รายงานสรปุ สาหรับผบู้ ริหาร ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรคุ วนเคร็ง วถิ ีคนและปา่ | 101
ผลลัพธ์และผลผลติ
ผลสัมฤทธ์ิท่ี 1 เพ่ิมศักยภาพในการคุ้มครองระบบนิเวศป่าพรุที่มีคุณค่าการอนุรักษ์สูงและพัฒนา
ต้นแบบการใชป้ ระโยชน์จากปา่ พรอุ ย่างย่ังยนื โดยสรา้ งการมสี ่วนรว่ มของทกุ ภาคส่วนทีเ่ กยี่ วขอ้ ง
ผลลัพธโ์ ครงการในขอ้ น้จี ะมุ่งเนน้ เสรมิ ศักยภาพการคุม้ ครองระบบนิเวศปา่ พรโุ ดยเชอื่ มโยงระบบ
การจัดการป่าพรุท้ังในและนอกเขตพ้ืนที่อนุรักษ์ และมุ่งเน้นแนวทางการบริหารจัดการอย่างมีส่วนร่วม
เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติในระบบนิเวศป่าพรุอย่างบูรณาการ ผลลัพธ์นี้ยัง
ครอบคลุม ถึงการเสริมศักยภาพของหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องในการติดตามการจัดการการใช้ประโยชน์ที่ดิน
การรกั ษาระดบั น้าในป่าพรุ และการป้องกนั ไฟป่าในปา่ พรคุ วนเคร็ง ประกอบดว้ ย
ผลผลิตที่ 1.1 กลไกที่มีศักยภาพเหมาะสมต่อการอนุรักษ์ภูมิทัศน์พรุควนเคร็งจากกระบวนการ
วเิ คราะห์ความเปน็ ไปได้
ผลผลิตที่ 1.2 แผนการจัดการพรอุ ยา่ งมีสว่ นรว่ มในพ้นื ทีภ่ ูมิทัศนค์ วนเคร็ง
ผลผลติ ที่ 1.3 แผนการใช้ท่ีดินพ้ืนที่ตาบลเคร็งที่สอดคล้องกับการแบ่งโซนใหม่
ผลผลิตที่ 1.4 การเพิ่มศักยภาพของผู้บริหาร เจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตาบลต่าง ๆ และ
ผู้นาท้องถิ่นในการลาดตระเวน การติดตามระดับน้า การป้องกันไฟและการบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่พรุ
ควนเครง็ และเขตหา้ มลา่ สตั วป์ ่าทะเลนอ้ ย
ผลผลิตที่ 1.5 เสริมความเขม้ แข็งการจดั การปา่ ชุมชนและโครงการสนับสนุนแผนงาน
ผลสัมฤทธท์ิ ่ี 2 การนาร่องนวัตกรรมดา้ นเทคโนโลยเี พ่ือลดการเส่ือมโทรมและฟื้นฟูระบบนิเวศป่าพรุ
ผลลัพธ์นี้มีเป้าหมายในการเพิ่มองค์ความรู้และศักยภาพด้านเทคนิควทิ ยาศาสตร์เรื่องการรักษา
ระดับน้าและการฟ้ืนฟูระบบนิเวศป่าพรุ ผ่านการศึกษาทดลองในพ้ืนที่นาร่อง ทั้งน้ี การรักษาระดับน้าใน
ดินพรุและการฟ้ืนฟูระบบนิเวศจะช่วยเพิ่มศักยภาพของป่าพรุในการทาหน้าที่เป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอน
และแหลง่ อนรุ กั ษค์ วามหลากหลายทางชีวภาพ ประกอบด้วย
ผลผลิตท่ี 2.1 ดาเนินการทางอุทกวิทยาในพื้นที่นาร่องเพื่อควบคุมการระบายน้าและป้องกัน
ไฟป่า โดยมกี ารสร้างแบบจาลองนารอ่ งและวางระบบการบรหิ ารจดั การน้าในพน้ื ที่พรคุ วนเครง็
ผลผลิตที่ 2.2 การฟน้ื ฟพู ันธพ์ุ ืชท้องถิ่นในพืน้ ทท่ี ถ่ี ูกทาลายโดยพายุและไฟปา่ ของตาบลเคร็ง
ผลผลิตที่ 2.3 การติดตั้งระบบตรวจวัดปริมาณการกักเก็บคาร์บอนและการปลดปล่อยก๊าซ
เรอื นกระจกในพรุควนเคร็ง
102 | โครงการเสริมศักยภาพการจดั การระบบนิเวศป่าพรุเพ่อื เพิ่มความสามารถในการกักเกบ็ คาร์บอน
และอนรุ ักษค์ วามหลากหลายทางชวี ภาพอยา่ งยัง่ ยืน
ผลสมั ฤทธท์ิ ่ี 3 พฒั นากลไกและยุทธศาสตร์ระดับชาติเพ่ือการอนรุ กั ษ์และใชป้ ระโยชนจ์ ากระบบนิเวศ
ปา่ พรุอยา่ งยง่ั ยนื
ผลผลิตนี้มุ่งเน้นการเสริมสร้างกรอบนโยบายท่ีสนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติใน
ระบบนิเวศป่าพรุอย่างย่ังยืน โดยเน้นการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ การลดการปลดปล่อย
คาร์บอน และใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน บนพ้ืนฐานของการบริหารจัดการทรัพยากร
อย่างมีส่วนร่วม เน่ืองจากพื้นที่พรุมีกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียท่ีหลากหลาย ท้ังหน่วยงานอนุรักษ์ หน่วยงาน
การจัดการทรัพยากรน้า กลุ่มเกษตรกร ผู้เก็บเก่ียวผลผลิตจากป่า ผู้ประกอบกิจการท่องเท่ียว นักอนุรักษ์
นักวิจัย ฯลฯ จึงมีความจาเป็นท่ีจะสร้างเวทีหารือร่วมกันระหว่างภาคส่วนที่หลากหลาย และเสริมสร้าง
ความเข้าใจร่วมกันโดยพัฒนาเคร่ืองมือ ตัวชี้วัด และยุทธศาสตร์การบริหารจัดการป่าพรุ ที่เหมาะสมใน
เชงิ นเิ วศวทิ ยา ประกอบด้วย
ผลผลิตที่ 3.1 จัดตั้งคณะทางานเพอ่ื ส่งเสริมการบรหิ ารจัดการพืน้ ท่ภี ูมิทัศน์พรุแบบองคร์ วม
ผลผลิตท่ี 3.2 การพัฒนาและรับรองเกณฑ์และวิธีการประเมินป่าพรุ หน้าท่ีและบริการของป่าพรุอัน
เป็นผลจากการประเมนิ มลู ค่าทางเศรษฐกจิ ของระบบนเิ วศพรใุ นภูมทิ ัศนค์ วนเคร็ง
* ผลผลติ ท่ี 3.3 การพฒั นาฐานข้อมลู ป่าพรใุ นประเทศไทย
* ผลผลติ ท่ี 3.4 การพัฒนายุทธศาสตร์ การบริหารจดั การระบบนิเวศปา่ พรุในประเทศไทย
หมายเหตุ * มอบหมายมหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์
ตัวช้วี ดั ความสาเรจ็ ของโครงการ (Project Results Framework) และการเปลี่ยนแปลง
เปา้ หมายหลักของโครงการ
พื้นที่เป้าหมายท้ังหมดของโครงการคงไว้ท่ี 154,363 เฮกตาร์ (964,769 ไร่) อยู่ภายใต้การ
บริหารจัดการพื้นที่ประเภทตา่ งๆ อย่างบูรณาการและเหมาะสม โดยอยู่ภายใต้การบริหารจัดการร่วม และ
พน้ื ทค่ี าบสมุทรสทิงพระเปน็ พืน้ ที่ได้รับประโยชน์จากการดาเนินโครงการฯ
ผลสัมฤทธ์ิที่ 1 เพิ่มศักยภาพในการคุ้มครองระบบนิเวศป่าพรุท่ีมีคุณค่าต่อการอนุรักษ์สูงและ
ดาเนินการการจดั การป่าพรแุ บบบูรณาการอย่างยั่งยืน
1. เพ่ิมพื้นที่ 16,347 เฮกตาร์ (102,169 ไร)่ มีไดร้ ับการดแู ลและคุ้มครองผา่ นกลไกที่มีศักยภาพอย่าง
บูรณาการ
2. พ้ืนที่ 154,363 เฮกตาร์ (964 769 ไร่) มีแผนการจัดการป่าพรุท่ีส่งผลต่อการกักเก็บคาร์บอน 29
ลา้ นตัน
3. เพมิ่ ประสิทธภิ าพการจัดการพน้ื ทด่ี ้วยเครอ่ื งมือ METT ดังนี้
รายงานสรุปสาหรับผู้บริหาร ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรคุ วนเครง็ วิถคี นและปา่ | 103
พ้ืนที่ ข้อมลู เดิม เปา้ หมาย
เขตห้ามลา่ สัตว์ป่าทะเลน้อย 64 70
เขตหา้ มลา่ สตั วป์ า่ บ่อล้อ 42 70
EPA พรคุ วนเครง็ 12 20
EPA ทะเลสาบสงขลา 19 30
4. อัตราการบุกรุกในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบ่อล้อเท่ากับ 0 และอัตราการบุกรุกในเขตห้ามล่าสัตว์ป่า
ทะเลน้อยน้อยกว่า 6
5. พื้นทีเ่ สียหายจากการเกิดไฟปา่ ในพรุควนเครง็ ไมเ่ กิน 408 เฮกตารต์ อ่ ปี (2,550 ไร)่
6. หน่วยปฏิบัติการ 11 หน่อย ได้รับการฝึกอบรมในการลาดตระเวนการจัดการระดับน้า การ
ป้องกันไฟป่า และการบังคับใช้กฎหมาย ได้แก่ หน่วยพิทักป่าในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย (6 หน่วย)
หน่วยพิทักป่าในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบ่อล้อ (2 หน่วย) องค์การบริหารส่วนตาบลเคร็ง ตาบลชะอวด และ
ตาบลบา้ นตลู
7. พ้ืนที่จานวน 435 เฮกตาร์ (2,719 ไร่) ได้รับการพัฒนาภายใต้แผนการจัดการป่าพรุแบบมี
ส่วนร่วม ประกอบด้วย ป่าชุมชนควนเงิน ป่าชุมชนสวนสมเด็จเจ้าฟ้าจฬุ าภรณ์ และป่าชุมชนบ้านไสขนนุ
ท้ังนี้ไม่รวมพื้นท่ีป่าพรุคันธุลี (60 เฮกตาร์) เน่ืองจากพรุคันธุลี ไม่ตั้งอยู่ในขอบเขตป่าพรุควนเคร็ง และมี
ลักษณะทางกายภาพ ชวี ภาพ และระบบนิเวศท่ีแตกต่างจากพรคุ วนเคร็ง
8. ป่าพรใุ นเขตตาบลเครง็ พน้ื ท่ี 1,500 เฮกตาร์ (9,375 ไร่) ได้รบั การดแู ลในรูปแบบปา่ ชุมชน
9. เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยและบ่อลอ้ มีระบบการติดตามดัชนีความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ
(Ecosystem Health Index: EHI)
ผลสัมฤทธ์ิท่ี 2 การนารอ่ งนวัตกรรมด้านเทคโนโลยเี พอื่ ลดการเสือ่ มโทรมและฟนื้ ฟูระบบนิเวศป่าพรุ
1. ป่าพรุควนเครง็ พ้ืนที่ 4,600 เฮกตาร์ (28,750 ไร่) มรี ะบบการจัดการนา้ อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ
2. พื้นที่พรุควนเคร็งอย่างน้อยร้อยละ 25 ของพ้ืนท่ีนาร่อง มีระดับน้าผิวดินไมต่ากว่า 20
เซนตเิ มตร(1,150 เฮกตาร์ หรือ 7,188 ไร่)
3. การปลดปลอ่ ยก๊าซเรอื นกระจกในพนื้ ท่ีนาร่อง 4,600 เฮกตาร์ (พืน้ ทท่ี ่ีมกี ารบรหิ ารจดั การน้า)
ลดลงเหลือ 1.959 Mt CO2-eq (จาก 2.793 Mt CO2-eq)
4. การฟื้นฟูป่าพรุด้วยพันธุ์พืชท้องถิ่น 300 เฮกตาร์ (1,875 ไร่) เพื่อดูดซับคาร์บอน 129,000 t
CO2-eq
อนึ่ง ด้วยระยะเวลาดาเนินโครงการเพียง 26 เดือน ไม่สามารถทาให้ตัวชี้วัดน้ีสาเร็จได้ การ
เจรญิ เตบิ โตของพันธ์ุไม้ต้องใช้ระยะเวลานานมากกว่า 20 ปี และจากการศึกษาวิจยั พบวา่ การปลูกฟื้นฟูใน
พื้นท่ีขนาดใหญ่จะมีความเส่ียงของอัตราการรอดตายและการเจริญเติบโตของกล้าไม้ต่า โดยมีข้อเสนอว่า
โครงการจะดาเนินการพัฒนารูปแบบต่างๆ ในการฟ้ืนฟูป่าพรุ เช่น มีแปลงสาธิตการฟ้ืนฟูภายในชุมชน
ต้นแบบ และดาเนินการปลูกฟน้ื ฟูพันธ์ไุ ม้ทอ้ งถิน่ ให้กระจายทวั่ ทงั้ ภูมิทัศนพ์ รุควนเคร็ง
104 | โครงการเสริมศักยภาพการจัดการระบบนิเวศปา่ พรุเพื่อเพม่ิ ความสามารถในการกักเกบ็ คาร์บอน
และอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยง่ั ยืน
ผลสมั ฤทธิท์ ่ี 3 การสนับสนุนเพ่ือพัฒนานโยบาย มาตรฐานและกลไกการบังคับใช้เพื่อการอนุรักษ์
และใชป้ ระโยชน์ปา่ พรุอย่างย่ังยนื
เป้าหมายตวั ชวี้ ดั ความสาเร็จของโครงการ
1. จัดต้ังคณะทางานที่มาจากทุกภาคส่วนในการสนับสนุนแนวคิดในการอนุรักษ์และการใช้
ทรัพยากรปา่ พรุอยา่ งยง่ั ยืน
2. เกณฑแ์ ละวธิ ีการประเมนิ สถานภาพหน้าทแี่ ละบรกิ ารทางระบบนิเวศของป่าพรุ
* 3. ฐานข้อมูลสถานภาพป่าพรุทั้งหมดในประเทศไทย ประกอบไปด้วย ข้อมูลขอบเขตพ้ืนท่ีป่า
พรุ ทรพั ยากร หนา้ ทแ่ี ละการใหบ้ ริการของระบบนิเวศ
* 4. แผนยทุ ธศาสตร์การจัดการป่าพรุระดบั ชาติ
หมายเหตุ * ข้อ 3 และ 4 เป็นตัวชี้วัดผลผลิตท่ี 3.3 และ 3.4 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เป็น
ผ้ดู าเนนิ การ
ผลการดาเนินงานทผ่ี า่ นมา (พฤษภาคม - ธันวาคม พ.ศ. 2561)
ผลสัมฤทธิ์ที่ 1 เพิ่มศักยภาพในการคุ้มครองระบบนิเวศป่าพรุที่มีคุณค่าต่อการอนุรักษ์สูงและ
ดาเนินการการจดั การปา่ พรแุ บบบรู ณาการอย่างย่งั ยืน
1. จัดเวทีเสวนาเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันเก่ียวกับเป้าหมายของโครงการฯ ให้ผู้มีส่วนได้ส่วน
เสีย กลมุ่ องค์กร หน่วยงาน และชุมชนในพืน้ ทีมีความเข้าใจตรงกัน
2. จัดต้งั ชมรมส่อื เยาวชนอนุรกั ษ์พรุควนเครง็
3. การรวบรวมและจัดทาฐานขอ้ มูลทางภมู ิศาสตร์ ได้แก่ ขอบเขตพน้ื ท่ี ลกั ษณะภูมปิ ระเทศ การ
ใช้ประโยชน์ท่ีดิน ขอบเขตพื้นที่อนุรักษ์ตามกฎหมาย ข้อมูลขอบเขตการปกครอง และแผนท่ีตาแหน่งปา่
ชมุ ชน ทไี่ ด้รบั อนญุ าตจากกรมป่าไม้ เปน็ ตน้
4. รวบรวมขอ้ มูลเบื้องต้น เพ่อื พฒั นาศูนย์เรียนรู้ชมุ ชนในตาบลเคร็ง
6. การจดั เวทเี สวนาเครือขา่ ยแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันพรุควนเคร็ง โดยรว่ มมอื กบั สถานี
ควบคุมไฟป่าทะเลน้อย จังหวัดนครศรีธรรมราช สถานีควบคุมไฟป่าพรุควนเคร็ง และส่วนควบคุมและ
ปฏิบัติการไฟป่า สานักบริหารพื้นท่ีอนุรักษ์ที่ 5 (นครศรีธรรมราช) เพื่อประเมินสถานการณ์ไฟป่าพรคุ วน
เครง็ พร้อมท้งั จดั ทาข้อมูลเครือขา่ ยแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันพืน้ ทป่ี ่าพรุควนเครง็ การหาจุดเส่ียง
เกิดไฟป่า
รายงานสรปุ สาหรบั ผู้บริหาร ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบาย และพรคุ วนเครง็ วถิ ีคนและป่า | 105
ผลสัมฤทธท์ิ ี่ 2 การนารอ่ งนวตั กรรมดา้ นเทคโนโลยีเพ่ือลดการเสื่อมโทรมและฟ้ืนฟูระบบนเิ วศปา่ พรุ
1. ศึกษาระบบนิเวศ-อุทกวิทยาของพรุควนเคร็ง ได้สร้างหอคอยตรวจวัดสภาพทางอุตุ-อุทก
วิทยา และติดต้ังเครื่องมือตรวจวัดสารประกอบทางอุตุนิยมวิทยาและลักษณะทางอุทกวิทยาในพื้นที่
ศึกษา 2 รูปแบบ ไดแ้ ก่ 1) พ้นื ท่ีป่าพรธุ รรมชาติ ภายในพน้ื ทสี่ วนพฤกษศาสตร์พนางตุง ทะเลน้อย อาเภอ
ควนขนุน จังหวัดพัทลุง และ 2) พื้นที่ป่าเสม็ดผสมกระจูด บริเวณพ้ืนที่หมู่ท่ี 4 ตาบลเคร็ง อาเภอชะอวด
จงั หวดั นครศรธี รรมราช (ด้านหลงั สถานคี วบคมุ ไฟปา่ ทะเลน้อย)
2. การศึกษาลักษณะทางอุทกวิทยา ชลศาสตร์และการหมุนเวียนน้าในพรุควนเคร็ง การสร้าง
แบบจาลองการหมุนเวียนของน้าในป่าพรุควนเคร็ง โดยใช้แบบจาลอง MIKE SHE ขณะนี้อยู่ในขั้นตอน
การทาสอบแบบจาลองและการเตรียมข้อมลู เพื่อใส่ในแบบจาลอง
3. การฟื้นฟูป่าพรุด้วยพันธุ์พืชท้องถิ่น ได้กาหนดกรอบพ้ืนท่ีเป้าหมายในการฟ้ืนฟู ได้แก่ ป่าพรุ
ธรรมชาติ ป่าพรทุ ี่ถูกไฟไหม้ ทุง่ หญา้ พ้ืนที่รอบคูที่ขุดทาแนวเขตพ้นื ที่ พืน้ ท่สี วนปาล์ม สวนยางพาราที่ยึด
คนื มาได้จากการบุกรกุ ครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
4. จัดทาเรือนเพาะชาชุมชน จานวน 2 แห่ง (บ้านควนป้อม และบ้านควนเงิน) ส่วนบ้านไสขนนุ
มเี รือนเพาะชาท่ีสนบั สนนุ โดยกรมป่าไม้แลว้
5. ได้รับการสนับสนุนกล้าไม้ป่าพรุจากสถานีทดลองปลูกพรรณไม้พิกุลทอง และประสานสถานี
เพาะชากลา้ ไม้จังหวัดนครศรีธรรมราชเพื่อขอสนับสนุนกล้าไม้ป่าเพื่อทาการปลูกในพ้ืนท่ีอยู่อาศัย โดยได้ขอ
กล้าไม้ตา่ ง ๆ รวม 9 ชนิด จานวน 2,600 กล้า
6. การวางแปลงถาวรในพ้ืนที่ป่าพรุ 3 แห่งเพ่ือเพ่ือตรวจวัดและติดตามปริมาณคาร์บอน ได้แก่
ปา่ พรดุ งั้ เดิมสวนพฤกษศาสตร์พนางตงุ ปา่ พรทุ ่ถี กู รบกวนป่าเสม็ดท่ีอยู่บรเิ วณหมู่ที่ 3 และหมู่ที่ 9 ตาบล
เครง็ อาเภอชะอวด จงั หวดั นครศรธี รรมราช และพน้ื ทส่ี วนปาลม์ นา้ มนั บริเวณหมู่ 6 ตาบลเครง็ อาเภอ
ชะอวด จงั หวดั นครศรีธรรมราช
ผลสัมฤทธ์ิที่ 3 การสนับสนุนเพื่อพัฒนานโยบาย มาตรฐานและกลไกการบังคับใช้เพื่อการอนุรักษ์
และใชป้ ระโยชนป์ ่าพรอุ ยา่ งยง่ั ยนื
1. จัดทาร่างคณะทางานเพ่ือส่งเสริมการบริหารจัดการพ้ืนท่ีภูมิทัศน์พรุควนเคร็งแบบองค์รวม
ซึ่งอยู่ภายใต้คณะกรรมการกากับโครงการฯ ได้แก่ 1) คณะทางานการใช้ประโยชน์ท่ีดิน และ 2)
คณะทางานวางแผนยุทธศาสตร์ภูมิทัศน์ควนเคร็ง ประกอบด้วยคณะทางานเฉพาะกิจ 3 ด้าน คือ ด้าน
การฟื้นฟูป่าและระบบนิเวศป่าพรุควนเคร็ง ด้านการจัดการไฟป่าและคาร์บอน และด้านการบริหารจัดการ
น้าบริเวณพรุควนเคร็ง (เสนอที่ประชุมคณะกรรมการกากับโครงการเสริมศักยภาพการจัดการระบบนิเวศป่า
พรุ เพื่อเพ่ิมความสามารถในการกักเก็บคาร์บอนและอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างย่ังยืน คร้ังท่ี
2/2561)
2. ผลิตสื่อให้ความรู้ของโครงการเพื่อขยายผล และส่ือประชาสัมพันธ์สู่สาธารณะสาหรับ การ
แนะนาโครงการฯ
106 | โครงการเสริมศกั ยภาพการจัดการระบบนเิ วศปา่ พรุเพอ่ื เพิ่มความสามารถในการกกั เกบ็ คาร์บอน
และอนรุ ักษค์ วามหลากหลายทางชวี ภาพอยา่ งยง่ั ยืน
3. การศึกษาเกณฑ์และระเบียบวิธใี นการประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยเพ่ือให้เกิดการจัดการ
ระบบนิเวศภายใต้แนวคิดการใช้ประโยชน์อย่างชาญฉลาด และให้ผู้มีส่วนเก่ียวข้องกับการจัดการ
ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม สามารถนาองค์ความรู้ในการประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจและผล
การศึกษาไปใชเ้ ปน็ ข้อมูลประกอบการตัดสินใจเพ่ือการอนรุ ักษ์และใชป้ ระโยชน์ระบบนิเวศป่าพรใุ นพื้นที่
ควนเคร็ง และพ้นื ทีอ่ ่ืน ๆ ตอ่ ไป
รายงานสรุปสาหรบั ผบู้ ริหาร ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และพรุควนเคร็ง วิถคี นและปา่ | 107
ส่วนท่ี 3
พรุควนเคร็ง วิถคี นและปา่ พรคุ วนเคร็ง
108 | โครงการเสรมิ ศกั ยภาพการจัดการระบบนิเวศปา่ พรุเพื่อเพิม่ ความสามารถในการกกั เกบ็ คาร์บอน
และอนุรกั ษ์ความหลากหลายทางชวี ภาพอยา่ งยัง่ ยืน
รายงานสรปุ สาหรบั ผู้บรหิ าร ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรคุ วนเคร็ง วถิ คี นและป่า | 109
7
ปา่ พรคุ วนเคร็ง
พรุควนเคร็ง ถ่ายภาพจากหอสงั เกตการณ์ไฟปา่ หมู่ 5 บา้ นไสขนนุ ต.เคร็ง อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช
110 | โครงการเสริมศกั ยภาพการจดั การระบบนิเวศปา่ พรุเพ่อื เพม่ิ ความสามารถในการกกั เก็บคาร์บอน
และอนุรกั ษค์ วามหลากหลายทางชวี ภาพอยา่ งย่งั ยนื
ปา่ พรุควนเคร็ง บันทึกภาพโดยเจ้าหน้าที่ UNDP เม่ือปี 2562
111 | โครงการเสรมิ ศักยภาพการจัดการระบบนิเวศป่าพรุเพอ่ื เพ่ิมความสามารถในการกักเก็บคาร์บอน
และอนรุ กั ษ์ความหลากหลายทางชวี ภาพอยา่ งยั่งยนื
“พรุเราต้องเก็บไว้ เพราะมีความสาคัญเก่ียวกับส่ิงแวดล้อม ต้องห้ามไม่ให้บุกรุกเข้าไป คราวน้ี
เราทาโครงการท่ีโคกใน เขาจะบุกรุกเข้าไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะจากัดบริเวณเขา ในพรุเราก็ส่งเสริม เอาไม้
พรุ เพิ่มประสิทธิภาพ อย่างตามข้างทางน้ีสวยมาก เห็นไม้ต่าง ๆ ไม้หลาวชะโอนก็มี” พระราชดารัสของ
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม
2535 (ธนิตย์ หนูย้ิม, 2547) นอกจากน้ีพระองค์ท่านยังกล่าวถึงป่าพรุและพ้ืนท่ีพรุท่ีเป็นการเน้นย้าถึง
ความสาคัญของป่าพรุและพ้ืนท่ีพรุท่ีมีคุณค่าและประโยชน์ท้ังในด้านสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของผู้คนใน
ชุมชนท้องถ่ินที่อยู่อาศัยรายรอบพื้นท่ีพรุ อาทิ “…ป่าพรุเป็นพ้ืนที่ที่สาคัญต่อความอยู่ดีกินดีของราษฎร
รอบพื้นที่พรุ อีกทั้งยังเป็นอ่างเก็บน้าธรรมชาติที่ชะลอการไหลบ่าของน้าจากเทือกเขาต่าง ๆ ก่อนระบาย
ลงสทู่ ะเล…” “…ให้รักษาสภาพพน้ื ท่ีพรุส่วนหนึง่ ไว้ให้คงสภาพเดิม เพอ่ื ความสมดุลของสภาพแวดล้อม…”
และ “…ควรศึกษาหาทางรักษาพ้ืนท่ีพรุไม่ให้ถูกทาลาย…” ความตอนหน่ึงของพระราชดารัสของ
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (ในหลวง ร.9)
(สานักงานคณะกรรมการพิเศษเพอ่ื ประสานงานโครงการอนั เนื่องมาจากพระราชดาริ, 2556, 140)
“ป่าพร”ุ และความสาคัญของป่าพรุ
ป่าพรุ (Peat Swamp Forest) เป็นแหล่งความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งคาว่า ความ
หลากหลายทางชีวภาพนั้น อรวรรณ คูหเจริญ (2535, 33) อธิบายว่ามีความหมายกว้าง ครอบคลุมถึง
ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตนานาชนิด (species diversity) ไม่ว่าจะเป็นจุลินทรีย์ พืช สัตว์ รวมทั้ง
มนุษย์ สิ่งมีชีวติ เหล่านีจ้ ะมีการปรบั ตัวใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาพท่อี ยู่อาศยั เช่นนี้อาจกล่าวได้วา่ นอกจากพืช
สัตว์แล้ว ผ้คู นท่อี ยู่อาศัยรายรอบปา่ พรุกจ็ ะมีวิถกี ารดารงชีพที่สอดคล้องกับผืนปา่ พรดุ ว้ ยเชน่ กัน อนึง่ ป่า
พรุ เป็นป่าชุ่มน้าประเภทหน่ึงที่ต้นไม้ข้ึนอยู่บนช้ันของซากพืชท่ีเรียกกันท่ัวไปว่า พีท (Peat) ในพื้นท่ีท่ีมี
น้าท่วมขังเกือบตลอดท้ังปี (ธนิตย์ หนูยิ้ม, 2547, 1) ป่าพรุจึงมีความสาคัญต่อระบบนิเวศของโลกและ
การดารงชีวิตของมนุษย์ โดยเฉพาะชุมชนท้องถิ่นท่ีอยู่อาศัยรายรอบพ้ืนท่ีป่าได้ใช้ประโยชน์ในรูปแบบที่
