยมใช๎วิธีการหาคํา
E.I. ด๎วยวิธีการของกูดแมน (Goodman) เฟรสเซอร์ (Fletchers) และชไนเดอร์ (Schneider) ดังน้ี

ดัชนีประสิทธผิ ล (E.I.) = คะแนนรวมจากแบบทดสอบหลังเรียน− คะแนนรวมจากแบบทดสอบ
กํอนเรียน

ผลคณู ของคะแนนเตม็ กับจานวนคน−คะแนนรวมจากแบบทดสอบกํอน
เรยี น

1. คําดัชนีประสิทธิผลท่ีคิดเป็นร๎อยละ 59.45 คือ คิดเทียบจาก 100 คะแนน แทนคิด
เทียบ 1.00 และไมํไดแ๎ ปลวาํ มีความรูเ๎ พิ่มเตมิ ข้ึน 59.45 คะแนนจาก 100 คะแนน แม๎จะแปลวํามี
ความกา๎ วหน๎าในการเรียนร๎อยละ 59.45 คะแนน ก็ไมํสามารถส่ือความได๎วําคะแนนความก๎าวหน๎า
เต็ม 100 คะแนน ก๎าวหน๎าได๎ 59.45 คะแนน เพราะเร่ืองของคะแนนอยูํในมาตราอันตรภาค
(Interval Scale) ซึ่งไมํมีศูนย์แท๎ (Absolute Zero) มีแตํศูนย์สมมติ (Arbitrary Zero) ดังน้ันการ
คิดคําดชั นปี ระสทิ ธผิ ลในรูปของรอ๎ ยละ จึงไมมํ คี วามหมายแตกตาํ งไปจากเขยี นให๎อยํูในรปู ทศนยิ ม

2. คําดัชนีประสิทธิผล (E.I.) ระหวํางกลํุมไมํได๎แปลวํากลุํมท่ีมีคํา E.I. สูงกวําจะมี
คณุ ภาพ
การเรียนการสอนสูงกวํากลํุมใดมีคํา E.I. ต่า แสดงวําคะแนนหลังเรียนเสร็จเพ่ิมจากคะแนนกํอน
เรียนน๎อย ซ่ึงไมํได๎แปลวําไมํดี หรือมีพัฒนาการน๎อยต๎องแปลวําโดยเฉลี่ยกํอนเรียนนักเรียนมีความร๎ู
มากอยํูแล๎วหลังเรียนจึงได๎คะแนนเพิ่มข้ึนเล็กน๎อย หรือเกือบได๎คะแนนเต็มมักจะเป็นลักษณะของ
นักเรียนกลํุมเกํง สํวนคํา E.I.สูง ๆ แสดงวําคะแนนกํอนเรียนมีน๎อย (มีความรู๎น๎อย) หลังเรียนมี
คะแนนเพิ่มขึ้นมาก (ความร๎ูมากขน้ึ ) จงึ เป็นส่ิงทดี่ ีแตํไมคํ วรแปลวาํ ดีกวํากลํมุ ที่ได๎คาํ E.I. น๎อย ๆ

3. การหาคํา E.I. ตอ๎ งมีการสอบกํอนเรียนและหลงั เรยี น เชนํ เดยี วกับการเปรียบเทียบ
คะแนนกํอนเรียนและหลังเรียน โดยการทดสอบสมมติฐานด๎วย t – test (Dependent Samples)
ดังนนั้ จึงหาคาํ E.I. หรอื t – test อยาํ งใดอยํางหนึง่ กเ็ พียงพอ (ไมํควรทาทงั้ สองอยําง)

มณีรตั น์ จันทร์หมนื่ (2555 : 47) กลําววํา ดชั นีประสิทธผิ ลของแผนการจัดกจิ กรรมการ
เรียนร๎ู หมายถงึ คาํ ที่แสดงความก๎าวหนา๎ ในการเรียนซึ่งวเิ คราะห์จากคะแนนผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน
กํอนเรยี น และหลงั เรียน ดัชนีประสิทธผิ ลจะเปน็ ตัวชถี้ ึงขอบเขตและประสทิ ธิภาพสงู สุดของส่ือและ
การสอน

จากการศึกษาการหาคําดัชนีประสิทธิผล สรุปได๎วํา คําดัชนีประสิทธิผลเป็นคําท่ีแสดง
อัตราการเรยี นร๎ูทก่ี า๎ วหนา๎ ขึ้นจากพ้ืนฐานความรู๎เดิมที่มีอยูํแล๎ว หลังจากที่ผู๎เรียนได๎เรียนจากส่ือหรือ
นวตั กรรมหรอื แผนการจัดการเรยี นรู๎น้นั ๆ

ความพงึ พอใจ

ความหมายของความพงึ พอใจ

ไดม๎ ีนักวชิ าการ และนักจิตวิทยาหลายทํานใหค๎ าจากดั ความหรือความหมายของความพึง
พอใจไว๎ ดงั นี้

จุไรรัตน์ วงศ์ชํวย (2550 : 39) กลําววํา ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู๎สึก
(Feeling) มีความสุข เม่ือคนเราได๎รับผลสาเร็จตามจุดมุํงหมาย (Goals) ความต๎องการ (Want)
หรือแรงจงู ใจ (Motivation)

รพีพรรณ เพียรเสมอ (2550 : 60) กลําววํา ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู๎สึกหรือ
อารมณ์ หรือเจตคติท่ีมีตํอการทางานในด๎านท่ีดี ดังนั้น ความพึงพอใจในการเรียนร๎ูจึงหมายถึง

ความร๎ูสึกพอใจ ชอบ ยินดี เต็มใจ มีความสุข ในการรํวมปฏิบัติกิจกรรมการเรียนการสอนอยําง
ตอํ เนื่อง และมากขึ้น จนสามารถดาเนนิ กิจกรรมน้ัน ๆ จนประสบผลสาเรจ็ ตามวัตถุประสงค์

ชวลิต ชูกาแพง (2551 : 107) ได๎สรุปความหมายของความพึงพอใจ คือความสนใจ ช่ืน
ชอบและเต็มใจในการปฏิบัติกิจกรรมน้ัน ๆ และพึงพอใจจนเกิดความสนุกสนานและเพลิดเพลิน
ตัวอยาํ ง เชนํ รอ๎ งราทาเพลงกบั คนอน่ื ด๎วยความสนุกสนานพอใจ สนุกกับบทละครวิทยุโทรทัศน์ สนุก
กับการสนทนาเร่ืองใดเรื่องหนึ่ง สนุกกับการเลํนเกมตัวเลข ฯลฯ การแสดงความสนุกสนานพึงพอใจ
น้ัน บางคนอาจจะแสดงออกมาให๎เห็นได๎อยํางเปิดเผย แตํบางคนอาจจะไมํแสดงออกมาให๎เห็นได๎
อยาํ งเปิดเผย การประเมนิ ด๎านความพึงพอใจจึงต๎องอาศัยความรอบคอบ

คมสัน อทุ ยั วัฒน์ (2554 : 46) กลําววํา ความพึงพอใจ คือความรู๎สึก หรือเจตคติของ
บุคคลที่มีตํอส่ิงตําง ๆ ในสถานการณ์หน่ึง ๆ ท่ีเอนเอียงไปในทางบวก มีความยินดี สนุก เต็มใจ มี
ความสุข หรือมีเจตคติท่ีดีตํอการปฏิบัติงาน ซ่ึงเป็นพฤติกรรมที่บุคคลแสดงออกมาหลังจากท่ีได๎รับ
ประสบการณ์ในสิง่ ท่ตี รงตามความตอ๎ งการ หรือเปน็ ความร๎ูสกึ มีความสุขเมือ่ ได๎รบั ผลสาเร็จตามความ
มุํงหมาย ดงั นน้ั ความพงึ พอใจในการเรยี น จึงหมายถงึ ความรส๎ู กึ ของผ๎เู รยี นทม่ี คี วามสุข ชอบ เต็ม
ใจในการรํวมกิจกรรมการเรียนการสอนของครูผ๎ูสอน และมีผลทาให๎การดาเนินกิกรรมการเรียนการ
สอนของครูบรรลุผลสาเรจ็ ตามวตั ถุประสงค์

อาไพ แกํนค๎างพลู ( 2555 : 37) กลําววํา ความพึงพอใจ หมายถึง ความร๎ูสึกของ
บุคคลตํอส่ิงตําง ๆ ในทางบวก เชํนความร๎ูสึกชอบ พอใจ ประทับใจ ภาคภูมิใจ ยินดี มีความสุข
ในการมีสํวนรํวมในกิจกรรม และมีความต๎องการ หรอื ความมํุงม่ันในการทากิจกรรม

มณีรัตน์ จนั ทรห์ มน่ื (2555 : 37) กลําววํา ความพึงพอใจ หมายถงึ ความร๎สู กึ ของ
บคุ คลตํอสง่ิ ตาํ ง ๆ ในทางบวก เชนํ ความรู๎สกึ ชอบ พอใจ ประทบั ใจ ภาคภมู ิใจ ยนิ ดี มีความสุขใน
การมีสวํ นรวํ มในกิจกรรม และมคี วามต๎องการ หรอื ความมํุงมัน่ ในการทากิจกรรม

จากท่กี ลําวข๎างต๎นสรุปได๎วํา ความพึงพอใจ คือ ความรู๎สึกทําทีของบุคคลที่มีตํอส่ิงตําง
ๆ ในสถานการณห์ น่งึ ๆ ท่ีเอนเอียงไปในทางบวก ซ่ึงพฤติกรรมที่บุคคลแสดงออกมาหลังจากท่ีได๎รับ
ประสบการณ์ในสิ่งที่ตรงตามความต๎องการ หรือเป็นความร๎ูสึกมีความสุข เมื่อได๎รับผลสาเร็จตาม
ความมงํุ หมาย ดงั นน้ั ความพงึ พอใจในการเรียน จึงหมายถงึ ความคิดเห็น หรือความรู๎สึกในทางท่ี
ดขี องนักเรยี นท่ีมีตอํ การเรยี นร๎ู และการดาเนินกิจกรรมน้นั ๆ จนบรรลคุ วามสาเร็จ

ทฤษฎเี กยี่ วกบั ความพงึ พอใจ

นักวิชาการได๎พัฒนาทฤษฏที ่ีอธิบายองค์ประกอบของความพึงพอใจในงานและอธิบายความสมั พนั ธ์
ระหวํางความพึงพอใจในงานกับปัจจยั อน่ื ๆ ไว๎หลายทฤษฏี

โคร์แมน (Kornman, A.K., 1977 อ๎างอิงในสมศักด์ิ คงเท่ียง และอัญชลี โพธิ์ทอง.
2542 : 161-162) ไดจ๎ าแนกทฤษฏคี วามพงึ พอใจในงานออกเป็น 2 กลมุํ คอื

1. ทฤษฏีการตอบสนองความต๎องการ (Need Fullilment Theory) กลํุมน้ีถือวําความ
พึงพอใจในงานเกิดจากความต๎องการสํวนบุคคลท่ีมีความสัมพันธ์ตํอผลที่ได๎รับจากงานกับการประสบ
ความสาเรจ็ ตามเปา้ หมายสํวนบคุ คล

2. ทฤษฏีการอ๎างอิงกลุํม (Reference-Group Theory) ความพึงพอใจในงาน
ความสัมพันธ์ในทางบวกกับคุณลักษณะของงานตามความปรารถนาของกลํุม ซ่ึงสมาชิกในกลํุม เป็น
แนวทางในการประเมินผลการทางานของงาน

ทฤษฏีที่มชี ื่อเสียงที่สุด คือ ทฤษฏีจูงใจ (Motivation Theory) ของมาสโลว์ (Maslow,
1970 : 80-81) หรือที่เรียกวําทฤษฏีท่ัวไปเก่ียวข๎องกับการจูงใจ (Maslow’s Gemenal Theory of
Human Motivation) ซ่ึงมาสโลว์ ตั้งสมมติฐานแหํงส่ิงจูงใจจากความต๎องการของมนุษย์ไว๎วํา
มนุษย์มีความต๎องการอยูํเสมอ ความต๎องการใดได๎รับการตอบสนองแล๎วจะไมํเป็นสิ่งจูงใจอีกตํอไป
แตํความต๎องการที่ยังไมํได๎รับการตอบสนองน้ันจะเป็นส่ิงจูงใจแทน และมาสโลว์ ได๎ลาดับข้ันความ
ตอ๎ งการของมนุษยจ์ ากระดบั ตา่ ถึงระดับสูง ซงึ่ แบงํ เป็น 5 ข้ัน ดังนี้

1. ความต๎องการด๎านรํางกาย (Physiological needs)เป็นความต๎องการพ้ืนฐาน เพื่อความอยูํรอด
ของชวี ิต เชํน ความต๎องการอาหาร อากาศ ที่อยํูอาศัย ยารกั ษาโรค และความต๎องการทางเพศ

2. ความต๎องการทางด๎านความปลอดภยั (Safet needs) ได๎แกํ ความต๎องการความ
ปลอดภยั ทางด๎านราํ งกาย เชนํ ความปลอดภยั จากอบุ ัติเหตุ และความมน่ั คงในอาชีพ

3. ความตอ๎ งการท่จี ะเปน็ สํวนหน่ึงของสงั คม (Belonging needs) ได๎แกํ ความต๎องการ
ที่จะเขา๎ รํวมและได๎รบั การยอมรบั ในสงั คม ความเป็นมิตร และความรักจากเพื่อนรํวมงาน

4. ความต๎องการท่เี ห็นคุณคาํ ของตนเอง (Esteem needs) ได๎แกํ ความต๎องการอยาก
เดนํ ในสังคมทีเ่ ปน็ ทีย่ อมรับ เป็นทย่ี กยํองสรรเสรญิ ของบุคคลอ่นื

5. ความตอ๎ งการท่ีจะได๎รบั ความสาเร็จตามความนึกคิดของตนเอง (Safe-
actualization needs) เป็นความตอ๎ งการข้นั สงู สดุ ของมนุษยท์ ี่คนสวํ นมากอยากจะเป็นอยากจะได๎

Shelly (1975 : 252-268 อา๎ งถงึ ใน จไุ รรัตน์ วงศ์ชํวย, 2550 : 39) กลําววํา ทฤษฎี
ความพึงพอใจ เป็นความรู๎สึกสองแบบของมนุษย์ คือความรู๎สึกทางบวกและความร๎ูสึกทางลบ
ความร๎ูสึกทางบวกเป็นความรู๎สึกท่ีเกิดขึ้นแล๎วจะทาให๎มีความสุข ความสุขน้ีเป็นความแตกตํางจาก
ความร๎ูสึกบวกอื่นๆ กลําวคือ เป็นความร๎ูสึกที่มีระบบย๎อนกลับ สามารถทาให๎เกิดความสุขหรือ
ความรู๎สึกทางบวกเพิ่มข้ึนได๎อีก ดังนั้นจะเห็นได๎วําความสุขเป็นความรู๎สึกที่สลับซับซ๎อน และ

ความสุขนจี้ ะมผี ลตอํ บคุ คลมากกวาํ ความร๎ูสกึ ทางบวกอ่ืนๆ ส่ิงหนึ่งท่ีจะทาให๎เกิดความร๎ูสึกพอใจของ
มนษุ ย์ ได๎แกํ ทรพั ยากร (resource) หรือส่ิงเร๎า (stimulus) การศึกษาระบบความพึงพอใจ คือ
การศึกษาวําทรพั ยากรหรือสงิ่ เร๎าแบบใดเป็นสิ่งที่ตอ๎ งการท่ีจะทาให๎เกิดความพึงพอใจและความสุขแกํ
มนษุ ย์ ซ่งึ ความพงึ พอใจจะเกดิ ข้นึ มากท่สี ดุ ก็ตอํ เม่ือมที รัพยากรทุกอยาํ งครบถ๎วน

Vroom (1964 : 99 อา๎ งถึงใน จไุ รรัตน์ วงศ์ชํวย, 2550 : 40) กลําววํา ทัศนคติและ
ความพึงพอใจในสิ่งหนึ่งสามารถใช๎แทนกันได๎ เพราะทั้งสองคาน้ีจะหมายถึงผลท่ีได๎จากการที่บุคคล
เข๎าไปมีสํวนรํวมในส่ิงน้ัน โดยทัศนคติด๎านบวก จะแสดงให๎เห็นสภาพความพึงพอใจในส่ิงน้ัน และ
ทัศนคติดา๎ นลบ จะแสดงใหเ๎ หน็ สภาพความไมพํ ึงพอใจนัน้

Mullin (1985 : 280 อ๎างถึงใน อรทัย บุญชํวย, 2544 : 46) กลําววํา พฤติกรรม
เกี่ยวกับความพึงพอใจของมนุษย์ เป็นความพยายามท่ีจะขจัดความตึงเครียด หรือความกระวน
กระวาย หรือภาวะไมํได๎ดุลยภาพในรํางกาย เม่ือมนุษย์สามารถขจัดสิ่งตําง ๆ ดังกลําวได๎แล๎ว
มนุษย์ยํอมได๎รับความพึงพอใจในส่ิงท่ีตนต๎องการ หรือเป็นทัศนคติของบุคคลท่ีมีตํอส่ิงตําง ๆ หลาย
ๆ ด๎านเป็นสภาพภายในท่ีมีความสัมพันธ์กับความร๎ูสึกของบุคคลท่ีประสบความสาเร็จในงานท้ังด๎าน
ปริมาณและคุณภาพเกิดจากการที่มนุษย์มีแรงผลักดันบางประการในตนเอง และพยายามจะบรรลุ
เป้าหมายบางอยําง เพ่ือท่ีจะสนองความต๎องการ หรือความคาดหวังที่มีอยูํ และเม่ือบรรลุเป้าหมาย
นัน้ แลว๎ จะเกิดความพึงพอใจเป็นผลสะทอ๎ นกลับไปยังจุดเร่มิ ต๎น เปน็ กระบวนการตอํ ไปอีก

