The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานเล่มที่ 1 สรุปสำหรับผู้บริหารป่าพรุและวิถีคนพรุควนเคร็ง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Forestry Research Center, 2021-11-14 21:02:56

รายงานเล่มที่ 1 สรุปสำหรับผู้บริหารป่าพรุและวิถีคนพรุควนเคร็ง

รายงานเล่มที่ 1 สรุปสำหรับผู้บริหารป่าพรุและวิถีคนพรุควนเคร็ง

รายงานสรปุ สาหรบั ผบู้ ริหาร

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ปา่ พรแุ ละวิถีชมุ ชนคนพรุควนเคร็ง

โครงการเสรมิ ศกั ยภาพการจดั การระบบนเิ วศป่าพรุ เพ่อื เพิม่ ความสามารถในการกกั เกบ็
คาร์บอน และอนรุ ักษ์ความหลากหลายทางชวี ภาพอยา่ งยง่ั ยืน

Maximizing Carbon Sink Capacity and Conserving Biodiversity through
Sustainable Conservation, Restoration and Management of Peat Swamp

Ecosystems

ศนู ย์วนศาสตร์ชมุ ชนเพอ่ื คนกับปา่ (RECOFTC)
คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
สมาคมคนรกั ษถ์ ิ่น
กรกฎาคม 2563

4 | โครงการเสริมศักยภาพการจัดการระบบนิเวศป่าพรุเพื่อเพ่มิ ความสามารถในการกักเกบ็ คารบ์ อน
และอนุรกั ษค์ วามหลากหลายทางชีวภาพอย่างย่งั ยืน

รายงานสาหรับผ้บู ริหาร

ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรุควนเครง็ วถิ ชี มุ ชน คนและป่าพรุควนเครง็

รายงานการสังเคราะห์งานวิจยั โครงการเสริมศกั ยภาพการจดั การระบบนิเวศปา่ พรุ เพ่ือเพิม่
ความสามารถในการกักเกบ็ คาร์บอน และอนุรกั ษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยงั่ ยืน

ISBN
ผูส้ งั เคราะห์ ดร.สวรนิ ทร์ เบ็ญเด็มอะหลี
งานวจิ ัย
โครงการเสรมิ ศักยภาพการจัดการระบบนเิ วศป่าพรเุ พ่ือเพิ่มความสามารถในการกกั เก็บคาร์บอนและ
อนุรกั ษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยงั่ ยืน
ดาเนินการโดย ศูนย์วนศาสตร์ชุมชนเพื่อคนและปา่ คณะวนศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ และ
สมาคมคนรักษ์ถิน่
Copyright© ลขิ สทิ ธิ์ในประเทศไทย ตาม พระราชบญั ญตั ิลิขสิทธ์ิ พ.ศ. 2537 ©สานักงานนโยบาย
และแผนทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม พ.ศ. 2563
โครงการน้ไี ดร้ บั การสนบั สนนุ และกากับดแู ลโดย : โครงการพัฒนาแหง่ สหประชาชาติ (United
Nation Development Project: UNDP) กองทุนสงิ่ แวดล้อมโลก (Global Environment Facility
: GEF) และสานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดล้อม
จานวนหนา้ 248 หน้า

พิมพ์ท่ี

ออกแบบและ ดร.สวรนิ ทร์ เบญ็ เด็มอะหลี
จัดรปู เล่ม
ออกแบบปก นายเฝาซี เลา๊ ะแหละ
ภาพปก UNDP, นันทวรรณ อุน่ จางวาง และ ดร.สวรนิ ทร์ เบญ็ เด็มอะหลี

ข้อมูลทางบรรณานุกรมของสานักหอสมุดแห่งชาติ
รายงานสาหรบั ผูบ้ ริหาร ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรคุ วนเคร็ง วิถคี นและปา่ โครงการเสรมิ ศกั ยภาพการ
จัดการระบบนิเวศปา่ พรุ เพอื่ เพ่ิมความสามารถในการกักเกบ็ คาร์บอน และอนุรักษค์ วามหลากหลายทางชีวภาพ
อยา่ งยง่ั ยนื . กรุงเทพฯ: ศูนย์เพื่อคนและป่า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2563. 248 หน้า. 1. ระบบนิเวศ
ป่าพรุ 2. การเก็บกักคาร์บอน 3. ความหลากหลายทางชีวภาพ 4. พรุควนเคร็ง

รายงานสรุปสาหรบั ผ้บู รหิ าร ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรุควนเครง็ วถิ ีคนและป่า | 5

บทสรปุ สาหรบั ผู้บรหิ าร

ป่าพรุควนเคร็ง เป็นพื้นท่ีป่าพรุที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศไทย รองจากป่าพรุโต๊ะ
แดง จังหวัดนราธิวาส ป่าพรุควนเคร็งต้ังอยู่ในภาคใต้ ครอบคลุมพื้นที่ 6 อาเภอในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ
จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดพัทลุง และจังหวัดสงขลา โดยจังหวดั นครศรธี รรมราช อาเภอที่อยู่ในเขต
พ้ืนที่พรุควนเคร็ง ได้แก่ อาเภอเชียรใหญ่ อาเภอเฉลิมพระเกียรติ อาเภอร่อนพิบูลย์ อาเภอชะอวด และ
อาเภอหัวไทร ส่วนอาเภอในจังหวัดพัทลุงท่ีอยู่ในเขตพรุควนเคร็ง ได้แก่ อาเภอควนขนุน และอาเภอใน
จังหวัดสงขลาท่ีอยู่ในเขตพรุควนเคร็ง ได้แก่ อาเภอระโนด โดยพื้นที่พรุควนเคร็งมีเนื้อท่ีประมาณ
86,942 ไร่ มีสภาพพื้นท่ีทั้งแบบที่ดอน ที่ลุ่ม ท่ีราบ และแอ่งกระทะ รวมถึงมีระบบนิเวศท่ีสมบูรณ์เป็น
หว่ งโซอ่ าหารขนาดใหญ่ และเปน็ แหลง่ อาหารอันสมบรู ณข์ องสตั ว์น้าวยั อ่อน สัตว์น้า สัตวบ์ ก สตั ว์ปา่ และ
มนุษย์ ท้ังนี้ น้าในพรุมีสภาพเป็นน้าเปร้ียวโดยมีค่าความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) อยู่ในช่วง 5.4-6.9 ถึง
กระน้ันก็ตาม “พรุควนเคร็ง” ยังคงเป็นแหล่งน้าที่มีคุณสมบัติเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของส่ิงมีชีวิต
โดยพบว่ามีแพลงก์ตอนท้ังแพลงก์ตอนพชื และแพลงกส์ ัตว์แพร่กระจายอยา่ งชุก จึงทาให้พรุควนเคร็งเป็น
พื้นท่ีท่ียังคงมีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรประมงเป็นอันดับ 2 รองจากพรุโต๊ะแดง จังหวัดนราธวิ าส
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นแหล่งปลาที่อุดมสมบูรณ์ เรียกได้ว่า พื้นที่ชุ่มน้าพรุควนเคร็ง คือ “คลังอาหาร
ธรรมชาติ” ท่ีสาคัญของชุมชน ซ่ึงสะท้อนได้จากวิถีการดารงชีพของคนในชุมชนที่ยังมีการพึ่งพิง
ทรัพยากรจากปา่ พรคุ วนเคร็งมาอย่างต่อเนื่องนับจากอดตี จวบจนปจั จบุ ัน ชีช้ ัดไดจ้ ากขอ้ มูลการประกอบ
อาชีพของแต่ละหมู่บ้านที่อยู่รายรอบพื้นที่พรุควนเคร็งที่ยึดโยงอยู่กับการใช้ประโยชน์จากป่าพรุ
โดยเฉพาะอย่างย่ิงในบางหมู่บ้านซึ่งมีที่ต้ังอยู่ในพื้นท่ีอันเป็นศูนย์กลางของพรุควนเคร็งท่ีพบกว่าทุก
ครัวเรือนมีวิถีการดารงชีพหลักคือการพึ่งพิงทรัพยากรจากป่า อน่ึง การใช้ประโยชน์จากป่าพรุทั้งใน
รูปแบบการใชป้ ระโยชนจ์ ากไม้เสมด็ ขาว การทาประมงพื้นบ้านในเขตพรคุ วนเคร็ง โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ การ
หาปลาเพราะพรุควนเคร็งทั้งเพื่อการบริโภคในครัวเรือน และขายเพ่ือสร้างรายได้เสริม อีกท้ังยังมีการใช้
ภูมิปัญญาในการแปรรูป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปลาดุกร้า จัดเป็นสินค้าสร้างช่ือและสร้างรายได้ทีดีให้กับ
ชุมชนในเขตพรุควนเคร็ง (สานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม, 2551; เชิด
ศักด์ิ เก้ือรักษ์, 2562; เสาวคนธ์ รุ่งเรอื ง, 2550; นฤมล ขุนวชี ่วย, 2558)

ถึงกระน้ันก็ตาม พรุควนเคร็ง เป็นพ้ืนที่ป่าท่ีมิอาจรอดพ้นจากสถานการณ์การคุกคามในรปู แบบ
ตา่ ง ๆ ท่ีรกุ คืบมาจากหลายเหตุปัจจัยและท่ีมาของแตล่ ะเหตุปัจจยั เหล่านั้นซงึ่ ไมต่ ่างจากปา่ ในพื้นที่อื่นทั่ว
โลก โดยเมื่อวิเคราะห์ถึงแก่นแกนของปัญหาจะพบว่าหลายการคุมคามมักมีรากหรือจะเริ่มต้นมาจาก
นโยบายของรฐั โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ นโยบายการส่งเสรมิ การเกษตรในการปลกู ปาล์มนา้ มันและยางพารา ที่
ทาให้เกิดการเปล่ียนแปลงการใช้ประโยชน์ท่ีดินไปจากเดิมโดยไม่สอดคลอ้ งกับคุณสมบัตขิ องดินในแตล่ ะ
พ้ืนท่ี และมีการทั้งน้ี สถานการณ์การคุกคามในพ้ืนที่พรุควนเคร็ง ได้แก่ ไฟไหม้ป่าที่เหตุมักเกิดจาก
กิจกรรมหรือการกระทาของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลท้ังโดยเจตนาและไม่เจตนา โดยเจตนามักมี
วัตถุประสงค์เพ่ือครอบครองพื้นที่หรือการขยายพ้ืนท่ีการเกษตร การบุกรุก ภัยธรรมชาติ การ
เปล่ียนแปลงสภาพภูมิอากาศ และผลจากการคุกคามเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของป่า โดย
มีสัตว์ท่ีใกล้สูญพันธ์ุ เช่น เต่าเหลือง หรือ Elongated tortoise (Indotestudo elongata) และเสือปลา
หรือ Fishing Cat (Prionailurus viverrinus) รวมถึงปลา เช่น ปลาดุกลาพัน Slender walking

6 | โครงการเสรมิ ศักยภาพการจดั การระบบนเิ วศปา่ พรุเพื่อเพมิ่ ความสามารถในการกักเกบ็ คาร์บอน
และอนรุ กั ษค์ วามหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน

catfish(Clarias nieuhofii) ส่วนสัตว์ท่ีมีแนวโน้มใกล้สูญพันธ์ุ เช่น นากใหญ่ขนเรียบ หรือ Smooth-
coated Otter (Lutrogale perspicillata) ขณะที่สัตว์บางชนิดใกล้ถูกคุกคาม เช่น นกช้อนหอยขาว
Black-headed Ibis (Threskiornis melanocephalus) ฯลฯ (Sukmasuang, 2013) นอกจากน้ียัง
ส่งผลกระทบต่อวิถีการดารงชีพของคนในชุมชนและนอกชุมชน และรวมถึงผลกระทบต่อสังคมและโลก
เพราะการสญู เสียพน้ื ท่ปี ่ามีค่าเทา่ กับการสญู เสยี แหล่งกกั เกบ็ คารบ์ อนและความหลากหลายทางชวี ภาพ

พ้ืนท่ีพรุควนเคร็ง เป็นพื้นท่ีที่หลายฝ่ายให้ความสาคัญและสนใจในการเข้ามาทางานท้ังใน
บทบาทการขับเคลื่อนการทางานเพ่ือการพัฒนา การแก้ปัญหาในแต่ละสถานการณ์ รวมถึงการเป็นพื้นที่
ศึกษาวิจัยเพื่อเผยแพร่ข้อมูลด้านวิชาการเพื่อการเรียนรู้ ท้ังนี้ หลายทศวรรษท่ีผ่านมา พ้ืนท่ีพรุควนเคร็ง
ไดผ้ ่านกระบวนการการจัดการด้วยกลไกตา่ ง ๆ มาอยา่ งต่อเน่ือง โดยผลการศกึ ษาของ เชดิ ศกั ด์ิ เกื้อรักษ์
(2562) พบว่า กลไกที่เคยนามาใช้ในการบริหารจัดการพื้นที่พรุควนเคร็งมีหลายรูปแบบ ท้ังรูปแบบ
คณะทางานและเครือข่ายขับเคลื่อนการทางานเพื่อแก้ปัญหาด้านใดด้านหน่ึง การใช้รูปแบบการพัฒนา
อาชีพ การใช้รูปแบบการจัดการป่าชุมชน การใช้จารีตประเพณีและวัฒนธรรมของชุมชนท้องถ่ิน
ตลอดจนการใช้มาตรการทางกฎหมาย อย่างไรก็ตาม การดาเนินการภายใต้กลไกเหลา่ น้ีมีจุดอ่อนและจดุ
แข็งทีแ่ ตกตา่ งกนั โดยผลการประเมินคะแนนความพงึ พอใจของผูม้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสียท่ีแสดงความคิดเห็นต่อ
การบริหารจัดการพื้นท่ีพรุควนเคร็งไปในทิศทางเดียวกันคือมีความพึงพอใจน้อย ช้ีให้เห็นได้ว่า การ
บริหารจัดการด้วยกลไกท่ีผ่านมานัน้ ยังมีปัญหาหรือจุดอ่อนท่ีเป็นอุปสรรคตอ่ การดาเนินงานที่ไม่สามารถ
ทาให้เกิดการพัฒนาพ้ืนที่พรุควนเคร็งได้อย่างย่ังยืน ทั้งนี้ ปัจจัยที่ยังเป็นจุดอ่อนซึ่งนาไปสู่ความไม่ย่ังยืน
ในการจัดการพ้ืนที่พรุควนเคร็ง ได้แก่ การมีส่วนร่วม การส่ือสาร การบูรณาการ การจัดการความรู้
กฎหมาย ความขัดแยง้ ภายในชุมชนและความขัดแย้งระหว่างชุมชนกบั หนว่ ยงานของรฐั

โครงการเสรมิ ศกั ยภาพการจัดการระบบนเิ วศปา่ พรุเพื่อเพิ่มความสามารถในการกักเก็บคาร์บอน
และอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน ได้ตระหนักถึงความสาคัญของพื้นท่ีพรุควนเคร็งซ่ึง
เป็นพ้นื ทที่ ีม่ ีความสาคัญทง้ั ในระดับชุมชนทอ้ งถน่ิ ระดบั ประเทศและระดบั โลก ท้งั มติ ิดา้ นสิง่ แวดล้อมน่ัน
คือการฟ้ืนฟูระบบนิเวศป่าพรุให้มีความอุดมสมบูรณ์เป็นการเพิ่มพ้ืนที่ท่ีมีศักยภาพสูงในการกักเก็บ
คาร์บอนของโลก และความหลากหลายทางชีวภาพจากพ้ืนท่ีพรุยังเอ้ือประโยชน์ต่อวิถีชีวิตคนในชุมชน
มติ ิดา้ นเศรษฐกจิ ชุมชนท่ีใหค้ วามสาคญั กับวถิ ีชวี ิตของคนในชุมชนซึ่งยังพึ่งพิงทรัพยากรจากพ้ืนทป่ี ่าพรุใน
หลายด้าน โดยการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพท่ีเชื่อมโยงกับการใช้ทรัพยากรจากป่าพรุ โดยเฉพาะอย่างยง่ิ
การพัฒนาและสง่ เสริมการแปรรปู ผลิตภณั ฑ์จากพืชกระจูดในรูปแบบวิสาหกิจชุมชน และวิสาหกิจชุมชน
เพ่ือการท่องเท่ียวเชิงนิเวศโดยชุมชนและเพื่อชุมชน ด้วยการจัดให้มีศูนย์การเรียนรู้ชุมชนเป็นศูนย์กลาง
ข้อมูลข่าวสารที่สร้างการรับรู้เพ่ือการเรียนรู้และเข้าใจพ้ืนพรุควนเคร็ง และมิติทางสังคม ที่มีการพัฒนา
หลักสูตรท้องถิ่นท่ีเป็นการสร้างความเท่าเทียมในการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนในการจัดการเรียนการ
สอน และยังถือเป็นการจัดการความรู้ที่มีการสร้างส่ือเพ่ือการส่งสารไปยังคนรุ่นต่อไปของชุมชน นั่นคือ
เด็กและเยาวชนเพ่ือสืบสานต่อยอดและร่วมกันดูแล ปกป้องพื้นท่ีพรุควนเคร็งให้ดารงอยู่ต่อไป
นอกจากนี้ยังมีการเสริมศักยภาพของคนในชุมชนและบุคลากรในหน่วยงานทั้งองค์กรชุมชนและ
หน่วยงานของรัฐท่ีมีบทบาทในการดูแลรักษาและฟ้ืนฟูพรุควนเคร็ง เพ่ือเป็นการเพิ่มพูนความรู้ และ

รายงานสรุปสาหรบั ผ้บู ริหาร ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบาย และพรุควนเครง็ วถิ คี นและปา่ | 7

ทกั ษะในการปฏบิ ัติงานไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพ เห็นไดว้ ่า การให้ความสาคญั ทัง้ สามมติ คิ อื เศรษฐกิจ สังคม
และส่ิงแวดล้อม เป็นไปตามแนวคิดการพัฒนาที่ย่ังยืน นั่นคือ เม่ือส่ิงแวดล้อมดี อันหมายถึงป่าพรุควน
เคร็งมีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรที่หลากหลาย ซึ่งเอ้ือประโยชน์ต่อการดารงชีพของคนในชุมชน
และเอ้ือตอ่ การพัฒนาอาชีพทเี่ ช่ือมโยงกบั ป่าซงึ่ ก่อเกดิ รายได้แก่คนในชุมชน ทาให้มคี วามเป็นอย่ทู ดี่ ี ยอ่ ม
นามาซึง่ สงั คมท่ดี ี

ทงั้ นี้ การดาเนนิ การของโครงการฯ ไดก้ าหนดเป้าหมายการดาเนินโครงการเพื่อบรรลุผลสัมฤทธ์ิ
3 ประการ กล่าวคือ ผลสัมฤทธ์ทิ ่ี 1 เพ่ิมศกั ยภาพในการคุ้มครองระบบนิเวศป่าพรทุ ี่มีคุณค่าการอนุรักษ์
สงู และพัฒนาตน้ แบบการใชป้ ระโยชนจ์ ากป่าพรุอย่างยัง่ ยนื โดยสรา้ งการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนท่ี
เก่ียวข้อง โดยในข้อนี้มุ่งเน้นเสริมศักยภาพการคุ้มครองระบบนิเวศป่าพรุโดยเช่ือมโยงระบบการจัดการ
ป่าพรุทั้งในและนอกเขตพ้ืนท่ีอนุรักษ์ และมุ่งเน้นแนวทางการบริหารจัดการอย่างมีส่วนร่วมเพื่อให้เกิด
การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติในระบบนิเวศปา่ พรุอย่างบูรณาการ ผลลัพธ์น้ียงั ครอบคลุม ถึงการ
เสริมศักยภาพของหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องในการติดตามการจัดการการใช้ประโยชน์ทีด่ ิน การรักษาระดับน้าใน
ป่าพรุ และการป้องกันไฟป่าในป่าพรุควนเคร็ง รวมถึงการพัฒนายุทธศาสตร์แบบมีส่วนร่วม ผลสัมฤทธ์ิที่
2 การนาร่องนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีเพื่อลดการเสื่อมโทรมและฟ้ืนฟูระบบนิเวศป่าพรุ ภายใต้
ผลสัมฤทธิ์ข้อที่สองนี้มีเป้าหมายในการเพ่ิมองค์ความรู้และศักยภาพด้านเทคนิควิทยาศาสตร์เรื่องการรักษา
ระดับน้าและการฟ้ืนฟูระบบนิเวศป่าพรุ ผ่านการศึกษาทดลองในพ้ืนที่นาร่อง ทั้งนี้ การรักษาระดับน้าใน
ดินพรุและการฟ้ืนฟูระบบนิเวศจะช่วยเพ่ิมศักยภาพของป่าพรุในการทาหน้าท่ีเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอน
และแหล่งอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และผลสัมฤทธ์ิที่ 3 พัฒนากลไกและยุทธศาสตร์
ระดับชาติเพื่อการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศป่าพรุอย่างยั่งยืน เป้าหมายภายใต้
ผลสัมฤทธิ์ที่สามน้ีมุ่งเน้นการเสริมสร้างกรอบนโยบายที่สนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติใน
ระบบนิเวศป่าพรุอย่างยั่งยืน โดยเน้นการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ การลดการปลดปล่อย
คาร์บอน และใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน บนพ้ืนฐานของการบริหารจัดการทรัพยากร
อย่างมีส่วนร่วม เน่ืองจากพ้ืนท่ีพรุมีกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่หลากหลาย ท้ังหน่วยงานอนุรักษ์ หน่วยงาน
การจัดการทรัพยากรน้า กลุ่มเกษตรกร ผู้เก็บเกี่ยวผลผลิตจากป่า ผู้ประกอบกิจการท่องเท่ียว นักอนุรักษ์
นักวิจัย ฯลฯ จึงมีความจาเป็นท่ีจะสร้างเวทีหารือร่วมกันระหว่างภาคส่วนที่หลากหลาย และเสริมสร้าง
ความเข้าใจรว่ มกันโดยพฒั นาเคร่ืองมือ ตัวชว้ี ดั และยทุ ธศาสตร์การบริหารจัดการปา่ พรุท่เี หมาะสมในเชิง
นเิ วศวทิ ยา

การดาเนินการภายใต้ผลผลิตท่ี 1 ซ่ึงให้ความสาคัญกับการค้นหากลไกที่มีศักยภาพเหมาะสมตอ่
การอนุรักษภ์ มู ิทศั น์พรคุ วนเคร็ง ได้กาหนดตวั ช้ีวดั 3 ประการ กล่าวคือ ตวั ช้ีวัด 1 พื้นที่ 16,347 เฮกตาร์
(102,169 ไร่) ได้รับการดูแลและคุ้มครองผ่านกลไกที่มีศักยภาพอย่างบูรณาการ ตัวชี้วัด 2 พ้ืนท่ี
154,363 เฮกตาร์ (964,769 ไร่) มีแผนการจัดการป่าพรุท่ีส่งผลต่อการกักเก็บคาร์บอน 29 ล้านตัน
ตวั ชี้วดั 3 เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการพ้ืนที่ดว้ ยเครื่องมือประเมนิ ประสิทธภิ าพการจัดการพ้ืนทีค่ ุ้มครอง

8 | โครงการเสรมิ ศักยภาพการจดั การระบบนิเวศปา่ พรเุ พอ่ื เพม่ิ ความสามารถในการกักเกบ็ คาร์บอน
และอนรุ กั ษ์ความหลากหลายทางชวี ภาพอยา่ งยง่ั ยืน

หรือเรียกว่า Management Effective Tracking Tool (METT) โดยเพ่ิมเป้าหมายตัวช้ีวัดในพ้ืนที่เขต
หา้ มล่าสัตวป์ ่าทะเลน้อยจากข้อมูลเดิม 64 เป็น 75 และเพิ่มตวั ชว้ี ดั ในพนื้ ท่ีเขตห้ามล่าสตั ว์ปา่ บ่อลอ้ จาก
เดิม 42 เป็น 70

อน่ึง การดาเนินการต่าง ๆ ของโครงการสอดคล้องตามคาหลักของผลสัมฤทธ์ิที่ 1 เพ่ือบรรลุผล
ตามตัวชี้วดั ทง้ั 3 ตัวชวี้ ัด พบวา่ กลไกทเี่ หมาะสมในการจัดการพื้นทภ่ี ูมทิ ัศน์พรุควนเคร็ง ประกอบด้วย
8 กลไกสาคัญ ไดแ้ ก่ 1) การทางานร่วมกนั ของผ้มู ีส่วนได้สว่ นเสียทุกฝา่ ย 2) กลไกการพัฒนาที่ยั่งยนื โดย
ใช้แนวคิดความยั่งยืนที่ครอบคลุมทั้งมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม (ระบบนิเวศ) 3) กลไก
การบรู ณาการ โดยใชแ้ นวคดิ ตามหลักการบูรณาการ (Integrated) หรือกล่าวไดว้ ่าเป็นการใช้ “เคร่ืองมือ
ผสม วิธีประสาน” กันอย่างกลมกลืนเป็นหน่ึง เป็นการให้ความสาคัญกับการทางานแบบองค์รวม
ผสมผสานในทุกประเด็นท่ีเกี่ยวข้องเพ่ือบรรลุเป้าหมายสู่ความสาเร็จในการดาเนินการ 4) กลไกการ
จัดการความรู้และการบริหารจัดการข้อมูลในรูปแบบฐานข้อมูล โดยใช้แนวคิดการจัดการความรู้
(Knowledge Management) และการจดั การข้อมลู ขนาดใหญ่ (Big Data Management) ซง่ึ ข้อเสนอท่ี
น่าสนใจคือการใช้กลไก “คลังความรู้ภูมิทัศน์พรุควนเคร็ง” (Khuan Kreng Peat Swamp Forest
Knowledge Bank) 5) กลไกการสื่อสาร โดยใช้แนวคิดส่ือสาร (Communication) เป็นแนวคิดสาคัญท่ี
เป็นเง่ือนไขความสาเร็จในการดาเนินการ 6) กลไกการสร้างผู้กระทาการท่ีทาหน้าท่ีเป็นผู้อานวยการใน
การดาเนินการขับเคลื่อนการทางานอย่างต่อเนื่อง (Facilitator) นั่นคือ ประเด็นท่ีชวนขบคิดท่ีว่าเม่ือ
โครงการถอยออกจากพ้ืนท่ี กลไกการดาเนินงานต่าง ๆ ที่ร่วมคิดร่วมทาจะมีการขับเคลื่อนต่อไปอย่างไร
ให้เกิดความต่อเนื่อง และการสร้างผู้กระทาการหรือ Actor ท่ีเป็นผู้นาในชุมชนท้องถ่ินคือกลไกสาคัญใน
การขับเคลอื่ นการทางานตอ่ ไปอย่างต่อเนื่อง 7) กลไกสถาบัน เป็นการสร้างกลุม่ ตา่ ง ๆ ท่เี ชื่อมโยงกบั การ
จัดการพ้นื ท่พี รคุ วนเครง็ หรอื การจัดตั้งในลกั ษณะคณะทางานขับเคลื่อนการทางานเพื่อให้การพัฒนาและ
จัดการพ้ืนที่พรุควนเคร็งดาเนินไปอย่างมีประสิทธผิ ล 8) กลไกมาตรการทางกฎหมายที่เอื้อต่อการจัดการ
พื้นท่ีพรุควนเคร็งเป็นไปอย่างมีประสิทธิผล เป็นการใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างจริงจังในบางกรณี
ขณะที่บางกรณีก็ควรมีการทบทวนหาแนวทางที่เอ้ือต่อความสาเร็จในการดาเนินการต่าง ๆ ในพ้ืนที่ภูมิ
ทัศนพ์ รุควนเคร็ง