หลากหลายเพ่ือการดารงชีพท้ังโดยตรงและโดยอ้อม เป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนในช้ันลึกของระดับน้าขัง
ใต้ดิน (Too, Keller, Sickel, Lee, & Yule, 2018) หรือ“คาร์บอนซิงค์” (Carbon Sinks) หรืออ่างกัก
เก็บคาร์บอนที่สาคัญของโลกที่ช่วยลดปัญหาโลกร้อน อีกท้ังยังช่วยคายน้าในหน้าร้อน เปรียบเหมือน
ธนาคารน้าที่ชว่ ยหล่อเลี้ยงดินในหนา้ แล้ง การรักษาปา่ พรุไวค้ ือการรักษาแหล่งดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์
ไว้ในดินในรูปของอินทรีย์สาร (เจริญวิชญ์ หาญแก้ว, 2019) เช่นเดียวกับนพรัตน์ บารุงรักษ์ (2554, 10)
ท่ีระบุว่าป่าพรุเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนระยะยาวของชีวมณฑลบนบก ซึ่งในเขตร้อนช่ืนจะกักเก็บ
คาร์บอนได้ถึง 10 เท่าและมีอายุการกกั เกบ็ เปน็ พนั ปี อยา่ งไรก็ตาม พรุจะเปลี่ยนจากการทาหน้าทกี่ ักเก็บ
คาร์บอนกลายเป็นแหล่งปลดปล่อยคาร์บอนสู่ช้ันบรรยากาศอย่างรวดเร็วเมื่อมีการสูบน้าออกจากพรุ ไม่
ว่าจะเพื่อการเกษตร การป่าไม้ หรือแม้แต่การขุดเอาพีทมาทาเช้ือเพลิง ปุ๋ย ฯลฯ จะยิ่งเป็นการเพิ่มการ
เน่าเปื่อยของพีทแบบให้ออกซเิ จน อกี ทงั้ การสูบน้าออกจากพื้นท่ีพรเุ ป็นการเร่งให้เกดิ ไฟป่าไดง้ ่ายอีกดว้ ย
กล่าวได้ว่า พ้ืนที่พรุเป็นระบบนิเวศที่กักเก็บคาร์บอนได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดของโลก แถบ
กาลิมนั ตันตอนกลาว ประเทศอนิ โดนีเซีย มีพืน้ ท่พี รรุ าว 50 % ของพืน้ ท่ีพรุเขตร้อนของโลก
112 | โครงการเสรมิ ศกั ยภาพการจัดการระบบนิเวศป่าพรุเพ่อื เพิ่มความสามารถในการกกั เกบ็ คาร์บอน
และอนุรกั ษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างย่ังยืน
ความหมายของ “พรุ” “ป่าพรุ” และ “พน้ื ทช่ี มุ่ น้า”
การทาความเข้าใจความหมายของคาสาคัญในประเด็นท่ีศึกษาเพ่ือวัตถุประสงค์หนึ่ง ๆ น้ัน
มีความสาคญั เพราะคาหนึ่งคาอาจมีหลายความหมาย หรือความหมายเดียวกันแต่มีชื่อเรียกทแี่ ตกต่างกัน
ตามภาษาของแต่ละท้องถ่ิน ทานองเดียวกัน คาว่า “พรุ” แต่ละพ้ืนท่ีอาจให้ความหมายหรือลักษณะท่ี
เหมือนหรือต่างกันบ้างตามเงื่อนไขและบริบทของพื้นท่ีน้ัน ๆ หรือแม้กระทั่งความสับสนเกี่ยวกับคาท่ี
คล้าย ๆ กนั ดงั คาวา่ พรุ ป่าพรุ และพื้นทีช่ ่มุ น้า ซง่ึ มีลักษณะเปน็ พ้นื ท่มี ีนา้ ขงั คลา้ ย ๆ กัน ทว่า คาเหล่านี้
ก็มีนิยามที่ต่างกัน
“พรุ” คนท่ัวไปเข้าใจตรงกันและมักนึกถึงลักษณะทางกายภาพของพรุว่าเป็นพ้ืนท่ีลุ่มมีน้า
ขงั พน้ื พรปุ ระกอบด้วยดินเป็นหล่ม เม่ือเดนิ ผา่ นพนื้ ผวิ ดินจะยุบตัวลงไดโ้ ดยงา่ ย นน่ั เปน็ เพราะวา่ อนุภาค
ของดินเกาะรวมตัวกันอย่างหลวม ๆ และมีความยืดหยุ่นสูง นอกจากนี้ยังรวมถึงพ้ืนท่ีบึงหรือหนองน้าท่ี
ค่อนข้างตื้นเขิน มีพืชจาพวกกกหรือหญ้าต่าง ๆ ข้ึนทับถมกันเป็นชั้นหนา ๆ คนสามารถเดินผ่านไปโดย
เหยียบย่าบนกกและหญ้าน้ันได้ พื้นที่เช่นน้ีก็ถูกจาแนกว่าเป็นพรุด้วย เรียกว่า พรุสนุ่น กระนั้น คาว่า
“พรุ” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้ความหมายอย่างสั้น ๆ ว่า “พื้นดินท่ี
ข้างบนแข็ง ข้างล่างหล่ม” (ชวลิต นิยมธรรม และพิชา พิทยขจรวุฒิ, 2540, 1) ต่อมาราชบัณฑิตยสถาน
ได้ปรับปรุงความหมายให้กว้างข้ึนโดยผนวกรวมสภาพพรุสนุ่นเข้าไว้ด้วย ดังน้ัน คาว่า “พรุ” ตาม
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 หมายถึง ที่ลุ่ม บริเวณท่ีลุ่มชื้นแฉะ มีสนุ่น คือ ซากผุพัง
ของพชื พรรณทับถมอย่มู าก (ราชบณั ฑติ ยสถาน, 2554, 816) ขณะทีน่ กั วชิ าการด้านป่าไม้หรอื นักวชิ าการ
ในสาขาที่เกี่ยวข้องได้อธิบายเก่ียวกับคาว่า “พรุ” ท่ีคล้ายคลึงกัน ทว่าอาจมีการขยายความเพ่ิมเติมใน
บางแงม่ ุมทสี่ ะทอ้ นมมุ มองของคาว่า พรุ ไดก้ ว้างขึน้
Simbolon and Mirmanto (1999 อา้ งถึงใน ธนิต หนูยิม้ , 2547, 4) อธิบายวา่ พรุ เป็นคา
ที่ใช้เรียกบริเวณที่เป็นท่ีลุ่มแฉะ มีน้าแช่ขัง มีซากผุพังของพืชทับถมกัน เวลาเหยียบย่าจะยุบตัว โดยที่
ธนิต หนูย้ิม (2547, 4) อธิบายเพ่ิมเติมว่า พรุมีความหมายตรงกับคาว่า peatland, mire, bog, fen,
swamp และ marsh ซ่ึงคาเหล่านี้มีความหมายเดียวกันเพียงแต่ถูกใช้เรียกกับพื้นท่ีพรุที่มีสภาพภูมิ
ประเทศ ธาตอุ าหารในดนิ และชนดิ พรรณไม้ที่มีสภาพแตกตา่ งกัน
ขณะที่ นพรัตน์ บารุงรักษ์ (2554, 4) ให้นิยามคาว่า “พรุ” ที่ตรงกันกับ สืบ นาคะเสถียร
(มลู นิธิสืบนาคะเสถียร, 2560) ซง่ึ เคยเรียบเรยี งข้อมูลเกี่ยวกบั ปา่ พรุไวใ้ นวารสารวนสาร ปีที่ 46 ฉบบั ที่ 4
ซง่ึ อธิบายเก่ียวกบั ที่มาของคาว่า “พรุ” วา่ เป็นคาสามญั ท่ีชาวบา้ นทางภาคใต้ใช้เรยี ก “บรเิ วณท่ีเปน็ ทลี่ ุ่ม
ชมุ่ ช้ืน มนี ้าแช่ขังมาก มซี ากผพุ งั ของต้นไม้และพันธุพ์ ืชทับถมมากหรือน้อย เวลาเหยยี บย่าจะยบุ ตัวและมี
ความรู้สึกหยุ่นๆ” พ้ืนท่ีน้ีตรงกับคาว่า “bog” ในภาษาอังกฤษ สอดคล้องกับ ครองชัย หัตถา (2536, 1-
23) ที่อธิบายในทานองเดียวกันว่า พรุ เป็นคาในภาษาท้องถิ่นภาคใต้ชาวบ้านใช้เรียกภูมิประเทศท่ีเป็นท่ี
ล่มุ ชน้ื แฉะ มีน้าแช่ขงั ตลอดปีหรอื เกอื บตลอดปี มีซากผุพักของพืชพรรณทับถม สภาพดนิ เปียกช้นื เนอื้ ดนิ
เกาะกันอยู่อย่างหลวม ๆ เม่ือเหยียบหรือกดลงไปจะมีการยบุ ตัวหรือจมลงไปตามนา้ หนักที่กดลงไป ภาค
กลางเรียกพื้นที่ดังกล่าววา่ “ท่ีลุ่มสนุ่น” ซ่ึงมีความหมายตรงกับคาว่า “bog” สภาพท่ัวไปของพรุจะมพี ชื
พรรณธรรมชาติขึ้นอยู่หนาแน่นมีพันธุไม้แตกต่างกันไปตามสภาพพ้ืนท่ีซ่ึงส่วนใหญ่พันธ์ุไม้ในพรุเป็นพืช
ชอบน้า บางประเภทจะลอยอยู่เหนือน้า บางประเภทอยู่ในน้า บางประเภทก็มีรากหย่ังลึกถึงชนั้ ดินใต้น้า
เม่ือพืชเหล่านี้ล้มตายหรือใบ ก่ิงก้านร่วมหล่นก็จะจมอยูในน้าสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นชั้น
รายงานสรุปสาหรับผบู้ ริหาร ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรุควนเคร็ง วิถคี นและป่า | 113
อินทรียวัตถุท่ีเรียกว่า พีท (peat) หรือมัค (muck) ซ่ึงช้ันของอินทรียวัตถุดังกล่าวจะพัฒนาเป็นดินพรุ
(peat soils) ในเวลาต่อมา บางพนื้ ทีท่ ่ีมีสภาพเป็นปา่ ก็เรียกวา่ ปา่ พรุ บางบริเวณถูกดดั แปลงใช้ประโยชน์
เช่น เป็นท่ีนาก็เรียกว่า นาพรุ เป็นต้น ดังน้ันคาว่า พรุ ป่าพรุ และนาพรุ จึงปรากฏเป็นช่ือท้องถ่ินที่ใช้
เรยี กสภาพพ้นื ที่ เชน่ พรุโต๊ะแดง ป่าพรคุ วนเครง็ บ้านนาพรุ เปน็ ต้น คาว่าพรุ ในความหมายทก่ี ลา่ วมาจึง
เป็นคาในความหมายกว้างไม่ได้ระบุลักษณะ และขอบเขตชัดเจนว่าจะต้องมีปริมาณอินทรียวัตถุเท่าใด
ช้ันดินมีความหนาเท่าใด หรือมีเง่ือนไขประกอบการพิจารณาอย่างไรบ้าง เม่ือมีกิจกรรมหรือโครงการท่ี
เก่ียวข้องกับการพัฒนา “พรุ” หรือการพัฒนา “ดินพรุ” จึงมักก่อให้เกิดความสับสนและเข้าใจไม่ตรงกนั
อยู่เสมอ ๆ ในแงค่ วามหมายของคา
ปา่ พรุคืออะไร
เมื่อเข้าใจกับความหมายของคาว่า “พรุ” แล้วจึงพอท่ีจะให้คาจากัดความอย่างง่ายและ
กระชับของคาว่า “ป่าพรุ” ได้ว่าเป็นพื้นที่พรุท่ีมีการปล่อยให้มีสภาพเป็นป่าดังที่ ครองชัย หัตถา (2563,
1) ได้อธิบายไว้ข้างต้น อย่างไรก็ตามในเชิงวิชาการด้านป่าไม้มีนักวิชาการหรือเอกสารทางวิชาการของ
หน่วยงานท่ีศึกษาข้อมูลด้านป่าพรุได้ให้ความหมายของป่าพรุท่ตี รงกันทั้งในแงล่ ักษณะโดยรวมของป่าพรุ
เช่น สภาพดนิ และน้า ความยดื หย่นุ เปน็ ตน้ และการจดั ประเภทของปา่ พรุ กลา่ วคือ
“ป่าพรุ” ตามคาอธิบายของ สืบ นาคะเสถียร (มูลนิธิสืบนาคะเสถียร, 2560) ระบุว่าเป็น
สังคมพืชป่าไม้ไม่ผลัดใบ (evergreen) อีกแบบหน่ึง โดยมีปัจจัยสาคัญ คือ สภาพพ้ืนดิน (edlaphic
factor) ที่มีน้าจืดขังติดต่อกันชั่วนาตาปี ตรงกับนิยามศัพท์ภาษาอังกฤษว่า “peat swamp forest” จัด
ว่าเป็นพ้ืนที่หน่ึงในสังคมพืชที่มีน้าท่วมหรือขัง 3 จาพวก ได้แก่ 1) ป่าเลนน้าเค็ม ป่าชายเลน หรือป่า
โกงกาง (mangrove forest) 2) ป่าบึงน้าจืด (freshwater swamp forest) และ 3) ป่าพรุ (peat
swamp forest) ทานองเดียวกัน อรวรรณ คูหเจริญ (2535, 164) ให้นิยามว่า ป่าพรุคือป่าไม่ผลัดใบอีก
ประเภทหนง่ึ ที่จะพบในที่ลุ่มน้าขัง ข้นึ อยใู่ นที่ที่มปี ริมาณน้าฝนตกชกุ ราว 2,000 มลิ ลติ เมตรต่อปี ไม้ท่ีพบ
โดยทัว่ ไปได้แก่ ทองกวาว และอนิ ทนลิ นา้ เชน่ เดียวกับ นพรตั น์ บารงุ รักษ์ (2554, 4) กไ็ ดใ้ ห้นิยาม ปา่ พรุ
ว่าเป็นป่าไม้ไม่ผลัดใบที่ปรากฏอยู่ในพื้นท่ีลุ่มต่า ลักษณะเป็นแอ่งกระทะมีน้าท่วมขังตลอดปี มีพรรณไม้
ของป่าดงดิบขึ้นหนาทึบ พ้ืนที่มีซากอินทรียวัตถุท่ีไม่สลายตัวทับถมกันหนา เรียกว่า ช้ันพีท (Peat bog)
มีลักษณะเป็นดินหยุ่น ๆ ที่เป็นกรดสูง ส่งผลให้น้าภายในป่าพรุกลายเป็นกรดจัดไปด้วย น้าในป่าพรุเกิด
จากการรองรับน้าฝนเอาไว้มิใช่เกิดจากแม่น้าลาคลอง น้าท่ีดูเหมือนหยุดนิ่งแท้จริงมีการไหลเร่ือย ๆ
ตลอดเวลา ทาให้มีปริมาณอากาศเพียงพอต่อรากไม้และสัตว์น้า ป่าพรุมีลักษณะโครงสร้างและความ
หลากหลายทางชีวภาพที่โดดเด่นแตกต่างจากสังคมพืชป่าไม้ชนิดอ่ืน ป่าพรุเป็นป่าดิบช้ืนพิเศษที่เกิดในท่ี
ล่มุ ต่า ซง่ึ เป็นรอยต่อระหว่างน้าจดื กับน้ากร่อย มสี ภาพเป็นแอ่งนา้ จดื ขงั ตดิ ต่อกนั เป็นเวลานาน และมีการ
สะสมของชั้นอนิ ทรยี วตั ถุ หรอื อนิ ทรีย์กองอยู่บนผิวดินแท้ ๆ หนาตั้งแต่ 0.5 ถึง 5 เมตร หรือมากกว่า
ไม่ตา่ งจาก ธวัชชัย สนั ตสิ ุข, สุรพล สดุ ารา, และ สนทิ อักษรแกว้ (2534, 2) ท่ีเคยให้นิยาม
คาว่า ป่าพรุ หรือ Peat swamp forest ไว้ในทานองเดียวกันว่า ป่าพรุเป็นสังคมพืชป่าไม้ท่ีมีเอกภาพใน
ลักษณะโครงสร้างและความหลากหลายของชนิดพรรณไม้ เกิดในภูมิประเทศที่เป็นพื้นท่ีลุ่มต่าหรือมี
สภาพเป็นแอ่งน้าจืดขังติดต่อกันชั่วนาตาปี และมีการสะสมกันของชั้นอินทรียวัตถุหรือดินอินทรีย์หนา
มากหรือน้อยอยู่เหนือช้ันดินแท้ ๆ การสะสมของซากพืชและอินทรียวัตถุจะเกิดขึ้นต่อเน่ืองกันในสภาวะ
114 | โครงการเสริมศักยภาพการจัดการระบบนิเวศป่าพรุเพ่ือเพมิ่ ความสามารถในการกักเกบ็ คาร์บอน
และอนรุ กั ษค์ วามหลากหลายทางชีวภาพอยา่ งยง่ั ยนื
น้าทว่ มขงั พชื พรรณในป่าพรุส่วนใหญจ่ ึงมวี วิ ัฒนาการในส่วนของอวัยวะให้มีโครงสร้างพิเศษเพ่ือดารงชีพ
อยู่ในสภาพสิ่งแวดล้อมเช่นนั้นได้ เช่น โคนต้นมักมีพูพอน มีระบบรากแก้วสั้นแต่มีรากแขนงแผ่กว้าง
แข็งแรง มีระบบรากพิเศษหรือระบบรากเสรมิ ได้แก่ รากค้ายัน หรือรากหายใจโผลเ่ หนือช้นั ดินอินทรยี ท์ ี่
มีน้าหล่ออยู่เป็นเนืองนิตย์ ช่วยในการพยุงลาต้นหรือช่วยในการหายใจ ซ่ึงจะพบในไม้ขนาดเล็กไปจนถึง
ขนาดใหญ่ ลักษณะที่มีเอกลักษณ์ของป่าพรุน้ีจะแตกต่างจากป่าดิบช้ืนในเขตร้อนต่าง ๆ ป่าพรุเกิดบน
พ้ืนท่ีเป็นแอ่งรูปกระทะที่มีการสะสมอย่างถาวรของซากพืชหรืออินทรียวัตถุท่ีไม่ค่อยสลาย โดยแช่อยู่ใน
น้าจืดที่ได้รับจากน้าฝนเป็นส่วนใหญ่ ในฤดูน้าหลากปริมาณน้าส่วนเกินในพรุจะเอ่อล้นไหลสู่ทะเลหรือ
แม่น้า ลาคลอง สอดคล้องกับบทสรุปนิยามป่าพรุที่สานักงานและแผนทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อม (2548, 71) ได้อธิบายไว้ น่ันคือ ป่าพรุ (Peat swamp forests) เป็นลักษณะหนึ่งของพื้นท่ี
ชุ่มน้า ขึ้นอยู่ในพ้ืนท่ีลุ่มน้าท่วมขังตลอดปี ดินส่วนใหญ่เป็นดินอินทรีย์วัตถุท่ีเกิดจากการทับถมของซาก
พืชซากสัตว์ รับน้าจากน้าฝนเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีการระบายน้าตามธรรมชาติอย่างต่อเน่ืองและสม่าเสมอ
ป่าพรุเป็นสังคมป่าประเภทไม่ผลัดใบ หรือป่าดงดิบท่ีได้รับอิทธิพลจากสภาพของพ้ืนดินท่ีมีน้าจืดขัง
ติดตอ่ กนั เป็นเวลานาน โดยนา้ ในป่าพรุเป็นนา้ จืดทม่ี ีการไหลอย่างช้า ๆ และมสี ีน้าตาล ซง่ึ เปน็ น้าฝาดท่ีได้
จากการสลายตัวของซากพืชและอินทรียวัตถุ มีรสเฝ่ือนเน่ืองจากกรดของอินทรีย์และอิทธิพลของดิน
อินทรีย์ชั้นล่างหรือดินแร่ธาตุ (Mineral soils) แทรกซึมข้ึนมาสู่ดินชั้นบน ทาให้น้าและดินในป่าพรุมี
สภาพเปน็ กรด และเพ่อื ปรบั ตวั ให้เขา้ กับส่งิ แวดล้อม พรรณไมใ้ นป่าพรจุ ึงมรี ะบบรากพิเศษต่างไปจากพืช
ในพืน้ ทอ่ี น่ื เช่น ต้นปาหนนั ชา้ ง (Goniothalamus giganteus) มีรากคา้ ยันย่ืนออกมาจากลาตน้ ทอดยาง
ลงสพู่ ืน้ ดนิ ต้นกราตาหรอื ต้นหงอกคา่ ง (Palisshia insignis) มีรากพพู อนเป็นแผน่ สูงไวค้ ้ายันลาด้น
พน้ื ทช่ี ุม่ นา้ (Wetland) คืออะไร
พ้ืนที่ชุ่มน้า (Wetland) เป็นคาท่ีใช้เรียกระบบนิเวศท่ีปกคลุมด้วยพ้ืนน้าบางส่วนหรือท้ังหมด
หรือพื้นท่ีที่มีน้าท่วมในบางฤดูกาลหรือตลอดทั้งปี มีลักษณะก้าก่ึงระหว่างระบบนิเวศบกและระบบนิเวศ
น้า ดังน้ันพ้ืนที่พรุจึงมักหมายถึงพื้นท่ีชุ่มน้าด้วยเสมอ (เสาวคนธ์ รุ่งเรือง, 2550) ส่วนคาจากัดความตาม
อนุสญั ญาแรมซาร์ (Ramsar Convention) หรอื อนุสัญญาวา่ ด้วยพื้นทชี่ ุ่มน้าในมาตรา 1.1 ของอนุสญั ญา
ว่าด้วยพื้นท่ีชุ่มน้าระบุไว้ว่า "พ้ืนท่ีชุ่มน้า" (Wetlands) หมายถึง ท่ีลุ่ม ที่ราบลุ่ม ท่ีช้ืนแฉะ พรุ แหล่งน้า
ทั้งท่ีเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้น ท้ังท่ีมีน้าขังหรือ น้าท่วมอยู่ถาวรและช่ัวคร้ังช่ัวคราว
ทั้งท่เี ป็นแหลง่ นา้ นิง่ และนา้ ไหล ทั้งทเ่ี ปน็ น้าจดื น้ากรอ่ ย และน้าเค็ม รวมไปถึงชายฝ่ังทะเลและท่ใี นทะเล
ในบรเิ วณซ่งึ เมอ่ื นา้ ลดลงต่าสดุ มคี วามลกึ ของระดบั น้าไม่เกิน 6 เมตร" และมาตรา 2.1 ของอนุสัญญาว่า
ด้วยพ้ืนที่ชุ่มน้า อธิบายว่า พ้ืนท่ีชุ่มน้า คือ "พ้ืนที่ซ่ึงมีลักษณะจัดได้ว่าเป็นพ้ืนท่ีชุ่มน้า จึงรวมถึง ห้วย
หนอง คลอง บึง บ่อ กระพัง (ตระพัง) บาราย แม่น้า ลาธาร แคว ละหาน ชานคลอง ฝั่งน้า สบธาร สระ
ทะเลสาบ แอง่ ลุ่ม กุด ทงุ่ กวา๊ น มาบ บุ่ง ทาม สนนุ่ แกง่ น้าตก หาดหิน หาดกรวด หาดทราย หาดโคลน
หาดเลน ชายทะเล ชายฝ่ังทะเล พืดหินปะการัง แหล่งหญ้าทะเล แหล่งสาหร่ายทะเล คุ้ง อ่าว ดินดอน
สามเหล่ียม ช่องแคบ ชะวากทะเล ตะกาด หนองน้ากร่อย ป่าพรุ ป่าเลน ป่าชายเลน ป่าโกงกาง ป่าจาก
ป่าแสม รวมท้ังนาข้าว นากุ้ง นาเกลือ บ่อปลา อ่างเก็บน้า เป็นต้น" (สานักงานนโยบายและแผน
ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อม, 2557)
รายงานสรปุ สาหรบั ผ้บู รหิ าร ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบาย และพรคุ วนเคร็ง วถิ คี นและป่า | 115
พื้นที่ชุ่มน้าทั่วโลกเป็นถ่ินที่อยู่อาศัยของส่ิงมีชีวิตนานาชนิด อาจแบ่งออกตามลักษณะของถิ่นท่ี
อยู่อาศัย (habitat) เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ พ้ืนที่ชุ่มน้าชายฝ่ังทะเล และพื้นที่ชุ่มน้าในแผ่นดิน ใน
สองประเภทนป้ี ระกอบด้วย
พ้ืนท่ีชุ่มน้าชายฝ่ังทะเล เช่น ทะเล (marine) หรือ ชายฝั่งทะเล เป็นบริเวณที่ไม่อยู่ภายใต้
อทิ ธพิ ลของกระแสจากแม่นา้ เช่น ทะเลสาบน้าเคม็ (lagoon) หรือนา้ กรอ่ ย ทะเล (marine) หรอื ชายฝงั่
ทะเลเป็นบริเวณที่ไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของกระแสจากแม่น้า เช่น ทะเลสาบน้าเค็ม (lagoon) หรือ น้า
กร่อย ปากแม่น้า หรือ ชวากทะเล (estuarine) เป็นบริเวณที่แม่น้าและทะเลมาบรรจบกันมีความเค็มอยู่
ระหว่างน้าทะเลและน้าจืด เช่น ดินดอนสามเหลี่ยม (delta) ที่ราบลุ่มน้าขึ้นถึง (tidal marsh) ป่าชาย
เลน (mangrove forest) หาดโคลน หาดเลน (mud flat) แหลง่ หญา้ ทะเล (seagrass bed) เปน็ ตน้
พ้ืนที่ชุ่มน้าในแผ่นดิน แบ่งเป็น 1) แหล่งน้าไหล (riverrine) ได้แก่ แม่น้า ลาธาร ลาคลอง ลา
ห้วย ทมี่ นี า้ ไหลตลอดปี หรือ น้าไหลบางฤดู ฝง่ั แม่นา้ หรือหาดแมน่ ้า หรอื สันทราย หมายรวมถงึ ทร่ี าบลุ่ม
ฝ่ังแม่น้า ได้แก่ ทุ่งหญ้าหรือพรุหญ้า ป่าพรุ บริเวณรอบๆ แม่น้าที่มีน้าท่วมขังเป็นบางคร้ังบางคราว เช่น
แอง่ น้า วงั น้าในแม่น้า ทุ่งน้าจืด 2) ทะเลสาบหรือบึง (lacustrine) ไดแ้ ก่ แหล่งนา้ ขนาดใหญ่ หรือพ้ืนท่ีที่
มนี ้าขังตลอดเวลา หรอื บางฤดู และมีกระแสน้าไหลเล็กนอ้ ย มคี วามลกึ มากกวา่ 2 เมตร และมพี ืชนา้ น้อย
กว่าร้อยละ 30 ของผิวน้า เช่น ทะเลสาบ บึงต่างๆ 3) ที่ลุ่มชื้นแฉะ หรือ หนองน้า (palustrine) ได้แก่
พื้นที่ท่ีมีน้าท่วมขังอยู่ตลอดเวลาหรือบางฤดู มีความลึกไม่เกิน 2 เมตร และมีพืชน้าปกคลุมมากกว่าร้อย
ละ 30 ของผิวน้า ได้แก่ ท่ีลุ่มช้ืนแฉะ (marsh) ที่ลุ่มสนุ่น หนองน้าซับ (bog) ท่ีลุ่มน้าขัง (swamp) เป็น
ต้น นอกจากนี้ พื้นที่ชุ่มน้ายังรวมถึงแหล่งน้าท่ีสร้างขึ้น เช่น นาข้าว บ่อเล้ียงสัตว์น้า พ้ืนที่ชลประทาน
อ่างเกบ็ น้า รวมถึงคลองท่ีขุดขึ้นอีกด้วย (สานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อม,
2552)
ประโยชน์และคุณค่าของพ้ืนที่ชุ่มน้า คุณค่าโดยรวมของพื้นที่ชุ่มน้า ได้แก่ การเป็นแหล่งน้า
แหล่งกักเก็บน้าฝน และน้าท่า ป้องกันน้าเค็มมิให้รุกเข้ามาในแผ่นดิน ป้องกันชายฝ่ังพังทลาย ดักจับ
ตะกอนและแร่ธาตุ ดักจับสารพิษ เป็นแหล่งทรัพยากรและผลผลิตธรรมชาติท่ีมนุษย์เข้าไปเก็บเกี่ยวใช้
ประโยชน์ เป็นแหล่งรวบรวม พันธุ์พืชและสัตว์ มีความสาคัญทางนิเวศวิทยาและการอนุรักษ์
ธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างย่ิงเป็นแหล่งของผู้ผลิตท่ีสาคัญในห่วงโซ่อาหาร ความสาคัญด้านนันทนาการ
และการท่องเท่ียว ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณีท้องถ่ิน และเป็นแหล่งศึกษาวิจัยทางธรรมชาติ
พ้ืนท่ชี ุ่มน้าเป็นระบบนเิ วศท่ีมบี ทบาทหน้าท่ี ตลอดจนคณุ ค่าและความสาคัญต่อวิถีชีวิตทั้งของมนุษย์ พชื
และสัตว์ ทั้งทางนิเวศวิทยา เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ทั้งในระบบท้องถ่ิน ระดับชาติ และระดับ
นานาชาติ (สานกั งานนโยบายและแผนทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม, 2557)
ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ชุ่มน้าท่ีอยู่ในทะเบียนรายนามพื้นท่ีชุ่มน้าท่ี มีความสาคัญระหว่าง
ประเทศ หรือแรมซาร์ไซต์ของอนสุ ญั ญาว่าดว้ ยพน้ื ทชี่ ุ่มน้ารวมท้ังสนิ้ 14 แหง่ โดยอยูใ่ นพน้ื ที่อนุรักษ์ เช่น
อุ ท ย า น แ ห่ ง ช า ติ เ ข ต ห้ า ม ล่ า สั ต ว์ ป่า จ า น ว น 9 แ ห่ ง แ ล ะ อ ยู่ ใ น พ้ื น ท่ี ชุ ม ช น แ ล ะ / หรือ
ท่ีสาธารณะ รวม 5 แห่ง (ภาพที่ 1.11 )(สานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ้ ม,
2557)
116 | โครงการเสริมศกั ยภาพการจัดการระบบนิเวศปา่ พรุเพ่อื เพิ่มความสามารถในการกกั เกบ็ คาร์บอน
และอนุรักษค์ วามหลากหลายทางชวี ภาพอย่างยั่งยืน
ภาพท่ี 1.11 พื้นทีช่ มุ่ นา้ ทีม่ คี วามสาคญั ระหวา่ งประเทศ
ทม่ี า: สานกั งานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม (2552)