สรุปได๎วํา ความร๎ูสึกพึงพอใจเป็นความร๎ูสึกเต็มใจและพร๎อมท่ีจะปฏิบัติ ความพึงพอใจ
จะเกิดขึ้นจากแรงจูงใจหรือส่ิงจูงใจ ดังน้ันอาจกลําวได๎วํา ความพึงพอใจ หมายถึง ความร๎ูสึกท่ีดี
และพอใจของบุคคลอันเป็นผลเนื่องมาจากแรงจูงใจหรือส่ิงจูงใจที่ได๎รับ ทาให๎ความร๎ูสึกต้ังใจที่จะ
ปฏบิ ตั ิสิง่ นัน้ ใหบ๎ รรลตุ ามเป้าหมายและเกิดประโยชนส์ งู สุด ซึง่ ผลจากความพึงพอใจคือความต๎องการ
น่นั เอง หรืออาจพดู ได๎วําความพึงพอใจเป็นความคิด ทัศนคติ หรือความร๎ูสึกทางบวกของบุคคลที่มี
ตํอสิ่งหนึ่งความร๎ูสึกพึงพอใจจะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลได๎รับในส่ิงท่ีต๎องการ หรือบรรลุจุดหมายในระดับ
หนึ่ง ความรู๎สึกดังกลําวจะลดลงหรือไมํเกิดจากความต๎องการ หรือจุดหมายได๎รับการตอบสนอง
หรอื ไมํ

การวดั ความพึงพอใจ

การวัดความพึงพอใจทางการเรียน และเกิดผลได๎หรือไมํน้ัน จะต๎องพิจารณาถึงลักษณะ
ของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครู ประกอบด๎วยระดับความร๎ูสึกของนักเรียนในมิติตําง ๆ
ของแตลํ ะบคุ คล

อแี วนส์ (Evans. 1971: 31-38 ; อา๎ งถึงใน ถนอมทรัพย์ มะลซิ ๎อน. 2540 : 42-43)
กลําววาํ การวัดความพงึ พอใจทางการเรียนอาจทาได๎หลายวิธี ดงั น้ี

1. การใช๎แบบสอบถาม ซ่ึงเป็นวิธีการที่นิยมกันอยํางแพรํหลายวิธีหนึ่ง โดยการขอร๎อง
หรอื ขอความรํวมมือจากกลุํมบุคคลที่ต๎องการวัด แสดงความคิดเห็นลงในแบบฟอร์มที่กาหนดคาตอบไว๎
ให๎เลือกตอบหรือเป็นคาตอบอิสระ โดยคาถามท่ีถามถึงความพึงพอใจในด๎านตํางๆ ของการจัด
กจิ กรรมการเรียนการสอน

2. การสัมภาษณ์ เป็นอีกวิธีที่วัดระดับความพึงพอใจ ซ่ึงเป็นวิธีการท่ีต๎องอาศัยเทคนิค
และความชานาญพิเศษของผ๎ูสัมภาษณ์ท่ีจะจูงใจให๎ผ๎ูถูกสัมภาษณ์ตอบคาถามให๎ตรงกับข๎อเท็จจริง
การสัมภาษณเ์ ป็นการวดั ระดับความพึงพอใจโดยวธิ กี ารทปี่ ระหยดั และมีประสิทธภิ าพวธิ หี นึง่

3. การสังเกต เป็นอีกวิธีหน่ึงที่จะทาให๎ทราบถึงระดับความพึงพอใจโดยวิธีการสังเกต
จากพฤติกรรมกํอนการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน ขณะจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน และหลังการ
จัดกิจกรรมการเรียนการสอนแล๎ว เชํน การสังเกตกิริยา ทําทาง การพูด สีหน๎า การโต๎ตอบ การรํวม
กิจกรรม การวัดความพึงพอใจโดยวิธีนี้ผ๎ูวัดต๎องทาอยํางจริงจังและมีแบบแผนท่ีแนํนอนจึงจะสามารถ
ประเมนิ ไปถงึ ความพงึ พอใจไดอ๎ ยาํ งถูกต๎อง

อมรรัตน์ เชงิ หอม (2545 : 37) กลาํ ววํา มาตรวดั ความพึงพอใจสามารถกระทาได๎หลาย
วิธี ไดแ๎ กํ

1. การใชแ๎ บบสอบถาม โดยผ๎สู อบถามจะออกแบบสอบถามเพื่อตอ๎ งการทราบความคิด
เห็น ซ่ึงสามารถทาไดใ๎ นลกั ษณะท่ีกาหนดคาตอบให๎เลอื กหรอื ตอบคาถามอสิ ระ คาถามดังกลําวอาจ
ถามความพงึ พอใจในด๎านตาํ งๆ

2. การสัมภาษณ์ เป็นวิธีวดั ความพึงพอใจทางตรงทางหน่ึง ซึ่งอาศัยเทคนิคและวิธีการ
ทด่ี ี จึงจะทาให๎ได๎ขอ๎ มูลท่เี ป็นจรงิ ได๎

3. การสังเกตเป็นวิธีการวัดความพึงพอใจโดยการสังเกตพฤตกิ รรมของบุคคลเปา้ หมาย
ไมํวําจะแสดงออกจาการพูด กิรยิ าทําทางวิธีนีจ้ ะตอ๎ งอาศัยการกระทาอยาํ งจริงจังและสงั เกตอยาํ งมี
ระเบียบแบบแผน

คชากจิ เลย่ี มไทยสง (2546 : 57) ได๎เสนอแนวทางหรือมาตรวดั ความพึงพอใจไว๎ ดังน้ี
1. การใชแ๎ บบสอบถาม โดยผูส๎ อบถามจะออกแบบสอบถามเพ่ือตอ๎ งการทราบความคิด
เหน็ ซึง่ สามารถทาไดใ๎ นลกั ษณะที่กาหนดคาตอบให๎เลอื ก หรือตอบคาถามอิสระ คาถามดังกลําว
อาจถามถงึ ความพอใจในด๎านตาํ งๆ

2. การสมั ภาษณ์ เป็นวธิ กี ารวดั ความพงึ พอใจทางตรงทางหน่ึง ซึ่งอาศัยเทคนิคและวิธีการ
ทีด่ ีจึงจะทาให๎ได๎ขอ๎ มลู ทเ่ี ป็นจริง

3. การสังเกตเป็นวิธีการวัดความพึงพอใจโดยสังเกตพฤติกรรมของบุคคลเป้าหมายไมํวํา
จะแสดงออกมาจากการพูด กิริยาทําทางต๎องอาศัยการกระทาอยํางจริงจังและสังเกตอยํางมีระเบียบ
แบบแผนและจรงิ จงั ตํอการวัดจึงจะวัดความพงึ พอใจได๎อยาํ งถูกต๎อง

จากที่กลําวมาเกี่ยวกับการวัดความพึงพอใจสรุปได๎วํา โดยท่ัวไปในการวัดความพึงพอใจ
ทาได๎หลายวิธี แตํวิธีท่ีผู๎วิจัยคิดวําดีท่ีสุด คือ การวัดความพึงพอใจโดยการใช๎แบบสอบถามโดย
ผ๎ูออกแบบสอบถามกาหนดคาตอบให๎เลือกตอบหรืออาจเป็นคาถามอิสระ การสัมภาษณ์เป็นวิธีการ
วัดความพึงพอใจ และการสังเกตท่ีจะทาให๎ได๎ข๎อมูลหรือทราบความรู๎สึก จากเอกสารดังกลําวผู๎วิจัย
สร๎างแบบวัดความพึงพอใจ โดยใช๎มาตรวัดประมาณคําของลิคอร์ท 5 ระดับ ได๎แกํ มากท่ีสุด
มาก ปานกลาง นอ๎ ย น๎อยทส่ี ดุ เพ่ือวัดระดับความพึงพอใจของนักเรียน หลังจากจัดกิจกรรมตาม
ชุดการสอน วิชาฟิสิกส์เพ่ิมเติม 3 เร่ืองเสียงและการได๎ยิน เพราะเป็นวิธีการสร๎างข๎อคาถามได๎
ครอบคลมุ กบั เนอ้ื หาและสะดวกกบั นกั เรียนในการตอบทีต่ รงกับระดับความพึงพอใจได๎ดี

การสรา้ งแบบวดั ความพึงพอใจ

วธิ ีการสรา๎ งแบบวดั ความพึงพอใจท่นี ยิ มมหี ลายวธิ ี ดงั น้ี
ศิรชิ ัย กาญจนวาสี (2542 : 22-73) ไดก๎ ลาํ ววาํ การสร๎างแบบสอบถามวัดความพึงพอใจหรือวัด
ทัศนคติท่ีนิยมในปัจจบุ นั มหี ลายวิธี ดังนี้
1. การวดั ความพึงพอใจโดยใช๎วิธี Summated Ratings หรือ Likert Method วิธีนี้สร๎าง
ข้ึน โดยเรนิสลิคอร์ท (Renis Likert) กระบวนการของการสร๎างแบบสอบถามโดยการสร๎างข๎อ
คาถาม (Attitude statements) ขึ้นมาหลายๆข๎อความให๎ครอบคลุมหัวข๎อท่ีเราจะศึกษาการตอบ
แบบสอบถามนี้มีข๎อให๎เลือกหัวข๎อ คือ 1) เห็นด๎วยอยํางมาก 2) เห็นด๎วย 3) ไมํแนํใจ 4) ไมํเห็นด๎วย
และ 5) ไมํเห็นด๎วยอยํางมาก การให๎คะแนนนั้นข้ึนอยูํกับชนิดของข๎อคาถามวําเป็น positive sinv
negative statement
2. การวัดความพึงพอใจโดยใช๎วิธี Equai-A ppearing Intervals วิธีการน้ีสร๎างขึ้นโดย Thurstone
ซ่ึงมีขั้นตอนในการสร๎างสเกลวัดความพึงพอใจ ดังนี้ ขั้นแรกจะต๎องสร๎างข๎อความหรือประโยคท่ี
เก่ียวข๎องกับส่ิงท่ีเราจะวัด อาจจะได๎มาจากข๎อมูลจาการทาโครงการทดลองหรือจากบทความ การ
วิจัย อื่นๆ ที่เกี่ยวข๎อง หรือจากแหลํงอื่น ๆ ซึ่งแสดงให๎เห็นวําข๎อความเหลําน้ันจะแทนความรู๎สึกท่ีมี
ตํอ วัตถุ ส่ิงของ บุคคล หรือสถานการณ์ที่เราต๎องการจะวัดความพึงพอใจที่มีตํอส่ิงน้ัน เมื่อได๎

ข๎อความท่ีมากที่สุดแล๎ว กลํุมบุคคล คือกลุํมบุคคลท่ีจะให๎ความคดเห็นตํอข๎อความที่สร๎างข้ึนมา
ข๎อความเหลํานี้จะแยกพิมพ์ไว๎ในบัตรโดยแตํละบัตรจะประกอบด๎วยข๎อความหน่ึงข๎อความ นอกจาก
บัตรน้แี ล๎วผต๎ู อบยังได๎บตั รอีก 11 บัตร ซ่ึงตวั อักษร A ถงึ K บัตร A หมายถงึ ความรู๎สึกท่ีไมํเห็นด๎วย
อยาํ งมากท่สี ุด ลาดบั ความร๎ูสกึ นจ้ี ะลดนอ๎ ยลง จนถึงความรู๎สึกเฉยๆ หรือไมํแนํใจ ซึ่งแทนด๎วยบัตร
F และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยจนถึงบัตร K ซึ่งแทนความร๎ูสึกเห็นด๎วยมากที่สุด โดยผู๎ตอบที่ได๎รับบัตร
เหลําน้ีจะต๎องพิจารณาลาดับความมากน๎อยของข๎อความ ชอบหรือไมํชอบ ความเห็นด๎วย หรือไมํ
เห็นด๎วย ความพอใจหรือไมํพอใจ ของแตํละข๎อความในบัตรที่ได๎รับโดยนาไปรวมกลํุมกับบัตร A
ถึงบตั ร K 11 บตั รดงั กลาํ ว หรืออาจจะใสตํ วั อกั ษรลงในบัตรท่บี รรจุขอ๎ ความกไ็ ด๎ 3. การวัด
ความพึงพอใจโดยใช๎วิธี Semantic Differential เป็นการศึกษาเกี่ยวกับความคิดรวบยอดของส่ิง
ตาํ งๆผูค๎ ดิ วิธนี ค้ี นแรกคอื ชาร์ล อี ออสก๏ูด (Charles E. Osgood) และผ๎ูรํวมงาน ซ่ึงเป็นการศึกษา
ถงึ ความหมายของสง่ิ ตํางๆตามความคิดเห็นของกลํุมท่ีจะศึกษาโดยทั่วไปสเกลแบบนี้จะประกอบด๎วย
ข๎อให๎เลือก 7 ข๎อ ศึกษาจะให๎กลํุมบุคคลที่จะศึกษาประเมินคํา (rate) เก่ียวกับส่ิงใดสิ่งหน่ึง ซึ่ง
อาจจะเปน็ สถานที่ บคุ คล เหตกุ ารณ์ การประเมินคาํ นน้ั ใช๎คาคณุ ศัพทท์ ี่ตรงข๎ามกันและมีลาดับของ
ความมากนอ๎ ย (degree) จากด๎านหนึง่ ไปสํูอีกด๎านหนึ่งรวมท้ังหมด 7 อันดับ แบบสอบถามแบบน้ี
เป็นแบบสเกลท่ีให๎ตอบโดยการให๎ผู๎ตอบประเมินคํามาก/น๎อย และสามารถจะใช๎วัดความคิดเห็น
ความร๎สู ึก หรือทัศนคติของบุคคล หรือกลมุํ บุคคลตําง ๆ ไมํวําเช้ือชาติใดหรือกลํุมใดท่ีมีตํอส่ิงตําง ๆ
ได๎ และสามารถจะเปรียบเทยี บทศั นคตทิ ม่ี ีตอํ สิ่งใดสงิ่ หนึง่ ของกลํมุ ตาํ ง ๆ ได๎

ในท่ีนี้ผู๎วิจัยได๎สร๎างแบบวัดความพึงพอใจโดยปรับปรุงจาก เรนิสลิคอร์ท เพราะเห็นวํา
เปน็ วิธีการสร๎างทีส่ ามารถสร๎างแบบคาถามให๎ครอบคลุมกับเน้ือหา วิชา และเหมาะสมกับผ๎ูเรียนใน
การตอบคาถามให๎ตรงตามระดับความพึงพอใจของตนเองได๎ดี โดยมีวิธีการสร๎างดังน้ี 1) กาหนดข๎อ
คาถามให๎สอดคล๎อง ครอบคลุมกับส่ิงท่ีต๎องการจะวัด 2) กาหนดเกณฑ์การวัดความพึงพอใจ คือ
เห็นด๎วยอยํางมาก (5 คะแนน) เห็นด๎วย (4 คะแนน) ไมํแนํใจ (3 คะแนน) ไมํเห็นด๎วย (2 คะแนน)
และไมเํ ห็นด๎วยอยาํ งมาก (1 คะแนน) 3) จดั พมิ พ์แบบวดั ความพึงพอใจเพ่ือนาไปใช๎จรงิ

จากที่กลําวมาในเรื่องเอกสารท่ีเก่ียวข๎องกับความพึงพอใจ ในด๎านความหมาย
ความสาคัญของความพงึ พอใจ ทฤษฎีทเี่ ก่ียวข๎องกับความพึงพอใจ การวัดความพึงพอใจ สรุปได๎วํา
ความพึงพอใจ หมายถงึ ความรส๎ู กึ มคี วามสขุ เมื่อได๎รับผลสาเร็จตามความมุํงหมาย ความต๎องการ
หรอื แรงจูงใจในการดาเนินกิจกรรมตําง ๆ จนบรรลุผลสาเร็จ โดยสามารถวัดความพึงพอใจได๎หลาย
วิธี ได๎แกํ การใช๎แบบสอบถาม การสัมภาษณ์ การสังเกตพฤติกรรม แตํในการวิจัยครั้งน้ี ผู๎วิจัย
เลือกการวัดความพึงพอใจ โดยการใช๎แบบสอบถาม ชนิดแบบมาตรประมาณคํา 5 ระดับ ของเร
นิสลิคอร์ท จานวน 10 ข๎อ เพราะสะดวกตํอการตอบคาถามของนักเรียนได๎ข๎อมูลที่ชัดเจน
แนนํ อน ผว๎ู จิ ัยสามารถเก็บข๎อมูลไดส๎ ะดวก ใช๎เวลานอ๎ ย เนื่องจากนักเรยี นอยูใํ นโรงเรยี นเดยี วกัน

แผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้

ความหมายของแผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้

มนี กั การศกึ ษาหลายทาํ นได๎ให๎ความหมายของแผนการสอน หรือแผนการจัดกิจกรรมการ
เรยี นรูไ๎ ว๎ ดังน้ี

สุวิทย์ มูลคา (2549 : 58) ให๎ความหมายไว๎วํา แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู๎คือการ
กาหนดกิจกรรมการเรียนรู๎ไว๎ลํวงหน๎าอยํางเป็นระบบและจัดทาไว๎เป็นลายลักษณ์อักษร โดยมีการ
รวบรวมข๎อมูลตําง ๆ มากาหนดกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อให๎ผ๎ูเรียนบรรลุจุดมํุงหมายท่ีกาหนด
โดยเร่ิมจากการกาหนดจุดประสงค์จะให๎ผ๎ูเรียนเกิดการเปล่ียนแปลงด๎านใด (สติปัญญา/เจตคติ/ทักษะ) จะจัด
กิจกรรมการเรียนการสอนวธิ ีใดใชส๎ ่อื การสอนหรือแหลํงการเรียนร๎ใู ด และจะประเมนิ ผลอยํางไร

ชวลิต ชูกาแพง (2551 : 93-94) ให๎ความหมายของแผนการจัดกิจกรรมการ
เรียนรู๎ไว๎วําแผนการจัดกิจกรรมการ เรียนรู๎ หมายถึง การวางแผนจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ลํวงหน๎าอยํางเป็นลายลักษณ์อักษรของครูผู๎สอน เพื่อเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู๎ในแตํ
ละครง้ั โดยใชส๎ ื่อและอปุ กรณ์การเรียนการสอนให๎สอดคล๎องกับผลการเรียนรู๎ท่ีคาดหวัง เนื้อหา เวลา
เพอื่ พฒั นาการเรยี นรขู๎ องผ๎เู รียนให๎เปน็ ไปอยาํ งเต็มศักยภาพ