ยิ่งกว่าน้ันจาเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องให้ความสาคัญกับการ “พัฒนาคน” โดยคาดหวังถึงความ
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ทัศนคติ ความคิด ของบุคคลท่ีจะนาไปสู่สร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับชุมชน
และสังคมต่อไป เชน่ การสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ในรปู แบบต่าง ๆ นอกจากน้ี การดาเนินการยังมุ่ง
สร้างสิ่งทเ่ี ปน็ “ตวั แบบ” เพอื่ เป็นต้นแบบหรือแนวทางในการนาไปสกู่ ารปฏิบัติอย่างต่อเนื่องของทุกฝ่าย
ท่ีเก่ียวข้อง ไม่ว่าจะเป็นแผนการใช้ประโยชน์ท่ีดิน ซ่ึงผลการวิเคราะห์ต่าง ๆ ท่ีปรากฏเป็นข้อมูลต้นแบบ
การศึกษาในพ้ืนท่ีตาบลเคร็ง จะเป็นแนวทางในการจัดการที่ดินในตาบลเคร็งให้เกิดประโยชน์สูงสุดและ
สอดคล้องตามสภาพของพื้นที่ ทั้งยังเป็นต้นแบบในการขยายผลการศึกษาไปยงั พ้ืนท่ีอื่น ๆ ซ่ึงแต่ละพ้ืนท่ี
ย่อมมีสภาพพื้นท่ีที่แตกต่างกันไป นอกจากน้ีผลจากการศึกษาและจัดทาแผนการใช้ประโยชน์ท่ีดินใน
ตาบลเคร็งเปรยี บเสมือนกระจกส่องทางและสะท้อนภาพผนื ดินในพ้ืนท่ี ท้ังยังช้ีให้เห็นถึงความสาคัญของ
การใช้เทคโนโลยที ีช่ ว่ ยการวิเคราะห์ข้อมลู ได้อยา่ งมีประสิทธฺ ิภาพ รวมถงึ การมีแผนการจดั การพรุ เหล่าน้ื
คอื “ตัวแบบ” ทนี่ บั เป็นขอ้ มลู สาคญั ทร่ี อนาไปสู่การปฏิบัตอิ ยา่ งจรงิ จัง

รายงานสรปุ สาหรบั ผู้บรหิ าร ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรคุ วนเคร็ง วิถีคนและป่า | 9

อน่ึง การดาเนินงานยังให้ความสาคัญกับ “การมีส่วนร่วม” ในการจัดการทรัพยากรของชุมชน
เช่น การมีส่วนร่วมในการจัดทาแผนการจัดการพรุในพื้นท่ีภูมิทัศน์พรุควนเคร็ง การมีส่วนร่วมในการ
จัดการป่าชุมชน นอกจากนี้ยังย้าให้เห็นว่า การมี “ป่าชุมชน” เป็นกลไกสาคัญในการจัดการพ้ืนท่ีภูมิ
ทัศน์พรุควนเคร็งท่ีเอ้ือประโยชน์ทั้งต่อพื้นท่ีป่าพรุและการดารงชีพของคนในชุมชน และคาว่า “ป่า
ชมุ ชน” ทไ่ี ดจ้ ากบทเรียนภายใต้การดาเนินการในผลสัมฤทธ์ิท่ี 1 นคี้ ือการชี้ให้เหน็ ปัญหาของกฎหมายใน
ประเทศไทยท่ียังมีปัญหาในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างย่ิง กฎหมายป่าชุมชนยังไม่เป็นท่ียอมรับของ
ชมุ ชน ยิ่งกวา่ นั้น กฎหมายได้ทาลายพลังการมสี ่วนรว่ มและความเป็นป่าชมุ ชนที่มอี ยูเ่ ดิม ถึงกระน้ันก็ตาม
บทเรียนป่าชุมชนช้ีให้เห็นว่า “พลังความร่วมมือ” อย่างจริงจัง และความจริงใจของทุกฝ่าย ย่อมทลาย
กาแพงกฎหมายที่เป็นอุปสรรคได้ ดังกรณีป่าชุมชนบ้านไสขนุน อาเภอชะอวด จังหวดั นครศรธี รรมราช ท่ี
แม้ส้ินสภาพการเป็นป่าชุมชนด้วยเพราะกับดักกฎหมาย พระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 ทว่า พลัง
ความร่วมมือของทุกฝา่ ยสามารถหาทางออกฟื้นคืนสภาพ “ป่าชุมชนบ้านไสขนุน” ข้ึนมาได้ โดยแนวทาง
อ่ืนที่เอ้ือหรือเพียงแค่การการใช้วลี “พื้นที่ผ่อนปรน” สู่การปลดปล่อยพันธการให้ชุมชนได้ใช้ประโยชน์
และดาเนินกิจกรรมในป่าของชุมชนได้ต่อไป และที่สาคัญชวนขบคิดนั่นคือ เหรียญสองด้านของคาว่า
“วาทกรรม” การใช้วาทกรรม เป็นเคร่ืองมือในการจัดการได้สองแง่มุม ท้ังเพ่ือการพัฒนาอย่างแท้จริง
และการเป็นเพียงวาทกรรมการพัฒนาที่ไม่ได้ก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างแท้จริง เฉกเช่น วาทกรรมป่า
ชุมชน จะใช่การมุ่งสร้างการมีส่วนร่วมในการจดั การปา่ ร่วมกันโดยให้ชุมชนมีบทบาทอย่างแท้จริงหรือไม่
น้ันอยู่ท่ีผลในทางปฏิบัติ และในท้ายที่สุด คือ การมีแผนยุทธศาสตร์และเป้าหมายในการจัดการป่าพรุ
อย่างเป็นระบบ โดยการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายในการร่วมกันกาหนดแผนยุทธศาสตร์ เป้าหมาย และ
โครงการท่ีจะดาเนินการเพ่ือให้บรรลุผลสาเร็จตามแผนยุทธศาสตร์ ท่ีสอดคล้องกับวิสัยทัศน์และพันธกิจ
ของการดาเนินโครงการ น่ันคือ การร่วมกันกาหนด 6 แผนยุทธศาสตร์ 10 เป้าหมาย และ 121 โครงการ
โดยจาแนกตามระยะการดาเนนิ งานเปน็ การดาเนนิ งานในระยะเรง่ ดว่ น จานวน 35 โครงการ ระยะปานกลาง
จานวน 52 โครงการ และระยะยาว (ระยะต่อเนื่อง) จานวน 35 โครงการ เพื่อเป็นแนวทางในการดาเนินตาม
แผนยุทธศาสตร์ภูมิทัศนป์ ่าพรุควนเคร็งระดบั จังหวัดและระดับชาตติ ่อไป

การดาเนินงานภายใต้ผลสัมฤทธิ์ท่ี 2 การใช้เทคโนโลยีเพ่ือหลีกเลี่ยงความเส่ือมโทรมของปา่
พรุและฟืน้ ฟปู ่าพรทุ ่เี สอ่ื มโทรม ประกอบด้วย 3 ภารกจิ หลัก นน่ั คือ

ภารกิจแรก การใช้เทคโนโลยีเพื่อการบริหารจัดการน้าในพ้ืนท่ีป่าพรุเพื่อฟ้ืนฟูระบบนิเวศป่า
ให้ป่าพรุเสื่อมโทรมเป็นป่าพรุสมบูรณ์ ซึ่งเอ้ือประโยชน์ต่อวิถีชีวิตคนในชุมชน และภารกิจท่ีสองคือ การ
ฟ้ืนฟูป่าพรุเส่ือมโทรม ประการแรก การใช้เทคโนโลยีเพ่ือการบริหารจัดการน้าในพื้นท่ีป่าพรุ ซ่ึงมีการใช้
เครื่องมือซ่ึงเป็นเทคโนโลยีทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ในวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นเพื่อการศึกษา
นิเวศวิทยาใน 6 พ้นื ทต่ี ัวอยา่ ง คือ คือ 1) พรกุ านไม้ไผ่ 2) พรบุ รเิ วณหลังสถานีควบคุมไฟป่าทะเลน้อย 3)
ปา่ พรบุ ริเวณ หมูท่ ่ี 11 บา้ นไสขนนุ 4) ปา่ พรบุ ริเวณหนว่ ยพิทกั ษ์ศาลหลวงต้นไทร เขตห้ามลา่ สตั วป์ ่าล้อ
5) ป่าพรุบริเวณมูลนิธิชัยพัฒนา และ 6) ป่าพรุบริเวณควนตีน บ้านควนป้อม โดยแต่ละพื้นท่ีมีลักษณะ
โครงสร้างป่าที่มีเรือนยอดปกคลุม (Crown cover) อยู่ในช่วง 20-80 เปอเซนต์ โครงสร้างด้านต้ังของป่า
(Plant profile) ส่วนใหญ่มชี ้นั เรือนยอดเดียว แตม่ บี างพ้นื ท่ีมเี รือนยอด 2 ชน้ั โดยมพี ันธ์ไุ ม้เดน่ คือ เสม็ด
ขาว (Melalueca leucadendra Linn. Var. minor) ซ่ึงมีความสูงของต้นเสม็ดขาวอยู่ในช่วง 4-15
เมตรขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ป่าแต่ละแห่ง รวมถึงการศึกษาข้อมูลลักษณะและทิศทางการไหลของน้า และ

10 | โครงการเสริมศักยภาพการจดั การระบบนิเวศป่าพรเุ พ่ือเพ่มิ ความสามารถในการกักเกบ็ คาร์บอน
และอนรุ กั ษค์ วามหลากหลายทางชวี ภาพอย่างยัง่ ยนื

อาคารควบคุมน้าเข้า-ออกในพื้นท่ีแต่ละบริเวณ และในท้ายท่ีสุดจึงนาไปสู่การวิเคราะห์และสร้าง
แบบจาลองโดยเทคโนโลยีท่ีเรียกว่า MIKE ซ่ึงเป็นแบบจาลองคณิตศาสตร์ท่ีมีการพัฒนาฝังไว้ในชุดคาสั่ง
ผ่านการทางานของระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยคิดและวิเคราะห์ข้อมูลที่ยุ่งยากซับซ้อนให้ทาได้สะดวก
รวดเร็ว มีความเท่ียงตรง ปราศจากอคติ ท้ังนี้ แบบจาลอง MIKE ถูกคิดและพัฒนาข้ึนมาจากพื้นฐานของ
ระบบการบริหารจัดการน้าแห่งยุโรป โดยสถาบันบริหารจัดการน้าแห่งเดนมาร์ก ( the Danish
Hydraulic Institute: DHI)(Ma, Bian, & Sheng, 2015, 138) โดยผลการวิเคราะห์ของ MIKE SHE ทา
ให้ได้แบบจาลองหรือตัวแบบการจัดการน้าในแต่ละพ้ืนที่ และในแต่ละสถานการณ์ อันได้แก่ การจัดการ
น้าเพ่ือป้องกันไฟป่า การจัดการน้าเพื่อเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ และการจัดการน้าเพื่อการเก็บ
กักคาร์บอน โดยตัวแบบการจัดการน้าได้เสนอแนะให้มีการสร้างทานบควบคุมน้าในบริเวณต่าง ๆ ที่
เหมาะสมของแต่ละพื้นท่ี ซึ่งผลการสอบเทียบแต่ละตัวแบบมีความใกล้เคียงกับการเก็บข้อมูลภาคสนาม
อยา่ งเดน่ ชดั และแสดงภาพปรมิ าณนา้ ท่ีเพม่ิ ข้นึ ในระดับทีเ่ หมาะสมในแต่ละสถานการณ์ กลา่ วคือ

การจดั การน้าเพ่ือป้องกันไฟป่า ให้มกี ารประยกุ ต์ใช้แนวทางการจัดการน้าในปัจจบุ ัน โดยการทา
คันปิดล้อมพ้ืนที่ พร้อมประตูระบายน้าบริเวณท่ีมีน้าเข้าและออกในพื้นที่ และกาหนดให้มีการเปิดประตู
ระบายน้าในช่วงฤดูฝน โดยเปิดประตูระบายน้าในเดือนกันยายนและปิดประตูระบายน้าในช่วงเดือน
ธันวาคม โดยรักษาระดับน้าเหนือผิวพรุท่ี +0.30 เมตร โดยเมื่อระดับน้าลดต่ากว่า +0.20 เมตร ให้มีการ
สบู น้าเข้าพ้นื ทใ่ี ห้มีน้าในระดับเกบ็ กัก +0.30 เมตร

การจัดการน้าเพื่อเพ่ิมความหลากหลายทางชีวภาพ ประยุกต์ใช้หลักการของการจัดการน้าใน
ปัจจุบันเช่นเดียวกับการจัดการน้าเพื่อป้องกันไฟป่า และใช้การทาคันดินปิดล้อมพื้นท่ี พร้อมสร้างประตู
ควบคมุ นา้ เข้า-ออกในพื้นที่ ในช่วงฤดฝู นเป็นชว่ งที่เหมาะสมกบั การระบายน้าและการเกบ็ กักนา้ โดยเปิด
ประตูระบายน้าในเดือนกันยายนเพ่ือระบายน้าออกจากพื้นที่ และเดือนธันวาคมให้ปิดประตูระบายน้า
เพ่ือเก็บกักน้าเอาไว้ในพ้ืนที่ที่ระดับเหนือผิวพรุ +0.30 เมตร หากน้าเหนือผิวพรุลดต่ากว่า +0.10 เมตร
ให้มีการสูบนา้ เข้าเพ่ือใหม้ รี ะดบั น้าที่กาหนดคือ +0.30 เมตรเหนือผวิ พรุ

การจัดการนา้ เพอ่ื การเก็บกักคาร์บอน ใชแ้ นวทางการจดั การน้าในปจั จุบนั โดยใหม้ กี ารทาคันดิน
ปิดล้อมพื้นท่ีป่าพรุ สร้างประตูควบคุมน้าเข้า-ออกในพ้ืนท่ี ช่วงฤดูฝนเป็นช่วงท่ีเหมาะสมในการเปิดและ
ปิดประตูควบคุมน้าเพ่ือระบายและเก็บกักน้าในพ้ืนท่ี โดยในเดือนกันยายนให้เปิดประตูเพ่ือระบายน้า
ออกจากพ้ืนท่ี และให้ปิดประตูระบายน้าในเดือนธันวาคมเพ่ือกักเก็บน้าเอาไว้ท่ีระดับน้า +0.30 เมตร
เหนือพื้นผิวพรุ หากระดับน้าเหนือผิวพรุลดลงเหลือ +0.10 เมตร ให้มีการสูบน้าเติมเข้าไปในพื้นท่ีป่า
เพอ่ื ใหม้ รี ะดบั น้าเหนอื พ้ืนผิวพรุที่ +0.30 เมตร

ภารกจิ ท่ีสอง การฟ้นื ฟูระบบนิเวศปา่ พรุทีเ่ สือ่ มโทรมและถูกทาลายจากไฟป่า การดาเนินงาน
ในภารกิจนี้ใช้แนวทางสาคัญ คือ 1) รูปแบบการฟื้นฟูระบบนิเวศป่าพรุโดยใช้ต้นแบบจากพื้นท่ีท่ีประสบ
ความสาเร็จในการฟ้ืนฟูป่าพรุนั่นคือ ป่าพรุโต๊ะแดง จังหวัดนราธิวาส นามาประยุกต์ใช้ในการฟ้ืนที่ป่าพรุ
ควนเคร็งเพ่ือปรับโครงสร้างของป่าในบริเวณท่ีเป็นป่าพรุเส่ือมโทรมและพ้ืนที่ที่ถูกทาลายจากไฟ ไหม้ป่า
ด้วยการปลูกพันธ์ุไม้ท้องถิ่นเสริมในพื้นที่เพ่ือเพิ่มความหลากหลายของพันธุ์ไม้ เช่น กะบุย สะเตียว หว้า
น้า กันเกรา แพ หมากแดง กรวย ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างย่ิงต้นสะเตียวซึ่งเป็นพันธ์ุไม้ท้องถ่ินในปา่ พรุควน
เคร็งทส่ี ัมพันธ์กบั สัตว์น้า นน่ั คอื ปลาดุกลาพัน ซึง่ เปน็ สัตว์นา้ ทช่ี าวบ้านนยิ มบรโิ ภคและมีการแปรรูปเป็น
ปลาดุกร้า ซึ่งสร้างรายได้เสริมแก่คนในชุมชน ท้ังนี้ การดาเนินการในภารกิจส่วนน้ีได้มีการสร้างเรือน

รายงานสรุปสาหรับผู้บริหาร ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบาย และพรุควนเคร็ง วิถคี นและปา่ | 11

เพาะชาในพนื้ ที่ชุมชนเพอื่ เปน็ แหล่งสนบั สนุนพันธุ์ไม้ จานวน 4 แหง่ และการปลูกดว้ ยวิธกี ารท่ีสอดคล้อง
กับสภาพพื้นท่ี โดยเฉพาะบางพื้นที่ท่ีเข้าถึงลาบากได้ใช้วิธีการปลูกแบบ Seed ball ซึ่งเป็นการบรรจุ
เมล็ดพันธุ์ไม้ไว้ในก้อนดิน แล้วปาก้อนเมล็ดพันธ์ุเข้าไปในป่า 2) การส่งเสริมการปลูกไม้ยืนต้นในท่ีดินทา
กิน เชน่ หนา้ บา้ น หลังครวั ในสวน รมิ ร้ัว และแนวขอบเขตแดนของที่ดิน โดยท่ีแต่ละชุมชนเลือกพันธ์ุไม้
ที่เหมาะสม โครงการมีการสนับสนุนพันธ์ุไม้ ท้ังน้ี การดาเนินการดังกล่าวเป็นการลดการตัดไม้จากป่า
ธรรมชาติ และสร้างรายไดจ้ ากการปลูกต้นไม้มีมีค่าต่าง ๆ ทเ่ี คยเป็นพันธ์ุไม้หวงห้าม แต่ปัจจบุ นั กฎหมาย
ได้อนุญาตให้ปลูกในทดี่ ินทมี่ ีเอกสารสิทธแิ ละตัดจาหนา่ ยได้

นอกจากน้ี การดาเนินกิจกรรมระหว่างการดาเนินการฟื้นฟูระบบนิเวศป่าพรุโดยการมีส่วนร่วม
ของชุมชน และยังสร้างรายได้เสริมแก่คนในชุมชนอันเกิดจากการจ้างงานในกิจกรรมท่ีเกี่ยวข้องกับการ
ฟื้นฟูพื้นที่ป่าพรุ เช่น การปลูกพันธ์ุไม้ท้องถ่ิน เป็นต้น อีกท้ังได้มีการติดตามอย่างต่อเนื่องท้ังในด้านการ
ดาเนนิ กจิ กรรมต่าง ๆ ของเรือนเพาะชาท้งั 4 แห่ง และการติดตามอัตราการเจริญเตบิ โตและการรอดของ
พันธ์ุไม้ที่ปลูกในแต่ละพ้ืนที่ ซึ่งพืชแต่ละชนิดเจริญเติบโตต่างกันในแต่ละแปลง ถึงกระนั้นก็ตาม ผลการ
ติดตามช้ีให้เห้นได้ชัดเจนว่า การปลูกพันธ์ุไม้ท้องถิ่นในพื้นท่ีป่าพรุควนเคร็งนั้นมีอัตราการรอดสูง จึงเป็น
แนวทางทีเ่ หมาะสมในการฟ้นื ฟปู า่ พรุทเี่ สื่อมโทรม

ภารกิจที่สาม การติดต้ังระบบการติดตามเพื่อตรวจวัดค่าปรมิ าณคาร์บอนในพื้นที่ป่าพรุ การ
ดาเนินการในส่วนนี้คือตัวช้ีวัดความสาเร็จของโครงการท่ีเป็นผลสืบเนื่องจากการดาเนินการในภารกิจท่ี
หนึ่งและสอง น่ันคือ เมื่อมีการจัดการน้าในพื้นท่ีป่าพรุที่เหมาะสมโดยมีการรักษาระดับน้าหลอ่ เลีย้ งพืน้ ท่ี
พรุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวทางการจัดการน้าเพื่อการเก็บกักคาร์บอน รวมถึงการดาเนินการฟื้นฟูป่าพรุที่
เส่ือมโทรมโดยเพ่ิมความหลากหลายของพันธ์ุไม้ท้องถิ่น ท้ังน้ี ผลการดาเนินการในภารกิจน้ีช้ีให้เห็น
ศักยภาพการเก็บกักคาร์บอนของพื้นที่พรุควนเคร็งได้อย่างชัดเจน และย้าชัดถึงความสามารถในการเก็บ
กักคาร์บอนที่แตกต่างกันของป่าแต่ละประเภทในพื้นที่ภูมิทัศน์พรุควนเคร็ง น่ันคือ ป่าพรุด้ังเดิม ป่าพรุ
เส่ือมโทรมท่ีมักเรียกกันว่า ป่าเสม็ด และสวนปาล์มน้ามัน โดยที่ข้อมูลมวลชีวภาพและปริมาณคาร์บอน
ในพ้นื ท่ีป่าพรดุ ้ังเดิมสูงกว่าป่าพรุเส่ือมโทรมและสวนปาล์มน้ามัน ดนิ ในพื้นท่ีป่าพรุดั้งเดิมเก็บกักคาร์บอน
ได้สูงกว่าป่าพรุเส่ือมโทรม และยังบ่งชี้ให้เห็นว่าปาล์มน้ามันแม้เป็นพืช แต่มีปริมาณมวลชีวภาพต่า และ
สามารถกักเก็บคาร์บอนได้น้อย นั่นหมายความว่า ป่าพรุดั้งเดิม ซ่ึงเป็นพื้นท่ีที่มีความหลากหลายทาง
ชีวภาพย่อมมีศักยภาพการเก็บกักคาร์บอนได้สูง จึงควรฟ้ืนฟูให้พ้ืนท่ีภูมิทัศน์พรุควนเคร็งมีป่าพรุด้ังเดิม
เพ่ิมข้ึน ซึ่งเป็นแนวทางท่ีสอดคล้องและเช่ือมโยงกับการวางแผนของโครงการที่ได้ดาเนินการในภารกิจท่ี
หนึ่งและสองที่กล่าวมาข้างต้น อนึ่ง ข้อมูลศักยภาพการเก็บกักคาร์บอนของป่าพรุด้ังเดิม ป่าพรุเส่ือม
โทรม และสวนปาลม์ นา้ มัน ยงั มีความน่าสนใจทีน่ ่าขบคิดท่วี ่า “ถ้าปา่ พรุในพ้นื ที่ภูมิทัศน์พรุควนเคร็งค่อย
ๆ เปลี่ยนสภาพเป็นป่าพรุเสื่อมโทรม และสวนปาล์มน้ามันมากขึ้นต่อเนื่อง ย่อมส่งผลกระทบต่อ
ส่ิงแวดล้อมของชุมชนและของโลก” นอกจากน้ี การประเมินภาพป่าและศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอน
ในพ้นื ท่ีปา่ พรุควนเคร็งและป่าอ่ืน ๆ โดยการรวมตัวเป็นเครือข่าย จะเปน็ อกี แนวทางในการสร้างการรับรู้
ข้อมูลปญั หา สภาพพ้นื ที่ และตระหนกั ถึงคุณค่าท่จี ะก่อเกดิ ประโยชน์ท้งั ต่อชุมชน สงั คม และโลกมากข้ึน
รวมถึงการนาขอ้ มูลคาร์บอนไปสู่การสรา้ งรายไดใ้ ห้แก่คนในชุมชน เพอื่ เปน็ อีกแรงจูงใจในการรว่ มกันดูแล
ปกป้องป่าพรุควนเคร็งต่อไป

12 | โครงการเสรมิ ศักยภาพการจดั การระบบนิเวศปา่ พรุเพ่ือเพม่ิ ความสามารถในการกักเกบ็ คาร์บอน
และอนุรกั ษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างย่งั ยนื

การดาเนินงานภายใต้ผลสัมฤทธิ์ท่ี 3 การพัฒนานโยบาย มาตรฐานและกลไกการบังคับใช้
นโยบายเพื่อการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ป่าพรุอย่างยั่งยืน โดยมีการดาเนินการภารกิจสาคัญในดา้ น
ต่าง ๆ ท้งั ในระดบั พน้ื ท่ีและระดับชาติ กล่าวคอื