รายงานสรปุ สาหรบั ผบู้ รหิ าร ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรุควนเคร็ง วิถคี นและปา่ | 117
ธาตุ 4 พรุ : ดนิ นา้ ลม (อากาศ) ไฟ
การทาความเข้าใจกับสภาพดิน น้า อากาศ และไฟในป่าพรุมีความสาคัญอย่างมากต่อการ
จัดการป่าพรุไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง
ดินในป่าพรุ
ดินและดินพรุ ดิน (Soils) หมายถึง วัตถุหรือเทหวัตถุที่เกิดขึ้นจากการสลายตัวของหิน
และแร่ ผสมคลุกเคล้ากับอินทรียวัตถุหรือซากพืชซากสัตว์ท่ีย่อยสลายแล้ว หรือกาลังถูกย่อยสลาย รวม
กับน้าและอากาศในสัดส่วนท่ีแตกต่างกัน หรืออาจกล่าวได้ว่า ดินเป็นผลผลิตจากการกระทาร่วมกันของ
ปัจจัยสภาพภูมิอากาศ ส่ิงไม่มีชีวิตและสิ่งมีชีวิตต่อวัตถุต้นกาเนิดดิน ในสภาพแวดล้อมท่ีใดที่หน่ึงใน
ช่วงเวลาใดเวลาหน่ึง ซ่ึงประกอบไปด้วยขบวนการท่ีสาคัญ ได้แก่ การเพิ่ม การสูญเสีย การเคล่ือนย้าย
และการแปรสภาพ โดยมีปัจจัยภายนอกท่ีมีอิทธิพบต่อการเกิดดิน นั่นคือ วัตถุต้นกาเนิดดิน สภาพ
ภูมิอากาศ สภาพภมู ิประเทศ สง่ิ แวดล้อมทางชีวภาพ และเวลา (สานกั อนุรกั ษท์ รัพยากรป่าชายเลน กรม
ทรัพยากรทางทะเลและชายฝง่ั กระทรวงทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, 2554, 1)
ดินพรุมีความหลากหลายสภาพ ดังท่ีครองชัย หัตถา (2536, 1-2) ได้อธิบายว่าพื้นที่พรุ
โดยทัว่ ไปมดี ินหลายประเภทแตกต่างกนั ออกไปตามสภาพพื้นที่และสภาพแวดล้อมแต่ละแหง่ พรุบางแห่ง
อาจประกอบด้วยดินทรายจัดบริเวณขอบพรุ บางแห่งอาจเป็นดินเหนียวหรือดินเหนียวปนทราย ขณะท่ี
บางแห่ง เช่น ใต้ช้ันพรุ อาจเป็นดินโคลนเลนก็ได้ สาหรับคาว่า ดินพรุ หมายถึง organic soils หรือดิน
อินทรีย์ ซึ่งต้องมีอินทรียวัตถุประกอบในปริมาณสูงและต้องมีความหนาหรือความลึกของชั้นดินตาม
หลักเกณฑ์ที่กาหนดไว้ ท้ังน้ี จาเป็น อ่อนทอง (2550, 52) อธิบายว่า ดินอินทรีย์ หมายถึง ดินที่มี
อินทรียวัตถุในรูปของอินทรีย์คาร์บอนปนอยู่ในเน้ือดินมากกว่าร้อยละ 20 และเกิดเป็นช้ันหนามากกว่า
40 เซนติเมตร สังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่ามีเศษพืชที่ยังผุพังสลายตัวไม่หมดปะปนอยู่ท่ัวไป ชั้นดิน
อินทรีย์เกิดจากการสะสมของเศษชิ้นส่วนพืชในบริเวณที่ลุ่มต่ามีน้าแช่ขังเกือบตลอดท้ังปีที่เรียกว่า พ้ืนที่
พรุ ใต้ดนิ ช้นั ดินอนิ ทรียล์ งไปเปน็ ชนั้ เลนตะกอนทะเลสีเทาปีเขยี วซ่ึงมสี ารประกอบกามะถนั สงู เมอื่ ระบาย
น้าออกชั้นดินอินทรีย์จะแห้งยุบตัวรวดเร็ว ติดไฟง่าย และชั้นเลนตะกอนทะเลจะแปรสภาพเป็นกรด
กามะถันทาให้ดินเป็นกรดจัดมาก มีค่า pH น้อยกว่า 4.5 ซ่ึงลักษณะพ้ืนท่ีเช่นนี้มักมีสภาพเปน็ ป่าพรุหรือ
ปล่อยทิ้งร้าง ส่วนบริเวณริมพรุหรือที่ดอนที่มีชัน้ ดินอินทรีย์หนาไม่มากสามารถจะพัฒนาหรือปรับปรุงมา
ใช้ปลูกพืชบางชนิดได้ แต่ต้องมีการควบคุมการระบายน้าเข้าออกจากพื้นท่ีให้ดีเพ่ือไม่ให้ดินแห้งและ
ยุบตัว และไม่ให้ชั้นดินที่มีสารกามะถันสัมผัสกับอากาศอันจะทาให้ดินแปรสภาพเป็นกรดจัดมากจนพืช
บางชนิดไม่สามารถเจริญเติบโตได้ ดินที่จัดเป็นดินอินทรีย์ ได้แก่ ชุดดินกาบแดง ชุดดินนราธิวาส ซ่ึง
จาแนกอยใู่ นอันดับฮสิ โทซอลส์( Histosols) ตามระบบอนุกรมวธิ านดนิ ทัง้ น้ี จากภาวะดินพรุในสภาพที่มี
การสูญเสียน้าหล่อเล้ียงทาให้ดินพรุกลายเป็นดินเปรี้ยว จึงมีการให้นิยามดินพรุและดินเปรี้ยวคือสิ่ ง
เดียวกัน ดังท่ี ศุลีพร บุญบงการ (2558) อธิบายไว้ว่า ดินพรุ คือ ดินในพ้ืนท่ีพรุที่แปรสภาพเปน็ ดินเปร้ยี ว
จัด เน่ืองจากดินในพื้นที่พรุซ่ึงเป็นภาษาท้องถิ่นของภาคใต้แปลว่าพื้นท่ีที่มีน้าขัง มีลักษณะเป็น
อินทรียวัตถุ หรือซากพืชซากสัตว์ท่ีเน่าเปื่อยทับถมอยู่ข้างบน และมีสารประกอบกามะถันที่เรียกว่า
สารประกอบไพไรท์อยู่มาก เมื่อต้องการใช้ประโยชน์จากพื้นที่พรุ จึงจาเป็นต้องสูบน้าออกจากพ้ืนที่จน
หมด และเมอ่ื ดนิ แหง้ สารประกอบไพไรทจ์ ะทาปฏิกริ ิยากับอากาศ ปลอ่ ยกรดกามะถนั ออกมาทาให้ดินมี
ความเปน็ กรดจัด หรอื เปรย้ี วจดั ดังน้ัน คาว่าดนิ พรจุ ึงใช้คาภาษาองั กฤษเช่นเดยี วกบั ดินเปร้ยี วนน่ั เอง
118 | โครงการเสรมิ ศกั ยภาพการจดั การระบบนเิ วศป่าพรุเพอ่ื เพม่ิ ความสามารถในการกกั เก็บคาร์บอน
และอนุรกั ษ์ความหลากหลายทางชวี ภาพอยา่ งยัง่ ยืน
อน่ึง ความหนาของช้ันดินอินทรีย์ในบางนิยามอาจแตกต่างกันอยู่บ้าง ดังกรณีการให้
นิยามเกี่ยวกับดินพรุของ ชวลิต นิยมธรรม และพิชา พิทยขจรวุฒิ (2540, 18) ที่อธิบายว่า ดินพรุ
หมายถึง ดินท่ีมีอินทรียวัตถุสะสมอยู่เป็นจานวนมากจนเป็นช้ันหนามีความหนาอย่างน้อยตั้งแต่ 50
เซนติเมตรขึ้นไป น้าท่ีท่วมขังพ้ืนพรุเป็นน้าจืด (Freshwater) มีสภาพความเป็นกรดระหว่าง 4.5 ถึง 6.0
อินทรียวัตถุที่ทับถมกันเป็นเวลานานจนแปรสภาพเป็นดินอินทรีย์นั้นมีสภาพเป็น “อินทรีย์คาร์บอน
(Organic carbon) ท้ังนี้ได้อ้างถึง พิสุทธิ์ วิจารสรณ์ (2527) ว่าได้ให้คาจากัดความ ดินพรุ ว่าหมายถึง
ดินท่ีประกอบด้วยอินทรีย์คาร์บอนมากกว่าร้อยละ 18 ข้ึนไป ถ้าหากว่าเน้ือดินประกอบด้วยอนุภาคดิน
เหนียวมากกว่าร้อยละ 60 หรือหมายถึงดินท่ีประกอบด้วยอินทรีย์คาร์บอนอยู่ในพิสัยระหว่างร้อยละ
12-18 ถ้าหากว่าเนื้อดินประกอบด้วยอนุภาคดินเหนียวน้อยกว่าร้อยละ 60 ขณะท่ีสืบ นาคะเสถียร
(มลู นธิ ิสบื นาคะเสถยี ร, 2560) อธิบายถงึ สภาพดนิ พรุ ทีม่ ีซากพนั ธพุ์ ชื ทับถมนัน้ จัดว่าเป็นดนิ อนิ ทรีย์วัตถุ
หรือ ดินเชิงอินทรีย์ (organic soils) หรือที่รู้จักกันว่า ดินชุดนราธิวาส (Narathiwat serics) ส่วนท่ีสลาย
ไปหมดเรียกว่า ‘muck’ ส่วนที่สลายไม่หมดเรียกว่า ‘peat and muck soil’ ส่วนมากจะมีความลึก
(หนา) อยูร่ ะหวา่ ง 50 – 100 ซม. บางแหง่ อาจลกึ มากกว่า 2 เมตร
เหน็ ได้วา่ ขอ้ มูลความหนาของดนิ พรุน้นั อาจมีความแตกต่างกันอยูบ่ ้างเล็กน้อย และอาจ
สรุปข้อมูลความหนาของดินพรุได้ว่ามีความหนาท่ีมากกว่า 40 เซนติเมตรถึง 100 เซนติเมตร หรืออาจ
มากกว่า 2 เมตร หรือมากกว่านั้น โดยข้ึนอยู่กับสภาพพื้นท่ีพรุแต่ละแห่งท่ีมีลักษณะภูมิประเทศหรือ
สภาพแวดล้อมท่ีแตกตา่ งกัน ดังที่ ครองชยั หตั ถา (2536, 1-2) อธิบายว่า ดนิ พรปุ รากฏในสภาพแวดล้อม
หลายแบบท้งั ในเขตภูมอิ ากาศเขตรอ้ น เขตอบอุ่นและเขตหนาว พืชพรรณซ่ึงเป็นแหล่งกาเนดิ วัตถุอินทรีย์
ท่ีสาคัญมีต้ังแตพ่ ชื พรรณไมเ้ ขตร้อนชนื้ หญา้ เฟริ ์นชนดิ ตา่ ง ๆ ตลอดจนพวกมอส สาหรา่ ย และตะไคร่น้า
เป็นต้น สภาพภูมิประเทศท่ีกาเนิดอาจเป็นที่ราบ ที่ลุ่มต่า ที่สูง และภูเขา ในขณะท่ีการทับถมของเศษ
ซากพืชและอินทรียสารอื่น ๆ นั้น อาจมีอนินทรียสาร เช่น น้า ตะกอนดินเหนียว ซิลต์หรือทรายปะปน
ด้วย ดังนั้นลักษณะของดินพรุที่พบจึงแตกต่างกันไปตามลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ชนิด และ
ปริมาณของพืชพรรณและส่ิงมีชีวิตอ่ืนๆ ตลอดจนระยะเวลาการพัฒนา โดยในเขตร้อนการสะสมของ
อนิ ทรยี สารมกั เกิดข้ึนในท่นี า้ ขังหรือผวิ ดนิ อ่ิมตวั ด้วยน้าเกือบตลอดเวลา เช่น ในท่ลี ุ่ม หนอง บงึ ทะเลสาบ
เก่า หรือบริเวณท่ีชื้นแฉะชายฝ่ังทะเล อินทรียวัตถุส่วนใหญ่ แก่ เศษซากพืชที่ร่วงหล่นหรือตายทับถมกัน
ในสภาพท่ีมีน้าขังหรือมีระดับน้าใต้ดินสูงเกือบตลอดปี การเน่าเป่ือยย่อยสลายเกิดข้ึนอย่างช้า ๆ และมัก
เป็นการสลายตัวท่ีไม่สมบูรณ์ เน่ืองจากอยู่ในสภาพที่ขาดออกซิเจน หากอัตราการสะสมอินทรียวัตถุมี
มากกว่าอัตราการสลายตัวกจ็ ะเกดิ การทับถมกันเปน็ ชั้น ส่วนในเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ เปน็ แหล่งท่ีมีพื้น
ท่ีดินพรุมากที่สุดของเขตร้อน พบดินพรุท่ัวไปในท่ีลุ่มต่า ชายฝ่ังทะเล การเกิดดินพรุเก่ียวข้องกับการ
เปล่ียนแปลงของระดับน้าทะเลในอดีต และการสร้างตัวของชายฝั่งทะเล เป็นผลให้เกิดที่ลุ่มต่าและที่ช้ืน
แฉะซ่ึงต่อมามีพืชพรรณชนิดต่าง ๆ เจริญเติบโตและตายทับถมกัน ความหนาของช้ันดินพรุแตกต่างกัน
อาจพบเพียงชั้นบาง ๆ จนถึงมีความหนาหลายเมตร เช่น บางแห่งของสุมาตราพบช้ันดินพรุหนาถึง 15
เมตร กล่าวกนั วา่ การเกิดดนิ พรทุ ่ีปรากฏในปจั จุบันอาจมีมาแลว้ ตั้งแตก่ ว่า 1 หม่นื ปี ตอนปลายยคุ น้าแข็ง
สดุ ท้ายถึงปจั จบุ ัน
รายงานสรปุ สาหรบั ผูบ้ รหิ าร ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบาย และพรคุ วนเครง็ วิถคี นและป่า | 119
ดินอินทรยี ์ กามะถัน และดินเปรย้ี ว ข้อมลู ข้างต้นที่อธิบายเกี่ยวกับดินพรุทมี่ ีคุณสมบัติเป็น
ดินอินทรีย์ที่เรียกอีกอย่างว่าดินเปรี้ยวเพราะมีค่าความเป็นกรดสูง โดยกรดกามะถัน เป็นปัจจัยสาคัญที่
ทาให้ดนิ พรุมีคา่ ความเปน็ กรดสงู อยา่ งไรกต็ าม ธาตุกามะถนั ถือเป็นแรธ่ าตุหนง่ึ ที่สาคัญต่อพืช ทว่าหากมี
ความเข้มข้นสูงก็จะส่งผลเสียต่อพืช ดังท่ี วิเชียร จาฏุพจน์ (2549, 69) อธิบายไว้นั่นคือเป็นธาตุอาหารที่
พชื ตอ้ งการในปริมาณมาก ในระดับที่ใกลเ้ คียงกับธาตุฟอสฟอรัส แคลเซียม และแมกนีเซียม แต่นอ้ ยกว่า
ไนโตรเจน (N) และ โพแทสเซียม (K) โดยพืชดูดกินธาตุกามะถันในรูปซัลเฟต (SO42-) และเข้าสู่พืชทาง
ใบได้เล็กน้อยในรูปก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซต์ (SO2) แต่ถ้าความเข้มข้นสูงจะเป็นพิษต่อพืช พืชดูดกิน
ซัลเฟตในสารละลายดินจากการเคลื่อนท่ีโดยกลไกการไหลแบบกลุ่มก้อนเป็นส่วนใหญ่ และโดยการแพร่
ได้บางส่วนซึ่งเป็นกลไกการดูดกับไนโตรเจน ซ่ึงเก่ียวข้องกับกระบวนการทางชีวภาพเป็นเหลัก ปริมาณ
กามะถันในดนิ บนพนื้ ผวิ โลกอยู่ในชว่ งร้อยละ 0.06-0.10 ซงึ่ อยูใ่ นรูปของซลั เฟต (SO42-) และซัลไฟด์ (S2-)
ปริมาณของซัลเฟตในดินโดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 0.04 ซ่ึงใกล้เคียงกับฟอสฟอรัส แต่มีความเป็น
ประโยชน์ได้มากกว่า ส่วนปริมาณในสารละลายดินอยู่ในช่วง 5-20 ppm ในดินเขตอบอุ่น ระดับท่ี
เพียงพอต่อความต้องการของพืชโดยทวั่ ไปประมาณ 3-5 ppm สว่ นในดินเนอ้ื หยาบทีม่ ีปริมาณซัลเฟตต่า
อาจจะน้อยกว่า 5 ppm พ้ืนที่เพาะปลูกในประเทศไทยพบมีการขาดกามะถันมีอยู่ค่อนข้างมาก คาดว่า
ประมาณร้อยละ 50 ในภาคอีสาน ในที่ราบชายฝ่ังตะวันออกของภาคใต้ และพื้นท่ีสูงของภาคเหนือ
ประมาณร้อยละ 30-40 ตามลาดับ ขอ้ มลู ดังกล่าวชใี้ หเ้ หน็ วา่ แม้กามะถันจะเปน็ ธาตหุ นึ่งทีม่ ปี ระโยชน์ต่อ
พืช แต่หากมีมากเกินไปเฉกเช่นในพนื้ ท่ีพรุก็เปน็ ตวั ทาลายป่าพรุสมบรู ณ์ท่ีมีความหลากหลายทางชีวภาพ
มีพชื พรรณขึน้ ได้หลากหลายชนดิ เม่อื ระดบั นา้ ในพรเุ ปลี่ยนไปหรือแห้งหรือการถูกกระทาด้วยปัจจยั ใด ๆ
ก็ตามท่ีส่งผลให้ระดับน้าข้ึนและน้าลงในป่าพรุจนทาให้น้าในพรุแห้งก็ย่อมส่งผลให้ป่าพรุน้ันกลายสภาพ
เป็นป่าพรุที่เส่ือมโทรม มีพืชบางชนิดเท่าน้ันที่เจริญเติบโตอยู่ได้ เช่น ต้นเสม็ดขาว และจากความเสื่อม
โทรมของป่าพรุก็กลายเป็นพ้ืนทเ่ี ปราะบางที่ล่อแหลมต่อการเข้าบุกรกุ ทาลายเพ่ือครอบครองพื้นท่ีในการ
นามาใช้ประโยชน์อย่างอ่ืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแปรสภาพเป็นสวนปาล์มน้ามัน พืชเศรษฐกิจที่
ตอบสนองตอ่ นโยบายของรัฐ
นา้ ในปา่ พรุ
น้าเป็นอีกปัจจัยสาคัญอย่างยิ่งต่อการดารงอยู่ของป่าพรุ ชวลิต นิยมธรรม และพิชา
พิทยขจรวุฒิ (2540, 19) น้าในป่าพรุมีกายสมบัติและเคมีสมบัติแตกต่างไปจากน้าจืดในแหล่งน้าอ่ืนมาก
เน่ืองจากภมู ิประเทศของพรเุ ป็นท่ีลมุ่ ต่าใกลช้ ายฝั่งทะเลจึงทาใหน้ ้าท่วมขงั พื้นดินตลอดปีหรือเกือบตลอด
ปี น้าที่ท่วมขังไหลได้อย่างช้า ๆ สีของน้าในพรุเป็นสีน้าตาลซึ่งเป็นน้าฝาดท่ีได้จากการสลายตัวของซาก
พืชและอนิ ทรียวัตถุ รสชาติของนา้ เฝ่ือนเน่ืองจากน้าฝาดและกรดอินทรีย์ และอทิ ธพิ ลของดินอนนิ ทรีย์ชั้น
ล่าง (Mineral soils) ตัวอย่างเช่น ปริมาณสารประกอบกามะถันในดินเลนทะเล (Mud Clay) ชั้นล่างซึม
แทรกขึ้นมาสดู่ ินช้นั บนทาใหน้ ้าในป่าพรุมีสภาพเปน็ กรด ด้วยเหตุนท้ี าใหน้ ้าในปา่ พรุแตกตา่ งจากน้าจืดใน
แหลง่ น้าธรรมชาตอิ ื่น ๆ โดยท่วั ไป
120 | โครงการเสริมศกั ยภาพการจดั การระบบนเิ วศปา่ พรุเพือ่ เพมิ่ ความสามารถในการกักเกบ็ คาร์บอน
และอนรุ กั ษค์ วามหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยนื
อากาศในปา่ พรุ
ดิน น้า ลม (อากาศ) ไฟ คือ ธาตทุ ัง้ สีท่ ่ีสาคญั ตอ่ สรรพสิ่ง ไม่วา่ จะเป็นระบบร่างกายของ
มนุษย์ สัตว์ หรือผืนป่า ธาตุทั้งส่ีมีความเกี่ยวพันเชอ่ื มโยงกัน ดังนั้นการทาความเข้าใจต่อสภาพอากาศใน
ป่าพรุมีความสาคัญเช่นเดียวกับปัจจัยอื่น ๆ ที่สามารถนาข้อมูลไปใช้ในการจัดการป่าพรุได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ ข้อมูลอากาศในป่าพรุบ่งชี้ได้ถึงสภาพป่าพรุหรือความเปล่ียนแปลงของป่าพรุแต่ละแห่ง
เช่น หากมีการเปล่ียนแปลงของดินพรุก็ย่อมส่งผลต่ออากาศในป่าพรุด้วยเช่นกัน แร่ธาตุต่าง ๆ ในดินพรุ
ทั้งนี้ ชวลิต นิยมธรรม และพิชา พิทยขจรวุฒิ (2540, 21) สะท้อนข้อมูลผลการศึกษาเกี่ยวกับอากาศใน
ป่าพรุ โดยอธิบายว่า อากาศในป่าพรุธรรมชาติมีอากาศท่ีบริสทุ ธ์ิและมีความรม่ เย็นมากกวา่ ป่าพรุที่เสือ่ ม
โทรมหรือพรุในท่ีโล่งแจ้ง ผลการตรวจวัดปริมาณก๊าซที่เป็นมลภาวะในอากาศ เช่น ก๊าซมีเทน (CH4) ใน
บริเวณพ้ืนท่ีป่าพรุสมบรู ณ์ ป่าพรุเสม็ด ป่าพรุเสื่อมโทรมและในนาข้าว พบว่า ปริมาณก๊าซมีเทนในป่าพรุ
สมบรู ณม์ นี อ้ ยกว่าในป่าพรเุ สอ่ื มโทรมและในนาขา้ วมาก
ไฟในปา่ พรุ
เมื่อกล่าวถึงประเด็นไฟกับป่าไม้ ไฟมักเป็นผู้ร้ายทาลายป่า แน่นอนว่าทุกสรรพสิ่งล้วนมีทั้ง
ด้านดีและไม่ดี การได้รับผลดีจะเกิดขึ้นเม่ือมีการใช้สิ่งเหล่านั้นอยู่ภายใต้หลักความพอดีและเหมาะสม
หากใช้มากจนเกินไปก็ย่อมสง่ ผลกระทบ เช่นเดียวกับไฟที่มีท้ังดา้ นดีและไม่ดี หากใช้พอดีเหมาะสมก็เกดิ
ประโยชน์ และในความเป็นจริงแล้วไฟมีความเชื่อมโยงกับวิถีชุมชนท้องถิ่นมายาวนานนับตั้งแต่ชาว
พื้นเมืองชนเผ่าอะบอริจินเริ่มรู้จักนาไฟมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวัน โดยเฉพาะอย่างย่ิงการใช้ไฟใน
พ้ืนท่ีเกษตรกรรมจนเกิดการเรียนรู้ถึงประโยชน์ของไฟที่สืบทอดต่อกันมาว่าไฟมีผลดีต่อดินและพืช
รวมถึงการใช้ไฟปรับสภาพพื้นท่ีเกษตรกรรมเป็นวิธีการที่ทาให้สามารถจัดการพื้นที่ว่างสาหรับการ
เพาะปลูกได้อย่างรวดเร็วและยังได้ใช้ประโยชน์จากขี้เถ้า ไฟช่วยปรับโครงสร้างดินให้เมล็ดพืชสามารถ
เจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วและลดการแข่งขันกันระหว่างเมล็ด ลดแมลงและโรคท่ีเป็นศัตรูพืช เหตุผล
เหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าไฟมีประโยชน์ต่อการดารงอยู่ของความหลากหลายทางชีวภาพผืนป่าและวิถีชีวิตของ
ผู้คนท่ีพึ่งพิงผืนป่าในการดารงชีวิต แต่ประเด็นชวนคิด คือ ปัจจุบันการใช้ไฟได้กลายเป็นวิธีการหน่ึงใน
การลดตน้ ทุนการผลิตในสว่ นของการเตรียมพ้นื ทเี่ กษตรกรรมของกลุ่มทุนหรือการใช้เป็นเคร่ืองมือในการ
ทาให้ป่าเสื่อมโทรมเพื่อเตรียมการครองครองต่อไป ด้วยเหตุเช่นนี้จึงทาให้ไฟป่า เป็นปัญหาระดับโลกท่ี
เกิดข้ึนอย่างต่อเนื่อง ทาให้สูญเสียทั้งพ้ืนท่ีป่าและส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน สาเหตุสาคัญ
ของไฟป่าคือคนและกิจกรรมที่เก่ียวข้องกับการเกษตรและการใช้ประโยชน์จากป่า โดยที่การเติบโตของ
อุตสาหกรรมการเกษตรเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกษตรกรใช้วิธีการเผาและบุ กรุกป่ามากข้ึน อีกท้ัง
ผู้ประกอบการทางการเกษตรยังใช้วิธีการเผาในจัดการพ้ืนท่ีเกษตรกรรมเพราะง่ายและลดต้นทุน (สว
รินทร์ เบญ็ เดม็ อะหลี, 2560, 141-175)
อนึ่ง ข้อมูลเก่ียวกับลักษณะไฟในป่าพรุและวิธีการดับไฟในป่าพรุ (กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า
และพันธ์ุพืช, ม.ป.ป) อธิบายว่า ไฟท่ีไหม้ป่าพรุมีลักษณะพิเศษ คือ เป็นไฟก่ึงผิวดินก่ึงใต้ดิน (Semi-
Ground Fire) ท่ีไหม้ในสองมิติ คือ ส่วนหน่ึงจะไหม้ในแนวระนาบไปตามผิวพื้นป่าเช่นเดียวกับไฟผิวดิน
ในขณะท่ีอีกส่วนหน่ึงจะไหม้ในแนวดิ่งลึกลงไปในช้ันดินพรุ ซ่ึงกรณีเช่นนี้ถึงแม้ชั้นดินพรุบางแห่งจะหนา
หลายเมตรก็ตาม แตไ่ ฟในแนวดิ่งจะไหม้ลึกลงไปได้เพียงระดับหน่ึงเทา่ นัน้ เพราะย่งิ ลึกปริมาณออกซิเจน
รายงานสรุปสาหรบั ผบู้ รหิ าร ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรคุ วนเครง็ วถิ ีคนและป่า | 121
จะย่ิงน้อย และยิ่งลึกก็จะย่ิงใกล้ระดับน้าใต้ดิน ทาให้ความช้ืนมีมากขึ้นตามระดับความลึก ด้วย
ลักษณะเฉพาะของไฟป่าพรุที่แตกต่างไปจากไฟป่าบกโดยทั่วไป ทาให้วิธีการและกลยุทธ์ในการดับไฟป่า
พรมุ ีความแตกตา่ งไปจากการดับไฟปา่ บกดว้ ยเชน่ กนั อยา่ งไรก็ตามการดับไฟปา่ พรุนัน้ มคี วามยากลาบาก
กวา่ การดบั ไฟป่าบกหลายเทา่ ตัวเพราะต้องต่อสู้กบั ไฟทั้งในแนวราบและแนวด่ิง หาขอบเขตท่ีแท้จริงของ
ไฟได้ยากเนื่องจากไฟมีควนั มหาศาลแต่แทบจะไม่มีเปลวไฟให้เห็น ในขณะท่ีไฟจะคุกรุ่นคืบคลานไปเรื่อย
ๆ ดังนั้น ไฟท่ีคิดว่าดับลงแล้วจึงกลับคุขึ้นใหม่ได้โดยง่าย จนดูประหนึ่งว่าไฟป่าพรุเป็นไฟปีศาจที่ไม่มีวัน
ตาย ทาให้ผู้ท่ีมีประสบการณ์ในการดับไฟป่าพรุตระหนักดีว่า ไฟป่าพรุที่ยังมีขนาดเล็กเนื้อท่ีเพียงไม่กี่ไร่
เทา่ นั้นจึงจะสามารถดับได้อย่างเดด็ ขาด หากปลอ่ ยใหไ้ ฟลุกลามกินเนื้อที่กว้างขวางหลายพนั ไร่ เชน่ ไฟท่ี
ไหม้บริเวณโคกกะหลาของป่าพรุโต๊ะแดง ในปี 2541 แล้ว การดับไฟให้ได้อย่างเด็ดขาดแทบจะเป็นไป
ไม่ได้ หรือถ้าทาได้ก็จะต้องใช้เวลานานนับเดือนและต้องสูญเสียงบประมาณจานวนมหาศาล และเป็น
อันตรายต่อสุขภาพของพนักงานดับไฟป่าอย่างร้ายแรง ในขณะท่ีการป้องกันไม่ให้เกิดไฟไหม้ป่าพรุทาได้
ง่ายนนั่ คอื “อย่าปลอ่ ยใหน้ ้าในป่าพรุแหง้ ”
วธิ ีการและกลยทุ ธ์ในการดบั ไฟป่าพรุ
วิธีการและกลยุทธ์ในการดับไฟป่าพรุทาได้หลายวิธี แต่ส่วนใหญ่แล้วการดับไฟแต่ละครั้งจะต้อง
ใช้หลายวิธีการและหลายกลยทุ ธ์ผสมผสานกัน
2.1 การดับไฟทางตรง พื้นที่พรุส่วนใหญ่จะเป็นที่ลุ่มท่ีเป็นลอนคลื่น ดังนั้นจึงมีท่ีดอนเล็ก ๆ
กระจายอยู่ท่ัวไปในพื้นที่ป่าพรุ หากไฟไหม้ข้ึนไปบนพ้ืนที่ดอน ไฟจะกลายเป็นไฟผิวดินซึ่งมีความรุนแรง
ไม่มากนักสามารถดับไฟทางตรงโดยใช้ที่ตบไฟและถังฉีดน้าดับไฟป่าได้ นอกจากน้ันบนที่ดอนมักจะเป็น
สันทรายเดมิ ดนิ เปน็ ทรายทะเลซงึ่ สามารถใชพ้ ลั่วไฟป่าตักทรายสาดกลบไฟไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ
2.2 การดับไฟทางอ้อมด้วยการขุดร่องเป็นแนวกันไฟ วิธีนี้ใช้หลักการเดียวกันกับการดับไฟ
ทางอ้อมด้วยแนวกันไฟในป่าบก แต่ความแตกต่างคือแนวกันไฟท่ีทาจะต้องขุดเป็นร่องคล้ายสนามเพาะ
ให้มีความลึกมากกว่าความลึกในแนวด่ิงของไฟ เสร็จแล้วต้องฉีดน้าหล่อเลี้ยงผนังร่องด้านในที่ไฟกาลัง