แผนการจัดกจิ กรรมเรียนร๎ทู ่ดี ีต๎องประกอบไปดว๎ ยลักษณะ ดงั นี้
1. มีผลการเรียนรู๎ท่ีคาดหวังอยาํ งชดั เจน
2. กิจกรรมการสอนชดั เจน นาไปสํผู ลการเรยี นรูท๎ ค่ี าดหวงั
3. บทบาทและพฤติกรรมของครใู นการอานวยความสะดวกในการจดั กิจกรรมการเรยี น
การสอนท่ชี ดั เจน
4. ส่ือท่มี ีความสัมพนั ธส์ อดคล๎องกับเนื้อหาและผลการเรียนรู๎ทีค่ าดหวัง
5. วธิ ีการประเมินการเรียนร๎ทู ่ีชัดเจนสอดคล๎องและมีความหลากหลาย
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน (2551 : 19) ได๎ให๎ความหมายของแผนการ
จัดกิจกรรมการเรียนร๎ูวํา เป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งที่ครูสร๎างขึ้นเพื่อความมั่นใจและความพร๎อมใน การ
จัดกิจกรรมการเรียนร๎ูจากการเตรียมการไว๎ลํวงหน๎า ชํวยให๎ครูมีแนวทางท่ีชัดเจนในการดาเนินการ
ชํวยเหลือแนะนาผ๎ูเรียนและกากับควบคุมดูแลกระบวนการเรียนร๎ูทั้งในเนื้อหาสาระ ระยะเวลา
จุดประสงค์การเรียนรู๎ พฤติกรรมของผ๎ูเรียน เทคนิควิธีการจัดการเรียนรู๎ ส่ือประกอบการเรียนร๎ูการ

วัดและประเมินผลการเรียนรู๎ ซ่ึงการมีแผนการจัดการเรียนร๎ูที่ดียํอมสํงผลให๎ครูสามารถดาเนินการ
จัดการเรียนร๎ูได๎อยํางเป็นระบบ ตามขั้นตอน และวิธีการท่ีกาหนดไว๎ จนเกิดการเปลี่ยนแปลงองค์
ความร๎ูขึ้นภายในตัวผู๎เรียน ตามท่ีครูต๎องการ โดยยึดมาตรฐานและสาระการเรียนร๎ูท่ีกาหนดไว๎ใน
หลักสตู รเป็นหลัก

วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2553 : 305 -306) ให๎ความหมายไว๎วํา แผนการจัดกิจกรรมการ
เรียนรู๎ คือ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การใช๎ส่ือการสอน การวัดผลประเมินผลให๎
สอดคลอ๎ งกบั เน้ือหาและจดุ ประสงค์ทกี่ าหนดไวใ๎ นหลักสูตร

คมสัน อุทัยวัฒน์ (2554 : 46) กลําววํา แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู๎ หมายถึง การ
นารายวิชาที่จะต๎องทาการสอนตลอดภาคเรียนมาออกแบบและสร๎างเป็นแผนการจัดกิจกรรมการ
เรียนการสอน มีการกาหนดส่ือวัสดุและอุปกรณ์การสอน การวัดผลและการประเมินผลตามสาระ
การเรียนรู๎ ให๎สอดคล๎องกับจุดประสงค์การเรียนร๎ูและหลักสูตรของการศึกษา โดยการจัดทาไว๎
ลํวงหน๎าเป็นลายลกั ษณ์อกั ษรอยํางเปน็ ระบบ

มณีรตั น์ จนั ทรห์ มื่น (2555 : 34) ใหค๎ วามหมายไว๎วํา แผนการจัดกิจกรรมการเรียนร๎ู คือ
แผนการ หรือโครงการท่ีเป็นวิธีดาเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยจัดทาเป็นลายลักษณ์
อักษรเพ่ือปฏิบัติการสอนในรายวิชาใดวิชาหนึ่ง และเป็นเครื่องมือท่ีชํวยให๎ครูได๎ใช๎ในการพัฒนา
ศักยภาพของผ๎ูเรียน ตามจุดประสงค์การเรียนรู๎ จุดหมายของหลักสูตร และครูคนอื่นสามารถนา
แผนการจัดการเรยี นร๎ไู ปใชใ๎ นกิจกรรมการสอนในรายวิชานนั้ ๆ ได๎

สรุปได๎วํา แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู๎ คือ กิจกรรมการสอนที่ครูเตรียมไว๎ลํวงหน๎า
เพ่ือให๎ผู๎เรียนเกิดการเรียนร๎ู โดยมีการกาหนดเน้ือสาระ จุดประสงค์การเรียนรู๎ กิจกรรมการเรียนร๎ู
ส่อื การวัดและประเมนิ ผลเพือ่ ใหผ๎ ูเ๎ รยี นเกิดการเรยี นร๎ูตามจดุ ประสงค์ที่ตั้งไว๎

ความสาคญั ของแผนการจัดการเรียนรู้

แผนการจดั การเรยี นร๎ู มีผ๎ูให๎ความสาคญั ไวด๎ ังนี้
สุวิทย์ มูลคา (2549 : 58) กลําวไว๎วํา แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู๎เปรียบได๎กับพิมพ์
เขียวของวิศวกรหรือสถาปนิกที่ใช๎เป็นหลักในการควบคุมงานกํอสร๎าง วิศวกรหรือสถาปนิกจะขาด
พิมพ์เขียวไมํได๎ฉันใด ผู๎เป็นครูก็ขาดแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู๎ไมํได๎ฉันน้ัน ผลดีของการทา
แผนการจัดกจิ กรรมการเรียนร๎สู รปุ ดังน้ี
1. ทาใหเ๎ กดิ การวางแผนวธิ ีสอนวธิ ีเรียนท่ีมีความหมายย่ิงขึ้น เพราะเป็นการจัดทาอยํางมี
หลกั การทถ่ี กู ต๎อง

2. ชํวยให๎ครูมีคํูมือการจัดกิจกรรมการเรียนร๎ูท่ีทาไว๎ลํวงหน๎าด๎วยตนเอง และทาให๎ครูมี
ความมัน่ ใจในการจดั กิจกรรมการเรียนร๎ูได๎ตามเปา้ หมาย

3. ชวํ ยให๎ครูผ๎ูสอนทราบวําการสอนของตนได๎เดินทางไปทิศทางใด หรือทราบวําจะสอน
อะไร ดว๎ ยวธิ ีใด สอนทาไม สอนอยํางไร จะใช๎ส่ือและแหลํงเรียนร๎ูอะไร และจะวัดและประเมินผล
อยํางไร

4. สงํ เสริมใหค๎ รูผส๎ู อนใฝศ่ กึ ษาหาความรู๎ ท้ังเรื่องหลักสูตร วิธีจัดการเรียนรู๎ จะจัดและ
ใช๎สื่อแหลํงเรียนร๎ู ตลอดจนการวัดและประเมินผล

5. ใช๎เป็นคํมู อื สาหรับครูท่มี าสอน (จดั การเรยี นร๎ู) แทนได๎
6. แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู๎ท่ีนาไปใช๎และพัฒนาแล๎วจะเกิดประโยชน์ตํอวง
การศกึ ษา
7. เป็นผลงานทางวิชาการที่แสดงถึงความชานาญและความเช่ียวชาญของครูผ๎ูสอน
สาหรับประกอบการประเมินเพื่อขอเล่ือนตาแหนํงและวิทยฐานะครูให๎สูงขึ้นสามารถเผยแพรํเป็น
ตวั อยํางได๎
ชวลิต ชูกาแพง (2551 : 95-96) กลําวถงึ ความสาคัญของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู๎
ไว๎วาํ
1. ชํวยให๎ครูมีความรู๎ ความเข๎าใจในจุดมํุงหมายของเรื่องที่จะจัดกิจกรรม และเลือกจัด
กิจกรรมได๎เหมาะสมกับวัยของนักเรียน มีคุณภาพตรงกับเจตนารมณ์ของหลักสูตรซึ่งสํงเสริมให๎
นกั เรียนเกิดการเรยี นรตู๎ ามลาดับขน้ั ตอน และทนั เวลา
2. ชํวยให๎ครูมีความเช่ือม่ันในตนเองมากยิ่งขึ้น เมื่อได๎เตรียมการสอนมาอยํางดีแล๎วการ
สอนกจ็ ะเปน็ ไปอยํางเรยี นร๎อย
3. ทาให๎นักเรียนเกิดการเรียนร๎ูได๎เร็ว เพราะเมื่อครูเตรียมการสอนดียํอมทาให๎การจัด
กจิ กรรมเป็นไปตามขั้นตอน จนนักเรยี นไดร๎ ับความร๎คู วามเขา๎ ใจเรว็ ขน้ึ
4. ทาให๎นักเรียนเกิดเจตคติที่ดีตํอกลํุมประสบการณ์ท่ีเรียน การท่ีครูเตรียมการสอนทา
ให๎ครูมีความมั่นใจในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และจัดกิจกรรมได๎เหมาะสมกับวัยของ
นกั เรยี น ทาให๎นกั เรยี นเรยี นดว๎ ยความสนุกสนาน และเกิดเจตคตทิ ด่ี ตี ํอเรอื่ งทเ่ี รยี น
5. ทาใหน๎ กั เรียนเกดิ ความเล่อื มใสศรทั ธาในตัวครู เพราะครูมีความมน่ั ใจ มีการเตรียมการ
เรยี นการสอนมาอยํางดี กระบวนการเรียนการสอนเป็นไปตามข้ันตอนอยํางมีประสิทธิภาพนักเรียนก็
เกิดความเลือ่ มใสศรทั ธาครยู ิ่งขน้ึ
6. ถ๎าครมู ีความจาเปน็ ไมํได๎สอนด๎วยตนเอง ผ๎ูมาสอนแทนก็จะมาสอนแทนไดบ๎ รรลตุ าม
จุดประสงคท์ ี่กาหนด

7. ทาให๎การประเมินผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเป็นไปตามจุดประสงค์ที่กาหนด
ไว๎ ชํวยให๎ครูสามารถวินจิ ฉยั จุดอํอนของนักเรยี นท่ีไดร๎ ับการแก๎ไข และทราบจุดเดนํ ท่คี วรไดร๎ บั
การสงํ เสรมิ ตอํ ไป นอกจากน้ียังชวํ ยใหค๎ รเู หน็ ภาพการทางานของตนเองได๎เดนํ ชัดยิ่งข้ึน

8. ครผู ๎สู อนสามารถใช๎เปน็ ข๎อมูลทถี่ ูกต๎องเที่ยงตรง เพื่อเสนอแนะแกบํ ุคลากร และ
หนวํ ยงานทเี่ ก่ียวข๎อง ได๎แกํ กรมวิชาการ ศกึ ษานเิ ทศก์ และผู๎บริหาร เพ่ือปรบั ปรงุ หลักสตู รให๎
เหมาะสมยงิ่ ขึน้

9. ชํวยให๎ผ๎ูบริหารหรือผ๎ูเกี่ยวข๎องได๎ทราบขั้นตอนกระบวนการตําง ๆ ในการ
สอนของครู เพื่อการนเิ ทศตดิ ตามและประเมินผลการสอนได๎อยาํ งมปี ระสิทธิภาพ

10. เปน็ การพฒั นาวชิ าชพี ครูท่ีแสดงวําการสอนต๎องไดร๎ บั การฝกึ ฝนทีม่ ีความเชี่ยวชาญ
โดยเฉพาะมีเครื่องมือและเอกสารทจ่ี าเป็นสาหรับการประกอบอาชีพ

11. เป็นผลงานทางวชิ าการอยํางหนงึ่ ทีแ่ สดงให๎เหน็ ถึงความชานาญพเิ ศษ หรือความ
เชย่ี วชาญของผู๎จดั ทาแผนการสอน ซ่งึ สามารถนาไปพัฒนางานในหนา๎ ท่แี ละเสนอเลื่อนระดับให๎
สงู ขึ้นองคป์ ระกอบของแผนการจดั การเรียนร๎ู

องคป์ ระกอบของแผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้

ชวลติ ชกู าแพง (2551 : 96-97) ไดน๎ าเสนอตารางเกี่ยวกับองค์ประกอบของแผนการจดั
กิจกรรมการเรียนรดู๎ งั ตารางท่ี 2.4

ตารางท่ี 5 แสดงองค์ประกอบของแผนการสอนและแผนการจดั การเรยี นรู๎

องค์ประกอบของแผนการสอน องค์ประกอบของแผนการจดั กิจกรรมการเรียนร๎ู

1. จุดประสงคก์ ารเรียนร๎ู 1. ผลการเรียนรูท๎ ีค่ าดหวัง/จุดประสงค์การเรียนร๎ู
2. สาระสาคญั 2. สาระการเรยี นรู๎
3. เน้ือหาสาระ 3. กระบวนการจดั การเรยี นร๎ู
4. กิจกรรมการเรยี นการสอน 4. การวดั ผลและการประเมนิ ผล
5. สื่อการเรยี นการสอน 5. ส่ือการเรยี น/แหลํงการเรยี นร๎ู
6. การวดั และการประเมินผล 6. กจิ กรรมเสนอแนะเพม่ิ เติม
7. กจิ กรรมเสนอแนะเพิ่มเติม 7. ความคิดเหน็ /ข๎อเสนอแนะของผ๎บู ริหาร
8. ความคิดเห็น/ข๎อเสนอแนะของผู๎บรหิ าร 8. บันทกึ ผลหลงั การใช๎แผนการเรียนร๎ู

9. ภาคผนวก/หมายเหตุ 9. ภาคผนวก/หมายเหตุ

วิมลรัตน์ สนุ ทรโรจน์ (2553 : 306 - 307) ได๎กลาํ วถงึ องค์ประกอบของแผนการจัด
กจิ กรรมการเรยี นร๎วู ําเกดิ ขึ้นจากการต้ังคาถามดังตํอไปนี้

1. สอนอะไร (หนํวย หวั เรื่อง ความคดิ รวบยอด หรือสาระสาคัญ)
2. เพ่อื จดุ ประสงค์อะไร (จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม)
3. ตวั สาระอะไร (โครงราํ ง)
4. ใช๎วธิ ีการใด (กิจกรรมการเรียนการสอน)
5. ใช๎เคร่อื งมืออะไร (สอ่ื การเรยี นการสอน)
6. ทราบไดอ๎ ยํางไรวาํ ประสบความสาเร็จหรอื ไมํ (วดั ประเมินผล)
เพือ่ ตอบคาถามดงั กลําว จงึ กาหนดใหแ๎ ผนการจัดกจิ กรรมการเรียนร๎ู มีองคป์ ระกอบดงั นี้
1. วิชา หนวํ ยทสี่ อนและสาระสาคัญ (ความคิดรวบยอด) ของเรื่อง
2. จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
3. เนื้อหา
4. กิจกรรมการเรยี นการสอน
5. สอ่ื การเรยี นการสอน
6. วดั ผลประเมนิ ผล
สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน (2552 : 21) ไดเ๎ สนอเกี่ยวกบั องค์ประกอบ
ของแผนการจดั กิจกรรมการเรียนร๎ู วําประกอบดว๎ ย รายละเอียดของแผนการจัดการเรยี นร๎ู มาตรฐาน
การเรียนร๎ู ตัวช้วี ดั ชั้นปี สาระสาคัญ (ความคดิ รวบยอด) จดุ ประสงคก์ ารเรียนร๎ู สาระการเรยี นร๎ู
(เนอ้ื หา) กระบวนการจดั การเรยี นร๎ู สื่อและแหลงํ เรียนร๎ู การวัดและการประเมินผล บนั ทึกผลการ
จัดการเรียนรู๎และภาคผนวก

วธิ ีเขยี นแผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้

สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน (2552 : 21-23) ได๎เสนอวิธีเขียนแผนการ
จดั กิจกรรมการเรียนรูด๎ ังนี้

1. การเขียนแผนการจัดกิจกรรมการเรียนร๎ูควรบอกรายละเอียดที่สาคัญของแผนการจัด
กิจกรรมการเรียนรู๎ สํวนที่จาเป็นต๎องบอก คือ กลํุมสาระการเรียนรู๎ หนํวยการเรียนรู๎ เร่ืองท่ีสอน
วัน เดือน ปีที่สอน เวลาท่ีใช๎ในการสอน ช้ันท่ีสอน รายละเอียดของแผนการจัดการเรียนร๎ูจะ

แตกตํางกันบ๎าง ข้ึนอยํูกับโรงเรียนจะกาหนดแบฟอร์มข้ึนมา ไมํมีใครถูก ไมํมีใครผิด ครูควร
ประยุกตต์ ามความเหมาะสมของแตํละโรงเรียน

2. มาตรฐานการเรียนร๎ู ต๎องมาจากหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานพุทธศักราช
2551 ที่กาหนดไว๎ในแตํละสาระ แผนการจัด กิจกรรมการเรียนรู๎แตํละแผนต๎องบอกได๎
วําเชื่อมโยงกับมาตรฐานการเรียนรู๎ในข๎อใด จะเช่ือม่ันได๎ว๎าแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู๎แผน
น้ันสอดคล๎องกับมาตรฐานของหลักสูตร หลักสูตรท่ีใช๎อยํูน้ีเป็นหลักสูตรแบบอิงมาตรฐาน แผนการ
จัดกิจกรรมการเรียนรู๎ก็ต๎องอิงมาตรฐานเชํนกัน ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน
พุทธศักราช 2551 ได๎กาหนดตัวช้ีวัดช้ันปีของแตํละมาตรฐานไว๎อยํางชัดเจน เพื่อให๎ร๎ูวําแตํละชั้นปี
ต๎องทาอะไรได๎บ๎างในมาตรฐานน้ัน ๆ กํอนเขียนแผนการจัดกิจกรรมการเรียนร๎ูครูจะต๎องวิเคราะห์วํา
ตวั ช้ีวัดชัน้ ปใี นมาตรฐานน้ันมีอะไรบา๎ ง แผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรแู๎ ผนตําง ๆ จะสํงผลตํอตัวชี้วัด
ชัน้ ปขี ๎อใด เมอื่ สอนครบทุกแผนในมาตรฐานนั้น ๆ จะต๎องได๎ครบทุกตัวชี้วัดชั้นปี จะทาให๎ผู๎เรียนได๎
มาตรฐานตามตัวชีว้ ัดทีก่ าหนดไวใ๎ นหลักสตู ร