ภารกิจแรก การจัดตั้งคณะทางานส่งเสริมการบริหารจัดการพื้นที่ภูมิทัศน์พรุควนเคร็งแบบ
องค์รวม ประกอบด้วย คณะกรรมการกากับโครงการ ซ่ึงมีบทบาทหน้าที่ในการกากับดูแลการดาเนิน
โครงการให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กาหนดไว้อย่างเป็นระบบ ทั้งนี้ คณะกรรมการกากับโครงการซึ่ง
ประกอบดว้ ยตัวแทนจากทุกภาคส่วนได้มีการจัดตั้งคณะทางานชับเคลอ่ื นการทางานขน้ึ มาเพอื่ ดาเนินงาน
ด้านการวางแผนยทุ ธศาสตรก์ ารจดั การพ้ืนท่ีป่าพรุควนเคร็งในด้านต่าง ๆ และการทางานวางแผนการใช้
ประโยชน์ท่ีดินในพ้ืนท่ีนาร่องเพ่ือเป็นต้นแบบการศึกษาพ้ืนที่เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการวาง
แผนการใชป้ ระโยชน์ท่ีดินในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม า คอื คณะทางานวางแผนยทุ ธศาสตรภ์ ูมิทัศน์ป่าพรุ
ควนเคร็ง และคณะทางานวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินในพ้ืนท่ีตาบลเคร็ง โดยคณะทางานวางแผน
ยุทธศาสตร์ภูมทิ ัศน์ปา่ พรุควนเคร็ง ประกอบดว้ ยคณะทางานเฉพาะกิจดา้ นการฟืน้ ฟูป่าและระบบนิเวศ

ภารกิจท่ีสอง การพัฒนาและรับรองเกณฑ์และวิธีการประเมินป่าพรุ หน้าท่ี และบริการของ
ปา่ พรอุ นั เปน็ ผลจากการประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจของระบบนิเวศปา่ พรุควนเครง็ ซงึ่ การดาเนินงาน
ได้บรรลุผลตามเป้าหมาย น่ันคือ โครงการได้มีการดาเนินการพัฒนาเกณฑ์ต่าง ๆ ได้แก่ 1) เกณฑ์การใช้
ประโยชน์ที่ดินและข้อมูลสารสนเทศเชิงภูมิศาสตร์ 2) เกณฑ์การประเมินพื้นท่ีป่าพรุด้านการกักเก็บ
คาร์บอนของพื้นที่พรุ 3) เกณฑ์การประเมินศึกษาสถานะป่าพรุด้านการจัดการระบบน้าในป่าพรุ 4)
เกณฑ์ในการประเมนิ ศึกษาสถานะปา่ พรุด้านนิเวศอทุ กวิทยา 5) เกณฑใ์ นการประเมินศึกษาสถานะป่าพรุ
ด้านสถานการณ์ป่าชุมชน และ 6) เกณฑ์ในการประเมินพ้ืนท่ีป่าพรุด้านการประเมินมูลคาทาง
เศรษฐศาสตรข์ องระบบนเิ วศป่าพรุ เพือ่ ยกระดบั มาตรฐานการบรหิ ารจดั การพ้ืนท่ีพรุของประเทศ โดยใช้
พ้ืนทพ่ี รุควนเคร็งเป็นพ้ืนที่ตน้ แบบเพ่ือเป็นแนวทางในการพฒั นาและรับรองเกณฑ์และวธิ การประเมินป่า
พรุ หน้าที่ และบริการป่าพรุโดยใช้การประเมินมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ของระบบนิเวศป่าพรุเป็นข้อมูล
ประกอบการตัดสินใจและใช้เป็นข้อมูลเพ่ือกาหนดแนวทางในการกาหนดเกณฑ์ท่ีสอดคล้องกับ
สภาพแวดลอ้ มของพนื้ ทพ่ี รุแต่ละแห่งทั้งในแง่ของมูลค่าและคุณค่าของระบบนเิ วศป่าพรุ

ภารกิจที่สาม การพัฒนาระบบฐานข้อมูลสถานภาพป่าพรุท้ังหมดในประเทศไทยและการ
พัฒนาแผนยุทธศาสตร์การจัดการป่าพรุระดับชาติ เป็นภารกิจขั้นสูงสุดของการขับเคล่ือนการทางาน
ของโครงการท่ีมุ่งยกระดับการบริหารจัดการพรุควนเคร็งให้เป็นวาระสาคัญแห่งชาติ โดยมีระบบ
ฐานข้อมูลสถานภาพป่าพรุทั้งหมดของประเทศไทยเพื่อใชเ้ ป็นข้อมูลพ้ืนฐานในการบริหารจัดการพื้นท่ีพรุ
ของประเทศได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ และเปน็ ขอ้ มลู ประกอบการตัดสินใจในการกาหนดนโยบายสาธารณะ
เพื่อการบริหารจัดการพรุของประเทศไทย นั่นคือ การมีแผนยุทธศาสตร์การจัดการป่าพรุแห่งชาติ ที่
กาหนดขึ้นอย่างสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมหรือบริบทของพื้นที่พรุในแต่ละท้องถ่ินท่ีอาจมีวัฒนธรรม
ของชุมชนท้องถ่ินกับการใช้ประโยชน์จากพรุที่แตกต่างกัน และสภาพพื้นท่ีพรุแต่ละแห่งในแต่ละภูมิภาค
ของประเทศท่ีอาจเหมอื นหรือต่างกนั ในบางประการ จาเป็นตอ้ งกาหนดแผนยุทธศาสตร์การจัดการป่าพรุ
แห่งชาติที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมชุมชนด้วย ทั้งนี้ การพัฒนาระบบฐานข้อมูล
สถานภาพปา่ พรุท้ังหมดของประเทศไทยและการพัฒนาแผนยทุ ธศาสตร์การจัดการป่าพรรุ ะดบั ชาตินน้ั มี
แนวทางท่ีเป็นตัวแบบสาคัญท่ีสามารถนาไปประยุกต์ใช้และออกแบบระบบฐานข้อมูลและแผน

รายงานสรุปสาหรบั ผบู้ ริหาร ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และพรคุ วนเครง็ วิถีคนและป่า | 13

ยุทธศาสตร์ที่มีความสอดคล้องในแนวทางเดียวกัน โดยใช้ผลการดาเนินงานของโครงการกรณีป่าพรุควน
เคร็งที่มีการดาเนินการพัฒนาระบบฐานข้อมูลสถานภาพป่าพรุควนเคร็งและการพัฒนาแผนยุทธศาสตร์
การจัดการป่าพรุควนเคร็งอย่างมีส่วนร่วมซ่ึงได้มีการกาหนดกลยุทธ์และโครงการ ท่ีเป็นภาคปฏิบัติการ
ของแผนยทุ ธศาสตรไ์ ว้อยา่ งครอบคลมุ ในทุกด้านโดยกระบวนการมีสว่ นรว่ มและความเป็นหุ้นสว่ นกันของ
ทกุ ฝ่ายที่เก่ียวข้อง

เห็นได้ว่า ผลการดาเนินโครงการภายใต้ผลสัมฤทธิ์ท่ี 3 มุ่งเป้าหมายไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนโดย
การขับเคลื่อนการทางานไปสู่การกาหนดนโยบายระดับชาติ ท้ังด้วยแนวทางการจัดตั้งคณะทางานหรือ
องค์การขึ้นมาเพ่ือขับเคลื่อนการทางานในแต่ละด้าน ทั้งในระดับชุมชนท้องถ่ิน ระดับจังหวัดและ
ระดับประเทศ โดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย ท้ังน้ี การมีส่วนร่วมคือกลไกสาคัญที่จะช้ีผล
ความสาเร็จในการดาเนินโครงการท่ีเกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติซึ่งประกอบด้วยผู้ท่ี
เกี่ยวข้องหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มีความหลากหลายและซับซ้อน ตลอดจนมีความสัมพันธ์เชิงอานาจใน
หลายรูปแบบ การดาเนินโครงการในผลสัมฤทธ์ิท่ี 3 นี้ ได้มีการจัดระบบการบริหารจัดการพื้นท่ีพรุด้วย
แนวทางการกาหนดเกณฑแ์ ละวิธกี ารประเมินสถานภาพหนา้ ท่ีและบริการทางระบบนเิ วศของป่าพรุ การ
จัดทาระบบฐานข้อมูลปา่ พรุในระดับตา่ ง ๆ เชน่ การมรี ะบบฐานข้อมูลปา่ พรคุ วนเคร็ง ทีส่ ามารถเช่อื มโยง
กับระบบฐานข้อมูลสถานภาพป่าพรุท้ังหมดของประเทศไทย และการจัดทาแผนยุทธศาสตร์การจัดการ
พ้ืนที่พรุควนเคร็งท่ีเชื่อมโยงสัมพันธ์อย่างสอดคล้องไปในแนวทางเดียวกันกับการจัดทาแผนยุทธศาสตร์
การจัดการป่าพรุระดับชาติ ซึ่งเป็นการยกระดับแผนการจัดการพื้นท่ีพรุทั้งหมดในประเทศไทย น่ัน
หมายความว่า การดาเนินงานของโครงการภายใตผ้ ลสมั ฤทธ์ิท่ี 3 คือ การยกระดบั การค้มุ ครองพ้ืนที่พรุใน
ประเทศไทยเพ่ือให้มีระบบการบริหารจัดการท่ีมีความก้าวหน้าและเป็นไปตามหลักการตามแนวทางท่ี
อนุสญั ญาวา่ ด้วยพ้ืนที่ชุ่มน้าทีม่ ีความสาคัญระหว่างประเทศหรืออนสุ ัญญาแรมซาร์ได้กาหนดเพ่ือให้มีการ
ประเมินพ้ืนที่ป่าพรุในเขตร้อนไว้ที่หลายประเทศท่ัวโลกซ่ึงมีพ้ืนที่พรุที่มีความสาคัญระ ดับโลกและเป็น
พื้นที่สาคัญของประเทศท่ีมีการใช้ประโยชน์อย่างหลากหลายและเข้มข้น อน่ึง การมีมาตรการทั้งใน
รูปแบบนโยบายสาธารณะระดับชาติ โดยการมียุทธศาสตร์ชาติในการคุ้มครองพ้ืนท่ีพรุ การมีระบบ
ฐานข้อมูลพ้ืนท่ีพรุของประเทศเพ่ือการบริการจัดการอย่างเป็นระบบและมีมาตรฐาน และมีการจัดเก็บ
ข้อมูลสถานภาพพ้ืนที่พรุในด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง นับเป็นแนวปฏิบัติท่ีมีความสาคัญอย่างย่ิง ไม่
เพียงแต่การคุ้มครองพื้นท่ีพรุเหล่าน้ีไว้เพ่ือการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ทว่า การคุ้มครองพ้ืนท่ีพรุของ
ประเทศยังเปน็ แนวทางสาคัญท่ีเปน็ การคมุ้ ครองโลกจากสภาวะการเปลย่ี นแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก
ท่ีนับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งข้ึน อันเป็นผลพวงจากกิจกรรมการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ของมนุษย์ทั่ว
โลกทอี่ าจละเลยตอ่ ผลกระทบดา้ นสิง่ แวดลอ้ ม

14 | โครงการเสรมิ ศกั ยภาพการจัดการระบบนิเวศปา่ พรุเพื่อเพิม่ ความสามารถในการกักเกบ็ คารบ์ อน
และอนรุ ักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยัง่ ยืน

รายงานสรุปสาหรบั ผบู้ ริหาร ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และพรุควนเคร็ง วถิ คี นและปา่ | 15

สารบัญ หนา้
5
บทสรุปสาหรับผ้บู ริหาร 15
สารบัญ 17
รายการตาราง 18
รายการภาพประกอบ 23
ส่วนท่ี 1 รายงานสรุปสาหรับผบู้ รหิ าร 25
คมุ้ ครองป่าพรคุ วนเครง็ ฟ้นื ฟวู ถิ คี นเครง็ ภายใตโ้ ครงการการเสรมิ สรา้ งศกั ยภาพ
การจัดการระบบ นิเวศปา่ พรุ เพื่อเพิม่ ความสามารถในการกักเกบ็ คารบ์ อนและอนรุ ักษ์ 27
ความหลากหลายทางชีวภาพอยา่ งย่งั ยืน
บทที่ 29
1 การเพ่มิ ศักยภาพการคุ้มครองระบบนิเวศและการจัดการปา่ พรุ 30

ทมี่ ีคณุ ค่าต่อการอนุรกั ษ์สูงแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน 34
39
 บทนา
41
 การเพิ่มศักยภาพการค้มุ ครองระบบนิเวศและการจัดการป่าพรุทม่ี ีคุณค่าต่อ 42
การอนุรักษส์ ูงแบบบรู ณาการอย่างยง่ั ยนื
47
 บทสรปุ 51
2 การใช้เทคโนโลยเี พอ่ื หลีกเลี่ยงความเสื่อมโทรมของป่าพรุและฟ้นื ฟูปา่ พรุ
53
ท่ีเสอื่ มโทรม 54

 บทนา 74
77
 การใช้เทคโนโลยเี พื่อหลกี เล่ยี งความเสือ่ มโทรมของปา่ พรุและฟ้นื ฟปู ่าพรุท่ี
เสื่อมโทรม 79
81
 บทสรปุ
3 การพัฒนากลไกและยทุ ธศาสตรร์ ะดบั ชาติเพ่อื การอนรุ ักษแ์ ละใชป้ ระโยชนจ์ าก

ระบบนเิ วศป่าพรอุ ย่างย่ังยืน

 บทนา

 การพัฒนากลไกและยุทธศาสตรร์ ะดับชาติเพ่ือการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์
จากระบบนิเวศป่าพรุอย่างย่งั ยืน

 บทสรุป
4 บทวเิ คราะห์เป้าหมายการพัฒนาท่ียงั่ ยนื แห่งสหสั วรรษกับการดาเนนิ การภายใต้

โครงการเสริมศักยภาพการจดั การระบบนิเวศปา่ พรุเพ่อื เพ่ิมความสามารถในการ
กักเกบ็ คารบ์ อนและอนรุ ักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ

 การพฒั นาท่ียงั่ ยนื

 โครงการเสรมิ ศักยภาพการจัดการระบบนเิ วศปา่ พรุควนเคร็งกับเปา้ หมายการ
พฒั นาที่ยงั่ ยนื

16 | โครงการเสริมศักยภาพการจัดการระบบนเิ วศป่าพรเุ พือ่ เพิม่ ความสามารถในการกักเก็บคาร์บอน
และอนรุ กั ษ์ความหลากหลายทางชวี ภาพอย่างยง่ั ยนื

สารบัญ หนา้
87
4  บทสรปุ 91
5 ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย 95
ส่วนท่ี 2 ความเปน็ มาของโครงการ 95
6 ความเป็นมาของโครงการ (หลักการและเหตุผล วตั ถุประสงค์ พนื้ ที่ดาเนนิ งาน
107
ผลสมั ฤทธ์ิ ผลผลติ ตวั ช้ีวัด) 109
ส่วนที่ 3 พรุควนเคร็ง วิถชี ุมชน คนและปา่ พรุควนเคร็ง
7 ปา่ พรุควนเครง็ 111

 “ป่าพรุ” และความสาคญั ของปา่ พรุ 112
117
 ความหมายของ “พรุ” “ป่าพรุ” และ “พ้นื ทช่ี ุม่ น้า”
123
 ธาตุ 4 พรุ : ดนิ น้า ลม (อากาศ) ไฟ 124
127
 ความสัมพันธร์ ะหว่างสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในป่าพรุ
127
 เหลียวหลงั แลหน้า ปา่ พรุ
128
 ป่าพรใุ นโลก 165
167
 ป่าพรใุ นประเทศไทยและภาคใต้
175
 พรคุ วนเคร็ง 182
197
8 เข้าใจและเข้าถงึ วถิ ีชุมชน คนพรคุ วนเครง็ 215
219
 ประวตั ศิ าสตรก์ ารตัง้ ถนิ่ ฐานของชมุ ชนพรคุ วนเครง็ 225
226
 วัฒนธรรมความเชอื่ และตานานของชาวพรุควนเคร็ง
233
 ภมู ปิ ัญญาการใชท้ รัพยากรของชมุ ชนในพ้นื ที่พรคุ วนเคร็ง 243
256
 ชมุ ชนกับการใช้ประโยชนใ์ นพ้ืนที่ภูมิทศั นป์ ่าพรุควนเคร็ง
9 บทสรปุ
บรรณานกุ รม
ส่วนที่ 4 ภาคผนวก
ก ผงั มโนทัศน์การจดั การเรยี นร้หู ลกั สูตรท้องถ่นิ เชงิ บรู ณาการสาระการเรียนร้ภู ูมิทศั น์

พรุควนเครง็
ข ข้อมูลคาส่ังแตง่ ต้ังคณะทางานต่าง ๆ
ค ขอ้ มูลคาสงั่ แตง่ ตัง้ คณะทางานชดุ เฉพาะกจิ
ง ขอ้ มูลกฎหมายทเี่ ก่ียวข้อง

รายงานสรุปสาหรบั ผบู้ ริหาร ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรคุ วนเคร็ง วถิ คี นและป่า | 17

รายการตาราง หน้า

ตารางที่ 59
1.1 บรกิ ารของระบบนิเวศ ผู้ไดร้ ับประโยชน์ และมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ของระบบ
99
นเิ วศพรุควนเครง็ 153
1.2 พืน้ ทเ่ี ปา้ หมายโครงการ 154
1.3 สถิตกิ ารเกิดไฟไหม้บรเิ วณป่าพรคุ วนเคร็ง พ.ศ. 2505-2562 168
1.4 สถติ ิการเกิดไฟไหม้บรเิ วณป่าพรุควนเคร็ง พ.ศ. 2557-2562
1.5 ขอ้ มูลประชากรในพ้ืนที่ดาเนินโครงการ

18 | โครงการเสรมิ ศกั ยภาพการจดั การระบบนิเวศปา่ พรเุ พ่ือเพม่ิ ความสามารถในการกักเก็บคารบ์ อน
และอนุรกั ษค์ วามหลากหลายทางชวี ภาพอยา่ งย่งั ยนื

รายการภาพประกอบ

หนา้

ภาพที่

1.1 ขอ้ เสนอกลไกการบริหารจัดการในระดบั ภูมทิ ัศน์ทส่ี อดคล้องตามกบั แผน 32

ยุทธศาสตร์การจดั การพรุอย่างมีส่วนรว่ มในพื้นทีภ่ ูมิทัศน์พรุควนเครง็ การใช้

ประเดน็ เศรษฐกิจสเี ขียวเป็นแกนกลางเช่ือมโยงให้การบรหิ ารจัดการพ้นื ที่

พรคุ วนเครง็ มปี ระสิทธภิ าพและมีความยั่งยืน

1.2 พน้ื ที่นา้ ท่วมก่อนและหลังมีโครงการการจดั การน้าเพือ่ การป้องกนั ไฟป่า 43

1.3 พน้ื ทน่ี ้าท่วมกอ่ นและหลังมีโครงการการจัดการนา้ เพื่อเพิ่มความหลากหลาย 44

ทางชวี ภาพ

1.4 พ้ืนที่น้าท่วมกอ่ นและหลงั มโี ครงการการจัดการน้าเพิ่มศักยภาพในการเกบ็ 44

กักคารบ์ อน

1.5 กรอบแนวคิดการฟนื้ ฟรู ะบบนเิ วศในภมู ิทศั น์พรคุ วนเครง็ 45

1.6 ประเภทการใช้ประโยชน์ทีด่ นิ และสถานภาพในการกักเก็บคารบ์ อนในพื้นท่ี 47

พรคุ วนเคร็ง (พน้ื ที่ทัง้ หมด 581,908 ไร่) จากภาพถ่ายดาวเทยี มในปี พ.ศ.

2561

1.7 โครงสรา้ งคณะทางานภายใตโ้ ครงการเสริมศกั ยภาพการจดการระบบนิเวศ 55

ป่าพรุ เพอ่ื เพิ่มความสามารถในการกักเกบ็ คาร์บอนและอนุรกั ษค์ วาม

หลากหลายทางชีวภาพอย่างยงั่ ยืน

1.8 กรอบแนวคิดเชงิ วเิ คราะห์ในการประเมนิ สถานภาพและเงื่อนไขในพืน้ ทพ่ี รุ 62

ควนเครง็ (KKL)

1.9 เปา้ หมายการพฒั นาทย่ี ัง่ ยนื 80

1.10 ขอบเขตพื้นทดี่ าเนินโครงการ 100

1.11 พื้นที่ชมุ่ นา้ ที่มคี วามสาคญั ระหว่างประเทศ 116

1.12 แผนทลี่ ักษณะกลมุ่ ชุดดินบริเวณพรุควนเครง็ 136

1.13 แผนท่แี สดงข้อมูลดินในพนื้ ที่โครงการ 138

1.14 คาอธบิ ายสญั ลักษณช์ ุดดนิ 139

1.15 แผนท่กี ารใช้ประโยชนท์ ีด่ นิ บริเวณพรคุ วนเคร็ง ปี พ.ศ. 2557 141

1.16 แผนท่ีการใชป้ ระโยชนท์ ี่ดนิ ในพืน้ ที่โครงการป่าพรุควนเคร็ง 142

1.17 คาอธิบายประกอบแผนท่ีการใชป้ ระโยชนท์ ี่ดนิ ในพ้ืนทโี่ ครงการฯ 143

1.18 แผนทีแ่ หล่งนา้ บรเิ วณพรคุ วนเครง็ 146

1.19 แหลง่ นา้ ในพืน้ ทพี่ รุควนเครง็ บริเวณพนื้ ทีโ่ ครงการ 147

1.20 เส้นลาน้าในพืน้ ที่พรุควนเคร็งบริเวณพน้ื ทีโ่ ครงการ 148

รายงานสรปุ สาหรับผ้บู ริหาร ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรุควนเคร็ง วิถคี นและป่า | 19

รายการภาพประกอบ (ตอ่ )

ภาพท่ี เขตพื้นท่ีเปราะบางต่อการเกิดไฟไหม้บริเวณพรุควนเคร็งในชว่ งแล้งระหวา่ ง หน้า
1.21-1.22 ปี พ.ศ. 2549-2557 และการใช้ประโยชน์ทดี่ ินในเขตพื้นทเี่ ปราะบางต่อการ 152
เกิดไฟไหมบ้ รเิ วณพรุควนเคร็งในชว่ งแล้ง
1.23 แผนท่แี สดงจุดเกิดไฟปา่ ในพื้นที่โครงการ ปี พ.ศ. 2554-2562 155
1.24 แผนทแ่ี สดงพื้นท่ีท่ีไดร้ บั ผลกระทบจากไฟป่าในเขตห้ามลา่ สัตว์ป่าบ่อล้อและ 156
สวนปาล์ม ในพื้นที่ตาบลการะเกด อาเภอเชียรใหญ่ จังหวดั นครศรธี รรมราช 156
1.25 แผนที่แสดงพ้ืนที่ที่ได้รับผลกระทบจากไฟปา่ ในพน้ื ท่ปี า่ พรคุ วนเคร็งในเขต 157
หา้ มล่าสตั ว์ป่าบ่อล้อและเขตหา้ มลา่ ทะเลน้อย 169
1.26-1.27 แผนท่แี สดงพื้นท่ที ี่ได้รับผลกระทบจากไฟป่าในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบอ่ ลอ้ และ 177
สวนปาลม์ ในพืน้ ทต่ี าบลการะเกด อาเภอเชียรใหญ่ จังหวดั นครศรีธรรมราช 180
1.28 แผนท่แี สดงจานวนประชากรและหม่บู า้ นพ้ืนที่ดาเนนิ โครงการ ปี 2562
1.29 ทวดหวั ควน ซ่ึงมรี ปู ร่างเป็นงูจงอางมลี ักษณะสีออกขาว ท่ีตงั้ อยใู่ นตาบล 181
เครง็ อาเภอชะอวด จังหวัดนครศรธี รรมราช 184
1.30 ศาลหลวงต้นไทร ริมคลองชะอวด-แพรกเมอื ง ตาบลการะเกด อาเภอเชยี ร 185
ใหญ่ จังหวดั นครศรธี รรมราช สถานท่ศี ักดส์ิ ิทธทิ์ ผ่ี คู้ นกราบไหว้บูชาพ่อปูพรม 186
1.31 สุต มลี กั ษณะเป็นจระเข้มีขาวตามความเช่อื โบราณ และเจา้ แมไ่ ทรทอง 186
หลาตาทวดที่มีของเซน่ ไหว้ และของเซน่ ไหวท้ ว่ี างบนถาดท่ีใชใ้ นการทาพิธี 187
1.32 เซ่นไหว้ตาทวด 187
1.33 ชาวบา้ น ขณะกาลังถอนกระจูด
ชาวบ้านในพื้นทตี่ าบลเครง็ ขณะกาลงั ถอนกระจดู แยกขนาด และกระจดู ที่
1.34 มกี ารตัดปลายแล้ว
1.35 มดั กระจูดทถี่ อดได้ และการลาเลยี งกระจูดจากปา่ พรไุ ปยงั หมบู่ า้ น
ชาวบา้ นในตาบลเคร็ง ขณะกาลังนากระจดู คลุกโคลน กระจดู ตากแดดให้
1.36 แห้ง และนาเข้าเครื่องรีดให้เรียบแบบพร้อมใช้งานในการจักสานตอ่ ไป
การตากกระจูดในอดีตมที ้งั การตกแบบคลแ่ี ผ่นกระจาย และการตากใน
1.37 ลกั ษณะคลา้ ยพดั โดยยังไมแ่ กะเชือกทมี่ ัดรวบไว้เพื่อสะดวกในการเก็บ
การย้อมกระจูดด้วยนา้ โคลนดนิ สอ หรอื “ดินทรายน้า” การทากระจดุ ให้
แบนดว้ ยการบดทบั (กล้ิงจดู ) การท่ิม (ใช้แรงคนเดยี ว) หรอื อาจใชว้ ธิ กี ารท่ิม
ซอ (การใช้แรงคนสองคนขนึ้ ไป) (อดีต)