ลามเข้ามาหา ทั้งน้ีสามารถหาน้าในพ้ืนที่ได้โดยการขุดบ่อลงไปจนถึงระดับน้าใต้พรุ ซ่ึงการดับไฟท่ีป่าพรุ
โตะ๊ แดงในปี 2541 ปรากฏวา่ พบน้าที่ระดับความลึกตั้งแต่ 0.5-2.0 เมตร อยา่ งไรกต็ ามหากจะให้แน่ใจว่า
ร่องที่ขุดสามารถป้องกันไฟได้จริง ๆ จะต้องขุดร่องให้ลึกจนถึงช้ันดินเหนียวใต้ช้ันดินพรุ หรือขุดให้ลึก
จนกระท่ังน้าใต้พรุซึมเข้ามาท่วมร่องท่ีขุด หรือหากมีแหล่งน้าก็ให้สูบน้าเข้ามาท่วมร่องที่ขุด การขุดร่อง
แนวกนั ไฟดงั กลา่ วทาได้ 2 วิธี
- ใช้แรงงานคน โดยใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับการขุดร่อง เช่น จอบหน้าแคบ อีเตอร์ ขวาน หรือ
พูลาสก้ี (Pulaski) ซ่ึงเป็นอุปกรณ์ท่ีออกแบบมาเพ่ือการขุดร่องดับไฟป่าโดยเฉพาะ โดยนาขวานและจอบ
หน้าแคบมาเชื่อมต่อเป็นเครื่องมือช้ินเดียวกัน อย่างไรก็ตามการขุดร่องโดยใช้แรงงานคนเป็นงานท่ีหนัก
และใช้เวลามาก เน่ืองจากในชั้นดินพรุจะมีรากไม้ที่เจริญออกในแนวระนาบหนาแน่นมากและเล้ือยสาน
กนั เปน็ ร่างแห
- ใช้เคร่ืองจักรกล เครื่องจักรกล เช่น รถแทรคเตอร์ท่ีมีประสิทธิภาพมากในการทาแนวกันไฟปา่
บก แต่ไมส่ ามารถเขา้ ไปทางานในปา่ พรุได้ เน่อื งจากดนิ ปา่ พรุนิ่มมากทาใหร้ ถแทรคเตอร์จมลงไปในดินพรุ
เครื่องจักรกลที่สามารถเข้าไปทางานในป่าพรุได้ คือรถตักดิน (Back hoe) ซ่ึงมีข้อได้เปรียบคือ เป็นรถที่
ออกแบบมาเพื่องานขุดโดยเฉพาะ และสามารถใช้แขนตักดินค้ายันต้นไม้เพ่ือการทรงตัวหรือยึดตัวรถ
122 | โครงการเสรมิ ศักยภาพการจดั การระบบนิเวศปา่ พรุเพือ่ เพิม่ ความสามารถในการกกั เกบ็ คาร์บอน
และอนรุ กั ษค์ วามหลากหลายทางชีวภาพอย่างย่ังยืน
ไมใ่ ห้จมลงไปในดนิ พรุ การเคล่อื นทเ่ี ข้าไปในปา่ พรอุ าจใชว้ ิธีวางแผ่นเหล็กเป็นสะพาน หรือใช้แขนตักดินตี
ต้นไม้ให้ล้มลงขวางทิศทางที่รถจะเคล่ือนที่ไปและใช้ต้นไม้ดังกล่าวเป็นสะพาน วิธีหลังน้ีสะดวกกว่า แต่
จะตอ้ งสูญเสียต้นไม้จานวนมากเพ่อื การน้ี
2.3 การฉีดอัดน้าลงไปในดิน
ในพืน้ ท่ที ีร่ ถบรรทุกน้าสามารถเข้าถึง หรอื มีแหลง่ นา้ ทจ่ี ะสูบมาใช้ได้ในปริมาณมาก การใชน้ า้ ดบั ไฟป่าพรุ
เป็นวิธีที่มีประสิทธภิ าพมากที่สดุ อย่างไรก็ตามเน่ืองจากไฟป่าพรุไม่มีเปลวและไหม้ลกึ ลงไปในดิน การใช้
นา้ ดับไฟป่าอยา่ งมีประสิทธิภาพจึงต้องฉีดอัดน้า(Injection) ลงไปใต้ดินพรใุ ห้น้าซึมลงไปลกึ พอทีจ่ ะดับไฟ
ท้ังหมดได้ การฉีดอัดน้าลงไปในดินพรุทาได้โดยการใช้ท่อเหล็กหรือท่อพีวีซีปักให้ลึกลงไปในดินพรุก่อน
จากนน้ั จงึ นาหวั ฉีดน้าเสียบลงไปในท่อดังกลา่ วแล้วจึงปล่อยนา้ ทมี่ ีแรงดนั สงู ลงไป วธิ ีน้ใี ชไ้ ดผ้ ลดีมาแล้วใน
การดบั ไฟปา่ พรทุ ป่ี ระเทศบรไู นดารซุ าลาม ในปี 2541
พชื ในป่าพรุ
ป่าพรุเป็นสังคมพืชท่ีมีความสลับซับซ้อนมาก ดังเช่นพื้นที่ป่าพรุในจังหวัดนราธิวาส สามารถ
จาแนกสงั คมพืชไดเ้ ป็นสองประเภท คอื สงั คมพืชในปา่ ธรรมชาตดิ ้ังเดมิ และสังคมพืชป่าเสมด็ ในเขตรอบ
นอกของป่าพรุมีสังคมของป่าเสม็ดขึ้นอยู่หนาแน่นท่ัวไป สาหรับใจกลางพรุเป็นป่าธรรมชาติด้ังเดิม
ประกอบด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยหลายชนิดมีเรือนยอดลดหล่ันกันไปเป็นช้ัน ๆ จาแนกได้เป็น 3 ช้ันด้วยกัน
คือ ชนั้ ล่างเปน็ พชื คลุมดนิ ประกอบดว้ ยปาล์มและพืชจาพวกบอน เตย กก และเฟิรน์ ชนิดตา่ ง ๆ ชั้นกลาง
เป็นไม้ยืนต้นที่มีเรือนยอดซ่ึงมีความสูงอยู่เหนือยอดปาล์มแต่มีความสูงไม่เกิน 15 เมตร และช้ันบน เป็น
ไมย้ นื ตน้ ที่มีเรือนยอดสงู และมีความสงู ตงั้ แต่ 15 เมตรขนึ้ ไป สงั คมพืชขอบพรุ บริเวณขอบพรุเป็นบริเวณ
ที่ถูกรบกวน บุกรุกจากภายนอกโดยเฉพาะมนุษย์ เช่น การเข้าไปหาของป่า ตัดไม้และนาสัตว์เลี้ยง เช่น
วัว ควาย เข้าไปเหยียบย่าอยู่ตลอดเวลา หรือบางคร้ังก็ถูกไฟไหม้ ด้วยเหตุน้ีจึงทาให้สังคมพืชบริเวณน้ีมี
ลกั ษณะแตกตา่ งไปจากสังคมพชื ในป่าพรุด้ังเดิม พชื พรรณไม้บริเวณขอบพรุส่วนใหญ่เป็นพืชเบิกนา ชอบ
ขึ้นในที่โล่งแจ้งเพราะต้องการแสงสว่างมาก ส่วนไม้ยืนต้นบริเวณขอบพรุด้านในซึ่งเป็นบริเวณที่ประชิด
กับป่าดั้งเดิม ส่วนใหญ่เป็นมะฮัง และมะฮังใหญ่ มีไม้ยืนต้นชนิดอ่ืนขึ้นกระจัดกระจายปะปนอยู่ห่าง ๆ
เช่น หว้าหิน ชะเมาน้า ขี้หนอนพรุและเท๊ียะ แต่ในบางพ้ืนที่พบว่ามีพืชขอบพรุด้านในออกมาเป็นพื้นน้า
และทุ่งโล่ง ซ่ึงมีพืชล้มลุกขึ้นอยู่หนาแน่น เช่น หญ้าคมบาง กง ลาเท็ง และผักกูดขม บริเวณน้ีเป็นที่อยู่
อาศัยและวางไข่ของปลา เต่า ตะพาบน้า นาน้า และสัตว์ป่าอีกหลายชนิด ถัดจากทุ่งโล่งออกมาดา้ นนอก
เป็นป่าเสม็ด พืชช้ันล่างในป่าเสม็ดส่วนใหญ่คือกระจูดและย่านลิเภา (ชวลิต นิยมธรรม และพิชา พิทย
ขจรวุฒิ (2540, 23-29)
สตั ว์ในปา่ พรุ
พ้ืนท่ีพรุเป็นท่ีลุ่มน้าขัง ดินเป็นหล่มเลน สัตว์ในป่าพรุจึงต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับ
สภาพแวดล้อมในป่าพรุท่ีแตกต่างไปจากสภาพธรรมชาติในป่าประเภทอื่น ๆ สัตว์ป่าท่ีพบในป่าพรุจึงมัก
เปน็ สัตวส์ ะเทินน้าสะเทินบก สัตว์เลื้อยคลานจาพวกงูซ่ึงอาศัยอยู่ในน้าไดด้ ีและสัตว์เล้ียงลูกดว้ ยน้านมที่มี
ถ่นิ อาศัยบนที่ดอนเป็นบริเวณแคบ ๆ หากินปลาน้าเปน็ อาหารหรือท่ชี อบอาศัยอยตู่ ามโพรงหรือคาคบไม้
เช่น ลิง และคา่ งๆ เปน็ ต้น จงึ ตอ้ งมคี วามสามารถในการป่ายปนี ตน้ ไม้หรอื เคล่ือนยา้ ยท่ีอยู่ไปตามที่ดอนที่
รายงานสรปุ สาหรับผ้บู รหิ าร ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และพรคุ วนเคร็ง วิถีคนและป่า | 123
มรี ากไม้ระเกะระกะได้ดี ส่วนสัตว์ประเภทนกนนั้ กลบั ไมต่ ้องปรับตัวให้เข้ากบั สภาพแวดล้อมในป่าพรุท่ีผิด
แผกไปจากป่าอน่ื ๆ มากนกั เน่ืองจากนกบินไปในอากาศและอาศัยเรือนยอดของต้นไม้มากกว่าท่ีจะลงมา
อาศยั พ้นื ดนิ ดังเช่นสัตวบ์ กอ่นื ๆ (ชวลติ นิยมธรรม และพชิ า พทิ ยขจรวุฒิ, 2540, 34)
ความหลากหลายทางชวี ภาพในกรณีศึกษาป่าพรโุ ต๊ะแดง จังหวดั นราธิวาส ซึ่งสะทอ้ นข้อมูลผ่าน
งานวิจยั ของ ธวชั ชยั สันติสขุ และคณะ (2534) ในปี 2530 และปี 2532 ทสี่ ารวจพบสตั ว์เลี้ยงลูกด้วยนม
จานวน 42 ชนิด นก จานวน 199 ชนิด สัตว์เลื้อยคลานจานวน 42 ชนิด และสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้า จานวน
15 ชนิด สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม กลุ่มที่มีการกระจายกว้างขวางพบท่ัวไป เช่น ค้างคาวขอบหูขาวเล็ก
(Cynopterus brachyotis) กลุ่มที่มีการกระจายปานกลาง เช่น ค้างคาวแม่ไก่ป่าฝน (Pteropus
vampyrus) กลุ่มท่ีหายาก เช่น แมวป่าหัวแบน (Felis planiceps) นกท่ีพบได้ยาก เช่น นกตะกรุม
(Leptoptilos javanicus) นกท่ีอยู่ในภาวะถูกคุกคามล่อแหลมต่อการ สูญพันธ์ เช่น นกเปล้าแดง
(Treron fulvicollis) สัตว์เลื้อยคลาน เช่น เต่าหับ (Caura amboinensis)
ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสง่ิ มชี ีวิตตา่ ง ๆ ในป่าพรุ
พืชพันธ์ุไม้ สัตว์ป่าและส่ิงมีชีวิตต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในป่าพรุมีความสัมพันธก์ ันอย่างลึกซ้ึง ทุกชีวิต
ตา่ งต้องพง่ึ พาอาศัยซงึ่ กันและกนั มีการปันสว่ นอาหาร น้า อากาศ แสงแดดและพ้ืนที่อยู่อาศยั ระหว่างกัน
อย่างมีระบบตามกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ บางครั้งมีการแก่งแย่งช่วงชิงกันเพื่อความอยู่รอด เป็นการ
คัดเลือกทางพันธกุ รรมตามธรรมชาติเพ่ือได้สายพันธุ์ท่ีแข็งแรงดีเด่นให้คงอยู่ในสังคมของชวี ติ ป่าตลอดไป
ผีเสื้อและแมลงบางชนิด เช่น ผ้ึง ช่วยผสมเกสรในดอกไม้ให้พืช สิ่งตอบแทนที่แมลงเหล่าน้ันได้รับคือ
เกสรดอกไม้และน้าหวานซ่ึงประกอบด้วยแร่ธาตุหลายประการที่เป็นอาหารอันโอชะของแมลงเหล่าน้ัน
นกบางชนิดกินผลไม้เป็นอาหารและช่วยนาเมล็ดของผลไม้ท่ีกินเข้าไปน้ันไปแพร่กระจายพันธุ์ในที่ต่าง ๆ
สัตว์ช้ันต่าหลายชนิดท่ีกัดกินใบไม้และเปลือกไม้เป็นอาหาร มักมีสัตว์อื่นมากินสัตว์ชนิดนั้นอีกต่อหน่ึง
เปน็ การขยายหว่ งโซ่อาหารให้กวา้ งและซบั ซอ้ นยง่ิ ข้ึน เปน็ การรักษาสมดุลธรรมชาตพิ รอ้ มกนั ไปด้วย เชน่
หม้อข้าวหม้อแกงลิง (Nepenthes gracilis) ชอบขึ้นในที่โล่งแจ้งตามชายป่าที่พ้ืนดินแฉะ โดยท่ีดินมี
สภาพเป็นกรดและมีความอุดมสมบูรณ์ต่า หม้อข้าวหม้อแกงลิงจึงพัฒนาส่วนปลายของเส้นกลางใบให้
เป็นกระเปา๋ สาหรบั ดักจับแมลงเป็นอาหารเพิ่มเติม สงั คมพืชในปา่ พรุประกอบด้วยไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ไม้
พุ่ม ไม้เล้ือยและพืชล้มลุกชนิดต่าง ๆ ไม้ยืนต้นมีลาต้นสูงใหญ่ เรือนยอดแผ่กว้างและแข็งแรงทาให้
สามารถรบั น้าฝน แรธ่ าตุและแสงสวา่ งเพ่ือการสังเคราะห์แสงได้มากกวา่ ไม้พุ่ม กลา้ ไม้และพืชล้มลุกอื่น ๆ
ท่ีอยู่ภายใต้เรือนยอดของต้นไม้ใหญ่นั้น อย่างไรก็ตามพืชขนาดเล็กต่าง ๆ ที่เจริญขึ้นภายใต้ร่วมเงาของ
เรือนยอดต้นไม้ใหญ่นั้นก็ได้รับการปกป้องให้พ้นจากความร้อนของแสงแดดและความรุนแรงของกระแส
ลมเป็นการตอบแทน นอกจากนี้ในป่าพรุยังมีพืชอิงอาศัย (Epiphytes) แต่ละชนิดเกาะอาศัยลาต้นและ
เรือนยอดของต้นไม้ใหญ่ในระดับต่าง ๆ กัน เช่น กล้วยไม้ ผักกูดบางชนิด เช่น ข้าหลวงหลังลาย มักพบ
ขึ้นอาศัยต้นไม้ใหญ่ตั้งแต่บริเวณโคนต้นขึ้นไปจนถึงระดับ 5 เมตร เหนือพื้นพรุ ส่วนห่อข้าวสีดามักเกาะ
อาศัยบคบไม้ในระดับสูงขึ้นไป พืชอิงอาศัยส่วนมากไม่เป็นอันตรายต่อต้นไม้ที่เกาะอาศัยอยู่ แต่ถ้าต้นไม้
ถูกเกาะอาศัยมากเกินไปก็อาจทาให้ก่ิงเสียหายหรือถูกปกคลุมจนทาให้ชะงักการเติบโตเนื่องจากได้รับ
แสงสว่างนอ้ ยลง ฉะน้นั ไม้ยืนตน้ บางชนดิ ทมี่ เี ปลือกหลุดร่อนงา่ ยจงึ สามารถสลัดพืชองิ อาศัยออกไปได้เม่ือ
มีพืชอิงอาศัยเกาะอยู่มากเกินไป เรือนรากของพืชชนิดต่าง ๆ ในป่าพรุพัฒนาข้ึนจนสอดคล้องกับ
124 | โครงการเสรมิ ศกั ยภาพการจัดการระบบนเิ วศป่าพรุเพื่อเพมิ่ ความสามารถในการกักเกบ็ คาร์บอน
และอนุรกั ษ์ความหลากหลายทางชวี ภาพอยา่ งยัง่ ยนื
สภาพแวดลอ้ มตามธรรมชาตเิ พ่อื ดารงชีวติ อยใู่ นป่าพรุตามลักษณะของพืชแต่ละชดิ พชื กาฝาก (Parasitic
plants) มีรากชนิดพิเศษเจาะไขเข้าไปในท่อลาเลียงน้าและท่อลาเลียงอาหารเพื่อแย่งน้าอาหาร เช่น พืช
ในวงศ์บอน (Araceae) บางชนิดที่มีลาต้นเลี้ยวมีรากที่ใช้เกาะยึดส้ัน ๆตั้งฉากกับลาต้นเพื่อให้ลาต้น
สามารถแนบชดิ กับเปลือกของตน้ ไม้ใหญ่เมอ่ื เลอ้ื ยขึ้นไปได้ระดับหนึ่งจึงส่งรากสมอด่ิงลงมาเพื่อยึดพื้นดิน
และหาอาหารสะสมพลังงานไว้ให้เพียงพอต่อการออกดอกและผลต่อไป ผกั กดู บางชนิดที่เป็นพชื อิงอาศัย
มีรากฝอยขนาดเล็กเป็นจานวนมากเกาะยึดลาต้นและคบไม้เป็นก้อนโตคลา้ ยฟองน้าขนาดใหญ่เพ่ือใชด้ ูด
ซบั ความชื้นไว้ในฤดแู ลง้ (ชวลติ นิยมธรรม และพชิ า พทิ ยขจรวุฒิ, 2540, 47-59)
เหลียวหลงั แลหน้า ปา่ พรุ
เหลยี วหลังแลปา่ พรุ
เมื่อเหลียวหลังย้อนกลับไปดูความเป็นไปของผืนป่าแต่ละประเภทจะพบว่าป่าคือพื้นท่ีเป้าหมาย
ในการครอบครองเพ่ือขยับขยายพื้นท่ีการลงทุน การทามาหากิน หรือแม้กระทั่งนโยบายของรัฐที่
ก่อให้เกิดการดาเนินการพัฒนาโครงสร้างพ้ืนฐานของรัฐในหลาย ๆ โครงการ ทั้งน้ีช้ีให้เห็นได้ว่าปัญหา
ภาคป่าไม้ที่ลดลงล้วนเกิดจากิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อพ้ืนท่ีป่าไม้อย่างต่อเน่ืองยาวนาน
หลายทศวรรษ อรวรรณ คูหเจริญ (2535, 181-197) มองว่าสาเหตุการทาลายป่าที่แท้จริงคือความ
ผิดพลาดในการดาเนนิ นโยบายการพัฒนาประเทศ ได้แก่ นโยบายการให้สัมปทานทาไม้ นโยบายสง่ เสรมิ
การปลกู พชื เศรษฐกจิ นโยบายการก่อสร้างสาธารณูปโภคในพ้ืนที่ป่าไม้ (เข่ือน ถนน) นโยบายเปดิ ป่าเพื่อ
ความม่ันคง นโยบายพัฒนาการเกษตรแผนใหม่และธุรกิจอุตสาหกรรมการเกษตร และนโยบายอื่นๆ ที่มี
ผลกระทบตอการทาลายพืน้ ทป่ี ่าไม้ เชน่ การส่งเสริมการท่องเท่ยี ว
ป่าพรุเป็นป่าที่มีสภาพเปราะบางต่อการเปล่ียนแปลงของสิ่งแวดล้อม เช่น เม่ือมีการ
เปล่ียนแปลงของชั้นดินอินทรีย์และภาวะน้าแช่ยังในป่าพรุ จะทาใหร้ ะบบนเิ วศของป่าพรธุ รรมชาติเสียไป
พร้อมกับสมดุลธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพทาให้ ดินและน้าบริเวณป่าพรุและใกล้เคียง
กลายเป็นกรดอย่างรุนแรงจนไม่สามารถประกอบการกสิกรรมหรือแม้แต่นามาดื่มกินได้ ปลาและสัตว์น้า
ต่างๆ สูญหายไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่าน้ันฤดูร้อนจะแห้งแล้งมากขึ้น น้าที่เยมีในพื้นที่ป่าพรุก็แห้ง เกิด
ไฟป่าเผาไหม้ ขาดแหล่งท่ีใช้ในการทามาหากิน ขาดแหล่งท่ีอยู่อาศัยของสัตว์ทุกชนิด และขาดสมดุลทาง
ธรรมชาติ (นพรตั น์ บารงุ รักษ์, 2554, 9) เชน่ เดียวกบั สืบ นาคะเสถยี ร (มลู นิธสิ บื นาคะเสถยี ร, 2560) ได้
เคยสะทอ้ นมุมมองถึงการพฒั นาพ้นื ที่ปา่ พรดุ ัง้ เดมิ ท่มี ีคุณคา่ ทางเศรษฐกิจอยา่ งมหาศาล ท้งั ในด้านการป่า
ไม้ และการอนุรักษ์พ้ืนที่ไว้เป็นแหล่งเก็บน้าจืดและความชุ่มช้ืนตามธรรมชาติ โดยทาทางระบายน้าออก
จากพรุสู่ทะเล จะเป็นการทาลายทรัพยากรธรรมชาตผิ ืนสุดท้ายของประเทศท่ีมีคุณค่ายิ่งให้สญู ส้ินไปโดย
ความรเู้ ท่าไม่ถงึ การณ์
ในทานองเดียวกัน ชวลิต นิยมธรรม และพิชา พิทยขจรวุฒิ (2540, 67) เคยสะท้อนมุมมอง
อนาคตของปา่ พรุไว้อย่างนา่ สนใจทวี่ ่า ป่าพรุ เปน็ ระบบนิเวศน์ทเ่ี ปราะบางง่ายต่อการถูกทาลายและยาก
แก่การฟ้ืนฟูให้กลับคืนดีในระยะเวลาอันส้ัน ในบรรดาองค์ประกอบของป่าพรุเหล่าน้ันดินอินทรีย์ (Peat
soils) และนา้ ในปา่ พรุ (Peat water) เป็นองค์ประกอบทีย่ ากท่สี ุดในการควบคุมและดูแลให้อยู่ในสภาพ
ธรรมชาติอันย่ังยืนตลอดไป หากมีการกระทาของมนุษย์เข้าไปเก่ียวข้องความเปลี่ยนแปลงก็จะเกิดข้ึนได้
โดยง่าย การกระทาท่ีก่อความเสียหายแก่ปา่ พรุเป็นอย่างมาก ได้แก่ การบุกรกุ ตดั ไม้ การแผ้วถางปา่ การ
รายงานสรปุ สาหรบั ผบู้ ริหาร ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรคุ วนเครง็ วิถีคนและป่า | 125
ระบายน้าออกจากป่าพรุ และการเผาป่า ทาให้ดินอินทรีย์ (Peat) ลุกไหม้จนไม่อาจควบคุมไฟได้ เป็นต้น
การกระทาดังกล่าวเป็นการทาลายสมดุลของระบบนิเวศป่าพรุโดยตรง ส่งผลเสียหายต่อสภาพแวดล้อม
อย่างย่ิง เช่น ทาให้ดินและน้าเป้นกรดอยา่ งแรงจนไม่สามารถใชป้ ระโยชน์ทางการเกษตรได้อีกท้ังยากต่อ
การฟื้นฟูแก้ไข อากาศในบริเวณที่ป่าพรุถูกทาลายก็เส่ือมโทรมลงเพราะมีก๊าซมีเทน (CH4) และก๊าซ
คารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) เพิ่มเปน็ จานวนมาก เปน็ ต้น
มองไปข้างหนา้ ของป่าพรุ
จากสถานการณ์ปัญหาด้านป่าไม้ที่เกิดข้ึนในทุกพ้ืนที่ท่ัวโลก และป่าพรุเป็นพื้นท่ีเปราะบางซึ่ง
กลายเป็นเป้าหมายการครองครองของคนหลายกลุ่ม ทั้งนี้ หากไม่มีการดูแล ป้องกัน และอนุรักษ์ไว้ย่อม
ส่งผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และส่ิงแวดล้อม ดังที่ ชวลิต นิยมธรรม และพิชา พิทยขจรวุฒิ
(2540, 78-80) ได้สะท้อนมุมมองอนาคตของป่าพรุว่า ปัจจุบันน้ี มีประชาชนเข้าไปถือครองพื้นที่ป่าพรุ
เพ่ืออยู่อาศัยและมีการเปล่ียนแปลงพ้ืนท่ีป่าพรุเพื่อการเกษตรเป็นจานวนมาก จึงเป็นผลให้ป่าพรุ
เสื่อมสภาพลงไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม เน่ืองจากดินพรุ มีกายสมบัติและเคมีสมบัติท่ีเป็นอุปสรรค
ตอ่ การปลกู พืชเกษตรกรรมเปน็ อยา่ งมาก ตวั อย่างเช่น ความเป็นกรด-ดา่ ง (pH Level) ของดินมรี ะดบั ต่า
ยง่ิ ไปกวา่ นั้น อินทรียวัตถบุ างชนดิ ทมี่ ีอยเู่ ปน็ ปริมาณมากในพ้นื ทป่ี ่าพรุก็กลับมาเปน็ พษิ ต่อพชื ท่ีนามาปลูก
อีกดว้ ย การเกษตรกรรมบนพนื้ ท่ดี นิ พรจุ ึงเสยี ค่าใช้จ่ายสงู มากและใหผ้ ลผลติ นอ้ ยกว่าเกษตรกรรมในพื้นที่
อื่น ๆ นอกพ้ืนท่ีพรุ จากการค้นคว้าทางเคมีสมบัติของดินพรุ พบแร่ธาตุท่ีเป็นพิษต่อการเจริญเติบโตของ
พืช ได้แก่ แมงกานิส (Mn) เหล็ก (Fe) และอลูมิเนียม (Al) ตลอดจนสารแทนนิน (Tannin Substances)
และสารฟีนอลลิค (Phenolic Substances) ที่เกิดจากการย่อยสลายเน้ือไม้ในดินพรุ แร่ธาตุอาหารบาง
ชนิดที่พืชจาเป็นต้องใช้ (Micronutrient Elements) อาทิ ทองแดง (Cu) ก็มีไม่เพียงพอต่อการ
เจรญิ เตบิ โตของพชื ในดินพรุ ย่ิงไปกว่าน้นั จากการตรวจสอบกายสมบตั ิของดินพรุพบว่าอนภุ าคไฮโดรเจน
ท่ีเข้มข้นในเน้ือดินพรุทาให้แร่ธาตุท่ีเป็นพิษดังกล่าวละลายปนลงในเน้ือดินพรุได้มากกว่าปกติก่อความ
เสียหายแก่พืชต่าง ๆ ที่ปลูกลงบนดินพรุอีกด้วย สภาพเช่นนี้ลดลงได้ด้วยการหมุนเวียนถ่ายเทน้าซึ่งเกิด
จากธรรมชาติอย่างพอเหมาะ แต่การหมุนเวียนถ่ายเทน้าอย่างเหมาะสมนั้นไม่อาจควบคุมได้ง่าย ๆ ด้วย
การกกั เก็บน้าไว้ให้พอในฤดูแลง้ เพียงเพื่อหล่อเล้ยี งพื้นที่ไม่ให้แห้งแล้งเกินไปและจัดการระบายน้าออกใน
ฤดูฝน เพียงเพื่อไม่ให้ท่วมขังมากเกินไปในพ้ืนที่ซึ่งมีดินพรุเท่าน้ัน เพราะการกระทาเช่นน้ัน
กระทบกระเทือนต่อวงจรแร่ธาตุอาหารของพืชท่ีข้ึนบนดินพรุอย่างมาก การะบายน้าออกจากพื้นท่ีพรุ
มากเกินไปทาให้ระดับน้าใต้ดิน (Groundwater Level) ตามธรรมชาติลดลงอีกด้วยเป็นผลให้ผิวดิน
ดา้ นบนแหง้ ลงกว่าปกตกิ ่อปฏกิ ิรยิ าทางเคมที ่ีเรยี กว่า Oxidization ทาใหด้ ินพรยุ ่อยสลายลงอยา่ งรวดเร็ว
เป็นผลให้เกิดการยุบตัว (Subsidence) ของชั้นดินพรุและเกิดกรดในดินต่อไป การเสื่อมโทรมของดินพรุ
เช่นน้ีเป็นเรื่องน่าตกใจเนื่องจากพื้นที่ป่าพรุในแถบเส้นศูนย์สูตรของโลกส่วนใหญ่อยู่ในพ้ืนท่ีลุ่มต่าใกล้
ชายฝั่งทะเลอีกท้ังปกคลุมดว้ ยดินอินทรีย์กรด (Acid Sulphate Soils) ซ่งึ เปน็ ดินชนั้ บนมีความหนาเฉล่ีย
ไมเ่ กิน 2 เมตร ถ้าการยุบตัวของเน้ือดนิ พรมุ ีมากในอัตราเรว็ เช่นนี้พ้นื ที่พรุบางแหง่ อาจหายไปภายในเวลา
ประมาณ 5-10 ปี ข้างหน้าโดยการกระทาท่ีง่าย ๆ เพียงแผ้วถางต้นไม้ออกให้กลายเป็นที่โล่งแล้วระบาย
นา้ ออกจากพื้นที่เท่าน้ัน ผลร้ายที่ตามมาคอื ดินพรทุ ีย่ ุบตวั แหง้ ลงนัน้ จะมีสภาพความเปน็ กรดสูงกวา่ ดินพรุ
ที่แช่ขังอยู่ในน้ามากอาจก่อปัญหากระทบกระเทือนระดับความเค็มของน้าทะเลในพื้นที่ชายฝั่งทะเล
ใกล้เคียงต่อไปอีกด้วย ในทางตรงกันข้ามหากต้องการป้องกันไม่ให้ดินพรุยุบตัวลงโดยการกักเก็บน้าไว้
126 | โครงการเสริมศักยภาพการจัดการระบบนเิ วศป่าพรุเพอื่ เพมิ่ ความสามารถในการกกั เก็บคาร์บอน
และอนรุ กั ษค์ วามหลากหลายทางชีวภาพอยา่ งยง่ั ยนื
หล่อเล้ียงดินพรุในฤดูแล้ง ปัญหาท่ีเกิดขึ้นได้แก่ การหมุนเวียนถ่ายเทน้าตามธรรมชาติ (Natural Water
Regulation) ก็จะเสียสมดุลไปเกิดปัญหาการหมักหมม (Fermentation) ของดินอินทรีย์ ทาให้น้าใน
พื้นที่พรุบูดเน่าขาดออกซิเจนในน้าเป็นอันตรายต่อสัตว์น้าที่อาศัยอยู่ในน้าได้ นอกไปจากนี้พืชในป่าพรุ