3. การเขียนสาระสาคัญหรือความคิดรวบยอด (Concept) เป็นเร่ืองยากของครูเรื่องหนึ่ง การเขียน
สาระสาคญั ตอ๎ งสรปุ ใหเ๎ ห็นสาระทีเ่ ป็นแกนํ ของความรใู๎ นเรอ่ื งทสี่ อนอยํางครบถ๎วนและถูกต๎องสมบูรณ์
ครจู ะต๎องวิเคราะหก์ ํอนวําเน้ือหาทีจ่ ะสอนน้ัน อะไรคือสิ่งที่สาคัญที่ผู๎เรียนจะต๎องมีความร๎ูความเข๎าใจ
เรียกวําเกิดความคิดรวบยอดในเรื่องน้ัน ต๎องสามารถสกัดออกมาให๎ได๎แล๎วจึงเขียนเป็นสาระสาคัญ
จะเขียนเป็นความเรียงหรือข๎อ ๆ ก็แล๎วแตํลักษณะของเน้ือหาท่ีสอน ความคิดรวบยอดจะต๎อง
ครอบคลมุ เนอ้ื หาทงั้ หมดไมํใชํเป็นเพยี งบางสวํ นของเน้ือหาในแผนนัน้

4. จุดประสงค์การเรียนรู๎มีสองประเภท คือจุดประสงค์การเรียนรู๎ทั่วไป และจุดประสงค์
เชิงพฤติกรรม ในชํวงหน่ึงมีการใช๎คาวําจุดประสงค์ปลายทางและจุดประสงค์นาทาง ซ่ึงมาจาก
จดุ ประสงค์ท่ัวไปและจุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรมนั่นเอง การเขียนจุดประสงค์ท้ังสองนี้ต๎องสอดคล๎องกัน
เพราะจุดประสงค์ท่ัวไปจะบอกจุดประสงค์หรือเป้าหมายของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู๎แผนนั้น
วําต๎องการให๎ผ๎ูเรียนเกิดการเรียนร๎ูอะไร การเขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ตามหลักการที่ถูกต๎อง
จะต๎องประกอบดว๎ ย องค์ประกอบสามอยาํ งคือ สถานการณ์ พฤตกิ รรมและเกณฑ์

5. สาระการเรียนรห๎ู รือเนอ้ื หาท่จี ะสอน ครูต๎องวิเคราะห์วําเป็นเนื้อหาระดับใด คือเนื้อหา
ที่เป็นข๎อมูลและกระบวนการ ความคิดและหลักการเบ้ืองต๎น ความคิดรวบยอดและระบบความคิด
เน้ือหาแตํละประเภทจะใช๎วิธีการจัดการเรียนร๎ูท่ีแตกตํางกัน การเลือกเนื้อหาต๎องเลือกเน้ือหาท่ีจา
เปน็ หรือเนอ้ื หาทีส่ าคัญที่จะขาดไมํได๎กํอน เนื้อหาอะไรท่ีจะทาให๎ผู๎เรียนบรรลุจุดมุํงหมายท่ีกาหนดไว๎
ได๎ดีที่สุด หรือเน้ือหาท่ีต๎องรู๎ ข้ันตํอไปก็พิจารณาวําเน้ือหาอะไรท่ีผ๎ูเรียนควรรู๎ และเน้ือหาท่ีรู๎ไว๎ก็ดี
เพราะเป็นประโยชน์แกํผ๎ูเรียนในการจัดลาดับเนื้อหาจะต๎องจัดลาดับจากงํายไปหายาก จากเร่ืองใกล๎
ตวั ไปไกลตัว จากรูปธรรมไปนามธรรม ถ๎าเป็นเหตุการณ์ก็ต๎องจัดลาดับกํอนหลังไมํให๎สับสนจัดลาดับ

จากเน้ือหาที่เป็นข๎อเท็จจริงไปสูํเนื้อหาท่ีเป็นระบบความคิด การเลือกเน้ือหาเป็นเองท่ีสาคัญมาก
เพราะหากเลือกไมํดกี ็จะไมํบรรลุตามจดุ ประสงค์การเรียนร๎ู

6. การเขียนกจิ กรรมหรอื กระบวนการเรยี นร๎ู ควรเขยี นให๎ละเอียด ชัดเจน ให๎เห็นบทบาท
ของผู๎เรียนและบทบาทของครู อธิบายกิจกรรมตําง ๆ เป็นลาดับขั้นตอนให๎เข๎าใจ ที่นิยมกันจะแบํง
กจิ กรรมเป็นสามชั้นคือ ข้ันการนาเข๎าสํูบทเรียน ข้ันการสอน และขั้นการสรุป บางโรงเรียนอาจจะใช๎
คาอนื่ เชนํ กิจกรรมนาสบํู ทเรียน กจิ กรรมนาเสนอเนอ้ื หา และกิจกรรมสรุปความคิดรวบยอด หรืออื่น
ๆ ที่โรงเรียนคิดขึ้นมาก็ไมํแปลกอะไร สรุปคือมีขั้นนา ข้ันสอนและข้ันสรุปในการคิดกิจกรรมหรือ
กระบวนการจัดการเรยี นร๎ูครจู ะต๎องใชค๎ วามรด๎ู ๎านทฤษฎกี ารเรียนรู๎ จิตวทิ ยาทีเ่ กี่ยวกับผ๎ูเรียนในระดับ
ที่จะสอน ใช๎หลักการจัดการเรียนรู๎โดยเน๎นผู๎เรียนเป็นสาคัญ ใช๎หลักการพัฒนาสมองซีกซ๎ายและซีก
ขวาและการพัฒนาพหุปัญญาใช๎หลักการจัดการเรียนร๎ูเพ่ือพัฒนากระบวนการคิด ต๎องยึดหลักการ
เรียนรู๎ตามมาตรตรา 24 ในพระราชบัญญัติการศึกษา เลือกใช๎รูปแบบการสอน วิธีสอนและเทคนิค
การสอนที่เหมาะสม คานึงถึงบรรยากาศและการจัดการชั้นเรียน ลีลาการเรียนรู๎ของผ๎ูเรียนแตํละคน
เลือกใช๎ส่ือและแหลํงเรียนร๎ูที่เหมาะสมกับบทเรียน ที่จะต๎องพิจารณาเป็นพิเศษคือจุดประสงค์การ
เรียนร๎ูของแผนการจัดการเรียนรู๎ท่ีกาลังเขียนอยูํ จะเห็นวําถ๎าครูไมํได๎ศึกษาเร่ืองตําง ท่ีเกี่ยวข๎องมา
เป็นอยํางดีก็จะไมํสามารถวางแผนจัดกิจกรรมการเรียนรู๎ได๎ดี ครูจะต๎องวิเคราะห์ทุกเรื่องที่เกี่ยวข๎อง
แล๎วจึงกาหนดกระบวนการเรียนร๎ูหรือกิจกรรมการเรียนร๎ูท่ีจะนาพาผู๎เรียนไปสูํจุดประสงค์การเรียนร๎ู
ท่กี าหนดไว๎

7. หลักการเขียนในหัวข๎อสื่อและแหลํงการเรียนรู๎ในแผนการจัดกิจกรรมการเรียนร๎ูต๎องดู
จากกระบวนการหรือกิจกรรมการเรียนรู๎ที่เขียนไว๎ในแตํละขั้น พิจารณาดูวําต๎องใช๎ส่ือการสอนอะไรท่ี
จะทาให๎ผู๎เรียนเกิดการเรียนร๎ูได๎อยํางรวดเร็ว และเรียนร๎ูอยํางมีประสิทธิภาพและเต็มศักยภาพของ
ผ๎ูเรียนแตํละคน แหลํงเรียนรู๎ประเภทใดที่สามารถทาให๎ผู๎เรียนเกิดการเรียนร๎ูได๎ดี ครูจึงจาเป็นต๎อง
ศึกษาเกี่ยวกับสื่อและแหลํงเรียนร๎ูให๎เข๎าใจกํอน ครูจะต๎องมีข๎อมูลแหลํงเรียนร๎ูตําง ๆ ด๎วยจึงจะ
สามารถเลอื กใชไ๎ ด๎ตรงตามจดุ ประสงค์
การเรียนร๎ู

8. ในการเขียนการวัดผลและประเมินผล คือต๎องดูที่จุดประสงค์การเรียนรู๎ที่กาหนดไว๎ใน
แผน
การจดั การเรียนรู๎น้นั แล๎ววัดให๎ตรงกบั จดุ ประสงค์ทุกข๎อท่ีกาหนดไว๎ ควรบอกวิธีการวัดผลเคร่ืองมือท่ี
ใช๎ใน
การวัดผล และเกณฑ์ในการประเมินผล ครูจึงต๎องศึกษาเรื่องการวัดผลและประเมินผลมากํอน จึงจะ
สามารถกาหนดวิธกี ารสร๎างเคร่อื งมอื สร๎างเกณฑ์การประเมินได๎อยาํ งมปี ระสิทธภิ าพ

9. หลังจากการใช๎แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู๎ ครูควรบันทึกผลการใช๎แผนการจัดการ
เรยี นรว๎ู ําเปน็ อยํางไรบ๎าง ประเด็นท่ีควรบันทึกคือเก่ียวกับตัวผู๎เรียนเป็นอยํางไร ประเด็นท่ีควรบันทึก
คือเก่ียวกับตัวผ๎ูเรียนเป็นอยํางไร การจัดการเรียนร๎ูบรรลุตามจุดประสงค์การเรียนรู๎หรือไมํ การวัด
และประเมินผลเป็นอยํางไรในการจัดการเรียนร๎ูมีปัญหาและอุปสรรคอะไรบ๎างจะปรับปรุงการจัดการ
เรียนรู๎อยาํ งไร ข๎อสงั เกตทพ่ี บในขณะทจ่ี ัดการเรยี นร๎ู และอื่น ๆ ทีค่ รูเหน็ วาํ มีประโยชน์

10. ภาคผนวกในแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู๎ คือ สิ่งท่ีครูไมํต๎องการใสํไว๎ในสํวนของ
แผนการจัดการเรียนรู๎ เชํน เน้ือหา ใบงาน ใบความร๎ู เคร่ืองมือวัดและประเมินผล เกณฑ์การวัดและ
ประเมินผลกิจกรรมแบํงกลํุมทีใ่ ชค๎ าอธบิ ายยืดยาวจงึ จะเข๎าใจ เปน็ ต๎น ส่ิงน้ีควรใสํในภาคผนวกของแตํ
ละแผนการจัด
การเรียนร๎ู เพราะเป็นสิ่งท่ีมีประโยชน์ตํอผู๎สอนเองและตํอผ๎ูท่ีตรวจแผนรวมท้ังผ๎ูที่จะสอนแทน เม่ือ
แผนการจัด
การเรยี นรถู๎ กู เผยแพรกํ ็จะเปน็ ประโยชน์ตํอผูอ๎ ํานเป็นอันมาก

สรุปได๎วํา การเขียนแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู๎ทุกสํวนต๎องมีความสัมพันธ์กันการ
ตรวจสอบแผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรดู๎ ว๎ ยตนเองงาํ ย ๆ คือดวู ําทุกสํวนสัมพนั ธก์ นั ถ๎าไมํสัมพันธ์กัน
แสดงวํามีความผิดพลาดในการวางแผนเกิดขึ้น ควรวิเคราะห์แตํละองค์ประกอบของแผนการจัดการ
เรียนรใ๎ู หมแํ ละแกไ๎ ขให๎ถูกต๎อง

รปู แบบของแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้

ชวลิต ชูกาแพง (2551 : 99-100) ได๎กลําวถึงรูปแบบของการจัดกิจกรรมการเรียนร๎ูวํามี
ลักษณะที่แตกตาํ งกนั ออกไป ซ่ึงอาจจะอยูํในรูปของคาบรรยาย รปู แบบตาราง หรือรูปแบบผสมผสาน
ซ่ึงครูผ๎ูสอนสามารถใช๎ได๎ตามความเหมาะสม อยํางไรก็ตาม รูปแบบการสอนตํางๆ ต๎องประกอบไป
ด๎วยองค์ประกอบท่ีจาเป็นของแผนการจัดการเรียนร๎ูและได๎นาเสนอตัวอยํางของแผนการจัดกิจกรรม
การเรยี นร๎ดู งั น้ี
ตัวอยํางที่ 1

แผนการจดั กิจกรรมการเรยี นร๎ู
กลํุมสาระการเรยี นรู๎.....................................................................ชน้ั ...............................ภาคเรยี นท่ี
...................

ช่ือแผน.......................................................................เวลา..............................................ชว่ั โมง/คาบ
..................
วนั ..................................................................เดือน.....................................................ปี
.......................................
1. ผลการเรยี นรู๎ (จุดประสงค์การเรียนร๎ู)
............................................................................................................................. ...................................
..............
............................................................................................................................. ...................................
..............
2. สาระการเรียนร๎ู (สาระสาคัญ)
.......................................................................................................................................... ......................
..............
.............................................................................................. ..................................................................
..............
3. กระบวนการเรยี นร๎ู (กิจกรรมการเรยี นการสอน)
............................................................................................................................. ...................................
..............
................................................................................................................................................................
..............
4. สือ่ การเรยี นรู๎/แหลํงเรียนรู๎
...................................................................................... ..........................................................................
..............
5. การวัดผลประเมินผล
............................................................................................................................. ...................................
..............
............................................................................................................................. ...................................
..............
6. ความคิดเห็น/และขอ๎ เสนอแนะของผบ๎ู ริหาร
........................................................................................................................................ ........................
..............

............................................................................................ ....................................................................
..............

(...........................................)
ผ๎ูอานวยการโรงเรยี น............................
7. บันทึกหลังการใช๎แผนการจัดกจิ กรรมการเรียนร๎ู
............................................................................................................................. ...................................
..............
............................................................................................................................. ...................................
..............
8. ภาคผนวก
................................................................................................................................................................
..............
............................................................................................................................. ...................................
..............
(มากน๎อยข้นึ อยกํู ับเนอ้ื หา)

ตัวอยาํ งที่ 2
แผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู๎
กลุมํ สาระการเรยี นร๎ู........................................................ชนั้ .........................ภาคเรียนที่...................
ชื่อแผน.......................................................เวลา......................................ชั่วโมง/คาบ..................
วัน..........................................เดือน.....................................................ปี.......................................
1. ผลการเรยี นร๎ู (จดุ ประสงค์การเรียนร๎ู)
............................................................................................................................. ...................................
..............
................................................................................................................................................................
..............
2. สาระการเรยี นร๎ู (สาระสาคัญ)
.................................................................................................................... ............................................
..............

............................................................................................................................. ...................................

..............

3. กระบวนการเรยี นร๎ู (กจิ กรรมการเรยี นการสอน)

ข้ันตอน กจิ กรรม

(มากน๎อยขน้ึ อยกูํ บั กจิ กรรม)

4. สอื่ การเรยี นรู๎/แหลงํ เรียนร๎ู
............................................................................................................................. ...................................
..............
............................................................................................................................. ...................................
..............
5. การวดั ผลประเมินผล
................................................................................................................................................................
..............
..................................................................................................................... ...........................................
..............
6. ความคิดเหน็ /และขอ๎ เสนอแนะของผู๎บรหิ าร
............................................................................................................................. ...................................
..............

(...........................................)
ผ๎อู านวยการโรงเรียน............................
7. บันทกึ หลังการใชแ๎ ผนการจดั การเรียนรู๎
............................................................................................................................. ...................................
..............
............................................................................................................................. ...................................
..............
8. ภาคผนวก
................................................................................................................................................................
..............

(มากน๎อยข้ึนอยํกู ับเน้ือหา)

ตัวอยาํ งท่ี 3
แผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู๎
กลุํมสาระการเรยี นร๎ู..................................................ช้ัน.........................ภาคเรียนที่...................
ช่อื แผน.......................................................เวลา......................................ชัว่ โมง/คาบ..................
วนั ......................เดอื น...............พ.ศ................

ผลทค่ี าดหวัง สาระการ ขน้ั ตอน กิจกรรมการ แหลงํ /สื่อการ การวดั ผล
เรียนร๎ู เรยี นรู๎ เรยี นรู๎ ประเมนิ ผล

ความคดิ เหน็ /และข๎อเสนอแนะของผบ๎ู รหิ าร
.................................................................................. ..............................................................................
..............
............................................................................................................................. ...................................
..............

(...........................................)
ผอ๎ู านวยการโรงเรียน.......................
บนั ทึกหลงั การใช๎แผนการจัดการเรียนร๎ู
............................................................................................................................. ...................................
..............
.............................................................................................................................. ..................................
..............
ภาคผนวก
................................................................................................................................................................
..............
............................................................................................................................. ...................................
..............

(มากน๎อยขนึ้ อยูกํ บั เนื้อหา)

วิมลรตั น์ สุนทรโรจน์ (2553 : 307-311) ได๎กลําวถึง รปู แบบของการเขียนแผนการจดั
กจิ กรรมการเรียนรู๎วาํ รูปแบบของการเขยี นแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู๎ไมมํ ีรูปแบบตายตวั ข้นึ อยํู
กับหนํวยงานหรือสถานศึกษาแตลํ ะแหํงกาหนด อยํางไรกต็ ามลักษณะสํวนใหญขํ องแผนการจดั
กิจกรรมการเรยี นรูจ๎ ะคล๎ายคลึงกนั สรปุ ได๎ 3 รูปแบบดังน้ี

1. แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู๎แบบเรียงหวั ข๎อ รูปแบบนจี้ ะเรียงตามลาดับกํอนหลัง
โดยไมตํ อ๎ งตีตาราง รปู แบบน้ีให๎ความสะดวกในการเขยี น เพราะไมํต๎องตตี าราง แตํมีสํวนเสียคอื ยาก
ตํอการดูให๎สมั พันธ์กันในแตลํ ะหวั ขอ๎ ดังตวั อยําง

ตัวอยาํ งรปู แบบการเรยี นรู๎แบบเรยี งหัวข๎อ
แผนการจัดกิจกรรมการเรียนร๎ู หนวํ ยท่ี
............................................................................................................. .
หนํวยยอํ ยที่.......................................................................................ชัน้
..............................................................
เรอ่ื ง......................................................................................................เวลาเรยี น
.........................................คาบ
1. สาระสาคัญ
............................................................................................................................. ...................................
..............
........................................................................................................................................................... .....
..............
2. จดุ ประสงค์การเรยี นร๎ู

2.1 จดุ ประสงคป์ ลายทาง
................................................................................................................................................................
..............
............................................................................................................................. ...................................
..............

2.2 จดุ ประสงค์นาทาง
............................................................................................................................. ...................................
..............