20 | โครงการเสรมิ ศกั ยภาพการจัดการระบบนิเวศป่าพรเุ พ่อื เพม่ิ ความสามารถในการกักเกบ็ คาร์บอน
และอนรุ ักษค์ วามหลากหลายทางชวี ภาพอยา่ งยง่ั ยนื

รายการภาพประกอบ (ต่อ)

หน้า

ภาพท่ี

1.38 การทาเสน้ จูดใหเ้ รยี บแบบในปัจจุบนั โดยการกลง้ิ จดู ซ่งึ เป็นวธิ ีการด้ังเดิมที่ 188

ยงั คงสบื ทอดตอ่ กนั มาจนปจั จุบัน และการใช้เครื่องทุน่ แรงในการรีดจูดซึ่งลด

เวลาในการเตรียมวตั ถุดบิ งานจกั สาน

1.39 ชาวบา้ นตาบลเครง็ กับการเริ่มต้นทางานยามเช้าท้งั การสาน การตดั แตง่ 188

ช้นิ งาน ซึ่งชว่ ยกันทง้ั ครอบครัวทุกเพศและวัย

1.40 เสอ่ื กระจูด หรอื สาดจดู ทีพ่ ร้อมนาไปขาย 189

1.41 ลุงจิตร มีรอด ขณะทาไซดักปลา 192

1.42 ตาราโบราณ “บันทกึ กฤษณา ” สืบทอดมากวา่ 200 ปี 194

1.43 นายสเน่ห์ นรสิงห์ หรือโนราเสนห่ ์นอ้ ยดาวรุง่ อดีตโนราผู้มีชื่อเสยี งและ 195

นางสาววรยิ า บุญจร รวมถึงคณะ ลูกศิษย

1.44 การถา่ ยทอดการนามโนราหใ์ ห้แกเ่ ด็กและเยาวชนในชุมชน เพือ่ สืบทอดภูมิ 195

ปญั ญาตอ่ ไป

1.45 เสอ่ื กระจูดท่ียาวท่สี ุดในโลก คือ ความรว่ มแรงร่วมใจของคนเคร็ง และงาน 196

ดอกจดู บานที่จดั อย่างต่อเนือ่ ง

1.46 ดอกจดู บาน ในปา่ พรุควนเคร็ง 197

1.47 ผลติ ภัณฑห์ ลากหลายรปู แบบท่แี ปรรูปจากพืชกระจูด จดั ว่าเป็นพชื เศรษฐกิจ 203

ของชุมชนพื้นทภี่ มู ิทัศน์พรุเครง็

1.48 ชุมชนทะเลนอ้ ย ตาบลพนางตงุ อาเภอควนขนุน จงั หวดั พัทลุงกบั ผลติ ภัณฑ์ 203

กระจูด ท่ีใส่แก้วน้าเยติ เสอ่ื กระจดู แบบพับได้ และผู้สูงวยั

1.49 คนร่นุ ใหมซ่ ง่ึ เปน็ ลูกหลานคนในชมุ ชนพรุควนเคร็ง หมู่ที่ 11 บ้านไสขนุน กบั 203

การตอ่ ยอดสินค้าชุมชนใหเ้ ป็นสนิ คา้ รว่ มสมยั ทสี่ ามารถสร้างความสนใจหรือ

ดึงดูดใจของลกู คา้ กลุ่มคนร่นุ ใหม่ทช่ี ่ืนชอบสีสนั และความแปลกใหมข่ อง

สนิ คา้ ทเ่ี ป็นมติ รต่อสิง่ แวดล้อม

1.50 หลอดรักษ์โลก จากพืชราโพ พืชชนิดหน่ึงในป่าพรุ และตราสนิ คา้ “คนพรุ” 204

1.51 ต้นราโพตน้ อ่อนและต้นราโพ ท่โี ตไดข้ นาดเหมาะสมในการเก็บเก่ียว และ 204

คุณวัชระ เกตชุ ู ผรู้ เิ ริ่มสรา้ งอาชีพสเี ขยี วให้แก่ชมุ ชน ต้นความคดิ “หลอดรา

โพ ตราคนพรุ”

1.52 หลอดจากต้นราโพ และเด็ก ๆ ในชุมชน ขณะกาลงั ชว่ ยพ่อแมท่ าความ 205

สะอาดหลอดราโพ

1.53 วถิ ีชุมชนสะทอ้ นบทบาทหญิงชาย โดยผชู้ ายในหมบู่ ้านกับบทบาทการทา 206

ประมงพ้ืนบ้านในเขตปา่ โดยการใช้เครื่องมอื ประมงพนื้ บ้าน เรยี กวา่ “แห”

และผหู้ ญิงกับบทบาทการทาหน้าทีแ่ ปรรปู ผลผลติ ท่ีหาได้ทั้งเพอื่ เปน็ อาหาร

ในครัวเรือนและขาย

รายงานสรปุ สาหรบั ผบู้ ริหาร ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบาย และพรุควนเคร็ง วิถคี นและปา่ | 21

รายการภาพประกอบ (ต่อ)

หน้า

ภาพที่

1.54 การวางไซดักปลาตามช่องทางนา้ ไหลในป่าพรุควนเครง็ และปลาไหลที่หาได้ 207

เป็นมื้ออาหาร

1.55 เคยปลา หรือกะปทิ ่ีทาจากปลาท้งั ตวั ใช้ปรุงอาหารได้หลากหลายเมนู 207

โดยเฉพาะอยา่ งยิ่ง แกงน้าเคย

1.56 การใช้ประโยชนพ์ นื้ ท่ีพรเุ ขตชุมชนทะเลนอ้ ยในการทาประมงดว้ ยเครื่องมอื 207

ประมงพ้ืนบ้านที่เปน็ ภมู ิปญั ญาของคนท้องถิน่ และการใช้พ้ืนท่พี รุในการ

เล้ียง “ควายนา้ ” ทีเ่ ปน็ เอกลักษณ์เฉพาะถิน่ ของชุมชนในพ้ืนท่ภี ูมิทัศน์พรุ

ควนเครง็

1.57 การใชป้ ระโยชนใ์ นดา้ นการท่องเที่ยวเชงิ นเิ วศโดยชุมชน ในพน้ื ท่ีทะเลนอ้ ย 208

ตาบลพนางตุง อาเภอควนขนุน จงั หวดั พัทลุง

1.58 การท่องเที่ยวเชิงนิเวศชุมชน ในแงก่ ารใช้ประโยชนใ์ นมิติทางวฒั นธรรม 208

ชมุ ชน (วิถชี ีวติ ของชุมชน)

1.59 บา้ นพกั แบบโฮมสเตย์ในชุมชนทะเลนอ้ ย ตาบลพนางตุง อาเภอควนขนุน 209

จงั หวดั พทั ลงุ การใชป้ ระโยชน์ทางอ้อมของชุมชนท่ีได้จากการจัดการ

ท่องเที่ยวเชงิ นเิ วศชมุ ชนในพื้นทภ่ี มู ทิ ัศน์พรคุ วนเครง็ ท

1.60 แผนทท่ี ่องเทย่ี ววิถชี ุมชนคนกับพร 210

22 | โครงการเสรมิ ศกั ยภาพการจัดการระบบนิเวศปา่ พรุเพื่อเพิม่ ความสามารถในการกักเกบ็ คารบ์ อน
และอนรุ ักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยัง่ ยืน

รายงานสรุปสาหรบั ผู้บริหาร ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และพรุควนเครง็ วิถีคนและปา่ | 23

ส่วนที่ 1

รายงานสรปุ สาหรบั ผูบ้ ริหาร

24 | โครงการเสรมิ ศกั ยภาพการจัดการระบบนิเวศปา่ พรุเพื่อเพิม่ ความสามารถในการกักเกบ็ คารบ์ อน
และอนรุ ักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยัง่ ยืน

รายงานสรปุ สาหรบั ผ้บู ริหาร ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และพรุควนเคร็ง วิถคี นและป่า | 25

คุ้มครองป่าพรคุ วนเคร็ง ฟน้ื ฟวู ถิ คี นเคร็ง

ภายใตโ้ ครงการการเสรมิ สร้างศักยภาพการจัดการระบบ นิเวศปา่ พรุ
เพอื่ เพ่ิมความสามารถในการกักเก็บคาร์บอนและอนุรกั ษ์ความ
หลากหลายทางชวี ภาพอย่างยง่ั ยนื

26 | โครงการเสรมิ ศกั ยภาพการจัดการระบบนิเวศปา่ พรุเพื่อเพิม่ ความสามารถในการกักเกบ็ คารบ์ อน
และอนรุ ักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยัง่ ยืน

การใช้เทคโนโลยีเพือ่ หลีกเล่ยี งการเสอ่ื มโทรมของปา่ พรแุ ละการฟ้ืนฟปู ่าพรุที่เสื่อมโทรม | 27

1

การเพิ่มศกั ยภาพการคุม้ ครองระบบนิเวศและการจดั การปา่ พรุ

ที่มคี ุณค่าต่อการอนุรกั ษ์สงู แบบบรู ณาการอย่างยั่งยนื

28 | โครงการเสรมิ ศักยภาพการจดั การระบบนิเวศปา่ พรุ เพอ่ื เพิม่ ความสามารถในการกกั เกบ็ คารบ์ อน
และอนรุ กั ษค์ วามหลากหลายทางชีวภาพอย่างย่ังยืน

รายงานสรปุ สาหรับผบู้ ริหาร ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และพรุควนเคร็ง วถิ ีคนและปา่ | 29

บทนา
การดารงชีวิตของผู้คนกว่า 2.4 พันล้านคนท่ัวโลกมีวิถีพ่ึงพิงอาศัยป่าท้ังโดยทางตรงและโดย

ทางอ้อม โดยที่ป่าเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติท่ีสร้างรายได้ทั้งในรูปแบบเงินสดและไม่ใช่เงินสดให้แก่
ชุมชนท้องถ่ิน อีกท้ังป่ายังเอ้ือประโยชน์อย่างหลากหลายแก่ชุมชนท้องถิ่นท้ังด้านเศรษฐกิจ สังคม
วัฒนธรรม จิตวิญญาณ และสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ผลผลิตและบริการท่ีหลากหลายจากป่ามีความสาคัญต่อ
การดารงชีวิตของคนในชนบทและช่วยบรรเทาความหิวโหยและความยากจน เช่นน้ีการจัดการป่าไม้จึง
ต้องคานึงถึงชวี ิตของผู้คน โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงการใหค้ วามสาคัญกับการมีสว่ นรว่ มของผู้มีส่วนไดส้ ว่ นเสียที่
เป็นคนในท้องถนิ่ ในการรว่ มตัดสนิ ใจและจัดการป่าอย่างยั่งยนื มุ่งเป้าผลลัพธใ์ นเชิงบวกท้ังในแง่การดารง
ชีพ การพัฒนาชนบท และการอนุรักษ์ป่า (FAO, 2018a) เหน็ ได้ว่า คุณค่าของปา่ ไม้ท่ีกล่าวมาข้างต้นคือ
ส่วนขยายความที่เป็นไปตามนิยามของป่าไม้ที่ องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO,
2016, อ้างถึงใน สวรินทร์ เบ็ญเด็มอะหลี, 2560, 611) ได้เคยให้นิยามป่าไม้ไว้อย่างน่าสนใจว่า ป่าไม้
ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ต้นไม้ แต่ป่าไม้ คือ แหล่งปัจจัยพื้นฐานการดารงชีวิต ความม่ันคงทางอาหารของ
ชุมชน ย่ิงกว่าน้ันในอนาคตป่าจะมีบทบาทสาคัญต่อการดารงอยู่และการปรับตัวของชุมชน เป็นทั้งแหล่ง
อาหาร พลังงาน และสร้างรายได้ น่ันคือป่าไม้ท่ัวโลกมีความเชื่อมโยงกับความเป็นอยู่ท่ีดีของชุมชน และ
สังคม

เช่นเดียวกับป่าพรุ คุณค่าของป่าพรุก็มิได้หมายถึงเพียงแค่พันธุ์ไม้ สัตว์ และแหล่งน้า ท่ีเป็น
องค์ประกอบของพื้นที่พรุ ทว่าป่าพรุหรือพ้ืนที่พรุคือปัจจัยท่ีสาคัญต่อการดารงชีพของคนท้ังในและนอก
ชุมชน ท่ีเอื้อประโยชน์ต่อการดารงชีวิตท้ังโดยทางตรงและทางอ้อม พ้ืนท่ีพรุสะท้อนถึงแหล่งความม่ันคง
ทางอาหารของชุมชน แหล่งรายได้ท่ีจะเป็นฐานการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน และโดยเฉพาะอย่างย่ิงป่าพรุ
คือแหล่งกักเก็บคาร์บอนท่ีสามารถกักเก็บคาร์บอนได้ในปริมาณสูง น่ันเท่ากับป่าพรุมีบทบาทที่สาคัญใน
การช่วยบรรเทาภาวะโลกร้อน ป่าพรุคือ “คาร์บอนซิงค์” (Carbon Sinks) หรืออ่างกักเก็บคาร์บอน ท่ีมี
ศักยภาพสูง ดังน้ันการรักษาป่าพรุไว้คือการรักษาแหล่งดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ (เจริญวิชญ์ หาญ
แก้ว, 2562) อีกท้ังป่าพรุยังเป็นแหล่งรองรับน้าจืดขนาดใหญ่ที่มีความสาคัญต่อการหมุนเวียนน้าและ
สารอาหารต่าง ๆ ในระบบนเิ วศ ซึง่ ส่งผลตอ่ การเจริญเติบโตของต้นไม้และการสะสมธาตุคารบ์ อนในมวล
ชีวภาพของต้นไม้ในปา่ (พงษ์ชัย ดารงโรจน์วัฒนา, พัทธ์ธีรา เพชรทองเกล้ียง และชุตาภา คุณสุข, 2561,
192)

ป่าพรุควนเคร็ง จึงเป็นพ้ืนที่พรุที่มีความสาคัญดังที่กล่าวมา ป่าพรุควนเคร็งในขอบเขตการ
ดาเนินงานของพ้ืนท่ีโครงการมีเนื้อที่ราว 86,942 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด คือ นครศรีธรรมราช
พัทลุง และสงขลา เป็นพื้นท่ีป่าท่ีมีศักยภาพท้ังในด้านการเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติซึ่งเป็นท่ีพึ่งพิง
ของชุมชนท่ีอยู่อาศัยรายรอบพื้นท่ีป่าพรุ โดยเป็นท้ังแหล่งอาหารจากพืชกินได้หลากหลายชนิด ยารักษา
โรคจากพืชสมนุ ไพร แหล่งน้าหวานจากธรรมชาติ เช่น น้าผ้งึ ทย่ี ังสามารถนาไปขายและสร้างรายได้ให้แก่
คนชุมชน หรือแม้กระทั่งเครื่องนุ่งห่ม ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ในการดารงชีพของคนในชุมชนท่ีเป็นผลิต
จากป่า และนามาแปรรูปเพ่ือใช้งานตอบสนองความต้องการในกิจกรรมต่าง ๆ ในชวี ติ ประจาวนั เชน่ พชื
กระจูด ท่ีสามารถนามาสานเปน็ กระสอบใส่เกลือ ข้าวสาร หรือสานเป็นเส่ือไว้ปูนอน ปูนั่ง รวมถึงสานใน
รูปแบบอื่น ๆ อีกหลากหลาย เช่น กระเป๋า หมวก ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีการใช้ประโยชน์ในการทาประมง

30 | โครงการเสริมศักยภาพการจดั การระบบนเิ วศป่าพรุ เพอ่ื เพิม่ ความสามารถในการกกั เกบ็ คารบ์ อน
และอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอยา่ งยั่งยนื

พ้ืนบ้านโดยเคร่ืองมือจับสัตว์น้าท่ีเป็นภูมิปัญญาของชุมชน เช่น ไซ แห เบ็ด และยอ อน่ึง ป่าพรุยังเป็น
ระบบนิเวศท่ีช่วยในการกักเก็บคาร์บอนจานวนมหาศาล ช่วยลดสภาวะโลกร้อนได้เป็นอย่างมาก (ศิริจิต
ทุ่งหวา้ และคณะ, 2544; อะแว มะแส และคณะ, 2546; สานกั งานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติ
และส่ิงแวดล้อม, 2551; เชิดศักด์ิ เก้ือรักษ์, 2562; เสาวคนธ์ รุ่งเรือง, 2550; นฤมล ขุนวีช่วย, 2558)
เหล่านี้คือคุณค่าจากป่าพรุท่ีกล่าวได้ว่า ป่าพรุ เป็นระบบนิเวศท่ีมีคุณค่าสูงควรแก่การอนุรักษ์และมีการ
จัดการท่ีมีการบูรณาการในทุกด้านท้ังผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ร่วมมือร่วมใจกัน วิธีการ และชุดความรู้แบบ
ผสมผสานท้ังความรู้จากภูมิปัญญาท้องถิ่นและความรู้สมัยใหม่ท้ังวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ ภายใต้
แนวคดิ หลกั ในการพฒั นาอยา่ งยั่งยืน

กล่าวได้ว่า การใช้ประโยชน์จากป่าพรุดังกล่าวถือเป็นวิถีชาวพรุในหลายพื้นท่ีท่ัวโลก ซ่ึงชุมชน
ท้องถิ่นมีรูปแบบการใช้ประโยชน์จากป่าพรุที่สอดคล้องไปตามวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ สาหรับใน
ประเทศไทยมีพื้นทพ่ี รุหลายแห่ง และมกี ารใชป้ ระโยชนใ์ นรปู แบบทไ่ี ม่แตกตา่ งกนั มากนัก กระจดู เปน็ พืช
ท่ีพบในป่าพรุหลายจังหวัด เช่น นราธิวาส ระยอง รวมถึงในพ้ืนท่ีภูมิทัศน์พรุควนเคร็ง ซึ่งเป็นป่าพรุที่มี
พ้ืนท่ีกว้างใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ รองจากป่าพรุโต๊ะแดงจังหวัดนราธิวาส ทั้งนี้พื้นท่ีภูมิทัศน์พรุ
ควนเครง็ ประกอบดว้ ยป่าพรุและชมุ ชนรายรอบพ้ืนที่ป่าพรุทม่ี ีอาณาบรเิ วณครอบคลุมพน้ื ท่ี 3 จงั หวัด น่ัน
คือ พัทลุง สงขลา และนครศรีธรรมราช มีวัฒนธรรมการดารงชีพท่ีคล้ายคลึงกันตามวิถีชุมชนในภาคใต้
ความสาคัญของพ้ืนท่ีภูมิทัศน์พรุควนเคร็งทั้งในแง่มุมของป่าพรุและวิถีชวี ิตของคนในชุมชนรายรอบพื้นที่
พรุควนเคร็งอนั ประกอบด้วยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ความหลากหลายทางชีวภาพของพื้นท่ีพรุควน
เคร็งท่ีเอ้ือประโยชน์ต่อการดารงชีพของคนในพ้ืนที่ อีกทั้งพื้นท่ีพรุยังนับเป็นพ้ืนที่ที่มีคุณค่าท้ังในระดับ
ชุมชนท้องถ่ิน ระดับประเทศ และระดับโลกจึงเป็นเหตุผลที่สาคัญที่ต้องหาแนวทางหรือกลไกในการเพ่ิม
ศักยภาพคุ้มครองระบบนิเวศและการจัดการป่าพรุที่มีคุณค่าต่อการอนุรักษ์สูงแบบบูรณาการอย่างยั่งยนื
เพอ่ื ปกป้องผืนปา่ และคุ้มครองวิถชี วี ติ ของคนพรคุ วนเคร็งใหอ้ ยู่ร่วมกนั อย่างสมดุลทั้งคนและป่าและส่งต่อ
คนรุ่นต่อไป

การเพม่ิ ศักยภาพการคุ้มครองระบบนเิ วศและการจัดการป่าพรุที่มีคณุ คา่ ต่อการอนุรักษส์ ูงแบบบูรณา
การอย่างยง่ั ยืน

การเพ่ิมศักยภาพการคุ้มครองระบบนิเวศและการจัดการป่าพรุท่ีมีคุณค่าต่อการอนุรักษ์สูงแบบ
บูรณาการอย่างยั่งยืน เป็นอีกเป้าหมายหน่ึงของโครงการเสริมศักยภาพการจัดการระบบนิเวศป่าพรุเพื่อ
เพิ่มความสามารถในการกักเก็บคาร์บอนและอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างย่ังยืน หรือ
ผลสัมฤทธิ์ท่ี 1 ใน 4 ผลสัมฤทธ์ิท่ีโครงการได้กาหนดไว้ ภายใต้การดาเนินงานของศูนย์วนศาสตร์ชุมชน
เพื่อคนและป่า คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกับสมาคมคนรักษ์ถ่ิน โดยการสนับสนุน
ของซ่ึงเป็นองค์กรชุมชนในพ้ืนที่ ท้ังน้ี โครงการนี้มีวัตถุประสงค์และแนวทางการทางานสอดคล้องกับ
แผนแม่บทบูรณาการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ พ.ศ. 2558-2564 ของประเทศไทย ในฐานะ
ภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ โดยส่งเสริมการจัดการพ้ืนที่พรุอย่างมีส่วนร่วมเพื่อ
บรรลุเป้าหมายด้านความหลากหลายทางชีวภาพ (Aichi Biodiversity Targets) โดยที่กิจกรรมภายใต้

รายงานสรปุ สาหรบั ผบู้ ริหาร ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบาย และพรุควนเคร็ง วิถีคนและปา่ | 31

โครงการจะนาไปส่กู ารพัฒนาและตดิ ตามดชั นีความสมบรู ณ์ของระบบนเิ วศในป่าพรุควนเคร็ง การ
นาเสนอต้นแบบแนวทางปฏิบัติต่างๆ ในการจัดการระบบนิเวศป่าพรุอย่างมีส่วนร่วมและมีประสิทธิภาพ
การรักษาแหล่งกักเก็บคาร์บอนและลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากพื้นท่ีพรุ การเสริมศักยภาพ
ของหน่วยงานในพื้นที่รับผิดชอบในการตรวจวัดการกักเก็บคาร์บอนและการปลดปล่ อยก๊าซเรือนกระจก
การจัดทาฐานข้อมูลระบบนิเวศป่าพรุ ในประเทศไทยและเกณฑ์การประเมินคุณค่าของบริการทางนิเวศ
ตลอดจนการพัฒนายทุ ธศาสตรร์ ะดบั ชาติเพอ่ื เป็นแนวทางการจดั การระบบนิเวศปา่ พรอุ ยา่ งย่ังยืน

การดาเนินงานภายใต้ผลสัมฤทธ์ิท่ี 1 เพิ่มศักยภาพในการคุ้มครองระบบนิเวศป่าพรุท่ีมีคุณค่า
การอนุรักษ์สูง และพัฒนาต้นแบบการใช้ประโยชน์จากป่าพรุอย่างย่ังยืนโดยสร้างการมีส่วนร่วมของทุก
ภาคส่วนทเ่ี กยี่ วขอ้ งโดยผลลพั ธ์โครงการในข้อนี้จะมงุ่ เนน้ เสรมิ ศักยภาพการคุ้มครองระบบนิเวศป่าพรุโดย
เชื่อมโยงระบบการจัดการป่าพรุท้ังในและนอกเขตพื้นที่อนุรักษ์ และมุ่งเน้นแนวทางการบริหารจัดการ
อย่างมีส่วนร่วมเพ่ือให้เกิดการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติในระบบนิเวศป่าพรุอย่างบูรณาการ
ผลลัพธ์นี้ยังครอบคลุม ถึงการเสริมศักยภาพของหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องในการติดตามการจัดการการใช้
ประโยชน์ที่ดิน การรักษาระดับน้าในป่าพรุ และการป้องกนั ไฟป่าในปา่ พรคุ วนเครง็ ประกอบด้วย

ผลผลิตท่ี 1.1 กลไกที่มีศักยภาพเหมาะสมต่อการอนุรักษ์ภูมิทัศน์พรุควนเคร็งจากกระบวนการ
วิเคราะหค์ วามเปน็ ไปได้