โดยเฉพาะต้นไม้ใหญ่ท่ีมีระบบรากอากาศ (Pneumatophores) ซ่ึงปรับตัวเองจนสอดคล้องกับระดับน้า
ตามธรรมชาติในป่าพรุแต่ละรอบปี เมื่อเผชิญกับระดับน้าท่ีเปล่ียนไปเพราะการกกเก็บน้าดังกล่าว ทาให้
ระบบรากของต้นไม้ใหญ่เน่าเสียต้นไม้จึงยืนต้นตายไปเป็นจานวนมาก แม้ว่าการใช้ประโยชน์ป่าพรุจะมี
ปัญหามาก อย่างไรก็ตาม พื้นที่ป่าพรุในแถบเส้นศูนย์สูตรของโลกก็คงถูกนามาใช้ประโยชน์เรื่อยไปโดย
ปราศจากการประเมินผลดีผลเสียอย่างละเอียดรอบคอบตลอดมา การศึกษาระบบนิเวศน์ของพรรณพืช
ในป่าพรุ การค้นหาความสัมพันธ์ระหว่างพรรณพืชในป่าพรุที่มีต่อระบบน้าและเคมีสมบัติของน้าในพ้ืนท่ี
รับน้าของป่าพรุมีอยู่ในวงจากัด ข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างธาตุอาหาร พืชพรรณ พืชและ
ภูมิอากาศก็มีอยู่อย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ แม้กระทั่งกาเนินและความเป็นมาขอป่าพรุต้ังแตอ่ ดีตจนถึงปจั จุบันก็
ยังไม่เป็นท่ีเขา้ ใจได้อยา่ งเพียงพอ ความรเู้ หล่านไี้ ม่มีการบันทึกไว้อยา่ งถูกต้องเป็นการต่อเนื่องมาก่อนเลย
ในขณะเดียวกนั มนุษย์กใ็ ช้ประโยชน์จากปา่ พรุอย่างสม่าเสมอตลอดมา ต้งั แตก่ ารตดั ฟันไม้มาใช้ประโยชน์
แผ้วถางป่าและเข้าครอบครองที่ดนิ เพื่อปลูกพืชเกษตร ด้วยการระบายน้าออกไปก่อนโดยไมม่ ีการควบคุม
ท่ีเหมาะสม การกระทาเช่นนี้ได้ผลไม่คุ้มกับธรรมชาติของป่าพรุท่ีต้องสูญเสียไปโดยเฉพาะการสูญเสีย
พ้ืนที่ป่าพรุซึ่งไม่อาจสร้างให้กลับคืนมาได้อีกในเวลาอันสั้นเนื่องจากการเกิดข้ึนของป่าพรุใช้เวลานับเป็น
พัน ๆ ปี
ป่าพรุท่ีปรากฏอยู่ในประเทศไทยเช่นในจังหวัดนราธิวาสเป็นระบบนิเวศน์ประเภทหนึ่งที่
เปราะบางง่ายต่อการถูกทาลายอย่างมาก การคงอยขู่ องระบบนิเวศน์ป่าพรุต้องอาศัยปัจจัยธรรมชาติบาง
ประการที่ไม่เหมือนปัจจัยธรรมชาติของระบบนิเวศน์ป่าประเภทอ่ืน ๆ กิจกรรมเพ่ือหารายได้ทาง
เศรษฐกิจของมนุษย์รบกวนระบบนิเวศน์ป่าพรุใหเ้ สียสมดุลธรรมชาติได้โดยง่ายและฟื้นฟูกลับคืนสู่สมดุล
ได้โดยยากหรือเป็นไปไม่ได้เลย ในปัจจุบันมีข้อถกเถียงกันอย่างกวา้ งขวางเก่ียวกับการใชป้ ระโยชน์ป่าพรุ
ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าควรนาทรัพยากรปา่ พรุมาสกัดใช้เปน็ ประโยชน์ทางด้านพลังงาน ด้านเน้ือไม้ และด้านพืช
สวน (ไม้ดอกไม้ประดับ) ย่ิงไปกว่าน้ันควรพัฒนาให้เป็นประโยชน์ทางด้านอุตสาหกรรมและทางเคมี
อุตสาหกรรมต่าง ๆ ในขณะท่ีอีกฝ่ายหน่ึงเห็นว่าไม่ควรใช้ประโยชน์ป่าพรุในทางสิ้นเปลืองหรือในทาง
ทาลายธรรมชาติป่าพรุให้เสียหายไปแต่ควรใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน อาทิ การปลูกพืชต่าง ๆ ท่ีไม่ทาให้
ระบบนิเวศน์ของป่าพรุต้องถูกกระทบกระเทือน โดยการคิดอย่างรอบคอบก่อนลงมือกระทา ปัจจุบันนี้
การใช้ประโยชน์ป่าพรุ ส่อเค้าไปในทางที่มีผลเสียแก่ระบบนิเวศน์ป่าพรุมากขึ้น สมาคมพรุนานาชาติ
(International Peat Society=IPS) เสนอแนะว่ามาตรการท่ีควรดาเนินการเป็นเรื่องแรกคือ ต้องสารวจ
ทรัพยากรป่าพรุและดินพรุในแถบเส้นศูนย์สูตรของโลกเพ่ือให้ได้ข้อมูลพื้นฐานโดยละเอียดสาหรับนามา
จดั ทาแผนการใช้ประโยชนอ์ ยา่ งต่อเนอ่ื งในอนาคต เพื่อใหก้ ารสารวจทรัพยากรปา่ พรุและดินพรเุ ป็นไปได้
อย่างรวดเรว็ และแมน่ ยา เห็นควรนาเทคโนโลยีการแปลสัญญาณจากดาวเทยี มและสัญญาณเรดาร์ที่เจาะ
ทะลถุ ึงพน้ื ดินมาใช้อย่างเต็มที่ และควรสนับสนุนความรว่ มมือระหวา่ งชติ ่าง ๆ ในดา้ นการประเมินผลการ
สารวจทรัพยากรป่าพรุและดินพรุตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลเทคโนโลยีในด้านทรัพยากรป่าพรุต่อไป
รวมถงึ การสนบั สนนุ งานวิจยั ในทุกสาขาทเ่ี กย่ี วกับวทิ ยาการและเทคโนโลยีด้านปา่ พรดุ ้วย
รายงานสรปุ สาหรบั ผบู้ ริหาร ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และพรคุ วนเครง็ วิถีคนและป่า | 127
ปา่ พรุในโลก
ป่าพรุเขตร้อนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีเนื้อท่ีประมาณ 155 ล้านไร่หรือ 248,000 ตาราง
กิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 56 ของพื้นท่ีป่าพรุทั่วโลก (Page and Rieley, 2016) ประมาณร้อยละ 63
ของป่าพรุในโลก เกิดในเขตร้อนแถบอินโดมาลายัน คือพบในประเทศอินโดนีเซีย ร้อยละ 80 มาเลเซีย
ร้อยละ 11 อีกร้อยละ 6 พบในปาปัวนิวกินี บรูไน เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และประเทศไทย โดยเฉพาะปร
เทศไทยมีน้อยกว่าร้อยละ 1 โดยทั่วไปป่าพรุเหล่าน้ีมีลักษณะแปลก คือมีต้นไม้ขึ้นสูง อาจถึง 70 เมตร
แตกต่างจากพรุในเขตหนาวท่ีปกคลุมด้วยหญ้ามอส ไม้พุ่ม ป่าพรุเหล่าน้ีอาจมีชั้นพีทลึกถึง 20 เมตร มี
ความเปน็ กรด (pH 2.9-4.0) มสี ารอาหารทตี่ ่าและพื้นท่ีป่าถูกน้าท่วมตามฤดูกาล น้าเป็นสนี า้ ตาลเข้มโดย
มาจากสีแทนนิน หรือสีจากไม้ แม้สภาพของป่าพรุเป็นเช่นนี้ ยังมีพืชท่ีปรับตัวอยู่ได้ถึง 927 ชนิด ทั้งไม้
ดอกและเฟิร์น มีลักษณะรากต่างกันเพื่อรับก๊าซออกซิเจน พรุในเกาะบอเนียวอาจมีอายุน้อยกว่า 5 พันปี
โดยเกดิ จากการเปล่ียนแปลงของชายฝั่งทะเล ในขณะทปี่ ่าพรุบนเกาะกาลมิ นั ตนั อาจมีอายถุ ึง 11,000 ปี
(นพรตั น์ บารงุ รักษ์ (2554, 8) ขณะที่ ธวัชชยั สันติสุข, สรุ พล สดุ ารา, และ สนิท อกั ษรแก้ว. (2534). ป่า
พรุปรากฏทั่วไปบนพื้นท่ีพรุใกล้ฝ่ังทะเลในเขตร้อนช้ืนที่มีฝนตกชุกตลอดปี พื้นท่ีพรุท่ีมีสังคมพืชป่าพรุ
ด้ังเดิม และพ้ืนที่พรุที่มีสังคมพืชป่าพรุเปลี่ยนสภาพ มีพื้นที่รวมทั้งส้ินประมาณ 187.5 ล้านไร่ (30 ล้าน
เฮคตาร์) อยู่ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ในประเทศมาเลเซีย (เฉพาะแหลมมลายู) เม่ือปี พ.ศ. 2503 มี
รายงานพ้ืนทีพ่ รถุ ึง 800,000 เฮคตาร์
พรใุ นประเทศไทยและภาคใต้
จากการศึกษาการกระจายป่าพรใุ นประเทศไทยโดย จิระศักดิ์ ชูความดี, อภิรักษ์ อนันต์ศิริวัฒน์,
วิจารณ์ มีผล, จิระ จินตนุกูล และสนใจ หะวานนท์ (2534) โดยใช้แผนท่ีและภาพถ่ายดาวเทียม มาตรา
ส่วน 1:250,000 และมาตราส่วน 1: 50,000 พบว่า ในปี พ.ศ. 2534 พื้นที่ป่าพรุดั้งเดิมในท้องท่ีจังหวัด
นราธวิ าส มเี นอ้ื ท่ี 56,112.51 ไร่ จงั หวัดตรงั มเี นื้อท่ี 37.50 ไร่ และจงั หวัดสุราษฎร์ธานี มเี นือ้ ที่ 296.88
ไร่ ปา่ พรุเปล่ยี นสภาพหรอื ปา่ เสม็ดพบในท้องที่ จังหวดั นราธิวาส นครศรธี รรมราช ชุมพร สงขลา ปตั ตานี
ยะลา ตรัง พัทลุง ภูเก็ต กระบ่ี ตราด และระยอง มีเน้ือที่รวม 347,019.47 ไร่ โดยป่าพรุในจังหวัด
นครศรีธรรมราชมีเน้ือท่ี 118,412.51 ไร่ มีมากท่ีสุดในพ้ืนท่ีอาเภอชะอวด รองลงมาคือ อาเภอเชียรใหญ่
รอ่ นพบิ ูลย์ และหวั ไทร ตามลาดับ เห็นได้วา่ ในปีเดยี วกันได้มีการสะท้อนข้อมลู ป่าพรุในประเทศไทยมีเนื้อ
ที่ต่างกัน กล่าวคือ จากงานวิจัยของ ธวัชชัย สันติสุข, สุรพล สุดารา, และ สนิท อักษรแก้ว. (2534) ระบุ
ตัวเลขพ้ืนที่พรุในประเทศไทยว่ามีประมาณไม่ต่ากว่า 400,000 ไร่ กระจัดกระจายอยู่ทางภาคตะวันออก
(ตราด) และส่วนใหญ่พบทางภาคใต้ตอนล่างโดยเฉพาะในจังหวัดนราธิวาส พบว่าพ้ืนท่ีป่าพรุยังคงสภาพ
ดง้ั เดมิ เปน็ สงั คมพืชป่าไมผ้ นื ใหญ่เหลืออยเู่ พียงแห่งเดียวคือ ปา่ พรโุ ตะ๊ แดง ในเขตอาเภอตากใบ สุไหงปาดี
และสุไหงโกลก มีเน้ือท่ีเหลืออยู่ไม่เกิน 50,000 ไร่ และใน พ.ศ. 2534 ป่าพรุโต๊ะแดงมีเนื้อท่ีเหลืออยู่ไม่
เกิน 10,000 ไร่ พื้นท่ีป่าพรุทั้งประเทศส่วนใหญ่ได้ถูกเปลี่ยนสภาพไปเน่ืองจากการพัฒนาของบ้านเมือง
พื้นที่พรุหลายแหง่ เกือบจะไม่ปรากฏรอ่ งรอย และอีกหลายแหง่ เปลี่ยนสภาพไปเป็นพรุเสม็ด ที่มีต้นเสมด็
ข้ึนกลุ่มเดียวล้วนๆ หรือเป็นทุ่งหญ้ากกอันเว้ิงว้างท่ีไม่มีศักยภาพทางเกษตรกรรม พ้ืนท่ีพรุเส่ือมสภาพ
เหลา่ น้ปี รากฏชดั เจนทางฝ่ังตะวนั ออกของภาคใตต้ อนล่าง มีเน้อื ท่รี วมกันนบั แสนไร่
128 | โครงการเสรมิ ศักยภาพการจดั การระบบนเิ วศปา่ พรุเพือ่ เพ่มิ ความสามารถในการกักเก็บคาร์บอน
และอนุรักษ์ความหลากหลายทางชวี ภาพอย่างยงั่ ยืน
จะเห็นได้ว่า ตัวเลขเน้ือที่ป่าพรุโต๊ะแดงท่ีระบุข้างต้นน่าจะเป็นพื้นทีป่าพรุส่วนที่ถือว่าสมบูรณ์
ดังท่ี นพรัตน์ บารุงรักษ์ (2554, 23-26) ได้กล่าวถึงป่าพรุในประเทศไทยโดยระบุถึงป่าพรุที่มีขนาดใหญ่
และเป็นท่ีรู้จักในวงกว้าง ได้แก่ ป่าพรุโต๊ะแดง พรุข้ีเส้ียน พรุควนเคร็ง และป่าพรุคันธลี โดยป่าพรุโต๊ะ
แดง หรือป่าพรุสิรินธร ที่กล่าวได้ว่าเป็นป่าพรุผืนสุดท้ายที่อุดมสมบูรณ์ด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ
ของประเทศไทยที่ยังคงเหลืออย่ใู นเนื้อที่ที่มากท่สี ุด ครอบคลมุ พน้ื ท่ี 3 อาเภอ คอื อาเภอตากใบ อาเภอสุ
ไหงปาดี และอาเภอสุไหงโกลก มีเนื้อท่ีประมาณ 120,000 ไร่ แต่ส่วนท่ีเป็นพื้นที่ป่าพรุสมบูรณ์มีเพียง
50,000 ไร่ ป่าพรุโต๊ะแดง มีสภาพเป็นป่าดิบชื้นในท่ีลุ่ม มีน้าขังในฤดูแล้งและน้าไหลในฤดูน้าหลาก น้าที่
ขงั มีความเป็นกรด-ดา่ ง ระหว่าง 3-6 การทบั ถมของเศษซากอนิ ทรยี วัตถุทาใหน้ ้ามีปริมาณออกซเิ จนต่า
พรคุ วนเครง็
พรุควนเคร็ง ตั้งอยู่บริเวณรอยต่อระหว่างลุ่มน้าทะเลสาบสงขลาและลุ่มน้าปากพนัง (ลุ่มน้า
ภาคใตฝ้ ่ังตะวันออกสว่ นท่ี 4) ซึ่งเปน็ ส่วนหน่ึงของพ้ืนท่ีตน้ น้าปากพนังและตน้ นา้ ทะเลสาบสงขลาตอนบน
มเี นือ้ ที่ 2,761,575.51 ลา้ นไร่ ครอบคลมุ พน้ื ที่ 3 จังหวัด คือ จงั หวดั นครศรีธรรมราช จงั หวัดพทั ลงุ และ
จังหวัดสงขลา โดยพื้นท่ีส่วนใหญ่ของพรุอยู่ในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราช และบางส่วนอยู่ในเขตจังหวัด
พัทลุงและสงขลา (อานันท์ คัมภีระ, 2560) จากข้อมูลลักษณะท่ัวไปและข้อมูลทางกายภาพของพรุควน
เคร็ง รวมถึงสภาพภูมิอากาศตามการอธิบายของนพรัตน์ บารุงรักษ์ (2554, 29-32) ระบุว่า พรุควนเคร็ง
มีเนื้อท่ีที่เป็นพรุท้ังหมดประมาณ 195,545 ไร่ พรุควนเคร็งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของทะเลสาบสงขลา และ
ตั้งอยทู่ ่บี รเิ วณละตจิ ูด 7 องศา 45 ลิปดา ถงึ 8 องศา 01 ลิปดาเหนือ และลองติจูด 100 องศา 09 ลปิ ดา
ถึง 100 องศา 15 ลิปดาตะวันออก ด้านตะวันตกเป็นลุ่มน้า มีระดับความสูงเฉล่ียที่ 40 เมตร วัดจาก
ระดับน้าทะเลปานกลาง และมีทต่ี ัง้ และอาณาเขตแตล่ ะทศิ เช่ือมตอ่ กบั พนื้ ท่ี 3 จังหวดั ดังกล่าวขา้ งต้น น่ัน
คือ
ทิศตะวนั ออก จดทะเลหลวง (ทะเลสาบสงขลาตอนบน) ทางหลวงจงั หวัดหมายเลข 4083 ท้องท่ี
ตาบลตะเครยี ะ ตาบลบ้านขาว อาเภอระโนด จงั หวดั สงขลา
ทิศตะวันตก จดลาคลองคึกฤทธิ์ (คลองขดุ ) ฝั่งทะเลน้อยดา้ นตะวันตก ทงุ่ นา ป่าปรือ ป่าไมเ้ สม็ด
ขาว ท้องท่ีตาบลพนางตุง ตาบลทะเลน้อย อาเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ตาบลขอนหาด ตาบลนางหลง
ตาบลทา่ เสมด็ ตาบลเครง็ อาเภอชะอวด จังหวดั นครศรีธรรมราช
ทิศใต้ จดคลองปากประ อาเภอควนขนนุ จังหวดั พัทลงุ
อย่างไรก็ตาม พรุควนเคร็ง หรือภูมิทัศน์พรุควนเคร็ง ซ่ึงเป็นพ้ืนท่ีศึกษาตามโครงการเพิ่ม
ศักยภาพการคุ้มครองระบบนิเวศป่าพรุที่มีคุณค่าต่อการอนุรักษ์สูง และการจัดการป่าพรุแบบบูรณาการ
อย่างยั่งยืนนั้นมีขอบเขตดาเนินการเนื้อที่ 964,769 ไร่ (154,363 เฮกตาร์) โดยครอบคลุมพ้ืนท่ีเขตห้ามล่า
สัตว์ป่าบ่อล้อ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย พ้ืนที่รอยต่อเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย เขตปฏิรูปท่ีดินเพื่อ
การเกษตร พื้นที่พรุในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ที่ดินสาธารณะ และพ้ืนที่ป่าชุมชนนาร่อง 3 แห่ง ได้แก่ ป่า
ชุมชนควนเงิน ป่าชุมชนสวนสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ และป่าชุมชนไสขนุน อีกทั้งยังประกอบด้วยพื้นท่ีท่ี
จัดใหไ้ ด้รบั ผลประโยชนจ์ ากการดาเนนิ โครงการน้ีคือพน้ื ทีใ่ นเขตคาบสมุทรสทิงพระ
รายงานสรุปสาหรบั ผู้บริหาร ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และพรุควนเคร็ง วิถคี นและปา่ | 129
ลักษณะภูมิประเทศพรุควนเคร็ง ภูมิประเทศของพรุควนเคร็งมีลักษณะเป็นที่ราบลุ่มน้าท่วมขัง
เกือบตลอดปี และสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ พ้ืนที่บนแผ่นดิน และพ้ืนท่ีบริเวณพ้ืนน้า โดยท่ีพื้นท่ี
บนดิน แบ่งออกเป็น 3 ประเภท กล่าวคือ 1) ที่ราบน้าท่วมถึง (Tidal flat) ซ่ึงเป็นพื้นที่มีน้าท่วมถึงโดยมี
น้าขึ้นมาเป็นเวลาและพ้ืนที่บริเวณหาดโคลน พบทางทิศตะวันออกของป่าพรุ พ้ืนท่ีมีความสูงจาก
ระดับน้าทะเลประมาณ 1-2 เมตร ความลาดชัน ร้อยละ 0.5 ส่วนใหญ่มีสภาพเป็นทุ่งนาและทุ่งหญ้า 2)
ป่าพรุ (swamp forest) เป็นบริเวณก้นกระทะของพ้ืนท่ีมีความสูงจากระดับน้าทะเลประมาณ 60
เซนติเมตร ทาใหต้ า่ กว่าพ้ืนที่อื่น ๆ โดยรอบซึง่ เป็นควน หรือเนินสูงเลก็ น้อย และบนควนเหล่าน้จี ะพบทุ่ง
หญ้าเป็นหย่อม ๆ และป่าดิบช้ืนบ้างเล็กน้อย และ 3) ท่ีราบ (Plain) พบทางทิศตะวันตกของป่าพรุ มี
ความสูงจากระดับน้าทะเลประมาณ 8 เมตร ความลาดชันร้อยละ 2 พ้ืนที่ส่วนใหญ่เป็นนาข้าว สวน
ยางพารา ป่าดิบชื้น และอาจจะพบทงุ่ หญา้ และปา่ พรใุ นพนื้ ท่ีราบบางแห่งดว้ ย
ขณะท่ีผลการศึกษาในประเด็นการวิเคราะห์พ้ืนท่ีแห้งแล้งบริเวณพรุควนเคร็งสาหรับการจัดการ
ไฟไหม้พรุโดยใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศของ อานันท์ คาภีระ (2560, 54-55) ได้จาแนกลักษณะภูมิ
ประเทศทเ่ี ป็นพ้ืนดนิ ออกเป็น 4 ประเภท คอื
1) ที่ลุ่มต่ามาก (Depression) เป็นพื้นท่ีท่ีพบทางทิศตะวันออกจนจดชายฝั่งอ่าวไทย มีพื้นที่
ประมาณ 1,879.53 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 42.54 % ของพ้ืนท่ี สภาพพ้ืนท่ีเป็นท่ีนาและสวน
ปาล์มน้ามัน มีการเพาะเล้ียงสัตว์น้าชายฝั่งบริเวณพื้นที่ติดชายทะเล ส่วนทางฝั่งตะวันตกของพ้ืนที่ส่วน
ใหญ่เป็นป่าพรุ มีสภาพเป็นแอ่งคล้ายก้นกระทะบริเวณตรงกลางของพื้นท่ี มีความสูงจากระดับน้าทะเล
ประมาณ 60 เซนติเมตร ทาให้ต่ากว่าพื้นที่อ่ืน ๆ เป็นท่ีลุ่มมีน้าขังอยู่เกือบตลอดปีหรือตลอดปี พื้นที่
โดยรอบเป็นควนหรือเนินสูงเล็กน้อย และบนควนเหล่าน้ีพบทุ่งหญ้าเป็นหย่อม ๆ และป่าดิบช้ืนบ้าง
เลก็ นอ้ ย โดยสว่ นใหญ่เปน็ ป่าพรุเสมด็ ขนาดใหญ่
2) ท่ีราบน้าท่วมถึง (Tidal flat) เป็นพื้นที่ที่มีน้าท่วมถึง โดยมีน้าข้ึนมาเป็นเวลานานและเป็น
พ้ืนท่ีหาดโคลน พบทางทิศตะวันออกและทางทิศตะวันตกของป่าพรุ พ้ืนที่มีความสูงจากระดับน้าทะเล
ประมาณ 1-2 เมตร ความลาดชัน 0.5 % ส่วนใหญ่มีสภาพเป็นทุ่งนาและทุ่งหญ้า ส่วนพื้นที่ติดชายทะเล
ส่วนใหญ่จะทาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าชายฝั่ง มีพ้ืนท่ีประมาณ 494.21 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ
11.19 % ของพื้นท่ี
3) พื้นท่ีดอน (Upland) มีพื้นที่ประมาณ 1,248.39 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 28.25 %
ของพื้นที่ พบทางด้านทิศตะวันตก มีลักษณะพื้นท่ีค่อย ๆ สูงข้ึนเป็นลาดับ หรือเป็นภูมิประเทศที่ลาดเท
ต่อเนื่องจากเขาหรือภูเขท่ีเรียกว่า ท่ีลาดเชิงเขา (Food hill slope) ซ่ึงมีความลาดชันน้อยกว่า 30 %
และมีระดับความสูงจากบริเวณรอบ ๆ ประมาณตั้งแต่ 15-150 เมตร พื้นท่ีบริเวณเหล่านี้มักมีลาน้าย่อย
ๆ ซึ่งมีต้นน้ามาจากภเู ขาตัดผา่ น ทาให้มีสภาพภูมิประเทศลกั ษณะเป็นลูกคลนื่ ลอนลาด (Updulting) ถึง
ลกู คลนื่ ลอนชัน (Rolling) ส่วนใหญ่ใชป้ ลูกยางพารา
4) พ้ืนที่เขา (Hill) และภูเขา (Mountains) ทางด้านทิศตะวันตก อยู่ถัดจากพื้นที่ดอนเขาไปก็
เป็นส่วนพื้นที่ท่ีเป็นเขาและภูเขา โดยพ้ืนท่ีเขาเป็นลักษณะภูมิประเทศที่มีความลาดชันมากกว่า 30 %
และมีระดับความสูงจากบริเวณรอบ ๆ ประมาณตั้งแต่ 150-600 เมตร มีพื้นท่ีประมาณ 324.41 ตาราง
กิโลเมตร หรือประมาณ 7.34 % ของพื้นท่ี ส่วนพ้ืนท่ีภูเขาเป็นลักษณะภูมิประเทศที่มีความลาดชัน
มากกว่า 30 % และมีระดับความสูงจากบริเวณรอบ ๆ ประมาณตั้งแต่ 600 เมตร ข้ึนไป มีเทือกเขาท่ี
130 | โครงการเสรมิ ศกั ยภาพการจัดการระบบนเิ วศปา่ พรุเพ่อื เพ่มิ ความสามารถในการกักเกบ็ คาร์บอน
และอนุรกั ษค์ วามหลากหลายทางชวี ภาพอย่างยงั่ ยืน
สาคัญคอื เทอื กเขานครศรธี รรมราช หรือเทอื กเขาบรรทัด พ้นื ทส่ี ่วนใหญ่เปน็ ป่าไม้สมบรู ณ์ และเปน็ แหล่ง
ต้นน้าสาคัญของลุ่มน้าปากพนังและลุ่มนา้ ทะเลสาบสงขลา มีพ้ืนที่ประมาณ 51.23 ตารางกิโลเมตร หรือ
ประมาณ 1.16 % ของพื้นท่ี
ส่วนพ้ืนท่ีบริเวณพ้ืนน้า มีเน้ือท่ีประมาณร้อยละ 6 ของพื้นท่ีท้ังหมด มีความลึกประมาณ 1.2
เมตร ซึ่งพบพืชน้า ได้แก่ พืชลอยน้า หญ้าลอยน้า จูด กกสามเหล่ียม กกกลม และกง เป็นต้น สอดคล้อง
กับผลการศึกษาของ อานันท์ คัมภีร์ระ (2560, 55) ท่ีอธิบายพื้นที่บริเวณที่เป็นพ้ืนน้าของพรุควนเคร็งว่า
ตั้งอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้าทะเลน้อยของอาเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง เป็นบึงน้าจืดมีลักษณะค่อนข้างกลม มี
พ้นื นา้ ประมาณ 26.6 ตารางกโิ ลเมตร หรอื ประมาณ 0.60 % ของพ้ืนท่ี มคี วามลึกประมาณ 1.5 เมตร ซง่ึ
จะพบพืชน้า ได้แก่ พชื ลอยน้า หญา้ ลอยน้า จดู กกสามเหลยี่ ม กกกลม และกง เปน็ ตน้ โดยเปน็ แหล่งน้า
จืดทส่ี าคญั ของชมุ ชนที่อาศยั อย่โู ดยรอบพ้นื ท่ี
สภาพภูมิอากาศ บริเวณพื้นที่พรุควนเคร็งอยู่ในเขตเส้นชั้นน้าฝน 1,900-2,000 มิลลิเมตรต่อปี
โดยมีฝนตกประมาณ 10 เดือนและสภาพขาดฝนเพียง 2 เดอื นในรอบปี และมอี ัตราการระเหยของน้าสูง
มาก โดยมีค่าศักย์ของการระเหยน้าและคายน้าสูงสุดในเดือนเมษายน มีค่า 200 มิลลิเมตร ทาให้ช่วงฤดู
แล้งระดับน้าในพ้ืนท่ีชุ่มน้าทะเลน้อยลดลงมาก ตั้งแต่เดือนเมษายน-มกราคม มีปริมาณน้าฝนประมาณ
100 มิลลิเมตร หรือมากกว่า ฝนตกมากท่ีสุดในเดือนพฤศจิกายน โดยมีค่าเฉลี่ยประมาณ 500 มิลลิเมตร
ปริมาณน้าฝนเฉลี่ยรายปี ประมาณ 2,035 มิลลิเมตร จานวนวันฝนตกเฉลี่ย 152.8 วันต่อปี มีอุณหภูมิ
เฉล่ียประมาณ 27 องศาเซลเซียส และมีความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ยในรอบปี ร้อยละ 79 เดือนที่ชื้นมาก คือ
เดือนตุลาคม และพฤศจิกายน (นพรัตน์ บารุงรักษ์, 2554, 29-32) โดยในรอบ 30 ปีของบริเวณพรุควน
เคร็งซ่ึงเป็นข้อมูลโดยการคานวณจากปริมาณน้าฝนรายเดือนของกรมอุตุนิยมวิทยา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527-
2556 จากสถานีวัดปริมาณน้าฝนที่ต้ังในบริเวณพรุควนเคร็งและพื้นที่โดยรอบ จานวน 23 สถานี พบว่า
พ้ืนที่พรุควนเคร็งมีปริมาณฝนอยู่ในช่วงประมาณ 1,500-2,700 มิลลิเมตรต่อปี ทว่าส่วนใหญ่แล้วมี
ปริมาณฝนมากกว่า 1900 มิลลิเมตรต่อปี และฝนตกมากในช่วงเดือนตุลาคมถึงธันวาคม แต่ในเดือน