................................................................................................................................................................
..............
3. สาระการเรยี นร๎ู
............................................................................................................................. ...................................
..............
............................................................................................................................. ...................................
..............
4. สื่อการสอน
................................................................................................................................................. ...............
..............
..................................................................................................... ...........................................................
..............
5. กจิ กรรมการเรยี นรู๎

5.1 ขั้นนาเข๎าสํบู ทเรยี น
5.2 ขัน้ เสนอความร๎ูใหมํ (สอน)
5.3 ข้นั ฝกึ ทกั ษะ (นักเรียนฝึกปฏบิ ัตกิ ารศึกษาค๎นคว๎าเป็นกลํมุ )
5.4 ขั้นแลกเปลย่ี นความรู๎ (นักเรียนเสนอผลงาน)
5.5 ขั้นสรุปความรู๎
6. การวัดและประเมนิ ผล
............................................................................................................................................................ ....
..............
7. กจิ กรรมเสนอแนะเพม่ิ เติม หลงั สอน
................................................................................................................................................................
..............
2. แผนการจดั กิจกรรมการเรียนรแู๎ บบบรรยายหรือเรยี งหัวขอ๎ เป็นรปู แบบทเี่ ขียนลาดับ
กิจกรรมการเรียนการสอนเป็นเชิงบรรยายกจิ กรรมท่ีครูจัดเตรยี มไว๎ โดยไมํระบชุ ัดเจนวํานักเรียนทา
อะไรดงั ตวั อยําง

ตวั อยาํ งรูปแบบบรรยายหรือเรยี งหวั ขอ๎

กลํมุ สาระ......................................................................ชนั้ ............................ภาคเรยี น.......................

ชอื่ แผน.................................................................................เวลา............................................ช่ัวโมง
1. ผลการเรียนรู๎

1.1………………………………………………………………..………………………………………………………
…………..

1.2………………………………………………………………………………………………………………………
…………….

1.3………………………………………………………..………………………………………………………………
…………..
2. สาระการเรยี นร๎ู

2.1……………………………………………………………….………………………………………………………
………......

2.2……………………………………………………………….………………………………………………………
………......

2.3……………………………………………………………….………………………………………………………
………......
3. การบรู ณาการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง

3.1 ความพอประมาณ
3.2 ความมีเหตุผล
3.3 ความมภี ูมคิ ุ๎มกนั
3.4 เงื่อนไขคุณธรรม
3.5 เงอ่ื นไขความร๎ู
4. แหลงํ เรียนรู๎
4.1……………………………………………………………….………………………………………………………
………......
4.2……………………………………………………………….………………………………………………………
………......
4.3……………………………………………………………….………………………………………………………
………......
5. กระบวนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู๎
5.1 ขน้ั นาเข๎าสูํบทเรยี น
5.2 ขน้ั เสนอความร๎ูใหมํ

5.3 ขัน้ ฝึกทกั ษะ
5.4 ขั้นแลกเปลี่ยนความรู๎
5.5 ข้นั สรปุ ความรู๎
6. กระบวนการวัดและประเมินผล
6.1……………………………………………………………….………………………………………………………
………......
6.2……………………………………………………………….………………………………………………………
………......
หมายเหตุ รูปแบบของแผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรสู๎ ามารถปรบั ไดต๎ ามความเหมาะสมและความ
จาเปน็

3. แผนการจัดกิจกรรมการเรียนร๎ู แบบกึง่ ตาราง รปู แบบน้ีจะเขยี นเปน็ ชํอง ๆ ตามหวั ข๎อ
ทีก่ าหนด แม๎วาํ ต๎องใช๎เวลาในการตตี ารางแตกํ ส็ ะดวกตํอการอําน ทาให๎เหน็ ความสมั พันธ์ของแตํละ
หัวข๎ออยํางชดั เจน ดงั ตวั อยําง

ตัวอยํางรปู แบบแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู๎แบบกึง่ ตาราง

แผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู๎กลุํมสาระการเรียนร๎ู....................................................ชั้น
....................................
หนํวยท่ี..................................เร่ือง..........................................................เวลา.....................ชม. วันท่ี
...................

สาระสาคัญ
..........................................................................................................................................................
จุดประสงคป์ ลายทาง
1…………………………………………..…………………………………………………………………………….

2……………………………………………………………………………………………………………………

…….

จุด สาระ การบูรณาการปรชั ญา กจิ กรรมการ สื่อ การวัดและ หมาย
ประสงค์
การ เศรษฐกจิ พอเพยี ง เรียนรู๎ การ ประเมนิ ผล เหตุ

เชพิ ฤติ เรยี นรู๎ เรยี นรู๎

กรรม

1.ความพอประมาณ 1.ขั้นนา............

.............................................. .......................

2.ความมเี หตผุ ล 2.ขน้ั จัดการ

.............................................. เรียนรู๎..............

3.ความมภี ูมิค๎มุ กนั …………... ........................

.............................................. 3.ข้ันสรุป.......

4.เงอ่ื นไขคุณธรรม……………. ........................

............................................... 4.ขัน้ วดั ผล.......

5.เงื่อนไขความรู๎.................... .........................

จากการศึกษาเอกสารท่เี กีย่ วข๎องผว๎ู ิจัยค๎นคว๎าไดน๎ ามาสรปุ รูปแบบการเขียนแผนการจัด
กิจกรรมการเรียนรู๎ ดังนี้

แผนการจดั การเรียนรู๎ท่ี เวลา...............
เร่ือง………………………………
วิชา………………………. รหัสวิชา ……………… ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ......
ช่ัวโมง เวลา ....... ชั่วโมง
หนวํ ยการเรียนรู๎ที่ ........ เรื่อง.....................
วนั ที่ ..... เดอื น........................ พ.ศ. ..............

1. เป้าหมายการเรียนรู๎
ผลการเรียนร๎ู
จุดประสงค์การเรียนรู๎

2. สาระสาคัญ
3. สาระการเรยี นร๎ู

3.1 สาระการเรียนร๎ู
3.2 ทักษะ/กระบวนการ
3.3 คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์

3.4 สมรรถนะสาคัญผูเ๎ รยี น
4. ช้นิ งาน/ภาระงาน
5. การวัดและประเมินผลการเรยี นรู๎

ผป๎ู ระเมิน ............................................

ส่ิงท่วี ดั วิธีวดั เครอื่ งมอื วดั ผล เกณฑ์การประเมินผล
1. ดา๎ นความร๎ู (K)
2. ด๎านทกั ษะ/
กระบวนการ (P)
3. ด๎านเจตคติ (A)/
คณุ ลักษณะฯ
4. ดา๎ นสมรรถนะสาคัญ
ผ๎เู รียน (C)
6. กระบวนการเรยี นรู๎
7. กจิ กรรมการเรียนร๎ู (ช่ัวโมงท่ี ...... )

ขั้นที่ 1 สร๎างความสนใจ (Engagement)
ขน้ั ที่ 2 สารวจและคน๎ หา (Exploration)
ขั้นที่ 3 อธบิ ายและลงข๎อสรปุ (Explanation)
ขน้ั ที่ 4 ขยายความร๎ู (Elaboration)
ข้นั ที่ 5 ประเมิน (Evaluation)
8. ส่อื /แหลงํ เรยี นร๎ู
8.1 ส่ือการเรยี นร๎ู
8.2 แหลํงเรียนร๎ู

9. กจิ กรรมเสนอแนะ

ลงชื่อ....................................ผส๎ู อน
( .................................... )

วนั ที่ ............เดือน.............. พ.ศ. ...........

ความเห็นของผูบ๎ งั คบั บัญชาหรอื ผ๎ไู ดร๎ ับมอบหมาย
ความคดิ เห็นของหัวหนา๎ กลํุมบริหารวิชาการ ความคดิ เห็นของผ๎ูบรหิ ารหรือผู๎ไดร๎ บั มอบหมาย

ลงช่ือ ลงชื่อ
( …………………………. ) ( ............................... )
ผูอ๎ านวยการโรงเรียน
หัวหน๎ากลํมุ บริหารงานวชิ าการ

บนั ทกึ ผลหลงั การสอน เวลา ......
แผนการจดั การเรยี นร๎ูท่ี ... เรอ่ื ง .............
วิชา................. รหัสวชิ า ............... ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี .....
ชัว่ โมง เวลา ..... ชวั่ โมง
หนํวยการเรียนร๎ทู ่ี …. เร่อื ง.........................
วันท่ี .......... เดอื น................. พ.ศ. .................

1. ผลการเรียนรู๎
1.1 ด๎านความรู๎ (K)
1.2 ดา๎ นทักษะ/กระบวนการ (P)
1.3 ด๎านเจตคติ/คุณลกั ษณะฯ (A)
1.4 ดา๎ นสมรรถนะ (C)

2. บรรยากาศการเรยี นร๎ู

3. การปรับเปล่ียนแผนการจัดการเรียนร๎ู (ถ๎ามี)
4. ขอ๎ ค๎นพบด๎านพฤติกรรมการจัดการเรยี นรู๎
5. อ่ืน ๆ
6.ปัญหา/สง่ิ ทพี่ ัฒนา/แนวทางแก๎ปญั หา/แนวทางการพัฒนา

ปญั หา/ สาเหตขุ องปัญหา/ แนวทางแก๎ไข/ วธิ ีแก๎ไข/พฒั นา ผลการแกไ๎ ข/
ส่งิ ท่ีพฒั นา พัฒนา
ส่งิ ท่พี ัฒนา พัฒนา

ลงชือ่
(………………………………………)
คร.ู ............................

วันท่ี......เดอื น............... พ.ศ. ...............

การเรยี นร้แู บบสืบเสาะหาความรู้

ความหมายการเรยี นรู้แบบสืบเสาะหาความรู้

สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน (2551 : 105) ได๎ให๎ความหมาย การ
เรียนรแู๎ บบสบื เสาะหาความรู๎ทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Inquiry) เป็นการหาความร๎ูทาง
วทิ ยาศาสตร์ โดยใชก๎ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ หรือวธิ กี ารอ่ืน ๆ เชํน การสารวจ การสงั เกตการ
วดั การจาแนกประเภท การทดลอง การสร๎างแบบจาลอง การสบื คน๎ ข๎อมลู เป็นตน๎

วีณา ประชากลู และประสาท เนืองเฉลมิ (2554 : 228) ไดใ๎ ห๎ความหมาย การเรียนร๎ู
แบบสืบเสาะหาความร๎ู คือ กระบวนการเรียนรู๎ท่ีเน๎นการพัฒนาความสามารถในการแก๎ปัญหาด๎วย
วธิ ีการฝึกให๎ผู๎ เรียนรูจ๎ ักศึกษาค๎นคว๎าหาความรู๎ โดยผู๎สอนมีบทบาทในการต้ังคาถาม เพ่ือกระต๎ุนให๎

ผ๎ูเรียนได๎ใช๎กระบวน การทางความคิดหาเหตุผลจนค๎นพบความร๎ู หรือแนวทางในการแก๎ปัญหาท่ี
ถูกต๎องด๎วยตนเองแล๎วสรุปออก มาเป็นหลักการ หรือวิธีการในการแก๎ปัญหา และสามารถนาไป
ประยุกตใ์ ช๎ประโยชน์

อาไพ แกํนค๎างพลู ( 2555 : 10) กลําววํา การเรียนร๎ูแบบสืบเสาะหาความรู้ หมายถึง
การจัดการเรียนการสอนท่ีมํุงสํงเสริมให๎ผ๎ูเรียนมีประสบการณ์ในการค๎นหา ความรู๎ด๎วยตนเองผําน
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสังเกตการสารวจ และการสืบค๎นข๎อมูล สํวนครูมีบทบาทเป็นผ๎ู
จัดประสบการณ์ให๎ผ๎ูเรียน โดยใช๎เทคนิคตําง ๆ เชํน การใช๎คาถาม การกระต๎ุน การเสริมแรง รวมทั้งมีเทคนิค
การจัดการระเบียบช้ันเรียนและส่งิ แวดลอ๎ ม เพอื่ ให๎ผเ๎ู รียนบรรลุเป้าหมายของการเรียน

สรปุ วํา กระบวนการเรียนการสอนแบบสบื เสาะหาความรู๎ หมายถึง กระบวนการเรียนร๎ู
ที่ครูมงํุ หวังให๎นักเรยี นแสวงหาความรด๎ู ๎วยตนเอง โดยใช๎กระบวนการแสวงหาความรูท๎ างวิทยาศาสตร์
ซ่ึงเป็นการสอนที่เน๎นผู๎เรียนเป็นสาคัญ ประกอบด๎วยกิจกรรม 5 ขั้นตอน คือข้ันสร๎างความสนใจ
(Engagement) ข้ันสารวจและค๎นหา (Exploration) ขั้นอธิบายและลงข๎อสรุป (Explanation) ข้ัน
ขยายความรู๎ (Elaboration) และข้ันประเมนิ ผล (Evaluation)

รปู แบบการจดั การเรยี นรู้สืบเสาะหาความรู้

วีณา ประชากูล และประสาท เนืองเฉลิม (2554 : 168 – 170) กลําวถึง รูปแบบการ
เรยี น
การสอนแบบสืบเสาะแสวงหาความรู๎เป็นกลุํม (Group Investigation InstructionModel) วําเป็น
การจัด
การเรียนการสอน เพ่ือให๎ผู๎เรียนมีความร๎ู ความสามารถในการแสวงหาความร๎ูรวบรวมข๎อมูล และ
วิเคราะห์ข๎อมูล โดยแบํงขน้ั ตอนกิจกรรมการเรียนการสอนเปน็ 6 ขนั้ ดงั นี้

ข้ันท่ี 1 การเสนอปญั หาหรอื เผชญิ ปัญหา ผู๎เรียนได๎เผชิญปัญหาหรือสถานการณ์ตําง ๆ
ทาใหเ๎ กดิ ความสงสยั โดยคาถามหรือปญั หาตอ๎ งเหมะสมกบั วัย ความรค๎ู วามสามารถของผเ๎ู รียน

ขั้นท่ี 2 การพิจารณาปัญหา ผู๎สอนจะกระตุ๎นให๎ผ๎ูเรียนเกิดความขัดแย๎งในความคิด
ความเห็นของสมาชิกในกลํุมให๎มากท่ีสุด เพื่อนาไปสํูการแก๎ปัญหา ผ๎ูสอนควรเปิดโอกาสให๎ผ๎ูเรียนได๎
แสดงความคดิ เหน็ ให๎มากท่ีสดุ

ข้ันที่ 3 การคิดวิธีแสวงหาความรู๎ ผ๎ูสอนกระตุ๎นให๎ผู๎เรียนเกิดความอยากรู๎อยากเห็น
อยากแสวงหาคาตอบ แสวงหาความร๎ู ผู๎เรยี นรํวมกันวางแผนคน๎ หาความรู๎ โดยแบํงหนา๎ ที่และรํวมกัน
ทากิจกรรมกลุํม

ขั้นที่ 4 การค๎นคว๎าแสวงหาความรู๎ ผู๎เรียนแสวงหาความร๎ูตามบทบาทหน๎าที่ท่ีได๎รับ
มอบหมายจากกลมุํ สวํ นผ๎สู อนให๎คาแนะนาและชํวยอานวยความสะดวก รวมท้ังดูแลและติดตามการ
ทางานของผ๎ูเรียน

ขั้นท่ี 5 การวิเคราะห์ข๎อมูล สรุปผล นาเสนอ และอภิปรายผล ผู๎สอนจัดกิจกรรม
ประชมุ กลมํุ ให๎แตํละกลํุมนาข๎อมูลความร๎ูที่ได๎มาวิเคราะห์ อภิปราย และสรุปผล ประเด็นวิเคราะห์
เชํน ปัญหาและ
อปุ สรรค์ในการทางาน ตัวแทนแตํละกลํมุ นาเสนอผลการศกึ ษาและกระบวนการแสวงหาความร๎ู

ขน้ั ท่ี 6 การสืบเสาะแสวงหาความร๎ใู นเรอื่ งตอํ ไป ผ๎สู อนสงํ เสรมิ สนบั สนุนหากผ๎เู รยี น
ต๎องการแสวงหาความรู๎เพมิ่ เติมตํอไป รวมทัง้ แนะนาแหลงํ ค๎นคว๎าหาความร๎ู

อาไพ แกํนค๎างพลู ( 2555 : 16-17) กลาํ ววํา รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนร๎ูแบบสืบ
เสาะหาความรู๎วัฏจักรการเรียนรู๎ 5 ขั้น หรือท่ีเรียกกันโดยทั่วไปวําวิธีสอน 5E ซึ่งประกอบด๎วย
ข้ันสร๎างความสนใจ (Engagement) ขั้นสารวจและค๎นหา (Exploration) ข้ันอธิบายและลงข๎อสรุป
(Explanation) ข้ันขยายความร๎ู (Elaboration) และ ข้ันประเมิน(Evaluation) เพื่อพัฒนาศักยภาพ
ของนักเรียนด๎านพุทธิพิสัย ทักษะพิสัย และจิตพิสัย ท้ังนี้เพราะการสอนวิธีน้ีชํวยให๎ผู๎เรียนมีความรู๎
ได๎ฝึกคดิ วเิ คราะห์ ฝกึ ปฏบิ ตั ิโดยใช๎กระบวนการทางวิทยาศาสตรแ์ ละฝกึ ให๎เป็นผ๎ูที่มีจิตวิทยาศาสตร์
ได๎แกํ ความสนใจใฝ่รู๎ ความมํุงม่ัน อดทน รอบคอบมีความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์ ประหยัด
การรํวมแสดงความคิดเหน็ และยอมรับฟังความคิดเหน็ ของผอู๎ นื่ ความมเี หตผุ ล และการทางานรํวมกับ
ผ๎อู ่นื ได๎อยาํ งสร๎างสรรค์

การจดั การเรียนรแู้ บบสืบเสาะหาความรู้

การจดั การเรยี นรู๎แบบสืบเสาะหาความรู๎ เปน็ แนวทางในการพฒั นาการเรียนการสอน
ของครูและนักเรียนใหม๎ ีประสิทธภิ าพมากยิ่งขน้ึ โดยมกี ระบวนการจดั การแบบหลายข้ันตอนมี
ผเ๎ู ช่ยี วชาญหลายทํานไดก๎ าหนดขน้ั ตอนของกระบวนการจัดการเรียนรแู๎ บบสบื เสาะหาความร๎ู ดังนี้

1. คณะอนุกรรมการพัฒนาการสอนผลติ วสั ดุอุปกรณ์การสอนวทิ ยาศาสตร์ (2525 :
118-9) ได๎เสนอขัน้ ตอนในการเรยี นการสอนแบบสืบเสาะไว๎ดังน้ี