ผลผลิตท่ี 1.2 แผนการจดั การพรอุ ยา่ งมีส่วนรว่ มในพนื้ ท่ีภมู ิทัศน์ควนเคร็ง
ผลผลิตท่ี 1.3 แผนการใช้ทีด่ ินพื้นทต่ี าบลเคร็งท่สี อดคลอ้ งกับการแบง่ โซนใหม่
ผลผลิตที่ 1.4 การเพิ่มศักยภาพของผู้บริหาร เจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตาบลต่าง ๆ และ
ผู้นาท้องถิ่นในการลาดตระเวน การติดตามระดับน้า การป้องกันไฟและการบังคับใช้กฎหมายในพื้นท่ีพรุ
ควนเครง็ และเขตห้ามล่าสตั วป์ า่ ทะเลน้อย
ผลผลติ ที่ 1.5 เสริมความเขม้ แข็งการจัดการป่าชมุ ชนและโครงการสนับสนนุ แผนงาน
อนึง่ ผลการดาเนินงานเป็นไปตามแผนการดาเนนิ งานทั้ง 5 ผลผลิตได้ดาเนนิ บรรลตุ ามเปา้ หมาย
ท่ีกาหนดไว้ ภายใตก้ ารมสี ว่ นร่วมของทุกฝา่ ย โดยเฉพาะอย่างยง่ิ การมสี ว่ นร่วมของคนในชมุ ชนท่ีอยู่อาศัย
รายรอบพ้ืนท่ีภูมิทัศน์พรุควนเคร็ง ซึ่งถือเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียท่ีสาคัญท่ีอยู่ในเขตพื้นท่ี 3 จังหวัด คือ
จังหวัดนครศรีธรรมราช จงั หวดั พัทลงุ และจงั หวัดสงขลา ทัง้ น้ี การเพ่มิ ศักยภาพการคุ้มครองระบบนิเวศ
และการจดั การป่าพรุท่ีมีคุณคา่ ต่อการอนุรักษ์สงู แบบบูรณาการอยา่ งย่ังยืนท่ีได้จากการปฏิบตั ิการอย่างมี
ส่วนร่วมและได้แนวทางที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของพ้ืนที่ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และ
ระบบนเิ วศของพื้นท่พี รคุ วนเคร็ง กล่าวคอื
การมีกลไกหรือเคร่ืองมือท่ีมีศักยภาพเหมาะสมต่อการอนุรักษ์ภูมิทัศน์พรุควนเคร็ง ท้ังนี้ คาว่า
“กลไก” คือ ระบบหรือองค์การท่ีมีการทางานร่วมกันเพื่อให้บรรลตุ ามเปา้ หมาย นั่นหมายความว่าการท่ี
พื้นทีภ่ มู ิทศั น์พรุควนเคร็งมรี ะบบหรือองค์การท่ีมีการรวมตัวกันของบคุ คลเพื่อทางานร่วมกันขับเคลื่อนให้
บรรลุเป้าหมาย คือ “การเพ่ิมศักยภาพการคุ้มครองระบบนิเวศและการจัดการป่าพรุที่มีคุณค่าต่อการ
อนุรักษ์สูงแบบบูรณาการอย่างย่ังยืน” โดยผลการศึกษาพบว่า กลไกที่เหมาะสมในการนามาบริหาร
จัดการพรุควนเคร็งอย่างมีส่วนร่วมต้องสามารถเช่ือมโยงประเด็นการจัดการความรู้และการพัฒนาอาชีพ
คนในชุมชนท้องถ่ินเข้าด้วยกัน เพื่อสนับสนุนการจูงใจชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมและเสริมสรา้ งสมดุลในการ
พัฒนาพื้นท่ีอย่างยั่งยืนท้ังด้านเศรษฐกิจ สังคม และส่ิงแวดล้อม โดยการใช้กลไกการทางานร่วมกันใน

32 | โครงการเสรมิ ศักยภาพการจัดการระบบนเิ วศปา่ พรุ เพอื่ เพมิ่ ความสามารถในการกกั เกบ็ คารบ์ อน
และอนรุ ักษค์ วามหลากหลายทางชวี ภาพอยา่ งยั่งยนื

รูปแบบคณะทางานต้นแบบท่ีเป็นการขับเคล่ือนการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพของชุมชน น่ันคือ
คณะกรรมการพัฒนาอาชีพเพ่ือยกระดับเศรษฐกิจสีเขียวชุมชนบ้านไสขนุนบนฐานการจัดการการความรู้
โดยใชช้ มุ ชนนารอ่ ง คอื ชุมชนบ้านไสขนนุ หมู่ท่ี 11 ตาบลไสขนนุ อาเภอชะอวด จงั หวดั นครศรธี รรมราช
ทัง้ น้ี คณะกรรมการมบี ทบาทหน้าท่ีสาคัญคือ ประการแรก กาหนดกติกาชมุ ชนและเกณฑก์ ารกาหนดเขต
พื้นท่ีในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรร่วมกัน ประการที่สอง พัฒนาศักยภาพของคนในชุมชนเพื่อการ
อนุรักษ์และการใช้ทรัพยากรอย่างชาญฉลาด ประการที่สาม จัดตั้งกองทุนพัฒนาอาชีพเพ่ือยกระดับ
เศรษฐกิจสีเขียวชุมชนและกิจกรรมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม และประการท่ีสี่
ประสานงานกับองคก์ รร่วมในพนื้ ทเ่ี พือ่ เสริมสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจสเี ขยี วภายในชุมชน

ภาพที่ 1.1 ข้อเสนอกลไกการบริหารจัดการในระดับภูมิทัศน์ที่สอดคล้องตามกับแผนยุทธศาสตร์การจัดการพรุอย่างมี
ส่วนรว่ มในพนื้ ท่ภี ูมทิ ัศน์พรคุ วนเคร็งการใชป้ ระเด็นเศรษฐกิจสีเขียวเป็นแกนกลางเชอ่ื มโยงให้การบริหารจดั การพื้นที่พรุ
ควนเครง็ มปี ระสิทธิภาพและมีความย่งั ยนื
ทมี่ า: เชิดศกั ด์ิ เกื้อรักษ์ (2563)

แผนการจัดการพรุอย่างมีส่วนร่วมในพื้นที่ภูมิทัศน์ควนเคร็ง ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์หลักท่ี
ใช้ในการขับเคลื่อนการจัดการพ้ืนที่พรุควนเคร็ง ได้แก่ ยุทธศาสตร์ท่ี 1 การจัดการไฟป่าและคาร์บอน
ประกอบด้วย 2 จุดมุ่งหมาย 10 กลยุทธ์ ยุทธศาสตร์ที่ 2 การบริหารจัดการน้าบริเวณพรุควนเคร็ง
ประกอบด้วย 3 จุดมุ่งหมาย 7 กลยุทธ์ ยุทธศาสตร์ที่ 3 การฟ้ืนฟูป่าและระบบนิเวศป่าพรุควนเคร็ง
ประกอบด้วย 3 จุดมุ่งหมาย 8 กลยุทธ์ ยุทธศาสตร์ท่ี 4 การสร้างจิตสานึก ความรู้ และความเข้าใจใน
ระบบนิเวศป่าพรุ ประกอบด้วย 1 จุดมุ่งหมาย 3 กลยุทธ์ ยุทธศาสตร์ท่ี 5 การคุ้มครอง รักษามาตรฐาน
การดารงชพี และคุณภาพชวี ิตของประชาชน ประกอบดว้ ย 1 จดุ มงุ่ หมาย 2 กลยทุ ธ์ ยทุ ธศาสตร์ที่ 6 แผน

รายงานสรปุ สาหรับผบู้ ริหาร ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรุควนเคร็ง วถิ คี นและป่า | 33

น โ ย บ า ย แ ล ะ ก า ร ป ฏิ บั ติ ท่ี ส อ ด ค ล้ อ ง กั บ ร ะ เ บี ย บ แ ล ะ ข้ อ ก ฎ ห ม า ย ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย
1 จดุ มุง่ หมาย 3 กลยุทธ์ โดยโครงการตามยุทธศาสตร์ต่าง ๆ ดงั กล่าวมที ัง้ สน้ิ 121 โครงการ จาแนกตาม
ระยะการดาเนินงานในระยะเร่งด่วน จานวน 35 โครงการ ระยะปานกลาง จานวน 52 โครงการ และ
ระยะยาว (ระยะต่อเนื่อง) จานวน 35 โครงการ เพ่ือเป็นแนวทางในการดาเนินตามแผนยุทธศาสตร์ภูมิ
ทัศนป์ า่ พรุควนเครง็ ระดับจังหวัด และระดบั ชาติ ต่อไป

แผนการใช้ที่ดินพ้ืนที่ตาบลเคร็งท่ีสอดคล้องกับการแบ่งโซนใหม่ ซ่ึงเป็นกลไกสาคัญอีกประการ
หน่ึงในการบริหารจัดการพ้ืนที่ภูมิทัศน์พรุควนเคร็ง โดยผลจากการปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วมในการวาง
แผนการใช้ประโยชน์ท่ีดินอย่างเมาะสมในตาบลเคร็งเป็นพ้ืนที่ต้นแบบนาร่องน้ันมีพื้นที่ 177.33 ตาราง
กิโลเมตร หรือ 110,830.62 ไร่ โดยใช้กระบวนการวิเคราะห์ตามลาดับช้ัน (Analytic Hierarchy
Process) พัฒนาเกณฑ์จากเกณฑ์ช้ีวัดเพ่ือการประเมินสถานภาพ ลุ่มน้า (Criteria for Critical
Determination in the Watershed)” ประกอบด้วย 6 เกณฑ์หลัก ได้แก่ ข้อมูลจานวนประชากร การ
ใช้ประโยชน์ทด่ี นิ ในปจั จุบนั (พ.ศ. 2561) กฎหมายควบคมุ ปรมิ าณน้าใตด้ นิ สภาพอากาศ และปญั หาดิน
ภายใต้แนวคิด “ท่ีดินเป็นทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจากัด บนท่ามกลางความต้องการการใช้ประโยชน์
กิจกรรมบนที่ดินที่มีอยู่อย่างไม่จากัด” และเกณฑ์ช้ีวัดเพ่ือการประเมินสถานภาพลุ่มน้า (Criteria for
Critical Determination in the Watershed)” และวิเคราะห์ด้วยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ผล
การศกึ ษาพบว่า แผนการใชป้ ระโยชน์ท่ีดนิ อย่างเหมาะสมในตาบลเคร็ง จาแนกเป็นพืน้ ท่ีไดต้ ามศักยภาพ
การใชป้ ระโยชน์พ้ืนที่ 5 ประเภท ไดแ้ ก่ พื้นท่เี ออื้ ต่อการใช้ประโยชน์อยา่ งยงิ่ พ้นื ทีเ่ อือ้ ต่อการใชป้ ระโยชน์
มาก พื้นที่เอ้ือต่อการใช้ประโยชน์ปานกลาง พื้นท่ีไม่เอื้อต่อการใช้ประโยชน์ พ้ืนท่ีไม่เอื้อต่อการใช้
ประโยชน์อย่างมาก ทั้งนี้ สภาพพ้ืนท่ีในตาบลเคร็งส่วนใหญ่จะไม่เอื้อต่อการใช้ประโยชน์ก็ตาม โดยจาก
ตัวเลขรวมของสภาพพื้นท่ีท่ีไม่เอ้ือต่อการใช้ประโยชน์และสภาพพื้นที่ที่ไม่เอ้ือต่อการใช้ประโยชน์อย่าง
มากที่มากกว่าครึ่งหนึ่งของพ้ืนที่ตาบลเคร็ง โดยคิดเป็นร้อยละ 51.88 ซ่ึงหากรวมพื้นท่ีที่มีสภาพเอื้อต่อ
การใช้ประโยชน์ปานกลางด้วย ซึ่งมีพื้นที่รวมร้อยละ 59.78 ของพ้ืนที่ตาบลเคร็ง ยิ่งเป็นการย้าชัดว่า
พื้นที่ไม่เหมาะกับการทาเกษตรกรรมเพื่อขยายสู่พ้ืนที่การปลูกพืชเศรษฐกิจเชิงเดียว ทว่า พ้ืนท่ีในตาบล
พรุควนเคร็งเหมาะแก่การปลูกพืชเกษตรกรรมแบบผสมผสานตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง และการใช้
ประโยชน์จากพ้นื ทีป่ ่าพรุ

การเพม่ิ ศกั ยภาพของผู้บรหิ าร เจา้ หนา้ ที่องคก์ ารบริหารส่วนตาบลตา่ ง ๆ และผูน้ าทอ้ งถน่ิ ในการ
ลาดตระเวน การติดตามระดับน้า การป้องกันไฟและการบังคับใช้กฎหมายในพื้นท่ีพรุควนเคร็งและเขต
ห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย ในการดาเนินการตามเป้าหมายน้ี โครงการได้จัดให้มีกิจกรรมส่งเสรมิ ความรใู้ น
ด้านต่าง ๆ ผ่านกระบวนการส่ือสารในหลากหลายรูปแบบ เพ่ือสร้างการเรียนรู้ร่วมกันในประเด็นสาคัญ
เพื่อให้การดาเนินงานของโครงการตอบโจทย์ตัวชี้วัดท่ีเป็นการลดการเกิดไฟป่าในพ้ืนท่ีพรุควนเคร็ง เช่น
การส่งเสริมความรู้ด้านไฟป่าและหมอกควันในรูปแบบต่าง ๆ ท้ังการเสวนา การอบรม การประชุมเชิง
ปฏิบัติการ โดยมุ่งเน้นสาระสาคัญ “เรียนรู้และเข้าใจไฟในพรุเคร็ง” และ“การจัดการไฟป่าพรุควนเคร็ง
แบบบูรณาการ” รวมถึงการกาหนดให้มี“วันรณรงค์ให้ปลอดควันพิษจากไฟป่า” ซ่ึงเป็นกลยุทธ์การใช้
วาทกรรมองค์การ (Organizational Discourse) เพ่ือสร้างจิตสานึกและการมีส่วนร่วมป้องกันและ
แกป้ ัญหาไฟปา่

34 | โครงการเสรมิ ศักยภาพการจดั การระบบนิเวศป่าพรุ เพอ่ื เพิม่ ความสามารถในการกกั เกบ็ คารบ์ อน
และอนรุ ักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยง่ั ยืน

การเสริมความเข้มแข็งการจัดการป่าชุมชนและโครงการสนับสนุนแผนงาน เป็นอีกผลผลิตท่ี
โครงการมีการดาเนินการให้ชุมชนมีการจัดการพ้ืนท่ีป่าชุมชน กาหนดแผนและโครงการเพื่อดาเนิน
กจิ กรรมตา่ ง ๆ ทีเ่ กดิ จากการทางานรว่ มกนั ท้งั น้ี การมี “ปา่ ชมุ ชน” เป็นกลไกสาคัญในการจดั การพื้นท่ี
ภูมิทัศน์พรุควนเคร็งท่ีเอ้ือประโยชน์ท้ังต่อพื้นที่ป่าพรุและการดารงชีพของคนในชุมชน และคาว่า “ป่า
ชมุ ชน” ทีไ่ ด้จากบทเรยี นภายใต้การดาเนินการในผลสัมฤทธิ์ที่ 1 น้ีคือการชใ้ี หเ้ หน็ ปัญหาของกฎหมายใน
ประเทศไทยที่ยังมีปัญหาในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กฎหมายป่าชุมชนยังไม่เป็นที่ยอมรับของ
ชมุ ชน ยิง่ กวา่ นน้ั กฎหมายได้ทาลายพลงั การมีส่วนร่วมและความเปน็ ปา่ ชุมชนที่มีอยู่เดมิ ถึงกระนั้นก็ตาม
บทเรียนป่าชุมชนช้ีให้เห็นว่า “พลังความร่วมมือ” อย่างจริงจัง และความจริงใจของทุกฝ่าย ย่อมทลาย
กาแพงกฎหมายท่ีเป็นอุปสรรคได้ ดังกรณีปา่ ชมุ ชนบ้านไสขนุน อาเภอชะอวด จงั หวัดนครศรีธรรมราช ที่
แม้ส้ินสภาพการเป็นป่าชุมชนด้วยเพราะกับดักกฎหมาย พระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 ทว่า พลัง
ความร่วมมือของทุกฝา่ ยสามารถหาทางออกฟื้นคืนสภาพ “ป่าชุมชนบ้านไสขนุน” ขึ้นมาได้ โดยแนวทาง
อ่ืนที่เอื้อหรือเพียงแค่การใช้วลี “พื้นที่ผ่อนปรน” สู่การปลดปล่อยพันธการให้ชุมชนได้ใช้ประโยชน์และ
ดาเนินกิจกรรมในป่าของชุมชนได้ต่อไป และที่สาคัญชวนขบคิดน่ันคือ เหรียญสองด้านของคาว่า “วาท
กรรม” การใช้วาทกรรม เป็นเคร่ืองมือในการจัดการได้สองแง่มุม ท้ังเพื่อการพัฒนาอย่างแท้จริงและการ
เป็นเพียงวาทกรรมการพัฒนาที่ไม่ได้ก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างแท้จริง เฉกเช่น วาทกรรมป่าชุมชน จะใช่
การมุ่งสร้างการมีส่วนร่วมในการจัดการป่าร่วมกันโดยให้ชุมชนมีบทบาทอย่างแท้จริงหรือไม่น้ันอยู่ท่ีผล
ในทางปฏบิ ัติ

บทสรุป
การเพิ่มศักยภาพการจัดการระบบนิเวศป่าพรุเพ่ือเพิ่มความสามารถในการกักเก็บคาร์บอนและ

อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนตามเป้าหมายนั้นไม่เพียงแต่ใหค้ วามสาคัญกับพ้ืนที่ป่าพรุ
เพยี งด้านเดียว ทวา่ การใหค้ วามสาคัญกับวิถชี วี ิตของคนในชุมชนที่ยังคงมีอีกหลายชุมชนหรือกล่าวได้ว่า
มีชมุ ชนและผู้คนอีกจานวนมากทวั่ โลก รวมถงึ ประเทศไทยอันหมายถึงชุมชนในพ้ืนท่ภี ูมิทัศน์พรคุ วนเคร็ง
ท้ังผู้คนในชุมชนที่อาศัยอยู่รายรอบพื้นที่แหล่งทรัพยากรธรรมชาติ และผู้คนในสังคมที่อยู่ห่างไกลออกไป
ลว้ นยังต้องพง่ึ พิงอาศยั ทรพั ยากรธรรมชาตทิ ั้งโดยตรงและโดยอ้อม สอดคล้องตามหลักปรชั ญาหนา้ ท่ีนิยม
รวมถึงคากล่าวของหัวหน้าเผ่าอินเดยี นแดงแห่งซแี อตเต้ลิ ซ่ึงล้วนเช่ือว่าทกุ สรรพส่งิ เช่ือมโยงกัน มนุษย์มี
ฐานะเป็นสว่ นหนึง่ ของธรรมชาติ (Callicott et al.,1999, 23-24; วันทนา ศิวะ, 2553, 11, อ้างถึงใน สว
รินทร์ เบญ็ เดม็ อะหลี, 2558, 28) เช่นเดยี วกบั การดาเนินโครงการปา่ พรุควนเครง็ ที่ให้ความสาคัญกับการ
พัฒนาศักยภาพระบบนิเวศป่าพรุควนเคร็งท่ีมุ่งฟื้นฟูระบบนิเวศป่าพรุให้ฟื้นคืนกลับสู่ความอุดมสมบู รณ์
มีความหลากหลายทางชีวภาพ ซ่ึงผลแห่งการฟื้นฟูป่าพรุให้คืนความอุดมสมบูรณ์น้ี ในท้ายที่สุดแล้วก็คือ
การรักษาแหล่งทรัพยากรธรรมชาติอันเป็นท่ีพ่ึงพิงของคนในชุมชนและสังคม และการที่จะรักษาและ
ฟน้ื ฟูปา่ พรใุ ห้คืนความอดุ มสมบูรณ์มาได้นัน้ ต้องอาศยั ความร่วมมือของทุกฝ่ายท่ีมีบทบาทเกีย่ วข้องในทุก
องค์กร และโดยเฉพาะอย่างย่ิงการได้รับความร่วมมือจากคนในชุมชนคือพลังการมีส่วนร่วมท่ีจะเป็น
เกราะคุ้มครองปกป้องผนื ป่าพรุทรัพยากรอันล้าค่าของชมุ ชน สังคม และโลก ดังนั้น การดาเนินการจงึ ให้
ความสาคัญทั้งในแง่การพัฒนาตัวบุคคลในบทบาทต่าง ๆ ด้วยการส่งเสริมความรู้ความสามารถ และ
รวมถึงความรูเ้ พ่อื การพฒั นาอาชีพที่เปน็ การสร้างคุณภาพชีวติ ท่ีดแี ก่คนในชมุ ชน

รายงานสรปุ สาหรบั ผ้บู ริหาร ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และพรคุ วนเคร็ง วิถคี นและป่า | 35

ประการแรก การดาเนินการด้านการพัฒนามนุษย์ หรือการพัฒนาส่งเสริมศักยภาพของคนท่ี
เก่ียวข้องหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียท่ีเกี่ยวข้องกับพื้นที่ในบทบาทต่าง ๆ และในทุกระดับ ทั้งเจ้าหน้าที่
หน่วยงานภาครฐั ทม่ี ีบทบาทโดยตรงในการดูแล ปอ้ งกัน เพอื่ การอนุรักษป์ า่ พรุ หนว่ ยงานภาครัฐในชมุ ชน
ที่เช่ือมโยง เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โรงเรียน องค์กรชุมชน ซึ่งมีบทบาทในการมีส่วนร่วม
สนบั สนนุ และการจดั การร่วมกนั คนในชุมชนท้งั ผู้นา ชาวบา้ น เด็กและเยาวชน

ประการที่สอง การดาเนินการในด้านกลยุทธ์หรือวิธีการในการจัดการพื้นท่ีพรุควนเคร็งแบบ
บูรณาการทัง้ มิติทางเศรษฐกจิ สงั คม และสิ่งแวดล้อม โดยมงุ่ เน้นการมสี ว่ นรว่ มจากทุกฝ่าย และแนวทาง
ท่ีสอดคล้องกับวิถีชีวิตและสภาพพ้ืนที่ เช่น การจัดการความรู้ การจัดทาหลักสูตรท้องถ่ินเพ่ือการเรียนรู้
เกีย่ วกบั พื้นทีภ่ ูมิทศั นพ์ รุควนเคร็ง การจัดการปา่ ชมุ ชน

ประการท่ีสาม การส่ือสารและการสร้าง “สาร” และ “นักส่ือสาร” เป็นเคร่ืองมือในการจัดการ
ในดา้ นต่าง ๆ โดยนกั สอ่ื สารทสี่ าคญั คือ การสรา้ งนกั สือ่ สารที่เป็นคนในชุมชนและผ้ทู มี่ ีบทบาทการทางาน
ในพื้นที่พรุควนเคร็ง

ประการท่ีส่ี การจัดการโดยคานึงถึงความย่ังยืน โดยการให้ความสาคัญกับการส่งต่อความรู้
ความเข้าใจ และการตระหนกั ถึงคณุ ค่าของปา่ พรุ สกู่ ารเรียนรู้ของกลุ่มคนรนุ่ ใหม่ท้ังในชมุ ชนและสงั คม

อย่างไรก็ตาม การดาเนินโครงการภายใต้โครงการย่อยหรือท่ีเรียกว่าผลผลิตต่าง ๆ ภายใต้
ผลสัมฤทธิ์ท่ี 1 การเพ่ิมศักยภาพในการคุ้มครองระบบนิเวศป่าพรุที่มีคุณค่าอนุรักษ์สูงและพัฒนาต้นแบบ
การใช้ประโยชน์จากป่าพรุอย่างย่ังยืนโดยสร้างการมีสว่ นร่วมของทุกภาคสว่ นท่ีเก่ียวข้อง ที่ได้ดาเนินการ
ในการหากลไกที่มีศักยภาพเหมาะสมต่อการอนุรักษ์ภูมิทัศน์พรุควนเคร็ง การจัดทาแผนการจัดการพระ
อย่างมีส่วนร่วม การจัดทาแผนการใช้ประโยชน์ท่ีดินในตาบลเคร็ง การเพิ่มศักยภาพหรือความสามารถ
ของผู้บรหิ าร เจา้ หนา้ ทอ่ี งคก์ ารบริหารส่วนตาบลต่าง ๆ ผู้นาท้องถิน่ ในกานลาดตระเวน การตดิ ตามระดับ
น้า การปอ้ งกันไฟป่า และการบังคับการใช้กฎหมายในพ้ืนที่พรุควนเคร็งและเขตห้ามล่าสตั ว์ป่าทะเลน้อย
รวมถึงการเสริมความเข้มแข็งในการจัดการป่าชุมชน ตลอดจนโครงการสนับสนุนต่าง ๆ เช่น การทา
หลักสูตรท้องถ่ินที่เชื่อมโยงการเรียนการสอนจากห้องเรียนในโรงเรียนสหู่ ้องเรียนธรรมชาติ โดยมีผังมโน
ทัศน์หลักสูตรท้องถิ่นที่ครอบคลุมในทุกด้านเพ่ือให้มีการเรียนรู้ท้ังประวัติศาสตร์ชุมชนคนและพรุ
ความหมาย ความสาคัญของระบบนิเวศพรุควนเคร็ง วิถีชุมชนคนกับพรุและการใช้ประโยชน์จาก
ทรัพยากรในพื้นที่พรุควนเคร็ง รวมถึงการทาความเข้าใจกับสถานการณ์ปัญหา ภัยคุกคาม หรือปัจจัยท่ี
สง่ ผลกระทบต่อระบบนิเวศปา่ พรุท่ีอาจก่อให้เกิดการเปลย่ี นแปลงท้ังระบบนเิ วศพรุควนเคร็งและวิถีคนใน
ชมุ ชนทพ่ี ง่ึ พิงทรัพยากรจากป่าพรุมาเป็นระยะเวลาหลายร้อยปจี วบจนถึงปจั จบุ นั ซงึ่ ถือว่าคนในชมุ ชนยัง
มีการใช้ประโยชน์จากพ้ืนที่พรุอย่างเข้มข้น (ดูเน้ือหาหลักสูตรท้องถ่ินผ่านผังมโนทัศน์ของหลักสูตร
ท้องถนิ่ พรุควนเครง็ ในภาคผนวก ก)

การดาเนินการต่าง ๆ ของโครงการสอดคล้องตามคาหลกั ของผลสัมฤทธ์ิท่ี 1 ท่ีมุ่ง “พัฒนาคน”
โดยคาดหวังถึงความเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ทัศนคติ ความคิด ของบุคคลท่ีจะนาไปสู่สร้างการ
เปล่ียนแปลงในระดับชุมชนและสังคมต่อไป นอกจากนี้ การดาเนินการยังมุ่งสร้างสิ่งท่ีเป็น “ต้นแบบ”
เพื่อเป็นแนวทางในการนาไปสู่การปฏิบัติอย่างต่อเนื่องของทุกฝ่ายท่ีเก่ียวข้อง ไม่ว่าจะเป็นแผนการใช้
ประโยชนท์ ด่ี ิน ซ่งึ ผลการวเิ คราะห์ตา่ ง ๆ ทีป่ รากฏเปน็ ขอ้ มูลต้นแบบการศึกษาในพื้นทต่ี าบลเคร็ง จะเปน็
แนวทางในการจัดการที่ดินในตาบลเคร็งให้เกิดประโยชน์สูงสุดและสอดคล้องตามสภาพของพ้ืนท่ี ท้ังยัง

36 | โครงการเสรมิ ศักยภาพการจดั การระบบนเิ วศป่าพรุ เพอ่ื เพ่มิ ความสามารถในการกกั เกบ็ คารบ์ อน
และอนุรกั ษค์ วามหลากหลายทางชีวภาพอยา่ งย่ังยืน