พฤศจิกายนจะปริมาณน้าฝนเฉล่ียรายเดือนสงู ท่ีสดุ และต่าสดุ ในเดือนกุมภาพันธ์ โดยเมื่อพิจารณาเฉพาะ
สถานีวัดน้าฝนท่ีอยู่ในพ้ืนท่ีพรุควนเคร็งในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราช จานวน 3 สถานี พบว่า สถานี
อาเภอชะอวดมีปริมาณฝนเฉล่ียสูงสุดอยู่ในเดือนพฤศจิกายน เท่ากับ 416 มิลลิเมตร และมีปริมาณฝน
เฉลี่ยตา่ สดุ ในเดอื นกมุ ภาพันธ์เท่ากบั 52 มลิ ลเิ มตร สถานีอาเภอเฉลมิ พระเกยี รติ มปี ริมาณฝนเฉล่ียสงู สุด
ในเดือนธันวาคม เทา่ กับ 599.5 มลิ ลเิ มตร และมปี รมิ าณฝนต่าสดุ ในเดอื นกุมภาพนั ธ์เทา่ กบั 13 มลิ ลิเมตร
ส่วนสถานีหน่วยดับไฟป่าพรุต้นไทร ตาบลการะเกด อาเภอเชียรใหญ่ มีปริมาณฝนเฉลี่ยสูงสุดในเดือน
ธันวาคม เท่ากับ 567 และมีปริมาณฝนเฉลี่ยต่าสุดในเดือนกุมภาพันธ์เท่ากับ 69 มิลลิเมตร ท้ังน้ี ในรอบ
30 ปี มีจานวนวันท่ีฝนตกในพ้ืนที่พรุควนเคร็ง 159 วัน โดยเดือนที่มีจานวนวันฝนตกมากที่สุดอยู่ในช่วง
เดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม เน่ืองจากเป็นช่วงฤดูฝนตกชกุ ส่วนช่วงเดือนที่มีจานวนวนั ฝนตกน้อยทีส่ ุด
คือ ช่วงระหว่างเดือนกมุ ภาพันธถ์ ึงเดือนเมษายน ซงึ่ เป็นฤดูรอ้ น (อานนั ท์ คัมภีรร์ ะ, 2560, 57)
นอกจากน้ี ข้อมูลลักษณะภูมิอากาศบริเวณพรุควนเคร็งจากผลการศึกษาของอานันท์ คัมภีร์ระ
(2560, 56) ระบุว่า พรุควนเคร็งตั้งอยู่ทางด้านฝั่งตะวันออกของภาคใต้ จึงได้รบอิทธิพลจากลมมรสุม
ตะวนั ออกเฉยี งเหนือท่ีพัดมาจากประเทศจีนมากกว่าจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใตท้ ่ีพัดมาจากมหาสมุทร
อินเดีย ทาให้มีฝนตกชุกและมีปริมาณค่อนข้างสูง ปริมาณฝนส่วนใหญ่จะได้จากฝนในช่วงสามเดือนแรก
รายงานสรปุ สาหรบั ผู้บริหาร ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรคุ วนเคร็ง วิถคี นและปา่ | 131
คือระหว่างเดือนตุลาคมถึงธันวาคม ถือเป็นฤดูฝนตกชุกของลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ เม่ือพัดผ่าน
ทะเลจีนใต้และอ่าวไทยจะรับเอาไอน้าเข้ามาด้วยทาใหฝ้ นตกชกุ ในภาคใต้ สาหรับลมมรสมุ ตะวันตกเฉียง
ใต้พดั ผ่านในระหวา่ งเดอื นพฤษภาคมถึงเดือนกนั ยายนถือเป็นฤดกู ่อนฝนตกชกุ จะมีฝนตกน้อย มีลกั ษณะ
ฝนฟ้าคะนอง ฝนตกเฉพาะแหง่ และการกระจายตัวของฝนไม่สม่าเสมอ และอณุ หภมู ิจะสูงขน้ึ ด้วย สาหรับ
ฤดูกาลในภาคใต้แบ่งเป็น 2 ฤดูใหญ่ ๆ คือ ฤดูฝน เร่ิมตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนมกราคม เป็น
ระยะเวลา 9 เดอื น โดยชว่ งฤดูฝนนี้จะแบง่ ออกไดเ้ ปน็ 2 ระยะ คือ ระยะแรก เปน็ ระยะทีไ่ ด้รบั อิทธพิ ลลม
มรสมุ ตะวันตกเฉยี งใต้ เรม่ิ ตงั้ แต่เดือนพฤษภาคมถึงเดอื นกนั ยายน ในชว่ ง 5 เดอื นนจ้ี ะมฝี นตกพอสมควร
โดยเฉพาะเดือนพฤษภาคมที่มีฝนตกมากกว่าเดือนอื่น ๆ ส่วนระยะท่ีส่อง เป็นระยะท่ีได้รับอิทธิพลลม
มรสมุ ตะวนั ออกเฉียงเหนือ เรมิ่ ตง้ั แต่เดอื นตุลาคมถึงเดือนมกราคม ในระยะน้จี ะมีฝนตกชุกและมีปริมาณ
ค่อนข้างมาก ในเดือนพฤศจกิ ายนจะมีฝนตกชกุ มากท่ีสดุ ในรอบปี และจะคอ่ ย ๆ ลดลงตามลาดบั สาหรบั
ฤดแู ล้ง เร่มิ ตง้ั แต่เดือนกุมภาพนั ธ์ถึงเดือนเมษายน เน่อื งจากในระยะน้ีลมมรสุมตะวนั ออกเฉยี งเหนืออ่อน
กาลังลง โดยจะมีลมระหว่างทิศใต้และทิศตะวันออกเฉียงใต้ซ่ึงเป็นลมร้อนและชื้นสัมพัทธ์เข้ามาแทนท่ี
และพัดประจาอยู่ตลอดเวลา 3 เดือน ทาให้อุณหภูมิของภาคใต้ฝั่งตะวันออกสูงข้ึนโดยทั่วไป แต่จะไม่สูง
มากนักเนื่องจากอยใู่ กลท้ ะเล และมีฝนตกนอ้ ยกว่าระยะอ่ืน ๆ ในรอบปี
อณุ หภมู ิ ความช้นื สัมพทั ธแ์ ละการระเหยของน้าบรเิ วณพรคุ วนเครง็
จากการศึกษาของอานันท์ คัมภีร์ระ (2560, 59) ซึ่งได้สะท้อนข้อมูลเฉลี่ยของอุณหภูมิ ความช้ืน
สัมพัทธ์ และปริมาณการระเหยของน้าในบริเวณพรุควนเคร็งในรอบ 30 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2527-2556 ซ่ึง
เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลจากสถานีอุตุนิยมวิทยานครศรีธรรมราช พบว่า บริเวณพรุควนเคร็งมีอุณหภูมิ
เฉลี่ยอยู่ระหว่าง 27-28 องศาเซลเซียส โดยเดือนเมษายนถึงเดือนสิงหาคมเป็นช่วงท่ีมีอากาศร้อน ส่วน
เดือนท่ีมีอากาศเย็นคือช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคม ส่วนความช้ืนสัมพัทธ์ของอากาศทั้งปีอยู่
ระหว่าง 77-81 % โดยในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคมเป็นช่วงที่มีความชื้นสัมพัทธ์สูงสุดเนื่องจาก
ฝนตกชกุ สว่ นเดือนเมษายนถงึ เดอื นสิงหาคมเป็นชว่ งท่ีมคี วามชนื้ สมั พัทธใ์ นอากาศตา่ เนือ่ งจากมปี ริมาณ
น้าฝนน้อย ท้ังน้ี ปริมาณการระเหยของน้าเฉล่ียท้ังปีอยู่ระหว่าง 2.5-4 มิลลิเมตร โดยเดือนมีนาคมถึง
เดือนเมษายนเป็นช่วงเดือนท่ีมีปริมาณการระเหยของน้าสูงสุดเน่ืองจากเป็นช่วงฤดูร้อนและช่วงแล้ งของ
ฝน
ความหลากหลายทางชีวภาพพรคุ วนเคร็งและการใช้ประโยชนข์ องชุมชน
พรุควนเคร็ง เป็นพ้ืนท่ีชุ่มน้าท่ีมีความหลากหลายทางชีวภาพ ผลการศึกษาของ
เสาวคนธ์ รุ่งเรือง และคณะ (2550) ซ่ึงศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพทรัพยากรประมงพ้ืนท่ีชุ่มน้า
พรุควนเครง็ ได้กลา่ วถงึ พรุควนเคร็งทง้ั ในแงค่ วามสาคัญต่อชุมชน ครัวเรือนท่อี ยอู่ าศัยรายรอบพนื้ ที่พรุท่ี
มีการใช้ประโยชน์จากพรุ และความหลากหลายทางชีวภาพ อีกท้ังยังสะท้อนข้อมูลท่ีน่าสนใจเกี่ยวกับ
พันธุ์สัตว์บางชนิดที่ใกล้สญู พันธ์หุ รอื บางชนิดที่เคยพบแตก่ ลับไม่พบแล้วในการสารวจครง้ั น้ี กล่าวคือ พรุ
ควนเคร็งนั้นเป็นแหล่งน้าท่ีมีความอุดมสมบูรณ์ทางระบบนิเวศ เป็นแหล่งทรัพยากรสัตว์น้า ทรัพยากร
อาหาร และแหล่งทามาหากินของคนใต้ตอนกลางนั่นคือ จังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา พรุ
ควนเคร็งเปรียบเสมือน “คลังอาหารธรรมชาติ” ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นแหล่งหล่อเล้ียงชีวิตมนุษย์เท่านั้น พรุ
ควนเคร็งยังคงเป็นแหล่งอาหารและท่ีอยู่อาศัยของสัตว์ป่า สัตว์บกและสัตว์น้าอีกหลากหลายชนิด ท้ังนี้
132 | โครงการเสริมศักยภาพการจดั การระบบนิเวศปา่ พรุเพอ่ื เพ่ิมความสามารถในการกกั เก็บคาร์บอน
และอนุรกั ษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยงั่ ยืน
ผลการสารวจทรัพยากรสัตว์น้าในพรุควนเคร็ง พบพันธ์ุปลาหลายชนิด จาแนกได้ 15 วงศ์ 36 ชนิด ส่วน
ใหญ่เป็นกลุ่มปลาตะเพียน และชนิดปลาท่ีมีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เช่น ปลาสลาด ปลาดุกอุย ปลาไหลนา
ปลาหมอช้างเหยยี บ ปลาชอ่ น ปลากระสง และปลาหมอ อยา่ งไรก็ตาม การสารวจครง้ั นี้ (ปี 2550) ไม่พบ
ปลาเสอื สุมาตรา และปลาซิวหางกรรไกรเหมือนกับท่ีเคยสารวจพบเมื่อ ปี 2536 และชนดิ ปลาที่สอบถาม
จากชาวบ้านพบว่ามีความเสย่ี งตอ่ การสญู พันธุ์จากธรรมชาติ เช่น ปลาดุกลาพัน ขณะท่ีผลการศึกษาของ
ฮสั วานี เลม็ กะเตม็ และคณะ (2558) ไดส้ ะท้อนขอ้ มูลจากผลการศึกษาในประเดน็ การรบั รู้ตอ่ การอนุรักษ์
ปลาดุกลาพันที่มีแนวโน้มใกล้สูญพันธ์ุในพื้นท่ีพรุควนเคร็ง จังหวัดนครศรีธรรมราช และปัจจัยท่ีมีผลต่อ
การรับรู้การอนุรักษ์ปลาดุกลาพันที่ส่งผลต่อการปรับตัวของชุมชนในการจัดการอนุรักษ์ปลาดกุ ลาพันท่มี ี
แนวโน้มใกล้สูญพันธ์ุในพื้นที่พรุควนเคร็ง พบว่าปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ในเชิงบวกต่อการรับร้กู ารอนุรักษ์
ปลาดุกลาพัน คือ การศึกษา ประสบการณ์ ทัศนคติในการอนุรักษ์ความรู้ในการอนุรักษ์ และการได้รับ
ขา่ วสารการอนุรักษ์ มีผลตอ่ การอนุรกั ษป์ ลาดุกลาพนั ในพื้นทพ่ี รุควนเครง็
นอกจากนี้จากผลการศึกษาของ เสาวคนธ์ รุ่งเรือง และคณะ (2550) ยังได้สะท้อนข้อมูลด้าน
ประชากรและการใช้ประโยชน์จากป่าพรุควนเคร็งในมิติการทาประมง โดยระบุว่า พื้นท่ีรอบ ๆ พรุควน
เคร็ง เป็นที่อยู่อาศัยของชุมชนราว 22,830 ครัวเรือนหรือประมาณ 117,500 คน ส่วนใหญ่มีวิถีชวี ติ แบบ
ชุมชนเกษตร ประกอบอาชีพทานา ทาไร่ เลี้ยงสัตว์ และประมง อีกท้ังใช้เวลาว่างจากงานประจาสาน
กระจูด และแปรรูปสัตว์น้า เครื่องมือประมงท่ีนิยมใช้จับสัตว์น้ามีหลายชนิด เช่น ลอบ ข่าย เบ็ด ลัน
ฉมวก ยอ และแห ซึ่งชาวประมงเลือกใช้เคร่ืองมือจับสัตว์น้าตามความเหมาะสมของพ้ืนที่และชนิดสัตว์
นา้ ผลผลิต การจับสัตว์น้าจากพรุควนเคร็งมีปริมาณราว 3,585 เมตรกิ ตัน/ปี คิดเป็นมูลคา่ 179,212,500
บาท/ปี ผลผลิตส่วนใหญ่ขายในตลาดท้องถิ่นและบริโภคภายในครัวเรือน ส่วนที่เหลือนาไปถนอมอาหาร
และแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ปลาตากแห้ง ปลาดุกร้า กะปิปลา และพุงปลา เมื่อคิดสัดส่วนการนาผลผลิต
สตั ว์นา้ มาใช้ประโยชน์ พบว่าชมุ ชนมีการบรโิ ภคผลผลิตสัตวน์ ้าจากธรรมชาติเฉล่ียถึง 30.5 กิโลกรัม/คน/
ปี แม้ว่าข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์จะบ่งชี้ว่า ชุมชนมุ่งทาการประมงเพื่อจาหน่ายมากกว่ายังชีพแล้วก็
ตาม ผลการศึกษาคร้ังน้ี ทาให้เห็นถึงความสัมพันธเ์ ชอื่ มโยงของปัจจัยด้านนิเวศวทิ ยา ทั้งด้านคุณภาพนา้
แพลงก์ตอน และความหลากหลายชุกชุมของชนิดปลาในพรุควนเคร็งอย่างชัดเจน กล่าวได้ว่า“พรุควน
เคร็ง” เป็นแหลง่ นา้ ทีม่ คี ณุ สมบตั ิเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของสิ่งมีชวี ติ และยังคงมีความอดุ มสมบูรณ์
ของทรัพยากรประมง เป็นอันดับ 2 รองจากพรุโต๊ะแดง จังหวัดนราธิวาส และเห็นควรอย่างยิ่งท่ี
หน่วยงานผู้มีหน้าที่กากับ ดูแล วางแผนและหาแนวทางกาหนดมาตรการต่าง ๆ เพ่ือคุ้มครองความ
หลากหลายทางชีวภาพพื้นท่ีชุ่มน้าพรคุ วนเครง็
อีกท้ังจากผลการศึกษาของ นฤมล ขุนวีช่วย (2558) ที่ศึกษาในประเด็นพลวัตการใช้ประโยชน์
ทรัพยากรป่าพรุควนเคร็งได้สะท้อนให้เห็นวิถีการพ่ึงพิงผืนป่าพรุควนเคร็งในยุคต่าง ๆ และปัจจัยท่ี
สัมพันธ์กับการใช้ประโยชน์ ตลอดจนความขัดแย้งท่ีเกิดข้ึนอันเป็นผลจากการใช้ประโยชนจ์ ากป่าพรุควน
เคร็ง กล่าวคือ “พรุควนเคร็ง” เป็นแหล่งป่าของชุมชนที่คนสองลุ่มน้าทั้งลุ่มน้าทะเลสาบสงขลาและลุ่ม
น้าปากพนังใช้ประโยชน์ร่วมกันมาตั้งแต่อดีตในการใช้ไม้และของป่า ตลอดจนเป็นแหล่งพันธ์ุปลาที่
สมบูรณ์มานาน พลวัตการใช้ประโยชน์ทรัพยากรป่าพรุควนเคร็งแบ่งออกเป็น 3 ยุคด้วยกัน คือ ยุคท่ี 1
ยุคป่าเขียว (ก่อนพ.ศ. 2505) ยุคหลังวาตภยั (พ.ศ. 2505-2539) และยุคเกษตรเชิงพาณิชย์ (พ.ศ. 2540-
ปัจจุบัน) ลักษณะการใช้ประโยชน์ ได้แก่ การเก็บกระจูด การสานกระจูด การใช้ไม้ ของป่า การหาสัตว์
รายงานสรปุ สาหรับผู้บริหาร ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบาย และพรคุ วนเคร็ง วิถคี นและป่า | 133
น้า การทานา สวนยางพารา และปาล์ม น้ามัน โดยที่ลักษณะการใช้ประโยชน์ท่ีแตกต่างกันในแต่ละยุค
ขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัย คือ 1) ปัจจัยภายในชุมชน ได้แก่ ฐานทรัพยากรป่าพรุ และกระบวนการเรียนรู้ของ
ชุมชน 2) ปัจจัยภายนอกชุมชน ได้แก่ การเปล่ียนแปลงจากนโยบายของภาครัฐ และการเข้ามาของ
องค์กรและหน่วยงานภายนอก สาหรับสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรป่าพรุควนเคร็ง จาแนกได้ 3 กลุ่ม
ได้แก่ กลุ่มที่หากินกับทรัพยากรในป่าพรุอย่างยั่งยืน เช่น กลุ่มหาของป่า จับสัตว์น้า ถอนกระจูด กลุ่มท่ี
สองเป็นกลุ่มท่ีหากินกับการทาลายทรัพยากร ได้แก่ กลุ่มท่ีเข้าไปตัดไม้ในป่าออกมาใช้ประโยชน์และ
ค้าขาย และกลุ่มที่สาม เป็นกลุ่มท่ีไม่สนใจหากินกับทรัพยากรแต่ต้องกาครอบครอง ได้แก่ กลุ่มท่ีเข้าไป
ครอบครองท่ีดินป่าพรุเพื่อการเกษตร หรือเพ่ือผล ประโยชน์อื่น ๆ ดังนั้นกลุ่มคนท้ัง 3 กลุ่ม จึงมี
ความสมั พันธ์เกย่ี วโยงซ่ึงกนั และกัน โดยความสมั พันธ์เป็นไปท้ังในรูปแบบของการพึ่งพาอาศัย และความ
ขัดแย้ง ซึ่งในความสัมพันธ์ดังกล่าวได้นาไปสกู่ ระบวนการปรับตัวของชมุ ชน เป็นการปรับตัวเพื่อแสวงหา
ทางออกใหก้ บั ตนเองให้มชี วี ิตอยรู่ อดไดท้ ่ามกลางกระแสการเปลย่ี นแปลงทีเ่ กดิ ขนึ้ โดยอยู่บนฐานการผลิต
ทีต่ อ้ งอาศยั ทรพั ยากรปา่ พรุ และการสนบั สนนุ จากหน่วยงานท่เี กย่ี วขอ้ ง
เขา้ ใจธาตุ 4 พรคุ วนเคร็ง: ดิน น้า ลม ไฟ ในพนื้ ท่ภี มู ทิ ศั นพ์ รุควนเครง็
พ้ืนที่ภูมิทัศน์พรุควนเคร็ง จัดเป็นระบบนิเวศน์หน่ึงที่ตอ้ งการความสมดลุ ของดิน น้า ลม และไฟ
เม่ือใดท่ีธาตุใดธาตุหนึ่งเกิดปัญหาย่อมส่งผลกระทบต่อความสมดุลของระบบนิเวศพรุควนเคร็ง ดังน้ัน
การทาความเข้าใจกับธาตุทั้งสี่ของภูมิทัศน์พรุควนเคร็งจะเป็นการช่วยให้จัดการพื้นท่ีได้ตรงประเด็นและ
แกป้ ญั หาให้กับชุมชนและป่าท้ังในมิตดิ ้านการจัดการป่าพรุและการจัดการชุมชนที่มวี ิถีเช่ือมโยงกับป่าพรุ
มายาวนานได้อย่างสอดคลอ้ งกบั วถิ ีชมุ ชนและปา่ พรุควนเครง็
ดนิ และการใช้ประโยชน์ทดี่ นิ ในพ้นื ท่พี รคุ วนเคร็ง
ดินของประเทศไทย ที่มีการใช้ทางการเกษตรส่วนใหญ่เป็นดินที่อยู่ภายใต้สภาพภูมิอากาศเมือง
ร้อน มีฝนเฉพาะฤดู (tropical savanna climate; Aw) นอกจากบริเวณคาบสมุทรประเทศไทยและทาง
ซีกตะวันออกของชายฝ่ังทะเลตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศซ่ึงอยู่ภายใต้สภาพภูมิอากาศแบบมรสุมเขต
ร้อน (tropical monsoon climate; Am) และในบริเวณตอนลา่ งสุดของคาบสมุทรประเทศไทยและขอบ
ตะวนั ออกของชายฝ่ังทะเลตะวนั ออกเฉียงใต้ ทอี่ ยภู่ ายใต้สภาพภมู อิ ากาศแบบฝนเขตร้อน (tropical rain
forest; Af) และบริเวณท่ีสูงของเทือกเขาในภาคเหนือ ซ่ึงอยู่ในสภาพภูมิอากาศแบบกึ่งร้อนช้ืน humid
sub tropical climate; Cw) ลักษณะดินส่วนใหญ่ของประเทศไทยเป็นดินเขตร้อน ในบริเวณท่ีดอนเป็น
ดินท่ีมีพัฒนาการสูง มีการชะละลายสูง และมีความอุดมสมบูรณ์ต่า ส่วนในท่ีลุ่มแม้ว่าจะมีพัฒนาการ
แตกต่างกันได้ค่อนข้างมาก แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นดินท่ีมีพัฒนาการค่อนข้างสูงเช่นกัน เมื่อเปรียบเทียบ
คุณภาพของดินในระหว่างท่ีลุ่มและท่ีดอน อาจกล่าวได้ว่า ดินในท่ีลุ่มมีศักยภาพในเชิงการผลิตพืช
โดยทั่วไปสูงกวา่ ดนิ ในทด่ี อน (กรมพัฒนาที่ดนิ , ม.ป.ป)
พ้ืนที่พรุควนเคร็ง ดินจะมีลักษณะเดียวกับดินพรุโดยท่ัวไปที่มีสภาพเป็นดินอินทรีย์ ซึ่ง
ประกอบด้วยกลุ่มชุดดิน 4 ชุด ได้แก่ กลุ่มชุดดินที่ 10 ชุดดินมูโน๊ะ (Munoh Series: Mu) กลุ่มชุดดินที่
14 ชุดดินระแงะ (Rangae series: Ra) กลุ่มชุดดินท่ี 57 ชุดดินกาบแดง (Kab Daeng series: Kd) และ
134 | โครงการเสริมศกั ยภาพการจดั การระบบนเิ วศปา่ พรุเพ่ือเพมิ่ ความสามารถในการกักเกบ็ คาร์บอน
และอนุรกั ษ์ความหลากหลายทางชวี ภาพอย่างย่งั ยืน
กลุ่มชุดดินที่ 58 ชุดดินนราธิวาส (Narathiwat series: Nw) โดยแต่ละชุดดินมีลักษณะดังนี้ (กรมพัฒนา
ท่ดี นิ , ม.ป.ป)
กลุ่มชุดดินท่ี 10 ชุดดินมูโน๊ะ (Munoh Series: Mu) เกิดจากตะกอนน้าทะเลในพื้นที่พรุหรือที่
ลุ่มระหว่างสันทรายชายทะเล มีสภาพพื้นที่เป็นพรุหรือท่ีลุ่มต่าที่มีความลาดชัน 0-1 % จึงพบว่ามีการ
แพร่กระจายของดินชุดน้ีในบริเวณขอบท่ีลุ่มต่า หรือพื้นท่ีพรุชายทะเลภาคใต การระบายน้าได้ไม่ดี
มีการไหลบ่าของน้าบนผิวดินช้า การซึมผ่านได้ของน้าอยู่ในระดับปานกลาง พืชพรรณธรรมชาติที่ข้ึน
ได้แก่ ข้าว หญ้า กก โครงเครง และปา่ เสมด็ เปน็ พน้ื ทท่ี านาข้าว ดนิ มีลกั ษณะเปน็ ดนิ เหนียวในช้ันลึกมาก
ส่วนดินบนมีเน้ือดินเป็นดินร่วนเหนียวถึงเป็นดินร่วนปนทรายแป้ง มีสีดาหรือสีน้าตาลปนเทา ดินมีความ
เป็นกรดจัดมาก คือ ค่า pH 4.5-5.0 ขณะที่ดินล่างมีเนื้อดินเป็นดินเหนียวหรือดินเหนียวปนทรายแป้ง มี
จุดประสีเหลือ สนี ้าตาล หรือมจี ดุ ประสเี หลืองฟางข้าวของสารประกอบจาโรไซต์ (jarosite mottles) ซง่ึ
ทาให้ดินมีความเป็นกรดรุนแรงมากถึงเป็นกรดรุนแรงมากท่ีสุด คือ ค่า pH 3.5-4.0 ท้ังนี้ความเป็นกรด
รุนแรงมากเกิดจากการเติมออกซิเจนเข้าไปในสารประกอบกามะถัน และดินล่างช้ันถัดไปช่วงความลึก
50-100 เซนติเมตร เป็นดินเลนสีเทา มีสารประกอบกามะถันมาก ซ่ึงทาให้ดินชั้นน้ีมีความเป็นกรดจัดถึง
เป็นกรดเล็กน้อย มีค่าความเป็นกรด-ด่าง ในช่วง 5.0-6.5 สาหรับชุดดินท่ีคล้ายคลึงกันคือ ชุดดินระแงะ
และชุดดินต้นไทร อย่างไรก็ตาม ดินชุดท่ี 10 มีข้อจากัดในการใช้ประโยชน์เนื่องจากดินมีโครงสร้างแน่น
ทบึ และเปน็ กรดจดั มาก เนอื่ งจากสารประกอบกามะถัน มธี าตอุ ะลมู เิ นยี ม เหล็ก และแมงกานสี ถกู ละลาย
ออกมามากจนเป็นพิษต่อพืช ธาตุฟอสฟอรัสถูกตรึงพืชดูดไปใช้ไม่ได้ ดินมีโครงสร้างแน่นทึบและมีน้าแช่
ขัง ดังนั้นข้อเสนอแนะในการใชป้ ระโยชน์ท่ีดิน เหมาะสมปานกลางสาหรับปลูกข้าว มีข้อจากัดปานกลาง
ที่มีปฏิกิริยาดินเป็นกรดจัดมาก ควรมีการปรับปรุงดินด้วยวัสดุปูนตามความต้องการปูนของดิน ไถกลบ
พืชปุ๋ยสดร่วมกับการใช้ปุ๋ยเคมีและปุ๋ยอินทรีย์น้า พด.2 พัฒนาแหล่งน้าจืดไว้ล้าง ควบคุมและใช้ในช่วงที่
พืชขาดน้า จดั ระบบการใหน้ ้าและระบายน้าแยกส่วนกนั
กลุ่มชุดดนิ ท่ี 14 ชุดดนิ ระแงะเปน็ ชุดดินที่เกิดจากตะกอนน้ากร่อยน้าพามาทบั ถมอย่บู นบริเวณที่
ราบชายฝั่งทะเล สภาพพื้นท่ีเป็นท่ีลุ่มต่าหรือพื้นที่พรุ มีความลาดชัน 0-1 % การระบายน้าเลวมาก ส่วน
การไหลบ่าของน้าบนผิวดินและการซึมผ่านไดของน้าถือว่าช้า สาหรับพืชพรรณธรรมชาติและการใช้
ประโยชน์ท่ดี ินโดยทว่ั ไปเป็นป่าเสม็ดและมีเฟิร์น กก กระจดู เปน็ ไม้พืน้ ล่าง บางแห่งใชท้ านาแต่ให้ผลผลิต
ต่า การแพร่กระจาย พบท่ัวไปในพื้นที่ลุ่มต่า ตามที่ราบชายฝั่งทะเลของภาคใต้ ลักษณะและสมบัติดิน
เป็นดินลึก ดินบนมีเน้ือดินเป็นดินร่วน มีสีดาหรือเทาปนดา เน่ืองจากมีอินทรียวัตถุมาก ดินล่างมีเนื้อดิน
เปน็ ดนิ เหนียวหรอื ดนิ เหนยี วปนทรายแป้ง สีน้าตาลปนเทา มีจุดประสีเหลืองและถัดลงไปที่ความลึกต้ังแต่
50-100 ซม. มีลักษณะเป็นดินเลนสีเทาปนน้าเงินท่ีมีสารประกอบกามะถัน (pyrite: FeS2) มาก ดินนี้มี
ปฏิกิริยาดินเป็นกรดจัดมากความเป็นกรดที่รุนแรงน้ีเกิดจากการเติมออกซิเจน (oxidized) เข้าไปใน
สารประกอบกามะถัน จัดเป็นดินเปรี้ยวจัดที่กาลังมีกรดกามะถันเกิดข้ึน (actual acid sulfate soil) ดิน
น้ีไม่มีจุดประสีเหลืองฟางข้าว (jarosite mottles) มีความสามารถในการอุ้มน้าดี ดินน้ีจะเป็นกรดเพิ่ม
มากข้ึนอย่างรวดเร็วถ้ามีการทาให้ดินแห้งเป็นระยะเวลานานและติดต่อกันหลายๆ ปี ชุดดินท่ีคล้ายคลึง
กันคอื ชดุ ดินมูโน๊ะ และชดุ ดนิ ตน้ ไทร อย่างไรก็ตาม กลุม่ ชุดดินท่ี 14 มขี ้อจากัดการใช้ประโยชน์ท่ดี ินด้วย
เพราะดินเป็นกรดจัดมาก ธาตุอะลูมิเนียม เหล็กและแมงกานีสถูกละลายออกมามากจนเป็นพิษต่อพืช