1.1 สร๎างสถานการณ์หรือปัญหาจากเนื้อหา เป็นขั้นตอนของการอภิปรายนาเข๎าสูํ
บทเรียน โดยการสร๎างสถานการณ์ที่เป็นปัญหา เพ่ือกระตุ๎นหรือท๎าทายให๎นักเรียนได๎คิดหรือ
แก๎ปัญหาน้ัน จะใช๎วิธีการใดขึ้นอยํูกับครูผู๎สอนวําเลือกวิธีการใดในการนาเข๎าสูํบทเรียนในเชิงของ
ปัญหาได๎อยํางเหมาะสมและสอดคล๎องกับเน้ือหา และจุดมุํงหมายเชิงพฤติกรรมที่มีอยูํในบทเรียน

สถานการณ์หรือปัญหานั้นควรอยํูใกล๎ตัว ดึงดูดความสนใจของผู๎เรียน เป็นส่ิงท่ีพบเห็นได๎ใน
ชวี ิตประจาวนั และสามารถโยงไปสกํู ารทดลองทตี่ อ๎ งการได๎

1.2 ใชค๎ าถามในการอภิปรายเพื่อนาเขา๎ สูํแนวการหาคาตอบของปัญหา เป็นข้ันการ
อภิปรายโดยใช๎คาถามที่ตํอเนื่องกันสัมพันธ์กันเป็นชุด ซ่ึงสามารถนานักเรียนเข๎าสํูการคาดคะเน
คาตอบทอ่ี าจเป็นไปได๎ (สมมตฐิ าน)

1.3 ใช๎คาถามเพื่อนาไปสํูการออกแบบการทดลอง เทคนิคการทดลองเพื่อความ
ปลอดภัยในการใชอ๎ ุปกรณ์

1.4 การดาเนินการทดลองและการบันทึกผลการทดลอง เป็นข้ันที่นักเรียนลงมือ
ดาเนินการทดลองหรือบันทึกผลการทดลอง เพ่ือทดสอบสมมติฐานท่ีกาหนดไว๎ โดยแบํงนักเรียน
ออกเป็นกลุํมๆ ตามความเหมาะสม ผ๎ูสอนมีบทบาทใหค๎ าแนะนาชวํ ยเหลอื นักเรียนแตํละกลํุมเฉพาะที่
จาเป็นเทํานนั้ และหากมเี น้ือหาใดท่ีไมสํ ามารถทดลองในห๎องเรียนได๎ ครูอาจจะใช๎ข๎อมูลของผู๎อื่นท่ีได๎
ทดลองมากํอน มาอภปิ รายรวํ มกันเพ่อื สรุปผลโดยไมํตอ๎ งดาเนินการทดลอง

1.5 ใช๎คาถามในการอภิปราย เพื่อสรุปผลการทดลองเป็นขั้นของการใช๎คาถามโดย
อาศัยข๎อมูลที่ได๎จากการทดลองเป็นหลัก เพ่ือนาไปสูํการสรุปหาคาตอบในการแก๎สถานการณ์หรือ
ปัญหาขา๎ งต๎น และให๎ได๎ข๎อสรปุ ออกมาเป็นสาคญั แนวความคิดหรือทฤษฎีตําง ๆ คาถามที่ใช๎ควรถาม
เพ่ือฝึกใหน๎ กั เรียนความร๎ูท่ีได๎ไปใช๎ในสถานการณ์ใหมํที่นักเรียนพบเห็นในชีวิตประจาวันหรือเป็นเรื่อง
ที่จะเรยี นตอํ ไป

2. การจดั กจิ กรรมการเรียนรู๎แบบสืบเสาะตามแนว สสวท. สถาบันสํงเสริมการสอน
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีไดเ๎ สนอขั้นตอนการสอนแบบสืบเสาะหาความรเ๎ู ป็น 5 ขัน้ ตอนดงั น้ี
(สถาบนั สํงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี. 2546 ค : 219-220)

2.1 ข้ันสร๎างความสนใจ (Engagement) หมายถึง การนาเข๎าสํูบทเรียนหรือเรื่องที่
สนใจซ่ึงอาจเกิดข้ึนเองหรือจากความสงสัย หรืออาจเร่ิมจากความสนใจของตัวนักเรียนเองหรือเกิด
จากการอภิปรายภายในกลํุม เร่ืองท่ีนําสนใจอาจมาจากเหตุการณ์ที่กาลังเกิดข้ึนในชํวงเวลานั้นหรือ
เป็นเร่ืองที่เชื่อมโยงกับความรู๎เดิมท่ีเพ่ิงเรียนมาแล๎ว เป็นตัวกระต๎ุนให๎นักเรียนสร๎างคาถามกาหนด
ประเด็นที่จะศึกษา ในกรณีที่ยังไมํมีประเด็นใดนําสนใจ ครูอาจให๎ศึกษาจากส่ือตํางๆ หรือเป็นผ๎ู
กระต๎ุนด๎วยการเสนอประเด็นขึ้นมากํอน แตํไมํควรบังคับให๎นักเรียนยอมรับประเด็นหรือคาถามที่ครู
กาลงั สนใจเป็นเร่ืองท่จี ะใชศ๎ ึกษาเมอ่ื มคี าถามทีน่ ําสนใจและนกั เรียนสํวนใหญํยอมรับให๎เป็นประเด็นที่
ต๎องการศกึ ษาจงึ รวํ มกนั กาหนดขอบเขตและแจกแจงรายละเอยี ดของเรื่องที่จะศึกษาให๎มีความชัดเจน
ย่ิงข้ึนอาจรวมทั้งการรวบรวมความร๎ูประสบการณ์เดิม หรือความรู๎จากแหลํงตํางๆ ที่จะใช๎ให๎นาไปสูํ
ความเข๎าใจเร่ืองหรือประเด็นที่จะศึกษามากขึ้น และมีแนวทางท่ีใช๎ในการสารวจตรวจสอบอยําง
หลากหลาย

2.2 ข้ันสารวจและค๎นหา (Exploration) หมายถึง การทาความเข๎าใจในประเด็น
หรือคาถามที่สนใจจะศึกษาอยํางถํองแท๎แล๎ว ก็มีการวางแผนกาหนดแนวทางการสารวจตรวจสอบ
ตั้งสมมติฐาน กาหนดทางเลือกที่เป็นไปได๎ ลงมือปฏิบัติเพ่ือเก็บรวบรวมข๎อมูลข๎อสนเทศ หรือ
ปรากฏการณ์ตาํ งๆ วธิ ีตรวจสอบอาจทาได๎หลายวิธี เชํน ทาการทดลอง ทากิจกรรมภาคสนาม การใช๎
คอมพิวเตอร์เพ่ือชํวยสร๎างสถานการณ์จาลอง (Simulation) การศึกษาหาข๎อมูลจากเอกสารอ๎างอิง
หรือจากแหลํงขอ๎ มูลตําง ๆ เพอ่ื ให๎ไดข๎ อ๎ มูลอยาํ งเพียงพอท่จี ะใช๎ในขัน้ ตอนตํอไป

2.3 ขั้นอธิบายและลงข๎อสรุป (Explanation) หมายถึง การรวบรวมข๎อมูลอยําง
เพียงพอจากการสารวจตรวจสอบแล๎วจึงนาข๎อมูล ข๎อสนเทศที่ได๎มาวิเคราะห์ แปลผล สรุปผลและนาเสนอผลที่ได๎
ในรูปตําง ๆ เชํน บรรยายสรุป สร๎างแบบจาลองทางคณิตศาสตร์ หรือรูปวาดสร๎างตาราง ฯลฯ การ
ค๎นพบในข้ันนี้อาจเป็นไปได๎หลายทาง เชํน สนับสนุนสมมติฐานท่ีต้ังไว๎โต๎แย๎งกับสมมติฐานท่ีตั้งไว๎
หรือไมํเก่ียวข๎องกับประเด็นท่ีได๎กาหนดไว๎ แตํผลท่ีได๎จะอยํูในรูปใดก็สามารถสร๎างความร๎ูและชํวยให๎
เกิดการเรียนร๎ไู ด๎

2.4 ข้ันขยายความร๎ู (Elaboration) หมายถึง การนาความรู๎ที่สร๎างขึ้นไปเช่ือมโยง
กับความร๎ูเดิมหรือแนวคิดท่ีได๎ค๎นคว๎าเพิ่มเติม หรือนาแบบจาลองหรือข๎อสรุปที่ได๎ไปใช๎อธิบาย
สถานการณ์หรือเหตุการณ์อ่ืนๆ ถ๎าใช๎อธิบายเรื่องตํางๆ ได๎มากก็แสดงวําข๎อจากัดน๎อยซ่ึงก็จะชํวยให๎
เช่ือมโยงกบั เร่อื งตาํ ง ๆ และทาใหเ๎ กดิ ความรูก๎ ว๎างขวางขนึ้

2.5 ขนั้ ประเมนิ ผล (Evaluation) หมายถึง การประเมินการเรียนรู๎ด๎วยกระบวนการ
ตําง ๆ วํานักเรียนมีความร๎ูอะไรบ๎าง อยํางไร และมากน๎อยมากใด จากข้ันนี้จะนาไปสูํความรู๎ไปประยุกต์ใช๎ในเรื่อง
อื่น ๆ การนาความร๎ูหรือแบบจาลองไปใช๎อธิบายหรือประยุกต์ใช๎กับเหตุการณ์หรือเรื่องอื่นๆ จะ
นาไปสํูข๎อโต๎แย๎งหรือข๎อจากัดซ่ึงจะกํอให๎เป็นประเด็นหรือคาถาม หรือปัญหาที่จะต๎องสารวจ
ตรวจสอบตํอไปทาให๎เกิดกระบวนการที่ตํอเนื่องกันไปเรื่อย ๆ จึงเรียกวํา Inquiry Cycleการสอน
แบบสบื เสาะหาความร๎ูจึงชํวยให๎นักเรียนเกิดการเรียนร๎ูทั้งเน้ือหลักและหลักการ ทฤษฎีตลอดจนการ
ลงมอื ปฏบิ ัติ เพอื่ ใหไ๎ ดค๎ วามรซู๎ ง่ึ จะเปน็ พ้นื ฐานในการเรยี นร๎ูตอํ ไป

ภาพท่ี 2.1 แผนภมู ิวฎั จักรการสืบเสาะหาความรู๎
ทีม่ า :

3. การสอนวิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะของอเมริกาการสอนวิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะของ
อเมริกา มีลักษณะสาคัญ 5 ประการดังน้ี (ศรีสุภาพ ชาชีโย. 2546 : 16-17 ; อ๎างอิงมาจาก ไพฑูรย์
สุขศรีงาม. 2531 : 6-8)

3.1 นักเรียนตั้งคาถาม - ซักถาม โดยคาถามจะต๎องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข๎องกับ
เ นื้ อ ห า ส า ร ะ วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ เ ส ม อ แ ล ะ เ ป็ น ค า ถ า ม ที่ มี ลั ก ษ ณ ะ เ ป็ น วิ ท ย า ศ า ส ต ร์
(SciencetificQuestions) ซึ่งสามารถนาไปสูํการสืบค๎นหาคาตอบที่เชื่อถือได๎โดยใช๎กระบวนการ
สังเกต ทดลองครูวิทยาศาสตร์จึงต๎องมีความสามารถในการช้ีนาการวินิจฉัยคาถามตําง ๆ ท่ีนักเรียน
ถามให๎เป็นคาถามท่ีมีประโยชน์นาไปสํูการสืบเสาะหาคาตอบ คาอธิบายได๎ และให๎มีความเหมาะสม
กับระดับพัฒนาการทางสติปัญญาของนักเรียน จนกระท่ังนาไปสูํการลงมือปฏิบัติกิจกรรมหาคาตอบ
ได๎

3.2 นักเรียนเก็บรวบรวมหลักฐาน เพื่อนาไปสูํการสร๎างและการประเมินคาอธิบาย
หรือคาตอบของปัญหาอยํางสมเหตุสมผล–เชื่อถือได๎ วิทยาศาสตร์มีความแตกตํางไปจากศาสตร์อื่น ๆ
ในการหาความรกู๎ ค็ อื มกี ารใช๎หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ (Empirical Evidence)

3.3 นกั เรียนสร๎างคาอธิบาย (Explanation) จากหลกั ฐานข๎อมูลที่ได๎เก็บรวบรวม ใน
การสืบเสาะเน๎นการเก็บรวบรวมข๎อมูล หลักฐาน เพื่อนาไปสูํการสร๎างคาอธิบายหรือคาตอบของ

ปัญหา-คาถาม มากกวําการเน๎นการสร๎างกฎเกณฑ์สาหรับหลักฐาน หรือการกาหนดคุณลักษณะของ
หลกั ฐาน

3.4 นักเรียนประเมิน หรือตรวจสอบคาอธิบาย การประเมิน (Evaluation)ซ่ึงอาจ
นาไปสํูการปรบั ปรุงแก๎ไข หรือยกเลกิ การอธบิ าย

3.5 นกั เรียนรายงานคาอธิบายอยาํ งสมเหตสุ มผลนกั วทิ ยาศาสตรเ์ พ่ือสรา๎ งคาอธิบาย
จะตอ๎ งรายงานใหผ๎ รู๎ ใู๎ นแวดวงวิทยาศาสตรร์ ับทราบ ในลกั ษณะทคี่ นอน่ื สามารถตรวจสอบ

4. บทบาทของครูในการสอนแบบสืบเสาะหาความร๎ู วีระชาติ สวนไพรินร์ (2531 : 40-
41) ได๎สรุปบทบาทครูในการสอนแบบสบื เสาะหาความรู๎ ไว๎ดังตํอไปนี้

4.1 เป็นผู๎กระต๎ุนให๎เด็กคิด (Catalyst) โดยการสร๎างสถานการณ์ชักชวนให๎เด็กต้ัง
คาถามสบื เสาะตามลาดับข้นั ของคาถามแบบสบื เสาะ

4.2 เป็นผ๎ูให๎การหนุน (Reinforce) เมื่อเด็กถามก็ให๎แรงหนุนยอมรับในคาถามนั้น
กลําวชมและชํวยปรบั ปรุงภาษาในคาถามเพือ่ ให๎นักเรยี นเข๎าใจคาถามกระจาํ งดียิง่ ขึน้

4.3 เป็นผู๎ทวนกลับ (Feedback Action) ครูจะเป็นผ๎ูทบทวนคาถามอยํูบํอย ๆ เพ่ือ
พจิ ารณาดวู าํ นกั เรียนมคี วามเขา๎ ใจอยาํ งไรบ๎าง

4.4 เป็นผู๎แนะนาและกากับ (Guide and Director) ครูจะช้ีทางเพื่อให๎เกิดความคิด
ตามแนวทางท่ถี กู ต๎อง เปน็ ผู๎กากับควบคมุ เมื่อเดก็ ออกนอกลํนู อกทาง

4.5 ครูเป็นผู๎จัดระเบียบ (Organize) ครูดาเนินการจัดช้ันเรียนให๎เหมาะสมกับวิธี
เรียน สร๎างบรรยากาศให๎เหมาะสม โดยจัดเป็นกลุํมหรือชั้นตามลักษณะของนักเรียน เพื่อให๎เกิดการ
เรียนการสอนทมี่ ีประสทิ ธิภาพ

4.6 ครูเป็นผ๎ูสร๎างแรงจูงใจ (Motivator) ครูชํวยสร๎างแรงจูงใจให๎นักเรียนมีกาลังใจ
ในการเรยี น

5. ประโยชน์ของการสืบเสาะหาความร๎ูประโยชน์ของการสืบเสาะหาความร๎ู (ไพฑูรย์ สุข
ศรงี าม. 2531 : 9-68)

5.1 เพ่ิมศักยภาพด๎านสติปัญญา (Intellectual Potency) เน่ืองจากการเรียนแบบ
สืบเสาะ นักเรยี นต๎องเข๎ามามีสํวนรํวมในกิจกรรมทุกขั้นตอน ทาให๎นักเรียนเกิดการเรียนรู๎ วิธีการในการแก๎ปัญหา
การถาํ ยโอนความรไู๎ ปใช๎ในสถานการณ์ใหมํ

5.2 สํงเสริมการเรียนร๎ูท่ีเกิดจากแรงจูงใจภายใน (Intrinsic Motivation) โดย
นักเรียนจะมุํงอยูํที่ความสาเร็จในการแก๎ปัญหา จนกระทั่งได๎รับความรู๎ใหมํด๎วยตนเอง มีอิสระในการ
ควบคุมนาทาง ไมตํ อ๎ งคานงึ ถึงเรอื่ งรางวลั และการลงโทษ มีความเชื่อมั่นในความสามารถของตน เป็น
การสงํ เสริมให๎เกดิ การเรยี นรูอ๎ ยาํ งมคี วามหมาย

5.3 เป็นยุทธศาสตร์ในการเรียน (Heuristic of Leaning) นักเรียนจะได๎รับการ
ฝึกฝนในการแก๎ปัญหา ตลอดจนการใช๎ความพยายามในการค๎นพบความร๎ู ซ่ึงจะชํวยให๎นักเรียน
สามารถแกป๎ ัญหาตาํ งๆ ด๎วยตนเองอยํางเช่ือม่ัน

5.4 สํงเสริมการจดจาความร๎ู (Conservation of Memory) ในการเรียนรู๎น้ัน ส่ิงที่
เรียนร๎ูอยํางมีความหมายจะถูกเก็บบันทึกไว๎ในหนํวยความจาระยะยาวของสมอง และสามารถเรียก
กลับมาใช๎ไดอ๎ กี เม่อื มสี ่งิ เรา๎ ภายนอกมากระตน๎ุ จะทาใหเ๎ กิดการระลึกได๎

6. ปัญหาในการจดั การเรยี นสอนแบบสืบเสาะหาความร๎ปู ัญหาท่ีมกั พบในการจัดการเรียน
การสอนแบบสบื เสาะหาความรู๎ มีดงั นี้

6.1 ครูวิทยาศาสตร์สํวนมากไมํนิยมสอนแบบสืบเสาะเน่ืองมากจากสาเหตุ 10
ประการ

6.1.1 ด๎านเวลาและด๎านพลังงาน การสอนแบบสืบเสาะต๎องใช๎เวลามากในการ
เตรียมวัสดุอุปกรณ์การสอน ต๎องใช๎พลังงานมากในการทางานให๎ตนเองมีความกระตือรือร๎นในการ
สอนสบื เสาะวันละหลายหอ๎ งเรียน