เป็นต้นแบบในการขยายผลการศึกษาไปยังพื้นที่อ่ืน ๆ ซ่ึงแต่ละพื้นที่ย่อมมีสภาพพ้ืนที่ที่แตกต่างกันไป
เพยี งแต่ ผลจากการศึกษาและจัดทาแผนการใช้ประโยชน์ที่ดนิ ในตาบลเคร็งเปรียบเสมือนกระจกส่องทาง
และสะท้อนภาพผืนดินในพ้ืนท่ี ท้ังยังชี้ให้เห็นถึงความสาคัญของการใช้เทคโนโลยีท่ีช่วยการวิเคราะห์
ข้อมูลได้อย่างมีประสิทฺธิภาพ รวมถึงแผนการจัดการพรุ เหล่านื้ คือ “ต้นแบบ” ท่ีนับเป็นข้อมูลสาคัญท่ี
รอนาไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง อน่ึง การดาเนินงานยังให้ความสาคัญกับ “การมีส่วนร่วม” ในการ
จัดการทรัพยากรของชุมชน เช่น การมีส่วนร่วมในการจัดทาแผนการจัดการพรุในพื้นท่ีภูมิทัศน์พรุควน
เคร็ง การมีส่วนรว่ มในการจัดการปา่ ชมุ ชน นอกจากนีย้ งั ย้าใหเ้ ห็นว่า การมี “ปา่ ชมุ ชน” เป็นกลไกสาคัญ
ในการจัดการพ้ืนท่ภี ูมิทศั น์พรุควนเครง็ ที่เอื้อประโยชน์ทั้งต่อพื้นที่ป่าพรุและการดารงชีพของคนในชุมชน
และคาว่า “ป่าชุมชน” ท่ีได้จากบทเรียนภายใต้การดาเนินการในผลสัมฤทธิ์ท่ี 1 น้ีคือการช้ีให้เห็นปัญหา
ของกฎหมายในประเทศไทยที่ยังมีปัญหาในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กฎหมายป่าชุมชนยังไม่เป็นที่
ยอมรับของชุมชน ย่ิงกว่านั้น กฎหมายได้ทาลายพลังการมีส่วนร่วมและความเป็นป่าชมุ ชนท่ีมีอยู่เดิม ถึง
กระนน้ั กต็ าม บทเรียนปา่ ชุมชนช้ีใหเ้ ห็นว่า “พลังความร่วมมอื ” อยา่ งจรงิ จงั และความจริงใจของทุกฝ่าย
ย่อมทลายกาแพงกฎหมายที่เป็นอุปสรรคได้ ดังกรณีป่าชุมชนบ้านไสขนุน อาเภอชะอวด จังหวัด
นครศรีธรรมราช ที่แม้ส้ินสภาพการเป็นป่าชุมชนด้วยเพราะกับดักกฎหมาย พระราชบัญญัติป่าชุมชน
พ.ศ. 2562 ทว่า พลังความร่วมมือของทุกฝ่ายสามารถหาทางออกฟ้ืนคืนสภาพ “ป่าชุมชนบ้านไสขนุน”
ข้ึนมาได้ โดยแนวทางอ่ืนที่เอ้ือหรือเพียงแค่การการใช้วลี “พื้นท่ีผ่อนปรน” สู่การปลดปล่อยพันธการให้
ชุมชนได้ใช้ประโยชน์และดาเนินกิจกรรมในป่าของชุมชนได้ต่อไป และที่สาคัญชวนขบคิดนั่นคือ เหรียญ
สองด้านของคาว่า “วาทกรรม” การใช้วาทกรรม เป็นเครื่องมือในการจัดการได้สองแง่มุม ทั้งเพ่ือการ
พัฒนาอย่างแทจ้ ริงและการเป็นเพยี งวาทกรรมการพัฒนาทไ่ี ม่ได้กอ่ ให้เกิดการพฒั นาอยา่ งแท้จริง เฉกเชน่
วาทกรรมป่าชุมชน จะใช่การมุ่งสร้างการมีส่วนร่วมในการจัดการป่าร่วมกันโดยให้ชุมชนมีบทบาทอย่าง
แทจ้ รงิ หรือไม่น้นั อยูท่ ผี่ ลในทางปฏิบตั ิ

ภารกิจแรก การใช้เทคโนโลยีเพ่ือการบริหารจัดการน้าในพื้นที่ป่าพรุเพื่อฟ้ืนฟูระบบ
นิเวศป่าให้ป่าพรุเสื่อมโทรมเป็นป่าพรุสมบูรณ์ ซ่ึงเอ้ือประโยชน์ต่อวิถีชีวิตคนในชุมชน และภารกิจที่สอง
คือ การฟ้นื ฟูปา่ พรุเสื่อมโทรม ประการแรก การใชเ้ ทคโนโลยีเพือ่ การบริหารจัดการน้าในพื้นทป่ี า่ พรุ ซึง่ มี
การใชเ้ ครื่องมอื ซง่ึ เป็นเทคโนโลยที ั้งด้านฮาร์ดแวรแ์ ละซอฟทแ์ วรใ์ นวิเคราะห์ข้อมลู เบื้องตน้ เพ่ือการศึกษา
นิเวศวิทยาใน 6 พ้นื ท่ตี วั อย่าง คือ คอื 1) พรุกานไม้ไผ่ 2) พรุบริเวณหลังสถานีควบคุมไฟป่าทะเลน้อย 3)
ป่าพรุบริเวณ หมทู่ ่ี 11 บา้ นไสขนุน 4) ปา่ พรบุ ริเวณหนว่ ยพทิ ักษศ์ าลหลวงตน้ ไทร เขตหา้ มลา่ สตั ว์ป่าล้อ
5) ป่าพรุบริเวณมูลนิธิชัยพัฒนา และ 6) ป่าพรุบริเวณควนตีน บ้านควนป้อม โดยแต่ละพื้นที่มีลักษณะ
โครงสร้างป่าท่ีมีเรือนยอดปกคลุม (Crown cover) อยู่ในช่วง 20-80 เปอเซนต์ โครงสร้างด้านต้ังของป่า
(Plant profile) ส่วนใหญม่ ชี ้ันเรือนยอดเดียว แตม่ บี างพ้นื ท่ีมเี รือนยอด 2 ชัน้ โดยมพี ันธ์ไุ ม้เด่นคือ เสม็ด
ขาว (Melalueca leucadendra Linn. Var. minor) ซึ่งมีความสูงของต้นเสม็ดขาวอยู่ในช่วง 4-15
เมตรขึ้นอยู่กับสภาพพื้นท่ีป่าแต่ละแห่ง รวมถึงการศึกษาข้อมูลลักษณะและทิศทางการไหลของน้า และ
อาคารควบคุมน้าเข้า-ออกในพื้นท่ีแต่ละบริเวณ และในท้ายท่ีสุดจึงนาไปสู่การวิเคราะห์และสร้าง
แบบจาลองโดยเทคโนโลยีที่เรียกว่า MIKE ซ่ึงเป็นแบบจาลองคณิตศาสตร์ท่ีมีการพัฒนาฝังไว้ในชุดคาสั่ง
ผ่านการทางานของระบบคอมพิวเตอร์ เพ่ือช่วยคิดและวิเคราะห์ข้อมูลที่ยุ่งยากซับซ้อนให้ทาได้สะดวก
รวดเร็ว มีความเท่ียงตรง ปราศจากอคติ ท้ังน้ี แบบจาลอง MIKE ถูกคิดและพัฒนาข้ึนมาจากพ้ืนฐานของ

รายงานสรุปสาหรบั ผูบ้ รหิ าร ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรคุ วนเคร็ง วถิ ีคนและปา่ | 37

ระบบการบริหารจัดการน้าแห่งยุโรป โดยสถาบันบริหารจัดการน้าแห่งเดนมาร์ก ( the Danish
Hydraulic Institute: DHI)(Ma, Bian, & Sheng, 2015, 138) โดยผลการวิเคราะห์ของ MIKE SHE ทา
ให้ได้แบบจาลองหรือตัวแบบการจัดการน้าในแต่ละพื้นที่ และในแต่ละสถานการณ์ อันได้แก่ การจัดการ
น้าเพื่อป้องกันไฟป่า การจัดการน้าเพ่ือเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ และการจัดการน้าเพื่อการเก็บ
กักคาร์บอน โดยตัวแบบการจัดการน้าได้เสนอแนะให้มีการสร้างทานบควบคุมน้าในบริเวณต่าง ๆ ที่
เหมาะสมของแต่ละพ้ืนที่ ซึ่งผลการสอบเทียบแต่ละตัวแบบมีความใกล้เคียงกับการเก็บข้อมูลภาคสนาม
อย่างเดน่ ชดั และแสดงภาพปริมาณนา้ ท่ีเพม่ิ ขนึ้ ในระดบั ทเี่ หมาะสมในแต่ละสถานการณ์ กล่าวคอื

การจดั การน้าเพ่ือป้องกนั ไฟป่า ให้มกี ารประยกุ ต์ใชแ้ นวทางการจัดการน้าในปัจจุบัน โดยการทา
คันปิดล้อมพื้นท่ี พร้อมประตูระบายน้าบริเวณท่ีมีน้าเข้าและออกในพ้ืนท่ี และกาหนดให้มีการเปิดประตู
ระบายน้าในช่วงฤดูฝน โดยเปิดประตูระบายน้าในเดือนกันยายนและปิดประตูระบายน้าในช่วงเดือน
ธันวาคม โดยรักษาระดับน้าเหนอื ผิวพรุท่ี +0.30 เมตร โดยเม่ือระดับน้าลดต่ากวา่ +0.20 เมตร ให้มีการ
สูบนา้ เขา้ พื้นทใี่ หม้ นี า้ ในระดบั เก็บกกั +0.30 เมตร

การจัดการน้าเพื่อเพ่ิมความหลากหลายทางชีวภาพ ประยุกต์ใช้หลักการของการจัดการน้าใน
ปัจจุบันเช่นเดียวกับการจัดการน้าเพื่อป้องกันไฟป่า และใช้การทาคันดินปิดล้อมพื้นที่ พร้อมสร้างประตู
ควบคุมนา้ เข้า-ออกในพื้นท่ี ในช่วงฤดูฝนเป็นชว่ งท่ีเหมาะสมกับการระบายน้าและการเกบ็ กักนา้ โดยเปิด
ประตูระบายน้าในเดือนกันยายนเพื่อระบายน้าออกจากพื้นท่ี และเดือนธันวาคมให้ปิดประตูระบายน้า
เพื่อเก็บกักน้าเอาไว้ในพื้นที่ที่ระดับเหนือผิวพรุ +0.30 เมตร หากน้าเหนือผิวพรุลดต่ากว่า +0.10 เมตร
ให้มีการสูบนา้ เข้าเพอ่ื ให้มีระดบั น้าท่กี าหนดคอื +0.30 เมตรเหนอื ผวิ พรุ

การจัดการนา้ เพอ่ื การเก็บกักคาร์บอน ใชแ้ นวทางการจัดการนา้ ในปจั จบุ นั โดยให้มกี ารทาคันดิน
ปิดล้อมพ้ืนท่ีป่าพรุ สร้างประตูควบคุมน้าเข้า-ออกในพ้ืนท่ี ช่วงฤดูฝนเป็นช่วงที่เหมาะสมในการเปิดและ
ปิดประตูควบคุมน้าเพื่อระบายและเก็บกักน้าในพ้ืนที่ โดยในเดือนกันยายนให้เปิดประตูเพื่อระบายน้า
ออกจากพื้นท่ี และให้ปิดประตูระบายน้าในเดือนธันวาคมเพื่อกักเก็บน้าเอาไว้ที่ระดับน้า +0.30 เมตร
เหนือพื้นผิวพรุ หากระดับน้าเหนือผิวพรุลดลงเหลือ +0.10 เมตร ให้มีการสูบน้าเติมเข้าไปในพื้นที่ป่า
เพอ่ื ให้มีระดบั น้าเหนือพ้นื ผวิ พรุที่ +0.30 เมตร

ภารกจิ ทส่ี อง การฟื้นฟูระบบนเิ วศป่าพรุท่ีเสอ่ื มโทรมและถูกทาลายจากไฟป่า การดาเนินงาน
ในภารกิจนี้ใช้แนวทางสาคัญคือ 1) รูปแบบการฟ้ืนฟูระบบนิเวศป่าพรุโดยใช้ต้นแบบจากพ้ืนท่ีท่ีประสบ
ความสาเร็จในการฟ้ืนฟูป่าพรุนั่นคือ ป่าพรุโต๊ะแดง จังหวัดนราธิวาส นามาประยุกต์ใช้ในการฟื้นที่ป่าพรุ
ควนเคร็งเพ่ือปรับโครงสร้างของป่าในบริเวณท่ีเป็นป่าพรุเสื่อมโทรมและพื้นที่ที่ถูกทาลายจากไฟไหม้ป่า
ด้วยการปลูกพันธ์ุไม้ท้องถิ่นเสริมในพื้นที่เพ่ือเพิ่มความหลากหลายของพันธุ์ไม้ เช่น กะบุย สะเตียว หว้า
น้า กันเกรา แพ หมากแดง กรวย ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นสะเตียวซึ่งเป็นพันธุ์ไม้ท้องถ่ินในป่าพรุควน
เครง็ ทีส่ ัมพันธ์กับสัตว์นา้ น่ันคอื ปลาดุกลาพัน ซ่ึงเป็นสตั วน์ ้าท่ชี าวบ้านนยิ มบรโิ ภคและมีการแปรรูปเป็น
ปลาดุกร้า ซ่ึงสร้างรายได้เสริมแก่คนในชุมชน ท้ังน้ี การดาเนินการในภารกิจส่วนนี้ได้มีการสร้างเรือน
เพาะชาในพนื้ ทช่ี ุมชนเพ่อื เปน็ แหล่งสนับสนนุ พนั ธุ์ไม้ จานวน 4 แห่ง และการปลกู ดว้ ยวธิ ีการที่สอดคล้อง
กับสภาพพ้ืนท่ี โดยเฉพาะบางพ้ืนที่ท่ีเข้าถึงลาบากได้ใช้วิธีการปลูกแบบ Seed ball ซึ่งเป็นการบรรจุ
เมล็ดพันธ์ุไม้ไว้ในก้อนดิน แล้วปาก้อนเมล็ดพันธุ์เข้าไปในป่า 2) การส่งเสริมการปลูกไม้ยืนต้นในที่ดินทา
กิน เชน่ หน้าบ้าน หลงั ครัว ในสวน รมิ ร้วั และแนวขอบเขตแดนของท่ีดิน โดยท่แี ต่ละชมุ ชนเลือกพันธุ์ไม้

38 | โครงการเสริมศกั ยภาพการจัดการระบบนิเวศป่าพรุ เพอื่ เพมิ่ ความสามารถในการกกั เกบ็ คาร์บอน
และอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยนื

ท่ีเหมาะสม โครงการมีการสนับสนุนพันธุ์ไม้ ทั้งนี้ การดาเนินการดังกล่าวเป็นการลดการตัดไม้จากป่า
ธรรมชาติ และสรา้ งรายได้จากการปลูกต้นไม้มีมีค่าต่าง ๆ ท่เี คยเป็นพันธุ์ไม้หวงหา้ ม แตป่ ัจจบุ ันกฎหมาย
ได้อนญุ าตให้ปลกู ในทด่ี ินที่มีเอกสารสิทธิและตัดจาหน่ายได้

นอกจากนี้ การดาเนินกิจกรรมระหว่างการดาเนินการฟ้ืนฟูระบบนิเวศป่าพรุโดยการมีส่วนร่วม
ของชุมชน และยังสร้างรายได้เสริมแก่คนในชุมชนอันเกิดจากการจ้างงานในกิจกรรมที่เก่ียวข้องกับการ
ฟื้นฟูพ้ืนที่ป่าพรุ เช่น การปลูกพันธ์ุไม้ท้องถิ่น เป็นต้น อีกทั้งได้มีการติดตามอย่างต่อเน่ืองท้ังในด้านการ
ดาเนนิ กจิ กรรมตา่ ง ๆ ของเรือนเพาะชาทัง้ 4 แห่ง และการตดิ ตามอัตราการเจริญเติบโตและการรอดของ
พันธ์ุไม้ที่ปลูกในแต่ละพ้ืนที่ ซ่ึงพืชแต่ละชนิดเจริญเติบโตต่างกันในแต่ละแปลง ถึงกระน้ันก็ตาม ผลการ
ติดตามชี้ให้เห้นได้ชัดเจนว่า การปลูกพันธ์ุไม้ท้องถ่ินในพ้ืนที่ป่าพรุควนเคร็งนั้นมีอัตราการรอดสูง จึงเป็น
แนวทางทเ่ี หมาะสมในการฟน้ื ฟูปา่ พรทุ เี่ สื่อมโทรม

ภารกิจที่สาม การติดต้ังระบบการติดตามเพื่อตรวจวัดค่าปริมาณคาร์บอนในพื้นท่ีป่าพรุ การ
ดาเนินการในส่วนนี้คือตัวชี้วัดความสาเร็จของโครงการท่ีเป็นผลสืบเนื่องจากการดาเนินการในภารกิจที่
หน่ึงและสอง น่ันคือ เม่ือมีการจัดการนา้ ในพ้ืนท่ีป่าพรุที่เหมาะสมโดยมีการรกั ษาระดับน้าหล่อเลยี้ งพ้ืนท่ี
พรุ โดยเฉพาะอย่างยิง่ แนวทางการจัดการน้าเพื่อการเก็บกักคารบ์ อน รวมถึงการดาเนินการฟื้นฟูป่าพรุที่
เส่ือมโทรมโดยเพ่ิมความหลากหลายของพันธุ์ไม้ท้องถิ่น ท้ังนี้ ผลการดาเนินการในภารกิจนี้ช้ีให้เห็น
ศักยภาพการเก็บกักคาร์บอนของพ้ืนที่พรุควนเคร็งได้อย่างชัดเจน และย้าชัดถึงความสามารถในการเก็บ
กักคาร์บอนที่แตกต่างกันของป่าแต่ละประเภทในพื้นที่ภูมิทัศน์พรุควนเคร็ง นั่นคือ ป่าพรุดั้งเดิม ป่าพรุ
เส่ือมโทรมท่ีมักเรียกกันว่า ป่าเสม็ด และสวนปาล์มน้ามัน โดยท่ีข้อมูลมวลชีวภาพและปริมาณคาร์บอน
ในพืน้ ทป่ี า่ พรุด้ังเดิมสูงกว่าป่าพรเุ ส่ือมโทรมและสวนปาล์มนา้ มัน ดนิ ในพ้นื ที่ป่าพรุด้ังเดิมเก็บกักคาร์บอน
ได้สูงกว่าป่าพรุเสื่อมโทรม และยังบ่งชี้ให้เห็นว่าปาล์มน้ามันแม้เป็นพืช แต่มีปริมาณมวลชีวภาพต่า และ
สามารถกักเก็บคาร์บอนได้น้อย น่ันหมายความว่า ป่าพรุด้ังเดิม ซึ่งเป็นพ้ืนท่ีที่มีความหลากหลายทาง
ชีวภาพย่อมมีศักยภาพการเก็บกักคาร์บอนได้สูง จึงควรฟื้นฟูให้พื้นที่ภูมิทัศน์พรุควนเคร็งมีป่าพรุด้ังเดิม
เพ่ิมข้ึน ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องและเชื่อมโยงกับการวางแผนของโครงการที่ได้ดาเนินการในภารกิจท่ี
หน่ึงและสองที่กล่าวมาข้างต้น อนึ่ง ข้อมูลศักยภาพการเก็บกักคาร์บอนของป่าพรุดั้งเดิม ป่าพรุเส่ือม
โทรม และสวนปาลม์ น้ามนั ยงั มีความนา่ สนใจทีน่ า่ ขบคิดท่ีวา่ “ถ้าปา่ พรใุ นพื้นท่ีภูมทิ ัศน์พรุควนเคร็งค่อย
ๆ เปล่ียนสภาพเป็นป่าพรุเส่ือมโทรม และสวนปาล์มน้ามันมากข้ึนต่อเนื่อง ย่อมส่งผลกระทบต่อ
ส่ิงแวดล้อมของชุมชนและของโลก ดังวลีท่ีว่า เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาว” นอกจากน้ี การประเมิน
ภาพป่าและศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนในพ้ืนท่ีป่าพรุควนเคร็งและป่าอื่น ๆ โดยการรวมตัวเป็น
เครอื ข่าย จะเปน็ อกี แนวทางในการสร้างการรับรู้ข้อมูลปัญหา สภาพพื้นท่ี และตระหนักถึงคุณค่าท่ีจะก่อ
เกิดประโยชน์ทั้งต่อชุมชน สังคม และโลกมากข้ึน รวมถึงการนาข้อมูลคาร์บอนไปส่กู ารสร้างรายได้ให้แก่
คนในชุมชน เพื่อเป็นอีกแรงจูงใจในการรว่ มกนั ดแู ลปกป้องป่าพรคุ วนเครง็ ตอ่ ไป

รายงานสรุปสาหรับผ้บู ริหาร ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบาย และพรุควนเคร็ง วิถีคนและป่า | 39

2

การใชเ้ ทคโนโลยี

เพ่อื หลกี เลย่ี งความเสอื่ มโทรมของป่าพรแุ ละฟ้ืนฟปู ่าพรทุ ่เี สื่อมโทรม

40 | โครงการเสรมิ ศกั ยภาพการจัดการระบบนเิ วศป่าพรุเพื่อเพิ่มความสามารถในการกักเกบ็ คารบ์ อน
และอนุรกั ษ์ความหลากหลายทางชวี ภาพอย่างย่ังยืน

รายงานสรุปสาหรบั ผู้บริหาร ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรุควนเคร็ง วถิ คี นและป่า | 41

บทนา
เทคโนโลยีมีบทบาทสาคัญต่องานหลากหลายรูปแบบและสร้างความเปล่ียนแปลงการทางานไป

จากเดิม ช่วยอานวยความสะดวกและลดเวลาการทางานโดยคนลงไปได้มาก ข้อมูลจากสถาบันแห่ง
อนาคต (IFTF) ได้ทานายการเปลี่ยนแปลงท่ีจะตามมาในช่วงระหว่างปัจจุบันจนถึงปี ค.ศ. 2030 ซ่ึงจะมี
เทคโนโลยีทีก่ า้ วหนา้ มีบทบาทอย่างสูงต่อการเปลีย่ นแปลงโลก ไดแ้ ก่ 1) การมเี ครือขา่ ยของระบบเสมือน
จริง (Networked Reality) 2) ยานยนต์ท่ีเช่ือมต่อเข้าหากัน (connected mobility) โดยความสาคัญ
ของการรวมเข้าด้วยกัน (Networked Matter) คือ สามารถเช่ือมต่อในเครือข่ายที่เก่ียวข้อง โดยที่
ยานพาหนะในอนาคตจะกลายเป็นคอมพิวเตอร์เคล่ือนที่ได้ 3) การเปลี่ยนแปลงจากดิจิตอลซิตี้ (Digital
Cities) ไปส่เู ชนเทยี นซิตี้ (Sentient Cities) หรือเมืองทมี่ ีความรู้สึก 4) การมีตวั แทนหรอื ผ้ชู ่วยและระบบ
กฎเกณฑ์ขั้นตอนวิธีต่าง ๆ (Agents and Algorithms) 5) การมีโซเชียลไลฟ์ของหุ่นยนต์ (Robot with
Social Lives) โดยท่ีหุ่นยนต์จะกลายมาเป็นหุ้นส่วนในชีวิตของเรา มีการเพ่ิมทักษะและขยายขีด
ความสามารถในด้านต่าง ๆ หุ่นยนต์ซ่ึงจะแบ่งปันความรู้ที่ได้รับใหม่ไปยังเครือข่ายโซเซียลหุ่นยนต์
(social robot network) ไปยงั นวัตกรรม crowdsource (โชคชยั บณุ ยะกลัมพ, 2562)

ป่าไม้ เป็นมิติหน่ึงด้านการจัดการส่ิงแวดล้อมที่มีการนาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพ่ือแก้ปัญหาที่
มนษุ ยไ์ มอ่ าจทาได้อยา่ งต่อเนื่องหรอื หากทาไดก้ ็ล่าชา้ แต่การใชเ้ ทคโนโลยที าให้การจัดการป่า โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งการเฝ้าระวังการลักลอบตัดไม้หรือการล่าสัตว์ การเฝ้าระวังไฟป่า และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เป็นการ
ปกป้องผืนป่าเป็นไปอย่างมีประสทิ ธิภาพ ดังท่ี Sayer, J.A et al. (1997) ได้เคยกล่าวไว้อย่างนา่ สนใจวา่
เทคโนโลยีจะช่วยแก้ปัญหาที่ท้าทายในการจัดการป่าอย่างย่ังยืนในศตวรรษท่ี 21 และเทคโนโลยีทส่ี าคัญ
ในการจัดการป่าไม้อย่างย่ังยืนก็คือ “เทคโนโลยีท่ีส่งเสริมการสื่อสารท่ีดีระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและ
ช่วยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียส ามารถตัดสินใจได้ในทุกระดับต้ังแต่ระดับยีนไปจนถึงระดับระบบนิเวศ ”
ดังกล่าวนน้ั ชี้ให้เห็นไดช้ ัดวา่ การส่อื สารและการตัดสนิ ใจร่วมกันระหว่างผู้มีส่วนได้สว่ นเสยี ท่ีเกี่ยวข้องกับ
ผืนป่าน้ันมีความสาคัญอย่างย่ิงในการจัดการป่าอย่างย่ังยืน ทั้งยังอาจสะท้อนถึงความซับซ้อนของการ
ส่ือสารที่เช่ือมโยงไปยังการตัดสินใจที่สาคัญๆ ในการจัดการป่าร่วมกัน ดังนั้น เทคโนโลยจี ึงเป็นเคร่ืองมอื
ท่ีช่วยในการลดความซับซ้อน สร้างการเรียนรู้ร่วมกันผ่านสอื่ กลางใดสือ่ กลางหน่ึงท่ีปราศจากอคติ อันจะ
นาไปสกู่ ารตดั สินใจร่วมกันบนฐานความรแู้ ละความเข้าใจที่ตรงกันของทกุ ฝ่าย