ธ า ตุ ฟ อ ส ฟ อ รั ส ถู ก ต รึ ง พื ช ดู ด ไ ป ใ ช้ ไ ม่ ไ ด้ ดิ น มี โ ค ร ง ส ร้ า ง แ น่ น ทึ บ แ ล ะ มี น้ า แ ช่ ขั ง
รายงานสรปุ สาหรบั ผบู้ รหิ าร ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรคุ วนเคร็ง วิถคี นและป่า | 135
ข้อเสนอแนะในการใช้ประโยชน์ท่ีดิน ถ้าจะใช้ทานา ส่ิงจาเป็นท่ีควรกระทา คือ ต้องมีการควบคุมน้าเพ่ือ
ปอ้ งกนั การเกดิ กรดของดิน ตอ้ งมกี ารจัดการท่ีเหมาะสมเพ่ือลดความเป็นพิษของสารบางอยา่ ง เช่น เหลก็
และซัลเฟอร์ ตลอดจนการใช้ปูนและปุ๋ย ถ้ามีแหล่งน้าพอและสามารถป้องกันน้าท่วมได้ อาจยกร่องเพื่อ
ปลูกพืชล้มลกุ และผลไม้บางชนิด
กลุ่มชุดดินที่ 57 ชุดดินกาบแดง (Kab Daeng series: Kd) เป็นชุดดินที่เกิดจากการสะสมและ
สลายตัวผุพังของซากพืช (Organic Soil Material) สภาพพื้นท่ีเป็นท่ีลุ่มต่าและมีน้าขังเป็นเวลานาน พบ
บริเวณขอบพ้ืนท่ีพรุ ส่วนการระบายน้า เลวมาก การไหลบ่าของน้าบนผิวดินช้า การซึมผ่านได้ของน้าช้า
ถึงปานกลาง พืชพรรณธรรมชาติและการใช้ประโยชน์ที่ดินจะพบป่าเสม็ด หญ้า กก และกระจูด ดินชุดน้ี
พบมากในจงั หวดั นราธวิ าสและนครศรธี รรมราช ท้งั นลี้ กั ษณะและสมบัติดินเปน็ ดินอินทรียห์ นาปานกลาง
ดินบนเป็นช้ันวสั ดอุ ินทรียที่สว่ นใหญ่มีการสลายตัวปานกลางถึงสลายตวั ดแี ละช้ันถัดไปการสลายตัวยงั ไม่
มากนัก มีความหนา 40-100 ซม. จากผิวดิน ปฏิกิริยาดินเป็นกรดจัดมาก (pH 4.5-5.0) ดินช้ันล่างเป็น
ดินเลนตะกอนน้าทะเล มีสีเทาปนน้าเงินท่ีมีสารไพไรท์ (FeS2) มากกว่า 2 % หรือมีซัลเฟอร์ทั้งหมด
มากกว่า 0.75 % ปฏิกิริยาดินเป็นกรดจัดมากถึงเป็นกรดปานกลาง (pH 4.5-6.0) ชั้นดินนี้เมื่อถูกเติม
ออกซเิ จนจะแปรสภาพเปน็ กรดกามะถนั ทาใหด้ ินเปน็ กรดอยา่ งรุนแรงและมคี ่าปฏกิ ิริยาดนิ นอ้ ยกว่า 4.0
ชุดดินที่คล้ายคลึงกัน ชุดดินนราธิวาส ข้อจากัดการใช้ประโยชน์ท่ีดิน ดินอินทรีย์หนา 40-100 ซม. ที่มี
ศักยภาพทางการเกษตรต่า ขาดธาตอุ าหารบางอย่างรุนแรง ดินเป็นกรดจัดมาก สภาพพน้ื ท่เี ปน็ ท่ลี ุ่มต่ามี
น้าขังสูงและนานเกือบตลอดปี ข้อเสนอแนะในการใช้ประโยชน์ที่ดิน บริเวณท่ียังคงสภาพเป็นป่า ควร
ปล่อยไว้เป็นป่าธรรมชาติ หรือปล่อยไว้ให้พืชที่ชอบน้าข้ึนปกคลุม ปลูกข้าวหรือยกร่องปลูกปาล์มน้ามัน
บริเวณขอบๆ พนื้ ท่ีพรุ โดยการปรับสภาพความเป็นกรดของดนิ ด้วยวัสดุปูนรว่ มกับปยุ๋ เคมี โดยเฉพาะธาตุ
อาหารรอง เชน่ สงั กะสแี ละโบรอน พัฒนาแหล่งนา้ จดื จัดระบบการใหน้ า้ และระบายน้าแยกส่วนกนั
กล่มุ ชดุ ดินที่ 58 ชุดดนิ นราธวิ าส (Narathiwat series: Nw) เกดิ จากการสะสมและสลายตัวผุพัง
ของซากพืช (organic soil material) สภาพพ้ืนที่เป็นแอ่งต่าที่มีน้าขังเป็นเวลานานเกือบตลอดท้ังปี มี
ความลาดชัน 0-1 % การระบายน้าอยู่ในระดับเลวมาก ส่วนการไหลบ่าของน้าบนผิวดินเป็นไปอย่างช้า
การซึมผ่านได้ของน้าจัดอยู่ในเกณฑ์ช้าถึงปานกลาง ขณะท่ีพืชพรรณธรรมชาติและการใช้ประโยชน์ท่ีดิน
พบว่าป่าพรุและในบรเิ วณท่ีถกู บุกรุกแล้วพชื พรรณท่ีขน้ึ จะเป็นปา่ เสม็ด กระจดู และเฟริ น์ ขึ้นอย่ทู ัว่ ไป ดนิ
ชุดน้ีพบมากในจังหวัดนราธิวาสและบางท้องท่ีในพัทลุง นครศรีธรรมราช ชุมพร และตราด
ลักษณะและสมบัติดิน ดินตอนบนมีอินทรียวัตถุ (peat) ที่มีปริมาณเส้นใยไฟเบอร์มากกว่า75 % ซึ่ง
เรียกว่า fibric soil material และอาจมีเศษไม้ผนุ ้อยใหญก่ ระจัดกระจายอยทู่ วั่ ไป ชั้นดนิ นีจ้ ะมคี วามหนา
มากกว่า 130 ซม. ส่วนดินชั้นล่างอาจพบดินเลนที่เป็นตะกอนน้าทะเลสีเทาปนน้าเงินที่มีสารไพไรท์
(FeS2) มากกว่า 2 % หรือมีซัลเฟอร์มากกว่า 0.75 % ถ้าดินบริเวณน้ีถูกระบายน้าออกไปจนทาให้ดิน
แห้งเป็นเวลานาน ช้ันอินทรียวัตถุจะติดไฟง่ายและเกิดการยุบตัวทาให้ช้ันดินอินทรีย์บางลง และช้ันดิน
ล่างที่มีสารไพไรท์มากจะถูกเติมออกซิเจนแปรสภาพเป็นกรดกามะถัน (acid sulfate soil) ซึ่งเป็นกรด
อย่างแรงและมีค่าปฏิกิริยาดินที่วัดได้ต่ากว่า 4.0 ชุดดินท่ีคล้ายคลึงกันคือชุดดินกาบแดง อย่างไรก็ตาม
ข้อจากัดการใช้ประโยชน์ที่ดินของดนิ ชุดน้ีไม่ต่างจากดินชดุ อ่ืน ๆ ที่กล่าวมา เพราะด้วยคุณสมบตั ิเป็นดนิ
อินทรีย์ที่มีคุณภาพต่า ขาดธาตุอาหารพืชต่าง ๆ อย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างย่ิงธาตุ K P N Cu B และ
Mo และดนิ มคี วามเป็นกรดจัด อีกทง้ั ยากในการใชเ้ คร่ืองมือเพ่ือการเกษตรกรรม รวมถึงติดไฟงา่ ยเม่ือดิน
136 | โครงการเสรมิ ศกั ยภาพการจัดการระบบนิเวศปา่ พรุเพอ่ื เพิ่มความสามารถในการกกั เก็บคาร์บอน
และอนุรักษค์ วามหลากหลายทางชวี ภาพอยา่ งย่ังยืน
แห้ง สภาพพ้ืนท่ีเป็นที่ลุ่มต่ามีน้าแช่ขังและยากต่อการจัดระบบการควบคุมน้า ข้อเสนอแนะในการใช้
ประโยชนท์ ด่ี ิน คอื โดยทวั่ ๆ ไปจดั เปน็ ดินท่ีมีปัญหาจึงไม่เหมาะในการท่ีจะนามาใช้ปลูกพืชเศรษฐกิจ ถ้า
นามาใช้อย่างไม่ถูกต้องจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์อย่างรุนแรง ในปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีการใดที่
เหมาะสมในการท่จี ะนาดนิ ดังกลา่ วมาใชป้ ลูกพืชเศรษฐกิจ
ภาพที่ 1.12 แผนท่ีลกั ษณะกล่มุ ชดุ ดินบริเวณพรุควนเครง็
ท่ีมา: อานนั ท์ คาภีระ (2560, 65)
ทว่า จากรายงานการศึกษาความเหมาะสมผลกระทบส่ิงแวดล้อม (EIA) โครงการสารวจและ
ออกแบบโครงสร้างเพื่อรักษาระดับน้าท่ีเหมาะสมในการปอ้ งการไฟไหม้และรักษาความอุดมสมบูรณ์ของ
ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพของป่าพรุควนเคร็ง (สานักนโยบายและแผน
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, 2552 อ้างถึงใน สานักบริหารพื้นท่ีอนุรักษ์ท่ี 5, 2558, 1-24) ระบุ
ว่า ดินส่วนใหญ่ที่อยู่ในพรุควนเคร็ง ได้แก่ ชุดดินมูโน๊ะและธัญบุรี เน้ือที่ 41, 675 ไร่ หรือร้อยละ 47.93
ของเน้ือท่ีพรุ เป็นชุดดินที่เกิดจากการรวมกันของชุดดินมูโน๊ะและชุดดินธัญบุรี โดยชุดดินทั้งสองเป็นดิน
เปรี้ยวท่ีเกิดจากตะกอนน้าทะเล การระบายน้าเลว และมีความอุดมสมบูรณ์ มีการท่วมขังของน้าในช่วง
ฤดูฝน รองลงมา ได้แก่ ชุดดินกาบแดง เนื้อท่ี 16,900 ไร่ หรือร้อยละ 19.44 ของพื้นที่พรุ เป็นชุดดินที่มี
ชั้นอินทรีย์หนา 40-100 เซนติเมตร จากผิวดินทับอยู่บนตะกอนน้าทะเล การระบายน้าเลว มีน้าท่วมขัง
นานเกือบตลอดปี นอกจากน้ี ได้แก่ ชุดดินเชียรใหญ่/กาบแดง ชุดดินท่ีเกิดจากตะกอนน้าพาเชิงซ้อน ชุด
ดินเชียรใหญ่ ชดุ ดนิ ตากใบ ตามลาดับ
รายงานสรุปสาหรบั ผ้บู รหิ าร ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรุควนเครง็ วถิ ีคนและปา่ | 137
นอกจากนี้ ข้อมูลผลการศึกษาของกอบศักดิ์ วันธงไชย และคณะ (2557) ระบุว่า ดินพรุในพื้นที่
ปา่ พรุควนเคร็งมีความลกึ โดยเฉลยี่ 0.78 เมตร ซึง่ ความลกึ สูงสดุ ของพรุท่ีวัดได้ 3.10 เมตร โดยที่ปริมาณ
ซากพืชและความสูงของไม้พื้นล่างเปน็ ปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์เชิงเส้นตรงกบั ความลึกของพรุ น่ันคือ ความ
ลกึ ของพรุ(เมตร)=0.436 + 0.19 ปรมิ าณซากพชื (ตันตอ่ เฮกแตร์) + 0.236 ความหนาของพืชปกคลุมดิน
(เมตร) อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์เชิงเส้นดังกล่าวยังมีความสัมพันธ์ท่ีค่อนข้างต่า และค่าความลึกท่ี
ประเมนิ จากสมการมแี นวโน้มสงู กวา่ ค่าทีว่ ัดจรงิ
อย่างไรก็ตาม จากผลการการสารวจชุดดินในพื้นท่ีโครงการสามารถจาแนกชุดดินได้เป็นชุดดิน
ต่าง ๆ ซ่ึงส่วนใหญ่เป็นชุดดินท่ีกลุ่มดินท่ีลุ่มน้าขัง (ชุดดิน 2, 3, 5,6, 10, 11, 13, 14, 16, 17) และมีชุด
ดินกลุ่มท่ีดอนอยู่บ้างในบางบริเวณ ทั้งท่ีดอนดินแห้ง (ชุดดิน 60) ท่ีดอนเขตดินชื้น (ชุดดิน 34, 39,
42,43, 45, 50, 51) และดนิ บนทล่ี าดชนั เชิงซ้อนหรือพื้นที่ภเู ขา (ชุดดิน 62) ดังภาพท่ี 1.13-1.14 โดยชุด
ดินกลุ่มท่ีลุ่มน้าขังน้ันพบได้ทุกภาคของประเทศไทยในบริเวณท่ีลุ่ม การระบายน้าของดินไม่ดี มักมีน้าแช่
ขังในฤดูฝน จึงไม่เหมาะสาหรับเพาะปลูกพืชไร่ ไม้ผลและไม้ยืนต้น ส่วนชุดดินกลุ่มพื้นที่ดอน หมายถึง
ดินทไ่ี ม่มนี า้ แชข่ งั พบบรเิ วณที่เปน็ เนิน มกี ารระบายนา้ ดี สภาพพืน้ ท่ีอาจเปน็ ที่ราบเรยี บ เป็นลูกคล่ืน หรือ
เนินเขา ใช้ปลกู พืชไร่ ไม้ผล และไม้ยนื ตน้ ซ่งึ ต้องการนา้ นอ้ ย ไมม่ นี ้าแช่ขงั แบง่ ออกเปน็ 3 กลุ่มย่อย คือ
ดินในพ้ืนที่ดอนเขตดินแห้ง เขตดินแห้ง เป็นเขตพ้ืนท่ีส่วนใหญ่ของประเทศ โดยเฉพาะพ้ืนทีส่ ่วน
ใหญ่ของภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง โดยท่ัวไปมีฝนตกน้อยและตกกระจายไม่
สมา่ เสมอ ปรมิ าณฝนตกเฉลยี่ นอ้ ยกว่า 1,500 มลิ ลิเมตรตอ่ ปี กล่มุ ชดุ ดินทีพ่ บได้แก่ กลุม่ ชดุ ดินท่ี 28, 29,
30, 31, 35, 36, 37, 38, 40, 41, 44, 46, 47, 48, 49, 52, 55, 56, 60
ดินในพ้ืนท่ีดอนในเขตดินชื้น หมายถึง เขตท่ีมีฝนตกชุกและกระจายสม่าเสมอเกือบทั้งปี
โดยทั่วไปมีปริมาณฝนตกเฉลี่ยมากกว่า 1,500 มิลลิเมตรต่อปี กลุ่มชุดดินที่พบ ได้แก่ กลุ่มชุดดินที่ 26,
27, 32, 34, 39,42,43, 45, 50, 51, 53
ดินบนพ้นื ท่ลี าดชนั เชิงซอ้ นหรือพื้นทภี่ ูเขา ได้แก่ กลมุ่ ชุดดนิ ท่ี 62 โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ชุดดินท่ี 62
แนวทางการจัดการคือ ควรปล่อยไว้ให้เป็นป่าตามธรรมชาติ เป็นท่ีอยู่อาศัยของสัตว์ป่า แหล่งต้นน้าลา
ธาร ในกรณีท่จี าเป็นต้องนามาใช้ประโยชน์ทางการเกษตร จาเปน็ ต้องมีการศึกษาดนิ ก่อน เพอ่ื ให้ทราบถึง
ความเหมาะสมของดินสาหรับการปลูกพืช โดยมีการใช้ประโยชน์ท่ีดินในเชิงอนุรักษ์หรือวนเกษตร ใน
บริเวณพื้นท่ีที่เป็นดินลึกและสามารถพัฒนาแหล่งน้าได้ มีระบบอนุรักษ์ดินและน้า เช่น ปลูกพืชคลุมดิน
ทาแนวรั้วหญ้าแฝกและขุดหลุมปลูกเฉพาะต้น โดยไม่มีการทาลายไม้พ้ืนล่าง สาหรับในพ้ืนท่ีท่ีไม่มี
ศักยภาพทางการเกษตร ควรรักษาไว้ให้เปน็ สวนปา่ สร้างสวนปา่ หรือใช้ปลกู ไม้ใชส้ อยโตเร็ว
138 | โครงการเสริมศักยภาพการจดั การระบบนเิ วศปา่ พรุเพื่อเพิ่มความสามารถในการกกั เก็บคาร์บอน
และอนรุ กั ษ์ความหลากหลายทางชวี ภาพอย่างยงั่ ยืน
ภาพท่ี 1.13 แผนทแ่ี สดงข้อมูลดนิ ในพื้นทโี่ ครงการ
ท่มี า: ระบบฐานข้อมูลระบบฐานข้อมลู ปา่ พรคุ วนเครง็ แผนที่เพ่ือการจัดการทรพั ยากร (2562)
รายงานสรปุ สาหรบั ผู้บรหิ าร ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบาย และพรุควนเครง็ วถิ คี นและปา่ | 139
ภาพท่ี 1.14 คาอธบิ ายสญั ลกั ษณ์ชุดดิน
ทม่ี า: ระบบฐานข้อมูลระบบฐานข้อมลู ปา่ พรคุ วนเคร็ง แผนทเ่ี พอ่ื การจัดการทรัพยากร (2562)
เห็นได้ว่า ข้อมูลชุดดินในพ้ืนที่พรุควนเคร็งในบริเวณพ้ืนที่ดาเนินโครงการ (ระบบฐานข้อมูลป่า
พรุควนเครง็ แผนท่ีเพื่อการจัดการทรัพยากร, 2562) ระบขุ ้อมูลดินซ่ึงมีความหลากหลายและมีคุณสมบัติ
แตกต่างกันไป โดยประเภทดินท่ีพบมี 2 กลุ่มหลักคือ กลุ่มแรก ดินตะกอนชายหาด ดินดอนสามเหล่ียม
ตะกอน และกลุ่มท่ีสองคือ หินกรวดมน หินทรายเนื้อปนกรวด โดยแยกเป็นกลุ่มชุดดินเป็นชุดดินต่าง ๆ
(ภาพท่ี) และประกอบด้วยชุดดิน คือ ชุดดินกาบแดง ชุดดินคลองขุด ชุดดินเชียรใหญ่ ชุดดินไชยา ชุดดิน
ตากใบที่เนื้อดินเป็นดินทรายแป้งและถูกทับถมหน้าดิน ชุดดินทรายขาว ชุดดินนราธิวาสที่มีชั้นดินสลับ
ชุดดินระนอง ชุดดินสายบุรีท่ีเป็นดินเหนียวและมาศิลาแลง ชุดดินแกลง ชุดดินคอหงส์ ชุดดินตากใบ ชุด
ดินท่าศาลา ชุดดินนราธิวาส ชุดดินนาทวี ชุดดินน้ากระจาย ชุดดินบางกอก ชุดดินบางนราประเภท
ผิวหน้าดินเป็นสีดา ชุดดินบางนรา และชุดดินบาเจาะ ท้ังนี้ ลักษณะสภาพดินมีท้ังดินค่อนข้างเป็นดิน
ทรายท่ีมีการระบายน้าดแี ละระบายน้าเลว ดินเค็มเลนชายทะเลกามะถันมาก ดินต้ืนที่เป็นดินลูกรังมีการ
ระบายน้าดี ดินเปร้ียวจัดมีกามะถนั มากเม่อื แห้งเปน็ กรดจดั ดินเปร้ยี วจดั มีจาโรไซต์ต่ากวา่ 50 เซนติเมตร
ดินเปร้ียวจัดมีจาโรไซต์ลึก 50-100 เซนติเมตร ดินเหนียวและดินร่วนที่มีการระบายน้าดี และท่ีมีการ
ระบายน้าเลว ดินอินทรีย์ ดินในพ้ืนที่ลุ่มช้ืนแฉะ รวมถึงดินที่มีเน้ือดินทรายจัดมีการระบายน้าดี และที่มี
เน้ือดินทรายจัดมีช้ันดินอินทรีย์ ดินในสภาพพ้ืนที่ชุ่มน้า พื้นท่ีลาดชันเชิงซ้อน ตลอดจนพื้นที่อ่ืน ๆ เช่น
พน้ื ที่ท่มี หี นิ โผล่ ท่ดี ินรอ่ งลกึ ฯลฯ
140 | โครงการเสรมิ ศกั ยภาพการจดั การระบบนิเวศปา่ พรุเพ่อื เพ่มิ ความสามารถในการกกั เกบ็ คาร์บอน
และอนรุ ักษ์ความหลากหลายทางชวี ภาพอย่างย่ังยนื
การใช้ประโยชนท์ ี่ดินบริเวณพรุควนเครง็ การทาความเข้าใจกับลักษณะการใชป้ ระโยชนท์ ี่ดินใน
บริเวณพ้ืนท่ีพรุควนเคร็งน้ันเป็นอีกชุดข้อมูลที่มีความสาคัญท่ีทาให้เข้าใจสภาพพื้นท่ีในภาพรวมของพรุ
ควนเคร็ง และสามารถวางแผนการจัดการท่ีอยู่บนพ้ืนฐานความเข้าใจในบริบทของชุมชนอย่างแท้ จริง
จากผลการศึกษาของอานันท์ คาภีระ (2560, 67) ซ่ึงวิเคราะห์ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมเม่ือปี 2557
ในแต่ละช่วงเวลา ได้จาแนกสภาพการใช้ท่ีดินบริเวณพรุควนเคร็งออกเป็น 5 ประเภท (ภาพท่ี 1.15)
กล่าวคอื
1) พ้ืนทีป่ า่ มพี น้ื ที่ราว 767.27 ตารางกิโลเมตร (479,544.99 ไร่) หรอื 17.36 % ประกอบด้วย
พ้ืนท่ีป่าพรุ ป่าดิบช้ืน ป่าไม่ผลัดใบ ป่าชายเลน และพื้นที่ลุ่ม โดยที่ป่าในพื้นท่ีพรุควนเคร็งเป็นป่าไม่ผลัด
ใบ ท้ังน้ีมีพ้ืนท่ีป่าพรุประมาณ 262.05 ตารางกิโลเมตร (163,783.80 ไร่) หรือ 5.93 % ส่วนใหญ่เป็นป่า
พรุสมบูรณ์ในเขตป่าสงวนแห่งาติและเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบ่อล้อ ในอาเภอชะอวด อาเภอเชียรใหญ่ และ
อาเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครศรีธรรมราช และป่าพรุสมบูรณ์ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยใน
อาเภอชะอวด และอาเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช และในอาเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง รวมถึง
ในอาเภอระโนด จังหวัดสงขลา ส่วนพื้นท่ีป่าดิบช้นื มีพื้นที่ประมาร 124.57 ตารางกิโลเมตร (77,855.04
ไร่) หรือ 2.82 % ของพ้ืนท่ีศึกษา ส่วนใหญ่เป็นป่าไม้สมบูรณ์บริเวณเทือกเขาบรรทัด ในอาเภอป่าพยอม
และอาเภอศรีบรรพต จังหวัดพัทลุง ส่วนป่าชายเลน มีพ้ืนที่ประมาณ 13.21 ตารางกิโลเมตร (8,254.61
ไร่) หรือ 0.30 % ต้ังอยู่บริเวณริมแม่น้าปากพนังและริมทะเลอ่าวไทยในเขตอาเภอปากพนัง และ
บางส่วนของอาเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช นอกจากน้ียังมีพ้ืนท่ีลุ่ม ซึ่งเป็นพื้นท่ีประเภททุ่ง
หญ้าช้ืนแฉะ เช่น กระจูด กก สาคู ส่วนใหญ่พบบริเวณรอยต่อระหว่างพ้ืนที่ป่าพรุกับพ้ืนท่ีเกษตรกรรม
และบริเวณรอบ ๆ ของพ้ืนที่ทะเลน้อย มีพื้นท่ีประมาณ 138.43 ตารางกิโลเมตร (86,521.59 ไร่) หรือ
3.13 % โดยพบมากบรเิ วณรอบ ๆ ของพ้ืนทีท่ ะเลน้อยในอาเภอควนขนุน จงั หวัดพัทลุง และในอาเภอระ
โนด จังหวัดสงขลา และบรเิ วณตาบลเคร็งและตาบลชะอวด อาเภอชะอวด จังหวดั นครศรีธรรมราช
2) พ้ืนท่ีเกษตรกรรมหลัก เป็นพ้ืนที่ส่วนใหญ่ของพ้ืนที่พรุควนเคร็ง ได้แก่ ท่ีนา ยางพารา ปาล์ม
น้ามัน ไมผ้ ลผสม ไม้ยนื ต้น พชื ผัก พ้ืนท่ยี กร่องเตรยี มทาเกษตร พื้นทีเ่ พาะเลีย้ งสัตว์นา้ พ้นื ท่ปี ศสุ ตั ว์ โดย
มีพื้นท่ีประมาณ 2,943.29 ตารางกิโลเมตร (1,839,555.12 ไร่) หรือ 66.61 % โดยส่วนใหญ่เป็นพื้นท่ี
ปลูกยางพารา มีเนื้อท่ีประมาณ 1,124.54 ตารางกิโลเมตร (702,838.82 ไร่) หรือ 25.45 % ของพ้ืนที่
ศึกษา รองลงมาเป็นพืน้ ท่ีนาข้าว มีเน้ือทป่ี ระมาณ 966.47 ตารางกโิ ลเมตร (604,043.22 ไร)่ หรอื 21.87
% และลาดับที่สามเป็นพ้ืนที่ปลูกปาล์มน้ามัน มีเนื้อที่ประมาณ 411.34 ตารางกิโลเมตร (257,086.30
ไร่) หรือ 9.31 % ทว่าการขยายพ้ืนท่ีปลูกปาล์มน้ามันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดยมักปลูกกันในพื้นท่ีนา
ร้าง และพ้ืนทปี่ ลูกยางพาราเดมิ รวมถงึ บรเิ วณพ้นื ทีล่ มุ่ หรอื ปา่ พรเุ สื่อมโทรม โดยการปลกู แบบยกรอ่ ง
3) พน้ื ที่ชุมชน หมูบ่ ้าน ย่านการค้า และสถานทร่ี าชการ พบกระจายอยู่บรเิ วณสองฝัง่ ถนนในเขต
พ้ืนทพี่ รุควนเครง็ มพี ้ืนที่ประมาณ 374.67 ตารางกโิ ลเมตร (234,167.38 ไร่) หรอื 8.48 %
4) พื้นท่ีแหล่งน้า ได้แก่ แม่น้า ห้วย คลอง หนอง บึง อ่างเก็บน้า บ่อน้า สระน้าในไร่นา คลอง
ชลประทาน และพื้นท่ที ะเลน้อย มพี น้ื ทป่ี ระมาณ 106.73 ตารางกโิ ลเมตร (66,706.41 ไร)่ หรอื 2.42 %
โดยเฉพาะพ้ืนทท่ี ะเลนอ้ ยมพี ้นื ทป่ี ระมาณ 26.99 ตารางกโิ ลเมตร หรอื 16,870.48 ไร่
5) พื้นที่อื่น ๆ ได้แก่ พื้นที่ท้ิงร้างประเภทไม้พุ่มหรือทุ่งหญ้า ถนน โรงงาน อุตสาหกรรม หาด
ทราย เหมอื งเก่า บอ่ ขุดเก่า บ่อดิน บ่อทราย บ่อลกู รงั พน้ื ทีถ่ ม มีพนื้ ที่ประมาณ 226.56 ตารางกโิ ลเมตร
รายงานสรปุ สาหรับผู้บริหาร ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และพรคุ วนเคร็ง วถิ คี นและป่า | 141
(141,601.61 ไร่) หรือ 5.13 % โดยเฉพาะพื้นท่ีทิ้งร้างประเภทไม้พุ่มหรือทุ่งหญ้า พบเป็นพื้นท่ีเล็กน้อย
กระจายอยู่ทั่วไปบริเวณพืน้ ท่รี มิ ฝั่งของลาน้าและพืน้ ที่ทงิ้ รา้ งท่ีเป็นพ้ืนท่ีเกษตรกรรมเดิม
ภาพท่ี 1.15 แผนทก่ี ารใช้ประโยชนท์ ีด่ นิ บรเิ วณพรคุ วนเครง็ ปี พ.ศ. 2557
ทมี่ า: อานันท์ คาภีระ (2560, 70)
นอกจากน้ี ผลการศึกษาการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นท่ีศึกษาของโครงการเสริมศักยภาพการ
จัดการระบบนิเวศป่าพรุเพ่ือเพิ่มความสามารถในการกักเก็บคาร์บอนและอนุรักษ์ความหลากหลายทาง
ชีวภาพอย่างยั่งยืนปรากฏผล ซ่ึงมีการสารวจการใช้ประโยชน์ท่ีดินที่จาแนกประเภทการใช้ประโยชน์ใน
ระดบั ย่อยทีร่ ะบุได้ว่าพื้นที่ส่วนใดใช้เพื่อการอยู่อาศัย พนื้ ท่ีการทาเกษตรมีการปลูกพืชชนดิ ใด ทัง้ พชื สวน
และพืชเศรษฐกิจสาคัญ โดยมีท้ังรูปแบบการปลกู พืชเชงิ เด่ียวและการปลูกพืชสวนผสม สาหรับพืชสวนที่
ปลูกคือพืชผักสวนครัวต่าง ๆ ได้แก่ พริก มะพร้าว กล้วย ลางสาด ข้าวโพด ลองกอง แตงโม สับปะรด
มงั คุด เปน็ ต้น ส่วนพชื เศรษฐกิจที่สาคญั เช่น ยางพาราและปาลม์ น้ามัน ดังภาพท่ี ซึ่งชใ้ี ห้เหน็ วา่ การใช้
ประโยชน์ท่ีดินในพื้นท่ีพรุควนเคร็งในขอบเขตพื้นท่ีศึกษาของโครงการจะมีการใช้ประโยชน์ในด้าน
การเกษตร โดยอาชีพการทานาน้ันเหลือน้อยมาก นาขา้ วส่วนใหญ่เปล่ียนเปน็ นายาง นาปาล์ม หรือนากุ้ง
และบางส่วนมีการปลอ่ ยท้งิ รา้ ง (ภาพที่ 1.16-1.17)
142 | โครงการเสริมศกั ยภาพการจัดการระบบนเิ วศปา่ พรุเพอ่ื เพมิ่ ความสามารถในการกักเกบ็ คาร์บอน
และอนรุ ักษค์ วามหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยนื
ภาพที่ 1.16 แผนทก่ี ารใช้ประโยชน์ที่ดนิ ในพนื้ ทโี่ ครงการฯ