6.1.2 ความครอบคลมุ เนอื้ หา การสอนสืบเสาะในแตํละกิจกรรมใช๎เวลานานกวํา
จะแลว๎ เสร็จ ทาใหน๎ ักเรยี นไมํสามารถเรยี นเน้อื หาไดท๎ ันเวลาท่ีกาหนดไว๎ในหลักสูตร

6.1.3 ระดับความสามารถในการจาแนกของตารา เอกสาร นักเรียนสํวนมากมี
ระดับความสามารถในการอํานต่ากวําระดับที่กาหนดไว๎ในเอกสาร ตารา จึงไมํสามารถอํานได๎อยํางร๎ู
เร่ืองเขา๎ ใจ

6.1.4 ความเส่ียง การสอนสืบเสาะอาจทาให๎ผ๎ูบริหารเข๎าใจวําครูไมํได๎สอน
นักเรียน เนื่องจากในขณะท่ีนักเรียนทากิจกรรม จะมีความไมํเป็นระเบียบ นักเรียนเดินไป มาใน
ห๎องเรียน พูดคุยตลอดเวลา นอกจากน้ีครูยังไมํแนํใจวําเมื่อสอนจบแล๎วนักเรียนเกิดการเรียนรู๎ตามท่ี
กาหนดหรือไมํ

6.1.5 รูปแบบการจัดช้ันเรียน เนื่องจากโรงเรียนนิยมจัดนักเรียนเกํงไว๎ห๎อง
เดียวกัน สํวนนักเรียนปานกลางและอํอนจัดคละกัน ทาให๎นักเรียนห๎องคละความสามารถเรียนแบบ
สืบเสาะไมํคํอยได๎ผล เพราะนักเรียนมีระดับสติปัญญาอยํูในระดับการปฏิบัติ การคิดรูปธรรมไมํ
เหมาะสมท่ีจะเรยี นสืบเสาะ

6.1.6 วุฒิภาวะของนักเรียน นักเรียนสํวนมากขาดวุฒิภาวะ ขาดวินัยในตนเอง
ขาดความรับผิดชอบ ทาให๎เสียเวลากวําจะเรียนในแตํละครั้ง จึงไมํสามารถทากิจกรรมแล๎วเสร็จใน
เวลาทก่ี าหนดได๎

6.1.7 ลาดับทางเน้ือหา ตาราที่สอนแบบสืบเสาะ กาหนดลาดับกิจกรรมไว๎
ตายตัว ไมํสามารถสอนข๎ามกิจกรรมได๎ เน่ืองจากกิจกรรมแรกเป็นพ้ืนฐานของความเข๎าใจในกิจกรรม
ถดั มา

6.1.8 ความเคยชินของครู ครูสํวนมากมีเคยชินกับการสอนท่ีเน๎นครูเป็น
ศูนย์กลางทางการเรียน โดยการบรรยาย ให๎อํานหนังสือ การสาธิต หรือมอบหมายงานให๎ทาจึงไมํ
เปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมการสอน

6.1.9 ความอึดอัดใจ ครูสํวนมากมีความไมํสบายใจที่ไมํสามารถมีบทบาทในการ
ควบคุมดูแลให๎นักเรียนเรียนได๎ตามปกติ เนื่องจากการสืบเสาะต๎องการให๎นักเรียนมีวินัยในตนเอง มี
ความรบั ผดิ ชอบในการเรียน และขณะเดยี วกันมีนกั เรียนจานวนมากไมอํ ยากเรียนวิธีนี้กลัวจะมีความรู๎
ไมเํ พยี งพอทจ่ี ะไปสอบเรียนตํอ

6.1.10 คําใช๎จํายในการสอนแบบสืบเสาะต๎องใช๎งบประมาณมากในการจัดซ้ือ
วสั ดุ อปุ กรณต์ ําง ๆ แตทํ างโรงเรยี นสวํ นมากก็มีงบประมาณในการจดั ซือ้ ไมเํ พียงพอ

6.2 ความเข๎าใจท่คี ลาดเคลื่อนท่เี ก่ียวกับการเรียนการสอนแบบสืบเสาะ 5 ประการดังนี้
6.2.1 เน้ือหาทางวิทยาศาสตร์ทุกเร่ืองสามารถสอนแบบสืบเสาะได๎ ซ่ึงไมํเป็นความ

จริง การสอนวิทยาศาสตร์ท่ีมีประสิทธิภาพ จะต๎องใช๎รูปแบบการสอนหรือยุทธวิธีการสอนที่แตกตําง
กันไป โดยคานึงถึงระดับความร๎ู ความสามารถของนักเรียน บริบทของโรงเรียนและชุมชนที่โรงเรียน
ต้ังอยํู ตลอดจนความมุํงหมายหรือวัตถุประสงค์ในการสอนวิทยาศาสตร์ การสอนโดยใช๎วิธีการอยําง
เดียวตลอดเวลา ไมํสามารถทาให๎นักเรียนเกิดการเรียนร๎ูอยํางมีประสิทธิภาพหรืออยํางมีความหมาย
ได๎ หรอื เกิดการเรยี นรูไ๎ ด๎ทกุ ชนดิ ตามที่ตอ๎ งการ และทาใหน๎ ักเรียนเกดิ ความเบื่อหนํายในการเรียนได๎

6.2.2 การสืบเสาะที่แท๎จริงเกิดขึ้นได๎เม่ือนักเรียนเป็นผู๎กาหนดปัญหาหรือคาถาม
และทาการศึกษาค๎นคว๎าหาคาตอบด๎วยตนเองเทํานั้น ในการสืบเสาะนั้นมีหลายระดับการเกิดปัญหา
หรือการตั้งคาถามสามารถทาได๎แบบท้ังครูเป็นผ๎ูกาหนดให๎ หรือนักเรียนเป็นผ๎ูกาหนดขึ้นมาเองการ
กาหนดปัญหาหรือตงั้ คาถามทน่ี าไปสํเู รอ่ื งการสืบคน๎ คาตอบไดจ๎ ะต๎องได๎รับการฝึกฝนการตั้งคาถามมา
กํอน แตํถ๎าครูใช๎การสอนแบบบรรยายหรือการสอนท่ีบอกความรู๎ให๎กับนักเรียน นักเรียนจะขาด
โอกาสในการฝกึ ฝนทักษะแบบต้งั คาถามและขาดโอกาสในการสืบคน๎ หาคาตอบของปญั หา

ดังนัน้ ครวู ทิ ยาศาสตรจ์ ะตอ๎ งเปน็ แบบอยาํ งในการใช๎คาถามที่มีประสิทธิภาพ พร๎อมท้ังให๎
นักเรยี น
ได๎ทากิจกรรมเพ่ือนาไปสูํการหาคาตอบของปัญหา เมื่อนักเรียนมีทักษะมากขึ้นก็สามารถจะสร๎าง
คาถามหรอื กาหนดปัญหาไว๎ด๎วยตนเอง และดาเนินการทากจิ กรรมเพ่อื ค๎นหาคาตอบดังกลําวได๎

6.2.3 การสอนสืบเสาะเกิดขึ้นได๎อยํางงําย ๆ โดยใช๎การสอนท่ีกาหนดรูปแบบ
สืบเสาะไว๎แล๎ว เนื่องจากการสืบเสาะตามชุดการสอนจะทาให๎นักเรียนได๎รับการฝึกฝนการคิด การใช๎

เหตุผลที่ถูกต๎อง ได๎ความร๎ทู ี่ถกู ตอ๎ ง ทาให๎เกิดการเรยี นรู๎เป็นไปตามลาดับข้ันตอนที่เหมาะสมอยํางไรก็
ตาม รูปแบบการสอนที่ดีที่สุดกาหนดให๎นักเรียนทาการสืบเสาะ ไมํมีหลักประกันวําเม่ือเรียนจบแล๎ว
นักเรียนจะไดท๎ าการสบื เสาะท่ีสมบูรณ์ หรือทาให๎นักเรียนได๎ผลการเรียนรู๎ตามที่คาดหวังไว๎ตามความ
เป็นจริง แล๎วครูที่มีทักษะในการสืบเสาะยังเป็นบุคคลสาคัญในการจัดการเรียนการสอนแบบสืบเสาะ
อยาํ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ใหเ๎ หมาะสมสอดคล๎องกบั ระดบั ความร๎ู ความสามารถของนักเรยี น

6.2.4 เมื่อนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมด๎วยตนเองจะทาให๎เกิดการเรียนการสอนแบบ
สืบเสาะ ในการเรยี นการสอนที่มีนกั เรยี นเป็นผู๎ปฏบิ ัติกจิ กรรมหรอื การปฏบิ ตั ิน้นั บางกิจกรรมเป็นการ
ปฏิบัติเพ่ือนาไปตรวจสอบ หรือพิสูจน์ยืนยันส่ิงท่ีทราบมากํอนแล๎วจากการสอนหรือการอํานตารา
เรียน (Exercise Activities) ทาให๎นักเรียนไมํได๎ฝึกฝนการใช๎ความคิดอยํางแท๎จริง แตํถ๎านักเรียนทา
กิจกรรมเพ่ือค๎นหาคาตอบของปัญหาหรือคาถามท่ีไมํทราบมากํอนคาตอบ หรือยังไมํมีคาตอบที่
เหมาะสมถูกต๎องมากํอน (ปฏิบัติกิจกรรมแบบนี้เรียก Investigative Activities) นักเรียนไมํมีโอกาส
ได๎ฝึกฝนความคดิ เหตุผล ในการสบื เสาะอยํางแท๎จริง และเข๎าใจวําวิทยาศาสตร์เป็นกระบวนการสร๎าง
ค๎นพบความรู๎ (Discovery/Generating Knowledge) ไมํใชํการพิสูจน์ทดสอบความรู๎ท่ีพบมากํอน
แล๎ว (Justifiying/Taxting Knowledge)

6.2.5 การเรียนการสอนแบบสืบเสาะไมํจาเป็นต๎องใสํใจกับเนื้อหาความร๎ูทาง
วิทยาศาสตร์ ในยุคที่ 60 ซ่ึงเป็นยุคท่ีเน๎นการจัดการเรียนการสอนให๎สอดคล๎องกับธรรมชาติ
วิทยาศาสตร์เป็นกระบวนการสืบเสาะ จึงเน๎นการจัดการเรียนการสอนให๎สอดคล๎องกับธรรมชาติซึ่ง
เปน็ ทักษะทางสติปญั ญา โดยเช่ือวําเมื่อนักเรียนมีทักษะดังกลําวแล๎วก็สามารถสร๎างความร๎ูได๎เองหรือ
แม๎แตํในปัจจุบันก็ยังมีนักการศึกษาจานวนไมํน๎อยเช่ือวํา ถ๎านักเรียนเรียนกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์ก็สามารถใช๎กระบวนการเหลํานี้สร๎างความรู๎ได๎ทุกอยํางได๎ แตํทฤษฎีสร๎างสรรค์ความร๎ู
ระบุวํา นักเรียนจะต๎องมีกรอบความคิดอยูํกํอนแล๎วเทําน้ัน จึงนาไปสูํการ ใช๎กระบวนการทาง
วทิ ยาศาสตร์ จะต๎องมีกรอบความร๎ู-ความคิด ความเชื่อ ข๎อตกลงเบ้ืองต๎นท่ีมีอยูํกํอนแล๎ว เป็นส่ิงชี้นา
ให๎เกิดปัญหาการเลือกแก๎ปัญหา ตลอดจนการจัดกระทาข๎อมูลและการสรุปผล ดังนั้น ความร๎ูท่ีมีอยํู
กอํ นแลว๎ จึงเปน็ สิง่ จาเป็นของการนาไปสกูํ ารสบื เสาะ

ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน

ความหมายของผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน

ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นเปน็ สมรรถภาพทางสมองในดา๎ นตําง ๆ ทนี่ ักเรียนไดร๎ ับจาก
ประสบการณ์ท้ังทางตรง และทางอ๎อมจากครู โดยมีนกั การศึกษาหลายทาํ นไดใ๎ ห๎ความหมายของ
ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นไว๎ ซ่ึงผ๎ูวิจยั ไดร๎ วบรวมไว๎ ดังตอํ ไปน้ี

ปานใจ ไชยวรศลิ ป์ (2549 : 16) กลาํ ววาํ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น หมายถึง ผลรวม
ของมวลประสบการณ์ทไี่ ดจ๎ ากการเรียนรใ๎ู นดา๎ นของทักษะ ความร๎ู ความสามารถที่แสดงออกมา
และสามารถที่จะวัดได๎ จากแนวคิดของนักการศึกษาที่กลาํ วมาขา๎ งต๎น

พรรณพิศ พลรัฐธนาสิทธ์ิ (2552 : 40) กลาํ ววํา ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน หมายถึง ผล
อันเกดิ จากการอบรม สง่ั สอน การค๎นคว๎า ประสบการณ์ตําง ๆ หรอื การเปลย่ี นแปลงพฤติกรรมที่
แสดงออกถึงความสามารถทางดา๎ นพทุ ธิสยั ดา๎ นจติ พิสยั และด๎านทักษะพิสัย

แสงศรี ศลิ าอํอน (2553 : 60) กลําววาํ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน หมายถงึ ความรู๎
ทักษะ และความสามารถตาํ งๆ ท่ีเกิดขึน้ ภายหลังทน่ี กั เรียนได๎รบั การฝกึ ฝนและอบรมสง่ั สอนในเร่อื งที่
เรยี นมาแลว๎ อนั มผี ลให๎เกดิ การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมซึง่ สามารถตรวจสอบได๎ จากการวดั ผลสมั ฤทธ์ิ
ทางการเรยี น

อาไพ แกํนค๎างพลู ( 2555 : 23) กลาํ ววํา ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น หมายถงึ
สมรรถภาพทางสมองหรือสติปัญญา ทกั ษะกระบวนการและจติ พสิ ัยหรอื คณุ ลักษณะท่ีชวํ ยพฒั นา
ผ๎เู รียน ซ่งึ ได๎จากการวัดผลและประเมินผล

สรุปไดว๎ ํา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น หมายถึง ความรู๎ความสามารถทีเ่ กิดจากการเรียนร๎ู
การฝึกฝน หรือประสบการณ์ตาํ ง ๆ ของบุคคลและสามารถวดั ไดโ๎ ดยแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์
ทางการเรยี น

ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น
ในการเรียนรู๎ครูผ๎สู อนจะต๎องวดั ผลการเรียนรูข๎ องนักเรยี นวําเป็นไปตามจุดประสงคท์ ตี่ ั้ง
ไว๎หรือไมํ วธิ ีการวดั ผลและเครอื่ งมือท่ีใชน๎ ัน้ มีหลายชนดิ ในการวจิ ยั ครัง้ นผ้ี ว๎ู ิจยั ไดว๎ ดั ผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนของนักเรยี นจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น โดยมีนกั การศึกษาหลายทาํ น
ไดใ๎ หค๎ วามหมายของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นไว๎ ซ่งึ ผว๎ู จิ ยั ได๎รวบรวมไว๎ ดังตํอไปนี้
สมบัติ ท๎ายเรอื คา (2551 : 72) กลาํ ววํา ของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวํา
เป็นแบบทดสอบวัดระดับความสามารถของผู๎เรียนวํา มีความรู๎ ความสามารถและทักษะใน
เนือ้ หาวชิ าท่เี รียนไปแลว๎ มากน๎อยเพยี งใด
พรรณพิศ พลรัฐธนาสิทธิ์ (2552 : 43) กลําววํา แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการ
หมายถงึ แบบทดสอบทีใ่ ช๎วดั ความรู๎เชิงวิชาการ ทักษะ เน๎นวัดความร๎ูในอดีตและสภาพปัจจุบันของ
รายบคุ คล

บุญชม ศรีสะอาด (2553 : 56) ได๎กลําววํา แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
หมายถึง แบบทดสอบท่ีใช๎วัดความร๎ู ความสามารถของบุคคลในด๎านวิชาการซึ่งเป็นผลจากการเรียนร๎ู
เนอื้ หาสาระและตามจดุ ประสงคข์ องวิชาหรือเนอ้ื หาที่สอบนน้ั โดยท่ัวไปจะวัดผลสัมฤทธิ์ในวิชาตําง ๆ
ทีเ่ รยี นในโรงเรียนวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัย หรือสถาบันการศึกษาตาํ ง ๆ

สมนึก ภัททิยธนี (2553 : 63) ได๎กลําววํา แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
หมายถึง แบบทดสอบท่ีวัดสมรรถภาพสมองด๎านตําง ๆ ที่นกั เรียนไดร๎ บั การเรยี นรท๎ู ีผ่ ํานมาแล๎วได๎แบํง
ประเภทของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น

แสงศรี ศิลาอํอน (2553 : 61) กลําววํา แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเป็น
เคร่ืองมือที่ใช๎วัดความรู๎ในด๎านเนื้อหาวิชา และจุดประสงค์การเรียนร๎ูของเนื้อหาวิชาที่สอนผําน
มาแลว๎ วาํ นกั เรยี นมีความร๎ู ทักษะและสมรรถภาพตําง ๆ เพียงใด

สรปุ ไดว๎ าํ แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นเปน็ แบบทดสอบท่ีใช๎วดั ความร๎ู
ทกั ษะและสมรรถภาพด๎านตาํ ง ๆ ท่ีผเ๎ู รยี นไดร๎ บั จากประสบการณ์ทงั้ ปวง

ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ

บญุ ชม ศรสี ะอาด และคนอ่นื ๆ (2552 : 62) ได๎แบํงแบบทดสอบประเภทนีแ้ บํงออกเปน็ 2
ชนดิ คือ

1. แบบทดสอบที่ครูสร๎างขึ้นเอง (Teacher Made Test) หมายถึง แบบทดสอบที่มํุง
วัดผลสัมฤทธิ์ของผ๎ูเรียนเฉพาะกลํุมที่ครูสอน เป็นแบบทดสอบที่ใช๎กันทั่ว ๆ ไปในโรงเรียนและ
สถาบันการศึกษา

2. แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized Test) หมายถึง แบบทดสอบท่ีมํุงวัดผล
สัมฤทธิ์ของผู๎เรียนท่ัว ๆ ไป แบบทดสอบชนิดน้ีจะต๎องผํานการวิเคราะห์แล๎ววํามีคุณภาพดี มี
มาตรฐานคอื มีมาตรฐานในการดาเนินการสอบ และมาตรฐานในวิธีการแปลความหมายคะแนน