สาหรับการจัดการป่าพรุควนเคร็ง มีการนาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการจัดการพื้นที่ป่าพรุใน
หลายด้าน ท้ังในด้านการวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินในพ้ืนท่ีตาบลเคร็ง ท่ีมีการนาอากาศยานไร้คนขบั
หรือท่ีเรียกว่า โดรน มาช่วยในการสารวจพื้นท่ีป่า ซ่ึงถือว่าเหมาะอย่างย่ิงกับการใชเ้ ทคโนโลยีดังกลา่ วมา
ใช้ในการสารวจพื้นท่ีพรุซึ่งการเข้าถึงในพ้ืนท่ีในบางบริเวณมีความลาบากและเสียเวลา ทั้งยังเป็นการลด
เวลาการทางาน และค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างมาก รวมถึงมีการนาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการป้องกันการ
เสื่อมโทรมของพ้ืนที่ป่าพรุและฟ้ืนฟุระบบนิเวศป่าพรุที่เสื่อมโทรม ที่ใช้เทคโนโลยีทั้งด้านเครื่องมือและ
อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เรียกว่า ฮาร์ดแวร์ และการใช้เทคโนโลยีการบริหารจัดการผ่านโปรแกรมหรือเรียกว่า
ซอฟแวร์ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น แอบพลิเคช่ัน การจัดทาระบบฐานข้อมูลท่ีสามารถเข้าถึงได้จากทุกท่ีทุก
เวลาแบบออนไลน์ รวมถึงการใช้โปรแกรมในรูปแบบแบบจาลอง ที่ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลที่
สลับซับซ้อนเพ่ือให้ได้ข้อมูลท่ีจะเป็นข้อเสนอแนวทางการแก้ปัญหาการจัดการน้าในพื้นท่ีพรุควนเคร็งท่ี
เรียกชุดโปรแกรมนี้ว่า “MIKE SHE” เห็นได้ว่า เครื่องมือท่ีเกิดจากการพัฒนาทางเทคโนโลยีเหล่าน้ีมี

42 | โครงการเสรมิ ศกั ยภาพการจดั การระบบนิเวศป่าพรุเพือ่ เพม่ิ ความสามารถในการกักเก็บคารบ์ อน
และอนุรกั ษค์ วามหลากหลายทางชีวภาพอย่างยงั่ ยนื

บทบาทในการช่วยให้ผู้ที่เก่ียวข้องได้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการจัดการพ้ืนท่ีพรุได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ เพ่ือป้องกันการเส่ือมโทรมของพ้ืนที่ป่าพรุท่ีสอดคล้องตามสภาพพื้นท่ีเอื้อประโยชน์ทั้งต่อ
ระบบนเิ วศปา่ พรุและชมุ ชน

การใชเ้ ทคโนโลยีเพ่ือหลกี เล่ียงความเส่อื มโทรมของป่าพรแุ ละฟน้ื ฟูป่าพรุท่เี ส่ือมโทรม
การดาเนินการภายใตโ้ ครงการฯ ให้ความสาคญั กับการนาเทคโนโลยเี ข้ามาใช้ในการจัดการป่าพรุ

ในด้านต่าง ๆ เพ่ือหาแนวทางในการป้องกันและหลีกเล่ียงการเสื่อมโทรมของป่าพรุและให้มีการฟ้ืนฟู
พ้ืนที่ป่าพรุที่เสื่อมโทรมน้ันอยู่ในเป้าหมายการดาเนินการภายใต้ผลสัมฤทธิ์ท่ี 2 ของโครงการ ซ่ึง
ประกอบด้วยการดาเนินการทมี่ ุ่งเป้าการทางานใหบ้ รรลุเป้าหมาย 3 ผลผลติ สาคญั คือ

ผลผลิตที่ 2.1 ดาเนินการทางอุทกวิทยาในพื้นท่ีนาร่องเพ่ือควบคุมการระบายน้าและป้องกันไฟป่า
โดยมีการสร้างแบบจาลองนาร่องและวางระบบการบริหารจัดการน้าในพื้นที่พรุควนเคร็ง ซึ่งมีตัวช้ีวัด
ตวั ชว้ี ัดท่ี 1 ป่าพรุควนเคร็งพืน้ ที่ 4,600 เฮกตาร์ (28,750 ไร่) มีระบบการจัดการน้าอย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวช้ีวัดที่ 2 พื้นที่พรุควนเคร็งอย่างน้อยร้อยละ 25 ของพ้ืนท่ีนาร่อง มีระดับน้าผิวดิน ไมต่ากว่า 20
เซนตเิ มตร (1,150 เฮกตาร์ หรือ 7,188 ไร่) และ ตัวชี้วดั ที่ 3 การปลดปลอ่ ยกา๊ ซเรือนกระจกในพื้นท่ีนา
ร่อง (พ้ืนที่ที่มีการบริหารจัดการน้า) 4,600 เฮกตาร์ (28,750 ไร่) ลดลงเหลือ 1.959 Mt CO2-eq จาก
2.793 Mt CO2-eq

ผลผลิตท่ี 2.2 การฟื้นฟูพันธุ์พืชท้องถ่ินในพื้นท่ีที่ถูกทาลายโดยพายุ และไฟป่าของตาบล
เคร็ง ตัวชี้วัดท่ี 4 การฟื้นฟูป่าพรุด้วยพันธุ์พืชท้องถ่ิน 300 เฮกตาร์ (1,875 ไร่) เพ่ือดูดซับคาร์บอน

129,000 t CO2-eq โดยอาจมีการเปลี่ยนแปลงจานวนพ้ืนท่ี เนื่องจากระยะเวลา ดาเนินโครงการไม่
สามารถทาให้ตัวชวี้ ัดน้ีสาเร็จได้ การเจริญเตบิ โตของพันธไุ์ ม้ตอ้ งใช้ระยะเวลานานมากกวา่ 20 ปี และจาก
การศึกษาพบว่าการปลูกฟื้นฟูในพื้นท่ีขนาดใหญ่จะมีความเสี่ยงของอัตราการรอดตายและการ
เจริญเตบิ โตของกล้าไมต้ ่า

ผลผลิตที่ 2.3 การติดต้ังระบบตรวจวัดปริมาณการกักเก็บคาร์บอน และการปลดปล่อยก๊าซ
เรอื นกระจกในพรุควนเคร็ง ซ่ึงมีตัวชี้วัด คอื ตัวชี้ที่ 3 และตัวช้ีวดั ท่ี 4

การดาเนินงานของโครงการท่ีมีการใช้เทคโนโลยีเพื่อหลีกเลี่ยงความเสื่อมโทรมของป่าพรุและ
ฟน้ื ฟปู ่าพรุที่เสื่อมโทรมนน้ั ประกอบด้วย 3 ภารกจิ หลัก นนั่ คือ

ภารกิจแรก การใช้เทคโนโลยีเพื่อการบริหารจัดการน้าในพ้ืนที่ป่าพรุเพ่ือฟื้นฟูระบบนิเวศป่า
ใหป้ ่าพรุเสอ่ื มโทรมเป็นปา่ พรสุ มบูรณ์ ซึง่ เออ้ื ประโยชน์ตอ่ วิถชี วี ิตคนในชมุ ชน และภารกจิ ท่ีสอง คอื การ
ฟื้นฟูป่าพรุเส่ือมโทรม ประการแรก การใช้เทคโนโลยีเพ่ือการบริหารจัดการน้าในพ้ืนท่ีป่าพรุ ซ่ึงมีการใช้
เครื่องมือซ่ึงเป็นเทคโนโลยีท้ังด้านฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ในวิเคราะห์ข้อมูลเบ้ืองต้นเพื่อการศึกษา
นเิ วศวทิ ยาใน 6 พนื้ ทต่ี ัวอยา่ ง คอื คือ 1) พรุกานไม้ไผ่ 2) พรบุ ริเวณหลังสถานีควบคุมไฟป่าทะเลน้อย 3)
ปา่ พรุบริเวณ หมทู่ ี่ 11 บ้านไสขนุน 4) ปา่ พรุบริเวณหน่วยพิทกั ษ์ศาลหลวงต้นไทร เขตห้ามล่าสตั ว์ป่าล้อ
5) ป่าพรุบริเวณมูลนิธิชัยพัฒนา และ 6) ป่าพรุบริเวณควนตีน บ้านควนป้อม โดยแต่ละพื้นท่ีมีลักษณะ

รายงานสรปุ สาหรับผ้บู ริหาร ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และพรุควนเคร็ง วิถีคนและป่า | 43

โครงสร้างป่าที่มีเรือนยอดปกคลุม (Crown cover) อยู่ในช่วง 20-80 เปอเซนต์ โครงสร้างด้านตั้งของป่า
(Plant profile) ส่วนใหญ่มชี ัน้ เรือนยอดเดียว แตม่ ีบางพ้ืนท่ีมีเรือนยอด 2 ช้นั โดยมพี นั ธไ์ุ ม้เดน่ คือ เสม็ด
ขาว (Melalueca leucadendra Linn. Var. minor) ซ่ึงมีความสูงของต้นเสม็ดขาวอยู่ในช่วง 4-15
เมตรข้ึนอยู่กับสภาพพ้ืนท่ีป่าแต่ละแห่ง รวมถึงการศึกษาข้อมูลลักษณะและทิศทางการไหลของน้า และ
อาคารควบคุมน้าเข้า-ออกในพ้ืนที่แต่ละบริเวณ และในท้ายที่สุดจึงนาไปสู่การวิเคราะห์และสร้าง
แบบจาลองโดยเทคโนโลยีท่ีเรียกว่า MIKE ซึ่งเป็นแบบจาลองคณิตศาสตร์ท่ีมีการพัฒนาฝังไว้ในชุดคาสั่ง
ผ่านการทางานของระบบคอมพิวเตอร์ เพ่ือช่วยคิดและวิเคราะห์ข้อมูลที่ยุ่งยากซับซ้อนให้ทาได้สะดวก
รวดเร็ว มีความเที่ยงตรง ปราศจากอคติ ทั้งน้ี แบบจาลอง MIKE ถูกคิดและพัฒนาขึ้นมาจากพ้ืนฐานของ
ระบบการบริหารจัดการน้าแห่งยุโรป โดยสถาบันบริหารจัดการน้าแห่งเดนมาร์ก ( the Danish
Hydraulic Institute: DHI)(Ma, Bian, & Sheng, 2015, 138) โดยผลการวิเคราะห์ของ MIKE SHE
ทาให้ได้แบบจาลองหรือตัวแบบการจัดการน้าในแต่ละพื้นท่ี และในแต่ละสถานการณ์ อันได้แก่ การ
จัดการน้าเพ่ือป้องกันไฟป่า การจัดการน้าเพื่อเพ่ิมความหลากหลายทางชีวภาพ และการจัดการน้าเพ่ือ
การเกบ็ กักคาร์บอน โดยตัวแบบการจดั การนา้ ได้เสนอแนะให้มีการสร้างทานบควบคุมน้าในบริเวณต่าง ๆ
ท่ีเหมาะสมของแตล่ ะพื้นที่ ซ่ึงผลการสอบเทยี บแตล่ ะตวั แบบมีความใกล้เคยี งกับการเก็บข้อมูลภาคสนาม
อย่างเดน่ ชดั และแสดงภาพปริมาณนา้ ทเี่ พิม่ ขน้ึ ในระดบั ที่เหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ กล่าวคือ

การจดั การนา้ เพ่ือป้องกนั ไฟปา่ ใหม้ กี ารประยุกต์ใชแ้ นวทางการจัดการน้าในปัจจุบัน โดยการทา
คันปิดล้อมพื้นที่ พร้อมประตูระบายน้าบริเวณที่มีน้าเข้าและออกในพื้นท่ี และกาหนดให้มีการเปิดประตู
ระบายน้าในช่วงฤดูฝน โดยเปิดประตูระบายน้าในเดือนกันยายนและปิดประตูระบายน้าในช่วงเดือน
ธันวาคม โดยรักษาระดับน้าเหนือผิวพรุท่ี +0.30 เมตร โดยเมื่อระดับน้าลดต่ากว่า +0.20 เมตร ให้มี
การสูบนา้ เข้าพนื้ ท่ใี ห้มีน้าในระดบั เก็บกกั +0.30 เมตร (ภาพที่ 1.2)

ภาพที่ 1.2 พนื้ ทนี่ ้าท่วมกอ่ นและหลงั มีโครงการการจดั การนา้ เพือ่ การปอ้ งกนั ไฟป่า
ทมี่ า: สมฤทัย ทะสะดวก (2563)

44 | โครงการเสรมิ ศักยภาพการจัดการระบบนิเวศป่าพรเุ พ่ือเพิ่มความสามารถในการกักเกบ็ คาร์บอน
และอนุรักษ์ความหลากหลายทางชวี ภาพอยา่ งยง่ั ยืน

การจัดการน้าเพ่ือเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ ประยุกต์ใช้หลักการของการจัดการน้าใน
ปัจจุบันเช่นเดียวกับการจัดการน้าเพ่ือป้องกันไฟป่า และใช้การทาคันดินปิดล้อมพ้ืนที่ พร้อมสร้างประตู
ควบคุมน้าเข้า-ออกในพื้นที่ ในชว่ งฤดูฝนเป็นช่วงที่เหมาะสมกับการระบายน้าและการเกบ็ กักนา้ โดยเปิด
ประตูระบายน้าในเดือนกันยายนเพื่อระบายน้าออกจากพ้ืนที่ และเดือนธันวาคมให้ปิดประตูระบายน้า
เพื่อเก็บกักน้าเอาไว้ในพื้นที่ที่ระดับเหนือผิวพรุ +0.30 เมตร หากน้าเหนือผิวพรุลดต่ากว่า +0.10 เมตร
ใหม้ ีการสบู นา้ เขา้ เพือ่ ให้มีระดับน้าทกี่ าหนดคอื +0.30 เมตรเหนอื ผิวพรุ (ภาพท่ี 1.3)

ภาพท่ี 1.3 พน้ื ที่นา้ ทว่ มกอ่ นและหลงั มีโครงการการจัดการนา้ เพ่อื เพ่ิมความหลากหลายทางงชีวภาพ
ทีม่ า: สมฤทัย ทะสะดวก (2563)

การจัดการน้าเพื่อการเก็บกักคาร์บอน ใชแ้ นวทางการจดั การนา้ ในปัจจุบนั โดยให้มกี ารทาคนั ดิน
ปิดล้อมพ้ืนที่ป่าพรุ สร้างประตูควบคุมน้าเข้า-ออกในพื้นท่ี ช่วงฤดูฝนเป็นช่วงท่ีเหมาะสมในการเปิดและ
ปิดประตูควบคุมน้าเพื่อระบายและเก็บกักน้าในพ้ืนที่ โดยในเดือนกันยายนให้เปิดประตูเพ่ือระบายน้า
ออกจากพ้ืนท่ี และให้ปิดประตูระบายน้าในเดือนธันวาคมเพื่อกักเก็บน้าเอาไว้ท่ีระดับน้า +0.30 เมตร
เหนือพ้ืนผิวพรุ หากระดับน้าเหนือผิวพรุลดลงเหลือ +0.10 เมตร ให้มีการสูบน้าเติมเข้าไปในพื้นที่ป่า
เพอื่ ใหม้ ีระดบั น้าเหนือพ้นื ผิวพรทุ ่ี +0.30 เมตร (ภาพท่ี 1.4)

ภาพที่ 1.4 พื้นทีน่ า้ ทว่ มก่อนและหลังมโี ครงการการจัดการน้าเพ่มิ ศกั ยภาพในการเก็บกกั คาร์บอน
ทมี่ า: สมฤทยั ทะสะดวก (2563)

รายงานสรุปสาหรบั ผู้บรหิ าร ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรุควนเคร็ง วิถีคนและป่า | 45

ภารกิจทส่ี อง การฟน้ื ฟูระบบนิเวศป่าพรุทเี่ ส่อื มโทรมและถูกทาลายจากไฟป่า การดาเนินงาน
ในภารกิจน้ีใช้ดาเนินการภายใตก้ รอบแนวคิดการฟื้นฟูระบบนิเวศพรุควนเคร็งท่ีมีการแบ่งระบบออกเป็น
สองประการหลัก คือ การจัดการเรียนเพาะชา และการจัดกิจกรรมร่วมกับชุมชน โดยมีกิจกรรมภายใต้
สองแนวทางดังกล่าวท่ีหลากหลาย ไดแ้ ก่ การปลกู เสรมิ พันธุ์ไม้ในพ้ืนที่ปา่ พรุดั้งเดิมลงในพ้ืนท่ีปา่ พรุเส่ือม
โทรมท้ังในพ้ืนท่ีป่าเสม็ดซ่ึงเป็นการปรับโครงสร้างป่าเสม็ดให้มีความหลากหลายของพันธ์ุไม้เพ่ือฟื้นคืน
กลับสู่การเป็นป่าพรุดั้งเดิมได้อีกครั้ง การปลูกฟ้ืนฟูพันธุ์ไม้ในพื้นท่ีบุกรุกผิดกฎหมาย และการปลูกไม้ยืน
ต้นในพ้ืนท่ีทากินโดยเฉพาะอย่างย่ิงการปลูกไม้เศรษฐกิจซึ่งเป็นการสร้างรายได้ให้แก่เจ้าของพ้ืนท่ีได้อีก
แนวทางหนงึ่ (ภาพที่ 1.5)

สาหรับการฟื้นฟูระบบนิเวศป่าพรุท่ีเส่ือมโทรมและถูกทาล ายจากไฟป่าท่ีดาเนินการภายใต้
ผลผลิตนี้ใช้แนวทางสาคัญ คือ 1) รูปแบบการฟ้ืนฟูระบบนิเวศป่าพรุโดยใช้ต้นแบบจากพื้นที่ที่ประสบ
ความสาเร็จในการฟ้ืนฟูป่าพรุนั่นคือ ป่าพรุโต๊ะแดง จังหวัดนราธิวาส นามาประยุกต์ใช้ในการฟ้ืนท่ีป่าพรุ
ควนเคร็งเพ่ือปรับโครงสร้างของป่าในบริเวณท่ีเป็นป่าพรุเสื่อมโทรมและพื้นที่ท่ีถูกทาลายจากไฟไหม้ป่า
ด้วยการปลูกพันธ์ุไม้ท้องถ่ินเสริมในพ้ืนท่ีเพื่อเพิ่มความหลากหลายของพันธุ์ไม้ เช่น กะบุย สะเตียว หว้า
น้า กันเกรา แพ หมากแดง กรวย ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นสะเตียวซ่ึงเป็นพันธุ์ไม้ท้องถ่ินในปา่ พรุควน
เครง็ ท่ีสัมพนั ธ์กบั สัตวน์ า้ นนั่ คอื ปลาดกุ ลาพัน ซึ่งเป็นสัตวน์ า้ ทช่ี าวบ้านนิยมบริโภคและมีการแปรรูปเป็น
ปลาดุกร้า ซ่ึงสร้างรายได้เสริมแก่คนในชุมชน ท้ังนี้ การดาเนินการในภารกิจส่วนน้ีได้มีการสร้างเรือน
เพาะชาในพืน้ ทชี่ ุมชนเพื่อเปน็ แหล่งสนับสนนุ พนั ธุ์ไม้ จานวน 4 แห่ง และการปลกู ด้วยวธิ ีการที่สอดคล้อง
กับสภาพพ้ืนที่ โดยเฉพาะบางพ้ืนที่ที่เข้าถึงลาบากได้ใช้วิธีการปลูกแบบ Seed ball ซ่ึงเป็นการบรรจุ
เมล็ดพันธ์ุไม้ไว้ในก้อนดิน แล้วปาก้อนเมล็ดพันธ์ุเข้าไปในป่า 2) การส่งเสริมการปลูกไม้ยืนต้นในท่ีดิน
ทากนิ เชน่ หนา้ บา้ น หลงั ครวั ในสวน รมิ ร้ัว และแนวขอบเขตแดนของทดี่ ิน โดยทีแ่ ตล่ ะชมุ ชนเลอื กพันธุ์
ไม้ท่ีเหมาะสม โครงการมีการสนับสนุนพันธ์ุไม้ ท้ังนี้ การดาเนินการดังกล่าวเป็นการลดการตัดไม้จากป่า
ธรรมชาติ และสร้างรายได้จากการปลูกต้นไม้มีมคี ่าต่าง ๆ ทีเ่ คยเปน็ พันธุ์ไม้หวงห้าม แต่ปัจจบุ ันกฎหมาย
ได้อนุญาตใหป้ ลูกในท่ดี ินที่มเี อกสารสิทธิและตัดจาหนา่ ยได้

ภาพท่ี 1.5 กรอบแนวคดิ การฟื้นฟูระบบนเิ วศในภมู ทิ ัศน์พรคุ วนเคร็ง
ทมี่ า: กอบศักดิ์ วนั ธงไชย (2563)

46 | โครงการเสรมิ ศักยภาพการจัดการระบบนิเวศปา่ พรเุ พ่ือเพ่มิ ความสามารถในการกักเกบ็ คารบ์ อน
และอนรุ กั ษ์ความหลากหลายทางชวี ภาพอยา่ งยั่งยืน

นอกจากน้ี การดาเนินกิจกรรมระหว่างการดาเนินการฟ้ืนฟูระบบนิเวศป่าพรุโดยการมีส่วนร่วม
ของชุมชน และยังสร้างรายได้เสริมแก่คนในชุมชนอันเกิดจากการจ้างงานในกิจกรรมที่เก่ียวข้องกับ
การฟื้นฟูพ้ืนท่ีป่าพรุ เช่น การปลูกพันธ์ุไม้ท้องถ่ิน เป็นต้น อีกทั้งได้มีการติดตามอย่างต่อเนื่องทั้งในด้าน
การดาเนินกจิ กรรมตา่ ง ๆ ของเรือนเพาะชาทง้ั 4 แห่ง และการตดิ ตามอตั ราการเจริญเติบโตและการรอด
ของพันธ์ุไม้ที่ปลูกในแต่ละพื้นท่ี ซึ่งพืชแต่ละชนิดเจริญเติบโตต่างกันในแต่ละแปลง ถึงกระน้ันก็ตาม
ผลการติดตามช้ีให้เห็นได้ชัดเจนว่า การปลูกพันธ์ุไม้ท้องถ่ินในพื้นที่ป่าพรุควนเคร็งน้ันมีอัตราการรอดสูง
จึงเปน็ แนวทางทเี่ หมาะสมในการฟืน้ ฟปู ่าพรุท่ีเส่อื มโทรม

ภารกิจที่สาม การตดิ ตัง้ ระบบการติดตามเพื่อตรวจวัดค่าปริมาณคาร์บอนในพน้ื ท่ีปา่ พรุ และ
การตรวจวัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจาในพ้ืนที่พรุควนเคร็ง การดาเนินการในส่วนน้ีคือตัวช้ีวัด
ความสาเร็จของโครงการท่ีเป็นผลสืบเน่ืองจากการดาเนินการในภารกิจท่ีหนึ่งและสอง นั่นคือ เมื่อมีการ
จัดการน้าในพ้ืนท่ีป่าพรุท่ีเหมาะสมโดยมีการรักษาระดับน้าหล่อเลี้ยงพื้นที่พรุ โดยเฉพาะอย่างย่ิงแนว
ทางการจัดการน้าเพื่อการเก็บกักคาร์บอน รวมถึงการดาเนินการฟื้นฟูป่าพรุที่เส่ือมโทรมโดยเพิ่มความ
หลากหลายของพันธุ์ไม้ท้องถิ่น ท้ังน้ี ผลการดาเนินการในภารกิจนี้ช้ีให้เห็นศักยภาพการเก็บกักคาร์บอน
ของพ้ืนที่พรุควนเคร็งได้อย่างชัดเจน และย้าชัดถึงความสามารถในการเก็บกักคาร์บอนท่ีแตกต่างกันของ
ป่าแต่ละประเภทในพ้ืนท่ีภูมิทัศน์พรุควนเคร็ง น่ันคือ ป่าพรุดั้งเดิม ป่าพรุเส่ือมโทรมหรือป่าเสม็ด และ
สวนปาล์มน้ามัน โดยท่ีข้อมูลมวลชีวภาพและปริมาณคาร์บอนในพ้ืนท่ีป่าพรุด้ังเดิมสูงกว่าป่าพรุเสื่อม
โทรมและสวนปาล์มน้ามัน ดินในพ้ืนท่ีป่าพรุด้ังเดิมเก็บกักคาร์บอนได้สูงกว่าป่าพรุเส่ือมโทรม และยัง
บ่งชี้ให้เห็นว่าปาล์มน้ามันแม้เป็นพืช แต่มีปริมาณมวลชีวภาพต่า และสามารถกักเก็บคาร์บอนได้น้อย
นั่นหมายความว่า ป่าพรุดั้งเดิม ซึ่งเป็นพื้นที่ท่ีมีความหลากหลายทางชีวภาพย่อมมีศักยภาพการเก็บกัก
คาร์บอนไดส้ ูง จึงควรฟืน้ ฟูให้พ้นื ท่ภี ูมทิ ศั น์พรุควนเคร็งมปี ่าพรุดงั้ เดมิ เพม่ิ ข้ึน