ท่มี า: ระบบฐานขอ้ มูลปา่ พรคุ วนเครง็ แผนทเี่ พ่อื การจัดการทรพั ยากร (2562)
รายงานสรปุ สาหรับผู้บริหาร ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรคุ วนเครง็ วิถคี นและปา่ | 143
ภาพที่ 1.17 คาอธิบายประกอบแผนทก่ี ารใชป้ ระโยชน์ท่ดี ินในพืน้ ท่โี ครงการฯ
ท่ีมา: ระบบฐานขอ้ มลู ปา่ พรุควนเคร็ง แผนท่เี พ่อื การจดั การทรพั ยากร (2562)
นา้ ในพ้ืนท่ีพรุควนเครง็
น้าเป็นปัจจัยสาคัญต่อป่าพรุควนเคร็งเพราะการป้องกันการเกิดไฟไหม้ป่าพรุนั้นทาได้คือการ
รักษาน้าในป่าพรุไม่ให้แห้ง ผลการศึกษาของอานันท์ คัมภีร์ระ (2560, 63) (ภาพที่ 1.18) ระบุว่า แหล่ง
นา้ ในบรเิ วณพรุควนเคร็งประกอบดว้ ยแหล่งน้าผิวดินและน้าใต้ดนิ โดยท่แี หลง่ นา้ ผิวดนิ มีทั้งที่เกิดข้ึนตาม
ธรรมชาตแิ ละท่ีมนุษย์สรา้ งขนึ้ ทง้ั นแ้ี บ่งแหลง่ น้าผิวดนิ ในบรเิ วณพรุควนเคร็งออกเป็น 3 ประเภท คอื
1) แมน่ ้าหรือลาคลองสายหลัก ไดแ้ ก่ คลองชะอวด คลองคอ๊ ง คลองปากประ และคลองชะอวด-
แพรกเมอื ง กลา่ วคือ
คลองชะอวดนั้นเปน็ คลองท่ีมตี น้ กาเนจิ ากเทือกเขาบรรทัด ตาบลวังอ่าง อาเภอชะอวด ไหลผ่าน
ตาบลเขาพระทอง ตาบลทา่ ประจะ และไหลเข้าส่พู ้นื ท่ปี ่าพรคุ วนเคร็งท่ีตาบลชะอวดและท่าเสม็ด อาเภอ
ชะอวด และไหลไปรวมกับแม่น้าปากพนักลงสู่อ่าวปากพนัง อาเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช
คลองชะอวดเป็นแหล่งนา้ ที่สาคัญของสตั ว์นา้ นานาชนิด
คลองค๊อง เป็นคลองที่มีต้นกาเนิดจากเทือกเขาบรรทัด ตาบลร่อนพิบูลย์ ไหลผ่านตาบลควนชุม
อาเภอร่อนพบิ ูลย์ และไหลเขา้ ส่พู นื้ ท่ีปา่ พรคุ วนเครง็ ท่ตี าบลควนพงั อาเภอรอ่ นพิบลู ย์ ไหลผ่านตาบลสวน
หลวง อาเภอเฉลิมพระเกียรติ และไหลไปรวมกับแม่น้าปากพนัง ท่ีตาบลแม่เจ้าอยู่หัว อาเภอเชียรใหญ่
ลงสู่อ่าวปากพนัง อาเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช
คลองปากประ เป็นคลองท่ีมีต้นกาเนิดจากเทือกเขาบรรทัด ตาบลเขาย่า อาเภอศรีบรรพต ไหล
ผ่านตาบลดอนทราย ตาบลควนขนนุ ตาบลโตนดด้วน และไหลเขา้ สู่พ้นื ท่ปี ่าพรุทะเลนอ้ ย ทต่ี าบลมะกอก
144 | โครงการเสริมศกั ยภาพการจัดการระบบนิเวศปา่ พรุเพ่ือเพิ่มความสามารถในการกักเก็บคาร์บอน
และอนรุ กั ษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอยา่ งยงั่ ยนื
เหนือ ตาบลพนางตุง อาเภอควนขนุน และตาบลชัยบุรี อาเภอเมือง จังหวัดพัทลุง และไหลลงสู่ทะเล
หลวง (ทะเลสาบสงขลาตอนบน) ท่ีตาบลลาปา อาเภอเมอื ง จังหวัดพัทลงุ
คลองชะอวด-แพรกเมือง เป็นคลองขุดเน่ืองมาจากพระราชดาริ ความยาวคลองในพ้ืนท่ีป่าพรุ
ควนเคร็ง ประมาณ 12 กิโลเมตร ก้นคลองลึก 5 เมตร กว้าง 150 เมตร มีวัตถุประสงค์เพ่ือระบายน้าใน
ฤดฝู น บรรเทาอุทกภยั และปอ้ งกนั นา้ เค็มรกุ ตวั เข้าพืน้ ที่
ลาคลองสายส้ัน ๆ หลายสาย เช่น คลองหัวตรุด คลองไม้เสียบ ในเขตอาเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัด
นครศรีธรรมราช คลองนางเรียมเช่ือมต่อระหว่างทะเลน้อยกับทะเลสาบสงขลาตอนบน คลองนา คลอง
ญวน และคลองปากประ ต้ังอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย อาเภอควนขนุน
จงั หวดั พัทลงุ
2) ทะเลน้อย เป็นบึงน้าจืดขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ตอนล่างของพ้ืนที่ป่าพรุควนเคร็ง มีพ้ืนน้าประมาณ
16,650.69 ไร่ ความลึกเฉลี่ยประมาณ 1.50 เมตร มพี ืชนา้ นานาชนดิ และบรเิ วณโดยรอบเปน็ พื้นท่ีป่าพรุ
มีวัชพืช ผักตบชวา กก จดู และเป็นแหลง่ นกน้านานาพันธุ์ทัง้ ที่ประจาถิน่ และจากแหลง่ อน่ื (ศนู ยภ์ มู ภิ าค
เทคโนโลยีอวกาศและภมู ิสารสนเทศ (ภาคใต)้ , 2554, อ้างถึงใน อานนั ท์ คมั ภรี ร์ ะ, 2560, 63)
3) อ่างเก็บน้า/หนองนา้ ได้แก่ อ่างเก็บน้าห้วยนา้ ใส เป็นอ่างเก็บน้าลักษณะเป็นทานบดิน ต้ังอยู่
ท่ีตาบลวังอ่าง อาเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช และตาบลลานข่อย อาเภอป่าพะยอม จังหวัด
พัทลุง มีพ้ืนท่ีประมาณ 3,230.26 ไร่ ใช้เพ่ือชลประทานและเป็นแหล่งน้าสาหรับอุปโภคบริโภคในพ้ืนท่ี
รวมถึงใช้เพ่ือป้องกันหรือบรรเทาปัญหาน้าเค็มเนื่องจากน้าทะเลหนุนในลุ่มน้าปากพนังในฤดูแล้ง ซึ่งมัก
เกิดข้ึนเป็นประจาทุกปี และป้องกันหรือบรรเทาปัญหาอุทกภัยในพ้ืนท่ีลุ่มน้าปากพนังในเขตอาเภอชะ
อวด อ่างเก็บน้าบ้านป่าพะยอม ต้ังอยู่ท่ีตาบลเกาะเต่า อาเภอป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง มีพ้ืนที่ประมาร
1,267.36 ไร่ ใช้เป็นแหล่งเก็บกักน้าไวใ้ ช้เสรมิ การเพาะปลูกในฤดูฝนและการเพาะปลูกในฤดูแลง้ รวมถึง
เปน็ แหล่งน้าเพาะพันธ์ุสัตว์นา้ ตลอดจนเป็นสถานท่ีท่องเท่ียวพกั ผ่อนหย่อนใจ อ่างเก็บน้าทุง่ ทบั ใน ต้ังอยู่
ที่ตาบลแหลม อาเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช มีพ้ืนที่ประมาณ 1,200 ไร่ โดยบริเวณรอบๆ อ่าง
เก็บน้าเป็นพื้นที่ของโครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ และมีการพัฒนาอ่างเก็บน้าเป็นสถานที่พักผ่อน
หย่อนใจ นอกจากน้ีแหล่งน้ายงั มีหนองน้าอีกจานวน 92 แห่ง (สานักบริหารพ้ืนที่อนุรักษ์ท่ี 5, 2558 อ้าง
ถงึ ใน อานนั ท์ คัมภีรร์ ะ, 2560, 64)
น้าใต้ดิน เป็นแหล่งน้าอีกแหล่งของพ้ืนที่พรุควนเคร็ง อานันท์ คัมภีร์ระ (2560, 64) ได้สรุป
ลักษณะของน้าใต้ดินบริเวณพรคุ วนเครง็ ไว้ว่าในพ้ืนที่พรุควนเครง็ ประกอบด้วยชน้ั น้าบาดาล 3 ประเภท
คอื ชน้ั น้าตะกอนทรายชายหาด ชน้ั ตะกอนให้น้าประเภทตะกอนกรวดรายทางนา้ และตะกอนเศษหินเชิง
เขา และชั้นน้าในหินแข็ง ความลึกของช้ันหินแข็งจะลดน้อยลงในทิศทางเข้าสู่บริเวณอาเภอท่ีอยู่เลียบ
ชายฝั่งทะเลด้านอ่าวไทย คือ อาเภอปากพนัง อาเภอหัวไทร และอาเภอเชียรใหญ่ โดยระดับแรงดันน้า
บาดาลในพื้นที่ลุ่มน้าปากพนัง มีระดับสูงขึ้นทางทิศตะวันตกของพ้ืนท่ี ซึ่งเป็นพ้ืนท่ีท่ีรับน้า มีทิศทางการ
ไหลของน้าบาดาล (Regional flow) ไปทางทิศตะวันออกเข้าสู่กลางพ้ืนท่ีบริเวณรอยต่อของอาเภอเชียร
ใหญ่ อาเภอร่อนพิบูลย์ อาเภอเฉลมิ พระเกียรติ และอาเภอชะอวด ซึ่งเป็นบรเิ วณป่าพรุควนเคร็ง สาหรับ
บริเวณทางตอนบนและตะวันออกของพื้นที่ ทิศทางการไหลของน้าบาดาลมีแนวโน้มการไหลในทิศ
ตะวันตกเฉียงใต้และทิศใต้เข้าสู่กลางพ้ืนท่บี ริเวณเดียวกัน ก่อนไหลไปสู่บริเวณด้านตะวนั ออกของอาเภอ
หัวไทร และระโนด เข้าสูเ่ ขตอิทธิพลของนา้ ชายฝัง่ (Coastal water) ในชั้นบอ่ น้าต้นื นา้ บาดาลส่วนใหญ่
รายงานสรุปสาหรับผู้บริหาร ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบาย และพรุควนเครง็ วิถีคนและป่า | 145
คุณภาพปานกลางถึงไม่ดี มีรสกร่อย-เค็ม สาหรับระดับความลึกที่สามารถพัฒนาน้าบาดาลได้อยู่ระหว่าง
20-120 เมตร ซึ่งน้าบาดาลส่วนใหญ่จะมีคุณภาพดี มีรสจืด จากการประเมินข้อมูลระดับน้าใต้ดินปกติ
บริเวณพรุควนเคร็งจากข้อมูลบ่อน้าบาดาลของกรมทรัพยากรน้าบาดาล ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518-2556
จานวน 1,219 บ่อ พบว่า พ้ืนที่ส่วนใหญ่มีความลึกของน้าบาดาลอยู่ท่ี 5-10 เมตร มีพื้นท่ีประมาณ
1,982.44 ตารางกิโลเมตร (1,239,026.56 ไร่) หรือ 44.9 % ของพื้นท่ีทั้งหมด โดยส่วนใหญ่พบในภูมิ
ประเทศท่ีเป็นพ้ืนทลี่ มุ่ ต่าทางฝัง่ ตะวนั ออกของพรคุ วนเครง็
ระดับน้าผิวดินและระดับน้าใต้ดินในบริเวณป่าพรุควนเคร็ง ซึ่งระบุในผลการศึกษาของอานันท์
คัมภีร์ระ (2560, 66) ท่ีแสดงข้อมูลจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธ์ุพืช ที่เคยทาการสารวจวัด
ระดับน้าผิวดินและระดับน้าใต้ดินบริเวณป่าพรุควนเคร็งในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบ่อล้อและเขตห้ามล่าสัตว์
ป่าทะเลน้า ตั้งแต่ปี 2553-2557 (ยกเว้นปี พ.ศ. 2554) พบว่า ระดับน้าผิวดินจะมีค่าเพิ่มสูงข้ึนในชว่ งฤดู
ฝน ตั้งแต่เดือนตุลาคมจนถึงเดือนมกราคมของปีถัดไป โดยมีค่าสูงสุดในเดือนมกราคม คือ 114
เซนติเมตร และเริ่มลดต่าลงต้ังแต่เดือนมีนาคมถึงเดือนกันยายน ส่วนระดับน้าใต้ดินคงท่ี และค่อย ๆ
ลดลง สอดคลอ้ งกับระดบั น้าผิวดนิ ในชว่ งฤดรู ้อนตงั้ แตเ่ ดือนมนี าคมถึงเดือนกันยายนที่ลดลงจากระดับน้า
ผิวดิน 20-30 เซนติเมตร และระดับน้าในป่าพรุจะลดลงต่าที่สุดในเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายนท่ี
ระดับ -50 เซนตเิ มตร เนื่องจากมปี ริมาณฝนน้อย อย่างไรก็ตาม ต้งั แต่เดือนมีนาคม ปี พ.ศ. 2557 พบว่า
ระดบั นา้ ใต้ดินมีแนวโน้มลดลงอย่างรวดเร็ว ทงั้ นอี้ าจเกิดจากปัจจยั สภาพภูมิอากาศโลกที่เปลี่ยนแปลงไป
โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ในช่วงฤดูร้อนพบว่าระดับน้าในปา่ พรุแทบแห้งขอดจึงเสี่ยงอย่างมากต่อการเกิดไฟไหม้
ปา่ พรุ
อนึ่ง ผลการศึกษาแหล่งน้าของโครงการเสริมศักยภาพการจัดการระบบนิเวศป่าพรุเพื่อเพ่ิม
ความสามารถในการกักเก็บคาร์บอนและอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน แสดงข้อมูล
แหล่งน้าสายหลักในพ้ืนที่โครงการ ดังภาพท่ี 1.19 และเส้นลาน้าในบริเวณพ้ืนที่พรุควนเคร็งท่ีแสดงให้
เหน็ เสน้ ทางลาน้าและการเช่ือมตอ่ ระหวา่ งลานา้ (ภาพที่ 1.20)
146 | โครงการเสริมศักยภาพการจดั การระบบนิเวศปา่ พรุเพ่อื เพ่มิ ความสามารถในการกักเก็บคาร์บอน
และอนรุ กั ษค์ วามหลากหลายทางชวี ภาพอยา่ งยั่งยืน
ภาพที่ 1.18 แผนท่ีแหล่งน้าบรเิ วณพรุควนเครง็
ที่มา: อานันท์ คมั ภรี ร์ ะ (2560, 65)
รายงานสรปุ สาหรับผู้บรหิ าร ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรุควนเครง็ วถิ ีคนและปา่ | 147
ภาพท่ี 1.19 แหลง่ น้าในพ้ืนท่พี รคุ วนเคร็งบริเวณพืน้ ทโี่ ครงการ
ที่มา: ระบบฐานข้อมูลระบบฐานขอ้ มูลป่าพรุควนเครง็ แผนท่เี พ่ือการจดั การทรัพยากร (2562)
148 | โครงการเสรมิ ศักยภาพการจัดการระบบนิเวศปา่ พรุเพอ่ื เพมิ่ ความสามารถในการกักเกบ็ คาร์บอน
และอนรุ กั ษ์ความหลากหลายทางชวี ภาพอยา่ งย่งั ยืน
ภาพที่ 1.20 เสน้ ลานา้ ในพ้นื ทพ่ี รคุ วนเคร็งบรเิ วณพ้ืนท่ีโครงการ
ทม่ี า: ระบบฐานขอ้ มูลระบบฐานข้อมลู ปา่ พรคุ วนเคร็ง แผนทเี่ พื่อการจัดการทรพั ยากร (2562)
จะเห็นได้วา่ ระดับน้าในปา่ พรุควนเครง็ มีความสาคัญต่อระบบนิเวศของป่าพรุควนเครง็ และเป็น
ปัจจัยท่ีลดความเส่ียงการเกิดไฟป่าและลดการปลดปล่อยคาร์บอนจากผืนป่าได้จานวนมหาศาลท้ังที่เกิด
จากการเกิดไฟไหม้ป่าและการลดลงของระดับน้า และปริมาณน้ายังข้ึนอยู่กับฤดูกาล อย่างไรก็ตาม ผล
รายงานสรปุ สาหรับผบู้ รหิ าร ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรคุ วนเครง็ วถิ คี นและปา่ | 149
การศึกษาของกอบศักด์ิ วันธงไชย และคณะ (2557) อธิบายถึงผลกระทบของการลดลงของระดับน้าใน
ป่าพรุควนเคร็งที่ผลต่อการคาดการณ์ความเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้ในป่าค่อนข้างมาก ขณะเดียวกันการมี
นา้ ขังอยู่ในปา่ ก็ไม่ได้สะท้อนถงึ ความปลอดภัยจากไฟป่า นั่นเพราะวา่ แม้มีน้าทว่ มขังในป่า แต่หากบริเวณ
ดังกล่าวมีเช้ือเพลิงที่ต่อเนื่อง มีความสามารถติดไฟได้ดี (โดยเฉพาะกระจูด) กอปรกับสภาพอากาศท่ี
เหมาะสมก็ยงั มโี อกาสเกดิ ไฟไหม้ในพน้ื ทไี่ ด้
ลมบรเิ วณพรคุ วนเคร็ง
การรายงานข้อมลู ลมในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชของศูนย์อุตุนิยมวทิ ยาทางทะเล (2552) ได้
ระบวุ า่ ระบบหมนุ เวียนของลมในจงั หวัดนครศรธี รรมราชมีความชัดเจนดี เดือนตลุ าคมถงึ ธันวาคมจะเป็น
ลมทิศเหนือ ความเร็วลมเฉล่ียประมาณ 6-9 กม./ชม. เดือนมกราคมถึงเมษายนจะเป็นลมทิศตะวันออก
ความเร็วลมเฉลี่ย 7-9 กม./ชม. และเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายนจะเป็นลมทิศตะวันตกเฉียงใต้
ความเร็วลมเฉลี่ยประมาณ 7–9 กม./ชม. กาลังลมสูงสุดในแต่ละฤดูมีดังนี้ ฤดูร้อนเคยตรวจลมสูงที่สดุ ได้
74 กม./ชม. เปน็ ลมทิศตะวนั ตกเฉยี งใต้ในเดอื นเมษายน ฤดฝู นเคยตรวจลมสูงท่ีสุดได้ 102 กม./ชม. เป็น
ลมทิศตะวันตกค่อนไปทางใต้เล็กน้อยในเดือนสิงหาคม ส่วนในฤดูหนาวเคยตรวจลมสูงที่สุดได้ 74 กม./
ชม. เป็นลมทิศตะวันออกในเดือนมกราคม นอกจากน้ีการรายงานความเร็วลมของภาคใต้จากสถานี
ตรวจวัดใกล้เคียงพ้ืนที่พรุควนเคร็ง คือ สถานีวัดลมบ้านหัวคุ้ง หมู่ท่ี 5 บ้านหัวคุ้ง อาเภอระโนด จังหวัด
สงขลา โดยมีการตรวจวัดทร่ี ะดบั ความสูง 40 เมตร พบวา่ ข้อมลู ความเร็วลมในชว่ งระหวา่ งปี พ.ศ. 2545
ถึงปี พ.ศ. 2553 มีความเร็วลมเฉลี่ยอยู่ที่ 4.50 เมตรต่อวินาที (กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์
พลังงาน, 2554)
ไฟ ลักษณะเช้ือเพลงิ และพฤติกรรมไฟในปา่ พรคุ วนเคร็ง
ไฟป่าเป็นพลังในกระบวนการธรรมชาติที่สาคัญในภูมิทัศน์ป่าไม้ของไทย และสามารถใช้เป็น
เคร่ืองมือในการจัดการทรัพยากรได้มุมมองของชาวบ้านต่อไฟป่านั้น ไฟก็มีประโยชน์ต่อการเกษตรในบึง
(Paludiculture) โดยเฉพาะอย่างย่งิ การผลติ กระจูดในบึง หากเรารจู้ กั ใช้ไฟอันเป็นวฒั นธรรมของท้องถ่ิน
อนุรักษ์พืชซึ่งนับวันจะลดน้อยลงเรื่อย ๆ เช่น กระจูด และเสม็ด เพราะการบุกรุกของภาคอุตสาหกรรม
หรือโครงการพัฒนาของรัฐเช่นนิคมอุตสาหกรรม การขุดคลองท่ีขยายเข้าไปในพื้นท่ีชุ่มน้าธรรมชาติ
การศึกษาครั้งน้ี เห็นสมควรใช้วิธีการเผาตามกาหนดในต้นฤดู (เมษายน-มิถุนายน) โดยใช้ความถี่ 3-5 ปี
จดั การพรเุ พอื่ ลดปริมาณเชือ้ เพลิง ซง่ึ เปน็ วธิ ที เ่ี สียค่าใชจ้ ่ายถกู ท่สี ุด ดีตอ่ วถิ ชี ีวิตคน ดีตอ่ การอนรุ กั ษค์ วาม
หลากหลายทางชวี ภาพ และลดภัยคุกคามจากไฟขนาดใหญ่ (สมศักดิ์ สุขวงศ์ และคณะ, 2562, 27-28)
สาหรับลักษณะเช้ือเพลิงในป่าพรุควนเคร็งจากรายงานผลการสารวจปริมาณเช้ือเพลิงบนผิวดิน
ในพื้นที่ป่าพรุควนเคร็ง จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยสานักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 (2557, อ้างถีงใน
อานันท์ คัมภีร์ระ, 2560, 70) ระบุถึงลักษณะเช้ือเพลิงในพ้ืนท่ีป่าสงวนแห่งชาติท่ีตั้งในเขตพ้ืนท่ีป่าพรุ
ควนเคร็ง จานวน 4 แห่ง คือ 1) ป่าสงวนแห่งชาติป่าบ้านในลุ่มป่าบ้านกุมแปและป่าพรุควนเคร็ง 2) ป่า
สงวนแห่งชาติป่าท่าช้างข้าม 3) ป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองค๊อง และ 4) ป่าสงวนแห่งชาติป่าดอนทราย
และป่ากลอง พบว่าเช้ือเพลิงบนผวิ ดนิ ในป่าพรุควนเคร็งมีอยู่ 3 ประเภท ไดแ้ ก่ ใบไม้ หญา้ และก่ิงก้านไม้
โดยเช้ือเพลิงที่มีความสาคัญต่อการเกิดไฟป่าในพรุควนเคร็งมากท่ีสุด คือ ใบไม้ หญ้า และกิ่ง ก้านไม้
150 | โครงการเสริมศกั ยภาพการจัดการระบบนิเวศปา่ พรุเพ่อื เพ่มิ ความสามารถในการกักเกบ็ คาร์บอน
และอนุรกั ษค์ วามหลากหลายทางชีวภาพอยา่ งย่งั ยืน
ตามลาดับ ท้ังน้ีความหนาของเช้ือเพลิงผิวดินในพ้ืนที่ป่าพรุควนเคร็งเฉล่ีย 9.69 เซนติเมตร โดยมีความ
หนาของเชื้อเพลิงผิวดินสูงท่ีสุดเฉล่ีย 18.75 เซนติเมตร ซ่ึงมีสภาพพ้ืนท่ีเป็นทุ่งกระจูด มีน้าท่วมขัง
เล็กน้อย และไม่พบร่องรอยการเกิดไฟป่า ส่วนป่าท่าช้างข้ามมีความหนาของเช้ือเพลิงผิวดินน้อยท่ีสุด
เฉลยี่ 4.30 เซนตเิ มตร ซึ่งมีสภาพพ้นื ทส่ี ว่ นใหญ่เป็นป่าเสม็ดและไม่มีไม้พนื้ ล่าง มเี ถาวัลยล์ าเท็งข้นึ ปะปน
อยู่บางส่วน ขณะท่ีความสูงของพืชพื้นล่างในบริเวณป่าพรุควนเคร็งน้ันส่วนใหญ่เป็นพืชจาพวกหญ้า ซึ่ง
ส่วนใหญ่เป็นพืชกระจูด โดยมีความสูงเฉลี่ยสูงสุดท่ี 115 เซนติเมตร ส่วนป่าดอนทรายไม่พบพืชพ้ืนล่าง
เนอ่ื งจากสภาพปา่ มไี ม้ยืนตน้ ปกคลมุ หนาแนน่ มีแสงแดดสอ่ งถงึ พนื้ ดินน้อย โดยที่ปรมิ าณของเชือ้ เพลงิ ผิว
ดินทั้งหมดของป่าพรุควนเคร็งคิดจากค่าน้าหนักพบว่าเชื้อเพลิงมีน้าหนักสดเฉลี่ย 1,295 กิโลกรัมต่อไร่
และมีน้าหนักแห้งเฉล่ีย 870.76 กิโลกรัมต่อไร่ โดยป่าควนเคร็งมีน้าหนักสดของเช้ือเพลิงในปริมาณมาก
ท่ีสุด เน่ืองจากเป็นทุ่งกระจูด ขณะที่ป่าดอนทราย เป็นป่าท่ีมีเรือนยอดปกคลุมหนาแน่น มีปริมาณ
เชื้อเพลิงน้อยที่สุด ส่วนน้าหนักแห้งของเชื้อเพลิงพบบรเิ วณป่าท่าชา้ งข้าม ซ่ึงเป็นป่าเสม็ดปลูก มีปริมาน
มากทีส่ ุด และมปี ริมาณน้อยทสี่ ดุ ทีป่ ่าดอนทราย
นอกจากน้ีจากผลการศึกษาของ กอบศกั ด์ิ วันธงไชย และคณะ (2558) ระบุวา่ เชือ้ เพลงิ ในป่าพรุ
ประกอบด้วยเชื้อเพลิงส่วนที่อยู่เหนือพ้ืนดิน (เศษซากพืช ไม้พ้ืนล่าง ใบเสม็ดสดและเปลือกท่ีติดอยู่ตาม
ต้น รวมทั้งเศษเปลือกเสม็ดท่ีถูกลอกทิ้งไว้ในพื้นท่ี) โดยป่าเสม็ดที่ดอนมีปริมาณเชื้อเพลิงสูงสุด (3.72ตัน
ต่อไร่) สว่ นเช้ือเพลงิ ใต้ดนิ ได้แก่ ดินพรุ มีความหนาแนน่ โดยเฉลี่ย 0.23 กรมั ตอ่ ลบ.ซม. กระนนั้ กต็ าม ผล
การศึกษาลักษณะเชื้อเพลิงและพฤติกรรมไฟป่าจากเหตุการณ์ไฟไหม้ป่าพรุควนเคร็ง จังหวัด
นครศรีธรรมราช เม่ือปี พ.ศ. 2555 ของกอบศักดิ์ วันธงไชย (2557, 168-172) ได้ยังได้แบ่งประเภทของ
เชื้อเพลิงเหนือพื้นดินในป่าพรุควนเคร็งเป็น 2 ประเภท นั่นคือ 1) เชื้อเพลิงจากไม้พื้นล่างต่าง ๆ ได้แก่
กระจูด กระจูดหนู หญ้าคมบาง ลาเท็ง ปรือ รวมทั้งกล้าไม้เสม็ดขาวขนาดเล็ก และเศษซากพืชเหนือ
พ้นื ดนิ บางสว่ น เชน่ ใบเสม็ดและกิง่ ไมท้ ่ีทบั ถมอยู่บริเวณพนื้ ดิน 2) เชื้อเพลงิ ทอ่ี ยู่ท่ลี าต้นของเสม็ด ได้แก่
เปลือกและใบของต้นเสม็ด โดยพบว่าเชอ้ื เพลิงท้ังสองประเภทดงั กล่าวก่อนเกดิ ไฟไหม้มปี ริมาณสูงมากถึง
54.86 ตันต่อเฮกแตร์ หรือคิดเป็น 8.78 ตันต่อไร่ ความหนาของเชื้อเพลิงเฉล่ียก่อนเกิดไฟไหม้ของเศษ
ซากพชื และไม้พ้ืนลา่ ง มีค่าเท่ากบั 8.68 และ75.60 เซนติเมตรตามลาดบั ท้งั นจี้ ากการเกิดไฟไหม้พรุควน
เคร็งในปี พ.ศ. 2555 ได้เผาทาลายเชื้อเพลิงในป่าพรุควนเคร็งไปถึงรอ้ ยละ 75.3 ของเช้ือเพลิงที่มีอยู่เดิม
กอ่ นเกิดไฟไหม้
พฤติกรรมการเกิดไฟในป่าพรุควนเคร็ง เป็นข้อมูลสาคัญอีกประการท่ีสะท้อนผ่านผลการศึกษา
ของ กอบศักดิ์ วันธงไชย และคณะ (อ้างแล้ว) จากงานวิจัยข้างต้นพบว่า ความสูงของไฟที่ประเมินจาก
รอยไหม้เกรียมท่ีพบตามลาต้นของต้นไม้ในแปลงทดลองในพ้ืนที่ 5 แห่ง มีความสูงโดยเฉลี่ย 3.5 เมตร
โดยท่ีเปลวไฟที่สูงท่ีสุดที่ตรวจพบมีค่าสูงถึง 13 เมตร ส่วนความยาวของเปลวไฟ (Flame length) เป็น
ลักษณะของพฤตกิ รรมไฟพืน้ ฐานท่แี สดงออกมาซ่งึ มีความสมั พนั ธก์ ับความรุนแรงของไฟ (Fire intensity)
ผลการประเมินความยาวของเปลวไฟที่ได้จากสมการความสัมพันธ์ระหว่างความสูงของเปลวไฟกับความ
ยาวของเปลวไฟพบว่า เปลวไฟในแปลงทดลองท้ัง 5 พื้นท่ีมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.3 เมตร และเมื่อนาข้อมูล
ความยาวของเปลวไฟมาทาการการประเมินความรุนแรงของไฟท้ัง 5 พ้ืนที่พบกว่าค่าเฉลี่ยความรุนแรง
ของไฟมีค่าเท่ากับ 6,257.7 กิโลวัตต์ต่อเมตร ซึ่งถือว่ามีความรุนแรงสูงมากและมีอันตรายมาก มีอัตรา