บุญชม ศรีสะอาด (2553 : 56) ได๎กลําววํา แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอาจ
จาแนกออกได๎ 2 ประเภท คือ

1. แบบทดสอบอิงเกณฑ์ (Criterion Referenced Test) หมายถึง แบบทดสอบท่ีสร๎าง
ขึน้ ตามจุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมมีคะแนนจุดตัดหรือคะแนนเกณฑ์ สาหรับใช๎ตัดสินวําผู๎สอบมีความร๎ู
ความสามารถตามเกณฑ์ทก่ี าหนดไว๎หรือไมํ การวัดตรงตามจุดประสงคเ์ ปน็ หัวใจสาคัญของข๎อสอบใน
แบบทดสอบประเภทน้ี

2. แบบทดสอบอิงกลํุม (Norm Referenced Test) หมายถึง แบบทดสอบท่ีสร๎างข้ึนเพ่ือ
วัดให๎ครอบคลุมหลักสูตร จึงสร๎างตามตารางวิเคราะห์หลักสูตร ความสามารถในการจาแนกข๎อสอบ
ตามความเกํง อํอน ได๎ดี เป็นหัวใจสาคัญของข๎อสอบในแบบทดสอบประเภทนี้ การรายงานผล
ความสามารถของบคุ คลนนั้ เมอ่ื เปรยี บเทยี บกับบุคคลอ่ืน

สมนึก ภัททิยธนี (2553 : 63) ได๎แบํงประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรยี น ออกเปน็ 2 ชนิดคอื

1. แบบทดสอบที่ครูสร๎าง (Teacher Made Test) หมายถึง แบบทดสอบที่มํุงวัดผล
สัมฤทธ์ิของผู๎เรียนเฉพาะกลํุมครูท่ีสอนจะไมํนาไปใช๎กับนักเรียนกลํุมอ่ืนเป็นแบบทดสอบท่ีใช๎ ๆ กัน
โดยทั่วไปในโรงเรยี น

2. แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized Test) หมายถึง แบบทดสอบที่มุํงวัดผล
สัมฤทธิ์เชํนเดียวกับแบบทดสอบที่ครูสร๎าง แตํมีจุดมุํงหมายเพื่อเปรียบเทียบคุณภาพตําง ๆ ของ
นักเรียนท่ีตํางกลํุมกัน เชํน เปรียบเทียบคุณภาพของนักเรียนในโรงเรียนแหํงหนึ่งกับนักเรียนกลุํมอ่ืน
ๆ ทวั่ ประเทศ (แบบทดสอบมาตรฐานระดบั ชาติ) หรือกับนักเรียนกลํุมอื่น ๆ ทั่วจังหวัด (แบบทดสอบ
มาตรฐานระดบั จังหวดั ) เป็นตน๎

การสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น

ภาควิจยั และพัฒนาการศึกษา มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม (2551 : 64) ไดก๎ ลาํ วถงึ การ
สรา๎ งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น โดยดาเนินการตามขน้ั ตอนตํอไปน้ี

1. วิเคราะหห์ ลักสตู รและทาตารางวิเคราะห์หลกั สูตร ขัน้ แรกสดุ ตอ๎ งทาการวิเคราะห์
หลักสตู ร และทาตารางวเิ คราะห์หลักสตู ร ตารางวิเคราะห์หลักสตู ร (Bluprint) จะใชเ๎ ป็นหลกั ยดึ ใน
การออกขอ๎ สอบ โดยระบุถึงจานวนขอ๎ ที่จะออกขอ๎ สอบในแตํละเร่อื งและแตํละพฤติกรรม

2. กาหนดรูปแบบของข๎อคาถาม และศึกษาวิธกี ารเขียน ทาการพิจารณาและตัดสนิ ใจวํา
จะใชข๎ ๎อคาถามชนิดใด ศึกษาวิธีการเขียนข๎อสอบ

3. เขียนขอ๎ สอบ ลงมอื เขยี นข๎อสอบ การที่จะถามวัดในเนื้อหาอะไร พฤตกิ รรมหรือ
ความสามารถด๎านใดนนั้ ให๎ยึดตารางวิเคราะหห์ ลักสูตรเป็นหลกั และควรเขยี นเกินจานวนท่ีต๎องการ
เผ่อื ไวอ๎ ยํางน๎อยร๎อยละ 20 เพราะอาจมีขอ๎ สอบท่ีถกู คัดออกหลังจากการทดลองสอบและวิเคราะห์
ขอ๎ สอบ

4. ตรวจทานขอ๎ สอบ นาข๎อสอบท่ีไดเ๎ ขียนไว๎ในข้ันที่ 3 มาพิจาณาทบทวนอีกครัง้ หน่งึ
โดยพจิ ารณาความถูกต๎องตามหลักวชิ าวํา ขอ๎ นนั้ ๆ มงํุ วัดเนื้อหาและสมรรถภาพตามตารางวเิ คราะห์

หลกั สตู รหรอื ไมํ ภาษาท่ีใช๎เขียนมคี วามชัดเจน รัดกุม เหมาะสมหรือไมตํ ัวถูกตวั ลวงเหมาะสมเขา๎
หลกั เกณฑ์หรือไมํ

5. ผ๎ูเช่ียวชาญตรวจสอบความเท่ยี งตรงของแบบทดสอบ แล๎วทาการปรับปรงุ ให๎เหมาะสม
ยง่ิ ขน้ึ

6. พิมพเ์ ป็นแบบทดสอบฉบบั ทดลอง นาข๎อสอบ ทั้งหมดมาพมิ พ์เปน็ แบบทดสอบควรมี
คาช้แี จง หรอื คาอธิบายวธิ แี บบทดสอบ (Direction) การจดั พมิ พ์วางรปู แบบใหเ๎ หมาะสม

7. ทดลองสอบและวเิ คราะห์ข๎อสอบ นาแบบทดสอบไปทดลองสอบกับกลํุมทีค่ ล๎ายกันกบั
กลุมํ ต๎องการทดสอบจริง วิเคราะหห์ าคณุ ภาพของข๎อสอบคือความยาก อานาจจาแนกและความ
เช่ือมน่ั ให๎ไดต๎ ามเกณฑ์ทีก่ าหนดไว๎

8. พิมพแ์ บบทดสอบเพ่ือนาไปเก็บรวบรวมขอ๎ มลู ตํอไป
บญุ ชม ศรีสะอาด (2553 : 65 - 67) ไดก๎ ลาํ วถงึ การสร๎างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียน โดยดาเนินการตามขน้ั ตอนตํอไปนี้
1. วิเคราะห์จุดประสงค์ เน้ือหาวิชา และทาตารางกาหนดลักษณะข๎อสอบข้ันแรกสุด
ต๎องทา
การวิเคราะห์วําวิชา หรือหัวข๎อที่สร๎างข๎อสอบวัดผลน้ีมีจุดประสงค์ของการสอนหรือจุดประสงค์การ
เรยี นร๎ูอะไรบ๎าง ทาการวิเคราะห์เนื้อหาวิชาวํามีโครงสร๎างอยํางไร จัดเขียนหัวข๎อใหญํหัวข๎อยํอยทุก
หัวข๎อพิจารณาความเกี่ยวโยง ความสัมพันธ์ระหวํางเนื้อหาเหลําน้ัน จากน้ันก็จัดทาตารางกาหนด
ลักษณะข๎อสอบหรือที่เรียกวําตารางวิเคราะห์หลักสูตรตารางนี้มี 2 มิติ คือ ด๎านเนื้อหากับ
สมรรถภาพท่ีตอ๎ งการวัดเขียนหวั ขอ๎ เนอื้ หาทเ่ี ป็นหวั ข๎อเรอื่ งใหญํ ๆ ตามหลักสูตรวชิ าน้ันลงไปในแตํละ
แถวของตารางตามลาดับ สํวนด๎านบนจะเป็นสมรรถภาพซึ่งได๎จากการวิเคราะห์จุดประสงค์และ ใน
การทาตารางกาหนดลักษณะของข๎อสอบน้ันข้ันแรกสุดพิจารณาวําจะออกข๎อสอบทั้งหมดกี่ข๎อเขียน
จานวนข๎อลงในชํองรวมชํองสุดท๎าย จากน้ันพิจารณาวําหัวข๎อเร่ืองใดสาคัญมากน๎อยเขียนลาดับ
ความสาคัญลงไปแล๎วกาหนดจานวนข๎อสอบที่จะวัดในแตํละหัวข๎อตามอันดับความสาคัญ จากนั้น
กาหนดจานวนขอ๎ ในแตํละชอํ ง จานวนข๎อสอบที่จะวัดในแตํละชํองข้ึนอยํูกับวําเรื่องน้ันต๎องการให๎เกิด
สมรรถภาพในด๎านใดมากนอ๎ ยกวาํ กนั
2. กาหนดแบบของข๎อคาถาม และศึกษาวธิ ีการเขยี นขอ๎ สอบ ทาการพจิ ารณาและ
ตดั สนิ ใจ วาํ จะใชข๎ อ๎ คาถามรูปแบบใด ศึกษาวธิ ีการเขยี นข๎อสอบ ศึกษาวธิ กี ารเขยี นข๎อสอบ หลกั การ
เขียนคาถาม สมรรถภาพตาํ ง ๆ ศึกษาเทคโนโลยีในการเขียนข๎อสอบเพ่ือนามาใชเ๎ ป็นหลกั ในการเขียน
ขอ๎ สอบ

3. เขียนข๎อสอบ โดยใช๎ตารางกาหนดลักษณะของข๎อสอบท่ีจัดทาไว๎ขน้ั ที่ 1 เป็นกรอบซง่ึ
จะทาให๎สามารถออกข๎อสอบวดั ได๎ครอบคลมุ ทุกหัวข๎อเนอื้ หาและทุกสมรรถภาพสวํ นรปู แบบและ
เทคนิคในการเขยี นข๎อสอบยึดตามทศี่ ึกษาในข้ันที่ 2

4. ตรวจทานขอ๎ สอบ นาข๎อสอบที่ไดเ๎ ขยี นไวใ๎ นขน้ั ท่ี 3 มาพิจาณาทบทวนอีกครั้งหน่งึ โดย
พิจารณาความถูกตอ๎ งตามตารางกาหนดลักษณะข๎อสอบหรอื ไมํ ภาษาทใ่ี ช๎เขียนมีความชัดเจนเข๎าใจ
งํายเหมาะสมดแี ลว๎ หรอื ไมํ ตัวถูก ตัวลวง เหมาะสมกบั เข๎ากับหลักเกณฑห์ รอื ไมหํ ลงั พิจารณา
ขอ๎ บกพรํอง แล๎วนาเอาขอ๎ วิจารณ์นน้ั มาพิจารณาปรบั ปรุงแก๎ไขใหเ๎ หมาะสมยิง่ ขน้ึ

5. พมิ พ์แบบทดสอบฉบับทดลอง นาข๎อสอบ ทงั้ หมดมาพิมพเ์ ปน็ แบบทดสอบโดยพมิ พ์คา
ชีแ้ จงหรอื คาอธบิ ายวิธีการทาแบบทดสอบไว๎ทป่ี กของแบบทดสอบอยาํ งละเอยี ดและชดั เจน การ
จัดพิมพ์รปู แบบให๎เหมาะสม

6. ทดลองใช๎ วเิ คราะห์คณุ ภาพ และปรับปรงุ นาแบบทดสอบไปทดลองกบั กลุํมท่ี
คล๎ายกันกับกลุํมตวั อยํางทจี่ ะสอบจริง ซึ่งได๎เรยี นในวิชาเน้ือหาทจ่ี ะสอบแล๎ว นาผลการสอบมาตรวจ
ใหค๎ ะแนนทาการวิเคราะห์คุณภาพ คดั เลือกเอาข๎อท่ีมคี ณุ ภาพเขา๎ เกณฑ์ตามจานวนทตี่ ๎องการ ถา๎ ขอ๎
ท่เี ขา๎ เกณฑ์มีจานวนมากกวําที่ต๎องการ ก็ตัดขอ๎ ทีม่ ีเน้ือหามากกวาํ ท่ตี ๎องการ ซง่ึ เป็นข๎อสอบท่ีมีอานาจ
จาแนกต่าสดุ ออกตามลาดับนาเอาผลการสอบท่คี ิดเฉพาะข๎อสอบเข๎าเกณฑเ์ หลาํ นน้ั มาคานวณหาคํา
ความเชอื่ ม่นั

7. พมิ พแ์ บบทดสอบฉบบั จรงิ นาข๎อสอบท่มี ีอานาจจาแนกและระดับความยากเขา๎ เกณฑ์
ตามจานวน ท่ตี ๎องการในขัน้ ตอนท่ี 6 มาพิมพ์ เป็นแบบทดสอบฉบบั ทจี่ ะใช๎จริง ซึ่งจะตอ๎ งมีคาชี้แจง
วธิ ีทาดว๎ ย และในการพิมพ์นอกจากใชร๎ ปู แบบที่เหมาะสมแลว๎ ควรคานึงถึงความประณีตความถูกต๎องซึ่งจะต๎อง
ตรวจทานให๎ดี

สมนกึ ภัททยิ ธนี (2553 : 97) ไดก๎ ลําวสรุปถงึ การสร๎างแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิ
ทางการเรยี นไว๎วาํ

1. ครูผ๎ูสอนควรทาความเข๎าใจข๎อสอบแตลํ ะชนิด และทุกครัง้ ที่จะออกข๎อสอบชนิดใดควร
คานงึ ถงึ หลักการออกข๎อสอบชนิดนัน้ ๆ ดว๎ ย

2. ขอ๎ สอบชนดิ ใด กต็ าม หากมีคณุ สมบัติเปน็ ไปตามคุณลกั ษณะของแบบทดสอบที่ดี
หลายประการ ก็เปน็ ขอ๎ สอบท่ีดีมากเทํานน้ั

3. ปัจจบุ ันนกั เรยี นมีจานวนมากการพิมพ์และการตรวจข๎อสอบสามารถใชเ๎ คร่ืองจักรกล
แทนการตรวจดว๎ ยคน จงึ ควรใช๎ขอ๎ สอบแบบเลอื กตอบ

4. โดยทวั่ ไปในการสอบแตลํ ะครงั้ นาํ จะใช๎ข๎อสอบเพยี ง 2 ชนดิ กม็ ีประสทิ ธภิ าพเพียงพอ
แล๎ว ได๎แกํ ข๎อสอบ อัตนัยหรือความเรยี ง กบั ข๎อสอบแบบเลือกตอบ สํวนข๎อสอบชนดิ อืน่ ๆ นาํ จะใช๎

เปน็ เพยี งแบบฝึกหัด หรอื อาจจะใชง๎ านทดสอบยอํ ยเพื่อย่ัวยุ จงู ใจให๎นกั เรียนสนใจในวิชาทีก่ าลังสอน
และสามารถพัฒนาใหเ๎ ปน็ ข๎อสอบ 2 ชนิดนี้ กลาํ วคือ

4.1 ถ๎าเปน็ ข๎อสอบแบบ กาถูก –กาผิด ควรพัฒนาใหเ๎ ปน็ ข๎อสอบแบบเลือกตอบ
4.2 ถ๎าเป็นข๎อสอบแบบ จับคูํ ควรพัฒนาให๎เป็นข๎อสอบแบบเลอื กตอบชนดิ ตัวเลอื ก
คงท่ี
4.3 ถ๎าเป็นข๎อสอบ เติมคา หรือตอบสั้น ๆ ควรพัฒนาให๎เป็นข๎อสอบแบบเลือกตอบ
(ถ๎าให๎ตอบส้ัน ๆ ) หรือแบบอัตนัย (ถ๎าให๎ตอบยาว ๆ) ข๎อความดังกลําวข๎างต๎นจึงสรุปได๎วํา การสร๎าง
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนควรจะสร๎างตามลาดับขั้นตอน เริ่มจากการวิเคราะห์
จุดประสงค์เนื้อหาวิชา ทาตารางวิเคราะห์ข๎อสอบท่ีกาหนดรูปแบบของข๎อคาถาม ศึกษาวิธีการเขียน
ข๎อสอบ ตรวจทาน พิมพแ์ บบทดสอบฉบบั ทดลองทดลองใช๎ วิเคราะห์คุณภาพและปรับปรุง แล๎วพิมพ์
แบบทดสอบฉบบั จริง
จากการศึกษาเอกสารที่เก่ียวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทางการเรียน สรุปได๎วํา
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง มวลประสบการณ์ท่ีเกิดจากการเรียนการสอน การฝึกฝนหรือ
ประสบการณ์ตําง ๆ ของบุคคล และสามารถวัดได๎โดยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่ง
แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นจะประกอบไปด๎วย แบบทดสอบทค่ี รสู ร๎างขนึ้ และแบบทดสอบ
มาตรฐาน สาหรับในการวิจัยครั้งนี้จะใช๎แบบทดสอบท่ีครูสร๎างข้ึนแล๎วนาไปให๎ผ๎ูเช่ียวชาญตรวจสอบ
ปรบั ปรงุ แก๎ไข และทดลองใช๎จนเปน็ แบบทดสอบมาตรฐาน

คุณลักษณะทดี่ ขี องแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

ชวาล แพรัตกุล (2552 : 81– 89) กลําววํา คณุ ลักษณะของแบบทดสอบทด่ี มี ี
คณุ ลักษณะท่ีสาคญั ๆ ประดุจดงั หัวใจของการวดั ผลอยํู 10 ประการ ท่ีเราต๎องยึดไว๎ให๎มน่ั ดังน้ี

1. แบบทดสอบทด่ี ตี ๎องเท่ยี งตรง
1.1 ความเที่ยงตรงตามเน้ือหา
1.2 ความเท่ียงตรงตามโครงสร๎าง
1.3 ความเทย่ี งตรงตามสภาพ
1.4 ความเทีย่ งตรงตามพยากรณ์

2. แบบทดสอบทดี่ ีต๎องยุติธรรม
3. แบบทดสอบทด่ี ตี ๎องถามลึก
4. แบบทดสอบที่ดตี ๎องย่ัวยุเปน็ เยีย่ งอยาํ ง
5. แบบทดสอบท่ีดตี ๎องจาเพาะเจาะจง


Click to View FlipBook Version