นอกจากน้ี ผลการศึกษาการตรวจวัดและติดตามปริมาณการกักเก็บคาร์บอนและการปล่อยก๊าซ
เรือนกระจกยังชี้ให้เห็นชัดเจนวา่ พ้ืนท่ีพรุควนเคร็งในบริเวณท่ีลุ่มซึ่งมักเป็นพ้ืนท่ีทุ่งกระจูดและทุ่งหญ้าท่ี
มีสภาพน้าท่วมขังกักเก็บคาร์บอนได้สูงกว่าบริเวณอ่ืน และปัจจัยท่ีมีผลต่อปริมาณการกักเก็บคาร์บอน
และการปล่อยก๊าซเรอื นกระจก คือ สภาพพ้นื ทนี่ ้าท่วมขัง โดยสภาพนา้ ท่วมขงั หรือพื้นทชี่ ุ่มนา้ สามารถกัก
เก็บคาร์บอนได้สูง ปลดก๊าซเรือนกระจกต่า ขณะที่สภาวะเปล่ียนผ่านระหว่างสภาพพื้นที่น้าท่วมขังไปสู่
สภาพพนื้ ท่ีขาดนา้ หรือแห้งจะมีผลให้พ้ืนทนี่ นั้ ๆ มกี ารปล่อยก๊าซเรือนกระจกไดส้ ูงที่สุด (ภาพท่ี 1.6) เหน็
ได้ว่า ผลการศึกษาทั้งประเด็นการจัดการน้า การฟ้ืนฟูพื้นท่ีพรุด้วยพันธุ์ไม้ท้องถิ่น และการตรวจวัดและ
ติดตามปริมาณคาร์บอนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในพื้นที่พรุควนเคร็ง มีความสอดคล้องและเป็น
เหตุเป็นผลระหว่างกัน อนึ่ง ข้อมูลศักยภาพการเก็บกักคาร์บอนของป่าพรุดั้งเดิม ป่าพรุเสื่อมโทรม และ
สวนปาลม์ น้ามัน ยังมีความน่าสนใจทน่ี ่าขบคดิ ท่ีวา่ “ถา้ ปา่ พรุในพ้ืนท่ีภูมิทัศน์พรุควนเครง็ ค่อย ๆ เปลี่ยน
สภาพเป็นป่าพรุเส่ือมโทรม และสวนปาล์มน้ามันมากข้ึนต่อเน่ือง ย่อมส่งผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมของ
ชุมชนและของโลก ดังวลีที่ว่า เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาว” นอกจากนี้ การประเมินภาพป่าและ
ศักยภาพในการกักเกบ็ คารบ์ อนในพ้ืนที่ป่าพรุควนเคร็งและป่าอน่ื ๆ โดยการรวมตวั เปน็ เครือขา่ ย จะเป็น
อีกแนวทางในการสร้างการรับรู้ข้อมูลปัญหา สภาพพ้ืนที่ และตระหนักถึงคุณค่าที่จะก่อเกิดประโยชน์ทั้ง
ต่อชุมชน สังคม และโลกมากขึ้น รวมถึงการนาข้อมูลคาร์บอนไปสกู่ ารสร้างรายได้ให้แก่คนในชุมชน เพื่อ
เปน็ อกี แรงจงู ใจในการรว่ มกนั ดแู ลปกป้องปา่ พรุควนเครง็ ต่อไป

รายงานสรุปสาหรับผบู้ รหิ าร ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรคุ วนเครง็ วิถคี นและปา่ | 47

การกกั เกบ็ คาร์บอน (ตนั )

พื้นทปี่ า่ ไม้ (Forest land) 88,512

พน้ื ทเ่ี กษตร (Cropland) 11,372,763

พน้ื ทท่ี งุ่ หญ้า (Grassland) 23,269

พน้ื ทช่ี ุมนา้ (Wetland) 26,153,100

พื้นทตี่ ั้งถนิ่ ฐาน (Settlements) 0

พนื้ ทอ่ี นื่ (Other land)

รวมทงั้ สนิ้ 37,637,644

ภาพที่ 1.6 ประเภทการใช้ประโยชน์ที่ดินและสถานภาพในการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่พรุควนเคร็ง (พ้ืนท่ีท้ังหมด
581,908 ไร)่ จากภาพถา่ ยดาวเทียมในปี พ.ศ. 2561
ท่ีมา: สาพิศ ดลิ กสมั พนั ธ์ (2563)

บทสรปุ

การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการจัดการพ้ืนท่ีป่าพรุควนเคร็งมีให้เห็นทุกกระบวนการ เพราะ
เทคโนโลยีช่วยให้มนุษย์ทางานได้ง่ายและสะดวกรวดเร็วข้ึน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทางานหรือการ
ประมวลผลข้อมูลที่ประกอบด้วยข้อมูลหลากหลายและมีความสลับซับซ้อน เทคโนโลยีช่วยให้วิเคราะห์
เพื่อทาความเข้าใจกับสภาพพื้นที่ หรือสภาพปัญหาท่ีพ้ืนท่ีพรุควนเคร็งและชุมชนกาลังเผชิญอยู่ใน
หลากหลายรูปแบบ ทาให้ได้ข้อมูลท้ังเชิงตัวเลข เนื้อหาและรูปภาพที่ระบุพิกัดหรือขอบเขตพื้นท่ีได้อย่าง
ชดั เจน อนง่ึ ด้วยปัญหาสาคญั ทพี่ รุควนเคร็งเผชญิ แทบทุกปีนัน่ คอื ไฟไหมป้ า่ ทส่ี ่งผลให้พรคุ วนเคร็งหลาย
บริเวณมีสภาพพ้ืนที่เป็นป่าเสื่อมโทรม และยังเชื่อมโยงกับการบุกรุกหรือความพยายามครอบครองพื้นท่ี
ปา่ เพื่อแปรสภาพพนื้ ที่พรุไปสู่การทาเกษตรกรรมซ่ึงเป็นการแปรสภาพพน้ื ที่ไปโดยส้ินเชงิ ในสภาพพื้นท่ีใน
รูปแบบสวนปาล์มน้ามัน เหล่านี้คือปัญหาท่ีโครงการเสริมศักยภาพการกักเก็บคาร์บอนในพ้ืนที่พรุควน
เคร็งให้ความสาคัญและตระหนักถึงปัญหาที่ต้องเร่งดาเนินการแก้ไข โดยมีการดาเนินโครงการภายใต้
ผลสัมฤทธ์ิท่ี 2 การใช้เทคโนโลยีเพื่อหลีกเลย่ี งการเส่ือมโทรมของป่าพรุและฟ้ืนฟูป่าพรุที่เสอื่ มโทรม ซ่ึงมี
การดาเนินการ 2 ภารกิจสาคัญอย่างเชื่อมโยงกัน น่ันคือ ภารกิจแรก การดาเนินการทางอุทกวิทยาใน
พื้นที่นาร่องเพ่ือควบคุมการระบายน้าและป้องกันไฟป่า โดยมีตัวช้ีวัด คือ การท่ีป่าพรุควนเคร็งพ้ืนท่ี
4,600 เฮกตาร์ (28,750 ไร่) มีระบบการจัดการน้าอย่างมีประสิทธิภาพ และภารกิจที่สอง คือ การฟ้ืนฟู
พันธุ์พืชท้องถ่ินในพ้ืนท่ีที่ถูกทาลายโดยพายุและไฟป่าของตาบลเคร็ง ที่มีการดาเนินการในภารกิจย่อย 2
ส่วนท่ีเช่ือมโยงกัน น่ันคือ การฟื้นฟูพันธ์ุพืชท้องถ่ินในพ้ืนที่เส่ือมโทรมด้วยการถูกทาลายโดยพายุและไฟ
ป่า และการตดิ ตามปริมาณคาร์บอนในพ้ืนที่พรคุ วนเครง็ โดยมตี ัวชว้ี ดั ท่ีคาดหวงั จากภารกจิ การฟ้นื ฟูพันธุ์
พืชท้องถิ่นในพื้นที่พรุควนเคร็ง คือ การฟื้นฟูป่าพรุด้วยพันธุ์พืชท้องถิ่น 300 เฮกตาร์ (1,875 ไร่) เพ่ือดูด
ซบั คาร์บอน 129,000 ตนั คารบ์ อน

48 | โครงการเสริมศกั ยภาพการจัดการระบบนเิ วศปา่ พรเุ พ่ือเพิม่ ความสามารถในการกักเกบ็ คาร์บอน
และอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอยา่ งยัง่ ยนื

ผลการดาเนินงานทั้งสองภารกิจสาคัญกล่าวได้ว่ามีการดาเนินการซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่
กาหนด คือ การได้ดาเนินการท่ีมุ่งเป้าไปสู่การตอบโจทย์ตัวช้ีวัดที่กาหนดไว้ ซ่ึงการท่ีจะให้ผลการ
ดาเนินงานภายใต้ผลสัมฤทธิ์ที่สองบรรลุตรงเป้าหมายตามตัวเลขที่กาหนดไว้ภายใต้ช่วงเวลาการดาเนิน
โครงการในระยะเวลา 3 ปี ซ่ึงถือว่าเป็นระยะเวลาท่ีไม่เพียงพอแก่การดาเนินการ เน่ืองจากการบรรลุผล
สาเร็จตามเป้าหมายตัวช้ีวัดขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ดังกรณีภารกิจแรก การมีระบบบริหารจัดการน้าท่ี
เหมาะสมในพ้ืนท่ีพรุควนเคร็ง แน่นอนที่สุดว่า การดาเนินโครงการในภารกิจน้ีได้ผลสาเร็จ คือ แนวทาง
และตัวแบบหรือแบบจาลองการจัดการน้าในพ้ืนท่ีพรุควนเคร็งท่ีมีความเหมาะสม และทุกฝ่ายเห็นพ้อง
ร่วมกันน่ันคือ การสร้างปิดกั้นลาน้าในบางบริเวณในพื้นที่พรุควนเคร็งเพ่ือลดการสูญเสียน้า และเพ่ิม
ระดับการกักเก็บน้าเพื่อหล่อเล้ียงระบบนิเวศป่าพรุควนเคร็ง โดยระดับน้าที่เหมาะสมคือ การท่ีพรุควน
เคร็งมีระดับน้า 0.20 เมตร เหนือผิวดิน ตลอดท้ังปี โดยหากมีกรณีระดับน้าลดต่าลงกว่าเกณฑ์ที่กาหนด
ไดม้ ีมาตรการรองรบั นนั่ คอื การตดิ ต้งั เครอ่ื งสบู น้าเพื่อสูบน้าเข้าส่รู ะบบให้มีระดบั นา้ ตามเกณฑ์ที่กาหนด
ไว้ โดยผลการทดสอบผ่านแบบจาลอง MIKE SHE แสดงให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจนว่าหากมีการ
ดาเนินการตามข้อเสนอแนะที่ได้จากแบบจาลอง MIKE SHE จะสามารถแก้ปัญหาพื้นท่ีพรุควนเคร็งขาด
แคลนน้าในช่วงฤดูแล้งได้ และพื้นท่ีพรุควนเคร็งจะมีระบบบริหารจัดการน้าที่ช่วยให้พรุควนเคร็งมีความ
สมบูรณ์ของระบบนิเวศ ซ่ึงจะเอ้ือประโยชน์ทั้งต่อสรรพชีวิตในผืนป่าพรุควนเคร็ง และเกิดประโยชน์ต่อ
คนในชุมชนที่จะไดพ้ ่งึ พาทรพั ยากรธรรมชาติได้ต่อไป

ถงึ กระนน้ั กต็ าม ผลการดาเนนิ การดังกลา่ วเป็นเพียงตวั แบบที่เปน็ ข้อเสนอแนวทางในการจัดการ
น้าท่ีเหมาะสมในพ้ืนที่พรุควนเคร็งท่ีพร้อมนาไปสู่การปฏิบัติจริงในพ้ืนที่ ซึ่งในภาคปฏิบัติการอย่างเป็น
รูปธรรมน้ันจาเป็นต้องอาศัยอานาจการตัดสินใจของผู้มีส่วนได้ส่ วนเสียในระดับนโยบายที่มีอานาจ
บทบาทและหนา้ ที่ในการบริหารจัดการพ้นื ที่พรุควนเคร็ง โดยหากมกี ารตดั สินใจดาเนนิ การตามตัวแบบ
หรือข้อเสนอแนะจากแบบจาลอง MIKE SHE ที่มีข้อเสนอแนะแนวทางในการบริหารจัดการน้าใน
สถานการณ์ต่าง ๆ อย่างเหมาะสมและผลการประชุมได้รบั การยอมรับจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย
แล้วน้ัน ย่อมทาให้พื้นท่ีพรุควนเคร็งมีระบบบริหารจัดการน้าเป็นไปตามเป้าหมายหรือตัวชี้วัดที่
กาหนด อีกท้ังการดาเนินการอย่างเป็นรูปธรรมในภารกิจน้ีเป็นการทาให้พื้นท่ีพรุมีน้าท่วมขังอย่าง
เหมาะสม คือ การเพิ่มศักยภาพการกักเก็บคาร์บอนของพ้ืนท่ีพรุควนเคร็ง ซึ่งสะท้อนข้อมูลได้อย่าง
ชัดเจนจากผลการศึกษาในภารกิจที่สองท่ีมีการตรวจวัดและติดตามปริมาณคาร์บอนในพื้นท่ีป่าพรุควน
เคร็งท้ังในระดับพ้ืนท่ีพรุควนเคร็งที่จาแนกตามสภาพพื้นที่ คือ ป่าพรุดั้งเดิม ป่าพรุถูกรบกวน (ป่าเสม็ด)
และป่าพรุที่ถูกแปรสภาพเป็นสวนปาล์มน้ามัน (การทาเกษตรกรรม) ซึ่งผลการศึกษายังสอดคล้องกับผล
การสารวจคาร์บอนแบบกริดท่ีตรวจวัดและติดตามปริมาณคาร์บอนในขอบเขตระดับจังหวัด คือ จังหวัด
นครศรีธรรมราช จังหวัดพัทลุง และจงั หวดั สงขลา โดยแตล่ ะขอบเขตพื้นทไ่ี ด้ศึกษาจาแนกยอ่ ยตามการใช้
ประโยชน์ที่ดิน ทั้งนี้ผลการศึกษาย้าชัดว่า สภาพพ้ืนที่ท่ีมีน้าท่วมขังหรือท่ีลุ่ม หรือพ้ืนที่ชุ่มน้า เป็น
พืน้ ทท่ี ่มี ปี ริมาณคาร์บอนสงู สดุ

สาหรับภารกิจที่สองซ่ึงเชื่อมโยงกับการบริหารจัดการน้าและยังหนุนเสริมในการเพิ่มศักยภาพ
การกักเก็บคาร์บอนของพรุควนเคร็ง น่ันคือ การฟ้ืนฟูพื้นท่ีพรุที่เส่ือมโทรมด้วยพันธ์ุไม้ท้องถ่ินและการ
ตรวจวัดและติดตามปริมาณคาร์บอนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในพ้ืนที่พรุควนเคร็ง โดยมีตัวช้ีวัด
สาคัญ คือ การเพิ่มศักยภาพการกักเก็บคาร์บอนของพื้นที่พรุควนเคร็งในพ้ืนที่ 300 เฮกตาร์ (1,875 ไร่)

รายงานสรุปสาหรับผูบ้ รหิ าร ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรคุ วนเคร็ง วิถีคนและป่า | 49

เพื่อดดู ซบั คาร์บอน 129,000 ตันคารบ์ อน ทงั้ นี้ เม่ือพจิ ารณาการดาเนนิ งานเพื่อการฟ้ืนฟพู ้ืนที่ป่าพรุด้วย
การปลูกพันธุ์ไม้ท้องถ่นิ ในบริเวณตา่ ง ๆ ซง่ึ มีการคดั เลอื กพ้ืนทที่ งั้ ในบริเวณเขตป่าพรทุ ี่มบี ริเวณพืน้ ท่ีเสื่อม
โทรม (ป่าเสมด็ ) บริเวณทด่ี นิ ทากิน และบริเวณทีอ่ ย่อู าศัยตามริมรวั้ ขอบแดน คันนา เปน็ ตน้ แน่นอนว่า
หากพิจารณาผลการดาเนินงานแต่เพียงแง่เดียวว่า พื้นที่น้อยกว่าตัวช้ีวัดท่ีกาหนด น่ันคือ พ้ืนที่การปลูก
พันธุ์ไม้ท้องถ่ินที่มีเนื้อบริเวณป่าพรุเส่ือมโทรมรวมกันทุกแปลงเพียง 455 ไร่ จากแปลงปลูกจานวน 5
แปลง ได้แก่ แปลงท่ี 1 บ้านไสขนุน หมู่ที่ 11 บริเวณเส้นทางศึกษาธรรมชาติ เนื้อท่ี 27 ไร่ อยู่ในเขต
พื้นท่ีของเขตห้ามล่าสตั วป์ ่าทะเลน้อย แปลงท่สี อง บา้ นควนเครง็ หมู่ท่ี 4 อยู่ในเขตห้ามล่าสตั ว์ป่าทะเล
น้อย เน้ือที่ 50 ไร่ แปลงทส่ี าม ป่าสงวนแหง่ ชาตทิ ่าชา้ งขา้ ม เนือ้ ที่ 150 ไร่ โดยแบง่ แปลงปลกู พ้ืนท่ีละ
50 ไร่ ดงั นน้ั แปลงปลูกจานวน 3 แปลง และแปลงท่สี ่ี เขตห้ามล่าสตั ว์ป่าบ่อล้อ เน้ือที่ 200 ไร่ โดยแบ่ง
ปลูกพื้นที่ละ 50 ไร่ ดังน้ันจึงมีแปลงปลูกจานวน 4 แปลง แปลงท่ีห้า ป่าชุมชนบ้านควนเงิน หมู่ท่ี 2
เน้ือที่ 28 ไร่ ประกอบด้วยพ้ืนที่ปลูกฟ้ืนฟู ได้แก่ พ้ืนท่ีแนวรอบคันคลองป่าชุมชน 23 ไร่ และแปลงปลูก
ฟื้นฟบู ริเวณใกลป้ ่าชมุ ชน 5 ไร่ เห็นได้ว่า พืน้ ท่ี 455 ไร่ ดงั กลา่ วยงั ไม่รวมพนื้ ที่การปลูกในบริเวณอืน่ ๆ ท่ี
เป็นการส่งเสริมรายได้แก่คนในชุมชนและเป็นการส่งเสริมการปลูกพืชตามหลักวนวัฒน์วิธี น่ันคือ การ
ปลูกพันธไ์ุ ม้เสริมในพืน้ ที่ทากนิ ประเภทสวนยางพาราและปาล์มนา้ มนั ซง่ึ มีการปลูกในระบบพืชเศรษฐกิจ
เชิงเด่ียวท่ีมีระยะปลูกที่กว้างเพียงพอท่ีปลูกเสริมไม้มีค่าทางเศรษฐกิจที่สามารถอยู่ภายใต้ร่มเงาของไม้
เดมิ โดยปลูกแทรกลงไป เชน่ ตะเคียนทอง ยางนา ในลกั ษณะของการปลูกผสมผสานเพื่อสร้างรายได้และ
ลดความเสี่ยงจากการทาการเกษตรเชิงเดี่ยว พ้ืนที่เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ท่ีทากินของชาวบ้านที่มี
เอกสารสิทธิ์การครอบครองตามกฎหมาย ยกเว้นบางพื้นท่ีการครอบครองท่ีได้มาโดยการบุกรุกซ่ึง
ภายหลังได้ถูกยึดคืนมาเป็นของรัฐและอยู่ในกระบวนการฟ้ืนฟูระบบนิเวศ ในกรณีเช่นน้ี ก่อนที่จะมีการ
ดาเนินการโค่นยางพาราหรือปาล์มน้ามันท้ิง ควรพิจารณาดาเนินการปลูกไม้อ่ืนเสริมในพื้นที่เหล่าน้ีเพื่อ
จะทาให้รัฐได้พ้ืนท่ปี า่ กลับคืนมา นอกจากนยี้ งั มกี ารส่งเสริมการปลูกพชื ในบริเวณพ้ืนที่อยู่อาศยั หน้าบา้ น
หลังครัว ริมร้ัว ขอบแดนของชุมชน ในพ้ืนที่ป่าพรุควนเคร็งที่มีการปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้นอยู่บางส่วนแล้ว
เป็นพื้นที่เหมาะสมในการปลูกเสริมไม้มีค่าหลากหลายชนิด ดังน้ัน เม่ือรวมพื้นที่ทั้งหมดที่กล่าวมาซ่ึงได้มี
การดาเนินการปลูกพันธุ์ไม้ท้องถิ่นไปแล้วน้ันซึ่งมีพ้ืนท่ีรวมมากกว่า 455 ไร่ และเม่ือรวมกับพ้ืนท่ีเดิมใน
พ้ืนที่เหล่านี้ท่ีมาต้นไม้บางส่วนอยู่แล้วน้ัน ดังกรณีป่าเสม็ดซ่ึงแม้ว่าจะเป็นพันธุ์ไม้ท่ีพบว่าโดดเดน่ อยู่ชนดิ
เดียวในพ้ืนท่ีป่าพรุเส่ือมโทรม ทว่า ต้นเสม็ดขาวเป็นไม้อีกชนิดท่ีมีศักยภาพสูงในการกักเก็บคาร์บอน
สะท้อนได้จากผลการศึกษาของ สาพิศ ดิลกสัมพันธ์ (2563) ซ่ึงเป็นผู้รับผิดชอบโครงการวิจัยภายใต้
ภารกิจการฟื้นฟูป่าพรุเช่นกัน โดยพบว่า ป่าเสม็ดเป็นพ้ืนที่แหล่งกักเก็บคาร์บอนบางส่วนของพ้ืนท่ีป่า
เสม็ดมีปริมาณคาร์บอนที่สูงกว่าพื้นท่ีบริเวณอื่น นั่นคือ มวลชีวภาพใต้ดินของป่าเสม็ดมีค่าสูงท่ีสุด โดย
มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 0.0287 ตันต่อไร่ และการกักเก็บคาร์บอนในภาพรวมยังถือว่าเป็นรองจากพื้นท่ีป่าพรุ
ดงั้ เดิม ดังน้นั จึงกล่าวไดว้ ่า ภารกิจการฟ้นื ฟปู า่ พรคุ วนเคร็งทเ่ี ส่ือมโทรม ดว้ ยการปลกู เสริมพนั ธ์ุไมท้ ้องถ่ิน
และไม้อื่น ๆ ในบริเวณต่าง ๆ ซ่ึงเป็นพ้ืนที่รายรอบพ้ืนที่ป่าพรุนั้น มีผลการดาเนินการท่ีนาไปสู่การ
บรรลุผลสาเร็จตามตัวชว้ี ัด ซ่ึงมีแนวโน้มการกักเก็บคาร์บอนท่ีเท่ากับหรือมากกว่า ข้ึนอยู่กับระยะเวลาที่
รอคอยการเจริญเติบโตของต้นไม้ในแต่แปลงที่ผนวกรวมกับต้นไม้และแหล่งกักเก็บอ่ืน ๆ ในพื้นที่เหล่านี้
ย่อมชีใ้ หเ้ ห็นวา่ การดาเนินการฟ้ืนฟดู ังกลา่ วเป็นการเสริมศักยภาพการกักเก็บคาร์บอนในพ้ืนที่บริเวณป่า
พรุควนเคร็งได้มากข้ึน และค่อย ๆ มากข้ึนตามอายุการเจริญเติบโตของพรรณไม้ท่ีค่อย ๆ เติบโตเป็นไม้

50 | โครงการเสริมศกั ยภาพการจดั การระบบนิเวศปา่ พรเุ พือ่ เพ่มิ ความสามารถในการกักเก็บคาร์บอน
และอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอยา่ งยง่ั ยนื

ใหญ่ที่สามารถกักเก็บคาร์บอนได้มากยิ่งขึ้น หากมีการดูแลรักษาและติดตามการเจริญเติบโตอย่าง
ต่อเน่อื ง มีการปรบั ปรุงบารุงซ่อมแซมเสริม ซ่ึงโครงการได้มกี ารจัดทาคู่มอื การจดั การเรือนเพาะจา พรอ้ ม
กันสร้างเรือนเพาะชาในพ้ืนท่ีบริเวณพรุควนเคร็ง จานวน 4 แห่ง คือ เรือนเพาะชาบ้านควนเงิน หมู่ท่ี 2
ตาบลบ้านตูล เรือนเพาะชาบ้านควนป้อม หมู่ท่ี 1 ตาบลเคร็ง เรือนเพาะชาบ้านไสขนุน หมู่ท่ี 11 ตาบล
เคร็ง และเรือนเพาะชาบ้านเนินอินทรแ์ ก้ว หมู่ท่ี 3 ตาบลชะอวด เรอื นเพาะชาทัง้ 4 แห่ง จึงเปน็ พื้นที่ทจ่ี ะ
สนับสนนุ งานการดูแลปา่ โดยชุมชนต่อไป

อย่างไรก็ตาม การดาเนินการภายใต้ผลสัมฤทธ์ิที่ 2 ในทุกผลผลิตให้ความสาคัญกับการมีส่วน
ร่วมและการส่งต่อความรู้ท้ังด้านการจัดการน้า การฟ้ืนฟูป่าพรุเส่ือมโทรม และการตรวจวัดและติดตาม
ปริมาณการกักเก็บคาร์บอน รวมถึงการศึกษาและติดตามการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในพ้ืนที่พรุควน
เคร็ง โดยท่ีชุดความรู้เหล่านี้ได้ส่งต่อไปยังตัวแทนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากชุมชนผ่านกระบวนการ
แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในรูปแบบท่ีหลากหลายเพื่อสร้างการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ในแง่มุมต่าง ๆ ให้แก่ทุก
ฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความสาคัญกับคนรุ่นใหม่ซึ่งจะเป็นคนรุ่นต่อไปของชุมชน นั่นคือ เด็ก
นักเรียนและเยาวชน และที่สุดได้มีการรวบรวมชุดความรู้ในรูปแบบคู่มือเพื่อเผยแผ่ความรู้ให้กว้างขวาง
ทั้งในระดับชุมชนและสังคม เพื่อให้ผู้คนที่สนใจท่ัวไปได้ศึกษาและเรียนรู้กรณีศึกษาป่าพรุควนเคร็ง ซ่ึง
เป็นพนื้ ทีพ่ รุทมี่ ีความสาคญั ระดบั โลกแหง่ หน่งึ ทต่ี ง้ั อยใู่ นภาคใตข้ องประเทศไทย


Click to View FlipBook Version